1
แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา วทิ ยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน วิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟิสกิ ส์) ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 จดั ทำโดย นางสาวปารชิ าติ เพชรฎา ตำแหน่ง ครู กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี โรงเรยี นสตรีสิริเกศ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ
ก คำนำ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชา พื้นฐานวิทยศาสตร์ วิทยาศาสตร์กายภาพ (ฟิสิกส์) ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตาม หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วยเนื้อหาสาระดังต่อไปนี้ แผนการจัดการเรียนรู้รายหน่วยซ่ึง ประกอบด้วย มาตรฐานและตัวชี้วัดกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาวิทยศาสตร์และเทคโนโลยี แผนการจัดการ เรียนรู้ทั้งหมด 5 หน่วย แผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย การเคลื่อนที่และแรง แรงในธรรมชาติ พลังงาน ปรากฎการณ์ของคลื่นกล และเสียง ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ได้ระบุมาตรฐาน ตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้ คือ รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบ 5E นอกจากนี้ยังมีใบงานและเกณฑ์การประเมินผล เพื่อใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้ ของนกั เรียนแตล่ ะคน ผู้จัดทำขอขอบพระคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัชรีภรณ์ บางเขียว เป็นอย่างยิ่ง ที่ให้คำปรึกษา และคำแนนนำตลอดระยะเวลาการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแผนการจัดการ เรียนรู้เล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียน ทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนนาการเรียนรู้ได้ อย่างมีประสิทธภิ าพ นางสาวปาริชาติ เพชรฎา ผู้จัดทำ
สารบญั ข เรือ่ ง คำนำ หนา้ สารบัญ ก แผนการจดั การเรียนรู้ ข 1 1. มาตรฐานการเรียนรู้ 1 2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 2 3. สาระการเรยี นรู้ 6 4. คำอธบิ ายราบวชิ า 9 ตารางโครงสร้างรายวชิ า 11 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 การเคลื่อนท่ีและแรง 13 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 แรงในธรรมชาติ 44 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 3 พลังงาน 74 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 4 ปรากฏการณ์ของคล่ืนกล 97 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เสยี ง บรรณานกุ รม 117 ค
1 แผนการจัดการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายวิชา วิทยาศาสตรพ์ ื้นฐาน วิทยาศาสตร์กายภาพ(ฟิสิกส์) ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรยี นที่1 ปีการศึกษา 2564 เวลา 60 ช่ัวโมง 1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชี้วดั มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำตอ่ วัตถลุ กั ษณ์การ เคล่อื นทแ่ี บบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่นปรากฏการณ์ ท่ีเกย่ี วขอ้ งกับเสยี ง แสง และคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ารวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วดั มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวติ ประจำวนั ผลของแรงทก่ี ระทำตอ่ วตั ถุลักษณ์ การเคลอื่ นทีแ่ บบต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมทง้ั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ว 2.2 ม.5/1 วิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูลความเร็วกับเวลาของการเคลื่อนที่ของวัตถุเพ่ือ อธบิ ายความเร่งของวตั ถุ ว 2.2 ม.5/2 สังเกตและอธิบายการหาแรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงหลายแรงที่อยู่ในระนาบเดียวกันท่ี กระทำต่อวัตถุ โดยการเขยี นแผนภาพการรวมแบบเวกเตอร์ ว 2.2 ม.5/3 สังเกต วิเคราะห์ และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความเร่งของวัตถุกับแรงลัพธ์ท่ี กระทำต่อวตั ถแุ ละมวลของวัตถุ ว 2.2 ม.5/4 สงั เกตและอธิบายแรงกริ ยิ าและแรงปฏิกริ ยิ าระหว่างวตั ถุค่หู นง่ึ ๆ ว 2.2 ม.5/5 สงั เกตและอธิบายผลของความเรง่ ทมี่ ตี อ่ การเคลอื่ นท่แี บบต่าง ๆ ของวัตถุ ได้แก่ การ เคลอื่ นท่แี นวตรง การเคลอื่ นที่แบบโพรเจกไทล์ การเคลื่อนที่แบบวงกลม และการเคลื่อนที่แบบส่นั ว 2.2 ม.5/6 สืบค้นขอ้ มลู และอธบิ ายแรงโนม้ ถว่ งทีเ่ กีย่ วกบั การเคล่อื นที่ของวตั ถตุ า่ ง ๆ รอบโลก ว 2.2 ม.5/7 สังเกตและอธิบายการเกดิ สนามแม่เหล็กเนอ่ื งจากกระแสไฟฟา้ ว 2.2 ม.5/8 สังเกตและอธิบายแรงแม่เหล็กที่กระทำต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ใน สนามแม่เหล็กและแรงแม่เหล็กที่กระทำต่อลวดตัวนำที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านในสนามแม่เหล็ก รวมทั้งอธิบาย หลกั การทำงานของมอเตอร์ ว 2.2 ม.5/9 สงั เกตและอธิบายการเกิดอีเอ็มเอฟ รวมทง้ั ยกตวั อย่างการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ว 2.2 ม.5/10 สบื คน้ ขอ้ มลู และอธบิ ายแรงเข้มและแรงอ่อน
2 มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่นปรากฏการณ์ที่ เก่ียวขอ้ งกบั เสยี ง แสง และคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ว 2.3 ม.5/1 สบื คน้ ข้อมูลและอธิบายพลังงานนิวเคลยี ร์ฟชิ ชันและฟวิ ชนั และความสมั พันธร์ ะหวา่ ง มวลกับพลังงานทป่ี ลดปล่อยออกมาจากฟชิ ชนั และฟิวชนั ว 2.3 ม.5/2 สืบค้นข้อมูลและอธบิ ายการเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งสบื คน้ และอภิปรายเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่นำมาแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการทางด้านพลังงาน โดยเน้น ด้านประสิทธภิ าพและความคุม้ คา่ ดา้ นค่าใชจ้ ่าย ว 2.3 ม.5/3 สังเกตและอธบิ ายการสะท้อน การหักเห การเล้ยี วเบน และการรวมคล่ืน ว 2.3 ม.5/4 สงั เกตและอธบิ ายความถ่ธี รรมชาติ การส่ันพอ้ ง และผลท่เี กดิ ขนึ้ จากการส่ันพ้อง ว 2.3 ม.5/5 สังเกตและอธิบายการสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบน และการรวมคลื่นของคล่ืน เสยี ง ว 2.3 ม.5/6 สืบค้นขอ้ มูลและอธบิ ายความสมั พันธร์ ะหว่างความเข้มเสยี งกบั ระดบั เสยี งและผลของ ความถ่ีกบั ระดบั เสียงทมี่ ตี ่อการได้ยินเสียง ว 2.3 ม.5/7 สงั เกตและอธิบายการเกิดเสยี งสะทอ้ นกลบั บีต ดอปเพลอร์ และการสนั่ พอ้ งของเสียง ว 2.3 ม.5/8 สืบค้นข้อมูลและยกตัวอย่างการนำความรู้เกี่ยวกับเสียงไปใช้ประโยชน์ใน ชวี ติ ประจำวัน ว 2.3 ม.5/9 สังเกตและอธบิ ายการมองเห็นสขี องวัตถุ และความผิดปกตใิ นการมองเห็นสี ว 2.3 ม.5/10 สังเกตและอธบิ ายการทำงานของแผ่นกรองแสงสี การผสมแสงสี การผสมสารสี และ การนำไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจำวัน ว 2.3 ม.5/11 สืบค้นข้อมูลและอธิบายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ส่วนประกอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และ หลักการทำงานของอุปกรณ์บางชนดิ ท่ีอาศัยคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ ว 2.3 ม.5/12 สืบค้นข้อมูลและอธิบายการสื่อสาร โดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งผ่าน สารสนเทศ และเปรยี บเทียบการสือ่ สารดว้ ยสัญญาณแอนะลอ็ กกับสัญญาณดจิ ิทลั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1 ความรู้ (K) 1.1 นักเรียนสามารถอธบิ ายความเร่งของวตั ถไุ ดอ้ ย่างถูกต้อง(K) 1.2 นักเรียนสามารถอธิบายแลแสดงการหาแรงลัพธ์จากแรงหลายแรงที่กระทำกับวัตถุในระนาบ เดียวกนั ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง (K) 1.3 นักเรียนสามารถอธิบายและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวล และความเร่งได้อย่าง ถูกต้อง (K) 1.4 นักเรยี นอธบิ ายแรงกริ ิยาและแรงปฏิกิรยิ าระหว่างวตั ถุคหู่ นึง่ ๆ ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง (K)
3 1.5 นักเรียนสามารถอธิบายการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ความเร่งที่เกี่ยวข้อง การเคลื่อนที่แบบ วงกลมและความเรง่ ทเ่ี กี่ยวข้อง และการเคลื่อนทีแ่ บบส่นั และความเรง่ ทเี่ ก่ยี วข้องได้อย่างถูกตอ้ ง (K) 1.6 นักเรียนสามารถอธิบายสนามโน้มถ่วง แรงโน้มถ่วงของวัตถุต่าง ๆ รอบโลกและการส่ง ดาวเทยี มไปโคจรรอบโลกไดอ้ ย่างถกู ต้อง (K) 1.7 นักเรยี นสามารถอธิบายสนามแม่เหลก็ ทเี่ กดิ จากกระแสไฟฟา้ ในลวดตวั นำได้อย่างถกู ต้อง (K) 1.8 นักเรียนสามารถอธิบายแรงแม่เหล็กที่เกิดขึ้นกับอนุภาคมีประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ใน สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่เกิดขึ้นกับลวดตัวนำที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านในสนามแม่เหล็ก และหลักการ ทำงานของมอเตอร์ได้อยา่ งถูกต้อง (K) 1.9 นักเรียนสามารถอธิบายการเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำจากการที่สนามแม่เหล็กกำเนิดไฟฟ้า เปลยี่ นแปลงตดั ผ่านลวดตวั นำ และหลกั การทำงานของเคร่อื งได้อย่างถูกต้อง (K) 1.10 นกั เรยี นสามารถอธิบายสมบัติของแรงอ่อนและแรงเข้มได้อยา่ งถกู ต้อง(K) 1.11 นักเรียนสามารถอธิบายฟิชชัน ความสัมพันธ์ระหว่างมวลกับพลังงานที่ปลดปล่อยจากฟิชชัน ฟวิ ชนั และความสัมพันธ์ระหว่างมวลกบั พลงั งานทป่ี ลดปล่อยจากฟิวชนั ได้อย่างถูกตอ้ ง(K) 1.12 นักเรียนสามารถอธิบายอธิบายการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าของเซลล์ สุริยะ กระบวนการเปลี่ยนพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ได้อย่าง ถกู ต้อง (K) 1.13 นักเรียนสามารถอธิบายส่วนประกอบของคล่ืน ความแตกต่างของคลื่นตามยาวและคลื่นตาม ขวาง การสะทอ้ นของคลนื่ การหกั เหของคลนื่ การเลยี้ วเบนของคลนื่ และการรวมคลน่ื ได้อยา่ งถูกตอ้ ง (K) 1.14 นักเรียนอธิบายอธิบายความถี่ธรรมชาติ สั่นพ้อง และผลที่เกิดขึ้นจากการสั่นพ้องได้อย่าง ถูกต้อง (K) 1.15 นักเรยี นสามารถอธบิ ายการสะท้อนของเสียง การหักเหของเสยี ง การเลยี้ วเบนของเสียง และ การรวมคลน่ื ของคล่ืนเสียงไดอ้ ย่างถกู ต้อง (K) 1.16 นกั เรยี นสามารถอธิบายความเขม้ เสียง กำลังเสยี ง ระดับเสียง ความสมั พนั ธร์ ะหว่างความเข้ม เสยี งและระดับเสียง และผลของความถี่และระดับเสยี งท่ีมีต่อการไดย้ นิ เสียงได้อย่างถกู ต้อง (K) 1.17 นักเรียนสามารถอธิบายการเกิดเสียงสะท้อนกลับ บีต การสั่นพ้องของเสียง และดอปเพลอร์ ได้อย่างถูกต้อง (K) 1.18 นักเรียนสามารถอธิบายและยกตัวอย่างการนำความรู้เกี่ยวกับเสียงไปใช้ประโยชน์ใน ชีวติ ประจำวนั ได(้ K) 1.19 นักเรียนสามารถอธิบายอธิบายการมองเห็นสีของวัตถุ ตากับการเห็นสีของมนุษย์ และการ บอดสไี ด้อยา่ งถกู ต้อง (K)
4 1.20 นักเรียนสามารถอธิบายการทำงานของแผ่นกรองแสงสี การผสมแสงสี แสงสีปฐมภูมิ การ ผสมสารสี สารสีปฐมภูมิ การมองเห็นสีของวัตถุภายใต้แสงสีต่างๆ และการผสมแสงสีและการผสมสารสี สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ไดอ้ ย่างถูกต้อง(K) 1.21 นักเรยี นสามารถอธิบายการเกิดคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า สว่ นประกอบหลกั ของคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า และหลักการทำงานของอุปกรณบ์ างชนิดท่ีอาศยั คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง(K) 1.22 นักเรียนสามารถอธิบายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่วนประกอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและหลักการ ทำงานของอปุ กรณบ์ างชนดิ ทอี่ าศยั คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าได้อยา่ งถกู ตอ้ ง(K) 2. ทักษะ (P) 2.1 นักเรยี นสามารถอภิปรายความหมายข้อมูลความเรว็ กับเวลาของการเคล่ือนท่ีของวัตถุได้อย่าง ถกู ตอ้ ง (P) 2.2 นกั เรียนสามารถแสดงการเขียนแผนภาพการรวมเวกเตอรไ์ ด้อยา่ งถูกต้อง (P) 2.3 นักเรียนสามารถอภิปรายความสัมพันธ์ระหว่างความเร่งของวัตถุกับแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุ และมวลของวัตถุไดอ้ ย่างถกู ต้อง (P) 2.4 นกั เรียนอภิปรายแรงกิริยาและแรงปฏกิ ิรยิ าระหว่างวัตถุคู่หนงึ่ ๆ ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง (P) 2.5 นักเรียนสามารถอภปิ รายการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ความเร่งที่เกี่ยวขอ้ ง การเคลื่อนที่แบบ วงกลมและความเร่งที่เกี่ยวข้อง และการเคลอ่ื นทแ่ี บบสนั่ และความเรง่ ท่ีเกี่ยวข้องได้อยา่ งถูกต้อง (P) 2.6 นักเรียนสามารถอภิปรายแรงโน้มถ่วงที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุต่าง ๆรอบโลกได้อย่าง ถกู ต้อง (P) 2.7 นักเรยี นสามารถอภิปรายการเกดิ สนามแม่เหลก็ เนือ่ งจากกระแสไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง (P) 2.8 นักเรียนสามารถอภิปรายแรงแม่เหล็กที่กระทำต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ใน สนามแม่เหล็กรวมทงั้ หลักการทำงานของมอเตอร์ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง (P) 2.9 นักเรยี นสามารถอภปิ รายการเกิดอเี อม็ เอฟเหนี่ยวนำได้อยา่ งถูกต้อง (P) 2.10 นักเรยี นสามารถอภิปรายสมบตั ขิ องแรงออ่ นและแรงเข้มได้อยา่ งถกู ต้อง (P) 2.11 นักเรียนสามารถอภิปรายพลังงานนิวเคลียร์ฟิชชันและฟิวชันและความสัมพันธ์ระหว่างมวล กบั พลังงานทีป่ ลดปล่อยออกมาจากฟชิ ชันและฟวิ ชนั ได้อยา่ งถูกต้อง (P) 2.12 นักเรียนสามารถอภิปรายแนวทางการนำเซลลส์ ุริยะมาใช้งานในชีวิตประจำวัน และแนวทาง การนำเทคโนโลยีด้านพลังงานไปแกป้ ัญหาหรือตอบสนองความต้องการด้านพลังงานได้ (P) 2.13 นกั เรยี นสามารถอภิปรายการสะท้อนการหกั เหการเล้ยี วเบนและการรวมคลน่ื ได้อย่างถูกต้อง (P) 2.14 นักเรียนอภิปรายความถี่ธรรมชาติการสั่นพ้องและผลที่เกิดขึ้นจากการสั่นพ้องอย่างถูกต้อง (P)
5 2.15 นักเรียนสามารถอภิปรายการสะท้อนการหักเหการเลี้ยวเบนและการรวมคลื่นของคลื่นเสียง ได้อยา่ งถูกต้อง (P) 2.16 นักเรียนสามารถอภิปรายความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มเสียงกับระดับเสียงและผลของ ความถ่ีกบั ระดบั เสียงท่มี ตี อ่ การไดย้ นิ เสียงไดอ้ ย่างถูกต้อง (P) 2.17 นักเรียนสามารถอภิปรายการการเกิดเสียงสะท้อนกลับบีต ดอปเพลอร์และการสั่นพ้องของ เสียงได้อยา่ งถกู ต้อง (P) 2.18 นักเรียนสามารถอภปิ รายการนำความรู้เกี่ยวกบั เสยี งไปใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจำวันได้ (P) 2.19 นักเรียนสามารถอภิปรายการมองเห็นสีของวัตถุและความผิดปกติในการมองเห็นสีได้อย่าง ถกู ตอ้ ง (P) 2.20 นกั เรียนสามารถอภิปรายการทำงานของแผ่นกรองแสงสีการผสมแสงสีการผสมสำรสีและการ นำไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ิตประจำวันไดอ้ ย่างถูกต้อง (P) 2.21 นักเรียนสามารถอภิปรายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่วนประกอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและหลักการ ทำงานของอปุ กรณ์บางชนิดท่ีอาศัยคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าได้อย่างถูกต้อง (P) 2.22 นักเรียนสามารถอภิปรายการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ความหมายของสัญญาณ แอนะล็อกและสัญญาณดิจิทัล และเปรียบเทียบการสื่อสารด้วยสัญญาณแอนะล็อกกับการสื่อสารด้วย สญั ญาณดิจทิ ัลได้อยา่ งถกู ต้อง (P) 3.ทศั นคติ (A) 3.1 นักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของแปลความหมายข้อมูลความเร็วกับเวลาของการเคลื่อนท่ี ของวตั ถไุ ดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง(A) 3.2 นักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของการเขียนแผนภาพการรวมแบบเวกเตอร์ได้อย่างถูกต้อง (A) 3.3 นักเรียนเล็งเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างความความเร่งของวัตถุกับแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุ และมวลของวัตถุ (A) 3.4 นกั เรยี นเลง็ เห็นถงึ ความสำคญั ของแรงกริ ยิ าและแรงปฏิกิริยาระหว่างวัตถุค่หู น่งึ ๆ(A) 3.5 นักเรียนเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ความเร่งที่เกี่ยวข้อง การ เคลื่อนทแ่ี บบวงกลมและความเรง่ ท่ีเก่ยี วข้อง และการเคลือ่ นทแี่ บบส่ันและความเรง่ ท่เี กย่ี วขอ้ ง (A) 3.6 นักเรยี นเลง็ เหน็ ถึงความสำคัญของแรงโน้มถว่ งทีเ่ ก่ียวกับการเคล่ือนท่ีของวตั ถุต่าง ๆ รอบโลก (A) 3.7 นกั เรยี นเล็งเห็นถงึ ความสำคญั ของการเกดิ สนาม แมเ่ หลก็ เนอื่ งจากกระแสไฟฟ้า (A) 3.8 นกั เรียนเล็งเหน็ ถึงความสำคญั ของแรงแม่เหล็กที่กระ- ทำต่ออนุภาคท่ีมีประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนท่ี ในสนามแม่เหลก็ รวมทงั้ หลักการทำงานของมอเตอร์ (A) 3.9 นกั เรยี นเล็งเหน็ ถงึ ความสำคญั ของการเกิดอเี อ็มเอฟ (A)
6 3.10 นกั เรยี นเลง็ เห็นถึงความสำคัญของสมบัติของแรงอ่อนและแรงเข้ม (A) 3.11 นักเรยี นสามารถตระหนักถึงความสำคญั พลงั งานนวิ เคลยี ร์ฟิชชนั และฟวิ ชันและความสัมพันธ์ ระหว่างมวลกบั พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากฟชิ ชันและฟวิ ชัน(A) 3.12 นักเรียนสามารถตระหนักถงึ ความสำคัญของการเปล่ียนงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้ารวมท้ัง สืบค้นและอภิปรายเกี่ยวกับเทคโนโลยีท่ีนำมาแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการทางด้านพลังงานโดย เน้นด้านประสิทธิภาพและ ความคมุ้ ค่าดา้ นคา่ ใชจ้ ่าย(A) 3.13 นักเรียนเลง็ เห็นถึงความสำคัญของการสะท้อน การหกั -เห การเล้ียวเบน และการรวมคลน่ื (A) 3.14 นักเรียนเล็งเห็นถึงความสำคัญความถี่ธรรมชาติการสั่นพ้องและผลที่เกิดขึ้นจากการสั่นพ้อง (A) 3.15 นักเรียนเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสะท้อนการหักเหการเลี้ยวเบนและการรวมคลื่นของ คลน่ื เสยี ง(A) 3.16 นักเรียนเล็งเห็นถึงความสำคญั ของความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มเสียงกบั ระดับเสยี งและผล ของความถี่กับระดบั เสียงทม่ี ีตอ่ การไดย้ ินเสียง(A) 3.17 นักเรียนเล็งเหน็ ถึงความสำคัญของการเกิดเสียงสะท้อนกลับบีต ดอปเพลอร์และการส่ันพ้อง ของเสียง(A) 3.18 นักเรียนเลง็ เห็นถึงความสำคญั ของความรเู้ ก่ียวกับเสียงไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจำวัน(A) 3.19 นักเรียนเล็งเห็นถึงความสำคัญของการการมองเห็นสีของวัตถุและความผิดปกติในการ มองเห็นสี(A) 3.20 นกั เรยี นเลง็ เหน็ ถึงความสำคัญของการทำงานของแผ่นกรองแสงสีการผสมแสงสีการผสมสำร สีและการนำไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวนั (A) 3.21 นักเรียนเล็งเห็นถึงความสำคัญของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่วนประกอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและ หลกั การทำงานของอปุ กรณบ์ างชนดิ ทีอ่ าศัยคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ (A) 3.22 นักเรียนเล็งเห็นถึงความสำคัญของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่วนประกอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและ หลกั การทำงานของอปุ กรณบ์ างชนดิ ท่ีอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(A) 4.สาระสำคัญ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกีย่ วกบั ธรรมชาตขิ องสาร การเปล่ียนแปลงของสารการเคลอ่ื นท่ี พลังงาน และคล่ืน
7 5.สาระการเรียนรู้ 1. การเคลื่อนที่ของวัตถุที่มีการเปลี่ยนความเร็วเป็นการเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง ความเร่งเป็น อัตราส่วนของความเร็วที่เปลี่ยนไปต่อเวลาและเป็นปริมาณเวกเตอร์ ในกรณีที่วัตถุที่อยู่นิ่งหรือเคลื่อนที่ใน แนวตรงด้วยความเรว็ คงตวั วัตถุนน้ั มีความเร่งเป็นศนู ย์ 2. วัตถุมคี วามเรว็ เพ่ิมขน้ึ ถ้าความเร็วและความเร่งมที ิศเดยี วกนั และมคี วามเร็วลดลง ถ้าความเร็ว และความเร่งมที ศิ ตรงกนั ข้าม 2.1เมื่อมีแรงหลายแรงกระทำต่อวัตถุหนึ่ง โดยแรงทุกแรงอยู่ในระนาบเดียวกันสามารถหาแรง ลัพธท์ ีก่ ระตอ่ วตั ถุนั้นได้โดยรวมแบบเวกเตอร์ 3. เมื่อแรงลัพธ์มีค่าไม่เท่ากับศูนย์กระทำต่อวัตถุจะทำให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร่งมีทิศทาง เดยี วกบั แรงลพั ธโ์ ดยขนาดของความเร่งข้ึนกบั ขนาดของแรงลัพธ์กระทำต่อวัตถแุ ละมวลของวตั ถุ 4. แรงกระทำระหว่างวัตถุคู่หนึ่ง ๆ เป็นแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา แรงทั้งสองมีขนาดเท่ากัน เกิดขนึ้ พร้อมกนั กระทำกับวตั ถุคนละก้อนแต่มีทิศทางตรงขา้ ม 5. วัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร่งคงตัวหรือความเร่งไม่คงตัว อาจเป็นการเคลื่อนที่แนวตรงการ เคลื่อนที่แนวโค้ง หรือการเคลื่อนที่แบบสั่นการเคลื่อนที่แนวตรงด้วยความเร่งคงตัว นำไปใช้อธิบายการตก แบบเสรี การเคลอื่ นทแ่ี นวโค้งด้วยความเร่งคงตัว นำไปใช้อธิบายการเคลือ่ นท่ีแบบโพรเจกไทล์ การเคลอ่ื นที่ แนวโค้งด้วยความเร่งมีทิศทางตัง้ ฉากกับความเร็วตลอดเวลา นำไปใช้อธิบายการเคลื่อนทีแ่ บบวงกลม การ เคลื่อนที่กลับไปกลับมาด้วยความเร่งมีทิศทางเข้าสู่จุดที่แรงลัพธ์เป็นศูนย์ เรียกจุดนี้ว่าตำแหน่งสมดุลซึ่ง นำไปใชอ้ ธบิ ายการเคลอื่ นทแ่ี บบสน่ั 6. ในบริเวณที่มีสนามโน้มถ่วง เมื่อมีวัตถุที่มีมวลจะมีแรงโน้มถ่วงซึ่งเป็นแรงดึงดูดของโลกกระทำ ตอ่ วัตถุ แรงนีน้ ำไปใช้อธิบายการเคลือ่ นทขี่ องวัตถตุ ่าง ๆ เช่น ดาวเทียม และดวงจนั ทร์รอบโลก 7. กระแสไฟฟ้าทำให้เกิดสนามแม่เหล็กในบริเวณรอบแนวการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้า หา ทศิ ทางของสนามแม่เหล็กเน่ืองจากกระแสไฟฟ้าไดจ้ ากกฎมือขวา 8. ในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็ก เมื่อมีอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่โดยไม่อยู่ในแนวเดียวกับ สนามแม่เหล็ก หรอื มกี ระแสไฟฟา้ ผ่านลวดตวั นำโดยกระแสไฟฟา้ ไม่อยู่ในแนวเดยี วกบั สนาม แมเ่ หล็ก จะมี แรงแม่เหล็กกระทำ ซ่ึงเป็นพ้ืนฐานในการสรา้ งมอเตอร์ 9. เมอ่ื มสี นามแมเ่ หล็กเปลย่ี นแปลงตัดขดลวดตวั นำทำให้เกิดอีเอม็ เอฟ ซง่ึ เปน็ พื้นฐานในการสร้าง เครอ่ื งกำเนดิ ไฟฟา้ 10. ภายในนิวเคลียสมีแรงเข้มที่เป็นแรงยึดเหนี่ยวของอนุภาคในนิวเคลียส และเป็นแรงหลักที่ใช้ อธิบายเสถียรภาพของนิวเคลียส นอกจากนี้ยังมีแรงอ่อน ซึ่งเป็นแรงที่ใช้อธิบายการสลายให้อนุภาคบีตา ของธาตุกมั มนั ตรังสี 11. พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากฟิชชัน หรือฟิวชันเรียกว่า พลังงานนิวเคลียร์ โดยฟิชชันเป็น ปฏกิ ริ ิยาทน่ี วิ เคลียสท่ีมีมวลมากแตกออกเปน็ นิวเคลียสที่มีมวลน้อยกว่า สว่ นฟิวชนั เป็นปฏกิ ริ ิยาที่นวิ เคลียส
8 ที่มีมวลน้อยรวมตัวกันเกิดเป็นนิวเคลียสที่มีมวลมากขึ้น พลังงานนิวเคลียร์ที่ปลดปล่อยออกมาจากฟิชชัน และฟิวชัน มีค่าเปน็ ไปตามความสมั พันธ์ระหวา่ งมวลกับพลงั งาน 12. การนำพลังงานทดแทนมาใช้เป็นการแก้ปญั หาหรือตอบสนองความต้องการด้านพลังงาน เช่น การเปลี่ยนพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานไฟฟ้าในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยเซลล์สุรยิ ะ 13. การนำพลังงานทดแทนมาใช้เป็นการแก้ปญั หาหรือตอบสนองความต้องการด้านพลังงาน เช่น การเปลี่ยนพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานไฟฟ้าในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยเซลลส์ รุ ยิ ะ 14. เม่อื คล่นื เคลื่อนทไี่ ปพบส่ิงกีดขวาง จะเกดิ การสะท้อน เม่อื คล่นื เคลอ่ื นทผี่ า่ นรอยตอ่ ระหวา่ ง ตวั กลางที่ต่างกัน จะเกดิ การหกั เห เมอ่ื คล่นื เคล่ือนที่ไปพบขอบส่ิงกีดขวางจะเกิดการเล้ียวเบนเมื่อคลื่นสอง ขบวนมาพบกันจะเกดิ การรวมคล่ืนเกดิ รูปร่างของคลื่นรวม หลังจากคลืน่ ท้ังสองเคลื่อนทีผ่ ่านพ้นกันแล้วจะ แยกกัน โดยแตล่ ะคลืน่ ยงั คงมรี ูปรา่ งและทศิ ทางเดิม 15.เมื่อกระตุ้นให้วัตถุส่ันแล้วหยุดกระตุ้น วัตถุจะสั่นด้วยความถี่ที่เรียกว่า ความถี่ธรรมชาติ ถ้ามี แรงกระตุ้นวัตถุที่กำลังสั่นด้วยความถี่ของการออกแรงตรงกับความถี่ธรรมชาติของวัตถุนั้นจะทำให้วัตถสุ ั่น ด้วยแอมพลิจูดมากขึ้น เรียกว่าการสั่นพ้อง เช่น การสั่นพ้องของอาคารสูงการสั่นพ้องของสะพาน การส่ัน พ้องของเสียงในเครอ่ื งดนตรปี ระเภทเปา่ 16. เสียงมกี ารสะทอ้ น การหกั เห การเลยี้ วเบนและการรวมคล่ืนเชน่ เดียวกับคลื่นอน่ื ๆ 17. ความถีข่ องคลน่ื เสียงเป็นปริมาณท่ีใช้บอเสียงสูงเสียงตำ่ โดยความถที่ ่ีคนได้ยินมีค่าอยู่ระหว่าง 20-20,000 เฮิรตซ์ ระดับเสียงเป็นปริมาณที่ใช้บอกความดังของเสียงซึ่งขึ้นกับความเข้มเสียงโดยความเขม้ เสียงเป็นพลังงานเสียงที่ตกตั้งฉากบนพื้นที่หนึ่งหน่วยในหนึ่งหน่วยเวลา เสียงที่มีความดังมากเกินไปเป็น อันตรายต่อหู 18. เมื่อเสียงจากแหล่งกำเนิดเดินทางไปกระทบวตั ถแุ ล้วสะทอ้ นกลับมายังผูฟ้ ัง ถ้าผู้ฟังได้ยินเสยี ง ท่อี อกจากแหล่งกำเนดิ และเสียงท่สี ะท้อนกลับมาแยกจากกนั เสียงทไี่ ด้ยนิ นเี้ ปน็ เสียงสะท้อนกลับ 19.เม่ือคล่ืนเสียงสองขบวนท่ีมคี วามถใี่ กลเ้ คยี งกันมารวมกนั จะเกิดบีต 20.เมื่อแหล่งกำเนิดเสียงเคลื่อนที่ ผู้ฟังเคลื่อนที่ หรือทั้งแหล่งกำเนิดและผู้ฟังเคลื่อนที่ ผู้ฟังจะได้ ยนิ เสียงทีม่ คี วามถ่เี ปลยี่ นไป เรียกว่า ปรากฏ- การณด์ อปเพลอร์ 21.ถ้าอากาศในท่อถูกกระตุน้ ด้วยคล่ืนเสียงที่มีความถ่ีเท่ากบั ความถ่ีธรรมชาติของอากาศในท่อน้ัน จะเกิดการสัน่ พ้องของเสยี ง 22. ความรู้เกี่ยวกับเสียงนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆเช่น คลื่นเหนือเสียงหรืออัลตราซาวนด์ใช้ ในทางการแพทย์ บีตของเสียงในการปรับเทียบเสียงของเครื่องดนตรี การสั่นพ้องของเสียงใช้ในการ ออกแบบเครือ่ งดนตรแี ละอธิบายการเปล่งเสียงของมนษุ ย์
9 23. เมื่อแสงตกกระทบวัตถุ วัตถุจะดูดกลืนแสงสีบางสีโดยขึ้นกับสารสีบนผิววัตถุ และสะท้อนแสง สีท่ีเหลือออกมา ทำใหม้ องเห็นวัตถุเปน็ สีต่าง ๆขึน้ กับแสงสที ่ีสะท้อนออกมา ความผดิ ปกติในการมองเห็นสี หรอื การบอดสีเกิดจากความบกพรอ่ งของเซลล์รูปกรวยบนจอตา 24. แผ่นกรองแสงสียอมให้แสงสีบางสผี ่านออกไปไดแ้ ละกน้ั บางแสงสี 25. การผสมแสงสีทำใหไ้ ดแ้ สงสที ห่ี ลากหลายเปล่ยี นไปจากเดมิ ถา้ นำแสงสีปฐมภมู ใิ นสดั สว่ น ทเี่ หมาะสมมาผสมกันจะไดแ้ สงขาว 26. การผสมสารสที ำให้ไดส้ ารสที ีห่ ลากหลายเปลีย่ นไปจากเดิม ถ้านำสารสปี ฐมภมู ิในปริมาณ ท่ีเท่ากนั มาผสมกนั จะไดส้ ารสีผสมเปน็ สีดำ 27. การผสมแสงสีและการผสมสารสีสามารถนำไปใช้ประโยชนใ์ นด้านต่าง ๆ เช่น ด้านศิลปะด้าน การแสดง 28. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าประกอบด้วยสนามแม่ เหล็กและสนามไฟฟ้าทีเ่ ปลี่ยนแปลงตลอดเวลาโดย สนามท้ังสองมที ศิ ทางตงั้ ฉากกนั และตั้งฉากกบั ทศิ ทางการเคล่อื นทข่ี องคลน่ื 29. อุปกรณ์บางชนิดทำงานโดยอาศัยคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า เช่น เครื่องควบคุมระยะไกล เครื่อง ถา่ ยภาพเอกซเรย์คอมพวิ เตอร์ และเครอื่ งถ่ายภาพ การสน่ั พอ้ งแม่เหลก็ 30. ในการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อส่งผ่านสารสนเทศจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง สารสนเทศจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปสัญญาณสำหรับส่งไปยังปลายทางซึ่งจะมีการแปลงสัญญาณกลับมาเป็น สารสนเทศทเี่ หมอื นเดมิ 6.คำอธิบายรายวิชา ศึกษาหลักการพื้นฐานของแรงและการเคลื่อนที่ในเรื่องระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว ความเร่ง การเคลื่อนที่แนวตรง การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ การเคลื่อนที่แบบวงกลมและการเคลื่อนที่ แบบสั่น แรงที่กระทำต่อวัตถุในสนามโน้มถ่วง และการเคลื่อนที่ของวัตถุในสนามโน้มถ่วง แรงที่กระทำต่อ อนุภาค ที่มีประจุไฟฟ้าในสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก รวมทั้งแรงนิวเคลียร์ในนิวเคลียส และการใช้ ประโยชนจ์ ากแรงและการเคลื่อนทแ่ี บบต่าง ๆ ศึกษาหลักการพ้ืนฐานของพลังงานในเร่ืององค์ประกอบของ คลืน่ สมบัติของคลืน่ เสยี งและการไดย้ นิ ความเข้มเสียง การเกิดเสยี งสะท้อนกลบั บีต ดอปเพลอร์ และการ สั่นพ้องของเสียง มลพิษทางเสียง การมองเห็นสีของวัตถุ การผสมสารสีและการนำไปใช้ประโยชน์ ใน ชีวิตประจำวัน สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หลักการทำงานของ อุปกรณ์บางชนิด ที่อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า กัมมันตภาพรังสี รังสีในชีวิตประจำวัน ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ และการใช้ประโยชนใ์ นทางสรา้ งสรรค์ ผลกระทบตอ่ สงิ่ มีชวี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกตวิเคราะห์ เปรียบเทียบ อธิบาย อภิปราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ มีทักษะ ปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
10 ด้านการคิดและการแก้ปัญหา ด้านการสื่อสาร สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ ไปใช้ในชีวิต ของตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนตระหนักในการใช้ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ กายภาพได้อย่างถูกต้อง เห็นคุณค่าและตระหนักถึงความสำคัญของการนำความรู้ไปประยุกต์ใช่ในชีวิต ประจำวันในการแก้ไขปัญหาและสร้างประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง มจี ิตวิทยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คุณธรรม และคา่ นยิ มที่เหมาะสมตามมาตรฐานการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์พนื้ ฐาน วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 7.รหสั ตัวชวี้ ดั มาตรฐาน ว 2.2 ม.5/1 ม.5/2 ม.5/3 ม.5/4 ม.5/5 ม.5/6 ม.5/7 ม.5/8 ม.5/9 ม.5/10 มาตรฐาน ว 2.3 ม.5/1 ม.5/2 ม.5/3 ม.5/4 ม.5/5 ม.5/6 ม.5/7 ม.5/8 ม.5/9 ม.5/10 ม.5/11 ม.5/12 รวม 22 ตวั ชวี้ ัด
11 ตารางโครงสร้างรายวชิ า รายวิชาพนื้ ฐาน รหัสวิชา ว 32101 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 60 ช่วั โมง หนว่ ยท่ี ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ เวลา (ชั่วโมง) 1 การเคลอื่ นทแ่ี ละแรง 15 1.1 การเคลือ่ นที่แนวตรง 5 1.2 แรงและการเคลือ่ นที่ 5 1.3 การเคล่อื นท่ีแบบตา่ งๆ 5 2 แรงในธรรมชาติ 15 2.1 แรงโนม้ ถว่ งกบั การเคลอ่ื นที่ของวตั ถุตา่ งๆรอบโลก 3 2.2 สนามแม่เหลก็ จากเสน้ ลวดทีม่ ีกระแสไฟฟ้าผ่าน 3 2.3 แรงแม่เหลก็ ท่ีกระทำกับอนภุ าคทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ 3 2.4 การเหนีย่ วนำแมเ่ หล็กไฟฟ้า 3 2.5 แรงออ่ นและแรงเข้ม 3 สอบปลายภาคเรียนที่ 1 3 พลงั งาน 10 3.1 เซลล์สุรยิ ะ 3 3.2 พลังงานนวิ เคลียร์ 4 3.3 เทคโนโลยีด้านพลงั งาน 3 4 ปรากฎการณ์ของคลืน่ กล 5 4.1 คล่นื กล 1 4.2 พฤตกิ รรมของคลน่ื 3 4.3 ความถธ่ี รรมชาติ และการสั่นพอ้ ง 1 5 เสียง 5 5.1 พฤตกิ รรมของเสยี ง 2 5.2 การไดย้ นิ เสยี ง 1 5.3 ปรากฏการณ์อ่ืนๆของเสียง 1 5.4 ประโยชน์ของเสยี งในด้านตา่ งๆ 1 6 แสงสี 5 6.1 การมองเหน็ สีของวตั ถุ 1 6.2 ตากับการเห็นสี
หนว่ ยที่ ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรู้ 12 6.3 การบอดสี 6.4 แผ่นกรองแสงสี เวลา (ช่ัวโมง) 6.5 การผสมแสงสี 6.6 การผสมสารสี 1 6.7 การมองเห็นสีของวตั ถุภายใต้แสงสีตา่ งๆ 1 6.8 การนำไปใชป้ ระโยชนข์ องสารสแี ละแสงสี 7 คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ 1 7.1 ส่วนประกอบของคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ 1 7.2 หลกั การทำงานของอปุ กรณท์ ีใ่ ช้คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า 5 7.3 การสือ่ สารโดยอาศัยคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ 2 สอบปลายภาคเรียนท่ี 2 2 รวม 1 60
13
14 แผนการจัดการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ วทิ ยศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชา พ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ (ฟิสิกส)์ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 เร่ือง การเคลื่อนท่ีและแรง เวลา 15 ชัว่ โมง 1.มาตรฐานการเรียนร้/ู ตวั ช้ีวัด มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุลักษณะการ เคล่อื นท่ีแบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมท้งั นำความร้ไู ปใช้ประโยชน์ 2.ตวั ช้วี ัด ตัวชี้วัด ม. 5/1 วิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูลความเร็วกับเวลาของการเคลื่อนที่ของวัตถุ เพ่ืออธบิ ายความเรง่ ของวัตถุ ตวั ชี้วัด ม. 5/2 สงั เกตและอธบิ ายการหาแรงลัพธท์ ่ีเกิดจากแรงหลายแรงที่อย่ใู นระนาบเดียวกันที่ กระทำตอ่ วัตถุโดยการเขียนแผนภาพการรวมแบบเวกเตอร์ ตัวช้ีวัด ม. 5/3 สงั เกต วิเคราะห์ และอธิบายความสัมพันธร์ ะหวา่ งความเรง่ ของวัตถุกับแรงลัพธ์ ท่ีกระทำต่อวตั ถแุ ละมวลของวัตถุ ตวั ชี้วดั ม. 5/4 สังเกตและอธบิ ายแรงกริ ิยาและแรงปฏกิ ริ ิยาระหวา่ งวัตถุคูห่ นง่ึ ๆ ตัวชี้วัด ม. 5/5 สังเกตและอธิบายผลของความเร่งที่มีต่อการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ ได้แก่ การเคลื่อนทีแ่ นวตรง การเคล่ือนท่แี บบโพรเจกไทลก์ ารเคลอ่ื นท่ีแบบวงกลม และการเคลอ่ื นท่แี บบส่ัน 3.จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 3.1 ด้านพทุ ธพิ ิสยั (K) 1. นักเรยี นสามารถอธบิ ายความเรง่ ของวตั ถุได้อยา่ งถูกต้อง (K) 2. นักเรียนสามารถอธิบายแลแสดงการหาแรงลัพธ์จากแรงหลายแรงที่กระทำกับวัตถุในระนาบ เดียวกนั ได้อยา่ งถกู ต้อง (K) 3. นักเรียนสามารถอธิบายและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวล และความเร่งได้อย่าง ถกู ตอ้ ง (K) 4. นักเรยี นอธบิ ายแรงกริ ยิ าและแรงปฏกิ ริ ิยาระหว่างวัตถคุ ู่หนึ่ง ๆ ได้อย่างถูกตอ้ ง (K) 5. นักเรียนสามารถอธิบายการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ความเร่งที่เกี่ยวข้อง การเคลื่อนที่แบบ วงกลมและความเร่งทเ่ี กี่ยวข้อง และการเคลอื่ นทแ่ี บบสั่นและความเร่งทเี่ กี่ยวข้องไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง (K)
15 3.2 ดา้ นทักษะพสิ ัย (P) 1. นักเรียนสามารถอภิปรายความหมายข้อมูลความเร็วกับเวลาของการเคลื่อนที่ของวัตถุได้อย่าง ถูกตอ้ ง (P) 2. นกั เรยี นสามารถแสดงการเขยี นแผนภาพการรวมเวกเตอรไ์ ด้อยา่ งถูกต้อง (P) 3. นักเรียนสามารถอภิปรายความสัมพันธ์ระหว่างความเร่งของวัตถุกับแรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุ และมวลของวัตถไุ ด้อยา่ งถูกต้อง (P) 4.นักเรียนอภปิ รายแรงกิริยาและแรงปฏกิ ิรยิ าระหว่างวัตถุค่หู นึ่ง ๆ ได้อย่างถกู ตอ้ ง (P) 5.นักเรียนสามารถอภิปรายการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ความเร่งที่เกี่ยวข้อง การเคลื่อนที่แบบ วงกลมและความเร่งทีเ่ ก่ียวขอ้ ง และการเคลอ่ื นท่ีแบบสน่ั และความเรง่ ที่เกยี่ วข้องได้อย่างถูกต้อง (P) 3.3 ดา้ นเจตพิสัย (A) 1.นกั เรยี นสามารถตระหนักถึงความสำคญั ของแปลความหมายข้อมูลความเร็วกับเวลาของการ เคลอื่ นท่ีของวัตถไุ ด้อยา่ งถูกต้อง (A) 2.นักเรยี นสามารถตระหนักถึงความสำคัญของการเขียนแผนภาพการรวมแบบเวกเตอร์ได้อย่าง ถกู ต้อง (A) 3.นกั เรยี นเลง็ เห็นถึงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งความความเร่งของวัตถุกับแรงลัพธ์ท่ีกระทำต่อวตั ถุและ มวลของวตั ถุ (A) 4.นักเรียนเล็งเห็นถึงความสำคญั ของแรงกิริยาและแรงปฏิกิรยิ าระหวา่ งวตั ถุคหู่ นึ่ง ๆ (A) 5.นกั เรยี นเลง็ เหน็ ถึงความสำคญั ของการเคลือ่ นที่แบบโพรเจกไทลค์ วามเรง่ ท่เี กี่ยวข้องการเคล่ือนท่ี แบบวงกลมและความเร่งท่ีเก่ยี วข้อง และการเคล่อื นท่ีแบบส่นั และความเร่งทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง (A) 4.สาระสำคัญ การเคลื่อนทข่ี องวตั ถุเป็นการเปลยี่ นตำแหน่งของวัตถเุ ม่ือเวลาเปล่ียนแปลงไป โดยมีปรมิ าณที่ เกี่ยวขอ้ ง ไดแ้ ก่ ระยะทาง การกระจดั อตั ราเรว็ ความเร็ว และความเรง่ เมอ่ื มีแรงภายนอกมากระทำต่อวตั ถโุ ดยผลรวมของแรงลพั ธไ์ ม่เท่ากบั ศนู ย์จะทำใหว้ ัตถุเคล่ือนที่โดย มคี วามเร่ง ขนาดและทิศทางของความเร่งข้ึนอยู่กับขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์และมวลของวัตถุ การหา แรงลัพธ์ทีก่ ระทำต่อวัตถุสามารถทำได้โดยการรวมแบบเวกเตอร์ สำหรับวตั ถุใด ๆ เมื่อมีแรงกระทำต่อวตั ถุ วัตถนุ ัน้ จะออกแรงตอบโตก้ ลับ เรยี กแรงทีก่ ระทำระหว่างวัตถวุ า่ แรงกิริยาและแรงปฏิกิรยิ า ซึ่งแรงท้ังสองนี้ มีขนาดเท่ากนั แตม่ ีทิศทางตรงขา้ มกัน ความรู้เรอื่ งแรงและความเร่งสามารถนำมาใช้อธิบายการเคลื่อนท่ีแบบต่าง ๆ ได้ เชน่ การเคลื่อนท่ี แนวตรงซ่ึงเป็นการเคลื่อนที่ที่ความเร็วและความเร่งอยูใ่ นแนวเดียวกัน การตกแบบเสรีซ่ึงเป็นการเคลือ่ นที่ แนวตรงดว้ ยความเร่งโนม้ ถ่วงของโลก การเคลอ่ื นทแ่ี บบโพรเจกไทล์ซ่ึงเปน็ การ
16 เคลอื่ นทแี่ นวโคง้ ด้วยความเรง่ คงตัว การเคล่อื นทแ่ี บบวงกลมซ่งึ เป็นการเคล่อื นท่ีแนวโค้งดว้ ยความเร่ง ที่มที ศิ ทางตงั้ ฉากกับความเรว็ ตลอดเวลา และการเคล่อื นท่ีแบบสน่ั ซง่ึ เป็นการเคลื่อนที่กลับไปกลบั มา ดว้ ยความเร่งทมี่ ีทศิ ทางเขา้ สจู่ ุดท่ีแรงลัพธ์เปน็ ศนู ย์ซง่ึ เรยี กวา่ ตำแหน่งสมดุล 5.สาระการเรียนรู้ การเคลือ่ นท่ีของวัตถทุ ่ีมกี ารเปลย่ี นความเรว็ เป็นการเคลื่อนท่ีด้วยความเร่ง ความเร่งเป็นอัตราส่วน ของความเร็วที่เปลี่ยนไปต่อเวลาและเป็นปริมาณเวกเตอร์ ในกรณีที่วัตถุที่อยู่นิ่งหรือเคลื่อนที่ในแนวตรง ดว้ ยความเรว็ คงตัววัตถุนัน้ มีความเร่งเปน็ ศูนย์ วัตถุมีความเร็วเพิ่มขึ้น ถ้าความเร็วและความเร่งมีทิศเดียวกัน และมีความเร็วลดลง ถ้าความเร็ว และความเรง่ มที ศิ ตรงกันขา้ ม เมื่อมีแรงหลายแรงกระทำต่อวัตถุหนึ่ง โดยแรงทุกแรงอยู่ในระนาบเดียวกันสามารถหาแรงลัพธ์ที่ กระต่อวตั ถุน้นั ไดโ้ ดยรวมแบบเวกเตอร์ เมื่อแรงลัพธ์มีค่าไม่เท่ากับศูนย์กระทำต่อวัตถุจะทำให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร่งมีทิศทางเดียวกับแรงลพั ธ์ โดยขนาดของความเรง่ ข้นึ กบั ขนาดของแรงลพั ธ์กระทำต่อวตั ถแุ ละมวลของวัตถุ แรงกระทำระหว่างวัตถุคู่หนึ่ง ๆ เป็นแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา แรงทั้งสองมีขนาดเท่ากันเกิดข้ึน พรอ้ มกนั กระทำกับวัตถุคนละกอ้ นแต่มที ิศทางตรงข้าม วัตถทุ เ่ี คลือ่ นทดี่ ้วยความเร่งคงตวั หรือความเร่งไม่คงตัว อาจเป็นการเคลื่อนท่ีแนวตรงการเคล่ือนที่ แนวโค้ง หรือการเคลื่อนที่แบบสั่นการเคลื่อนที่แนวตรงด้วยความเร่งคงตัว นำไปใช้อธิบายการตกแบบเสรี การเคลือ่ นท่แี นวโคง้ ดว้ ยความเรง่ คงตัว นำไปใชอ้ ธบิ ายการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ การเคล่ือนที่แนวโค้ง ด้วยความเร่งมที ิศทางตัง้ ฉากกับความเร็วตลอดเวลา นำไปใช้อธิบายการเคลื่อนที่แบบวงกลม การเคลื่อนที่ กลับไปกลับมาด้วยความเร่งมีทิศทางเข้าสู่จุดที่แรงลัพธ์เป็นศูนย์ เรียกจุดนี้ว่าตำแหน่งสมดุลซึ่งนำไปใช้ อธิบายการเคลือ่ นทีแ่ บบสน่ั 6.สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน ความสามารถในการส่อื สาร ความสามารถในการคดิ ความสามารถในการแกป้ ัญหา ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ทักษะของผู้เรยี นในศตวรรษที่ 21 (3R 8C + 2L) (จดุ เน้นสกู่ ารพฒั นาคุณภาพผู้เรยี น) ทกั ษะการอ่าน (Reading)
17 ทกั ษะการ เขยี น (Writing) ทกั ษะการ คดิ คำนวณ (Arithmetic) ทักษะด้านการคิดอย่างมวี ิจารณญาณและทักษะในการแกป้ ญั หา (Critical thinking and problem solving) ทักษะดา้ นการสรา้ งสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and innovation) ทักษะดา้ นความรว่ มมอื การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ (Collaboration , teamwork and leadership) ทกั ษะดา้ นความเข้าใจต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding) ทักษะด้าน การส่ือสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันส่อื (Communication information and media literacy) ทกั ษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร (Computing) ทกั ษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career and learning self-reliance, change) ทกั ษะการเปล่ยี นแปลง (Change) ทกั ษะการเรียนรู้ (Learning Skills) ภาวะผู้นำ (Leadership) 7. ชิ้นงานหรอื ภาระงาน ( หลักฐาน / รอ่ งรอยแสดงความรู้ ) 7.1 แบบฝึกหัดท่ี 1.1 เร่อื ง การเคล่อื นท่ีของวัตถใุ นแนวดง่ิ ภายใตแ้ รงโน้มถว่ งของโลก 7.2 แบบฝึกหัดท่ี 1.2 เรอ่ื ง การเคล่ือนที่แนวตรง 7.3 แบบฝึกหดั ที่ 1.3 เรอื่ ง การเคล่อื นที่แบบตา่ งๆ 7.4 แบบฝึกหัดท้ายบทท่ี 1 เร่ือง การเคลอ่ื นที่และแรง 8. การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ หนว่ ยยอ่ ยท่ี 1 เรอื่ ง การเคลือ่ นที่แนวตรง ช่ัวโมงท่ี 1-2 (ใช้รูปแบบการเรยี นรู้ 5E ) ขั้นตอนท่ี 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement) ครูนำเข้าสู่บทที่ 1 เรื่อง การเคลื่อนที่และแรง โดยอาจให้นักเรียนสังเกตภาพการเคลื่อนที่ของ รถไฟฟฟ้าบีทีเอสจากรูปนำบทที่ 1 ในหนังสือเรียน และให้นักเรียนสังเกตภาพหรือวีดิทัศน์แสดงการ เคลื่อนที่ของวัตถุแบบต่าง ๆ ที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เช่น การขับรถหรือการเดินเป็นเส้นตรง การตก ของผลไม้ที่หล่นจากตน้ การโยนลูกบาสให้เข้าห่วง การเหวี่ยงวัตถุที่ผูกติดกับเชือกให้เปน็ วงกลม การแกวง่ ของชงิ ช้า การแกว่งของลกู ตมุ้ นาฬิกา เปน็ ต้น
18 ขั้นตอนที่ 2 ขั้นสํารวจและค้นหา (Exploration) 2.1 นกั เรียนศกึ ษา เรื่อง การเคลือ่ นท่ีและแรง จากหนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ (ฉบับ ปรับปรงุ พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 เลม่ ที่ 2 2.2 นกั เรียนศกึ ษา เร่ือง การเคล่อื นท่แี ละแรง จากส่ือการสอน PowerPoint ขั้นตอนที่ 3 ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) ครูให้นักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ ความเหมือน และความแตกตา่ งของการเคล่ือนท่ีแบบตา่ ง ๆ รวมทัง้ ปจั จยั ทีส่ ง่ ผลตอ่ การเคล่อื นที่แบบตา่ ง ๆ ทัง้ น้ี ครคู วร เปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนตอบคำถามอยา่ งอิสระและไมค่ าดหวังคำตอบที่ถูกต้อง ขั้นตอนท่ี 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) ครูชี้แจงนักเรียนว่า ในหน่วยที่ 1 เรื่องการเคลื่อนที่และแรง นักเรียนจะได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับ ปริมาณตา่ งๆ ทีเ่ ก่ยี วข้องกับการเคล่ือนที่และผลของแรงที่มีต่อการเคล่ือนทแี่ บบต่างๆ รวมทง้ั ประโยชนจ์ าก การประยกุ ต์ใช้ความรูเ้ หล่านี้ ขนั้ ตอนที่ 5 ขัน้ ประเมิน (Evaluation) ครตู ง้ั คำถามสำคัญทน่ี กั เรยี นจะตอ้ งตอบได้หลงั จากการเรียนร้บู ทท่ี 1 และหวั ขอ้ ทนี่ ักเรียน จะไดเ้ รยี นรู้ในบทเรียนนี้ เชน่ 1. จุดอ้างอิงมคี วามสำคญั ต่อการเคลื่อนที่หรือไม่ อย่างไร แนวคำตอบ มคี วามสำคัญเพราะจดุ อ้างอิงเป็นจุด ทีใ่ ชเ้ ปรยี บเทยี บในการบอกตำแหนง่ ของวัตถุ ณ เวลาใด ๆ 2. การเคลื่อนท่ีแนวตรง มีลักษณะอย่างไร แนวคำตอบ การเคลื่อนทีแ่ นวตรงเปน็ การเคล่ือนที่ของวตั ถโุ ดย ที่วตั ถุเปล่ยี นตำแหนง่ ในการเคลือ่ นท่เี ป็นเส้นตรง 3. อธิบายความแตกต่างระหว่างอัตราเร็วเฉลี่ยและอัตราเร็วขณะหนึ่ง แนวคำตอบ อัตราเร็วเฉลี่ย คือ อัตราส่วนระหว่างระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ได้กับช่วงเวลาที่ใช้ในการเคลื่อนที่ ซึ่งช่วงเวลาที่ใช้ในการ เคลื่อนที่ดังกล่าวอาจมีค่ามากหรือน้อยก็ได้ ในขณะที่อัตราเร็วขณะหนึ่ง คือ อัตราเร็วของวัตถุ ณ เวลาใด เวลาหน่ึง ชั่วโมงท่ี 3-4 (ใช้รปู แบบการเรยี นรู้ 5E ) ขั้นตอนที่ 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement) ครูนำเข้าส่หู ัวขอ้ ที่ 1.1 การเคล่อื นที่แนวตรง โดยใหน้ กั เรยี นสังเกตรปู ภาพหรอื วดี ิทศั น์ตัวอย่างการ เคลื่อนที่ของวัตถุในแนวตรง เช่น การเคลื่อนที่ของเรือ รถยนต์ การเดินในแนวเส้นตรง และการเคลื่อนท่ี ของวตั ถุท่ีถกู ปล่อยให้ตกลงจากทีส่ งู โดยอาจให้นักเรยี นสังเกตการณ์เคลื่อนท่ีดงั กล่าวในหลาย ๆ กรณี เช่น เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วคงตัว เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วท่ี ลดลงอย่างสมำ่ เสมอ
19 ข้นั ตอนที่ 2 ข้นั สํารวจและค้นหา (Exploration) 2.1 นักเรียนศกึ ษา เรื่อง การเคลือ่ นที่แนวตรง จากหนังสือเรยี นรายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ (ฉบับ ปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 เลม่ ท่ี 2 2.2 นกั เรียนศกึ ษา เรื่อง การเคลือ่ นท่แี นวตรง จากส่อื การสอน PowerPoint ขั้นตอนที่ 3 ขัน้ อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) ครูให้นักเรียนอภิปรายเพื่อตอบคำถามว่ารถคันใดมีการเคลื่อนที่ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เม่ือ นักเรียนสามารถสรุปได้ว่า รถ B มีการเคลื่อนที่เพราะเมื่อเวลาผ่านไป รถ B มีการเปลี่ยนตำแหน่ง ครูให้ ความรู้นักเรียนเกี่ยวกับการบอกตำแหน่งของวัตถุและจุดที่ใช้เปรียบเทียบในการ บอกตำแหน่งซึ่งคือ จุดอ้างอิง ครูทดสอบความเข้าใจเกี่ยวกับการบอกตำแหน่งของวัตถุ โดยกำหนดสถานการณ์ขึ้นใหม่ เช่น การบอกตำแหน่งของห้องใดห้องหนึ่งในอาคารเรียนโดยให้ห้องเรียนเป็นจุดอ้างอิง การบอกตำแหน่งของ นักเรียนที่อยู่ในแถวเดียวกันโดยให้นักเรียนที่อยู่ตรงกลางเป็นจุดอ้างอิง การบอกตำแหน่งของนักเรียนคน หนง่ึ ในห้องเรียนเม่ือให้โต๊ะใดโตะ๊ หนง่ึ ท่ีอยู่ก่ึงกลางห้องเปน็ จดุ อา้ งอิงการบอกตำแหน่งของนักเรียนคนใดคน หน่ึงในห้องเรยี นเม่ือให้โต๊ะใดโต๊ะหน่ึงที่อยู่กึง่ กลางห้องเป็นจุดอา้ งอิง หากนกั เรยี นยังบอกตำแหน่งของวัตถุ ตามสถานการณด์ ังกลา่ วไม่ถกู ตอ้ ง ให้ครทู บทวนเกี่ยวกบั การบอกตำแหน่งของวตั ถุอีกครัง้ ขน้ั ตอนท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) ครชู ีแ้ จงนกั เรียนว่า การเคลือ่ นทแ่ี นวตรงที่นักเรียนได้ศึกษามานัน้ เป็นการเคลื่อนท่ีแนวตรงในแนว ระดับ ซึ่งในชีวิตประจำวันยังมีการเคลือ่ นทีแ่ นวตรงในแนวดิง่ ด้วย เช่น การตกของผลไม้ในแนวด่ิง จากนั้น ครูให้นักเรียนอภิปรายร่วมกันว่า การเคลื่อนที่แนวตรงในแนวดิ่งเหมือนหรือแตกต่างจากการเคลื่อนที่แนว ตรงในแนวระดับอย่างไร โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระแล้วให้นักเรียนทำ กิจกรรม 1.1 การเคลื่อนที่ของวตั ถุในแนวดง่ิ ภายใตแ้ รงโนม้ ถว่ งของโลก เพื่อขยายความรู้ ข้นั ตอนท่ี 5 ขั้นประเมนิ (Evaluation) ครตู ง้ั คำถามท้ายกิจกรรม 1.1 การเคล่อื นที่ของวัตถุในแนวด่งิ ภายใต้แรงโน้มถว่ งของโลก 1.ขณะที่ถุงทรายเคลื่อนที่ ความเร็วของถุงทรายมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร แนวคำตอบ ความเร็ว ของถุงทรายมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากระยะทางในแต่ละช่วงจุดมีขนาดเพิ่มขึ้น แสดงว่า ถุงทรายมี ความเรว็ เพมิ่ ข้ึน 2.ถุงทรายจำนวน 1 ถงุ 2 ถุง และ 3 ถุง เคล่อื นทด่ี ว้ ยความเร่งเท่ากันหรือไม่ อยา่ งไร แนวคำตอบ ถุงทราย จำนวน 1 ถงุ 2 ถุง และ 3 ถุง เคล่อื นท่ีดว้ ยความเร่งเทา่ กันเพราะระยะทางในแตล่ ะชว่ งจุดในระดับเดียวกัน มีคา่ ประมาณเทา่ กนั ทกุ ชว่ งจดุ จากนั้นครูอภิปรายท้ายกิจกรรม สรุปได้ว่า วัตถุใด ๆ ที่ตกสู่พื้น หรือเคลื่อนที่ตกลงมาในแนวดิ่ง ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลกโดยไม่คิดแรงต้านของอากาศ ที่เรียกว่า การตกแบบเสรี วัตถุจะเคลื่อนที่ด้วย ความเร่งคงตัวที่เรียกว่า ความเร่งโน้มถ่วง สำหรับวัตถุที่อยู่สูงจากพื้นโลกไม่มากนัก ความเร่งโน้มถ่วงมี
20 ค่าประมาณ 9.8 เมตรต่อวินาที2 และมีทิศทางสู่พื้นโลกเสมอ แสดงว่า ในทุก ๆ 1 วินาที วัตถุมีความเร็ว เพมิ่ ขน้ึ ประมาณ 9.8 เมตรตอ่ วนิ าที ซึ่งถอื วา่ เปน็ การเคล่ือนที่ท่ีมีความเรว็ เพ่ิมข้นึ อย่างสม่ำเสมอ โดยขนาด ของความเรง่ นจี้ ะไมข่ ้นึ กับมวลของวตั ถุ ชว่ั โมงท่ี 5 (ใชร้ ปู แบบการเรียนรู้ 5E ) ขั้นตอนท่ี 1 ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement) ครูนำเข้าสบู่ ทเรยี นโดยการทบทวนเนือ้ หาเร่ือง การเคลื่อนท่ีแนวตรง โดยใหผ้ ู้เรียนรว่ มกันตอบ คำถามเพื่อใหค้ ะแนน ข้ันตอนที่ 2 ข้ันสํารวจและค้นหา (Exploration) 2.1 นักเรียนศึกษาทบทวน เรื่อง การเคลื่อนที่แนวตรง จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 เลม่ ท่ี 2 2.2 นักเรียนศกึ ษาทบทวน เรอ่ื ง การเคลอ่ื นทแ่ี นวตรง จากสื่อการสอน PowerPoint ขั้นตอนที่ 3 ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) ครูให้นักเรียนอภิปรายเนื้อหาการเคลื่อนที่แนวตรงจากความเข้าใจของนักเรียน และแลกเปลี่ยน ความรูภ้ ายในชั้นเรียน และครูอธิบายและลงข้อสรุปเกย่ี วกับการเคล่ือนท่ีแนวตรงใหน้ กั เรยี น ขน้ั ตอนท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) ครูให้นักเรยี นทำแบบฝึกหดั ตรวจสอบความเข้าใจ 1.1 เรอ่ื งการเคล่อื นทแี่ นวตรง ขน้ั ตอนท่ี 5 ขนั้ ประเมนิ (Evaluation) ครูตรวจสอบแบบฝึกหัดตรวจสอบความเข้าใจ 1.1 เรื่องการเคลื่อนที่แนวตรงของนักเรียนเพื่อ ประเมินความเขา้ ใจของนกั เรยี น หนว่ ยย่อนท่ี 2 เรอื่ ง แรงและการเคล่ือนที่ ชั่วโมงท่ี 6-7 (ใชร้ ูปแบบการเรยี นรู้ 5E ) ขน้ั ตอนท่ี 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ (Engagement) ครูนำเข้าสู่หัวข้อที่ 1.2 โดยให้นักเรยี นสังเกตรูปภาพหรอื วีดิทัศน์ตัวอย่างการเคลือ่ นท่ีของวตั ถทุ ี่มี การเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่เนื่องจากถูกแรงภายนอกที่ไม่เป็นศูนย์มากระทำ เช่น การเคลื่อนที่ของ รถยนต์ การเคลื่อนที่ของเรือ โดยอาจให้นักเรียนสังเกตการณ์เคลื่อนที่ดังกล่าวในหลาย ๆ กรณี เช่นทำให้ วัตถุที่หยุดนิ่งเปลี่ยนเป็นเคลื่อนที่ ทำให้วัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วค่าหนึ่งเพิ่มความเร็ว หรือทำให้วัตถุที่ เคลื่อนที่เปลี่ยนเป็นหยุดนิ่งจากนั้น ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายโดยตอบคำถามว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำ ใหว้ ัตถุเปล่ียนสภาพการเคลือ่ นท่ี โดยครูเปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นแสดงความคดิ เห็นอยา่ งอสิ ระ
21 ขั้นตอนที่ 2 ขั้นสาํ รวจและค้นหา (Exploration) 2.1 นักเรยี นศึกษา เรอื่ ง แรงและการเคลื่อนท่ี จากหนงั สอื เรยี นรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ (ฉบับ ปรบั ปรุงพ.ศ.2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 เล่มท่ี 2 2.2 นกั เรียนศกึ ษา เรอ่ื ง แรงและการเคลือ่ นท่ี จากสือ่ การสอน PowerPoint ขัน้ ตอนท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) ครูให้ตัวแทนนักเรียนสาธิตการผลักรถของเล่นจำลองให้เคลื่อนที่ เพื่อให้นักเรียนร่วมกันอภิปราย และตอบคำถามว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้รถของเล่นจำลองเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่ เช่น ทำให้รถที่หยุด นิ่งเปลี่ยนแปลงเป็นเคลื่อนที่ ทำให้รถที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วค่าหนึ่งเพิ่มความเร็ว และทำให้รถจำลองที่ เคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงเป็นหยุดนิ่ง จากนั้นอธิบายและสรุปได้ว่า การทำให้รถเปลี่ยนสภาพการเคลื่อนที่ จะต้องทำการออกแรงกระทำต่อรถครูนำนักเรียนอภิปรายตามรายละเอียดในหนังสือเรียนจนสรุปได้ว่า ปรมิ าณทที่ ำใหว้ ัตถมุ กี ารเปลี่ยนสภาพการเคล่ือนที่ คอื แรง ซึ่งเปน็ ปริมาณเวกเตอร์ท่ีมีท้งั ขนาดและทิศทาง หน่วยของแรง คือนิวตัน ข้ันตอนท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) ครูให้นักเรียนทำกิจกรรม 1.2 ความสัมพันธ์ระหว่างแรง มวล และความเร่งและตอบคำถามท้าย กิจกรรม เช่น 1.มวลของรถทดลองในแตล่ ะกรณี มีค่าคงตัวหรือไม่ แนวคำตอบ มีค่าคงตวั 2.จากจุดบนแถบกระดาษที่ถ่วงด้วยนอต 1 ตัว สามารถอธิบายความเร็วและความเร่งของรถ ทดลองได้อย่างไร แนวคำตอบ จุดบนแถบกระดาษที่ถ่วงด้วยนอต 1 ตัว มีระยะห่างเพิ่มขึ้น แสดงว่ารถ ทดลองมีความเรว็ เพมิ่ ขึ้น นน่ั คือ รถทดลองเคลื่อนท่ดี ้วยความเร่ง 3.เมื่อเปรียบเทียบความเร่งของรถทดลองจากแถบกระดาษที่ถ่วงด้วยนอต 1 ตัว 2 ตัว 3 ตัว และ 4 ตัว รถทดลองในแต่ละกรณีมีความเร่งเท่ากันหรอื ไม่ อย่างไร แนวคำตอบ รถทดลองมีความเร่งไม่เท่ากัน ขึ้นกับจำนวนนอตที่ถ่วง โดยรถทดลองที่ถ่วงด้วยนอต 4 ตัว มีความเร่งมากที่สุด และรถทดลองที่ถ่วงด้วย นอต 1 ตัว มคี วามเร่งนอ้ ยทส่ี ุด ขั้นตอนท่ี 5 ขนั้ ประเมิน (Evaluation) ครูตรวจสอบแบบฝึกหัดตรวจสอบความเข้าใจ 1.1 เรื่องการเคลื่อนที่แนวตรงของนักเรียนเพ่ือ ประเมินความเขา้ ใจของนักเรยี นและอภปิ รายทา้ ยกจิ กรรมสรุปไดว้ ่า ถา้ ก้อนหินมีขนาดเท่ากัน การโยนกอ้ น หินด้วยแรงมากจะทำให้ก้อนหินเคลื่อนที่ก่อนหลุดออกจากมือด้วยความเร่งมากกว่าการโยนก้อนหินด้วย แรงน้อย ซึ่งสอดคล้องกับผลการทดลองตอนที่ 1 และถ้าออกแรงโยนก้อนหินด้วยแรงที่มีขนาดเท่า ๆ กัน ก้อนหินที่มีมวลน้อยจะเคลื่อนที่ก่อนหลุดออกจากมือด้วยความเร่งมากกว่าก้อนหินที่มีมวลมาก ซ่ึง สอดคลอ้ งกบั ผลการทดลองตอนที่ 2
22 ชั่วโมงท่ี 8-9 (ใชร้ ปู แบบการเรียนรู้ 5E ) ข้นั ตอนท่ี 1 ข้นั สร้างความสนใจ (Engagement) ครูให้นักเรียนตอบคำถามว่า ในกรณีที่มีแรงภายนอกกระทำต่อวัตถุมากกว่าหนึ่งแรง นักเรียนจะ สามารถอธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถไุ ด้อย่างไรครูอาจใช้ตัวอย่างกรณีทีแ่ รงหลายแรงกระทำต่อวัตถุในแนว เดียวกันทั้งกรณีที่มีทิศทางเดียวกัน และกรณีที่มีทิศทางตรงกันข้าม เพื่อทบทวนความรู้ให้กับนักเรียน จากนนั้ จึงใชต้ ัวอยา่ งกรณีที่แรงกระทำต่อวัตถุหลายแรงในระนาบเดียวกันแต่แรงดงั กล่าวทำมมุ ใด ๆ ต่อกัน โดยครเู ปิดโอกาสให้นักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ อย่างอสิ ระ ขั้นตอนที่ 2 ขั้นสาํ รวจและค้นหา (Exploration) 2.1 นักเรียนศึกษาทบทวน เรื่อง แรงและการเคลื่อนท่ี จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 เล่ม ท่ี 2 2.2 นกั เรียนศกึ ษาทบทวน เร่ือง แรงและการเคล่ือนท่ี จากสอ่ื การสอน PowerPoint ขน้ั ตอนท่ี 3 ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) ครูอธิบายพร้อมยกตัวอย่างสถานการณ์การออกแรงกระทำต่อวัตถุที่นักเรียนคุ้นเคย เช่น การใช้ แขนรับลูกวอลเลย์บอล การออกแรงเตะลูกฟุตบอล หรือให้นักเรียนใช้สันมือเคาะที่ขอบโต๊ะเบา ๆ แล้วให้ นกั เรยี นอภปิ รายร่วมกันโดยตอบคำถามว่า ในขณะทีเ่ ราออกแรงกระทำต่อวัตถุ วัตถุนัน้ จะมีการตอบสนอง ต่อแรงที่กระทำนั้นหรือไม่ อย่างไร และส่งผลอย่างไรต่อผู้ออกแรงกระทำ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดง ความคิดเห็นอยา่ งอสิ ระ ครูนำนกั เรียนอภิปรายตามรายละเอียดในหนังสอื เรียนจนสรปุ ไดว้ ่า ขณะที่วัตถุหนง่ึ ออกแรง กระทำตอ่ อกี วัตถหุ นึ่ง วัตถทุ ีถ่ กู แรงกระทำกอ็ อกแรงตอบโต้กลบั เรียกแรงทีก่ ระทำระหว่างวัตถุ คหู่ น่ึง ๆ ว่า แรงกริ ิยากับแรงปฏิกิรยิ า จากน้ัน ครูใช้คำถามนำเขา้ สู่กิจกรรมว่า แรงทั้งสองนม้ี ขี นาด และทิศทางเปน็ อย่างไร ครเู ปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอสิ ระและไมค่ าดหวงั คำตอบ ทีถ่ ูกตอ้ ง ขั้นตอนท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) ครูให้นักเรยี นทำกิจกรรม 1.3 การหาขนาดและทศิ ทางของแรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่ทำมุมต่อกนั และทำกิจกรรม 1.4 แรงกิรยิ าและแรงปฏิกริ ยิ าลพั ธ์ และพร้อมตอบคำถามทา้ ยกจิ กรรม เชน่ 1.เมื่อนำขนาดของแรงที่ 1 มารวมกับขนาดของแรงที่ 2 จะเท่ากับขนาดของแรงที่ 3หรือไม่ อยา่ งไร แนวคำตอบ ไม่เทา่ กัน โดยผลรวมขนาดของแรงท่ี 1 กบั แรงที่ 2 จะมีค่ามากกว่าขนาดของแรงที่ 3 2.แรงลัพธ์ของแรงที่ 1 กับแรงที่ 2 จากวิธีในข้อ 4 มีขนาดและทิศทางเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับ แรงที่ 3 แนวคำตอบ แรงลัพธ์ของแรงที่ 1 กับแรงที่ 2 จากวิธีในขอ้ 4 มีขนาดเท่ากับขนาดของแรงที่ 3 แต่ ทศิ ทางตรงข้ามกับแรงท่ี 3
23 3.แรงทเี่ คร่ืองช่งั สปริงอันที่ 2 กระทำกบั เครื่องชัง่ สปรงิ อนั ท่ี 1 และ แรงทเ่ี คร่อื งชัง่ สปริงอันที่ 1 กระทำกบั เครื่องช่งั สปรงิ อนั ที่ 2 เกดิ ข้ึนพร้อมกันหรือไม่ แนวคำตอบ เกิดขน้ึ พรอ้ มกัน 4.แรงท่เี ครื่องชง่ั สปรงิ อันที่ 2 กระทำกบั เครื่องช่งั สปริงอันท่ี 1 และ แรงทีเ่ ครื่องชง่ั สปริงอันท่ี 1 กระทำกบั เครื่องชัง่ สปริงอันที่ 2 มขี นาดเป็นอย่างไร แนวคำตอบ มขี นาดเทา่ กนั ครสู รปุ ทา้ ยกจิ กรรม กิจกรรม 1.3 การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่ทำมุมต่อกัน การหาแรงลัพธ์ ของแรงสองแรงท่ีทำมุมตอ่ กนั สามารถทำไดด้ ้วยการเขยี นแผนภาพซึง่ มี 2 วิธี คือ - วิธีที่ 1 นำหางเวกเตอร์ของแรงที่ 2 ไปต่อกับหัวเวกเตอร์ของแรงที่ 1 จากนั้นลากเวกเตอร์จากหาง เวกเตอร์ของแรงท่ี 1 ไปยังหวั เวกเตอร์ของแรงที่ 2 เปน็ แรงลัพธข์ องแรงท้งั สอง - วิธีทำ 2 นำหางเวกเตอร์ของแรงที่ 1 ต่อกับหางเวกเตอร์ของแรงที่ 2 แล้วลากเวกเตอร์เส้นทแยงมมุ ของ สี่เหลี่ยมดา้ นขนานจากหางเวกเตอร์ทง้ั สองไปที่มุมตรงข้ามแรงน้เี ปน็ แรงลัพธ์ของแรงท้งั สอง กิจกรรม 1.4 แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยาลัพธ์ สรุปได้ว่า แรงที่เครื่องชั่งสปริงทั้งสองกระทำซึ่งกัน และกันเป็นแรงที่กระทำคนละวัตถุ ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกัน มีขนาดเท่ากัน แต่มีทิศทางตรงข้ามกันแรงคู่น้ี เรยี กว่า แรงกริ ยิ าและแรงปฏิกริ ิยา ข้นั ตอนที่ 5 ขัน้ ประเมนิ (Evaluation) ครูตรวจสอบแบบฝึกหัดท้ายกิจกรรม 1.3 การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ของแรงสองแรงท่ี ทำมมุ ต่อกนั และทำกิจกรรม 1.4 แรงกริ ยิ าและแรงปฏิกริ ยิ าลัพธ์ ชั่วโมงท่ี 10 (ใช้รปู แบบการเรยี นรู้ 5E ) ขั้นตอนที่ 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement) ครูนำเข้าสู่บทเรยี นโดยการทบทวนเนอ้ื หาเรือ่ ง แรงและการเคล่อื นท่ี โดยใหผ้ ู้เรียนร่วมกันตอบ คำถามเพ่ือใหค้ ะแนน ขนั้ ตอนท่ี 2 ขัน้ สํารวจและค้นหา (Exploration) 2.1 นักเรียนศึกษาทบทวน เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรุงพ.ศ.2560) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เลม่ ท่ี 2 2.2 นกั เรยี นศกึ ษาทบทวน เรอื่ ง แรงและการเคลอื่ นที่ จากส่ือการสอน PowerPoint ขัน้ ตอนที่ 3 ขั้นอธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) ครูให้นักเรียนอภิปรายเนื้อหาแรงและการเคลื่อนที่จากความเข้าใจของนักเรียน และแลกเปลี่ยน ความร้ภู ายในชั้นเรียน และครอู ธิบายและลงข้อสรุปเกย่ี วกับการเคลอื่ นที่แนวตรงใหน้ กั เรยี น ขนั้ ตอนท่ี 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) ครูให้นักเรียนทำแบบฝึกหดั ตรวจสอบความเข้าใจ 1.2 เรอื่ งแรงและการเคล่ือนท่ี
24 ขน้ั ตอนท่ี 5 ขนั้ ประเมิน (Evaluation) ครูตรวจสอบแบบฝึกหัดตรวจสอบความเข้าใจ 1.2 เรื่องแรงและการเคลื่อนที่ของนักเรียนเพ่ือ ประเมินความเขา้ ใจของนกั เรียน หนว่ ยยอ่ ยท่ี 3 เรอื่ ง การเคล่ือนท่ีแบบต่างๆ ช่ัวโมงที่ 11-12 (ใชร้ ูปแบบการเรยี นรู้ 5E ) ขั้นตอนที่ 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement) ครใู หน้ กั เรียนยกตัวอยา่ งการเคลื่อนท่ีแบบอน่ื ๆ นอกเหนอื จากการเคลอื่ นท่ีในแนวตรงที่เกิดขึ้นใน ชีวิตประจำวันครูให้นักเรียนลองจัดกลุ่มการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ แล้วร่วมกันอภิปรายว่า การเคลื่อนที่ ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไรและจะอธิบายการเคลื่อนที่ดงั กล่าวด้วยแรงและความเร่งของวัตถุได้อย่างไร โดย ครูให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ จากนั้นครูชี้แจงนักเรียนวา่ นักเรียนจะได้ศึกษาผลของแรงท่มี ี ต่อการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ โดยแบ่งออกเป็น การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ การเคลื่อนที่แบบวงกลม และ การเคลอื่ นทแี่ บบส่ัน ขน้ั ตอนที่ 2 ข้ันสาํ รวจและค้นหา (Exploration) 2.1 นักเรียนศึกษา เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุงพ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เลม่ ที่ 2 2.2 นกั เรยี นศกึ ษา เรือ่ ง การเคล่อื นทแ่ี บบตา่ ง ๆ จากสื่อการสอน PowerPoint ขั้นตอนท่ี 3 ขั้นอธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) ครูสาธิตด้วยการโยนสิ่งของให้เคลื่อนที่ในแนวโค้ง เพื่อให้นักเรียนสังเกตและอภิปรายร่วมกันโดย ตอบคำถามว่า การเคล่อื นท่ีดังกล่าวเหมือนหรือแตกตา่ งจากการตกแบบเสรีอย่างไร ท้ังน้คี รูควรเปิดโอกาส ใหน้ กั เรยี นตอบอย่างอสิ ระ ขั้นตอนท่ี 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) ครูให้นักเรียนทำกิจกรรม 1.5 การเคลื่อนที่แนวโค้งภายใต้แรงโน้มถ่วง และตอบคำถามท้าย กิจกรรม เชน่ 1.เหรียญทั้งสองมีการเคลื่อนที่เหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร แนวคำตอบ แตกต่างกัน โดย เหรียญที่ 1 เป็นการเคลื่อนที่แนวโค้ง ส่วนเหรียญที่ 2 เป็นการเคลื่อนที่แนวตรงโดยเป็นการตกแบบเสรีใน แนวดงิ่ 2.เหรียญทั้งสองตกถึงพื้นพร้อมกันหรือไม่ อย่างไร แนวคำตอบ พร้อมกัน โดยเสียงที่กระทบพื้น ของเหรียญทั้งสองเกิดขนึ้ พร้อมกนั 3.เหรียญทั้งสองตกถึงพื้นที่ตำแหน่งเดียวกันหรือไม่ อย่างไร แนวคำตอบ คนละตำแหน่ง โดย เหรียญท่ี 1 ตกถงึ พ้ืนบริเวณทไี่ กลจากโต๊ะ ส่วนเหรยี ญท่ี 2 ตกท่ีบริเวณโต๊ะ
25 ขนั้ ตอนที่ 5 ข้ันประเมนิ (Evaluation) ครูตรวจสอบคำถามท้ายกิจกรรม 1.5 การเคลื่อนที่แนวโค้งภายใต้แรงโน้มถ่วง ของนักเรียนเพื่อ ประเมินความเขา้ ใจของนักเรียน ชว่ั โมงท่ี 13-14 (ใช้รูปแบบการเรยี นรู้ 5E ) ขนั้ ตอนที่ 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement) ครูยกตัวอย่างวัตถุที่เคลื่อนที่แบบวงกลม เช่น รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่กำลังเลี้ยวโค้ง ดาวเทียมที่โคจรรอบโลก และยกตวั อย่างพร้อมทัง้ ยกตวั อย่างวตั ถุทเี่ คล่ือนที่แบบกลบั ไปกลบั มาซำ้ แนวเดิม เช่น การแกว่งของลูกตุม้ การแกว่งของชิงช้า การเคลื่อนที่ของจดุ ๆ หนึ่งบนสายกีตาร์เมื่อถูกดีด การแกวง่ ของเปล และการเคล่ือนที่ของมวลตดิ ปลายสปรงิ ขน้ั ตอนท่ี 2 ขั้นสํารวจและค้นหา (Exploration) 1. นักเรียนศึกษา เรื่อง การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 เลม่ ที่ 2 2. นักเรียนศกึ ษา เรอื่ ง การเคล่ือนท่ีแบบตา่ ง ๆ จากส่ือการสอน PowerPoint ขน้ั ตอนท่ี 3 ข้นั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) 1.ครูอธิบายว่าวตั ถทุ ีเ่ คลื่อนท่ีแบบวงกลมเคลอื่ นท่ีในแนววงกลมหรอื สว่ นของวงกลมได้อยา่ งไร โดยครเู ปดิ โอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเหน็ อยา่ งอสิ ระและไม่คาดหวังคำตอบที่ถกู ต้อง จากนัน้ ครู ใหน้ กั เรยี นทำกจิ กรรมที่ 1.6 การเคลอื่ นทีแ่ บบวงกลมในแนวระดับ 2.ครูอธิบายว่าวัตถุที่เคลื่อนที่แบบกลับไปกลับมาซ้ำแนวเดิมเหมือนหรือแตกต่างกับการเคลื่อนท่ี แนวตรง การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ และการเคลื่อนที่แบบวงกลมหรือไม่ อย่างไร จากนั้น ให้นักเรียน อภิปรายร่วมกนั วา่ วัตถุดังกล่าวเคล่ือนที่แบบกลับไปกลบั มาซำ้ แนวเดิมหรือการเคล่ือนท่แี บบส่ันได้อย่างไร โดยครใู ห้นกั เรยี นแสดงความคดิ เห็นอยา่ งอสิ ระจากนัน้ ครใู ห้นักเรียนทำกจิ กรรมท่ี 1.7 การเคล่อื นทแ่ี บบสัน่ ขั้นตอนท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration) 1.ครูให้นักเรียนทำกิจกรรมที่ 1.6 การเคลื่อนที่แบบวงกลมในแนวระดับ และตอบคำถามท้าย กิจกรรม 2.ครูใหน้ ักเรียนทำกิจกรรมท่ี 1.7 การเคลือ่ นที่แบบสัน่ และตอบคำถามท้ายกจิ กรรม 3.ครูสรุปกิจกรรมที่ 1.6 การเคลื่อนที่แบบวงกลมในแนวระดบั ว่าขณะจุกยางเคลื่อนทีเ่ ปน็ วงกลม จะมีแรงกระทำ.ต่อจุกยางตลอดเวลาโดยมีทิศทางพุ่งเข้าสู่ศนู ยก์ ลางของการเคลื่อนท่ี ส่วนความเร็วของจกุ ยางมีทิศทางในแนวสัมผัสกบั เสน้ ทางการเคลื่อนที่เป็นวงกลม โดยขนาดของแรงที่กระทำต่อจุกยางจะข้ึนอยู่ กับขนาดความเรว็ ของจกุ ยาง ถ้าจกุ ยางมขี นาดของความเร็วมากก็จะต้องใช้แรงดึงทม่ี ีขนาดมาก 4.ครูสรปุ กิจกรรมที่ 1.7 การเคล่อื นที่แบบส่ัน ว่าการแกวง่ ของลูกตุ้มเป็นการเคล่ือนท่ีแบบส่ันหรือ แบบกลบั ไปกลบั มาซำ้ แนวเดมิ ระหว่างจุด A และจดุ B โดยมจี ุด O อยูต่ รงกลาง ขณะทลี่ กู ตุ้มอยู่ท่ีจุดท่ีไกล
26 ที่สุดที่จุด A และจุด B จะมีความเร็วเป็นศูนย์ เมื่อลูกตุ้มเคลื่อนที่เข้าหาจุด O ลูกตุ้มมีความเร็วเพิ่มขึ้น แสดงว่าลูกต้มุ มคี วามเร่งเขา้ หาจดุ O และเมื่อลูกตุ้มเคลื่อนทอี่ อกจากจุด O ลกู ตมุ้ มีความเร็วลดลง แสดงวา่ ลกู ตุ้มมีความเรง่ ตรงข้ามกบั ความเร็วโดยมที ิศทางเข้าหาจุด O ข้นั ตอนที่ 5 ขั้นประเมนิ (Evaluation) ครูตรวจสอบคำถามท้ายกิจกรรม 1.6 การเคลื่อนที่แบบวงกลมในแนวระดับ และกิจกรรมท่ี 1.7 การเคลือ่ นท่ีแบบสั่นของนักเรียนเพอ่ื ประเมนิ ความเข้าใจของนักเรยี น ชั่วโมงท่ี 15 (ใชร้ ูปแบบการเรยี นรู้ 5E ) ข้นั ตอนท่ี 1 ขัน้ สรา้ งความสนใจ (Engagement) ครนู ำเขา้ สูบ่ ทเรียนโดยการทบทวนเนอ้ื หาเร่ือง การคล่ือนทแ่ี บบต่าง ๆ โดยให้ผเู้ รยี นร่วมกันตอบ คำถามเพ่ือใหค้ ะแนน ขน้ั ตอนท่ี 2 ข้ันสาํ รวจและค้นหา (Exploration) 2.1 นักเรียนศึกษาทบทวน เรื่อง การคลื่อนที่แบบต่าง ๆ จากหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 เล่ม ท่ี 2 2.2 นกั เรียนศึกษาทบทวน เรอ่ื ง การคลอื่ นท่แี บบตา่ ง ๆ จากส่ือการสอน PowerPoint ขั้นตอนที่ 3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) ครใู หน้ ักเรียนอภปิ รายเนอ้ื หาการคล่ือนที่แบบต่าง ๆ จากความเขา้ ใจของนักเรียน และแลกเปล่ียน ความรภู้ ายในช้ันเรยี น และครอู ธบิ ายและลงขอ้ สรปุ เก่ยี วกับการเคล่ือนท่ีแนวตรงใหน้ กั เรยี น ขน้ั ตอนที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) ครใู หน้ กั เรียนทำแบบฝึกหัดท้ายบทท่ี 1 เรื่องการเคลอ่ื นท่ีและแรง ขัน้ ตอนที่ 5 ขัน้ ประเมิน (Evaluation) ครตู รวจสอบแบบฝกึ หดั ทา้ ยบทท่ี 1 เรอื่ งการเคลอ่ื นท่ีและแรงของนักเรยี นเพ่ือประเมนิ ความเข้าใจ ของนกั เรียน 9. สอ่ื การสอน 9.1 หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลาง การศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เล่มท่ี 2 9.2 ส่ือการสอน PowerPoint ของครผู สู้ อน 10. แหล่งเรยี นรู้ในหรอื นอกสถานที่ 10.1 สอื่ การสอนอินเตอรเ์ นต็
27 11. การวัดและประเมินผล วิธวี ดั เคร่อื งมือ เกณฑ์การให้ เกณฑ์การประเมนิ ชิน้ งาน/ภาระงาน วัด คะแนน คะแนน 16-20 = ดีมาก 1.แบบฝึกหัดท่ี 1.1 เรื่อง การ ตรวจ แบบฝกึ หดั ตอบถูกต้องตาม คะแนน 11-15 = ดี แบบฝกึ หดั ทใ่ี ห้ทำ คะแนน 6-10 = พอใช้ เคลื่อนท่ีของวตั ถุในแนวดง่ิ ภายใต้ แบบฝกึ หัด คะแนน 0-5 = ปรับปรุง แรงโน้มถว่ งของโลก แบบฝึกหดั ตอบถูกตอ้ งตาม ผา่ นเกณฑ์ในระดับดีขึ้นไป แบบฝกึ หดั ที่ให้ทำ 2. แบบฝกึ หดั ที่ 1.2 เรอ่ื ง การ ตรวจ คะแนน 16-20 = ดีมาก แบบฝึกหัด ตอบถูกต้องตาม คะแนน 11-15 = ดี เคลื่อนที่แนวตรง แบบฝึกหดั แบบฝึกหดั ทใี่ ห้ทำ คะแนน 6-10 = พอใช้ คะแนน 0-5 = ปรบั ปรงุ 3. แบบฝึกหดั ท่ี 1.3 เรือ่ ง การ ตรวจ แบบฝึกหัด ตอบถูกต้องตาม ผา่ นเกณฑ์ในระดบั ดีขน้ึ ไป แบบฝึกหดั ที่ให้ทำ เคลือ่ นทแ่ี บบตา่ งๆ แบบฝึกหัด คะแนน 16-20 = ดมี าก คะแนน 11-15 = ดี 4. แบบฝึกหัดทา้ ยบทท่ี 1 เรือ่ ง ตรวจ คะแนน 6-10 = พอใช้ คะแนน 0-5 = ปรับปรงุ การเคล่อื นทีแ่ ละแรง แบบฝกึ หดั ผา่ นเกณฑ์ในระดับดขี ึ้นไป คะแนน 16-20 = ดีมาก คะแนน 11-15 = ดี คะแนน 6-10 = พอใช้ คะแนน 0-5 = ปรบั ปรุง ผา่ นเกณฑ์ในระดับดขี ึน้ ไป
28 สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น วิธีวดั เครื่องมือวดั เกณฑ์การให้ เกณฑก์ ารประเมิน คะแนน 1. ความสามารถในการส่อื สาร ประเมนิ จาก แบบประเมิน ตารางเกณฑ์การให้ 4=ดมี าก พฤตกิ รรมของ ผูเ้ รียน คณุ ลักษณะอันพึง คะแนน 3 = ดี ประสงค์ คณุ ลักษณะอนั พงึ 2=พอใช้ (รายบุคคล) ประสงค์ 1=ควรปรบั ปรุง 2. ความสามารถในการคิด ประเมินจาก แบบประเมิน ตารางเกณฑก์ ารให้ 4=ดมี าก พฤติกรรมของ ผูเ้ รียน คณุ ลักษณะอันพงึ คะแนน 3 = ดี ประสงค์ คณุ ลักษณะอนั พึง 2=พอใช้ (รายบุคคล) ประสงค์ 1=ควรปรบั ปรงุ 3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะ ประเมินจาก แบบประเมนิ ตารางเกณฑก์ ารให้ 4=ดีมาก ชวี ติ พฤติกรรมของ ผูเ้ รียน คณุ ลกั ษณะอันพงึ คะแนน 3 = ดี ประสงค์ คณุ ลักษณะอันพึง 2=พอใช้ (รายบคุ คล) ประสงค์ 1=ควรปรบั ปรุง
29 แบบประเมนิ การปฏิบตั ิการ คำชี้แจง : ใหผ้ สู้ อนประเมินการปฏิบตั ิการของนักเรียนตามรายการทกี่ ำหนด แลว้ ขีด ✓ลงในชอ่ งที่ตรง กบั ระดับคะแนน ลำดับท่ี รายการประเมนิ ระดับคะแนน 32 4 1 1 การปฏิบตั ิการทดลอง 2 ความคลอ่ งแคล่วในขณะปฏบิ ัติการ 3 การนำเสนอ 4 การจะจัดเก็บอปุ กรณ์ให้เปน็ ระเบยี บ ลงชื่อ ................................................... ผปู้ ระเมนิ ................../................/............... เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ 4 คะแนน ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน ให้ 2 คะแนน ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 1 คะแนน ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง ปฏิบัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมน้อยครง้ั หรือไม่เคยปฏบิ ัติเลย เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ 0-7 คะแนน ระดบั คุณภาพ 1 หมายถงึ ปรบั ปรงุ 8-10 คะแนน ระดับคุณภาพ 2 หมายถงึ พอใช้ 11-13 คะแนน ระดับคุณภาพ 3 หมายถึง ดี 14-16 คะแนน ระดบั คุณภาพ 4 หมายถงึ ดมี าก
30 แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ คำคำช้ีแจง : ใหผ้ ู้สอนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรยี น แลว้ ขดี ✓ลงใน ช่องทตี่ รงกับระดับคะแนน คณุ ลักษณะอนั พงึ รายการประเมนิ ระดับคะแนน ประสงค์ 1234 1.1ใหข้ ้อมูลที่ถกู ต้องและเปน็ จริง 1. ซ่อื สตั ย์ สจุ รติ 1.2ปฏิบัตใิ นสงิ่ ท่ถี ูกต้อง 2. มวี ินยั รับผิดชอบ 2.1ปฏิบัตติ ามข้อตกลงกฎเกณฑ์ ระเบียบข้อบังคบั ของครอบครวั 3. ใฝเ่ รียนรู้ 2.2มคี วามตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมตา่ งๆในชีวิตประจำวนั 3.1รจู้ ักใช้เวลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์และนำไปปฏิบัติได้ 5. ม่งุ มน่ั ในการทำงาน 3.2รจู้ กั จัดสรรเวลาใหเ้ หมาะสม 6. มีจติ สาธารณะ 3.3เช่ือฟงั คำสงั่ สอนของบดิ า-มารดาโดยไมโ่ ตแ้ ย้ง 3.4ตง้ั ใจเรยี น 5.1มคี วามต้งั ใจและพยายามในการทำงานทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย 5.2มคี วามอดทนและไมท่ ้อแท้ตอ่ อปุ สรรคเพื่อให้งานสำเรจ็ 6.1รจู้ ักช่วยเหลือเพอ่ื นและครู 6.2รจู้ กั การดูแลรกั ษาทรพั ยส์ มบตั แิ ละสิง่ แวดลอ้ มของห้องเรยี นและโรงเรยี น ลงชอ่ื ................................................... ผ้ปู ระเมนิ ................../.............../............... เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ปฏบิ ตั ิหรอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัตหิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ให้ 3 คะแนน ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้งั ให้ 2 คะแนน ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมน้อยคร้ังหรือไม่เคยปฏบิ ัติเลย ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตดั สนิ คุณภาพ 0-6 คะแนน ระดับคุณภาพ 1 หมายถึง ปรับปรุง 7-12 คะแนน ระดับคุณภาพ 2 หมายถงึ พอใช้ 13-18 คะแนน ระดับคุณภาพ 3 หมายถึง ดี 19-24 คะแนน ระดับคุณภาพ 4 หมายถึง ดมี าก
31 แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเรยี นและการมสี ว่ นรว่ มในช้ันเรยี น คำช้ีแจง : ใหผ้ ู้สอนสังเกตพฤติกรรมและการมสี ่วนรว่ มในชั้นเรียนของนักเรยี นในระหว่างเรยี นและนอก เวลาเรียน แลว้ ขีด ✓ลงในชอ่ งทต่ี รงกับระดบั คะแนน ลำดบั ท่ี รายการประเมนิ ระดับคะแนน 4 321 1 การแสดงความคดิ เหน็ 2 การยอมรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผูอ้ น่ื 3 การทำงานตามหน้าทีท่ ่ไี ด้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ำใจ 5 การตรงตอ่ เวลา ลงช่ือ ................................................... ผู้ประเมนิ ................../................/............... เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 4 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมอย่างสมำ่ เสมอ ให้ 3 คะแนน ให้ 2 คะแนน ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยคร้ัง ให้ 1 คะแนน ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครงั้ หรือไม่เคยปฏิบตั เิ ลย เกณฑ์การตัดสินคณุ ภาพ 0-7 คะแนน ระดบั คุณภาพ 1 หมายถงึ ปรบั ปรงุ 8-10 คะแนน ระดบั คุณภาพ 2 หมายถึง พอใช้ 11-13 คะแนน ระดบั คุณภาพ 3 หมายถึง ดี 14-15 คะแนน ระดับคุณภาพ 4 หมายถงึ ดีมาก
32 12. กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ..................................... .............................................................................................. .............................................................. ............................................................................................................................. .................................. 13. บนั ทึกผลหลังการสอน สรปุ ผลการเรยี นการสอน นักเรียนทัง้ หมดจำนวน.....................คน จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ จำนวนนกั เรยี นทผ่ี า่ น จำนวนนกั เรยี นทไี่ ม่ผ่าน ขอ้ ที่ จำนวนคน ร้อยละ จำนวนคน ร้อยละ 1 2 3 15. ปัญหา/อปุ สรรค/แนวทางแก้ไข ............................................................................................................................. .................................. ................................................................................................ ............................................................... 16. ข้อเสนอแนะ ............................................................................................................................. .................................. .............................................................................................................................................. .................. ลงชอื่ .................................................................................... (....................................................................................) ตำแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ลงช่อื .................................................................................... (....................................................................................) หวั หน้ากลุม่ สาระการเรียนรู้ ลงชอ่ื .................................................................................... (....................................................................................) รองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารวิชาการ
33 17. ความเห็นของหัวหนา้ สถานศกึ ษา ไดท้ ำการตรวจแผนการเรยี นรู้ของ....................................................แล้วมคี วามคดิ เห็นดังน้ี 1. เป็นแผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ดมี าก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง 2. การจดั กจิ กรรมได้นำเอากระบวนการเรยี นรู้ เน้นผูเ้ รียนเปน็ สำคญั มาใช้ในการสอนได้อย่างเหมาะสม ยังไม่เนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคัญ ควรปรับปรงุ พฒั นาต่อไป 3. ขอ้ เสนอแนะอื่นๆ ............................................................................................................................. ........................... ....................................................................................................... ................................................. ............................................................................................................................. ........................... ........................................................................................................................................................ ลงชอื่ .................................................................................... (....................................................................................) ผู้อำนวยการโรงเรยี น…………………………………………………………..
34 แบบฝึกหดั ท่ี 1.1 เรอื่ ง การเคล่ือนท่ีของวัตถุในแนวดง่ิ ภายใต้แรงโน้มถว่ งของโลก 1. ระยะทางและการกระจัดแตกต่างกันอยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ในกรณีที่มีการเคลื่อนที่กลับทิศทาง ระยะทางการเคลื่อนที่และขนาดการกระจัดมีค่าเท่ากันหรือไม่ อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. อตั ราเร็วเฉลี่ยกับความเรว็ เฉล่ียแตกตา่ งกนั อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. อัตราเรว็ เฉลี่ยกับอตั ราเรว็ ขณะหนงึ่ ของวตั ถุมีค่าเท่ากันหรือไม่ อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ถา้ วตั ถุหนงึ่ มีการเคลอ่ื นทด่ี ว้ ยความเร่งคงตวั วตั ถุน้ันมีความเรว็ คงตัวหรือไม่ อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
35 แบบฝึกหัดท่ี 1.2 เรอ่ื ง การเคล่อื นท่แี นวตรง 1. แรงในชวี ิตประจำวันมีลกั ษณะอยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. แรงท่กี ระต่อวตั ถุ มวลของวตั ถุ และความเร่งของวัตถุ มีความสมั พันธ์กันอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. เมื่อออกแรงกระทำตอ่ วตั ถหุ น่งึ วตั ถนุ ้นั จะออกแรงกระทำกลับ เสมอไปหรอื ไม่ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………
36 แบบฝึกหัดท่ี 1.3 เร่ือง การเคล่อื นที่แบบตา่ งๆ 1. ดีดเหรียญจำนวน 3 เหรียญ ออกจากขอบโต๊ะพร้อมกันด้วยแรงในแนวระดับที่มีค่าแตกต่างกัน เหรียญ ทั้งสามตกถงึ พน้ื พร้อมกันหรอื ไม่ จงอธบิ าย ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. จากชุดการทดลองการเคล่อื นทีแ่ บบวงกลม ถ้าเชอื กที่ผกู จุกยางขาด จกุ ยางจะเคลื่อนทอ่ี ย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ความเร่งของวตั ถุที่เคลื่อนทีแ่ บบโพรเจกไทล์ แบบวงกลม และแบบส่ัน เหมือนหรือแตกต่างกนั อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………
37 แบบฝกึ หัดท้ายบทท่ี 1 เร่อื ง การเคลือ่ นทแี่ ละแรง 1. จุดอ้างอิงมีความสำคญั ตอ่ การเคลื่อนท่ีหรือไม่ อยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเคลือ่ นที่แนวตรง มลี ักษณะอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. อธบิ ายความแตกต่างระหว่างอตั ราเรว็ เฉล่ียและอัตราเรว็ ขณะหนึง่ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………
38 4. เมือ่ เราพบป้ายจำกัดความเร็วบนถนนเป็น 60 กโิ ลเมตรต่อชัว่ โมง ความเรว็ ดงั กล่าวหมายถึงความเร็ว ขณะหนึ่ง หรือความเร็วเฉลีย่ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ถ้าครอบครัวหนึ่งขบั รถด้วยอัตราเรว็ เฉล่ีย 75 กโิ ลเมตรต่อชว่ั โมง จากกรงุ เทพฯไปจงั หวดั สุราษฎรธ์ านี ซึ่งมีระยะทางประมาณ 640 กิโลเมตร ครอบครวั นจี้ ะใช้เวลาเดนิ ทางประมาณเท่าใด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………
39 6. รถยนตค์ นั หนง่ึ เคลื่อนท่ใี นแนวตรงโดยทกุ ๆ 1 วนิ าที รถคันนจ้ี ะมอี ัตราเรว็ เพ่ิมขึ้น 4เมตรตอ่ วินาที ถ้าท่ี เวลาเริ่มต้นรถคันนี้มีอัตราเร็ว 16 เมตรต่อวินาที เมื่อเวลาผ่านไปจากเริ่มต้น 5 วินาที รถจะมีอัตราเร็ว เท่าใด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. โยนลูกบาสขน้ึ ไปตรง ๆ ในแนวด่งิ ดว้ ยอัตราเรว็ 29.4 เมตร/วินาที ขณะทอ่ี อกจากมือลกู บาสจะใช้เวลา เท่าไหรจ่ งึ จะตกกลับมาท่ีเดมิ เมอื่ ไม่คดิ แรงตา้ นอากาศ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
40 8. ถ้าแรงที่กระทำกบั วตั ถุกบั ความเร็วของวัตถุมที ิศทางตรงขา้ มกนั ความเร็วของวตั ถุจะเปล่ียนแปลงอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 9. ถา้ ออกแรงที่มีขนาดเท่ากันผลักวตั ถุท่ี 1 และวตั ถุที่ 2 ใหเ้ คล่ือนที่ โดยวตั ถุท้ังสองมีรูปร่างเหมือนกันทุก ประการ แตม่ วลของวตั ถุที่ 1 มากกวา่ มวลของวัตถุที่ 2 วตั ถใุ ดจะเคลื่อนท่ีดว้ ยความเรง่ มากกวา่ กนั ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 10. ถ้ามีแรงกระทำกับวัตถุทำให้แรงลัพธ์มีทิศทางตรงกนั ข้ามกบั การเคลื่อนท่ีของวัตถุ เมือ่ เวลาผ่านไปวัตถุ จะเคลื่อนท่ไี ปในทิศทางเดยี วกับแรงลัพธ์หรอื ไม่ จงอธบิ าย ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
41 11. จงหาแรงลพั ธ์ ถา้ มีแรงสองแรงกระทำกับวัตถุ ดงั รปู ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 12. นกั เลน่ สเกตบอร์ด A และ B ยืนหันหนา้ เขา้ หากัน ถ้านักเลน่ สเกตบอร์ด A ผลักนกั เล่นสเกตบอรด์ B ดงั รปู นกั เล่นสเกตบอร์ดทงั้ สองคนจะมกี ารเคล่ือนทอ่ี ยา่ งไร เพราะเหตุใด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
42 13. การเคลอื่ นทแ่ี บบโพรเจกไทล์ต่างจากการเคล่ือนท่ีแนวตรงอย่างไร จงอธบิ าย ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 14. การดีดเหรียญสองเหรียญที่เหมือนกันทุกประการให้เคลื่อนที่ออกจากขอบโต๊ะในแนวระดับพร้อมกัน โดยแรงที่ใชใ้ นการดีดเหรียญท่ี 1 มากกวา่ แรงท่ีใช้ในการดีดเหรียญที่ 2เหรียญท้ังสองจะตกถึงพ้ืนพร้อมกัน หรอื ไม่ อย่างไร และเหรยี ญท้ังสองตกถึงพืน้ โดยมีระยะหา่ งจากโตะ๊ เท่ากนั หรือไม่ อยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 15. ทำไมดาวเทยี มโคจรรอบโลกโดยไมต่ กลงมา ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
43 16. จงอธบิ ายความเหมือนและความแตกตา่ งระหวา่ งการเคล่อื นท่ีแบบวงกลมและการเคลอื่ นที่แบบสนั่ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 17. ขณะเหวี่ยงจุกยางให้เคลื่อนที่เป็นวงกลมในแนวดิ่ง ถ้าเส้นเชือกขาดในขณะที่จุกยางอยู่ในตำแหน่ง สงู สุด การเคลื่อนท่ขี องจกุ ยางภายหลงั จากเชือกขาดเปน็ แบบใด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
44
45 แผนการจัดการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ วิทยศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ า พ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ (ฟสิ กิ ส)์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 เรอ่ื ง แรงในธรรมชาติ เวลา 15 ชัว่ โมง 1.มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ช้ีวดั มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุลักษณะการ เคล่ือนทแ่ี บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทง้ั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 2.ตัวชว้ี ัด ตัวชี้วัด ม. 5/6 สืบค้นข้อมูลและอธิบายแรงโน้มถ่วงที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุต่าง ๆ รอบ โลก ตวั ชี้วัด ม. 5/7 สังเกตและอธิบายการเกดิ สนามแมเ่ หล็กเนอ่ื งจากกระแสไฟฟา้ ตัวชี้วัด ม. 5/8 สังเกตและอธิบายแรงแม่เหล็กที่กระทำต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ใน สนามแม่เหล็กและแรงแม่เหล็กที่กระทำต่อลวดตัวนำที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านในสนามแม่เหล็ก รวมทั้อธิบาย หลักการทำงานของมอเตอร์ ตัวชี้วัด ม. 5/9 สังเกตและอธิบายการเกิดอีเอ็มเอฟ รวมทั้งยกตัวอย่างการนำความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ตวั ช้ีวัด ม. 5/10 สืบค้นข้อมลู และอธิบายแรงเขม้ และแรงออ่ น 3.จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านพุทธิพสิ ยั (K) 1. นกั เรยี นสามารถอธิบายสนามโน้มถว่ ง แรงโน้มถ่วงของวตั ถตุ ่าง ๆ รอบโลกและการสง่ ดาวเทียม ไปโคจรรอบโลกได้อยา่ งถูกตอ้ ง (K) 2. นกั เรยี นสามารถอธิบายสนามแมเ่ หล็กที่เกิดจากกระแสไฟฟา้ ในลวดตวั นำได้อยา่ งถกู ต้อง (K) 3. นักเรียนสามารถอธิบายแรงแม่เหล็กที่เกิดขึ้นกับอนุภาคมีประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ใน สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่เกิดขึ้นกับลวดตัวนำที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านในสนามแม่เหล็ก และหลักการ ทำงานของมอเตอรไ์ ด้อย่างถกู ต้อง (K) 4. นักเรียนสามารถอธิบายการเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำจากการที่สนามแม่เหล็กกำเนิดไฟฟ้า เปลี่ยนแปลงตัดผ่านลวดตัวนำ และหลักการทำงานของเคร่ืองได้อย่างถูกต้อง (K) 5. นักเรยี นสามารถอธบิ ายสมบตั ิของแรงออ่ นและแรงเขม้ ได้อยา่ งถูกตอ้ ง(K)
46 3.2 ด้านทักษะพิสยั (P) 1. นักเรียนสามารถอภิปรายแรงโน้มถ่วงที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุต่าง ๆรอบโลกได้อย่าง ถูกต้อง (P) 2. นักเรยี นสามารถอภิปรายการเกิดสนามแมเ่ หลก็ เน่อื งจากกระแสไฟฟา้ ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง (P) 3. นักเรียนสามารถอภิปรายแรงแม่เหล็กที่กระทำต่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ใน สนามแมเ่ หล็กรวมทงั้ หลกั การทำงานของมอเตอรไ์ ด้อย่างถกู ต้อง (P) 4.นกั เรียนสามารถอภิปรายการเกิดอีเอ็มเอฟเหนย่ี วนำได้อยา่ งถูกต้อง (P) 5.นกั เรียนสามารถอภิปรายสมบตั ขิ องแรงออ่ นและแรงเขม้ ได้อย่างถูกต้อง (P) 3.3 ด้านเจตพิสัย (A) 1.นกั เรียนเลง็ เหน็ ถึงความสำคัญของแรงโนม้ ถว่ งท่ีเกยี่ วกับการเคลอื่ นท่ีของวตั ถุตา่ ง ๆรอบโลก (A) 2.นกั เรยี นสามารถตระหนกั ถึงความสำคัญของการเขียนแผนภาพการรวมแบบเวกเตอร์ไดอ้ ยา่ ง ถกู ต้อง (A) 3.นักเรียนเล็งเหน็ ถงึ ความสำคัญของแรงแม่เหล็กท่ีกระ- ทำต่ออนภุ าคท่ีมปี ระจุไฟฟ้าท่ีเคลอื่ นท่ีใน สนามแมเ่ หล็กรวมทั้งหลักการทำงานของมอเตอร์ (A) 4.นักเรยี นเล็งเหน็ ถึงความสำคญั ของการเกดิ อเี อ็มเอฟ(A) 5.นกั เรียนเลง็ เห็นถงึ ความสำคัญของสมบตั ขิ องแรงออ่ นและแรงเขม้ (A) 4.สาระสำคญั แรงในธรรมชาติมาจากแรงพื้นฐานทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้าแรง อ่อนและแรงเข้ม แรงแต่ละประเภทมสี มบตั ิและมอี นุภาคที่เก่ียวข้องแตกตา่ งกนั แรงโน้มถว่ งเป็นแรงที่เกดิ ขึ้นกับวัตถุที่มีมวลตามกฎความโน้มถ่วงสากล ความรู้เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงสามารถนำมาอธิบายการโคจร ของดวงจันทร์หรอื ดาวเทียมรอบโลก และการสง่ ดาวเทยี มขึ้นสอู่ วกาศ แรงประเภทที่สอง คือ แรงแม่เหล็กไฟฟ้า สามารถแยกได้เป็นแรงไฟฟ้ากับแรงแม่เหล็ก โดยแรง ไฟฟ้าเป็นแรงที่เกิดขึ้นกับอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเมื่ออยู่ในสนามไฟฟ้า ซึ่งได้ศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ตอนต้น สำหรับแรงแม่เหล็กนอกจากจะเกิดขึ้นกับสารแม่เหล็กเมื่ออยู่ในสนามแม่เหล็ก ยังสามารถเกิด ขึ้นกับอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าในเส้นลวดตัวนำทีอ่ ยู่ในสนามแม่เหล็ก เมื่อแนวการเคลือ่ นที่ ของประจุหรือแนวเส้นลวดตัวนำไม่ขนานกับทิศสนามแม่เหล็ก ในทางกลับกัน เมื่ออนุภาคมีประจุไฟฟ้า เคลื่อนที่ หรือมีกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ จะเกิดสนามแม่เหล็กรอบอนุภาคหรือเส้นลวดตัวนำน้ัน นอกจากนี้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กที่ผ่านขดลวดตัวนำ จะเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำและกระแส เหนี่ยวนำในขดลวด ความรู้ทางด้านนี้นำไปสู่สิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวก เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า เครือ่ งกำเนดิ กระแสไฟฟ้า ลำโพง ไมโครโฟน เป็นต้น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144