Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

Published by pimrapee21, 2018-01-30 23:46:34

Description: ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

Search

Read the Text Version

8. คุณสมบัตขิ องคู่สนทนาทดี่ ี คู่สนทนาท่ีดีมีความเรียบร้อยทางกาย และวาจา คู่สนทนาที่ดีไม่ทาอุจาดทางกาย และวาจา คู่สนทนาท่ีดีตอ้ งมีสมั มาคารวะ คู่สนทนาที่ดีตอ้ งทาตนใหเ้ ป็นที่รัก คู่สนทนาที่ดีมีทีท่าที่สง่า คู่สนทนาท่ีดีมีความรับผดิ ชอบคู่สนทนาท่ีดีตอ้ งใจดี คู่สนทนาท่ีดีไม่เห็นแก่ตวั คู่สนทนาที่ดีตอ้ งสุจริตซื่อตรงคู่สนทนาที่ดีไม่ประพฤติชว่ั

แบบฝึ กหัดเร่ืองการสนทนาใหน้ กั ศึกษาอภิปรายถึงประโยชน์ท่ีไดร้ ับจากการสนทนาท่ีมีประสิทธิภาพ

สัปดาห์ท่ี 12 เร่ืองการประชุม1. ความหมายของการประชุม การประชุม คือ การที่บุคคลต้งั แต่ 2 คนข้ึนไปมาร่วมกนั ปรึกษาหารือแสดงความคิดเห็น โดยมีวตั ถุประสงค์ มีระเบียบวธิ ี เพ่ือหาแนวทางปฏิบตั ิให้เป็นไปในทิศทางเดียวกนั เพื่อประโยชนส์ ูงสุดของส่วนรวม2. แนวคดิ ทส่ี าคญั ของการประชุม คน ๆ เดียวไม่สามารถใหค้ าตอบไดท้ ุกเรื่อง ดงั น้นั การแสดงความคิดเห็นของบุคคลหลายฝ่ าย จึงใหข้ อ้ ยตุ ิท่ีดีกวา่

3. จุดมุ่งหมายของการประชุม เพ่อื ดาเนินงานหรือประสานงาน เพอ่ื ปรึกษาหารือ ขอคาแนะนา และความคิดเห็น เพื่อใหม้ ีการเจราจาตกลงใจหรือตดั สินใจโดยอาศยั ขอ้ มูลจากสมาชิกโดยส่วนรวม เพือ่ แถลงข่าวเรื่องราวต่าง ๆ และนโยบายใหญ่ ๆ พร้อมเหตุผล เพ่อื กาหนดนโยบายและหาแนวทางปฏิบตั ิขององคก์ รหรือหน่วยงานเพื่อระดมความคิดใหเ้ ป็นประโยชน์ สร้างสรรคส์ ิ่งใหม่ข้ึนในหน่วยงานเพือ่ ประหยดั เวลาในการสงั่ การของผบู้ ริหาร เพ่ือเพิม่ พนู ความรู้ใหแ้ ก่สมาชิกในหน่วยงาน เพอ่ื เสริมสร้างความสามคั คีและความเขา้ ใจอนั ดีระหวา่ งบุคลากรในหน่วยงาน เพื่อแลกเปล่ียนความรู้ ความคิดเห็น ประสบการณ์ ข่าวสาร และขอ้ เทจ็ จริง

4. ประเภทของการประชุม 1. การประชุมเฉพาะกลุ่ม คือ การประชุมสมาชิกหรือบุคคลในองคก์ รเดียวกนั เท่าน้นั ไม่อนุญาตใหบ้ ุคคลภายนอกเขา้ ร่วมฟัง แบ่งเป็น (1.1) การประชุมสมยั สามญั คือ การประชุมท่ีจดั ข้ึนตามระเบียบขอ้ บงั คบั ขององคก์ ร เช่น กาหนดใหม้ ีการประชุมทุก 3 เดือน (1.2) การประชุมสมยั วิสามญั คือ การประชุมที่จดั ข้ึนเป็นพิเศษตามคาเรียกร้อง หรือร้องขอของสมาชิก /กรรมการ ตามท่ีระบุไวใ้ นระเบียบขอ้ บงั คบั ขององคก์ ร เป็นเร่ืองพิเศษที่ไม่อาจรอจนถึงการประชุมสมยั สามญั ได้

2. การประชุมสาธารณะ คือ การประชุมที่เปิ ดโอกาสใหบ้ ุคคลภายนอกองคก์ รเขา้ ร่วมฟัง /ร่วมแสดงความคิดเห็น และเปิ ดโอกาสใหซ้ กั ถามในประเดน็ ต่าง ๆ ได้

5. รูปแบบของการประชุม 1. การประชุมเพ่อื ใหข้ ่าวสาร 2. การประชุมเพอื่ ใหเ้ หตุผล 3. การประชุมเพอื่ ปรึกษาหารือ 4. การประชุมเพื่อฝึกอบรม 5. การประชุมทางวชิ าการ 6. การประชุมใหญ่ 7. การประชุมแบบซินดิเคต 8. การประชุมเชิงปฏิบตั ิการ 9. การประชุมสมั มนา

6. รูปแบบการจดั ทนี่ ่ังในห้องประชุม 1. การจดั แบบโตะ๊ กลม หรือสี่เหล่ียม จานวนสมาชิกประมาณ10 – 15 คน 2. การจดั แบบแบ่งโตะ๊ เป็นกลุ่ม ๆ เพื่อใหส้ มาชิกร่วมกนั อภิปราย 3. การจดั แบบหอ้ งเรียน ในกรณีที่มีสมาชิกเขา้ ประชุมจานวนมาก 4. การจดั แบบรูปตวั ยู หรือตวั วี เพ่อื ใหส้ มาชิกไดร้ ่วมทากิจกรรม

7. คาศัพท์ทเี่ กยี่ วข้องกบั การประชุม 1. ระเบยี บวาระการประชุม หมายถึง เรื่องหรือหวั ขอ้ ท่ีสมาชิกเสนอเลขานุการ เพื่อนาเสนอต่อใหป้ ระธาน หรือเร่ืองท่ีประธานกาหนดข้ึนเพ่ือปรึกษากนั ในที่ประชุม อาจเรียกวา่ “วาระ” 2. จดหมายเชิญประชุม หมายถึง จดหมายท่ีเลขานุการในการประชุมไดด้ าเนินการจดั ทาข้ึนเพือ่ แจง้ รายละเอียดเกี่ยวกบั การประชุมใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมประชุมรับทราบ

3. รายงานการประชุม หมายถึง ขอ้ ความท่ีเลขานุการบนั ทึกการประชุมไวเ้ ป็นหลกั ฐานอา้ งอิงในการดาเนินงานขององคก์ ร 4. การอภิปราย หมายถึง การแสดงเหตุผลสนบั สนุน หรือคดั คา้ นปัญหาที่พิจารณากนั 5. มติ หมายถึง ขอ้ ตกลงในที่ประชุมที่คณะกรรมการจะตอ้ งปฏิบตั ิตาม 6. ญตั ติ หมายถึง ขอ้ เสนอ หรือขอ้ สงสยั ที่สมาชิกผเู้ ขา้ ร่วมประชุมตอ้ งการนาเสนอต่อที่ประชุมก่อนการประชุม โดยผา่ นเลขานุการเพื่อนาเสนอต่อประธาน และบรรจุเขา้ ไวใ้ นระเบียบวาระการประชุม

7. การแปรญตั ติ หมายถึง การเสนอความคิดเห็นซอ้ นกนั ในญตั ติหน่ึง ๆ หรือการเสนอขอ้ แกไ้ ขเปล่ียนแปลงหรือเพิ่มเติมในญตั ติน้นั ๆ และลงทา้ ยดว้ ยการลงคะแนนเสียงวา่ สมาชิกจะรับรองญตั ติที่เสนอใหม่น้นั หรือไม่ 8. องค์ประชุม หมายถึง จานวนผเู้ ขา้ ประชุมแต่ละคร้ัง ซ่ึงมีผลต่อการเปิ ดประชุม โดยกาหนดเป็นขอ้ บงั คบั ขององคก์ รวา่ ตอ้ งมีจานวนผเู้ ขา้ ร่วมประชุมเป็นเท่าใด จึงจะสามารถเปิ ดประชุมไดเ้ รียกวา่ “ครบองคป์ ระชุม” 9. ทป่ี ระชุม หมายถึง จานวนของสมาชิกที่เขา้ ประชุมท้งั หมด 10. มติโดยเอกฉันท์ หมายถึง ขอ้ ตกลงท่ีผเู้ ขา้ ประชุมท้งั หมดเห็นพอ้ งตอ้ งกนั โดยวธิ ีการลงคะแนนเสียง

11. มตโิ ดยเสียงข้างมาก หมายถึง ขอ้ ตกลงของผเู้ ขา้ ร่วมประชุมส่วนใหญ่มีความเห็นพอ้ งตอ้ งกนั แต่ยงั มีผเู้ ขา้ ร่วมประชุมบางกลุ่มไม่เห็นดว้ ย8. องค์ประกอบของการประชุม 1. ประธาน หมายถึง ผนู้ าการประชุม 2. ผู้เข้าประชุม หมายถึง ผมู้ ีหนา้ ที่เก่ียวขอ้ งกบั การดาเนินงานของหน่วยงานท่ีจดั ประชุม จะมีจานวนเท่าใดกไ็ ด้ 3. เลขานุการ หมายถึง ผทู้ ี่ทาหนา้ ที่ช่วยเหลือประธานในการเตรียมการต่าง ๆ อานวยความสะดวก บนั ทึกผลการประชุม และติดตามผลงาน

9. บทบาทและหน้าทข่ี องผู้ทเี่ กยี่ วข้องกบั การประชุม 9.1 บทบาทและหน้าทขี่ องประธานในทปี่ ระชุม (1.) กาหนดหวั ขอ้ ปัญหาท่ีจะใชอ้ ภิปรายในท่ีประชุม (2.) เตรียมการประชุม โดยการกาหนดวนั เวลา สถานที่ ระเบียบวาระการประชุม กาหนดตวั บุคคลผเู้ ขา้ ร่วมประชุม (3.) กล่าวเปิ ดประชุม และสร้างบรรยากาศการประชุมที่เป็นมิตร (4.) ถา้ เป็นการประชุมต้งั แต่คร้ังท่ี 2 เป็นตน้ ไป ประธานตอ้ งแจง้ ให้ผเู้ ขา้ ร่วมประชุมรับรองรายงานการประชุมคร้ังที่แลว้ และช้ีแจงเรื่องสืบเน่ืองจากการประชุมคร้ังที่แลว้ ใหท้ ี่ประชุมทราบ

(5.) ดาเนินการประชุมตามระเบียบวาระท่ีวางไว้ (6.) เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นอยา่ งกวา้ งขวาง (7.) เป็นผชู้ ้ีขาดผลการประชุม ในกรณีที่ลงมติแลว้ มีคะแนนเสียงเท่ากนั (8.) มีอานาจสงั่ พกั การประชุมชวั่ คราว เลื่อนการประชุม หรือสง่ั ปิ ดการประชุม (9.) ตอนทา้ ยการประชุม ประธานเป็นผสู้ รุปประเดน็ /มติที่ที่ประชุมพิจารณา และเนน้ ย้าใหส้ มาชิกทุกคนรับทราบ (10.) รักษาเวลาในการประชุม

(11.) กล่าวปิ ดการประชุม (12.) ติดตามผลหลงั การประชุมวา่ การดาเนินงานต่าง ๆ กา้ วหนา้เป็นไปตามมติของท่ีประชุมหรือไม่ อยา่ งไร 9.2 บทบาทและหน้าทข่ี องเลขานุการ (1.) จดั ทาและส่งจดหมายเชิญประชุม ท่ีแจง้ วนั เวลา สถานที่ และระเบียบวาระการประชุมแก่ผเู้ ขา้ ร่วมประชุม (2.) เตรียมสถานที่ สมุดลงนามเขา้ ประชุม เอกสารและอุปกรณ์ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การประชุม

(3.) จดบนั ทึกการประชุม และส่งบนั ทึกรายงานการประชุมใหผ้ เู้ ขา้ ร่วมประชุมรับทราบ (4.) ติดตามเรื่องตามมติที่ประชุม 9.3 บทบาทและหน้าทข่ี องผู้เข้าประชุม (1.) เขา้ ประชุมทุกคร้ัง และนาเอกสารสาคญั เกี่ยวกบั การประชุมไปดว้ ย (2.) ศึกษาระเบียบวาระการประชุม และเตรียมขอ้ มูลเพอ่ื แสดงความคิดเห็น

(3.) แสดงความคิดเห็นหรือขอ้ เสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์(4.) รักษามารยาทในการประชุม(5.) ยอมรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ่ืน(6.) เกบ็ รักษาความลบั จากการประชุม(7.) ปฏิบตั ิตามมติของที่ประชุม

10. มารยาทในการประชุม 1. เขา้ ประชุมตรงเวลา 2. ในระหวา่ งการประชุม ถา้ ตอ้ งลุกออกจากหอ้ งประชุมใหท้ าความเคารพประธานทุกคร้ัง 3. ก่อนแสดงความคิดเห็นตอ้ งยกมือขออนุญาตประธานก่อนจึงจะพดู 4. ต้งั ใจฟังการประชุม 5. มีความอดทน และรู้จกั ระงบั อารมณ์ 6. ใชค้ าพดู ท่ีดี ไม่พดู เสียดสี หยาบคายในท่ีประชุม

7. ไม่พดู นอกประเดน็ พดู ใหต้ รงจุด หรือใหข้ อ้ มูลผดิ พลาด8. กลา้ แสดงความคิดเห็น ไม่นง่ั เฉยตลอดการประชุม9. ใหเ้ กียรติแก่ผเู้ ขา้ ร่วมประชุมทุกคน รู้จกั รับฟังความคิดเห็นของผอู้ ื่น10. ปิ ดเคร่ืองมือสื่อสารระหวา่ งการประชุม

11. พฤตกิ รรมทไ่ี ม่พงึ ประสงค์และไม่ควรปฏบิ ัตใิ นทป่ี ระชุม 1. พดู เสียงดงั ชวนทะเลาะ 2. อวดรู้ทุกเรื่อง ผกู ขาดการพดู คนเดียว 3. ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ื่น 4. ทาตวั ตลก พดู นอกประเดน็ ทาเรื่องง่ายใหย้ าก 5. นงั่ นิ่งไม่กลา้ แสดงความคิดเห็น 6. ทาตวั เจา้ ปัญหา ถามตลอดเวลา 7. จบั กลุ่มคุย ซุบซิบ นินทา

12. การจดั ทารายงานการประชุม เป็นหนา้ ท่ีของเลขานุการ บนั ทึกเฉพาะผลการประชุมท่ีเป็นจริงเป็นเอกสารที่ตอ้ งเกบ็ ไวเ้ ป็นหลกั ฐานอา้ งอิง และเพ่ือยนื ยนั การปฏิบตั ิงาน วิธีจดบนั ทึกการประชุม มี 3 วิธี คือ 1. จดละเอียดทุกคาพดู ของผเู้ ขา้ ประชุมทุกคน พร้อมมติของที่ประชุม 2. จดยอ่ คาพดู ท่ีเป็นประเดน็ สาคญั อนั เป็นเหตุผลไปสู่มติที่ประชุมพร้อมมติของที่ประชุม 3. จดเฉพาะหวั ขอ้ เรื่อง หรือวาระการประชุม กบั มติของท่ีประชุม

13. รูปแบบของรายงานการประชุม การบนั ทึกรายงานการประชุมควรประกอบไปดว้ ยหวั ขอ้ ดงั ต่อไปน้ี 1. ระบุคณะที่ประชุม หรือหวั ขอ้ การประชุม 2. คร้ังท่ีประชุม (ระบุคร้ังท่ีประชุม /ปี พทุ ธศกั ราช) 3. ระบุวนั เดือน ปี ที่จดั การประชุม 4. ระบุสถานที่จดั การประชุม 5. รายช่ือผมู้ าประชุม พร้อมตาแหน่ง 6. รายชื่อผไู้ ม่มาประชุม พร้อมระบุเหตุผลที่ไม่มาประชุม

7. รายชื่อผเู้ ขา้ ร่วมประชุม (ผทู้ ี่ไม่ไดร้ ับเชิญแต่สนใจเขา้ ร่วมประชุม)8. เวลาเร่ิมประชุม9. ขอ้ ความ (รายละเอียดของการประชุม พร้อมมติของท่ีประชุม)10. เวลาเลิกประชุม11. ลงช่ือผบู้ นั ทึกรายงานการประชุม12. ลงชื่อผตู้ รวจรายงานการประชุม (ถา้ มี)

แบบฝึ กหัดเร่ืองการประชุมใหน้ กั ศึกษาเสนอแนะแนวทางในการประชุมเชิงสร้างสรรค์

สัปดาห์ที่ 13 เร่ืองการพดู ในโอกาสต่าง ๆ1. การเป็ นพธิ ีกร พธิ ีกร คือ ผดู้ าเนินการในงานพธิ ีต่าง ๆ ใหเ้ ป็นไปดว้ ยความเรียบร้อยเป็นลาดบั ข้นั ตอนตามกาหนดการของงานที่ไดว้ างไว้ ความสาคญั ของพธิ ีกร พธิ ีกรดูแลภาพรวมของงาน ดูแลลาดบั ข้นั ของกิจกรรมในช่วงเวลาต่าง ๆ มีการประสานงานกบั ฝ่ ายต่าง ๆ สร้างบรรยากาศท่ีดีใหก้ บั งาน สร้างความเขา้ ใจอนั ดีระหวา่ งผมู้ าร่วมงานและผจู้ ดั งาน ช่วยให้กิจกรรมดาเนินไปดว้ ยความเรียบร้อยประสบผลสาเร็จ

คุณสมบตั ขิ องพธิ ีกร 1. ดา้ นบุคลิกภาพ ควรเป็นผมู้ ีบุคลิกภาพดี คือ มีการแต่งกายดี มีท่าทางในการพดู ท่ีเป็นธรรมชาติ สง่างาม มีน้าเสียงไพเราะ แจ่มใส ชดั เจน น่าฟัง 2. ดา้ นสติปัญญา มีความรู้ดา้ นการใชภ้ าษา มีจิตวิทยา มีความคิดสร้างสรรค์ 3. ดา้ นมารยาทในการสมาคม รู้จกั การวางตวั ในสถานการณ์ต่าง ๆรู้ธรรมเนียมปฏิบตั ิในการดาเนินงานตามค่านิยมของสงั คมเป็นอยา่ งดี

หลกั ปฏิบัติในการเป็ นพธิ ีกร 1. การเตรียมตวั มีการเตรียมตวั ใหพ้ ร้อมในดา้ นบุคลิกภาพ การใชเ้ สียงการแต่งกาย ศึกษาลกั ษณะของงาน ข้นั ตอนการดาเนินงาน เตรียมบทพดูล่วงหนา้ 2. การดาเนินรายการ พยายามดาเนินรายการใหเ้ ป็นไปตามกาหนดการพยายามสร้างสีสนั ของงานใหม้ ีชีวติ ชีวา หากการดาเนินรายการมีขอ้ ขดั แยง้พธิ ีกรตอ้ งใชป้ ฏิภาณไหวพริบแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ ใหไ้ ด้

3. การประเมินผล ควรมีการประเมินผลท้งั ก่อนปฏิบตั ิงานขณะปฏิบตั ิงาน และหลงั การปฏิบตั ิงาน เพ่อื เป็นประโยชนใ์ นการเป็ นพิธีกรคร้ังต่อ ๆ ไป ประเภทของพธิ ีกร มี 2 ประเภทหลกั คือ 1. พิธีกรในงานพิธีการ 2. พธิ ีกรเสนอขายสินคา้

2. การบรรยายสรุป การบรรยายสรุป เป็นการพดู บรรยายถึงการดาเนินงานในกิจการอยา่ งหน่ึงใหผ้ ฟู้ ังรับทราบในช่วงเวลาส้นั ๆ โดยนาเสนอเน้ือหาที่สาคญั ใชส้ านวนภาษาเขา้ ใจง่าย ชดั เจน ตรงจุดประสงค์ คุณสมบัตขิ องผู้บรรยายสรุป คือ มีบุคลิกภาพท่ีดี มีความรู้ความเขา้ ใจในงานที่บรรยายไดเ้ ป็นอยา่ งดี มีความสามารถดา้ นการใชภ้ าษา ประโยชน์ของการบรรยายสรุป คือ ทาใหผ้ ฟู้ ังเกิดความเขา้ ใจเรื่องที่ฟังในระยะเวลาอนั ส้นั ทาใหก้ ารดาเนินงานสะดวก เกิดแนวคิดในการพฒั นางาน

หลกั การบรรยายสรุป 1. การเตรียมการบรรยายสรุป โดยเตรียมผพู้ ดู เตรียมเน้ือหา เตรียมอุปกรณ์ประกอบการพดู เตรียมการตอบปัญหาล่วงหนา้ 2. การปฏิบตั ิขณะบรรยาย โดยการกล่าวตอ้ นรับผฟู้ ัง บรรยายเน้ือหาอยา่ งเป็นลาดบั เปิ ดโอกาสใหผ้ ฟู้ ังซกั ถาม กล่าวเชิญผฟู้ ังเยย่ี มชมกิจการ 3. การประเมินผลการบรรยายสรุป วธิ ีที่ง่ายท่ีสุดคือการสงั เกตพฤติกรรมของผฟู้ ังวา่ มีความสนใจหรือไม่อยา่ งไร มีความกระตือรือร้นในการซกั ถามหรือไม่ เพอื่ นามาปรับปรุงการพดู คร้ังต่อไป

3. การพูดในการสมาคมแบบต่าง ๆ แนวปฏบิ ตั ใิ นการกล่าวในโอกาสต่าง ๆ 1. เมื่อไดร้ ับเชิญใหพ้ ดู ควรควบคุมสติใหม้ น่ั 2. เตรียมเรียบเรียงเน้ือหาการพดู ในใจ 3. เม่ือลุกจากที่นงั่ ควรควบคุมความประหม่า 4. ขณะพดู ควรพดู ไปคิดไป พดู ใหช้ ดั เจน ไม่ใชเ้ วลานานเกินไปแต่ใหไ้ ดใ้ จความครบถว้ น 5. เน้ือหาท่ีพดู ควรเก่ียวกบั เจา้ ของงาน หรืองานที่จดั ในแง่ดีเสมอ

ประเภทของการกล่าวในโอกาสต่าง ๆ1. การกล่าวอวยพร2. การกล่าวตอ้ นรับ3. การกล่าวเน่ืองในโอกาสเขา้ รับตาแหน่งใหม่4. การกล่าวแสดงความยนิ ดี5. การกล่าวอาลา6. การกล่าวขอบคุณ

แบบฝึ กหัดเร่ืองการพดู ในโอกาสต่าง ๆใหน้ กั ศึกษาฝึกหดั การพดู ในโอกาสต่าง ๆ หนา้ ช้นั เรียน

สัปดาห์ท่ี 14 เรื่องการใช้คาราชาศัพท์1. ความหมายของราชาศัพท์ ราชาศพั ท์ เป็นคาสมาส แยกออกไดด้ งั น้ี ราช, ราชา (บาลี สนั สกฤต) + ศพั ท์ (สนั สกฤต)ความหมายของคาราชาศพั ท์ จากพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถานพ. ศ. 2525 ใหค้ วามหมายวา่ “คาเฉพาะใชส้ าหรับเพด็ ทูลพระเจา้ แผน่ ดินและเจา้ นาย ต่อมาหมายรวมถึง คาที่ใชก้ บั พระภิกษุ ขา้ ราชการ และสุภาพชน”

2. ทมี่ าของถ้อยคาท่ใี ช้เป็ นราชาศัพท์ 1. เป็ นคาไทย จะตอ้ งมีคา “พระ” หรือ “พระราช” นาหนา้ เพอื่ ตกแต่งใหเ้ ป็นราชาศพั ท์ ไดแ้ ก่ 1.1. คานาม เช่น พระเจา้ (หวั เฉพาะพระเจา้ แผน่ ดิน) พระที่นงั่ พระเตา้ 1.2. คากริยา 1.2.1. ใชท้ รง นาหนา้ กริยา เช่น ทรงขบั รถยนต์ ทรงเล่นกีฬา 1.2.2. ใชท้ รง นาหนา้ นาม มีความหมายต่างไปบา้ ง คือ ทรงมา้ ทรงชา้ ง ทรงเครื่อง

2. เป็ นคาประสม ในลกั ษณะต่าง ๆ คือ2.1. คาไทยประสมกนั ไดแ้ ก่ รับสง่ั หอ้ งเครื่อง เคร่ืองตน้2.2. คาไทยประสมกบั คาต่างประเทศ ท่ีใชเ้ ป็นราชาศพั ทอ์ ยแู่ ลว้ 2.2.1. ใชเ้ ป็นคานาม น้าพระเนตร มูลพระชิวหา บ้นั พระองค์ 2.2.2. ใชเ้ ป็นกริยา ทอดพระองค์ เขา้ พระท่ี ทอดพระเนตร

3. เป็ นคายืมจากภาษาอื่น3.1. ยมื จากบาลีสนั สกฤต เติมคา “พระ” หรือ “พระราช” ไวข้ า้ งหนา้ 3.1.1. คานาม เช่น พระเศียร พระเกศ พระชนก พระชนนี 3.1.2. คากริยา เช่น สวรรคต ทิวงคต พิโรธ3.2. ยมื จากภาษาเขมร 3.2.1. คานาม เช่น พระเพลา พระศอ พระศก 3.2.2. คากริยา เช่น เสดจ็ เสวย บรรทม โปรด3.3. ยมื จากภาษามลายู ไดแ้ ก่ คาวา่ พระศรี (ใบพลู)

3. ประโยชน์ทไี่ ด้จากการศึกษาคาราชาศัพท์ 1. ทาใหส้ ามารถใชภ้ าษาไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสมกบั ช้นั ของบุคคล 2. ทาใหส้ ามารถอ่านและฟังขอ้ ความท่ีใชร้ าชาศพั ทไ์ ดเ้ ขา้ ใจและถูกตอ้ ง 3. เป็นเครื่องอบรมจิตใจผศู้ ึกษาใหเ้ ป็นคนมีความประณีตในการใช้การใชภ้ าษา 4. ทาใหค้ นไทยมีความภาคภูมิใจวา่ การที่เรามีคาราชาศพั ทข์ ้ึนใช้เป็นเครื่องแสดงถึงภูมิธรรมอนั สูงส่งของบรรพบุรุษไทย

5. การศึกษาคาราชาศพั ทน์ ้นั ทาใหเ้ ป็นผรู้ ู้วงศพั ทก์ วา้ งขวางลึกซ้ึงนบั เป็นผรู้ ู้ทางภาษา จึงไดช้ ่ือวา่ เป็นผรู้ ู้ภาษาไทยเป็นอยา่ งดี4. การใช้คาราชาศัพท์ทส่ี าคญั 1. “ถวายการตอ้ นรับ” “ถวายความจงรักภกั ดี” คาน้ีใชผ้ ดิ ภาษาไทยคาที่มีอยแู่ ลว้ คือ “เฝ้าฯ รับเสดจ็ ” หรือ “รับเสดจ็ ” เช่น พระบาทสมเดจ็ พระเจา้อยหู่ วั เสดจ็ ฯ ไปท่ีใดมีราษฎรมาชุมนุมหนาแน่น กใ็ ชว้ า่ “ราษฎรมาเฝ้าฯรับเสดจ็ ฯ อยา่ งหนาแน่น” ความจงรักภกั ดีเป็นของที่ถวายกนั ไม่ไดเ้ ป็นส่ิงที่มีประจาตนจึงควรใช้ “มีความจงรักภกั ดี” หรือ “จงรักภกั ดี”

2. คากริยาใดที่เป็นคาราชาศพั ทอ์ ยแู่ ลว้ เช่น เสดจ็ เสวยตรัส หา้ มใชค้ า “ทรง” นาหนา้ แต่ถา้ คากริยาน้นั เป็นคาไทย เช่นถือ จบั วาด เมื่อจะใชเ้ ป็นราชาศพั ท์ เติม “ทรง” ขา้ งหนา้ ได้เช่น ทรงถือ ทรงวาด ทรงจบั 3. การใช้ “พระราช” หรือ “พระ” นาหนา้ ใหถ้ ือหลกั วา่เฉพาะพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระบรมราชินีใช้ “พระราช” นาหนา้ เช่น พระราชหตั ถเลขา แต่ถา้ เป็นอวยั วะกใ็ ช้เพียง “พระ” นาหนา้ เช่น พระหตั ถ์ พระกร คานามที่ไม่มีราชาศพั ท์ใช้ “พระ” นาหนา้ เป็นราชาศพั ท์ เช่น พระเกา้ อ้ี

4. การใชค้ า “พระบรม” นาหนา้ น้นั ใชเ้ ฉพาะพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เช่น พระบรมราชานุเคราะห์สาหรับสมเดจ็ พระบรมราชินี ตดั คาวา่ “บรม” ออก เช่นพระนามาภิไธย พระราโชวาท ถา้ จะกล่าววา่ พระบาทสมเดจ็พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถทรงลงชื่อกต็ อ้ งใชว้ า่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถทรงลงพระปรมาภิไธย

5. พระราชวงศท์ ่ีทรงฐานนั ดรศกั ด์ิมีพระนาหนา้(พระวรวงศเ์ ธอ พระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ) ใชพ้ ระนาหนา้ ราชาศพั ท์ เช่น พระหตั ถ์พระกร ถา้ เป็นช้นั หม่อมเจา้ ไม่ตอ้ งมี “พระ” นาหนา้ ใชเ้ พยี งราชาศพั ท์ เช่น หตั ถ์ กร 6. เม่ือกล่าวถึงการแสดงใด ๆ ถวายทอดพระเนตร มกั จะใช้คาวา่ “แสดงหนา้ พระพกั ตร์” ซ่ึงผดิ ตอ้ งใชค้ าวา่ “แสดงเฉพาะพระพกั ตร์” หรือ “แสดงหนา้ พระที่นง่ั ”

7. เม่ือประมุขต่างประเทศมาเยอื นประเทศไทย หรือเสดจ็พระราชดาเนินไปทรงเยอื นประเทศใด มกั ใชค้ าวา่ “ราชอาคนั ตุกะ”หรือ “อาคนั ตุกะ” ซ่ึงผดิ คาน้ีจะมีคา “ราช” นาหนา้ หรือไม่แลว้ แต่บุคคลแขกของบุคคลที่เป็นพระมหากษตั ริยใ์ ชร้ าชนาหนา้ ถา้ ไม่ใช่แขกของพระมหากษตั ริยก์ ไ็ ม่ตอ้ งมีราชนา พระบาทสมเดจ็ พระเจา้อยหู่ วั เสดจ็ ฯ ไปทรงเป็นแขกของผใู้ ด ถา้ ผนู้ ้นั เป็นพระมหากษตั ริย์กใ็ ชว้ า่ “ทรงเป็นราชอาคนั ตุกะ” เช่น พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วัทรงเป็นพระราชอาคนั ตุกะของสมเดจ็ พระราชินีอลิซาเบธ ถา้ เป็นแขกของประธานาธิบดีจะใชว้ า่ ทรงเป็นพระราชอาคนั ตุกะของประธานาธิบดีไม่ได้ เพราะประธานาธิบดีไม่ใช่พระมหากษตั ริย์ตอ้ งใชว้ า่ ทรงเป็นอาคนั ตุกะของประธานาธิบดี

8. การกล่าวขานถึงพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วัควรใชค้ าวา่ “พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ” หรือ “พระเจา้ อยหู่ วั ”เมื่อจะกล่าวขานถึงสมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถควรกล่าวเตม็ วา่ “สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ ” หรือ“สมเดจ็ พระบรมราชินีนาถ” ทูลกระหม่อมชาย ใชว้ า่ สมเดจ็ พระเจา้ ลูกยาเธอทูลกระหม่อมหญิง ใชว้ า่ สมเดจ็ พระเจา้ ลูกเธอถา้ จะเรียกรวมใชว้ า่ สมเดจ็ พระเจา้ ลูกเธอ ถา้ ขานพระนามส้นั ๆใชท้ ูลกระหม่อมชาย ทูลกระหม่อมหญิง

9. การเรียกคาแทนพระองคเ์ จา้ หม่อมเจา้ หม่อมราชวงศ์อยา่ งลาลอง พระองคเ์ จา้ ใช้ “พระองคช์ าย - พระองคห์ ญิง”หม่อมเจา้ ใช้ “ท่านชาย - ท่านหญิง”หม่อมราชวงศ์ ใช้ “คุณชาย - คุณหญิง”หม่อมหลวง ใช้ “คุณ” ท้งั ชายและหญิง 10. การเรียกราชทินนามหรือสมณศกั ด์ิ ถา้ เป็นทางการใหเ้ รียกตามราชทินนามหรือสมณศกั ด์ิน้นั ๆ 11. นางสนองพระโอษฐ์ นางพระกานลั ถา้ ไม่มีฐานนั ดรศกั ด์ิเป็น “หม่อมราชวงศ”์ หรือ “หม่อมหลวง” ใช้ “คุณ”นาหนา้ ช่ือ แต่ถา้ เป็น “หม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง” กไ็ ม่ตอ้ งเปลี่ยนเป็น “คุณ”

12. สุภาพสตรีท่ีไดร้ ับพระราชทานอิสริยาภรณ์จุลจอมเกลา้มกั จะเขา้ ใจวา่ ตอ้ งเรียกคุณหญิงเสมอเป็นการไม่ถูกตอ้ งถา้ สุภาพสตรีน้นั เป็น “หม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง” กค็ งเรียก“หม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง” ถา้ สุภาพสตรีไม่มีฐานนั ดรศกั ด์ิสมรสแลว้ เรียก “คุณหญิง” ถา้ ยงั ไม่ไดส้ มรส เรียก “คุณ” ถา้ ไดร้ ับพระราชทานทุติยจุลจอมเกลา้ วเิ ศษ เรียกเป็ น“ท่านผหู้ ญิง” ถึงแมจ้ ะมีฐานนั ดรศกั ด์ิเดิมเป็น “หม่อมราชวงศ”์กต็ าม แต่ถา้ มีฐานนั ดรศกั ด์ิ เป็น “หม่อม” ของพระราชวงศ์ ไม่เรียกเป็น “ท่านผหู้ ญิง” คงเรียกตามฐานนั ดรเดิม

13. คาวา่ “ภริยา” มีท่ีใชแ้ ตกต่างกนั คือ ก. สาหรับหม่อม (ภริยา) ของพระราชวงศ์ ถา้ มีฐานนั ดรศกั ด์ิกเ็ รียกตามฐานนั ดรศกั ด์ิ ข. ถา้ เป็นสตรีธรรมดา เรียกวา่ “หม่อม” นามสกลุ ของ“หม่อม” เปลี่ยนเป็นราชสกลุ แต่มี “ณ อยธุ ยา” ต่อทา้ ย ค. ถา้ สุภาพสตรีเป็นหม่อมเจา้ เรียกวา่ “ชายา” ถา้ เป็น“พระองคเ์ จา้ ” เรียกวา่ “พระชายา”

14. คาท่ีเป็น “คาสง่ั ” “คาพดู ” “ความดาริ” สาหรับพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ใช้ “พระบรมราชโองการ”“พระราชกระแส” “กระแสพระราชดารัส” “พระราชดาริ”“กระแสพระราชดาริ” สาหรับพระบรมราชินีใชเ้ ช่นเดียวกนัเวน้ แต่คาสง่ั ใชค้ าวา่ “พระราชเสาวนีย”์ 15. การใชค้ า “ถวาย” ถา้ ส่ิงของน้นั เป็นของเลก็ ใช้“ทูลเกลา้ ฯ ถวาย” ถา้ เป็นของใหญ่ใช้ “นอ้ มเกลา้ ฯ ถวาย” หรือ“ถวาย”

16. คาวา่ “บอก” ท่ีถูกตอ้ งใชค้ าวา่ “กราบบงั คมทูล” 17. คาวา่ “ขอบใจ” ถา้ จะกล่าววา่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้อยหู่ วั ทรงขอบใจกใ็ ชค้ าวา่ “ทรงขอบใจ” หรือ “พระราชทานพระราชกระแสขอบใจ” เวน้ แต่วา่ ผทู้ ่ีทรงขอบใจน้นั เป็นพระราชวงศจ์ ึงใช้ “ขอบพระทยั ”

แบบฝึ กหัดเรื่องการใช้คาราชาศัพท์ใหน้ กั ศึกษารวบรวมตวั อยา่ งการใชร้ าชาศพั ทจ์ ากหนงั สือต่าง ๆ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook