Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบคำสอนการฟังและการพูด

เอกสารประกอบคำสอนการฟังและการพูด

Published by Education, 2022-02-03 02:16:36

Description: เอกสารประกอบคำสอนการฟังและการพูด

Keywords: เอกสารประกอบคำสอนการฟังและการพูด

Search

Read the Text Version

84 โปรดสังเกตการข้ึนตน้ ของคาถามในขอ้ Are you? ในการตอบ Yes, I am, หรือ No, I'm not. ในข้อ Do you ...? ในการตอบ Yes, I do. หรือ No, I don't. อย่าตอบสลับกัน ถามด้วยกริยาอะไร ต้องใช้กริยาแบบน้ันใน การตอบ เช่น ถาม Are you crazy ? ตอบ Yes, I am. หรอื No, I'm not ไม่ใช่ Yes, I do. /No, I don't เม่ือถามด้วยกรยิ า to do (do, does, did ...) โครงสร้างประโยคกจ็ ะเป็นดังน้ี Do you love dog? ตอบ Yes, I do. /No, I don't. Does he hate her? ตอบ Yes, he does. /No, he doesn't. Did she like it? ตอบ Yes, she did. /No, she didn't. A: Do you like Thai food? คุณชอบอาหารไทยไหม B: ตอบ Yes, I do. จะต่อดว้ ย I love it. ก็ได้ หรอื No, I don't. I don't like spicy food. 4.7.4 Tips on the Use of Words Expressing Emotions and Feelings ขอ้ แนะนาเกี่ยวกับการใชค้ าท่ีแสดงอารมณค์ วามรู้สึก คาทีแ่ สดงอารมณ์ความรสู้ ึกตา่ ง ๆ เหลา่ นมี้ ีคาขยายทแ่ี สดงระดับอารมณค์ วามรู้สึก เช่น absolutely / อยา่ งแทจ้ รงิ โดยสน้ิ เชิง จริง ๆ too /ท/ู เกนิ ไป เหลือเกนิ very /เวร้ ี/ มาก I'm absolutely surprised to see you here. ฉนั รสู้ กึ ประหลาดใจจรงิ ๆ ทไี่ ดเ้ หน็ คุณที่นี่ Nan is too angry with you, so stay away from her now. แนนโกรธคณุ มากเหลอื เกิน ดังนน้ั อยหู่ ่าง ๆ เธอไวต้ อนน้ี We are very sad about her death. พวกเราเสียใจกบั การตายจากไปของเธอมาก คาที่ลงท้ายดว้ ย -ful มคี วามหมายว่า “เต็มไปดว้ ย” คาตรงกนั ข้ามคือคาท่ลี งทา้ ยดว้ ย –less “ปราศจาก” You should never be fearful of speaking out. คุณไม่ควรจะกลัวท่ีจะพดู ในสิง่ ที่คิดวา่ ไม่ถูกต้อง You should be fearless of telling the truth. คุณไม่ควรจะกลวั ทจี่ ะบอกความจริง (สนใจ ไชยบญุ เรอื ง, 2563, หนา้ 200-212)

85 แบบประเมินตนเองหลงั เรยี น Directions: Select the correct answer by cross (X) on a, b, c or d 1. A: would you mind if I turn off the fan. B: ……………………………………………. a. So so b. Yes, I mind c. I am not sure. d. There are 4 fans. 2. A: Thank you for your invitation B: ………………………………………………. a. I disagree. b. Why not? c. You are welcome. d. Sorry, you cannot. 3. A: Excuse me, what did you say? ……… B: ...................................................................... a. I said, “please take a seat” b. Why are you ok? c. Are you fine? d. What wrong with you? 4. A: I must leave now. B:........................................................................................... a. Good bye. b. Not at all. c. Until next time. d. That’s it. 5. I hope we will meet again. a. I must leave now. b. Have a good day. c. Good luck. d. I hope so.

86 เอกสารอ้างองิ ชดิ พงษ์ กวีวรวุฒิ และคณะ. (2550). พดู องั กฤษ 1,200 ประโยค. กรงุ เทพฯ: เอม็ ไอเอส ซอฟทเ์ ทค. ปเี ตอร์ แมทธิว เบอรเ์ จส. (2553). ใช้ภาษาองั กฤษอย่างไรให้ถูก.(พิมพค์ รงั้ ที่ 2). กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ถนนพญาไท เขตประทุมวัน 10330. เพ็ญนภา รุจินันท.์ (2557). พูดภาษาองั กฤษปร๋อไม้งอ้ ติวเตอร์. กรุงเทพฯ: ซเี อ็ดยูเคชั่นจากดั . ลาดวน จาดใจดี. (2544). English Conversation for Family. กรงุ เทพฯ: ไทยเจรยิ การพิมพ์ 64-70 ซอย ลาดพรา้ ว 107 ถนนลาดพร้าว คลองจ่นั บางกะปิ 10240. เสมอจติ สัจจปยิ ะนิจกลุ . (2549). Basic English. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพด์ อกหญา้ วชิ าการ, สนใจ ไชยบุญเรือง. (2563). การออกเสยี งคาศพั ท์และประโยคสดุ เจ๋ง! ทคี่ นอยากพูดภาษาอังกฤษได้ต้องรู้. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ โอเพ่น ไอเดยี . สมชาย ชัยธนะตระกูล. (2555). เรียนพดู ภาษาองั กฤษใน 6 สัปดาห.์ นนทบุรี: ไฮเทค พริน้ ต้งิ 101/293 หม่ทู ี่ 10 ถนนราชพฤกษ์ ต. บางกรา่ ง อ. เมือง จ. นนทบรุ ี 11000. Frankel, Irene; & Kimbrough, Victoria. (2015). Gateways 2: Student Book. New York: Oxford University Press. Somkeit, Poopatwiboon. (2000). Communicative English for Staff. Maha Sarakham: Apichat Printing Press. 50 Phangmuangbancha Rd. Muang. 44000. University of Newcastle. (2010). International Foundation: English for Tertiary Study II. Australia: Person Australia Unit 4, Level 3, 14 Aquatic Drive, Frenchs Forest, Sydney NSW 2086.

แผนการสอนประจาหนว่ ยท่ี 5 Schooling การเล่าเรยี นในโรงเรียน วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม 1. สามารถใชภ้ าษาองั กฤษในห้องเรยี น 2. สามารภใชภ้ าษาเพื่อการเรยี นรู้ 3. สามารถใชภ้ าษาอังกฤษเพ่อื ช่ืนชม 4. สามารถใชภ้ าษาอังกฤษเพื่อการช้ีแนะหรือสง่ั การ 5. สามารถใชภ้ าษาอังกฤษเพื่อการออกคาสงั่ 6. สามารถใชภ้ าษาอังกฤษเพื่อการให้สญั ญา เนอ้ื หา 5.1 Classroom language การใช้ภาษาอังกฤษในห้องเรียน 5.2 Language for Learning ภาษาเพ่ือการเรยี นรู้ 5.3 Compliment ชน่ื ชม 5.4 Directive function การช้ีแนะหรือสง่ั การ 5.5 Command การออกคาสั่ง 5.6 Promise การใหส้ ัญญา การจัดการเรียนรู้ 1. ทาแบบฝึกปฏบิ ตั กิ ่อนเรยี น 2. ศึกษาเอกสาร 3. ปฏิบตั ิกิจกรรมตามท่ไี ด้รับมอบหมายในเอกสารการสอนแต่ละตอน 4. ทบทวนและสร้างสถานการณ์จาลองให้ผเู้ รียนไดใ้ ชป้ ระโยค 5. ทาแบบฝกึ ปฏิบัติหลังเรยี น ส่ือการจัดการเรยี นรู้ 1. เอกสารการสอน 2. Power point 3. Facebook Group 4. E-book

88 การประเมนิ ผล 1. ประเมนิ ผลจากแบบฝึกปฏิบัติกอ่ นเรยี นและหลังเรียน 2. ประเมนิ ผลจากกจิ กรรมในเอกสารการสอน 3. ประเมินผลจากการสอบไล่ประจาภาคการศกึ ษา แบบประเมนิ ตนเองก่อนเรยี น Directions: Choose the correct answer by cross (X) on a, b, c or d 1. Teacher : Shout out ‘present’ if you are here. Students :.......................................................................... a. Thank you, and you ? b. I am fine. c. I am not d. Present 2. I got A in Mathametics. If you hear that from your friend, what should you say? a. Wow! b. That’s excellent. c. It’s not impossible. d. I do not belive that. 3. If the teacher cannot hear student’s answer. What should teacher say? a. Calm down. b. Louder, please c. Work on your own d. Find yourself a seat 4. Which sentence is not Command? a. Get back to your seat. b. Hardly ever c. Open the door. d. Stand up and show your picture.

89 5. Tom: Do you hear me? Tum: ........................................................................ a. Yes I do. b. It’s all right. c. Good night. d. See you again.

90 เรอื่ งที่ 5.1 Classroom Language การใช้ภาษาในหอ้ งเรยี น คาศัพทภ์ าษาอังกฤษทีเ่ ก่ียวข้องกับการเรียนการสอน โรงเรียน วิชา อุปกรณก์ ารเรียนการสอน เปน็ สิ่งท่ี ครูและนักเรียนควรรู้ ตัวอย่างเช่น ชื่อโรงเรียนเป็นช่ือเฉพาะ ต้องเขียนขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่ รวมท้ังคาว่า School ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชื่อ (แต่ถ้าใช้ในความหมายว่า โรงเรียนทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องเขียนด้วยตัวอักษรตัวใหญ่) และควรจะสะกดตามที่ทางโรงเรยี นใช้ นักเรียนควรจะบอกได้ว่าเรียนทไ่ี หน โรงเรียนอะไร เป็นโรงเรยี นประเภท ไหน มขี นาดเท่าไร ตั้งอยู่ทใี่ ด ดังตวั อยา่ งต่อไปน้ี 5.1.1 The Name (ชอ่ื ) My school is ABC. โรงเรยี นของฉันช่ือ ABC I go to ABC School. ฉันเรียนที่โรงเรียน ABC The name of my school is ABC. ช่ือโรงเรียนของฉัน คอื ABC 5.1.2 Location(สถานที่ตงั้ ) ที่ตั้งของโรงเรียนก็บอกว่าตั้งอยู่ในเขตไหนหรือชุมชนอะไรหรือบอก address ของโรงเรียน มีเลขท่ี (เหมอื นท่ีเลขทบี่ า้ นใช้) ถนน อาเภอจงั หวัด จะพูดไดด้ ังนี้ • It's located in the area of Nongtama. (ช่ือเขต หรอื ชอื่ ชมุ ชนหนองตะมะ ) (โรงเรียนตั้งอยู่ในเขต ... หรือชุมชน..... ) ช่ือเขตในเมืองไทยก็พูดชื่อสาเนียงไทยได้ในภาษาเขียน ให้เขียนข้ึนต้นด้วยอักษรตัวใหญ่ ถ้าเป็นช่ือชุมชนก็ให้พูดชื่อก่อนแล้วตามด้วยคาว่า Nongtama Community (ชมุ ชน หนองตะมะ) • Its address is 319, Thai Panta Road, Po, Muang, Sisaket • (เลขท่ี ถนน ตาบล อาเภอ จังหวัด) (ท่อี ย่ขู องโรงเรยี น คอื 319, ถ. ไทยพันทา, ต. โพธิ์, อ.เมือง จ.ศรสี ะเกษ ) 5.1.3 Size (ขนาด) (1) โรงเรยี นขนาดเล็ก a small school (2) โรงเรียนขนาดกลาง a medium-sized school (3) โรงเรยี นขนาดใหญ่ a big school

91 (4) โรงเรยี นขนาดใหญพ่ เิ ศษ an extra-large school นักเรียนควรจะทราบว่าโรงเรียนของตัวเองเป็นโรงเรียนขนาดไหน ถ้าไม่แน่ใจสอบถามทางโรงเรียนจะ ได้ข้อมูลที่ชดั เจน • It's a small school. เปน็ โรงเรยี นขนาดเลก็ 5.1.4 Type ประเภทของโรงเรียน 1.Prívate school / โรงเรยี นเอกชน 2.Públic school/ โรงเรยี นรฐั บาล 3.Eleméntary school /โรงเรยี นระดบั ประถมศกึ ษา 4.Primary school / โรงเรียนระดับประถมศึกษา 5.Secondary school /โรงเรยี นระดับมธั ยมศึกษา 6. Lower Secondary school /ช้ันมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ (ม.1 - ม.3) 7. Higher Secondary school / ชั้นมัธยมศกึ ษาตอนปลาย ได้

92 การแบ่งระดับช้ันเรียนในประเทศไทยท่ีจะเทียบเท่าช้ันเรียนในโรงเรียนในระบบการศึกษาแบบอเมริกัน ซง่ึ กเ็ ป็นทีร่ ู้จกั กันแพรห่ ลายได้ ดงั นี้ แบบไทย Grade 1 แบบอเมรกิ นั Grade 2 ป. 1 Grade 3 elementary school ป. 2 Grade 4 ป. 3 Grade 5 middle school/junior high school ป. 4 Grade 6 (แต่ในบางรัฐ จะรวม Grade 9 ดว้ ย) ป. 5 Grade 7 ป. 6 Grade 8 ม. 1 Grade 9 ม. 2 ม. 3 ม. 4 Grade 10 senior high school ม. 5 Grade 11 ม. 6 Grade 12 เมื่อจะบอกว่าเรียนชัน้ ไหน พดู ได้ว่า • I'm in grade _________. ฉันเรยี นอยู่ชั้น_________. ซง่ึ ในการบอกระดบั ชนั้ ถา้ พดู คาวา่ grade ขน้ึ กอ่ นก็บอกเลขบอกจานวนเต็ม เชน่ เรยี นอยู่ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 4 • I'm in grade ten. แตถ่ ้าเอาคาว่า grade ไวห้ ลังตัวเลข ให้ใชเ้ ลขบอกลาดับท่ี เช่น • I'm in the tenth grade. • I'm a tenth grader. ฉนั เปน็ นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4

93 5.1.5 คาศัพท์เกีย่ วกบั นกั เรยี น 1. Pupils, schoolchild นักเรียนระดบั ประถมศกึ ษา 2. Student, school student นักเรียนระดับมธั ยมศกึ ษา 5.1.6 Uniform เครอื่ งแบบ โรงเรียนในประเทศไทยมเี คร่อื งแบบเป็นของแตล่ ะโรงเรียนเอง ซึ่งจะแบง่ เป็น 1. the uniform for boys / เคร่อื งแบบสาหรับนักเรยี นชาย 2. the uniform for girls / เครอื่ งแบบสาหรับนักเรยี นหญงิ 5.1.7 Personnel บคุ ลากรในโรงเรยี น 1. school director/director ผู้อานวยการ 2. deputy director / รองผ้อู านวยการ 3. assistant director / ผ้ชู ว่ ยผู้อานวยการ 4. principal / ครใู หญ่ อาจารย์ใหญ่ 5. school board /สกูล บอรด̣ / คณะกรรมการบริหารโรงเรียน 6. committee / คณะกรรมการ 7. manager /ผู้จัดการ 8. headmaster / หัวหนา้ คณะครูในโรงเรียนเอกชน (ทเ่ี ปน็ ผชู้ าย) 9. headmistress / หวั หนา้ คณะครูในโรงเรยี นเอกชน (ทเ่ี ป็นผหู้ ญิง) 10. head of the ... department / /หวั หนา้ สาขา.../หวั หนา้ หมวด .../หัวหน้าแผนก... 11. teacher / ครู 12. schoolteacher /ครู 13. specialist teacher / /ครทู มี่ คี วามเช่ียวชาญพิเศษเฉพาะทาง 14. secretary / เลขานุการ 15. janitor; caretaker / นักการภารโรง 16. security guard /ยามรักษาความปลอดภยั 17. maid / แม่บ้าน ผู้ทาความสะอาด

94 5.1.8 School Subjects/ วชิ าทเี่ รยี นในโรงเรียน รายวชิ าทีเ่ รยี นในระดบั ประถมศึกษาและมธั ยมศกึ ษา 1. art /อาร̣ท/ ศิลปะ 2. biology /ไบอ้อล่ะจี/ ชวี วิทยา 3. botany /บอ็ ทนี/ พฤกษศาสตร์ 4. Boy Scout /บอย สเกา๊ ท̣/ ลูกเสอื 5. Buddhism /บดุ๊ ดิซมั / พทุ ธศาสนา 6. chemistry/เคม้ มสั ตรี: เค้มมสิ ตรี เคมี 7. Chinese /ไชนีซ/ ภาษาจีน 8. citizenship/ซทิ ท่ะเซ็นชพิ ; ซิททเิ ซ็นชิพ/; (civics /ซิวคิ ส)̣ หน้าท่พี ลเมอื ง 9. computer /คมั พยู้เดอร̣, คัมพยู้ทะ่ / คอมพิวเตอร์ 10. dance /แดน๊ ส:̣ ด๊านส̣/ นาฏศิลป์ 11. drama /ดร๊ามะ่ / การแสดง 12. French /เฟร้นฉ/̣ ภาษาฝร่งั เศส 13. geography/ จีออ๊ กระฟี/ ภมู ิศาสตร์ 14. German /เจ้อรม̣ ัน/ ภาษาเยอรมัน 15. Girl Guide, Girl Scout/ เกริ ล̣ กายด̣, เกริ ̣ล สเก๊าท̣/ เนตรนารี 16. guidance /กายด้ึนส̣/ การแนะแนว 17. health and hýgiene /เฮ้ลต แอ็นด̣ ไฮจ้ นี / สุขอนามัย 18. health education /เฮล้ ต เอ้จจะเค้ชัน; เอ้จจุเคช้ ึน/ สุขศึกษา 19. history /อิสตรี/ ประวตั ศิ าสตร์ 20. home economics /โฮม เอค็ ค่ะน็อมมิคสุ; อีค่ะน้อมมิคส/̣ การงานพ้นื ฐานอาชีพ 21. information and communication technology (ICT) 22. /อนิ เฟอร̣เม้ชัน; อินฟะ่ เมช้ ึน แอ็นด̣ คม้ั ยนู เิ คช้ นั ; คมั้ ยูนิเคช้ นึ เท็คนอ้ ลล่ะจี/เทคโนโลยสี ารสนเทศ 23. Italian /อะแทล้ ยัน; อิแทล้ ิอัน/ ภาษาอิตาลี่ 24. literature /ลิ้ททร่ะเฉอร̣; ลท้ิ ทระ่ ฉะ/ วรรณคดี 25. mathematics (math, maths) /แมต็ ตะแม็ทดคิ ส̣; แมต็ ตะแมท็ ทคิ ส̣/คณิตศาสตร์ 26. music /มยซู้ ๋ิค/ ดนตรี 27. physical education (PE) / ฟซ้ี คิ ลั เอ้จจะเคช้ นั ; ฟีซ้ ิคึล เอ็จจเุ คช้ ึ่น (พอี )ี /พลศึกษา 28. physics /ฟซี้ ซ๋คิ ส/̣ ฟสิ กิ ส์ 29. science /ไช้อนั ส̣/ วทิ ยาศาสตร์ 30. social studies /โซช้ ัล สต๊ัดดซี / สังคมศึกษา 31. Thai/ไท/ ภาษาไทย

95 32. Thai classical dance /ไท แคล้สสิคลั แดน้ ส̣; คล้าสสิคึล ด้านส̣/ ราไทย 5.1.9 Words About the Equipment คาเกี่ยวกับอปุ กรณ์ในหอ้ งเรียน 1. blackboard /แบล็คบอร̣ด/ กระดานดา 2. book /บุ๊ค/ หนังสือ 3. chair /แฉร̣/ เก้าอี้ 4. chalk /ฉอค/ ชอลก์ 5. compúter /คัมพยู้เดอร̣/ คอมพิวเตอร์ 6. cráyon /เครอ้ ัน/ ดนิ สอเทียน 7. desk /เดสค/̣ โตะ๊ ทีม่ ีลนิ้ ชัก 8. díctionary /ด๊กิ ชนั เนร/ี พจนานกุ รม 9. eléctrical outlet /อิเลค็ ทริคัล / ชอ่ งเสียบต่อกระแสไฟฟา้ 10. eráser /อิเร้เสอร̣/ (ภาษาองั กฤษแบบอเมรกิ นั ) 11. rubber /รบั บะ/ (ภาษาองั กฤษแบบองั กฤษ) ยางลบ 12. exténsion cord /อิคส̣เตน้ ชนั คอร̣ด/ที่สาหรับเสียบสายไฟฟ้าพว่ ง (ปลกั๊ สามตา) 13. light /ไลท้ /̣ แสงสว่าง (แสงอาทิตย์ แสงไฟฟ้า) 14. nótebook /โน้ทบุค/ สมุด 15. pen /เพน็ / ปากกา, ballpoint (pen) /บอ้ ลพอ่ ยน̣ท̣ (เพน็ )/ปากกาลูกลื่น 16. highlighter /ไฮไ้ ลเดอร̣/ปากกาสีท่ใี ช้ขีดเนน้ ส่วนทสี่ าคญั 17. felt-pen (felt-típ pen) /เฟ้ลท-̣ เพน็ (เฟ้ล-ทพิ เพ็น) ปากกาเมจิก 18. péncil / เพน้ ซึล/ ดินสอ 19. péncil shárpener/เพน้ ซลั ชา้ รพ̣ เนอร̣/ที่เหลาดินสอ 20. táble / เทบ้ ลึ / โต๊ะ 21. whíteboard /ไวท้ บ̣ อร̣ด/ กระดานไวท์บอรด์ 22. whíteboard márker /ไว้ทบ̣ อรด̣ มา้ ร̣คเคอร/̣ ปากกาเขยี นกระดานไวท์บอรด์ 5.1.10 Class Instructions //(คาสั่ง/คาแนะนาในหอ้ งเรยี น) คาส่ังท่ีครูบอกให้นักเรียนทา จะข้ึนต้นด้วยคากริยาที่ครูบอกให้ทา ถ้าเป็นคาสั่งห้ามทา ข้ึนต้นด้วย Don't.... เชน่ 1. Answer these questions. ตอบคาถามเหลา่ น้ี 2. Be careful. ทางานดว้ ยความรอบคอบหนอ่ ย ระวัง

96 3. Be quiet. เงียบ 4. Close your book. ปิดหนงั สอื 5. Come here. มาน่ี 6. Correct your mistakes. แกข้ ้อท่ีผดิ 7. Do as I say. ทาตามทีฉ่ นั พูด 8. Do what is requested. ทาตามทีถ่ ูกขอให้ทา 9. Erase the board, please. ช่วยลบกระดานหนอ่ ย 10. Find a group of four and do the work.หาเพ่ือนเข้ากลมุ่ ๆ ละ 4 คน แล้วทางาน 11. Finish your work by three o'clock. ทางานให้เสรจ็ ก่อนเวลาบา่ ยสามโมง 12. Go to the library and borrow books on wild animals. ไปห้องสมุดและยืมหนังสือเกี่ยวกับ สัตว์ปา่ 13. Hand in your work next Monday. สง่ งานวันจนั ทรห์ น้า 14. Lean these words. เรียนคาเหลา่ นี้ไว้ 15 Line up. (ภาษาองั กฤษอเมรกิ นั ) 15. Queue up. (ภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ) เข้าแถว เขา้ คิว 16. Listen to me. ฟงั ฉนั 17. Look up the words you don't understand. คน้ หาความหมายของคาทไี่ มเ่ ข้าใจ 18. Make two teams. แบง่ เป็น 2 ทีม 19. Open your book at page 15. เปดิ หนังสือหน้า 15 20. Pay attention to what your friend is saying. ต้ังใจฟงั สิง่ ทีเ่ พอื่ นกาลงั พูดหน่อย 21. Plug in the microphone.เสียบปล๊ักไมโครโฟน 22. Raise your hand if you have a question.ยกมือขึ้นถ้ามีคาถาม 23. Read this poem aloud.อา่ นกลอนบทนี้ดงั ๆ 24. Read this paragraph silently. อา่ นยอ่ หน้านใี้ นใจ 25. Sit down. นั่งลง 26. Speak louder, please. ช่วยพูดดงั กวา่ นี้ 27. Stand up. ยืนข้นึ 28. Take responsibility for your own learning sometimes. บางคร้งั นักเรียนตอ้ งรบั ผดิ ชอบการเรียนรขู้ องตัวเอง

97 29. Tell me the truth. 30. Turn your book to page 8. เปดิ หนงั สือไปหน้าแปด 31. Wear your school uniform on this field trip. ในการไปทศั นศกึ ษาครัง้ นี้ ให้ใสช่ ดุ นักเรยี นไป 32. Work by yourself. ทางานเองตามลาพัง 33. Work with your partner. ทางานกบั ค่ขู องเธอ 34. Work in groups.ทางานเป็นกลุ่ม 35. Write in English, not in Thai. เขยี นเป็นภาษาองั กฤษไม่ใชภ่ าษาไทย 36. Don’t ... อยา่ .... หา้ ม…….. 37. Don't disturb others. อยา่ รบกวนคนอืน่ 38. Don't cheat. ห้ามทจุ รติ 39. Don't eat in class. หา้ มรบั ประทานอาหารในหอ้ งเรยี น 40. Don't jump out. อยา่ กระโดดออกไป 41. Don't look at your friend's answer. อยา่ ดูคาตอบของเพ่อื น 42. Don't play here. อย่าเล่นทนี่ ี่ 43. Don't make so much noise. อย่าทาเสยี งดงั 44. Don't take a nap in class. อยา่ งีบหลับในหอ้ งเรียน 45. Don't take photographs while I'm teaching. อย่าถ่ายรปู ขณะทคี่ รูกาลงั สอน 46. Don't shout. อย่าตะโกน (shout at ใคร คอื ตะโกนด่าเขา shout to ใคร คอื ร้องตะโกนเพื่อให้ เขาไดย้ นิ ) นอกจากน้ี ครูอาจจะพูดในเชิงขอร้อง requests แบบสุภาพหรือถามคาถาม questions เม่ือขอให้ นกั เรยี นทาอะไร เช่น 1. Could you please write these words on the board? ขอให้เขยี นคาเหลา่ นี้บนกระดาน 2. Could you erase the board, please? ขอให้ชว่ ยลบกระดาน 3. Could you share your book with her? ขอให้เธอดูหนงั สือของหนดู ว้ ยได้ไหม - เนปา 4. Could you repeat after me? ขอใหน้ กั เรียนพูดตามครู (การใช้ Could you ....? ในการพูดขอร้อง จะฟังดูสุภาพกว่าการใช้ Can you ...? หรือจะใช้ Would you ... วุด ย/ู ก็ได้ เชน่ 1. Would you say that again? เธอพูดอกี ครงั้ ไดไ้ หม 2. What does babe mean? คาวา่ (คาทีต่ อ้ งการถาม) หมายความวา่ อะไร 3. How do you pronounce this word? เธอออกเสียงคานอ้ี ยา่ งไร (ในกรณีนี้ ตอ้ งเขียนหรอื ช้ีหรอื เอาคาให้ด)ู

98 4. How do you spell fish? คณุ สะกดคาว่า ... อยา่ งไร 5. How do you use this word in a sentence? เธอใช้คาน้ใี นประโยคอย่างไร 6.What's the difference between X and Y? ความแตกต่างระหวา่ ง คาหน่ึง และ อกี คาหนึ่ง คือ อะไร (between = ระหวา่ งสิ่งของสองอย่าง คนสองคน สองกลุ่ม มากกว่าสองใชค้ าว่า among ระหวา่ งเวลา ใช้ during ) Tips 1. คาว่า school ในระดับอุดมศึกษา อาจจะหมายถึงคณะ Faculty และ college อาจจะหมายถึง มหาวทิ ยาลัย university 2. SAT: Standard Assessment Test เป็นข้อสอบมาตรฐานระดับชาติวัดความรู้นักเรียนในประเทศ สหรัฐอเมริกา 3. โรงเรียนท่ัว ๆ ไปโรงเรียนธรรมดาใช้ ordinary schoolโรงเรียนสาหรับนักเรียนที่มีความจาเป็น พเิ ศษ เรียก Special school เชน่ • art school โรงเรียนสอนศิลปะ • language School โรงเรยี นสอนภาษา • music school โรงเรียนสอนดนตรี • school for disabled children (โรงเรียนสาหรับเด็กที่มีความบกพร่องต่าง ๆ ซึ่งไม่ควรใช้คาว่า handicapped / = พกิ าร) 4. ปกี ารศกึ ษา the academic year 5. การทดสอบยอ่ ย quiz /พหูพจน์ใช้ quizzes 6. ช่วงหยดุ พกั 15-20 นาที ภาคเช้าหรอื ภาคบา่ ยใช้คาวา่ recess /รี้เซส/ 7. แฟ้มสะสมงาน portfolio (สนใจ ไชยบุญเรอื ง 2563: 212-232) เรอ่ื งที่ 5.2 Language for Learning ภาษาเพอ่ื การเรียนรู้ การใช้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราไปแล้ว โดยเฉพาะในสถานศึกษาท่ีนโยบายรัฐบาล ม่งุ เน้นให้ใช้แนวการสอนบูรณาการเนื้อหาและภาษา (Content and Language Integrated: CLIL) เป็นวิธกี าร เรียนการสอนท่ีใช้ภาษาท่ีสองเป็นสื่อกลางในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะทางด้านภาษาเพื่อให้ผู้เรียนมี ประสิทธิภาพในการสื่อสารมากขึ้น (Coyle, Hood,& Marsh, 2010) วิธีการสอนนี้มุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียนท้ัง

99 ด้วยเน้ือหาวิชาและด้านภาษาในเวลาเดียวกัน (Graddol, 2006) กล่าวว่า แนวการสอนบูรณาการเนื้อหาและ ภาษาเปน็ วิธเี รียนเนอ้ื หาวิชาตา่ ง ๆ ผ่านการใชภ้ าษาอังกฤษผู้สอนควรมีความรูด้ ้านภาษาทจ่ี าเปน็ และสอดคล้อง กับเนื้อหาท่ีเรียน (Dalton, Puffer, 2011) ได้ให้ความหมายของแนวการสอนบูรณาการเน้ือหาและภาษาว่าเป็น วธิ ีการสอนท่ีเนื้อหารายวิชาถูกนามาสอนโดยใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางภาษาต่างประเทศผ่าน การผนวกการเรียนรู้เน้ือหาวิชาและภาษาเข้าด้วยกัน (Coyle, Hood & Marsh, 2010) กล่าวว่าหลักของการ สอนภาษามคี วามเก่ียวขอ้ งกับ แนวการสอนบูรณาการเนอื้ หาและภาษาเนอื่ งจากการเรียนรภู้ าษาท่ีดเี กดิ จากการ เรียนรผู้ ่านการใชภ้ าษาในบรบิ ทท่เี ปน็ จรงิ หรือเสมือนจริงซึ่งลกั ษณะดังกล่าวสามารถสรุปไดด้ ังน้ี 1. ภาษาเป็นเครอื่ งมอื ในการสื่อสาร 2. บริบทและสถานการณท์ ีห่ ลากหลายเป็นส่วนหนง่ึ ของการพัฒนาความสามารถด้านภาษา 3. วฒั นธรรมเปน็ สง่ิ สาคญั ในการเรียนภาษา 4. วธิ ีหรือเทคนคิ การเรยี นการสอนไม่ไดม้ ีวธิ เี ดยี ว ดังนั้นผู้สอนไม่ควรยดึ วิธกี ารใดวธิ ีการหนึ่งในหารสอน ภาษา 5. เป้าหมายของการเรียนภาษา คือ ความสามารถในการใชภ้ าษาในสถานการณ์ท่ีเสมือนจริงเพื่อพัฒนา ทักษะการสือ่ สาร กรอบแนวคิดทางภาษา 3 ด้าน (The Languages Triptychs) อธิบายถึงแนวการสอนบูรณาการเนอื้ หา และภาษาท่ีมีความสัมพันธ์กัน 3 ด้าน ได้แก่ ภาษาของการเรียนรู้ (Language of Learning) ภาษาเพื่อการ เรียนรู้ (Language for Learning) ภาษาผ่านการเรียนรู้ (Language through Learning) (Coyle, Hood,& Marsh, 2010) โดยภาษาของการเรียนรู้ (Language of Learning) เป็นภาษาท่ีจาเป็นสาหรับผู้เรียนท่ีจะช่วย ให้ผู้เรยี นเขา้ ใจแนวคดิ พนื้ ฐานทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับเนื้อหาวชิ าที่เรียน ภาษาเพ่ือการเรียนรู้ (Language for Learning) เป็นภาษาท่ีใช้เพื่อการส่ือสารในสภาพแวดล้อมที่ภาษาต่างประเทศเป็นภาษาหลักที่ใช้ในการสื่อสาร ได้แก่ การ ใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารในการทางานคู่ งานกลุ่ม การถามการตอบ การพูดคุย การอธิบายกลุ่มและการทา กิจกรรมต่าง ๆ ในห้องเรียน ภาษาของการเรียนรู้ (language of Learning) หมายถึงความรู้ทางภาษาท่ีเกิด จากการซึมซับ การคิด คุ้นเคยจากการปฏิสัมพันธ์ผ่านกระบวนการเรียนรู้และกิจกรรมในห้องเรียน หาก กระบวนการรู้เป็นไปตามข้ันตอนดังกล่าว ผู้เรียนก็จะเกิดการพัฒนาความสามารถทางภาษาไปสู่ระดับที่มี ประสทิ ธภิ าพมากยิ่งขึ้น จากการศึกษางานวิจัยข้างต้นผู้เขียนตระหนักถึงความสาคัญของการเตรียมนักศึกษาครูให้สามารถ ส่ือสารในห้องเรียนเป็นภาษาอังกฤษและสามารถถ่ายทอดเน้ือหาวิชาอื่น ๆ เป็นภาษาอังกฤษให้ได้ ซึ่งเป็น

100 แนวทางในการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นครูแห่งศตวรรษที่ 21 ท่ีใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลในการสื่อสารอย่าง ไร้พรมแดน เรามาเร่ิมใชภ้ าษาอังกฤษในห้องเรยี นด้วยประโยคเหลา่ นี้ 1. A: Shout out ‘present’ if you are here. ถ้ามาให้พูดว่า ‘present’ ด้วยนะ (ถา้ คุณอยู่ทน่ี ี่) B: Present. มาคะ 2. A: Who is missing? ใครหายไป ? ใครไมม่ า ? A หายไป B: A is missing ไม่มใี ครหายไป C: Nobody is missing. เราจะไมเ่ รม่ิ จนกวา่ ทุกคนจะ 3. We won’t start until everyone is quiet. เงียบ ยังได้ยนิ เสยี งคุยกนั ข้างหลัง 4. I’m still hearing some noise at the back. พดู ตามฉันนะ 5. Repeat after me. กรุณาอกี ครั้ง 6. Again please. ทากันเสร็จหรือยัง ? 7. A: Have you all finished? เสร็จแล้วคะ่ ยงั ไมเ่ สร็จ B: Yes we have. ยังเลยคะ่ C: No, we haven’t. ไดย้ นิ เสยี งฉันไหม ? D: Not yet. ค่ะ ไดย้ นิ คะ่ 8. A: Do you hear me? ไม่ ไม่ไดย้ นิ คะ่ B: Yes, I do. คณุ เข้าใจไหม ? C: No, I don’t. ค่ะ เขา้ ใจ 9. A: Do you understand? ไม่ ไม่เขา้ ใจ B: Yes, I do. คณุ ให้ฉันดูได้ไหม ? C: No, I don’t. ค่ะ ฉนั ชว่ ยคณุ ได้ 10. A: Can you show me? ไม่ ฉันชว่ ยคณุ ไม่ได้ B: Yes, I can. มีอะไรใหฉ้ ันช่วยไหม ? C: No, I can’t. 11. A: Can I help you?

101 B: Yes, you can. ค่ะ คุณช่วยฉันได้ C: No, you can’t. ไม่ คณุ ช่วยฉนั ไม่ไดห้ รอก 12. Clap your hand. ปรบมอื 13. A: Good for you. ดีตอ่ คุณนะ B: Thank you so much. ขอบคุณค่ะ 14. We’re going to do pair dances. พวกเราจะจบั คกู่ ันเต้น 15. See you again. พบกันใหม่ 16. See you next lesson. พบกันใหม่คาบเรยี นต่อไป เร่อื งที่ 5.2 Expressive function ใชภ้ าษาเพื่อแสดงอารมณ์ การสื่อสารเพ่ือแสดงอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกน้ันผู้ส่ือสารอาจทาไปเพื่อชักจูง แจ้งให้ทราบ กระตุ้น ติเตือน หรือจูงใจผู้ฟัง นิติพงศ์ ภูมิกุล (2546) กล่าวว่า การพูดภาษาอังกฤษน้ัน ไม่มีกฎที่ตายตัว คุณไม่ จาเป็นต้องยึดติดกับไวยากรณ์มาก เพราะหัวใจของการพูดภาษาอังกฤษคือการส่ือสารให้เข้าใจท้ังสองฝ่าย เมื่อ ต้องการพูดภาษาอังกฤษเพ่ือตกั เตอื น ตอ่ ว่าคนอื่น ผพู้ ูดตอ้ งคดิ ดี ๆ ก่อน ผู้พดู ควรเลือกใช้คาให้เหมาะสม เพราะ โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้นมักพอใจให้คนมากล่าวคาชมกับตัวเองทั้งนั้น ผู้พูดควรตระหนักว่าการแสดงอารมณ์ ในเชิงบวกนอกจากจะทาให้ผู้พูดรู้สึกดีแล้วยังทาให้คนท่ีถูกชมมีกาลังใจท่ีจะทาส่ิงดี ๆ หรอื รักษาภาพลักษณ์ท่ีดี ๆ ต่อไป โดยเฉพาะอย่างย่ิงครูสอนภาษาอังกฤษเพ่ือกระตุ้นให้นักศึกษา นักเรียนกล้าพูด กล้าแสดงออกครูต้อง คอยให้กาลังใจ เสริมแรง ชมเชยด้วยประโยคต่าง ๆ นอกจากนี้ในการสื่อสารน้ันอาจส่ือสารเพื่อบอกอารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด ทัศนคติ แสดงความเยินยอ ชื่นชอบ ผู้เรียนจึงควรทราบคาศัพท์เพื่อแสดงอารมณ์เหล่าน้ีให้ได้ มากที่สดุ เพ่อื ถา่ ยทอดอารมณ์ไปยงั ผู้ฟังให้ได้ตรงประเดน็ ตามท่ีตอ้ งการจะสื่อจรงิ ๆ ดงั ตัวอยา่ งประโยคตอ่ ไปน้ี 5.2.1 Happy มคี วามสูข 1. Adored นา่ รัก 2. Alive มีชีวติ ชวี า 3. Appreciated ช่ืนชม 4. Cheerful ร่าเริง

102 5. Ecstatic สุขสาราญ 6. Excited ตืน่ เต้น 7. Grateful ขอบคุณ 8. Glad ดใี จ 9. Hopeful ซึง่ มคี วามหวงั 10. Jolly ครึกครื้น 11. Jovial สนุกสนาน 12. Joyful ครึกครืน้ 13. Loved รัก 14. Merry สุขสนั ต์ 15. Optimistic มองโลกในแง่ดี 16. Pleased ยนิ ดี 17. Satisfied พอใจ 18. Terrific ยอดเย่ียม 19. Thankful ขอบคุณ 20. Uplifting ยกระดับ 21. Warm อบอนุ่ 5.2.2 Mad โกรธ กาเริบ 5. Aggravated จาเลย 6. Accused โกรธ 7. Angry ขมขื่น 8. Bitter โกรธ ฉุนเฉยี ว 9. Cross ป้องกนั / ต้านทาน 10. Defensive ผดิ หวัง 11. Frustrated โกรธ 12. Furious เย็นชา 13. Hostile ใจร้อน 14. Impatient ขนุ่ เคอื ง 15. Offended

103 16. Ornery เจา้ อารมณ์ นิสัยไมด่ ี 17. Outraged โกรธ 18. Pestered รบกวน 19. Resistant ทน 20. Revengeful แกแ้ ค้น 21. Scorned เหยียดหยาม 22. Spiteful อาฆาต พยาบาท 23. Testy ใจรอ้ น โกรธง่าย 24. Used ซง่ึ ถูกใช้ 25. Violated ละเมิด 5.2.3 Sad เศรา้ ดดเด่ยี ว 1. Alone โ เสียใจ 2. Blue เศรา้ เปน็ ภาระ 3. Burdened ซมึ เศรา้ 4. Depressed ทาลายล้าง 5. Devasted ผดิ หวงั 6. Disappointed ทอ้ แท้ 7. Discouraged ความโศกเศร้า 8. Grief-stricken เศรา้ หมอง 9. Gloomy หมดหวงั 10. Hopeless ผิดหวงั 11. Let down เหงา 12. Lonely อกหกั 13. Heartbroken ความหดหู่ 14. Melancholy ถกู ทอดทง้ิ 15. Neglected คนมองโลกในแง่ร้าย 16. Pessimistic สานึกผิด 17. Remorseful

104 18. Resentful ขโี้ มโห 19. Solemn เคร่งขรมึ 20. Threatened ถกู คุกคาม 21. Infuriated โกรธ 22. Insulted ดู ถกู 5.2.4 Scared กลวั กลัว 1. Afraid ต่ืนตระหนก 2. Alarmed อาย 3. Bashful สขุ มุ d]y 4. Cautious กลัว 5. Fearful หวาดกลัว 6. Frightened สหยองขวัญ 7. Horrified หลงทาง สบั สน พา่ ยแพ้ 8. Lost ผีสงิ 9. Haunted หมดหนทาง 10. Helpless สองจิตสองใจ 11. Hesitant ไม่ปลอกภัย 12. Insecure กระสบั กระส่าย 13. Nervous กลวั จนตกตระลึง แขง็ ทื่อ 14. Petrified งง 15. Puzzled ม่นั ใจ 16. Reassured สงวนทา่ ที 17. Reserved เหนยี มอาย 18. Sheepish ขี้แย 19. Tearful อดึ อัด 20. Uncomfortable เปล่าประโยชน์ 21. Useless

105 5.2.5 Surprise ความประหลาดใจ 5. Astonished ประหลาดใจ ตกใจ 6. Curious อยากรู้ อยากเห็น 7. Delighted ปิติ ยินดี 8. Enhanted นา่ หลงไหล 9. Exhilarated ` เบิกบาน 10. Incredulous เหลือเชอ่ื 11. Mystified ลึกลับ 12. Passionate กระตือรือรน้ 13. Playful ขีเ้ ลน่ 14. Replenished เสริม เตมิ 15. Splendid งดงาม 16. Shocked ตกใจ 17. Stunned งง 5.2.6 Disgust รังเกียจ 5. Embaraassed อปั ยศ 6. Exposed เปดิ โปง 7. Guilty มี ความผดิ 8. Ignored ละเว้น 9. Inadequate ไม่เพียงพอ 10. Incompetent ไมม่ ีความสามารถ 11. Inhibited ห้าม ขดั ขวาง ยับยั้ง 12. Inept ไม่เหมาะสม 13. Inferior ด้อย 14. Insignificant ไมส่ าคญั ไรค้ วามหมาย สัพเพเหระ 15. Sick ปว่ ย 16. Shame ความละอายใจ

106 17. Squashed ทาลาย ยบั เยนิ บีบ อดั 18. Stupid โง่ 19. Ugly น่าเกลียด 20. Unaccepted ไมย่ อมรบั 5.2.7 วลที ่ีมักใช้ในห้องเรยี น 1. That’s nice. ดจี ัง 2. That’s excellent. วเิ ศษจัง 3. Well done. ทาได้ดี 4. Brilliant! วเิ ศษ 5. Great! เยย่ี ม 6. Pretty good. ดี เรื่องที่ 5.3 Compliment การชน่ื ชม คาชมเป็นคาพูดท่ีให้ความหมายด้านบวก ไม่ว่าผู้ใหญ่หรอื เด็กย่อมดีใจ มีกาลังใจเม่ือได้รับคาชม คาช่ืน ชมที่เขาได้รับ หมายถึง เขาทาได้ดีงาม ถูกต้อง เป็นท่ีพอใจ ของคนอื่น ๆ เมื่อได้รับคาชมจึงเหมือนได้รับแรง เสริมให้เขาทาพฤติกรรมนั้น ๆ ต่อไป ทาให้ดีย่ิงขึ้นไปอีก ดังนั้นครู หรือผู้ปกครองควรฝึกใช้คาชมกบั เด็ก ๆ เพื่อ เป็นกาลังใจให้เขาสร้างสรรค์ผลงาน มีพลังบวก มีความกล้าหาญ มีความมั่นใจในการเรียนเรียนรู้และการใช้ชีวิต คาชมทีใ่ ชก้ นั ทว่ั ไปในสถานศกึ ษาและในชวี ติ ประจาวนั มดี งั น้ี 5.3.1 Compliment คาช่ืนชม They/You are ……….. He/She/It is ….. 1. amazing /อะเม้ซซงิ / นา่ พศิ วง มหศั จรรย์ น่าทงึ่ 2. beautiful /บยูท้ ิฟึล/ สวยงาม เพราะ (เสยี ง) หอม (กลน่ิ ) 3. the best /เบ้สท/̣ ดที ส่ี ุด 4. fantástic / แพน็ แทส้ ติค/ ดมี าก ยอดเย่ียม

107 5. fásionable / แฟ้ชชนึ นะ่ บลึ / ทันสมัย เปน็ ทนี่ ยิ ม 6. good /กดุ๊ / ดี 7. prétty good /พริ้ทถิ กดุ๊ / ค่อนข้างดี 8. véry good /เวร้ ี กดุ๊ / ดมี าก 9. éxcellent / เอ๊คซลั ลนั ท̣/ ดีเลิศ ยอดเยีย่ มทสี่ ดุ 10. gorgeous /ก๊อร̣จสั / สวยงามมาก งดงามนา่ ดมู าก 11. great /เกรท/ ดมี าก เยยี่ ม วิเศษ 12. like /ไล้ค/̣ ชอบ 13. marvelous /มา้ รฟ̣ วลัส /ดมี าก วิเศษ 14. nice /ไน๊ซ̣/ นา่ ดู นา่ รกั นา่ ยินดี ดีงาม 15. really nice /เร้ียลลี ไน๊ซ/̣ ... มาก 16. wonderful / ว้ันดะฟึล/ ดเี ยยี่ ม 17. superb /สเุ พ้ริ ̣บ/ ดีเลศิ ยอดเย่ยี ม 18. terrific /ท่ะริฟฝิค/ ยอดเย่ียม 19. well /เวล/ ดี (ทาได้ด)ี 20. very well /เว้รี เวล/ ดีมาก 5.3.2 Giving Compliments การกล่าวช่นื ชม ครูต้องให้ความสาคัญ เอาใจใส่ในตัวนักเรียน เพราะครูมีอิทธิผลต่อความรสู้ ึก ทัศนคติของนักเรียนมาก เพราะวันหนึ่ง ๆ นักเรียนใช้เวลาในการปฏิสัมพันธ์กับครูมากกว่ากับพ่อแม่เสียอีก โดยเฉพาะเด็กเล็กและเด็ก ประถมศึกษาครูมีส่วนอย่างมากท่ีจะทาให้เด็กชอบวิชาใด วิชาหนึ่ง หรือในทางตรงข้ามครูก็มีส่วนให้นักเรียน เกลียดโรงเรียน ห้องเรียน หรือไม่อยากเรียนบางรายวิชาก็เป็นได้ ดังนั้น ครูควรมีสานวนดี ๆ จูงใจและกระตุ้น ให้นักเรียนเกิดความภาคภูมิใจ มีกาลังใจ รู้สึกมีความสาคัญ ดังนั้น เราควรฝึกสานวนเหล่าน้ีเพ่ือใช้พูดกับ นกั เรียนหรอื คนรอบข้างเราย่อมจะนามาซ่งึ บรรยากาศดีของวนั นั้น มาเริ่มฝึกชมเชยกนั เถอะ 1. You really have good taste in music. คณุ มีรสนยิ มในเรือ่ งดนตรีจริง ๆ 2. Your art is fantastic. งานศิลป์ของคุณดูยอดเยย่ี มมาก 3. I like your new clip. ฉนั ชอบคลิปใหม่ของคุณ 4. You look gorgeous today. คุณดูสวยงามนา่ ดูมากวนั น้ี 5. Your project is really beautiful! โครงการของคณุ สวยมาก 6. That's amazing! How could you do it? มหัศจรรย์มาก คุณทาได้อยา่ งไร 7. I'd like to compliment you on your writing. ฉนั ขอชืน่ ชมการเขียนของคุณ 8. I must compliment you on your success. ฉนั ต้องขอชืน่ ชมกับความสาเรจ็ ของคุณ 9. My compliments to you on this great VDO. VDO ของคณุ เย่ยี มมาก

108 10. This is the best. อันนี้ดที ีส่ ุดเลย 11. Your idea is very brilliant. ความคดิ เหน็ ของคณุ เยย่ี มมาก 12. What a nice bag! ช่างเปน็ กระเปา๋ ที่สวยอะไรเช่นน้ี 13. I like your story. ฉันชอบเรอ่ื งของคณุ 14. I really like your project. ฉนั ชอบโครงการของคณุ จริง ๆ 15. What a nice job! งานนด้ี จี รงิ ๆ 16. Your art looks wonderful. งานศลิ ปข์ องคุณดดู จี งั มาก 17. That’s a lovely photo. รูปนนั่ น่ารักจัง 18. This food tastes good. อาหารนรี้ สชาติอร่อยจัง 19. You’re a wonderful presenter. คุณช่างเป็นผนู้ าเสนอท่ีเลศิ จริง ๆ 5.3.3 Accepting a Compliment การยอมรบั คาชม เพอ่ื แสดงการยอมรับคาชม และเป็นมารยาททางสังคมที่เราควรจะกล่าวตอบรับหรือขอบคุณคนทช่ี ่ืนชม เราเปน็ คาพดู ดังตัวอย่าง ต่อไปน้ี เชน่ 1. Thank you. ขอบคณุ ครบั /ค่ะ 2. Thank you for the compliment. ขอบคุณสาหรบั คาชมครบั /ค่ะ 3. I appreciate the compliment. ขอบคณุ ท่ชี ่นื ชม 4. Oh, it was nothing. ก็ไมเ่ ท่าไรหรอก (พูดถอ่ มตวั ) 5. Do you really think so? คณุ คดิ อยา่ งน้ันจริง ๆ หรือ 6. You're just flattering me. คุณเยนิ ยอฉนั เกินไปแล้ว 5.3.4 Rejecting a Compliment การปฏเิ สธคาชม ในการตอบปฏิเสธคาชมมักจะใช้กันในหมู่เพื่อนฝูงที่คุ้นเคยกัน แล้วคนที่ถูกชมก็รู้ว่าส่ิงที่ตนเป็นหรือทา ไมค่ ่อยเหมาะที่จะได้รับคาชมน้ันเท่าไรนัก (ถา้ ผู้ใหญ่หรือคนทไี่ ม่คอ่ ยคุน้ เคยกนั ชม เรากต็ อบขอบคุณกลับไป) 1. Well, it's nothing. เอ้อ มันไม่ขนาดน้นั หรอก 2. Nonsense. ไรส้ าระ 3. Don't flatter me. ไมต่ ้องเยนิ ยอฉนั หรอก 4. Well, I don't like flatters. เอ้อ ฉนั ไมช่ อบคาเยินยอนะ 5. You're just flattering me. คณุ เยนิ ยอฉันเกนิ ไปแล้วนะ

109 5.3.4 Sample Dialogs (Dialogues/ บทสนทนาตัวอยา่ ง) 1. A: You look very nice today. คุณดูดีมากเลยวันนี้ B: Thank you. ขอบคุณค่ะ 2. A: Your speech is excellent. คาปราศรัยของคณุ ยอดเยี่ยมมากทส่ี ุด B: I appreciate the compliment. ขอบคณุ ที่ชม 3. A: You really have good taste in clothes. คณุ มีรสนิยมในเรอ่ื งเส้ือผา้ ดจี ริง ๆ B: Do you really think so? คณุ คดิ อยา่ งนัน้ จรงิ ๆ หรือ A: Yes, of course. ใช่ แน่นอน B: Thank you. ขอบคณุ คะ่ 4. A: Oh, this is amazing. โอ มหัศจรรยจ์ ริงๆ B: Well, it's nothing. เออ้ มนั ไมข่ นาดนน้ั หรอก (สนใจ ไชยบุญเรือง 2563: 343-348) เรื่องท่ี 5.4 Directive function การช้ีแนะหรือสงั่ การ เพื่อฝึกใช้ภาษาอังกฤษให้นักเรียนในห้องเรียน ครูควรเร่ิมสนทนากับเด็กเป็นภาษาอังกฤษ ให้นักเรียน คุ้นเคย เข้าใจและชินกับการใช้ภาษาอังกฤษของครูซึ่งจะทาให้นักเรียนซึมซับจนรู้และเข้าใจในคาส่ัง คาชี้แนะที่ ใช้ภาษาอังกฤษของครูอย่างเปน็ ไปตามธรรมชาติ แล้วนกั เรียนก็จะปฏบิ ัตหิ รอื โต้ตอบได้อยา่ งถูกต้องเหมาะสม คมกฤช – กฤติกา พานิชย์นาวี (2551) กล่าวว่า ประโยคที่บอกให้บุคคลอื่นทาหรือไม่ทาสิ่งใดส่ิงหน่ึง มกั ละประธานไว้ ประโยคคาสั่งมี 2 ลกั ษณะ คอื ประโยคสงั่ ใหท้ า ขึ้นต้นประโยคด้วยคากริยาหรือคาวา่ จง หาก มีประธานมักมคี าว่า ซิ นะ หน่อย (please) อยู่ท้ายประโยค และประโยคห้ามหรือสัง่ ไม่ให้ทา มักมีคาว่า (Don’t ……..) อย่า ห้าม ขน้ึ ต้นประโยค ตามตวั อยา่ งประโยคตอ่ ไปน้ี 1. Back to your seats. กลบั ไปนัง่ ท่ี 2. Listen while I call your names. ฟงั ครูเชค็ ชื่อดว้ ย 3. Hand in your homework. ส่งการบ้านดว้ ย 4. Check your answers. ตรวจคาตอบ 5. Stop talking and be quiet. หยุดพูดคยุ และเงยี บ

6. Please clean the blackboard. 110 7. Make a group of six. 8. Work with your partner. โปรดลบกระดานดา 9. Divide into teams and stand in a line. จดั กลุม่ ละหกคน 10. Give him a big hand. ทางานรว่ มกับค่ขู องคุณ 11. Listen carefully. แบง่ เป็นกลุม่ และยนื เป็นแถวตรง 12. Talk in your group ปรบมือดงั ๆ ใหเ้ ขาหน่อย 13. Bring your book. ต้งั ใจฟงั ใหด้ นี ะจ๊ะ 14. Take out a piece of paper. คยุ กนั ในกลุ่มครบั 15. Open your books at page ... หยิบหนังสอื ข้นึ มา 16. Be quiet. หยบิ กระดาษข้ึนมา 17. Stand up. เปิดหนงั สือหนา้ ... 18. Sit down. เงยี บ ๆ ครับ 19. Put your hand up to answer ยนื ขึ้นครบั 20. Repeat after me. น่ังลง 21. Correct your mistakes. ยกมือตอบ 22. Work on your own. พดู ตามฉนั 23. Put away your books. แกข้ ้อผดิ 24. Look at the picture. ทาด้วยตัวเองค่ะ 25. Stand up and make groups of four. เกบ็ หนงั สือครับ มองมาท่ีภาพ ลุกขน้ึ และจับกล่มุ 4 คน เรอ่ื งที่ 5.5 Command การออกคาสั่ง การออกคาสั่ง ประโยคคาสง่ั คือ ประโยคท่ีบอกให้ผฟู้ งั ไดป้ ฏิบตั ิตาม ใหท้ าในสิ่งใดสิ่งหน่ึง หรือ ไมใ่ หท้ า สิ่งใดส่ิงหน่ึง ครูสามารถใชค้ าสั่งเหลา่ น้กี ับนักเรียน เมื่อใช้ไปเรอ่ื ย ๆ นักเรียนจะเข้าในและปฏบิ ัติตามได้ จากน้ัน นกั เรียนกจ็ ะใชป้ ระโยคเหล่านกี้ ับคนอ่ืน ๆ ได้ และสามารถใช้ประโยคเหล่าน้ีในชีวิตประจาวันได้ในท่ีสุด ก่อนอ่ืน เราต้องมาฝึกพูด จนสามารถพูดได้คลอ่ ง ติดปาก ไม่กระดากอาย โดยเร่มิ ตน้ สั่งตัวเองกอ่ น จากนน้ั ให้ฝึกสั่งเพ่อื น ต่อไปครกู ็สามารถปรบั ใช้ประโยคเหลา่ นี้สงั่ นักเรียนในห้องในบรบิ ทตา่ ง ๆ ได้ ยกตัวอยา่ งเช่น 1. Answer the question. ตอบคาถาม 2. Listen to the directions. ฟังคาสงั่ นะ 3. Sing along. ร้องเพลงไปพร้อมๆ กัน 4. Work together. ทางานดว้ ยกัน

111 5. Get back to your seat. กลับไปที่นัง่ ของเธอ 6. Participate in your pair. ใหม้ สี ว่ นร่วมกบั คู่ 7. Stand up and show your picture. ลกุ ขึ้นและโชว์รูปของคุณ 8. We’re going to do pair work. พวกเราจะทางานเปน็ คู่ เร่อื งที่ 5.6 Promise การใหส้ ัญญา บางครั้งครูและนกั เรยี นอาจมีข้อตกลง คาม่ันสัญญากนั เพ่อื ใหเ้ กดิ พนั ธสญั ญา หรือเพื่อยึดม่นั ในพนั ธกิจ หน่ึง ๆ ดงั น้ัน เราจาเปน็ ตอ้ งร้จู ัก คา วลี ประโยคท่สี าคญั ในการให้สัญญาหรือทวงสญั ญา ยกตัวอยา่ ง เช่น 1. I hope we’ll meet again. หวังวา่ เราจะได้เจอกนั อีก 2. See you again. ไวพ้ บกันใหม่ 3. I promise. ฉนั สัญญา 4. I’m a man of my word. ฉันเป็นคนรักษาคาพูด 5. I must keep a promise I made. ฉันต้องทาตามสญั ญาที่ให้ไว้ 6. Can you keep a promise? คุณจะรักษาสญั ญาได้ไหม? 7. Don't you ever keep a promise? คุณไมเ่ คยรักษาสัญญาเลยหรือ? 8. l do sometimes keep a promise. ฉนั รกั ษาสญั ญาเป็นบางครง้ั 9. You made a promise and you're going to keep it. คุณใหส้ ญั ญาไวแ้ ละคุณก็จะ รกั ษาสญั ญาน่นั 10. I promise I will not smoke a cigarette. ฉนั สัญญาว่า ฉนั จะไม่สูบบหุ รี่ 11. I promise I will help you do housework. ฉนั สญั ญาว่า ฉนั จะชว่ ยคุณทางาน 12. I will try to win the scholarship. ฉนั จะพยายามสอบชงิ ทุนการศึกษาได้

112 แบบประเมนิ ตนเองหลังเรียน Directions: Choose the correct answer by cross (X) on a, b, c or d 1. Lisa got the top mark on the final exama ,what would you congrate that? a. You complete it. b. You are very brilliant. c. You are cheating on test. d. Unbeliveable that. 2. Which sentence is not a compliment? a. Well done. b. Pretty sure. c. English in my favorite subject. d. You’re a wonderful presenter. 3. A: I really like your project. B: ................................................................................... a. An action you have to do. b. What you want to say? c. Shows the emotion how you feel. d. Thank you very much 4. Tom: Get back to your seat. Tum: .......................................................... a. Okay, I will fine a seat b. Stand up c. Sit up d. Sit down 5.A: You made a promise and you're going to keep it. B: .............................................................................................. a. Calm down. b. Work on your own c. I’m a man of my word. d. Find yourself a seat

113 เอกสารอา้ งองิ คมกฤช – กฤติกา พานิชย์นาวี. (2551). ฝกึ พูดภาษาอังกฤษต้ังแตเ่ ริ่มต้นจนพดู คล่อง. กรงุ เทพฯ : Dด.ี ชดิ พงษ์ กววี รวุฒิ และคณะ. (2550). พูดองั กฤษ 1,200 ประโยค. กรงุ เทพฯ: เอ็มไอเอส ซอฟท์เทค. นิติพงศ์ ภูมิกลุ . (2546). ฝึกฝนสนทนาภาษาองั กฤษ. กรุงเทพฯ : ไพลิน. เพ็ญนภา รุจนิ นั ท์. (2557). พูดภาษาองั กฤษปรอ๋ ไม้ง้อติวเตอร.์ กรงุ เทพฯ: ซเี อด็ ยเู คชั่นจากดั . สนใจ ไชยบุญเรอื ง. (2563). การออกเสียงคาศัพท์และประโยคสดุ เจง๋ ! ท่ีคนอยากพดู ภาษาองั กฤษได้ต้องร.ู้ กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์ โอเพน่ ไอเดยี . อนสุ รณ์ สรพรม. (2548). English Communication. ปทุมธานี: สกายบุ๊กจากัด. Coyle, D., Hood, P., & Marsh, D. (2012). CLIL: Content and Language Integrated Learning. Cambridge: Cambridge University Press. Dalton, Puffer C. (2011). Content and Language Integrated Learning: From practice to Principle. Annual Review of Applied Linguistics, 31, 182-204. Graaddol, D. (2006). English Next. United Kingdom, british Council.

114 แผนการสอนประจาหน่วยท่ี 6 Helping and Suggestion การชว่ ยเหลอื และให้คาแนะนา วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือขอความชว่ ยเหลือได้ 2. สามารถใชภ้ าษาอังกฤษเพ่ือเสนอให้ความชว่ ยเหลอื ได้ 3. สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือขอร้องได้ 4. สามารถใชภ้ าษาอังกฤษเพ่ือตักเตือนได้ 5. สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือเสนอแนะได้ เน้อื หา 6.1 สามารถใชภ้ าษาอังกฤษเพื่อขอความชว่ ยเหลือได้ 6.2 สามารถใช้ภาษาองั กฤษเพอ่ื เสนอใหค้ วามช่วยเหลือได้ 6.3 สามารถใชภ้ าษาองั กฤษเพื่อขอร้องได้ 6.4 สามารถใช้ภาษาองั กฤษเพอ่ื ตักเตือนได้ 6.5 สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพ่อื เสนอแนะได้ การจัดการเรียนรู้ 1. ทาแบบฝกึ ปฏิบัตกิ ่อนเรียน 2. ศึกษาเอกสารประกอบคาสอน 3. ปฏิบัติกิจกรรมตามทีไ่ ด้ระบใุ นเอกสารการสอนแต่ละตอน 4. ผู้เรียนอดั วดี โี อ power point สรปุ เน้อื หาบทเรยี น ส่งใน line group/ upload page 4. ทบทวนและสร้างสถานการณจ์ าลองให้ผูเ้ รยี นได้ใช้ประโยค 5. ทาแบบฝกึ ปฏบิ ัตหิ ลังเรยี น สื่อการจดั การเรียนรู้ 1. เอกสารการสอน 2. Power point

115 3. Audio 4. E-book การประเมินผล 1. ประเมนิ ผลจากแบบฝึกปฏิบตั กิ อ่ นเรียนและหลงั เรียน 2. ประเมินผลจากการทากจิ กรรมในระหว่างเรียน 3.ประเมนิ ผลจาก วีดโี อ power point สรปุ เนือ้ หาบทเรยี น ส่งใน line group/ upload page 3. ประเมนิ ผลจากการสอบกลางภาคและปลายภาค แบบประเมินตนเองก่อนเรยี น Directions: Choose the correct answer by cross (x) on a, b, c or d 1. A: Would you like me to help you? B: ............................................................ a. I’m fine. b. You are busy. c. No, thank you. d. Wow, I am okey. 2. A: CanI help you? B: ............................................................ e. Let me help you with this. f. I ask you to open the window. g. See you again. h. I will not smoke a cigarette. 3. A: May I use your phone please? B: ............................................................ i. No, I may. j. No, you may. k. Yes, you may. l. Yes, you may not. 4. A: Can I borrow your umbrella? B: ............................................................

116 m. Yes, I can. n. Yes. I cannot o. No, I cannot. p. No, I am sorry. I amusing it. 5. A: Can you help me with this assignment? B: ............................................................ q. Yes, I can. r. Yes, you can. s. No, I can. t. No you cannot. เรอื่ งที่ 6.1 Asking for help การขอความช่วยเหลอื การขอความช่วยเหลอื จากผอู้ ื่น เป็นเร่ืองท่ีพบเห็นกันไดท้ วั่ ไป ท้ังในห้องเรียน โรงเรยี น ท่ีทางาน ใน ครอบครัวและในสงั คม เปน็ เรอ่ื งซ่ึงเกดิ ขึ้นเมือ่ ผูห้ น่ึงขาดปัจจยั บางอย่างจงึ ขอใหผ้ ูอ้ ่ืนชว่ ย เชน่ ยืมส่ิงของ ช่วย หยิบจับ ถอื สง่ิ ของ หรือ ขอให้ช่วยเหลอื เช่น เงินทอง ของใช้ กาลงั กาย กาลงั ใจ ความคิดเหน็ คาแนะนา ขอ้ มลู ความรู้เป็นต้น การขอความช่วยเหลือจากผอู้ น่ื จึงมโี อกาสทาให้กิจกรรมดาเนินต่อไปได้ โดยไมต่ ้องรอไปค้นคว้า หรือไมต่ ้องรอไปจัดหาปจั จยั น้นั ๆ และอาจจะไดผ้ ลงานท่ีออกมาดกี ว่าท่ตี ้องการด้วย ถา้ ผ้ทู ่ใี ห้ความชว่ ยเหลือมี ความสามารถสูงและเต็มใจให้ความชว่ ยเหลือ ยงิ่ กวา่ น้นั ยงั ป้องกันอุบตั ิเหตุท่ีอาจเกดิ ข้ึนหากทาคนเดยี ว การ ได้รบั ความชว่ ยเหลือททาใหเ้ รามกี าลงั ใจทางานโดยไม่ต้องทางานเพียงคนเดยี ว สรา้ งความผกู พันสามัคคีและ เป็นการสร้างมิตรภาพทดี่ ีได้ เราควรจะไปขอความชว่ ยเหลอื เม่อื ผู้อื่นว่างไม่มธี ุระเรง่ ด่วน เมอื่ ผู้อน่ื กาลังจะทากิจกรรมซ่ึงเรา ตอ้ งการขอความชว่ ยเหลอื อยู่พอดี เชน่ ขอใหเ้ พอื่ นช่วยสง่ การบา้ นให้ตอนที่เขากาลงั เดินไปสง่ การบา้ นเขาเอง การขอความช่วยเหลือควรดูอารมณผ์ ้ทู เี่ ราจะไปขอด้วย เมื่อผู้อนื่ มีอารมณด์ ี เบกิ บานแจ่มใส ก็น่าจะได้รับผล ตอบรับทเ่ี ปน็ บวก เราควรจะไปขอความชว่ ยเหลือในสถานที่ทีพ่ ดู ได้สะดวก ควรจะเปน็ สถานท่ีทมี่ ีบรรยากาศสบายใจ วิธีท่ี เราจะขอความชว่ ยเหลอื ควรจะสรา้ งบรรยากาศท่ดี ี เช่น มหี นา้ ตาแจม่ ใส ไม่เครยี ด ไม่บ้งึ แตง่ กายเหมาะสม

117 สะอาด สนทนาตามปกตอิ ย่างจรงิ ใจ ไม่ใช่แบบดดุ นั คาดคั้น หรอื รา่ ไหอ้ ้อนวอน การขอความช่วยเหลอื ควรจะให้เกยี รติผู้น้นั ไม่ควรขู่บังคับ แต่อาจจะต้องพูดถึงเหตผุ ลท่ตี ้องขอความชว่ ยเหลอื ควรกล่าวถงึ ความสาคญั ที่ต้องทากจิ กรรมนนั้ และหากกิจกรรมน้นั ไม่ได้รับความชว่ ยเหลอื จะมผี ลเสยี อย่างไรบ้าง สาคัญ อย่างยิ่งเราต้อง ขอบคุณ เม่ือไดร้ ับความช่วยเหลือ ใหผ้ ู้เรยี นฝกึ ประโยคเหล่านี้ใช้เพ่ือขอความชว่ ยเหลือ (yyswim,2020) 1. May I use your calculator? ฉันขอใชเ้ คร่ืองคดิ เลขของคุณได้ไหม? 2. Excuse me, could I borrow your pen? ฉนั ขอยืมปากกาของคุณได้ไหม? 3. Let me see your homework. ขอฉนั ดกู ารบ้านของเธอหนอ่ ย 4. Can you help me do this exercise? ชว่ ยฉันทาแบบฝึกหัดนี้ไดไ้ หม? 5. Please clean up the board. ชว่ ยลบกระดานหนอ่ ย 6. Could you help me to teach cooking? คณุ ช่วยสอนวธิ ีทาอาหารได้ไหม? 7. I suppose you could help me with the case study. ฉนั คิดวา่ คุณสามารถชว่ ย ฉัน เกีย่ วกบั กรณศี ึกษาได้ 8. May I use your phone please? ขอฉันใช้โทรศพั ทค์ ณุ ไดไ้ หม? 9. Can I borrow your umbrella? ขอยืมรม่ หนอ่ ย? 10. Will you make me a cup of coffee, please? ชงกาแฟให้ฉันสักถ้วยไดไ้ หม? 11. Could you please tell me the way to the airport? คุณจะกรุณาบอกหนทางไป สนามบนิ ใหฉ้ นั หน่อยได้ไหม? 12. Would you kindly lend me the book for two days?คณุ จะกรณุ าให้ฉนั ยืมหนังสือ เลม่ น้สี กั สองวันจะได้ไหม? 13. Would you be so kind as to post these letters for me? คุณจะกรณุ าส่งจดหมาย เหลา่ นใี้ หฉ้ ันด้วยไดไ้ หม? 14. Do you mind washing this glass? คณุ ลา้ งแกว้ น้ีดว้ ยได้ไหม? 15. Would you mind closing the door? คุณรงั เกียจท่ีจะปิดประตใู ห้ หน่อยได้ไหม? 16. Would you please translate this sentence for them? คุณจะกรณุ าแปลประโยคน้ี ใหพ้ วกเขาหน่อยไดไ้ หม? 17. Can you help me with this exercise? คุณชว่ ยฉนั ทาแบบฝึกหัดน้ีได้ ไหม? 18. Will you find the meaning of the word for me? คณุ จะหาความหมายคานใ้ี ห้ ฉันหนอ่ ยได้ไหม? 19. I wonder if you’d lend me the typewriter. ไมท่ ราบว่า คุณจะให้ฉันยืม

118 เครอ่ื งพิมพด์ ีดได้ไหม? 20. I wonder if you could help me with this? ไมท่ ราบว่า คณุ จะช่วยฉนั ทา สงิ่ นีไ้ ด้ไหม? 21. I wonder if you would mind checking this work. ไม่ทราบว่า คณุ รังเกยี จทจ่ี ะตรวจงานนห้ี น่อยได้ไหม? 22. I wonder if you would mind explaining this sentence. ไมท่ ราบวา่ คุณรงั เกียจท่จี ะอธิบายประโยคนีห้ น่อยไหม? 23. Could you tell me the method please? คุณชว่ ยบอกวิธกี ารได้ไหม? เรื่องที่ 6.2 Offering Help การเสนอให้ความช่วยเหลือ การเสนอให้ความชว่ ยเหลอื คนอ่นื ถือว่าเปน็ สิ่งทีด่ ีงาม แสดงไมตรีจิต มจี ิตอาสา เม่อื เราเห็นคนอ่นื ท่ี ต้องการความชว่ ยเหลอื เราก็ควรจะยนื มือเข้าชว่ ยเหลือ แต่เราก็ควรทีจ่ ะเสนอความชว่ ยเหลอื กบั เขาก่อนว่า เขาตอ้ งการให้เราชว่ ยหรือไม่ จะได้ไม่เปน็ การเสยี มารยาท เพราะบางคนอาจไมต่ ้องการให้ใครมายุ่งยากกับ ตนเอง วลแี ละประโยคเหล่านี้ ฝกึ ไว้เพื่อใช้ เพ่ือเสนอให้ความช่วยเหลอื ชาวต่างชาติ นักท่องเทีย่ วหรอื ใช้เพ่ือ การไปต่างประเทศ การทดสอบทางภาษาอังกฤษได้ 1. Can I give you a hand? ฉันขอชว่ ยคณุ ได้ไหม? 2. Can I help you? มอี ะไรใหผ้ มชว่ ยไหม? 3. Would you like me to help you? คณุ อยากใหฉ้ ันช่วยไหม? 4. Let me help you with this. ใหผ้ มชว่ ยคุณเรื่องนีเ้ ถอะ 5. I’ll hold the door open for you. ฉนั จะจับประตูไว้ใหค้ ุณ 6. Let me do it for you. ใหฉ้ นั ทาใหน้ ะ 7. Let me adjust the seat for you. นใี่ หฉ้ นั ช่วยจดั ทีใ่ ห้คุณ 8. Do you want me to (do something)? ใหฉ้ นั ทา นี่ ให้ไหม 9. Do you want me to take over? คุณตอ้ งการให้ฉนั อยู่ดว้ ยไหม 10. Would you like me to do it? ใหฉ้ ันทาให้ไหม

119 11. Would you like me to close the window? ต้องการให้ฉนั ชว่ ยปิดหนา้ ตา่ งไหม 12. I can do it for you. ใหฉ้ ันทาใหน้ ะ 13. I can assist you with that. ฉันช่วยคณุ ไดน้ ะ 14. Can I do it for you? ใหฉ้ นั ทาใหไ้ หม 15. Can I get you something to drink? ให้ฉนั ไปเอาเครื่องด่ืมมาให้คุณไหม 16. Could I help you? ใหฉ้ ันชว่ ยคุณไหมคะ่ 17. Could I do something for you? ให้ฉนั ชว่ ยอะไรคุณไหมค่ะ ประโยคคาตอบเวลามีคนเสนอชว่ ย 1. OK., thank you. ตกลงคะ่ ขอบคณุ คะ่ 2. No, thank you. ไมเ่ ป็นไรคะ่ ขอบคุณค่ะ 3. It’s nice of you., thank you. คณุ ใจดีจัง ขอบคณุ ค่ะ 4. Thank you so much, ขอบคุณมากค่ะ เรอ่ื งท่ี 6.3 Requests การขอร้อง เมอ่ื เราต้องการให้ใครทาอะไรให้เรา เราจาเป็นต้องขอร้อง ขอความชว่ ยเหลอื ขอความร่วมมือ ถาม ความสมคั รใจ ดังนั้นเราควรใช้ภาษาทีส่ ภุ าพเหมาะสมกับสถานการณ์ โอกาสและสถานะของคนท่ีเราพดู ด้วย เม่อื ต้องคานึงถึงการใชภ้ าษาให้ถูกต้องเหมาะสมและบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ในการส่ือสารเราจึงควรฝึกวลี ประโยค ที่จะใช้เพ่ือขอร้องในบรบิ ทต่างๆให้ได้อย่างหลากหลาย เพ่ือเลอื กใช้และพดู ได้อย่างคล่องแคลว่ แบบเจ้าของ ภาษา ดงั ตัวอย่างประโยคต่อไปน้ี เปน็ การขอรอ้ งแบบสภุ าพ 1. Please sit down. กรณุ านั่งลง 2. Please clean the blackboard. กรุณาทาความสะอาดกระดาน 3. Explain please. กรณุ าอธิบาย 4. Repeat that please. กรุณาพดู ซ้าอกี ครั้ง 5. Open the window, please. กรณุ าเปดิ หน้าต่างด้วย 6. Please don’t disturb her. กรณุ าอย่ารบกวนเธอ 7. Please give me your name. กรุณาบอกช่อื คณุ ด้วย 8. Please get me a chair. กรณุ าหาเก้าอี้ใหฉ้ นั สักตัวดว้ ย 9. I want some water, please. ฉนั ตอ้ งการน้าค่ะ

120 10. I want a pen, please. ฉนั ตอ้ งการปากกาดา้ มหนง่ึ 11. I want some drinks, please. ฉันต้องการเครื่องด่มื สักอย่าง 12. I would like a cup of coffee, please. ฉันขอกาแฟสักถ้วย 13. I would like the red one, please. ฉันตอ้ งการอันสแี ดง 14. I ask you to open the window. ฉนั ขอร้องให้คณุ ชว่ ยเปดิ หนา้ ตา่ ง 15. I ask you to help me with this. ฉันขอร้องคุณช่วยทาสง่ิ นดี้ ้วย 16. Don’t park in front of the university, please. กรณุ าอยา่ จอดรถหนา้ มหาวทิ ยาลัย โครงสรา้ งตวั อยา่ งประโยคขอรอ้ งแบบคาถาม 1. Will you…? (คุณจะ…?) เชน่ Will you open the door for me? (คุณจะเปดิ ประตใู ห้ฉันได้ไหม?) 2. Would you…? (คณุ จะ…?) เชน่ Would you open the door for me? (คุณช่วยเปดิ ประตใู ห้ฉันไดไ้ หม) 3. Would you please…? (คณุ จะกรุณา…?) เชน่ Would you please open the door (for me)? (คณุ จะกรณุ าเปิดประตูให้ฉันได้ไหม) 4. Could you please…? (ไดโ้ ปรด…) Could you please open the door for me? (ไดโ้ ปรดเปิดประตใู หฉ้ นั ได้ไหม) 5. Could you possibly…? (เปน็ ไปไดไ้ หมท่เี ธอจะ…?) เชน่ Could you possibly open the door? (คุณสามารถเปดิ ประตูได้ไหม) 6. Would you kindly…? (คณุ พอจะชว่ ย ...) เช่น Would you kindly open the door (for me)? (คุณพอจะชว่ ยกรณุ าเปิดประตใู ห้ฉันหน่อยไดไ้ หม?) 7. Would you mind…? (คุณพอจะชว่ ย...ได้ไหม?) เช่น Would you mind opening the door? (คณุ พอจะช่วยเปดิ ประตูได้ไหม) เร่อื งท่ี 6.4

121 Warning การตกั เตือน การตกั เตือน คือ การบอกกล่าว การสงั่ สอนให้ร้สู ึก การพดู ให้สานึกตวั การพูดใหร้ ูต้ วั วา่ อยา่ ทาผดิ การบอก การยา้ ให้เขาทบทวนถึงการกระทาของตัวเองวา่ นั่นทาให้เกิดปัญหาอย่างไรบา้ ง หากจะชีใ้ ห้เห็นการ กระทาทไ่ี ม่เหมาะสม ควรเจาะจงเหตุการณไ์ ปเลย เช่น มาสายเป็นจานวนกีว่ ัน เป็นเวลาก่ีช่ัวโมง มหี ลักฐานที่ ชัดเจนเชน่ น้ีจะทาใหเ้ ห็นว่าเราเองก็มเี หตุผล หากร้เู หตุผลของเขาและเรา เข้าใจเจตนาของอีกฝา่ ยแล้ว ควรชี้ ใหเ้ ขาเหน็ วา่ การกระทาทเ่ี หมาะสมเป็นอย่างไร หนทางที่ดีกว่าคืออะไร แสดงใหเ้ ขาเห็นว่าส่งิ ที่ดคี วรเป็น อย่างไร หากเปน็ การทางานชี้ใหเ้ หน็ มาตรฐานของการทางาน หากเปน็ เรอื่ งมารยาท ช้ีใหเ้ หน็ มารยาทในสงั คม ชใ้ี หเ้ ห็นมาตรฐานทีค่ วรจะเป็น และให้เหตผุ ลว่าหากไม่เป็นไปตามนจี้ ะเกิดผลเสียอะไรตามมาไดอ้ ีก เพ่ือเปน็ การแสดงให้อกี ฝ่ายเห็นวา่ เราไม่ไดต้ กั เตือนเพอ่ื ดูถูก หรือทาให้อับอาย  การการตักเตือน ควรคอ่ ยๆ พูดด้วย นา้ เสยี งอ่อนโยน ไมพ่ ดู ห้วน สามารถใชภ้ าษากายเข้ามาชว่ ยดว้ ยการนั่งให้ สบายๆ พูดธรรมดาไม่พดู เสยี ง แดกดัน ให้ผเู้ รียนฝึกพดู ประโยกตักเตือนตามตวั อย่างต่อไปนี้ (Common, 2020) 1. beware. ระวังนะ 2. watch it. ระวังด้วย 3. watch out. ระวังด้วย 4. look out. ระวังดว้ ย 5. mind out. ระวังนะ 6. look before you leap. ดกู อ่ นขา้ มนะ 7. too many cooks (spoil the broth). มากคนมากความ 8. it's a good idea to do something. เป็นความคิดที่ดที จ่ี ะทาอะไรบางอย่าง 9. you can't be too careful. คณุ ไมส่ ามารถท่ีจะระมดั ระวงั มากเกินไป 10. I want you to sit down reveal it. ฉันอยากจะให้คุณแสดงหลักฐาน 11. I would like you to calm down. ฉนั อยากขอร้องใหค้ ณุ ใจเยน็ ลง 12. Can you explain it, please? กรุณาอธบิ ายได้ไหมค่ะ? 13. Would you mind giving me the reason? คุณจะบอกเหตผลให้ฉันฟังได้ไหม? 14. Come in, will you? เขา้ มาข้างใน ไดไ้ หม? เร่อื งที่ 6.5

122 Suggestions การเสนอแนะ การเสนอแนะ คอื การแนะนา บอกเป็นนัย บอกข้อชวนคิด เป็นเชงิ แนะนา ผ้เู สนอแนะและผู้รบั ขอ้ เสนอแนะต้องวิเคราะห์ข้อคิดนั้นเพื่อแก้ปญั หาเพือ่ ให้เกิดการพฒั นาท่ดี ีขึน้ หวั ใจสาคัญของการเสนอแนะก็ คอื การตอ้ งนาเสนอขอ้ เทจ็ จรงิ การเสนอแนะควรมีเป้าหมายชดั เจน ตรงประเดน็ ตรงไปตรงมา เสนอแนะให้ เกิดประโยชน์ ไร้อคติ ไม่ใชก่ ารวา่ รา้ ย ดา่ ทอ หรอื ทาใหค้ นอน่ื เสยี หาย ไม่ทาใหเ้ กิดความขดั แย้งขน้ึ ในการ สนทนา ทักษะในการส่ือสารทด่ี ีจะชว่ ยให้การเสนอแนะมีประสทิ ธภิ าพมากข้นึ สานวน วลี ประโยคต่อไปน้ี ผเู้ รยี นสามารถฝึกใช้เพื่อการใช้ภาษาในบริบทการเสนอแนะได้ (HR NOTE TEAM, 2020) 1. Close the window, won’t you? ปิดหนา้ ต่างด้วย ไดไ้ หม? 2. Sit down, won’t you? นงั่ ลงได้ไหม 3. Speak slowly, will you? พดู ช้าๆ ไดไ้ หม 4. Let’s go to the classroom. ไปหอ้ งเรียนกันเถอะ 5. Let’s go have lunch. ปทานขา้ วเท่ียงกนั เถอะ 6. Let’s go home. กลบั บ้านกนั เถอะ 7. I hope you are all ready for your English lesson. ฉนั หวงั วา่ ทกุ ๆคนจะพรอ้ ม สาหรบั บทเรยี นวชิ าภาษาอังกฤษ 8. I think we can start now. ฉนั คดิ วา่ ตอนนีเ้ ราเรม่ิ ไดแ้ ลว้ 9. Now we can get down to work. ตอนนท้ี กุ คนควรเอาใจใส่งาน 10. How about singing ABC song? มารอ้ งเพลง ABC ดไี หม? 11. What about reading together? มาอา่ นพร้อมกนั ดีไหม? 12. Are you up for a movie? คุณอยากไปดูหนังด้วยกันไหม? 13. I hope you will be happy with the lesson today. ฉันหวังว่าคุณจะมีความสุขกับ การเรยี นวนั นี้ 14. We might review your offer again. เราอาจจะทบทวนข้อเสนอของคุณ 15. I can work on this really well today. ฉันสามารถทาสงิ่ นใี่ ห้ดีไดใ้ นวันนนี้ ะ 16. Act your age. ตวั ใหเ้ หมาะสม (เลกิ ทาตัวเปน็ เดก็ ) 17. It’s too hot to go outside. มนั รอ้ นเกินกว่าที่จะออกไปข้างนอก 18. Thanks a lot, but l think l should do that myself. ขอบคุณมาก ๆ แตฉ่ ัน คิดว่าฉันควรทาดว้ ยตนเอง 19. Up to you. แล้วแต่คุณเลย 20. This is very important. น่ี สาคญั มาก

123 21. That’s not right. นัน่ ไมถ่ ูกต้อง 22. Try it. ลองดนู ะ 23. I wish you could do this task. ฉนั หวังว่าคณุ จะทาภาระงานนี้ได้ 24. I think you found the missing part. ฉันคดิ วา่ คณุ ไดพ้ บส่วนท่ขี าดหายไป 25. You should complete the exercise. คณุ ควรทาการบ้านให้เสรจ็ สมบูรณ์ 26. I want to spend some time with you. Will you be my friend? ผมอยากใช้เวลากับคณุ คุณจะเปน็ เพ่ือนผมไดไ้ หม 27. May I say something here? ดฉิ นั ขออนญุ าตพดู อะไรซัก หน่อยตรงจุดนีด้ ้วยค่ะ? 28. If I could make a comment … ถ้าดฉิ ันจะสามารถแสดงความคดิ เหน็ ได้ ... 29. May I point out that …? ดิฉนั ขออนุญาตชี้ใหเ้ ห็นวา่ ...? 30. May I interrupt you for a moment? ดฉิ ันขออนุญาตแทรกซกั คร่นู ะ? 31. Sorry to interrupt, but ... ขอโทษทีต่ อ้ งแทรก แต่ ... 32. Sorry to break in here, but don’t you think …? ขอโทษทตี่ ้องแทรกตรงนีค้ ่ะ แตค่ ณุ ไม่คิดหรือวา่ ....... 33. Excuse me, but I’d just like to make a point here. ขอโทษค่ะ เพียงแต่ดฉิ นั อยากจะแสดงความคิดเห็นตรงส่วนน้ี 34. If I could say a word about … ถ้าดิฉนั จะสามารถพดู เกี่ยวกับ.... แบบประเมนิ ตนเองหลังเรียน

124 Directions: Choose the correct answer by cross (x) on a, b, c or d 1. A: Can you help me to do this exercise? B: ............................................................ a. Yes, I do. b. Yes, I can. c. You do your exercise. d. No. I don’t. 2. A: Would you like me to help you? B: ............................................................ a. Well done. b. Pretty good. c. See you again. d. Yes, please. Thank you so much. 3. A: I would like a cup of coffee please? B: ............................................................ a. Up to you. b. What do you want to say? c. Sure, please wait a minute. d. Yes, you may not. 4. A: Don’t do it again. B: ............................................................ a. Okay, I won’t. b. It’s all right c. See you again. d. Do it. 5. A: Excuse me, but I ‘d like to make a point here? B: ............................................................ 6. Yes, I can. 7. Yes, sure what do you think? 8. Louder please.

125 9. Take a seat. เอกสารอา้ งองิ ภณั ฑริ า วรานุเคราะหโ์ ชค. (2561). ภาษาอังกฤษ EP (English Program) ป.4. นนทบรุ ี: ธงิ ค์ บียอนด์ บ๊คุ ส.์ วภิ า ฌานวงั ศะ, พงษ์ศรี เลขาวฒั นะ, ลภา จนิ ตนเสร,ี และภาสินี ศรหริ ัญ, (2551). ภาษาอังกฤษสาหรับครู. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. ศริ พิ ร โตพ่ึงพงศ์. (2552). ฝึกพดู องั กฤษหนา้ กระจก. กรงุ เทพฯ: บุคส์ ทู ยู. สนใจ ไชยบญุ เรือง. (2563). การออกเสียงคาศพั ทแ์ ละประโยคสุดเจง๋ ! ทคี่ นอยากพดู ภาษาอังกฤษไดต้ อ้ งรู้. กรุงเทพฯ: โอเพ่น ไอเดยี . Adamson, J. (2005). Teacher development in EFL: What is to be learned beyond methodology in Asian contexts? The Asian EFL Journal Press, 7(4), 74-84. Becommon. (2020, June 10). Worning https://th.hrnote.asia/orgdevelopment/190527- HR NOTE TEAM (2020, June 10). feedback-development-working/. https://becommon.co/life/tips-how-to-reprimand/ Yyswim. (2020, June 10). Asking for Help. https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=yyswim&month=08- 2005&date=15&group=1&gblog=13

126 แผนการสอนประจาหน่วยที่ 7 Participating in Class Discussions การร่วมอภิปรายในช้ันเรียน วตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. สามารถใชภ้ าษาอังกฤษเพ่ือกล่าวแสดงความคดิ เหน็ และมมุ มองของตนเองได้ 2. สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือแสดงความไม่มัน่ ใจและถามเพือ่ ความกระจ่างได้ 3. สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อแสดงความไมเ่ หน็ ด้วยได้ 4. สามารใช้ภาษาองั กฤษเพื่อโต้แย้งได้ 5. สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือกลา่ วสรปุ จบได้ 6. สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพ่ือถามความคิดเห็นได้ เน้อื หา 7.1 Express an opinion or point of view การแสดงความคดิ เห็นและมมุ มอง 7.2 Express uncertainty and seek clarification การแสดงความไม่มน่ั ใจและถามเพื่อความกระจา่ ง 7.3 Express disagreement การแสดงความไม่เห็นด้วย 7.4 Express counter arguments การโต้แย้ง 7.5 Sum up/ Conclude the discussion) การกลา่ วสรุป 7.6 Asking for opinions การถามความคดิ เห็น การจัดการเรยี นรู้ 1. ทาแบบฝกึ ปฏิบตั กิ ่อนเรียน 2. ศกึ ษาเอกสารประกอบคาสอน 3. ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมตามทีไ่ ด้ระบใุ นเอกสารการสอนแต่ละตอน 4. ผเู้ รยี น power point ทบทวนและสร้างสถานการณ์จาลองเพ่ือฝกึ ใช้ประโยคทเ่ี รยี นมา 5. ทาแบบฝกึ ปฏบิ ตั หิ ลังเรยี น สื่อการจดั การเรียนรู้ 1. เอกสารการสอน 2. Power point 3. Home page

127 4. E-book การประเมนิ ผล 1. ประเมินผลจากแบบฝึกปฏบิ ตั ิกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน 2. ประเมนิ ผลจากกิจกรรมในเอกสารการสอน 3. ประเมนิ ผลจากการสอบไล่ประจาภาคการศกึ ษา แบบประเมนิ ตนเองก่อนเรยี น Directions: Match the right meaning a ชว่ ยอธิบายอกี ครัง้ หน่อยได้ไหม? b ฉนั ไมแ่ น่ใจวา่ ฉันเหน็ ด้วยทัง้ หมด c คณุ มีความคดิ เหน็ อย่างไรเกี่ยวกบั … d ฉนั ค่อนขา้ งมน่ั ใจวา่ .... e เปน็ ไปได้ มนั อาจจะถูก แต่ … f เป็นความคิดท่คี ณุ ให้ ................ 1. I’m quite sure that … ................ 2. Could you go over it again, please? ................ 3. I’m not sure I entirely agree with. ................ 4. Possibly that’s right but … ................ 5. What’s your opinion of … ?

128 เร่ืองที่ 7.1 Express an opinion or point of view การแสดงความคิดเห็นและมมุ มอง สมชาย ชัยธนะตระกูล (2555) กล่าวว่า ปัจจุบันภาษาอังกฤษนับเป็นภาษาที่มีความสาคัญเป็นอย่าง มาก ประชาชนในแต่ละสังคมมีความกระตือรอื รน้ ที่จะหมั่นฝึกฝนตนเองให้มคี วามเข้าใจในภาษาองั กฤษเพื่อทจี่ ะ ใช้ในการโต้ตอบ แสดงอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด และข้อสันนิษฐานน้ันออกมาให้ผู้ฟัง ผู้อ่านได้รับรู้ เม่ือกล่าวถึงความคิดเห็น จาเป็นต้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงด้วย ข้อเท็จจริงคือ ข้อมูล ปรากฏการณ์ และเรื่องราว ตา่ ง ๆ ตามท่ีปรากฏแกบ่ คุ คลทว่ั ไป ดงั ตัวอยา่ งประโยค 1. I really believe that … ฉนั เชื่อว่า... 2. I honestly feel ฉันร้สู กึ วา่ ... / คิดว่า... 3. I honestly think … ฉนั คดิ วา่ ... 4. Without a doubt … ไมส่ งสัยเลยวา่ ... 5. I’m convinced that … ฉันเห็นวา่ ... 6. I’m quite sure that … ฉนั คอ่ นข้างมั่นใจว่า.... 7. No doubt ฉันสงสัยเลย.... เรอื่ งท่ี 7.2 Express uncertainty and seek clarification การแสดงความไม่ม่ันใจและถามเพื่อความกระจ่าง อรโุ ณทัย เขตหาญ และ เพ็ญศิริ รตั นศรี (2559) กล่าวว่า การฝึกฝนภาษาอังกฤษนั้นควรอย่างย่ิงท่ีจะ ฝกึ หัดเข้าใจคาศัพท์และประโยค โดยการฝึกจดจาหรือเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองทุก ๆ วัน จนทาให้เราสามารถเข้าใจ ภาษาอังกฤษได้ชัดเจนทกุ ประโยค แต่ถา้ เราไม่เข้าใจสามารถถามดว้ ยประโยค ดังน้ี 1. Are you saying that … ? คณุ หมายความวา่ …. หรือ? 2. Can I ask you to explain what you mean by…? ฉันขอใหค้ ุณอธิบายหน่อยว่าคณุ หมายความว่าอย่างไร …? 3. I’m afraid I didn’t’t quite get your last point ... ฉนั รู้สึกว่าไมค่ ่อยเขา้ ใจประเดน็ สุดท้ายของคุณ?

129 4. Could you go over it again, please? ชว่ ยอธบิ ายอกี ครั้งหน่อยไดไ้ หม? 5. Would you mind going over your last point again? ช่วยอธิบายประเด็นสดุ ท้ายของคณุ อกี ครั้งหนอ่ ยได้ไหม? เรอื่ งท่ี 7.3 Express disagreement การแสดงความไม่เหน็ ดว้ ย กองบรรณาธิการสานกั พิมพ์ POP GET BOOK (2557) กลา่ วว่า การเรยี นภาษาอังกฤษไม่ใช่การสอบให้ ไดค้ ะแนนที่ดีท่สี ดุ แต่มันคอื การฝึกฝนเพ่ือให้ตัวเราสามารถนาภาษาอังกฤษไปใช้เพอื่ การส่ือสารให้ได้จรงิ ๆ เช่น เม่ือคุณไม่เห็นด้วยกับใครบางคน การแสดงมุมมองของคุณโดยท่ไี ม่ทาให้บุคคลน้ันขุ่นเคืองนับว่าเป็นสิ่งท่ีท้าทาย ไม่น้อย เพราะสิ่งสาคัญท่ีต้องทาในขณะเดียวกันคือแสดงความคิดเห็นของคุณอย่างตรงไปตรงมา ดังตัวอย่าง ประโยค 1. I’m afraid I can’t agree with … ฉันเกรงวา่ จะไม่เหน็ ดว้ ยกับ ..... 2. I’m sorry. I can’t accept that point of view … ขอโทษที ฉันไมส่ ามารถยอมรับความคดิ เห็นนั้น 3. I’m not sure I entirely agree with. ฉนั ไมแ่ น่ใจวา่ ฉนั เห็นดว้ ยทัง้ หมด 4. That may be the case but … น่ันอาจเปน็ อีกกรณี แต.่ . 5. That’s a good point but … นัน่ เป็นประเดน็ ทดี่ ี แต่.. 6. Yes, but don’t you forget … ใช่ แต่อยา่ ลืมว่า ... เรอื่ งท่ี 7.4 Express counter arguments การโต้แยง้ ชิดพงษ์ กวีวรวุฒิ และคณะ (2550) กล่าวว่า การโต้แย้ง เป็นการแสดงทรรศนะอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งท่ี สามารถเกิดข้ึนได้ตลอดเวลาตราบใดท่ีการสนทนายงั คงดาเนินไป แต่เป็นทรรศนะทีแ่ ตกตา่ งกนั ผู้แสดงทรรศนะ ตอ้ งพยายามหาเหตุผล อ้างข้อมูลและหลักฐานต่างๆ เพ่ือสนับสนุนทรรศนะของตนและคัดค้านทรรศนะของอีก ฝ่ายหนึง่ ตวั อยา่ งประโยคการโตแ้ ยง้ คอื 1. Even if that is the case … แม้ว่านั่นจะเป็นกรณีของ ... 2. Yes, that may be so but … ใช่ น่นั อาจจะ .. ...แต่ …

130 3. That could be true but … มันอาจจะถูก แต่ … 4. Possibly that’s right but … เป็นไปได้ มันอาจจะถูก แต่ … เรอ่ื งท่ี 7.5 Sum up/ conclude the discussion การกล่าวสรปุ วิรัช ลภิรัตนกุล (2543, หน้า 208) กล่าวว่า การบรรยายสรุปเป็นการอธิบายให้ข้อมูลข่าวสารแก่ผู้รับ สาร ก่อนที่จะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ก่อนท่ีจะมีบางส่ิงบางอย่างเกิดขึ้นนั้นหมายความว่า ก่อนที่จะมีกิจกรรม อ่ืน ๆ ต่อไป น่ันเอง เช่น ในการเยี่ยมชมโรงงานแห่งหนึ่งของคณะส่ือมวลชน ก็จะมีการบรรยายสรุปให้แก่คณะ สอ่ื มวลชนผู้เขา้ เยีย่ มชม กอ่ นทจี่ ะนาชมโรงงาน เปน็ ตน้ 1. Let me sum up the discussion by saying … ขอสรุปการอภปิ รายนี้ว่า … 2. Let me try to pull the main threads of this argument together. ขอสรุปข้อโตเ้ ถยี งนว้ี ่าวา่ … 3. I think as a group we basically agree that … กล่มุ พวกเรามีความเหน็ ว่า … 4. I think that as a group we have decided that … กลมุ่ พวกเราตกลงวา่ … เรื่องท่ี 7.6 Asking for opinions การถามความคิดเห็น ชดิ พงษ์ กวีวรวุฒิ และคณะ (2550) กล่าวว่า การถามความคดิ เห็น ทศั นคตจิ ากคูส่ นทนา เป็น ส่ิงท่สี ามารถเกดิ ข้ึนไดต้ ลอดเวลา ในการถามความคิดเหน็ เมอื่ มฝี า่ ยหนึง่ ต้องการที่จะทราบความคิดเหน็ ของอีก ฝา่ ยหน่ึง ผู้ถามจะข้ึนต้นประโยคทเี่ ชิญชวนให้ผูต้ อบบอกความคดิ เหน็ ของตนเอง โดยปกติแล้วประโยคการถาม ความคดิ เหน็ ที่มักพบบ่อยๆ ในชวี ติ ประจาวันเพื่อใช้แสดงความคดิ เห็นได้ มีดังนี้ 1. What do you think of … ? คณุ คิดอย่างไรเก่ียวกับ … ? 2. What’s your opinion of … ? คณุ มคี วามคดิ เหน็ อย่างไรเกย่ี วกับ … ? 3. What are your thoughts on …? คณุ มคี วามคิดอย่างไรเก่ยี วกับ … ? 4. What do you reckon about … ? คุณคิดอยา่ งไรเก่ียวกบั … ? 5. What are you feeling about … ? คณุ รสู้ ึกอยา่ งไรเก่ยี วกบั … ? 6. How do you feel about ...? คุณร้สู ึกอย่างไรกบั ....... … ? 7. What do you think of ...? คุณคิดวา่ .... เปน็ อย่างไร ?

131 8. What are your feelings about ...? คุณมีความร้สู ึกอยา่ งไรกับ ..... … ? 9. What's your opinion of/on/about ...? คุณมคี วามคิดเห็นอย่างไรกบั ... … ? สาหรับคาถามข้อ 4 นี้ ถ้าถามความคิดเหน็ คน ใช้ opinion of … ถ้าเปน็ สิ่งของใช้ไดห้ มดท้ัง of /on /about ... ตวั อยา่ งการถาม-ตอบความคดิ เห็น Q: How do you feel about our new house? (คุณรูส้ ึกอย่างไรกับบ้านใหมข่ องเรา) A: I love it. It's really comfortable. (ฉันชอบมาก ๆ มันน่าอยู่ ดสู บาย ไม่อึดอดั ) Q: What's your opinion of the new girl in class? คุณ /เธอมีความคิดเหน็ อย่างไรกบั เดก็ ผู้หญิงคนใหมใ่ นชั้น A: Well, she's like a fish out of water. เอ้อ ... เธอคงรสู้ กึ อดึ อดั ร้สู กึ วา่ ตัวเองยังไมไ่ ดเ้ ปน็ ส่วนหน่งึ ในชน้ั Q: What's your honest opinion about the new policy on the teaching of English in Thailand? คณุ มคี วามคดิ เห็นอย่างไรกับนโยบายใหม่เร่ืองการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย A: It's challenging for English language teachers. มนั ท้าทายความสามารถของครูทสี่ อนภาษาองั กฤษ

132 Q: What do you think of the new math teacher? คณุ /เธอคดิ วา่ อาจารยท์ ่ีสอนวิชาคณิตศาสตร์คนใหมเ่ ปน็ อย่างไร A: She's terrific. อาจารย์เกง่ มาก Q: What are your feelings about your neighbors? คณุ มีความรสู้ ึกอยา่ งไรกับเพอื่ นบ้านของคุณ A: They're so irresponsible. They let their dogs out to bother other people. พวกเขาไม่มคี วามรบั ผิดชอบเลย เขาปล่อยสนุ ัขออกมารบกวนคนอืน่ (สนใจ ไชยบญุ เรือง, 2563: 272-290) เร่อื งท่ี 7.7 Showing Attitudes การแสดงเจตคติ คาที่ใช้แสดงเจตคติหรือทัศนคติเป็นคาคุณศัพท์ (adjectives) ซ่ึงส่วนหน่ึงท่ีพูดถึงในหัวข้อการแสดง อารมณ์และความรู้สึกท่ัว ๆ ไป สามารถนามาใช้ได้ ในท่ีนี้จะให้คาศัพท์ท่ีแสดงให้เห็น attitudes ของคนใน 2 รปู แบบ คอื positive คือ คนที่มีทัศนคติเชิงบวก และ negative attitudesคือ คนท่ีมีทัศนคติเชิงลบ โครงสร้าง ประโยค มดี งั นี้ We/ You/ They are ............................................... He/She/It is.............................................................. I am .......................................................................... 7.7.1 Positive Attitudes / (เจตคติ ทศั นคติ เชงิ บวก) 1. active in group affairs/ ที่มีความคล่องแคล่วในการทางานกลุ่ม 2. amazing / นา่ พศิ วง 3. attractive / สวยมเี สน่หช์ วนมอง ทดี่ ึงดดู ความสนใจ 4. awesome /ที่นา่ ประทับใจ ดีมาก ดีเยยี่ ม 5. brave / กลา้ หาญ 6. challenging / ทที่ ้าทายความสามารถ

133 7. charismatic/ทมี่ เี สน่ห์ มีความสามารถในการโน้มน้าวจติ ใจผู้อน่ื 8. classy / ท่ีมีรสนิยม ทันสมัย 9. comfortable/ สบายใจ ไม่อึดอดั 10. cooperative / ทีใ่ ห้ความรว่ มมือ 11. creative / ทม่ี ีความคิดสรา้ งสรรค์ 12. dexterous / ท่ีมีความชานาญในการใช้มือ 13. down-to-earth/ ทมี่ ีเหตผุ ลยอมรับความเป็นจรงิ ท่ีปฏิบตั ิได้ เป็นคนติดดนิ 14. Easygoing/ใจเยน็ สบาย ๆ ไมก่ ังวลกับการกระทาของคนอ่ืน 15. easy to get along with /ทเ่ี ข้ากันไดง้ ่าย ไมเ่ รือ่ งมาก ไปด้วยกนั ได้แบบสบาย ๆ 16. empathetic /ท่ีมีความเหน็ อกเหน็ ใจผู้อน่ื 17. sympathetic /ท่มี คี วามเหน็ อกเหน็ ใจผู้อน่ื 18. effective / ทไ่ี ดผ้ ล 19. efficient / ทีม่ ีประสิทธภิ าพ 20. elegant / สวยสงา่ 21. enthusiastic / ท่ีมคี วามกระตอื รือร้น 22. fantastic / ดมี าก ยอดเย่ียม ยิง่ ใหญม่ าก 23. fascinating / นา่ หลงใหลตรึงใจ 24. gregarious, sociable /ชอบสมาคมกบั ผอู้ ื่น 25. handy /มีประโยชน์ ใชง้ า่ ย 26. imaginative/ทมี่ ีจนิ ตนาการ 27. Industrious / ขยัน 28. Innovative/ท่ีสร้างสรรค์ใหม่ ท่ีริเรม่ิ ใหม่ 29. Intelligent/ฉลาด ทีม่ ีความสามารถในการเรียนรแู้ ละคดิ 30. logical / มเี หตุผล 31. neat / เปน็ ระเบยี บเรยี บร้อย เจ้าระเบยี บ ดี เหมาะ 32. open-minded/ใจกว้าง พร้อมทีจ่ ะรับฟงั สง่ิ ใหม่ ๆ 33. optimistic / มองในด้านดี 34. outgoing / มีอธั ยาศัยดี 35. persuasive/ท่ีสามารถชกั ชวนให้ผ้อู ่นื ทาตาม 36. pessimistic / มองในด้านรา้ ย 37. powerful / มีอานาจอิทธิพลเหนือผ้อู น่ื 38. practical/ท่มี ีประโยชน์ ท่ตี ดั สนิ ใจดว้ ยการใช้เหตผุ ล แกป้ ัญหาเก่ง 39. Skillful/ ทีมีความชานาญหรือเชย่ี วชาญ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook