Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน การแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิคเพื่อนคู่คิดสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร

รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน การแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิคเพื่อนคู่คิดสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร

Published by Kunasin Chutinun, 2023-06-07 09:19:31

Description: รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน เรื่อง การแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
โดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิคเพื่อนคู่คิดสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร
เป็นการวิจัยในชั้นเรียนขณะ ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ปีการศึกษา 2565

Keywords: Think Pair Share

Search

Read the Text Version

รายงานการวิจัยเชงิ ปฏบิ ัติการในชั้นเรยี น เรอ่ื ง การแกป้ ัญหาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรอ่ื งอสมการเชิงเส้นตวั แปรเดียว โดยใช้การจัดการเรียนรเู้ ทคนิคเพ่อื นค่คู ิดสำหรับนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3/1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร โดย คณุ าสิน ชตุ นิ ันท์ รายงานการวิจัยเชงิ ปฏิบัติการในช้ันเรียนนเ้ี ปน็ ส่วนหน่ึงของการศึกษาตามหลักสตู รครุศาสตรบณั ฑิต สาขาวชิ าคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนสนุ ันทา ปีการศกึ ษา 2565

รายงานการวจิ ยั เรอื่ ง การแกป้ ญั หาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์ เร่อื งอสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว โดยใชก้ ารจัดการเรยี นร้เู ทคนิคเพือ่ นคคู่ ดิ สำหรบั นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3/1 โรงเรยี นวมิ ตุ ยารามพิทยากร The Solving of Mathematics Learning Achievement for Mathayom Suksa 3/1 Wimuttayarampittayakorn school on One variable linear Inequality with Think - Pair - Share technique โดย คณุ าสนิ ชุตนิ ันท์ รายงานการวิจยั เชิงปฏิบตั กิ ารในช้นั เรียนน้เี ปน็ ส่วนหนงึ่ ของการศกึ ษาตามหลักสตู รครุศาสตรบัณฑติ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสนุ ันทา ปกี ารศกึ ษา 2565

คณะกรรมการการสอบป้องกันการวิจยั ในชั้นเรยี น ได้พิจารณาการวจิ ัยเชงิ ปฏิบัติการในชั้นเรียนของ คณุ าสนิ ชตุ นิ ันท์ แล้วเห็นสมควรรบั เป็นส่วนหนง่ึ ของ การศึกษาตามหลักสตู รครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ของมหาวทิ ยาลัยราชภัฏสวนสุนนั ทา คณะกรรมการสอบ .............................................................. ประธานกรรมการสอบ (..............................................................) .............................................................. กรรมการผู้เชี่ยวชาญ (..............................................................) .............................................................. กรรมการจากสาขาวิชา (..............................................................) .............................................................. กรรมการและเลขานุการ (..............................................................) คณะครศุ าสตร์อนุมัตใิ ห้รบั การทำวิจัยเชิงปฏบิ ตั ิการในชั้นเรยี นฉบับน้ีเปน็ ส่วนหนึง่ ของการศกึ ษาหลักสูตร ครศุ าสตรบัณฑติ สาขาวชิ าคณติ ศาสตร์ ของมหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนสุนนั ทา .............................................................. คณบดีคณะครุศาสตร์ (ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.กรรณิการ์ ภริ มย์รตั น)์ วันที่........... เดอื น ........................ พ.ศ. ..........

ก บทคัดย่อ ชื่อรายงานการวจิ ัยเชิงปฏบิ ัตกิ ารในช้นั เรียน : การแกป้ ัญหาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรอ่ื งอสมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดยี ว โดยใชก้ ารจัดการเรยี นรู้ เทคนิคเพ่ือนคคู่ ิดสำหรบั นกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3/1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร ชือ่ ผูท้ ำวจิ ัยในช้นั เรยี น : คุณาสนิ ชุตนิ ันท์ ปที ่ที ำการวจิ ัย : 2565 คำสำคัญ : การจดั การเรยี นรู้โดยเทคนิคเพือ่ นคูค่ ิด อสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว รายงานวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวชิ าคณติ ศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดียว ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังได้รับการจัดการ เรียนรโู้ ดยเทคนคิ เพื่อนคู่คิด กบั เกณฑร์ อ้ ยละ 60 2) เพื่อเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว นักเรียนมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ก่อนและหลงั ไดร้ ับการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิค เพื่อนคู่คดิ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวทีม่ ีตอ่ การจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรยี นวิมุตยารามพทิ ยากร ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 จำนวน 12 คน คดั เลือกเป็นกลมุ่ เปา้ หมายการ วิจัยโดยเปน็ นักเรยี นทม่ี คี ะแนนของแบบทดสอบท้ายหน่วยการเรียนรู้ เรือ่ งอสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดียวต่ำกว่า ร้อยละ 50 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด แบบทดสอบวัด ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรอ่ื งอสมการเชงิ เส้นตวั แปรเดียว และแบบสอบถามความคดิ เห็นของ นักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด การตรวจสอบคุณภาพด้านความตรงโดยวิธี การประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ การตรวจสอบความถูกต้องและความตรงเชิงเนื้อหา ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างคำถามในแบบทดสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ การวิเคราะห์ข้อมูลคะแนน ของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นก่อน และหลังได้รบั การจัดการเรียนรโู้ ดยเทคนิคเพอ่ื นคู่คิด ระดับ ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด และการวิเคราะหข์ ้อมูลเชิงคุณภาพ ของความคิดเห็นของนักเรียน ผู้วิจัยนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ โดยใช้ตาราง ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วน เบย่ี งเบนมาตรฐาน

ข ผลการวิจยั พบวา่ 1) นักเรียนหลังจากที่ได้รับการจัดการเรยี นรู้โดยเทคนิคเพื่อนคูค่ ิด เรื่องอสมการเชิงเส้นตวั แปรเดยี ว ของนักเรยี นระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 มีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์รอ้ ยละ 60 2) นักเรียนท่ีไดร้ บั การจัดการเรียนรโู้ ดยเทคนิคเพอ่ื นคคู่ ดิ เรอ่ื งอสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณติ ศาสตร์ เรือ่ งอสมการเชงิ เส้นตัวแปรเดียวหลังเรียน พบวา่ นกั เรียนมีคะแนน พฒั นาการอนู่ในระดบั สงู มาก 3) ความคดิ เหน็ ของ นกั เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3/1 โรงเรียนวมิ ตุ ยารามพิทยากร ทม่ี ตี ่อการจัดการเรียนรูโ้ ดยเทคนคิ เพ่อื นคคู่ ดิ เรือ่ งอสมการเชิงเส้นตวั แปรเดยี ว อยใู่ นระดับเหน็ ดว้ ย

จ ABSTRACT Research Title : The Solving of Mathematics Learning Achievement for Mathayom Suksa 3/1 Username research in class Wimuttayarampittayakorn school on One variable Years of Research linear Inequality with Think - Pair - Share technique Keywords : Kunasin Chutinun : 2022 : Learning Management with Think - Pair - Share technique One variable linear Inequality The purpose of this research was to 1) compare the mathematical achievement in one-variable linear inequality after being managed with the Think-Pair-Share technique with a 60 percent criteria, 2) compare the achievement in mathematics one-variable linear inequality before and after being learning managed with the Think-Pair-Share technique, and 3) study the opinions of Mathayomsuksa 3/1 students on the one-variable linear inequality in learning management by the Think-Pair-Share technique. The target group for this study was Mathayomsuksa 3/1 students whose test scores at the end of the unit on one variable linear inequalities are less than 50 percent in Semester 1 of the Academic Year 2022. The research tools included a learning management plan with the Think-Pair-Share technique, a mathematical achievement test on one-variable linear inequality, and a questionnaire on students' opinions on learning management by the Think-Pair-Share technique. The content validity was assessed by examining the appropriateness of the learning management plan, and the content validity index of item-objective congruence value between the test's questions and the learning objectives. The data was analyzed using tables, percentages, arithmetic means, and standard deviations.

ฉ The results showed that : 1) The students who were learning managed with the Think-Pair-Share technique on one-variable linear inequality in Mathayomsuksa 3/1 had a higher mathematical achievement than the 60 percent criteria. 2) The students who were learning managed with the Think-Pair-Share technique on one-variable linear inequality had a very high level of Growth scores. 3) The opinions of Mathayomsuksa 3/1 Wimuttayaramphitthayakon School students towards learning management with the Think-Pair-Share technique on one-variable linear inequality were at the level of agreement.

ช กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจยั เชิงปฏิบัติการในชน้ั เรียนฉบับน้ีสำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาของ อาจารย์ที่ปรึกษา การวิจัย อาจารย์ ดร.สุรนนท์ เย็นศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียนวิมุตารามพิทยาการ นายอภิภมู ิ เปี้ยปลูก และ อาจารยพ์ เ่ี ลีย้ ง นางสาวจริ ภทั ร บุญครอบ ทก่ี รณุ าใหค้ ำปรึกษา ความรู้ ขอ้ เสนอแนะและอำนวยความสะดวก ในการทำงานวิจัยนี้ ตลอดจนแกไ้ ขขอ้ บกพร่องต่าง ๆ ดว้ ยความละเอยี ดเพ่อื ให้รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ในชัน้ เรียนนี้มคี วามสมบรู ณม์ ากข้ึน ผวู้ ิจยั จึงขอกราบขอบพระคุณมา ณโอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคณุ นางสาวนนั ทนา ศรนี วล นางสาวมสั ตกา อ่อนเกตพล และนางสปุ ระวณี ์ ทพิ ย์ โพธ์ิ ผเู้ ชย่ี วชาญท่ไี ด้กรุณาตรวจสอบเคร่ืองมือในการวิจัยพร้อมให้คำแนะนำอนั เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการ สรา้ งเครือ่ งมอื และสนับสนนุ ให้ งานวิจยั นี้สำเรจ็ ลุลว่ งดว้ ยดี ขอขอบคณุ ผูบ้ ริหาร ครู และนักเรยี นโรงเรียนโรงเรยี นวมิ ุตยารามพิทยากรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องท่ีให้ ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถามและจัดเกบ็ ข้อมลู จนทำใหง้ านวจิ ยั ดำเนินไปได้ด้วยดี คณุ ค่าและประโยชน์ของรายงานการวิจยั เชงิ ปฏิบตั กิ ารในชัน้ เรียนฉบับน้ี ขอมอบแด่บดิ า มารดาและ ครูอาจารย์ทกุ ทา่ นท่ไี ดอ้ บรมสั่งสอนใหค้ วามรู้แก่ผู้วิจัยต้งั แตอ่ ดตี จนถงึ ปัจจุบัน คุณาสนิ ชุตนิ ันท์

ซ สารบัญ หน้า บทคดั ยอ่ ________________________________________________________________________ก กิตตกิ รรมประกาศ _________________________________________________________________ช สารบญั __________________________________________________________ ซ สารบญั ตาราง ____________________________________________________________________ซ สารบัญภาพ_____________________________________________________________________ ฌ บทที่ 1 บทนำ ____________________________________________________________________ 1 ความเป็นมาและความสำคัญ ___________________________________________________ 2 คำถามการวิจัย _____________________________________________________________ 3 วัตถุประสงคก์ ารวจิ ัย _________________________________________________________ 3 ขอบเขตของการวจิ ยั _________________________________________________________ 3 นิยามศพั ท์เฉพาะ____________________________________________________________ 4 ประโยชน์ที่ได้รับ ____________________________________________________________ 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ ก่ียวข้อง __________________________________________________ 6 1) แนวคิดและทฤษฎีเกย่ี วกบั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณติ ศาสตร์______________________ 6 1.1) ความหมายของผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ ______________________ 6 1.2) ความหมายของแบบทดสอบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน_________________________ 7 1.3) ลักษณะของแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นทดี่ ี_________________________ 8 2) แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกบั ความคิดเห็น _________________________________________ 9 2.1) ความหมายของความคิดเห็น__________________________________________ 9 2.2) หลกั การสร้างแบบสอบถามท่ีดี _______________________________________10 3) แนวคิดและทฤษฎีเก่ยี วกับการจัดการเรียนรโู้ ดยเทคนคิ เพอ่ื นค่คู ิด _____________________ 12 3.1) ความหมายของการจัดการเรยี นรู้โดยเทคนิคเพ่อื นค่คู ิด ______________________ 12

ช สารบญั (ต่อ) หน้า 3.2) ขั้นตอนการจัดการเรียนร้โู ดยเทคนิคเพอื่ นคู่คดิ ____________________________ 13 4) งานวิจัยทีเ่ กย่ี วข้อง _______________________________________________________ 14 5) กรอบแนวคิดการวจิ ัย _____________________________________________________ 15 บทท่ี 3 วธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย ___________________________________________________________ 16 กลมุ่ เปา้ หมายการวจิ ัย _______________________________________________________ 16 เคร่ืองมือทใ่ี ชก้ ารวิจัย________________________________________________________ 17 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล _______________________________________________________ 27 การวเิ คราะห์และนำเสนอข้อมูล ________________________________________________28 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู _______________________________________________________ 30 ตอนที่ 1 ขอ้ มลู พ้นื ฐานของกล่มุ เป้าหมายการวจิ ยั ___________________________________30 ตอนที่ 2 ผลการวจิ ยั ________________________________________________________ 30 ตอนท่ี 3 สะทอ้ นผลการวจิ ยั ___________________________________________________ 35 บทที่ 5 สรปุ ผลการวิจัย อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ ______________________________________41 สรุปผลการวจิ ัย ____________________________________________________________ 41 อภปิ รายผล __________________________________________________42 ข้อเสนอแนะ ______________________________________________________________ 43 บรรณานกุ รม____________________________________________________________________44 ภาคผนวก _____________________________________________________________________49 ภาพกิจกรรมการจดั การเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิด ______________________________________433 ประวตั ิผู้วิจยั ___________________________________________________________________435

ซ ตารางท่ี 1 สารบญั ตาราง ตารางที่ 2 ตารางท่ี 3 หนา้ ตารางที่ 4 ตารางที่ 5 นวตั กรรมท่ใี ช้ในการวิจยั และสาเหตุท่ีเกยี่ วขอ้ ง_____________________________ 17 ตารางที่ 6 การวิเคราะห์แผนการจดั การเรยี นรโู้ ดยเทคนคิ เพ่ือนคู่คิด______________________ 18 ตารางท่ี 7 การวเิ คราะห์การนำจุดประสงคก์ ารเรียนรูท้ ี่ใช้สร้างร่างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ____ 23 เกณฑก์ ารให้คะแนนของแบบทดสอบประเภทแสดงวธิ ีทำ _____________________ 24 ตารางที่ 8 แผนการเกบ็ รวบรวมข้อมลู วิจยั ________________________________________ 27 เกณฑ์คะแนนพฒั นาการเทียบระดบั พัฒนาการ ____________________________ 29 ตารางท่ี 9 คะแนนแบบทดสอบหลงั การจัดการเรยี นรูโ้ ดยเทคนคิ เพ่อื นคคู่ ดิ เรื่องอสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดยี ว ของนักเรยี นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 _______________________________ 31 ตารางท่ี 10 คะแนนของแบบทดสอบก่อน และหลังการจดั การเรยี นรโู้ ดยเทคนคิ เพอื่ นคคู่ ดิ เร่อื ง อสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี ว และระดับพัฒนาการของนักเรียนระดบั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 32 ตารางที่ 11 ผลการวเิ คราะห์ความคิดเห็นของนกั เรยี นท่มี ตี ่อการจัดการเรยี นรู้โดยเทคนิคเพื่อนค่คู ดิ ตารางที่ 12 เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยนักเรยี นระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 _________ 33 ตารางที่ 13 การวเิ คราะห์เชงิ คุณภาพ ประเภทการวเิ คราะหค์ ำหลักเพ่ือจดั กลมุ่ คำ ในแบบสอบถาม ความคิดเห็นของนกั เรียนต่อการจดั การเรียนร้โู ดยเทคนคิ เพื่อนคู่คิด _____________ 34 ตารางท่ี 14 การเรยี นรเู้ กี่ยวกบั นวัตกรรมท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั การจัดการเรียนรโู้ ดยเทคนิคเพ่ือนคคู่ ิด __ 36 การเรียนรูเ้ ก่ยี วกับการดำเนนิ การวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั กิ ารในช้นั เรยี นครง้ั นี้ ____________ 37 ตารางที่ 15 สรปุ ผลการประเมนิ ดชั นีความสอดคลอ้ ง (IOC) ระหวา่ งแบบทดสอบกบั จดุ ประสงคก์ าร เรียนรู้เร่อื ง อสมการเชิงเส้นตวั แปรเดียว สำหรับนักเรียนมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 _______ 131 ตารางที่ 16 ผลการวเิ คราะห์แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรยี นรโู้ ดยเทคนิค เพอ่ื นคคู่ ดิ ท่ี 1 เรื่อง อสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดียว สำหรับนกั เรยี นมัธยมศึกษาปีที่ 3__ 133 ตารางที่ 17 ผลการวเิ คราะห์แบบประเมนิ ความเหมาะสมของแผนการจดั การเรียนรโู้ ดยเทคนิค เพอื่ นคู่คดิ ท่ี 2 เรอ่ื ง อสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดียว สำหรับนกั เรียนมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3__ 134 ตารางที่ 18 ผลการวเิ คราะห์แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจดั การเรียนรู้โดยเทคนิค เพ่ือนคู่คิดที่ 3 เรอื่ ง อสมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดยี ว สำหรบั นกั เรียนมัธยมศกึ ษาปีที่ 3__ 135 ผลการวเิ คราะหแ์ บบประเมนิ ความเหมาะสมของแผนการจดั การเรยี นรโู้ ดยเทคนคิ เพอ่ื นคูค่ ิดท่ี 4 เรอื่ ง อสมการเชงิ เส้นตวั แปรเดยี ว สำหรับนกั เรยี นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3__ 136 ผลการวิเคราะห์แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจดั การเรียนรูโ้ ดยเทคนิค เพอ่ื นค่คู ดิ ท้งั 3 แผน เรื่อง อสมการเชงิ เส้นตัวแปรเดียว สำหรบั นกั เรียนมธั ยมศกึ ษา ปที ่ี 3 __________________________________________________________ 137

ฌ ตารางที่ 19 สารบัญตาราง (ต่อ) หนา้ ตารางท่ี 20 137 ผลการประเมนิ ดัชนีความสอดคลอ้ ง (IOC) ระหวา่ งคำถามในแบบสัมภาษณ์กบั 139 จดุ ประสงค์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตวั แปรเดียว สำหรับนักเรียนมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3____ ผลการวเิ คราะห์ความคดิ เห็นของนักเรียนทม่ี ตี ่อการจัดการเรยี นร้โู ดยเทคนิคเพือ่ นคู่คดิ เรอื่ งอสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดยี ว โดยนกั เรยี นระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3__________

ภาพที่ 1 ญ สารบญั ภาพ หน้า กรอบแนวคดิ การวจิ ัย_______________________________________________ 15

บทท่ี 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ แนวทางในการจัดการศึกษาตามมาตราที่ 22 การจัดการศึกษา ตอ้ งยดึ หลกั ว่านักเรยี นทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่านักเรียนมีความสำคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และ มาตราที่ 23 การจัดการศึกษาต้องเน้นสำคัญคุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสม ของแต่ละระดับการศึกษาซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์ (สำนักงานปฏิรูปการศึกษา, 2542) การจัดการเรียนร้วู ชิ าคณติ ศาสตร์ คำนึงถงึ นักเรียนให้มีทกั ษะทจ่ี ำเปน็ ในศตวรรษท่ี 21 คือมีทกั ษะการ คิด การแกป้ ญั หา การคิดสรา้ งสรรค์ การใช้เทคโนโลยี การสือ่ สารและการรว่ มมือ เพ่อื ให้นกั เรยี นรเู้ ท่าทันการ เปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อม สามารถแข่งขันและอยู่ร่วมกับ ประชาคมโลกได้ เตรียมนักเรียนให้มีความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ พร้อมที่จะประกอบอาชีพเมื่อจบ การศึกษา หรือสามารถศึกษาต่อในระดับที่สูงขึน้ ตามศักยภาพของนักเรยี น โดยสำหรับนักเรียนตอ้ งมีความรู้ ความเข้าใจ อสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดียว และใช้ความรคู้ วามเข้าใจน้ีในการแก้ปญั หาในชวี ิตจริง ซง่ึ เปน็ หน่ึงใน สาระการเรยี นร้วู ิชาคณติ ศาสตร์ในในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2560, น.1-4) จากการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ท่ี ไม่เปน็ ไปตามท่ีคาดหวัง โดยปญั หาที่เกดิ ขน้ึ ผู้วิจยั ได้ศึกษาปญั หา และวิเคราะหป์ ัญหาโดยศกึ ษาจากผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน แบบทดสอบ การสัมภาษณ์นกั เรยี น และการบันทึกหลังแผนการจัดการเรียนรู้ พบว่าปัญหาเกิด ทั้งในด้านนักเรียน และด้านครูผู้สอน วิเคราะห์จากหลักฐานแบบทดสอบท้ายหน่วยการเรียนรู้ช้ีให้เห็นว่า คำถามชนิดเลือกตอบนักเรียนสามารถทำได้ และมีบางส่วนที่มีการแก้ไขการเลือกตัวเลือกหลายครั้ง ซึ่งเป็น การเลอื กตัวเลอื กที่ผิดแทนตัวเลือกทถี่ กู ต้อง และในส่วนคำถามชนิดแสดงวธิ ีทำ มกี ารทดและแสดงวิธีทำท่ีไม่ ละเอียด และบางส่วนที่ไมเ่ ขียนแสดงวิธีทำ เพื่อวิเคราะห์สภาพที่เกิดขึ้นครูผู้สอนจึงสัมภาษณ์นักเรียนที่เปน็ กลมุ่ เปา้ หมายเกยี่ วกับแบบทดสอบ ผลปรากฎคอื นกั เรยี นสามารถอธบิ ายความรู้ เนือ้ หาท่ีใชใ้ นการตอบคำถาม และบอกขั้นตอนในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ แต่เพียงนักเรียนขาดความมั่นใจ และความกล้าแสดงออกความ คิดเห็น ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกหลังแผนการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับครูผู้สอนอย่างดี เข้าใจ เนื้อหา และสามารถทำภาระงานที่รับมอบหมายได้ แต่นักเรียนมักเริ่มทำด้วยตนเองไม่ได้ ต้องถามคำถามว่า สิ่งที่ทำถกู ต้องหรอื ไม่ และนกั เรยี นบางสว่ นไม่กล้าแสดงความคิดเห็นหรือถามครูผู้สอนกอ่ นรอนักเรียนคนอ่ืน ในช้ันถามทำใหต้ อ้ งขอร้องใหเ้ พอ่ื นทก่ี ลา้ ถามครผู ูส้ อนให้เพอ่ื ที่จะทำใหภ้ าระงานที่ได้รบั มอบหมายนัน้ ถูกต้อง

2 ในส่วนปัญหาด้านครูผู้สอน พบว่า การสอนโดยใช้แบบเรียน และเอกสารประกอบการสอนเป็นหลักและให้ นักเรียนทำแบบฝึกหัดมากเกินไป ขาดการจัดกิจกรรมส่งผลให้นักเรียนขาดความมั่นใจในตนเอง ความกล้า แสดงออก ไมเ่ กิดทกั ษะการสื่อสาร และทักษะการอภิปราย จากสภาพปญั หาขา้ งต้น ผู้วจิ ัยได้นำกิจกรรมที่นกั เรยี นไดจ้ บั กล่มุ 3 – 4 คน และครูผู้สอนเสนอปญั หา ใหน้ ักเรียนใหค้ ิด ทำงานร่วมกนั ในกลมุ่ เกิดการรว่ มมือกนั เพ่ือแก้ปญั หาทคี่ รูผ้สู อนเสนอ แลว้ จึงมีขน้ั ตอนที่ต้อง นำเสนอผลลัพธ์และอธิบายวิธีการแก้ปัญหาพร้อมอภิปรายร่วมกันทั้งชั้นเรียน ผลปรากฏว่า นักเรียนมี การตอบสนองในทางบวกทั้งในกิจกรรม การทำงานร่วมกันในกลุ่ม และครูผู้สอน ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่า นกั เรยี นมีความกล้าแสดงออกและความมน่ั ใจในตนเองมากขึ้น แต่ยงั มีขอ้ จำกัดในเร่ืองจำนวนของนักเรียนใน ชั้นเรยี นมจี ำนวนมากทำใหก้ ารสงั เกต และสนับสนุนนักเรยี นได้ไมท่ วั่ ถึงมีนักเรยี นบ้างคนในกลุ่มที่ไม่มีบทบาท หรอื ไม่มีสว่ นรว่ มในการทำกจิ กรรม ในบางคร้ังจำนวนกลุม่ ท่มี ากทำให้ไม่สามารถอภิปรายไดค้ รบทุกกลุ่ม และ เรื่องเกี่ยวกับเวลาในการจัดกิจกรรมที่ใช้เวลานานกว่าที่กำหนดเนื่องจากการแก้ปัญหาของการทำงานกลุ่ม และการอภิปรายท่ีไมต่ รงประเดน็ ครูผู้สอนตอ้ งคอยสนบั สนุนดว้ ย การชี้จดุ สงั เกตต่าง ๆ เกีย่ วกับความคิดรวบ ยอด โดยใช้คำถามหรือการเปรียบเทยี บกบั สิง่ ที่นกั เรียนคนุ้ เคย ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาหลักการและแนวคิดที่จะนำมาพัฒนาการจัดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม คือ การจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) ซึ่งเป็นรูปแบบในการเรียนแบบร่วมมือโดยมี การจดั การเรียนรรู้ ่วมกนั ระหว่างนักเรยี น 2 คน ทจ่ี บั คกู่ ันภายในกลุ่มโดยเปน็ กิจกรรมการเรียนท่ีเร่ิมจากครู เสนอสถานการณ์ปัญหา หรอื โจทย์คำถามแล้วให้สมาชกิ คิดหาคำตอบดว้ ยตนองแลว้ เอาคำตอบไปอภิปรายกับ เพื่อนเป็นคู่ ช่วยกันแบ่งปันความคิดในประเด็นปัญหาเพื่อหาข้อสรุป จากนั้นนำผลสรุปเสนอหน้านั้นเรียน เพือ่ หาขอ้ สรปุ ของประเด็นคำถามจากนักเรียนท้งั ช้นั (กรมวิชาการ, 2546, น.4) การจัดการเรียนรู้โดยเทคนิค เพ่ือนคู่คิดกระตนุ้ ความสนใจของนักเรยี น ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน เปดิ โอกาสให้นักเรียนทุกคนแสดงความ คดิ เหน็ เปดิ ใจรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผู้อ่นื พฒั นาความกลา้ แสดงออก พัฒนาทักษะการสอื่ สาร ทักษะการคิด ขั้นสูง และทำให้เกิดความเข้าใจในบทเรยี นลึกซึ่งมากขึ้น (พีระกรณ์ ทะขิตะสิงห์, 2560, น.22-23) ขั้นตอน ของการจดั การเรยี นรโู้ ดยเทคนคิ เพอื่ นคูค่ ดิ (Think-Pair-Share) ประกอบดว้ ย 3 ขน้ั ตอนดังน้ี ขัน้ ท่ี 1 การคดิ (Think) เป็นขัน้ ตอนทค่ี รจู ะกระตุ้นดว้ ยปัญหาเพ่ือให้นักเรียนหาคำตอบ ขัน้ ที่ 2 การจับคู่ (Pair) เป็นข้ันตอนทีจ่ ะทำให้นกั เรยี นจบั คเู่ พ่อื อภิปรายปัญหาและทำงานร่วมกันเพ่ือ แกป้ ัญหา ขั้นที่ 3 การแลกเปลี่ยน (Share) เป็นขั้นตอนที่จะให้นักเรียนนำเสนอผลลัพธ์และวิธีการแก้ปัญหา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกนั กับนักเรยี นในชั้นเรียนทั้งหมดเพื่อหาขอ้ สรุปหรือข้อเสนอแนะซึ่งการจัดการ เรยี นรูโ้ ดยเทคนิคเพือ่ นคู่คิดสอดคล้องกับปญั หาที่ผวู้ ิจยั ตอ้ งการแก้ไข และพระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ มาตราที่ 22 ท่จี ัดการเรียนรโู้ ดยคำนึงถึงความแตกตา่ งของนักเรียน เนน้ นกั เรียนเปน็ สำคัญพัฒนานักเรียนตาม ธรรมชาตแิ ละเตม็ ตามศักยภาพ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการจัดการเรียนเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think-Pair-Share) เรื่องอสมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดียว สำหรับนักเรียนระดับชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมุ่งหวงั วา่ การจัดการเรียนรู้

3 โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด สามารถช่วยส่งเสริมความกล้าแสดงออก แสดงความคิดเห็นเปิดใจรับฟังความคิดเหน็ ของผู้อ่นื พฒั นาการทำงานร่วมกนั พัฒนาทกั ษะการสื่อสาร ทกั ษะการคิดข้นั สูง และทำให้เกิดความเข้าใจใน บทเรยี นลึกซึ่งมากข้นึ รวมทงั้ เจตคติต่อการเรียนวชิ าคณติ ศาสตร์ของนกั เรยี น ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 คำถามการวิจัย การจัดการเรียนร้โู ดยเทคนิคเพ่ือนคู่คิด ช่วยเพิ่มผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น เร่ืองอสมการเชิงเส้นตัวแปร เดียว และเจตคตขิ องนักเรยี นระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 ตอ่ วชิ าคณิตศาสตรห์ รือไม่ วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรยี นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 หลังไดร้ ับการจัดการเรยี นรโู้ ดยเทคนคิ เพอ่ื นคูค่ ิด กับเกณฑร์ อ้ ยละ 60 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว นักเรียนมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 กอ่ นและหลังไดร้ ับการจดั การเรยี นรโู้ ดยเทคนิคเพือ่ นคู่คิด 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวที่มีต่อ การจดั การเรียนรู้โดยเทคนิคเพอื่ นคคู่ ดิ ขอบเขตของการวิจยั ขอบเขตด้านกลมุ่ เป้าหมายของการวิจัย กลุ่มเป้าหมายการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 ที่ศึกษาใน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 12 คน โดยวิธีการเลือกอย่างเจาะจง พิจารณาจากคะแนน แบบทดสอบทา้ ยหนว่ ยการเรียนรู้ อสมการเชงิ เส้นตวั แปรเดยี ว ซ่งึ เปน็ นกั เรียนที่มีคะแนนต่ำกว่าร้อยละ 50 ขอบเขตดา้ นเนอ้ื หา การวิจัยครั้งนีก้ ำหนดขอบเขตของเนือ้ หาในการวจิ ัย คือเนื้อหาสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ พ้นื ฐาน ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ปรับปรุง 2560) เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ที่จัดทำโดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซง่ึ มเี นื้อหาย่อยตามหัวขอ้ ตอ่ ไปน้ี 1) แนะนำอสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี ว จำนวน 1 ชว่ั โมง 2) คำตอบและกราฟแสดงคำตอบของอสมการเชงิ เส้นตัวแปรเดียว จำนวน 1 ชัว่ โมง 3) การแกอ้ สมการเชงิ เส้นตวั แปรเดียว จำนวน 2 ชัว่ โมง 4) โจทยป์ ญั หาอสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดียว จำนวน 1 ชว่ั โมง ขอบเขตด้านตวั แปร 1) ตวั แปรอสิ ระ คือ การจดั การเรียนร้โู ดยเทคนคิ เพอ่ื นคู่คดิ (Think-Pair-Share)

4 2) ตวั แปรตาม คือ 2.1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ เร่ืองอสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดียว 2.2) ความคิดเห็นต่อการจดั การเรยี นรู้โดยเทคนิคเพอ่ื นคูค่ ิด ขอบเขตดา้ นระยะเวลา ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 จำนวน 3 สัปดาห์ ทง้ั หมด 7 ชัว่ โมง นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ 1) การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเพื่อนคู่คิด เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ผู้สอนต้ัง คำถามหรือกำหนดปัญหาให้แก่นักเรียนให้นักเรียนแต่ละคนคิดหาคำตอบของตนก่อนแล้วจับคู่กับเพื่อน อภิปรายคำตอบ เพื่อให้การแนะนำปรึกษาหารือ และหาผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบยิ่งข้ึนจากน้ันให้นักเรียนจับคู่ กับเพื่อนร่วมชั้นอีกคนหนึง่ เพื่ออภิปรายการตอบคำถามเมื่อไดข้ ้อสรุปนักเรยี นยกมือเสนอคำตอบต่อเพือ่ นใน ชน้ั เรยี นข้นั ตอนของการจัดการเรยี นรูโ้ ดยเทคนคิ เพ่ือนคู่คิดมีทงั้ หมด 3 ข้ันตอนดงั ตอ่ ไปนี้ ขั้นที่ 1 การคิด (Think) เป็นขั้นตอนที่ครูจะกระตุน้ ด้วยปัญหาเพ่ือให้ผู้เรียเกดิ การคิดหาคำตอบของ ปญั หารายบุคคลเพือ่ ใหน้ ักเรยี นทกุ คนในช้นั เรยี นได้คิดและคน้ หาคำตอบโดยลำพัง ขั้นที่ 2 การจับคู่ (Pair) เป็นขั้นตอนที่จะทำให้นักเรียนจับคู่เพื่ออภิปรายปัญหา แล้วให้ร่วมกันคิด ระหวา่ งกนั เพ่อื หาข้อสรปุ ขั้นที่ 3 การแลกเปลี่ยน (Share) เป็นขั้นตอนที่จะให้นักเรยี นแลกเปลี่ยนและนำเสนอเพื่อหาข้อสรุป ของประเดน็ คำถามจากนกั เรียนทง้ั ช้ัน 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว หมายถึง ระดับ สติปัญญา พฤติกรรม ทักษะหรือความสามารถของบุคคลที่ได้รับและพัฒนาที่มาจากการเรียนรู้ทั้งจาก การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวโดยใช้ กระบวนการวัดผลและประเมินผลโดยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 3) ความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด หมายถึง การแสดงออก ความเห็นด้วย ข้อขัดแย้ง หรือข้อพิจารณาเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิดว่าเป็นจริง เกิดจากความรู้สึก ภายในต่าง ๆ ซ่งึ ความรู้สกึ ภายในอาจเปน็ เพยี งเจตนา หรือความเชือ่ และคา่ นิยมเปน็ พฤตกิ รรมภายใน โดยไม่ ตอ้ งอาศยั หลกั ฐาน 4) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หมายถึง นักเรียนที่ศึกษาอยู่ในระดับชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3/1 โรงเรยี นวมิ ตุ ยารามพทิ ยากร ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565

5 ประโยชน์ทไ่ี ดร้ บั 1) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ผ่านเกณฑ์ รอ้ ยละ 60 2) ผู้วจิ ัยได้รบั รูปแบบการจดั การเรียนรู้โดยเทคนคิ เพ่ือนคู่คิด เรือ่ งอสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดยี ว

บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้อง เพื่อให้ได้กรอบความคิดในการวิจัยเรื่อง การแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เร่อื งอสมการเชงิ เส้นตัวแปรเดียว โดยใชก้ ารจัดการเรียนรเู้ ทคนิคเพื่อนคู่คิดสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยนำเสนอผล การศึกษาตามลำดับดงั น้ี 1) แนวคดิ และทฤษฎเี ก่ียวกับผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น 1.1) ความหมายของผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน 1.2) ความหมายของแบบทดสอบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน 1.3) ลักษณะของแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นทีด่ ี 2) แนวคิดและทฤษฎเี ก่ียวกบั ความคดิ เหน็ 2.1) ความหมายของความคิดเหน็ 2.2) หลักการสรา้ งแบบสอบถามท่ดี ี 3) แนวคดิ และทฤษฎีเกยี่ วกับการจัดการเรยี นร้โู ดยเทคนิคเพื่อนคคู่ ดิ 3.1) ความหมายของการจัดการเรียนร้โู ดยเทคนคิ เพือ่ นคคู่ ิด 3.2) ขน้ั ตอนการจดั การเรียนรูโ้ ดยเทคนิคเพอ่ื นค่คู ิด 4) งานวิจัยที่เกย่ี วขอ้ ง 5) กรอบแนวคิดการวจิ ยั 1) แนวคดิ และทฤษฎเี กย่ี วกบั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าคณิตศาสตร์ 1.1) ความหมายของผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าคณิตศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ (2533, น.23) ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงความสำเร็จและ ความสามารถในการกระทำสิ่งต่าง ๆ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ต้องอาศัยทักษะหรือองค์ความรู้ในวิชาหนึ่งวิชาใด โดยเฉพาะ พฒั นาพงษ์ สีกา (2551, น.32) ได้กลา่ ววา่ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นหมายถงึ ผลทเี่ กิดจากการกระทำ ของบคุ คล ซง่ึ เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเน่อื งจากการได้รบั การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง หรอื จากการจัดการ

7 เรียนรู้ในชั้นเรียนและสามารถประเมินหรือวัดประมาณค่าได้จากการทดสอบ หรือการสังเกตพฤติกรรม ท่เี ปลยี่ นแปลง หรือการวดั และประเมินผลในรูปแบบอ่ืน ๆ วฒุ ิชัย ดานะ (2553, น.32) ไดก้ ลา่ วว่า ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ระดบั ความรู้ ความสามารถ และทักษะที่ได้รับและพัฒนามาจากการได้รับการจัดการเรียนรู้วิชาต่าง ๆ โดยอาศัยเครื่องมือในการวัดผล หลงั จากการเรียนหรือจากการฝึกอบรม สิริสรณ์ สิทธิรินทร์ (2554, น.18) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง ความสำเร็จทางการ เรียนของบุคคลที่วัดได้จากกระบวนการทดสอบ หรือกระบวนการอื่นท่ีสามารถวัดผลด้วยวิธีการอย่าง หลากหลาย เชน่ การตรวจผลงานของนักเรียน การสงั เกตพฤตกิ รรม แฟ้มสะสมผลงาน เป็นตน้ Wilson (อ้างถงึ ใน เจษฎายทุ ธ ไกรกลาง, 2560, น.28) ได้กล่าวว่า ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น หมายถึง ความสามารถทางสติปัญญาที่ได้รับจากการเรียนรู้ และผลสำเร็จของการเรียนรู้ท่ีถูกประเมินเป็นระดับ ความสามารถ จากการศึกษาแนวคิดข้างต้นผู้วิจัย สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ระดับสติปัญญา พฤติกรรม ทักษะ หรือความสามารถของบุคคลที่ได้รับและพัฒนาที่มาจากการเรียนรู้ทั้งจากการเรียนรู้ด้วย ตนเอง และการจดั การเรยี นรู้ในรายวิชาต่าง ๆ โดยใช้กระบวนการวัดผลและประเมนิ ผลในรูปแบบตา่ ง ๆ 1.2) ความหมายของแบบทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เยาวดี วิบูลย์ศรี (2548, น.16) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึงแบบทดสอบที่ใช้วัดผล การเรียนรู้ด้านเนื้อหาวิชาและทักษะต่าง ๆ ของแต่ละสาขาวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาวิชาทั้งหลายที่ได้ จัดการเรียนรู้ในระดับช้ันต่าง ๆ ของแต่ละโรงเรียน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2552, น.98) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หมายถึงแบบทดสอบที่วัดความรู้ ความสามารถทางวิชาการของนักเรียนได้เรยี นรมู้ าแลว้ วา่ บรรลุตามจุดประสงคท์ ่ีกำหนดไว้เพยี งใด สมบตั ิ ทา้ ยเรอื คำ (2553, น. 73) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นเป็นแบบทดสอบท่ี ใช้วดั ระดบั ความสามารถของนักเรียนวา่ มคี วามร้คู วามสามารถ และทักษะในเนื้อหาวิชาทีเ่ รียนไปแลว้ มากน้อย เพยี งใด Gronlund (อ้างถึงใน สุมิตรา ทวีสุข, 2561, น. 32) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หมายถึง กระบวนการเชงิ ระบบเพื่อวัดพฤติกรรม องคค์ วามรู้ หรอื ผลการเรยี นรทู้ ีค่ าดว่าจะเกิดขึน้ จากการจัดเรียนรู้โดย หนา้ ทีห่ ลกั สำหรับการวดั และประเมินผล และยงั สามารถใชส้ ำหรับเปน็ แนวทางในการปรับปรงุ และพัฒนาการ เรียนรูข้ องนกั เรยี น จากการศึกษาแนวคิดข้างต้นผู้วิจัย สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้ วัดผลการเรียนรู้ด้านเน้ือหาวิชาและทักษะ ของแตล่ ะสาขาวิชา ว่านกั เรยี นมคี วามรู้ความสามารถ และทักษะ ในเนื้อหาวิชาที่เรียนไปแล้วมากน้อยเพียงใด บรรลุตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด และยังสามารถใช้ สำหรับเป็นแนวทางในการปรับปรุงและพฒั นาการเรียนรขู้ องนกั เรยี น

8 1.3) ลกั ษณะของแบบทดสอบผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นท่ดี ี บญุ เรียง ขจรศลิ ป์ (2527, น.15-19) กล่าววา่ คุณลักษณะแบบทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ ่ดี ีมีดงั นี้ 1) ความเท่ยี งตรง (Validity) เปน็ คณุ ลกั ษณะทบี่ ่งบอกว่าแบบทดสอบสามารถวดั คณุ ลักษณะ ตรงตามท่ีตอ้ งการได้หรอื ไม่ ไม่วดั คุณลักษณะอนื่ ๆ ทไี่ มไ่ ด้กำหนดวา่ ตอ้ งการวดั ผล 2) ความเชือ่ มนั่ (Reliability) เป็นคณุ ลกั ษณะทบ่ี ่งบอกวา่ แบบทดสอบที่สร้างเมอ่ื นำมาใช้ วัดผลคร้งั ใด ๆ ผลจะเป็นเหมือนเดมิ มคี วามคงเส้นคงวาของคะแนนทวี ดั ในแตล่ ะคร้ัง 3) ความเป็นปรนัย (Objectivity) เป็นคุณลักษณะที่บ่งบอกว่า ทุกคนที่เกี่ยวของกับการ วดั ผลครงั้ น้นั มีความคดิ เห็นต่าง ๆ เปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกันในหัวขอ้ เก่ียวกับข้อคำถามในแบบทดสอบ 4) ความยากงา่ ย (Difficulty) เปน็ คณุ ลักษณะทบ่ี ง่ บอกวา่ คำถามในแบบทดสอบมคี วามยาก ง่ายเหมาะสม ไมย่ ากหรอื งา่ ยจนเกนิ ไป 5) อำนาจจำแนก (Discrimination) เป็นคุณลักษณะที่บ่งบอกว่า แบบทดสอบสามารถ จำแนกระดับของนักเรียนได้ทุกระดบั อย่างชดั เจน 6) ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) เป็นคุณลักษณะท่ีบ่งบอกว่า แบบทดสอบมีความ ถูกต้องเชื่อถือได้ และการสร้างใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดแต่สร้างประโยชน์ และมีความสามารถในการรวบรวม ข้อมูลสงู ที่สุด 7) ความยุติธรรม (Fair) เป็นคุณลักษณะที่บ่งบอกวา่ แบบทดสอบไมส่ รา้ งโอกาสให้เกิดการ ได้เปรียบเสียเปรยี บแก่นักเรยี นบางกลมุ่ 8) คำถามทีล่ มุ่ ลกึ (Searching) เป็นคุณลกั ษณะที่บ่งบอกวา่ คำถามในแบบทดสอบไมไ่ ดใ้ ช้ วัดผลเพียงความรู้ความจำในการหาคำตอบ นักเรียนต้องเกิดกระบวนการคดิ ขัน้ สูงจากความรู้ที่ได้รับคำตอบ ของปัญหา 9) คำถามยั่วยุ (Exemplary) เป็นคุณลักษณะท่ีบ่งบอกวา่ คำถามในแบบทดสอบมคี วามทา้ ทายใหน้ กั เรยี นอยากทำ ไม่ถามวกวนสร้างความสับสน ไมย่ ากจนนกั เรียนไมส่ ามารถหาคำตอบได้ หรือยอมแพ้ ในการหาคำตอบ และไมง่ า่ ยจนเกินไปไมท่ า้ ทายให้นักเรียนทำ 10) ความจำเพาะเจาะจง (Definite) เป็นคุณลักษณะที่บ่งบอกว่า คำถามในแบบทดสอบ ไม่กวา้ งจนเกนิ ไป คำถามไมค่ วามคลุมเครอื มคี วามชดั เจนในคำถาม ล้วน สายยศและอังคณา สายยศ (2543, น.30-33) กล่าวว่า ลักษณะของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ที่ดี มีความเทีย่ งตรง (Validity) เปน็ คุณลกั ษณะหลัก คือ 1) ความเทีย่ งตรงเชงิ เนือ้ หา (Content Validity) แสดงถงึ คำถามในแบบทดสอบสอดคล้อง กบั เน้อื หาในหลักสูตร สามารถวดั เนอื้ หาและจดุ ประสงค์ครบตามทกี่ ำหนด 2) ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity) แสดงถึงคำถามในแบบทดสอบ สามารถวัดพฤตกิ รรม และสมรรถภาพตา่ ง ๆ ทีก่ ำหนดไวต้ ามหลักทฤษฎีต่าง ๆ ทีก่ ำหนด

9 3) ความเทย่ี งตรงเชิงสภาพ (Concurrent Validity) แสดงถึงคำถามในแบบทดสอบสามารถ วดั ผลนักเรยี นได้ตรงตามสภาพจริงของนักเรียนขณะท่ีถูกวัดผล 4) ความเท่ยี งตรงเชงิ การพยากรณ์ (Predictive Validity) แสดงถึงแบบทดสอบที่สรา้ ง สามารถใหผ้ ลท่ีสามารถนำไปใชว้ ิเคราะห์ หรอื สร้างความสอดคล้องกบั ผลการเรยี นในอนาคตได้ และยงั มลี ักษณะอนื่ ๆ ที่สำคัญท่ีบ่งบอกวา่ เปน็ แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทดี่ ีคือ ความเชื่อม่นั ความเป็น ปรนัย ความยากง่าย อำนาจจำแนก ความมีประสิทธิภาพ ความยุติธรรม และลักษณะของคำถามใน แบบทดสอบ ชวาล แพรัตกุล (2552, น.88) กล่าวว่า ลักษณะแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ที่ดีนั้น ต้องสามารถวัดผล ความรู้ ทักษะ พฤติกรรม และคุณลักษณะต่าง ๆ ได้ตรงตามที่กำหนด มีความเชื่อมั่นและประสิทธิภาพที่ดี คำถามในแบบทดสอบ มีความเป็นปรนัยในแง่ของความชัดเจนของคำถาม การให้คะแนน และการแปล ความหมายของคะแนนตรงกัน ความยากง่ายทเ่ี หมาะสม และมีความยุติธรรม จากการศึกษาแนวคิดข้างต้นผู้วิจัย สรุปได้ว่า ลักษณะแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ที่ดีประกอบด้ว ย ลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ มีความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่น ความเป็นปรนัย ความยากง่าย อำนาจจำแนก ความ มปี ระสทิ ธภิ าพ ความยตุ ิธรรม และมกี ารสรา้ งคำถามท่ดี ใี นแบบทดสอบคอื มีความลมุ่ ลึก สามารถยั่วยุนักเรียน ไดด้ ี และมีความจำเพาะเจาะจง 2) แนวคิดและทฤษฎเี กี่ยวกับความคิดเห็น 2.1) ความหมายของความคดิ เห็น เรืองวิทย์ แสงรัตนา (2522, น.4) กล่าวว่า ความคิดเห็นเป็นลักษณะของพฤติกรรมที่แสดงออกและ เป็นส่วนหนึ่งของทัศนคติทีส่ ามารถแยกความคดิ เห็นและทัศนคติออกจากกันได้ เพราะลกั ษณะความคดิ เหน็ จะ ไมล่ ึกซ้ึงเหมือนกับทศั นคติ กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2527, น.85) กล่าวว่า ความคิดเห็นเป็นการแสดงออกที่เกิดจากความรู้สึก ภายในตา่ ง ๆ ซึ่งความรูส้ ึกภายในอาจเป็นเพยี งเจตนา หรอื ความเชอ่ื และค่านิยมเปน็ พฤติกรรมภายในที่ไม่มี ผู้ใดสังเกตหรือทราบได้นอกจากตวั ของผูน้ ้นั Good (อา้ งถึงใน สุนทรี ตระการสุข, 2550, น.4) กลา่ วว่า ความคดิ เหน็ หมายถึง ความเช่ือความคิด หรอื การลงความเหน็ เกีย่ วกับสิ่งใดสง่ิ หนงึ่ ซึง่ ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นสง่ิ ท่ถี กู ตอ้ งหรือไม่ พจนานุกรมศพั ท์สงั คมวิทยา ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน (2546, น.246) กล่าววา่ ความคิดเหน็ หมายถึง ข้อพิจารณาวา่ เป็นจริงจากการใชป้ ัญญาความคดิ ประกอบถงึ แม้จะไมไ่ ด้อาศัยหลักฐานพิสจู น์ยืนยันได้เสมอ จากการศึกษาแนวคิดข้างต้นผู้วิจัย สรุปได้ว่า ความคิดเห็น หมายถึง การแสดงออก ความเห็นด้วย ข้อขดั แยง้ หรือข้อพิจารณาเก่ียวกับส่ิงตา่ ง ๆ วา่ เป็นจริง เกดิ จากความรู้สึกภายในตา่ ง ๆ ซึ่งความรู้สึกภายใน อาจเป็นเพยี งเจตนา หรอื ความเชือ่ และคา่ นยิ มเป็นพฤติกรรมภายใน โดยไมต่ ้องอาศัยหลกั ฐาน

10 2.2) หลกั การสร้างแบบสอบถามทดี่ ี อุทุมพร จามรมาน (2531, น.7) การสรา้ งแบบสอบถามท่ีดจี ะต้องศึกษาขอ้ มลู เกี่ยวกับแบบสอบถาม ดังตอ่ ไปน้ีทราบดวี ่าขอ้ ดอ้ ยในแบบสอบถามคอื อะไรบ้าง ในหัวขอ้ ดงั น้ี 1) โครงสรา้ งแบบสอบถาม ประกอบไปด้วย 3 ส่วนสำคญั ดงั นี้ 1.1) หนังสือนำหรือคำชี้แจง ส่วนแรกของแบบสอบถาม คือคำชี้แจงจะระบุถึง จุดประสงค์ที่ให้ตอบแบบสอบถาม การนำคำตอบที่ได้ไปใช้ประโยชน์ คำอธิบายลักษณะของแบบสอบถาม วิธกี ารตอบแบบสอบถาม 1.2) คำถามเกยี่ วกับข้อมลู สว่ นตัว เชน่ เพศ อายุ ระดบั การศึกษา อาชพี เปน็ ต้น การท่จี ะถามขอ้ มลู สว่ นตัวอะไรบ้างนนั้ ขึน้ อยกู่ ับกรอบแนวความคิดในการวิจัย โดยดวู ่าตัวแปรท่สี นใจจะศึกษา น้ันมอี ะไรบา้ งทีเ่ กยี่ วกับข้อมลู สว่ นตัว และควรถามเฉพาะข้อมลู ทจ่ี ำเปน็ ในการวจิ ยั เทา่ นั้น 1.3) คำถามเกย่ี วกบั คุณลกั ษณะหรอื ตัวแปรทีจ่ ะวดั เปน็ ความคิดเห็นของผูต้ อบใน เรอ่ื งของคุณลักษณะ หรอื ตวั แปรน้นั 2) ประเภทแบบสอบถาม ขอ้ คำถามในแบบสอบถามอาจแบง่ ได้เป็น 2 ประเภท คือ 2.1) คำถามปลายเปดิ (Open Ended Question) เปน็ คำถามทีเ่ ปิดโอกาสใหผ้ ตู้ อบ สามารถตอบไดอ้ ย่างเตม็ ท่ี ซึ่งคาดวา่ น่จะได้คำตอบท่ีแนน่ อน สมบูรณ์ ตรงกับสภาพความเป็นจริงได้มากกว่า คำตอบที่จำกัดวงให้ตอบ คำถามปลายเปิดจะนิยมใช้กันมากในกรณีที่ผู้วิจัยไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร หรือใช้คำถามปลายเปิดในกรณีที่ต้องการได้คำตอบเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการ สรา้ งคำถามปลายปิด 2.2) คำถามปลายปิด (Close Ended Question) เป็นคำถามที่ผู้วจิ ยั มีแนวคำตอบ ไว้ให้ผตู้ อบเลอื กตอบจากคำตอบทกี่ ำหนดไว้เท่านน้ั คำตอบท่ีผ้วู ิจยั กำหนดไว้ล่วงหนา้ มักได้มาจากการทดลอง ใช้คำถามในลักษณะที่เป็นคำถามปลายเปิด หรือการศึกษากรอบแนวความคิด สมมติฐานการวิจัย และนิยาม เชิงปฏิบัติการ คำถามปลายเปิดมีวิธีการเขียนได้หลาย ๆ แบบ เช่น แบบให้เลือกตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง แบบใหเ้ ลอื กคำตอบที่ถูกต้องเพยี งคำตอบเดียว แบบผ้ตู อบจดั ลำดบั ความสำคัญหรอื แบบให้เลอื กคำตอบหลาย คำตอบ 3) ขัน้ ตอนการสรา้ งแบบสอบถาม การสร้างแบบสอบถามประกอบไปด้วยขน้ั ตอนสำคัญดังน้ี 3.1) ศึกษาคุณลักษณะที่ตอ้ งการวัด 3.2) กำหนดประเภทของคำถาม 3.3) รา่ งแบบสอบถาม 3.4) ปรับปรุงแบบสอบถามจากการพิจารณารา่ งแบบสอบถาม 3.5) นำแบบสอบถามไปทดลองใชก้ บั กลุม่ ตวั อยา่ งเพื่อตรวจสอบคณุ ภาพ 3.6) ปรับปรุงแบบสอบถามตามการตรวจสอบคณุ ภาพ 3.7) จดั พิมพแ์ บบสอบถาม

11 พิชญส์ ินี ชมภคู ำ (2550) กลา่ วว่า หลักการสร้างแบบสอบถามทดี่ มี ีดังน้ี 1) สอดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย 2) ใชภ้ าษาท่เี ขา้ ใจงา่ ย เหมาะสมกับผตู้ อบ 3) ใช้ข้อความที่ส้ัน กะทดั รัด ไดใ้ จความ 4) แตล่ ะความถามควรมีนยั เพียงประเด็นเดียว 5) หลกี เล่ียงการใชป้ ระโยคปฏเิ สธซอ้ น 6) ไมค่ วรใชค้ ำย่อ 7) หลีกเลี่ยงการใช้คำท่ีเปน็ นามธรรมมาก 8) ไม่ขีน้ ำการตอบใหเ้ ป็นไปแนวทางใดแนวทางหนึง่ 9) หลีกเลีย่ งคำถามที่ทำให้ผตู้ อบเกดิ ความลำบากใจในการตอบ 10) คำตอบทีม่ ีใหเ้ ลอื กต้องชดั เจนและครอบคลมุ คำตอบทีเ่ ป็นไปได้ 11) หลกี เล่ยี งคำที่สอื่ ความหมายหลายอย่าง 12) ไมค่ วรเปน็ แบบสอบถามท่มี ีจำนวนมากเกินไป ไม่ควรใหผ้ ู้ตอบใชเ้ วลาในการตอบ แบบสอบถามนานเกนิ ไป 13) ข้อคำถามควรถามประเด็นทีเ่ ฉพาะเจาะจงตามเปา้ หมายของการวจิ ยั 14) คำถามต้องนา่ สนใจสามารถกระตุ้นใหเ้ กิดความอยากตอบ มารยาท โยทองยศ (2551, น.2) กล่าวว่า หลักการสร้างแบบสอบถามที่ดีมีจะต้องมีกระบวนการ ศึกษาคณุ ลักษณะทจ่ี ะวดั กำหนดประเภทของข้อคำถาม วเิ คราะห์คณุ ภาพ และกระบวนการปรบั ปรงุ คุณภาพ เพ่ือให้แบบทดสอบสามารถวัดผลไดอ้ ยา่ งแม่นยำ และเท่ยี งตรง จากการศึกษาแนวคดิ ขา้ งต้นผู้วิจยั สรุปไดว้ ่า หลกั การสร้างแบบสอบถามท่ดี ีประกอบดว้ ย 3 สว่ น 1) องคป์ ระกอบของแบบทดสอบครบถว้ น 2) มีขัน้ ตอนการสรา้ งแบบสอบถามท่เี ปน็ ระบบ มีศกึ ษาคุณลกั ษณะท่ีตอ้ งการวัด การตรวจ คณุ ภาพ และการปรบั ปรุงคณุ ภาพของแบบสอบถาม และจัดพิมพ์แบบทดสอบอย่างมีประสทิ ธิภาพ 3) ลักษณะตา่ ง ๆ ของคำถามในแบบสอบถาม 3.1) ใช้ภาษาทเ่ี ข้าใจง่าย เหมาะสมกับผู้ตอบ 3.2) ใช้ข้อความทส่ี ัน้ กะทดั รดั ได้ใจความ 3.3) แตล่ ะความถามควรมีนยั เพียงประเดน็ เดยี ว 3.4) หลีกเล่ียงการใช้ประโยคปฏิเสธซ้อน 3.5) ไมค่ วรใชค้ ำย่อ 3.6) หลกี เลย่ี งการใช้คำทเ่ี ปน็ นามธรรมมาก 3.7) ไมข่ ี้นำการตอบใหเ้ ปน็ ไปแนวทางใดแนวทางหนงึ่ 3.8) หลีกเลยี่ งคำถามท่ที ำให้ผตู้ อบเกิดความลำบากใจในการตอบ 3.9) คำตอบท่มี ใี ห้เลอื กต้องชัดเจนและครอบคลมุ คำตอบที่เป็นไปได้

12 3.10) หลีกเลย่ี งคำทีส่ ือ่ ความหมายหลายอยา่ ง 3.11) ไม่ควรเปน็ แบบสอบถามทม่ี ีจำนวนมากเกนิ ไป ไมค่ วรใหผ้ ตู้ อบใชเ้ วลา ในการตอบแบบสอบถามนานเกนิ ไป 3.12) คำถามตอ้ งนา่ สนใจสามารถกระตุ้นใหเ้ กิดความอยากตอบ 3) แนวคดิ และทฤษฎเี ก่ียวกบั การจดั การเรียนรโู้ ดยเทคนคิ เพ่อื นค่คู ดิ 3.1) ความหมายของการจัดการเรียนรู้โดยเทคนคิ เพ่ือนคคู่ ดิ ชำนาญ โพธิคลัง (2547, น.7) กล่าวว่า เทคนิคการเรียนรู้แบบเพือ่ นคู่ดิด (Think-Pair-Share) เป็น รูปแบบหน่ึงของการเรียนแบบร่วมกนั เป็นวธิ ีการจบั คู่เพ่ือให้นกั เรียนทำกิจกรรมการเรียนร่วมกัน เพื่อให้การ แนะนำปรึกษาหารือ และหาผลลพั ธ์ท่ีสมบรู ณ์แบบยิ่งขนึ้ และร่วมมือกันทำกจิ กรรมตามกระบวนการเรียนจน ค้นพบข้อสรปุ ขอ้ ความรูห้ รอื คำตอบรว่ มกัน สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ (2547, น.10) กลา่ วว่า รูปแบบเทคนิคเพือ่ นค่คู ิดว่าเป็นรูปแบบของ กจิ กรรมการเรยี นการสอนที่จดั ให้นกั เรยี นทำงานเป็นกลมุ่ โดยเร่ิมจากการจับคูค่ ิดแล้วนำความคิดของทั้งคู่มา อภิปรายเป็นกลุ่มเพื่อให้ได้ความคิดของกลุ่ม เป็นกิจกรรรมที่เน้นให้นักเรียนได้พัฒนาพฤติกรรมทางสังคม ควบคู่กับความรคู้ วามเข้าใจในเรื่องทเ่ี รียน ทศิ นา แขมณี (2550, น.265) กลา่ วว่า เทคนิคเพอ่ื นคดู่ ิด เปน็ เทคนิคท่ผี ู้สอนใช้คู่กับวิธีสอนแบบอ่ืน เทคนิคเพื่อนคู่คิด โดยเป็นเทคนิคที่ผู้สอนตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาให้แก่นักเรียน ซึ่งอาจจะเป็นใบงาน หรือแบบฝึกหัดก็ได้ และให้นักเรียนแต่ละคนคิดหาคำตอบของตนก่อน แล้วจับคู่กับเพื่อนอภิปรายคำตอบ เม่อื ม่ันใจว่าคำตอบของคนถกู ตอ้ งแลว้ จงึ นำคำตอบไปอธบิ ายใหเ้ พื่อนทงั้ ชนั้ ฟัง Millis and Cottell (อ้างถึงใน ปิยวรรณ ผลรัตน์, 2560, น. 15) กล่าวว่า เทคนิคการเรียนการสอน แบบเพอื่ นคูค่ ดิ (Think-Pair-Share) ซึ่งกล่าวถงึ เทคนิคการเรยี นการสอนแบบเพ่อื นคคู่ ิดว่า ในการเร่มิ กจิ กรรม การเรียนการสอน ครูตั้งคำถามที่จะต้องใช้ความเข้าใจ มักเป็นคำถามแบบการสอบสวนให้นักเรียนคิดหา คำตอบด้วยตนเอง จากนั้นให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนร่วมชั้นอีกคนหนึ่งเพื่ออภิปรายการตอบคำถามเมื่อได้ ข้อสรุปนักเรียนยกมือเสนอคำตอบต่อเพื่อนในชั้นเรียนและก่อนที่ครูจะให้นักเรียนคู่นัน้ เสนอคำตอบควรรอ เวลาให้นักเรียนคิดดำตอบให้ได้ก่อน และเพื่อให้นักเรียนมีโอกาสได้ท่องคำตอบกับเพื่อนก่อนที่จะพูดในช้ัน เรียน เพ่ือเพมิ่ พูนทกั ษะการส่อื สารทางวาจาและความมนั่ ใจ จากการศึกษาแนวคิดข้างต้นผู้วิจัย สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้เทคนิคเพื่อนคู่คิด เป็นรูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ผ้สู อนต้ังคำถามหรอื กำหนดปญั หาให้แก่นกั เรียนใหน้ ักเรียนแต่ละคนคิดหาคำตอบ ของตนก่อนแลว้ จับคู่กับเพ่อื นอภิปรายคำตอบ เพือ่ ให้การแนะนำปรึกษาหารือ และหาผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ ยง่ิ ขึน้ จากนัน้ ให้นักเรียนจบั คู่กบั เพ่อื นร่วมชนั้ อีกคนหนึง่ เพื่ออภิปรายการตอบคำถามเมื่อได้ขอ้ สรุปนักเรียนยก มอื เสนอคำตอบต่อเพือ่ นในช้ันเรียน

13 3.2) ขน้ั ตอนการจัดการเรียนรูโ้ ดยเทคนิคเพอื่ นค่คู ดิ Lyman (1981, น. 109 - 113) กล่าวว่า เทคนิคการจัดการเรยี นรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนคิ เพ่ือนคู่คดิ จะมขี ้นั ตอนท่สี ำคัญอยู่ 3 ข้อคือ 1) การคดิ (Think) นกั เรียนมเี วลา 30 วนิ าทีหรอื มากกวา่ เพอื่ ทจี่ ะคิดให้ไดค้ ำตอบท่ี เหมาะสม เวลาท่ใี ชน้ ีร้ วมถึงการเขยี นเพอ่ื จดบันทึกคำตอบ 2) การจับคู่ (Pair) หลงั จากใชเ้ วลาคดิ ใหน้ กั เรียนจบั คู่ เพอื่ แบ่งปันคำตอบและความคดิ เห็น ซงึ่ กันและกัน 3) การแบ่งปันคำตอบ (Share) นกั เรยี นสามารถนำคำตอบมาแบ่งปนั ภายในกลุ่มเดียวกัน หรอื ทง้ั ช้นั เรยี นในช่วงการอภปิ รายเพอื่ ตดิ ตามผล เทคนิคน้ีใหโ้ อกาสแกน่ ักเรียนทุกคนท่จี ะแสดงออกถึงตนเอง รวมถงึ สะท้อนให้เหน็ ถึงคำตอบของตนเอง Byerley (2002, น.3) กล่าวว่า เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คิดจะมี 3 ขนั้ ตอนคือ 1) การคิด (Think) เป็นข้นั ตอนแรกท่ีครจู ะกระต้นุ ดว้ ยปัญหาเพ่อื ให้นกั เรยี นหาคำตอบ 2) การจับคู่ (Pair) เปน็ ขนั้ ตอนท่ีสองทจ่ี ะทำให้นักเรียนจบั คเู่ พื่ออภิปรายปัญหา 3) การแลกเปลี่ยน (Share) เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะให้นักเรียนแลกเปลี่ยนและนำเสนอ ความรู้ ที่ได้จากการคน้ หาคำตอบ ชนิดาภา บุญประสม (2554, อ้างถึงใน สุพีรา ดาวเรือง 2555, หน้า 30) กล่าวว่า วิธีการของเทคนิค เพ่อื นคคู่ ดิ (Think-Pair-Share) มดี งั น้ี 1) ผสู้ อนตั้งประเด็นของปัญหากับนกั เรยี นทั้งช้ันเรียน 2) นักเรยี นแต่ละคนค้นหาคำตอบอยา่ งอิสระ โดยลำพงั 3) นกั เรยี นจบั คกู่ ันเปน็ คู่ แล้วให้ร่วมกันคดิ ระหว่างกัน เพ่ือหาข้อสรุป 4) นำผลสรปุ เสนอหน้าชนั้ เรยี น เพ่อื หาขอ้ สรุปของประเด็นคำถามจากนกั เรยี นทั้งชน้ั จากการศึกษาแนวคิดข้างต้นผู้วิจัย สรุปได้ว่า ขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด มีท้งั หมด 3 ขนั้ ตอนดงั ตอ่ ไปน้ี ขั้นที่ 1 การคิด (Think) เป็นขั้นตอนที่ครูจะกระตุ้นด้วยปัญหาเพื่อให้นักเรียนเกิดการคิดหาคำตอบ ของปัญหารายบคุ คลเพอ่ื ให้นกั เรียนทกุ คนในชั้นเรยี นได้คิดและคน้ หาคำตอบโดยลำพัง ขั้นที่ 2 การจับคู่ (Pair) เป็นขั้นตอนที่จะทำให้นักเรียนจับคู่เพื่ออภิปรายปัญหา แล้วให้ร่วมกันคิด ระหว่างกัน เพ่อื หาข้อสรปุ ขั้นที่ 3 การแลกเปลี่ยน (Share) เป็นขั้นตอนที่จะให้นักเรียนแลกเปลี่ยนและนำเสนอเพื่อหาขอ้ สรปุ ของประเดน็ คำถามจากนักเรียนทงั้ ช้นั

14 4) งานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวข้อง ปิยวรรณ ผลรัตน์ (2560) ได้ศึกษา การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนคณิตศาสตรข์ องนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เรอ่ื ง อสมการ โดยใช้รูปแบบ SSCS ร่วมกับเทคนิคเพ่ือนคู่คิด พบว่า 1) นักเรียนมีความสามารถในการแก้ปญั หาทางคณติ ศาสตรห์ ลังเรียนสงู กว่า กอ่ นเรยี น อย่างมีนยั สำคญั ทางสถติ ิท่ีระดับ .01 2) นกั เรียนมผี ลสัมฤทธทิ์ างการเรียนคณิตศาสตร์หลังเรียนสูง กว่ากอ่ นเรยี นอยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .01 และ 3) นักเรียนสว่ นใหญม่ ีความคิดเหน็ ต่อการจดั กจิ กรรม การเรยี นร้โู ดยใช้รปู แบบ SSCS รว่ มกับเทคนคิ เพ่ือนคู่คดิ อยูใ่ นระดับเห็นดว้ ย พีระกรณ์ ทะชิตะสิงห์ (2560) ไดศ้ กึ ษา การพฒั นากจิ กรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนคิ เพือ่ นคูค่ ิดที่ส่งเสรมิ ทักษะการแก้ปญั หาโจทย์ เรื่อง สมดุลเคมี สำหรับนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษา ปีที่ 5 พบวา่ 1) แผนการจดั การเรยี นรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ชนั้ ร่วมกับเทคนิคเพ่ือนคู่คิดที่ส่งเสริมทักษะ การแก้ปัญหาโจทย์ เรื่อง สมดุลเคมี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 81.96/81.70 2) ผลการเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นหลังเรยี นของนักเรียนด้วยการจดั การเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ 5 ชั้นร่วมกับเทคนิคเพ่ือนคูค่ ิดที่ส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาโจทย์กับเกณฑ์ สูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ผลการเปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาโจทย์หลัง เรยี นของนกั เรียนดว้ ยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ช้นั รว่ มกบั เทคนิคเพื่อนคู่คิดท่ีส่งเสริมทักษะ การแกป้ ญั หาโจทย์แต่ละขน้ั กับเกณฑ์ อุไรวรรณ ปานทโชติ (2561) ได้ศึกษา การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการ แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามขั้นตอนของโพลยาร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด พบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้ท่ี ส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ตามขั้นตอนของโพลยาร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด จำนวน 10 กิจกรรม 5 สาระการเรียนรู้ 2) นักเรียนที่ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการ แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ตามขั้นตอนของโพลยาร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด มีความสามารถในการแก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ สูงกว่าเกณฑ์รอ้ ยละ 70 อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติทรี่ ะดับ .05 3) นักเรียนทรี่ ว่ มกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ตามขั้นตอนของโพลยาร่วมกับเทคนิคเพื่อน คูค่ ดิ มเี จตคตติ อ่ วิชาคณิตศาสตร์โดยรวมอยู่ในระดบั มาก เทพบุตร หาญมนตรี (2563) ได้ศึกษา การพัฒนากิจกรรมการเรยี นรู้แบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คดิ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ เรื่อง ดอกเบี้ยและมลู ค่าของเงิน ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า 1) แผนการจัดกิจกรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คิด เรื่องดอกเบ้ีย และมูลค่าของเงิน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 77.92/72.31 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 70/70 2) นักเรยี นท่ีเรียนดว้ ยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเพื่อนคู่คดิ เรอื่ งดอกเบ้ียเละมูลค่าของเงิน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดบั .01 3) นักเรยี นทเ่ี รยี นด้วยการจดั การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเพอ่ื นคู่คดิ เรอ่ื งดอกเบยี้ เละมลู ค่าของ

15 เงิน มีความสามารถในการแกป้ ญั หาสูงกว่านกั เรยี นท่ีเรียนดว้ ยการจัดการเรียนรู้แบบปกตอิ ย่างมนี ัยสำคัญทาง สถิตทิ ีร่ ะดบั .01 วิไลวรรณ ชปู ้นั (2563) ได้ศึกษา ผลการจัดการเรยี นการสอนแนะให้รคู้ ิด (CGI) รว่ มกับเทคนิคเพ่ือน คู่คิด ที่มีต่อความสามารถในการให้เหตุผลและสมรรถนะด้านการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 พบว่า 1) นกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 ท่ีไดร้ บั การจดั การเรียนการสอนแนะให้รู้คิด ร่วมกับ เทคนคิ เพ่ือนคคู่ ดิ มคี วามสามารถในการให้เหตผุ ลทางคณติ ศาสตร์หลังเรียนสงู กวา่ ก่อนเรยี น อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแนะให้รู้คิด ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด มีสมรรถนะด้านการสื่อสารทางคณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนเรยี น อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิตทิ ่ีระดบั .05 จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวกับ การจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด พบว่า นักเรียนมี ความสามารถและทักษะต่าง ๆ เช่น ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการให้เหตุผล และ สมรรถนะการสื่อสาร รวมถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคเพื่อนคู่คดิ สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถสรุปได้ว่าการจัดการเรียนการสอนด้วยรูปแบบดังกล่าวสามารถพัฒนา นกั เรียนไดแ้ ละส่งเสรมิ ใหน้ ักเรยี นกล้าคดิ กล้าแสดงออก ผวู้ จิ ยั จงึ สนใจในการนำรปู แบบการจดั การเรียนรู้โดย เทคนิคเพื่อนคู่คิด นำมาศึกษาในหัวข้อ การแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการ เชงิ เสน้ ตัวแปรเดยี ว โดยใช้การจัดการเรียนรเู้ ทคนิคเพื่อนคู่คิดสำหรบั นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรยี น วมิ ุตยารามพทิ ยากร 5) กรอบแนวคดิ การวิจัย ตวั แปรตาม 1) ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวชิ าคณิตศาสตร์ ตัวแปรอสิ ระ เรอื่ งอสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดียว การจัดการเรยี นรู้โดยเทคนิคเพ่อื นคู่คิด 2) ความคิดเห็นตอ่ การจดั การเรยี นรโู้ ดย เทคนิคเพื่อนคู่คิด ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั

บทที่ 3 วิธดี ำเนินการวิจยั การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน การแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้การจัดการเรียนรู้เทคนิคเพื่อนคู่คิดสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี 3/1 โรงเรียนวมิ ตุ ยารามพิทยากร มวี ัตถปุ ระสงค์ดงั นี้ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนกั เรียนมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 หลงั ได้รบั การจัดการเรยี นรู้โดยเทคนิคเพอ่ื นค่คู ดิ กบั เกณฑร์ ้อยละ 60 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรยี นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 กอ่ นและหลังไดร้ บั การจัดการเรียนรโู้ ดยเทคนิคเพือ่ นคูค่ ิด 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อน คู่คิด เร่ืองอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว วธิ ดี ำเนินงานวิจัยที่สำคัญมีดังรายการตอ่ ไปน้ี 1) กลุ่มเป้าหมายการวิจัย 2) เครื่องมอื ทีใ่ ชก้ ารวิจยั 3) แบบแผนการวจิ ยั 4) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 5) การวเิ คราะหแ์ ละนำเสนอข้อมูล กลมุ่ เป้าหมายการวจิ ัย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนวิมุตยาราม พิทยากร ที่ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 12 คน โดยวิธีเลือกอย่างเจาะจง พิจารณาจาก ผลการทดสอบท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรียนที่มีผลคะแนนการ ทดสอบน้อยกวา่ รอ้ ยละ 50

17 เครือ่ งมอื ทีใ่ ช้การวจิ ยั เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย นวัตกรรมที่ใช้ในการแก้ปัญหาวิจัยและเครื่องมือรวบรวม ขอ้ มลู วิจยั แต่ละชนดิ มีกระบวนการสรา้ ง และพัฒนา ดังน้ี 1) เครื่องมือที่ใช้ในการแก้ปัญหา/พัฒนาในการวิจัยคือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิค เพ่อื นคู่คิด จำนวน 4 แผน รวมทัง้ หมด 5 ช่วั โมงประกอบด้วย - แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 1 แนะนำอสมการเชงิ เส้นตวั แปรเดยี ว จำนวน 1 ชัว่ โมง - แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 2 คำตอบและกราฟแสดงคำตอบ จำนวน 1 ชั่วโมง ของอสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดียว - แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 3 การแกอ้ สมการเชิงเส้นตวั แปรเดียว จำนวน 2 ชวั่ โมง - แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 4 การนำความรเู้ ก่ยี วกับอสมการเชงิ เส้น จำนวน 1 ชั่วโมง ตัวแปรเดยี วไปใชใ้ นการแก้ปัญหา นวตั กรรมดังกล่าวมีกระบวนการสร้างและพฒั นา ดงั น้ี 1.1) วเิ คราะห์สาเหตุสำคัญของปญั หา กำหนดวิธกี ารแก้ไข และหรือสื่อการจัดการ เรียนรู้ท่ีเกีย่ วข้องไดข้ ้อสรุปดังตาราง ตารางที่ 1 นวัตกรรมทีใ่ ช้ในการวิจยั และสาเหตุที่เก่ยี วขอ้ ง สาเหตุสำคัญของปญั หาการวิจยั นวตั กรรมท่ีใชใ้ นการวจิ ัย 1) นักเรยี นขาดความกลา้ แสดงออก แสดงความ 1) การจัดการเรยี นรู้โดยเทคนคิ เพื่อนคูค่ ิด คิดเห็น และขาดความมน่ั ใจในตนเอง (Think-Pair-Share) 2) นกั เรียนขาดทักษะการสือ่ สารสือ่ ความหมาย เพ่อื แสดงและอธบิ ายความรู้ของตนเอง 3) นักเรียนมคี วามรใู้ นเน้ือหา แตบ่ กพรอ่ ง เกย่ี วกับกระบวนการแก้ปญั หา 1.2) ศกึ ษาเอกสาร ตำรา หนังสือ และงานวิจยั ทีเ่ กี่ยวข้องกบั การจัดการเรียนรู้โดย เทคนิคเพื่อนคูค่ ิด ความหมายของการจดั การเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คดิ และขั้นตอนของการจัดการเรยี นรู้ โดยเทคนคิ เพื่อนคู่คิด 1.3) ศึกษาการสร้างการจดั การเรียนรู้โดยเทคนิคเพ่ือนคู่คิด การวเิ คราะห์เน้อื หา สาระการเรียนรู้ และตวั ชีว้ ัดเกยี่ วกับอสมการเชงิ เส้นตวั แปรเดียว แนะนำอสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี ว คำตอบ และกราฟแสดงคำตอบของอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว การแก้อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว การนำความรู้ เกี่ยวกับอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวไปใช้ในการแก้ปัญหา และกำหนดเวลาที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้นำมา จัดทำตารางการวิเคราะหแ์ ผนการจดั การเรยี นรู้ ดังตารางท่ี 2

18 ตารางที่ 2 การวเิ คราะห์แผนการจดั การเรยี นรู้โดยเทคนิคเพ่อื นคู่คิด แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ สาระสำคัญ เวลา(ช่ัวโมง) 1 1 1) นักเรยี นสามารถระบุ 1) อสมการ เป็นประโยคสญั ลักษณ์ 1 สัญลักษณแ์ ทน ทแี่ สดงถงึ ความสัมพันธ์ของจำนวน ความสัมพนั ธท์ ปี่ รากฎใน โดยมีสัญลกั ษณ์ ,,,, ใช้ ประโยคเก่ียวกบั จำนวน แสดงความสมั พนั ธ์ ได้ (K) 2) อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว คอื 2) นกั เรียนสามารถ อสมการทีม่ ีตัวแปรเพียงตัวเดียว อธิบายขั้นตอนการเขียน และเลขชกี้ ําลังของตัวแปรใน ประโยคสญั ลักษณ์แทน อสมการเท่ากบั 1 ประโยคเก่ียวกับจำนวน 3) ความหมายของเคร่ืองหมายใน ได้ (K) อสมการ 3) นกั เรียนสามารถบอก สญั ลกั ษณ์ แทน ความหมายของอสมการ ความสัมพันธ์ เชงิ เส้นตัวแปรเดยี วได้ >d มากกวา่ (K) <d นอ้ ยกวา่ 4) นกั เรยี นสามารถเขียน  d มากกว่าหรอื ประโยคสญั ลกั ษณ์แทน เทา่ กับ, ไมน่ อ้ ย ประโยคเก่ยี วกับจำนวน กวา่ ได้ (P)  ก น้อยกว่าหรือ 5) นกั เรยี นแสดงความ เทา่ กบั , ไมเ่ กนิ กระตือรือรน้ ในการเรยี น ก ไมเ่ ทา่ กับ (A) 2 1) นักเรียนสามารถ 1) คำตอบของอสมการคอื คำตอบท่ี อธิบายความหมายและ แทนลงไปในอสมการแล้วทำให้ ลกั ษณะของคำตอบของ อสมการเป็นจรงิ โดยคำตอบของ อสมการได้ (K) อสมการมีโอกาสท่ีจะสามารถเปน็ 2) นักเรยี นสามารถ จำนวนจริง หรอื ไมม่ คี ำตอบ อธบิ ายความหมายของ 2) กราฟแสดงคำตอบของอสมการ สญั ลักษณ์ที่ใชแ้ สดง โดยเขยี นลงไปบนเส้นจำนวนใช้ คำตอบของกราฟ สัญลักษณ์วงกลมทบึ () หรอื อสมการได้ (K) วงกลมโปรง่ () แทนขอบเขตของ

19 ตารางท่ี 2 การวิเคราะหแ์ ผนการจัดการเรยี นร้โู ดยเทคนคิ เพ่อื นคู่คดิ (ต่อ) แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ สาระสำคัญ เวลา(ช่ัวโมง) 3 2 3) นกั เรยี นสามารถเขยี น จำนวนท่ตี ้องการและไมต่ ้องการ กราฟคำตอบของ ตามลำดับ อสมการจากอสมการท่ี กำหนดให้ได้ (P) 4) นกั เรียนสามารถเขยี น ระบุคำตอบของอสมการ ท่ีกำหนดให้ได้ (P) 5) นักเรียนต้ังใจปฏบิ ัติ ตามหนา้ ทีท่ ไี่ ดร้ ับ มอบหมาย (A) 1) นกั เรียนสามารถ 1) สมบตั ิของการไมเ่ ท่ากนั อธบิ ายการนำความรู้ 1.1) สมบตั ขิ องการไม่เทา่ กนั เกยี่ วกบั สมบัตกิ ารไม่ เกีย่ วกับการบวก กำหนดให้ a, b เท่ากนั เกีย่ วกบั การบวก และ c แทนจำนวนจรงิ ใด ๆ และการคณู มาชว่ ยใน 1.1.1) ถ้า a < b และ c เป็น การพิจารณาแกป้ ญั หา จำนวนจรงิ แลว้ a+c < b+c อสมการเชงิ เส้นตวั แปร 1.1.2) ถ้า a ≤ b และ c เปน็ เดยี วท่กี ำหนดใหไ้ ด(้ K) จำนวนจรงิ แล้ว a+c ≤ b+c 2) นักเรียนสามารถเขยี น 1.1.3) ถ้า a > b และ c เป็น แสดงวิธีทำเพอื่ หา จำนวนจริง แลว้ a+c > b+c คำตอบโดยใช้ 1.1.4) ถา้ a ≥ b และ c เป็น กระบวนการแก้ปญั หาได้ จำนวนจริง แลว้ a+c ≥ b+c อย่างถกู ตอ้ ง (P) 1.1.5) ถ้า a  b และ c 3) นกั เรียนมีความ เป็นจำนวนจริง แล้ว a+c  b+c รบั ผดิ ชอบตอ่ หนา้ ท่ี ไมว่ ่า a และ b จะมคี วามสัมพนั ธ์ใด ภาระงาน ท่ไี ด้รบั ก็ตามทไ่ี ม่เทา่ กัน สามารถบวกดว้ ย มอบหมาย (A) c ทั้งสองข้างของอสมการไมม่ ีผลตอ่ เครื่องหมายยังทำให้อสมการเป็น จริงโดยไมต่ อ้ งเปลย่ี นเครอ่ื งหมาย

20 ตารางท่ี 2 การวิเคราะหแ์ ผนการจัดการเรียนรูโ้ ดยเทคนิคเพอื่ นคู่คิด (ตอ่ ) แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ สาระสำคญั เวลา(ช่วั โมง) 1.2) สมบัติของการไม่เทา่ กัน เก่ยี วกบั การคณู กำหนดให้ a, b และ c แทนจำนวนจรงิ ใด ๆ 1.2.1) ถ้า a < b และ c เปน็ จำนวนจริงบวก แลว้ ac < bc 1.2.2) ถา้ a ≤ b และ c เปน็ จำนวนจรงิ บวก แลว้ ac ≤ bc 1.2.3) ถ้า a > b และ c เปน็ จำนวนจรงิ บวก แลว้ ac > bc 1.2.4) ถ้า a ≥ b และ c เปน็ จำนวนจรงิ บวก แล้ว ac ≥ bc 1.2.5) ถา้ a < b และ c เปน็ จำนวนจรงิ ลบ แล้ว ac > bc 1.2.6) ถา้ a ≤ b และ c เป็น จำนวนจริงลบ แลว้ ac ≥ bc 1.2.7) ถ้า a > b และ c เป็น จำนวนจริงลบ แลว้ ac < bc 1.2.8) ถา้ a ≥ b และ c เป็น จำนวนจรงิ ลบ แลว้ ac ≤ bc 1.2.9) ถา้ a  b และ c เปน็ จำนวนจริงลบ แลว้ ac  bc การคูณจะทำให้เครอื่ งหมายของ อสมการเปลี่ยนเป็นตรงขา้ มหากคณู ด้วยจำนวนจรงิ ลบยกเว้น เครื่องหมายไม่เท่ากบั (  ) ท่ียังคง เดมิ 2) การแกอ้ สมการเชิงเส้นตวั แปร เดยี ว การแก้อสมการเชงิ เส้นตวั แปร เดยี วโดยใช้สมบัติการไมเ่ ท่ากนั ควร แกอ้ สมการเพ่ือหาค่าของตัวแปร

21 ตารางที่ 2 การวิเคราะหแ์ ผนการจดั การเรียนรู้โดยเทคนิคเพือ่ นคู่คิด (ตอ่ ) แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี จดุ ประสงค์การเรียนรู้ สาระสำคญั เวลา(ช่ัวโมง) โดยทำให้ข้างหนึง่ ของอสมการมี สมั ประสทิ ธิ์ของตัวแปรเท่ากบั 1 โดยมขี น้ั ตอนดังนี้ 2.1) จัดรปู ให้ตวั แปรอย่ฝู ั่ง เดยี วกนั และจำนวนก็อยู่ฝ่งั เดียวกัน ที่อยตู่ รงขา้ ม 2.2) ดำเนนิ การตามการจัดรปู 2.3) ทำให้สัมประสทิ ธิ์ของตัวแปร ให้เท่ากับ 1 เพอ่ื หาคำตอบของ อสมการ 4 1) นกั เรียนสามารถ 1) การแก้โจทย์ปญั หาอสมการเชงิ 1 อธบิ ายการนำความรู้ เสน้ ตวั แปรเดียวมีขั้นตอนคล้ายกบั เก่ยี วกบั อสมการเชิงเสน้ การแกโ้ จทย์ปญั หาเกย่ี วกับเรอ่ื งอ่ืน ตัวแปรเดียวมาช่วยใน ๆ แตใ่ ช้ความรู้เกีย่ วกับอสมการเชิง การพจิ ารณาแกโ้ จทย์ เสน้ ตวั แปรเดียวโดยมีขัน้ ตอนดังนี้ ปญั หาเกยี่ วกบั อสมการ ขน้ั ท่ี 1 วเิ คราะห์โจทย์ปัญหาเพื่อ เชิงเส้นตวั แปรเดียวที่ พิจารณาว่า โจทย์กำหนดอะไรมาให้ กำหนดใหไ้ ด้(K) และต้องการหาอะไร 2) นกั เรยี นสามารถเขยี น ขน้ั ท่ี 2 กำหนดตัวแปรแทนส่ิงท่ี แสดงวิธีทำเพื่อหา โจทยต์ อ้ งการใหห้ าหรอื แทนสง่ิ ที่ คำตอบโดยใช้ สัมพันธ์กับส่ิงท่ีโจทยต์ อ้ งการใหห้ า กระบวนการแกป้ ัญหาได้ ขั้นที่ 3 พิจารณาเงือ่ นไขทแี่ สดง อย่างถูกตอ้ ง (P) การไม่เทา่ กนั ตามที่โจทย์กำหนด 3) นักเรียนรบั ผิดชอบตอ่ แลว้ นำมาเขียนเปน็ อสมการ หนา้ ท่ที ีไ่ ดร้ บั มอบหมาย ขัน้ ที่ 4 แกอ้ สมการเพอ่ื หา (A) คาํ ตอบของส่งิ ที่โจทย์ตอ้ งการ ขน้ั ท่ี 5 ตรวจสอบความ สมเหตุสมผลของคาํ ตอบท่ีได้กับ เงอื่ นไขท่ีโจทย์กำหนด

22 1.4) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด นำเนื้อหาสาระที่ค้นคว้าท่ี เกี่ยวกับความรู้สึกเชิงปรภิ ูมิทั้งหมดและเกมที่ใช้จัดลงไปในแผนการจัดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม ทั้งหมด 4 แผนซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระสำคัญ หลักฐาน/ผลงาน/การ ปฏบิ ตั ิงาน กจิ กรรมการเรียนการสอน ส่ือและแหลง่ เรยี นรู้ และการวดั และประเมนิ ผล 1.5) นำแผนการจดั การเรียนรู้ไปให้อาจารย์ท่ปี รึกษาการวจิ ัย เพอ่ื ตรวจสอบ รบั คำแนะนำ และนำมาปรับปรุงแก้ไขโดยพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมกับเนื้อหาแต่มี ขอ้ เสนอแนะที่ตอ้ งนำไปปรบั ปรงุ แกไ้ ขดังน้ี - ปรับจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ใหแ้ สดงเป็นพฤตกิ รรมการเรียนรูข้ องนกั เรียนที่แสดง ออกมาให้ชดั เจนย่ิงขน้ึ 1.6) นำแผนการจดั การเรียนรู้ไปให้ผเู้ ช่ียวชาญ 3 ท่าน ท่านแรกและทา่ นท่ีสอง เป็น ครกู ลุ่มสาระคณิตศาสตร์ วิทยฐานะชำนาญการ และท่านท่ี 3 เป็นครูกลุ่มสาระคณติ ศาสตร์ วิทยฐานะชำนาญ การพเิ ศษ โดยทง้ั 3 ท่านมีประสบการณก์ ารสอนมากกว่า 5 ปี เพ่อื ตรวจประเมินความเหมาะสมของแผนการ จัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบประเมิน เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่าแบบลิเคิร์ท (Likert Rating Scales) 5 ระดบั จำนวน 16 ข้อ ประกอบด้วยหัวขอ้ ตา่ ง ๆ ดงั นี้ 1.6.1) ด้านเนื้อหา จำนวน 4 ข้อ 1.6.2) ดา้ นกจิ กรรมการเรยี นการสอน จำนวน 6 ขอ้ 1.6.3) ดา้ นส่อื การเรียนรู้ จำนวน 4 ขอ้ 1.6.4) ดา้ นการวดั และประเมินผล จำนวน 2 ข้อ โดยคะแนนที่ได้รับจะนำมาวิเคราะห์และแปลผลของค่าเฉลี่ยตามระดับความสำคัญโดยมี เกณฑ์ให้ คะแนนแตล่ ะระดับดังน้ี (วฒั นา สนุ ทรธยั , 2551, น.100-101) คะแนนเฉลย่ี ระหว่าง 1.00-1.49 หมายถึง ระดบั ความเหมาะสมน้อยทส่ี ดุ คะแนนเฉลีย่ ระหว่าง 1.50-2.49 หมายถงึ ระดับความเหมาะสมนอ้ ย คะแนนเฉลยี่ ระหว่าง 2.50-3.49 หมายถึง ระดบั ความเหมาะสมปานกลาง คะแนนเฉลีย่ ระหว่าง 3.50-4.49 หมายถงึ ระดับความเหมาะสมมาก คะแนนเฉลีย่ ระหว่าง 4.50-5.00 หมายถึง ระดับความเหมาะสมมากท่ีสุด หลังจากวิเคราะห์การประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบประเมิน ซึ่งมี ค่าเฉล่ยี ในแต่ละแผนการจดั การเรียนรู้อยรู่ ะหว่าง 4.79 - 4.85 ดงั นน้ั แผนการจดั การเรียนจงึ สามารถนำไปใช้ ในการจดั การเรยี นรูใ้ นการวิจยั ได้ 1.7) นำแผนทป่ี รับปรงุ แล้ว ไปใชเ้ ป็นเครือ่ งมือในการวิจัยโดยทดลองกับกับนักเรียน ที่เปน็ กลุ่มเป้าหมายของการวจิ ัยของการวิจยั ได้แก่ นักเรยี นระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3/1 โรงเรียนวมิ ุตยาราม พิทยากร

23 2) เครื่องมอื ที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลวจิ ัย ประกอบด้วย แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการ เรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตวั แปรเดียว และแบบสอบถามความคิดเห็นของนกั เรยี นท่ีมีต่อการ จัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคูค่ ิด 2.1) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดียว เป็นแบบทดสอบคู่ขนานก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 2 ฉบับ ฉบับละ 16 ข้อ จำแนกเป็น แบบทดสอบประเภทเลอื กตอบจำนวน 15 ข้อ และ แบบทดสอบชนิดแสดงวิธที ำ จำนวน 1 ขอ้ การสร้างและ พัฒนามีขั้นตอนดงั น้ี 2.1.1) ศกึ ษาเอกสาร ตำรา หนังสือ และงานวิจัยทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั อสมการเชิง เส้นตัวแปรเดียว และวิธีการสร้างเครื่องมือวัดผลทางการศึกษา เพื่อเป็นแนวคิดสำหรับการออกแบบ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ 2.1.2) วิเคราะห์เนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับ อสมการเชิงเส้นตวั แปรเดยี วโดยมจี ุดประสงคก์ ารเรียนรดู้ ังน้ี - นกั เรยี นสามารถบอกความหมายของอสมการเชิงเสน้ ตวั แปรเดยี วได้ - นักเรียนสามารถเขยี นประโยคสัญลกั ษณ์แทนประโยคเกีย่ วกับจำนวนได้ - นักเรียนสามารถอธบิ ายความหมายของสัญลกั ษณท์ ใี่ ชแ้ สดงคำตอบของกราฟอสมการได้ - นกั เรยี นสามารถอธบิ ายความหมายและลกั ษณะของคำตอบของอสมการได้ - นกั เรียนสามารถเขียนระบคุ ำตอบของอสมการท่ีกำหนดใหไ้ ด้ - นักเรยี นสามารถนำความรเู้ กยี่ วกับอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวมาชว่ ยในการพจิ ารณาแกโ้ จทย์ ปญั หาเกย่ี วกบั อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวทีก่ ำหนดให้ได้ 2.1.3) สรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมฤทธ์ทิ างการเรยี น เพ่ือใช้ทดสอบกอ่ น และหลังเรียน เป็นแบบทดสอบประเภทเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจำนวน 40 ข้อ ให้คะแนนโดยเลือกตัวเลือก ถูกต้องได้ 1 คะแนน แตเ่ มอ่ื เลอื กตวั เลือกผดิ ได้ 0 คะแนน และแบบทดสอบประเภทแสดงวิธที ำ จำนวน 2 ข้อ เมื่อแสดงวิธีทำถูกต้องได้ 5 คะแนน การนำจุดประสงค์การเรียนรู้มาออกแบบร่างของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนมีการวิเคราะห์ดังตารางที่ 3 และเกณฑ์การให้คะแนนของแบบทดสอบชนิดแสดงวิธีทำ เป็นเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนประเภทแบบวเิ คราะห์ (Analytic Rubrics) มกี ารวิเคราะห์ดังตารางท่ี 4 ตารางที่ 3 การวเิ คราะห์การนำจุดประสงค์การเรียนรทู้ ี่ใช้สร้างร่างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ จำนวนขอ้ ขอ้ ที่ 1) นักเรียนสามารถบอกความหมายของอสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดียวได้ 2 1, 2 2) นกั เรียนสามารถเขียนประโยคสัญลกั ษณ์แทนประโยคเกีย่ วกบั จำนวนได้ 3 3, 4, 5 3) นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของสญั ลักษณ์ทใี่ ชแ้ สดงคำตอบของ 3 6, 7, 8 กราฟอสมการได้

24 ตารางที่ 3 การวเิ คราะห์การนำจุดประสงค์การเรียนรทู้ ่ใี ชส้ รา้ งรา่ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ (ตอ่ ) จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ จำนวนขอ้ ข้อท่ี 5) นักเรยี นสามารถเขียนระบคุ ำตอบของอสมการท่ีกำหนดให้ได้ 6 9, 10, 11, 12, 13, 14 6) นักเรยี นสามารถนำความรู้เกยี่ วกบั อสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี วมาช่วย 2 15 ในการพจิ ารณาแกโ้ จทย์ 1 (แสดงวิธีทำ) ตารางที่ 4 เกณฑก์ ารให้คะแนนของแบบทดสอบประเภทแสดงวิธที ำ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (คะแนน) ประเดน็ การประเมนิ 5 1) สามารถระบุส่งิ ที่โจทย์กำหนดและส่ิงทโ่ี จทย์ต้องการไดถ้ ูกตอ้ ง 4 2) สามารถกำหนดตัวแปรไดถ้ กู ตอ้ ง 3) สามารถเขยี นอสมการได้ถูกต้อง 3 4) สามารถหาคำตอบของอสมการได้ และขั้นตอนการแกอ้ สมการถกู ต้อง 5) แสดงการตรวจสอบความสมเหตุสมผลของคำตอบของอสมการที่หาได้ 6) สรปุ คำตอบถูกต้องและสอดคลอ้ งกับสิง่ ทีโ่ จทย์ต้องการ 1) สามารถระบุส่งิ ท่โี จทย์กำหนดหรอื ส่งิ ท่โี จทย์ต้องการได้ถกู ต้อง เพียงอย่างใดอยา่ งหนึ่ง 2) สามารถกำหนดตวั แปรไดถ้ กู ตอ้ ง 3) สามารถเขียนอสมการได้ถูกต้อง 4) สามารถหาคำตอบของอสมการได้ และข้นั ตอนการแกอ้ สมการถูกต้อง 5) แสดงการตรวจสอบความสมเหตุสมผลของคำตอบของอสมการที่หาได้ 6) สรุปคำตอบถกู ต้องและสอดคล้องกบั ส่งิ ท่โี จทย์ตอ้ งการ 1) สามารถระบุสง่ิ ท่ีโจทย์กำหนดหรือสงิ่ ที่โจทย์ต้องการไดถ้ กู ต้อง เพยี งอยา่ งใดอย่างหน่งึ 2) สามารถกำหนดตัวแปรไดถ้ กู ต้อง 3) สามารถหาคำตอบของอสมการได้ แต่ข้นั ตอนการแก้อสมการผดิ 4) สามารถหาคำตอบของอสมการได้ แตข่ ัน้ ตอนการแกอ้ สมการผดิ 5) ไม่แสดงการตรวจสอบความสมเหตสุ มผลของคำตอบของอสมการทีห่ าได้ 6) สรุปคำตอบผิด แต่สอดคลอ้ งกับส่งิ ที่โจทย์ตอ้ งการ

25 ตารางท่ี 4 เกณฑ์การใหค้ ะแนนของแบบทดสอบประเภทแสดงวิธีทำ(ตอ่ ) ประเดน็ การประเมิน เกณฑก์ ารให้คะแนน (คะแนน) 1) ไมส่ ามารถสามารถระบุสิง่ ทโ่ี จทยก์ ำหนดและส่ิงที่โจทย์ต้องการได้ 2 หรอื ระบสุ ่งิ ท่ีโจทยก์ ำหนดและสิ่งที่โจทย์ตอ้ งการผดิ 1 2) สามารถกำหนดตวั แปรไดถ้ กู ตอ้ ง 3) ไมส่ ามารถเขียนอสมการได้ หรือเขียนอสมการผิด 4) ไม่สามารถหาคำตอบของอสมการได้ และขัน้ ตอนการแกอ้ สมการผิด 5) ไม่แสดงการตรวจสอบความสมเหตุสมผลของคำตอบของอสมการท่ีหาได้ 6) สรุปคำตอบผิด แตส่ อดคลอ้ งกบั สิ่งท่ีโจทยต์ อ้ งการ 1) ไมส่ ามารถสามารถระบุสง่ิ ทโ่ี จทยก์ ำหนดและสิ่งท่โี จทย์ตอ้ งการได้ หรือระบสุ ่งิ ท่โี จทย์กำหนดและสิง่ ทโ่ี จทยต์ อ้ งการผดิ 2) ไม่สามารถกำหนดตวั แปรได้ หรอื กำหนดตวั แปรผดิ 3) ไมส่ ามารถเขยี นอสมการได้ หรือเขยี นอสมการผิด 4) ไม่สามารถหาคำตอบของอสมการได้ และขน้ั ตอนการแกอ้ สมการผิด 5) ไมแ่ สดงการตรวจสอบความสมเหตสุ มผลของคำตอบของอสมการที่หาได้ 6) สรุปคำตอบผดิ และไม่สอดคล้องกบั สง่ิ ทีโ่ จทย์ต้องการ 2.1.4) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนไปให้อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา การวิจยั ตรวจสอบและนำมาปรับปรุงแกไ้ ข 2.1.5) นำแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนไปใหผ้ ้เู ช่ียวชาญเพื่อ ตรวจสอบความถูกต้อง ความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และนำค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง คำถามในแบบทดสอบ และจุดประสงค์การเรียนรู้ (Index of Item Objective Congruence : IOC) ค่าดัชนี ความสอดคลอ้ งตั้งแต่ 0.50 ข้ึนไปถอื วา่ มีความสอดคลอ้ งกนั ในเกณฑ์ทยี่ อมรบั ได้ โดยกำหนดเกณฑ์ การพิจารณา ดังน้ี (มาเรยี ม นลิ พนั ธุ์, 2549, น.177) +1 หมายถงึ แนใ่ จว่าแผนการจดั การเรยี นรูส้ อดคลอ้ งกบั ตวั ช้วี ดั 0 หมายถึง ไมแ่ นใ่ จว่าแผนการจดั การเรยี นรสู้ อดคล้องกับตวั ชวี้ ดั -1 หมายถึง แนใ่ จว่าแผนการจัดการเรยี นร้ไู ม่สอดกล้องกับตวั ชีว้ ัด จากสตู ร IOC = R N เมื่อ IOC คอื ดัชนคี วามสอดคล้อง R คอื ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็ ของผู้เช่ยี วชาญ

26 N คอื จำนวนผเู้ ชี่ยวชาญ ผลการวเิ คราะห์ค่าความสอดคล้อง อย่รู ะหวา่ ง 0.67-1.00 ซึง่ ผา่ นเกณฑ์ทงั้ หมด 42 ขอ้ 2.1.6) ปรบั ปรุงแก้ไขแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนตามคำแนะนำ ของอาจารย์ท่ปี รกึ ษาการวิจยั และผเู้ ชี่ยวชาญ 2.1.7) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีคุณภาพตามเกณฑ์ ไปใช้เป็นเครือ่ งในการวจิ ัย จำนวน 2 ฉบบั ฉบบั ละ 16 ขอ้ เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลกับกลมุ่ เปา้ หมายไดแ้ ก่ นักเรียน ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3/1 โรงเรยี นวิมตุ ยารามพทิ ยากร ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 2.2) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิค เพื่อนคู่คิด ประกอบด้วยคำถามประเภทกำหนดระดบั ของคำตอบ จำนวน 8 ข้อ เป็นมาตราส่วนประมาณคา่ แบบลเิ คิร์ท (Likert Rating Scales) 5 ระดับ เห็นดว้ ยมากทส่ี ดุ เห็นดว้ ยมาก เห็นดว้ ยปานกลาง เห็นด้วยนอ้ ย เห็นด้วยน้อยที่สุด โดยมีโดยคะแนนที่ได้รับจะนำมาวเิ คราะหแ์ ละแปลผลของค่าเฉลี่ยตามระดับความสำคญั โดยมี เกณฑ์ให้คะแนนแตล่ ะระดับดงั น้ี (วฒั นา สนุ ทรชัย, 2549, น.100-101) คะแนนเฉลยี่ ระหวา่ ง 1.00-1.49 หมายถึง เหน็ ด้วยน้อยทสี่ ดุ คะแนนเฉลีย่ ระหว่าง 1.50-2.49 หมายถึง เห็นด้วยนอ้ ย คะแนนเฉล่ยี ระหวา่ ง 2.50-3.49 หมายถึง เห็นดว้ ยปานกลาง คะแนนเฉลย่ี ระหว่าง 3.50-4.49 หมายถึง เหน็ ด้วยมาก คะแนนเฉลยี่ ระหวา่ ง 4.50-5.00 หมายถึง เหน็ ด้วยมากที่สุด และคำถามประเภทปลายเปดิ จำนวน 3 ขอ้ การสร้างและพฒั นาแบบสอบถามความคดิ เห็นมีข้นั ตอนดงั น้ี 2.2.1) ศึกษารูปแบบและวิธีการสร้างแบบสอบถามความคิดเห็นของ นกั เรยี นที่มตี อ่ การจัดการเรียนรโู้ ดยเทคนิคเพ่ือนคู่คดิ สำหรับนกั เรียนระดับชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3/1 โรงเรียน วิมุตยารามพิทยากร ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 2.2.2) สร้างร่างแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้โดยเทคนคิ เพื่อนคคู่ ดิ 2.2.3) นำร่างแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด ไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาการวิจัยตรวจสอบ แล้วนำข้อเสนอแนะของอาจารย์ท่ี ปรกึ ษาการวจิ ยั มาปรบั ปรงุ แกไ้ ข 2.2.4) นำแบบสอบถามความคิดเหน็ ของนักเรยี นที่มตี ่อการจดั การเรยี นรู้ โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด ไปให้ผู้เชี่ยวชาญเพือ่ ตรวจสอบความถกู ต้อง ความตรงเชงิ เน้ือหา (Content Validity) และนำค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างคำถามในแบบสอบถามความคิดเหน็ และจุดประสงค์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) ค่าดชั นคี วามสอดคลอ้ งตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไปถือวา่ มีความสอดคล้องกนั ในเกณฑ์ ท่ียอมรับได้ โดยกำหนดเกณฑก์ ารพจิ ารณา ดังน้ี (มาเรยี ม นิลพันธ์ุ, 2549, น.177) +1 หมายถงึ แน่ใจว่าแผนการจดั การเรียนรสู้ อดคลอ้ งกบั ตวั ชีว้ ัด 0 หมายถงึ ไมแ่ น่ใจว่าแผนการจดั การเรียนรสู้ อดคล้องกบั ตัวชี้วัด

27 -1 หมายถงึ แนใ่ จว่าแผนการจัดการเรียนรไู้ ม่สอดกล้องกบั ตวั ชว้ี ดั ผลการวเิ คราะห์คา่ ความสอดคลอ้ ง อยรู่ ะหวา่ ง 0.67-1.00 ซง่ึ ผ่านเกณฑ์ทัง้ หมด 42 ขอ้ 2.2.5) ปรับปรงุ แก้ไขแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนทีม่ ตี ่อการ จัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด ตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษาการวิจัยและผู้เชี่ยวชาญ และ ผลการวเิ คราะหค์ วามถกู ตอ้ ง ความตรงเชงิ เน้อื หา (Content Validity) และนำค่าดชั นีความสอดคลอ้ งระหว่าง คำถามในแบบสอบถามความคดิ เห็น และจดุ ประสงค์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) 2.2.6) นำแบบสอบถามความคดิ เหน็ ไปใชเ้ ปน็ เคร่ืองมือในการวจิ ยั เก็บรวบรวมข้อมลู กบั กลุ่มเปา้ หมายได้แก่ นกั เรยี นระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3/1 โรงเรยี นวมิ ตุ ยารามพิทยากร ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู เพอื่ ให้ได้คำตอบตามวัตถุประสงค์การวิจัย ผู้วิจยั ได้กำหนดแบบแผนการวิจัย ดังน้ี ขัน้ ตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจยั แสดงดงั ตาราง ตารางที่ 5 แผนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลวิจยั ระยะเวลาที่ กจิ กรรม/วธิ กี ารเก็บรวบรวบขอ้ มลู เคร่ืองมือวจิ ยั เก็บข้อมลู 8 สงิ หาคม 2565 ทดสอบกอ่ นเรยี น แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น (1 ช่ัวโมง) (แบบทดสอบก่อนเรียน) 9 สงิ หาคม 2565 จัดการเรยี นรโู้ ดยเทคนิคเพอื่ นคู่คิด แผนการจดั การเรียนรู้โดยเทคนคิ เพอื่ น (1 ชั่วโมง) ครั้งท่ี 1 เรอ่ื ง แนะนำอสมการเชิง คู่คิดท่ี 1 เสน้ ตัวแปรเดยี ว จดั การเรียนร้ตู าม ข้นั ตอนเทคนคิ เพอ่ื นคคู่ ิด 10 สงิ หาคม 2565 จัดการเรยี นรูโ้ ดยเทคนิคเพอ่ื นคู่คิด แผนการจดั การเรียนรู้โดยเทคนคิ เพือ่ น (1 ชัว่ โมง) คร้งั ท่ี 2 เรื่อง คำตอบและกราฟ คคู่ ิดที่ 2 แสดงคำตอบของอสมการเชงิ เส้นตัว แปรเดียว จดั การเรียนรตู้ ามข้นั ตอน เทคนิคเพอ่ื นคู่คิด 11 สงิ หาคม 2565 จดั การเรยี นรูโ้ ดยเทคนิคเพอ่ื นคคู่ ิด แผนการจดั การเรยี นรู้โดยเทคนคิ เพอื่ น (1 ช่ัวโมง) ครงั้ ที่ 3 เร่อื ง การแกอ้ สมการเชงิ คคู่ ดิ ที่ 3 เสน้ ตวั แปรเดียว จัดการเรยี นร้ตู าม ขนั้ ตอนเทคนคิ เพอ่ื นคู่คิด

28 ตารางท่ี 5 แผนการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจยั (ตอ่ ) ระยะเวลาที่ กิจกรรม/วิธีการเก็บรวบรวบข้อมลู เคร่ืองมอื วิจัย เกบ็ ขอ้ มูล 15 สิงหาคม 2565 จดั การเรียนรโู้ ดยเทคนคิ เพ่ือนค่คู ิด แผนการจดั การเรยี นรูโ้ ดยเทคนิคเพ่ือน (1 ชวั่ โมง) ครงั้ ที่ 4 เรื่อง การแก้อสมการเชิง คู่คดิ ท่ี 3 เสน้ ตัวแปรเดยี ว จดั การเรยี นรู้ตาม ข้ันตอนเทคนิคเพ่ือนคูค่ ิด 16 สงิ หาคม 2565 จัดการเรยี นรู้โดยเทคนิคเพอ่ื นค่คู ดิ แผนการจัดการเรียนรโู้ ดยเทคนิคเพือ่ น (1 ชว่ั โมง) ครงั้ ท่ี 5 เรอื่ ง การนำความรเู้ กย่ี วกบั ค่คู ิดที่ 4 อสมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดียวไปใชใ้ น การแก้ปัญหา จดั การเรียนรูต้ าม ขน้ั ตอนเทคนิคเพื่อนค่คู ิด 17 สิงหาคม 2565 ทดสอบหลังเรยี น แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น (1 ช่วั โมง) (แบบทดสอบหลังเรยี น) การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมลู การวเิ คราะห์และนำเสนอผลตามวตั ถุประสงค์การวจิ ยั มีดังนี้ 1) ค่าเฉลีย่ เลขคณิต ( x ) ของผลการทดสอบก่อนเรยี น และหลังเรียน ระดับความคิดเห็นของนักเรียน ท่ีมตี อ่ การจดั การเรียนรู้โดยเทคนคิ เพอ่ื นคู่คิด และและนำเสนอด้วยตารางประกอบคำบรรยายท้ายตาราง 2) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของผลการทดสอบกอ่ นเรียน และหลงั เรยี น ระดบั ความคดิ เห็นของ นักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด และและนำเสนอด้วยตารางประกอบคำบรรยายท้าย ตาราง 3) ความถี่ (frequency) ของจำนวนนักเรียนท่ีได้คะแนนการทดสอบมากกว่าร้อยละ 50 4) ร้อยละ (Percentage) ของจำนวนนกั เรยี นทีไ่ ดค้ ะแนนการทดสอบมากกวา่ รอ้ ยละ 50 5) คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ของนักเรียนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สูตรคะแนนพัฒนาการ และแปลคะแนนตามเกณฑ์ระดับ พฒั นาการ โดยใชเ้ กณฑข์ องศิริชยั กาญจนวาสี (2552: 266-267) ดงั ตาราง 1 คะแนนพฒั นาการสัมพัทธ์ = คะแนนหลังเรยี น − คะแนนกอ่ นเรยี น x 100 คะแนนทั้งหมด − คะแนนกอ่ นเรียน

29 ตารางที่ 6 เกณฑค์ ะแนนพฒั นาการเทียบระดับพฒั นาการ (ศริ ิชัย กาญจนวาสี, 2552,น. 268) คะแนนพฒั นาการสัมพทั ธ์ ระดับพฒั นาการ 76 - 100 พัฒนาการระดับสงู มาก 51 - 75 พฒั นาการระดับสูง 26 - 50 พฒั นาการระดับกลาง 0 - 25 พฒั นาการระดับตน้ 6) การวิเคราะห์ข้อมลู เชิงคุณภาพ โดยการจำแนกข้อมูลระดับจุลภาคประเภทการวิเคราะห์คำหลกั เป็นการจำแนกจัดกลุม่ คำชุดหนึ่งให้อยู่ภายใต้คำอกี ชุดหนึ่ง ซึ่งคำดังกล่าวนี้มีความหมายครอบคลมุ คำชุดนัน้ (เอ้อื มพร หลนิ เจรญิ , 2555, น.17) ของคำตอบของคำถามประเภทปลายเปิดในแบบสอบถามความคิดเห็นของ นักเรียนทม่ี ตี อ่ การจัดการเรยี นรูโ้ ดยเทคนคิ เพอ่ื นคคู่ ดิ

บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย 3 ขอ้ ไดแ้ ก่ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้น ตัวแปรเดียว ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด กับเกณฑ์ รอ้ ยละ 60 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้ น ตัวแปรเดยี ว นักเรียนมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ก่อนและหลงั ได้รบั การจดั การเรียนร้โู ดยเทคนิคเพื่อนคคู่ ดิ 3) เพือ่ ศกึ ษาความคดิ เห็นของนกั เรียนมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 ที่มตี ่อการจดั การเรยี นรโู้ ดยเทคนิค เพ่ือนคู่คิดเร่ืองอสมการเชงิ เส้นตัวแปรเดียว แบ่งการนำเสนอเป็นตอนดงั นี้ ตอนท่ี 1 ข้อมูลพ้ืนฐานของกลุ่มเป้าหมายการวิจยั นกั เรยี นระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3/1 โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 ทงั้ หมด 12 คน ซง่ึ กลุม่ เป้าหมายมีคะแนนของแบบทดสอบท้ายหนว่ ยการเรียนรู้ อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 50 ตอนท่ี 2 ผลการวจิ ยั การนำเสนอผลของการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจยั การแก้ปัญหาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดยี ว โดยใชก้ ารจดั การเรียนรู้เทคนิคเพ่ือนคู่คิดสำหรบั นักเรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3/1 โรงเรยี นวิมุตยารามพทิ ยากร ตามจดุ ประสงคก์ ารวจิ ยั ดังน้ี การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนกั เรียนมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 หลังได้รับการจัดการเรียนรโู้ ดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด กับเกณฑร์ อ้ ยละ 60 ผลการ วเิ คราะหด์ งั ตารางท่ี 7

31 ตารางที่ 7 คะแนนแบบทดสอบหลังการจัดการเรียนรูโ้ ดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด เรื่องอสมการเชงิ เส้นตวั แปรเดยี ว ของนกั เรียนมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 คนท่ี คะแนนของแบบทดสอบหลังได้รับ ร้อยละ การจัดการเรียนรูโ้ ดยเทคนคิ เพื่อนคู่คิด 1 15.00 75.00 2 18.00 90.00 3 17.00 85.00 4 16.00 80.00 5 17.50 87.50 6 15.00 75.00 7 17.00 85.00 8 18.00 90.00 9 18.00 90.00 10 18.00 90.00 11 18.00 90.00 12 16.00 80.00 คา่ เฉล่ยี 16.96 84.80 S.D. 1.13 จากตารางที่ 7 พบว่า คะแนนของแบบทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ของนักเรียนระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนระหว่าง 15.00 – 18.00 คะแนน มีค่าเฉลี่ย 16.96 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 84.80 ของคะแนนเต็มและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.13 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 60 คือ 12 คะแนน มีนักเรียนผ่านเกณฑ์ทั้งหมด 12 คน คิดเป็น รอ้ ยละ 100 ของกลมุ่ เปา้ หมาย การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรอ่ื งอสมการเชิงเส้นตวั แปรเดียว นักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด คะแนนของแบบทดสอบก่อน และหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด และระดับพัฒนาการของนักเรียน ผลการวิเคราะห์ดัง ตารางท่ี 8

32 ตารางที่ 8 คะแนนของแบบทดสอบก่อน และหลังการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด เรื่อง อสมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดียว และระดับพัฒนาการของนกั เรยี นระดับมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 คนท่ี คะแนนของแบบทดสอบ คะแนนของแบบทดสอบ คะแนน ระดับพัฒนาการ กอ่ นได้รับ หลังไดร้ บั พัฒนาการ สัมพนั ธ์ การจัดการเรยี นร้โู ดย การจดั การเรียนรโู้ ดย เทคนคิ เพอื่ นคคู่ ดิ เทคนิคเพ่อื นค่คู ิด 1 6.50 15.00 62.96 พฒั นาการระดับสูง 2 7.00 18.00 84.62 พัฒนาการระดับสูงมาก 3 4.00 17.00 81.25 พฒั นาการระดับสงู มาก 4 10.50 16.00 57.89 พฒั นาการระดับสูง 5 5.50 17.50 82.76 พัฒนาการระดบั สงู มาก 6 4.00 15.00 68.75 พฒั นาการระดบั สงู 7 5.50 17.00 79.31 พฒั นาการระดับสูงมาก 8 5.50 18.00 86.21 พฒั นาการระดบั สงู มาก 9 5.00 18.00 86.67 พฒั นาการระดบั สูงมาก 10 6.50 18.00 85.19 พฒั นาการระดับสูงมาก 11 6.00 18.00 85.71 พฒั นาการระดับสงู มาก 12 5.00 16.00 73.33 พัฒนาการระดับสงู คา่ เฉล่ยี 5.92 16.96 78.41 พฒั นาการระดบั สูงมาก S.D. 1.64 1.13 จากตารางที่ 8 พบว่า คะแนนของแบบทดสอบก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด ของนักเรียนอยู่ระหว่าง 4.00 – 10.50 คะแนน และคะแนนของแบบทดสอบหลังได้รับการจัดการเรยี นรูโ้ ดย เทคนิคเพอื่ นคู่คิด ของนักเรยี นอย่รู ะหว่าง 15.00 – 18.00 คะแนน คา่ เฉลย่ี ของคะแนนของแบบทดสอบก่อน ได้รบั การจดั การเรยี นรู้โดยเทคนคิ เพ่ือนคู่คิดคอื 5.92 คะแนน ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน คือ 1.64 คะแนน และ ค่าเฉลี่ยของคะแนนของแบบทดสอบหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิดคือ 16.96 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ 1.13 คะแนน ระดับพัฒนาการของนักเรียนที่มีพัฒนาการระดับพัฒนาการ ระดับสูง มีจำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 33.33 ของกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาการระดับพัฒนาการระดับสูง มากจำนวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 66.67 ของกลุ่มเป้าหมายโดยภาพรวมนักเรียนส่วนใหญ่มีระดบั พัฒนาการ ระดบั สูงมาก

33 การศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยเทคนคิ เพื่อนคูค่ ดิ เรือ่ งอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ผ้วู จิ ยั วเิ คราะห์แบบสอบถามความคดิ เหน็ ของนักเรยี นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ต่อ การจัดการเรียนรูโ้ ดยเทคนิคเพ่ือนคู่คิดได้ดงั ตารางที่ 9 และการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ โดยการจำแนกข้อมูล ระดบั จุลภาคประเภทการวเิ คราะห์คำหลัก ดงั ตารางที่ 10 ตารางที่ 9 ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นของนักเรียนที่มตี ่อการจัดการเรียนรูโ้ ดยเทคนิคเพื่อนคู่คดิ เรื่องอสมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดยี ว โดยนกั เรยี นระดับช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 รายการประเมิน ความคดิ เห็น ค่าเฉลีย่ S.D. ระดบั ความคิดเหน็ 1) การจัดการเรยี นร้โู ดยเทคนคิ เพ่ือนคคู่ ิดช่วยเสริมสร้างให้ นักเรยี นมคี วามมัน่ ใจและความกลา้ แสดงออกของตนเองใน 4.50 0.65 เหน็ ดว้ ยอยา่ งยงิ่ การอภิปรายหน้าชั้นเรียน 2) การจัดการเรียนรโู้ ดยเทคนิคเพอ่ื นคคู่ ิด ทำใหน้ กั เรยี นได้ แลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ กับเพอื่ น (คูไ่ ม่ซ้ำเดมิ ) เพื่อใหไ้ ด้ 3.92 0.86 ไมแ่ นใ่ จ แนวคดิ และวธิ กี ารข้ันตอนต่าง ๆ ทห่ี ลากหลาย 3) การจดั การเรยี นรู้โดยเทคนิคเพอ่ื นคู่คิด ทำให้นักเรียนมีการ ทำงานร่วมกับเพอ่ื น (คู่ไมซ่ ้ำ) ชว่ ยสร้างมนุษยสัมพนั ธ์ การ 4.42 0.76 เหน็ ด้วย แลกเปลีย่ นเรียนรู้ และการรับฟังความเหน็ ของผู้อ่ืนไดด้ ขี นึ้ 4) การจัดการเรียนรู้โดยเทคนคิ เพอ่ื นคคู่ ดิ ช่วยให้นักเรยี นมกี าร แลกเปลี่ยนการเรยี นรู้ เสรมิ สร้างทกั ษะการส่อื สารเพอ่ื สร้าง 4.42 0.64 เห็นดว้ ย คำตอบทสี่ มบรู ณแ์ บบยงิ่ ขนึ้ 5) การจัดการเรยี นรูโ้ ดยเทคนคิ เพ่ือนคู่คดิ พัฒนาความสามารถ ในการคดิ (การคิดวเิ คราะห์ การคิดรเิ รม่ิ การคิดสรา้ งสรรค์) 4.17 0.69 เห็นด้วย ระหวา่ งการร่วมกจิ กรรม 6) การจัดการเรยี นร้โู ดยเทคนคิ เพอ่ื นคู่คดิ ทำให้นักเรยี นเข้าใจ แนวคดิ ต่าง ๆ ข้ันตอนและวิธีการแกป้ ญั หา เรือ่ งอสมการเชิง 4.33 0.85 เหน็ ด้วย เส้นตวั แปรเดยี วได้ดขี ึ้น 7) การจัดการเรียนรู้โดยเทคนคิ เพื่อนคู่คิดสง่ ผลใหน้ กั เรยี นนำ องค์ความร้ตู ่าง ๆ เกี่ยวกับอสมการเชิงเส้นตวั แปรเดียวไปใช้ 3.92 1.04 ไมแ่ น่ใจ แกป้ ญั หาในชีวติ จริงมากยงิ่ ขนึ้ 8) การจัดการเรยี นรู้โดยเทคนคิ เพื่อนค่คู ิดสง่ ผลใหน้ กั เรยี นมี 4.33 0.62 เหน็ ดว้ ย เจตคติทดี่ ีต่อวชิ าคณิตศาสตร์ รวม 4.25 0.80 เห็นดว้ ย

34 จากตารางที่ 9 พบวา่ นกั เรียนท่ีไดร้ บั การจดั การเรยี นรู้โดยเทคนคิ เพ่ือนคู่คดิ เรือ่ งอสมการเชิงเส้นตัว แปรเดียว ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีท่ี 3 นักเรียนเห็นด้วยอย่างยิง่ จำนวน 1 ข้อ เกี่ยวกับ การจัดการ เรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิดช่วยเสรมิ สร้างให้นกั เรยี นมีความมัน่ ใจและความกล้าแสดงออกของตนเองในการ อภิปรายหน้าช้ันเรยี น นกั เรียนเห็นดว้ ยจำนวน 6 ขอ้ เกยี่ วกบั การจดั การเรียนรูโ้ ดยเทคนิคเพ่ือนคู่คิดส่งเสริม ทำงานร่วมกับเพอื่ น ช่วยสรา้ งมนุษยสมั พนั ธ์ เสรมิ สรา้ งทกั ษะการส่อื สาร พัฒนาความสามารถในการคิด ช่วย ให้เขา้ ใจแนวคดิ ต่าง ๆ ขั้นตอนและวิธีการแกป้ ญั หา เร่ืองอสมการเชงิ เสน้ ตวั แปรเดยี ว และสง่ ผลให้นักเรียนมี เจตคตทิ ี่ดีตอ่ วิชาคณิตศาสตร์ และนักเรยี นไม่แนใ่ จ จำนวน 2 ข้อ เกี่ยวกับการจดั การเรยี นรู้โดยเทคนิคเพื่อน ค่คู ดิ สรา้ งการแลกเปล่ียนความคิดเห็นกบั เพื่อน และการนำองค์ความรู้ อสมการเชงิ เสน้ ตัวแปรเดียวแก้ปัญหา ในชีวติ จริงมากยงิ่ ขนึ้ ในภาพรวมแล้วนักเรียนมีความคิดเหน็ ในระดับเห็นดว้ ย ( x = 4.25, S.D. = 0.80) ตารางที่ 10 การวิเคราะห์เชิงคณุ ภาพ ประเภทการวิเคราะห์คำหลักเพ่ือจัดกลุม่ คำ ในแบบสอบถาม ความคดิ เหน็ ของนักเรยี นต่อการจดั การเรียนรโู้ ดยเทคนคิ เพ่ือนคคู่ ดิ กลุม่ คำ ความสมั พนั ธ์ คำหลกั - ได้รับความรูเ้ พมิ่ ขึน้ - กลา้ แสดงออกเพม่ิ ขึน้ - ทำงานกับเพื่อนทีเ่ ข้าใจกันทำใหเ้ ข้าใจ ความรู้มากข้ึน - การอภปิ รายสง่ เสรมิ ความม่นั ใจในตนเอง - ส่งเสริมทักษะการคิด เปน็ ส่วนหนงึ่ ของ ผลของการจัดการเรียนรู้ - เสรมิ สรา้ งความคงทนขององค์ความรู้ที่ โดยเทคนิคเพ่ือนคู่คดิ ไดร้ ับ - เสริมสรา้ งเจตคตทิ ด่ี ีตอ่ วชิ าคณิตศาสตร์ - เกิดการแลกเปล่ยี นความรู้ และไดร้ ับความ ตอบท่ีหลากหลาย ได้เรยี นรูม้ มุ มองใหม่ ๆ - คำอธิบายของเพอ่ื นทำใหเ้ ข้าใจองค์ความรู้ ไดง้ ่ายขนึ้ - ครเู ป็นมติ รรับฟงั นักเรยี น - ครผู ู้สอนพร้อมที่จะสนบั สนุนนกั เรยี นใหเ้ กิด เปน็ สว่ นหน่งึ ของ คณุ ลักษณะของครผู สู้ อนท่ีดี มโนทัศนใ์ นเรือ่ งทเ่ี รียน

35 ตารางที่ 10 การวิเคราะหเ์ ชิงคุณภาพ ประเภทการวิเคราะห์คำหลักเพื่อจัดกลุม่ คำ ในแบบสอบถาม ความคิดเหน็ ของนกั เรยี นต่อการจดั การเรียนรโู้ ดยเทคนิคเพอื่ นคคู่ ดิ (ต่อ) กลมุ่ คำ ความสัมพนั ธ์ คำหลัก - สรา้ งความตน่ื เต้น น่าสนใจ - สรา้ งโอกาสทเี่ หมาะสมที่จะใช้ความคิด สร้างสรรค์ กลา้ ที่จะเร่ิมแกป้ ัญหา - สร้างบรรยากาศการเรียนท่ีดี คุณลกั ษณะของ - ไม่กดดนั ผอ่ นคลาย ทำให้ไม่กลวั ผิด เมอ่ื ผิด เป็นสว่ นหนึง่ ของ สภาพแวดลอ้ มการเรียนรู้ท่ีดี ก็ร่วมกนั แกไ้ ข - สามารถแสดงความคดิ เห็น และอภิปรายได้ ตรงไปตรงมา จากตารางที่ 10 พบว่าในคำถามปลายเปดิ ของแบบสอบถามของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ทีม่ ตี อ่ การจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพอ่ื นคคู่ ิด เรอื่ งอสมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดียว สามารถวเิ คราะห์คำหลักจาก ความคิดเห็นของนักเรียนได้ดังนี้ ผลของการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิคเพื่อนคู่คิด ประกอบด้วย ได้รับความรู้ เพิ่มขึ้น มีกล้าแสดงออกเพิ่มขึ้น ทำงานกับเพื่อนที่เข้าใจกันทำให้เข้าใจความรู้มากขึ้น การอภิปรายส่งเสริม ความมน่ั ใจในตนเอง สง่ เสริมทักษะการคิด และเสริมสรา้ งความคงทนขององค์ความรูท้ ไี่ ดร้ ับ คุณลักษณะของ ครูผู้สอนที่ดี ประกอบด้วย ครูเป็นมิตรรับฟังนักเรียน และครูผู้สอนพร้อมที่จะสนับสนุนนักเรียนให้เกิดมโน ทัศน์ในเรื่องที่เรียน คุณลักษณะของสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ดี ประกอบด้วย สร้างความตื่นเต้น น่าสนใจ สร้างโอกาสที่เหมาะสมที่จะใช้ความคิดสร้างสรรค์ กล้าที่จะเริ่มแก้ปัญหา สร้างบรรยากาศการเรียนที่ดี ไม่ กดดัน ผ่อนคลาย ทำให้ไม่กลัวผิด เมื่อผิดก็ร่วมกันแก้ไข สามารถแสดงความคิดเห็น และอภิปรายได้ ตรงไปตรงมา ตอนท่ี 3 สะท้อนผลการวจิ ยั การวิจยั ครั้งนที้ ำใหเ้ กิดการเรยี นรจู้ ากการปฏบิ ัติเกยี่ วกบั นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ การจดั การ เรยี นรโู้ ดยเทคนิคเพ่ือนคูค่ ิด และวิธีดำเนินการวิจัยเชิงปฏบิ ัตกิ ารในช้ันเรียนคร้งั น้ี 1) การเรียนรู้เก่ียวกับนวตั กรรมการจัดการเรียนรู้ การจดั การเรยี นรโู้ ดยเทคนิคเพ่ือนคู่คดิ มี สาระสำคัญ ดงั ตารางที่ 11

36 ตารางท่ี 11 การเรียนรเู้ กี่ยวกบั นวัตกรรมทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั การจดั การเรียนรู้โดยเทคนิคเพอ่ื นค่คู ดิ นวตั กรรมที่ใชใ้ นการวิจยั ขอ้ ดีของการปฏบิ ัติ ขอ้ ควรปรบั ปรุง การจดั การเรียนรู้โดยเทคนคิ เพ่อื นคู่คิด - ส่งเสริมการทำงานเป็นกลุม่ - ครูผู้สอนเปน็ ผ้อู ำนวยความ เป็นรูปแบบการจัดการเรียนร้แู บบ - สง่ เสริมการแลกเปล่ียน สะดวกในการเรียน คอยแนะนำ ร่วมมือ มีขนั้ ตอนดังน้ี ความรกู้ ันในชนั้ เรียน ขยายแนวคดิ ระวงั ไมใ่ หบ้ อก - สร้างบรรยากาศการเรยี นที่ คำตอบกบั นักเรยี นตรง ๆ ไมน่ ่าเบอื่ และเหมาะกับการ - ระยะเวลาในการจดั การเรยี นรู้ คดิ สร้างสรรค์ ตอ้ งมคี วามเหมาะสมกบั กจิ กรรม - จำนวนของนักเรยี นต้อง เหมาะสมกบั วธิ ีการจดั การเรียนรู้ กิจกรรม และภาระงานตา่ ง ๆ ขั้นที่ 1 การคิด (Think) เป็นขั้นตอน - ช่วยให้นกั เรียนแต่ละคน - ปญั หา หรอื ภาระงานต้องมีความ แรกที่ครูจะกระตุ้นด้วยปัญหาเพื่อให้ สรา้ งความม่นั ใจในการ ยากง่าย และความคลมุ เครือท่ี นักเรียนเกิดการคิดหาคำตอบของ เรมิ่ ตน้ แกป้ ญั หา และสรา้ ง เหมาะสม ไมง่ า่ ยจนเกินไปท่ี ปัญหารายบคุ คลเพื่อให้นักเรียนทุกคน ทศั นคตติ ่อตนเองว่า ตนเอง สามารถคิดออกไดท้ ันที แต่ไม่ยาก ในชั้นเรียนได้คิดและคน้ หาคำตอบโดย กส็ ามารถแก้ปัญหาเองได้ จนเกินไปจนทำให้นกั เรียนยอมแพ้ ลำพงั - เสรมิ สรา้ งทกั ษะการคิดแก่ - ครูผู้สอนตอ้ งวเิ คราะห์นักเรียนวา่ นักเรียนรายบุคคล เข้าใจปญั หาหรือไม่ จะต้องมี แนวคิดอย่างไรในการแกป้ ัญหา โดยจะตอ้ งไม่บอกอย่าง ตรงไปตรงมา แต่ตอ้ งช้ีประเด็น หรอื ขอ้ สงั เกตุต่าง ๆ ให้นกั เรียน แตล่ ะคนเกดิ การคิดดว้ ยตนเอง ขั้นที่ 2 การจับคู่ (Pair) เป็นขั้นตอนที่ - เสริมสรา้ งทกั ษะการ - ครผู ู้สอนคอยดูแลอยู่หา่ ง ๆ ให้ สองที่จะทำให้นักเรียนจับคู่เพื่อ ทำงานเปน็ กลุ่ม และการ นกั เรียนแก้ปัญหาในแนวทางท่ี อภิปรายปัญหา แล้วให้ร่วมกันคิด สอ่ื สารแลกเปลีย่ นความร้กู นั เหมาะสมตามคววามคดิ ของ ระหวา่ งกนั เพ่ือหาข้อสรุป ในกลมุ่ นักเรยี นไมค่ วรเป็นตวั เชือ่ มการ - เสริมสร้างองค์ความรู้ใน สนทนา ส่อื สารกันของนักเรียน บทเรยี นท่เี กย่ี วข้องกบั ใน ควรใหน้ กั เรยี นดำเนนิ การกันเอง การแกป้ ญั หา

37 ตารางท่ี 11 การเรียนรเู้ กยี่ วกับนวตั กรรมทีใ่ ช้ในการวิจยั การจดั การเรียนร้โู ดยเทคนคิ เพอ่ื นคู่คิด (ต่อ) นวัตกรรมท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย ขอ้ ดขี องการปฏิบตั ิ ข้อควรปรับปรุง ขั้นที่ 3 การแลกเปลี่ยน (Share) เป็น - เสริมสรา้ งทักษะการ - ครูผู้สอนต้องสร้างบรรยากาศทีด่ ี ขั้นตอนสุดท้ายที่จะให้นักเรียนแลก สื่อสารสอ่ื และการอภปิ ราย ต่อการแลกเปล่ียนและนำเสนอ เปลี่ยนและนำเสนอเพื่อหาข้อสรุปของ หน้าชน้ั เรียน สร้างความ เพ่อื ใหน้ กั เรยี นไมเ่ สียความมน่ั ใจ ประเด็นคำถามจากนักเรียนทั้งช้นั มั่นใจกล้าแสดงออกแก่ และแสดงความคิดเห็น นำเสนอ นักเรียน คำถามอย่างเหมาะสม - เสริมสร้างทกั ษะการแสดง - ครผู ู้สอนต้องวิเคราะห์ ความคิดเห็นของตนเอง และ สถานการณ์ ความคิดเหน็ และ การรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของ คำถามขณะการอภิปรายและคอย ผ้อู ่นื แก่นักเรียน ควบคมุ แนะนำ ช้แี นะประเด็น - เสรมิ สร้างทกั ษะการให้ หรือแนวคดิ ต่าง ๆ เพื่อให้การ เหตผุ ล และการเช่อื มโยง อภิปรายเป็นไปตามการแกป้ ัญหา ทางคณิตศาสตร์เพอ่ื สรปุ ทีก่ ำหนด คำตอบ หรอื แนวทางการ - ครูผู้สอนต้องเตรียมสือ่ กลางหรอื แก้ปัญหาในขนั้ ตอนการ อปุ กรณ์ทห่ี ลากหลายให้นกั เรยี น อภปิ รายทัง้ ชัน้ เรยี น ไดน้ ำเสนอแนวคิด วิธกี าร แกป้ ัญหา ของปญั หาหรือภาระ งานท่ตี นเองได้รบั เชน่ กระดาน ไวท์บอร์ด กระดาษชารท์ กระดาษ สี เป็นตน้ 2) การเรียนรเู้ กย่ี วกับการดำเนนิ การวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั กิ ารในชั้นเรยี นคร้ังนี้ แสดงดงั ตารางที่ 12 ตารางท่ี 12 การเรยี นรู้เกยี่ วกับการดำเนนิ การวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิการในชัน้ เรียนคร้งั น้ี วธิ ีการดำเนินการวิจยั ขอ้ ดขี องการปฏบิ ัติ ขอ้ ควรปรบั ปรงุ ทดสอบกอ่ นเรยี น - ได้รับข้อมลู มาวิเคราะห์ - บรรยากาศการของห้องสอบ (แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เพื่อตอบคำถามการวิจัย ควรจัดโต๊ะอย่างเหมาะสม มีความ เรียนวชิ าคณติ ศาสตร์) และวตั ถุประสงคก์ ารวิจยั เงียบสงบ ครผู ู้สอนควรสงั เกตุอยู่ หา่ ง ๆ ไม่ควรเดนิ กดดนั จดั การเรยี นรโู้ ดยเทคนคิ เพ่อื นคคู่ ิดครง้ั - นกั เรยี นสร้างความรู้ ความ - การบริหารจัดการเวลาท่ีตอ้ ง ที่ 1 เรอ่ื ง แนะนำอสมการเชงิ เส้น เขา้ ใจเก่ยี วกับอสมการเชิง เหมาะสมไมต่ ามสถานการณ์ท่ี เส้นตัวแปรเดียว เกดิ ขนึ้ วา่ ควรชา้ ลง หรือเรว็ ข้นึ