Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัย-ความเปลี่ยนแปลงและกระบวนการสร้างประชาธิปไตย - อ.สมชาย

รายงานวิจัย-ความเปลี่ยนแปลงและกระบวนการสร้างประชาธิปไตย - อ.สมชาย

Published by E-books, 2021-03-02 06:47:49

Description: รายงานวิจัย-ความเปลี่ยนแปลงและกระบวนการสร้างประชาธิปไตย-สมชาย

Search

Read the Text Version

83 “มนั ไม่มีผลกระทบต่อชาวบ้าน เป็นความคาดหวงั ของชาวบ้าน ถ้าเลือกใครเข้าไปแล้ว น่าจะมาทาอะไรให้กบั หมู่บ้านบ้าง แต่ก็ไม่เป็นอะไรที่ชดั เจนที่เป็นผลงานของสส.สาหรับ หมู่บา้ น ซ่ึงส่วนมากจะเป็นโครงการของเทศบาลทง้ั หมด” (เอกราช ร่มโพธิ์, 2557) นอกจากนี ้สาหรับการเลือกตงั้ ระดบั ชาติแล้วมีผลทาให้พืน้ ที่อาเภอแม่แจ่มมีความหมายไม่มาก จากแต่เดิมท่ีอาเภอแม่แจ่ม ซึ่งมีจานวนประชากรที่น้อยหากเปรียบเทียบกับอาเภออ่ืนๆ ของเชียงใหม่ และตอ่ มายงั ได้มีการแยก 3 ตาบล ไปตงั้ เป็นอาเภอกลั ยานิวฒั นาเม่ือ พ.ศ. 2552 ทาให้จานวนคะแนน เสียงในการเลือกตงั้ ส.ส. ลดน้อยลงไปอีก ทงั้ การเลือกตงั้ ครัง้ ล่าสดุ มีการนาตาบลแม่นาจรไปอย่ใู นอีก เขตเลือกตงั้ หน่ึงด้วย จงึ ทาให้ผ้สู มคั ร ส.ส. ไม่ให้ความสาคญั กับคะแนนเสียงของประชากรที่อาเภอแม่ แจม่ ดงั คากลา่ วของเอกสาร ร่มโพธิ์ “แม่แจ่มก็เล็กอยู่แล้ว ยิ่งแบ่งเป็น 2 เขตเลือกตง้ั ส.ส. อีก ของแม่แจ่ม บ้านจนั กลั ยา ต. แม่นาจอน นน้ั อย่อู ีกเขตหนึ่งนะครับ บ้านผมก็อีกเขตหน่ึง นนั้ เขต 9 ผมเขต 10 ย่ิงแบ่งยิ่ง เป็นพืน้ ที่ ที่ ส.ส. เกือบจะไม่ใหค้ วามสาคญั คะแนนน้อยเพราะคนก็นอ้ ย พอแบ่งอาเภอก็ ยิ่งน้อยลงไปอีก... อาเภอฮอดทง้ั อาเภอเต็มๆ ส.ส. ก็ไปท่มุ ตรงนนั้ ดีกว่า แม่แจ่มค่อยเข้า มาดูทีหลงั ” สาหรับความเป็นอิสระในการบริหารจดั การท้องถิ่น การเงิน การคลงั และการบริหารงานบคุ คลได้ เป็นการเปิดโอกาสให้กบั คนในตาบลชา่ งเคง่ิ ได้ทางานในภาครัฐเพ่มิ มากขนึ ้ ไม่วา่ จะตาแหนง่ พนกั งานสว่ น ท้องถ่ิน ลกู จ้างตา่ งๆ โดยจะพบว่านอกเหนือจากปลดั หรือหวั หน้างานตา่ งๆ แล้วตาแหน่งเกือบทงั้ หมดเป็น คนในพืน้ ที่ เชน่ องค์การบริหารสว่ นตาบลชา่ งเค่ิง มีบคุ ลากรทงั้ สิน้ 39 คน แบง่ เป็นพนกั งานสว่ นตาบล 21 คน ลกู จ้างประจา 2 คน พนกั งานจ้างตามภารกิจ 10 คน พนกั งานจ้างท่ัวไป 4 คน พนกั งานจ้างเหมาราย เดือน 2 คน เทศบาลตาบลแม่แจ่ม มีบคุ ลากรทงั้ สิน้ 29 คน พนกั งานเทศบาล 20 คน ลกู จ้างประจา 9 คน เป็นต้น นอกเหนือจากพนกั งานประจาแล้วก็จะมีตาแหนง่ ฝ่ ายการเมืองท่ีมีหน้าประจาอีกจานวนหนึ่ง โดย องค์การบริหารส่วนตาบลช่างเคิ่ง มีฝ่ ายบริหาร 4 คน ฝ่ ายนิติบญั ญัติ 30 คน รวมเป็น 34 คน เทศบาล ตาบลแม่แจม่ ฝ่ ายบริหาร 5 คน ฝ่ ายนิตบิ ญั ญัติ 12 คน รวมเป็น 17 คน หากนบั รวมทงั้ หมดพบว่าองค์กร ปกครองสว่ นท้องถ่ินในตาบลชา่ งเคง่ิ ต้องจา่ ยเงินเดือนให้กบั ข้าราชการประจาและข้าราชการการเมืองรวม ทงั้ สนิ ้ 119 คน สาหรับความเป็นอิสระในการบริหารจดั การท้องถ่ินและการเงิน ในการจดั สรรงบประมาณจาก ความเปล่ียนแปลงดงั กลา่ วพบว่าระบบงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินทงั้ 2 แห่ง โดยเฉพาะ อย่างยิ่งงบทางด้านการพัฒนาได้มีการกระจายงบประมาณไปให้กับหมู่บ้าน มีการประชาคมภายใน

84 หม่บู ้านเพ่ือพิจารณาลาดบั ความจาเป็นของแตล่ ะโครงการ และนาไปจดั ทาข้อบญั ญัติท้องถิ่นเสนอสภา องค์การบริหารสว่ นท้องถิ่นตอ่ ไป ส่ิงที่ชาวบ้านในตาบลช่างเคง่ิ สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงดงั กลา่ วคล้ายคลงึ กนั คอื องค์กร ปกครองสว่ นท้องถ่ินมีความแน่นอนของการได้รับงบประมาณชดั เจนและมีจานวนงบประมาณมากขนึ ้ ซงึ่ มี ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชดั จากระบบสุขาภิบาลหรือสภาตาบล โดยเอกราช ร่มโพธิ์ อธิบายถึงความ แตกตา่ งดงั กลา่ ว “ต่างครับ สมยั ก่อนสุขาภิบาลนี้ ความต่างที่สงั เกตเห็นชดั ๆ ก็คือเรื่องของโครงการความ ร่วมมือที่ลงสู่ชมุ ชน สมยั สขุ าฯ ไม่มีโครงการทีเ่ ยอะแยะเหมือนของเทศบาล... ครับได้เงิน นอ้ ย ผมคิดว่าน่าจะเป็นแบบนน้ั นะ เงินน่าจะน้อยกว่าโครงการของเทศบาล อีกอย่างหน่ึง กระบวนการมีส่วนร่วมของชมุ ชนตอนเป็นสขุ าฯ ก็ไม่กวา้ งขวางไม่เหมือนตอนนี้” เชน่ เดยี วกนั กบั ความเหน็ ของพิมล อาจใจ “สมยั นน้ั นะคือเงินมนั น้อย ปี หนึ่งเก่งสดุ ๆ ก็ประมาณลา้ นกว่าบาท ทง้ั 4 หมู่บาน พฒั นา อย่างเดียวเลย ... พอเปลี่ยนมาปี 2542 ก็งบเยอะขึ้น ... คือทกุ อย่างดีขึ้นเมื่อเป็นเทศบาล ถนนถนทางต่างๆ นะ เพราะว่าเงินเราเก็บภาษีไดน้ อ้ ยแต่มนั มีงบอดุ หนนุ มา...” โดยในส่วนขององค์การบริหารส่วนตาบลช่างเคิ่ง สุวิทย์ แก้วบุตร ก็แสดงความเห็นว่ามีความ แตกตา่ งเกิดขนึ ้ เชน่ กนั “ในด้านโครงสร้างพื้นฐานเร่ิ มเปลี่ยนข้ึนเพระว่างบประมาณ พอมี ให้ชาวบ้านสามารถ ตดั สินใจไดเ้ ลยว่าปี นี้พอมีเงินสองแสน เราจะไปทาตรงไหนก่อน แต่ถา้ เป็นสมยั สภาตาบล ไม่แน่ใจว่าเราจะได้หรือไม่... แต่ว่าปี นีเ้ รามนั่ ใจว่าทาง อบต. อย่างนอ้ ยสองสามแสนทกุ ปี มนั ก็จะไดล้ ะ หรือคากลา่ วของนายดวงดี กลุ เม็ง “สมยั สภาตาบลนี่ คนไหนก็สาวได้สาวเอา พอ่ เคยชนกบั พ่อกานนั ขนาดเจ็ดโมงพ่อไม่ให้ นายอาเภอลงอาเภอ ก็คือทางเคา้ ไม่ยอมใหโ้ ครงการพ่อ เคา้ ให้พ่อแค่สองโครงการ เค้าได้ เจ็ดแปดโครงการ พ่อไม่ยอมไม่ให้นายอาเภอลง พ่อว่ิงไปล็อคก่อน ไม่ให้นายอาเภอลง ต้องอยู่เป็นประธานพิจารณานี่ก่อน ต้องพิจารณาใหผ้ มใหม่ ต้องไปตรวจโครงการทกุ คน รุ่นนนั้ นี่ไม่ค่อยมีเหตุมีผลเท่าไหร่ แบบว่าคนไหนดูมีอานาจหน่อยคนนน้ั ก็จะเอาไปกนั มี พรรคมีพวก ไม่เอาเหตเุ อาผล แต่ตอนเป็น อบต. นี่ในตรงนนั้ หมดไปแล้ว เพราะว่าพ่อ หลวงอานาจเก่าทีเ่ ป็นสภาตาบลนีม่ นั หมดไปละ”

85 การจัดสรรงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่นในตาบลช่างเค่ิงมีกระบวนการจัดสรร งบประมาณคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ มีการแบ่งงบประมาณไปตามเขตการปกครองหมู่บ้านโดยมีการ พิจารณาจากจานวนคนที่อยู่ในหมู่บ้านนนั้ ๆ ด้วย หากมีจานวนมากก็จะถือว่าเป็นบ้านขนาดใหญ่ ได้ งบประมาณมากกว่าหม่บู ้านที่มีประชากรน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการยึดจานวนประชากรใน การพจิ ารณาแตค่ วามแตกตา่ งของงบประมาณในแตล่ ะหม่บู ้านก็จะไม่ได้มีความแตกตา่ งกนั อยา่ งชดั เจน อยา่ งไรก็ตาม ในเขตเทศบาลตาบลที่แบง่ เป็น 2 เขต แตก่ ารพิจารณางบประมาณก็ยงั ใช้เขตการปกครอง หมบู่ ้านเชน่ เดียวกนั “มนั ก็หารไปตามจานวนคนอย่างบ้านที่พ่ออยู่เนี่ยหมู่ที่ 12 เนีย่ เขาได้มากหน่อย ได้เยอะ หน่อย คือได้ประมาณล้านกว่าบาท นอกน้ันก็แปดเก้าแสนก็ว่ากันไป ... บ้านพอมี ประชากรทง้ั หมดพนั กว่าคนจากสามพนั กว่าคนของเขตเทศบาล ประมาณ 1 ใน 3” (พิมล อาจใจ, 2557) หรือกรณีขององค์การบริหารสว่ นตาบลชา่ งเคง่ิ ดงั คากลา่ วของ ถนอม ไชยบตุ ร “ถา้ หากเป็นที่ อบต. สนบั สนนุ นีก่ ็จะไม่มีบา้ นไหนทีไ่ ด้เยอะทีส่ ดุ ก็จะมีสีห่ ้าหมู่บ้านที่จะได้ เหลื่อมล้ากนั แค่หมื่นสองหมื่น มนั จะอยู่ที่บ้าน(ขนาด)ใหญ่บ้านเล็ก อย่างสมมติบ้านผม เป็นบ้านใหญ่ มีประชากรแปดเก้าร้อย อย่างบ้านเล็กนี่มีประชากรแค่สามร้อย เงินจะต่าง ดนั อย่างบา้ นเล็กไดส้ องแสน บา้ นใหญ่อาจจะสองแสนหา้ สองแสนสาม ดูทีป่ ระชากร” ในการเลือกตงั้ แตล่ ะครัง้ มกั จะมีการนาเสนอนโยบายโดยผ้สู มคั รฝ่ ายบริหาร หรือฝ่ ายนิติบญั ญตั ิ ซ่ึงการทาโครงสร้ างพืน้ ฐานยงั คงมีความจาเป็นอยู่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในพืน้ ท่ีเขตองค์การบริหารส่วน ตาบลท่ีครอบคลมุ กวา่ 15 หมบู่ ้าน มีเนือ้ ที่กว้าง และยงั คงประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรเป็นส่วนใหญ่ จึงทา ให้ความต้องการของชาวบ้านยงั คงเป็นการก่อสร้างถนนท่ีสามารถเข้าสพู่ ืน้ ท่ีทาการเกษตรได้สะดวกทงั้ การ เข้าไปทาการเกษตรและขนส่งผลผลิตออกมา รวมถึงการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์การเกษตรได้สะดวกมาก ยิ่งขนึ ้ ด้วย ซงึ่ การตอบสนองขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ินนอกจากการทาโครงการถนนคอนกรีตหรือลาด ยางเข้าสขู่ ้อบญั ญัติท้องถิ่นแล้ว ยงั มีการสนบั สนนุ รถแบค็ โฮ หรือดิน หิน สาหรับการทาถนนลกู รังด้วย ซ่ึง การสนบั สนนุ ตา่ งๆ ก็จะมีสมาชิกสภาฯ ของแตล่ ะหม่บู ้านที่ช่วยประสานงานให้มีการสนบั สนนุ ดงั คากลา่ ว ของถนอม ไชยบตุ ร “ไดน้ าเรื่องงบประมาณ ปี ไหนสามสีแ่ สนก็ไดพ้ ฒั นาเป็นคอนกรีต เป็นงบประมาณ ปลีกย่อย ไม่ว่าจะเป็นชาวไร่มนั เดือนร้อนเราก็หางบประมาณมาสร้างถนน เขาเรียกถนน แม้วหรือถนนคนเดินที่จะเป็ นสองเลนเล็กๆ เราก็บริการชาวไร่ ชาวนาที่เดือนร้อน เราก็ ใหค้ วามสนใจว่าเขาเดือดร้อนเรื่องอะไร”

86 หรือคากลา่ วของ ประพนั ธ์ นะที “ก็เรื่องถนนนี่นะครับ ถนนเข้าสู่ไร่การเกษตรมันลาบาก ก็ทาโครงการเข้ากับนายกฯ ประเภทวัสดุ เป็ นปูนเป็ นทราย ชาวสวนที่อยู่ในระยะเส้นทางน้ันก็ช่วยกันทา พอได้ ผลประโยชน์มาบา้ ง แต่ในส่วนองค์การบริหารส่วนตาบลก็ไม่มีเงิน งบอดุ หนนุ ก็เข้ามาไม่ มาก เราก็ค่อยๆไปทาแต่ละปี ปี ไหนก็ได้ประมาณ 100 เมตร 130 เมตรกว่า ก็ค่อยๆทาไป แต่ยงั ไม่จบ ตอนนี้อนั ที่ทามาก่อนก็หกั ไปแลว้ ก็ไดซ้ ่อมแซมอีก น้าเหมืองลาคลอง อดุ ตนั ช่วงหน้าแล้งทาการเกษตรบ่ไม่ค่อยดีนะ ของบประมาณขุดลอก บางคร้ังมนั ต้องใช้แรง ชาวบา้ น ตอ้ งเอาชาวบา้ นไปทา ของบประมาณก็เป็นค่ากบั ข้าวค่าอะไรให”้ 4. การจัดตัง้ องค์กรและการสร้างเครือข่ายทางสังคม การศกึ ษาความเปลี่ยนแปลงในการจดั ตงั้ องค์กรและการสร้างเครือข่ายทางสงั คม จะศึกษาการ รวมกลุ่มของชาวบ้านในการแบ่งสรรและจัดการทรัพยากรในรูปแบบต่างๆ ท่ีเกิดขึน้ โดยพิจารณา ครอบคลุมทงั้ องค์กรที่ได้มีการจัดตงั้ โดยหน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือ หนว่ ยงานรัฐอื่น และนอกจากนีก้ ็จะเป็นเครือข่ายของชาวบ้านท่ีเกิดขนึ ้ เพ่ือจดั การกบั ประเดน็ ปัญหาตา่ งๆ ซึ่งเครือข่ายของชาวบ้านในลกั ษณะนีจ้ ะมีความสมั พนั ธ์ในเชิงระนาบมากกว่าเป็นความสมั พนั ธ์ในแบบ แนวด่ิง ความเปลี่ยนแปลงในการจดั ตงั้ และการสร้ างเครือข่ายของกลุ่มชาวบ้านในลกั ษณะตา่ งๆ ขึน้ มา เป็นสว่ นหนึ่งของกระบวนการในระบอบประชาธิปไตย การทาความเข้าใจถงึ พฒั นาการของการจดั ตงั้ การ รวมกล่มุ บทบาท ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกลมุ่ รวมทงั้ การใช้เป็นเคร่ืองมือต่อรองกับการเมืองระดบั ท้องถ่ิน และระดับชาติในบริบทที่เปล่ียนแปลงไป จะทาให้ มองเห็นถึงโอกาสในการเสริ มสร้ างพลังของ ประชาธิปไตยในสงั คมมากขนึ ้ การศกึ ษาการรวมกล่มุ ชาวบ้าน จะพิจารณาทงั้ กลมุ่ ที่เกิดขนึ ้ โดยมีเงื่อนไขทางสงั คมและเศรษฐกิจ เป็นแรงผลกั ดนั สาคญั และกลมุ่ ชาวบ้านที่ได้รับการจดั ตงั้ หรือได้รับการสนบั สนนุ โดยตรงจากหนว่ ยงานรัฐ เพื่อที่จะมองเห็นทางเลือกของชาวบ้านในการสร้ างอานาจต่อรองหรือการสร้ างโอกาสในการเข้าถึง ทรัพยากรตา่ งๆ และท่ีสาคญั จะช่วยให้เข้าใจถงึ การสร้างชอ่ งทางในการเชื่อมตอ่ กบั การเมืองในระดบั ตา่ งๆ ของกลมุ่ ชาวบ้านได้รอบด้านมากยิง่ ขนึ ้ 4.1 การสร้างเครือข่าย การขยายตวั ของการผลิตเชิงพาณิชย์ ได้ผลกั ให้ชาวบ้านต้องเผชิญกับความผนั ผวนของราคา สินค้าทางการเกษตร แตช่ มุ ชนในตาบลช่างเคิ่งและตาบลข้างเคียงท่ีปลูกพืชชนิดเดียวกนั ได้รวมกล่มุ กนั และเคล่ือนไหวกดดนั ให้รัฐบาลประกันราคา ซ่ึงส่วนมากจะประสบความสาเร็จ เช่น กล่มุ หอมแดง กลุ่ม

87 ข้าวโพด สามารถแบง่ ได้ 3 ประเภทคือ กล่มุ เรียกร้องราคาผลผลิตทางการเกษตร กลมุ่ เรียกร้องที่ดนิ ทากิน และกลมุ่ ที่เคลื่อนไหวเกี่ยวกบั ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม กลุ่มเกษตรกรท่ีเข้าสู่การรวมตวั เป็นเครือข่ายทางสังคมเพ่ือใช้กระบวนการของประชาธิปไตย ทางตรงโดยการเข้ารวมตวั ชมุ นมุ เพื่อเคล่ือนไหวในสถานการณ์ท่ีราคาผลผลิตตกต่าโดยเรียกร้องให้รัฐเข้า มาประกันราคาช่วยเหลือเกษตร คือ กลุ่มหอมแดงและกลุ่มข้าวโพด เป็นการรวมกล่มุ ที่กว้ างกว่าระดบั ตาบล มีการเข้ามาร่วมกนั ระดบั อาเภอ โดยมีการเข้าร่วมทงั้ ผ้ผู ้ปู ลกู เองและผ้ปู ระกอบทางเกษตรด้วย ซึ่งมี พลังมากสามารถเรียกร้ องได้ผล มีการชุมนุมท่ีหน้าท่ีว่าการอาเภอแม่แจ่ม และที่ศาลากลางจังหวัด เชียงใหมด่ ้วย กลุ่มหอมแดงแม่แจ่มเป็นกลุ่มที่ไม่เป็นทางการและเกิดขึน้ เฉพาะกิจ โดยเกิดขึน้ ในช่วงพ.ศ. 2534 จากปัญหาราคาหอมแดงตกต่าเป็นอย่างมาก จนไม่มีพ่อค้ามารับซือ้ จึงมีการปรึกษาหารือกันใน กลุ่มเพื่อนบ้าน 2-3 คน และค่อยๆ ขยายตวั ไปถึงกลุ่มผ้ปู ลูกหอมแดงทุกชมุ ชน ตอ่ มาได้ประชุมร่วมกัน ทงั้ หมดประมาณ 60 คน และตงั้ ช่ือกลมุ่ วา่ กลมุ่ หอมแดงแมแ่ จม่ กระบวนการเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐช่วยเหลือเร่ิมต้นจากการยื่นหนงั สือให้เกษตรอาเภอ แตไ่ ม่ได้ ผล จึงทาหนงั สือไปท่ีพาณิชย์จงั หวดั แตไ่ มเ่ ป็นผลเช่นเดียวกนั ตอ่ มาได้ประชมุ ใหญ่ร่วมกนั ทกุ ชมุ ชน และ รวบรวมรายช่ือให้ได้มากที่สดุ ในที่สุดท่ีประชุมสรุปว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลที่ศาลากลาง จงั หวดั เชียงใหม่ โดยไปตงั้ เต๊นท์อาศยั อยทู่ ่ีศาลากลาง 6-7 วนั ทางผ้วู ่าราชการจงั หวดั จึงประสานงานกับ รัฐบาล โดยได้ส่งตวั แทนมาเจรจาแต่ไม่ประสบความสาเร็จอีก จึงเดินทางต่อไปที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ กรุงเทพมหานคร และได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ซ่ึงได้รับปากว่าจะรับซือ้ หอมแดงในราคากิโลกรรมละ 8 บาท กล่มุ หอมแดงแม่แจ่มจึง เดนิ ทางกลบั กลุ่มข้าวโพดแม่แจ่ม เป็นกลมุ่ ที่ไมเ่ ป็นทางการและเกิดขนึ ้ เฉพาะกิจ โดยมีการรวมกลมุ่ กนั ของผู้ ปลกู ข้าวโพดท่ีประสบปัญหาราคาผลผลติ ตกตา่ พอ่ ค้าคนกลางกดราคา ต้นทนุ ในการปลกู สงู ทงั้ ป๋ ยุ และยา ฆ่าแมลง บางปีผลผลิตเสียหายจากภัยธรรมชาติ ซ่ึงปัญหาต่างๆ ได้ทาให้ผลประกอบการของผู้ปลูก ข้าวโพดอย่ใู นภาวะขาดทุน ไม่มีกาไร ต่อมาจึงรวมกล่มุ ผ้ปู ระสบปัญหาเดียวกันจากเครือญาติ และพวก พ้องเป็นกลมุ่ เลก็ ๆ กระทงั่ สามารถรวมตวั ได้เป็นกลมุ่ ใหญ่ทงั้ อาเภอประมาณ 8,000 - 9,000 คน กล่มุ ข้าวโพดมีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างน้อยปีละ 2 - 3 ครัง้ ในช่วงของการเก็บ เกี่ยวและช่วงราคาผลผลิตข้าวโพดตกต่า โดยใช้สถานที่สาธารณะของหม่บู ้านในการประชมุ เช่น ศาลา ประชาคม วดั โรงเรียน เป็นต้น

88 ในการกาหนดแผนหรือแนวทางในการเคล่ือนไหวจะมีการรวมกล่มุ หาแนวทางและวางแผนโดย แกนนากลมุ่ ในบางครัง้ อาจจะมีนกั การเมืองท้องถิ่นร่วมด้วย เม่ือได้ข้อสรุปจงึ ให้แกนนานาผลการประชมุ ที่ เป็นแนวทางและวธิ ีการไปให้สมาชกิ ท่ีเหลือทราบ รูปแบบในการเคล่ือนไหวของกลุ่มข้าวโพดแม่แจ่ม สามารถสรุปได้ 4 แนวทาง คือ 1) รวบรวม รายช่ือสมาชิกให้มากท่ีสดุ ยื่นหนงั สือข้อร้องเรียนตอ่ ผ้ทู ่ีเกี่ยวข้องทงั้ หมด ตงั้ แตห่ นว่ ยงานระดบั เล็ก จนถึง หน่วยงานท่ีใหญ่ขึน้ 2) ใช้การเจรจาตอ่ รองโดยส่งตวั แทนของกล่มุ เพ่ือเข้าพบผ้รู ับผิดชอบหรือหน่วยงาน ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง 3) ใช้มาตรการกดดนั ตา่ งๆ เชน่ การย่ืนข้อเรียกร้องบอ่ ยขนึ ้ เข้าพบเจรจาบอ่ ยขนึ ้ มีการ ใช้สื่อสารมวลชนชว่ ยกดดนั 4) หากวิธีการที่ 1-3 ไม่สาเร็จ จะเป็นการใช้พลงั มวลชนชมุ นมุ ประท้วงตาม สถานท่ีราชการสาคญั ๆ เช่น ท่ีวา่ การอาเภอ ศาลากลาง ปิดถนนประท้วง ซึ่งจะไมม่ ีการยตุ จิ นกวา่ จะได้ข้อ ตอบรับที่น่าพอใจ ซึ่งแนวทางทงั้ 4 มกั จะได้ผลทุกครัง้ เน่ืองจากการกระทาดงั กล่าวเป็นการสร้างความ เดอื ดร้อนให้กบั สงั คมดงั นนั้ ผ้มู ีอานาจในการตดั สินใจจงึ ต้องเข้าคล่ีคลายสถานการณ์ โดยเร็วที่สดุ กลุ่มเกษตรโหล่งปง เกิดขนึ ้ มาในชว่ ง พ.ศ. 2516 จากปัญหาการไลท่ ี่ดนิ ทากินเพื่อปลกู สร้างสวน ป่า ขององค์การอตุ สาหกรรมป่ าไม้ หรือ ออป. โดยชาวบ้านที่มีท่ีดนิ ทากินอย่บู ริเวณดงั กล่าว ได้รวมตวั กนั เพ่ือตอ่ ต้านคดั ค้านการทาท่ีดนิ ทากินไปเป็นสวนป่า โดยเร่ิมแรกมีการย้ายบ้านมารวมอยใู่ กล้ๆ กนั เป็นกล่มุ บ้าน ตามแตพ่ ืน้ ฐานชมุ ชนเดิมของตน โดยมีการเลือกผ้นู าของแตล่ ะกล่มุ ขนึ ้ มา ซ่ึงกล่มุ บ้านช่างเคิ่งบนมี นายแต๋ ปิงกุล นายนวลต๋า ปิงกุล นายหวดั เป็นผ้นู า กล่มุ บ้านท้องฝาย มีนายดวงดี กรรณิกา เป็นผู้นา กลมุ่ บ้านม้ง มีนายเปา แซย่ า่ งเป็นผ้นู า เม่ือสถานการณ์รุนแรงมากขนึ ้ มีการจบั กมุ มีการไถพืน้ ท่ีทางการเกษตร กล่มุ เกษตรโหล่งปงจงึ มี การจดั เวรยามมากขนึ ้ มีการให้หนงั สือพิมพ์ท้องถิ่นมาทาข่าว มีการรวมกล่มุ ในการทาการเกษตรมากขึน้ เมื่อเจ้าหน้าท่ี ออป. เข้ามาก็อย่รู วมกนั เป็นกล่มุ ต่อมามีการเผาบ้านเรือนจึงไปประท้วงกันท่ีศาลากลาง จงั หวดั เชียงใหมป่ ระมาณ 1,000 คนให้ชดเชยคา่ เสียหายบ้านที่ถกู ไฟเผา แตอ่ ยา่ งไรก็ตามก็ยงั เกิดการไล่ ที่ดนิ ตามมาเร่ือยๆ กลมุ่ เกษตรโหลง่ ปงจงึ ตงั้ ตวั แทนไปเรียกร้องที่ทากินถึงรัฐสภา ตอ่ มาการเรียกร้องก็ประสบความสาเร็จ เม่ือวนั ที่ 6 เมษายน 2518 โดยท่ีรัฐมนตรีวา่ การกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ นายทวิช กล่ินประทมุ เดินทางมาพบกบั ชาวบ้านที่บ่อนาพุร้อนเทพพนม ใกล้กับพืน้ ที่ เกษตรโหลง่ ปง มีการประชมุ ร่วมกบั ตวั แทนชาวบ้าน โดยก่อนเข้าประชมุ นายนวลตา๋ ปิงกลุ ประกาศกลาง ท่ีชมุ นมุ วา่ ถ้าการเจรจาไมเ่ ป็นผลก็อยา่ ให้รอดไปแม้แตค่ นเดียว ซง่ึ ผลสรุปจากที่ประชมุ คอื จะมีการจดั สรร ท่ีดินทากินให้แก่ราษฎรครอบครัวละ 15 ไร่ ในเนือ้ ที่ 4,000 ไร่ โดยออกหลกั ฐานเป็นสญั ญาเช่ากาหนด 50 ปี คา่ เชา่ ไร่ละ 1 บาท ตอ่ ปี แตห่ ้ามการซือ้ ขายโอน จานอง นอกจากกลุ่มท่ีแก้ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรแล้ว ยังมีกลุ่มที่มีวัตถุประสงค์เก่ียวกับ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมด้วยคือ กลมุ่ ฮกั เมืองแจม่

89 กลุ่มฮักเมืองแจ่ม เป็นกลมุ่ ที่เกิดขนึ ้ ภายในสถานการณ์การต่อต้านโครงการตดั ไม้สน วดั จนั ทร์ ขององค์การอุตสาหกรรมป่ าไม้ ในช่วง พ.ศ. 2535 ซึ่งทางกล่มุ มองเห็นว่าเป็นปัญหาเช่นเดียวกนั จึงเป็น แนวร่วมในการคดั ค้านและช่วยประชาสมั พนั ธ์ข้อมลู ในตวั อาเภอแมแ่ จม่ เร่ิมแรกได้มีการคดั เลือกนายอมั ริ นทร์ สขุ พทุ ธกิจ เขยบ้านเกาะเป็นประธานกลมุ่ รองประธานคือ นายอิ่นคา นปิ ณุ ะ คนบ้านทพั และพ่อเปีย้ ฝ่ันศรี คนบ้านแม่นาจร ส่วนเลขานุการและเหรัญญิก คือ นายอุทิศ สมบตั ิ คนบ้านช่างเคิ่ง การจัดตงั้ ใน ชว่ งแรกมีความพยายามจดั โครงสร้างการบริการเพื่อให้ครอบคลมุ ตวั แทนจากทุกกลมุ่ ทุกตาบลทงั้ อาเภอ แมแ่ จม่ รวมกนั เป็นคณะกรรมการจานวน 23 คน และมีพระสทุ ศั น์ วชิรญาโน ให้การสนบั สนนุ โดยตลอด กลมุ่ ฮกั เมืองแจม่ มีวตั ถปุ ระสงค์ท่ีสาคญั คือ การสร้างเครือข่ายและสร้างจิตสานึกให้ชมุ ชนโดยเน้น ด้านการอนรุ ักษ์และฟื น้ ฟูทรัพยากรธรรมชาติ และร่วมกบั ประชาชนในชมุ ชนพิทกั ษ์ผลประโยชน์ของคนแม่ แจ่ม ทงั้ การติดตามการทางานขององค์กรท้องถ่ิน หน่วยงานท่ีดาเนินกิจกรรมที่สร้างผลกระทบให้กับคน และสิ่งแวดล้อม รวมถงึ สง่ เสริมรักษาเผยแพร่ศลิ ปวฒั นธรรมประเพณีของคนแมแ่ จม่ การเคล่ือนไหวของกล่มุ ฮักเมืองแจ่มที่สาคญั คือ การคดั ค้านการค่าล้มป่ าสนวัดจันทร์ ใน พ.ศ. 2535 การคดั ค้านการทาเหมืองแร่บ้านบนนา การคดั ค้านการทาเหมืองแร่ลิกไนท์ที่บ้านนาฮอ่ ง การคดั ค้าน การเก็บคา่ ผา่ นดา่ นอทุ ยานแหง่ ชาติดอยอนิ ทนนท์ ใน พ.ศ. 2543 ซง่ึ ประสบความสาเร็จในทกุ ครัง้ เม่ือผลงานของกล่มุ ฮกั เมืองแจ่มเป็นไปในทิศทางของการเรียกร้องหรือคดั ค้านกบั ปัญหาที่เกิดขึน้ แตเ่ ม่ือไมม่ ีสถานการณ์ก็มีผลให้สมาชิกก็เริ่มลดน้อยลง คนมาประชมุ น้อยลง และไม่ได้รับความร่วมมือกบั ผ้นู าชมุ ชน จึงทาให้กล่มุ ฮกั เมืองแจ่ม คอ่ ยๆ ยบุ ตวั ลง ภายหลงั นายอทุ ิศ สมบตั ิ แตน่ ายสมเกียรติ มีธรรม พยายามรวมกล่มุ ขนึ ้ มาใหมใ่ ช้ชื่อวา่ “สภาพฒั นาเมืองแจ่ม” โดยมีกิจกรรมจดั งานวนั ส่ิงแวดล้อมซึ่งได้รับ ทนุ สนบั สนนุ จากกรมส่งเสริมคณุ ภาพส่ิงแวดล้อม ตอ่ มากิจกรรมก็น้อยลงเพราะไม่มีงบประมาณตอ่ เนื่อง ตอ่ มาจงึ จดั งานระดมทนุ เพ่ือตงั้ มลู นิธิฮกั เมืองแจม่ ได้ใน พ.ศ. 2554 (สมเกียรติ มีธรรม, สมั ภาษณ์) ในปัจจุบนั คณะกรรมการมูลนิธิฮักเมืองแจ่มมีคณะกรรมการอยู่ 13 คน คือ ท่านพระครูวีรกิจ สนุ ทร ประธานกรรมการ นางฝอยทอง สมวถาและนายนพรัตน์ อาจใจ เป็นรองประธานกรรมการ นายดวง ดี กุลเม็ง ร.ต.ต. สนิท พทุ ธเหมาะ นายอทุ ิศ สมบตั ิ นายกฤษฎา สมบตั ิ นายสมชาย ยงั่ สนั ติวงศ์ นายภูว นาท คาปัน นางพิมพ์ใจ พิทาคา นางแสงอรุณ ไชยรัตน์ เป็นกรรมการ นางสายสนุ ีย์ สมยศ เป็นกรรมการ และเหรัญญิก นายสมเกียรติ มีธรรม เป็นกรรมการและเลขานกุ าร โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ 3 ข้อ ดงั นี ้ 1. สง่ เสริมสนบั สนนุ การอนรุ ักษ์ การปอ้ งกนั และการฟื น้ ฟู ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม 2. สง่ เสริมสนบั สนนุ การศกึ ษา ศาสนา ศลิ ปวฒั นธรรม กีฬา สาธารณสขุ การสงั คมสงเคราะห์ และ สาธารณภยั

90 3. สง่ เสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไมใ่ ห้การ สนบั สนนุ ด้านการเงินหรือทรัพย์สินแก่นกั การเมืองหรือพรรคการเมืองใด สาหรับกล่มุ ฮกั เมืองแจ่มจะเป็นกล่มุ ที่มีความแตกตา่ งทงั้ ในเชิงประเด็นและบุคคลที่เข้าร่วมการ ผลกั ดนั ดงั จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบส่วนใหญ่ของกล่มุ จะเป็นข้าราชการเกษียณจากหลายหน่วยงาน ชน ชนั้ กลางท่ีมีการศึกษา นกั พฒั นาขององค์กรพฒั นาเอกชน เป็นต้น นับเป็นกล่มุ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความ คาดหวงั ท่ีมีต่อความเปล่ียนแปลงในด้านที่แตกต่างไปจากการสร้างเครือข่ายของเกษตรกรซึ่งม่งุ เน้นการ แก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกบั พืชผลทางด้านเกษตรเป็นหลกั ตวั อย่างของคนในกลุ่มนีท้ ่ีเข้าไปมีบทบาทในกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมท่ีสาคัญคือ นายอุทิศ สมบตั ิ ข้าราชการครู โดยมีบทบาทสาคญั ในการเคล่ือนไหวเป็นแกนนาในการคดั ค้านแต่ละครัง้ เป็นคน ประสานงานกับองค์กรพัฒนาเอกชนท่ีเข้ามาสนับสนุนการคัดค้านในพืน้ ที่ เป็นคนเผยแพร่ความรู้ ผลกระทบจากการดาเนนิ การโครงการของรัฐ เป็นคนจดั ประชมุ ระดมคนที่ได้รับผลกระทบ และเป็นตวั แทน ในการประชุมต่อรองกับหน่วยงานภาครัฐ นอกจากนีย้ ังได้รับตาแหน่งให้เป็นประธานกล่มุ ฮกั เมืองแจ่ม ประธานเครือขา่ ยลมุ่ นา้ แจม่ กรรมการมลู นิธิฮกั เมืองแจม่ นอกจากการทางานด้านการเคลื่อนไหวทางสังคมแล้วคนในกลุ่มนีย้ ังเข้าไปมีบทบาทในการ ศึกษาวิจยั ในชุดโครงการ การมีส่วนร่วมในการศกึ ษาประวัติศาสตร์แม่แจ่ม 100 ปี โดยนายอทุ ิศ สมบตั ิ หวั หน้าโครงการประวตั ิศาสตร์การจดั การองค์กรชุมชนรูปแบบใหม่ นางฝอยทอง สมบตั ิ อดีตข้าราชการ กรมสรรพากร หวั หน้าโครงการประวตั ิศาสตร์ผ้าซ่ินตีนจกและผ้าทอของแมแ่ จม่ หวั หน้าโครงการการศกึ ษา แนวทางการบริหารจดั การพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้วิถีชีวิตเมืองแจ๋มเพ่ือฟื น้ ฟูภูมิปัญญา โดยการมีส่วนร่วม ของชมุ ชนอาเภอแมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม่ และภายหลงั ได้เป็นคนท่ีนาผ้าซ่นิ ตีนจกแมแ่ จ่มไปขนึ ้ ทะเบียนใน ฐานะสิ่งบง่ ชีท้ างภูมิศาสตร์ นอกจากนีไ้ ด้เป็นกรรมการก่ิงกาชาดอาเภอแม่แจ่ม กรรมการปรึกษาสหกรณ์ สตรีทอผ้าตีนจกแม่แจม่ และเป็นกรรมการมลู นิธิฮกั เมืองแจม่ ด้วย นอกจากนีย้ งั ได้ก่อตงั้ เฮือนสืบสานผญา เมืองแจม่ เพื่อรวบรวมผ้าซิ่นตีนจกลายเกา่ แก่มาจดั แสดง อาจกล่าวได้ว่ากลุ่มฮักเมืองแจ่มเป็นการสร้ างเครือข่ายของกลุ่มชาวบ้านในรูปแบบหนึ่ง ทัง้ นี ้ นอกจากความแตกต่างในด้านของบุคคลท่ีเข้าร่วมกับกลุ่มแล้ว ลกั ษณะเด่นของกลุ่มฮักเมืองแจ่มก็ คือ ความสามารถในการสร้างความสมั พนั ธ์กับองค์กรและเครือข่ายภายนอก รวมถึงการดึงเอางบประมาณ และทรัพยากรตา่ งๆ เข้ามาสนบั สนนุ การทางานในกล่มุ ของตน อย่างไรก็ตาม กลมุ่ ดงั กล่าวนีก้ ็ประสบกบั ข้อจากดั ในการสร้างเครือขา่ ยในระดบั ชมุ ชนให้กว้างขวางออกไปอนั เป็นปัญหาสาคญั ที่ทาให้กลมุ่ ฮกั เมือง แจม่ ไมส่ ามารถสร้างความร่วมมือกบั ชาวบ้านในพืน้ ท่ีได้อยา่ งตอ่ เน่ือง

91 4.2 การจัดตัง้ องค์กร นอกเหนือจากการเครือขา่ ยในระหว่างชาวบ้านด้วยกนั เองแล้ว ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการ ขยายตวั ของอานาจรัฐที่เพ่ิมมากขึน้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซ่ึงมีอานาจหน้าท่ี รวมถึงทรัพยากรก็ได้ดงึ เอาชมุ ชนเข้าไปสมั พนั ธ์กบั รัฐมากขนึ ้ โดยได้สร้างองค์กรท่ีต้องสมั พนั ธ์กบั ชาวบ้าน อยา่ งใกล้ชดิ เชน่ กลมุ่ แมบ่ ้าน กลมุ่ วิสาหกิจชมุ ชน กลมุ่ กองทนุ หมบู่ ้าน เป็นต้น จากข้อมูลพืน้ ฐานขององค์การบริหารส่วนตาบลช่างเค่ิงใน พ.ศ. 2556 พบว่ามีกลุ่มที่จดั ตงั้ ใน ตาบลชา่ งเคง่ิ ดงั นี ้  กลมุ่ ทานา 15 กลมุ่ จานวน 4,200 คน  กลมุ่ ผ้ใู ช้นา้ 15 กลมุ่ จานวน 1,560 คน  กลมุ่ แมบ่ ้านเกษตรกร จานวน 2,000 คน  กลมุ่ ออมทรัพย์เพื่อการผลติ 15 กลมุ่ จานวน 1,300 คน  กลมุ่ อาสาสมคั รสาธารณสขุ มลู ฐาน หรือ อสม. 15 หมบู่ ้าน จานวน 142 คน นอกจากนี ้จากข้อมูลของสานกั งานเกษตรอาเภอแม่แจ่ม พบว่าในตาบลช่างเคิ่งมีกล่มุ วิสาหกิจ ชุมชนที่มีการขึน้ ทะเบียนทงั้ หมด 60 กล่มุ ในหลายประเภท เช่น ประเภทการเลีย้ งสตั ว์ มีกล่มุ เลีย้ งสุกร กลุ่มเลีย้ งโคเนือ้ กลุ่มเลีย้ งวัว ประเภทการเกษตร มีกลุ่มผู้ปลูกกาแฟ กลุ่มเกษตรอินทรีย์ กลุ่มเกษตร พอเพียง กล่มุ ผ้ปู ลกู ข้าวโพดเลีย้ งสตั ว์ กล่มุ ผ้ปู ลกู ยางพารา กล่มุ ผลิตพืชผกั และพืชไร่ ประเภทการแปรรูป มีกลมุ่ แปรรูปผลิตภณั ฑ์จากถวั่ เหลือง กล่มุ ผลิตภณั ฑ์การแปรรูปการเกษตร กล่มุ ทานา้ พริก ประเภทงาน ฝีมือ มีกลมุ่ หตั ถกรรมทอผ้าฝา้ ยเปลือกไม้ กลมุ่ ดอกไม้ประดษิ ฐ์ กลมุ่ ทอผ้า กลมุ่ จกั สาน กลมุ่ เฟอร์นเิ จอร์ จากข้อมูลของกรมส่งเสริมสหกรณ์ พบว่าสหกรณ์ท่ีคนในตาบลช่างเคิ่งไปเป็นสมาชิกอยู่เป็น จานวนมากมี 5 แหง่ แบง่ เป็น 3 ประเภทดงั นี ้  สหกรณ์เกษตร 3 แห่ง คือ สหกรณ์การเกษตรแม่แจ่ม จากัด สหกรณ์ผู้ปลูกหอมแดงแม่ แจม่ จากดั สหกรณ์กองทนุ สงเคราะห์การทาสวนยางแมแ่ จม่ จากดั  สหกรณ์นิคม 1 แหง่ คือ สหกรณ์นคิ มแมแ่ จม่ จากดั  สหกรณ์บริการ 1 แหง่ คอื สหกรณ์สตรีทอผ้าตนี จกแมแ่ จม่ จากดั สาหรับ สหกรณ์การเกษตรแม่แจม่ จากดั โดยการบริหารงานของนายวิจิตร กลู เรือน ประธานกรรม การดาเนินการหลายสมยั รวมระยะเวลาการบริหารงานกวา่ 20 ปี อดีตสมาชิกสภาจงั หวดั เชียงใหม่ อดีต สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ อดีตนายกเทศมนตรีตาบลแม่แจ่ม ปัจจุบันเป็ นรอง นายกเทศมนตรีตาบลแม่แจ่ม ถือได้ว่าเป็นนกั การเมืองคนสาคญั ของตาบลช่างเค่ิง มีประสบการณ์ทาง การเมืองมากมาย ในขณะที่เป็นสมาชิกสภาจงั หวดั เชียงใหม่ได้เข้ามาเป็นประธานกรรมการดาเนินการ สหกรณ์ฯ ในช่วงทศวรรษ 2530 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่สหกรณ์ฯ ประสบปัญหาขาดความสภาพคล่อง

92 สมาชิกท่ีก้ยู ืมเงินไปไมส่ ามารถมาชาระหนีส้ ินได้โดยสะสมเป็นเวลาหลายปี ในสมยั นนั้ นายวิจิตรบอกว่า ผลการดาเนินงานของสหกรณ์ฯ อยใู่ นอนั ดบั ท้ายสดุ ของจงั หวดั เชียงใหม่ ซ่งึ นายวิจิตรเห็นวา่ การสนบั สนนุ ให้สมาชิกปลกู ถว่ั เหลืองตอ่ ไป จะทาให้สมาชิกไม่สามารถชาระหนีส้ ินได้ จงึ สง่ เสริมให้สมาชิกหนั มาปลกู ข้าวโพดเลีย้ งสตั ว์ส่งให้กับเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือ “ซีพี” ในระยะเริ่มต้นมีการเพาะปลูกประมาณ 40 ไร่ แตป่ ัจจบุ นั ได้ขยายตวั เป็นจานวนกว่าแสนไร่ในพืน้ ท่ีนี ้และไมเ่ ฉพาะสมาชิกสหกรณ์ฯ เท่านนั้ บคุ คลที่ไมใ่ ช่ สมาชิกก็ปลกู กนั มาก ซง่ึ ทางสหกรณ์ฯ ก็มีหน้าที่รับซือ้ ผลผลิตด้วย แม้ว่าสหกรณ์ฯ จะสามารถแก้ปัญหาการชาระหนีส้ ินของสมาชิกได้ด้วยการส่งเสริมให้ปลูก ข้าวโพดเลีย้ งสตั ว์แทนถวั่ เหลือง แต่ปัญหาท่ีสาคญั ของสมาชิกหรือเกษตรกรผ้ปู ลกู ข้าวโพดเลีย้ งสตั ว์คือ ราคาเมล็ดพนั ธ์ุข้าวโพดเลีย้ งสตั ว์ที่เพ่ิมสงู ขนึ ้ ซ่ึงทาให้ต้นทนุ การผลิตของเกษตรกรเพ่ิมมากขนึ ้ ตดิ ตาม ซ่ึง ในเบือ้ งต้นสหกรณ์ฯ มีการแก้ไขโดยรับซือ้ เมล็ดพนั ธ์ุเถ่ือนจากผู้ปลกู เมล็ดพนั ธ์ุข้าวโพดเลีย้ งสตั ว์ท่ีรับจ้าง บริษัทเครือเจริญโภคพนั ธ์ุ เพ่ือนามาขายให้ลกู สมาชิกในราคาถกู แตป่ รากฏวา่ กานนั ตาบลแมน่ าจรโดนจบั จากกรณีดงั กลา่ ว วิจติ รจงึ มองเหน็ วา่ หากดาเนนิ การแก้ไขปัญหาแบบนนั้ ตอ่ ไป จะสร้างผลกระทบให้กบั ลกู สมาชิกกว่า 3,600 คน หรือเป็นจานวน 3,600 ครอบครัว จึงมีความคิดจะทาเมล็ดพนั ธ์ุเอง โดยสอบถาม จากเจ้าหน้าท่ีในสหกรณ์ฯ ซึ่งจบจากมหาวิทยาลยั แมโ่ จ้ก็ได้แนะนาให้ไปตดิ ตอ่ ที่มหาวิทยาลยั แม่โจ้ และ ได้รับคาแนะนาตอ่ ไปท่ีศนู ย์วจิ ยั พืชไร่ นครสวรรค์ ภายหลงั จึงดาเนินการทาโครงการลดต้นทนุ เพ่ิมรายได้ให้เกษตรกรส่งหนงั สือผ่านนายอาเภอ ส่ง ตอ่ ให้สหกรณ์จงั หวดั รับรองสง่ ถึงศนู ย์วจิ ยั พืชไร่นครสวรรณ์ จงึ ได้รับเมล็ดพอ่ พนั ธ์ุ 6 กิโลกรัม เมล็ดแมพ่ นั ธ์ 18 กิโลกรัม และดาเนนิ การขยายพนั ธ์ุให้ได้จานวนมาก และได้รับการขนึ ้ ทะเบียนเมล็ดพนั ธ์ุกบั ทางราชการ สามารถสง่ ขายได้ ปัจจบุ นั พงึ่ ได้รับทนุ จากกรมสง่ เสริมสหกรณ์จานวน 6 ล้านบาท มาทาเมลด็ พนั ธ์ุข้าวโพด เลีย้ งสตั ว์สง่ ขายให้กบั เครือขา่ ยสหกรณ์การเกษตรหลายแหง่

93 เอกสารอ้างอิง กิตติชัย แก้วประเสริฐและคณะ. (2549) รายงานวิจัยเพ่ือท้องถ่ินฉบับสมบูรณ์ ประวัติศาสตร์ ทาง การเกษตรโหล่งปง สานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) ประเสริฐ ปันศิริ และคณะ, (2549). รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ ประวัติศาสตร์ “ของหน้ าหมู่ แจ่มเหนือ” สานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) ฝอยทอง สมวถา และคณะ, (2549). รายงานวิจัยเพ่ือท้ องถ่ินฉบับสมบูรณ์ โครงการ ประวัตศิ าสตร์ผ้าตีนจก – ผ้าทอแม่แจ่ม. สานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.). มานพ วิบุลย์มา และคณะ, (2532). โครงการพัฒนาหมู่บ้านภายใต้ความช่วยเหลือสนับสนุน จากโครงการพัฒนาลุ่มนา้ แม่แจ่ม, สานกั งานเกษตรภาคเหนือ สานกั งาน ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31. (2556). เอกสารแนะนาโรงเรียน. เอกสารอดั สาเนา. วิทยา อาภรณ์, (2541). ประวัตขิ องชุมชนในบริเวณลุ่มนา้ แม่หลุ อาเภอแม่แจ่ม จังหวัดเ ชี ย ง ใ ห ม่ วิทยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ สาชาวชิ าประวตั ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ สันติพงษ์ ช้างเผือก และคณะ. (2546). รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการ “ของหน้ าหมู่”: ประวัติศาสตร์ ตัวตนของชุมชนกลางหุบเขาแม่แจ่ม สานกั งานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สินธ์ุ สโรบล, (2527). “ผลกระทบทางเศรษฐกิจสังคมของการพัฒนาท่ีดินและแหล่ งนา้ ใน บริเวณโครงการพัฒนาลุ่มนา้ แม่แจ่ม : การศึกษาเฉพาะกรณีตาบลช่างเค่ิง อาเภอ เมืองแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่” วิทยานพิ นธ์สงั คมศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาส่ิงแวดล้อม บณั ฑิต วิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหิดล. สรุ พล นิศากรเกรียงเดช และนายณรงค์ เจษฎาพนั ธ์, (2532). โครงการพัฒนาลุ่มนา้ แม่แจ่ม การเร่งรัด เพ่ิมผลผลิตพืชไร่ -พืชสวน 2525-2530. สานกั งานเกษตรภาคเหนือ สานกั งานปลดั กระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. สรุ พล นิศากรเกรียงเดช และนายณรงค์ เจษฎาพนั ธ์, (2532). รายงานผลการดาเนินงานเร่งรัดการเพ่มิ ผลผลิตข้าว โครงการพัฒนาลุ่มนา้ แม่แจ่ม. สานกั งานเกษตรภาคเหนือ สานกั งาน ปลดั กระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.

94 แหลง่ ท่ีมา:http://www.newspnn.com/V2008/detail.php?code=r1_28042008_01(1 มีนาคม 2557) อนุ เนินหาด. (2555). อดีตแม่แจ่ม. (เชียงใหม;่ นพบรุ ีการพิมพ์). อนุภาพ นุ่นสง. (2551). “ข้ าวโพดซีพีรุกป่ า จับตาวิกฤตความม่ันคงทางอาหาร”. [ระบบออน ไลน์]. อรรถจักร สัตยานุรักษ์. (2553). ระหว่างประวัติศาสตร์ กับความทรงจา : ประวัติศาสตร์ ชุมชน ท้องถ่ินภาคเหนือ ในโครงการยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคเหนือ สานักงานกองทุน สนบั สนนุ การวิจยั (สกว.) อุทิศ สมบัติ และคณะ, (2549). รายงานวิจัยเพ่ือท้องถ่ินฉบับสมบูรณ์ โครงการการจัดการ องค์กรชุมชนรูปแบบใหม่ สานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.). อุไร ประสงค์ดี และคณะ.(2549). รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสตร์ เมืองแจ๋มหน่ึงร้อยปี สานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั (สกว.) สัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ นางดี บญุ รัง. อายุ 80. เลขที่ 8 บ้านแม่ปาน หมู่ 10 ต. ช่างเคง่ิ อ.แม่แจม่ จงั หวดั เชียงใหม.่ 3 มี.ค. 2557 นางเปี๊ย บญุ รัง. อายุ 92 ปี. เลขท่ี 2 บ้านแมป่ าน หมู่ 10 ต. ชา่ งเค่ิง อ.แมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม.่ 19 ม.ค. 2557. นางผนั ปะโย. อายุ 93 ปี. เลขที่ 30 บ้านแม่ปาน หมู่ 10 ต. ชา่ งเคงิ่ อ.แมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม.่ 22 พ.ย. 2556 นางฝอยทอง สมวถา, โรงเรียนเมืองเดก็ วิทยา หมทู่ ี่ 12 ต. ชา่ งเคงิ่ อ.แมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม.่ นางรัตนา แกน,ุ สมาชกิ สภาองค์การบริหารสว่ นตาบลชา่ งเคง่ิ , 4 มีนาคม 2558. นางรัตนา ปัญญารัตนกลุ , สมาชิกสภาองค์การบริหารสว่ นตาบลชา่ งเคง่ิ , 4 มีนาคม 2558. นายก๋องจนั ทร์ ถาวร. อายุ 75 ปี.เลขท่ี 58 บ้านแมป่ าน หมู่ 10 ต. ชา่ งเคง่ิ อ.แมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม.่ 19 ม.ค. 2557. นายคาปัน กรรณิกา, สมาชิกสภาองค์การบริหารสว่ นตาบลชา่ งเคงิ่ , 18 มกราคม 2558. นายดวงดี กลุ เมง็ ,อดตี นายกองคก์ ารบริหารสว่ นตาบลแม่แจม่ , 19 กมุ ภาพนั ธ์ 2558.

95 นายตา๋ บญุ รัง. อายุ 82 ปี. เลขที่ 8 บ้านแมป่ าน หมู่ 10 ต. ชา่ งเคง่ิ อ.แมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม.่ 9 พ.ย. 2556, 3 มี.ค. 2557. นายถนอม ไชยบตุ ร, สมาชิกสภาองคก์ ารบริหารสว่ นตาบลชา่ งเคง่ิ , 18 มกราคม 2558. นายบญุ มา ฟองตา. อายุ 49. เลขท่ี 8 บ้านแมป่ าน หมู่ 10 ต. ชา่ งเคงิ่ อ.แมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม.่ 9 พ.ย. 2556 นายประทีป หมอกใหม่. อายุ 58. เลขท่ี 31/1 บ้านแมป่ าน หมู่ 10 ต. ช่างเคงิ่ อ.แมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม.่ 19 ม.ค. 2557. นายประพนั ธ์ นะที, สมาชิกสภาองคก์ ารบริหารสว่ นตาบลชา่ งเคง่ิ , 19 มกราคม 2558. นายประสงค์ สมยศ, ผ้ใู หญ่บ้านชา่ งเคง่ิ บน หมทู่ ่ี 12 ต. ชา่ งเคงิ่ อ.แมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม.่ นายพมิ ล อาจใจ, รองนายกเทศมนตรีตาบลแมแ่ จม่ , 12 มกราคม 2558. นายวจิ ิตร กลู เรือน, รองนายกเทศมนตรีตาบลแมแ่ จม่ , 13 มกราคม 2558. นายสมเกียรติ มีธรรม, โรงเรียนเมืองเดก็ วทิ ยา หมทู่ ่ี 12 ต. ชา่ งเคง่ิ อ.แมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม.่ นายสวุ ทิ ย์ แก้วบตุ ร, อดีตนายกองค์การบริหารสว่ นตาบลแมแ่ จม่ , 20 กมุ ภาพนั ธ์ 2558 นายแสงชยั ประภาสนั ต์, เลขานกุ ารนายกองค์การบริหารสว่ นตาบลชา่ งเคง่ิ , สานกั งานองค์การบริหารส่วน ตาบลชา่ งเคง่ิ ต. ชา่ งเคง่ิ อ.แมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม.่ นายอทุ ยั บญุ รัง,รองนายกองค์การบริหารสว่ นตาบลชา่ งเคงิ่ , 4 มีนาคม 2558. นายเอกราช ร่มโพธ์ิ, ผ้ใู หญ่บ้านสนั หนอง หมทู่ ี่ 3 ต. ชา่ งเคงิ่ อ.แมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม.่

บทท่ี 3 การเปล่ ียนแปลงและกระบวนการสร้ างประชาธิปไตย : กรณีศกึ ษาตาบลสันทราย อาเภอแม่จนั จงั หวดั เชียงราย ในการศึกษาการเปล่ียนแปลงและกระบวนการสร้างประชาธิปไตยกรณีตาบลสนั ทราย อาเภอแม่ จนั จงั หวดั เชียงราย จะแบง่ ประเดน็ การนาเสนอผลงานวิจยั เป็น 4 ประเดน็ ดงั นี ้ 1. บริบททว่ั ไป 2. ความเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจและการปรับตวั ของกลมุ่ คน 3. พลวตั และอานาจของการเมืองท้องถิ่น 4. การจดั องค์กรและการสร้างเครือขา่ ยทางสงั คม 1. บริบทท่วั ไป ตาบลสันทราย ตงั้ อยู่ทางทิศเหนือของที่ว่าการอาเภอแม่จัน เป็นตาบลหนึ่งใน 11 ตาบล ของ อาเภอแมจ่ นั จงั หวดั เชียงราย (ถนนสายอาเภอแมจ่ นั – อาเภอเชียงแสน) ตาบลสนั ทราย มีเนือ้ ท่ีประมาณ 33.88 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 21,126 ไร่ มีอาณาเขต ดงั นี ้ ทศิ เหนือ ตดิ ตอ่ กบั ตาบลจอมสวรรค์ อาเภอแมจ่ นั จงั หวดั เชียงราย ทิศใต้ ตดิ ตอ่ กบั ตาบลป่าซาง อาเภอแมจ่ นั จงั หวดั เชียงราย ทศิ ตะวนั ออก ตดิ ตอ่ กบั ตาบลทา่ ข้าวเปลือก อาเภอแมจ่ นั จงั หวดั เชียงราย ทศิ ตะวนั ตก ตดิ ตอ่ กบั ตาบลแมจ่ นั อาเภอแมจ่ นั จงั หวดเชียงราย สภาพพืน้ ท่ีส่วนใหญ่เป็นที่ราบล่มุ เหมาะสมสาหรับทานา และปลกู พืชหลงั นา (ข้าวนาปรังและถ่วั เหลือง ) คิดเป็นร้อยละ 50 และเป็นภูเขา คิดเป็นร้อยละ 47 ทิศตะวนั ตกเป็นที่ดอนเหมาะสมสาหรับปลกู ไม้ผล คดิ เป็นร้อยละ 3 ของพืน้ ที่ทงั้ หมด ระบบเศรษฐกิจหลกั ของตาบลสนั ทรายคือ การทาการเกษตร สว่ นใหญ่เป็นการลกู ข้าว ทงั้ ข้าวนาปี และข้านาปรัง โดยในการผลิตปี 2555/56 มีพืน้ ที่ปลูกข้ าวนาปี ทัง้ หมด 7,325 ไร่ ผลผลิตเฉล่ีย 800

97 กิโลกรัมต่อไร่ พืน้ ท่ีปลูกข้าวนาปรัง จานวน 5,274 ไร่ ผลผลิตเฉล่ีย 900 กิโลกรัมต่อไร่ พนั ธ์ุข้าวที่ใช้ใน ปัจจบุ นั ได้แก่ พนั ธ์ุ กข.6, สพุ รรณบรุ ี, ชยั นาท, กข.15, หอมมะลิ 105 นอกจากข้าวแล้วยงั มีการปลกู พืชไร่ เช่น ข้าวโพดเลีย้ งสัตว์ แต่ไม่นิยมปลูกกนั มากนกั เพราะใน พ.ศ. 2556 มีพืน้ ท่ีเพาะปลกู เพียง 138 ไร่ ได้ ผลผลิตเฉลี่ย 800 กิโลกรัมต่อไร่ เดิมก่อนการมีนโยบายรับจานาข้าวของรัฐบาลเพื่อไทยพืน้ ที่ตาบลสนั ทรายมีการปลกู ถวั่ เหลืองซง่ึ เป็นพืชหลงั นากว่า 531 ไร่ เนื่องจากมีราคาขายเฉลี่ยตอ่ กิโลกรัมสงู ถงึ กิโลกรัม ละ 15 บาท ขณะท่ีข้าวนาปีและข้าวนาปรังมีราคาเฉล่ียอยทู่ ี่กิโลกรัมละ 9 บาทและ 9.40 บาทตามลาดบั (แผนพฒั นาเกษตร พ.ศ. 2554 – 2556 ตาบลสนั ทราย, สานกั งานเกษตรอาเภอแม่จนั จงั หวดั เชียงราย: 9 – 10) แหล่งนา้ สาคญั สาหรับการเกษตรคือแมน่ า้ จนั นอกจากนีย้ งั มี แม่นา้ แหลว ลาห้วยดกุ ลาห้วยดิน ดา ลาห้วยป่ าพญาไพร ลาห้วยขวั และลาห้วยแมห่ ะ หนองบวั และหนองฮ้าว ซึ่งชมุ ชนใช้ประโยชน์เพื่อการ ประมงพืน้ บ้าน และมีการสร้างฝายทดนา้ สาหรับการเกษตรในตาบลทงั้ หมด 4 ฝาย ได้แก่ 1) ฝายห้วยปู พืน้ ท่ีรับนา้ เพื่อการเกษตร คือ หมทู่ ี่ 6, 7 มีพืน้ ท่ีทาการเกษตร 330 ไร่ 2) ฝายห้างต่า พืน้ ท่ีรับนา้ เพ่ือการเกษตร คือ หมทู่ ่ี 1, 2, 4, 7 มีพืน้ ท่ีทาการเกษตร 1,500 ไร่ 3) ฝายป่ายาง พืน้ ท่ีรับนา้ เพื่อการเกษตร คอื หมทู่ ี่ 8 มีพืน้ ท่ีทาการเกษตร 952 ไร่ 4) ฝายโพธนาราม พืน้ ท่ีรับนา้ เพ่ือการเกษตร คือ หมทู่ ่ี1, 2, 8 มีพืน้ ที่ทาการเกษตร 2,012 ไร่ เนื่องจากตาบลสนั ทราย มีพืน้ ที่ภเู ขากวา่ ร้อยละ 50 ในหมบู่ ้านที่มีอาณาเขตตดิ กบั ภเู ขาจงึ ได้มีการ สร้างระบบการจดั การเพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่ าไม้ในชมุ ชนโดยมีการตงั้ กฎกติการ่วมกนั และบาง หม่บู ้านได้ขนึ ้ ทะเบียนเป็นป่ าชุมชน ได้แก่หมู่ 3 บ้านดอยตอ่ หมู่ 5 บ้านดงสุวรรณ และหมู่ 9 บ้านนาล้อม เพ่ือบริหารจดั การในชมุ ชนและการสง่ เสริมสนบั สนนุ จากหนว่ ยงานท่ีเกี่ยวข้อง ส่วนมิติทางการปกครองนัน้ ตาบลสันทราย แบ่งเขตการปกครอง ตาม พ.ร.บ. ลักษณะการ ปกครองท้องถิ่น เป็น 9 หม่บู ้าน ได้แก่ หมู่ 1 บ้านสนั ทราย หมู่ 2 บ้านจอมจนั ทร์ หมู่ 3 บ้านดอยตอ่ หมู่ 4 บ้านเดน่ หมู่ 5 บ้านดงสุวรรณ หมู่ 6 บ้านแหลว หมู่ 7 บ้านดง หมู่ 8 บ้านโพธนาราม และหมู่ 9 บ้านนา ล้อม โดยมีการแบง่ เขตรับผิดชอบในการพฒั นาท้องถิ่นออกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ องค์การบริหารส่วนตาบล สนั ทราย (อบต.) จานวน 8 หม่บู ้าน และเทศบาลตาบลสนั ทราย จานวน 5 หม่บู ้าน โดยมีหมู่ 2, 7 และ 8 ที่ อยใู่ นเขตรับผิดชอบของทงั้ อบต. สนั ทรายและเทศบาลสนั ทราย

98 ตาราง 1: ประชากรในตาบลสนั ทราย* หมู่บ้าน จานวนครัวเรือน จานวนประชากร รวม (ครัวเรือน) ชาย (คน) หญิง (คน) (คน) หมทู่ ี่ 1 บ้านสนั ทราย 249 583 หมทู่ ่ี 2 บ้านจอมจนั ทร์ 279 279 304 686 หมทู่ ่ี 3 บ้านดอยตอ่ 131 328 358 368 หมทู่ ี่ 4 บ้านเดน่ 293 185 183 569 หมทู่ ่ี 5 บ้านดงสวุ รรณ 166 263 306 479 หมทู่ ่ี 6 บ้านแหลว 201 243 236 546 หมทู่ ี่ 7 บ้านดง 219 267 279 552 หมทู่ ่ี 8 บ้านโพธนาราม 252 269 283 713 หมทู่ ่ี 9 บ้านนาล้อม 135 336 377 435 1,923 215 220 4,931 รวม 2,385 2,546 ทีม่ า: ดดั แปลงจากแผนพฒั นาสามปี (พ.ศ. 2558-2560) องค์การบริหารสว่ นตาบลสนั ทราย อาเภอแมจ่ นั จงั หวดั เชียงราย และแผนพฒั นาสามปี (พ.ศ. 2558-2560) เทศบาลตาบลสนั ทราย อาเภอแมจ่ นั จงั หวดั เชียงราย หมายเหต:ุ * ข้อมลู จากสานกั งานทะเบียนอาเภอแม่จนั โดยข้อมลู จากองค์การบริหารส่วนตาบลสนั ทรายเป็นข้อมูล ณ เดอื น ตลุ าคม 2556 และข้อมลู จากเทศบาลตาบลสนั ทราย ณ เดอื น มกราคม 2557

99 ภาพ 1 แสดงลักษณะทางกายภาพของแต่ละหม่บู ้านของตาบลสนั ทราย 2. ความเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกจิ และการปรับตวั ของกลุ่มคน 2.1 ยุคตงั้ ถ่นิ ฐานและเศรษฐกิจแบบหาอย่หู ากิน (พ.ศ. 2455 – พ.ศ. 2500) ชมุ ชนสนั ทรายเกิดขนึ ้ จากการอพยพของผ้คู นจากจงั หวดั เชียงใหม่ ลาพนู และลาปาง เข้ามาในชว่ ง พ.ศ. 2455 สาเหตขุ องการอพยพคือความแห้งแล้งและความยากลาบากในการดารงชีวิตในถ่ินฐานบ้าน เกิดเดมิ โดยในชว่ งแรกการตงั้ ถ่ินฐานกระจกุ ตวั อย่บู ริเวณบ้านสนั ทราย (หม่ทู ี่ 1 ในปัจจบุ นั ) ซงึ่ เป็นที่ราบ ล่มุ ติดกับแม่นา้ จนั เนื่องจากพืน้ ที่ส่วนใหญ่เป็นพืน้ ที่ป่ า การบกุ เบกิ ที่ดินจึงอาศยั แรงงานในครัวเรือนเป็น หลกั โดยทว่ั ไปแล้วพบว่าคนท่ีอพยพในช่วงนีส้ ามารถบกุ เบิกที่ดนิ ทากินเฉลี่ยครัวเรือนละ 30 ไร่ อย่างไรก็ ตาม กลุ่มตระกูลหลักที่สาคญั เช่น ตระกูลพรหมณี เป็นกลุ่มตระกูลที่มีที่ดินถือครองจานวนมากท่ีสุด ภายหลงั เมื่อมีประชากรเพ่มิ ขนึ ้ จึงมีการขยายและแยกชมุ ชนออกไปจดั ตงั้ เป็นหมบู่ ้าน โดยกลมุ่ ตระกลู หลกั อย่างตระกลู พรหมณี ก็แยกตวั ออกไปอย่ใู นชุมชนต่างๆ เช่นชุมชนบ้านจอมจนั ทร์ (หม่2ู ) ชุมชนบ้านเด่น (หม4ู่ ) นอกเหนือจากการแยกตวั ของตระกูลพรหมณี ไปตงั้ ถ่ินฐานในหมอู่ ่ืนแล้ว ก็ยงั มีการกระจายตวั ไป ตงั้ ถ่ินฐานยังพืน้ ท่ีต่างๆ ในชุมชนสันทรายของกลุ่มอื่นๆ (ต่อมาภายหลังได้ยกระดับการปกครองเป็น หม่บู ้าน) ทาให้แตล่ ะพืน้ ท่ีจะมีกล่มุ ตระกลู หลกั ซ่ึงเป็นกลมุ่ แรกที่เข้ามาบกุ เบกิ ท่ีดนิ และตงั้ ถิ่นฐานไม่วา่ จะ

100 เป็นตระกลู ทรายหมอ ตระกลู คาหล้าทราย เป็นต้น โดยเฉล่ียคนกลมุ่ นีส้ ามารถบุกเบกิ ท่ีดนิ ได้เกิน 30 ไร่ ซึ่ง ถือวา่ เป็นจานวนมากในขณะนนั้ สาหรับการคมนาคมในช่วงแรกเป็นไปอย่างยากลาบาก โดยถนนหนทางภายในหมบู่ ้านเองก็ต้อง ปรับจากพืน้ ที่ป่ า มีเรื่องเล่าวา่ การสร้างถนนในชุมชนโพธนารามต้องอาศยั มอง (ครก) ขนาดใหญ่แล้วเอา เชือกมดั ให้ช้างลากให้เป็นทางเดิน (สมบูรณ์ คาหล้าทราย, 2557) ขณะท่ีการเดินทางสาหรับติดต่อกับ ชมุ ชนภายนอกใช้ถนนเส้นหลกั คอื ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงหมายเลข 1) ทางไปอาเภอแม่สาย โดยอาศยั การเดนิ เท้าหรือล้อลากเทียมววั หรือควาย ตอ่ มาใน พ.ศ. 2476 มีการขดุ ถนนสายแม่จนั – เชียงแสน (ทาง หลวงหมายเลข 1016) ท่ีช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางไปยงั ตวั อาเภอแม่จนั หรือตวั อาเภอเมืองเชียงราย ทวา่ ถนนยงั คงเป็นดินลูกรังและชาวบ้านก็ยงั ใช้การเดินเท้าหรือล้อมลากเทียมววั หรือควายในการเดินทาง อยู “...อยุ้ อายุ 17 ยงั ไดไ้ ปเอาไมเ้ ฮีย้ ทีบ่ า้ นแม่ข้าวตม้ ท่าสดุ โน่น เอาลอ้ ไป ตืน่ สีโ่ มงก็ไป ไปถึงทีโ่ น่นเช้า...เอาววั เอาควายต่างล้อไป...” (นายทา แก้วนาต๊ิบ, 2556) วดั ถือเป็นศนู ย์กลางรวมจติ ใจและกิจกรรมตา่ งๆ ของชมุ ชน นอกจากนีว้ ดั ยงั เป็นโรงเรียนสาหรับให้ ลกู หลานของคนในชมุ ชนได้มีโอกาสเรียนหนงั สือ โดยอาศยั ศาลาวดั สนั ทรายเป็นโรงเรียนชวั่ คราว เปิดสอน ตงั้ แต่ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 1 – 4 มีครูจากอาเภอแม่จนั และจงั หวดั เชียงใหม่มาสอน ต่อมาใน พ.ศ. 2484 จงึ ได้สร้างโรงเรียนขนึ ้ ในบริเวณวดั “...ก่อนสงครามจะจบไม่นานก็มีโรงเรียนปี 84 ที่หลงั วดั โรงเรียนก็ไม่ค่อยดีนะ ทาเสา หล่อแลว้ เอาสานแตะ มนั ยงั ไม่มีไมเ้ ลื่อย...” (นายทา แก้วนาตบิ๊ , 2556) สภาพเศรษฐกิจในชว่ งแรกนีย้ งั เป็นเศรษฐกิจแบบยงั ชีพ ข้าวถือเป็นพืชหลกั สาคญั ในการผลิตของ ชมุ ชนในยคุ นีท้ กุ ครัวเรือนตา่ งปลกู ข้าวไว้กิน ซงึ่ ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวเหนียวพนั ธ์ุท้องถ่ิน เช่น ข้าวแก้ว ข้าว เทวดา ข้าวกอลอ่ ท่ีให้ผลผลิตเฉลี่ย 60 ถงั ต่อไร่ โดยจะปลูกข้าวในฤดฝู น เริ่มหว่านกล้าในเดือนมิถนุ ายน ปลกู ในเดือนสิงหาคม และเริ่มเก็บเก่ียวในเดือนพฤศจิกายนไปถงึ ต้นเดือนธนั วาคม การทานาในยคุ นีเ้ครื่องท่นุ แรงเพียงอย่างเดียวท่ีชว่ ยในการทานาคือการใช้ควายในการลากคราด เพื่อไถนา นอกจากนนั้ ก็จะใช้แรงงานในครัวเรือนเป็นหลกั ตงั้ แตก่ ารปลกู การเก็บเกี่ยว ไปถึงการฟาดข้าว ดงั นนั้ กลมุ่ เครือญาติจงึ มีความสาคญั มากในฐานะท่ีเป็นกาลงั แรงงานสาคญั โดยเป็นการชว่ ยแลกเปล่ียน แรงงานท่ีเรียกวา่ การเอามือ้ เอาวนั

101 “...บางคร้ังก็ช่วยกนั เอา สามพีน่ อ้ งช่วยกนั ปลกุ เป็นเจ้าๆ เพราะนามนั ไม่เยอะ สกั 10 กว่า (ไร่) ปลกู เป็นเจ้าๆ เจ้านีเ้ สร็จ ก็ไปเจ้านี้ เอามือ้ กนั ...” (ทา แก้วนาตบิ๊ , 2556) อยา่ งไรก็ตาม แม้ชาวบ้านจะเน้นการเพาะปลกู เพ่ือบริโภคเป็นหลกั แตช่ าวบ้านก็มีการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เพ่ือให้ได้เงินมาใช้จ่ายซือ้ ของที่ตนไม่สามารถผลิตได้ โดยทั่วไปจะมีตลาดประจาตาบลซึ่งเป็นที่ แลกเปลี่ยนสนิ ค้าระหวา่ งชมุ ชนตา่ งๆ ชาวบ้านจะพืชผกั ท่ีปลกู ไว้หลงั การปลกู ข้าวมาขาย ในตาบลสนั ทราย ตลาดอยใู่ นพืน้ ที่ของกานนั ตนั พรหมมณี นอกจากนีย้ งั มีตลาดในตวั อาเภอแมจ่ นั ท่ีชาวบ้านมกั นาข้าวหรือ ทาอาหารไปขาย บางรายอาจไปขายไกลถึงตลาดในตัวจังหวัดเชียงราย ในยุคนีข้ ้าวจึงเป็ นพืชท่ีมี ความสาคญั อย่างมาก เพราะไม่เพียงเป็นหลกั ประกันความมน่ั คงในการดารงชีพเท่านนั้ แตส่ ามารถนาไป ขายเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ด้วย โดยชาวบ้านท่ีต้องการเงินสดจะนาข้าวเปลือกไปขายให้กับโรงสีขนาด ใหญ่ ท่ีเจ้าของเป็นคนจีนอย่ทู ่ีอาเภอแมจ่ นั หรืออาจนาข้าวไปตาเองหรือสีเองท่ีโรงสีขนาดเล็กในชมุ ชนของ ตนเองซึ่งเจ้าของเป็นคนท้องถ่ิน หลงั จากสีข้าวหรือตาข้าวแล้วหาบเดินไปนงั่ ขายท่ีตลาดอาเภอแมจ่ นั การ ขายข้าวในอดตี นนั้ เป็นการทยอยขาย หรือขายเม่ือมีความจาเป็นที่จะต้องใช้เงิน “...คนสมยั ก่อนเขาจะเก็บข้าวไวใ้ นคุ แล้วจะเอามาอวดกนั ว่าข้าวใครได้นกั ได้น้อย มาสกั ระยะหน่ึงถา้ มีกิจกรรมในหมู่บา้ น มีปอยหลวง มีอะไรก็เริ่มขายทีละร้อยสองร้อย คือ หมายความว่าเขาไม่ได้ขายเหมือนสมยั นี้ สมยั นีข้ ายหมดเลยคนสมยั ก่อนนี้อย่างเขาจะ มี ตานข้าวใหม่ ก็เอาขายสกั 10-20 ถงั จะขึ้นบา้ นใหม่ก็ขายสกั 10-20 ถงั ...” (สมบรู ณ์ อรินต๊ะทราย, 2557) 2.2 ตาบลสันทรายในยคุ “พัฒนา” (พ.ศ. 2501 – 2530) 2.2.1 การตัง้ ถ่นิ ฐานของผู้มาอยู่ใหม่และการถือครองท่ดี ิน ในยคุ นีย้ งั มีการอพยพเข้ามาตงั้ ถิ่นฐานในชมุ ชนสนั ทรายอย่างตอ่ เน่ือง หากพิจารณาในภาพรวม แล้วพบวา่ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขนึ ้ ทว่ั ไปในภาคเหนือตอนบนซง่ึ สภาพภูมปิ ระเทศสว่ นใหญ่เป็นหบุ เขา ที่ ราบสาหรับการตงั้ ถ่ินฐานและการปลูกข้าว (แบบนาที่ล่มุ ) จงึ มีน้อย สาหรับจงั หวดั เชียงรายอาจกล่าวได้ว่า ในช่วงทศวรรษ 2500 เป็นที่หมายของการอพยพมาตงั้ ถ่ินฐานของผ้คู นจากที่ตา่ งๆ ซึ่งประสบปัญหาความ แห้งแล้ง ไม่สามารถทาการเพาะปลูกได้ เช่น การอพยพของคนอีสานท่ีมาตงั้ ถ่ินฐานที่บ้านป่ าเลาะ บ้าน ใหมร่ ่องหวายตาบลดงมหาวนั อาเภอเวียงเชียงรุ้ง บ้านเวียงแก้ว ตาบลเวียงเหนือ อาเภอเวียงชยั บ้านปาง ลาวและบ้านประชาร่วมมิตร ตาบลแมข่ ้าวต้ม อาเภอเมือง มี (ทิพวรรณ สวุ รรณโน, 2555 และกญั ญาณัฐ นาสมทรง, 2555)

102 ปัจจัยที่เอือ้ ต่อการอพยพของคนต่างถิ่นในช่วงนีค้ ือ การคมนาคมท่ีมีความสะดวกมากขึน้ เน่ืองจากเร่ิมมีการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติฉบบั ที่ 1 ท่ี รัฐได้พฒั นาโครงสร้างพืน้ ฐาน เพ่ือนา “ความทนั สมัย” เข้าสู่หมู่บ้านต่างๆ ในชนบท โดยได้ทุ่มงบประมาณถึง 7,500 ล้านบาท ในการ บรู ณะและก่อสร้างทางหลวงแผน่ ทางหลวงจงั หวดั เพ่ือเช่ือมโยงระหวา่ งชมุ ชนหมบู่ ้านแหล่งผลติ กบั ตลาด ในท้องท่ีจงั หวดั ตา่ งๆ (รัตนาพร เศรษฐกลุ , 2546: 149) สาหรับจงั หวดั เชียงรายมีการสร้างถนนสายสาคญั ที่เชื่อมกบั จงั หวดั เชียงรายหลายสายได้แก่ การ บรู ณะเส้นทางจากลาปางถึงแมส่ าย (รวมถึงเส้นไปเชียงแสน) ตามแผนพฒั นาภาคเหนือ พ.ศ. 2507-2509 ที่คาดวา่ จะแล้วเสร็จใน พ.ศ.2513 (แผนพฒั นาภาคเหนือ 2507-2509) เมื่อมีการสร้างทางหลวงเช่ือมกบั จงั หวัดต่างๆ ใน พ.ศ. 2507 บริษัทชยั พัฒนกิจขนส่งได้เปิดกิจการขนส่งใน พ.ศ. 2507 บริษัทฯ ได้รับ สมั ปทานเส้นทาง ลาปาง – เชียงราย เป็นเส้นทางเเรก (กรีนบสั , 2556) การก่อสร้างถนนและพฒั นาระบบ คมนาคมขนส่งทาให้การเดินทางไปยงั พืน้ ท่ีตา่ งๆ สะดวกมากขนึ ้ ดงั เช่นกรณีของคนที่อพยพเข้ามาอยใู่ น ชุมชนสนั ทราย จากจงั หวดั เชียงใหม่ ลาพูนหรือ ลาปาง ตา่ งก็ได้อาศยั ความสะดวกทางการคมนาคมใน การย้ายถิ่นฐานทงั้ สนิ ้ “ขึ้นรถไฟจากลาพูนมาถึงลาปาง นอนลาปางคืนหน่ึงแล้วก็น่ังเมล์เขียวมา เชียงราย...” (นวล นวลพนสั , 2557) เนื่องจากเป็นกล่มุ ที่อพยพมาอย่ภู ายหลงั ทาให้คนท่ีอพยพมาในชว่ งต้นทศวรรษ 2500 ส่วนใหญ่ ไม่สามารถบุกเบิกที่ดินทากินเป็นของตนเองได้ จึงต้องอาศยั ขอซือ้ หรือเช่าจากญาติ คนรู้จกั หรือเจ้าท่ีดิน ของชมุ ชนขณะนนั้ อยา่ งไรก็ดี กลมุ่ ตระกลู พรหมณียงั คงเป็นตระกลู ที่มีบทบาทสาคญั ในฐานะเจ้าของท่ีดิน ขนาดใหญ่ ท่ีคนในชมุ ชนหลายครัวเรือนตา่ งพึงพาขอเช่าท่ีดินทากินสาหรับท่ีอย่อู าศยั จะเป็นการขอซือ้ ตอ่ จากญาติ คนบ้านเดียวกัน ที่อพยพมาอยู่ก่อน หากไม่นับตระกูลพรหมณีแล้ว จะพบว่าท่ีดินได้ถูกแบ่ง ให้กบั ลกู หลาน รวมถึงการขาย ทาให้การถือครองท่ีดินเฉลี่ยตอ่ ครัวเรือนลดลง โดยสามารถจาแนกกล่มุ คน ในชมุ ชนตามขนาดการถือครองที่ดนิ ได้ดงั นี ้ กล่มุ ที่หน่ึง กล่มุ ท่ีมีท่ีดิน 10 – 30 ไร่ คนกล่มุ นีเ้ ป็นคนรุ่นลกู ของกลมุ่ ตระกลู แรกๆ ที่อพยพเข้ามา ซงึ่ ถือเป็นกลมุ่ ท่ีมีสดั สว่ นมากที่สดุ ในชมุ ชน เชน่ กลมุ่ ตระกลู คาหล้าทราย จนั ทร์เงิน ทรายหมอ กล่มุ ท่ีสอง กล่มุ ท่ีมีทีดิน 1 – 10 ไร่ กลมุ่ นีส้ ว่ นใหญ่เป็นกลมุ่ ที่อพยพมาในช่วงนี ้(ทศวรรษ 2500) ท่ีซือ้ ที่ดนิ ได้ หรือได้รับจากพอ่ แมเ่ มื่อแยกตวั ออกมาแตง่ งาน เชน่ นางนวล นวนพนสั นายอนิ ปั๋น ทองคา กล่มุ ท่ีสาม กล่มุ ไร้ที่ดนิ เป็นกลมุ่ ที่อพยพมาภายหลงั เช่นเดียวกนั แตไ่ ม่สามารถซือ้ ท่ีดนิ ได้ หรือเป็น คนรุ่นลกู ท่ีพอ่ แม่มีท่ีดินไมม่ ากนกั เมื่อต้องแบง่ ท่ีดินมรดกให้กบั ลกู ทกุ คน แล้วทาให้ที่ดินท่ีตนได้ถือครองมี

103 จานวนไม่มากนกั จงึ เกิดการขายที่ดินกนั ในหม่พู ่ีน้อง หรือที่เรียนกวา่ การ “ซุย” ท่ีดนิ เช่น นางเงิน ชมภชู ยั และนายจรัญ ปันทะทา 2.2.2 การขยายตัวของตลาดและการผลิตเชงิ พาณิชย์ 1) การขยายตัวของกลไกรัฐ ตงั้ แตท่ ศวรรษ 2500 เป็นต้นมา เปา้ หมายของรัฐคือการพฒั นาชนบทในทกุ ด้าน โดยมีเปา้ หมายที่ การเร่งรัดพฒั นาเศรษฐกิจ สาหรับสงั คมที่มีฐานเศรษฐกิจวางอยบู่ นการผลิตในภาคเกษตรเช่นในประเทศ ไทยนัน้ ได้ถูกพิจารณาว่าจาต้องมีการเร่งพัฒนา ส่งเสริม และยกระดบั คุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพ ทางการผลิตในภาคเกษตรให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ซ่ึงรัฐต้องพยายามผลกั ดนั ให้ผ้ทู ี่ทาการเกษตรใน ประเทศหนั มามงุ่ การผลิตเพื่อขายมากกวา่ การผลิตแบบพออยู่พอกิน การพฒั นาถนนหนทางเพื่อทาให้เกิด การขนสง่ ผลผลิตทางการเกษตรเป็นวิธีการหนึ่ง เช่นเดยี วกบั การพฒั นาระบบนา้ เพื่อภาคการเกษตรเพื่อให้ ชาวบ้านสามารถมีนา้ เพ่ือปลูกได้ตลอดทงั้ ปี นอกจากนีบ้ ทบาทท่ีสาคญั อีกประการหนง่ึ ที่รัฐต้องเร่งจดั หา ทนุ เพื่อผลกั ดนั ในชาวบ้านสามารถเข้าส่กู ารผลติ เพ่ือขายได้ง่ายขนึ ้ โดยจดั ตงั้ สถาบนั การเงินเพ่ือเป็นแหลง่ ทนุ ให้กบั ชาวบ้าน การพฒั นาแหลง่ นา้ เพื่อการเกษตร ใน พ.ศ. 2506 ภาคเหนือมีโครงการชลประทานหลวงทัง้ หมด 4 โครงการ ได้แก่ โครงการ ชลประทานหลวงแม่ลาว เชียงราย(สร้างเสร็จ พ.ศ.2506) โครงการชลประทานหลวงแม่แฝก เชียงใหม่ (สร้างเสร็จ พ.ศ.2479) โครงการชลประทานหลวงแม่ปิงเก่า เชียงใหม่/ลาพูน (สร้างเสร็จ พ.ศ. 2484) และ โครงการชลประทานหลวงแม่กวง เชียงใหม่ (สร้างเสร็จ พ.ศ. 2497) (แผนพฒั นาภาคเหนือ 2507-2509: 45) และในแผนพัฒนาภาคเหนือ พ.ศ. 2507 – 2509 มีโครงการชลประทานที่จะดาเนินการอีกถึง 15 โครงการ (แผนพฒั นาภาคเหนือ 2507 – 2509) ในสว่ นของบ้านตาบลสนั ทราย มีการพฒั นาแหล่งนา้ โดยการปรับปรุงจากฝายไม้มาเป็นฝายถาวร ใน พ.ศ. 2508 ซึ่งเป็นความร่วมมือกับโครงการการสร้ างงานในชนบท โดยมีพืน้ ที่รับประโยชน์จานวน 60,000 ไร่ ได้แก่บ้านโพธนาราม บ้านจอมจนั ทร์ บ้านสนั ทราย บ้านแมส่ รวย บ้านบอ่ ก้าง บ้านสนั หลวงใต้ และบ้านสนั หลวงเหนือ (อภิญญา จนั ทร์อิน, 2547: 54) การจัดตงั้ สถาบนั การเงินเพ่ือเป็นแหล่งทุน: สหกรณ์การเกษตรและธนาคารเพ่ือการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์การเกษตรนนั้ พฒั นามาจากสหกรณ์หาทุนท่ีมีการจดั ตงั้ ตามประกาศในพระราชบญั ญัติ สมาคมเพม่ิ เตมิ พ.ศ. 2459 (สานกั ทะเบียนและกฎหมาย, 2557) โดยการจดั ตงั้ สหกรณ์หาทนุ อาเภอแมจ่ นั เร่ิมดาเนินการมาตงั้ แต่ พ.ศ. 2491 และก่อตงั้ สานักงานขึน้ ใน พ.ศ. 2492 ต่อมาใน พ.ศ. 2513 ได้ควบ

104 สหกรณ์หาทุนในอาเภอแม่จนั ทงั้ 29 สหกรณ์เข้าด้วยกันและจดทะเบียนเป็ นสหกรณ์การเกษตรและเร่ิม ดาเนินงานใน พ.ศ. 2514 ส่วนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ถือเป็นแหล่งเงินกู้สาคญั ดงั พบว่าตงั้ แต่ พ.ศ. 2520 เป็นต้นมาธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจ่ายเงินกู้ (Loan disbursed) ทงั้ เงินก้รู ะยะ สัน้ ระยะปานกลางและระยะยาว ไปทัง้ หมด 42,501,900 บาท และเพ่ิมขึน้ ใน พ.ศ. 2525 เป็ น 203,984,300 บาท (สมดุ รายงานสถิตจิ งั หวดั เชียงราย, 2525: 54) ธกส. ไมเ่ พียงเป็นผ้ปู ลอ่ ยสินเชื่อเพื่อการลงทนุ ในภาคเกษตรเทา่ นนั้ แตย่ งั สง่ เสริมและสนบั สนนุ ให้ ชาวบ้านทาการเปล่ียนพนั ธ์ุข้าวที่ใช้ปลกู จากพนั ธ์ุท้องถ่ินมาเป็นข้าวพนั ธ์ุสง่ เสริม ได้แก่ ข้าวเหนียวพนั ธ์ุสนั ป่ าตอง 1 ท่ีให้ผลผลิตได้มากกวา่ ตลอดจนการส่งเสริมให้ใช้ป๋ ยุ เคมีเพ่ือเพ่ิมผลผลิตโดยเป็นลกั ษณะของ การซือ้ เงินเช่ือ “…พอดีอยุ้ มาเข้า ธกส. ปี 2520 แล้วเขาก็ว่าเอาป๋ ยุ ไปใส่ดู มนั ดี มนั งาม อ้ยุ ก็ลองเอามา 2 กระสอบ นา 13 ไร่ ปี นน้ั ได้ 970 (ถงั ) ทกุ ทีนี่ 600 เกือบไม่ได.้ ..” (ทา แก้วนาตบ๊ิ , 2556) แม้วา่ การก้เู งินนนั้ ต้องใช้ท่ีดนิ เป็นหลกั ทรัพย์ในการคา้ ประกนั แตใ่ นชว่ งแรก ธกส. เปิดโอกาสให้คน ท่ีไม่มีที่ดินสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพ่ือการเกษตรได้โดยใช้ระบบ “กู้หวน๋ั ” หรือให้คนในกล่มุ คา้ ประกัน กนั เองโดยไม่ต้องมีหลกั ทรัพย์ แตใ่ นกรณีที่ไม่มีคนคา้ ประกนั ก็สามารถใช้ที่ดนิ เป็นหลกั ทรัพย์เพ่ือคา้ ประกนั ได้ “...ทีแรกเข้าไป (เป็นสมาชิก) ธรรมดา ไม่ได้เอานาเข้าไป ทีนี้ไปกู้เงินมนั ตอ้ งมาค้ากนั กนั นะ 5 คน ทีนี้พอเราจะกูบ้ างคนก็หลบเข้าป่ า ไปทานา เขาที่ ธกส.ก็เลยบอกว่าเอาที่นามา จานองเลย ตวั ใครตวั มนั สบายดี ก็เอาไปจานอง...พอว่าเงินสนั้ ก็ทาสญั ญาเลยไม่ได้ไปให้ ใครค้า เราคืนเงินดีเขา (ธกส.) ก็ย่ิงชอบ...” (ทา แก้วนาตบิ๊ , 2556) โดยวงเงินก้จู ะมีลกั ษณะคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป คอื จะเพ่มิ ขนึ ้ ตามเครดติ ของผ้กู ู้ “...ครง้ั แรกนีเ่ ขาบอกว่าคนเขา้ ใหม่เหมือนนกั มวยทีไ่ ม่เคยขึ้นชก เพราะว่ามนั ใหม่เกิน เขา ให้ 3,000 แล้วพอเอา 3,000 ไปส่งเขาๆ ให้อีก 6,000 ข้ึนมาเหมือนเลื่อนขั้น เอา 6,000 ไปส่งก็ไดม้ าอีก 9,000 พอเอา 9,000 ไปส่งก็ได้ 12,000 ถึง 12,000 อยุ้ ก็เลิก กลวั มนั (หนี)้ เยอะ ข้าวมนั ก็ไม่ค่อยแพง...” (ทา แก้วนาตบิ๊ , 2556)

105 อาจกล่าวได้วา่ ธกส. เปิดชอ่ งให้ชาวบ้านเข้าถงึ แหล่งทนุ ได้สะดวกมากขนึ ้ โดยการรวมกลมุ่ ซ่ึงเป็น การรับประกันการกู้เงินรูปแบบหน่ึงตามหลกั ของ ธกส. ใช้ความสัมพนั ธ์แบบเครือข่ายให้สมาชิกในกลุ่ม เดียวกนั เป็นผ้คู า้ ประกนั จงึ เป็นโอกาสสาหรับคนที่ไมม่ ีที่ดนิ ในการเข้าถงึ แหลง่ ทนุ เชน่ กรณีของบ้านโพธนา รามมีกลมุ่ เกษตร (กลมุ่ จ.15) โดยมีนายเชาวลติ ลือศกั ด์ิ เป็นหวั หน้ากลมุ่ (นางพไิ ลทอง จนั ทร์เงิน, 2558) 2) การผลิตในยคุ การส่งเสริมการเกษตร ข้าวยังคงถือเป็นพืชหลักท่ีสาคญั สาหรับชาวบ้าน แม้จะมีการส่งเสริมจากภาครัฐที่ต้องการให้ ชาวบ้านเพ่ิมผลผลิต ทว่าในช่วงต้นต้นทศวรรษ 2500 การผลิตในตาบลสันทรายยังไม่แตกต่างจากก่อน หน้านีม้ ากนกั เม่ือเข้าส่ทู ศวรรษ 2510 เร่ิมมีการปลูกข้าวเหนียวสนั ป่ าตองแทนการปลูกข้าวเหนียวสาย พนั ธ์ุท้องถ่ิน และประมาณ พ.ศ. 2524 เริ่มมีการปลูกข้าวในฤดแู ล้งหรือท่ีชาวบ้านเรียกวา่ ข้าวนาดอ (หรือ ข้าวนาปรัง) โดยพนั ธ์ุข้าวท่ีใช้เป็นพนั ธ์ุสง่ เสริมท่ีได้จากกรมการข้าว เชน่ พนั ธ์ุ กข1 กข3 กข7 ซง่ึ เป็นข้าวเจ้า สาหรับข้าวนาปีเองก็ใช้พนั ธ์ุสง่ เสริมเชน่ เดียวกนั ได้แก่ ข้าวเหนียว กข.2 กข.6 และ กข.8 “...เมื่อก่อนคนไม่รู้จกั นะนาปรัง...ทาจริงๆ ก็ปี พ.ศ. 24-25 นี่แหละที่รู้จกั นาปรังกนั ใส่ ขา้ วไดส้ องครงั้ ...” (ศภุ กิจ นวนพนสั , 2557) เหตผุ ลประการหน่ึงท่ีรัฐเริ่มส่งเสริมให้มีการปลูกข้าวเจ้ามากขึน้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลผลิตข้าว เหนียวมีมากเกินความต้องการบริโภคภายในประเทศ เฉพาะภายในจังหวดั เชียงรายจากการสารวจใน พ.ศ. 2517 พบว่าชาวนาในจงั หวดั เชียงราย 144,895 ครัวเรือน มีเนือ้ ท่ีทานา 1,603,879 ไร่ ปลูกข้าว เหนียวถึงร้อยละ 92.9 (133,819 ครัวเรือน เนือ้ ที่ทานา 1,491,195 ไร่) ทาให้ได้ผลผลิตข้าวเหนียวเกินกวา่ ความต้องการบริโภค จึงต้องส่งไปขายยังจังหวัดอื่น ในภาคเหนือและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แตก่ ็ขายได้น้อยและราคาตก (แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คม จงั หวดั เชียงราย พ.ศ. 2520 – 2524: 25) การปลกู ข้าวสายพนั ธ์ุสง่ แสริมท่ีเน้นสร้างผลกาไรมากกวา่ การปลกู ไว้กินเองเชน่ นีท้ าให้มีพอ่ ค้าตา่ ง ถ่ินเข้ามารับซือ้ ข้าวในชมุ ชน ขณะเดยี วกนั ชาวบ้านเองก็นาข้าวเปลือกไปขายให้กบั โรงสีขนาดใหญ่มากขนึ ้ ขณะที่โรงสีขนาดเล็กในหม่บู ้านเป็นโรงสีสาหรับการสีข้าวที่เก็บไว้สาหรับบริโภค ด้วยเหตนุ ีโ้ รงสีขนาดเล็ก ในชมุ ชนบางแหง่ ก็ต้องปิดตวั ลง เชน่ โรงสีข้าวของตระกลู จนั ทร์เงินที่ร่วมทนุ กบั ตระกลู คาหล้าทราย นอกเหนือจากข้าวยงั มีการปลูกพืชหลงั นาอื่น ได้แก่ถัว่ เหลือง ซึ่งเป็นพืชที่ไม่ต้องใช้นา้ มาก ทงั้ นี ้ ชาวบ้านจะใช้พืน้ ท่ีปลูกถ่วั เหลืองไม่มากนกั อาจจะประมาณ 1 – 2 ไร่ เท่านนั้ ส่วนพืน้ ที่ที่เหลืออาจปลูก ข้าวนาปรังหรือไม่ก็ทิง้ ท่ีดินไว้ให้ววั หรือควายเข้ามากินหญ้า ผลผลิตถวั่ เหลืองทงั้ หมดในชมุ ชนจะถกู นาไป ขายให้กบั พ่อค้าท่ีเข้ามาเชา่ ท่ีสหกรณ์การเกษตรอาเภอแม่จนั เพ่ือเป็นจดุ รับซือ้ ถวั่ เหลือง โดยในชมุ ชนสนั

106 ทรายก็มีการปลกู ถวั่ เหลืองน้อย โดยพบว่าเม่ือทดลองปลกู ได้เพียงหนง่ึ ครัง้ ก็ต้องยอมแพ้แล้วกลบั ไปปลูก ข้าวปีละครัง้ เชน่ เดมิ เน่ืองจากผลผลิตไมไ่ ด้ตามท่ีต้องการ “...ผลผลิตมนั ไม่ได้ ขาดทนุ หนเู ยอะ” (อนิ ปั๋น ทองคา, 2558) นอกจากถวั่ เหลืองแล้วยงั มียาสบู ซง่ึ เป็นพืชเศรษฐกิจที่สาคญั ของอาเภอแมจ่ นั เน่ืองจากได้รับการ ส่งเสริมอย่างมากจากรัฐ อาจกล่าวได้ว่าในทศวรรษ 2510 ถือเป็นยุคทองของกิจการยาสูบในจังหวัด เชียงรายท่ีสร้างรายได้ให้กบั ผ้ลู งทนุ อย่างเป็นล่าเป็นสนั โดยพบว่าใน พ.ศ. 2518 มีโรงบม่ ยาสูบในจงั หวดั เชียงรายเพ่ิมขึน้ จาก พ.ศ.2517 ถึง 243 โรง (แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมจังหวดั เชียงราย 2520 – 2524: 32) สาหรับในชมุ ชนสนั ทรายพบว่า มีการปลกู ยาสูบเพ่ือส่งให้กบั โรงบม่ มีเพียงไม่กี่ราย เน่ืองจาก พืน้ ที่ส่วนใหญ่นา้ ไม่เพียงพอที่จะปลกู พืชที่ต้องการนา้ มากในฤดแู ล้ งอย่างยาสบู ได้ ซง่ึ ตา่ งกบั พืน้ ท่ีต้นนา้ อยา่ งตาบลแมค่ าที่มีนา้ เพียงพอตลอดทงั้ ปี ทาให้พืน้ ท่ีการเกษตรในตาบลแม่คาเป็นพืน้ ท่ีปลกู ยาสบู ขนาด ใหญ่ในอาเภอแม่จัน การปลูกยาสูบของชาวบ้านในชุมชนสนั ทรายส่วนใหญ่จะเป็นการปลูกไว้สาหรับ บริโภคเอง เป็นพนั ธ์ุท้องถิ่น เรียกยาชะมอน ปลกู บนพืน้ ที่เล็กๆ ท่ีมีนา้ ดี นอกเหนือจากถวั่ เหลืองและยาสบู แล้วรัฐเองยงั พยายามส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกพืชพาณิชย์อ่ืนๆ เช่น ข้าวบาร์เลย์ แตงกวา ต้นหอม (นายทา แก้วนาต๊ิบ, 2556) โดยมีเจ้าหน้าที่มาส่งเสริม มีหวั หน้าหมวด ทาหน้าท่ีไปอบรมและนาความรู้มาถา่ ยทอดแก่สมาชกิ ซงึ่ ก็ได้แก่คนในชมุ ชนของ หากพิจารณาระบบการผลิตในภาพรวมของชมุ ชนสนั ทรายในชว่ งนีจ้ ะพบวา่ เร่ิมมีการปลกู เพ่ือขาย โดยการเปล่ียนพนั ธ์ุข้าว ซึง่ มีความแตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะกล่มุ แตล่ าพงั เพียงแคก่ ารปลกู ข้าวไมไ่ ด้ก็ให้เกิด ความมง่ั คง่ั หรือการสะสมทนุ เพ่ือขยบั ฐานะของตนเอง จงึ พบว่าคนกลมุ่ ตา่ งๆ โดยเฉพาะกลมุ่ ที่มีที่ดนิ จะมี การทาการค้ารวมถึงการออกไปเป็นแรงงานรับจ้างในตวั อาเภอแม่จนั หรือท่ีอ่ืนๆ ปัจจยั ประการสาคญั ที่ทา ให้การทาการค้าของคนในชุมชนทาได้ง่ายเพราะมีการคมนาคมท่ีดี เช่นเดียวการเติบโตทางเศรษฐกิจใน ภาพรวม ตงั้ แตร่ ะดบั ประเทศจนถึงระดบั ภมู ภิ าคทาให้เกิดภาคเศรษฐกิจที่กว้างใหญ่ขนึ ้ เชน่ ในภาคบริการ รวมถึงธุรกิจกอ่ สร้าง ท่ีขยายตวั มายงั อาเภอเลก็ ๆ เชน่ อาเภอแมจ่ นั จงึ เป็นการเปิดโอกาสให้กบั กลมุ่ คนที่ไม่ มีที่ดนิ หรือไมส่ ามารถทาการเกษตรสามารถออกมาเป็นแรงงานรับจ้างในภาคธุรกิจเหล่านีไ้ ด้ ทาให้พบเห็น การเคลื่อนย้ายของผ้คู นออกจากภาคเกษตรกรรมนบั ตงั้ แตช่ ว่ งนีเ้ป็นต้นมา นอกจากนีก้ ารระบบการผลิตท่ีต้องอาศยั ทนุ ที่เป็นตวั เงินทาให้ กลุ่มคนท่ีต้องการเข้าถึงแหล่งทุน ต้องพงึ่ พากลมุ่ คนท่ีมีท่ีนาเพราะต้องใช้ที่นาเป็นหลกั ทรัพย์ในการกู้ เชน่ นางแสงคาได้เลา่ ให้ฟังเมื่อครัง้ ท่ีตน ไปก้เู งินสหกรณ์วา่

107 “...อย่างแม่มีนาใช่ไหม แม่เงินไม่มี น้องไม่มีนา ... ถ้าแม่เงินจะเอาสตางค์ น้องจะเอา สตางค์ เขาจะใช้ตวั นา (ตามหลกั ของสหกรณ์นะ) ... อย่างแม่นี่ได้ถือใบนาของอยุ้ หอม สมยั ก่อนอยุ้ หอมเขากู้แลว้ เขาไม่เอานาไปค้า เขาเอาใบบ้านไปค้า แล้วเราเป็นคนมีใบนา กู้เงินเมื่อก่อนก็ครั้งละ 4-5 พนั แต่เขาก็ประเมินให้ไร่ละ 5,000 10 ไร่แม่ก็มี 50,000 แต่ แม่เอาวงเงินไม่มาก แม่เอามา 20,000 นาแม่ได้ 50,000 แลว้ อยุ้ หอมเขาก็เอาไม่มาก เอา 10,000 เดียว เจ้านี้ก็เอา 10,000 เดียว รวมแล้วได้ 40,000 แต่ใบนาแม่มันได้ 50,000 เขาก็เลยอนุโลมนางหอม นายแก้วใช้หลกั ทรัพย์ของนายจันทร์ดี นางหอมนี่ทาเรื่องเข้า แต่เป็นทีบ่ า้ นใบอย่ทู ีน่ ายจนั ทร์ดีหมด...” (นางแสงคา คาหล้าทราย, 2556) หากพิจารณาคาบอกเล่าของนางแสงคา คาหล้าทราย ซ่ึงขณะนนั้ เป็นภรรยาของนายจนั ทร์ดี คา หล้าทราย ผ้ใู หญ่บ้านโพธนาราม พบว่าสหกรณ์การเกษตรถือเป็นแหล่งเงินก้ทู ่ีสาคญั ของชาวบ้าน แตก่ ารกู้ เงินจากสหกรณ์ฯ ในขณะนัน้ ก็ยังมีช่องว่างซ่ึงทาให้คนไม่มีที่ดินไม่สามารถจะเข้าถึงแหล่งเงินก้ไู ด้อย่าง อิสระแต่ต้องไปสมั พนั ธ์กับคนท่ีมีที่ดินมาก ระบบอุปถัมภ์ภายในชุมชนจึงยังคงมีความสาคญั ดงั กรณีที่ ยกตวั อย่างข้างต้นจะพบวา่ ชาวบ้านต้องพึง่ พาครอบครัวนายจนั ทร์ดีท่ีมีท่ีดิน รวมถึงอาศยั ความน่าเช่ือถือ จากตาแหนง่ ผ้ใู หญ่บ้านเป็นหลกั ประกนั 2.2.3 การส่งเสริมด้านการศึกษา: ประตสู ู่ระบบเศรษฐกิจนอกภาคเกษตร หลงั พ.ศ. 2510 เป็นต้นมา เป็นยคุ ท่ีลกู หลานของคนในตาบลสนั ทรายเข้าสรู่ ะบบการศกึ ษาของรัฐ อยา่ งเตม็ ตวั กลา่ วคือไมเ่ พียงเรียนจบชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 จากโรงเรียนในหม่บู ้าน แตม่ ีการสง่ เสริมให้ลกู หลายเรียนหนงั สือในระดบั ที่สูงขึน้ ไปทงั้ ผ่านระบบการศกึ ษาในโรงเรียนของวดั และการบวชเรียนซ่ึงเป็น ชอ่ งทางของคนท่ีมีรายได้น้อย การส่งเสริมการศกึ ษาของลกู หลานเช่นนีเ้ป็นก้าวแรกของการผลกั ดนั ให้คน ในชนบทก้าวออกส่สู งั คมหรือบริบทเดิมของตนเองท่ีวางอย่บู นการผลิตทางการเกษตรที่มีที่ดนิ เป็นปัจจยั สาคญั ไปส่บู ริบทใหม่ที่มีพืน้ ฐานในดารงชีวิตอย่บู นฐานของความรู้และประสบการณ์ และก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้านอาชีพและบริบททางสงั คมของชมุ ชนให้เปลี่ยนรูปโฉมไปจากเดมิ ในจังหวัดเชียงรายมี โรงเรี ยนในระดับมัธยมศึกษ าจานวนมากที่ จะรองรับความต้ องการด้ าน การศกึ ษา เชน่ โรงเรียนสามคั คีวิทยาคม อ.เมือง เชียงราย (ก่อตงั้ พ.ศ. 2451) (โรงเรียนสามคั คีวิทยาคม, 2557) โรงเรียนดารงราษฎร์สงเคราะห์ อ.เมือง เชียงราย (ก่อตงั้ พ.ศ. 2476) (วิกิพีเดีย, 2557) โรงเรียนแม่ จนั วิทยาคม อาเภอแมจ่ นั เชียงราย (ก่อตงั้ พ.ศ. 2502) (โรงเรียนแม่จนั วทิ ยาคม, 2557) หรือวิทยาลยั การ อาชีพ ได้แก่ วิทยาลยั เทคนิคเชียงราย (ก่อตงั้ พ.ศ. 2481) (วิทยาลยั เทคนิคเชียงราย, 2557) และวิทยาลยั อาชีวศึกษาพาณิชยการเชียงราย หรือชื่อเดิมคือ โรงเรียนพาณิชยการเชียงราย (ก่อตัง้ และเปิดสอนปี 2523) (วทิ ยาลยั อาชีวศกึ ษาพาณิชยการเชียงราย, 2557) นอกจากนีจ้ งั หวดั เชียงรายยงั มีสถานศกึ ษาท่ีเปิด

108 สอนในระดบั ปริญญาตรีคือ วิทยาลยั ครูเชียงรายซึง่ ปัจจบุ นั เปล่ียนเป็นมหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงราย (เปิด สอน 2520)(มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงราย, 2557) สาหรับชาวบ้ านในตาบลสันทรายในช่วงทศวรรษ 2500 เป็ นต้ นมา มักจะเรียนในระดับ มธั ยมศกึ ษาท่ีโรงเรียนแม่จนั วิทยาคมเพราะอย่ใู กล้บ้านมากกวา่ และหากจะเรียนในระดบั ปริญญาตรีก็จะ เรียนท่ีวิทยาลยั ครูเชียงราย แต่ก็มีบางส่วนที่ไปเรียนระดบั ปริญญาตรีที่เชียงใหม่หรือกรุงเทพฯ โดยจะ พบวา่ ในชมุ ชนสนั ทรายมีผ้คู นจากหลากหลายกลมุ่ หลายฐานะท่ีสง่ ลกู เรียนหนงั สือ เชน่ 1. นางแสงคา คาหล้าทราย แม้จะมีท่ีนาถึง 2 แปลงๆ ละ 8 ไร่ แตก่ ็ไมไ่ ด้ให้ลกู ทงั้ สองคนชว่ ยทานา แตส่ นบั สนนุ ด้านการศกึ ษาอย่างเต็มท่ี หลงั จากจบชนั้ ประถมศกึ ษาก็สง่ ให้เรียนระดบั มธั ยมศกึ ษาตอ่ ทันท่ีท่ี โรงเรียนแม่จนั วิทยาคม หลงั จากจบชนั้ มธั ยมลูกสาวคนโตก็เข้าไปเรียนระดบั อดุ มศึกษาท่ีมหาวิทยาลยั รามคาแหง ขณะท่ีลกู ชายคนเล็กก็สาเร็จการศกึ ษาระดบั อนปุ ริญญาที่วิทยาลยั เกษตรแม่โจ้ โดยแม่แสงคา ให้เหตผุ ลที่สนบั สนนุ ให้ลกู เรียนวา่ “...ว่ิงตามเขาไปงน้ั แหละ ทานามนั ลาบากเกิน...” (แสงคา คาหล้าทราย, 2556) 2. นางนวล นวนพนสั มีลกู ทงั้ หมด 4 คน ลกู ทกุ คนไม่ได้ชว่ ยพ่อแมท่ านาเลย นางนวลสามารถส่ง ลกู สาวคนโต (เกิด พ.ศ. 2504) เรียนจบที่วิทยาครูเชียงราย หลงั จากเรียนจบก็บรรจเุ ข้ารับราชการเป็นครู สอนอยทู่ ี่อาเภอแม่สาย สาหรับลกู ชายก็ให้บวชเรียนจนจบนกั ธรรมเอกใน พ.ศ. 2523 ซงึ่ เทียบได้กบั ชนั้ ม. ศ. 3 ในขณะนนั้ แม้วา่ จะมีท่ีดินทากินเพียง 5 ไร่ และไมส่ ามารถขยายพืน้ ท่ีได้เพราะสามีสขุ ภาพไม่แขง็ แรง แตน่ างนวลก็อาศยั การรับจ้าง ค้าขาย เพื่อหาเงินสง่ ลกู เรียน ดงั ที่อ้ยุ นวลเลา่ ให้ฟังถงึ การสง่ ลกู คนโตเรียนที่ วิทยาลยั ครูเชียงรายวา่ “...เงินที่ส่งลูกเรียนไดม้ าจากการเลี้ยงเป็ด รับจ้างปลูกนา ทาทงั้ พ่อทง้ั แม่ ตอนนนั้ ของไม่ ไม่แพง ค่ากบั ข้าวนี่ก็ชามละสามบาท...ของหวานชามละบาท สองบาท วนั ละประมาณ 10 บาท อาทิตย์หนึ่งจะส่งใหล้ ูกครั้งละ 500-700 บาท เพราะขายไข่เป็ดได้ รับจ้างไม่เคย ไดห้ ยดุ ...” (นวล นวนพนสั , 2556) 3. นางเงิน ชมภชู ยั ที่แม้ตนเองจะไมม่ ีที่ดนิ ทากิน อาศยั การทานาเชา่ ผา่ กงึ่ การรับจ้าง และค้าขาย เพ่ือส่งให้ลกู เรียนหนงั สือ จนจบจากวิทยาลยั ครูเชียงรายและรับราชการครู โดยเงินที่ส่งให้ลกู เรียนมาจาก การทานา รับจ้าง ค้าขาย “ก็ทานา รับจ้างเล็กๆ น้อยๆ...วนั ละ 20 บาท ที่ให้ไปแต่ละวนั เรียน วค.(วิทยาลยั ครู เชียงราย) นะเมือ่ ก่อน จบทีน่ น่ั แหละ อย่างตอนม.ตน้ ก็ไปป่ าซาง คนละสิบบาท...”

109 “...อย่างยายเงินนีเ่ ห็นว่าเขาไม่มีแผ่นดิน ไม่มีอะไรนีน่ ะ เขาก็ส่งลกู เรียนถึงปริญญา...” (แสงคา คาหล้าทราย, 2556) การสง่ เสริมการศกึ ษาของคนรุ่นนีท้ าให้คนรุ่นลกู ท่ีได้รับการศกึ ษามีทางเลือกในการประกอบอาชีพ ท่ีหลากหลายมากขนึ ้ สว่ นหนงึ่ เป็นเพราะไม่ต้องการให้ลกู ของตนต้องมาทนทางานท่ียากลาบากเช่นการทา นา หรือในกรณีของครอบครัวท่ีไม่มีท่ีกิน การศกึ ษาจึงถือเป็นสมบตั ิเพียงอย่างเดียวท่ีพ่อแม่จะมอบให้กับ ลูกได้ ด้วยเหตนุ ีจ้ ึงพบว่าคนในชุมชมสนั ทรายประกอบอาชีพรับราชการถึงร้ อยละ 6 (เทศบาลตาบลสนั ทราย, 2557) 2.3 ตาบลสันทรายในกระแสการพฒั นา (พ.ศ. 2531 – 2558) การเปล่ียนแปลงสาคัญตัง้ แต่ทศวรรษ 2530 เป็นต้นมาได้แก่ การส่งเสริมการท่องเท่ียวของ ประเทศไทยที่เชื่อมภาคเหนือเข้ากับโครงการส่ีเหลี่ยมเศรษฐกิจ (โฆษิต ไชยประสิทธิ์, 2554: 1) โดยมุ่ง สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศนู ย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนและอินโดจีน รวมทงั้ ได้กาหนด มาตรการทางด้านการตลาดที่จะร่วมมือกับกลุ่มประเทศอินโดจีน และมุ่งเน้นพัฒนาการท่องเที่ยวให้ เชื่อมโยงกนั มากขนึ ้ ผลที่ตามมาคือการเติบโตทงั้ ด้านการคมนาคมและการทอ่ งเที่ยวของจงั หวดั เชียงใหม่ และเชียงรายที่จะกลายเป็นประตเู ปิดและศนู ย์กลางการติดตอ่ กบั ประเทศต่างๆ ในยคุ ของรัฐบาลพลเอก ชาติชาย ชณุ หะวณั (พ.ศ.2531 – 2534) มีการดาเนินนโยบายปรับเปล่ียนความสมั พนั ธ์กบั ประเทศเพื่อน บ้านและผลกั ดนั การค้าข้ามพรมแดนผา่ นนโยบาย “เปล่ียนสนามรบเป็นสนามการค้า” โดยความร่วมมือ ระหว่างรัฐบาลไทยกบั กองทุนการเงินระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารพฒั นาแห่งเอเชีย (ADB) ผลกั ดนั ให้ ประเทศเพ่ือนบ้านหนั หน้าเข้าหากนั และร่วมกนั พฒั นาการค้าและเศรษฐกิจสงั คมของภูมิภาคให้มนั่ คงจน นามาส่กู ารริเริ่มแนวคิดและผลดั กันนโยบายการพฒั นา “สี่เหล่ียมเศรษฐกิจ” (ระหว่างจีน ลาว พม่าและ ไทย) และเป็นที่มาของการพฒั นาชายแดน (เสาวรีย์ ชยั วรรณ, 2555: 43-44 ) โดยมี อ.แมส่ าย อ.เชียงแสน เชียงรายเป็นพืน้ ท่ีเปา้ หมายของการพฒั นาเศรษฐกิจภมู ภิ าคในช่วงเวลาดงั กล่าว นโยบายเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้านีส้ ่งผลกระทบตอ่ คนความมน่ั คงในการถือครองที่ดิน ของคนในพืน้ ท่ีเป็นอย่างมาก ในกรณีของอาเภอเชียงแสนพบว่าท่ีดินริมฝั่งโขงถูกขายให้กบั นายทุนจาก ตา่ งถ่ินจานวนหลายร้อยพนั ไร่ การกระจายตวั ของที่ดนิ ของเหล่าบรรดานายทนุ ไมไ่ ด้กระจกุ ตวั อย่แู คเ่ พียง ในเขตเมืองชนั้ ในเท่านนั้ แตก่ ระจายไปตวั เมืองรอบนอกด้วย เช่น บ้านสบรวก บ้านสบกก และที่ดนิ จานวน มากในอาเภอเชียงแสนก็กลายเป็นของนายทนุ (สมุ าตร ภูลายยาว, 2539) เชน่ เดียวกับหม่บู ้านแมค่ าหลงั วดั ต.แม่คา ท่ีมีนายหน้าค้าท่ีดินซ่ึงเป็นคนในหม่บู ้านทาหน้าที่เป็นตวั เช่ือมกบั กล่มุ ทุนจากตา่ งถ่ินเข้ามา กว้านซือ้ ที่ดนิ ชาวบ้านจานวนมากขายท่ีดนิ ทากินของตนเองโดยให้เหตผุ ลวา่ ที่ดนิ ทากินของตนนนั้ ประสบ กับปัญหาเร่ืองนา้ ในการเกษตร แม้บางส่วนอาจไม่อยากจะขายแต่ก็ถูกบงั คบั ทางอ้อมให้ขายในที่สุด (ปรีญาวลั ย์ ใจปินตา, 2555: 49 - 50)

110 ภายใต้กระแสการพฒั นาจงั หวดั เชียงรายเช่นนีท้ าให้ชมุ ชนสนั ทราย เกิดการเปลี่ยนแปลงหลาย ประการ ได้แก่ 1) เกิดนายหน้าค้าที่ดนิ ในหมบู่ ้าน เนื่องจากมีข่าววา่ จะมีการตงั้ นิคมอตุ สาหกรรมท่ีอาเภอแมจ่ นั โดยบริษัทยนู ิโก้ จบั มือกบั การนิคม อตุ สาหกรรมแหง่ ประเทศไทยเพื่อผลกั ดนั ให้เกิดนิคมอตุ สาหกรรมเชียงรายในพืน้ ท่ีอาเภอแม่จนั โดยจะให้ เป็นทงั้ ฐานเศรษฐกิจและฐานการค้า เพื่อเตรียมรับมือกบั นโยบายส่ีเหล่ียมเศรษฐกิจของรัฐบาลในขณะนนั้ ตาบลสนั ทรายเป็นหนึง่ ในพืน้ ท่ีท่ีมีขา่ วลือว่าจะมีการตงั้ นิคมอตุ สาหกรรมบริเวณทงุ่ นาเหนือหมบู่ ้านหนอง อ้อ ตาบลป่ าซาง โดยมีหม่บู ้านที่อยรู่ ายรอบดงั นี ้บ้านดง บ้านเดน่ บ้านโพธนาราม ตาบลสนั ทราย บ้านแม่ สรวย บ้านบอ่ ก้าง บ้านขวั รินคา ต.จอมสวรรค์ บ้านกล้วย บ้านป่ ายาง บ้านเหมืองกลาง ตาบลศรี คา้ บ้าน ป่าห้า บ้านป่ ายาง บ้านสนั คือ และบ้านป่ าซาง ตาบลป่ าซาง (นายสมบรู ณ์ คาหล้าทราย, 2557) ขา่ วลือนี ้ ทาให้เกิดการขายท่ีดนิ ของชาวบ้านจานวนมาก โดยมีกลมุ่ นายหน้าเข้ามาตดิ ตอ่ กบั กานนั ผ้ใู หญ่บ้านในแต่ ละพืน้ ที่ แต่สดุ ท้ายโครงการดงั กล่าวก็ไม่เกิดขึน้ สาหรับผู้ที่เป็นนายหน้าในหม่บู ้านตา่ งก็ได้รับประโยชน์ จากเงินมดั จาจานวนมาก ดงั ที่นายสมบรู ณ์ คาหล้าทราย (2557) หนง่ึ ในนายหน้าค้าท่ีดนิ ขณะนนั้ กลา่ วว่า “นายหน้านีค่ ือต่างคนต่างมาเก็งกาไร ไดเ้ งินติดมดั จาเยอะมาก 3 - 4 เดือนไม่มา ก็เสร็จ เรา...” การแสวงหาความมงั่ คงั่ จากระบบการค้าท่ีดินแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจและการยอมรับในกตกิ า ของการซือ้ ขายท่ีเป็นความสมั พนั ธ์เชิงแลกเปล่ียนระหวา่ งผ้ซู ือ้ และผ้ขู ายเป็นหลกั อนั เป็นความสมั พนั ธ์ท่ี ตา่ งไปจากการแลกเปล่ียนในเชิงเครือญาตหิ รือชมุ ชนุ เป็นอยา่ งมาก 2) เกิดการรุกเข้ามาของกลุ่มทุนธุรกิจการเกษตร และนายทุนจากต่างถิ่นมากว้านซือ้ ที่ดินใน พืน้ ท่ีป่า เนื่องจากไมม่ ีนิคมอตุ สาหกรรมเกิดขนึ ้ ทาให้ที่ดิน (ที่นา) ของชาวบ้านจึงยงั ไมห่ ลดุ มือไปสนู่ ายทุน ตา่ งถ่ิน ทว่าสาหรับพืน้ ที่ป่ าบริเวณทางทิศตะวนั ออกในเขตหม่บู ้านจอมจนั ทร์ บ้านดอยตอ่ บ้านดงสวุ รรณ และบ้านนาล้อม พบวา่ มีการเข้ามาของกล่มุ ทนุ ธุรกิจการเกษตรท่ีต้องการพืน้ ที่ขนาดใหญ่ในการปลูกพืช เศรษฐกิจ เช่น การปลกู ยางพาราของบริษัทไทยรับเบอร์และสบั ปะรดของบริษัทแมจ่ นั เกษมกิจ ในกรณีของ บริษัทแม่จนั เกษมกิจท่ีมีนายสมพล คูเกษมกิจเป็นเจ้าของนนั้ ได้เข้ามาซือ้ ท่ีดินบริเวณป่ าในเขตบ้านนา ล้อม หมู่ 9 ใน พ.ศ. 2530 ซง่ึ ชาวบ้านท่ีเป็นเจ้าของท่ีดินก็ขายสิทธ์ิให้กบั นายทนุ บางรายแม้ไม่อยากขาย แต่จะถูกบีบทางอ้อมโดยการซือ้ ที่ดินแปลงที่อย่รู ายรอบทาให้ไม่มีทางเข้าออกได้ ราคาขายสิทธิ์ท่ีดินใน ขณะนนั้ อย่ทู ี่ 10,000 บาท ตอ่ พืน้ ที่ประมาณ 3 ไร่ เม่ือบริษัทแม่จนั เกษมกิจเข้ามาปลูกสับปะรดพบว่ามี การรุกท่ีดนิ ในพืน้ ที่ป่าลบั ๆ อยา่ งตอ่ เน่ืองอนั นามาซง่ึ การคดั ค้านของชาวบ้าน (ดงั จะกลา่ วตอ่ ไป)

111 สาหรับชาวบ้านท่ีมีพืน้ ที่ไร่หรือท่ีดนิ ในเขตป่าที่ขายสิทธ์ิให้กบั นายทนุ ไปแล้วนนั้ สว่ นหนง่ึ จะนาเงิน ไปซือ้ ที่ดินหรือซือ้ ที่นาผืนใหม่ สาหรับคนท่ีไม่มีที่ดินทากิน เช่น ครอบครัวของนายจรัญ ปันทะทา ที่ไม่มี แม้แต่ผืนดินในการสร้ างบ้านอยู่ก็อาศยั เงินจานวนจากการขายที่ดินในเขตป่ าท่ีแม่ของตนไปบุกเบิกไว้ ประมาณ 3 ไร่ ได้เงิน 10,000 บาท และนาเงินนีไ้ ปซือ้ ที่ 87 ตารางวา มาสร้างบ้าน (นายจรัญ ปันทะทา, 2557) 3) เกิดสภาวะกลืนไมเ่ ข้าคายไมอ่ อกตอ่ “การพฒั นา” การส่งเสริมด้านการค้าและการลงทนุ เพื่อรองรับการเข้าสปู่ ระชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เชียงรายใน ฐานะเมืองที่ติดพืน้ ท่ีชายแดนจงึ เป็นพืน้ ท่ีที่ได้รับการพฒั นาด้านโลจิสตกิ ส์อยา่ งมาก โครงการสร้างสะพาน ข้ามนา้ โขงแห่งท่ี 4 (ห้วยทราย – เชียงของ) ตามแนวเส้นทางเศรษฐกิจเหนือ – ใต้ หรือเส้นทาง R3a นามา สโู่ ครงการก่อสร้างถนนและขยายเป็น 4 ชอ่ งจราจรที่เกี่ยวข้องกบั สะพานข้ามแม่นา้ โขงถึง 6เส้นทาง หนึ่ง ในนนั้ คือ ทางหลวงหมายเลข 1016 ท่ีตดั ผ่านตาบลสนั ทราย เร่ิมก่อสร้างตงั้ แต่ พ.ศ. 2552 แล้วเสร็จใน พ.ศ. 2554 (ชลศิ า รัตรสาร, 2553) โครงการดงั กล่าวสง่ ผลให้ชาวบ้านต้องถกู เวนคืนที่ดนิ หลายหลงั คาเรือน แต่จากการสอบถามผ้นู าในหลายชมุ ชน ต่างตอบว่าไม่มีการคดั ค้านหรือต่อต้านโครงการดงั กล่าวจากคน ในพืน้ ที่ แทบทงั้ หมดล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกนั ว่า “ก็ไม่เห็นมีใครวา่ อะไร” (นายสมบรู ณ์ คาหล้าทราย, 2557และนายศุภกิจ นวลพนัส, 2557) ใน พ.ศ. 2547 ยงั มีการวางแผนจากกรมผังเมืองจะใช้เส้นทาง ภายในหมบู่ ้านในตาบลสนั ทรายเป็นทางเช่ือมตอ่ ระหวา่ งทางหลวงหมายเลข 1016 (แม่จนั – เชียงแสนกบั ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน (เชียงราย – แม่สาย) ด้วยการขยายถนนเส้นท่ีผ่านบ้านโพธนาราม ตาบลสนั ทราย บ้านหนองอ้อ และบ้านป่ าห้า ตาบลป่ าซาง ซงึ่ บรรจบกบั ทางหลวงหมายเลขหนึ่งท่ีบ้านป่ า ห้า ตาบลป่ าซาง อาเภอแม่จนั ซึ่งมีการรังวดั ท่ีดินและแจ้งให้กบั ชาวบ้านท่ีอย่ใู นพืน้ ท่ีทราบถึงเง่ือนไขใน การเวนคนื ที่ดนิ แล้ว แตจ่ นกระทงั่ ปัจจบุ นั ก็ยงั ไมม่ ีการดาเนนิ การก่อสร้างใดๆ เกิดขนึ ้ ทัง้ นี ้ โครงการขยายถนนในหมู่บ้านที่ชาวบ้านได้รับผลกระทบโดยตรงนีไ้ ด้รับการต่อต้านจาก ชาวบ้านเล็กน้อย แม้จะได้รับผลกระทบโดยตรงแตห่ น่วยงานราชการเองก็อาศยั การเข้าทางานมวลชนและ สร้ างความเข้าใจ รวมทัง้ การโน้มน้าวให้ชาวบ้านเสียสละและเห็นความสาคัญของโครงการ ประกอบ กระแสของคนสว่ นใหญ่ในชมุ ชนก็เป็นไปในทิศทางเดียวกนั บนความเช่ือว่าถนนจะนามาซ่ึงความเจริญ ทา ให้พลังของการคดั ค้านท่ีปรากฏขึน้ ในช่วงแรกๆ อ่อนลง ดงั เห็นได้คาบอกเล่าของนายศุภกิจ นวลพนัส (2557) ผ้ใู หญ่บ้านบ้านโพธนาราม กลา่ ววา่ “...ที่แรกบางคนก็ยอม บางคนก็ไม่ยอม แต่ว่าความเจริญมนั ไม่ทาที่เดียวนี่ ทว่ั หมด บาง คนก็เขา้ ใจว่า เขาไม่ไดม้ าเอาเปล่า ดีกว่าขาย...” ข้อสนบั สนนุ ท่ีเป็นรูปธรรมอนั เกิดจากการสร้างถนนก็คอื การเกิดอาคารพาณิชย์ ตกึ แถวให้เชา่ เปิด ร้าน ซง่ึ ปรากฏท่ีบ้านเดน่ หมู่ 4 ซ่ึงอย่ตู ดิ กบั ทางหลวงหมายเลข 1016 ตลาดบ้านเดน่ ที่ปรับปรุงให้ทนั สมยั

112 และถกู สขุ ลกั ษณะตามระเบียบของเทศบาลซ่งึ ไมไ่ ด้รองรับเฉพาะคนท่ีอยู่ในตาบลเพียงอยา่ งเดียว หากมี นกั ทอ่ งเท่ียวท่ีใช้เส้นทางดงั กลา่ วแวะมาจบั จา่ ยไมข่ ายสาย “...เมื่อวานขายกลว้ ยน้าวา้ ใหค้ นกรุงเทพไปสามหวี หวียีส่ ิบบาทๆ เขาไม่ต่อ เลย ลงรถมา ก็ถามยายหวีเท่าไหร่ เราบอกยีส่ ิบบาท เขาก็ว่าถูกจงั เหมาหมดเลยสามหวี” (นวล นวนพนสั , 2557) ร้านค้าและตกึ แถวที่เกิดขนึ ้ สองข้างทางสองข้างทางก่อนจะถึงตลาดบ้านเด่นนนั้ เดมิ เป็นที่ของคน บ้านสนั ทรายและคนบ้านเดน่ เม่ือสร้างถนนเสร็จท่ีดินมีมูลค่าสูงขึน้ ชาวบ้านจึงขายให้กับคนจากตา่ งถิ่น เข้ามาสร้างตึกแถว อาคารพาณิชย์ ปัจจุบนั ตึกแถวเหล่านนั้ เป็นทงั้ ของคนในตาบลสันทรายและคนจาก ตา่ งถ่ินเข้ามาทาร้านอาหาร ร้านถ่ายเอกสาร เปิดคลินิก ซึ่งชาวบ้านสว่ นใหญ่ก็พอใจกบั การเปลี่ยนแปลง จากความเจริญเหลา่ นี ้ “...อย่างตาบลเรามีตลาด มีร้านคา้ มีหมอ มีคลินิก สะดวกสบายข้ึน...” (สมบรู ณ์ คาหล้าทราย, 2557) อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านท่ีจะได้รับผลกระทบที่จะเกิดจากการเวนคืนท่ีดินในอนาคตก็ยังคงรู้สึก กงั วลตอ่ สถานการณ์ที่จะเกิดขึน้ ด้านหนึ่งกังวลกบั ผลกระทบที่เกิดตอ่ ตนเองโดยตรง ด้านหน่ึงก็กังวลว่า หากตนเองคดั ค้านหรือเป็นคนส่วนน้อยท่ีไม่เห็นด้วยกับการพัฒนาดงั กล่าวแล้วก็อาจตกเป็นที่ครหาใน ชมุ ชน 2.3.1 การเคล่ือนย้ายแรงงานในชนบท สาหรับคนหนมุ่ สาว (เกิดตงั้ แต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา) ที่ศกึ ษาตอ่ ในระดบั อดุ มศกึ ษาหรือวิทยาลยั ในขณะนนั้ ไม่วา่ จะเป็นวิทยาลยั ครูหรือวิทยาลยั เกษตร เป็นกล่มุ คนที่ขยบั ตนเองออกจากการทางานนอก ภาคเกษตรกรรมและมีอาชีพการงานตามการศกึ ษาของตนเอง สาหรับคนท่ียงั เรียนตอ่ ในจงั หวดั เชียงราย ใช้การเดินทางไปกลบั ระหว่างบ้านกับวิทยาลัย แต่สาหรับคนท่ีไปศึกษาที่อื่นจะเป็นการเคล่ือนย้ายแบบ ชวั่ คราวขณะเรียนหนงั สือ และภายหลงั จากจบการศกึ ษาก็กลบั มาทางานใกล้บ้าน เช่น ลูกสาวคนโตของ นางนวล นวนพนสั (2556) ท่ีหลงั จากเรียนจบท่ีวิทยาลยั ครูเชียงรายก็มาเป็นครูสอนอยทู่ ่ีโรงเรียนบ้านด้าย ต.บ้านด้าย อ.แมส่ าย ภายหลงั แตง่ งานและมีครอบครัวที่นนั่ สาหรับคนที่ไปเรียนตอ่ ตา่ งถ่ินเชน่ ในกรุงเทพฯ มกั มาจากครอบครัวของคนท่ีมีฐานะดี (ทางการเงิน และฐานะทางสังคม) เช่น ลูกสาวคนโตของนายจันทร์ดี – นางแสงคา คาหล้าทราย (นายจันทร์ดีเป็น ผ้ใู หญ่บ้าน พ.ศ. 2531 – 2534) หลงั จากจบชนั้ ม.6 ท่ีโรงเรียนแม่จนั วิทยาคม ก็ไปเรียนตอ่ ที่มหาวิทยาลยั รามคาแหงใน พ.ศ. 2532 หลงั จากเรียนจบก็ทางานในบริษทั ญ่ีป่ นุ ที่กรุงเทพฯ หลงั จากทางานได้เพียง 4 ปี บริษัทก็ต้องปิดตวั ลง แตก่ ็ได้เงินชดเชย 80,000 บาท หลงั จากนนั้ ก็หางานใหม่ในกรุงเทพฯ แม้จะกลบั มา

113 ทางานอย่ทู ่ีบ้านช่วงหนึ่ง โดยเป็นลูกจ้างชวั่ คราวอย่ทู ี่เทศบาลตาบลสันทราย จนกระทงั่ ใน พ.ศ. 2540 มี กองทนุ เงินล้านเข้ามาในหม่บู ้านจึงเข้าไปเป็นคณะกรรมบริการเงินกองทนุ แต่จ้างเพียง 9 เดือน หลงั จาก นนั้ ก็ไปทางานเป็นแคชเชียร์อย่ปู ั๊มนา้ มันที่จงั หวัดชลบุรีจนถึงปัจจุบนั แม้นางแสงคาอยากจะให้ลูกสาว ทางานใกล้บ้าน แตล่ กู สาวเหน็ วา่ เงินเดือนที่ได้รับนนั้ น้อยกวา่ ท่ีเคยได้มา โดยตอนทางานท่ีเทศบาลได้เพียง เดือนละ 6,000 บาท เมื่อเปรียบเทียบกบั จานวนเดือนละ 8,000 บาท ตอนทางานอย่บู ริษัทญี่ป่ นุ และได้ เดือนละ 7,000 บาท ตอนเป็นคณะกรรมการกองทนุ เงินล้าน (นางแสงคา คาหล้าทราย, 2556) สาหรับคนอีกกล่มุ หนึ่งท่ีไม่ได้ศึกษาตอ่ ในระดบั อุดมศกึ ษาบางส่วนก็กลบั ไปทานาหากพ่อแม่มีท่ี นามาก (10 ไร่ขึน้ ไป) หากมีที่นาเพียง 4 – 5 ไร่ หรือไม่มีเลยก็มีแนวโน้มว่าจะออกไปทางานนอกภาค เกษตร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปลกู ข้าวบนที่นาขนาดเล็กนนั้ ไม่ได้สร้างรายได้มากพอ อีกทงั้ ในฤดนู าปีก็ ต้องปลกู ข้าวไว้กินด้วยบางคนจงึ ตดั สินใจไปทางานตา่ งประเทศ ปัจจยั ภายในท่ีมีผลต่อการเคล่ือนย้ายแรงงานในบ้านโพธนารามคือ การประสบปัญหานา้ เพ่ือ การเกษตรไมเ่ พียงพอ สืบเนื่องมาจากเร่ิมมีการปลกู ข้าวนาปรังเพ่ิมขนึ ้ อย่างมากและบ้านโพธนารามก็เป็น พืน้ ที่กลางนา้ รายได้จากการทาเกษตรเพียงอยา่ งเดยี วท่ีไม่เพียงพอจงึ ทาให้คนเริ่มแสวงหาหาหนทางใหม่ๆ เช่น นายศภุ กิจ นวนพนสั ที่เห็นพ่ีชายภรรยาไปทางานที่ญ่ีป่ นุ อย่กู ่อนแล้ว จึงตดั สินใจไปทางานประเทศ ไต้หวนั ใน พ.ศ. 2530 โดยผา่ นนายหน้าที่เป็นคนในหมบู่ ้าน ในตอนนัน้ มีคนในหมบู่ ้านไปด้วยกนั ประมาณ 6 – 7 คน ใช้เงินสาหรับการไปทางานประมาณแสนกว่าบาท ทางานอยู่ในโรงงานย้อมผ้า ได้เงินเดือน ประมาณ 4 – 5 หมื่นบาท นายศภุ กิจไปไต้หวนั ประมาณหนง่ึ ปีคร่ึงก็กลบั มา ซงึ่ ก่อนหน้าท่ีพ่อหลวงจะไปก็ มีคนออกไปทางานตา่ งประเทศอยกู่ ่อนแล้ว โดยมากจะไปทางานในประเทศซาอดุ ิอาระเบีย ไต้หวนั และ ญี่ป่ นุ จากการเคล่ือนย้ายแรงงานในชนบทเชน่ นีส้ ง่ ผลให้ปัจจบุ นั คนท่ียงั อยใู่ นหมบู่ ้านสว่ นใหญ่เป็นกล่มุ อายุตงั้ แต่ 50 ปี ขึน้ ไป ประกอบอาชีพเกษตรกรรม รับจ้าง และค้าขาย ขณะท่ีคนวยั แรงงาน 20 – 40 ปี ทางานตา่ งถ่ินบ้างเป็นการเคลื่อนย้ายชวั่ คราว บ้างก็ย้ายออกไปเป็นการถาวร 2.3.2 ระบบเศรษฐกิจหลังการขยายตัวของตลาด เม่ือต้องปรับเปล่ียนวิถีการผลิตมาส่กู ารผลิตเชิงพาณิชย์ที่ตอบสนองตอ่ ความต้องการของตลาด อยา่ งเต็มตวั ระบบเศรษฐกิจในชมุ ชนที่เคยวางอย่บู นการผลิตในภาคเกษตรและการค้าขาย เร่ิมมีการแตก ตวั หลากหลายมากขึน้ ในแง่ของการประกอบอาชีพของคนในชมุ ชน โดยบางสว่ นยงั คงทาการเกษตรอยา่ ง เข้มข้นและผันตนเองเป็นเกษตรกรนายทุนในชุมชน ขณะท่ีบางส่วนก็ยังคงทานาและประกอบอาชีพอื่น ควบค่กู ันไป ขณะท่ีบางส่วนก็หนั หลงั ให้กับงานในภาคเกษตรและประกอบอาชีพอ่ืนแทน อย่างไรก็ ตาม ระบบเศรษฐกิจในชุมชนสันทรายสามารถจาแนกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ เศรษฐกิจภาคเกษตรและ เศรษฐกิจนอกภาคเกษตร

114 เศรษฐกจิ ภาคเกษตร ในชมุ ชนสนั ทรายตงั้ แต่ทศวรรษ 2530 เป็นต้นมาแม้ว่าราคาที่ดินจะสงู ขึน้ และเกิดการขายที่ดิน ให้กบั นายทนุ ตา่ งถิ่นจานวนมาก แตส่ ่วนใหญ่ที่ราบลุ่มสาหรับการทานายงั ไม่ถกู เปล่ียนมือ ตา่ งกบั บริเวณ พืน้ ท่ีสงู เชน่ ท่ีบ้านจอมจนั ทร์ บ้านนาล้อม บ้านดอยตอ่ และบ้านดงสวุ รรณท่ีพืน้ ที่ป่ าซึง่ เดมิ ชาวบ้านจบั จอง ใช้เพาะปลกู และหาผลผลิตจากป่ า ถกู กว้านซือ้ จากนายทนุ ตา่ งถ่ินและเปล่ียนพืน้ ท่ีป่ ามาเป็นพืชเชิงเดี่ยว เชน่ ข้าวโพดเลีย้ งสตั ว์ สบั ปะรดและยางพารา อย่างไรก็ตาม ข้าวถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลกั ที่สาคญั ในชมุ ชนสนั ทราย โดยเฉพาะในพืน้ ที่ราบล่มุ บ้านสนั ทราย บ้านโพธนาราม บ้านเดน่ บ้านแหลว ระบบการปลกู ข้าวของพืน้ ท่ีบริเวณนีค้ ือปลกู ข้าวปีละ 2 ครัง้ สาหรับฤดนู าปีเร่ิมปลกู ข้าวในชว่ งเดือนสิงหาคม และเก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายน โดยแบง่ ที่ดินส่วน หนง่ึ ปลกู ข้าวเหนียวพนั ธ์ุ กข 6 ไว้เพ่ือบริโภคหรือเพื่อจ่ายเป็นคา่ เชา่ นา สว่ นที่เหลือจะปลกู ข้าวเหนียวพนั ธ์ุ ข้าวสันป่ าตอง 1 ส่วนในฤดูนาปรัง เกษตรกรจะปลูกข้าวเพื่อขายทัง้ หมด โดยเริ่มปลูกตัง้ แต่เดือน กมุ ภาพนั ธ์และเก็บเกี่ยวในเดือนพฤษภาคม พนั ธ์ุข้าวที่ใช้คอื ข้าวมะลิ 105 สพุ รรณบรุ ี 1 ปทมุ ธานี 1 เดิมแรงงานที่ใช้ในการปลกู ข้าวจะใช้แรงงานในครัวเรือนหรือเครือญาติที่เรียกว่าการ “เอามือ้ เอา วนั ” แตเ่ มื่อแรงงานในภาคเกษตรขาดแคลน เพราะคนหน่มุ สาวตา่ งออกไปทางานนอกหมู่บ้านกนั มากขึน้ จงึ อาศยั การจ้างแรงงานเข้ามาแทนท่ี โดยคนท่ีเข้าส่กู ารเป็นแรงงานรับจ้างส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวท่ี มีท่ีดินน้อย (ไม่เกิน 5 ไร่) หรือไม่มีที่ดินเลย ปัจจุบนั กลุ่มรับจ้างปลกู ข้าวในปัจจบุ นั เหลือเพียงกลุ่มเดียว และค่าจ้างปลูกข้าวแบบเหมาต่อไร่ปัจจุบัน (พ.ศ. 2557) อยู่ที่ไร่ละ 1,000 บาท ต่อวัน ปัญหาอัน เน่ืองมาจากการขาดแคลนแรงงานนีท้ าให้เกษตรกรหันมาใช้วิธีการปลกู ข้าวแบบหว่านแทน แม้ว่าจะได้ ผลผลิตลดลงบ้างก็ตาม ไม่เพียงเปล่ียนวิธีการปลูกเท่านัน้ แต่เกษตรกรยังหันมาใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรมากขึน้ ทดแทนแรงงานท่ีขาดแคลน แตแ่ น่นอนวา่ ต้นทนุ ในการผลิตย่อมสงู ขนึ ้ ตวั ชีว้ ดั ที่สาคญั คือในช่วง 2 – 3 ปี มานีเ้ฉพาะบ้านโพธนารามหม่บู ้านเดียวมีรถแทรคเตอร์กว่า 20 คนั (นางจนั ทร์ทา ธรรมรังษี, 2557) ซึง่ คน ท่ีมีรถแทรคเตอร์ส่วนใหญ่จะมีที่ดินมาก ดงั ท่ีนางจนั ทร์ทา ธรรมรังษี เกษตรกรผู้ทานาจานวน 38 ไร่ ได้ อธิบายถงึ ความจาเป็นของการมีรถแทรคเตอร์วา่ “...จ้างเขามนั ก็แพง เราทานาตลอด เราจดั สินใจซื้อดีว่า เมื่อก่อนก็จ้างเอา เรามีรถไถเล็ก (รถไถเดินตาม) เราเหนื่อย ตดั สินใจซื้อรถใหญ่ เราทานาทุกปี ตกไร่ละ 700 (บาท) 30 ไร่ ไปเท่าไหร่แลว้ ...” นอกจากการใช้รถแทรคเตอร์แล้วยงั มีการใช้รถเกี่ยวข้าวแทนการจ้างแรงงาน โดยมีคา่ จ้างรถเก่ียว ข้าวอย่ทู ่ีไร่ละ 700 – 800 บาท เจ้าของรถเก่ียวข้าวส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่มีฐานะและที่นาจานวนมาก เพราะนอกจากซือ้ รถเก่ียวข้าวแล้วก็ยงั ต้องมีรถหกล้อสาหรับบรรทุกรถเก่ียวข้าวด้วย รถเก่ียวข้าวคนั หนึ่ง

115 ราคาเร่ิมต้นอย่ทู ่ีหลกั ล้าน ปกติเกษตรกรจะซือ้ เงินผ่อน โดยจะผ่อนปีละ 2 งวด ตามฤดขู องการเก็บเกี่ยว ข้าว คือจา่ ยคา่ งวดครัง้ แรกในฤดนู าปี และครัง้ ท่ีสองในฤดนู าปรัง (นางจนั ทร์ทา ธรรมรังษี, 2557) สิ่งท่ีสนใจประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการขาดแคลนแรงงานอยา่ งมากคือ เดิมแม้จะมีการใช้รถ เก่ียวข้าวมาตงั้ แตป่ ลายทศวรรษ 2540 แล้ว แตเ่ กษตรกรก็ยงั นิยมใช้แรงงานคนในการเก่ียวข้าวท่ีเก็บข้าว ไว้กินเอง เม่ือเข้าส่ทู ศวรรษ 2550 เป็นต้นมา ดเู หมือนวา่ ไม่ว่าจะเป็นข้าวท่ีเก็บไว้กินหรือขายเกษตรกรล้วน แต่ใช้รถเกี่ยวข้าวกันทงั้ นนั้ ยกเว้นครัวเรือนท่ีมีนาน้อยไม่ถึง 10 ไร่ อาจใช้แรงงานจากเครือญาติมาช่วย เก่ียว (สมบรู ณ์ คาหล้าทราย, 2557) แตค่ รัวเรือนที่มีที่ดนิ จานวนมากจะใช้วธิ ีการจ้างรถเก่ียวข้าวทงั้ สนิ ้ ผลผลิตข้าวที่ปลกู ไว้เพื่อขายส่วนใหญ่จะขายทนั ทีหลงั จากท่ีเกี่ยวข้ าวเสร็จ เน่ืองจากใช้รถเกี่ยว ข้าว กระบวนการเก็บเก็บและการขายข้าวจึงรวบรัดและรวดเร็ว ไม่ต้องมีการตากข้าวหรือฟาดข้าวเช่นใน อดีต เพราะข้าวท่ีออกมาจากรถเกี่ยวจะอยู่ในท้ายรถกระบะและสามารถขับไปขายให้กับโรงสีได้ทันที ดงั นนั้ การเก่ียวข้าวและขายข้าวสามารถทาได้ทกุ ชว่ งเวลาทงั้ กลางวนั และกลางคืน โดยโรงสีที่รับซือ้ ข้าวมี อยู่มากมายในจังหวัดเชียงราย เฉพาะในอาเภอแม่จันก็มีโรงสีข้าวขนาดใหญ่ ถึง 10 แห่ง (สานักงาน อุตสาหกรรมจงั หวดั เชียงราย, 2548) เกษตรกรจึงสามารถเลือกได้ว่าจะขายข้าวท่ีใด ซ่ึงในแต่ละฤดกู าร ผลิตจะพบว่าเกษตรกรมิได้มุ่งขายให้กับที่ใดที่หน่ึงเป็นการเฉพาะ แต่จะเปลี่ยนโรงสีท่ีขายข้าวเปลือก วนเวียนกนั ไปมาขนึ ้ อยกู่ บั วา่ ที่ใดให้ราคาดี ปัจจบุ นั เกษตรกรในตาบลสนั ทรายมีท่ีดินทากินเฉล่ีย 4 – 5 ไร่ตอ่ ครัวเรือน (สมบรู ณ์ อริณต๊ะทราย , 2557) โดยเกษตรกรรายใหญ่ที่มีที่นามากท่ีสุดในตาบลสันทราย มาจากตระกูลเยาว์ธานีและตระกูล จนั ทร์เงิน ที่สะสมความมงั่ คงั่ มาตงั้ แตร่ ุ่นพอ่ แมใ่ นทศวรรษ 2520 เมื่อมาถึงรุ่นลกู ก็ได้สานตอ่ การการทานา และขยบั ฐานะมาเป็นเกษตรกรนายทุนรายใหญ่ในตาบลสนั ทราย ได้แก่ นายดวงพร – นางหอมนวล เยาว์ ธานี ปัจจุบนั (พ.ศ. 2558) ทงั้ คู่ มีท่ีดินทงั้ หมด 7 แปลงรวม 50 ไร่ และเช่าเพ่ิมอีก 56 ไร่ และนายสว่าง – นางพิไลทอง จนั ทร์เงิน นายสวา่ งเป็นลกู ชายคนโตของนายซาวและนางคามา จนั ทร์เงิน ปัจจบุ นั ทงั้ คมู่ ีที่นา จานวน 40 ไร่ (5 แปลง) เศรษฐกจิ นอกภาคเกษตร เศรษฐกิจนอกภาคการเกษตรถือเป็นแนวโน้มที่เพิ่มมากขึน้ จากในอดีต โดยพบว่ากลุ่มท่ีอยู่ใน เศรษฐกิจนอกภาคเกษตรส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นลูกของกลุ่มที่มีที่ดินขนาดเล็ก รวมถึงกลุ่มท่ีไม่มีท่ีดิน การเกษตรตงั้ แต่ยคุ แรกของการตงั้ ถ่ินฐาน ส่วนหน่ึงเป็นกล่มุ ที่เคยมีท่ีดินจานวนมากแตเ่ มื่อมาถึงรุ่นของ ตนเองกลบั ไม่มีท่ีดนิ ทากินให้กบั ตนเอง และอีกส่วนหนึ่งเป็นกลมุ่ ท่ีได้รับการศึกษาและประกอบอาชีพรับ ราชการ ลกู จ้าง พนกั งาน ซ่ึงเป็นแนวโน้มท่ีกาลงั เพิ่มมากขึน้ เร่ืองจากทกุ ครัวเรือนล้วนให้ความสาคญั กับ การศกึ ษาของบตุ รหลาน โดยเศรษฐกิจนอกภาคเกษตรของชมุ ชนสนั ทรายได้แก่

116 1. เจ้าของกิจการโรงสี ส่วนใหญ่กิจการโรงสีในชมุ ชนจะเป็นโรงสีข้าวขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่งโรงสีขนาดเล็กในชุมชนปัจจุบนั เหลือน้อยลง เพราะโรงสีขนาดเล็กอย่ไู ด้เพราะลูกค้ารายย่อยซ่ึงได้แก่ เกษตรกรที่ปลกู ข้าวไว้กินเอง ขณะท่ีโรงสีขนาดกลางซึ่งมีกาลงั การผลิต (สีขาวได้มากกวา่ ) มีรายได้จากการ สีข้าวและนาข้าวไปขายรวมถึงมีลูกค้ารายย่อยเข้ามาใช้บริหาร ประกอบกับปัจจบุ นั คนทานาส่วนใหญ่จะ ปลกู ข้าวไว้ขายเป็นหลกั แม้ว่าคนสว่ นใหญ่จะยงั คงปลกู ข้าวไว้กินแต่บางสว่ นเลือกท่ีจะซือ้ ข้าวกินแทนที่จะ ปลกู เอง 2. ผ้รู ับเหมาก่อสร้าง การเป็นผ้รู ับเหมาก่อสร้างสมั พนั ธ์กบั การเตบิ โตของเมืองเชียงรายนบั ตงั้ แต่ ทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา การเตบิ โตของการเป็นเมืองรวมถึงการพฒั นาโครงสร้างพืน้ ฐานต่างๆ ก่อให้เกิด การจ้างแรงงานเข้าไปทางานก่อสร้างจานวนมาก และคนกล่มุ นีเ้องที่สามารถสะสมทนุ ทงั้ ท่ีเป็นตวั เงินและ ทุนความรู้ประสบการณ์ รวมถึงทุนทางสังคมหรือเครือข่ายในกลุ่มแวดวงธุรกิจก่อสร้ าง และคนกลุ่มนี ้ จานวนหนงึ่ ก็เข้าสเู่ วทีการเมืองท้องถ่ิน ดงั จะกลา่ วตอ่ ไป 3. กลุ่มพ่อค้า/แม่ค้า แม้ว่าจะไม่ใช่อาชีพท่ีเพ่ิงเกิดขึน้ ใหม่ ดงั ได้กล่าวแล้วว่าผ้คู นในชมุ ชนสัน ทรายนนั้ ทาการค้าควบคกู่ บั การทานามาตงั้ แตอ่ ดีต ทวา่ การปรับปรุงตลาดบ้านเดน่ ประกอบกบั การพฒั นา เส้นทางหมายเลข 1016 ทาให้ตลาดบ้านเดน่ เป็นตลาดที่เปิดขายทงั้ วนั เพ่ือตอบสนองตอ่ กลมุ่ ลกู ค้าท่ีหลาย ไม่เฉพาะสาหรับคนในชมุ ชนเทา่ นนั้ นอกจากนีก้ ารเกิดตกึ แถวเรียงรายสองข้างทางในรัศมี 100 เมตรก่อน ถึงตลาดบ้านเด่นทาให้เกิดธุรกิจอื่นๆ ตามมาอีกมากได้แก่ การเปิดร้านขายเสือ้ ผ้า ร้าขายอาหารตามสง่ั ร้านถ่ายเอกสาร ร้านขายยา แม้ว่าเจ้าของตกึ จะเป็นคนต่างถ่ิน แต่คนในชุมชนก็อาศยั การเชา่ ตึกและเปิด กิจการของตนเอง 4. กล่มุ แรงงานรับจ้าง กลุ่มแรงงานรับจ้างในชุมชนสนั ทรายสามารถจาแนกเป็นกล่มุ คนท่ีเป็น แรงงานรับจ้างเต็มเวลา และคนท่ีเป็นแรงงานรับจ้างไม่เต็มเวลา กล่มุ ที่เป็นแรงงานรับจ้างเต็มเวลา เป็น กล่มุ ท่ีไมมีที่ดินอย่ใู นวยั 40 ปีขนึ ้ ไป สว่ นใหญ่ทางานรับจ้างอยใู่ นชมุ ชนและเป็นแรงงานในภาคเกษตรเป็น หลกั ส่วนกล่มุ ที่เป็นแรงงานรับจ้างไมเ่ ตม็ เวลาส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรท่ีหลงั จากหมดงานในนาข้าวก็จะไป ทางานรับจ้างเป็นกรรมกรก่อสร้าง หากออกไปรับจ้างจะได้คา่ จ้างประมาณ 300 – 350 บาทต่อคนต่อวนั หากไปทางานทงั้ สามีและภรรยาจะมีรายได้อย่ทู ่ีวนั ละ 600 – 700 บาท ทางานหนึ่ง “วีค” (15 วนั ) ก็จะมี รายได้ประมาณ 9,000 – 10,000 บาทตอ่ เดอื น (นางจนั ทร์ทา ธรรมรังษี, 2557) 5. กลมุ่ ข้าราชการ/ลกู จ้าง/พนกั งานเอกชนและรัฐวิสาหกิจ คนกล่มุ นีส้ ่วนใหญ่เป็นคนรุ่นลกู และ รุ่นหลานของกลุ่มคนที่อพยพมาและได้รับการศึกษา ซึ่งได้กล่าวก่อนหน้านีว้ ่าไม่ว่าจะมีที่ดินหรือไม่จะ ยากจนเพียงใด ตา่ งก็ให้ความสาคญั กบั การศกึ ษาและพยายามสง่ เสียให้ลกู ของตนได้รับการศกึ ษา

117 2.4 การปรับตัวของ “กลุ่มคน” ในตาบลสันทราย 2.4.1 ยุคส่งเสริมการเกษตร แม้ว่าตลอดระยะเวลาท่ีผ่านมาผู้คนในชุมชนสนั ทรายต่างมีการปรับตวั อยู่ตลอด ทว่าช่วงที่เห็น ความแตกตา่ งทางเศรษฐกิจและเห็นการปรับตวั มากที่สดุ คือนบั ตงั้ แต่ช่วงทศวรรษ 2520 เป็นต้นมา โดย สามารถจาแนกได้ดงั นี ้ 1) กลุ่มท่มี ีท่ดี นิ 10 – 30 ไร่ คนกล่มุ นีถ้ ือเป็นกล่มุ ท่ีปรับตวั เข้าส่รู ะบบการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ เป็นกล่มุ แรกที่ปลกู ข้าวนาปรัง ส่วนหน่ึงเนื่องจากมีท่ีดินมาก และอยู่ในบริเวณที่มีนา้ ทาการเกษตรเพียงพอ มีการปลูกพืชหลังเป็นส่วย น้อย โดยมากจะปลูกเฉพาะข้าวปี ละ 2 ครัง้ และเป็นกลุ่มที่มีรถไถเดินตามเป็นกลุ่มแรกๆ ในชุมชน ขณะเดยี วกนั ก็ทาการค้าเพื่อสะสมความมงั่ คงั่ เชน่ ตระกลู จนั ทร์เงิน เยาว์ธานี นายซาว จนั ทร์เงิน ได้รับมรดกท่ีดนิ มาจากพ่อแม่ 12 ไร่ ภรรยามีที่ดิน 1 ไร่ เม่ือแต่งงานจึงมีท่ีดิน 13 ไร่ อุ้ยซาวทานาเป็นอาชีพหลกั มีข้าวเก็บไว้กินตลอดปี ไม่มีข้าวไม่พอกิน มีแต่เหลือขาย ก่อนท่ีจะ เปลี่ยนมาปลูกข้าวพันธ์ุส่งเสริม เช่น ข้าวเหนียวสันป่ าตอง ข้าวเหนียวพันธ์ุ กข ก็นาข้าวออกมาขายกับ พอ่ ค้าท่ีมาถามรับซือ้ ข้าวในหมบู่ ้าน “...เขามาซื้อ เขาก็จะถามว่า ‘ขายข้าวไหม’ ถา้ ราคาตกลง วนั พรุ่งนีเ้ ขาก็จะเอาลอ้ เขาบา้ น มา” เงินจากการทยอยขายข้าวนีน้ ายซาว เก็บหอมรอมริบทีละน้อย เพราะข้าวเปลือกในสมัยนัน้ (ประมาณ พ.ศ. 2500) ถงั ละ 6 บาท เมื่อเก็บเงินได้จานวนมากพอแล้วอ้ยุ ซาวก็นาเงินจากการขายข้าวไป ซือ้ ควาย ไปขายที่ตลาดววั ตลาดควายที่บ้านใหม่ ต.แมค่ า อ.แมจ่ นั และสะสมเงินจากการค้าควายและการ ขายข้าวไปเรื่อยๆ “...อย่างเรามีทุน 5-6 พนั เราก็ไปซื้อควายมา 1 ตวั ราคา 3,000 มาขาย 3,500-4,000 เราก็ไดด้ อก เพิ่มข้ึนทีละนอ้ ยๆ ใหญ่ขึ้นมา...” เม่ือมีเงินจากการค้าควายก็นาเงินก้อนดงั กล่าวไปซือ้ ที่นาเพิ่มอีก 10 ไร่ เป็นของคนบ้านป่ ายาง ต.ศรีคา้ อ.แมจ่ นั “...ค้าววั ค้าควาย ได้กาไรมาก็ไปซื้อ เมื่อก่อนนามันถูก จากนาผืนใหญ่นั่น 10 ไร่ๆ ละ 3,000 ซื้อกบั คนป่ ายาง...”

118 ภายหลงั เมื่อเร่ิมปลกู ข้าวเหนียวสนั ป่ าตองก็ทาให้สะสมทนุ จากการขายข้าวได้เพ่ิมขนึ ้ และนาเงิน ไปซือ้ ท่ีนาอย่เู ร่ือยๆ ปัจจบุ นั (2557) นายซาวมีที่นาทงั้ หมด 52 ไร่ และแบ่งให้ลกู ทงั้ 4 คนทาคนละ 10 ไร่ ขณะท่ีลกู คนสดุ ท้องที่รับหน้าท่ีดแู ลพอ่ แมไ่ ด้ทาอีก 12 ไร่ท่ีเป็นสว่ นของพอ่ แม่ นางฮม เยาว์ธานี ได้ที่ดนิ มรดกพ่อแม่มา 1 ไร่ แต่งงานกบั นายน้อย เยาว์ธานี มีท่ีดินมรดก 12 ไร่ แม้จะปลกู ข้าวไว้กินเป็นหลกั แตก่ ็ไมไ่ ด้ตา่ งจากคนอื่นๆ ในชมุ ชนที่ต้องมีการนาข้าวไปขายเพ่ือนาเงินสดมา ใช้จ่าย นอกจากข้าวเหนียวที่ปลกู ไว้กินแล้ว นางฮมและนายน้อยยงั ปลกู ยาสบู ให้กบั โรงบม่ เหมืองกลาง จงึ มีรายได้ท่ีเป็นเงินสดจากการปลูกพืชอื่นและการทาการค้าอื่นๆ หลงั จากการเก่ียวข้าวเสร็จได้แก่การค้า หม้อเหล้าดนิ เผา โดยไปรับจากบ้านเหมืองกลาง ต.ศรีคา้ อ.แมจ่ นั มาขายทางอาเภอแมจ่ นั “...ลาบากมากเมื่อก่อนหาบหม้อจากบ้านเหมืองกลางไปขายบ้านใต้ เอาหม้อเหล้าบ้าน เหมืองกลางไปขาย หาบไปบา้ นใต.้ ..ขายคร้ังละ 6 ใบ...” (ฮม เยาว์ธานี, 2556) นอกจากค้าหม้อเหล้าดินเผาแล้ว ยังมีการค้ามะม่วง โดยอาศยั ความสะดวกสบายของการมีรถ โดยสารประจาทาง ประมาณ พ.ศ. 2506 นางฮมไปค้าขายพร้อมกบั คนในบ้านอีก 2 – 3 คน ตอนเป็นแมค่ ้า มะม่วงออกบ้านตอนเช้าไปซือ้ มะม่วงท่ีบ้านแหลว (หมู่ 6 ต.สนั ทราย) ซือ้ มาลูกละสลึง ถ้ามีไม่มากก็เดิน หาบขายตามถนน ถ้ามีมากก็จะนงั่ รถโดยสาร (รถเขียวสีล้อ) ไปขายท่ีแมส่ าย ป่ าสกั น้อย ป่ าสกั หลวง ปาง หมอปวง อ.เชียงแสน ถ้าขายไมห่ มดก็นงั่ รถกลบั มาขายตลาดท่ีบ้าน (สนั ทราย) ที่บ้านตอนสายๆ “บางคร้ังก็หาบมะม่วงจากบ้านแหลวมาขายตามถนน ซื้อเขาใบละสลึง เอามาขายใบละ บาท ไปขายที่แม่สาย เวียงเก่า (เชียงแสน) ต้นมะม่วงก็ขึ้นเอาเอง นงั่ รถไปลงป่ าสกั นอ้ ย ป่ าสกั หลวง ปางหมอปวง ถา้ มีมากก็ไปขายทีเ่ วียงเก่า ขายไม่หมดก็กลบั มานงั่ ตลาดเช้า” (ฮม เยาว์ธานี, 2556) โดยรายได้จากการค้าขายนีเ้ ป็นเงินลงทุนตอ่ ในการทานารอบถดั ไป การเก็บหอมรอมริบเงินจาก การขายข้าวรวมกบั เงินจากการค้าทาให้นางฮม ซือ้ ท่ีดนิ เพม่ิ อีก 9 ไร่ ก่อน พ.ศ. 2510 “...นา 9 ไร่ 30,000 กว่า...ทองมีเสน้ หน่ึง น้าหนกั 1 บาท ก็ขายเอาเงินมาซื้อที่ แก้ 2 ปี ปี ไหนก็ 10,000 กว่า...” (ฮม เยาว์ธานี, 2556) ปัจจบุ นั นางฮมและนายน้อย มีที่ดินทาการเกษตรทงั้ หมด 33 ไร่ ให้ลกู 2 คนทา คนหน่งึ 16 ไร่ คน ท่ีสอง 17 ไร่ โดยลกู จา่ ยคา่ เชา่ นาเป็นข้าวปีละ 300 ถงั

119 2) กลุ่มท่มี ีทีดนิ 1 – 10 ไร่ กล่มุ นีส้ ่วนใหญ่เป็นกลุ่มท่ีอพยพมาในช่วงนี ้(ทศวรรษ 2500) ที่ซือ้ ท่ีดินได้ หรือได้รับจากพ่อแม่ เมื่อแยกตวั ออกมาแตง่ งาน เชน่ นางนวล นวนพนสั นายอินป๋ัน ทองคา นางนวล นวนพนสั เป็นสะใภ้ชาวลาพนู เข้ามาแตง่ งานกบั คนบ้านโพธนารามเมื่อ พ.ศ. 2500 ได้รับ มรดกท่ีดินจากครอบครัวสามีจานวน 5 ไร่ อย่ทู ่ีบ้านหนองอ้อ ต.ป่ าซาง อ.แม่จนั นอกจากการปลูกข้าวไว้ กินและนาไปขายเม่ือต้องการเงินสดแล้ว หลงั จากเก็บเกี่ยวข้าวยายนวลก็ทาสวนผกั ขีห้ ดู โดยมีแมค่ ้าจาก บ้านหนองครก ต.จนั จว้าใต้ อ.แม่จนั ขบั รถมอเตอร์ไซด์มารับซือ้ ถึงสวน ซ่ึงการทาสวนผกั ขีห้ ูดสร้างกาไร ให้กบั ยายนวลเป็นอย่างมากเพราหาบหนึง่ ขายได้ราคาร้อยกวา่ บาท หลงั จากปลกู ข้าวและทาสวนผกั ขีห้ ูด ประมาณ 3 ปี ก็มีเงินเก็บจานวนหน่ึง จึงขายท่ีดินมรดกของสามีจานวน 5 ไร่ ไปซือ้ ท่ีดนิ ผืนใหม่จานวน 5 ไร่และซือ้ บ้านพร้อมที่ดินของคนบ้านโพธนาราม พืน้ ที่ 2 ไร่กวา่ ในราคา 6,500 บาทกลบั มาอย่บู ้านโพธนา รามซ่ึงเป็นบ้านเกิดของสามี ปัจจุบนั ท่ีดิน 5 ไร่ของยายนวลให้คนในบ้านโพธนารามเช่าและ “กินค่าหวั ” หรือรับคา่ เชา่ เป็นข้าวปีละ 300 ถงั นายอินปั๋น ทองคา เป็นคนบ้านโพธนาราม ครอบครัวของนายอินปั๋น มีท่ีดินทากินจานวน 10 ไร่ ภายหลงั พอ่ แม่ แบง่ มรดกให้กบั ลกู 3 คนๆ 3 ไร่กว่า แตพ่ ่ีสาวท่ีมีฐานะดีได้ขอซือ้ ตนจึงรับเงินก้อนมาแทน หลงั จากแตง่ งาน นายอินปั๋นและภรรยาเช่าท่ีนาจานวน 17 ไร่ สาหรับปลกู ข้าว แม้จะเชา่ ท่ีดนิ ถงึ 17 ไร่ แต่ ก็ไม่สามารถทานาปรังได้ เพราะมีปัญหาเรื่องนา้ เช่นเดียวกบั หลายๆ คนในชมุ ชน ใน พ.ศ. 2525 หลงั จาก ปลดประจาการทหารกองหนุน นายอินป๋ันก็เข้ าไปเป็นลูกจ้างของร้านแม่จนั ธีรารัตน์ ซ่ึงเป็นร้านค้าวสั ดุ ก่อสร้างที่ใหญ่ท่ีสดุ ในอาเภอแมจ่ นั ขณะที่ภรรยาก็ประกอบอาชีพค้าขาย นายอินปั๋นจงึ เป็นผ้ทู ี่หลดุ ออกมา จากการผลิตในภาคเกษตรนบั ตงั้ แตท่ ศวรรษ 2520 แม้วา่ ภายหลงั จะซือ้ ที่ดินได้จานวน 5 ไร่ แต่ก็เป็นการ ซือ้ ให้ลกู ชาย นางพิไลทอง จนั ทร์เงิน เป็นสะใภ้เข้ามาแตง่ งานอยใู่ นตระกลู จนั ทร์เงิน โดยแตง่ งานกบั ลกู ชายคน โตของนายซาว จนั ทร์เงิน แม้นางพิไลทองจะไม่ได้ปลกู ข้าวนาปรังเนื่องจากมีปัญหาเร่ืองนา้ ทวา่ ก็เป็นกล่มุ แรกๆ ท่ีมีรถไถเดินตาม และมองเห็นชอ่ งทางการค้ารถไถเดินตามโดยเร่ิมการการคาอะไหล่ของรถไถเดิน ตาม ก่อนจะขยับมาเป็นพ่อค้ารถไถเดินตามควบคู่ไปกับการทานา โดยนารายได้จากการค้ารถไถเดิน ตามมาซือ้ ที่ดินทาการเกษตรเพ่ิม ทาให้ทงั้ ค่สู ามารถซือ้ ที่ดินเพิ่มจาก 7 ไร่ที่พ่อแบ่งให้ทามาเป็น 40 ไร่ (จานวน 5 แปลง) ในปัจจบุ นั 3) กลุ่มไร้ท่ดี นิ เป็นกล่มุ ท่ีอพยพมาภายหลงั เชน่ เดียวกนั แตไ่ มส่ ามารถซือ้ ท่ีดนิ ได้ หรือเป็นคนรุ่นลกู ท่ีพอ่ แม่มีท่ีดิน ไมม่ ากนกั เม่ือต้องแบง่ ท่ีดินมรดกให้กบั ลกู ทกุ คน แล้วทาให้ท่ีดินที่ตนได้ถือครองมีจานวนไมม่ ากนกั จงึ เกิด การขายท่ีดนิ กนั ในหมพู่ ี่น้อง หรือท่ีเรียนกวา่ การ “ซุย” ที่ดนิ เชน่

120 นางเงิน ชมภูชยั เป็นตวั อย่างของผ้ทู านาเชา่ และไมม่ ีท่ีดินเป็นของตนเอง โดยนางเงินเช่านาจาก ตระกลู พรหมณี โดยจ่ายคา่ เชา่ นาเป็นข้าวเปลือก แตเ่ นื่องจากที่ดินที่เช่ามีปัญหาเรื่องนา้ ทาให้ไมส่ ามารถ ปลกู ข้าวนาปรังได้ นอกเหนือจากปัญหาเรื่องนา้ แล้ว ต้นทนุ ในการผลิตก็เป็นปัจจยั ที่สาคญั อีกประการหน่ึง ในขณะท่ีกล่มุ ท่ีมีท่ีดิน ได้ปรับตวั ในการผลิตภาคเกษตรได้ใช้ทุนท่ีเป็นตวั เงินมากขึน้ ตงั้ แต่ค่าเมล็ดพนั ธ์ุ ข้าว รถไถเดนิ ตาม เมื่อส้ตู ้นทนุ การผลิตท่ีสงู ขนึ ้ ประกอบกบั ไมม่ ีท่ีดนิ ของตนเอง จงึ ได้เลกิ ทาการเกษตรและ ออกมาทางานรับจ้างและค้าขายแทน ครัวเรือนไร้ที่ดนิ บางสว่ นที่ไมส่ ามารถจะเชา่ นาได้ก็จะเป็นแปรตนเอง เป็นแรงงานรับจ้างและต้องพ่ึงพาทรัพยากรจากป่าแทน เชน่ กรณีของนายจรัญ ปันทะทา คนชมุ ชนนาล้อม ท่ีแม้ไม่มีที่ดินทาการเกษตรก็สามารถใช้ประโยชน์จากพืน้ ท่ีป่ าได้ ด้วยการแผ้วถางพืน้ ที่ ไว้สาหรับทา การเกษตรรวมถงึ การเข้าไปเก็บหนอ่ ไม้เพื่อขาย 2.4.2 การปรับตวั ยุคหลังการขยายตวั ของตลาด 2.4.2.1 กลุ่มเศรษฐกิจภาคเกษตร 1) นายดวงพร – นางหอมนวล เยาว์ธานี เม่ือแยกตวั ออกมาแตง่ งาน ทงั้ คมู่ ีท่ีนาที่พอ่ แมแ่ บง่ ให้ทา รวม 18 ไร่ เป็นของนายดวงพร 8 ไร่ และของนางหอมนวล 10 ไร่ นอกจากทานาแล้วทงั้ คยู่ งั ออกไปรับจ้าง ก่อสร้างซ่ึงเป็นอาชีพที่นายดวงพร เคยทามาอยู่ก่อนแล้ว ทงั้ ค่เู ร่ิมทางานเป็นลูกจ้างให้กับกานนั บุญยก พรหมณี ผ้รู ับเหมาในตาบลขณะนนั้ หลงั จากกานนั บญุ ยกเสียชีวิตในปี 2537 ก็ผนั ตนเองมาเป็นผ้รู ับเหมา งานที่รับเหมารับมาส่วนใหญ่เป็นงานหลวงที่ประมลู มากได้ เช่นงานสร้าง และปรับปรุงถนน งานปรับปรุง โรงเรียน ในทศวรรษ 2540 จึงเลิกทางานเป็นผ้รู ับเหมาแล้วหนั กลบั มาทานาเพียงอย่างเดียว และใช้เงิน จากการทางานเป็นผ้รู ับเหมาบวกกบั เงินจากการขายข้าวและการก้เู งินจากสหกรณ์การเกษตรที่นางหอม นวลเป็นสมาชิก เริ่มซือ้ ที่ดนิ เป็นของตนเอง และซือ้ เพิ่มอีกเร่ือยๆ นอกจากนีย้ งั อาศยั การก้เู งินจาก ธกส. ที่ นายน้อย พ่อของนายดวงพรเป็นสมาชิกอย่มู าซือ้ ที่ดินเพิ่ม ปัจจุบนั (2558) ทงั้ คู่ มีท่ีดินทงั้ หมด 7 แปลง รวม 50 ไร่ และเชา่ เพิม่ อีก 56 ไร่ 2) นายสวา่ ง-นางพิไลทอง จนั ทร์เงิน นายสวา่ งเป็นลกู ชายคนโตของนายซาวและนางคามา จนั ทร์ เงิน หลังจากแตง่ งานในปี 2525 นายซาวได้แบ่งท่ีดินให้ทานา 7 ไร่ แม้ว่าในช่วงจะไม่ได้ปลูกข้าวนาปรัง เพราะมีปัญหาเร่ืองนา้ แตท่ งั้ ค่กู ็เป็นครอบครัวแรกๆ ที่มีรถเดนิ ตามใช้ และยงั มองเห็นโอกาส ทาการค้ารถ ไถเดนิ ตาม เพราะชว่ งทศวรรษ 2520 นนั้ รถไถเดนิ ตามเป็นท่ีต้องการอยา่ งมากดงั ได้กลา่ วแล้ว เริ่มแรกทงั้ คซู่ ือ้ เฉพาะ ล้อรถ หวั รถ และอะไหล่เล็กๆ กอ่ น เม่ือเห็นว่าทากาไรได้ดี ก็เริ่มทาการค้าที่ มีขนาดใหญ่ขึน้ โดยตระเวนซือ้ รถไถทัง้ จากชาวบ้าน พ่อค้า ตามอาเภอและจังหวัดต่างๆ ในจังหวัด เชียงราย ทัง้ อาเภอเชียงแสน เทิง เชียงของ พญาเม็งราย เชียงคา และต่างจงั หวดั เช่น เชียงใหม่ แพร่ อตุ รดิตถ์ ราคาขาย ขนึ ้ อย่กู บั สภาพกรใช้งานหากอยใู่ นสภาพดีก็จะขายในราคา 20,000-30,000 บาท บาง คนั ท่ีซือ้ มาสภาพไม่ดี ก็ต้องเอามาซ่อมก่อนขาย ในช่วงนัน้ ถือว่าทัง้ คู่เป็นพ่อค้ารถไถเพียงเจ้าเดียวใน

121 ตาบลสนั ทราย ซงึ่ การค้ารถไถเดินตามสร้างกาไรอย่างมาให้กบั ทงั้ คู่ โดยจะได้กาไรสงู สดุ ประมาณ 10,000 บาทตอ่ การขายรถไถ 1 คนั หากได้กาไรน้อยหน่อยจะอย่ทู ี่ 3,000-5,000 บาทตอ่ คนั รายได้จากการค้ารถ ไถ บวกกบั การก้เู งินจากสหกรณ์การเกษตร ทาให้ทงั้ คสู่ ามารถซือ้ ท่ีดนิ เพิ่มจาก 7 ไร่ที่พ่อแบง่ ให้ทามาเป็น 40 ไร่ (จานวน 5 แปลง) ในปัจจบุ นั ไมเ่ พียงแตเ่ กษตรกรที่มีที่ดนิ จานวนมากเทา่ นนั้ แตเ่ กษตรกรท่ีมีที่ดนิ ขนาดกลาง (10-30 ไร่) ก็เป็น เกษตรกรท่ีทานาเตม็ เวลา และมีการเช่าที่นาเพ่ิม สาหรับเกษตรกรที่มีที่ดินไม่ถึง 10 ไร่ เม่ือเสร็จงานในนา แล้วจะออกไปทางานรับจ้างและไม่ได้เชา่ ท่ีดินทากินเพ่ิม ดงั นนั้ เมื่อหมดงานในหน้านา เช่นหลงั ปลกู ข้าว หรือหลงั เก่ียวข้าว เกษตรกรกลมุ่ นีจ้ ะออกไปทางานรับทางานจ้างก่อสร้างทงั้ นอกและในหม่บู ้าน เพราะแค่ การปลกู ข้าวเพียงอย่างเดยี วนนั้ ได้ผลตอบแทนน้อยและโดยเฉพาะฤดนู าปีท่ีต้องปลกู ข้าวบางสว่ นไว้กิน ซง่ึ หมายความว่าเกษตรกรจะมีข้าวขายเพียงเล็กน้อยเท่านัน้ หรือบางทีอาจไม่ได้ขายเลยในฤดูนาปี หาก ออกไปรับจ้างจะได้ค่าจ้างประมาณ 300-350 บาทต่อคนต่อวัน หากไปทางานทัง้ สามีและภรรยาจะมี รายได้อยู่ท่ีวันละ 600-700 บาท ทางานหน่ึงวีค (15 วนั ) ก็จะมีรายได้ประมาณ 9,000-10,000 บาทต่อ เดือน (นางจนั ทร์ทา ธรรมรังษี, 2557) หรือในครัวเรือนหนึง่ อาจมีการแบ่งบทบาทและการทางานระหว่าง สามีและภรรยา เช่น ครอบครัวนายสมบูรณ์ คาหล้าทราย มีท่ีดิน 6 ไร่ นายสมบูรณ์เป็นคนทานา ส่วน ภรรยาทางานเป็นลูกจ้างร้านอาหารที่ไนท์บาร์ซ่าในตวั เมืองจงั หวดั เชียงราย (นายสมบรู ณ์ คาหล้าทราย, 2557) 2.4.2 กลุ่มเศรษฐกิจนอกภาคเกษตร 1. เจ้าของกิจการโรงสี นายศภุ กิจ นวลพนสั เจ้าของโรงสีขนาดกลางที่ผนั ตวั จากลกู ชาวนามาสู่การเป็นเจ้าของกิจการ โรงสีและดารงตาแหน่งผู้ใหญ่บ้านบ้านโพธนาราม นายศุภกิจ เกิดมาในครอบครัวท่ีมีท่ีนาเพียง 5 ไร่ หลงั จากเรียนจบชนั้ ประถมศกึ ษาก็บวชเรียน ภายหลงั จากบวชเรียนจบนกั ธรรมเอก (เทียบได้กบั วฒุ ิ ม.ศ. 3 ขณะนัน้ ) ใน พ.ศ. 2523 จากนนั้ ก็เข้าไปเป็นทหารเม่ือ พ.ศ. 2526 หลงั จากแต่งงานใน พ.ศ. 2530 ก็ กลบั มาทานาบนที่นาของแม่จานวน 5 ไร่ จนกระทง่ั ใน พ.ศ. 2535 ก็ไปทางานที่ประเทศไต้หวนั พร้อมกับ คนหน่มุ ในหมู่บ้านอีก 6 – 7 คน โดยไปทางานอย่โู รงงานย้อมผ้าเป็นระยะเวลาปีกว่าก็กลบั มาพร้อมเงิน จานวนกว่าครึ่งล้าน โดยในช่วงแรกก็ตงั้ ใจว่าต้องการทาโรงสีจงึ อาศยั เครือขา่ ยเพ่ือนที่เคยไปทางานเมือง นอกด้วยกนั ในการสะสมความรู้ในการทาโรงสีและการตลาด “...ส่วนมากเพือ่ นกนั อย่เู ชียงของ เราไปเทีย่ วหาเขา เขาก็มาเทีย่ วหาเรา...” (ศภุ กิจ นวลพนสั , 2557)

122 เนื่องจากเป็นโรงสีขนาดกลางจงึ มีทงั้ คนที่เอาข้าวมาสี (สาหรับกินเอง) และเอาข้าวเปลือกมาขาย นายศุภกิจ จึงเป็นทัง้ เจ้าของโรงสีและพ่อค้าข้าวสารไปพร้ อมกัน ในช่วงแรกต้องไปส่งข้าวสารไกลถึง เชียงใหม่ ฝาง ลาพนู เชียงของ กิจการค้าข้าวของนายศภุ กิจดาเนินไปด้วยดี ในช่วง พ.ศ. 2551 จึงสร้าง บ้านใหมพ่ ร้อมกบั ตดิ ตงั้ เคร่ืองชงั่ รถบรรทกุ ข้าวที่ประมวลผลผ่านคอมพิวเตอร์ 2. ผ้รู ับเหมาก่อสร้าง นายอินปั๋น ทองคา ดงั ได้กลา่ วแล้วว่านายอินปั๋น ได้เข้าส่เู ศรษฐกิจนอกภาคเกษตรกรรมมาตงั้ แต่ ทศวรรษ 2520 โดยหลงั จากเข้าไปทางานเป็นลกู จ้างอยรู่ ้านแมจ่ นั ธีราวฒั น์ใน พ.ศ. 2525 ก็เร่ิมได้รับความ ไว้วางใจให้ขยบั มาเป็นคนคมุ คนงานก่อสร้างท่ีบริษัทรับงานไว้ทางาน นายอินป๋ันเริ่มสะสมประสบการณ์ จากการทางานชา่ ง จนประทง่ั พ.ศ. 2542 นายอินปั๋นก็ลาออกจากร้านแมจ่ นั ธีราวฒั น์ มาลงสมคั รสมาชิก สภาเทศบาล (ดงั จะกล่าวรายละเอียดตอ่ ไป) ในช่วงที่ตารงตาแหน่งสมาชิกสภาเทศบาล นายอินปั๋นก็รับ งานรับเหมาก่อสร้ างบ้าง ทว่าก็เร่ิมงดรับงานและหยุดรับงานรับเหมาไปใน พ.ศ. 2552 เน่ืองจากดารง ตาแหน่งเป็นรองนายกเทศมนตรี ภายหลงั วางมือจากการเลือกตงั้ ใน พ.ศ. 2556 นายอินป๋ันก็หนั กลบั มา ทางานรับเหมาก่อสร้างอีกครัง้ โดยงานส่วนใหญ่ที่รับเป็นงานขนาดกลางท่ีมีงบประมาณในการก่อสร้ าง 800,000 – 1,000,000 บาท นายอินปั๋นจะมีแรงงานหรือลูกน้องของตนเอง 3 – 4 คน ซ่ึงเป็นคนในตาบลสันทรายและเคย ทางานร่วมกนั มาก่อนครัง้ สมยั ที่ทางานอย่รู ้านแมจ่ นั ธีราวฒั น์ แม้วา่ แรงงานเหลา่ นีจ้ ะไม่ใช่ลกู น้องประจา ของนายอนิ ป๋ัน แตน่ ายอนิ ปั๋นก็สามารถเรียกมาทางานได้ทนั ที 3. พอ่ ค้า นายสนนั่ เป็นคนบ้านศาลา ต.แมจ่ นั แตง่ งานเข้ามาเป็นเขยบ้านดง หมู่ 7 ต.สนั ทราย นายสนน่ั เกิด มาในครอบครัวท่ีมีที่ดินเพียง 14 ไร่ และเน่ืองจากมีพ่ีน้อง 5 คน จึงได้รับมรดกท่ีดินจากพ่อแม่ประมาณ 2 ไร่กว่า แต่นายสนนั่ ก็ขายให้กบั พ่ีสาวไปแล้ว เน่ืองจากพ่ีสาวมีฐานะคอ่ นข้างดีจงึ ซือ้ ท่ีดินของน้องแล้วเอา มาจดั สรรแบ่งขายแทน ภายหลงั จากนายสนนั่ แต่งงานเข้ามาเป็นเขยก็ได้ทานาของพ่อตาแม่ยายจานวน 13 ไร่ และเช่าเพ่มิ อีก 20 ไร่ ขณะเดียวกนั นายสนนั่ ยงั ได้ไปเป็นแรงงานในโรงโมม่ นั สาปะหลงั ในชว่ งปลาย ทศวรรษ 2520 ภายหลังเป็นลุกจ้างโรงโม่ได้เพียง 2 ปี ก็ออกมาทาการค้า โดยในช่วงแรกได้ขาย “ป๊ อบ คอร์น” (ข้าวโพดคว่ั ) โดยนงั่ ขายท่ีตลาดแม่จนั ในช่วงเช้าและตลาดบ้านเดน่ ในชว่ งสาย หลงั จากขายป๊ อบ คอร์นได้ 3 ปี ก็หนั มาค้าผลไม้จนถงึ ปัจจบุ นั 4. กลมุ่ แรงงานรับจ้าง ส่วนใหญ่คนกล่มุ นีจ้ ะเป็นแรงงานรับจ้างในชมุ ชน งานส่วนใหญ่เป็นงานรับจ้างทวั่ ไปงานในสวน ผกั งานรับจ้างถอนหญ้าในบ้าน และงานรับจ้างในภาคเกษตร เช่นการปลูกข้าว เกี่ยวข้าว ซึ่งคนกลุ่มนี ้

123 ยงั คงมีรายได้จากการทางานรับจ้างที่คอ่ นข้างตอ่ เน่ืองตลอดทงั้ ปี โดยเฉพาะรายได้จากการรับจ้างในภาค เกษตร เนื่องจากแรงงานในภาคเกษตรหายาก โดยกลมุ่ คนที่ทางานรับจ้างในชมุ ชน เชน่ 1) นางวิไล จาเริญ ปัจจบุ นั อายุ 48 ปี (พ.ศ. 2558) นางวิไลเป็นคนในตระกลู คาหล้าทราย เม่ือพ่อ เสียชีวิตแล้วทางแม่ก็แตง่ งานใหม่และเร่ิมขายที่ดินมรดกไปเรื่อยๆ เม่ือตกมาถึงมือนางวิไล ก็เหลือเพียงที่ บ้านเท่านนั้ นางวิไลอาศยั อย่กู บั ลกู 2 คน เลีย้ งชีพด้วยการรับจ้างทวั่ ไปในชมุ ชน ตงั้ แตถ่ อนหญ้า ดแู ลคน ป่วย รวมถงึ งานในภาคเกษตรทกุ อยา่ ง นางวไิ ลเป็นแรงงานรับจ้างอสิ ระท่ีไมม่ ีกลมุ่ หรือสงั กดั 2) นายส่มุ เกสร ปัจจบุ นั อายุ 64 ปี (พ.ศ. 2558) นายสุ่มถือเป็นผ้ทู ี่ทางานเป็ นแรงงานรับจ้างใน ภาคเกษตรมาตลอดทงั้ ชีวิต แม้วา่ จะมีท่ีดนิ แตม่ ีอยบู่ ้านบอ่ ทอง อาเภอเมือง เชียงราย ซ่งึ เป็นท่ีดนิ ของพ่อ เม่ือมาอย่ใู นชมุ ชนสนั ทรายจงึ อาศยั เช่าแบ่งครึ่งจากเจ้าของที่ดนิ ร่วมกบั การรับจ้างเลีย้ งควายแบบผ่ากึ่ง รับจ้างปลูกข้าว ใส่ป๋ ยุ ในนาข้าว เกี่ยวข้าว ฟาดข้าว หรือเรียกได้ว่าเป็นแรงงานรับจ้างในทุกขนั้ ตอนของ การปลกู ข้าว ปัจจบุ นั นายสมุ่ ยงั คงทางานรับจ้างปลกู ข้าวและเกี่ยวข้าว แตแ่ ตกตา่ งจากนางวิไล คือนายส่มุ เป็นแรงงานท่ีมีสงั กดั หรือกลา่ วอีกนยั หนงึ่ คือเป็นแรงงานประจาให้กบั คนหางาน/นายหน้าจดั หาแรงงานไป รับจ้างในนาข้าว หรือท่ีเรียกวา่ “คนตกรางวลั ” การเป็นแรงงานท่ีสงั กดั ด้านหนง่ึ จะเป็นการเพิ่มความมน่ั คง ในการทางาน เพราะคนตกรางวลั จะเป็นผ้ไู ปตดิ ต่อกับรับงานปลกู และเกี่ยวข้าวกบั เจ้าของนาด้วยตนเอง จากนนั้ จงึ มาหาคนงานท่ีจะไปทางานให้ครบตามท่ีตกลงกบั เจ้าของนาไว้ (กรณีที่เป็นการจ้างรายวนั และ หากเป็นการจ้างเหมาจานวนคนขึน้ อยู่กับความสามารถของคนตกรางวัลว่าสามารถหาแรงงานได้มาก เท่าใดเพราะหากหาได้มางานก็จะเสร็จเร็วขึน้ ) ตามวนั เวลาท่ีเจ้าของนากาหนด โดยทวั่ ไปแรงงานรับจ้าง มกั จะสงั กัดกับคนตกรางวลั ไม่ก่ีคน บางรายอาจแคค่ นเดียวจากนัน้ ก็ออกไปหางานรับจ้างกบั เจ้าของนา ด้วยตนเอง ท่ีเป็นเชน่ นีเ้พราะในฤดกู ารทางานในนาข้าวใช้เวลาไมน่ าน ประมาณ 2 เดือนเทา่ นนั้ 3. พลวัตและอานาจของการเมืองท้องถ่นิ 3.1 การเปล่ียนแปลงโครงสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ ดงั ได้กล่าวแล้วว่าในตาบลสนั ทรายเป็นตาบลที่มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่ 2 รูปแบบ ใน หวั ข้อนีจ้ ึงจะอธิบายถึงพัฒนาการและความเป็นมาขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน การบริหารงาน การ จัดสรรงบประมาณ ตลอดจนอภิปรายข้อปัญหาและอุปสรรของการบริหารงานในรูปแบบ 1 ตาบล 2 องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน 3.1.1 องค์การบริหารส่วนตาบลสันทราย แตเ่ ดิมมีการบริหารงานในรูปแบบของสภาตาบล ท่ีมีโครงสร้างการบริหารประกอบด้วย (รัตติกาล หนิ แก้ว, 2551: 60)

124 1) กานนั เป็นประธานกรรมการสภาตาบล (โดยตาแหนง่ ) 2) ผ้ใู หญ่บ้านเป็นกรรมการสภาตาบล (โดยตาแหนง่ ) 3) แพทย์ประจาตาบล เป็นกรรมการสภา (โดยตาแหนง่ ) 4) กรรมการสภาตาบลผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ มาจากการเลือกตงั้ หมบู่ ้านละ 1 คน 5) ปลดั อาเภอ หรือพฒั นาการเป็นท่ีปรึกษา 1 คน 6) ครูประชาบาลเป็นเลขานกุ าร ต่อมาได้ยกฐานะและจดั ตงั้ เป็นองค์การบริหารส่วนตาบลสนั ทรายตามพระราชบญั ญัติสภาตาบลและ องค์การบริหารสว่ นตาบล พ.ศ. 2537 (ดรู ายละเอียดโครงสร้างขององค์การบริหารส่วนตาบลเปรียบเทียบ กับสภาตาบลใน ภาคผนวกท้ายบท) การจัดตงั้ เป็นองค์การบริหารส่วนตาบลสันทราย ให้หน่วยงาน ปกครองท้องถ่ินมีฐานะเป็นนิติบคุ คล ทาให้มีความเป็นอิสระในการจดั การบริหารหม่บู ้านด้วยตนเอง โดย องค์การบริหารส่วนตาบลประกอบด้วยสภาองค์การบริหารส่วนตาบลและคณะกรรมการบริหารองค์การ บริหารส่วนตาบล ในส่วนของสภาองค์การบริหารส่วนตาบลประกอบด้วย กานัน/ผ้ใู หญ่บ้านทุกหมู่บ้าน แพทย์ประจาตาบล และสมาชิกท่ีมาจากการเลือกตงั้ โดยประชาชนหม่บู ้านละ 2 คน ส่วนคณะกรรมการ บริหารประกอบด้วย กานนั เป็นประธานโดยตาแหนง่ มีกรรมการบริหารมาจากผ้ใู หญ่บ้านไม่เกิน 2 คนและ จากสมาชิกสภาอีกไมเ่ กิน 4 คน (อนนั ต์ เกตวุ งศ.์ 2555) แต่เมื่อมีการแก้ ไขพระราชบัญญัติสภาตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบลใน พ.ศ. 2542 กาหนดให้สมาชกิ สภาองค์การบริหารส่วนตาบลทงั้ หมดมาจากการเลือกตงั้ โดยประชาชนหม่บู ้านละ 2 คน ถ้าตาบลใดมี 1 หมู่บ้านให้มีสมาชิกได้ 6 คน ถ้ ามี 2 หมู่บ้าน ให้มีสมาชิกได้หมู่บ้านละ 3 คน และมี คณะกรรมการบริหารมาจากความเห็นชอบของสภาองค์การบริหารส่วนตาบล ซ่ึงมีนายกองค์การบริหาร สว่ นตาบล 1 คน และรองนายกฯ 2 คน โดยเลือกจากสมาชิกสภาองค์การส่วนตาบล ทาให้โครงสร้างของ อบต. เปลี่ยนไป ไม่มีกานนั และผ้ใู หญ่บ้าน ทาให้เกิดการจดั แบง่ อานาจหน้าท่ีอย่างชดั เจนระหว่างกานนั ผู้ใหญ่ บ้ านและ อบต. ต่อมาใน พ .ศ. 2546 มีการเปลี่ยนช่ือจาก “คณ ะกรรมการบริหารและ กรรมการบริหาร” เป็น “คณะผ้บู ริหารองคก์ ารบริหารส่วนตาบล” และจาก “ประธานกรรมการ” เป็น “นายก องค์การบริหารสว่ นตาบล” (อนนั ต์ เกตวุ งศ์. 2555) 3.1.2 เทศบาลตาบลสันทราย สาหรับพืน้ ท่ีในเขตเทศบาลตาบลสนั ทรายแต่เดมิ เป็นการบริหารงานในรูปแบบของสขุ าภิบาลโดย คณะกรรมการสุขาภิบาล ตามพระราชบัญญัติสุขาภิบาลพ.ศ. 2495 ซ่ึงคณะกรรมการสุขาภิบาล ประกอบด้วย 1. นายอาเภอแหง่ ท้องท่ีซง่ึ สขุ าภิบาลนนั้ ตงั้ อยู่

125 2. ปลดั อาเภอแหง่ อาเภอที่สขุ าภิบาลนนั้ ตงั้ อยู่ 1 คน ซึ่งผ้วู า่ ราชการจงั หวดั จะได้ประกาศแตง่ ตงั้ ขนึ ้ 3. หวั หน้าสถานี ตารวจ อาเภอ หรือก่ิงอาเภอที่สขุ าภิบาลนนั้ ตงั้ อยู่ 4. สาธารณสขุ อาเภอ หรือก่ิงอาเภอท่ีสขุ าภิบาลนนั้ ตงั้ อยู่ 5. สมหุ ์บญั ชีอาเภอ หรือก่ิงอาเภอท่ีสขุ าภิบาลนนั้ ตงั้ อยู่ 6. กานนั และผ้ใู หญ่บ้านของตาบลและหมบู่ ้าน ซงึ่ อยใู่ นเขตสขุ าภิบาลนนั้ 7. ผู้ท่ีมีคุณสมบัติของผู้ใหญ่บ้านตามกฎหมาย ว่าด้วยการปกครองท้องที่ซึ่งราษฎรในเขต สขุ าภิบาลนนั้ เลือกตงั้ ขึน้ 4 คน ตอ่ มามีการแก้ไข พ.ร.บ. สขุ าภิบาล (ฉบบั ท่ี 3 พ.ศ.2528) ในบางมาตรา1 สง่ ผลให้มีการแก้ไขที่มา ของกรรมการบริหารสขุ าภิบาลใหม่ ดงั นี ้ 1. นายอาเภอหรือปลัดอาเภอผู้เป็นหัวหน้าประจากิ่งอาเภอแห่งท้องที่ที่สุขาภิบาลนัน้ ตัง้ อยู่ แล้วแตก่ รณี (ประธานกรรมการสขุ าภิบาล-โดยตาแหนง่ ) 2. ปลดั อาเภอแห่งอาเภอหรือก่ิงอาเภอท่ีสขุ าภิบาลนนั้ ตงั้ อยู่ แล้วแต่กรณี ซึ่งผ้วู ่าราชการจงั หวดั แตง่ ตงั้ ขนึ ้ จานวนหนง่ึ คน 3. กานนั แหง่ ตาบลซงึ่ มีพืน้ ที่สว่ นหนงึ่ สว่ นใดหรือทงั้ หมดของตาบลนนั้ อยู่ในเขตสขุ าภิบาล 4. ผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลกั ษณะต้องห้ามสาหรับผู้สมัครรับเลือกตงั้ ตามกฎหมายว่าด้วยการ เลือกตงั้ สมาชิกสภาเทศบาล ซงึ่ ราษฎรในเขตสขุ าภิบาลนนั้ เลือกตงั้ ขนึ ้ เก้าคน และเมื่อสุขาภิบาลมีฐานะทางการคลังเพียงพอท่ีจะบริหารงานประจาของเทศบาลได้ ให้ กระทรวงมหาดไทยประกาศชื่อสุขาภิบาลนนั้ ในราชกิจนุเบกษาและให้นายอาเภอหรือปลดั อาเภอผู้เป็น หวั หน้าประจาก่ิงอาเภอพ้นจากตาแหนง่ กรรมการสขุ าภิบาลและประธานกรรมการสขุ าภิบาล โดยให้ดารง ตาแหน่งท่ีปรึกษาคณะกรรมการสขุ าภิบาลแทน และดาเนนิ การเลือกประธานกรรมการสขุ าภิบาลจากหน่ึง คนจากกรรมการสขุ าภิบาล นอกจากนีย้ งั มีการแก้ไขวาระการดารงตาแหนง่ ของกรรมการสขุ าภิบาลจาก 5 ปี เป็น 4 ปี เม่ือมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ได้มีการตราพระราชบญั ญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของ สุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. 2542 กฎหมายฉบับใหม่นีไ้ ด้กาหนดท่ีมาของผู้ที่จะเข้ามาบริหารงานใน เทศบาลใหม่ด้วยการเลือกตงั้ และยกเลิกการเข้ามาตาแหน่งของ กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจาตาบล และสารวตั รกานนั แตอ่ นุโลมให้ดารงตาแหนง่ ต่อนบั จากประกาศใช้ พ.ร.บ. ฉบบั ใหม่ จนหมดวาระแตไ่ มเ่ กิน 5 ปี 1 มาตราทมี่ ีการแก้ไขในพระราชบญั ญตั สิ ขุ าภิบาลฉบบั ท่ี 2 (พ.ศ.2511) คอื มาตรา 7, มาตร 8 ทวิ

126 เม่ือคณะกรรมการสขุ าภิบาลเดิมอย่จู นหมดครบวาระ ก็ได้มีการจดั เลือกตงั้ สมาชิกสภาเทศบาล ตามกฎหมาย และให้สมาชิกสภาเทศบาลของเทศบาลนนั้ เลือกสมาชิกด้วยกนั เองเป็นนายกเทศมนตรีคน หนง่ึ และเทศมนตรีสองคนประกอบเป็นคณะเทศมนตรีแล้วเสนอให้ผ้วู า่ ราชการจงั หวดั แตง่ ตงั้ ทงั้ นี ้ภายใน สิบห้าวนั นบั แตว่ นั ที่มีการเลือกตงั้ สมาชิกสภาเทศบาลเพมิ่ ขนึ ้ และให้คณะเทศมนตรีตามวรรคหนึ่งพ้นจาก ตาแหน่งในวนั ท่ีผ้วู ่าราชการแตง่ ตงั้ คณะเทศมนตรี (สานกั กฎหมาย สานกั งานปลัดกระทรวงมหาดไทย, 2558) ตอ่ มามีการแก้ไขพระราชบญั ญตั เิ ทศบาล (ฉบบั ท่ี 12) พ.ศ. 2546 กาหนดให้เทศบาลประกอบด้วย สภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี ซงึ่ สภาเทศบาลประกอบด้วยสมาชิกสภาเทศบาลซ่งึ มาจากการเลือกตงั้ โดยตรงของประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตงั้ สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผ้บู ริหารท้องถ่ินตามจานวน ดงั ตอ่ ไปนี ้ 1. สภาเทศบาลตาบล ประกอบด้วยสมาชิกจานวนสบิ สองคน 2. สภาเทศบาลเมือง ประกอบด้วยสมาชิกจานวนสบิ แปดคน 3. สภาเทศบาลนคร ประกอบด้วยสมาชิกจานวนยี่สิบส่ีคน สาหรับนายกเทศมนตรี ให้เทศบาลมีนายกเทศมนตรีคนหน่ึงซึ่งมาจากการเลือกตงั้ โดยตรงของ ประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตงั้ สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถ่ิน (พระราชบัญญัติ เทศบาลตาบล (ฉบบั ที่ 12) พ.ศ. 2546) สาหรับเทศบาลตาบลสันทรายได้รับการยกฐานะจากสขุ าภิบาลสนั ทรายเป็นเทศบาลตาบลสัน ทรายเม่ือวนั ท่ี 24 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2542 มีผลทาให้สุขาภิบาลสนั ทรายเป็นเทศบาลตาบลสนั ทรายเมื่อ วนั ท่ี 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 ก่อน พ.ศ. 2546 การแบ่งแยกอานาจของ อบต. มีลักษณะท่ีเป็ นระบบรัฐสภาเช่นเดียวกับ โครงสร้างในระดบั ชาติ กล่าวคือฝ่ ายบริหารมาจากการแต่งตงั้ ของสมาชิกสภา อบต. และสภา อบต. มี อานาจลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ ายบริหาร ในขณะท่ีฝ่ ายบริหารก็มีอานาจยุบสภา อบต. ได้ โครงสร้ างเช่นนี ้ ก่อให้เกิดความไร้ เสถียรภาพของฝ่ ายบริหาร ทาให้การทางานไม่ต่อเนื่อง ปัญหาเช่นนีจ้ ึงนาไปสู่การ เคล่ือนไหวเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างของ อบต. (รวมทงั้ อบจ.) ใน พ.ศ. 2546 มีการผา่ นกฎหมายท้องถิ่นแก้ไข เพิ่มเตมิ 3 ฉบบั 2 ซง่ึ สาระสาคญั ของกฎหมายข้างต้น คือ การกาหนดให้ฝ่ายบริหารขององค์กรปกครองสว่ น ท้องถิ่นมาจากการเลือกตงั้ โดยตรงของประชาชนในท้องถ่ิน ทาให้ทุกตาแหน่งขององค์กรปกครองระดบั 2 ได้แก่ พระราชบญั ญตั ิองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั (อบจ.) ฉบบั ท่ี 3 พ.ศ. 2546 พระราชบญั ญตั ิเทศบาล ฉบบั ท่ี 12 พ.ศ. 2546 พระราชบญั ญตั ิสภาตาบลและองค์การบริหารสว่ นตาบล (อบต.) ฉบบั ท่ี 5 พ.ศ. 2546 ทงั้ สามฉบบั มีผลบงั คบั ใช้ใน ปลาย พ.ศ. 2546

127 ท้องถิ่นในทกุ ระดบั มาจากการเลือกตงั้ โดยตรงจากประชาชนเป็นครัง้ แรก ซ่ึงทาให้มีรูปแบบคล้ายคลึงกับ ระบบประธานาธิบดี กล่าวคือทงั้ ฝ่ ายบริหารและฝ่ ายสภามาจากการเลือกตงั้ โดยตรงของประชาชน ฝ่ าย บริหารจงึ ไม่มีอานาจยบุ สภา และฝ่ ายสภาก็ไม่มีอานาจลงมตไิ ว้วางใจนายกอบต. (กาเนิดและพฒั นาการ องคก์ ารบริหารสว่ นตาบล, 2553 อ้างใน ชยั พงษ์ สาเนียงและพิสษิ ฏ์ นาสี, 2557: 113-114) 3.2 ตวั ละครในการเมืองท้องถ่นิ สาหรับตาบลสนั ทรายพบวา่ กลมุ่ ท่ีเข้าสเู่ วทีการเลือกตงั้ ประกอบไปด้วยกลมุ่ ผ้นู า/หรือกลุ่มอานาจ เดิม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกล่มุ ตระกลู เก่าแก่ และกล่มุ คนใหม่ๆ ที่เติบโตขึน้ มาจากการสะสมทนุ ทางเศรษฐกิจ นอกภาคเกษตรรวมถึงทุนทางสงั คมที่เกิดจากประสบการณ์จากประสบการณ์และการสงั่ สมทนุ จากโลก ภายนอก 3.2.1 กลุ่มเจ้าท่ีดนิ / กลุ่มอานาจเดมิ 1) กล่มุ ตระกลู พรหมณี ดังได้กลา่ วบ้างแล้วว่าตระกลู พรหมณีเป็นตระกลู สาคญั และเป็นเจ้าท่ีดิน ขนาดใหญ่ของสนั ทราย นอกจากมีอิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจแล้วยงั มีบทบาททางสงั คมสงู เนื่องจากเป็น ตระกลู ท่ีครองตาแหนง่ กานนั ตาบลสนั ทรายหลายสมยั สลบั ผลดั เปลี่ยนกนั ในบรรดาญาตพิ ่ีน้อง นอกจากนี ้ ยงั ได้บริจาคที่ดนิ หลายไร่เพื่อสร้างโรงเรียนประจาตาบล คือโรงเรียนสนั ทราย (พรหมณีวิทยา) เมื่อมาถึงคน รุ่นลกู พบว่าทกุ คนตา่ งมีฐานะความเป็นอย่ทู ี่ดี ส่วนหนงึ่ ประกอบอาชีพรับราชการ บางส่วนประกอบธุรกิจ รับเหมากอ่ สร้าง ปัจจุบันคนกลุ่มนีย้ ังคงพยายามรักษาเครือข่ายและอานาจเดิมของตนไว้ผ่านเครือข่ายกานัน ผ้ใู หญ่บ้านที่ตนเคยมีบทบาทอย่างมาก โดยพยายามให้คนในกล่มุ ตระกูลหรือในเครือข่ายของตนยงั คงมี อานาจในการปกครองหม่บู ้าน ดงั พบว่าเดิมกานนั ตาบลสนั ทรายคือนายสมบูรณ์ อริณต๊ะทราย น้องเขย ของนายสมศกั ด์ิ พรหมณี เม่ือนายสมบรู ณ์จะหมดวาระลงในปี 2558 นางสมศกั ดิ์ ก็ได้สง่ ลกู ชายของตนเอง ลงรับสมคั รเลือกตงั้ ด้วยหวงั วา่ หลงั เครือขา่ ยของตนจะยงั คงมีอานาจและเข้มแข็งมากพอที่จะทาให้ลกู ชาย ของตนชนะใจผ้ใู หญ่บ้านทงั้ หมายในตาบลและจะชว่ ยยกมือให้นายสวุ ิทย์ได้เป็นกานนั ตอ่ จากน้องเขยของ ตนเอง ทวา่ ก็ต้องพา่ ยแพ้ให้กบั นายสทุ นั แก้วปินตา พอ่ ตา ของนายกเทศมนตรีสนั ทรายคนปัจจบุ นั นอกจากนีย้ งั มีความพยายามเข้าไปมีบทบาทในการเมืองระดบั จังหวดั โดยนายสุวิทย์ พรหมณี เคยลงสมคั รรับเลือกตงั้ สมาชิกสภาจงั หวดั เชียงราย ใน พ.ศ. 2538 นายสุวิทย์เรียนจบชนั้ ปริญญาตรีรัฐ ประศาสนศาสตร์ และปริญญาโทด้านพฒั นาชุมชนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ก่อนหน้าท่ีจะลง สมคั ร สจ. นายสวุ ิทย์ทางานผ้รู ับเหมาก่อสร้าง ในเวทีการเมืองระดบั ท้องถ่ินนนั้ นายสรุ วิทย์ถือเป็นคนหน้า ใหม่ เพราะมีคแู่ ข่งท่ีสาคญั และคร่าหวอดในเวทีการเมืองท้องถิ่นมานาน เชน่ นายชมชาติ กมั ปะหะ (หรือ สจ. หล้า) นางบศุ กร ติยะไพรัช (หรือนางบศุ ริณธญ์ วรพฒั นานนั น์ นายก อบจ.เชียงรายคนปัจจุบนั ) นาย ประสาท รินนายรักษ์ นายทวี ขดั สรุ ิทร์ และนายรังสรรค์ วนั ไชยะนวงศ์

128 ทวา่ นายสวุ ิทย์ก็ได้รับเลือกโดยได้คะแนนเป็นลาดบั ท่ี 4 ได้คะแนนห่างจากลาดบั ท่ี 3 คือนางบศุ กร ติยะไพรัช เพียง 200 คะแนน เท่านนั้ นายสุวิทย์ให้คาตอบถึงการชนะการเลือกตงั้ อย่างง่ายดายว่าเป็น เพราะบารมีของพอ่ “ได้เพราะพอ่ เป็นกานนั ไปถึงไปขอให้เขาชว่ ยใครจะไปรู้จกั ” (สวุ ิทย์ พรหมณี, 2557) 2) กลมุ่ ตระกลู คาหล้าทราย เป็นกลมุ่ ตระกลู สาคญั ของบ้านโพธนารามซง่ึ หลายคนในตระกลู ดารงตาแหนง่ ผ้ใู หญ่บ้านมาหลาย สมยั และเป็นตระกลู สาคญั ที่คนในตระกลู อยา่ ง นายสมบรู ณ์ คาหล้าทรายสามารถยึดตาแหนง่ สมาชกิ สภา องค์การบริหารส่วนตาบลมาตงั้ แต่สมยั แรก (พ.ศ. 2548) จนถึงปัจจุบนั นายสมบูรณ์บวชเรียนเมื่ออายไุ ด้ 12 ขวบท่ีวัดโพธนารามและอุปสมบทเมื่ออายุได้ 21 ปี และเคยดารงตาแหน่งเจ้าอาวาสวดั โพธนาราม ในช่วงปีพ.ศ. 2516-2522 ภายหลงั ศกึ ออกมาแตง่ งาน สร้างครอบครัวและเป็นผ้ชู ่วยผ้ใู หญ่บ้านในปี 2531 โดยมีนายจนั ทร์ดี คาหล้าทราย (ลกู ผ้พู ่ี) เป็นผ้ใู หญ่บ้านในขณะนนั้ ตอ่ มานายสมบรู ณ์ก็ได้รับเลือกให้เป็น ผ้ใู หญ่บ้านตอ่ นายนายจนั ทร์ดีที่เสียชีวิตในปี 2534 นายสมบูรณ์ดารงตาแหน่งผู้ใหญ่บ้านจนถึงปี 2541 ภายหลงั ก็เข้าส่เู วทีการเมืองท้องถ่ินในปี 2548 และได้รับเลือกจากชาวบ้านเข้ามาดารงตาแหน่งใน อบต. ตงั้ แตน่ นั้ มา โดยในสมยั แรกท่ีได้รับเลือกเข้าเป็นสมาชิก อบต. ก็ได้รับความไว้วางใจจากสภาฯ ให้เป็นประ สภาฯ อาจกล่าวได้วา่ นอกเหนือจากการมีกล่มุ เครือญาตทิ ี่เป็นฐานเสียงสาคญั ในการเลือกตงั้ แล้ว การที่ นายสมบูรณ์เคยดารงตาแหน่งผู้ใหญ่บ้านมาก่อนทาให้ได้รับความนับถือและความไว้เนือ้ เช่ือใจจาก ชาวบ้านเป็นอยา่ งมาก เพราะในชว่ งที่เป็นผ้ใู หญ่บ้านก็สร้างผลงานเชงิ ประจกั ษ์ให้ชาวบ้านเห็น เช่น การขอ งบประมาณสร้างถนนผา่ นท่งุ นาเส้นหลงั วดั เช่ือมตอ่ กบั บ้านป่ ายางตาบลศรีคา้ รวมถึงการนาเงินโครงการ พฒั นาจากพฒั นาชมุ ชนอาเภอแมจ่ นั เข้ามาตงั้ กลมุ่ เมลด็ พนั ธ์ุข้าวบ้านโพธนาราม นอกเหนือไปจากผลงานเชิงประจกั ษ์แล้วบุคลิกและความสามารถส่วนตวั ในการเป็นนกั พดู ก็เป็น ปัจจยั สาคญั ท่ีเปิดพืน้ ท่ีให้นายสมบรู ณ์ได้พบปะผ้คู นและสร้างสมั พนั ธ์กบั ผ้คู นหลากหลายกลมุ่ ทกั ษะการ พดู ในที่สาธารณะสงั่ สมมาตงั้ แตค่ รัง้ สมยั เป็นเจ้าอาวาสเพราะตอนนนั้ ได้ทาหน้าท่ีเป็นครูสอนนกั ธรรมด้วย ภายหลงั สึกออกมานอกจากทานาแล้วก็ใช้เครื่องเสียง ลาโพงของตนเองออกไปกบั ทีมวงดนตรีบ้านแม่คา ออกไปแสดงดนตรีตามที่ตา่ งๆ รวมถึงการรับจ้างเอาเคร่ืองเสียงไปชว่ ย สส. หาเสียงตามที่ตา่ งๆ “อย่างยงยุทธ (ติยะไพรัช – ผู้วิจยั ) นี่พ่อก็เอาเครื่องเสียงตามไปนะ คนแรกเลยที่ตามแก ไปนะ...” (สมบรู ณ์ คาหล้าทราย, 2557)

129 ด้วยเหตนุ ีน้ ายสมบรู ณ์จึงมีหน้าท่ีรับผิดชอบในการเป็นวิทยากร พิธีกรของหม่บู ้านและของตาบล สนั ทรายเม่ือมีงานตา่ งๆ ซง่ึ ถือเป็นเวทีและเปิดพืน้ ท่ีให้ผ้คู นรู้จกั นายสมบรู ณ์ไปในตวั ดงั นนั้ การเลือกตงั้ ใน ทกุ ๆ ครัง้ นายสมบรู ณ์แทบไมต่ ้องใช้วิธีการทาใบปลิวแนะนาตนเองเหมือนผ้สู มคั รรายอ่ืนๆ เพราะเพียงแค่ เดนิ เข้าไปหาหน้าบ้านทกุ คนก็รู้จกั ตนแล้ว 3.2.2 กลุ่มเกษตรกรนายทุน เป็นกล่มุ ท่ีเตบิ โตมาจากการมีที่ดนิ ไม่ถึง 30 ไร่ แตส่ ามารถสะสมทนุ จากการค้าและสะสมความมง่ั คงั่ ด้วยการซือ้ ท่ีนา เช่น ตระกลู จนั ทร์เงิน และเยาว์ธานี (สองกลุ่มตระกูลนีเ้ ก่ียวพนั ธ์กันด้วยการแตง่ งาน) เชน่ นายดวงพร เยาว์ธานี เกษตรรายใหญ่ของชมุ ชนท่ีทานามากกวา่ 100 ไร่ (เป็นเจ้าของ 70 ไร่ เช่าอีก 30 ไร่) มีรถเก่ียวข้าวขนาดใหญ่ 2 คนั มีรถไถนา นอกจากนายดวงพร แล้วลกู หลานคนอื่นในตระกลู จนั ทร์เงินก็ เป็นนายทนุ เกษตรกรรมใหมข่ องชมุ ชนเชน่ เดยี วกนั แม้จะไมม่ ีที่ดินมากเทา่ และคนกลมุ่ นีส้ ว่ นใหญ่จะไมเ่ ข้า มามีบทบาททางเมือง (ที่เป็นทางการ) เพราะมงุ่ ทามาหาเลีย้ งชีพเป็นหลกั จนถึงขนั้ มีเสียงจากคนในชมุ ชน วา่ คนกล่มุ นี ้“ไม่ทาอะไรอยแู่ ตก่ ลางทงุ่ กลางนา ไมช่ ว่ ยการชว่ ยงานอะไรเท่าไหร่” แตก่ ็พบว่ามีคนจากกล่มุ ตระกลู จนั ทร์เงิน เข้าส่เู วทีการเมืองท้องถ่ิน เช่น นายชยั วฒั น์ ธรรมรังสี (ลกู เขยนายซาว จนั ทร์เงิน) ท่ีเข้าไป นง่ั สมาชิกสภาตาบลสนั ทราย 1 สมัย อย่างไรก็ตามการเข้าส่เู วทีการเมืองของนายชยั วฒั น์ เกิดจากการ ชกั ชวนและการสนบั สนนุ ของนายสมบรู ณ์ คาหล้าทราย อดีตผ้ใู หญ่บ้านและสมาชิก .อบต.หลายสมยั 3.2.3 กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจ (คนหน้าใหม่) 1) กลมุ่ ผ้รู ับเหมา กลุ่มผ้ ูรับเหมาดูเหมือนจะเป็ นกลุ่มที่เข้ ามามีบทบาทในการเมืองท้ องถ่ินอย่างมาก ในตาบลสัน ทราย เช่น นายอินทอน เมืองมาหล้า นายก อบต. สนั ทราย ผ้ดู ารงตาแหน่งนายกฯ มาถึง 3 สมยั โดยนั่ง ตาแหนง่ นายกฯ ตงั้ แตส่ มยั แรกที่มีการเลือกตงั้ นายก อบต. แม้วา่ ในสมยั ท่ี 2 นายอินทอนจะพา่ ยแพ้ให้กบั นางอาพร คาเงิน ภรรยาอดีตกานนั ตาบลสันทรายเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้างและผู้สัมปทานท่าขุด ทรายที่อาเภอเชียงแสน แตใ่ นสมยั ตอ่ มานายอินทอนก็กมุ เสียงและชนะนางอาพรมาโดยตลอด หรือในกรณี ของนายอินปั๋น ทองคา จากเกษตรกรและเขยิบมาสู่การเป็นแรงงานรับจ้างและผันตนเองมาสู่การเป็น ผ้รู ับเหมาและเข้าสู่เวทีการเมืองท้องถ่ินใน พ.ศ. 2542 นายอินป๋ันให้เหตผุ ลว่าท่ีลงเล่นการเมืองท้องถิ่น เพราะชาวบ้าน “ขอ” ให้ลง แต่หากพิจารณาแล้วนายอินป๋ันถือเป็นนักการเมือง “หน้าใหม่” ที่มีความ แตกต่างจากคนอื่น เพราะในช่วง พ.ศ. 2542 นนั้ ยงั ไม่มีการแบ่งเขตและยงั ไม่มีการเลือกนายกเทศมนตรี โดยตรง ดงั นนั้ อานาจส่วนใหญ่ก็ยงั คงอยู่ท่ีกล่มุ ผ้นู าเดิม ในกล่มุ ของกานนั และผ้ใู หญ่บ้าน นายอินป๋ันท่ี เป็นคนที่ออกไปทางานนอกหมบู่ ้าน มีประสบการณ์กบั โลกภายนอกและมีเครือขา่ ยลกู น้องท่ีตนเองเป็นคมุ งานอยใู่ นตาบลทาให้ชนะการเลือกตงั้ ได้ไมย่ าก

130 นายอินป๋ัน ชนะการเลือกตงั้ และได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเทศบาลอีกครัง้ ในสมยั ท่ี 2 โดยมีนาย มนู สเุ ลียมมาเป็นนายกเทศมนตรี แต่ในสมยั ท่ีสามนายอินป๋ันลงสมคั รอีกแตไ่ ม่ได้รับเลือก อย่างไรก็ตาม นายกฯ มนู ก็ดึงนายอินปั๋นเข้ามาเป็นรองนายกฯ ในที่สุดนายอินปั๋นก็ตดั สินใจลงแข่งขันกับ “ลูกพ่ี”ของ ตนเองในการชิงตาแหน่งนายกเทศมนตรีตาบลสนั ทราย ดงั ได้กลา่ วก่อนหน้านีว้ า่ ผ้ชู นะการเลือกตงั้ คือนาย ธนพล เมืองคา โดยนายอินป๋ันได้รับคะแนนเสียงทงั้ หมด 116 คะแนน จากผ้มู าใช้สิทธิทงั้ หมด 1,546 คน โดยได้คะแนนเป็นลาดบั สดุ ท้ายจากผ้สู มคั รทงั้ หมด 2) กลมุ่ พอ่ ค้า นายสนนั่ เป็นคนบ้านศาลา ต.แม่จนั แตง่ งานเข้ามาเป็นเขยบ้านดง หมู่ 7 นายสนน่ั ขยบั ตนเองจาก แรงงานรับจ้างโรงโมม่ นั สาปะหลังมาสกู่ ารเป็นพ่อค้าผลไม้ท่ีตลาดประจาตาบล ก่อนจะเข้าสเู่ วทีการเมือง ท้องถิ่นและดารงตาแหนง่ ส.อบต.มาถงึ 3 สมยั แม้นายสนน่ั กะให้เหตผุ ลว่าการที่ตนได้รับเลือกเป็นสมาชิก สภา อบต. เพราะบ้านดงหมู่ 7 ที่อยใู่ นเขต อบต. มีเพียง 12 ครัวเรือน ปีประชากรเพียง 25 คน บคุ คลหรือ คนท่ีจะเข้าส่เู วทีการเมืองท้องถิ่นมีจากัด เพราะคนหน่มุ สาวต่างออกไปทางานนอกหม่บู ้าน ดงั นนั้ แม้ว่า บ้านของนายสนนั่ จะอยู่ในเขตเทศบาลแต่เพราะมีที่นาอยู่ในเขต อบต. ทาให้นายสน่นั สามารถลงสมัคร สมาชิกสภา อบต. ตามคา “ขอ” ของพี่น้องชาวบ้านได้ หากพิจารณาการตดั สินใจเลือกนายสนนั่ ของชาวบ้านก็จะพบวา่ ไมไ่ ด้เลือกเพียงเพราะ “ไมม่ ีใคร” เพราะหากดใู นแง่เศรษฐกิจแล้วนายสนน่ั ถือว่ามีฐานะทางเศรษฐกิจท่ีดีเน่ืองจากเป็นพ่อค้ามีสภาพคล่อง ทางการเงินสงู เม่ือมีความมนั่ คงทางเศรษฐกิจในระดบั หน่ึงแล้วยอ่ มสามารถสละเวลาสว่ นตนทางานให้กบั สว่ นร่วมได้ โดยส่วนตวั ของนายสนน่ั เองก็ไมไ่ ด้ทาให้ชาวบ้านท่ีเลือกเขาต้องผิดหวงั เพราะหลายครัง้ ท่ีนาย สนนั่ ได้เลือกทางานให้กบั สว่ นรวมมากกวา่ การค้าขายของตนเอง 3.3 ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองท้องถ่นิ กับการเมืองระดับใหญ่กว่า ในหัวข้อนีจ้ ะพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองท้องถ่ินซ่ึงได้แก่ อบต. และเทศบาลกับ การเมืองในระดบั ที่สงู กว่า เช่น การเมืองระดบั จงั หวดั หรือการเมืองในระดบั ประเทศ โดยจะพิจารณาตาม ประเดน็ เพื่อให้เหน็ ความสมั พนั ธ์ดงั กลา่ ว ได้แก่ ประเดน็ เร่ืองการอดุ หนนุ ด้านงบประมาณ เน่ืองจากตาบลสันทรายมีการปกครองทัง้ อบต. และเทศบาล ซ่ึงได้รับงบประมาณอุดหนุน แตกตา่ งกัน โดยเทศบาลได้รับมากกว่า อบต. อย่างไรก็ตาม ไม่วา่ จะเป็นเทศบาลหรือ อบต. ตา่ งสะท้อน ปัญหาเดียวกันถึงความไม่เพียงพอด้านงบประมารท่ีรัฐจัดอุดหนุนมาให้น้อย ทาให้การทางานเพ่ือ ตอบสนองความต้องการของประชาชนในพืน้ ที่ไม่สามารถทาได้อยา่ งเตม็ ที่ ข้อจากดั ด้านงบประมาณนี ้ทา ให้ องค์กรปกครองส่วนท้ องถิ่น ต้ องแสวงหางบประมาณจากหน่วยงานท้ องถิ่นอย่างองค์การบริ หารส่วน จงั หวดั (อบจ.) ท่ีถือวา่ เป็นหน่วยงานที่มีงบประมาณจานวนมาก หน่วยงานท้องถิ่นใดต้องการงบประมาณ

131 ในการดาเนินโครงการหรือทากิจกรรมใดก็สามารถเข้าร่วมโครงการกบั อบจ. ได้ ซ่งึ เป็นชอ่ งทางหนึง่ ในการ เข้าถึงงบประมาณในการบริหารงาน เช่น เทศบาลตาบลสนั ทรายได้เข้าร่วมโครงการบริหารจดั การขยะ ร่วมกบั อบจ. เชียงราย (ธนพล เมืองคา, 2558) นอกจากนี ้องคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ินยงั สามารถของบประมาณสนบั สนนุ จาก อบจ. โดยตรง เชน่ เทศบาลตาบลสนั ทรายได้ของบประมาณจาก อบจ. จานวน 5 ล้านกว่าบาทในการปรับปรุงและขยายถนน บริเวณหน้าเทศบาลตาบลสนั ทราย โดยนายกเทศมนตรีได้เลา่ ให้ฟังวา่ “ครับ ของบบางอย่างที่ไม่สามารถทาได้ ซึ่งมันเกินศกั ยภาพของเรา เราก็ขอสองเส้นนะ ครับ เส้นนี้คือเททับอีกทียางแอสฟัลท์ครับ 5 ล้านกว่าบาทเราก็ต้องของทาง อบจ. แต่ ระเบียบของ อบจ.บอกว่ามนั จะตอ้ งเชื่อมต่อระหว่างองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน แต่พอดี ว่าของเราฝ่งั นีเ้ ป็นหลงั อบต.” (ธนพล เมืองคา, 2558) อย่างไรก็ตาม การจะขอรับงบประมาณสนบั สนนุ นนั้ จาเป็นต้องอาศยั สายสมั พนั ธ์ของผ้บู ริหารกบั นกั การเมืองในระดบั จงั หวดั หรือในระดบั ชาติในการเป็นผู้สนบั สนุนในการอนุมตั ิโครงการต่างๆ เช่น การ ของงบสนบั สนนุ จาก อบจ. ท่ีแม้กฎระเบียบจะสามารถทาได้แตต่ ้องอาศยั “ผ้ใู หญ่” ในการชว่ ยผลกั ดนั เรื่อง งบประมาณ ดงั ที่นายธนพล กลา่ ววา่ “...มนั ก็มีส่วนบ้างนะครับเรื่องขอการช่วยในเรื่องของงบประมาณ ถ้าเราไม่เข้ามนั ก็ไม่มี งบประมาณ คือเราก็ตอ้ งเข้าหาผใู้ หญ่บ้างอะไรบา้ ง เพือ่ ขอช่วยผลกั ดนั งบประมาณก็ตอ้ ง มีส่วน ถา้ ลาพงั เรา ผมไม่รู้จดั ใครเลย ใครก็ไม่ผลกั ดนั งบประมาณใหน้ ีค่ ือเรื่องจริงนะครับ ...คือเราโชคดีอย่างหนึ่ง คือเรามีผูใ้ หญ่ในพืน้ ทีข่ องเรา อนั นี้ถือว่าโชคดีไม่ว่าจะเป็น สส. ไม่ว่าจะเป็นนายก อบจ. ...เป็นคนในตาบลของเราเลย...ท่านบศุ ริณธญ์ ท่าน สส.ก็ท่าน ละออง อย่บู า้ นผมเอง ก็ใช้ความสมั พนั ธ์ตรงนี.้ ..” (ธนพล เมืองคา,2558) นอกจากนีก้ ล่มุ องคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ินในอาเภอแมจ่ นั เองก็มีการรวมกลมุ่ กนั เป็นชมรมองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นอาเภอแม่จัน ซ่ึงมีจะการประชมุ ทุก 2 เดือน เป้าหมายของการรวมกลุ่มคือเป็นการ แลกเปลี่ยนปัญหาและการหาทางออกร่วมกัน โดยมีตวั แทนจาก 3 ฝ่ ายเข้าร่วมประชุมคือนายกองค์กร ปกครองสว่ นท้องถิ่น (เทศมนตรี/อบต.) ประธานสภา และปลดั มีการผลดั เปล่ียนกนั เป็นเจ้าภาพในการจดั ประชมุ ซึง่ ถือเป็นลมุ่ ที่มีความเข้มแขง็ และเป็นพืน้ ที่ท่ีเปิดโอกาสให้มีนกั การระดบั ชาติเข้ามาชว่ ยเหลือ ดงั ท่ี นายกเทศมนตรีได้กลา่ วไว้วา่ ความเข้มแข็งของการรวมกลมุ่ ฯ ทาให้มีนกั การเมืองเข้าหาหรือไม่ “มันก็มีส่วนบ้างนะครับเรื่องของการช่วยในเรื่องของงบประมาณถ้าเราไม่เข้ามันก็ไม่มี

132 งบประมาณคือเราก็ต้องเข้าหาผู้ใหญ่บ้างอะไรบ้างเพือ่ ขอช่วยผลกั ดนั งบประมาณมนั ก็ ต้องมีส่วน ถ้าลาฟังเราผมไม่รู้จักใครเลยใครก็ไม่ผลกั ดนั งบประมาณให้เรานี้คือเรื่องจริง นะครบั ” (ธนพล เมืองคา, 2558) แหล่งรายรับขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท่ีสาคญั อีกแหล่งหนึ่งคือการงบอุดหนุนเฉพาะกิจ จากกรมสง่ เสริมการปกครองสว่ นท้องถ่ิน ภาพ 2 ถนนภายในบ้านโพธนารามที่ได้รับเงินจากเงินอดุ หนนุ เฉพาะกิจ จากกรมสง่ เริมการปกครองสว่ นท้องถ่ิน 3.4 การเมืองท้องถ่นิ กับคน “ท้องถ่นิ ” ในประเด็นดังกล่าวนีจ้ ะพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองท้องถ่ินกับคนท้องถ่ิน ใน 2 ประเด็นได้แก่ 1) ประเด็นเร่ืองการตอ่ รองการจดั สรร “ทรัพยากร” ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน และ 2) ประเดน็ การดาเนินนโยบายขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินและปฏิกิริยาของผ้คู นตอ่ นโยบายดงั กลา่ ว 3.4.1 การต่อรองการจัดสรร “ทรัพยากร” ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ อานาจในการจดั สรรงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทัง้ จาก อบต. และเทศบาล