Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัย-ความเปลี่ยนแปลงและกระบวนการสร้างประชาธิปไตย - อ.สมชาย

รายงานวิจัย-ความเปลี่ยนแปลงและกระบวนการสร้างประชาธิปไตย - อ.สมชาย

Published by E-books, 2021-03-02 06:47:49

Description: รายงานวิจัย-ความเปลี่ยนแปลงและกระบวนการสร้างประชาธิปไตย-สมชาย

Search

Read the Text Version

133 ในช่วงแรกยงั อย่ใู นมือของกล่มุ อานาจเก่า ได้แก่กล่มุ กานนั ผ้ใู หญ่ ท่ีเข้ามามีท่ีน่ังในองค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ินโดยตาแหนง่ รัตตกิ าล หินแก้ว (2551: 73) วิเคราะห์วา่ ที่เป็นเช่นนีส้ ว่ นหน่งึ เป็นเพราะนโยบายของ รัฐ ที่มีพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ดารงตาแหน่งรัฐในตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนัน้ (พ.ศ. 2537) หวงั ผลคะแนนในการเลือกตงั้ เม่ือรัฐบาลหมดวาระ กระทรวงมหาดไทยจงึ พยายามรักษาสายสมั พนั ธ์ที่มีมา นานกบั กานนั ผ้ใู หญ่บ้านเอาไว้ เพราะตลอดชว่ งปี 2537 สมาคมกานนั ผ้ใู หญ่บ้านได้ออกมาเคล่ือนไหวและ ชมุ นมุ หลายครัง้ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยอมให้กานนั และผ้ใู หญ่บ้านเข้าไปเป็นกรรมการโดยตาแหนง่ ทงั้ ใน สภาตาบลและ อบต. ท้ายท่ีสดุ แล้วกระทรวงมหาดไทยก็ยอมทาตามข้อเรียกร้องดงั กล่าว การจดั สรรงบประมาณต่างๆ ในการพัฒนายังต้องอาศยั “บารมี” ของผู้นาเก่า เช่น กานนั หรือ ผ้ใู หญ่บ้านในการดาเนินการ เช่น ในช่วง พ.ศ. 2537 – 2542 ที่นายสมศกั ดิ์ พรมณี เป็นกานันตาบลสัน ทราย (สมยั ท่ี 2) และดารงตาแหน่งกรรมการบริหารสุขาภิบาลและประธานบริหารสภาตาบล ได้จดั สรร งบประมาณและอาศยั สายสมั พันธ์ส่วนตวั ที่ตนเองมีกบั นกั การเมืองระดบั ชาติในการถึงงบเข้ามาพฒั นา ตาบลสนั ทราย “พ่อจะได้งบอะไรมาเยอะ กว่าตาบลอื่น พฒั นาก็เร็วกว่าเขาทงั้ หมด ถนนไปท่งุ นา แยก ภายในพื้นทีน่ าเขาก็ให้ เขาให้ถนนไปทง้ั หมด...ทาโครงการ เราเอาแผน 5 ปี เรามี เราก็ เปิ ดออกมาว่ามีโครงการอะไรมีความสาคญั เราก็เอาเข้าในสภา ก็หยิบโครงการข้ึนมาว่า ตอนนีต้ อ้ งการถนนเส้นนี้ สะพานนนั้ วางท่อตรงนี้ ขอมติป๊ บุ เราก็เอางบโครงการนีส้ ่ง ทีนี้ ไดง้ บประมาณมาลา้ น สองลา้ น เราก็แยก โครงการน้ันอันนั้นๆ ส่งไป เขาก็อนุมัติมา... ถนนเส้นดงสวุ รรณนี่ขอจากสุวจั น์ ลิปตพลั ลภ ขอแป๊ บเดียว เดือนเดียว โทรศพั ท์มาบอก ว่า “ส่งโครงการเขา้ มา” ลาดยางไปถึงในโน่นเลย เมื่อก่อนเป็นฝ่นุ เป็นอะไร อนั นี้ 15 ลา้ น” (สมศกั ดิ์ พรหมณี, 2557) จากกรณีตวั อย่างท่ียกมาข้างต้น อาจกล่าวได้ว่าแม้จะเป็น อบต. แตก่ านนั ยงั คงเป็นผ้ทู ่ีมีบทบาท มากท่ีสุดในการจัดการทรัพยากรท่ีมีอยู่และเข้ามาในหมู่บ้าน ทงั้ ในด้านท่ีเป็นผู้ท่ีมีอานาจและอิทธิพล (รัตตกิ าล หินแก้ว, 2551: 70) และหากพิจารณาโดยภูมิหลงั แล้ว กานนั สมศกั ดไ์ิ ม่เพียงมาจากกลมุ่ ตระกลู พรหมณี ซึ่งเป็ นตระกูลใหญ่ และสาคัญ ตระกูลหน่ึงในตาบลสันทรายที่ลูกหลานต่างสืบทอดกันดารง ตาแหน่งกานันมาหลายสมัยเท่านัน้ แต่ยังประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้ าง ส่วนใหญ่เป็นงานก่อสร้ าง โครงการของรัฐ เชน่ สร้างสะพาน สร้างถนน อาจกล่าวได้ว่าในช่วงแรกของการบริหารงานโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ทัง้ อบต.และ เทศบาล) ยังคงเน้นไปท่ีการพัฒนาโครงสร้ างพืน้ ฐานต่างๆ เช่น การทาถนน การติดตัง้ ไฟฟ้า ระบบ นา้ ประปา เพ่ือให้ตาบลของตนเองนนั้ มีความ “เจริญทดั เทียม” หรือรุดหน้ากวา่ ตาบลอ่ืนๆ

134 จดุ เปลี่ยนสาคญั ท่ีนามาส่กู ารเปลี่ยนแปลงบทบาทและอานาจในการจดั สรรทรัพยากรขององค์กร ปกครองสว่ นท้องถ่ินคอื การดาเนินนโยบายประชานิยมภายใต้การนาของรัฐบาลทกั ษิณ ที่ชนะการเลือกตงั้ ในปี พ.ศ. 2544 นโยบายสาคญั ที่เก่ียวข้องโดยตรงกับหม่บู ้านกับท้องถิ่น และส่งผลอย่างมีนยั สาคญั ต่อ การจัดการทรัพยากรในพัฒนาชุมชนหรือท้องถ่ิน คือนโยบายกองทุนหมู่บ้านละล้าน และนโยบาย เงินกองทุน SML โดยโครงการกองทุนหมู่บ้านละล้าน เร่ิมดาเนินการปล่อยกู้เงินกองทุนในวันที่ 25 กรกฎาคม 2554 โดยกู้เงินจากธนาคารออมสินและนาไปปล่อยกู้ให้กับหมู่บ้าน ซ่ึงในการกู้เงินกองทุน กาหนดให้เสียดอกเบีย้ ร้อยละ 4.75 และกาหนดให้แตล่ ะหมบู่ ้านต้องตงั้ คณะกรรมการกองทนุ หมบู่ ้าน สว่ น เงินกองทนุ SML เป็นนโยบายท่ีให้อานาจหมบู่ ้านในการจดั การกองทนุ เอง โครงการกองทุนหมู่บ้านช่วยให้ชาวบ้านเป็นหนีน้ อกระบบลดน้อยลง และเป็นการสร้ างความ เชื่อมนั่ ให้กบั ชาวบ้านว่าตนเองสามารถจดั การบริหารเงินจานวนหลกั ล้านได้ และปัจจบุ นั ชาวบ้านก็มีส่วน ร่วมในการจดั สรรทรัพยากรตา่ งๆ จากองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินมากขนึ ้ ในรูปแบบของการประชาคมใน หมู่บ้านเพื่อเสนอความต้องการของตนเอง ซึ่งแตกต่างจากเดิมท่ีอานาจในกรตัดสินใจอยู่ท่ีผู้บริหาร ชาวบ้านไม่มีสว่ นในร่วมการเสนอความต้องการของตอนเอง ทาได้เพียงยกมือเพื่อแสดงความเห็นชอบที่มี ผ้นู าเป็นผ้ชู ีน้ า (เกษม จนั ทาพนู , 2558) ทงั้ นี ้ โครงการต่างๆ ท่ีชาวบ้านเสนอความต้องการไปจะได้รับการจดั สรรงบประมาณหรือไม่ก็ ขนึ ้ อยกู่ บั ตวั แทนสมาชิกสภาฯ ที่จะเข้าไปแยง่ ชิงทรัพยากรมาพฒั นาพืน้ ท่ีของตนเอง “มนั ไม่ได้ยาก มนั ก็อยู่ที่ ส.อบต. 2 คน เพราะว่าพอทาประชาคมจากชาวบา้ นแล้ว 2 คน นี้ก็ต้องเข้าสภาก็ไปดึงโครงการของใครของมนั ...ไปต่อสู้ ว่าตอนนี้ดอยต่อต้องการอนั นี้ เขามีเงินอยู่ก้อนหน่ึง กอ้ นนีจ้ ะจดั สรรมนั ก็ต้องแย่งกนั ตาบลในเขต อบต. มนั มี 6หมู่บา้ น ก็ตอ้ งไปแย่งชิงกนั ใครจะชิงไดต้ อนนนั้ มากนอ้ ยแค่ไหน ก็อยู่ที่ 2 คนนน้ั อีกที” (เกษม จนั ทาพนู , 2558) สาหรับกลมุ่ จกั สานและกลมุ่ ทอผ้าบ้านโพธนารามนนั้ แม้ปัจจบุ นั จะไมม่ ีการดาเนนิ การในลกั ษณะ ของกล่มุ อย่างจริงจงั และมีเพียงผลงานแบบ “ผกั ชีโรยหน้า” แตก่ ระบวนการผกั ชีโรยหน้าดงั กล่าวนีก้ ลบั เป็นกลไกท่ีแสดงถึงการพยายามตอ่ รองเพ่ือดงึ ทรัพยากร (งบประมาณ) มาจากรัฐ หรือหน่วยงานท่ีเข้ามา สนบั สนุน เช่นในกรณีของกล่มุ จกั สานท่ีแม้จะไม่มีการรวมกล่มุ และสมาชิกก็เหลือน้อย แตเ่ มื่อต้นปี 2556 กลุ่มก็สามารถเสนอของบประมาณเพื่อจัดซือ้ เครือจกั รตอกมาได้ 1 เคร่ือง พร้อมกับอปุ กรณ์จกั สานอีก จานวนหนงึ่ ซงึ่ ปัจจบุ นั ก็ถกู เก็บไว้ในอาคารของกลมุ่ ที่ถกู ทิง้ ร้างไว้

135 ไมเ่ พียงเทา่ นนั้ พบวา่ ชาวบ้านได้ฉวยใช้โอกาสจากการสง่ เสริมด้านการพฒั นาของรัฐผา่ นมาทาง กรมพฒั นาชมุ ชน ให้เป็นพืน้ ที่ตอ่ รองเพ่ือดงึ ทรัพยากรเข้ามาใช้ในชมุ ชน กลา่ วคือในปี 2557 บ้านโพธนา รามได้เข้าร่วมโครงการแผน่ ดนิ ธรรมแผน่ ดนิ ทองและโครงการบ้านสวยเมืองสขุ โครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง เป็นโครงการที่ริเริ่มโดยกองทพั ภาคท่ี 3 โดยเน้นหลกั ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง, โครงการบวร (บ้าน วดั โรงเรียน) และแนวทางยทุ ธศาสตร์ในการพฒั นาประเทศของ คสช. 9 ประการ3 โดยงบประมาณมาจากทางราชการ จากกระทรวง ทบวง กรม ตา่ งๆ และงบประมาณจาก การสนับสนุนของ อปท. ในส่วนของบ้านให้มี 1) การจัดทาบัญชีครัวเรือน (ธกส.) 2) ชุมขนต้นแบบ เศรษฐกิจพอเพียง ศกึ ษาดงู านนามาปรับใช้กบั ชมุ ชน 3) กิจกรรมสง่ เสริมสขุ ภาพครัวเรือน – บญั ชีสขุ ภาพ ครัวเรือน (อสม.) 4) โครงการสาธารณะประโยชน์ (อปท.) สว่ นของวดั ให้เป็นหมบู่ ้านศีล 5 และโรงเรียนให้มี กิจกรรมสร้างคา่ นยิ ม 12 ประการ (สปพ. พะเยา เขต 1, 2557) เมื่อบ้านโพธนาราม เข้าร่วมโครงการแผ่นดนิ ธรรมแผน่ ดนิ ทองจงึ ชจู ดุ เดน่ ในส่วนของบ้าน4 คอื การ เป็นชมุ ชนต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่มีครัวเรือนเข้าร่วมจานวน 30 หลงั เป็นครัวเรือนต้นแบบเศรษฐกิจ พอเพียงท่ีมีการปลกู ผกั สวนครัว การเลีย้ งสตั ว์ (ไกไ่ ข่ กบ หรือปลา) สาหรับคนในหมู่บ้านที่ไม่ได้เข้าร่วม โครงการสว่ นใหญ่พบวา่ ก็มีการปลกู ผกั สวนครัวในบริเวณบ้านของตน ซง่ึ เป็นการขอความร่วมมือกบั ทกุ คน ในหมบู่ ้านวา่ ให้ทาเหมือนกนั แตอ่ าจจะไมม่ ากเทา่ กบั หม่บู ้านที่เข้าร่วมโครงการ แม้เป้าหมายของโครงการคือการปลูกผักเพ่ือบริโภคในครัวเรือนเพื่อลดค่าใช้จ่าย ทว่าในทาง ปฏิบตั ิ ชาวบ้านต้องหมนั่ คอยแลพืชผกั ที่ตนเองปลูกให้มีความสวยงามอย่เู สมอ เพื่อให้เป็นท่ีประทบั ใจต่อ คณะดงู านท่ีเข้ามาเยี่ยมเยือนจากทวั่ ทกุ สารทิศอยา่ งน้อยเดือนละ 1 ครัง้ ดงั นนั้ การปลกู ผกั จงึ ไมไ่ ด้มีไว้เพื่อ กินหรือเหลือไว้ขายเพียงอย่างเดียว แต่เหมือนกับการปลูกไม้ดอกไม้ประดบั ท่ีต้องดูแลเอาใจใส่เพื่อให้ พร้อมจะอวดแก่สายต่อของคณะดงู านให้มีความประทบั ใจ ความเอาใจใส่ว่านีบ้ างรายถึงกบั ต้อง “ตื่นแต่ เช้ามาหยิบหนอนออกจากต้นผักทีละตวั ๆ” โดยชาวบ้านจะได้รับการแจ้งล่วงหน้าว่าจะมีคณะดูงานมา เย่ียมชมในวนั ใดบ้าง และชาวบ้านมีหน้าท่ีต้องรับผิดชอบต่อสวนผกั ของตน บางรายหากผกั สามารถเก็บ 3 ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศของ คสช. 9 ประการ ได้แก่ 1. ยุทธศาสตร์การสร้ างความเป็นธรรมในสงั คม 2. ยทุ ธศาสตร์การพฒั นาคนสสู่ งั คมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอยา่ งยง่ั ยืน 3. ยทุ ธศาสตร์สร้างความเข้มแข็งภาคการเกษตร ความมน่ั คงของอาหารและพลงั งาน 4. ยทุ ธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสกู่ ารเติบโตอย่างมีคณุ ภาพและยงั่ ยนื 5. ยุทธศาสตร์การสร้างความเช่ือมโยงกบั ประเทศในภูมิภาคเพื่อความม่นั คงทางเศรษฐกิจและสงั คม 6. ยุทธศาสตร์การ จัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 7. ยุทธศาสตร์ในการปรับปรุง เปล่ียนแปลงโครงสร้ าง การ บริหารงานของรัฐวิสาหกิจให้เกิดประโยชน์ กบั ประชาชน ในการใช้บริการอย่างแท้จริง 8. ยทุ ธศาสตร์ในเร่ืองการปรับปรุง ระบบโทรคมนาคม เทคโนโลยีของชาติให้เกิดความมนั่ คงและยง่ั ยืน ในอนาคตให้ทดั เทียมอาเซยี น และประชาคมโลก 9. ยทุ ธศาสตร์ในการปอ้ งกนั และปราบปรามทจุ ริต คอรัปชน่ั อยา่ งยง่ั ยนื 4 สว่ นของวดั และโรงเรียนเป็นของหมบู่ ้านอื่นในอาเภอแมจ่ นั

136 กินก่อนจากนนั้ จึงคอ่ ยซือ้ ต้นผกั ท่ีกาลงั เตบิ โตเตม็ ที่และมีความสวยงามทดแทน และเมื่อต้นปี พ.ศ. 2558 ตาบลสนั ทราย โดยมีหมบู่ ้านโพธนารามเป็นตวั แทนก็ได้รับรางวลั ชมเชยระดบั จงั หวดั แม้ดเู หมือนว่าชาวบ้านต้องเสียสละทงั้ แรงงานและเวลาในการเข้าร่วมกิจกรรมดงั กลา่ วอย่างมาก และแม้จะมีเสียงบน่ บ้างในบางครัง้ แตจ่ ากการสอบถามชาวบ้านส่วนใหญ่ท่ีทงั้ เข้าร่วมโครงการหม่บู ้าน ต้นแบบและคนท่ีไมเข้าร่วมแตม่ าชว่ ยงานต้อนรับคณะดงู าน พบวา่ ทงั้ หมดนีก้ ็เพียงเพื่อให้หมบู่ ้านได้รับเงิน สนบั สนุนอย่างต่อเน่ือง ในปีแรกของการเข้าร่วมโครงการหมู่บ้านจะได้รับเงินสนับสนุนจากกรมพฒั นา ชมุ ชนผา่ นมาทางเทศบาล จานวน 100,000 บาท สาหรับหม่บู ้านต้นแบบจะได้รับเงินในการลงทนุ ซือ้ เมล็ด ผักและสัตว์ที่ตนจะเลีย้ งจานวนครัวเรือนละ 2,500 บาท เม่ือเข้าสู่ปี ที่ 2 และ3 หมู่บ้านจะได้รับเงิน สนับสนุนปีละ 60,000 บาท สาหรับการบริหารจัดการงบของชาวบ้านคือจะนาเงินส่วนหน่ึงมาใช้ใน กิจกรรม และกนั เงินส่วนที่เหลือไว้เป็นเงินกองกลางของหมู่บ้าน โดยพบวา่ ชาวบ้านจะพยายามใช้เงินให้ ประหยดั ท่ีสดุ เพ่ือให้เงินเหลือเข้าหมบู่ ้านมากท่ีสดุ ส่วนการเป็นหม่บู ้านศีล 5 แม้จะมีการสร้างกฎกติกาขนึ ้ มาในหมบู่ ้านวา่ ห้ามด่ืมเหล้าและเลน่ การ พนนั ในงานศพ มีการติดตงั้ ปา้ ยยงั จดุ สาคญั ตา่ งๆ ในชมุ ชน แตใ่ นทางปฏิบตั แิ ล้วก็ยงั ไมส่ ามารถหลีกเล่ียง ได้โดยชาวบ้านบอกวา่ “ทาก็ทาอยา่ งลบั ๆ ไมป่ ระเจดิ ประเจ้อ” สาหรับโครงการบ้านสวยเมืองสุขเป็นโครงการท่ีกรมการปกครองเป็นผ้จู ดั ทาขนึ ้ เป็นการราลึกถึง การกาเนิดสถาบนั กานนั ผ้ใู หญ่บ้าน ให้มีการดาเนินกิจกรรม 1 หม่บู ้าน 1ผลงาน 1 เดือน โดยมีเปา้ หมาย ให้บ้านเรือนมีความสะอาด สวยงาม บ้านเมืองมีความสงบสุข ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและ ทรัพย์สิน โดยมีการคดั เลือกหมู่บ้านดีเด่นทงั้ ในระดบั อาเภอ ระดบั จงั หวดั ระดบั เขต ระดบั ภูมิภาคและ ระดบั ประเทศ เพื่อสร้ างแรงจูงใจให้กับกานันผู้ใหญ่บ้านในปฏิบัติงาน ผู้ขบั เคล่ือนโครงการนีใ้ นระดับ ปฏิบัติคือ กานัน ผู้ใหญ่บ้าน แลคณะกรรมการหมู่บ้านในแต่ละพืน้ ที่ โดยมีระยะเวลาตัง้ แต่เดือน พฤศจิกายน 2557 ถึงเดือนกันยายน 2558 งบประมาณในการดาเนินโครงการนี ้(ทั่วประเทศ) มาจาก งบประมาณรายจ่ายประจาปี พ.ศ. 2558 ทงั้ หมดจานวน 20,031,300 บาท สาหรับจงั หวดั เชียงรายได้รับ งบประมาณทงั้ หมด 129,600 บาท (18 อาเภอ 124 หมบู่ ้าน) (กรมการปกครอง, 2558) สาหรับโครงการบ้านสวยเมืองสขุ ไม่มีงบประมาณในการดาเนินการ แตม่ ีเงินรางวลั สาหรับหม่บู ้าน ที่ชนะการประกวด5 แตเ่ น่ืองจากเป็นกิจกรรมท่ีเข้ามาพร้อมกับโครงการแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง จึงได้มี การใช้เงินจากโครงการแผน่ ดินธรรมแผ่นดินทองในการปรับภมู ิทศั น์ของหม่บู ้านให้น่ามองมีความสะอาด ตา ทุกเช้าชาวบ้านต้องกวาดลานบ้านรวมถึงถนนที่อยู่หน้าบ้านของตนเอง และต้องมีการจัดระเบียบ 5 รางวลั ชนะเลศิ ระดบั อาเภอได้รับเงินรางวลั 5,000 บาท, รางวลั ชนะเลิศระดบั จงั หวดั ได้รับเงินรางวลั 10,000, รางวลั ชนะเลิศระดับเขตได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท, รางวลั ชนะเลิศระดบั ภาคได้รับเงินรางวลั 60,000 บาทและ รางวัล ชนะเลศิ ระดบั ประเทศได้รับเงินรางวลั 800,000 บาท (กรมการปกครอง, 2558)

137 ภายในบริเวณบ้านของตนเอง (ศภุ กิจ นวลพนสั , 2558) อนั เป็นการใช้ทรัพยากรของภาครัฐท่ีได้รับมาให้ เกิดประโยชน์สงู สดุ 3.4.2 นโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน: บทสะท้อนของความต้องการของชุมชน การเลือกตงั้ ในเวทีการเมืองท้องถ่ินในตาบลสันทรายปัจจุบนั ดูเหมือนจะหลุดออกมาจากการ ยึดถือในตัวผู้นาหรือกลุ่มอานาจเดิมอย่างสิน้ เชิง หากวัดผลจากชัยชนะขอ งนายธนพล เมืองคา นายกเทศมนตรีตาบลสนั ทรายคนปัจจบุ นั นายธนพลเป็นตวั แทนของคนรุ่นใหม่ ที่มาพร้อมกับนโยบาย ใหม่ๆ ท่ีทนั สมัย กล่าวกันว่ากลุ่มเยาวชนถือเป็นกลุ่มคะแนนเสียงที่สาคญั ของนายธนพล ในท่ีนีจ้ ึงจะ พิจารณาการมีสว่ นร่วมทางการเมืองของคนในท้องถ่ินโดยพิจารณาจากนโยบายของกลมุ่ การเมืองท้องถ่ิน ท่ีชนะใจคนในท้องถ่ินได้แก่ 1. นโยบายกาจัดขยะ เป็นนโยบายแรกท่ีเริ่มดาเนินงาน เนื่องจากตาบลสนั ทราบมีปัญหาในการจดั การขยะมาโดยตลอด โดยการจัดการขยะของผ้บู ริหารชุดก่อนคือการจ้างเหมาเอกชนให้มาจัดการ โดยบริษัทเอกชนจะเข้ามา จดั เก็บและนาไปทิง้ ในพืน้ ที่ท่ีจดั เตรียมไว้ ทว่าก็เกิดปัญหาว่าพืน้ ที่ทิง้ ขยะส่งกลิ่นเหม็นรบกวนชาวบ้าน บริเวณใกล้เคียงและเม่ือถึงฤดฝู นก็เกิดนา้ ทว่ มขงั เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมในระดบั อาเภอ นายธนพลจึงหา แนวทางจดั การขยะใหมท่ ่ีสง่ ผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดล้อมน้อยและมีความยง่ั ยืน โดยแนวทางแรกท่ีเสนอคือการสร้ างเตาเผาขยะ แม้ว่าการประชาคมในช่วงแรกจะผ่านความ เหน็ ชอบวา่ ให้มีการจดั ตงั้ โรงเผาขยะได้ ทวา่ ก็ตดิ ปัญหาตรงท่ีวา่ จะสร้างเตาเผาขยะบริเวณใด “...ผมเข้ามาได้เดือนสองเดือน ผมเข้ามา 29 เมษายนกว่าจะได้ทางานก็พฤษภาคม มิถุนายน เอาละเริ่มผมก็เลยหาวิธีการก็คือเอาแกนนานะครับไม่ว่าจะเป็ นผู้ใหญ่บ้าน กานนั ผู้ใหญ่บ้าน อสม. สท. ผู้สูงอายุก็มาประชุมปรึกษาหารือกันว่าเราจะการวิธีการ ยงั ไงช่วยกนั คือช่วยกนั เราก็โอเค เขาก็บอกมนั มีหลายแนวทางนะครับ คือแนวทางทีน่ ี้พอ เป็ นไปได้คือเรื่องของการใช้เตาเอาเพื่อกาจัดขยะก็ไปดู ผมก็ว่าไปดูหลายที่ดูว่าเขาทา ยงั ไงกนั เตาเผาลกั ษณะอย่างไหนเราก็โอเค พอได้ตกลงละมติละว่าจะทาจะเอาเตาเอา แลว้ ถามว่าทีนีส้ ถานทีล่ ะก็เรียกประชมุ อีก...” (ธนพล เมืองคา, 2558) หลงั จากประชมุ เร่ืองสถานที่ก็ได้ข้อสรุปสามแนวทาง ได้แก่ 1.ใช้พืน้ ท่ีป่ าช้าของชุมชนเพราะหลัง ป่าช้ามีพืน้ ที่อยู่ 2.ให้จดั ซือ้ ที่ และ 3.ไว้ทางสานกั งาน (ท่ีเทศบาล) จากนนั้ จงึ ทาประชามติ สาหรับแนวทาง แรกชาวบ้านไมเ่ หน็ ชอบ แนวทางท่ีสองจดั หาสถานท่ีเราก็ประกาศก็มีคนมาเสนอ3-4 ที่ก็มีการไปประชาคม อีกแตก่ ็ไมผ่ ่าน จงึ เหลือแนวทางสดุ ท้าย เมื่อต้องใช้พืน้ ท่ีเทศบาลในการสร้างเตาเผา จงึ มีรณรงค์การลดใช้

138 ถงุ พลาสตกิ เลน่ ให้ใช้ตะกร้าไปจา่ ยตลาด และการดาเนินมาตรการให้ทกุ หลงั คาเรือนมีการคดั แยกขยะก่อน ทิง้ โดยมีวิทยากรมาให้ความรู้ เริ่มแรกทางเทศบาลใช้วิธีการเก็บถงั ขยะที่อยบู่ ้านทกุ หลงั คาในเขตเทศบาล จากนนั้ ก็แจกถงุ เอาแจกถงุ พลาสติกให้ เดือนละ 5 ถงุ ให้แต่ละบ้านคดั แยกขยะ โดยถงุ ท่ีเทศบาลแจกเป็น ถงุ ใบเล็กๆ เป็นการควบคมุ ปริมาณขยะ และมีการควบคมุ การจดั เก็บขยะโดยในหนึ่งสปั ดาห์จะเก็บพียง 3 วนั คอื วนั จนั ทร์ พธุ ศกุ ร์ (ธนพล เมืองคา, 2558) 2. นโยบายตดิ ตัง้ จุด wi-fi ฟรี ถือเป็นนโยบายที่สะท้อนให้เห็นว่าต้องการตอบสนองความต้องการของกล่มุ เยาวชน คนรุ่นใหม่ โดยเปิดให้มีจุด wi-fi ฟรีทุกหมู่บ้านทุกหมู่บ้านในเขตเทศบาล หมู่บ้านละ 2 จุด ในสถานท่ีสาคัญของ หมู่บ้านเช่น อาคารหรือศาลาประจาหม่บู ้านและที่เทศบาลอีก 1 จุด โดยทุกปีจะเปิดให้ประชาชนในเขต เทศบาลมาขอพาสเวิร์ด ที่มีอายุการการใช้งาน 1 ปี ทัง้ นีเ้ พ่ือจะได้มีการบันทึกข้อมูลสถิติผู้ใช้และเป็น ข้อมลู ประกอบการตดั สินใจเพ่ิมพืน้ ที่ wi-fi จากการดาเนินงานของเทศบาลมา 2 ปี เทศบาลเปิดจุด wi-fi ฟรีแล้วทงั้ หมด 11 จดุ ใช้งบประมาณไปทงั้ สนิ ้ 1 ล้านกวา่ บาท (ธนพล เมืองคา, 2558) จะเห็นได้ว่านโยบายทงั้ สองเป็นสิ่งท่ีสะท้อนสภาพชีวิตของความเป็นอย่ขู องผ้คู นในชมุ ชนในห้วง เวลาปัจจบุ นั ได้เป็นอย่างดี การเปลี่ยนจากสงั คมเกษตรกรรมมาส่สู งั คมสมัยใหม่ที่มีการบริโภคและการ สร้างขยะเชน่ เดียวกนั กบั สงั คมเมือง รวมถึงนโยบายการติดตงั้ จดุ wifi ฟรีก็สมั พนั ธ์กบั การเป็นสงั คมในยคุ ดจิ ิตอลท่ีอินเตอร์เน็ตและการตดิ ตอ่ ส่ือสารมีความสาคญั การขยบั ประเดน็ นโยบายให้ออกมาไกลกว่าการ พฒั นาโครงสร้างพืน้ ฐาน รวมถึงการพยายามแก้ไขปัญหาตา่ งๆ ในลกั ษณะดงั กลา่ วและสง่ ผลตอ่ ชยั ชนะใน การเลือกตงั้ ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวงั ใหม่และความต้องการท่ีจะเปล่ียนแปลงด้านการพฒั นาใน ท้องถ่ินของคนในชมุ ชนได้ไมน่ ้อย 3.5 การเมืองท้องถ่นิ /การเมืองท้องท่ี กลุ่มนักการเมืองท้องท่ีอันได้แก่กานันผู้ใหญ่บ้านถือว่าเป็นกลุ่มผู้มีบทบาทสาคญั ในท้องถิ่นมา ตงั้ แต่อดีต ทงั้ ในแง่การปกครองดูแลทุกข์สุขของลูกบ้านตลอดจนการนาโครงการพฒั นาต่างๆ เข้ามาสู่ หมบู่ ้านโดยอาศยั ความสมั พันธ์สว่ นตวั กบั นกั การเมืองในยคุ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยงั ไม่มีอานาจใจ การจดั สรรทรัพยากรมากนัก แต่ภายหลงั ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีทรัพยากรเพิ่มมากขึน้ และการ โครงสร้างกฎหมายโดยลดบทบาทของกานนั ผ้ใู หญ่บ้านให้เหลือเพียงการทาหน้าท่ีทางด้านปกครอง สว่ น หน้าที่บริหารหรือการพฒั นาหม่บู ้านให้เป็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน (ทงั้ เทศบาลและ อบต.) แทน ทว่าในทางในทางปฏิบัติ สมาชิกสภาฯ และกานัน/ผู้ใหญ่บ้านยังคงทางานร่วมกัน ดงั ได้กล่าวแล้วว่า โครงการตา่ งๆ ท่ีจะนาเสนอเข้าสภานนั้ ล้วนผ่านการประชาคมจากชาวบ้านที่มีผ้ใู หญ่บ้านเป็นผ้ดู าเนินการ ให้

139 ขณะท่ีอานาจทางการเมืองในเร่ิมถ่ายโอนไปสอู่ งค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน กานนั / ผ้ใู หญ่บ้านเองก็ ต้องรักษาเครือข่ายไว้ทงั้ การผันตนเองเข้าสู่เวทีการเมืองท้องถ่ินเสียเอง หรือการรักษาความสัมพันธ์ กับ นกั การเมืองระดบั ชาติไว้ ตวั อย่างท่ีสาคญั เช่นการผลกั ดนั คนหน่มุ หน้าใหม่ให้ได้เป็นสมาชิกสภาจงั หวดั เชียงรายใน พ.ศ. 2538 เป็นความสาเร็จที่แสดงให้เห็นชัดเจนที่สุดของพลังเครือข่ายนี ้ โดยนายสุวิทย์ พรหมมณี ลูกชายของ อดีตกานนั สมศกดิ์ พรหมมณี ซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่และทรงอิทธิพลในตาบลสัน ทราย นายสุวิทย์เรียนจบชัน้ ปริญญาตรีรัฐประศาสนศาสตร์ และปริญญาโทด้านพัฒนาชุมชนจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ก่อนหน้าที่จะลงสมัคร สจ. นายสุวิทย์ทางานผู้รับเหมาก่อสร้ าง ในเวที การเมืองระดบั ท้องถิ่นนัน้ นายสุรวิทย์ถือเป็นคนหน้าใหม่ เพราะมีคู่แข่งท่ีสาคญั และคร่าหวอดในเวที การเมืองท้องถ่ินมานาน เช่น นายชมชาติ กัมปะหะ (หรือ สจ. หล้า) นางบุศกร ติยะไพรัช (หรือนางบุศ ริณธญ์ วรพฒั นานนั ท์ นายก อบจ. เชียงรายคนปัจจบุ นั ) นายประสาท รินนายรักษ์ นายทวี ขดั สรุ ิทร์ และ นายรังสรรค์ วนั ไชยนวงศ์ ทวา่ นายสวุ ิทย์ก็ได้รับเลือกโดยได้คะแนนเป็นลาดบั ที่ 2 โดยคะแนนทิง้ หา่ งจากลาดบั ที่ 3 คือนาง บุศกร ติยะไพรัช 200 คะแนน นายสุวิทย์ให้คาตอบถึงการชนะการเลือกตงั้ อย่างง่ายดายว่าเป็นเพราะ บารมีของพอ่ “ไดเ้ พราะพ่อเป็นกานนั ไปถึงไปขอใหเ้ ขาช่วยใครจะไปรู้จกั ” (สวุ ทิ ย์ พรหมณี, 2557) นายสมศกั ด์ิ พรหมณีซึง่ เป็นกานนั (สมยั ท่ีสองพ.ศ. 2537 – 2542) อยใู่ นขณะนนั้ ได้ใช้เครือข่ายท่ี ตนได้สร้างไว้กับผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับลูกชาย เช่น ความสมั พันธ์กับนายสมบูรณ์ คาหล้า ทราย ซึ่งเคยได้รับการช่วยเหลือและการสนบั สนุนจากกานนั สมศกั ด์ิในช่วงท่ีเป็นผ้ใู หญ่บ้านบ้านโพธนา ราม ซ่งึ หากพิจารณางบประมาณจะพบว่าบ้านโพธนารามได้งบประมาณมากที่สดุ ในบรรดาทงั้ 8 หมบู่ ้าน6 (นายสมศกั ดิ์ พรหมณี, สัมภาษณ์ 16 สิงหาคม 2557) ในช่วงท่ีนายสมบรู ณ์เป็นผู้ใหญ่บ้านนนั้ สามารถ สร้ างถนนคอนกรีตภายในหมู่บ้ านได้ ครบหมดทุกเส้ นทาง (นายสมบูรณ์ คาหล้ าทราย, 2557ข) เชน่ เดียวกบั เงินเดอื นท่ีนายสมบรู ณ์ได้รับมากกว่าผ้ใู หญ่บ้านทกุ หมใู่ นขณะนนั้ “นี่ (หมายถึงนายสมบูรณ์) ได้งบเยอะกว่าใครเพื่อน ได้พระราชทานปี ไหน พ่อ (กานัน สมศกั ดิ์) ให้ 2 ขน้ั ๆ ทกุ ปี ...เงินเดือนเต็มเลย พวกนน้ั เป็นก่อนยงั ไม่ไดเ้ ต็ม...ข้ึนใหท้ กุ ปี ” (สมศกั ดิ์ พรหมณี, 2557) 6 ขณะนนั้ ยงั ไมม่ กี ารแยกบ้านนาล้อม (หมู่ 9) ออกมาจากบ้านแหลว (หมู่ 6)

140 เมื่อลูกชายของนายสมศกั ด์ิ ลงสมัครเลือกตงั้ สจ. นายสมบูรณ์จึงเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยหา เสียงโดยอาศยั ความสามารถด้านการพดู และการเลน่ ดนตรีของตนเข้าช่วย ซงึ่ นายสมบรู ณ์ถือเป็นการตอบ แทนที่นายสมศกั ดเ์ิ คยสนบั สนนุ และชว่ ยเหลือตนมาก่อน 4. องค์กรจดั ตัง้ และเครือข่ายทางสังคม 4.1 องค์กรจัดตงั้ 4.1.1 กลุ่มส่งเสริมเมล็ดพันธ์ุข้าวชุมชนบ้านโพธนาราม กล่มุ เมล็ดพนั ธ์ุข้าวเป็นเครือขา่ ยฐานเสียงท่ีสาคญั ของนายสมบูรณ์ คาหล้าทราย ท่ีได้รับความไว้ วาใจจากชาวบ้านให้เปน้ สมาชิก อบต.ถึง 4 สมยั เน่ืองจากกลมุ่ ดงั กลา่ วก่อตงั้ ขนึ ้ ตามคาแนะนาของพฒั นา ชุมชนใน พ.ศ. 2536 และผ้ใู หญ่บ้านในขณะนนั้ คือนายสมบูรณ์ คาหล้าทรายเป็นผ้รู ับเอาคาเสนอจดั ตงั้ โครงการจากพฒั นาชมุ ชน “ตาบลสนั ทรายตอนนนั้ ยงั เป็นสภาตาบลอยู่ใช่ไหม พฒั นาชมุ ชน เขาก็มา ป ระชุม ว่า ใครจะเอาบ้างฉางข้าว ฉางข้าวนี่เป็ นของพระราชดาริของในหลวง เขาให้มียุ้งฉาง รวมกล่มุ กนั ในหมู่บา้ น...ตาบลสนั ทรายบา้ นอืน่ ไม่เอา เขาไม่สนใจ แต่พอยกมือเอา สน ใจ... ‘ผมเอาครบั ’..” (สมบรู ณ์ คาหล้าทราย, 2557) แรกเริ่มจะได้รับทนุ สนบั สนนุ จากกรมพฒั นาชมุ ชนจานวน 150,00 บาท ในการสร้างฉางเก็บข้าว ในตอนแรกมีสมาชิกเข้าร่วมกว่า 50 คน แตป่ ัจจุบนั มีสมาชิกอย่ทู งั้ หมด 28 คน มีทงั้ คนท่ีทานาและไม่ทา นา มีการตงั้ คณะกรรมการกลุ่มประธาน เลขา และเหรัญญิก โดยแรกเข้าเป็นสมาชิกต้องนาข้าวเหนียว เปลือก (พันธ์ุ กข 6) มาเป็นค่าสมาชิกแรกเข้าจานวน 50 กก.ต่อ 1 หุ้น กลไกการทางานของกลุ่มนีค้ ือ สมาชิกสามารถกู้ยืมข้าวเปลือกได้โดยต้องใช้คืนในอัตราที่มากกว่าจานวนท่ียืม 2 กก. เช่นกู้ยืมข้าวไป จานวน 10 กก. ก็ต้องใช้คืนจานวน 12 กก. เป็นต้น การเปิดให้ก้ยู ืมข้าวจะทาในเดือนสิงหาคม และคืนใน เดือนมกราคมในปีถดั ไป เมื่อครบทุกๆ 3 ปี จะมีการเปิดหลองข้าวและนาข้าวไปขาย จากนนั้ จะนาเงินมา ปันผลให้กบั สมาชกิ และมีคา่ บริหารจดั การประมาณร้อยละ 3 โครงการนีถ้ ือเป็นโครงการที่ประสบความสาเร็จและยังทางานได้อย่างต่อเน่ือง เพราะคนใน หมู่บ้านยงั คงทานาเป็นหลกั และข้าวยงั คงเป็นหลักประกนั ความมั่นคงในชีวิตได้ วลีที่ว่า “อย่างน้อยก็มี ข้าวกิน” นนั้ ยงั ใช้ได้ อย่างไรก็ตาม เง่ือนไขการก้ยู ืมของกล่มุ ฯ ไม่ได้เคร่งครัดวา่ ต้องก้ไู ปกินเท่านนั้ ดงั นนั้ ในยุคที่ข้าวมีราคาแพง สมาชิกจานวนมากก็มากู้ข้าวและนาข้าวไปขายก็ไม่ถือว่าผิดกติกาแต่อย่างใด ในทางตรงกนั ข้ามหากปีไหนท่ีข้าวถกู จะพบวา่ ชาวบ้านแทบจะไมก่ ้ขู ้าวเลย

141 “ปี ที่ขา้ วถูกนน้ั คณะกรรมการต้องช่วยกนั กู้ แม้ว่าตนเองจะมีข้าวอยู่แลว้ ก็ตามเถอะ ก็ตอ้ ง ช่วยกนั กู้มนั ไม่มีใครเอาเพราะขา้ วมนั ถูก” (สมบรู ณ์ คาหล้าทราย, 2557) ภาพ 4 กิจกรรมของกลมุ่ ธนาคารเมลด็ พนั ธ์ขุ ้าวบ้านโพธนาราม 4.1.2 กลุ่มจักสาน เกิดขึน้ จากการเข้ ามาส่งเสริมด้ านอาชีพของเทศบาลตาบลสันทรายใน พ.ศ. 2540 โดย กล่มุ เป้าหมายคือ ผ้สู ูงอายทุ ่ีทางานจกั สานเป็นงานอดิเรกอย่แู ล้ว เทศบาลเป็นฝ่ ายเข้ามาส่งเสริมและหา ตลาดให้ “ก็กล่มุ ผู้สูงอายุเมื่อก่อนทาไม่มีที่ขาย พ่อหลวงบ้าน กลุ่มแม่บ้านเขาก็แนะนามาว่าให้ ทา แล้วจะหาคนมาซื้อ หางานมาให้ทา แล้วเราก็รับทา ส่งโรงพยาบาลนะ มีตระกล้า เล็กเอาไวใ้ ส่ของชาร่วย รพ.เขามาสงั่ เพราะเทศบาลเป็นคนเอาไป ตอนนนั้ เอาไป 20 ใบ

142 เอาไปส่งที่ร้านใกล้เชียงราย เขาก็ถามว่าตะกร้านี้มาจากไหน เขาก็บอกว่ามาจากบ้าน โพธนาราม ต.สนั ทราย เขาก็สืบมาเรื่อยๆ ตอนแรกก็หาไม่เจอ พอเจอก็มาเอาทีน่ ี่” นอกจากเทศบาลจะเข้ามาสง่ เสริมเรื่องการหาตลาดแล้ว ยงั เข้ามาส่งเสริมในการจดั หาอปุ กรณ์ให้ เชน่ เครื่องจกั ตอกไฟฟ้า อปุ กรณ์ตา่ งๆ เชน่ มีด พร้า รวมถึงการสร้างอาคารศนู ย์หตั ถกรรมผ้สู งู อายใุ ห้เป็นที่ เก็บอปุ กรณ์ และเป็นพืน้ ท่ีให้สมาชิกมาทางาน แตด่ ้วยจานวนประชากรผ้สู งู อายทุ ี่ทางานจกั สานมีจานวน ลดลง ขณะเดียวกันเทศบาลก็ขาดการส่งเสริมให้สมาชิกมีงานทาอย่างต่อเน่ือง สถานะของกลุ่มจกั สาน ปัจจุบนั คือ สมาชิกต่างคนต่างทางานจกั สานของตนเอง ขายเอง ก็มีการรวมตวั กันเฉพาะกิจเท่านนั้ คือ รวมตวั กนั เม่ือมีการเข้ามาตรวจงานหรือทาผลงานของเทศบาลเทา่ นนั้ “จริงๆ มีสมาชิกอยู่ 10 คน แต่ไม่มีคนทา พอเขาจะมาทาอะไรที หวั หนา้ เลขาก็มา” (นางคามา จนั ทร์เงิน, 2557) “เขามาตรวจที เขาก็มา เขามาถ่ายรูปไปแลว้ เขาก็ไม่ทาแลว้ เหลือแต่คาทาจริงๆ 4 คน” (นายซาว จนั ทร์เงิน, 2557) ภาพ 5 ศนู ยจ์ กั สานทถี่ กู ทงิ ้ ร้าง

143 4.1.3 กลุ่มทอผ้า (บ้านโพธนาราม) เป็นอีกกลุ่มอาชีพท่ีได้รับการส่งเสริมจากกรมพัฒนาชุมชน เริ่มมีการก่อตงั้ ช่วงปลายทศวรรษ 2530 เน่ืองจากเห็นว่าหลายหลงั คามีหูกทอผ้าไว้ใช้เอง จึงรวบรวมสมาชิกที่มีหูกทอผ้ามารวมกลุ่มและ พฒั นาชุมชนเข้ามาสนบั สนนุ ในการให้ความรู้ในการทอ การขนึ ้ ลาย ในตอนแรกมีการใช้พืน้ ท่ีศาลาวดั ใน การตงั้ หูกทอผ้า หลังจากนัน้ ประมาณ พ.ศ. 2540 ก็ย้ายสถานท่ีมาตงั้ หูกที่บ้านผู้ใหญ่ แม้ว่าจะทอผ้า ออกมาสวยเพียงใดก็ตามแต่ประสบปัญหาการไม่มีตลาดรองรับ สมาชิกหลายคนจึงถอนตวั จากกลมุ่ ใน ปัจจบุ นั เหลือสมาชิกเดมิ ที่ยงั คงทอผ้าอยเู่ พียง 4 คนเทา่ นนั้ ขณะที่เทศบาลตาบลสนั ทรายสร้างผลงานด้วยการสร้างกล่มุ ทอผ้าและกลมุ่ จกั สานขนึ ้ ในชว่ งสมยั การบริหารงานของนายมนู สเุ ลียมมา เพ่ือต้องการแสดงให้เห็นศกั ยภาพของชมุ ชนในเขตพืน้ ที่บริหารของ ตนเอง แตใ่ นทางปฏิบตั ิกล่มุ ทงั้ สองไม่ได้รับการสนบั สนุนอย่างต่อเนื่องทงั้ ด้านการพฒั นาความรู้ ทักษะ ฝีมือ และการหาตลาดรองรับผลิตภัณฑ์ นโยบายพัฒนาที่ไร้ ความต่อเน่ืองนีต้ ่างได้รับคาตาหนิจาก ชาวบ้านกนั ถ้วนหน้าถึงความไมจ่ ริงจงั ซง่ึ อาจเป็นเหตผุ ลหนึ่งที่ทาให้ตาแหน่งนายกเทศมนตรีของนายมนู ต้องสน่ั คลอนและถกู ท้าทายโดยนโยบายการพฒั นาใหมๆ่ ของนายธนพลก็เป็นได้ 4.2 เครือข่ายทางสังคม 4.2.1 กลุ่มป่ าชุมชนบ้านนาล้อม กล่มุ ดงั กล่าวจดั ตงั้ ขึน้ จากการนาของนายจรัญ ปันทะทา ผ้ใู หญ่บ้านและหนึ่งในผ้รู ่วมขบวนการ เคลื่อนไหวเรื่องป่ าชมุ ชนของบ้านนาล้อม การเคลื่อนไหวดงั กลา่ วมีจดุ เร่ิมประมาณ พ.ศ. 2532 ท่ีมีนายทนุ เข้ามาบกุ รุกท่ีป่าทางทิศเหนือของหม่บู ้าน มีการมาตกลงซือ้ ขายกบั ชาวบ้าน โดยมีผ้มู ีอทิ ธิพลหรือกลมุ่ ผ้นู า เก่าในหมบู่ ้านเป็นผ้พู าชาวบ้านไปออกใบโฉนดจบั จองจากนนั้ ก็ขายให้กบั นายทนุ สถานการณ์ดเู หมือนจะ เลวร้ายขึน้ จึงเร่ิมมีการเคลื่อนไหวเพื่อคดั ค้านการเข้ามาซือ้ ที่ของนายทุน โดยมีแกนนาท่ีสาคญั หลายคน เชน่ นายขวญั ชยั คามลู นะ นายแก้ว นามบตุ ร และนายกนั ปันทะทา จากการเคลื่อนไหวใน พ.ศ. 2532 ก็มีการตอ่ ส้แู ละเคลื่อนไหวของชาวบ้านเรื่อยมา เช่นการขอเข้า พบนายอาเภอ การไปยื่นถวายฎีกาที่กรุงเทพฯ เพ่ือเรียกร้องให้มีการออกโฉนดชมุ ชน แม้วา่ ในปัจจบุ นั ก็ยงั ไม่สามารถทาได้หรือมีมาตรทางกฎหมายใดๆ รองรับ ทาให้กล่มุ ป่ าชมุ ชนจึงมีบทบาทเพียงการดแู ลรักษา เขตพืน้ ท่ีป่ าในปัจจบุ นั ไว้ไม่ให้มีการบกุ รุกจากนายทนุ เพ่ิมขนึ ้ กลมุ่ ป่ าชมุ ชนุ บ้านนาล้อมมีความร่วมมือกนั คอ่ นข้างมากเห็นได้จากเม่ือนายทุนสวนสบั ปะรดแอบจดุ ไฟเผาที่ไร่ในตอนกลางคืน ทางกลมุ่ ก็ได้ช่วยกัน ระดมจบั คนจดุ ไฟและนาเรื่องไปถึงตารวจ โดยมีการแจ้งความให้มีการจบั กมุ และดาเนินคดีตามกฎหมาย กบั ผ้กู ระทาการ

144 อย่างไรก็ตาม กลุ่มป่ าชุมชนยังขาดความร่วมมือในระดับเครือข่ายที่เช่ือมโยงกลุ่มป่ าชุมชน หมบู่ ้านตา่ งๆ เข้าด้วยกนั เพียงแต่แบง่ ความรับผิดชอบในการดแู ลพืน้ ท่ีในเขตหมบู่ ้านของตนเท่านนั้ ด้วย เหตนุ ีก้ ล่มุ ป่ าชมุ ชนจงึ ต้องสร้างสมั พนั ธ์กบั หนว่ ยงานปกครองส่วนท้องถ่ิน หรือหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐเพื่อ สร้างตวั ตนและสร้างพืน้ ที่ให้เห็นวา่ มีกลมุ่ ดงั กลา่ วในหมบู่ ้านและกาลงั ทาหน้าท่ีของกลมุ่ อยา่ งตอ่ เน่ือง เชน่ การเขียนโครงการของบประมาณจาก อบต.สนั ทรายในการจดั งานปลูกต้นไม้ในวันแม่แห่งชาติในทุกปี เชน่ เดยี วกบั การรับการสนบั สนนุ กล้าไม้จากศนู ย์เพาะชากล้าไม้หนองจนิ ้ ขณะที่สมาชกิ ในกลมุ่ ป่ าชมุ ชนตลอดจนชาวบ้านเองก็มีการสนบั สนนุ และชว่ ยเหลือคนในกลมุ่ ของ ตนเอง ดงั เห็นได้จากการเคลื่อนไหวเร่ืองการคดั ค้านการสร้างบ่อขยะของนายจรัญ ที่ได้รับการสนบั สนุน จากชาวบ้านอย่างเต็มที่ส่วนหนึ่งได้อาศยั เครือขา่ ยหรือฐานมวลชนเดมิ จากกล่มุ ป่ าชุมชน แรงสนบั สนนุ นี ้ สง่ ผลต่อการพลาดตาแหน่งนายก อบต. สนั ทรายสมยั ท่ีสองของนางอาพร คาเงิน (ปงปัญญายืน) ซ่ึงเป็น ผ้ใู ห้การสนบั สนนุ การสร้างบอ่ ขยะในขณะนนั้ ภาพ 3 พนื ้ ท่ปี ่ าชมุ ชนบ้านนาล้อมทก่ี นั ไว้จากการทาสวนสบั ปะรดของนายทนุ 4.2.2 เครือข่ายการเมืองระดบั ชาติ ตาบลสนั ทรายถือเป็นพืน้ ท่ีที่เป็นฐานเสียงสาคญั ของตระกลู ติยะไพรัช แม้วา่ นายยงยทุ ธ และนาง ละอองจะไม่ได้ดารงตาแหน่งทางเมืองแล้ว ทวา่ ยงั มีบทบาทอย่างตอ่ เน่ืองตอ่ การเมืองในพืน้ ท่ีทงั้ ในระดบั จงั หวดั และระดบั ท้องถิ่น อีกทงั้ ยังมีนางบุศริณธญ์ วรพัฒนานนั ท์ พี่สาวของนายยงยทุ ธ ดารงตาแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายในปัจจุบัน ซ่ึงมีบทบาทอย่างมากต่องานบริหารท้องถ่ิน

145 โดยเฉพาะการจดั สรรงบประมาณให้กบั องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตา่ งๆ ในจงั หวดั เชียงราย ดงั ท่ีได้เคยไว้ แล้ว นอกจากนีต้ ระกุลติยะไพรัช ยังคงรักษาสายสัมพนั ธ์กับกลุ่มกานันผ้ใู หญ่บ้านอย่างเหนียวแน่น เพราะเป็นกลมุ่ ฐานเสียงและหวั คะแนนท่ีสาคญั ด้วยการสนบั สนนุ กิจการของกลมุ่ กานนั ผ้ใู หญ่บ้านรวมถึง การสนบั สนนุ เป็นรายบุคคล เช่น การหาเสียงเลือกตงั้ นายกเทศมนตรีเมื่อ พ.ศ. 2555 ท่ีผ่านมาชาวบ้าน ตา่ งทราบดีว่านายธนพลนนั้ มี สส. (หมายถึงนางละออง) เป็น “back up” ให้ เนื่องจากพ่อตาของนายธน พลเป็นผ้ใู หญ่บ้านหมู่ 7 แม้จะไม่มีการแสดงออกอย่างชดั เจนในช่วงนี ้(พ.ศ. 2558) เพราะผ่านเหตกุ ารณ์ความรุนแรงและ การแยกขวั้ ทางการเมืองมานานหลายปี อยา่ งไรก็ตาม เป็นท่ีรับรู้กันทว่ั ไปว่าตาบลสนั ทรายเป็นพืน้ ที่และ ฐานท่ีมนั่ ของคน “เสือ้ แดง” เพราะนกั การเมืองคนสาคญั ในสมยั รัฐบาล พ.ต.ท. ทกั ษิณ ก็คอื นายยงยทุ ธ ติ ยะไพรัช เป็นคนท่ีมีพืน้ เพในตาบลสนั ทรายโดยกาเนิด แม้ว่าปัจจบุ นั การแสดงตวั ว่าใครเป็น “เสือ้ แดง” จะ ไม่ทาอย่างเปิดเผย หรือบางส่วนก็ไม่แสดงตวั อย่างชดั เจนว่าตนเลือกข้างทางการเมืองแบบใด แต่ชัยชนะ ของนายกเทศมนตรีคนปัจจบุ นั ก็เป็นเครื่องยืนยนั หนึง่ ที่สาคญั ว่าหวั ใจของคนส่วนใหญ่เป็น “สีแดง” เพราะ นายธนพลเองก็ได้เปิดเผยวา่ ในชว่ งท่ีตนหาเสียงเลือกตงั้ นายกเทศมนตรีนนั้ ตนก็ได้ใช้สีแดงเป็นสญั ลกั ษณ์ ทางการเมือง โดยตนและทีมงานได้สวมเสือ้ สีแดงตลอดชว่ งเวลาในการหาเสียง “แต่ก่อนนี้ ตอนผมหาเสียงเสื้อแดงค่อนข้างแรงตอนนน้ั นะ แต่มนั ก็ลกั ษณะคือใช้โอกาส จงั หวะคล้ายๆ อ้างไง...เป็นเสื้อแดงนะผมสนิท สส. นะ (ผู้สมคั รนายกฯ) 4 คนก็อ้างกนั หมด...” (นายธนพล เมืองคา, 2558) จากการพดู คยุ กบั ชาวบ้านที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ค้าขายและรับเหมาก่อสร้าง ตลาดรวมไป จนถึงผ้นู าชมุ ชน ตา่ งให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกนั ว่าชื่นชอบนโยบายและการทางานของรัฐบาลที่นา โดย พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกองทุนหมู่บ้านที่ทาให้พวกเขาสามารถกู้เงินมาลงทุนทา การเกษตรได้ หรือวา่ จะเป็นนโยบายปราบปรามยาเสพตดิ ท่ีเป็นที่ช่ืนชอบของผ้นู าชมุ ชน เพราะถือเห็นว่า เป็นนโยบายท่ีเด็ดขาดและแก้ไขปัญหาในชมุ ชนที่มีมายาวได้ได้ชะงดั ความช่ืนชอบตอ่ นโยบายของรัฐบาล ได้มีความตอ่ เน่ืองและเช่ือมโยงมาถึงความชื่นชอบตอ่ รัฐบาลท่ีนาโดย น.ส. ย่ิงลกั ษณ์ โดยเฉพาะโครงการ รับจานาข้าว ท่ีชาวบ้านส่วนใหญ่ช่ืนชอบและตา่ งบน่ กนั เม่ือโครงการสิน้ สดุ ลงว่า การทานาในตอนนีท้ าไป แค่ “ยะไปจะอน้ั ...บ่าฮู้จะไปยะอะหยง๋ั แล้ว...” เพราะถึงแม้จะขายข้าวในราคาถกู และได้กาไรเฉลี่ยต่อไร่ เกือบไมถ่ ึง 3,000 บาท แตก่ ็ต้องทาไป

146 อาการหวนระลกึ ถึงประโยชน์ที่ตนเคยได้รับจากนโยบายสมยั ทกั ษิณและยิง่ ลกั ษณ์ เป็นบรรยากาศ ท่วั ไปท่ีรับรู้ได้เพียงแค่เอ่ยปากถาม อย่างไรก็ตาม อาการ “รักแต่ไม่แสดงออก” ของชาวบ้านก็สามารถ เข้าใจได้ภายใต้เงื่อนไขทางการเมืองปัจจบุ นั “บอกตรงๆ อย่างรัฐบาลของท่านทักษิ ณกับยิ่งลักษณ์มันเป็ นนโยบายที่ว่าจับต้องได้ ชาวบ้านมนั เห็นชัดเจน เป็ นนโยบายประชานิยม อย่างประกันราคาข้าว จานาข้าว มัน เห็นว่ามนั ได้เท่านีๆ้ มนั ชดั เจนขึ้นมา แล้วตอนนี้มาเป็นรัฐบาลรักษาการณ์ รัฐบาลทหาร มนั เปลีย่ นแปลงไปหมด อย่างถามว่าเรื่องราคาขา้ ว ก็ว่าคณุ ไม่ไดค้ ณุ จะทาทาไม มนั ไม่ได้ ตอบคาถาม แล้วชาวบ้านมนั ก็คาใจ เราทามาทกุ ปี ทาไมไม่ให้คาตอบที่ชดั เจนออกมาว่า ราคาข้าวจะได้เท่าไร จุดยืนอยู่ตรงไหน แล้วถ้าเกิดเราทาไปแล้วขายไม่ได้ จะรับผิดชอบ ยงั ไง ชาวบ้านก็ไม่รู้แล้ว ตอนนี้ ...มนั เป็นแบบนี้ มนั มีหลายอย่างเปลี่ยนแปลง ตอนนีท้ กุ อย่างโครงการมามันต้องบงั คบั คาสงั่ มาเลย อย่างพ่อหลวงต้องปฏิบตั ินะ คาสง่ั มาโดย ทีส่ ดุ ตอ้ งปฏิบตั ิตามนีห้ า้ มใครฝ่าฝื น บงั คบั ก็บงั คบั มาเลย...มนั พดู อะไรกนั ไม่ได”้ (เกษม จนั ทาพนู , 2558) แม้การสอบถามชาวบ้านจานวนมากเกี่ยวกับการเข้าร่วมการเคล่ือนไหวทางการเมืองในช่วงที่มี ความขัดแย้งทางการเมืองเร่ืองสีเสือ้ อย่างรุนแรง ว่าชาวบ้านในตาบลสันทรายได้เข้าร่วมขบวนการ เคล่ือนไหวดงั กล่าวหรือไม่ ชาวบ้านส่วนใหญ่มีความเห็นว่าให้การสนบั สนุน แต่ไม่แสดงออกด้วยการไป เคลื่อนไหว อยา่ งไรก็ตาม มีเสียงเล็ดลอดออกมาว่าในช่วงท่ีมีการชมุ นมุ เสือ้ แดงชาวบ้าน “บางส่วน” ได้ไป เข้าร่วมด้วย โดยการเหมารถไปร่วมชมุ ชนท่ีกรุงเทพฯ และกล่าววา่ เพราะได้รับทงั้ อามิสสินจ้าง ทงั้ ค่าจ้าง รายวนั ในการร่วมชมุ นมุ และคา่ เดนิ ทางในการเข้าร่วมชมุ นมุ

147 เอกสารอ้างองิ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย.2556. “รายงานสถิตจิ านวนประชากรและบ้าน ประจาปี พ.ศ.2556”. สืบค้นวนั ที่ 29 พฤศจกิ ายน 2556, จาก http://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/statTDD/views/showDistrictData.php?rcode=57& statType=1&year=56, ______ .2558. “โครงการคดั เลือกหมบู่ ้านดเี ดน่ (บ้านสวย เมืองสขุ ) ประจาปี 2558” สืบค้นวนั ท่ี 5 เมษายน 2558, จาก http://www.dopa.go.th/images/document/0303/0310.3_v18301.pdf กรีนบสั .2556. “ข้อมลู องคก์ ร”. สืบค้นวนั ที่ 29 พฤศจกิ ายน 2556, จาก http://www.greencorporatethai.com/about/ คณะกรรมการพฒั นากฎหมาย สานกั งานคณะกรรมการกฤษฎีกา.2557. “พระราชบญั ญตั สิ ขุ าภิบาล พ.ศ. 2495”. สืบค้นวนั ท่ี 2 ตลุ าคม 2557, จาก http://www.lawreform.go.th/lawreform/index.php?option=com_lawreform&hidemainmenu =1&task=showlaw&docid=28058&lid=729&sid=7&Itemid=19# ______ . 2557. “พระราชบญั ญตั สิ ขุ าภิบาล (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ. 2528”. สืบค้นวนั ท่ี 2 ตลุ าคม 2557, จาก http://www.lawreform.go.th/lawreform/index.php?option=com_lawreform&hidemainmenu =1&task=showlaw&docid=28058&lid=729&sid=7&Itemid=19# โฆษิต ไชยประสิทธ์ิ. 2554. “โครงการหลวง: ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ” . สืบค้นวนั ที่ 2 ตลุ าคม 2557,จาก http://www.research.cmru.ac.th/2013/ris/resout/arc/NRCT-1-HUSO-1-54.pdf ชลิศา รัตรสาร. 2553. “ความคืบหน้าในโครงการกอ่ สร้างสะพานข้ามแมน่ า้ โขงแหง่ ท่ี 4”.จดหมายขา่ ว ศนู ย์ การศกึ ษาโลจิสตกิ ส์. 1 (4). สืบค้นวนั ที่ 29 กนั ยายน 2557, จาก http://logistics.siam.edu/2009- 10-08-04-19-04/86----1--4---2553 ชยั พงษ์ สาเนียงและพิสิษฏ์ นาสี. 2557. องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน: พืน้ ท่ีการเมือง(ก่ึง)ทางการโดยคนที่ ไมเ่ ป็นทางการ. วารสารมนุษยศาสตร์สาร. 15 (1): 113-114. ดวงจนั ทร์ เกรียงสวุ รรณ.2549.บทความวทิ ยรุ ายการสาระความรู้ทางการเกษตร ประจาวนั จนั ทร์ท่ี 14 สิงหาคม 2549 เร่ือง ผกั ขีห้ ดู . สืบค้นวนั ท่ี 29 พฤศจิกายน, จาก http://natres.psu.ac.th/radio/radio_article/radio48-49/48-490046.htm ทพิ วรรณ สวุ รรณโน. 2555. การปรับตวั และธารงรักษาวฒั นธรรมในสภาพแวดล้อมใหมข่ องชาวอีสาน อพยพ: กรณีศกึ ษาตาบลดงมหาวนั กิ่งอาเภอเวียงเชียงรุ้ง จงั หวดั เชียงราย. การค้นคว้าอิสระ

148 ปริญญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการจดั การมนษุ ย์กบั สิ่งแวดล้อม มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่ เทศบาลตาบลสนั ทราย. 2555. แผนพฒั นาสามปี (พ.ศ. 2556-2558). (เอกสารอดั สาเนา) _______. 2557. แผนพัฒนาสามปี (พ.ศ. 2558-2560). (เอกสารอดั สาเนา) _______. 2557. รายงานการประชมุ สภาเทศบาลตาบลสนั ทราย สมยั สามญั สมยั ที่ ๑ ครัง้ ที่ ๑ ประจาปี พ.ศ. 2557. สืบค้นวนั ที่ 26 กมุ ภาพนั ธ์ 2558, จาก http://www.sansaimaechan.go.th/index.php ปรีญาวลั ย์ ใจปินตา.2554. “กลยทุ ธ์ที่หลากหลายในการดาเนนิ ชีวิตและการตอ่ รองของแรงงานรับจ้างใน ภาคเกษตรกรรม” วิทยานพิ นธ์ ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการพฒั นาสงั คม บณั ฑิต วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่ แผนพฒั นาชมุ ชนบ้านโพธนาราม. มปป.(เอกสารอดั สาเนา) พรรณภทั ร ปลง่ั ศรีเจริญสขุ .2551. “อตั ลกั ษณ์ของแรงงานข้ามชาตคิ ืนถ่ินกบั การตอ่ รองการพฒั นาของ ชาวบ้านในจงั หวดั ลาปาง” วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิการการพฒั นาสงั คม บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่ ไพบลู ย์ สทุ ธสภุ า.2541. รายงานการวจิ ยั การศกึ ษาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสงั คมของเทคโนโลยีการ ปลกู ข้าวญ่ีป่นุ ของเกษตรกรไทยในภาคเหนือของประเทศไทย. ภาควิชาสง่ เสริมและเผยแพร่ การเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงราย.2557. “ประวตั มิ หาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชียงราย”. สืบค้นวนั ที่27 กนั ยายน 2557, จาก http://www.crru.ac.th/crruhis.php รัตติกาล หินแก้ว. 2551. “ความเปล่ียนแปลงของการเมืองท้องถิ่น: ศกึ ษากรณี องคก์ ารบริหารส่วนตาบล ป่าสกั อาเภอเมือง จงั หวดั ลาพนู (พ.ศ. 2538-ปัจจบุ นั )” วทิ ยานิพนธ์ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาประวตั ศิ าสตร์ บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. รัตนาพร เศรษฐกลุ . 2546. หน่ึงศตวรรษเศรษฐกจิ ชุมชน หมู่บ้านภาคเหนือ. กรุงเทพฯ: พมิ พ์ดี จากดั . โรงเรียนแมจ่ นั วทิ ยาคม. 2557. “ประวตั โิ รงเรียน”. สืบค้นวนั ที่ 27 กนั ยายน 2557, จาก http://www.mwk.ac.th/main/?name=page&file=page&op=%BB%C3%D0%C7%D1%B5% D4%E2%C3%A7%E0%C3%D5%C2%B9 โรงเรียนสามคั ควี ิทยาคม. 2557. “ประวตั โิ รงเรียน”. สืบค้นวนั ท่ี 27 กนั ยายน 2557, จาก http://www.samakkhi.ac.th:81/samakkhi/index.php?name=page&file=page&op=%E0%B

149 8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8% B4%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5% E0%B8%A2%E0%B8%99 วิกิพีเดีย. 2557. “โรงเรียนดารงราษฎร์สงเคราะห์”. สืบค้นวนั ท่ี 27 กนั ยายน 2557, จาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0% B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B8% A3%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3% E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0% B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C วทิ ยาลยั เทคนิคเชียงราย.2557. “ประวตั วิ ิทยาลยั เทคนิคเชียงราย”. สืบค้นวนั ที่ 27 กนั ยายน 2557, จาก http://www.ctc.ac.th/ctc/index.php/history วทิ ยาลยั อาชีวศกึ ษาพาณิชยการเชียงราย. 2557. “ประวตั วิ ิทยาลยั ”. สืบค้นวนั ท่ี 27 กนั ยายน 2557, จาก http://www.ccvc.ac.th/main/index.php?option=com_content&view=article&id=22&Itemid =29 สปพ. พะเยา เขต 1. 2557. “รายละเอียดโครงการแผน่ ดนิ ธรรมแผน่ ดนิ ทอง ทภ.3”. สืบค้นวนั ท่ี 5 เมษายน 2558, จาก http://www.pyo1.go.th/news/index.php?topic=569.0 สมุ าตร ภลู ายยาว. 2549. “รายงาน ‘เชียงแสน: เมืองประวตั ศิ าสตร์บนสนามการค้า’”. สืบค้นวนั ท่ี 27 กนั ยายน 2557, จาก http://www.prachatai.com/journal/2006/07/8909, สานกั กฎหมาย สานกั งานปลดั กระทรวงมหาดไทย. 2558. “พระราชบญั ญตั เิ ปลี่ยนแปลงฐานะขอ สขุ าภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. 2542”. สืบค้นวนั ที่ 25 กมุ ภาพนั ธ์ 2558, จาก http://www.law.moi.go.th/ สานกั งานเกษตรอาเภอแมจ่ นั . 2554. แผนพัฒนาเกษตรปี 2554-2556 ตาบลสันทราย _______. 2557. “พืชเศรษฐกิจท่ีสาคญั ”. สืบค้นวนั ท่ี 20 พฤศจิกายน 2557, จาก http://maechan.chiangrai.doae.go.th/maechan4.htm. สานกั งานคณะกรรมการกฤษฎีกา. 2558. “พระราชบญั ญตั เิ ทศบาล พ.ศ. 2546และท่ีแก้ไขเพ่ิมเตมิ ถึงฉบบั ท่ี 13 พ.ศ. 2552”. สืบค้นวนั ที่ 20 กมุ ภาพนั ธ์ 2558, จาก http://www.local.moi.go.th/tambon_update.pdf

150 _______. 2558. “พระราชบญั ญตั สิ ภาตาบลและองคก์ ารบริหารส่วนตาบล พ.ศ. 2537”. สืบค้นวนั ท่ี 20 กมุ ภาพนั ธ์ 2558, จาก http://www.local.moi.go.th/tambon_update.pdf. สานกั งานคณะกรรมการการเลือกตงั้ จงั หวดั เชียงราย. 2556. สืบค้นวนั ท่ี 26 พฤศจกิ ายน 2557, จาก http://www2.ect.go.th/home.php?Province=chiangrai สานกั ทะเบียนและกฎหมาย.2557. “วิวฒั นาการประเภทของสหกรณ์ในประเทศไทย”. สืบค้นวนั ที่ 1 มีนาคม 2557, จาก http://webhost.cpd.go.th/rlo/evolution.html สานกั งานสภาพฒั นาการเศรษฐกิจแหง่ ชาติ สานกั นายกรัฐมนตรี. มปป. แผนพัฒนาภาคเหนือ 2507- 2509. ม.ป.ท: ม.ป.พ. สานกั งานสถิตจิ งั หวดั เชียงราย. 2519. สมดุ รายงานสถิติจงั หวดั เชียงราย.ม.ป.ท: ม.ป.พ. ________. ม.ป.ป. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2520-2524. ม.ป.ท: ม.ป.พ. ________. 2525. สมดุ รายงานสถิตจิ งั หวดั เชียงราย. ม.ป.ท: ม.ป.พ. ________. 2536. สมดุ รายงานสถิตจิ งั หวดั ฉบบั พ.ศ. 2536. ม.ป.ท: ม.ป.พ. เสาวรีย์ ชยั วรรณ. 2555. ลือ้ ชายแดน: ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐกิจ และความเป็นถิ่นฐานของชาวลือ้ ท่ีเมือง ชายแดนแมส่ าย-ทา่ ขีเ้หล็ก. ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการพฒั นาสงั คม บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่ องคก์ ารบริหารสว่ นตาบลสนั ทราย. 2557. แผนพัฒนาสามปี (พ.ศ. 2558-2560). (เอกสารอดั สาเนา) อนนั ต์ เกตวุ งศ์. 2555. “สภาตาบล”. สืบค้นวนั ที่ 27 กนั ยายน 2557, จาก http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8 %95%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%A5. อภิญญา จนั ทร์อิน. 2547. “การจดั การความขดั แย้งขององค์กรเหมืองฝายชว่ งฤดแู ล้งในลมุ่ นา้ แมจ่ นั จงั หวดั เชียงราย”.การค้นคว้าอสิ ระ ปริญญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการจดั การมนษุ ย์ กบั ส่งิ แวดล้อม บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั เชียงใหม่. อาเภอแมจ่ นั . 2555. “จงั หวดั เชียงราย”. สืบค้นวนั ที่ 20 พฤศจกิ ายน 2555, จาก http://www.chiangrai.net/cpwp/?p=1132.,.

151 สัมภาษณ์ นางคามา จนั ทร์เงิน. ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, วนั ท่ี14 กนั ยายน 2556 นางเงิน ชมพชู ยั . ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, วนั ท่ี 11 กนั ยายน 2556 นางจนั ทร์ทา ธรรมรังษี. เกษตรกร. สัมภาษณ์, วนั ที่ 11 กมุ ภาพนั ธ์ 2557 นางนวล นวนพนสั . ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, วนั ที่ 11 กนั ยายน 2556 ________. สัมภาษณ์, วนั ที่17 กมุ ภาพนั ธ์ 2557 นางพิไลทอง จนั ทร์เงิน. เกษตรกร. สัมภาษณ์, 19 กมุ ภาพนั ธ์ 2558 นางฮม เยาว์ธานี. เกษตรกร. สัมภาษณ์, 21 กมุ ภาพนั ธ์ 2558 นางแสงคา คาหล้าทราย. ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, วนั ที่11 กนั ยายน 2556 นางฮม เยาว์ธานี. ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, วนั ที่13 ตลุ าคม 2556 นายเกษม จนั ทาพนู . ผ้ใู หญ่บ้านหมู่ 3 ตาบลสนั ทราย. สัมภาษณ์, วนั ท่ี วนั ท่ี 8 มกราคม 2558 นายจรัญ ปันทะทา. ผ้ใู หญ่บ้านหมู่ 9 ตาบลสนั ทราย. สัมภาษณ์, วนั ที่ 12 สงิ หาคม 2557 นายซาว จนั ทร์เงิน. ชาวบ้าน. สัมภาษณ์, วนั ท่ี 14 กนั ยายน 2556 นายดวงพร เยาว์ธานี. เกษตรกร. สัมภาษณ์, 21 กมุ ภาพนั ธ์ 2558 นายทา แก้วนาตบ๊ิ . ชาวบ้าน . สัมภาษณ์, วนั ที่31 ตลุ าคม 2556 นายธนพล เมืองคา.นายกเทศมนตรีตาบลสนั ทราย. สัมภาษณ์, 21 มกราคม 2558 นายศภุ กิจ นวนพนสั . ผ้ใู หญ่บ้านหมู่ 8 ตาบลสนั ทราย. สัมภาษณ์,วนั ที่ 10 กมุ ภาพนั ธ์ 2557 ________. สัมภาษณ์,วนั ท่ี 17 กมุ ภาพนั ธ์ 2557 ________. สัมภาษณ์, วนั ที่ 6 เมษายน 2558 นายสนนั่ จม๋ิ ะลิ. สมาชิกองค์การบริหารสว่ นตาบลสนั ทราย. สัมภาษณ์, 10 กมุ ภาพนั ธ์ 2558 นายสมบรู ณ์ คาหล้าทราย. สมาชกิ องค์การบริหารส่วนตาบลสนั ทราย. สัมภาษณ์,วนั ที่ 21 เมษายน 2557 ________. สัมภาษณ์, วนั ที่ 25 พฤษภาคม 2557 ________. สัมภาษณ์, วนั ท่ี 16 สงิ หาคม 2557 นายสมบรู ณ์ อริณต๊ะทราย. อดีตกานนั ตาบลสนั ทราย. สัมภาษณ์, วนั ที่ 29 มถิ นุ ายน 2557 นายสมบตั ิ วงั แสง. ปลดั องค์การบริหารสว่ นตาบลสนั ทราย. สัมภาษณ์, วนั ที่ 22 มกราคม 2558

152 นายสมศกั ด์ิ พรหมณี. อดีตกานนั ตาบลสนั ทราย. สัมภาษณ์, วนั ท่ี 16 สงิ หาคม 2557 นายสวุ ิทย์ พรหมณี. อดตี สมาชิกองค์การบริหารส่วนจงั หวดั เชียงราย. สัมภาษณ์, วนั ที่ 16 สิงหาคม 2557 นายอินป๋ัน ทองคา. ผ้รู ับเหมาก่อสร้างและอดีตสมาชกิ เทศบาลตาบลสนั ทราย. สัมภาษณ์, 6 กมุ ภาพนั ธ์ 2558

บทท่ี 4 การเปล่ ียนแปลงและกระบวนการสร้ างประชาธิปไตย : กรณีศกึ ษาพนื้ ท่ีตาบลสันผีเสือ้ อาเภอเมือง จงั หวดั เชียงใหม่ ในการศึกษาการเปล่ียนแปลงและกระบวนการสร้างประชาธิปไตยในพืน้ ท่ีตาบลสนั ผีเสือ้ อาเภอ จงั หวดั เชียงใหม่ แบง่ ประเดน็ การนาเสนอผลงานวจิ ยั เป็น 4 ประเดน็ ดงั นี ้ 1. บริบททวั่ ไป 2. ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการปรับตวั ของกลมุ่ คน 3. พลวตั และอานาจของการเมืองท้องถ่ิน 4. การจดั องค์กรและการสร้างเครือขา่ ยทางสงั คม 1. บริบทท่วั ไป ตาบลสนั ผีเสือ้ ตงั้ อยใู่ นเขตอาเภอเมืองเชียงใหม่ จงั หวดั เชียงใหม่ อยทู่ างทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือ ของท่ีวา่ การอาเภอเมืองเชียงใหม่ มีระยะห่างจากอาเภอเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 10 กิโลเมตร มีอาณาเขต ตดิ ตอ่ ดงั นี ้ ทิศเหนือ ตดิ กบั ตาบลเหมืองแก้ว อาเภอแมร่ ิม จงั หวดั เชียงใหม่ ทิศใต้ ตดิ กบั ตาบลฟ้าฮา่ ม อาเภอเมืองเชียงใหม่ ทิศตะวนั ออก ตดิ กบั อาเภอสนั ทราย จงั หวดั เชียงใหม่ ทศิ ตะวนั ตก ตดิ กบั แมน่ า้ ปิง ตาบลสนั ผีเสือ้ มีพืน้ ที่ ประมาณ 7,500 ไร่ ลกั ษณะภูมิประเทศโดยทว่ั ไปเป็นพืน้ ท่ีราบล่มุ มีแม่นา้ ปิงไหลผา่ นซงึ่ เป็นแหลง่ นา้ ท่ีสาคญั ท่ีหลอ่ เลีย้ งชมุ ชน

154 ภาพ 1: แผนท่ตี าบลสนั ผเี สอื้ อาเภอเมอื ง จงั หวดั เชียงใหม่ ท่ีมา: ฐานข้อมลู ระบบสารสนเทศจงั หวดั เชียงใหม่ ชมุ ชนในตาบลสนั ผีเสือ้ เป็นชมุ ชนใกล้เมืองขนาดใหญ่ท่ีมีประชากรกว่า 6,000 ครัวเรือนอาศยั อยู่ จากทงั้ หมด 9 หมบู่ ้านในตาบล (ดตู ารางที่ 1)

155 ตาราง 1 ช่ือหมบู่ ้าน จานวนครัวเรือนและจานวนประชากรในเขตตาบลสนั ผเี สอื ้ หมู่ท่ี หมู่บ้าน จานวนครัวเรือน จานวนประชากร 1 บ้านป่าขอ่ ยเหนือ (ครัวเรือน) (คน) 2 บ้านป่าขอ่ ยใต้ 3 บ้านทา่ (ร้องขีค้ วาย) 345 754 4 บ้านร้องอ้อ 5 บ้านขวั โก 567 1,388 6 บ้านทา่ เดื่อ 7 บ้านทา่ หลกุ 294 608 8 บ้านสนั ทราย 9 บ้านสนั ผีเสือ้ สามคั คี 598 1,081 รวม 2,684 2,133 882 1,389 341 722 643 1,231 546 1,162 6,900 10,468 ท่มี า: เทศบาลตาบลสนั ผเี สอื ้ , 2557: 6 – 7 ภาพรวมของทงั้ 9 หมบู่ ้านในปัจจบุ นั (พ.ศ. 2558) จะพบวา่ มีความแตกตา่ งทางกายภาพท่ีเห็นได้ อยา่ งชดั เจนคือ หมู่ท่ี 1 บ้านป่ าข่อยเหนือและหมู่ท่ี 2 บ้านป่ าข่อยใต้ ยังมีพืน้ ที่การเกษตรจานวนมาก และ สอดคล้องกับการประกอบอาชีพของคนในชุมชนท่ียังทาการเกษตรโดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของ จานวนประชากรทงั้ หมดในตาบล หมู่ 3 บ้านท่า (ร้องขีค้ วาย) เป็นหม่บู ้านท่ีอยตู่ ิดแมน่ า้ ปิง มีขนาดเลก็ ทงั้ จานวนครัวเรือนและขนาด ของพืน้ ท่ี แตล่ ะครัวเรือนมีพืน้ ท่ีบ้านเฉล่ียไมถ่ ึง 1 งานและสร้างบ้านอยตู่ ดิ กนั ประชากรเกือบทงั้ หมดไมม่ ีท่ี ทากินเป็นของตนเอง สว่ นใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้าง หมู่ 4 บ้านร้องอ้อ เป็นหมบู่ ้านขนาดใหญ่ ผ้คู นส่วนใหญ่ประกอบอาชีพนอกภาคเกษตรกรรม และ มีฐานะความเป็นอยทู่ ่ีดี มีหมบู่ ้านจดั สรรอยใู่ นพืน้ ท่ี 2-3 แหง่ หมู่ 5 บ้านขวั โก หากพิจารณาจากตวั เลขประชากรจะพบว่าเป็นหมู่บ้านท่ีมีประชากรมากที่สุด ทว่าประชากรเหล่านีไ้ ม่ใช่คนท้องถ่ินดัง้ เดิมแต่เป็ นผู้เข้ามาอยู่ใหม่จากการเกิดขึน้ ของบ้านจัดสรร

156 นอกจากนีใ้ นบ้านขวั โกยงั เต็มไปด้วยท่ีพกั (แคมป์ ) ของคนงานก่อสร้างเน่ืองจากธุรกิจที่พกั ยงั คงเติบโต อยา่ งตอ่ เน่ือง หมู่ 6 บ้านท่าเดื่อ หมู่ 7 บ้านท่าหลุก หมู่ 8 บ้านสนั ทราย และหมู่ 9 บ้านสนั ผีเสือ้ สามคั คี มีการ แทรกตวั ของบ้านจดั สรร รีสอร์ท บ้านพกั (รายวนั และรายเดือน) ภาพ 2 แผนทหี่ มบู่ ้านในตาบลสนั ผีเสือ้ ท่มี า: ดดั แปลงจากแผนพฒั นาสามปีเทศบาลตาบลสนั ผเี สอื ้ (2557) สาหรับการประกอบอาชีพของคนในตาบลสันผีเสือ้ พบว่า อาชีพเกษตรกรรมท่ีเป็นอาชีพดงั้ เดิม ของคนในชมุ ชน มีเพียงร้อยละ 30 ของประชากรทงั้ หมด สว่ นใหญ่เป็นการปลกู ข้าว โดยคดิ เป็นร้อยละ 70 ของการเกษตรทงั้ หมด (2,000 ไร่) ขณะที่การทาสวนมีเพียงร้ อยละ 25 (120 ไร่) และปศุสัตว์ร้อยละ 5 (เทศบาลตาบลสนั ผีเสือ้ , 2557: 13) อยา่ งไรก็ตาม เกษตรกรก็ไมไ่ ด้ทาการเกษตรเพียงอยา่ งเดียวแตม่ ีการ ประกอบอาชีพอื่นๆ ควบคกู่ นั ไปด้วย เชน่ การค้าขาย งานรับจ้าง กิจการหรือธุรกิจส่วนตวั ขณะที่คนส่วน ใหญ่ (ร้ อยละ 70) มีรายได้ หลักจากงานนอกภาคเกษตรกรรม ด้ วยการเป็ นลูกจ้ างตามบริษัท ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ ในเมืองเชียงใหม่ หรือมีกิจการส่วนตวั ของตนเอง เช่น การเปิดร้านอาหาร ร้านขายของ ร้ านคาราโอเกะ ร้านเสริมสวย ร้านซ่อมรถ ร้ านเหล็กดดั มุ้งลวด เป็นต้น และมีบางส่วนที่ ทางานในหน่วยงานราชการหรื อรัฐวิสาหกิจซึ่งส่วนใหญ่ แล้ วจะเป็ นกลุ่มท่ีเข้ ามาอยู่ใหม่หรื อคนในบ้ าน จดั สรรตา่ งๆ ที่อยใู่ นชมุ ชน

157 ตาราง 2 การประกอบอาชีพของประชากรในตาบลสนั ผเี สอื ้ อาชีพ ร้ อยละ 1. รับจ้าง ลกู จ้าง 50 2. เกษตรกรรม 30 3. ค้าขาย ธรุ กิจสว่ นตวั 15 4. รับราชการ/รัฐวสิ าหกิจ 5 ท่มี า: เทศบาลตาบลสนั ผเี สอื ้ , 2557: 7 เน่ืองจากเป็นพืน้ ที่ใกล้เมือง มีการคมนาคมที่สะดวกสบาย การเกิดขนึ ้ ของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น ห้างโลตสั หรือการเกิดขนึ ้ ของห้างสรรพสินค้ามีโชคพลาซ่า และโดยที่อย่ไู ม่ไกลหน่วยงานราชการและ สถาบนั การศกึ ษาขนาดใหญ่ เชน่ ศาลเด็กและเยาวชน มหาวิทยาลยั แมโ่ จ้ ทาให้พืน้ ท่ีแปรสภาพเป็นชมุ ชน ที่มีการค้าขายและมีผ้คู นสญั จรไปมาเป็นจานวนมาก ปัจจยั เหล่านีส้ ่งผลให้เกิดการลงทนุ ธุรกิจทงั้ จากคน ชมุ ชนสนั ผีเสือ้ เองหรือจากคนภายนอกท่ีเข้ามาใช้พืน้ ท่ีภายในชมุ ชน อนั เป็นผลให้ตาบลสนั ผีเสือ้ ปัจจบุ นั มี การเตบิ โตของธุรกิจการค้าและบริการจานวนมาก (ดตู าราง ท่ี 3) ตาราง 3 ธุรกิจในเขตตาบลสนั ผีเสือ้ ประเภท จานวน ประเภท จานวน (แห่ง) (แห่ง) 1 1. ร้านค้า 96 23.ร้านขายเคร่ืองสาอาง 4 1 2.บ้านเชา่ 172 24.ร้านขายยา 2 5 3.โรงสีข้าว 2 25.ร้านตดั ขนสนุ ขั 3 1 4.โรงงาน 12 26.บอ่ ตกปลา 6 1 5.ฟาร์มเลีย้ งสตั ว์ 1 27.ร้านรับซือ้ ของเกา่ 2 2 6.เสริมสวย 14 28.โกดงั เก็บของให้เชา่ 7.ร้ านอาหาร 62 29.โรงงานผลิตยาแผนโบราณ 8.บมจ./หจก.รับเหมากอ่ สร้าง 4 30.ร้านตดั เยบ็ เสือ้ ผ้า 9.โรงกลงึ /ทาเหลก็ 2 31.โรงพมิ พ์ 10.ป๊ัมนา้ มนั (ขนาดเลก็ 3 แหง่ ขนาดกลาง 1 แหง่ ) 5 32.ร้านซ่อมเคร่ืองใช้ไฟฟา้ 11.ร้านซอ่ มมอเตอร์ไซค์/รถยนต์ 22 33.ร้านเกมส์

158 ประเภท จานวน ประเภท จานวน (แห่ง) 12.ตลาดสด (แห่ง) 13.เสาโทรศพั ท์ 3 14.โรงเรียนอนบุ าล/สถานรับเลีย้ งเดก็ 3 34.ร้านจาหนา่ ยเสือ้ ผ้า 1 15.อทู่ าสีรถ 2 16.ซกั อบ รีด 5 35.ร้านตดั ผมชาย 1 17.ร้ านให้ เช่าไม้ แบบ 1 18.ลายทราย/ดนิ 4 36.สานกั งานทนายความ 14 19.โรงแรม/รีสอร์ท 2 20.เต้นท์รถ 4 37.สปา 2 21.ร้ านขายแก๊ ส 2 22.ร้ านเหล้ าตอง 3 38. บริษัทโฆษณา 2 ท่มี า: เทศบาลตาบลสนั ผีเสอื ้ , 2557: 8 3 39.บ้านจดั สรร 2 40.ร้านขายสินค้าการเกษตร 7 41.ร้านขายวสั ดกุ ่อสร้าง 10 42.โรงนา้ ดมื่ 1 43.ร้านกาแฟ 7 2. ความเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกจิ และการปรับตวั ของกลุ่มคน 2.1 ยคุ ของการตัง้ ถ่ินฐาน (ก่อน พ.ศ. 2500) ชุมชนสนั ผีเสือ้ เป็นชุมชนเก่าแก่สนั นิษฐานว่าก่อตงั้ ราวปีพ.ศ. 2300 โดยมีบนั ทึกการตงั้ ถิ่นฐาน ของชมุ ชนตดิ ริมแมน่ า้ ปิงซงึ่ อยใู่ นเขตตาบลสนั ผีเสือ้ ปัจจบุ นั วา่ เป็นพืน้ ที่ท่ีเจ้านายสกลุ “ณ เชียงใหม”่ มาตงั้ ถิ่นฐานอยู่ โดยมีเจ้าจอมจนั ทร์ เจ้าคา่ ย เจ้าตาหนกั เจ้าจนั ทร์ตา เจ้าน้อยโอด เจ้าน้อยก๋อง เป็นผ้นู าข้าทาส บริวารย้ายถิ่นฐานมาอาศยั อยู่บริเวณหน้าวัดท่าหลุก (ปัจจุบนั ) และบริเวณทางแยกเข้าบ้านสันผีเสือ้ (ปัจจบุ นั ) และตงั้ ช่ือหม่บู ้านว่า “ค้มุ สงั ศรีงาม” เป็นค้มุ ของเจ้านายและข้าทาสบริวาร ลกู หลาน มีทงั้ หมด ประมาณ 11 ค้มุ มีการสร้างวัดคือวดั สังศรีงาม ต่อมาวดั ได้ชารุดทรุดโทรมจึงย้ายมาสร้างวดั อยู่ติดกับ หม่บู ้านทางทิศเหนือช่ือว่า “วดั กาแพงงาม” ตอ่ มาวดั กาแพงงามถกู ทิง้ ให้ร้างและทรุดโทรมลง เจ้านายและ บริวารจึงย้ายไปสร้างวดั ใหมช่ ่ือวดั ศรีงาม ตอ่ มาภายหลงั ได้เปลี่ยนชื่อเป็นวดั ทา่ หลกุ จนถึงปัจจบุ นั และวดั กาแพงงามปัจจบุ นั ได้กลายเป็นวดั ร้าง และมีต้นไม้ขนึ ้ ท่ีวดั ชาวบ้านเรียกวา่ “ต้นผีเสือ้ หลวง” เจ้านายจงึ ได้

159 ยกเลิกค้มุ สงั ศรีงาม และเปล่ียนช่ือหม่บู ้านมาเป็นสนั ผีเสือ้ ตามช่ือต้นไม้ท่ีเกิดเองท่ีวดั ร้างและใช้ชื่อนีเ้ ป็น ช่ือของตาบล ทงั้ นี ้สันนิษฐานว่าการตงั้ คุ้มต่างๆ ของเจ้านายแต่ละคนมีการกระจายกันไปในแต่ละพืน้ ท่ี ดงั ปรากฏในประวตั ิของหม่บู ้านขวั โกว่าท่ีมาของ “ป๊ อกตาหนกั ” นนั้ เกิดจากการท่ีมีเจ้านายมาอาศยั อย่ทู าง ทศิ ตะวนั ออกของหมบู่ ้าน มีการสร้างตาหนกั และค้มุ ตา่ งๆ แตห่ ลกั จากนนั้ ก็ได้ย้ายถ่ินฐานไปที่อื่นและขาย ที่ดินให้กับชาวบ้าน (นายเอกลกั ษณ์ เด็กยองและคณะ, 2556: 72) หรือในกรณีของชุมชนบ้านท่า (ร้อง ขีค้ วาย) ท่ีมีประวตั ิการตงั้ ถ่ินฐานซงึ่ ตรงกบั สมยั รัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2394 – พ.ศ.2411) ว่าเดมิ หม่บู ้านแหง่ นี ้ เป็นสถานท่ีอย่ขู องเจ้าคณุ พระราชนายก ซ่งึ มีตาแหนง่ เป็นผ้ตู ดั สินคดีพิพากษาตา่ งๆ มีข้าหลวงตดิ ตามชื่อ ลงุ เขียว รังสี เป็นคนจงั หวดั ลาพนู ได้ทาการบุกเบกิ ป่ าไม้ไผ่ที่กว้างใหญ่และติดบริเวณทา่ นา้ แมป่ ิง บริเวณ ข้างทา่ นา้ มีหนองนา้ ขนาดใหญ่อยตู่ รงกลาง ลงุ เขียวจงึ บกุ เบกิ ทาไร่ทานา เป็นแหล่งท่ีมีความอดุ มสมบรู ณ์ มาก ทาให้สัตว์เลีย้ ง ววั ควาย มาอยู่อาศยั กินนา้ อาบนา้ ที่หนองนา้ นัน้ ซ่ึงเป็นที่มาของชื่อบ้านท่าร้ อง ขีค้ วาย (ประวตั บิ ้านท่าร้องขีค้ วาย, สื่อวีดีทศั น์) ในส่วนของพืน้ ที่เจ้านายสกลุ ณ เชียงใหม่ ไม่ได้เข้าไปตงั้ ถ่ินฐานพบว่าเป็นพืน้ ท่ีของชาวบ้านท่ีอาศยั กาลงั แรงงานในครัวเรือนบุกเบิกทงั้ ท่ีอย่อู าศยั และท่ีดนิ ทากิน โดยกล่มุ ตระกูลหลกั ที่เข้ามาตงั้ ถ่ินฐานเป็นและสามารถบกุ เบิกที่ดินได้จานวนมากคือกล่มุ ตระกลู กันธะบุ ผา ตระกลู ดวงไทย ตระกลู อภิวงศ์ ตระกลู อินต๊ะสาร กลมุ่ ตระกลู จนั ต๊ะโสภา เน่ืองจากเป็นชุมชนเก่าแก่ จึงมีวดั ถึง 5 แห่ง ซึ่งต่างมีช่วงเวลาการสร้างไล่เล่ียกนั ตงั้ แต่ทศวรรษ 1800 จนถึงทศวรรษ 2300 ได้แก่ วัดป่ าข่อยใต้ วัดร้ องอ้อ วัดท่าเดื่อ วัดป่ าข่อยเหนือและวัดท่าหลุก ตามลาดบั อยา่ งไรก็ตาม วดั ไม่ได้เป็นเพียงพืน้ ท่ีในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านนั้ แต่วดั ยงั เป็น พืน้ ที่ของการศกึ ษาของคนในชมุ ชนอีกด้วย สพุ ร การุณพกั ตร์ (2503) กลา่ วว่า ทงั้ ตาบลสนั ผีเสือ้ มีโรงเรียน อยู่ 5 แห่ง เป็นโรงเรียนประชาบาลทงั้ หมด ได้แก่ โรงเรียนวดั ป่ าข่อยเหนือ (หมู่ 1) โรงเรียนวดั ป่ าข่อยใต้ (หมู่ 2) โรงเรียนวดั ร้องอ้อ (หมู่ 4) โรงเรียนวดั ท่าเด่ือ (หมู่ 6) และโรงเรียนวดั ท่าหลกุ โรงเรียนที่มีสภาพดีที่ และสร้างอยา่ งถาวรคือโรงเรียนวดั ป่ าข่อยใต้ ท่ีเหลือถือเป็ นโรงเรียนประเภทชวั่ คราวหรือไม่ก็อาศยั อย่ใู น เขตวดั สาหรับบ้านท่า (ร้องขีค้ วาย) บ้านขวั โก และบ้านสนั ทราย ไม่มีโรงเรียนจงึ ต้องเดินทางมาเรียนใน โรงเรียนหมบู่ ้านใกล้เคียง สภาพเศรษฐกิจของชมุ ชนเป็นเศรษฐกิจแบบยงั ชีพ เป็นการเพาะปลกู สาหรับบริโภคในครัวเรือน มี ข้าวเป็นพืชหลักท่ีสาคญั ปลูกได้ปีละ 1 ครัง้ ในช่วงฤดฝู น โดยจะหว่านกล้าในเดือนมิถุนายน ปลูกช่วง เดือนสิงหาคม และเก็บเกี่ยวปลายเดือนพฤศจิกายนไปถึงเดือนธนั วาคม พนั ธ์ุข้าวท่ีใช้เป็นข้าวเหนียวพนั ธ์ุ ท้องถ่ิน เชน่ ข้าวแก้ว ข้าวผา (บวั จนั ทร์ ใจแก้ว, 2556) พืน้ ท่ีปลกู ข้าวที่สาคญั ของคนในชมุ ชนสนั ผีเสือ้ มี 2 แห่ง มีช่ือเรียกว่าท่งุ ปูเลยและท่งุ ทองกวาว จากบนั ทึกประวตั ิของชมุ ชนกล่าวว่าเจ้านายสมยั นนั้ ได้ให้ข้า ทาสบริวารขดุ ลาเหมืองเพ่ือเอานา้ เข้าสทู่ ่งุ นาทงั้ สองแหง่ เพื่อทาการเกษตร เม่ือประชากรเพิ่มขนึ ้ จงึ ชว่ ยกนั

160 ขดุ ลาเหมือง เช่น ลาเหมืองวงั ลาว ลาเหมืองกู่ ตอ่ มาเมื่อนา้ สาหรับทาการเกษตรไมเ่ พียงพอจงึ มีการขดุ ลา เหมืองขนึ ้ มาแทนอีกแหง่ หนงึ่ อยทู่ างทิศตะวนั ออกของนา้ ปิง (ปัจจบุ นั ชาวบ้านอาศยั อย)ู่ ชว่ ยกนั ทาหลกุ ผนั นา้ เข้ามาใช้ในทงุ่ ปเู ลยและทงุ่ ทองกวาว หลงั จากนนั้ ไมน่ านเกิดฟ้าผา่ ที่ท่งุ ทองกวาว ชาวบ้านจงึ เรียกช่ือทงุ่ ทองกวาววา่ “ทงุ่ ฟ้าผา่ ” สาหรับความสัมพันธ์ของชุมชนสันผีเสือ้ กับกลุ่มอื่นๆ ในช่วงก่อน พ.ศ. 2500 ชาวบ้านเองก็มี ความสมั พนั ธ์กับกล่มุ เจ้านายท่ีเข้ามาตงั้ ถ่ินฐานอย่บู ริเวณนีใ้ นลกั ษณะของการเป็นแรงงานหรือข้ารับใช้ และมีการติดตอ่ สมั พนั ธ์กบั กลุ่มเครือญาตหิ รือชาวบ้านในละแวกเดียวกัน มีการเดินทางไปมาหาส่กู ันทงั้ ทางนา้ และทางบก โดยถนนเส้นหลกั ที่คนในชมุ ชนใช้ในการเดินทางคือถนนท่ีเช่ือมตอ่ มาจากตาบลฟา้ ฮา่ ม และผา่ นเข้าเขตตาบลสนั ผีเสือ้ ที่บ้านสนั ทราย ผา่ นบ้านท่าหลกุ บ้านท่าเด่ือ บ้านทา่ (ร้องขีค้ วาย) บ้านป่ า ข่อยใต้ บ้านป่ าข่อยเหนือ จนถึงเขตตาบลเหมืองแก้ว อาเภอแม่ริม จากถนนสายใหญ่นีม้ ีถนนดินเล็กๆ ตดิ ต่อกนั ทุกหม่บู ้าน ยกเว้นบ้านขวั โก (หมู่ 5 ) ท่ีไม่มีถนน การติดตอ่ กบั หม่บู ้านอ่ืนต้องอาศยั เดินไปตาม คนั นา การคมนาคมนิยมใช้จกั รยาน 2 ล้อ เกวียน เดินด้วยเท้า และรถยนต์โดยสาร แตเ่ น่ืองจากเป็นถนน ดินท่ีขาดการดแู ลรักษาซ่ึงในหน้าแล้งก็ยงั สามารถใช้เดินทางสาหรับรถยนต์ได้ โดยมีรถยนต์โดยสารเป็น ประจา 2 คนั แต่เม่ือถึงหน้าฝนถนนจะเป็นหลุมเป็นบ่อ (สุพร การุณพักตร์, 2503: 14) สาหรับการเดิน ทางเข้าตวั เมืองจะใช้เรือข้ามแม่นา้ ปิงไปถนนเส้นหลกั คือถนนโชตนา (นายเอกลกั ษณ์ เด็กยองและคณะ, 2556: 73) สาหรับพืน้ ท่ีซือ้ ขายสินค้าแลกเปลี่ยนในชว่ งแรกมีเพียงตลาดเดยี วคือตลาดทา่ เด่อื ซงึ่ เป็นตลาดสด และขายในชว่ งเช้าประมาณ 6.00 – 9.00 น. (สพุ ร การุณพกั ตร์, 2503: 15) ภายหลงั มีตลาดเช้าเกิดขนึ ้ อีก แห่งหน่ึงที่บ้านป่ าข่อยใต้ สาหรับตลาดเย็นคนในชุมชนต้องไปจ่ายตลาดท่ีตลาดขะจาว ตาบลฟ้าฮ่าม อาศยั เดนิ ทางจากถนนเส้นหลกั ท่ีเชื่อมตอ่ มาจากตาบลฟ้าฮ่ามผา่ นตาบลสนั ผีเสือ้ ระยะทางประมาณ 6.5 กิโลเมตร 2.2 สันผีเสือ้ ในกระแสพัฒนาเมืองเชียงใหม่ช่วงแรก (พ.ศ. 2501 – พ.ศ. 2530) 2.2.1 การพัฒนาโครงสร้างพนื้ ฐาน ในชว่ งทศวรรษ 2500 เป็นต้นมาเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายที่ส่งผลกระทบหลากหลาย มิติตอ่ ผ้คู นในชมุ ชนสนั ผีเสือ้ เน่ืองจากเป็นชุมชนที่อยใู่ กล้ตวั เมืองเชียงใหม่จึงยากท่ีจะรอดพ้นกระแสการ พัฒนาเมืองเชียงใหม่ ตามนโยบายการพัฒนาของรัฐ ซึ่งในช่วงต้นทศวรรษ 2500 รัฐพยายามพัฒนา โครงสร้ างพืน้ ฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถนน ไฟฟ้า หรือระบบชลประทาน ดังที่ ธเนศวร์ เจริญเมือง ตัง้ ข้อสงั เกตถึงการดาเนินนโยบายด้านการพฒั นาของรัฐตอ่ พืน้ ที่ภาคเหนือวา่ ในช่วง 2 ทศวรรษแรกหลงั การ ดาเนินการตามแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติฉบบั ท่ี 1 – 3 (พ.ศ. 2504 – 2519) เพ่ือให้นโยบาย ตอ่ ส้กู ับคอมมิวนิสต์สาเร็จ จึงได้เร่งรัดสร้างถนนและทางหลวงหลายสาย เพ่ือให้การเคลื่อนย้ายกาลงั รบ

161 และปฏิบตั ิการทางการทหารในภาคเหนือมีประสิทธิภาพมากขนึ ้ ผลที่ตามมาจากการดาเนินนโยบายนีค้ ือ เป็นการเชื่อมโยงชนบทเข้ากับเมืองและเชื่อมโยงภาคเหนือเข้ากับกรุงเทพฯและตลาดโลก รัฐบาลไม่ เพียงแต่สร้ างถนนและทางหลวง แต่ยังได้วางโครงสร้ างเศรษฐกิจพืน้ ฐานอื่นๆ ได้แก่การสร้ างเข่ือน ชลประทานไฟฟ้า (ธเนศวร์ เจริญเมือง, 2535: 21) สาหรับชมุ ชนสนั ผีเสือ้ นนั้ ได้รับผลกระทบจากการพฒั นาเมืองเชียงใหม่ 2 โครงการหลกั ๆ ในชว่ งนี ้ คอื 1. การสร้ างถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ (หรือทางหลวงหมายเลข 11) โดยมีการแต่งตงั้ คณะกรรมการ พฒั นาภาคเหนือ และกาหนดให้จดั ทาแผนพัฒนาภาคเหนือ พ.ศ. 2507 – 2509 ขึน้ ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่ – ลาปาง เร่ิมก่อสร้างเม่ือประมาณ พ.ศ. 2508 (ปลายแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบบั แรก) แล้วเสร็จประมาณ พ.ศ. 2512 (ช่วงแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติฉบบั ที่ 2) และเปิด ให้ใช้ตงั้ แต่ พ.ศ. 2513 ซงึ่ ก่อนหน้านีใ้ นสมยั ของนายทิม โชตนา เป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ (พ.ศ. 2507 – 2512 และ พ.ศ. 2513 – 2517) มีการก่อสร้างถนนเลียบริมนา้ ปิงสายฟ้าฮ่าม – สนั ผีเสือ้ ทาให้ไป ทบั เส้นทางเดินนา้ ของเหมืองวงั ลาวและเหมืองใหม่ที่ไหลมาจากตาบลสนั ผีเสือ้ ชาวบ้านในชุมชนวดั ท่า กระดาษและพืน้ ที่ใกล้เคียงท่ีมีอาชีพทาเกษตรกรรมบริเวณเหมืองวงั ลาวต้องขาดแคลนนา้ เกษตรกรรม อนั เป็นผลให้ชาวบ้านบางคนต้องเปลี่ยนอาชีพเป็นแรงงานรับจ้างทวั่ ไป (สมโชติ ออ๋ งสกลุ , 2546: 467) การตดั ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์สายเชียงใหม่ – ลาปาง ช่วง พ.ศ. 2508 – 2512 ทาให้ที่ดนิ ชมุ ชนวดั ท่า กระดาษในเขตตาบลฟ้าฮ่ามเป็นท่ีสนใจของนกั ธุรกิจและข้าราชการท่ีมีฐานะมงั่ คง่ั เข้ามาจบั จองและกว้าน ซือ้ ที่ดินริมนา้ ปิงเพ่ือสร้างบ้านพกั และพฒั นาท่ีดินจดั สรรให้เป็นบ้านจดั สรร เงื่อนไขสาคญั ประการหน่ึงท่ี เอือ้ ตอ่ การเข้ามาซือ้ ท่ีดนิ ของคนตา่ งถ่ิน คือประกาศคณะปฏิวตั ิ พ.ศ. 2502 ในสมยั จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชน์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีผลให้มีการยกเลิกบทบญั ญัตใิ นประมวลกฎหมายที่ดนิ พ.ศ. 2497 วา่ ด้วยการจากดั การถือครองท่ีดินให้ไม่เกิน 50 ไร่ ที่เคยใช้ในสมยั จอมพล ป. จึงเกิดการกว้านซือ้ ท่ีดินเพ่ือเก็งกาไร ด้วยเหตุ นีจ้ งึ มีการอพยพของคนตา่ งถ่ินมาอาศยั อยใู่ นชมุ ชนทา่ กระดาษและชมุ ชนฟา้ ฮา่ มมากขนึ ้ (สมโชติ ออ๋ งสกลุ , 2546: 467) 2. การสร้างเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลเป็นเขื่อนท่ีสร้างตามพระราชดาริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั เดิมช่ือวา่ เข่ือนแม่งดั ตวั เข่ือนสร้างปิดกนั้ ลานา้ แมง่ ดั ที่บ้านใหม่ ตาบลช่อ แล อาเภอแม่แตง จงั หวดั เชียงใหม่ เริ่มก่อสร้างเม่ือ พ.ศ. 2520 โดยกรมชลประทาน การก่อสร้างตวั เขื่อน แล้วเสร็จเม่ือ พ.ศ. 2527 ต่อมาใน พ.ศ. 2528 การไฟฟ้าฝ่ ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เข้ามา ดาเนนิ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลงั นา้ เม่ือวนั ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2529 พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ได้ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเขื่อนว่า เข่ือนแม่งัดสมบูรณ์ชล และเสด็จพระราชดาเนินทรง ประกอบพิธีเปิดเข่ือน เม่ือวนั ท่ี 22 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2529

162 ผลจากการตดั ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ในช่วงต้นทศวรรษ 2500 ท่ีไปทบั เส้นทางเดินนา้ ของเหมืองวงั ลาวซึ่งเป็นแหล่งนา้ สาหรับการเกษตรท่ีสาคญั ของคนในชุมชน ทาให้ขาดแคลนนา้ ในการเกษตร ยงั ไม่ สง่ ผลกระทบในวงกว้างและรุนแรงมากเทา่ กบั การสร้างเขื่อนแม่งดั แม้ด้านหน่ึงจะชว่ ยแก้ปัญหานา้ ท่วมที่ เป็นปัญหาเรือ้ รังมานาน แตก่ ็ทาให้เกิดภาวะขาดแคลนนา้ ในการเกษตรโดยเฉพาะที่นาในบริเวณทงุ่ ฟ้าผ่า เน่ืองจากเป็นพืน้ ท่ีปลายนา้ 2.2.2 การขยายตวั ของระบบตลาดและการเข้าสู่การผลิตเพ่ือการค้า ในชว่ งทศวรรษ 2500 เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตเพ่ือตอบสนองตอ่ ระบบตลาด โดยเป็น การเปล่ียนจากการผลติ เพื่อยงั ชีพมาสกู่ ารผลิตเพื่อขายเพิ่มมากขนึ ้ ไม่วา่ จะเป็นการปลกู ข้าวที่เปล่ียนจาก การปลกู ข้าวปีละครัง้ ในช่วงฤดฝู นมาเป็นการปลกู ข้าวปีละ 2 ครัง้ เน่ืองจากมีระบบชลประทานจาการสร้าง เงื่อนแมง่ ดั ทาให้พืน้ ที่การเกษตรท่ีอยบู่ ริเวณต้นนา้ สามารถผลิตข้าวได้อยา่ งเข้มข้น การศกึ ษาของสพุ ร การุณพกั ตร์ ใน พ.ศ 2501 อธิบายถึงการผลิตของชมุ ชนสนั ผีเสือ้ ว่ามีการปลกู ข้าวปีละ 2 ครัง้ เน่ืองจากมีนา้ อดุ มสมบรู ณ์ โดยอย่ตู ิดกบั แมน่ า้ ปิง ทางทิศตะวนั ตก และอย่ตู ิดกบั ลาคลอง แม่คาวทางทิศตะวันออก นอกจากนีย้ ังมีลาเหมืองท่ีต่อมาจากเหมืองฝายวงั ลาวทางเหนือขึน้ ไปซ่ึงลา เหมืองนีห้ ลอ่ เลีย้ งคนทงั้ ตาบล ทาให้พืน้ ท่ีนาไมว่ า่ งจากการเพาะปลกู โดยสามารถปลกู ข้าวได้ผลผลิตเฉลี่ย ไร่ละผลติ เฉล่ียไร่ละ 33.56 ถงั ตอ่ ปี บางแหง่ ทาได้ถึงไร่ละ 60 ถงั ตอ่ ปี (สพุ ร การุณพกั ตร์, 2503: 18) การผลิตของคนในชุมชนเริ่มเป็นการผลิตเพ่ือขายโดยเฉพาะการปลูกพืชผกั ตา่ งๆ หลงั จากปลูก ข้าวเสร็จแล้ว กลมุ่ ท่ีเข้าสรู่ ะบบการผลติ เข้มข้นเชน่ นีค้ ือ กล่มุ ที่มีท่ีดนิ การเกษตรอยบู่ ริเวณต้นนา้ และตดิ ลา นา้ ปิง ได้แก่ บ้านป่ าขอ่ ยเหนือ ป่ าข่อยใต้ โดยชาวบ้านจะทาสวนผกั โดยใช้พืน้ ท่ี 2 – 3 งานเป็นอย่างน้อย ไมว่ ่าจะเป็นถว่ั ลนั เตา กระเทียม หอม กะหล่าปลี กะหล่าดอก ผกั กาด มะเขือเทศ ในช่วงนีช้ าวบ้านเกือบ ทกุ ครอบครัวในสนั ผีเสือ้ นิยมปลกู หอมหวั ใหญ่กนั มากเพราะเป็นที่ต้องการของตลาด อย่างไรก็ตาม จาก งานศกึ ษาดงั กล่าวพบว่าการนิยมปลกู หอมหวั ใหญ่ของชาวบ้านต้องพงึ่ พิงคนจีนที่เข้ามาทาการเกษตรใน ชมุ ชน โดยต้องอาศยั พนั ธ์ุหอมจากคนจีน เพราะพนั ธ์ุหอมท่ีซือ้ เองจากในเมืองให้ผลผลิตน้อยและแคระแก รน การใช้พนั ธ์ุหอมจากคนจีนนนั้ เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตก็ต้องนามาขายให้กบั เจ้าของพนั ธ์ุเท่านนั้ โดยราคา จะเป็นราคาท่ีตกลงกนั โดยไมส่ มั พนั ธ์กบั ราคาตลาดแตอ่ ยา่ งใด (สพุ ร การุณพกั ตร์, 2530: 18) สาหรับพืน้ ที่ปลายนา้ ท่ีนา้ ไม่อุดมสมบูรณ์ แม้ไม่สามารถปลกู ข้าวนาปรังได้ แตก่ ็มีการปลูกพืช เศรษฐกิจอื่นนอกจากผกั ซงึ่ เป็นพืชหลงั นา ได้แก่ ถวั่ เหลือง และมนั เทศ เชน่ ครอบครัวของนางบวั จนั ทร์ ใจ แก้วท่ีเชา่ ท่ีดนิ จานวน 12 ไร่ หลงั เกี่ยวข้าวเสร็จ จะปลกู ถวั่ เหลืองเพราะไมต่ ้องใช้นา้ มาก ใช้พืน้ ที่ประมาณ 1-2 ไร่ ส่วนท่ีนาท่ีเหลือก็จะปล่อยให้ววั ควาย กินหญ้าเพ่ือให้ได้มูลสตั ว์เป็นป๋ ยุ สาหรับเตรียมดินในการ ปลูกข้าวปีถัดไป แม้ว่าการปลูกถั่วเหลืองเป็นพืชท่ีใช้ทุน แรงงาน และเวลามากเพราะมีขนั้ ตอนที่ย่งุ ยาก

163 ลาบากแตถ่ ่วั เหลืองก็เป็นพืชเงินสดท่ีสร้างรายได้ให้กบั ชาวบ้าน โดยชาวบ้านจะไปเอาเมล็ดพนั ธ์ุมาจาก พอ่ ค้ากอ่ นแล้วคอ่ ยหกั คา่ เมล็ดพนั ธ์ุเม่ือนาถว่ั เหลืองมาขายให้ ภายหลงั ชาวบ้านส่วนใหญ่เลิกปลูกถ่ัวเหลืองและหันมาปลูกมนั เทศแทน โดยมีพ่อค้าแม่ค้าคน กลางท่ีเป็นคนในชมุ ชนมารับซือ้ เหตผุ ลที่สาคญั ประการหนงึ่ ของการเปล่ียนมาปลกู มนั เทศเพราะต้นทนุ ใน การเพาะปลกู ต่ากว่าและสามารถเก็บพนั ธ์ุไว้ปลกู ในครัง้ แตไ่ ปได้เอง ขณะท่ีถว่ั เหลืองต้องซือ้ เมล็ดพนั ธ์ุใหม่ ทกุ ปี อยา่ งไรก็ตาม การปลกู มนั เทศก็ต้องพง่ึ พาเทคโนโลยีและแรงงานในการผลิตเข้มข้นมากขนึ ้ เน่ืองจาก ต้องจ้างรถไถในการขนึ ้ แปลงและจ้างคนชว่ ยล้างกอ่ นจะสง่ ขายให้แมค่ ้าคนกลาง (บวั จนั ทร์ ใจแก้ว, 2556) ในชว่ งนีส้ ามารถแบง่ กลมุ่ คนตามขนาดการถือครองท่ีดนิ ได้ออกเป็น 4 กลมุ่ ดงั นี ้ 1. กลมุ่ เจ้าท่ีดินขนาดใหญ่ ซง่ึ ล้วนแล้วแตเ่ ป็นกลมุ่ ตระกลู สาคญั ในชว่ งตงั้ ถ่ินฐาน เน่ืองจากมีท่ีดนิ จานวนมาก ลาพงั เพียงกาลงั แรงงานในครัวเรือนก็ไม่เพียงพอสาหรับการทานา จงึ มีการให้เชา่ นาและจ่าย คา่ เชา่ เป็นข้าวเปลือก เช่นหากเช่านาจากพ่อเลีย้ งสิงห์แก้ว อภิวงค์ ก็ต้องจ่ายคา่ เช่านาเป็นข้าวเปลือกใน อตั ราไร่ละ 12-13 ถงั นอกเหนือจากการให้เช่านาก็มีการให้กู้ยืมข้าวด้วย ซึ่งไม่เฉพาะในชุมชนสันผีเสือ้ เทา่ นนั้ แตย่ งั รวมถึงชมุ ชนรอบข้าง เชน่ ชมุ ชนวงั สิงห์คา ดงั ท่ี นางผ่องพนั ธ์ุ บญุ ชละ เล่าให้ฟังวา่ แม้ตนจะ มาจากชมุ ชนวงั สิงห์คาแตก่ ็ต้องมาขอเชา่ นา และก้ยู ืมข้าวจากตระกลู จนั ต๊ะโสภา ในอตั รา 1: 3 คือกู้ 1 ถงั คืน 3 ถงั “...ถา้ เขาจะปลกู ขา้ วตอ้ งไปช่วยเขา...ถา้ ไม่มีขา้ วกิน ข้าวไม่พอก็ไปขอยืมเขา...” (ผอ่ งพนั ธ์ บญุ สละ, 2557) นอกเหนือจากให้ก้ยู ืมข้าวแล้ว ก็ยงั มีการปลอ่ ยเงินกู้ เช่นกรณีของตระกลู อภิวงค์ เจ้าที่ดนิ รายใหญ่ อีตระกูลหน่ึงผ้เู ป็นทงั้ เจ้าของโรงสี ผ้ปู ล่อยเงินก้แู ละเจ้าที่ดนิ รายใหญ่ พอ่ เลีย้ งสิงห์แก้วสะสมความมง่ั คงั่ ผา่ นการค้าขาย โดยการเปิดร้านขายของชา และสะสมท่ีดนิ ด้วยการยดึ จากลกู หนีแ้ ละการซือ้ ที่ดนิ เพม่ิ “พ่อเลีย้ งสิงห์แก้ว (อภิวงศ์) ตง้ั โรงสีแต่ก่อนนะ มีของแกที่เดียว แกเป็นคนทีว่ ่ามีหวั หน่อย ทางานทามาหากินแลว้ ก็ยึดนา ซื้อนาไวห้ ลายจดุ ” “เป็ นโรงสี ออกรถสี่ล้อ ซื้อปิ กอพั ลากข้าว เปลี่ยนจากสมยั ก่อน เปลี่ยนจากล้อลากเป็ น ปิ กอพั ลากขา้ ว...ตอนถนนนีเ้ ขายงั ไม่ไดล้ าดยาง ซื้อรถปิ กอพั เป็นคนแรกของหมู่บา้ น” (สมศกั ดิ์ ไชยรังสี, 2557) 2. กล่มุ ที่มีที่ดินขนาดกลาง คือกล่มุ คนทว่ั ไปท่ีมีที่ดินของตนเองตงั้ แต1่ 0 ไร่-50 ไร่ คนกล่มุ นีส้ ่วน หนงึ่ ยงั คงทาการเกษตรและเข้าส่รู ะบบการผลิตเพื่อขายอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะกล่มุ ที่มีท่ีดินอยบู่ ริเวณต้น นา้ เช่น ครอบครัวของนายวิฑูล จนั ทพร ท่ีมีที่ดนิ จานวน 50 ไร่ อยบู่ ริเวณบ้านท่าเด่ือ ภายหลงั เปลี่ยนมา ปลูกข้าวปีละสองครัง้ ยังมีการปลูกขิง อีกทัง้ ยังเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เข้าสู่ธุรกิจปลูกดอกไม้ ได้แก่ ดอกบวั

164 สวรรค์ ซ่งึ ความต้องดอกไม้สดนนั้ สอดคล้องกบั ภาคธุรกิจและบริการในเมืองเชียงใหมท่ ่ีต้องการดอกไม้สด ในการประดบั ตกแตง่ ในโรงแรมตา่ งๆ รวมถึงกิจกรรมเพ่ือการท่องเที่ยวและบริการอื่นๆ ด้วย สาหรับคนท่ีมี ท่ีดินขนาดกลางบางส่วนก็ปล่อยท่ีดนิ ให้คนในหมบู่ ้านหรือญาติเช่าส่วนตนนนั้ ก็หนั ไปประกอบอาชีพนอก ภาคเกษตรแทน เชน่ ตระกลู เจริญสขุ เจ้าของท่ีดนิ จานวน 30 ไร่ ได้ปล่อยท่ีดนิ ให้เช่าทงั้ หมดและรับค่าเช่า เป็นข้าวเปลือกแทน 3. กลมุ่ ที่มีที่ดินขนาดเล็ก โดยเฉลี่ยไมถ่ ึง 10 ไร่ ซึง่ ถือเป็นคนกล่มุ ใหญ่ของกลมุ่ ท่ีมีที่ดนิ ของตนเอง งานศกึ ษาของสพุ ร การุณพักตร์ ใน พ.ศ. 2503 พบวา่ ชาวบ้านท่ีทานาในตาบลสนั ผีเสือ้ มีที่ดนิ ทากินเฉล่ีย ครัวเรือนละ 8.2 ไร่ แม้จะมีครัวเรือนที่ทานาถึง 90 ครัวเรือน จากจานวนครัวเรือนทงั้ หมด 126 ครัวเรือน หรือคดิ เป็นร้อยละ 71.43 4. กล่มุ ไร้ท่ีดนิ เนื่องจากการถือครองท่ีดนิ กระจกุ ตวั อย่ใู นมือของเจ้าที่ดนิ รายใหญ่ จากการศกึ ษา ของสพุ ร การุณพกั ตร์ (2053: 17) พบว่าร้อยละ 52.69 ของพืน้ ท่ีทานาทงั้ หมดเป็นพืน้ ท่ีเช่า หรืออาจกล่าว ได้วา่ ชาวบ้านกวา่ กวา่ คร่ึงไมม่ ีที่นาเป็นของตนเองและต้องอาศยั การเชา่ ทานาจากเจ้าที่ดนิ รูปแบบการเชา่ เรียกว่าการ “การเช่าผ่ากึ่ง” หรือการจ่ายคา่ เช่าเป็นผลผลิตคร่ึงหนึ่งของผลผลิตทงั้ หมดท่ีได้ในแต่ละรอบ การปลกู ข้าว และภายหลงั เมื่อมีการสร้างบ้านจดั สรร ทาให้เจ้าของท่ีดนิ ส่วนใหญ่ขายท่ีดินทาให้คนกลมุ่ นี ้ ต้องหนั ไปประกอบอาชีพนอกภาคเกษตรกรรมแทน 2.2.3 การเคล่ือนย้ายของผู้คนเข้าสู่เมืองเชียงใหม่ นอกเหนือจากการผลิตเชิงพาณิชย์อย่างเข้ มข้ นของคนในชุมชนสันผีเสือ้ ยังพบว่ามีการ เปล่ียนแปลงที่สาคญั อีกประการหนึ่งคอื การเคล่ือนย้ายของผ้คู นในชมุ ชนไปศกึ ษาตอ่ ในระดบั มธั ยมศกึ ษา และในขนั้ สงู ขึน้ ไป ในตวั เมืองเชียงใหม่ ดงั ได้กล่าวไปแล้วว่าในตาบลสนั ผีเสือ้ มีโรงเรียนทงั้ หมด 5 แห่ง เกือบทัง้ หมดเปิดสอนตงั้ แต่ระดบั ชนั้ ป.1 – 4 มีเพียงโรงเรียนวดั ท่าหลุกเท่านัน้ ท่ีเปิดสอนชัน้ ป. 5 – 7 โดยทวั่ ไปแล้วคนสว่ นใหญ่ในยคุ นีท้ ่ีปัจจบุ นั มีอายุ 80 ปี ขนึ ้ ไปจะได้รับการศกึ ษาสงู สดุ ถึงชนั้ ป. 4 ขณะที่ รุ่นลกู อาจได้รับการศึกษาในระดับมธั ยมหรือระดบั ปริญญาตรี สาหรับการเรียนต่อในระดบั มธั ยมนนั้ ต้อง เข้าไปเรียนในตวั เมืองเชียงใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนวฒั โนทัยพายัพ โรงเรียนยุพราชวิทยาลยั โรงเรียน ธรรมราชศกึ ษา (วดั พระสงิ ห์วรมหาวหิ าร) และโรงเรียนหอพระ หากพิจารณากลุ่มคนที่เข้าไปศึกษาต่อจากถ่ินท่ีอยู่พบว่ากลุ่มคนที่อยู่ใกล้เมือง และมีการเดิน ทางเข้าตวั เมืองเชียงใหมท่ ่ีสะดวกเน่ืองจากมีการสร้างถนนซปุ เปอร์ไฮเวย์ เป็นคนกลมุ่ แรกท่ีเข้าไปศกึ ษาใน ตวั เมืองเชียงใหม่ เช่น คนจากบ้านสนั ทราย สันผีเสือ้ สามคั คี ท่าเด่ือ ท่าหลุก ที่สามารถใช้เส้นทางผ่าน

165 ตาบลฟ้าฮ่ามเข้าเมืองเชียงใหม่ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากฐานะทางเศรษฐกิจพบว่ากลุ่มที่มีที่ดิน ขนาดกลาง กล่มุ คนที่มีท่ีดินขนาดเล็ก และกล่มุ คนไร้ท่ีดินก็ได้เป็นกล่มุ ที่สามารถเข้าไปศึกษาในตวั เมือง เชียงใหม่ และแทรกตวั เข้าไปอยใู่ นระบบเศรษฐกิจใหมท่ ี่กาลงั เตบิ โต เช่น นายภาณุพงศ์ ชยั อ้าย คนบ้านสนั ผีเสือ้ สามคั คี แม้ว่าครอบครัวของนายภานพุ งษ์จะมีดนิ ถึง 20 ไร่ แตก่ ็เลือกเรียนหนงั สือ โดยเรียนชนั้ ประถมศกึ ษา 1 – 4 ท่ีโรงเรียนวดั ทา่ หลกุ ชนั้ ประถมที่ศกึ ษาปีท่ี 5 – 6 เรียนที่โรงเรียนวดั ท่าเด่ือ ก่อนจะไปศกึ ษาต่อระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้นท่ีโรงเรียนธรรมราชศึกษา วดั พระสิงห์วรมหาวิหาร ในเขตอาเภอเมืองของเชียงใหม่ และเม่ือย้ายไปทางานท่ีกรุงเทพฯ เม่ือ พ.ศ. 2517 จึง ถือโอกาสเรียนต่อชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลาย (หรือชัน้ มศ.5 ให้ห้วงเวลาดังกล่าว) (ภานุพงศ์ ชัยอ้าย, 2557) เช่นเดียวกับนางฟองนวล เจริญสุข เจ้าของที่ดินจานวน 30 ไร่ เนื่องจากไม่ได้ทานา ใช้ชีวิตส่วน ใหญ่อยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ และตรหนักถึงความสาคัญของการศึกษา นางฟองนวล ก็ได้รับรู้ว่า “การศกึ ษา” จะเป็นเคร่ืองมือสาคญั ในการทามาหากินให้กบั ลกู ของตน ด้วยเหตนุ ีเ้ มื่อแยกทางกบั สามีคน เกา่ และได้รับเอาลกู สาวสองคนกลบั มาอยกู่ บั ตนเอง และได้สนบั สนนุ ให้ลกู ของตนได้มีโอกาสเรียนแม้วา่ ใน ชว่ งเวลาดงั กลา่ ว การเรียนตอ่ ในระดบั ท่ีสงู กวา่ ชนั้ ป.4 ของผ้หู ญิงไมไ่ ด้เป็นเรื่องท่ีปกตแิ ตอ่ ยา่ งใด นางฟอง นวลได้พยายามส่งเสียลกู ทงั้ สองคนเรียนหนงั สือจนจบชนั้ มธั ยมศึกษาตอนปลาย ด้วยตนเองแม้ว่าอดีต สามีจะไมเ่ หน็ ด้วยก็ตาม “...เราตอ้ งส่งเขา ตอนทีเ่ ขาอยู่กบั พ่อ เขาก็บอกว่าผหู้ ญิงไม่ตอ้ งเรียนสูง ไดแ้ ค่เย็บผา้ เท่านน้ั เพราะว่าทางแม่จันก็เป็ นแบบนนั้ ...พอพ่อเสียก็กลบั มาบอกว่าจะเย็บผ้า แม่ก็ บอกว่าไม่เอาๆ แม่จะส่งเรียน ส่งให้เรียนจนได้วนั หน้าโตมาแก่มาสูจะพึ่งใคร สูก็ต้องพ่ึง ตวั เองก็จริง เขาก็เพิ่งตวั เขา เราก็ไม่ไดไ้ ปรบกวน...” (ฟองนวล เจริญสขุ , 2556) สาหรับกลุ่มที่ไม่มีท่ีดินการเกษตร ต้องเช่าทานาและทางานรับจ้างนนั้ ก็ใช่ว่าจะหมดโอกาสทาง การศึกษาในระดบั ที่สูงขึน้ ไปเสียทีเดียว สาหรับเด็กผู้ชายยงั มีวัดท่ีเปรียบเสมือนโรงเรียนแห่งท่ีสอง เช่น นายสมศกั ด์ิ ไชยรังสี เกิดมาในครอบครัวที่ไม่มีท่ีนาของตนเอง และต้องเช่าที่ดนิ ของพ่อเลีย้ งสิงห์แก้ว อภิ วงศ์ การมีพ่ีน้องร่วมท้องแมเ่ ดยี วกนั ถึง 8 คน เม่ือเรียนจบชนั้ ป. 4 ที่โรงเรียนวดั ทา่ หลกุ พอ่ แมก่ ็ไมส่ ามารถ ที่จะส่งเรียนต่อในระดบั ท่ีสงู ขนึ ้ ไปได้ จึงอาศยั การบวชเป็นสามเณรเรียนท่ีโรงเรียนธรรมราชศกึ ษาก่อนจะ สกึ ออกมาหลงั บวชได้ 5 ปี (สมศกั ด์ิ ไชยรังสี, 2557) กรณีนางแสงอรุณ เกิดมาในครอบครัวที่ไมม่ ีที่ดิน อาศยั การเชา่ นามาโดยตลอด เมื่อเรียนจบชนั้ ป. 7 ท่ีโรงเรียนวดั ท่าเดื่อ พ.ศ. 2511 ก็ออกไปทางานเป็นแม่บ้าน ได้รับเงินเดือนๆ ละ 500 บาท ซงึ่ ก็ได้อาศยั

166 การเรียนภาคค่าที่โรงเรียนหอพระจนจบชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนต้น (มศ. 3) จากนนั้ ก็เรียนศกึ ษาผ้ใู หญ่ (ภาค ค่า) ตอ่ ท่ีโรงเรียนวฒั โนทยั พายพั จนจบชนั้ มธั ยมศึกษาตอนปลาย (มศ. 5) และเม่ือสอบเข้าเรียนผู้ช่วย พยาบาลท่ีโรงพยาบาลสวนดอกได้ก็กลบั มาอย่บู ้าน และต้องนง่ั รถไป – กลบั ในการเรียนจนกระทงั่ สามารถ สาเร็จการศึกษา หลังจากเรียนผู้ช่วยพยาบาลจบในปลาย พ.ศ. 2522 นางแสงอรุณ ก็สอบบรรจุเป็น ข้าราชการทางานในโรงพยาบาลสวนดอกตงั้ แตน่ นั้ มาจนถงึ ปัจจบุ นั (แสงอรุณ, 2557) 2.2.3 ความสัมพนั ธ์ทางสังคม ภายหลงั เปลี่ยนระบบการผลติ มาเป็นการผลิตเพื่อขาย ขณะเดียวกนั ก็เกิดการเคล่ือนย้ายของผ้คู น ในชุมชนเข้าส่ตู วั เมืองเชียงใหม่และก้าวขาข้างหน่ึงออกไปส่กู ารผลิตนอกภาคเกษตรกรรม ทาให้รูปแบบ ความสมั พนั ธ์ของผ้คู นในชมุ ชนมีความหลากหลายมากขนึ ้ หากพิจารณารูปแบบความสมั พนั ธ์บนฐานการ ผลิตในภาคเกษตรกรรม พบวา่ มีความสมั พนั ธ์เชิง “กึ่งอปุ ถัมภ์” กล่าวคือแม้ว่าจะยงั เป็นพง่ึ พากนั สาหรับ คนภายในชมุ ชนแตก่ ็มีความสมั พนั ธ์ในแบบแลกเปล่ียนแทรกเข้ามา ดงั กลา่ วแล้ววา่ ท่ีดนิ ส่วนใหญ่ในชมุ ชนนนั้ กระจกุ ตวั อย่ใู นมือของเจ้าท่ีดินรายใหญ่ไม่กี่เจ้า รวมถึง กลมุ่ ที่มีท่ีดนิ ขนาดกลางจานวนหนง่ึ ดงั นนั้ กลมุ่ ที่มีท่ีดนิ ขนาดเล็กหรือไร้ที่ดนิ ต้องพ่ึงพากลมุ่ คนเหลา่ นนั้ ทงั้ ในรูปแบบของการเชา่ ที่นาและการก้ยู ืมข้าวในบางฤดทู ่ีข้าวไมพ่ อกบั การบริโภค แตก่ ารก้ยู ืมข้าวก็ยงั ขนึ ้ อยู่ กบั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งผ้ใู ห้ก้กู บั ผ้กู ู้ เชน่ หากเป็นเครือญาตกิ นั อาจจะผอ่ นผนั หรือยืดหยนุ่ ทงั้ ระยะเวลาใน การคืนข้าวที่ยาวออกไป รวมถึงได้อตั ราดอกเบีย้ ในการก้ขู ้าวที่ไมเ่ อารัดเอาเปรียบเกินไป เชน่ กรณีของนาง บวั จนั ทร์ ใจแก้ว เช่าท่ีดนิ ของนางฟองนวล เจริญสขุ ซง่ึ เป็นญาตหิ า่ งๆ กนั ได้อตั ราก้ยู ืมข้าวคอื 1: 2 คือ กู้ 1 ถังคืน 2 ถัง แต่สาหรับคนที่ไม่ใช่เครือญาติอาจมีอตั รากู้ยืมข้าวท่ีแตกต่างออกไป เช่น กรณีของตระกูล จนั ต๊ะโสภา ที่ปลอ่ ยให้ก้ยู ืมข้าวตอ่ คนทว่ั ไปในอตั รา 1:3 คอื กู้ 1 ถงั คืน 3 ถงั อย่างไรก็ตาม ผู้กู้อาจใช้ความสมั พันธ์ในลักษณะอ่ืน เช่น กรณีตระกูลไชยรังสีท่ีเป็นหมอเมือง ความรู้เร่ืองยาและการรักษาอาการเจ็บป่ วยแบบล้านนา ได้อาศยั ทนุ ทางสงั คมสว่ นตวั และความสมั พนั ธ์ท่ี เคยรักษาให้พ่อเลีย้ งสิงห์แก้ว อภิวงค์ เจ้าที่ดินรายใหญ่ จึงสามารถหยิบยืมเงินเมื่อขาดเหลือได้ (นาย สมศกั ดิ์ ไชยรังสี, 2557) “นาก็เป็นของเขา...แบ่งใหท้ า กินค่าหวั ไร่หนึ่งก็ประมาณ 12-13 ถงั ...” “...พ่อนีก่ ็ไปคบคา้ สมาคมกบั แก อาศยั หยิบยืมแกมาก่อน ทานาแก...” (สมศกั ด์ิ ไชยรังสี, 2557) นอกเหนือจากความสมั พนั ธ์ระหว่างเจ้าที่ดนิ /ผ้ใู ห้เชา่ กบั ผ้เู ช่าแล้ว ยงั มีความสมั พนั ธ์รูปแบบอื่นๆ ตามวิถีทางเศรษฐกิจท่ีเปลี่ยนแปลงไป เช่น ในกรณีของนายภาณุพงษ์ ชยั อ้าย ที่หนั มาปลกู ดอกไม้สดเพ่ือ สง่ ขายตลาดในเมืองเชียงใหม่ ก็มีการสร้างเครือข่ายขยายธุรกิจของตนเองออกไปเป็นส่งออกพนั ธ์ุดอกบวั

167 สวรรค์ไปยงั ประเทศญ่ีป่ นุ หรือการปลกู พืชเศรษฐกิจเชน่ ถว่ั เหลืองหรือมันเทศ ทาให้เกิดกล่มุ นายหน้าหรือ โบรกเกอร์ผ้ทู ่ีเข้ามาตดิ ตอ่ และรับผลผลติ จากผ้เู พาะปลกู ซง่ึ ล้วนแล้วแตก่ ็เป็นคนภายในชมุ ชนแหง่ นี ้ ในกรณีของนางฟองนวล เจริญสุข เจ้าที่ดินจานวน 30 ไร่ ผ้ไู ม่เคยทานาและมีรายได้มาจากนอก ภาคเกษตรกรรมมาโดยตลอด โดยมีวิถีชีวติ คลกุ คลีอย่ใู นตวั เมืองเชียงใหมม่ ากกวา่ บ้านเกิดของตนเองดงั ที่ นางฟองนวลพดู ถึงตนเองวา่ “ยายน่ีเป๋ นคนเวียงไปนกั ” และการมีสามีที่ทาอาชีพรับเหมาก่อสร้างจงึ ทาให้ เกิดเครือขา่ ยหรือความสมั พนั ธ์ทางสงั คมกบั ชนชนั้ นาของเชียงใหมใ่ นขณะนนั้ “เขา (สามี) รู้จกั คนเยอะในเวียงเชียงใหม่ เพราะว่าเขาเป็นคนรับเหมา แลว้ รู้จกั คนใหญ่ๆ โตๆ กนั ทงั้ นน้ั หม่อมศรีนวล (ศรีนวล ณ เชียงใหม่) นีเ่ คยรับใช้กนั มาตลอด พวกนายห้าง เจ้าของบริษัท ฝร่ัง บริษัทมอเนล นีเ่ ขาเรียกหมด นายห้างเขารัก (แฟนยาย) มาก เขาจะ ยกที่ดินให้ตรงหน้าโรงเรียนปรินซ์ แต่เขาก็ไม่โลภ เมื่อก่อนมนั เป็ นนาตรงป๊ัมน้ามันแถว นนั้ เป็นของเขา (นายห้าง) หมด เขาว่านายจะให้ทีอ่ ยู่ สองไร่เลือกเอาเลย แต่แฟนก็ไม่เอา เขาก็รัก ก็เลยเอาเงินเดือนให้ เก็บเงินเดือนไว้ให้ มีลูกด้วยกนั คนหน่ึง นายเขาก็เลยฝาก เงินไวใ้ หล้ ูกสาวทีธ่ นาคารออมสินเดือนละ 1,500 ไดส้ ามหมื่นกว่าเลย เขาตายไปละ เจ้าของธนาคารนครหลวงก็เสียไปละ..” ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจท่ีเกิดขึน้ จึงมีผลตอ่ การสร้างและจดั ความสมั พนั ธ์ทงั้ ระหว่างคน ภายในชุมชนด้วยกันเองและระหว่างคนภายในชุมชนกับโลกภายนอกที่ค่อยๆ ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจ สมยั ใหมเ่ ข้ามาอยใู่ นวถิ ีชีวติ ของผ้คู นมากขนึ ้ 2.3 สันผีเสือ้ ในบริบทการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ (พ.ศ. 2531 – ปัจจุบัน) 2.3.1 การพัฒนาโครงสร้างพนื้ ฐานเพ่อื รองรับความเจริญเตบิ โตของเมืองเชียงใหม่ เมื่อเข้าสทู่ ศวรรษ 2530 เป็นต้นมาถือเป็นยคุ ท่ีนามาสกู่ ารเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของตาบลสนั ผีเสือ้ มาส่สู ภาพท่ีเห็นในปัจจบุ นั เศรษฐกิจภาคเหนือตอนบนโดยเฉพาะนอกภาคเกษตรมีการขยายตวั เพิ่มขึน้ เป็นลาดบั แลเพิ่มขนึ ้ อยา่ งมากในชว่ ง พ.ศ. 2530 – 2533 เศรษฐกิจที่ขยายตวั มากได้แก่ ภาคบริการ ธุรกิจ อสงั หาริมทรัพย์ และก่อสร้างซึ่งมีผลตอ่ สาขาการผลิตอื่นๆ ด้วย เช่น การท่องเที่ยวทาให้เกิดการขยายตวั ของกิจการโรงแรม ภตั ตาคาร ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า เชน่ เดียวกบั ธุรกิจการซือ้ ขายท่ีดนิ คอนโดมิเนียม สวนเกษตร รีสอร์ทและสนามกอล์ฟก็เพิ่มขนึ ้ (ธเนศวร์ เจริญเมือง, 2535: 22) การพัฒนาเมืองเชียงใหม่ใน ฐานะเมืองหลักในภาคเหนือตอนบน เป็ นผลให้ เศรษฐกิจของเมือง เชียงใหม่ขยายตวั อย่างรวดเร็วกว่าจังหวัดอื่นๆ และเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจทุกด้านในภาคเหนือ ตอนบน รวมถึงการศึกษาและการคมนาคมขนส่ง ด้วยเหตนุ ีเ้ ชียงใหม่จึงเป็นเมืองท่ีดดู เอาทรัพยากรจาก จงั หวดั อ่ืนๆ ไม่ว่าจะเป็นปัจจยั ด้านเศรษฐกิจหรือปัจจัยอื่นๆ การเติบโตอย่างรวดเร็วนีไ้ ด้สร้างปัญหาแก่

168 ประชากรในเมืองเชียงใหมร่ วมถึงนกั ท่องเท่ียวและผ้ทู ี่เข้ามาทาธุรกิจคือปัญหาจราจรติดขดั ปัญหาแม่นา้ เนา่ เสีย ปัญหาอากาศเป็นพิษ ปัญหาการใช้ที่ดนิ ผดิ ประเภททาให้มีการสร้างอาคารสงู ในจดุ ที่ไมเ่ หมาะสม ปัญหาชมุ ชนแออดั เป็นต้น (ธเนศวร์ เจริญเมือง, 2535: 23-27) ปัญหาที่เกิดขนึ ้ จากการกระจกุ ตวั ของการ พฒั นาอย่ทู ี่เมืองเชียงใหม่ซ่งึ ไม่ตา่ งกบั กรุงเทพฯ นามาสกู่ ารแก้ไขปัญหาและวางแผนจดั ระเบียบตวั เมือง มาตรการท่ีสาคญั คือการวางผงั เมืองและการใช้โครงขา่ ยบริการพืน้ ฐานโดยเฉพาะเส้นทางขนสง่ และถนน ด้วยเหตนุ ีจ้ ึงมีการพัฒนาเส้นทางขนส่งในจงั หวดั เชียงใหม่หลายโครงการนบั ตงั้ แตป่ ลายทศวรรษ 2520 เรื่อยมา การสร้างถนนสายเชียงใหม่ – แมโ่ จ้ (ทางหลวงหมายเลข 1001) เป็นถนนท่ีตดั ใหม่ใน พ.ศ. 2523 เพื่อรองรับการขยายตวั ทางเศรษฐกิจของพืน้ ที่ โดยเฉพาะการ ก่อตงั้ มหาวิทยาลยั แม่โจ้และสถานท่ีราชการ โดยตดั แยกออกมาจากถนนสายเชียงใหม่ – สนั ทราย (ทาง หลวงหมายเลข 100 เดิม) ถูกเรียกว่าถนนสายเชียงใหม่ – แม่โจ้ ในปัจจุบนั ต่อมาใน พ.ศ. 2538 มีการ ปรับปรุงขยายถนนจาก 2 ชอ่ งจราจรมาเป็น 4 ชอ่ งจราจร และในยา่ นชมุ ชนจะกอ่ สร้างเป็น 8 ชอ่ งจราจร มี ถนนสองสายสาคญั ตดั ผา่ นคอื ถนนวงแหวนรอบกลาง (ทางหลวงชนบท 3029) และถนนวงแหวนรอบนอก (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 121) ทาให้ถนนเส้นนีม้ ีความสาคัญทางเศรษฐกิจ เห็นได้จากการมีแหล่ง การค้าขนาดใหญ่ เช่น ห้างมีโชคพลาซ่า ตลาดรวมโชค และริมปิงซุปเปอร์สโตร์ (ปนดั ดา พาณิชยพันธ์ุ, 2554: 51-53) การสร้างถนนวงแหวนรอบกลาง (ทางหลวงชนบทหมายเลข 3029) หรือถนนเชียงใหม่ 700 ปี ใน พ.ศ. 2532 ได้มีการประกาศผงั เมืองรวมจงั หวดั เชียงใหมฉ่ บบั ท่ี 2 กาหนดพืน้ ที่ใช้สอยประเภท ตา่ งๆ และได้มีการเตรียมโครงการก่อสร้างถนนสายใหมต่ ามเขตผงั เมืองรวมเพ่ือเชื่อมโครงข่ายการจราจร ซง่ึ ตอ่ มากาหนดให้มีการก่อสร้างถนนวงแหวนรอบกลางเมืองเชียงใหม่หรือ แนวสาย ฌ3 ในแผนท่ีผงั เมือง รวมจงั หวดั เชียงใหม่ เป็นโครงการนาร่อง และในสมยั ของนายชวน หลีกภยั คณะรัฐมนตรีได้มีมตเิ ห็นชอบ ให้กรมโยธาธิการรับผิดชอบดาเนินงานโครงการ ใน พ.ศ.2537 (สมโชติ อ๋องสกุล, 2546: 469; ปนดั ดา พาณิชยพนั ธ์ุ, 2554: 56) การสร้างวงแหวนรอบนอก (ทางหลวงแผน่ ดนิ หมายเลข 121) โครงการก่อสร้างสายเล่ียงเมืองเชียงใหม่รอบนอกเป็นโครงการหน่ึงในสายทางหลกั ของผงั เมือง รวมเชียงใหม่ โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ให้เป็นทางเล่ียงเมืองในระยะรัศมี 7 – 10 กม. จากใจกลางเมืองถนนวง แหวนรอบนอก ได้เร่ิมดาเนินก่อสร้ างใน พ.ศ. 2537 จานวน 2 ช่องทางจราจรเป็นแนวทางใหม่ต ลอด เส้นทาง ระยะทางรวม 32.672 กิโลเมตร เนื่องจากเป็นโครงการก่อสร้างตามแนวตดั ใหม่ตลอดเส้นทางจงึ มี ปัญหาและอปุ สรรคในเร่ืองกรรมสิทธ์ิและการเวนคืนท่ีดิน ประกอบวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศทาให้การ

169 ก่อสร้างไมต่ อ่ เนื่องและเป็นไปอยา่ งลา่ ช้า การใช้ท่ีดินสองฝ่ังถนนในช่วงนีย้ งั มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ท่ีดนิ ไมม่ ากนกั สว่ นใหญ่ยงั คงเป็นการใช้ท่ีดนิ แบบเกษตรกรรม (ปนดั ดา พาณิชยพนั ธ์ุ, 2554 : 54) 2.3.2 ผลกระทบของการพฒั นาเมืองเชียงใหม่ 1) การเปล่ียนแปลงการถือครองท่ดี นิ และรูปแบบการใช้ท่ีดนิ หากพิจารณาผลกระทบในภาพรวมพบว่าการขยายตวั ของการผลิตเพ่ือการค้า อตุ สาหกรรม และ การบริการตลอดจนการขยายตวั ของเมืองและการเก็งกาไรที่ดิน มีผลทาให้ราคาท่ีดนิ สูงขนึ ้ ตงั้ แตท่ ศวรรษ 2530 การถือครองที่ดนิ เฉลี่ยของชาวนาภาคเหนือลดลงเหลือประมาณ 5.7 ไร่ การถือครองท่ีนาลดลงจาก 8ไร่ เป็น 2 ไร่ ในช่วงเวลาเดียวกนั (รัตนาพร เศรษฐกลุ , 2546: 266) ท่ีดนิ ที่เป็นปัจจยั การผลิตที่สาคญั เป็น สินค้าท่ีตลาดต้องการ มีการป่ันราคาที่ดนิ ให้สงู จนจนชาวบ้านต้องแยง่ กนั ขายท่ีดินซ่งึ แตเ่ ดมิ มาล้วนเป็นท่ี นา การขยายตวั ทางเศรษฐกิจทาให้เกิดความต้องการท่ีดินเพื่อการเกษตรขนาดใหญ่ อตุ สาหกรรม การท่องเที่ยว และการสร้ างสาธารณูปโภคของรัฐ ธุรกิจพัฒนาท่ีดินขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงต้น ทศวรรษ 2530 ถนนสายเชียงใหม่ – หางดง – สะเมิง มีโครงการพฒั นาท่ีดินเพ่ิมจาก 8 โครงการใน พ.ศ. 2530 เป็น 33 โครงการใน พ.ศ. 2536 รองลงมาคือถนนสายเชียงใหม่ – แม่โจ้ เพิ่มจาก 6 โครงการเป็น 20 โครงการ และถนนสายเชียงใหม่ – แมร่ ิมเพิ่มจาก 8 โครงการเป็น 28 โครงการ (รัตนาพร เศรษฐกลุ , 2546: 367) ในสว่ นของชมุ ชนสนั ผีเสือ้ ที่มีถนนเส้นหลกั สาคญั 3 สายตดั ผา่ น ในช่วงแรกของการสร้างถนนเส้น หลกั สาคญั ไมว่ า่ จะเป็นการสร้างถนนซปุ เปอร์ไฮเวย์ในต้นทศวรรษ 2500 หรือการสร้างถนนสายเชียงใหม่ – แม่โจ้ ก็ยงั ไมเ่ ห็นการเปลี่ยนแปลงในชมุ ชนมากนกั จดุ เปลี่ยนสาคญั อย่ทู ่ีการตดั ถนนวงแหวนรอบกลาง ใน พ.ศ. 2532 ท่ีเริ่มมีการเข้ามาเก็งกาไรของนายหน้าค้าที่ดินตงั้ แตต่ ้นทศวรรษ 2530 ส่งผลให้ท่ีดินเพ่ือ การเกษตรจานวนมากกลายเป็นท่ีรกร้าง (ปนดั ดา พาณิชยพนั ธ์ุ, 2554: 95) การเข้าเก็งกาไรของนายหน้า ค้าท่ีดินเพราะจะมีการสร้ างบ้านจัดสรรหลายโครงการ โครงการแรกๆ ที่เข้ามาในตาบลสันผีเสือ้ คือ หมบู่ ้านธนาวลั ย์ และหมบู่ ้านล้านนาวิลล์ ซงึ่ เป็นของนายคะแนน สภุ า (พอ่ ตาของนายเนวนิ ชดิ ชอบ) เจ้าของที่ดนิ ท่ีอยใู่ นพืน้ ท่ีจดั สรรตา่ งทยอยขายให้กบั นายหน้า บางคนถึงกบั มีการเตรียมพร้อมเม่ือรู้ ว่าที่ดินของตนจะถกู กว้านซือ้ เช่น นางฟองนวล เจริญสขุ ท่ีขายที่ดนิ ให้กบั นายหน้าเพ่ือสร้างหม่บู ้านธนา วลั ย์ “พอดีเขาขายที่นน่ั แล้วยายมีนาที่นี่ 2 ไร่กว่ายายก็ถมที่...เผื่อว่าถ้าเราจะขายมนั จะได้ ขายง่าย เราก็ถมดิน เพราะว่าถา้ เราจะเข้าทางนี้มนั ก็ไม่มีถนน เขาจดั สรรที่นนั่ แล้ว แล้ว

170 จะเขา้ มาหาเรา เราก็ถมทีเ่ ลยจ้างรถมา หมดเงินไปแสนกว่า เป็นนาถมขึ้นมาจนเรียบ เสมอกนั ...” (ฟองนวล เจริญสขุ , 2556) เช่นเดียวกบั นายภาณุพงศ์ ชยั อ้าย ที่ขายที่ดินกว่า 20 ไร่ บริเวณท่งุ ฟ้าผ่าให้กับนายหน้าค้าท่ีดิน เพื่อสร้างหมู่บ้านล้านนาวิลล์ โดยสามารถขายได้ถึงไร่ละล้านบาท ซ่ึงนับว่าเป็นราคาท่ีดินแพงท่ีสุดใน ขณะนนั ้ “...เมื่อก่อนนะมี (ทีด่ ิน) ลา้ นนาวิลล์นีเ่ ป็น 20 กว่าไร่...ขายหมดแล้ว เขาเอาไปจดั สรร เรา ไม่ขายแต่เขามาซื้อรอบๆ ก็เลยขาย...ตอนนน้ั เขาก็ซื้อของพ่อนีแ่ พงสดุ เลยนะไร่ละลา้ น... (ภาณพุ งศ์ ชยั อ้าย, 2557) เม่ือมาถึงยุคของการตดั ถนนวงแหวนรอบนอก ทาให้ที่ดินบริเวณบ้านขวั โก บ้านร้องอ้อ บ้านป่ า ขอ่ ยเหนือ รวมถึงที่ดนิ ตดิ ริมนา้ ปิง มีราคาเพิ่มสงู ขนึ ้ อย่างมากและผ้ทู ่ีได้รับประโยชน์ก็คือชาวบ้านท่ีมีท่ีดิน บริเวณนนั้ กลมุ่ คนเหลา่ นีส้ ่วนใหญ่จะนาเงินจากการขายท่ีดนิ มรดกของตนไปลงทนุ ในการซือ้ ท่ีดนิ ผืนใหม่ และ/หรือนาไปเป็นเงินลงุ ทนุ ประกอบกิจการ ดงั จะกลา่ วในหวั ข้อตอ่ ไป การเข้ามาธุรกิจค้าท่ีดินและกระแสข่าวการสร้างบ้านจดั สรรที่ต่างจะทยอยสร้างขึน้ มาจึงทาให้ ที่ดนิ เพื่อการเกษตรถกู เปลี่ยนเป็นที่ดนิ รกร้างวา่ งเปล่า บางสว่ นมีการไถปรับที่เพื่อเตรียมพร้อมสาหรับการ กอ่ สร้าง ปรากฏการณ์นีส้ ง่ ผลตอ่ อาชีพเกษตรกรรมในชมุ ชน ดงั กลา่ วในหวั ข้อถดั ไป 2) ภาวะล้มหายตายจากของชาวนาใกล้เมือง เนื่องจากเกษตรกรมากกวา่ คร่ึงหนงึ่ ในชมุ ชนสนั ผีเสือ้ เป็นชาวนาเชา่ ครัน้ เมื่อเจ้าของท่ีดนิ ตา่ งขาย ที่ดินจึงทาให้เกษตรกรเช่าหมดหนทางในการทาการเกษตรและหนั ไปประกอบอาชีพอ่ืนแทน ขณะเดียวกนั กล่มุ เกษตรกรที่มีที่ดินเองก็ทยอยขายท่ีนาของตนเองไปเกือบหมด บางส่วนขายด้วยความเต็มใจ ขณะท่ี บางส่วนก็อาจจะต้องขายเพราะสถานการณ์บงั คบั เพราะท่ีนาบริเวณโดยรอบถกู ขายไปหมดแล้ว สาหรับ คนท่ีมีท่ีนาบริเวณปลายนา้ เชน่ บ้านสนั ทราย สนั ผีเสือ้ สามคั คี บ้านท่าเดื่อ ได้ให้เหตผุ ลของการขายท่ีดิน วา่ เกิดจากการขาดแคลนนา้ ในการเกษตร ดงั ท่ีนายขจรศกั ด์ิ พรมเสน กลา่ ววา่ “...ปัญหาสาคญั ที่ทาให้ชาวบ้านตดั สินใจขายที่ดินคือปัญหาเรื่องน้าการเกษตร เพราะ เดิมมีระบบฝายทดน้าในการดึงน้าเข้านา ทาใหย้ งั พอมีน้าทา แต่พอสร้างเขื่อนแม่งดั ทาให้ ขาดแคลนน้าในการเกษตรเพราะเป็นพืน้ ที่ปลายน้า แม้ว่าการสร้างเขื่อนจะช่วยแก้ปัญหา น้าท่วมได้ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อคนปลายน้าเพาะระบบเปิ ด-ปิ ดน้าทีเ่ ป็นเวลา ประกอบกบั คนต้นน้าใช้วิธีลกั ไก่ แอบผนั น้าจากตาน้าเข้าพืน้ ทีข่ องตนเองหมด คนปลายน้าจึงลาบาก แมว้ ่าบางคนจะพยายามขดุ น้าบาดาลเพือ่ ดึงน้ามาใช้ แต่ก็สูไ้ ม่ไหวจึงตดั สินใจขาย...”

171 (ขจรศกั ด์ิ พรมเสน, 2556) เชน่ เดยี วกบั นายวิฑลู จนั ทพร กลา่ วถงึ สาเหตขุ องการเลกิ ทานาวา่ “ตอนนี้ไม่ทาแล้วมนั ไม่มีน้า เมื่อก่อนนี้มันเป็ นเหมืองวงั ลาวนะ น้าปิ งมนั เข้าไหลตลอด นะ มีฝายอยู่ทีอ่ าเภอแม่ริม ทีเ่ มืองแกว้ ฝายเหมืองแก้ว แลว้ ก็ที่ตาบลเหมืองแก้ว เขาก็ทา ฝายเข้ามาเหมืองวงั ลาว แล้วก็ตอนนี้กลายเป็นชลประทาน ชลประทานพอเข้ามาทา ถม เหมืองวงั ลาวเป็นชลประทาน แลว้ น้าก็เลย (ไม่มี) อนั เดิมมนั เป็นเหมืองวงั ลาวไง” (วฑิ ลู จนั ทพร, 2557) อย่างไรก็ตาม พบว่าเกษตรกรบางครัวเรือนที่แม้จะขายท่ีดินไปแล้ว แต่เนื่องจากสภาวะทาง เศรษฐกิจท่ีชะลอตวั ทาให้การลงทุนก่อสร้างบนผืนดินบางแห่งอาจยงั ไม่เกิดขึน้ เกษตรกรเหล่านนั้ จึงยงั สามารถเชา่ ที่ดินเพ่ือทานาจากเจ้าของที่ดินได้ตอ่ ไปแตก่ ็เป็นการทาการเกษตรที่ไม่มีความมน่ั คงแตอ่ ยา่ ง ใด 3) การเกิดขนึ้ ของเศรษฐีใหม่ การขายท่ีดินยุคของการพัฒนาถนนที่ตัดผ่านชุมชนสันผีเสือ้ ก่อให้เกิดคนกลุ่มใหม่ที่เข้ามีมา บทบาททงั้ ในการเมืองและมีฐานะทางเศรษฐกิจเป็นอันดบั ต้นๆ ของชุมชน โดยกลุ่มคนที่สามารถขยับ ฐานะมาส่กู ลมุ่ ชนชนั้ นาได้มาจากกลมุ่ ท่ีหลากหลายได้แก่กล่มุ ที่มีดนิ ขนาดกลาง และกลมุ่ คนท่ีมีดนิ ขนาด เลก็ ได้แก่ 1. นายวิฑูล จนั ทพร ปัจจุบนั ดารงตาแหน่งผู้ใหญ่บ้านบ้านท่าหลุก (หมู่ 7) นายวิฑูล เกิดมาใน ครอบครัวท่ีมีที่ดนิ ทากินมากถึง 50 ไร่ และหลงั จากประสบความสาเร็จการปลกู ผกั และดอกไม้ ประจอบกบั ท่ีดนิ มีติดริมนา้ ปิงมีราคา จึงขายท่ีดินพร้อมกับนาเงินที่สะสมจากการทาการเกษตรมาลงทุนทาธุรกิจบ้าน เชา่ ท่ีที่บ้านทา่ เด่อื 2. นางผอ่ งพนั ธ์ุ บญุ สละ ภรรยานายคาดี บญุ สละ กานนั ตาบลสนั ผีเสือ้ นางผ่องพนั ธ์ุเป็นคนบ้าน วงั สิงห์คาและถือวา่ ครอบครัวของตนเองยากจนเพราะไมม่ ีที่ดินทากิน เมื่อแตง่ งานก็อาศยั ทานาของสามี แม้มีจานวนไม่มากนกั แตก่ ็ยงั มีนา้ เพียงพอให้ปลกู ผกั ได้ นางผ่องพนั ธ์ุ จึงเร่ิมปลกุ ผกั และเป็นแม่ค้าผกั ไป ด้วย แตเ่ งินจากการค้าขายก็ไม่มากมายนกั เมื่อเทียบกบั เงินจากการขายท่ีดินภายหลงั มีการสร้างถนนวง แหวนรอบนอก ซ่ึงตัดผ่านท่ีดินของสามีพอดี นางผ่องพนั ธ์ุจึงเร่ิมนาเงินจากการขายที่ไปลงทุนซือ้ ที่ดิน แปลงอ่ืนตอ่ และกลายเป็นเศรษฐีท่ีดนิ ในชมุ ชนสนั ผีเสือ้ 4) การเกิดอาชีพนอกภาคเกษตรกรรมอ่ืนๆ หากพิจารณาระบบเศรษฐกิจของชมุ ชนสนั ผีเสือ้ ดงั ได้แสดงให้เหน็ ในตาราง ที่ 3 จะพบวา่ ชมุ ชนสนั ผีเสือ้ มีธุรกิจท่ีหลากหลาย และกลุ่มคนท่ีเข้าสู่ภาคธุรกิจเหล่านีม้ าจากหลายกล่มุ ทงั้ กลุ่มที่มีท่ีดินขนาด

172 กลาง ขนาดเล็ก รวมถึงคนท่ีไม่มีที่ดิน นอกจากนีย้ งั พบว่าบางส่วนยงั มีท่ีนาและปลกู ข้าวไว้กิน พร้อมกับ การหารายได้นอกภาคเกษตรกรรมอื่นดงั จะกลา่ วในหวั ข้อการปรับตวั ของกลมุ่ ตา่ งๆ 5) การเข้ามาอยู่ของ “คนนอก” แม้ว่าชุมชนสันผีเสือ้ จะไม่ใช่ชุมชนปิดและมีปฏิสัมพันธ์การเคล่ือนย้ายและอพยพของผู้คน ตลอดเวลานบั ตงั้ แตต่ งั้ ถ่ินฐาน ทวา่ ปรากฏการณ์ท่ีเห็นชดั เจนของการเข้ามาอยจู่ ากคนตา่ งถ่ินในห้วงเวลา นีใ้ น 2 รูปแบบสาคญั คือ รูปแบบแรก การเกิดขนึ ้ ของหมบู่ ้านจดั สรรตา่ งๆ ทงั้ โครงการขนาดเล็กและขนาด ใหญ่มากกว่า 20 โครงการ โดยบคุ คลท่ีอาศยั อยใู่ นหม่บู ้านเหลา่ นีแ้ ทบทงั้ หมดจะประกอบอาชีพนอกภาค เกษตรกรรมซง่ึ อย่ใู นเขตเมืองและใช้เวลาในชีวิตสว่ นใหญ่อย่ใู นเมืองมากกว่าในหม่บู ้านที่อย่ใู นชมุ ชน ซ่ึง สว่ นใหญ่ก็จะเป็นชว่ งเวลาวนั เสาร์วนั อาทิตย์หรือวนั หยดุ ราชการ รวมถึงประชากรท่ีเข้าอาศยั อยใู่ นห้องพกั หรือบ้านเช่าต่างๆ เน่ืองจากเป็นพืน้ ที่ใกล้เมืองเดินทางสะดวก ทาให้มีคนทางานในเขตเมืองใช้เป็นท่ีพกั อาศยั สาหรับรูปแบบที่สอง คนในชุมชนยังต้องเผชิญกับปัญหาแรงงานต่างชาติท่ีเข้ามาอาศยั อยู่ใน ชมุ ชนตามโครงการก่อสร้างบ้านจดั สรรหรือหอพกั ตา่ งๆ โดยแรงงานตา่ งชาติเหลา่ นีก้ ็จะทางานอยใู่ นพืน้ ที่ เขตเมืองเป็นหลกั ลกั ษณะของชมุ ชนที่ต้องเผชิญกบั “คนนอก” นบั เป็นความเปล่ียนแปลงอยา่ งสาคญั ที่สง่ ผลกระทบ ตอ่ ชมุ ชนทงั้ ในมิติทางสงั คม วฒั นธรรม รวมถึงเป็นบริบทท่ีทาให้เกิดความสมั พันธ์ของชมุ ชนในรูปแบบที่ หลากหลาย ซ้อนทบั และตดั ข้ามระหวา่ งความเป็นเมือง/ชนบท จารีตประเพณี/กฎหมาย ระบบเครือญาต/ิ คนแปลกหน้า 2.4 การปรับตัวของ “กลุ่มคน” ในชุมชนสันผีเสือ้ ท่ามกลางความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึน้ อย่างกว้างขวางซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานะที่ดารงอยู่ของ กลุ่มต่างๆ ผู้คนในชุมชนสันผีเสือ้ ก็ได้มีการปรับตัวต่อการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ซ่ึงได้ เกิดขึน้ บนเงื่อนไขของคนแต่ละกลุ่มท่ีแตกต่างกัน ซึ่งจะได้พิจารณาจากเง่ือนไขทางด้านเศรษฐกิจและ เครือขา่ ยของแตล่ ะกลมุ่ วา่ มีสว่ นตอ่ การปรับตวั ท่ีเกิดขนึ ้ นีไ้ ปในลกั ษณะอย่างไรบ้าง 2.4.1 กลุ่มเจ้าท่ดี ิน การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและสงั คมกวา่ 5 ทศวรรษ ที่ผา่ นมาพบวา่ คนกล่มุ นีย้ ังคงรักษาอานาจทางเศรษฐกิจของตนไว้ ซึ่งฐานเศรษฐกิจหลกั ของกลุ่มนีค้ ือที่ดิน ในช่วงแรกกลุ่มนี ้ พยายามสะสมความมง่ั คงั่ ผ่านการปล่อยให้ก้ยู ืมข้าวและก้ยู ืมเงิน และสะสมท่ีดินด้วยการยึดที่ดนิ มาจาก ลกู หนี ้และขณะเดียวกนั ก็สะสมความมงั่ คง่ั ที่เป็นตวั เงินด้วยการเปิดกิจการโรงสี และเปิดร้านค้า ปัจจบุ นั กล่มุ เจ้าท่ีดินรักษาฐานทางเศรษฐกิจของตระกลู ผ่านการแตง่ งาน เช่น ตระกลู จนั ต๊ะโสภา ที่ยงั คงสามารถรักษาความมงั่ คง่ั ในการถือครองที่ดินไว้ได้เพราะให้ลกู สาวแตง่ งานกับนายลกั ษ์ บุญชละ

173 โดยแม้จะมีฐานะทางเศรษฐกิจตา่ งกันคอ่ นข้างมาก แตน่ ายลกั ษ์ก็เป็นหวั เรี่ยวหวั แรงสาคญั ของตระกลู ที่ เข้ามาสานต่อการทานา และเป็นกลุ่มท่ียงั ทานาและมีท่ีนามากท่ีสุดในสันผีเสือ้ มีรถไถนา รถเกี่ยวข้าว หลายคนั มีรถแม็คโค 2.4.2 กลุ่มท่ีมีท่ีดินขนาดกลาง สาหรับกล่มุ ที่มีท่ีดินขนาดกลางมีรูปแบบการปรับตวั 2 รูปแบบ คอื 1) ปรับตัวเข้าสู่การเป็ นกลุ่มทนุ ใหม่ในชุมชน โดยมีฐานท่ีสาคญั คือ การผลติ เชิงพาณิชย์อยา่ ง เข้มข้น เนื่องจากมีที่ดินของตนเองและสามารถปรับตวั เข้ากบั ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ได้ ทาให้คนกล่มุ นี ้ สามารถสะสมความมง่ั คงั่ จากการทาการเกษตรมาลงทนุ และต่อยอดธุรกิจอ่ืนได้ เช่นกรณีของนายวิฑูล จนั ทรพร เกิดในครอบครัวชาวนา เป็นคนบ้านท่าเดื่อ (หมู่ 6) ก่อนจะเลิกทานาในช่วงทศวรรษ 2530 นาย วิฑูล ทานาทงั้ หมด 100 ไร่ เป็นที่ดินของตนเอง 50 ไร่ และเช่าอีก 50 ไร่ โดยเป็นการช่วยกนั ทากบั พี่น้อง ของตนเองรวม 4 คน หลงั จากพ่อเสียชีวิตจงึ แบ่งท่ีดนิ มรดกจานวน 50 ไร่ แล้วมาอย่บู ้านภรรยาที่บ้านท่า หลกุ ปัจจบุ นั นายวิฑลู เลิกทางานในภาคเกษตร และผนั ตนเองมาเป็นเจ้าของกิจการบ้านเช่ากวา่ 30 หลงั ในบ้านท่าหลุก เงินตงั้ ต้นจากการทาธุรกิจนีส้ ่วนหนึ่งมาจากการขายท่ีดินจานวน 2 ไร่ ซ่ึงเป็นที่ดินมรดก ของพ่อให้กบั เจ้าของสวนส้มวงั นา้ ค้าง ในราคา 200,000 บาท และนาเงินจานวนดงั กลา่ วมาซือ้ ที่ดินท่ีบ้าน ทา่ หลกุ ท่ีอาศยั อยู่ และสร้างบ้านให้เช่าปัจจบุ นั รวม 17 ไร่ สาหรับเงินลงทนุ ในการสร้างบ้ านเช่า ส่วนหน่ึง มาจากการทาสวนทงั้ สวนผกั และสวนดอกไม้ (กอ่ นจะเลิกทานา) “ทาไปกินไป ทาไปทีละนอ้ ย ไม่ใช่ว่าทาทีเดียว ไม่ใช่ว่าเอามรดกแม่มานะ ก็ทาทกุ วนั ๆ นี่ แหละ คราวที่แล้วปลูกบัวสวรรค์ ที่เขาเรียกกระเจียวนะ โลเท่าไหร่ 200 ละขิงกิโล 50 บาทนะ ตอนนนั้ ขิงแพง พ่อปลูกพอดี ไดอ้ ยู่ 3 แสนกว่า เงิน 3 แสนไม่ใช่นอ้ ย ขิง มั น กิโล 50 บาทนะ ถงุ หน่ึงมนั มี 6 กิโล 10 กิโลก็มี แล้วมาอีกจังหวะหน่ึงมาโดนบวั สวรรค์ ขายหวั มนั นะ ส่งข้างนอกคิดเป็นหวั หวั ละ 7 บาท แต่ถงุ หนึ่งมนั มีกี่หวั น้องคิดดูส่งญี่ป่ นุ นะเหมาเลย...” นอกจากนีน้ ายวิฑูลยังก้เู งินจาก ธกส. เพื่อนาเงินมาซือ้ ท่ีดิน โดยเป็นถึงหวั หน้ากล่มุ ธกส. ท่ีต้อง สง่ เสริมให้สมาชกิ ก้เู งิน “...พอ่ ซื้อเรื่อยๆ ไง เข้าธกส. เป็นหวั หนา้ กล่มุ ธกส. ส่งเสริมใหเ้ งินหมนุ เวียนกู้ ธกส. ปล่อยใหค้ นกู้ร้อยละ 5 ครูใชเ้ งินเยอะ พอ่ ใชเ้ งินของธกส...” นายวิฑูล เร่ิมทากิจการบ้านเช่าหลังจากเลิกทานา (ก่อน พ.ศ. 2540) ถือเป็นคนแรกๆ ที่เข้ามา บกุ เบิกทาธุรกิจด้านนี ้ผ้ทู ่ีมาเชา่ บ้านของนายวิฑูลส่วนใหญ่เป็นแรงงานไทใหญ่ และคนจากตา่ งจงั หวดั ที่ เข้ามาทางานรับจ้างในจงั หวดั เชียงใหม่

174 “อนั นีม้ าขายสม้ ตา อนั นน้ั มาทางานเซเว่น เรียนหนงั สือดว้ ย คนหน่ึงทางานทีส่ วนดอก อย่ทู างนนู้ (ในเมือง) เขาเอาแม่เอาลกู มาอยู่ไม่ไดม้ นั แออดั อีนอ้ งนน้ั เป็นแม้วเหมือนกนั มาเช่าเรียนหนงั สือ อนั นนั้ ก็ 3,500 ทาบา้ นเช่าไม่ทาสญั ญาซกั คน แต่เก็บก่อนเข้าอยู่ คราวที่แลว้ มนั ไป 3 เดือน ปิ ดเทอม มนั ก็จ่ายแต่มนั ไม่มาอยู่ เพราะว่ามนั เคยอยู่นีม่ นั สะดวกกว่าทีอ่ ืน่ แต่นีเ่ ป็นครอบครัวนีเ่ ป็นคนทางาน...” ปัจจบุ นั นายวิฑลู ได้สร้างบ้านเชา่ เพ่ิมในราคาท่ีสงู ขึน้ เป็นบ้านยกพืน้ สงู มี 2 ห้องนอน 1 ห้องนา้ จานวน 10 หลงั สร้างอย่ใู กล้กบั บ้านเช่าที่มีในปัจจบุ นั แต่มีราคาเช่าที่สูงขึน้ เพราะเน้นกล่มุ ผ้เู ช่าอีกกลุ่ม หนงึ่ ภาพ 3 บ้านเช่าทีน่ ายวฑิ ลู เป็นเจ้าของ 2) การปรับตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกจิ ในเมือง ในชมุ ชนสนั ทราย ครอบครัวของนางฟองนวล เจริญสขุ เป็นเจ้าของดิน จานวน 30 ไร่และให้ผ้อู ่ืน เช่าทงั้ หมด ขณะที่ครอบครัวของนางฟองนวลหนั มาทาการค้า โดยซือ้ สินค้าจากตลาดช้างเผือกมาขายท่ี หน้าวดั สนั ทรายต้นกอก หลงั จากเลิกขายของท่ีหน้าวดั สนั ทราย แมข่ องนางฟองนวลก็หันมาทานา้ พริกตา

175 แดง นา้ พริกปลาร้า ผกั กาดดอง หมูทอด แล้ว “หาบไปขายล่องตาง” คือเวลาหาบไปขายก็จะมีคนดกั ซือ้ ระหวา่ งทาง และของก็มกั จะหมดกอ่ นท่ีจะไปถงึ ตลาด สาหรับแมข่ องนางจะหาบของไปขายท่ีตลาดลงั กา “แม่ขายจะหาบของไปขายทางนน้ั ทางลงั กา เขาก็จะดกั ซื้ออยู่หน้าบ้านใครหนา้ บ้านมนั ...อย่างผกั ดองนีแ่ ม่เขาก็จะซื้อผกั กาดมาดองคนเดียว แลว้ ก็ดองไวเ้ ป็นโอ่งๆ” (ฟองนวล เจริญสขุ ,2556 ) นางฟองนวล ปัจจบุ นั อายุ 81 ปี (พ.ศ. 2557) ดงั ได้กลา่ วมาแล้วข้างต้นว่าครอบครัวของนางฟอง นวลนนั้ ไมไ่ ด้ประกอบอาชีพทางด้านการเกษตร ในช่วงวยั เดก็ นางฟองนวลชว่ ยแม่ทาการค้าโดยรับหน้าที่ เป็นคนปั่นจกั รยานไปซือ้ ของจากตลาดช้างเผือกมาให้แม่ขายที่หน้าวดั ภายหลงั จากเรียนจบชนั้ ป.4 ที่ โรงเรียนวดั ทา่ หลกุ ก็ไปเรียนเย็บผ้าใกล้กบั วดั เชตพุ น เมื่ออายุ 19 ปี นางฟองนวลก็แตง่ งานและอยกู่ บั สามี ในชมุ ชนเชตพุ น และเริ่มประกอบอาชีพโดยใช้ความรู้ด้านการเย็บผ้าที่เรียนมาโดยลงทนุ ซือ้ จกั รเย็บผ้าซิง เกอร์ด้วยเงินผ่อน ราคา 1,500 บาท ผ่อนเดือนละ 150 บาท และไปรับกางเกงนกั เรียนจากตรอกเลา่ โจ๊วที่ ตลาดวโรรสมาเย็บ แตก่ ็ทาได้ไมม่ ากนกั เพราะต้องเลีย้ งดลู กู อยบู่ ริเวณวดั เชตพุ นได้ 11 ปี ราว พ.ศ. 2506 ก็ย้ายกลบั มาอย่ใู นหม่บู ้านและยงั คงยดึ อาชีพเย็บผ้าอยู่ แตใ่ นครัง้ นีน้ างฟองนวลไมเ่ พียงรับผ้ามาเย็บเอง เท่านนั้ แต่ทาหน้าที่เป็นคนกลางด้วย คือรับผ้ามาเย็บจานวนมาก จากนนั้ ก็กระจายให้คนในชุมชนเป็นคน เย็บและตนเองก็จะได้กาไรจากสว่ นตา่ งจากราคาท่ีจ่ายเป็นคา่ แรงให้คนในหม่บู ้านกบั ราคาท่ีจะได้รับจาก เจ้าของผ้าท่ีไปรับมา “...อย่างเย็บผ้านี่เขาตดั ให้แล้วเราก็เอามาทีละหลายๆ ร้อย มาถึงเราก็เอาไปแจกเขา เรา รับผืนละ 5 สตางค์ เอาไปใหเ้ ขาเย็บผืนละ 2 สตางค์ เรากิน 3 สตางค์...” (ฟองนวล เจริญสขุ ,2556 ) นางฟองนวล จึงสามารถแสวงหารายได้จากธุรกิจการค้านอกภาคการเกษตรและเป็นผ้เู ช่ือมเอา คนในหม่บู ้านกบั ระบบเศรษฐกิจการค้าในเมือง ก่อนจะเลิกทาใน พ.ศ. 2516 แล้วไปแตง่ งานใหม่กบั ช่าง รับเหมาวางท่อประปา จากนนั้ ใน พ.ศ.2518 ก็ย้ายไปเช่าบ้านอย่ทู ่ีตลาดสมเพ็ชร ประจวบกบั สามีคนใหม่ รู้จกั กบั เจ้าของโรงแรมปรินซ์ จงึ ได้มีโอกาสเรียนนวด เมื่อเรียนจบก็ผนั ตวั มาเป็นครูสอนนวด “...เขาเป็นเพือ่ นกบั นายห้างโรงแรมปรินซ์ละเขาก็ตง้ั ร้านนวด ยายก็ไปเรียน เรียนจบละ ออกมาสอนเด็ก (สาวๆ) คนละ 300 ค่าสอน...เด็กที่เรียนจบละต้องทางานที่นน่ั เพราะตู้ กระจกก็มี อะไรก็มี มีคนมาสมคั รงานเรื่อยๆ ...” (ฟองนวล เจริญสขุ , 2556) เม่ือออกจากการเป็นคนเชียร์แขกท่ีโรงแรมปรินซ์ นางฟองนวล ก็ย้ายไปทางานเป็นแคชเชียร์สถาน อาบอบนวดอาตามิ หน้าตลาดสมเพ็ชร หลงั จากทางานเป็นแคชเชียร์อย่ทู ่ีอาตามิได้ 11 ปี เมื่อ พ.ศ. 2520

176 นางฟองนวลและสามีก็กู้เงินธนาคารไปซือ้ ห้องแถวที่อาเขตจานวน 2 ห้องๆ ละ 300,000 บาท สาหรับ กิจการรับวางทอ่ ประปาของสามี เม่ือสามีเสียชีวิตก็ขายห้องแถวได้ราคาห้องละ 3 ล้านกว่าบาท ขณะท่ีอยู่ กินกบั สามีคนที่สอง ก็มีการซือ้ ที่ดินเพม่ิ ที่ตาบลปิงโค้ง อาเภอเชียงดาว รวมแล้วกวา่ 60 ไร่ เม่ือสามีเสียชีวิต ก็ค่อยๆ ทยอยขายออกไปจนกระทงั่ ปัจจบุ นั เหลือที่ดินอย่ปู ระมาณ 30 ไร่เท่านนั้ โดยก่อนหน้านีน้ างฟอง นวลก็ได้ทยอยขายท่ีดนิ ในหมบู่ ้านในตาบลสนั ผีเสือ้ ของตนเองไปบ้างบางสว่ นอนั เน่ืองจากการรุกคืบเข้ามา ของหมบู่ ้านจดั สรร “...พอดีเขาขายทีน่ น่ั แลว้ ยายมีนาทีน่ ี่ 2 ไร่กว่า ยายก็ถมทีเ่ อารถมาเลยเอาดินมาถม...เผื่อ ว่าถ้าเราจะขายมนั จะได้ขายง่าย เราก็ถมดินเพราะว่าเราจะเข้าทางนี้มนั ก็ไม่มีถนน เขา จดั สรรทีน่ น่ั แลว้ แลว้ จะเขา้ มาหาเรา หมดเงินไปแสนกว่า” (ฟองนวล เจริญสขุ , 2556) แม้ปัจจุบนั ครอบครัวของนางฟองนวลอาจไม่ได้มีบทบาทนาทางเศรษฐกิจแตก่ ็ยงั สะสมความมงั่ คงั่ อย่างตอ่ เน่ืองด้วยการซือ้ ท่ีดินเพ่ิม และลกู หลานในตระกลู ก็ประกอบอาชีพรับราชการ รวมถึงทางานอยู่ ตา่ งประเทศ 2.4.3 กลุ่มท่มี ีท่ดี นิ ขนาดเลก็ มีการปรับตวั 2 รูปแบบ 1) ขยับฐานะตนเองมาเป็ นกลุ่มทุนใหม่ในชุมชน โดยปัจจยั สาคญั ประการหนึ่งมาของคนกล่มุ นีม้ าจากการขายท่ีดินในช่วงทศวรรษ 2530 เป็นต้น มา เช่น นางผ่องพนั ธ์ุ บญุ สละ แม้จะมาจากครอบครัวท่ีไม่มีที่ดินต้องอาศยั เช่าทานา เคยเป็นทงั้ กรรมกร หิว้ ปนู หิว้ ทรายแถวโรงพยาบาลป่ าแงะ (โรงพยาบาลนครพิงค์) หลงั จากแต่งงานกบั นายคาดี ก็ทานาในท่ี นาของสามีพร้อมกบั การค้าผกั โดยตนเองเป็นแมค่ ้าคนกลางและนาผกั ไปสง่ ขายที่ตลาดเมืองใหม่ “ศูนย์นะสิ เริ่มจากศูนย์ เอาพอ่ เขามาไม่ได้มีเงิน ต้องสชู้ ีวิต ไปคา้ ขาย ไปขายนู้น ป่ าแดด แม่สรวยนนู้ แม่ไปนะ...” แม้ว่าจะสามารถสะสมทุนการค้าผกั ได้ส่วนหนึ่งแต่ก็ยังถือว่าไม่มีฐานะมากนักเพราะใน พ.ศ. 2541 เมื่อครัง้ ท่ีลกู ชายจะสอบเข้าโรงเรียนยพุ ราชแล้วถกู โรงเรียนถามว่าสามารถอุดหนุนค่าคอมพิวเตอร์ ให้กบั ทางโรงเรียน 2 เคร่ืองจานวน 50,000 บาทได้หรือไม่ นางผ่องพนั ธ์ุก็ไม่มีกาลงั ทรัพย์มากพอที่จะทา เช่นนนั้ ได้ จุดเปล่ียนสาคญั ท่ีทาให้ครอบครัวนีส้ ามารถก้าวขึน้ มีฐานะเป็น “มหาเศรษฐี” ของตาบลได้ก็ เพราะการขายที่ดนิ มรดกของสามีภายหลงั จากถนนวงแหวนรอบนอกสร้างเสร็จใน พ.ศ. 2543 เงินจากการ ขายที่ดินนีท้ าให้นางผ่องพนั ธ์ุเห็นช่องทางในการค้าท่ีดิน และการค้าท่ีดินน่ีเองท่ีทาให้ครอบครัวนีม้ ั่งคง่ั ขนึ ้ มาได้ “...เราก็ซื้อขายทีด่ ินดว้ ยไม่ไดค้ า้ ผกั อย่างเดียว คา้ ผกั อย่างเดียวไม่รวย...”

177 “เราซื้อ 2-3 ลา้ น ขายเกือบ 10 ลา้ น แบบนีก้ ็สืบๆ ตามๆ กนั มานะ..” แม้จะออกตวั วา่ ไม่ได้เป็นคนค้าที่ดินแตน่ างผ่องพนั ธ์ุก็มกั จะซือ้ ท่ีดินเก็บไว้เสมอ ดงั ท่ีกลา่ วถึงการ ซือ้ ท่ีดนิ ของตนเองวา่ “แม่ก็ไม่ไดค้ า้ ทีด่ ิน หมายความว่าเราเห็นทีด่ ินนีส้ วยเราพอมีเงินซื้อไดเ้ ราก็ซื้อ” ความมงั่ คง่ั ร่ารวยนีแ้ สดงออกให้เห็นชดั เจนผ่านการสร้างบ้านบนเนือ้ ท่ี 2 – 3 ไร่ ซง่ึ เป็นที่ดนิ มรดก ของสามี โดยใช้เงินก่อสร้างไปทงั้ หมด 7 ล้านบ้านรวมค่าตกแต่งภายใน บ้านเป็นบ้านสองชนั้ ทรงยุโรป ภายในบ้านมีบนั ไดวน มีการจัดสวนหย่อม นอกจากการสร้ างบ้านแล้วนางผ่องพันธ์ุและนายคาดี ยัง สามารถส่งลกู สาวคนเล็กไปเรียนตอ่ ในระดบั ปริญญาโทที่ประเทศองั กฤษใน พ.ศ. 2554 เสียคา่ ใช้จ่ายไป กว่า 6 ล้านบาท เพราะทงั้ ค่ไู ม่ต้องการให้ลูกสาวทางานขณะเรียนหนงั สือ เฉพาะค่าใช้จ่ายสาหรับท่ีพัก เฉล่ียตอ่ อาทิตย์ราว 7,000 บาท พอ่ แม่เป็นผ้รู ับผิดชอบคา่ ใช้จา่ ยทงั้ หมด โดย “แม่โอนทีละ 3 แสน 5 แสน 2 แสน เสียดายเงินมาก...” การใช้เงินจานวนมากสาหรับการศกึ ษาของลกู ย่อมถือเป็นการ “ลงทุน” บน ความหวงั ว่าการศึกษาจะทาให้บตุ รสาวสามารถมีอาชีพการงานที่ดีในอนาคตหลงั จากสาเร็จการศึกษา อนาคตสาหรับลูกของตนจึงไม่ได้ อยู่ในภาคการเกษตรหรื ออยู่ในหมู่บ้ านเช่นเดียวกับที่ คนรุ่ นพ่อแม่ได้ ดาเนนิ มา ปัจจบุ นั นางผ่องพนั ธ์ุยังคงเรียกว่าตนเองเป็นแม่ค้าผกั ทงั้ ท่ีบทบาทคือการเข้าไปสนบั สนุนด้าน เงินทนุ และต้นทนุ การผลิตให้เกษตรกรปลกู ผกั ที่ตนเองต้องการ เครือข่ายเกษตรกรของนางผ่องพนั ธ์ุอย่ทู ่ี บ้านแฝก บ้านเจดีย์แม่ครัว อ.สนั ทราย บ้านร่มหลวง แม่แตง ส่วนผลผลิตที่ได้ก็จะเข้าไปรับซือ้ และนาไป ขายให้กบั แมค่ ้าท่ีตลาดเมืองใหม่ด้วยตนเอง ขณะเดยี วกนั ก็ทยอยซือ้ ที่ดนิ เก็บไว้เรื่อยๆ และรอขายในชว่ งที่ ที่ดนิ มีราคาแพง

178 ภาพ 4 บ้านของกานนั 2) ปรับตวั โดยทาธุรกจิ ของตนเองพร้อมกับการทานา การปรับตัวในลักษณะนีเ้ ป็นรูปแบบท่ีพบเห็นมากท่ีสุดสาหรับผู้ได้ช่ือว่าทานาในชุมชน เพราะ ปัจจบุ นั การทานานนั้ ไม่ต้องอาศยั แรงงานในครัวเรือนอย่างเข้มข้นอีกตอ่ ไปแล้วเพราะเป็นการทานาท่ีใช้ทนุ อย่างเข้มข้นแทน ตงั้ แต่การไถนาไปจนถึงการเก็บเกี่ยวล้ วนแต่ต้องใช้เงินในการจ้างงานทงั้ สิน้ ดงั นนั้ จึง พบว่าเกษตรกรสว่ นใหญ่ท่ีทานาบนที่ดนิ ขนนาดเล็ก จะต้องมีอาชีพหรือรายได้หลกั อย่างอื่นประกอบ เช่น การเปิดร้านค้าขายของชา หรือการออกรถต้สู าหรับรับ – สง่ นกั เรียนในชมุ ชนไปเรียนในเมือง 2.4.4 กลุ่มไร้ท่ดี นิ เน่ืองจากคนกลุ่มนีไ้ ม่ได้ประโยชน์จากราคาที่ดินที่พุ่งสูงขึน้ ซา้ ยังไม่สามารถเข้าสู่การผลิตเชิง พาณิชย์อยา่ งเข้มข้นได้ การสะสมทนุ เพื่อความมงั่ คง่ั จากการขายท่ีดนิ จงึ เป็นไปไม่ได้ แตก่ ็มีความพยายาม ปรับตวั ภายหลงั จากไมม่ ีท่ีดนิ ทากิน เช่น นางบวั จนั ทร์ ใจแก้ว ผ้เู ชา่ นาจากนางฟองนวล หลงั จากที่นางฟอง นวลตดั สินใจขายที่นา นางบวั จงึ หนั มาทาการค้าแทนโดยเปิดร้านขายของหน้าบ้านตนเอง ของที่นามาขาย ก็เป็นผกั ของสด เคร่ืองปรุงตา่ งๆ ที่ไปซือ้ จากตลาดสนั ป่ าข่อยแล้วนามาวางขาย หลงั จากค้าขายเกือบ 20 ปี ก็เปล่ียนมาทาผางประทีปโดยไปซือ้ ตัวผางประทีปจากฮอดแล้วนามาหยอดเทียนท่ีบ้าน ทากันเป็น วิสาหกิจในชุมชนและมีลูกค้าทงั้ ในจงั หวดั เชียงใหม่ เชียงราย ก่อนจะเลิกทาและยกกิจการรวมถึงลกู ค้า

179 ให้กบั หลานชาย ซง่ึ ก็คือพ่อหลวงขจรศกั ด์ิ หลงั จากเลิกทาผางประทีป นางบวั จนั ทร์ก็หนั มาทาโคม ทาตงุ ซง่ึ เป็นงานที่เบากวา่ แทน ขณะที่ลูกของนางบัวจันทร์แม้ไม่ได้รับการศึกษาในระดับที่สูงกว่าชัน้ ป.4 แต่ก็ออกไปทางาน รับจ้าง ภายหลงั จากแตง่ งานก็เข้าไปทางานเป็นนกั การภารโรงในมหาวิทยาลยั เชียงใหมแ่ ละได้รับการบรรจุ เป็นลกู จ้างประจา เม่ือถึงรุ่นหลานของนางบวั จนั ทร์ตา่ งได้รับการศกึ ษาในระดับอดุ มศกึ ษา อนั เป็นช่องทาง และโอกาสของการกอ่ ร่างสร้างฐานะและความมง่ั คงั่ สาหรับกลมุ่ คนไร้ที่ดนิ ท่ีได้รับการศกึ ษาในเมืองเม่ือสะสมความรู้ ประสบการณ์และเงินจานวนหนง่ึ บางสว่ นก็กลบั มาทาธุรกิจในชมุ ชนของตนเอง เชน่ นายสมศกั ด์ิ ไชยรังสี ดงั กลา่ วก่อนหน้านีว้ า่ นายสมศกั ดิ์ เกิดมาในครอบครัวที่ไม่มีที่ดนิ อาศยั การเชา่ ทาของพอ่ เลีย้ งสงิ ห์แก้ว อภิวงศ์ เจ้าท่ีดนิ รายใหญ่ของบ้านขวั โก ภายหลงั จากบวชเป็นสามเณรได้ 5 ปี ก็ลาสิกขาบทออกมาและทางานเป็นลกู จ้างโรงกลึง เชื่อมโลหะ ใน พ.ศ. 2516 จากนนั้ ก็ย้ายมาทางานเป็นลูกจ้างร้านม้งุ ลวด เหล็กดดั พอถึง พ.ศ. 2521 ก็กลบั มาบ้านโดย นาเอาความรู้และประสบการณ์จากการเป็นลกู จ้างร้านโรงกลึง เหลก็ ดดั มาเปิดร้านโรงกลงึ เชื่อมโลหะเป็น ของตนเองชื่อว่า ส.การโลหะ ที่บ้านท่าเด่ือ หมู่ 6 หรือในกรณีของนายองอาจ ใจแก้ว ที่ได้รับการศึกษา ระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และทางานเป็นพนักงานของบริษัท สหพาณิช จากัด ในตวั เมือง เชียงใหม่ แม้จะไม่ได้กลบั มาเปิดกิจการหรือธุรกิจของตนเอง แต่ก็กลบั มามีบทบาทในหมู่บ้านโดยได้รับ แต่งตงั้ ให้เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านถึง 3 สมัย ตงั้ แต่ พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา ก่อนจะขยับเข้าสู่เวทีการเมือง ท้องถิ่นในภายหลงั อย่างไรก็ตาม มีข้อสงั เกตประการหนึ่งว่ากล่มุ ท่ีไม่มีที่ดินของชมุ ชนสนั ผีเสือ้ ในปัจจบุ นั ไม่ใช่ผู้ที่ “ยากจน” ในทางตรงกนั ข้ามคนกล่มุ นีม้ ีชอ่ งทางในการขยบั ฐานะของตนเองผ่านการศกึ ษาและการเข้าไป สมั พนั ธ์กบั ธุรกิจในเมืองเชียงใหม่ ทาให้คนกลมุ่ นีเ้ป็นกลมุ่ ท่ีมี “ทนุ ” ความรู้และประสบการณ์จากโลกกว้าง และนาความรู้ดงั กล่าวมาประกอบอาชีพหาเลีย้ งปากท้องของตนเองได้ ขณะเดียวกนั กล่มุ คนที่ “ยากจน” ในชุมชนสนั ผีเสือ้ ปัจจบุ นั กลบั หาได้ยากและคนในชมุ ชนเองก็คิดแทบไม่ออกเมื่อถกู ถามวา่ คนยากจนใน ชมุ ชนคือใคร ดงั นนั้ เมื่อถามถงึ กล่มุ บคุ คลท่ีเป็นผู้ยากจนวา่ มีอยหู่ รือไม่ เป็นใคร คาตอบที่ได้รับจะเป็นการ อธิบายถึงบุคคลที่เงื่อนไขเฉพาะบางประการ เชน่ กลมุ่ ผ้พู ิการ หรือกล่มุ แรงงานท่ีเป็นไทใหญ่อพยพ เป็น ต้น

180 3. พลวัตและอานาจของการเมืองท้องถ่นิ 3.1 การเปล่ียนแปลงโครงการสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ ในกรณีของตาบลสนั ผีเสือ้ นนั้ มีความเปลี่ยนแปลงในการจดั ตัง้ องค์การบริหารส่วนท้องถ่ิน 3 ครัง้ กลา่ วคือ ใน พ.ศ. 2537 มีการจดั ตงั้ เป็นสภาตาบลสนั ผีเสือ้ ตอ่ มาใน พ.ศ. 2543 ได้เปล่ียนจากสภาตาบล สนั ผีเสือ้ มาเป็นองค์การบริหารส่วนตาบลสันผีเสือ้ ตามบทแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบญั ญัติสภาตาบลและ องค์การบริหารส่วนตาบล พ.ศ. 2542 ซง่ึ มีการบริหารงานโดยองค์การบริหารส่วนตาบลสนั ผีเสือ้ 12 ปี หรือ 3 สมยั ต่อมาใน พ.ศ. 2555 มีการเปลี่ยนฐานะจากองค์การบริหารส่วนตาบลสันผีเสือ้ มาเป็นเทศบาล ตาบลสนั ผีเสือ้ ความเปล่ียนแปลงโครงสร้างอานาจหน้าท่ีจากสภาตาบลมาเป็นองค์การบริหารส่วนตาบล ยก ฐานะมาเป็นเทศบาลตาบล ด้านหนึ่งทาให้บทบาทอานาจหน้าท่ีของกานนั ผ้ใู หญ่บ้านต้องลดน้อยลงไป โดยพิรุณ พิณวุ งศ์ ให้ภาพของความเปลี่ยนแปลงวา่ “เปลีย่ น มนั เปลีย่ นไปเยอะ คือเมือ่ ก่อนนีเ้ ป็นสภาตาบล ทกุ สิ่งทกุ อย่างตอ้ งลงมาหา กานนั พ่อหลวง ตอนนีเ้ รางบไม่มีงบไง งบมนั ไม่ไดอ้ ย่กู บั เราอย่กู บั เทศบาล” โดยท่ีบทบาทหน้าท่ีของกานนั และผ้ใู หญ่บ้าน ในตาบลสนั ผีเสือ้ ดาเนินไปในทิศทางตรงกนั ข้ามกบั การยกฐานะขององค์การปกครองสว่ นท้องถิ่น โดยท่ีสมยั ยงั เป็นสภาตาบล ทางกานนั และผ้ใู หญ่บ้านมีการ รวมตวั กนั ทางาน ทงั้ นี ้จะมีกานนั เป็นประธาน ผ้ใู หญ่บ้านเป็นรองประธานเป็นกรรมการโดยตาแหน่ง ซง่ึ มี ลกั ษณะการทางานท่ีร่วมมือกนั ทางาน แตพ่ อยกฐานะเป็น อบต. บทบาทของกานนั และผ้ใู หญ่บ้านก็ได้ลด น้อยลง ยิ่งการเปล่ียนสถานะเป็นเทศบาลตาบลก็ยง่ิ ทาให้บทบาทในการพฒั นาของกานนั และผ้ใู หญ่บ้านก็ ลดน้อยลงไปอยา่ งมาก ดงั คากลา่ วของ ภาณพุ งศ์ ชยั อ้าย “อนั ดบั แรกคือ สภาตาบล เพราะว่ากานนั ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย จะมารวมตวั กนั ที่ทางาน สมยั ก่อนทีท่ างานอยู่ท่าน้านน่ั นะ ท่าน้าวดั ท่าหลกุ นะ รวมกนั อย่นู น่ั แบ่งแยกแบ่งสายกนั ทางาน ไม่มี อบต. ไม่มีเทศบาล ไม่มีนายก กานนั เป็นประธานโดยตาแหน่ง พ่อหลวงแต่ ละคนก็เป็นรองประธาน เป็นกรรมการ ผู้ช่วยก็ว่ากนั ไป จะทางานเข้ากนั เยอะนะ คยุ กนั ได้ พอแยกมาเป็น อบต. คราวนี้ เร่ิมแตกกนั ละเร่ิมแตกเริ่มไรกนั ล่ะ เป็ นเทศบาลย่ิงกว่า เขาไม่ดูหน้าพ่อหลวงแล้ว เอางบประมาณลงมาๆ ไม่บอกแล้วเดี๋ยวนี้ ก็ทงั้ ที่เราเป็ นคน เสนอเขา้ ไป นีม่ นั ทกุ ตาบลลองไปดูเถอะ” บทบาทที่ลดน้อยของบคุ คลท่ีเป็นกานนั /ผ้ใู หญ่บ้านหรือ “นกั การเมืองท้องท่ี” เม่ือเปรียบเทียบกบั ” นักการเมืองท้องถ่ิน” หรือฝ่ ายบริหารของ อบต. หรือเทศบาล เป็นความเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึน้ อย่าง กว้างขวาง เน่ืองจากการขยายตวั ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นโดยเฉพาะในด้านของบทบาทหน้าที่และ

181 งบประมาณที่เกิดขึน้ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ส่งผลให้กล่มุ บุคคลตา่ งๆ ที่ตระหนักถึงความสาคญั ขององค์กร ปกครองสว่ นท้องถิ่นได้หนั มาให้ความสาคญั กบั การเมืองท้องถ่ินเพม่ิ ขนึ ้ 3.2 ตวั ละครในการเมืองท้องถ่นิ ภายในบริบทความเปล่ียนแปลงท่ีมีการกระจายอานาจอยา่ งจริงจงั ภายหลงั พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา หลกั การประชาธิปไตยผ่านการเลือกตงั้ ผ้บู ริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถ่ินที่ที่กาหนดในรัฐธรรมนูญ และกฎหมายระดบั พระราชบญั ญตั ิตา่ งๆ ถกู บงั คบั ใช้ในทกุ ท้องถิ่นทว่ั ประเทศ ตาบลสนั ผีเสือ้ เชน่ เดียวกนั ที่ได้รับผลของความเปล่ียนแปลงดงั กล่าว ส่งผลให้เกิดการพฒั นาประชาธิปไตยขนึ ้ ในพืน้ ที่ตาบลสนั ผีเสือ้ ขนึ ้ มาอย่างเด่นชดั ในหวั ข้อนีจ้ ะพิจารณาถึงการเข้ามาโลดแล่นในเวทีการเมืองท้องถิ่นของคนกล่มุ ตา่ งๆ ในตาบลสนั ผีเสือ้ ดงั นี ้ 3.2.1 กลุ่มเจ้าท่ีดนิ เก่า กลมุ่ เจ้าท่ีดินเก่าอย่างตระกลู จนั ต๊ะโสภา ซึง่ สะสมความมงั่ คง่ั จากที่ดินและยงั ทาการเกษตรตอ่ ไป ภายใต้การดูแลของนายลักษ์ บุญชละ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าพ่อกานัน โดยเขาเกิดมาในครอบครัว ยากจนไม่มีที่นาของตนเองและต้องทานาด้วยการเช่า มีพี่น้อง 9 คน นายลกั ษ์เป็นพี่ชายคนโต ตอนเด็ก ช่วยพ่อแม่ทาไร่ไถนาเลีย้ งววั เลีย้ งควาย การศึกษาจบชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3 ต่อมาได้แตง่ งานกบั ลูกสาว ของตระกูลจนั ต๊ะโสภา ซงึ่ ถือเป็นผ้มู ีอนั จะกินในตาบล โดยตระกลู นีเ้ป็นเจ้าของท่ีดนิ ประมาณ 400 – 500 ไร่ เขาจึงได้เข้าไปช่วยทาไร่ไถนา ภายหลงั ทางพ่อตาซือ้ รถไถยี่ห้อฟอร์ดให้ซึ่งถือได้ว่าเป็นรถไถคนั แรกใน ตาบล แสดงให้เหน็ ถึงความมง่ั คง่ั ของตระกลู ดงั กลา่ วได้ การเข้ามาทางานให้กบั หมู่บ้านครัง้ แรกใน พ.ศ. 2529 โดยการที่ชาวบ้านมาขอให้นายลกั ษ์ เป็น ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งก็ได้เข้ามารับตาแหน่ง โดยการทางานในตาแหน่งผู้ใหญ่บ้านตงั้ แต่ พ.ศ. 2529 ถึง พ.ศ. 2542 เป็นเวลากวา่ 13 ปี ได้รับรางวลั ผ้ใู หญ่บ้านดีเดน่ 3 ปีซ้อน และตอ่ เน่ืองด้วยกานนั ดีเดน่ ปัจจบุ นั อายุ 65 ปี (พ.ศ. 2557) ผลงานท่ีเป็นประจกั ษ์ในหมบู่ ้านคือ การพฒั นาถนนภายในหม่บู ้านประมาณ 100 สาย การจดั ระเบียบหมบู่ ้านโดยการตงั้ กรรมการแบง่ เป็นหมวดบ้าน 6 หมวดบ้าน และออกระเบียบหมบู่ ้านโดย การยกมือลงมติในหม่บู ้าน เช่น ขาดประชมุ ปรับ 100 บาท ขาดพฒั นาปรับ 100 บาท ทะเลาะวิวาท หาก เป็นสามีภรรยาปรับคนละ 100 บาท หากเป็นงานมงคลปรับ 1,000 บาท หากมีการจ้างวงดนตรีมาเล่น ให้ จา่ ยคา่ จ้างด้วย หากไมป่ ฏิบตั ติ ามตดั นา้ ประปาหมู่บ้าน ตดั สมาชิกฌาปนกิจ เป็นต้น ในงานด้านการเมือง ท้องถ่ินได้เป็นนายก อบต. สนั ผีเสือ้ 1 สมยั ในช่วง พ.ศ. 2548 – 2551 และปัจจบุ นั เป็นนายกเทศมนตรี ตาบลสนั ผีเสือ้ นายลกั ษ์ เข้าส่เู วทีการเมืองท้องถ่ินได้เพราะความนยิ มจากผลงานพฒั นาตลอดระยะเวลา 28 ปี ท่ี ดารงตาแหน่งเป็นผ้ใู หญ่และกานนั ตาบลสนั ผีเสือ้ โดยได้รับรางวลั แหนบทองคาและโลป่ ระกาศเกียรตคิ ณุ

182 จากการทางานพฒั นามากมายได้รับความนบั ถือจากผ้คู นในตาบลสนั ผีเสือ้ มาหลายรุ่น มีความค้นุ เคยกบั ผ้คู นในท้องท่ีเป็นอยา่ งดี “ก่อนเป็นผูใ้ หญ่บา้ นก็ทาไร่ ทานา เพราะไม่มีใครเป็น มาขอ คิดดู หลงั จากนน้ั เขาขอมา ตงั้ ใจ เราก็ตง้ั ใจทา ตอนนน้ั ถนนในหมู่บ้านทางเดินก็ช่วยกนั ใช้จอบทาถนนในหมู่บ้าน หลงั จากวนั นนั้ ถึงวนั นี้ 100 กว่าสาย 100 กว่าเส้น ทาถนนในหมู่บา้ น ขอชาวบา้ น ขอคน ในท้องถ่ิน ขอคนฝั่งละ 3 เมตร 2 เมตร 4 เมตรอย่างนี้ เราทาถนนด้วยจอบกับชาวบ้าน พฒั นาไปจนถึงไดร้ ับรางวลั หมู่บ้านดีเด่น พฒั นาแม่บ้านดีเด่น อสม. จนรับรางวลั หลายๆ อย่าง จนโล่เต็มหมด เอามากองอยู่ตรงนน้ั นบั โล่เป็นลารถนะ ทกุ อย่าง ไดร้ างวลั ดีเด่น” (ลกั ษ์ บญุ ชละ, 2557) ผลงานสาคญั ในสมัยที่นายลักษ์เป็นกานันที่สร้ างไว้ให้กับตาบลสันผีเสือ้ คือพัฒนาโครงสร้ าง พืน้ ฐานตา่ งๆ เช่นการสร้างถนน และสะพานจากหมู่ 6 ไปออกที่สถานีวิทยเุ สียงสามยอด ตาบลหนองจ๊อม อาเภอสนั ทราย และยงั มีผลงานสาคญั อื่น เชน่ การสร้างท่ีซ่อมเรือล่องแม้นา้ ปิงช่วง พ.ศ. 2536 – 37 โดย ได้รับความชว่ ยเหลือจากนายสาวติ ต์ โพธวหิ ค ซง่ึ ดารงตาแหนง่ รัฐมนตรีในขณะนนั้ “เมื่อก่อนนีเ่ ป็นกานนั ของบประมาณ ที่หนา้ วดั ท่าหลกุ ล่องริมน้าปิ ง ล่องเรือแม่น้าปิ งตอน นน้ั ประมาณปี 36 – 37 นีแ่ หละ ของบประมาณตอนนนั้ รมต.สาวิตต์ จะล่องเรือแม่น้าปิ ง ตอนนนั้ ลงวดั ชยั มงคลขึ้นมา ตอนนน้ั นายอาเภอก็มา ตอนนน้ั นายอาเภอไพโรจน์ แสงภู่ วงษ์ เป็ นนายอาเภอ พ่อเป็ นกานนั รมต.สาวิตต์ ขึ้นมาถาม “พ่อกานนั อยากได้อะไร?” “อยากไดง้ บประมาณจดั สร้างทีซ่ ่อมเรือล่องน้าปิ งวดั ท่าหลกุ ” “เอาเท่าไหร่?” “แลว้ แต่ท่าน ครับ “เอ้าให้ทาโครงการมาภายใน 15 วนั ส่งเข้าจงั หวดั ” ระดมขอช่างจากจงั หวดั มา 5-6 คนขอออกแบบ ออกแปลนภายใน 15 ใหจ้ บ ส่ง ประมาณ 3 เดือน ส่งงบประมาณมาถึง จงั หวดั แลว้ ” (ลกั ษ์ บญุ ชละ, 2557) นอกจากนีย้ ังสร้างผลงานด้วยการสร้ างสถานีอนามัยตาบลถึง 2 แห่ง ใน พ.ศ. 2538 โดยอาศยั ความสามารถและสายสัมพันธ์ส่วนตัวท่ีมีกับนายธวัชชวงศ์ ณ เชียงใหม่ ซ่ึงดารงรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงสาธารณสขุ “ตอนหลงั ได้ของ ตอนนน้ั ธวชั วงศ์ เป็น รมต.ช่วยสาธารณสุขใช่ไหม อนามยั นี่ ตาบลได้ สองแห่ง ไดห้ มู่ 1 กบั หมู่ 8 ทีอ่ ืน่ บนดอยยงั ไม่ไดเ้ ลย ไดส้ องแห่ง ของบประมาณสร้าง สถานีอนามยั ตอนนีเ้ ป็นโรงพยาบาลตาบลแลว้ นะ” (ลกั ษ์ บญุ ชละ, 2557)