หอไตร วัดนิเวศธรรมประวตั ิ ได้รบั อทิ ธพิ ลจากโบสถ์ ของศาสนาคริสต์ 97
หอพระขอฝนหรอื หอพระคนั ธารราษฎร์ ทรี่ ชั กาลที่ ๕ โปรดใหส้ รา้ งขน้ึ เพื่อให้ราษฎรไ์ ดอ้ ธษิ ฐานขอให้ฝนฟ้าตก ต้องตามฤดูกาล เพราะบางปะอนิ เปน็ เมืองเกษตรกรรม ตอ้ งอาศยั น�้ำ ในการเพาะปลกู มาก 98
พระขอฝนหรือพระคันธารราษฎร์ เปน็ พระพุทธรปู ลกั ษณะยืน พระหัตถข์ วายกขึน้ แสดง หอพระขอฝนหรอื หอพระคนั ธารราษฎร์ อาการกวักขอฝน พระหัตถ์ซ้ายทรงยกเสมอสะเอว ดูคล้ายกับรองรับน�้ำฝน พระบาทสมเด็จ มรี ูปแบบสถาปตั ยกรรมอย่างตะวันตก พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ใหห้ ลอ่ พระพทุ ธรปู องคน์ เี้ พอื่ เปน็ ขวญั และกำ� ลงั ใจแกร่ าษฎร โดยได้รับรูปแบบการสรา้ งสรรค์มาจาก เนื่องจากบริเวณบางปะอินเปน็ พื้นที่ท�ำนาเปน็ หลัก ต้องการใหฝ้ นตกต้องตามฤดกู าล แต่ในบางปี ศลิ ปะโกธกิ เปน็ อาคารยอดแหลมสูงชะลูด เกิดภาวะฝนแล้ง จึงต้องหล่อพระขอฝนในการท�ำพิธีขอฝน และให้ชาวนามาอธิษฐานขอฝน ในต้นฤดูท�ำนา โดยมีคาถาบูชาเป็นภาษาบาลี ส�ำหรับสวดอธิษฐานขอฝน จารึกลงแผ่นหินอ่อน ที่ฐานพระคนั ธารราษฎร์ 99
นาฬิกาแดดทน่ี ำ� เขา้ มาจากประเทศอิตาลี ศาลาการเปรยี ญหลงั เดิม ต้ังอยบู่ รเิ วณด้านหนา้ อาคารศาลาการเปรยี ญ ไดบ้ ูรณปฏสิ งั ขรณ์ หลงั พระอโุ บสถ และปรบั เปล่ยี นใหเ้ ปน็ พิพิธภณั ฑ์ ที่จดั เกบ็ โบราณวัตถชุ ิ้นส�ำคัญ ของวัดนเิ วศธรรมประวตั ิ อาคารศาลาการเปรียญหลังเดมิ ต้ังอยขู่ า้ งหลงั พระอโุ บสถ ตวั อาคารเป็นศิลปะแบบโกธิก งดงาม ดา้ นหน้าอาคารมีนาฬกิ าแดดท่พี ระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั โปรดเกล้าฯ ให้ นายช่างอิตาลีน�ำมาจากเมืองมิลาน และติดตั้งไว้ตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๒๑ ต่อมาอาคารหลังน้ีช�ำรุด ทรดุ โทรดลง พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชจงึ พระราชทานพระบรมราชานญุ าต ซอ่ มอาคารศาลาการเปรยี ญ และใหจ้ ดั เปน็ พพิ ธิ ภณั ฑพ์ ระจลุ จอมเกลา้ ฯ สำ� หรบั รวบรวมวตั ถโุ บราณ ภายในวัดทมี่ มี าแต่ด้ังเดิม 100
พระพุทธรปู ปางนาคปรก ศิลปะลพบรุ ี รัชกาลท่ี ๕ อัญเชญิ มาจากวดั พระศรรี ัตนมหาธาตุ ลพบรุ ี เมือ่ พ.ศ.๒๔๒๑ 101
สวนหนิ ดิศกลุ อนุสรณ์ แสดงถึงความผูกพนั ของสมเด็จฯ ตำ� หนัก สมเดจ็ ฯ กรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพ กับวัดนเิ วศธรรมประวัติ เปน็ อาคารสองชั้น ก่ออิฐถอื ปูน พ้นื ไมก้ ระดานทั้งสองช้นั หลังคาโครงไม้ 102 มงุ ด้วยกระเบื้องลอน ในระหว่างที่ทรงจำ� พรรษา ทีว่ ัดนิเวศธรรมประวัตนิ ้ี ทรงนพิ นธ์ ต�ำราเรยี น “แบบเรยี นเร็ว” เล่ม ๑ เพอ่ื ใช้สอนนกั เรียนทโี่ รงเรียนของวัดนี้ เป็นครง้ั แรก
103
104
ศาลาการเปรยี ญใหม่ สร้างขึ้นในสมัยรชั กาลท่ี ๙ 105
106
วัดอัษฎางคนมิ ติ ร 107
108
พระเจดยี ์ ศรีสวสั ด์ิ รัชสถาน แบบลังกา โบราณ บนไหลเ่ ขา โปรดฯให้สร้าง ณ สชี งั ครัง้ นานเนา งามเสลา แลสลา้ ง พร่างบูรพา 109
110
วดั อษั ฎางคนิมิตร วดั อษั ฎางคนมิ ติ รเปน็ พระอารามทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ให้ สร้างขน้ึ ภายในเขตพระราชฐาน ณ เกาะสีชัง สถาปตั ยกรรมเปน็ แบบพระเจดยี ์อโุ บสถซ่งึ เปน็ การ ผสมผสานศลิ ปะไทยกบั ศลิ ปะตะวนั ตกแบบโกธกิ อยา่ งงดงาม พระอารามแหง่ นไ้ี ดถ้ กู ทง้ิ รา้ งไปหลงั จากไดร้ บั พระราชทานวสิ งุ คามสมี าไมน่ าน เนอ่ื งจากชมุ ชนของเกาะสชี งั ไดย้ า้ ยออกไปหา่ งไกลจาก วดั ประกอบกบั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั มิได้เสดจ็ แปรพระราชฐานบนเกาะสชี งั อีกหลงั จากเกิดวกิ ฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) พระเจดยี ์อุโบสถ อาคารประธานเพียงหลงั เดียว ของวดั อัษฎางคนมิ ติ ร 111
ใน พ.ศ. ๒๔๓๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั โปรดเกล้าฯ ให้สมเดจ็ พระเจ้า ลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธซ่ึงมีพระอาการประชวรไม่ทุเลาเสด็จไปรักษาพระวรกายท่ีเกาะสีชัง ซ่ึงเปน็ สถานทท่ี ่ีมีอากาศชายทะเลบริสุทธต์ิ ามคำ� แนะน�ำของแพทย์ แต่ขณะนน้ั ทพี่ กั ขาดแคลน มี เพยี งเรอื นของหลวงทใี่ หฝ้ รงั่ เชา่ ในเวลาใกลเ้ คยี งกนั นนั้ พระนางเจา้ เสาวภาผอ่ งศรี พระวรราชเทวี ก็มีพระอาการประชวร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯ ให้เสด็จไปประทับท่ี เกาะสีชังใกล้กับพระราชโอรส ในช่วงแรก สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีต้องเสด็จประทับอยู่ ในเรอื พระทน่ี งั่ ทจี่ อดอยใู่ นอา่ วทเี่ กาะสชี งั ทำ� ใหพ้ ระอาการทรดุ หนกั ลง ดว้ ยขณะนน้ั เปน็ ชว่ งมรสมุ คลนื่ ลมแรงทำ� ใหเ้ รอื โคลงเคลง จงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ลกู กระโจมทพ่ี กั ทใ่ี ตต้ น้ มะขามใกลท้ ป่ี ระทบั ของ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ ในปเี ดยี วกนั นน้ั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ ทรงบรจิ าค พระราชทรพั ยส์ ว่ นพระคลังข้างทใ่ี หจ้ า้ งเหมาสร้าง อาไศรยสถาน (อาศัยสถาน) ไดแ้ กเ่ รอื น ๓ หลัง ซง่ึ เปน็ สถาปตั ยกรรมแบบตะวนั ตก กอ่ อฐิ ถอื ปนู เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ทพี่ กั สำ� หรบั ผปู้ ว่ ยทเ่ี ดนิ ทางมารกั ษาตวั มชี อ่ื วา่ ตกึ วฒั นา ตกึ ผอ่ งศรี และตกึ อภริ มย์ ตามพระนามของพระบรมราชเทวแี ละพระอคั รชายาเธอ ทีท่ รงบริจาคทรัพยซ์ ้ือเครอ่ื งตกแตง่ เรอื นแต่ละหลัง ตกึ ผอ่ งศรี 112
113
114
ต่อมาในช่วงพ.ศ. ๒๔๓๔-๒๔๓๕ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธทรง ประชวร พระอาการหนักมาก พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั จึงโปรดเกลา้ ฯ ให้เสดจ็ มาประทับเพ่ือรักษาพระอาการท่ีเกาะสีชังถึง ๒ คร้ัง โดยพระองค์เสด็จแปรพระราชฐานมา ประทับกับพระราชโอรสที่เกาะสีชังด้วย ระหว่างนั้นได้เสด็จพระราชด�ำเนินประพาสสถานที่ ตา่ งๆ บนเกาะสีชงั และทรงพบวา่ ประชาชนมฐี านะยากจน ยงั ขาดแคลนนำ้� จดื และสาธารณปู โภค ต่างๆ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น บ่ออัษฎางค์ ที่กักเก็บน�้ำฝน ใหร้ าษฎรใชส้ อย สะพานอษั ฎางค์ ถนนหลายสาย ทา่ เรอื และสง่ิ อำ� นวยความสะดวกในการเดนิ เรอื อษั ฎางคป์ ระภาคาร รวมทั้ง อัษฎางคะวัน หรอื อุทยานขนาดใหญ่ สะพานอษั ฎางค์ เจดยี ์เกา่ ทีม่ มี าแตเ่ ดมิ 115
ประภาคารในปจั จบุ นั ภายในบรเิ วณอษั ฎางคะวัน 116
117
ในเวลานน้ั เกาะสีชงั มวี ดั อยเู่ พยี งวดั เดยี ว เป็นวดั ท่ีพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาทิพากรวงษ์ มหาโกษาธิบดี (ข�ำ) ด�ำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ แต่ไม่ได้ พระราชทานชื่อวัดอย่างเป็นทางการ ชาวบ้านเรียกว่า วัดเกาะสีชัง วัดน้ีต้ังอยู่ปลายแหลม ติดต่อกับเขตบ้านพักที่ทางราชการสร้างไว้ให้ฝรั่งเช่า คนทั่วไปที่ไปพักผ่อนหรือไปพักรักษาตัวที่ เกาะสีชังไม่มีที่พัก มักอาศัยพักตามศาลาการเปรียญ และกุฏิสงฆ์ แม้แต่เจ้านายหรือข้าราชการ ท่ีตามเสด็จฯ มายังเกาะสีชังก็พ�ำนักอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับวัดเกาะสีชัง ท�ำให้บริเวณวัด พลุกพลา่ น ท้งั ท่ตี ัง้ ของวัดกอ็ ยู่ใกล้กบั เขตทป่ี ระทบั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่จงึ ทรง มีพระราชด�ำริจะสร้างพระอารามเปล่ียนถวายใหม่ ณ บริเวณใกล้เนินเขา ระหว่างถนนวชิรุณหิศ กับถนนพระจุลจอมเกล้า ใกล้กับบ่ออัษฎางค์ เมื่อทรงเลือกท�ำเลท่ีเหมาะสมกับการสร้าง พระอารามใหม่แล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ปักหลักเขียนฉลากประกาศพระราชประสงค์ และให้จ้าง ช่างรับเหมามาก่อสร้างพระอาราม ซ่ึงเป็นพระอุโบสถที่มีพระเจดีย์อยู่ด้านบนหลังคา เรียกว่า พระเจดีย์อุโบสถ ขณะด�ำเนินการก่อสร้าง สมเด็จกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพทรงน�ำหน่อ ของต้นพระศรีมหาโพธิ์จากพุทธคยา ประเทศอินเดียมาถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวที่เกาะสีชัง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกไว้ท่ีบริเวณพระเจดีย์อุโบสถ วัดอัษฎางคนิมิตร ส่วนการก่อสร้างพระเจดีย์อุโบสถได้แล้วเสร็จในพ.ศ. ๒๔๓๕ ซ่ึงเป็นช่วงเวลาที่โปรดเกล้าฯ ให้เร่งสร้างพระจุฑาธุชราชฐานเพื่อเป็นท่ีประทับส�ำหรับเสด็จแปรพระราชสถานบนเกาะสีชัง ตน้ พระศรีมหาโพธ์จิ ากพทุ ธคยา 118
119
ลานรอบพระเจดยี ์อโุ บสถ มีศลิ าจารกึ คำ� สอนในพระพุทธศาสนา ๘ หลัก แทนเสมา ประดษิ ฐานอยบู่ นราวลกู กรง กระเบ้อื งดนิ เผาเคลือบ 120
121
ในวนั ที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระกาศพระบรมราชูทิศพระราชทานวสิ ุงคามสีมาวัดอษั ฎางคนิมิตร ดังน้ี ... ... ทรงพระราชด�ำริจะสร้างพระราชวังเปนท่ีประพาสในคิมหันฤดู และทรง พระราชด�ำริว่าพระอารามท่ีศรีษะแหลม ช�ำรุดทรุดโทรมมาก ทรงพระราชศรัทธา จะใคร่ปฏิสังขรณ์ให้บริบูรณ์ดี แต่ทรงพระราชด�ำริเหนว่าพระอารามท่ีศรีษะแหลม นต้ี ง้ั อยู่ในท่ีใกลพ้ ระราชวงั เปนที่เกลอ่ื นกลน่ ด้วยผูค้ นไปมา ไมเ่ ปนท่วี เิ วกสถานควร แกส่ มณะปฏบิ ตั ิ สมควรทจี่ ะสถาปนาพระอารามในทอี่ นื่ ... จงึ ไดเ้ สดจ็ พระราชดำ� เนนิ แสวงหาภูมิสถานมาถึงท่ีน้ี ทรงพระราชดำ� รเิ หนว่า เปนรมณียสถานสมควรจะสร้าง พระอารามได้ จงึ มพี ระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งพระอารามในทน่ี ้ี เปลย่ี น แทนพระอารามทศี่ รษี ะแหลมนน้ั แตพ่ ระอารามเดมิ ไมม่ เี ขตสมี ายอ่ มเปนทล่ี ำ� บากแก่ พระสงฆท์ ่จี ะทำ� สงั ฆกรรม ครัง้ นีจ้ งึ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ก�ำหนดเขตพระอาราม ... พระ อารามซึ่งมีเขตแดนก�ำหนดมาน้ี พระราชทานนามวัดวา่ อัษฎางคนิมิต ทรงพระราช อุทิศที่เขตพระอุโบสถให้เปนท่ีวิสุงคามสีมา ยกเปนแผนกหนึ่งต่างหากจากพระราช อาณาเขต ... อยา่ งไรกต็ าม หลงั จากสรา้ งวดั อษั ฎางคนมิ ติ รซงึ่ อยตู่ ดิ กบั พระจฑุ าธชุ ราชฐานเสรจ็ สมบรู ณ์ ได้ไม่นาน ชมุ ชนของเกาะสีชังไดข้ ยายไปต้ังในเขตท่อี ยู่หา่ งไกลวัด ทำ� ให้ภิกษุสามเณรได้รับความ ล�ำบากในการเดินทางไปบิณฑบาต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ สร้างพระอารามขนาดเล็กขึ้นใหม่ที่เชิงเขายอดพระจุลจอมเกล้าทางทิศเหนือของเกาะ ซ่ึงติด ทะเลและใกลเ้ ขตชุมชน และให้อาราธนาพระสงฆ์จากวดั อษั ฎางคนมิ ติ รไปจ�ำพรรษาทีพ่ ระอาราม แหง่ ใหม่ซ่งึ ได้พระราชทานพระบรมราชทู ิศวสิ งุ คามสมี าเม่ือวันที่ ๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ และ พระราชทานนามว่า วัดจุฑาทิศธรรมสภาราม ทั้งน้ีในข้อความพระบรมราชูทิศวิสุงคามสีมา พระอารามใหมย่ ังระบุให้ “... เปล่ยี นที่เขตอุปจารสมี าวดั อัษฎางคนิมติ ร สว่ นทเ่ี ขตพระอโุ บสถวดั อษั ฎางคนิมติ รน้ัน คงทรงพระราชอทุ ศิ เปนของสงฆ์ ไมเ่ ลิกถอน ...” หลงั จากนนั้ วดั อษั ฎางคนมิ ติ รกม็ ไิ ดใ้ ชบ้ ำ� เพญ็ ศาสนกจิ จนกระทง่ั เกดิ วกิ ฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ในเดอื นกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ ฝรง่ั เศสนำ� เรอื รบมาปดิ อา่ วไทยและนำ� กำ� ลงั สว่ นหนงึ่ ขน้ึ ยดึ เกาะสชี งั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ หวั จงึ มไิ ดเ้ สดจ็ แปรพระราชฐานทเ่ี กาะสชี งั อกี และโปรดเกลา้ ฯ ให้ร้ือถอนพระท่ีนั่งและพระต�ำหนักต่างๆ ที่เป็นเคร่ืองไม้ไปสร้างท่ีอ่ืน โดยเฉพาะการร้ือพระที่น่ัง มันธาตุรัตนโรจน์ซึ่งยังก่อสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ไปสร้างเป็นพระที่น่ังวิมานเมฆในพระราชวังดุสิต สว่ นวดั อัษฎางคนิมิตรกถ็ ูกทิ้งร้างไปจนกระท่งั มีการบรู ณะในสมยั ปัจจุบนั 122
123
ภายในพระเจดียอ์ ุโบสถ เห็นชอ่ งแสงโคง้ ติดกระจก เหนือแทน่ บชู าที่เจาะเปน็ ชอ่ ง 124
ศลิ ปกรรมของวัดอัษฎางคนมิ ติ ร ชอ่ งแสงรูปกลม อยู่ท่สี ว่ นกลางเจดีย์ สถาปัตยกรรมของพระเจดีย์อุโบสถ วัดอัษฎางคนิมิตรมีเอกลักษณ์โดดเด่น แตกต่างจาก และทค่ี อเจดีย์ พระอโุ บสถของวดั ทว่ั ไป และเปน็ การผสมผสานศลิ ปะไทยกบั ศลิ ปะตะวนั ตกแบบโกธกิ พระอโุ บสถ เปน็ รปู กลม กอ่ อฐิ ถอื ปูน หลังคาแบน มเี จดยี ท์ รงกลมซ้อนอยูข่ ้างบน ภายในพระอโุ บสถเปน็ โถง รปู กลม เพดานโคง้ ตามรปู เจดีย์ มที างเดินรอบพระอุโบสถ มปี ระตูทางเขา้ ตรงขา้ มกัน ๒ ด้านทาง ทศิ ตะวนั ออกและตะวนั ตก มหี นา้ ตา่ ง รวม ๑๔ บาน ทง้ั ประตแู ละหนา้ ตา่ งทำ� เปน็ รปู โคง้ ยอดแหลม แบบโกธิก พรอ้ มชอ่ งแสงโค้งติดกระจก ทสี่ ่วนฐานของพระเจดยี ม์ ีช่องแสงรปู กลมทง้ั ๘ ทศิ มีชอ่ ง แสงรปู กลมที่ส่วนกลางเจดีย์ ๘ ชอ่ งและทคี่ อเจดียอ์ ีก ๔ ช่อง ก�ำแพงพระอุโบสถก่ออฐิ ถอื ปูน พืน้ ปู แผน่ หนิ ออ่ นสขี าวสลบั ดำ� มลี านโดยรอบรปู กลมยกเปน็ แทน่ สงู ทำ� เปน็ เฉลยี ง มลี กู กรงกระเบอ้ื งดนิ เผาเคลือบโดยรอบ มีบนั ไดขนึ้ ๓ ทาง บริเวณลานก่อขอบอฐิ ถอื ปนู สำ� หรบั ปลูกต้นไม้ มที งั้ รปู กลม และรปู กลบี ดอกไม้ ๔ กลบี บนราวลกู กรงตง้ั ศลิ าจารกึ คำ� สอนในพระพทุ ธศาสนา ๘ หลกั แทนเสมา 125
ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๒๐ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้เข้ามาดูแลพ้ืนท่ี บางส่วนบนเกาะสีชัง เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษา โดยใช้ท่ีดินส่วนท่ีอยู่นอกเขตพระราชฐาน เป็นสถานีวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล พร้อมท้ังด�ำเนินการศึกษารวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมของอาคารในเขตพระราชฐานที่ยังหลงเหลืออยู่ ต่อมาในพ.ศ. ๒๕๓๒ รัฐบาล ในขณะน้ันได้ประกาศให้เกาะสีชังเป็นแหล่งธรรมชาติอันควรอนุรักษ์ และวางแผนพัฒนาพื้นที่ พระจุฑาธุชราชฐาน ซ่ึงรวมถึงวัดอัษฎางคนิมิตร โดยกรมศิลปากรได้ประกาศข้ึนทะเบียนเป็น โบราณสถาน และมกี ารอนรุ ักษฟ์ ้ืนฟจู นแล้วเสร็จในพ.ศ. ๒๕๓๙ 126
127
128
ภายในพพิ ธิ ภณั ฑ์ ในพ.ศ. ๒๕๔๖ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดกิจกรรมหลากหลายเพื่อเฉลิมฉลองใน ทจ่ี ัดแสดงอย่ใู นตึกผ่องศรี วโรกาส วันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครบ ๑๕๐ ปี และถือเป็นโอกาสพิเศษในการบูรณะพระจุฑาธุชราชฐานและวัดอัษฎางคนิมิตรให้อยู่ในสภาพท่ี เรียบร้อยงดงามอีกคร้ังหน่ึง เพ่ือเป็นพระบรมราชานุสรณ์แห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว โดยเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์โบราณสถาน และจัดแสดงนิทรรศการภายในอาคารต่าง ๆ เผยแพร่ความร้แู กอ่ นุชนชาวเกาะสชี งั และประชาชนท่ัวไป พระบรมรูป พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ประดษิ ฐานอยู่ ณ พลบั พลาในบรเิ วณอษั ฎางคะวนั 129
130
วดั เบญจมบพติ รดสุ ิตวนาราม 131
132
พระอุโบสถ งามสงา่ สถาปัตย์ สวนหนิ ออ่ น เจิดจรสั จำ� รูญศิลป์ พระธ�ำรง ทรงธรรมา เป็นอาจิณ พระภูมนิ ทร์ บรรจงสรรค์ บรรเจดิ ภูมิ 133
134
วดั เบญจมบพติ รดุสติ วนาราม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามหรือวัดเบญจมบพิตรเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิด ราชวรวิหาร ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาโดยปรับปรุงวัดท่ีมีอยู่เดิม เพ่ือเป็นพระอารามส�ำหรับทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศลในเวลาเสด็จมาประทับท่ีพระราชวังดุสิต วัด น้ีเป็นพิพิธภัณฑ์รวบรวมพระพุทธรูปโบราณสมัยต่างๆ ท้ังในประเทศและต่างประเทศ เป็นศูนย์ รวมแบบอย่างงานช่างศิลปกรรมและวิจิตรกรรมของสยามประเทศ และเป็นศูนย์กลางการศึกษา เล่าเรียนพระปริยตั ธิ รรมและวิชาชน้ั สูงสำ� หรับพระสงฆม์ หานกิ าย 135
วดั เบญจมบพติ รได้รับการสถาปนาจากพระอารามเดิมสมัยอยธุ ยาซึง่ เปน็ วดั เลก็ ๆ เรยี กวา่ พระระเบยี ง วัดแหลม หรือวัดไทรทอง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าบรมวงศ์เธอ ประดษิ ฐานพระพุทธรูปสำ� คัญ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ (พระองค์เจ้าพนมวัน) ทรงเป็นผู้บัญชาการกองทัพป้องพระนครท่ี ทีส่ มเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอฯ ทงุ่ สามเสนเมอื่ ครงั้ ศกึ เจา้ อนวุ งศ์ พ.ศ. ๒๓๖๙ และทรงตง้ั กองบญั ชาการกองทพั อยทู่ ว่ี ดั แหง่ น้ี เมอ่ื กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ เสรจ็ ศกึ เจา้ อนวุ งศแ์ ลว้ พระองคท์ รงมพี ระราชศรทั ธาปฏสิ งั ขรณว์ ดั นร้ี ว่ มกบั พระภคนิ แี ละพระอนชุ า ทรงคดั เลือกมาทั้งสิน้ ๕๒ องค์ รว่ มเจา้ จอมมารดาอกี ๔ พระองค์ โดยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดพ้ ระราชทานนาม วัดวา่ วัดเบญจบพติ ร แปลว่า วดั ของเจา้ นาย ๕ พระองค์ 136
ความงดงามของสถาปตั ยกรรมไทย ทผ่ี สมผสานกับวัสดุจากตา่ งประเทศ ทำ� ใหเ้ ป็นเอกลกั ษณพ์ เิ ศษแตกต่าง จากวัดอ่ืน 137
138
ตอ่ มาในพ.ศ. ๒๔๔๒ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งพระราชวงั ดสุ ติ ซงึ่ มเี นอ้ื ทคี่ รอบคลมุ วดั ๒ วดั คอื วดั ดสุ ติ และวดั รา้ งอกี ๑ วดั จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้ยุบทั้ง ๒ วัดดังกล่าว และมีพระราชประสงค์สร้างวัดเพ่ือทดแทน โดยทรงเลือกสถาปนา วดั เบญจบพติ รใหว้ จิ ติ รใหญโ่ ตแทนการสรา้ งวดั ขน้ึ ใหม่ แลว้ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ นายช่างเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงออกแบบพระอุโบสถหลังใหม่ โดยให้เลือกแบบอย่างช่างไทยสมัยโบราณ และสร้างด้วยหินอ่อนแบบตะวันตกให้งดงาม ท้ังยัง โปรดฯ ใหเ้ ปลย่ี นชอื่ พระอารามเปน็ วดั เบญจมบพติ ร ซงึ่ หมายถงึ วดั ของพระเจา้ แผน่ ดนิ รชั กาลท่ี ๕ ในราชวงศจ์ กั รี ตามประกาศพระบรมราชทู ศิ ทแ่ี ผน่ ดนิ วสิ งุ คามสมี า วดั เบญจมบพติ ร วนั ที่ ๑ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๔๒ วา่ “...ทรงพระราชทานนามวดั วดั เบญจมบพิตร แสดงลำ� ดับรัชกาลในมหาจักรีบรม ราชวงศ์...” นอกจากน้ี ในวันที่ ๒ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ ยงั เสด็จพระราชดำ� เนินไปทรงปลูกต้น ศรมี หาโพธ์ิ ซ่ึงแตกหน่อจากตน้ ศรีมหาโพธ์ิทสี่ มเดจ็ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพทรงเชญิ หนอ่ จาก พุทธคยามาถวายที่เกาะสชี งั เม่อื พ.ศ. ๒๔๓๔ และโปรดฯ ใหป้ ลกู ไวท้ ่ีวัดอษั ฎางคนมิ ติ ร เกาะสชี ัง ต่อมาในพ.ศ. ๒๔๔๒ ได้เสด็จพระราชด�ำเนินไปที่วัดอัษฎางคนิมิตร และทอดพระเนตรเห็นต้น พระศรมี หาโพธิ์แตกหนอ่ จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหข้ ดุ ไปปลกู ไว้ทพี่ ระราชวงั ดสุ ิต เม่อื ตน้ พระศรีมหาโพธิ์ แตกกิ่งก้านงดงามดี จึงโปรดเกล้าฯ ให้เชิญไปปลูกท่ีวัดเบญจมบพิตร เพื่อเป็นเจติยสถานใน พระอาราม 139
ในวันท่ี ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั โปรดเกล้าฯ ให้มีกระบวนแห่พระเทพมุนี (จ่าย) จากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ซ่ึงทรงอาราธนามาเป็น เจา้ อาวาสวดั เบญจมบพติ ร และพระสงฆ์ฐานานุกรมเปรยี ญอันดบั ตลอดจนสามเณรทจ่ี ะมาอยู่วัด เบญจมบพติ ร รวม ๓๓ รปู (เทา่ กบั จำ� นวนปที ท่ี รงครองราชย)์ มายงั วดั เบญจมบพติ ร ในวนั เดยี วกนั นน้ั ทรงมพี ระบรมราชโองการดำ� รสั ประกาศพระบรมราชทู ศิ ถวายทวี่ ดั พระอาราม และเสนาสนะ วดั เบญจมบพติ รแก่คณะสงฆ์ และไดพ้ ระราชทานนามวดั เบญจมบพติ รเพม่ิ เติม ความว่า ... ขอประกาศแก่พระภิกษสุ งฆ์ ซงึ่ ไดม้ าประชุมพรอ้ มกัน ณ ท่ีน้ี ด้วยขา้ พเจา้ มีศรัทธาท่ีจะสถาปนาวัดเบญจมบพิตร ได้อุทิศท่ีแผ่นดินเป็นวิสุงคามสีมา และได้ อาราธนาพระสงฆ์ผูกพัทธสีมาส�ำเร็จแล้วส่วนหน่ึง ภายหลังได้ถวายท่ีวิสุงคามสีมา เพ่ิมเติม ... แต่ที่พระสงฆ์จะอยู่อาศัยประพฤติพรหมจรรย์ยังไม่มี ... แล้วจึงได้คิด สร้างเสนาสนะขึ้น ได้ร้ือพระทีน่ ัง่ ทรงผนวชในพระบรมมหาราชวัง ซง่ึ ข้าพเจา้ ไดอ้ ยู่ ในเวลาอปุ สมบทนนั้ มากอ่ สรา้ งขนึ้ ใหมต่ ามเดมิ และเพม่ิ เตมิ ขยายออกบา้ ง และสรา้ ง กฎุ ีเสนาสนะขึน้ ใหม่ในทดี่ ินท่ีไดข้ ยายเพิ่มเตมิ ข้นึ นนั้ ... คดิ เป็นตารางวาได้ ๕๐๙๖ ตารางวา ทด่ี นิ มปี ระมาณเทา่ น้ี ขา้ พเจา้ ขอขนานนามวา่ ดสุ ติ วนาราม และอทุ ศิ ถวาย เปน็ ทสี่ งั ฆกปั ปยิ ภมู เ์ิ ขตตอ์ ปุ จารแหง่ วดั เบญจมบพติ ร ใหเ้ ปน็ นามรวมเปน็ อนั เดยี วกนั วา่ วดั เบญจมบพติ รดุสติ วนาราม ... พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ประกอบพธิ กี ระทงุ้ รากพระ อุโบสถเดิมในเดอื นเมษายน พ.ศ. ๒๔๔๔ เพือ่ ก่อฐานพระอโุ บสถหลงั ใหม่ โดยเสดจ็ ลงทรงกระทงุ้ รากพระอโุ บสถดว้ ยพระองคเ์ องด้วย เมอื่ กอ่ ฐานพระอโุ บสถเรยี บรอ้ ยแลว้ ไดเ้ สด็จพระราชดำ� เนิน ทรงวางศลิ าฤกษพ์ ระอโุ บสถในวันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๔๔ หลงั จากนั้น การกอ่ สรา้ งได้ด�ำเนิน การมาตามลำ� ดบั กระนน้ั ในพ.ศ. ๒๔๕๓ ซง่ึ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ สวรรคต การกอ่ สร้างพระอโุ บสถกย็ ังไมแ่ ลว้ เสร็จ ในการก่อสร้างวัดเบญจมบพิตร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละ พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และทรงใส่พระทัยในการท�ำนุบ�ำรุง และการก่อสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ในวัดอย่างย่ิง เช่น กุฏิเสนาสนะ ศาลา สะพาน ฯลฯ ท�ำให้พระบรมวงศานุวงศ์ ทรงมีพระราช ศรัทธารว่ มบริจาคพระราชทรพั ย์ร่วมกับเอกชนเพือ่ พฒั นาและบำ� รงุ วดั เบญจมบพติ รดุสติ วนาราม ให้เจรญิ รุ่งเรอื งสบื มา หนา้ บนั พระที่น่ังทรงธรรม จ�ำหลกั ปิดทองประดับกระจกตราประจ�ำพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช เจ้าฟา้ มหาวชริ ณุ หศิ สยามมกฎุ ราชกุมาร 140
141
ศิลปกรรมส�ำคัญในวดั เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พระอโุ บสถ ออกแบบและควบคุมการก่อสรา้ งโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา นริศรานุวัดติวงศ์ ซ่ึงทรงผสมผสานรูปแบบของศิลปะแบบประเพณีของตะวันออกและตะวันตก พระอุโบสถเป็นทรงจตุรมุข ภายนอกอาคารประดับด้วยหินอ่อนสีขาวบริสุทธ์ิจากเหมืองคาร์รารา เมอื งมัสซา - คาร์รารา (Massa Carrara) แควน้ ทสั คานี (Tuscany) ประเทศอิตาลี และใชน้ ายช่าง ชาวอติ าลชี อื่ มสิ เตอรม์ โู ซ่ (L. Mosso) เปน็ ผปู้ ระดบั หนิ ออ่ น มขุ หนา้ ดา้ นทศิ ตะวนั ออก และมขุ หลงั ด้านทิศตะวันตก มีเสา ๔ ต้น เป็นหินอ่อนทั้งแท่ง เสาเป็นลายปูนปั้นปิดทองประดับกระจก ด้านหน้าเสามีสิงห์คู่สลักจากหินอ่อนประดับอยู่ข้างบันไดทางข้ึนแต่ละด้าน มุขด้านตะวันตก มีซมุ้ จรนำ� ประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปโบราณทรงเครื่องสมัยลพบุรปี ระทบั ยืน หรือ “พระธรรมจกั ร” พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั โปรดเกล้าฯ ใหบ้ รรจุพระองั คาร สมเด็จพระเจา้ บรมมหัยยิกาเธอ กรมพระสุดารตั นราชประยรู ไว้ใต้ฐานพระธรรมจกั ร 142
สิงห์ ศิลปะเขมร สลกั จากหนิ ออ่ น ทำ� หน้าทเ่ี ป็นทวารบาล ประจ�ำพระอุโบสถ 143
พระอุโบสถมีมุขกระสันเชื่อมต่อพระระเบียงท้ังด้านเหนือและด้านใต้ท่ีบรรจบกัน ลานด้านหลงั พระอุโบสถ ณ ด้านหลังพระอุโบสถ นอกจากนี้ บานประตูและหน้าต่างด้านนอกพระอุโบสถประกอบด้วย มองเหน็ พระระเบียงทปี่ ระดษิ ฐาน แผน่ โลหะสดี ำ� ดนุ ลายภาพตา่ งๆ ซมุ้ ประตแู ละหนา้ ตา่ งปนู ปน้ั ลายปดิ ทองประดบั กระจก โดยสว่ นเหนอื พระพทุ ธรูปส�ำคัญงดงาม ของกรอบหน้าต่างประดับกระจกสีแบบโบสถ์คริสต์ แต่เขียนลวดลายไทย หน้าบันพระอุโบสถ จ�ำนวน ๕๒ องค์ ทงั้ ๔ ดา้ นผกู ลายปนู ปน้ั ลงรกั ปดิ ทองเปน็ ตราพระราชลญั จกรทงั้ สี่ คอื พระราชลญั จกรพระครฑุ พา่ ห์ มหาโองการ ไอยราพต และ จักรรถ ส่วนหนา้ บันพระระเบยี งท้งั ๑๐ ดา้ นผูกลายปนู ปน้ั สญั ลักษณ์ ประจ�ำกระทรวงท้ัง ๑๐ กระทรวงในสมัยนน้ั 144
ช่องกระจกเหนอื บานหนา้ ต่าง เขยี นลายไทยเทพนม ชอ่ งกระจกทั้งหมดนี้พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ จุลจักรพงษ์ ทรงมี พระศรทั ธาจา้ งชา่ งเมืองฟลอเรนซ์ อติ าลี ท�ำส่งเข้ามาประดบั 145
บานประตูพระอุโบสถ เปน็ โลหะดนุ รมด�ำ รปู เซย่ี วกาง แตง่ กายอย่างไทย 146
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200