Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑๖

ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑๖

Published by Thanarat MCU Surin, 2023-02-17 03:29:08

Description: ประชุมพงศาวดาร ฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑๖

Search

Read the Text Version

จดหมายเหตุของหมอบรดั เล 85 ๑๘๗๐ มกราคม ท่ี ๑๐ ซินยอบัลโซต์1 ราชทูตสเปน เข้ามาขอท�ำหนังสือสัญญา ทางพระราชไมตรี มกราคม ท่ี ๒๑ กัปตนั กอปเค2 กงสลุ เดนมาร์ค ถวายพระราชสาสน์ มกราคม ท่ี ๒๒ กอ่ ฤกษ์วัดราชบพธิ 3 กุมภาพนั ธ์ ที่ ๓ เรือเมลช์ ือ่ บางกอก4 แรกเขา้ มาถงึ กุมภาพันธ์ ท่ี ๖ เจ้าพระยามขุ มนตร5ี ถึงอสญั กรรม กุมภาพนั ธ์ ที่ ๑๗ พระราชทานเพลงิ พระศพ พระองค์เจา้ หญงิ ยี่ส่นุ 1 Adolfo Patxot y Achávalie แตใ่ น Bangkok Calendar เขยี นวา่ Adolpho Palxot 2 F.C.F. Kobke Esq. 3 วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พระอารามหลวงช้ันเอก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๒ ถอื เป็นวัดประจ�ำรชั กาลที่ ๕ 4 เป็นเรือเมล์อังกฤษเดินระหว่างกรุงเทพ ฯ - สิงคโปร์ สร้างเม่ือ พ.ศ. ๒๔๐๓ เป็นเรือจักรท้ายขนาด ๓๕๓ ตัน รัฐบาลไทยซื้อมาเม่ือ พ.ศ. ๒๔๑๔ เพื่อใช้เป็นเรือพระท่ีน่ังคร้ังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสอินเดีย ตอ่ มาขายต่อใหแ้ กน่ ะกดุ า่ อสิ มยั สุละมนั ยี (Nakuda Ismail Soolamangee) นายหา้ งมสุ ลมิ หน้าวัดเกาะ (วดั สมั พนั ธวงศาราม) ใช้เปน็ เรือเมล์ 5 นามเดิมว่า เกษ สิงหเสนี เปน็ บุตรเจา้ พระยาบดินทรเดชา (สงิ ห์ สงิ หเสน)ี กับทา่ นผู้หญงิ เพ็ง ในรชั กาลที่ ๓ เปน็ นายจิตร หุ้มแพร หลวงสิทธินายเวร และจมื่นเสมอใจราช ตามล�ำดับ ในรัชกาลท่ี ๔ รับราชการในพระบวรราชวังเป็นพระราชโยธา ใน พ.ศ. ๒๓๙๘ เป็นเจ้าพระยามุขมนตรี ถึงแก่อสัญกรรมเม่ือวันท่ี ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๑๒ อายุ ๖๙ ปี

86 ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภิเษก เลม่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ที่ ๒๓1 ท�ำหนงั สือสญั ญาระหว่างกรงุ สยามกับสเปน มนี าคม ท่ี ๔ พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงษ์ พระเจ้าเชียงใหม่ ลงมาในงาน พระบรมศพมาถึง มีนาคม ท่ี ๑๒ แห่พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัวส่พู ระเมรุ มนี าคม ที่ ๑๘ ถวายพระเพลงิ พระบรมศพ มนี าคม ท่ี ๒๑ เสรจ็ งานพระบรมศพ มนี าคม ที่ ๒๑ ไฟไหมป้ ากคลองบางกอกน้อย2 มนี าคม ที่ ๒๒ ไฟไหมใ้ หญป่ ากคลองบางล�ำภ3ู 1 เรียกว่า “หนังสือสัญญากรุงเทพมหานครกับกรุงสเปนเป็นทางพระราชไมตรีแลการค้าขาย” ลงนามในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๑๓ (ค.ศ. ๑๘๗๐) มีสาระส�ำคัญเช่นเดียวกับสนธิสัญญาเบาว์ริง หนังสือสัญญากับสเปนฉบับนี้นับเป็น สนธิสัญญาไม่เสมอภาคฉบับสุดท้ายท่ีไทยท�ำกับประเทศตะวันตก อย่างไรก็ตาม ไทยได้ลงนามท�ำ “หนังสือสัญญาปฏิญญาณ” กับรสั เซียในวนั ที่ ๒๓ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๔๒ (ค.ศ. ๑๘๙๙) (Declaration between Russia and Siam Relative to Commerce and Navigation) มีข้อตกลงว่า คนในบังคับไทยในรัสเซียและคนในบังคับรัสเซียในไทยได้อ�ำนาจและผลประโยชน์ทั้งหลาย เกี่ยวกับอ�ำนาจศาล การค้าขายและการเดินเรือเหมือนกับท่ีให้แก่คนในบังคับชาติอื่น ๆ (คือสัญญาเบาว์ริง) โดยตกลงให้เป็น หนังสือสัญญาใช้ชั่วคราว และจะมีการท�ำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้าขายต่อไป แต่ในที่สุดก็ไม่มีการท�ำ หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีแต่อย่างใด 2 เดิมเป็นแม่น�้ำเจ้าพระยาตอนใกล้อ่าวไทยที่บางกอก เป็นแหล่งพักสินค้าที่ขึ้นล่องแม่น�้ำเจ้าพระยา ในสมัยอยุธยา พ.ศ. ๒๐๖๕ สมเดจ็ พระชัยราชาธิราช โปรดเกลา้ ฯ ใหข้ ดุ คลองลดั บางกอกใหญต่ รงสว่ นทีแ่ คบท่ีสุด บรเิ วณปากคลองบางกอกนอ้ ย ไปถึงปากคลองบางกอกใหญ่ กลายเป็นล�ำน�้ำเจ้าพระยาสายใหม่ ปัจจุบันคือส่วนท่ีไหลผ่านช่วงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงกองบัญชาการกองทัพเรือ ส่วนแมน่ �้ำเจา้ พระยาเดิมแคบลง กลายเปน็ คลองบางกอกนอ้ ย และคลองบางกอกใหญ่ 3 คลองบางล�ำพูเป็นสว่ นหนง่ึ ของคลองรอบกรงุ เป็นคพู ระนครชน้ั กลาง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช โปรดเกลา้ ฯ ใหข้ ุดคลองรอบกรุงเพอื่ สร้างก�ำแพงเมือง ขยายเขตพระนครและใชเ้ ป็นเส้นทางคมนาคมเชอ่ื มตอ่ กับแม่นำ�้ เจ้าพระยา โดยเกณฑ์เขมรจ�ำนวน ๑๐,๐๐๐ คน ให้ขุดคลองทะลุแม่น�้ำเจ้าพระยาทางทิศเหนือตรงบางล�ำพู แล้ววกมาออกแม่น้�ำเจ้าพระยา ทางทศิ ใตต้ รงวัดบพิตรพิมุข มคี วามยาว ๘๕ เสน้ ดา้ นเหนือเรียกว่า คลองบางล�ำพู และดา้ นใต้เรยี กว่า คลองโอง่ อ่าง

จดหมายเหตุของหมอบรัดเล 87 ปีมะเมีย จุลศกั ราช ๑๒๓๒ พ.ศ. ๒๔๑๓ เมษายน ที่ ๗ เรือรบช่ือ พิทยัมรณยุทธ1 มาถึง เรือล�ำน้ีเป็นเรือเหล็ก ตอ่ ที่สกอตแลนด์ เดมิ ชอื่ เรอื โลตศั รฐั บาลสยามซ้ือ เปลีย่ นชอ่ื ว่า ริเยนต์ ใหเ้ ป็นเกียรติยศแก่ทา่ นผู้ส�ำเรจ็ ราชการแผน่ ดิน เมษายน ที่ ๒๕ ซินยอเวียนา กงสุลเยเนราลโปจุเกต ขึ้นไปดูจับช้างที่กรุงเก่า จมนำ้� ตาย พฤษภาคม ที่ ๒๑ เสดจ็ ไป (ยกยอด) พระปฐมเจดยี ์ มิถนุ ายน ที่ ๑๒ เจ้าพระยาทพิ ากรวงษพ์ ิราลยั มิถุนายน ที่ ๒๔ เรือพิทยัมรณยุทธ รับพระยาราชวรานุกูล2 (ภายหลังได้เป็น เจ้าพระยารัตนบดินทร กับพระยาจ่าแสน เดช3 แต่ยังเป็นพระยา ราชเสนา) ออกไปเมืองไซ่ง่อน (ด้วยเร่ืองปรึกษาสัญญาเขตแดนทาง ทะเลสาบ)4 มิถนุ ายน ที่ ๒๙ พระเจา้ กาวิโลรสสรุ ิยวงษ์ พระเจ้าเชยี งใหม่ปว่ ยไปแต่กรุงเทพ ฯ ไปอกี ๓ วนั จะถงึ เมอื งเชยี งใหม่ถึงพริ าลัย 1 เดิมช่ือเรือโลตัส (Lotus) เป็นเรือรบ ตัวเรือเป็นเหล็ก ระวางขับน้�ำ ๔๕๐ ตัน จักรท้ายมีปืนใหญ่ ๗ กระบอก คนประจ�ำเรือ ๑๒๐ คน ไทยสัง่ ซอ้ื เรือล�ำนจ้ี ากสกอตแลนด์ เรือมาถงึ กรงุ เทพ ฯ เมือ่ วนั ที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๑๓ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานช่ือว่า เรือพิทยัมรณยุทธ ช่ือภาษาอังกฤษว่า Regent เพ่ือเป็นเกียรติแก่ผู้ส�ำเร็จราชการ คือ สมเด็จเจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ (ชว่ ง บนุ นาค) 2 นามเดิมว่า รอด กลั ยาณมติ ร เป็นบุตรเจ้าพระยานกิ รบดนิ ทร (โต กลั ยาณมิตร) ถวายตวั เป็นมหาดเลก็ ในรัชกาลที่ ๓ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๙๐ เปน็ ทีน่ ายเลห่ ์อาวธุ หุ้มแพร ถึงรชั กาลท่ี ๔ โปรดเกล้า ฯ ใหเ้ ลื่อนเป็นหลวงฤทธนิ ายเวร เจ้าหม่ืนศรสี รรักษ์ หวั หม่ืน มหาดเลก็ และพระยาราชวรานุกูล ปลดั ทลู ฉลองกรมมหาดไทย ตามล�ำดบั ตอ่ มาในรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๒๒ โปรดเกล้า ฯ ให้เปน็ เจ้าพระยาพลเทพ เสนาบดีกรมนา ถึง พ.ศ. ๒๔๒๙ โปรดเกล้า ฯ ให้เป็นเจ้าพระยารัตนบดินทร์ ที่สมุหนายก ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันท่ี ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๑ อายุ ๗๓ ปี 3 พระยาจ่าแสนบดีศรบี รบิ าล (เดช คฤหเดช) เจา้ กรมมหาดไทยฝ่ายพล�ำภัง 4 ในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๓ ผู้แทนของไทยและผู้แทนของรัฐบาลฝรั่งเศสได้ลงนามรับรองข้อความเพ่ิมเติม ใน “หนังสือสัญญาเฃตรแดนเมืองพัตบอง” ซ่ึงท�ำไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ มาตราท่ีเพิ่มนั้น ก�ำหนดให้ยกเลิกภาษี และภาษีศุลกากร ทุกชนิด ส�ำหรับคนเขมร โคชินไชนา ฝรั่งเศส และคนไทยท่ีจับปลาในทะเลสาบเขมร รวมท้ังก�ำหนดให้ริมฝั่งน้�ำเป็นเส้นพรมแดน ของเมืองพระตะบองและเสียมราฐ ซง่ึ อยใู่ นอ�ำนาจของไทย

88 ประชุมพงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เล่ม ๑๖ กรกฎาคม ท่ี ๒๙ รัฐบาลสยามให้พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง1 ไปเมือง สิงคโปร์ ไปตรวจการเรือนจ�ำและโรงพยาบาล เพ่ือจะสร้างคุกใหม่ใน กรงุ เทพ ฯ กรกฎาคม ที่ ๓๑ เรือไฟชื่อ กลาโหม เข้ามาถึง ได้ข่าวว่าประกาศสงคราม ในระหว่างฝรั่งเศสกบั ปรเู ซีย2 เมือ่ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม สงิ หาคม ที่ ๔ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงษ์3 รับ พระสพุ รรณบฏั สิงหาคม ที่ ๓๐ พระยาเพ็ชรบุรี (บวั ) ถงึ อนิจกรรม กันยายน ที่ ๔ ตั้งกฎหมายคลอง4 กันยายน ที่ ๗ พระราชทานเพลงิ ศพเจา้ พระยาทพิ ากรวงษ์ กันยายน ที่ ๑๑ สมโภชชา้ ง (พระเสวตรวรวรรณ พระมหารพีพรรณคชพงษ์) กนั ยายน ท่ี ๒๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เฉลิมพระชันษา ๑๗ มีการแต่ง ประทีปทั่วไป เจา้ พระยาภาณุวงษเ์ ชิญฝรงั่ ไปเต้นร�ำ พฤศจกิ ายน ท่ี ๓๐ เคร่ืองจักรโรงหีบอ้อย5 ของฝร่ัง (เรียกช่ือโรงหีบว่า อินโดจีน ซึง่ ต้ังท่แี ม่น�ำ้ ท่าจนี ) เขา้ มาถงึ 1 นามเดิมว่า เนียม รุ่งไพโรจน์ ด�ำรงต�ำแหน่ง เจ้ากรมกองตระเวนขวา 2 Franco - Prussian War ค.ศ. ๑๘๗๐ - ๑๘๗๑ เยอรมนีเป็นฝ่ายชนะ ท�ำใหม้ ีการรวมเยอรมนีเป็นจกั รวรรดิ ขณะท่ี พระจักรพรรดินโปเลียนท่ี ๓ ทรงหมดพระราชอ�ำนาจใน ค.ศ. ๑๘๗๐ เป็นการส้ินสุดจักรวรรดิฝร่ังเศสสมัยที่ ๒ และเร่ิมต้น สาธารณรฐั ฝร่ังเศสที่ ๓ 3 ต่อมาคือ จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี ประสูติเม่ือวันท่ี ๑๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๒ ในรัชกาลท่ี ๕ โปรดเกล้า ฯ ใหเ้ ปน็ พลเอก ราชองครกั ษ์ เสนาบดีกระทรวงยทุ ธนาธกิ าร กระทรวงกลาโหม ราชทตู พิเศษเสด็จประเทศญ่ีปุ่นและยุโรป ตามล�ำดับ ในรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้า ฯ ให้เป็นจอมพลทหารบก จอมพลเรือ ราชองครักษ์ และจเรทหารบก ทหารเรือทั่วไป ในรัชกาลที่ ๗ โปรดเกล้า ฯ ให้เป็นอภิรัฐมนตรี ทิวงคตในรัชกาลท่ี ๗ เม่ือวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๑ ทรงเปน็ ต้นราชสกุล ภาณุพันธุ์ 4 พระราชบัญญัติธรรมเนียมคลอง จ.ศ. ๑๒๓๒ (พ.ศ. ๒๔๑๓) ออกใช้ส�ำหรับตรวจตรารักษาคลองในกรุงเทพ ฯ และหัวเมืองใกลเ้ คียง 5 โรงงานท�ำน�้ำตาล

จดหมายเหตขุ องหมอบรดั เล 89 ธันวาคม ที่ ๘ นายเนตรไดเ้ ป็นพระยาสมทุ บุรานรุ กั ษ์ 1 แทนบิดา ธันวาคม ท่ี ๒๑ คอมมันเดอร์ตอ คารโล รักเกีย2 ราชทูตอิตาลี เข้ามาขอท�ำ หนงั สอื สญั ญาทางพระราชไมตร3ี ธนั วาคม ที่ ๒๓ ท่านผู้ส�ำเร็จราชการแผ่นดิน ท�ำบุญอายุ ๖๓ มีคนไปช่วยมาก ไดพ้ ระราชทานเงิน ๑๙,๒๐๐ เหรียญเปน็ ของขวัญในวนั เกดิ ๑๘๗๑ มกราคม ที่ ๗ ปลงศพมารดาพระยากระสาปน์ 4 ทว่ี ัดกัลยาณมติ ร 5 กมุ ภาพันธ์ ที่ ๕ เซอร์เบนสัน แมกสเวล6 อธิบดีผู้พิพากษาเมืองสิงคโปร์ เข้ามา กรงุ เทพ ฯ กมุ ภาพันธ์ ที่ ๖ บัญชีสินค้าที่เข้ามาจากเมืองลอนดอน ลงพิมพ์คร้ังแรก เปน็ ที่พศิ วงกันมาก มีนาคม ที่ ๖7 พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ โดยเรอื พทิ ยมั รณยทุ ธ ออกจาก กรุงเทพ ฯ ไปประพาสเมอื งสิงคโปร์ แลเบตาเวีย (คร้ังแรก) 1 นามเดมิ วา่ เนตร เนตรายน ด�ำรงต�ำแหนง่ เจา้ กรมทา่ 2 Com. C. A. Racchia 3 ก่อนหน้าน้ี ไทยลงนามสัญญาทางพระราชไมตรีกับอิตาลี ท่ีกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในวันท่ี ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ (ค.ศ. ๑๘๖๘) ดังน้ันการเข้ามาของราชทูตอิตาลีครั้งน้ี จึงไม่ใช่การเจรจาท�ำสัญญา แต่เป็นการแก้ไขรายละเอียด บางอย่างในสัญญา หลังจากน้นั มีการแลกเปล่ยี นหนงั สือให้สตั ยาบันสญั ญา ฯ ในวนั ที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๓ (ค.ศ. ๑๘๗๑) เรียกว่า “หนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีประเทศอิตาลีแลประเทศสยาม” ผู้ลงนามฝ่ายไทยคือ เซอร์จอห์น เบาว์ริง ในฐานะราชทูตของไทยผู้มีอ�ำนาจเต็ม สัญญามีสาระส�ำคัญเช่นเดียวกับสนธิสัญญาเบาว์ริง ซ่ึงไทยท�ำกับอังกฤษใน พ.ศ. ๒๓๙๘ 4 พระยากษาปณกจิ โกศล (โหมด อมาตยกลุ ) 5 ตั้งอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ ริมแม่น้�ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก เจ้าพระยานิกรบดินทร (โต กัลยาณมิตร) สร้าง ถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า วัดกัลยาณมิตร และทรงสร้างพระวิหาร และพระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต 6 เซอร์เบนสนั แมกซ์เวลล์ (Sir B. Maxwell) 7 หลกั ฐานจาก จดหมายเหตเุ สดจ็ ประพาสตา่ งประเทศในรชั กาลท่ี ๕ เสดจ็ เมอื งสงิ คโปรแ์ ลเมอื งเบตาเวยี ครง้ั แรก แลเสดจ็ ประพาสอนิ เดยี Bangkok Calendar และ Abstract of the Journal of Rev. Dan Beach Bradley ระบตุ รงกันวา่ เป็นวนั ท่ี ๙ มีนาคม ค.ศ. ๑๘๗๑

90 ประชุมพงศาวดารฉบบั กาญจนาภิเษก เล่ม ๑๖ จักรพรรดไิ กเซอร์ วิลเฮลม์ ท่ี ๑ (Kaiser Wilhelm I) แห่งเยอรมนี ปมี ะแม จุลศักราช ๑๒๓๓ พ.ศ. ๒๔๑๔ เมษายน ที่ ๑๕ เสดจ็ กลบั ถึงกรุงเทพ ฯ เมษายน ท่ี ๑๙ จุดประทีปมีงานมหรสพร่ืนเริงในการเสด็จกลับ เมษายน ที่ ๒๑ ละครม้าอเมริกันเข้ามาถึง (ได้ยินว่าเคยมีเข้ามาในรัชกาลท่ี ๔ ครงั้ ๑ แต่เห็นจะไม่ใชเ่ ซอรค์ สั ๆ ทีเ่ ขา้ มาครงั้ นี้ เป็นครงั้ แรก) พฤษภาคม ที่ ๓1 รับพระราชสาส์นเยอรมันเอมเปรอ2 คร้ังแรก มิถุนายน ท่ี ๑๔ พระราชทานเพลงิ พระศพ กรมหมน่ื ภบู ดรี าชหฤไทย3 กบั กรมหมนื่ มนตรรี กั ษา4 ทว่ี ัดอรุณ 1 Bangkok Calendar ระบวุ า่ เปน็ วันที่ ๒ พฤษภาคม 2 คอื Kaiser Wilhelm I ครองราชย์ ค.ศ. ๑๘๖๑ - ๑๘๘๘ 3 พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าชายอมฤตย์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอม มารดาแก้ว ประสูติเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๖๙ ในรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้า ฯ สถาปนาเป็นกรมหมื่นภูบดีราชหฤทัย ก�ำกบั กรมอักษรพมิ พการ ในรัชกาลที่ ๕ ทรงก�ำกบั กรมหมอนวดหมอยา สิ้นพระชนมใ์ นรัชกาลท่ี ๕ เมือ่ วนั ท่ี ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๑๓ 4 พระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าพยอม เป็นพระโอรสของพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี ในรัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๓๙๖ โปรดเกล้า ฯ สถาปนาเปน็ เจ้าตา่ งกรม คอื พระวงศ์เธอ กรมหมน่ื มนตรรี กั ษา

จดหมายเหตขุ องหมอบรัดเล 91 มถิ ุนายน ที่ ๒๘ ส่งผู้มีสกุลไปเรียนวิชาในยุโรปหลายคน (เข้าใจว่าพระองค์เจ้า ปฤษฎางค์ 1 ๑ หมอ่ มเจา้ เจก๊ 2 ในกรมหม่ืนมเหศวรศวิ วลิ าศ ๑ พระยา ไชยสุรนิ ทร ม.ร.ว. เทวหน่งึ ๑)3 กรกฎาคม ท่ี ๑4 ข้าราชการเปลี่ยนเคร่ืองแต่งตัวเป็นอย่างใหม่ (คือ สวมถุงเท้า รองเทา้ เข้าเฝ้า ฯ แลยนื เฝ้า ฯ เวลาเสดจ็ ออกไปรเวต) กรกฎาคม ท่ี ๑๕ รัฐบาลซอื้ เรือกลไฟชอื่ บางกอก ราคา ๗๕,๐๐๐ เหรียญ เพือ่ แตง่ เป็นเรือพระที่น่ังเสด็จอินเดยี สิงหาคม ที่ ๕ มงี านใหญ่ตง้ั นายทหารมหาดเล็ก สงิ หาคม ท่ี ๑๕ รับอักษรสาส์น เคาวเนอเยเนราลอินเดีย อังกฤษ (เข้าใจว่าเป็น อักษรสาสน์ ที่เชญิ เสดจ็ ประพาสอินเดยี )5 กันยายน ที่ ๒๑ เฉลมิ พระชนั ษา ๑๘ ตามประทีป แลมมี หรสพเป็นการใหญ่ ตลุ าคม ที่ ๑ วนั นีเ้ ผอิญใหแ้ มน่ �้ำวา่ ง ไม่มีเรอื พ่อค้าตา่ งประเทศ 1 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ พระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าปฤษฎางค์ เป็นพระโอรสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสหี วกิ รม (พระองค์เจา้ ชุมสาย) ประสตู เิ มอื่ วนั ที่ ๒๓ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๓๙๔ ในรชั กาลท่ี ๕ โปรดเกล้า ฯ สถาปนา เป็นพระองค์เจ้าปฤษฎางค์เม่ือ พ.ศ. ๒๔๒๖ พระองค์เป็นนักเรียนไทยรุ่นแรกที่รัชกาลท่ี ๕ ทรงคัดเลือกให้ไปศึกษา ต่อที่ยุโรป เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ พร้อมกับหม่อมเจ้าเจ๊ก นพวงศ์ และหม่อมราชวงศ์เทวหนึ่ง ศิริวงศ์ ส�ำเร็จการศึกษาด้าน วทิ ยาศาสตร์ประยกุ ต์และวศิ วกรรมศาสตรจ์ ากมหาวิทยาลยั ลอนดอน ต่อมาทรงเปน็ อคั รราชทตู ไทยประจ�ำอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และประเทศต่าง ๆ ในยโุ รปอกี ๑๒ ประเทศ ในคราวเดยี วกัน (พ.ศ. ๒๔๒๕ - ๒๔๒๖) เมือ่ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหม่ืนนเรศวรฤทธ์ิ ทรงได้รับแต่งต้ังเป็นอัครราชทูตไทยประจ�ำอังกฤษและสหรัฐอเมริกา พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทรงเป็นอัครราชทูตไทยประจ�ำฝร่ังเศส และประเทศอน่ื ๆ ในยโุ รป พ.ศ. ๒๔๒๖ - ๒๔๒๙ พระองค์ทรงเปน็ หน่งึ ในบรรดาเจ้านายและขนุ นางทีท่ �ำหนงั สอื กราบบังคมทลู ให้รชั กาลที่ ๕ ทรงจดั การเปลย่ี นแปลงการปกครองแผน่ ดินในเดอื นมกราคม พ.ศ. ๒๔๒๗ (ร.ศ. ๑๐๓) เปน็ ผลให้รัฐบาลไทยสัง่ ให้ เสด็จกลับประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ ตอ่ มาพระองค์ทรงลาออกจากราชการ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ และทรงผนวชท่ลี ังกา (ปัจจุบนั คือ ประเทศศรีลังกา) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ มีพระฉายาว่า “พระชินวรวงศ์” เสด็จกลับมาลาผนวชท่ีกรุงเทพ ฯ ครั้งถวายพระเพลิง พระบรมศพรชั กาลที่ ๕ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๔ สน้ิ พระชนม์เมอื่ วันที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ 2 หม่อมเจ้าเจ๊ก นพวงศ์ (พ.ศ. ๒๓๙๗ - ๒๔๕๖) เป็นพระโอรสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหม่ืนมเหศวรศิววิลาส หมอ่ มเจ้าเจ๊กเปน็ นักเรยี นไทย ซึ่งรัชกาลท่ี ๕ ทรงคัดเลอื กให้เป็นนกั เรียนหลวงรุ่นแรกทไี่ ปศึกษาในยุโรปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ 3 พระยาไชยสรุ ินทร (หมอ่ มราชวงศ์เทวหน่ึง ศิรวิ งศ์) เจา้ กรมพระคลังมหาสมบัติ 4 Bangkok Calendar ระบุวา่ เป็นวนั ท่ี ๑ มถิ นุ ายน 5 ต�ำแหน่ง Governor - General of British India คือ ผู้ปกครองสูงสุดในอินเดียของอังกฤษ สันนิษฐานว่าคือ Lord Mayo (พ.ศ. ๒๔๑๒ - ๒๔๑๕) ชอื่ เดมิ วา่ Richard Southwell Bourke

92 ประชุมพงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑๖ พฤศจิกายน ท่ี ๑๔ น�้ำมากท่วมตลิง่ ทัง้ ๒ ฝ่งั พฤศจิกายน ที่ ๑๗ เรือไฟช่ือ โปสต์1 ของนายพ่อค แรกเดินในระหว่างกรุงเทพ ฯ จนถึงท่ีทอดเรือก�ำปัน่ ที่สันดอน ธนั วาคม ท่ี ๗ พระราชทานเพลิงพระศพกรมหลวงวงษาธริ าชสนิท ท่ีวัดอรณุ ฯ ธนั วาคม ท่ี ๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จโดยเรือบางกอก ไปประพาส อินเดยี ๑๘๗๒ มกราคม ท่ี ๘ หมอปิเตอร์ เกาแวน2 เข้ามาอยกู่ บั หมอแคมปเ์ บล (หมอเกาแวน นี้ ต่อมาเข้ารับราชการไดเ้ ปน็ หมอประจ�ำพระองค์) มกราคม ท่ี ๒๐ เจ้าคุณแข3 (เรียกกันว่า เจ้าคุณต�ำหนักใหม่) น้องหญิง ทา่ นผสู้ �ำเร็จราชการแผน่ ดนิ ถึงอสญั กรรม กุมภาพันธ์ รัฐบาลไทยให้อังกฤษ ชื่อ นายไตวต์ 4 เป็นผู้ช�ำนาญการแร่ ไปตรวจบอ่ ทอง ทเ่ี มอื งกระบนิ ทรบ์ รุ ี กมุ ภาพันธ์ ที่ ๑๓ ซินยอเปเรรา5 ราชทูตสเปนเขา้ มาถึง 1 Post 2 Peter Gowan นายแพทย์ชาวสกอต เดินทางเข้ามาประเทศไทยใน พ.ศ. ๒๔๑๔ ต่อมาเป็นแพทย์ประจ�ำพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีบทบาทส�ำคัญในการน�ำวิทยาการแพทย์สมัยใหม่มาใช้ในราชส�ำนัก นายแพทย์เกาแวนเป็นผู้มีอุปนิสัยรักสันโดษ ไม่แตะต้องอบายมุขและไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ท�ำให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ (ต่อมาคือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส) ก่อนทรงผนวช ทรงยึดถือเป็น แบบอยา่ งและยกยอ่ งใหเ้ ปน็ อาจารย์ของพระองค์ 3 เจ้าคุณหญิงแข หรือเจ้าคณุ ต�ำหนักใหม่ เป็นธิดาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดศิ บุนนาค) กบั ท่านผูห้ ญิง จนั ทร์ ซึ่งเป็นธิดาเจา้ พระยาพลเทพ (ทองอนิ ) เกิดในรชั กาลที่ ๒ เมือ่ พ.ศ. ๒๓๕๘ รบั ราชการในรัชกาลท่ี ๔ มหี นา้ ท่ดี แู ลการฝ่ายใน ในพระบรมมหาราชวงั ถึงแกอ่ สัญกรรมในรัชกาลท่ี ๕ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๑๔ อายุ ๕๗ ปี 4 Charles Twite 5 Juan Manuel Pereira

จดหมายเหตุของหมอบรัดเล 93 ปวี อก จุลศักราช ๑๒๓๔ พ.ศ. ๒๔๑๕ มีนาคม ท่ี ๑๓ นายน๊อกส์ กงสุลเยเนราลอังกฤษไปตามเสด็จเมืองกัลกัตตา กลบั มาถงึ มนี าคม ที่ ๑๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปประพาสอินเดีย ๔ เดือน กลบั มาถึง มีนาคม ท่ี ๑๙ มีการเล้ียงโต๊ะ เป็นการใหญ่ท่ีบ้านท่านผู้ส�ำเร็จราชการแผ่นดิน เป็นการสมโภช เสด็จกลับจากอนิ เดยี มีนาคม ท่ี ๒๔ รฐั บาลขายเรอื บางกอก (ซงึ่ ซอ้ื มาเปน็ เรอื พระทนี่ งั่ เมอื่ เสดจ็ อนิ เดยี ) ให้นะกดุ า่ อสิ มยั สลุ ะมันย1ี (อยู่ท่หี นา้ วดั เกาะ) เดนิ เปน็ เรือเมลต์ ่อไป เมษายน ที่ ๕ พระราชทานเพลิงพระศพพระองคเ์ จา้ สายสมร เมษายน ท่ี ๑๐ ไฟไหมท้ ี่บ้านทวาย2 เมษายน ที่ ๒๑ พวกผู้ช�ำนาญแร่ ซึ่งรัฐบาลให้ไปตรวจบ่อแร่ที่เมืองกาญจนบุรี ไป ๔๖ วัน กลับมาถึง เมษายน ที่ ๒๑ เชอิ าเลีย คาลซิ 3 ราชทตู ออสเตรยี เขา้ มาถงึ เมษายน ที่ ๒๘ เรือไฟชื่อ แดนยุบ4 มาเดินเมล์ แลรับสินค้าในระหว่าง กรงุ เทพ ฯ กบั เมืองฮ่องกง เปน็ ครง้ั แรก พฤษภาคม ท่ี ๑ พวกหกคะเมนย่ีปุน่ เขา้ มาเล่น 1 เป็นหัวหน้าพ่อค้ามุสลิมในรัชกาลท่ี ๕ มีข้อสังเกตว่าพ่อค้ามุสลิมจากอิหร่าน คาบสมุทรอาหรับ และอินเดีย มกั มีค�ำน�ำหน้าชือ่ วา่ นะกุด่า หรอื นักโกดา ซึ่งมาจากค�ำในภาษาอาหรบั ว่า Nakohda แปลว่า กปั ตันเรือ 2 ชุมชนชาวทวายอยู่บริเวณวัดคอกกระบือ (วัดยานนาวาในปัจจุบัน) ต่อมามีฐานะเป็นอ�ำเภอบ้านทวาย เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๘ ถงึ พ.ศ. ๒๕๑๕ เมื่อมกี ารจดั เขตแบง่ พน้ื ที่การปกครอง จึงรวมอยใู่ นเขตยานนาวา กรงุ เทพมหานคร 3 Le Chevalier Calice กงสลุ ออสเตรยี - ฮังการีประจ�ำญี่ปุ่นและจีน (ค.ศ. ๑๘๗๑ - ๑๘๗๔) ต่อมาวันท่ี ๓๐ เมษายน มีการแลกเปล่ียนหนังสอื ให้สัตยาบันสัญญา ฯ ซึง่ ลงนามเมือ่ พ.ศ. ๒๔๑๒ 4 Danube เรอื สัญชาตอิ งั กฤษ

94 ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑๖ พฤษภาคม ท่ี ๑ นายรอ๊ ก เป็นชาวสวเิ ดน็ พาขนุ นางไทยหลายคนไปดบู ่อถ่านหิน ซงึ่ อ้างวา่ เขาพบท่ีเมอื งเหนอื พฤษภาคม ท่ี ๒๓ พระราชทานเพลิงศพเจา้ คุณต�ำหนกั ใหม่ มิถุนายน ท่ี ๔ เสดจ็ กรุงเก่า มิถุนายน ที่ ๑๑ กปั ตนั ฮสั สี 1 นายเรอื ไฟอเมริกัน ชอ่ื มอตัน 2 เชิญกรมพระราชวงั บวร ฯ กบั พวกผ้ดู ีไทยฝรัง่ เทย่ี วล่องแมน่ ำ้� ลงไป มถิ นุ ายน ท่ี ๑๖ มองสิเออคาร์เนยี 3 กงสลุ ฝร่งั เศสมาถึง กรกฎาคม ที่ ๒ แห่พระศพพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าอิศรวงษ์ 4 เคร่ืองแต่งตัว แลเครื่องแห่ เปน็ ท�ำนองไว้ทกุ ขอ์ ย่างฝรั่ง กรกฎาคม ท่ี ๓ นายเฮนรี อาลบาสเตอ ไปยุโรป ๒ ปี กลับเข้ามาถึง (นาย อาลบาสเตอนี้ แต่เดิมรับราชการอังกฤษ จนได้เป็นผู้แทนกงสุลคร้ังท่ี ๑ วิวาทกับนายน๊อกส์ กงสุล ฯ จึงออกจากราชการ กลับเข้ามาคราวนี้ แล้วไม่ช้ากเ็ ขา้ รับราชการไทยอยจู่ นถงึ อนิจกรรม) กรกฎาคม ท่ี ๒๓ กัปตันแอดัมส์ 5 เป็นทูตเชิญอักษรสาส์นของประธานาธิบดี อเมริกัน 6 เขา้ มาถวาย สงิ หาคม ที่ ๔ ไฟไหม้เหนอื วดั เกาะ 1 Hussey 2 Mowtan 3 Frederic - Benoit Garnier กงสุลฝร่ังเศสประจ�ำกรุงเทพ ฯ เข้ามารับต�ำแหน่งในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๕ เคยเปน็ กงสลุ ประจ�ำเมอื งปอร์ต ซาอิด (Port Said) ในอยี ปิ ต์มาก่อน 4 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอิศรวงศ์วรราชกุมาร เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กบั เจา้ จอมมารดาแสง ประสตู เิ มอ่ื วันท่ี ๔ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๑๓ สิน้ พระชนม์เมอ่ื วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๕ 5 คอื H. A. Adams ผู้บัญชาการเรือรบอเมริกนั ชอ่ื อรี ็อกควายส์ (Iroquois) 6 คือ ยูลสิ ซิส เอส. แกรนต์ (Ulysses S. Grant) ประธานาธบิ ดีสหรัฐอเมริกา ๒ สมัย ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๒ - ๒๔๒๐ (ค.ศ. ๑๘๖๙ - ๑๘๗๗) หลังจากพ้นต�ำแหน่ง แกรนต์เดินทางรอบโลกและแวะเยือนประเทศไทย ในฐานะราชอาคันตุกะของ รัชกาลท่ี ๕ ระหวา่ งวนั ท่ี ๑๓ - ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๒

จดหมายเหตุของหมอบรดั เล 95 กนั ยายน ท่ี ๕ หา้ งแรมเซเวกฟลี ด1์ เขา้ มาจากกลั กัตตา แรกมาตง้ั ในกรงุ เทพ ฯ (หา้ งนี้เป็นหา้ งเดมิ ของหา้ งแบดแมน) กนั ยายน ที่ ๑๖ ไฟไหม้บา้ นหมอ้ กันยายน ท่ี ๒๑ เฉลิมพระชันษา ๑๙ มีแต่งประทีป แลเต้นร�ำ ที่บ้านเสนาบดี วา่ การตา่ งประเทศ2 ตุลาคม ที่ ๑ ราชทูตฮอลันดา ชือ่ โฮเคิเฟน3 เขา้ มาถึง ตุลาคม ที่ ๑๓ เปิดคลองเปรมประชากร4 ตุลาคม ท่ี ๑๘ อัฐตะก่ัว ลดราคาลงใชเ้ พยี งอันละ ๑๐ เบยี้ ตลุ าคม ท่ี ๒๔ เวลา ๔ ทุ่ม เกิดลมไต้ฝุ่นในอา่ วสยาม พฤศจกิ ายน ที่ ๑๓ เสดจ็ ไปประพาสเมอื งลพบุรี กลับมาถงึ พฤศจิกายน ที่ ๒๕ เจ้าอุปราชเชียงใหม่5 ลงมารับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น เจา้ เชียงใหม่ (คอื พระเจา้ อินทวิชยานนท์) 1 ต้ังอยู่ที่แยกถนนบ�ำรุงเมืองตัดกับถนนตะนาว ใกล้สะพานช้างโรงสี เป็นห้างของ Charles Harris Ramsay ซึ่งต่อมา ได้รับพระราชทานบรรดาศักด์ิเป็นหลวงจ�ำนงนิเวศกิจ จ�ำหน่ายเครื่องแต่งกายแบบสากลและเคร่ืองแบบต่าง ๆ ภายหลังเปลี่ยน ชอ่ื ห้างตามชือ่ ผถู้ อื หุ้น คือ แรมเซย์ ลอรีย์ และแรมเซย์ แบดแมน ตามล�ำดับ จนกระทง่ั พ.ศ. ๒๔๒๗ เปลย่ี นชอื่ เป็นห้างแรมเซย์ (Ramsay and Company Bangkok) 2 เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธบิ ดี (ท้วม บนุ นาค) 3 H. J. C. Hoogeveen 4 คลองสวัสดิเปรมประชากร หรือเรียกกันว่า คลองเปรมประชากร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ จ้าพระยาศรีสุรยิ วงศ์ (ชว่ ง บนุ นาค) เป็นผูอ้ �ำนวยการขุดคลอง ลัดแมน่ ำ้� เจ้าพระยาต้งั แตค่ ลองโค เกาะเกดิ (ต�ำบล บางกระสนั อ�ำเภอบางไทร จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา) ผ่านดอนเมืองมาบรรจบคลองผดงุ กรุงเกษม หนา้ วัดโสมนสั วหิ าร ระยะทาง รวม ๑,๒๗๑.๓ เสน้ ประมาณ ๕๑ กโิ ลเมตร ใช้เวลาขดุ ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๑๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว เสดจ็ ฯ ไปทรงเปิดคลองนี้เปน็ ปฐมฤกษ์ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๑๕ และมพี ระบรมราชานญุ าตให้ประชาชนใช้สัญจรไปมา โดยไมต่ อ้ งเสยี ค่าคลองและภาษีคลอง 5 คือ เจ้าอินทนนท์ เป็นบุตรของพระยาราชวงศ์มหาพรหมค�ำคง และเป็นบุตรเขยของพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ พระเจา้ นครเชียงใหม่ และต่อมาในรชั กาลท่ี ๕ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปน็ เจา้ เมืองเชียงใหมใ่ น พ.ศ. ๒๔๑๖ ถงึ พ.ศ. ๒๔๒๕ เลอื่ นเป็น พระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้านครเชียงใหม่ เป็นพระบิดาของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ถึงแก่พิราลัยใน พ.ศ. ๒๔๓๘

96 ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เลม่ ๑๖ ธันวาคม ท่ี ๕ นะกุดา่ อสิ มยั สลุ ะมันยี หวั หน้าพอ่ ค้าแขกตาย ธันวาคม ที่ ๑๐ พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง ถูกขังด้วยเร่ืองให้เข้าไป จบั คนในวังเจา้ ธันวาคม ท่ี ๑๑ พระราชทานเพลิงพระศพ กรมขนุ วรจักรธรานภุ าพ ธันวาคม ที่ ๒๓ กรมหมืน่ ภูบาลบริรักษ์ 1 สิน้ พระชนม์ ธันวาคม ที่ ๒๕ ไฟไหมใ้ หญท่ ่ีสะพานหนั 2 1 พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้ากปิตถา เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับเจ้าจอมมารดา อมั พา ประสตู เิ มอ่ื วันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๓๕๗ ในรัชกาลที่ ๔ โปรดเกลา้ ฯ สถาปนาเปน็ กรมหมน่ื ภบู าลบรริ กั ษ์ เม่อื พ.ศ. ๒๓๙๔ ได้ว่ากรมพระอาลักษณ์ ส้ินพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๑๕ ทรงเป็นต้นราชสกุล กปิตถา 2 สะพานข้ามคลองโอ่งอ่าง เมื่อแรกสร้างในรัชกาลท่ี ๑ เป็นสะพานไม้กระดานวางพาดไว้ สามารถยกข้ึนหรือจับหัน เปิดให้เรือผ่านได้ หลังจากรัชกาลที่ ๕ เสด็จกลับจากประพาสยุโรปครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างข้ึนใหม่ เป็นสะพานเหล็กหล่อตามแบบสะพานริอัลโต เมืองเวนิส กับสะพานเอคคิโอ เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี มีลักษณะเป็น สะพานสูงโค้งเพ่ือให้เรือผ่านได้สะดวก ปัจจุบันประชาชนยังนิยมเรียกว่า สะพานหัน เช่นเม่ือครั้งอดีต

จดหมายเหตุเร่ืองมิชชนั นารอี เมรกิ นั เขา้ มาประเทศสยาม

98 ประชุมพงศาวดารฉบบั กาญจนาภิเษก เล่ม ๑๖ คำ�นำ�ฉบบั พมิ พค์ รงั้ แรก (ตอนท่ี ๑) 1 หมอบรัดเล ได้พิมพ์หนังสือไว้เรื่องหนึ่งเรียกว่า บางกอกคาแลนดา เปนทำ�นองประดิทิน พิมพ์ปีละเล่ม เริ่มแต่คฤศตศก ๑๘๕๙ ในรัชกาลที่ ๔ มาจนคฤศตศก ๑๘๗๓ ในรัชกาลที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๐๒ - ๒๔๑๖) ในหนังสือนี้มีเรื่องต่าง ๆ ในทางโบราณคดีที่น่ารู้อยู่หลายเรื่อง จะยกเปนตัวอย่าง ดังเช่นจดหมายเหตุเรื่องที่พวกมิซชันนารีอเมริกันแรกเข้ามาถึงสยามประเทศนี้ เมื่อในรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งหมอบรัดเลแต่งเองบ้าง มิซชันนารีคนอื่นแต่งบ้าง ข้าพเจ้าคิดใคร่จะแปลออกพิมพ์ เปนภาษาไทยมานานแล้ว แต่ยังขัดข้องอยู่ด้วยติดการอื่นจะแปลเองไม่ได้ และหาตัวผู้อื่นที่จะแปล ยังไม่ได้ก็ต้องรอมา บัดนี้มีโอกาศและเครื่องเตือนใจเกิดขึ้น ด้วยคุณหญิงสารสินสวามิภักดิ์มาแจ้งความ ยังหอพระสมุดวชิรญาณสำ�หรับพระนคร ว่าปราถนาจะพิมพ์หนังสือแจกเนื่องในทักษิณานุปทานงารฝังศพ พระยาสารสินสวามิภักดิ์ (เทียนฮี้ สาระสิน) ขอให้กรรมการหอพระสมุด ฯ ช่วยเลือกเรื่องหนังสือ และจัดการพิมพ์ให้สักเรื่อง ๑ ข้าพเจ้าระลึกถึงความหลังแต่ครั้งข้าพเจ้าแรกเข้ารับราชการเปนตำ�แหน่ง นักเรียนนายร้อยในกรมทหารมหาดเล็ก เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี เวลานั้นพระยาสารสิน ฯ เปนตำ�แหน่งผู้ช่วย นายแพทย์อยู่ในกรมทหารมหาดเล็ก ได้เริ่มรู้จักกับข้าพเจ้าแล้วได้เปนมิตร์กันแต่นั้นมา และภายหลัง ได้มารับราชการร่วมกันเมื่อพระยาสารสิน ฯ เปนที่พระมนตรีพจนกิจ ครั้งข้าพเจ้าบัญชาการกระทรวง มหาดไทยได้ชอบพอกันสนิทสนม กอบทั้งพระยาสารสิน ฯ เคยมีคุณูปการโดยได้เปนเพื่อนเที่ยวทางไกล และได้รักษาเวลาเจ็บป่วย แม้จนเมื่อตัวพระยาสารสิน ฯ เองป่วยอาการโรคเรื้อรังจนต้องออกจากราชการ และจะไปไหนได้ด้วยลำ�บากแล้ว ทราบว่าข้าพเจ้าป่วยอาการมากยังอุส่าห์ตามขึ้นไปช่วยรักษา ถึงบ้านแป้งที่อำ�เภอบางปอินครั้งหนึ่ง ด้วยความรักใคร่ไมตรีซึ่งนับได้ว่าได้มีต่อกันมาตั้งแต่รู้จักกัน จนตลอดอายุของพระยาสารสิน ฯ ด้วยประการฉนี้ ในการที่เจ้าภาพมาขอให้ช่วยจัดการพิมพ์หนังสือ แจกในงารศพพระยาสารสิน ฯ ข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่าให้โอกาศแก่ข้าพเจ้า พอจะได้ลงแรงคิดอ่านทำ�การ สนองคุณพระยาสารสิน ฯ บ้างแม้เล็กน้อย ในการเลือกเรื่องหนังสือซึ่งจะพิมพ์แจกในงารศพพระยาสารสิน ฯ ข้าพเจ้าระลึกขึ้นถึง หนังสือจดหมายเหตุเรื่องพวกมิซชันนารีอเมริกันเข้ามากรุงสยาม ซึ่งได้กล่าวมาข้างต้น เห็นว่าถ้าแปล จดหมายเหตุนั้นออกพิมพ์แจกในงารศพพระยาสารสิน ฯ จะเหมาะดีหนักหนา ด้วยพระยาสารสิน ฯ เปนผู้ทรงวิชาคุณโดยได้เปนศิษย์พวกมิซชันนารีอเมริกัน ปรากฎว่าเปนชาวสยามคนแรกที่ได้เรียน วิชาแพทย์ฝรั่ง (จากหมอเฮาส์ มิซชันนารีอเมริกัน แล้วออกไปเรียนวิชาต่อในประเทศอเมริกา) จนได้ 1 รักษาอักขรวิธตี ามต้นฉบบั พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๖๘

จดหมายเหตุเรือ่ งมชิ ชนั นารีอเมริกันเข้ามาประเทศสยาม 99 ประกาศนียบัตรของมหาวิทยาลัยต่างประเทศ สมควรนับว่าเปนผู้ทรงคุณวิเศษยิ่งกว่านักเรียนรุ่นเดียว กันอีกประการหนึ่ง บัดนี้ มีผู้พอจะแปลหนังสือภาษาอังกฤษได้ในหอพระสมุด ฯ เอง จึงได้ให้นายป่วน อินทุวงศ เปรียญ แปลจดหมายเหตุเรื่องมิซชันนารีอเมริกันเข้ามากรุงสยาม พิมพ์เปนประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๑ เพื่อแจกในงารศพพระยาสารสิน ฯ หวังใจว่าท่านทั้งหลายที่ได้รับหนังสือเรื่องนี้ไปคงจะพอใจ อ่านทั่วกัน ประวตั ิพระยาสารสนิ สวามิภกั ด์ิ (เทียนฮี้ สาระสนิ ) นายพันตรี พระยาสารสินสวามิภักด์ิ (เทียนฮ้ี สาระสิน) บ.ช. ร.จ.ม., ร.ป.ฮ., เกิดในตอนปลายรัชกาลท่ี ๓ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันอังคาร เดือน ๙ แรมค่�ำ ๑ ปีวอกสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๑๐ (พ.ศ. ๒๓๙๑) ตระกูลเปนพลเรือน บิดาเปนเชื้อจีนช่ือนายปั้นจู๊ล่ัว มารดาเปนไทย ช่ือหนู พระยาสารสิน ฯ จึงได้ชื่อว่าเทียนฮ้ี ตามทางตระกูลฝ่ายบิดา ตระกูลถือพระพุทธสาสนา เม่ือพระยาสารสินฯ ยังเปนเด็ก ผู้ปกครองได้น�ำไปฝากให้เล่าเรียนอักขระสมัยในส�ำนักพระอาจารย์ทอง วัดทองนพคุณ เรียนอยู่ ๗ ปี พระยาสารสิน ฯ เป็นผู้มีอุปนิสัยชอบเล่าเรียนมาแต่น้อย เม่ือเรียนรู้ อักขระสมัยเบื้องต้นแล้ว ผู้ปกครองประสงค์จะให้เล่าเรียนรู้วิชาช้ันสูงต่อขึ้นไป ในสมัยน้ัน ประจวบเวลาพวกมิซชันนารีอเมริกันแรกต้ังโรงเรียนรับสอนภาษา และวิชาต่างประเทศขึ้นที่ต�ำบล สามเหร่ ไม่ห่างไกลกับท่ีอยู่ของตระกูลของพระยาสารสิน ฯ นัก ผู้ปกครองจึงน�ำไปฝากให้เล่าเรียน ในโรงเรียนของพวกมิซชันนารี ก็ลักษณการท่ีพวกมิซชันนารีเข้ามาต้ังฝึกสอนน้ัน ประสงค์จะชวน คนให้เข้ารีตถือสาสนาคริสเตียนเปนส�ำคัญ การท่ีฝึกสอนวิชาอย่างใด ๆ ให้เปนแต่ทางท่ีจะ จูงไปให้เข้ารีตเปนที่สุด เด็กที่เข้าเปนนักเรียน ถึงแม้จะเข้าไปโดยประสงค์จะเล่าเรียนเพียง วิชาการ ก็ต้องศึกษาคติทางสาสนาคริสเตียน และรับประพฤติตามนิยมของครูบาอาจารย์ซ่ึงใช้ เปนหลักสูตรของโรงเรียนนั้นด้วย เมื่อพระยาสารสิน ฯ เข้าไปเปนนักเรียนในโรงเรียนของพวก มิซชันนารีอายุยังเยาว์ แต่เปนผู้มีอุปนิสัยรักเล่าเรียน ไม่ช้าก็ได้เปนนักเรียนอย่างยอดของโรงเรียน ท้ังที่มีความสามารถและยอมสมัคเข้ารีตถือสาสนาคริสเตียนตามประสงค์ของอาจารย์ อาศรัยเหตุ ทั้งสองประการที่กล่าวมา พวกมิซชันนารีอเมริกันจึงส่งพระยาสารสิน ฯ ไปยังประเทศสหปาลีรัฐ อเมริกา ให้ไปเรียนวิชาแพทย์ตามใจรัก ไปเล่าเรียนตลอดหลักสูตรจนได้รับประกาศนียบัตรแพทย์ ชั้นเอมดี ในมหาวิทยาลัยนิวยอก เม่ือคฤศตศก ๑๘๗๑ (พ.ศ. ๒๔๑๔) แล้วจึงกลับคืนมายังบ้านเมือง

100 ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑๖ เม่ือพระยาสารสิน ฯ ส�ำเร็จการเล่าเรียนได้ประกาศนียบัตรเปนแพทย์กลับมาถึงกรุงเทพ ฯ ประจวบโอกาศ ด้วยคร้ังนั้นพระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก�ำลังทรงจัดต้ังกรมทหาร มหาดเล็ก อันล้วนแต่เปนผู้ดีมีบันดาศักด์ิส�ำหรับรักษาพระองค์ หมอเฮาส์ มิซชันนารีอเมริกัน ซ่ึงเคย เปนครูและเปนผู้จัดส่งพระยาสารสิน ฯ ไปอเมริกา จึงน�ำพระยาสารสิน ฯ ไปหาพระยาสุรศักดิมนตรี (แสง ชูโต) ซ่ึงเปนนายพันโทผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กคนแรก แจ้งว่าพระยาสารสิน ฯ ได้เรียนวิชาแพทย์อย่างฝรั่ง รู้จนถึงการตัดผ่า ซึ่งยังไม่มีหมอไทยได้เล่าเรียนในเวลาน้ัน บางที จะเปนประโยชน์แก่ราชการกรมทหารมหาดเล็กท่ีต้ังใหม่ พระยาสุรศักดิมนตรีเห็นชอบด้วย จึงรับน�ำพระยาสารสิน ฯ เข้าถวายตัวท�ำราชการ ก็ในเวลาน้ันได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ตั้งให้ พระวรวงศเธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ เปนต�ำแหน่งนายแพทย์ในกรมทหารมหาดเล็ก จึงทรง พระกรุณาโปรด ฯ ต้ังหมอเทียนฮี้ คือพระยาสารสิน ฯ ให้เปนต�ำแหน่งผู้ช่วยนายแพทย์ รับราชการ ในกรมทหารมหาดเล็กแต่ พ.ศ. ๒๔๑๕ เปนต้นมา ถึง พ.ศ. ๒๔๒๒ คร้ังทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยาสุรศักดิมนตรี (เจิม แสงชูโต) เม่ือยังเปนที่เจ้าหม่ืนไวยวรนาถ จัดการกรมทหารหน้า เจ้าพระยาสุรศักดิ ฯ ได้กราบบังคมทูลขอ นายทหารมหาดเล็ก ซึ่งได้เคยรับราชการด้วยกันมาแต่ก่อน ออกไปช่วยราชการในกรมทหารหน้า หลายนาย พระยาสารสิน ฯ อยู่ในผู้ซ่ึงเจ้าพระยาสุรศักดิ ฯ กราบบังคมทูลขอไปคน ๑ ได้ไปรับราชการ ในต�ำแหน่งนายแพทย์ ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๒๘ เม่ือเจ้าพระยาสุรศักดิ ฯ ยังเปนเจ้าหม่ืนไวยวรนาถ เปนแม่ทัพคุมทหารหน้าข้ึนไปปราบฮ่อซึ่งมาเบียดเบียนเขตแดนเมืองหลวงพระบาง พระยาสารสิน ฯ ได้เปนต�ำแหน่งนายแพทย์ไปรับราชการสงครามครั้งนั้นคราวหนึ่ง ต่อมาเม่ือเจ้าพระยาสุรศักดิมนตรี เปนพระยาสุรศักดิมนตรีคุมกองทัพขึ้นไปปราบฮ่อซ่ึงมาตีเมืองหลวงพระบาง พระยาสารสิน ฯ ได้กลับข้ึนไปด้วยอีกคร้ังหน่ึง ในระยะนี้ได้พระราชทานยศเปนนายร้อยเอกแล้ว รับราชการ ทนความล�ำบากตรากตร�ำอยู่ช้านาน ได้ช่วยรักษาพยาบาลพลทหาร ท้ังข้าราชการและพลเมือง มีความชอบ ได้เล่ือนยศเปนนายพันตรี และได้รับพระราชทานเคร่ืองราชอิศริยาภรณ์ช้างเผือกชั้นท่ี ๕ กบั ทงั้ เหรียญปราบฮ่อเปนบ�ำเหน็จ ต่อมาถึง พ.ศ. ๒๔๓๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยาสุรศักดิ ฯ ไปเปนเสนาบดี กระทรวงเกษตราธิการ เจ้าพระยาสุรศักดิ ฯ ขอพระยาสารสิน ฯ ไปเปนล่ามประจ�ำกระทรวง ได้พระราชทานสัญญาบัตร์เปนหลวงด�ำรงแพทยาคุณ ในปีนั้นพระยาสารสิน ฯ รับราชการอยู่ใน กระทรวงเกษตราธิการ ๒ ปีเศษ

จดหมายเหตเุ รอ่ื งมิชชันนารีอเมรกิ ันเข้ามาประเทศสยาม 101 ถึง พ.ศ. ๒๔๓๗ ระหว่างเจ้าพระยาภาสกรวงศ เปนเสนาบดีกระทรวงธรรมการ บังคับการ กรมพยาบาลด้วย เจ้าพระยาภาสกรวงศได้คุ้นเคยและทราบคุณวุฒิของพระยาสารสิน ฯ มาแต่คร้ัง รับราชการทหารมหาดเล็ก กราบบังคมทูล ฯ ขอพระยาสารสิน ฯ ย้ายไปจากกระทรวงเกษตร ไปเปน ต�ำแหน่งผู้ตรวจการโรงพยาบาล และเปนผู้ฝึกสอนนักเรียนในโรงเรียนแพทย์ด้วย พระยาสารสิน ฯ รับราชการอยู่ในกระทรวงธรรมการต่อมาจน พ.ศ. ๒๔๔๑ ข้าพเจ้าผู้แต่งเร่ืองประวัติน้ี ได้เปน ต�ำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ปรารภจะจัดการบ�ำบัดความไข้เจ็บของราษฎรตามหัวเมือง จึงกราบบังคมทูล ฯ ขอย้ายพระยาสารสิน ฯ เม่ือยังเปนหลวงด�ำรงแพทยาคุณจากกระทรวงธรรมการ มารับราชการในกระทรวงมหาดไทย ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเล่ิือนบันดาศักด์ิข้ึนเปน พระมนตรีพจนกิจ ต�ำแหน่งเจ้ากรมฝ่ายเหนือ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๓ ในระยะน้ีได้ไปตรวจราชการตาม หัวเมืองกับข้าพเจ้า และไปโดยต�ำแหน่งของตนเองก็หลายคราว แต่พระยาสารสิน ฯ รับราชการอยู่ใน กระทรวงมหาดไทยไม่ได้นาน เพราะเกิดเปนโรคเคาต์ อันเปนโรคไม่มีเวลาหายขาด และเปนข้ึน เม่ือใดเกิดทุกขเวทนากล้าถึงไม่สามารถจะท�ำกิจการอันใดได้ พระยาสารสิน ฯ ปรารภแก่ข้าพเจ้าว่า ได้รับราชการมาแต่หนุ่ม ถึงราชการจะหนักเบาอย่างไรก็ไม่มีความรังเกียจ ถ้ายังมีก�ำลังสามารถ ที่จะรับราชการสนองพระเดชพระคุณให้สมกับท่ีทรงพระกรุณา ฯ ชุบเลี้ยงได้ ก็จะพยายามสนอง พระเดชพระคุณไปจนตลอดชีวิต ได้ต้ังใจมาดังน้ีเป็นนิตย์ แต่โรคที่มาเกิดเปนขึ้นจะตายก็ไม่ตาย จะรักษาให้หายขาดก็ไม่ได้ กลายเปนสามวันดีสี่วันไข้ ไม่รู้ว่าจะเจ็บเม่ือใดจะหายเม่ือใด จะอยู่ใน ต�ำแหน่งราชการก็ไม่เห็นจะท�ำประโยชน์อันใดได้คุ้มกับท่ีทรงพระกรุณา ฯ ชุบเลี้ยง คิดว่าอายุ ก็มากแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าน�ำความขึ้นกราบบังคมทูล ฯ เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบ ถวายบังคมลาออกจากราชการประจ�ำ ข้าพเจ้ามิรู้ท่ีจะขัดขวางได้ ด้วยทราบอัชฌาสัยพระยาสารสิน ฯ อยู่ว่า เปนคนมั่นคงในวัตปฏิบัติซ่ึงตนคิดเห็นว่าชอบธรรม มิได้เห็นแก่ประโยชน์ตนเปนส�ำคัญกว่า ความรู้สึกว่าย่ิงกว่าเปนหน้าท่ีของตน จึงต้องน�ำความข้ึนกราบบังคมทูล ฯ ก็ได้รับพระราชทาน พระบรมราชาอนุญาต ให้ออกจากต�ำแหน่งประจ�ำราชการตามประสงค์เม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๔ ตั้งแต่พระยาสารสิน ฯ ออกจากต�ำแหน่งราชการแล้ว ไปประกอบการค้าขายพอมีความ ผาสุกบ้าง และเวลามีโอกาศท่ีจะช่วยราชการอย่างใดได้ ก็ได้ช่วยราชการตามก�ำลังทุกคราวมา อาศรัยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบัน จึงได้พระราชทานยศเปนอ�ำมาตย์โท เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๔ แลพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนบันดาศักดิ์ข้ึนเปน พระยาสารสินสวามิภักด์ิ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐

102 ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม ๑๖ พระยาสารสิน ฯ เปนผู้มีอัธยาศัยซ่ือตรงแลอ่อนโยน เม่ือได้คุ้นเคยสมาคมกับผู้ใดไม่ว่าจะเปน ชั้นบันดาศักดิ์สูงหรือต�่ำ หรือเปนคนชาติใดภาษาใด ย่อมชอบพอไม่มีใครชัง ถ้าจะกล่าวว่าเปน ผู้ซึ่งมีมิตรสหายกว้างขวางมากอย่างย่ิงคนหนึ่งก็เห็นจะไม่ผิดห่างไกล ในตอนเมื่อพระยาสารสิน ฯ ชราโรคเคาต์ก็ยังเปนอยู่เปนคร้ังเปนคราว และเปนโรคหืดเพิ่มเติมด้วยอีกอย่างหนึ่ง จึงนับว่า เปนผู้ทุพลภาพป่วยมาช้านาน จนถึงแก่กรรมเม่ือวันท่ี ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ค�ำนวณอายุได้ ๗๘ ปี พระยาสารสิน ฯ ถือสาสนาคริสเตียนมาตั้งแต่หนุ่มดังกล่าวมาแล้ว ได้ช่วยทนุบ�ำรุงการต่าง ๆ ของพวกมิซชันนารีอเมริกันมาเนืองนิจ แต่ส่วนครอบครัวนั้นพระยาสารสิน ฯ ยอมให้ถือสาสนา ตามสมัคไม่บังคับน�้ำใจ เพราะฉนั้นภรรยาและบุตรธิดาของพระยาสารสิน ฯ จึงถือพระพุทธสาสนา ทั้งน้ัน บุตรธิดาที่มีตัวอยู่ในเวลาน้ี คือ ๑. ธิดาช่ือ องุ่น เปนภรรยาหลวงอัยการโกศล ๒. ธิดาช่ือ ล้ินจ่ี เปนหม่อมห้ามหม่อมเจ้าดนัยวรนุช ในสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระ จักรพรรดิพงศ์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์ตติยจุลจอมเกล้าฝ่ายใน ๓. ธิดาช่ือ แสง เปนภรรยาพระเทพประชา ๔. บุตรชื่อ พจน์ ๕. บุตรช่ือ กิจ ๖. ธิดาช่ือ อรุณ ๗. ธิดาช่ือ คนึง ส้ินประวัติพระยาสารสินสวามิภักด์ิเพียงเท่านี้ กรรมการหอพระสมุด ฯ ขออนุโมทนากุศลบุญราศีฉวนิธานกิจ ซ่ึงเจ้าภาพได้บ�ำเพ็ญ เปนอนวัชกรรมด้วยความกตัญญูกตเวที และท่ีได้พิมพ์หนังสือเร่ืองน้ีให้แพร่หลาย สภานายก หอพระสมุดวชิรญาณ วันท่ี ๒๓ กันยายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๘

จดหมายเหตเุ ร่อื งมิชชันนารีอเมริกันเขา้ มาประเทศสยาม 103 ความน�ำ “จดหมายเหตุเร่ืองมิชชันนารีอเมริกันเข้ามาประเทศสยาม”1 จัดพิมพ์คร้ังแรกในหนังสือ ประชุมพงศาวดารภาคท่ี ๓๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นจดหมายเหตุ ฯ มีตอนเดียว เนื้อหาเป็นเหตุการณ์ ใน พ.ศ. ๒๓๗๑ - ๒๓๗๙ นายป่วน อินทุวงศ์ แปลมาจากบันทึกของมิชชันนารีสองเร่ือง ได้แก่ “Protestant Mission in Siam” ของศาสนาจารย์ซี. รอบินสัน (Rev. C. Robinson) และ “Reminiscences of the oldest living missionary to the Siamese” ของหมอบรัดเล ต้นฉบับภาษาอังกฤษของบันทึกทั้งสองเร่ืองน้ีอยู่ใน Bangkok Calendar วารสารออกรายปี มีหมอบรดั เลเปน็ บรรณาธิการและผู้จัดพมิ พ์ “Protestant Mission in Siam” อย่ใู น Bangkok Calendar ค.ศ. ๑๘๖๖ (หน้า ๖๕ - ๗๔) สว่ น “Reminiscences of the oldest living missionary to the Siamese” อยู่ใน Bangkok Calendar ค.ศ. ๑๘๖๖ (หน้า ๗๔ - ๙๗), ค.ศ. ๑๘๗๐ (หน้า ๘๙ - ๑๑๘) และ ค.ศ. ๑๘๗๑ (หนา้ ๑๐๓ - ๑๓๒) เลม่ หลังนีใ้ ชช้ ื่อบันทึกต่างจากเดมิ เลก็ น้อยวา่ “Reminiscences from a journal of the oldest living missionary to the Siamese” 1 พิมพ์ครัง้ ที่ ๑ พ.ศ. ๒๔๖๘, ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๑ จดหมายเหตุเรอื่ งมชิ ชนั นารีอเมริกนั เข้ามาประเทศ สยาม, (พระนคร : โรงพมิ พ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๘) (หนงั สอื อนสุ รณ์งานศพ พระยาสารสนิ สวามิภักด์ิ (เทียนฮ้ี สารสนิ ), ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๘) พมิ พ์คร้งั ที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๖๘, ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๓๑ จดหมายเหตุเร่อื งมิชชนั นารอี เมริกนั เข้ามาประเทศ สยาม, (พระนคร : โรงพมิ พโ์ สภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๘) (หนังสอื อนสุ รณง์ านพระราชทานเพลิงศพ มหาอ�ำมาตย์ตรี หมอ่ มเจา้ เขจรจรัสฤทธ์ิ ในพระเจ้าบรมวงศเธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์, ปีฉลู พ.ศ. ๒๔๖๘) พิมพ์คร้งั ที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๗๕ ประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๓๑ จดหมายเหตุเร่ืองมชิ ชันนารอี เมริกนั เขา้ มาประเทศ สยาม, (พระนคร : โรงพิมพโ์ สภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๗๕) หนังสอื อนสุ รณง์ านพระราชทานเพลิงศพ อ�ำมาตย์เอก พระยามหาวิ สตู ร์ (ชมุ่ ปัตรประกร), พ.ศ. ๒๔๗๕ พมิ พค์ รงั้ ที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๙๓, ประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๓๑ จดหมายเหตเุ รอ่ื งมชิ ชนั นารอี เมรกิ นั เขา้ มาประเทศไทย, (พระนคร : บริษัทการพิมพ์ไทยสามัคคี จ�ำกัด, ๒๔๙๓) หนังสืออนุสรณ์งานศพ พลตรี พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถ่ิน), ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๓) ต่อมามีการพิมพ์อีกหลายคร้ัง เช่น พ.ศ. ๒๕๐๖ ประชุมพงศาวดาร ฉบับหอสมุดแห่งชาติ และ พ.ศ. ๒๕๐๙ องคก์ ารคา้ ของคุรสุ ภาจัดพมิ พ์ เปน็ ต้น

104 ประชุมพงศาวดารฉบบั กาญจนาภิเษก เล่ม ๑๖ ต่อมาหอพระสมุดวชิรญาณได้ Bangkok Calendar ค.ศ. ๑๘๗๓ ซ่ึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับ มิชชันนารีอเมริกันต่อจากตอนแรกท่ีพิมพ์ไปแล้ว จึงมอบหมายให้นายป่วนแปลเพิ่ม เป็นตอนที่ ๒ และในปีเดียวกัน ได้รวมพิมพ์เป็นประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๑ ฉบับสมบูรณ์ 1 เน้ือหาเป็นเหตุการณ์ใน พ.ศ. ๒๓๗๙ - ๒๓๘๑ Bangkok Calendar วารสารรายปี ท่ีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ ทรงเรียกว่าเป็น “หนังสือทำ�นองประดิทิน” (ปัจจุบันนิยมเรียก almanac) หมอบรัดเลเป็นท้ังบรรณาธิการ และผู้จดั พมิ พ์ เขยี นบันทกึ เม่อื วันท่ี ๒๑ มกราคม ค.ศ. ๑๘๕๙ (พ.ศ. ๒๔๐๑) ซึง่ เป็นวนั แรกของการออก วารสารรายปีว่า เป็นการพมิ พ์วารสารลกั ษณะนค้ี รั้งแรกในไทย 2 Bangkok Calendar ออกจำ�หน่ายราวเดือนมกราคมของทุกปีอย่างต่อเนื่องต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. ๑๘๕๙) เล่มสุดท้ายออกในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๑๕ (ค.ศ. ๑๘๗๓) สาเหตุที่ต้องยุติการพิมพ์ เพราะหมอบรดั เลถงึ แก่กรรม (วนั ที่ ๒๓ มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๔๑๖) 1 “ค�ำน�ำ,” ใน ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๓๑ จดหมายเหตเุ ร่ืองมิชชันนารีอเมริกนั เข้ามาประเทศสยาม (พระนคร : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๘) (หนังสืออนุสรณ์งานพระราชเพลิงศพ มหาอ�ำมาตย์ตรี หม่อมเจ้าเขจรจรัสฤทธ์ิ ในพระเจ้าบรมวงศเธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ปีฉลู พ.ศ. ๒๔๖๘), หน้า (ก) - (ข) และ “ค�ำน�ำ,” ใน ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑๘ (ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๓๑) (กรุงเทพ ฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๐๙), หน้า ก - ค. 2 George Haws Feltus, ed., Abstract of the Journal of Rev. Dan Beach Bradley, M.D. Medical Missionary in Siam 1835 - 1873 (Cleveland : Pilgrim Church, 1936), p. 212. ขจร สุขพานิช ระบุว่า มีการพิมพ์หนังสือชื่อเดียวกันน้ีในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว โดย เจ. เอช. ชันดเลอร์ (J. H. Chandler) หรือนายจันดเล เป็นบรรณาธิการ ออกระหว่าง ค.ศ. ๑๘๔๗ - ๑๘๕๐ เป็นของคณะแบปติสต์ แต่ไมไ่ ด้ระบวุ ่าเปน็ หนังสอื ประเภทใด ดู ขจร สขุ พานิช, ก้าวแรกของหนังสอื พิมพ์ในประเทศไทย (บรษิ ัทไทยพณิชการ จ�ำกดั พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงบุณยมาณพพาณิชย์ ๑ ธันวาคม ๒๕๐๘), หน้า ๑๗. จากการตรวจสอบพบว่า หนังสือพิมพ์ในสิงคโปร์ ค.ศ. ๑๘๔๙ คือ The Singapore Free Press and Mercantile Advertiser ฉบบั วนั ท่ี ๒๒ มีนาคม ค.ศ. ๑๘๔๙ รายงานว่าได้รบั หนังสอื สองเล่มจากชนั ดเลอร์ เลม่ แรกคอื Bangkok Calendar ฉบับ ค.ศ. ๑๘๔๙ และเล่มที่สอง คือ “Siamese Almanak” เป็นภาษาไทย เล่มแรกมีเน้ือหาประกอบด้วยปฏิทินภาษาอังกฤษ และภาษาไทย และบันทึกต่าง ๆ เก่ียวกับการเผยแผ่ศาสนา ท้ังสองเล่มมีชันดเลอร์เป็นผู้รวบรวม และพิมพ์ในกรุงเทพ ฯ ดู The Singapore Free Press and Mercantile Advertiser, 22 March 1849, p. 2 สนั นิษฐานวา่ Bangkok Calendar ของชันดเลอร์มีเน้ือหาไม่ต่างจากฉบับของหมอบรัดเล ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันได้น�ำเน้ือความจาก Bangkok Calendar ค.ศ. ๑๘๔๘ พิมพ์ลงเผยแพร่ มีเร่ืองราวเก่ียวกับสยาม เช่น ที่ต้ัง ภูมิอากาศ ประชากร การปกครอง ศาสนา การนับเวลา การค้า การต่อเรือ ร้านจักรกล และอัตราแลกเปลีย่ นเงนิ บาท Bangkok Calendar ฉบับนพี้ ิมพท์ ่ี Mission Press, กรุงเทพ ฯ ดู The Singapore Free Press and Mercantile Advertiser, 9 March 1848, p. 3

จดหมายเหตุเรื่องมิชชนั นารีอเมริกันเข้ามาประเทศสยาม 105 ส่วนนายป่วน อินทุวงศ์ (เปรียญ) ผู้แปล ต่อมามีบรรดาศักด์ิเป็นหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ เคยเป็น ข้าราชการหอพระสมุดวชิรญาณ ต่อมาเป็นหัวหน้ากองโบราณคดีคนแรก สังกัดกรมศิลปากร และเป็น คณบดีคณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากรคนแรก (พ.ศ. ๒๔๙๘ - ๒๕๐๔) การจัดพิมพ์ครั้งนี้ คณะกรรมการ ฯ ได้ร่วมกันพิจารณาตรวจสอบชำ�ระ โดยใช้ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๖๘ เพ่ือพิจารณาตรวจสอบชำ�ระเน้ือหาตอนท่ี ๑ และใช้ฉบับพิมพ์คร้ังที่ ๒ พ.ศ. ๒๔๖๘ ซึ่งเป็นฉบับสมบูรณ์ เพื่อพิจารณาตรวจสอบชำ�ระเนื้อหาตอนที่ ๒ ด้วยเหตุที่คณะกรรมการ ฯ มีเอกสาร Bangkok Calendar ฉบับ ค.ศ. ๑๘๖๖ ค.ศ. ๑๘๗๐ และ ค.ศ. ๑๘๗๑ จงึ สามารถตรวจสอบชำ�ระเนื้อหาตอนที่ ๑ ซึ่งเปน็ เหตกุ ารณใ์ น พ.ศ. ๒๓๗๑ - ๒๓๗๙ กับต้นฉบับภาษาอังกฤษ ส่วนเน้ือหาตอนท่ี ๒ ซ่ึงเป็นเหตุการณ์ใน พ.ศ. ๒๓๗๙ - ๒๓๘๑ ไม่สามารถ ตรวจสอบชำ�ระกับเอกสารภาษาอังกฤษ เนื่องจากขาดเอกสาร Bangkok Calendar ฉบับ ค.ศ. ๑๘๗๓ จึงไม่ทราบช่ือเร่ืองบันทึกท่ีนำ�มาแปล อย่างไรก็ตาม สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบันทึกเร่ืองเดียวกับที่ หมอบรัดเลบันทึกต่อจาก Bangkok Calendar ฉบับก่อนหน้า อนึ่ง การตรวจสอบชำ�ระเน้ือหาท้ังสองตอน (พ.ศ. ๒๓๗๑ - ๒๓๘๑) คณะกรรมการ ฯ ได้ พิจารณาร่วมกับบันทึกรายวันของหมอบรัดเลในหนังสือเล่มอ่ืนด้วย เช่น Abstract of the Journal of Rev. Dan Beach Bradley, M. D. Medical Missionary in Siam 1835 - 1873 1 บันทึกย่อรายวัน ของหมอบรัดเลระหว่าง พ.ศ. ๒๓๗๓ - ๒๔๑๖ ซ่ึงศาสนาจารย์คอร์นีเลียส บี. แบรดลีย์ (Professor Cornelius B. Bradley) ลูกชายของหมอบรัดเลทำ�ไว้ถึง พ.ศ. ๒๓๙๑ ต่อมาศาสนาจารย์จอร์จ ฮอวส์ เฟลตสั (George Haws Feltus) ยอ่ สว่ นท่ีเหลอื และเป็นบรรณาธิการ จัดพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ นอกจากนี้ ยังมีหนังสือท่ีเก่ียวข้องกับชีวิตของหมอบรัดเล เช่น Siam Then : The Foreign Colony in Bangkok Before and After Anna 2 และ Historical Sketch of Protestant Missions in Siam 1828 - 1928 3 ตลอดจนหลักฐานชั้นต้นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษในสิงคโปร์ เป็นต้น 1 George Haws Feltus, ed., Abstract of the Journal of Rev. Dan Beach Bradley, M.D. Medical Missionary in Siam 1835 - 1873. 2 William L. Bradley, Siam Then: The Foreign Colony in Bangkok Before and After Anna (Pasadena : William Carey Library, 1981). 3 G. B. McFarland, Historical Sketch of Protestant Missions in Siam 1828 - 1928 (Bangkok : White Lotus Press, 1999).

106 ประชุมพงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เล่ม ๑๖ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพ หลวงบริบาลบุรีภณั ฑ์ (ปว่ น อนิ ทวุ งศ์)

จดหมายเหตเุ ร่อื งมิชชนั นารอี เมรกิ นั เข้ามาประเทศสยาม 107 จดหมายเหตุ เรือ่ งมิชชนั นารีอเมริกนั เขา้ มาประเทศสยาม ตอนท่ี ๑ ศาสนาของพระเยซูคริสต์ ซ่ึงฝร่ังมาสั่งสอนในสยามประเทศนี้เป็น ๒ ลัทธิ ลัทธิหน่ึงเรียกว่า โรมันคาธอลิก พวกบาดหลวงฝร่ังเศสนำ�มาสอนแต่คร้ังกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตั้งติดต่อมาจนบัดน้ี อีกลัทธิหน่ึงเรียกช่ือว่า โปรเตสแตนต์ เมื่อกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี หาปรากฏว่ามีฝร่ังชาติใดนำ�มา ส่งั สอนไม่ จนเม่ือ พ.ศ. ๒๓๗๑ ในรชั กาลพระบาทสมเด็จฯ พระนัง่ เกลา้ เจา้ อยู่หัว พวกมิชชนั นารอี เมรกิ ัน จึงน�ำ เขา้ มาต้ังเปน็ ทีแรก แตพ่ วกมิชชนั นารที ่เี ขา้ มาในเมอื งไทยคร้ังนั้น มาตา่ งกันเป็น ๓ คราว คราวแรก คือ ม. ทอมลิน กับ ม. กัตส์ลาฟ แลเรเวอเรนต์เอบีล ซึ่งเป็นพวกมิชชันนารี คณะลอนดอนมิชชันนารี โซไซเอตี 1 มาก่อน คราวท่ี ๒ คือ เรเวอเรนต์ยอน เตเลอร์ โยนส์กับภรรยา 2 เเละ เรเวอเรนต์ วิลเลียม ดีน ซ่ึงเป็นมิชชันนารีคณะอเมริกันเเบบติสต์ บอด 3 เข้ามาคราวที่ ๓ เรเวอเรนต์รอบินสัน ๑ London Missionary Society ตั้งขึ้นในอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๘ เป็นสมาคมในสังกัดคณะแองกลิคัน (Anglican Communion) ในนิกาย Church of England เป็นการประสานความเช่ือเดิมในนิกายคาทอลิกกับความเชื่อใหม่จากการปฏิรูป ศาสนาในครสิ ต์ศตวรรษที่ ๑๖ สมาคมนี้เร่ิมเขา้ ไปเผยแผ่ศาสนาในจนี เม่อื พ.ศ. ๒๓๕๐ และตั้งสาขาทีม่ ะละกาใน พ.ศ. ๒๓๕๘ ส่วนสาขาที่สิงคโปร์ ปัตตาเวีย และปีนัง ตั้งขึ้นใน พ.ศ. ๒๓๖๒ 2 ภรรยาของจอห์น เทย์เลอร์ โจนส์ ชอื่ เอลซิ า (Eliza Grew Jones) (พ.ศ. ๒๓๔๖ - ๒๓๘๑) แตง่ งานกนั เมอ่ื วนั ท่ี ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๗๓ ก่อนท่ีโจนส์จะบวช ท้ังคู่เดินทางไปเผยแผ่ศาสนาในพม่าก่อนท่ีจะมาไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๖ ระหว่างพัก อยู่ที่สิงคโปร์ เพื่อรอเรือโดยสารมาไทย ทั้งสองใช้เวลาศึกษาภาษาไทย เอลิซาเป็นมิชชันนารีสตรีอเมริกันคนแรกที่เข้ามาเผยแผ่ ศาสนาในไทย เอลิซาสนใจงานกวนี พิ นธ์ไทย และจดั ท�ำพจนานกุ รมไทย - อังกฤษ แตไ่ ม่ได้จดั พมิ พเ์ พราะการพมิ พ์เปน็ ภาษาไทย ในเวลานั้นท�ำได้ยาก นอกจากนั้น เอลิซายังได้ถอดค�ำไทยเป็นตัวอักษรโรมันด้วย เอลิซาเสียชีวิตด้วยอหิวาตกโรคท่ีกรุงเทพ ฯ เม่ือวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๘๑ 3 American Baptist Board มีชื่อเต็มว่า American Baptist Board of Foreign Missions คณะแบปติสต์ มีการจัดตั้งองค์การข้ึนจากการประชุมระดับชาติคร้ังแรกที่มลรัฐฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกาเม่ือ พ.ศ. ๒๓๕๗ เพื่อระดมทุน สนับสนุนลูเทอร์ ไรซ์ (Luther Rice) และอะโดนิรัม จัดสัน (Adoniram Judson) ซึ่งเผยแผ่ศาสนาในพม่า ปัจจุบันคือ American Baptist International Ministries ในสังกัด American Baptist Churches

108 ประชุมพงศาวดารฉบบั กาญจนาภิเษก เลม่ ๑๖ กับภรรยา เรเวอเรนต์เอส. ยอนสันกับภรรยา เเละหมอ ดี. บี. บรัดเลกับภรรยา1 ซึ่งเป็นมิชชันนารี คณะอเมริกันบอด ออฟ คอมมิชชันเนอร์ ฟอร์ โฟเรน มิชชันส์ 2 เข้ามา มิชชันนารีท่ีมาคราวท่ี ๑ นั้น มาโดยลำ�พัง ด้วยมาสอนศาสนาอยู่ในเมืองจีน มาทราบว่ามีจีน มาอยู่ในประเทศสยามมากจึงตามมา ไม่ได้รับคำ�ส่ังจากสมาคมการศาสนาในประเทศอเมริกา 3 แต่เม่ือ มาถึงเมืองไทยได้เห็นว่าเมืองนี้สมควรจะเป็นที่แผ่ศาสนาคริสตัง 4 จึงได้มีจดหมายเเจ้งความดำ�ริของตน ไปยังสมาคมการศาสนา แลออกความเห็นให้ส่งมิชชันนารีเข้ามาต้ังสอนศาสนาในเมืองไทย ส่วนชุดมา คราวท่ี ๒ กับที่ ๓ น้ัน มาโดยได้รับคำ�ส่ังโดยตรงจากสมาคมการศาสนาในประเทศอเมริกา แลเมอื่ มาถงึ เมืองไทยแล้วชุดท่ี ๒ กับชุดท่ี ๓ นี้ ได้รวมกันเข้าเป็นคณะเดียวกัน ให้ช่ือใหม่ว่า อเมริกัน แบบติสต์ บอด แอนด์ อเมริกัน บอด ออฟ คอมมิชชันเนอร์ ฟอร์ โฟเรน มิชชันส์ 5 มิชชันนารีทั้ง ๓ ชุดนี้ได้มา ดำ�เนินการ คือเผยแผ่ศาสนาอย่างเดียวกัน เรื่องราวของมิชชันนารีทั้ง ๓ คณะนี้ มีเค้าความดังจะได้เล่า โดยย่อต่อไปนี้ 1 Emilie Royce (พ.ศ. ๒๓๕๔ - ๒๓๘๘) เปน็ ภรรยาคนแรกของหมอบรดั เล แตง่ งานเมื่อวันที่ ๕ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๓๗๗ มีบุตรธิดา รวม ๕ คน เอมิลีเป็นชาวเมืองคลินตัน (Clinton) มลรัฐนิวยอร์ก ทั้งสองเดินทางถึงกรุงเทพ ฯ ใน พ.ศ. ๒๓๗๘ เอมิลีและภรรยามชิ ชนั นารีคนอนื่ ๆ ไดม้ โี อกาสไปสอนหนังสือในพระบรมมหาราชวัง เอมลิ ีเสียชวี ติ จากวัณโรคเม่ือวันที่ ๒ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๓๘๘ สองปตี อ่ มา หมอบรัดเลเดินทางกลับสหรัฐ ฯ และแต่งงานกับซาราห์ แบลกลยี ์ (Sarah Blachly, พ.ศ. ๒๓๖๐ - ๒๔๓๖) เม่ือวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๙๑ ทั้งสองเดินทางถึงกรุงเทพ ฯ ปีต่อมา มีบุตรธิดาอีก ๕ คน 2 American Board of Commissioners for Foreign Missions (ABCFM) เป็นองค์การเผยแผ่ศาสนาคริสต์ ในต่างประเทศองค์การแรกของสหรัฐ ฯ ตั้งขึ้นใน พ.ศ. ๒๓๕๓ มีสมาคมและส�ำนักคริสต์ต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ให้การสนับสนุน เป้าหมายส�ำคัญคือการเผยแผ่ศาสนาในต่างประเทศ ประเทศแรกท่ีองค์การน้ีส่งมิชชันนารีไปคือ จีน ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๔ ได้รวมกับสมาคมอ่ืน ๆ เป็น United Church Board for World Ministries 3 คือ American Board หรือ American Board of Commissioners for Foreign Missions (ABCFM) 4 คือศาสนาคริสต์ (Christianity) คนไทยมักเรียกผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกว่า “คริสตัง” และผู้นับถือ ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ว่า “คริสเตียน” ขณะท่ีชาวตะวันตกเรียกผู้นับถือศาสนาคริสต์ไม่ว่านิกายใดก็ตามว่า “คริสเตียน” 5 คือ American Baptist Board and American Board of Commissioners for Foreign Missions

จดหมายเหตุเรือ่ งมิชชนั นารีอเมริกนั เข้ามาประเทศสยาม 109 มิชชนั นารีชดุ ท่ี ๑ ม. กัตส์ลาฟ กับ ม. ทอมลิน เม่ือก่อนจะมาสู่ประเทศสยามได้มาพักอยู่ที่เมืองสิงคโปร์ จน ณ วันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๗๑ โดยสารเรือสำ�เภาจีนลำ�หนึ่งแล่นใบมา ๑๙ วัน มาถึงกรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม นอกจากมิชชันนารีทั้ง ๒ ที่กล่าวเเล้ว ยังมีมิชชันนารีอีกคนหน่ึงช่ือ ม. เม็ดเฮิสต์ 1 อยู่ที่เมือง บัตตาเวีย 2 ในเกาะชวา ต้ังใจจะมาเมืองไทยเม่ือปลาย พ.ศ. ๒๓๗๐ แต่ในปีน้ันมีเหตุขัดข้องเสีย มาไม่ได้ ครั้นมาถึงปี พ.ศ. ๒๓๗๑ ได้ทราบว่า ม. กัตส์ลาฟ กับ ม. ทอมลิน กำ�ลังเตรียมเดินทาง จะมาเมืองไทย เห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะสมทบมาด้วยได้ จึงโดยสารเรือใบออกจากเมืองบัตตาเวีย เดินทางมายังเมืองสิงคโปร์ แต่มาไม่ทัน ม. กัตส์ลาฟ กับ ม. ทอมลิน ได้ออกเรือจากสิงคโปร์มาเสียได้ ๒ วันก่อน จึงเป็นอันคลาดกัน เม่ือการเป็นเช่นน้ัน ม. เม็ดเฮิสต์ จึงโดยสารเรือลำ�หน่ึงมายังเมืองปหัง 3 เมืองตรังกานู 4 เมืองคมามัน 5 เมืองปัตตานี แลต่อมาจนถึงเมืองสงขลา เพ่ือจะหาเรือใหญ่อาศัยมายัง กรงุ เทพ ฯ หรอื ไปเมอื งญวน 6 แต่ก็ไม่สำ�เรจ็ อกี ม.เม็ดเฮสิ ต์ ก็กลับไปยังเมอื งสิงคโปร์ 1 ศาสนาจารย์ นายแพทย์ วอลเตอร์ เฮนรี เมดเฮิรสต์ (พ.ศ. ๒๓๓๙ - ๒๔๐๐) มีความรู้เร่ืองการพิมพ์ มีความสนใจ งานเผยแผ่ศาสนาจึงเดินทางไปร่วมงานกับสมาคม London Missionary Society ท่ีศูนย์มะละกาใน พ.ศ. ๒๓๕๙ อีกสามปีต่อมาจึงได้บวช แล้วเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาที่ปีนังและปัตตาเวีย ตามล�ำดับ ใน พ.ศ. ๒๓๘๕ เมดเฮิรสต์เดินทาง ไปจีนและต้ังศูนย์เผยแผ่ศาสนาของสมาคม ฯ ที่เซ่ียงไฮ้ 2 ปะเทเวีย (Batavia) หรือท่ีคนไทยนิยมเรียก ปัตตาเวีย ปัจจุบันคือ จาการ์ตา (Jakarta) เป็นเมืองหลวงของ อินโดนีเซีย นับเป็นเมืองท่าส�ำคัญทางตะวันตกของเกาะชวา เดิมชื่อเมืองจายาการ์ตา (Jayakarta) เมื่อฮอลันดายึดเป็น อาณานิคมใน พ.ศ. ๒๑๖๒ เรียกชื่อว่า เมืองปัตตาเวีย ตามชื่อเผ่าปะเทวี (Batavi) บรรพบุรุษชาวดัตช์ เชื้อสายเยอรมัน ต่อมาเมื่อญ่ีปุ่นยึดครองได้ใน พ.ศ. ๒๔๘๕ เปลี่ยนช่ือเรียกว่า จาการ์ตา (Jakarta) 3 ปะหัง (Pahang) เป็นรัฐสุลต่านขนาดใหญ่ในคาบสมุทรมลายู ปัจจุบันเป็นรัฐหนึ่งของมาเลเซีย มีเมืองหลวงชื่อ กวนตัน (Kuantan) 4 ตรังกานู (Trengganu) เปน็ รัฐทางตะวนั ออกของคาบสมุทรมลายู ตั้งเป็นรัฐสุลต่านอสิ ระใน พ.ศ. ๒๒๖๗ โดยพระอนชุ า ของสุลต่านรัฐยะโฮร์ ภายหลังเป็นประเทศราชของไทย หลังสงครามเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๑๐ เป็นอิสระอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนเป็นประเทศราชของไทยอีกครั้งในรัชกาลท่ี ๑ ต่อมาตรังกานูเป็นอาณานิคมของอังกฤษ พร้อมกับไทรบุรี ปะลิส กลันตัน ตามสนธิสัญญาระหว่างไทยกับอังกฤษ พ.ศ. ๒๔๕๑ (๑๐ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๐๙) ปัจจุบันตรังกานูเป็นรัฐหน่ึงของมาเลเซีย มีเมืองหลวงช่ือ กัวลาตรังกานู (Kuala Trengganu) 5 Kemaman เมอื งหนงึ่ ในรฐั ตรงั กานู 6 หมายถงึ เวยี ดนาม

110 ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เลม่ ๑๖ ฝ่าย ม. กัตส์ลาฟ กับ ม. ทอมลิน คร้ันมาถึงกรุงเทพ ฯ มาพบ ม. คาลอส เดอซิลเวียรา1 ซ่ึงเป็นกงสุลปอตุเกต อยู่ในคร้ังน้ัน* ได้ช่วยเหลือพวกมิชชันนารีท้ัง ๒ นี้เป็นอันมาก คือให้ที่อยู่ แลเมื่อถกู เกยี จกันก็ไดช้ ่วยปอ้ งกัน บ้านที่มชิ ชันนารที ั้ง ๒ นีอ้ ย่นู ้ัน จงึ อย่ใู กล้กบั กงสุลปอตเุ กต2 พอ ม. กตั ส์ลาฟ กบั ม. ทอมลิน มาอยู่ในเมอื งไทยได้ ๒ สัปดาห์ ขออนุญาตจากรัฐบาลได้แลว้ ก็เริ่มชักชวนพวกจีนให้เข้าถือศาสนาคริสตัง แลแจกจ่ายหนังสือสอนศาสนา ซึ่งพิมพ์มาแต่เมืองจีน การท่ีเท่ียวแจกหนังสือน้ัน พวกถือศาสนาโรมันคาธอลิกเที่ยวพูดหาว่า พวกอเมริกันจะมาปลุกให้พวกจีน ก่อการกำ�เริบ จนทราบถึงพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงสะดุ้งพระทัย จึงตรัสสั่งให้เอามาแปลออก แต่ครั้น ทรงทราบว่ามิได้มีสิ่งใดส่ิงหนึ่งซึ่งเป็นปฏิปักษ์แก่รัฐบาล ก็โปรด ฯ อนุญาตให้พวกมิชชันนารีสั่งสอน อยู่ได้อีกต่อไป ถึงเช่นน้ันก็ดีก็ยังมีข่าวว่า ได้มีประกาศออกห้ามมิให้ไทยผู้ใดผู้หน่ึงรับแจกหนังสือ ถ้าเจ้าพนักงานพบหนังสือน้ันมีอยู่ท่ีผู้ใด ผู้น้ันจะต้องถูกจับแลริบหนังสือน้ันทันที เหตุเช่นน้ีได้เกิดข้ึน แก่มิชชันนารีท้ัง ๒ อยู่เนือง ๆ (มิชชันนารีทั้ง ๒ ก็ยังพยายามท่ีจะสอนศาสนาแก่ไทยด้วย) จน ม. คาลอส เดอซิลเวียราต้องพลอยถูกตำ�หนิติโทษในการที่รับพวกมิชชันนารีทั้ง ๒ น้ีไว้ แลในท่ีสุด ได้รับคำ�สั่งให้ไล่เขาท้ัง ๒ ไปตามเรื่อง แต่ ม. คาลอส ได้วิ่งเต้นช่วยเหลืออย่างแข็งแรง แลคงเป็น มิตรอันดีอยู่จนถึงที่สุด คร้ังน้ันเจ้าพระยาพระคลัง** 3ถึงบอกให้ ม. ฮันเตอร พ่อค้าอังกฤษคนแรก ซ่ึงในเวลานนั้ อยู่ในกรุงเทพ ฯ จัดการเอาคนทั้ง ๒ นี้ลงเรือไปส่งเสียยังเมืองสิงคโปร์ 1 Carlos Manuel da Silveira ชาวโปรตุเกส เม่ือ พ.ศ. ๒๓๖๑ เจ้าเมืองมาเก๊าของโปรตุเกสส่งเข้ามาฟื้นฟู ความสัมพันธ์กับไทยที่เคยมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และขออนุญาตค้าขาย ซิลเวียราอยู่ในเมืองไทย ๗ เดือนจึงเดินทางกลับมาเก๊า ต่อมาใน พ.ศ. ๒๓๖๓ เจ้าเมืองกัว ที่อินเดีย ได้แต่งต้ังให้ซิลเวียราเป็นกงสุลประจ�ำท่ีกรุงเทพ ฯ และเป็นผู้แทนห้างค้าขาย (โรงสินค้า) ของโปรตุเกสที่จะสร้างข้ึนในไทย ซิลเวียราน�ำร่างสัญญาทางพระราชไมตรีท่ีจะขอท�ำกับไทยมาด้วย พร้อมกับอาวุธ ตามค�ำขอของไทย มกี ารลงนามในขอ้ ตกลง แต่ยังไมช่ ดั เจนว่า เปน็ หนงั สอื ทางพระราชไมตรี หรือหนงั สือสัญญาใหโ้ ปรตเุ กสเข้ามา ค้าขายในไทยได้ อย่างไรก็ดี ไทยอนุญาตให้โปรตุเกสตั้งกงสุลและห้างค้าขายได้ ซิลเวียราได้รับพระราชทานบ้านริมแม่น�้ำ เจ้าพระยาฝั่งตะวันออกอยู่อาศัย และได้รับแต่งต้ังเป็นหลวงอภัยพานิช ต่อมาโปรตุเกสส่งมิเกล อะโรโฮ โรซา (Miguel Araujo Rosa) เข้ามาเป็นกงสุลแทน ตามด้วยมาร์เซลิโน โรซา (Marcelino Rosa) ลูกชายของมิเกล แต่มาร์เซลิโนมีปัญหาหน้ีสิน จากการพนัน เจ้าเมืองกัวจึงส่งซิลเวียรากลับเข้าไปเป็นกงสุลประจ�ำประเทศไทยอีกคร้ังหนึ่งใน พ.ศ. ๒๓๗๔ อยู่ได้สองปี กพ็ น้ ต�ำแหน่ง * มาแต่รัชกาลท่ี ๒ ทรงตั้งเป็นท่ีหลวงอภัยวาณิช 2 ต้ังอยู่ริมแม่น้�ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก เดิมเป็นที่ประทับขององเชียงสือ (เจ้านายจากเมืองเว้ในเวียดนามท่ีล้ีภัย กบฏไตเซินมาพ่ึงพระบรมโพธิสมภารในรัชกาลที่ ๑ ต่อมาหนกี ลับไปชิงอ�ำนาจได้ มีพระนามวา่ ยาลอง) รชั กาลท่ี ๒ พระราชทาน ใหเ้ ป็นทอี่ ยูข่ องซิลเวยี รา กงสุลโปรตุเกส ปจั จุบนั คอื สถานเอกอัครราชทูตโปรตุเกสประจ�ำประเทศไทย (เลขที่ ๒๖ ซอยกัปตันบุช เขตบางรัก กรุงเทพ ฯ) ** ถงึ รัชกาลที่ ๔ เป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (นามเดิม ดิศ บุนนาค (พ.ศ. ๒๓๓๑ - ๒๓๙๘) เรียกกันสามัญว่า สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ - บ.ก.)

จดหมายเหตุเรอื่ งมชิ ชันนารอี เมรกิ นั เขา้ มาประเทศสยาม 111 เมื่อพวกมิชชันนารีท้ัง ๒ รู้เร่ืองว่าตัวจะต้องถูกไล่ดังนั้น จึงย่ืนคำ�ร้องต่อเจ้าพระยาพระคลัง เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ อยากทราบถึงคดีท่ีเขาถูกกล่าวหา แลอยากทราบว่าเหตุใด เขาจึงจะต้องถูกไล่ออกจากเมืองไทย โดยมิได้มีความผิดอย่างหน่ึงอย่างใด เขาอ้างว่าเขาควรจะได้รับ ความยุติธรรมเทา่ กบั พวกบาดหลวงโรมนั คาธอลกิ เหมือนกนั แลวา่ ถ้าเขาจะต้องถกู ไล่จริง ๆ แลว้ ก็ขอให้ รัฐบาลออกหนังสือให้เขาฉบับหนึ่ง แจ้งความผิดของเขาที่สมควรจะถูกไล่ออกจากประเทศ จะได้เอาไป แสดงแก่อังกฤษที่เมืองสิงคโปร์ การคัดค้านอันแข็งแรงของเขาท้ัง ๒ นี้มีผลดี กล่าวคือเจ้าพระยา พระคลังตกลงอนุญาตให้เขาอยู่ต่อไปอีก แต่ขอให้เขาระมัดระวังในเรื่องแจกหนังสือให้มาก เม่ือเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนสงบกันไปแล้ว เขาทั้ง ๒ ได้กลับต้ังต้นดำ�เนินการตามเดิมอีก คือ แจกหนังสือแต่แจกอย่างระมัดระวัง (แจกเฉพาะจีน) แลแจกยารักษาโรคต่าง ๆ (ให้ท้ังไทยแลจีน) ด้วยต่อมาไม่ช้านักคนทั้งหลายก็มีความชอบพอเชื่อถือเขา พากันมารับหนังสือแจกแลขอยาเป็น จำ�นวนมาก ประมาณเดือนเศษเท่านั้นเขาก็ได้มีโอกาสสมาคมติดต่อกับประชาชนมีจำ�นวนมาก แลในจำ�นวนหนังสือจีน ๒๕ หีบ ซึ่งเขาเอามา ก็เหลืออยู่แต่เพียง ๒ หีบเท่านั้น ในระหว่างนี้เขารู้สึกว่าหนังสือสอนศาสนาท่ีแจกอยู่น้ัน ถ้ามีเป็นภาษาไทยแจกแก่พวกไทย บ้างแล้ว จะมีประโยชน์มาก เขาจึงเริ่มเรียนภาษาไทยเเลจัดการจ้างจีนแลพม่าให้แปลพระคัมภีร์ (ไบเบล) 1 จากภาษาจีนเป็นไทย คือให้จีนคนหน่ึงช่ือ คิง ซึ่งเป็นผู้รู้ภาษาไทยแปลภาษาจีน ออกเป็นภาษาไทยโดยวิธีว่าปากเปล่า ให้พม่าคนหนึ่งช่ือ ฮัน เป็นผู้จดเรียบเรียงตามค�ำที่จีนคิงแปล ออกจากภาษาจีนน้ันเป็นภาษาไทย แต่เม่ือได้แจกหนังสือ (ภาษาจีน) แลยาที่มีอยู่หมดแก้ว ม.ทอมลิน เกิดไม่ใคร่สบายแลคิดที่จะกลับไปรักษาตัวยังเมืองสิงคโปร์ ทั้งจะได้ไปเอาหนังสือแลยามาไว้อีก วันท่ี ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๒ ม. ทอมลินลงเรือออกจากเมืองไทยไปยังเมืองสิงคโปร์ ทิ้งให้ ม. กัตสล์ าฟด�ำเนนิ การตอ่ ไปในเมืองไทยโดยล�ำพงั ในระหว่าง ๖ เดือน ตั้งแต่ ม. ทอมลิน กับ ม. กัตส์ลาฟ มาอยู่ในเมืองไทยนั้น ได้จัดการแปล พระคัมภีร์ใหม่อันพรรณนาถึงเกียรติคุณของพระเยซูคริสต์ทั้ง ๔ คัมภีร์ (คือคัมภีร์แมตธิว มาร์ค ลูก แลจอน) 2 ออกเป็นภาษาไทย เขียนด้วยอักษรโรมันจบบริบูรณ์ * แลทั้งได้แต่งอภิธานภาษาอังกฤษกับ 1 พระคัมภีร์ไบเบิล (Bible) แบ่งเป็น ๒ ภาค ได้แก่ ภาคพันธสัญญาเก่า (Old Testament) มีเนื้อหาเกี่ยวกับ การสร้างโลก และประวัติชาวยิว และภาคพันธสัญญาใหม่ (New Testament) มีเน้ือหาเกี่ยวกับพระเยซูต้ังแต่ประสูติจนถึง ถูกตรึงไม้กางเขนแล้วฟื้นคืนพระชนม์ 2 Matthew, Mark, Luke, John เป็นช่ือหนังสือ ๔ เล่ม เรียกชื่อตามผู้แต่ง เป็นส่วนที่เรียกว่า พระวรสาร (Gospel) แปลว่าข่าวดี หรือข่าวประเสริฐ ในพระคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาใหม่ (New Testament) มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระเยซู * พวกบาดหลวงโรมันคาธอลิกก็ใช้เขียนภาษาไทยด้วยอักษรโรมันเหมือนกัน

112 ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑๖ ภาษาไทยข้ึนอีกเล่ม ๑ สำ�เร็จตั้งแต่ อักษร เอ ไปจนถึงอักษร อาร์ กับทั้งได้ช่วยกันแปลพระคัมภีร์ ออกเป็นภาษาลาว เขมร แลแต่งอภิธานกับไวยากรณ์เป็นภาษาไทยแลภาษาเขมรไว้อีกด้วย แต่หนังสือ ท่ี ม. กัตส์ลาฟ แล ม. ทอมลิน แต่งไว้ในคร้ังนั้น ไม่ใคร่จะถูกต้องเรียบร้อยนัก เพราะฉะน้ันจึงได้พิมพ์ ออกเพียง ๒ คัมภีร์เท่าน้ัน คือคัมภีร์ลูก กับคัมภีร์จอน (พระคัมภีร์ทั้ง ๒ ท่ีว่าได้พิมพ์ขึ้นน้ัน พิมพ์ด้วย ตัวอกั ษรโรมัน เพราะในเวลาน้นั ตัวพมิ พอ์ ักษรไทยยงั หามีในประเทศนไี้ ม)่ หนงั สอื ที่แปลออกจากพระคัมภีร์ เหล่านี้ ภายหลัง ม. กัตส์ลาฟส่งไปให้เรเวอเรนต์รอบินสัน มอบไว้เป็นสมบัติของสมาคม อเมริกัน แบบตสิ ต์ บอด แอนด์ อเมรกิ นั บอด ออฟ คอมมิชชันเนอร์ ฟอร์ โฟเรน มชิ ชันส์ พรอ้ มดว้ ยหนังสือตา่ ง ๆ ท่ีเป็นภาษาไทย ภาษาลาว แลภาษาญวนอีกเป็นจำ�นวนมาก หนังสือไทยต่าง ๆ ท่ี ม. กัตส์ลาฟให้แก่ สมาคมน้ัน ยังคงอยู่ในสมาคมต่อมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๐๙ ส่วนต้นฉบับที่เขียนด้วยกระดาษไทยน้ัน ภายหลังได้เอาใช้ทำ�ใบปกหนังสือเสียหมด กอ่ นที่ ม. ทอมลิน จะออกไปจากประเทศสยาม เขาไดร้ วบรวมเรื่องราวตา่ ง ๆ ทม่ี ชิ ชนั นารไี ด้ท�ำ ไป ในระหว่างเวลา ๖ เดือน มอบสำ�เนาให้กัปตันคอฟฟิน1 ชาวอเมริกัน* ขอให้ส่งไปยังสมาคมการศาสนา ในอเมรกิ า เมื่อ ม. ทอมลิน ไปเมืองสิงคโปร์แล้ว ม. กัตส์ลาฟ ได้ท�ำการอยู่ในเมืองไทยอีกหลายเดือน ได้แต่งหนังสืออธิบายเร่ืองศาสนาคริสตังเป็นภาษาไทย แลได้แปลพระคัมภีร์ใหม่บางตอนออกเป็น ภาษาไทย ครั้นท�ำงานของตนได้ตามที่ได้กะไว้แล้ว จึงได้ออกจากเมืองไทยไปยังสิงคโปร์ช่ัวคราว เพอ่ื จะจดั การพมิ พ์หนังสือเหล่านนั้ ในการทไ่ี ปคราวนเี้ ขาไดแ้ ตง่ งานกบั นางสาวมาเรีย เนเวล 2 ซ่ึงแต่ก่อนน้ี ไดเ้ คยอยใู่ นตระกลู ของหมอแอนดริว รีด 3 เมืองลอนดอน ครนั้ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๗๒ ม.กตั สล์ าฟ กลับมาเมืองไทยอีก อาศัยมากับเรืออเมริกัน ล�ำ ๑ ซ่ึงเดวิสัน4 เป็นกัปตัน ม. เดวิสันผู้นี้ได้เคยเป็น 1 Captain Abel Coffin * กัปตันคอฟฟินคนนี้ ที่มาพาเด็กแฝดสองคนติดกัน ชื่ออินกับชื่อจันไปอเมริกา 2 Maria Newell Gützlaff (พ.ศ. ๒๓๓๗ - ๒๓๗๔) เป็นมิชชันนารีชาวอังกฤษ สังกัดสมาคม London Missionary Society (LMS) เป็นสตรีคนแรกที่สมาคม ฯ ส่งมาเอเชีย มาเรียเดินทางถึงมะละกาใน พ.ศ. ๒๓๗๐ แต่งงานกับกุทซลัฟฟ์ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๓๗๒ ก่อนเดินทางมาไทยในปีถัดมา มาเรียร่วมกับกุทซลัฟฟ์แปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาไทย ลาว และเขมร จัดท�ำพจนานุกรมและไวยากรณ์ภาษาไทยและเขมรจากต้นฉบับของเอลิซา โจนส์ ภรรยาของจอห์น เทย์เลอร์ โจนส์ มาเรียเสียชีวติ จากการคลอดลกู แฝดทก่ี รุงเทพ ฯ ในเดือนกมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๗๓ (ค.ศ. ๑๘๓๑) 3 นายแพทย์แอนดรวู ์ รีด (Rev. Dr. Andrew Reed) (พ.ศ. ๒๓๓๐ - ๒๔๐๕) มชิ ชันนารชี าวองั กฤษ ส�ำเรจ็ การศกึ ษา ด้านการแพทย์จากมหาวิทยาลัยเยล (Yale) มีชื่อเสียงในฐานะนักปฏิรูปสังคม และมีบทบาทส�ำคัญด้านงานสังคมสงเคราะห์ จากการก่อตั้งสถาบันต่าง ๆ เช่น การสงเคราะห์เด็กก�ำพร้าในอังกฤษ เป็นต้น 4 เข้าใจว่า คือ E. E. Davison กัปตันเรือ Cashmere ซ่ึงหมอบรัดเลโดยสารจากเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๗ เพ่ือมาประเทศไทย

จดหมายเหตเุ รอ่ื งมิชชันนารอี เมรกิ ันเข้ามาประเทศสยาม 113 คนถือจดหมายฉบับหนึ่งไปให้สมาคมการศาสนาที่ในอเมริกา ขอให้สมาคมจัดการส่งมิชชันนารีมายัง เมืองไทย ม. กัตส์ลาฟกับภรรยาได้ช่วยกันพยายามท�ำการที่จะให้การศาสนาเจริญย่ิงข้ึน มิได้เบ่ือหน่าย ได้แปลหนังสือเร่ืองศาสนาออกหลายเล่ม ใช้เวลามาก แทบว่าจะไม่มีเวลาพักผ่อนหลับนอนเลย แลทงั้ ได้จ้างคนคัดส�ำเนาไว้อีกเป็นจ�ำนวนมาก ม. กัตส์ลาฟกับภรรยาได้ดำ�เนินการอันยากลำ�บากของเขาอีกต่อมา จนถึงวันท่ี ๑๖ เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๗๓ นางกัตส์ลาฟ คลอดบุตรีแฝดแล้วตกโลหิตถึงแก่กรรมในสองสามช่ัวโมงนั้นเอง ส่วนบุตรีแฝดนั้น คนหนึ่งตายต้ังแต่คลอด อีกคนหนึ่งอยู่มาได้เกือบถึงกลางเดือนมิถุนายนปีน้ันก็ตาย ม. กัตส์ลาฟเมื่อต้องพรากภรรยาท่ีรัก แลต้องอยู่แต่ตัวคนเดียวเช่นนั้น ก็เกิดความรำ�คาญใจจึงคิดที่จะ ไปยังประเทศจีน คร้ันวันท่ี ๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๗๔ ม.กัตส์ลาฟ โดยสารเรือสำ�เภาออกไปประเทศจีน ก่อนท่ี ม. กัตส์ลาฟจะออกเดินทางไป ได้ทิ้งบุตรีน้อยไว้แก่แม่นมไทยคนหนึ่ง แลส่ังแม่นมคนนั้นไว้ว่าถ้าได้ พบกับนางทอมสันซ่ึงยังอยู่ที่เมืองสิงคโปร์ในเวลานั้น มากรุงเทพ ฯ เมื่อใด ก็ขอให้มอบลูกของตนให้แก่ นางทอมสันน้ันไป แต่ว่าพอไปถึงสันดอนในวันที่ ๙ ได้ทราบข่าวว่าบุตรีนั้นตายเสียอีก เรือสำ�เภาท่ี ม. กัตส์ลาฟโดยสารนั้นออกจากสันดอนไปในวนั ที่ ๑๘ มถิ นุ ายน ก่อนหนา้ ที่ ม. ทอมลิน แลเรเวอเรนต์เอบลิ มาถึงสองสามวันเท่านั้น ม. ทอมลินหวังว่าจะมาให้ถึงกรุงเทพ ฯ ก่อน ม. กัตส์ลาฟออกจากเมืองไทย แล้วจะชวนให้อยู่ในเมืองไทยอีกครึ่งปีหรือปีหน่ึง เพ่ือช่วยกันแก้ไขพระคัมภีร์ที่ได้แปลออกเป็นภาษาไทย ไว้แล้วนั้นให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น แต่ไม่ทันกัน เพราะ ม. กัตส์ลาฟไปเสียก่อนแล้ว ตามจดหมายเหตุของ ม. กัตส์ลาฟ เขียนไว้มีใจความว่า ก่อนท่ีเขาจะลงเรือใบไปเมืองจีน สองสามวัน ได้พบกับพ่อค้าจีนชาวเมืองกวางตุ้งตอนตะวันออกคนหน่ึงชื่อ ลินจัง ได้เคยเป็นมิตรกันมา แต่ก่อน จีนคนนี้ชวนให้เขาไปเรือใบของตน เเต่ ม. กัตส์ลาฟไม่ไปด้วย เพราะไม่ชอบกิริยาของจีนคนนั้น ม. กัตส์ลาฟได้ลงเรือใบของจีนอีกคนหนึ่งช่ือ ซินชัน ตรงไปเมืองเทียนสิน เรือท่ีไปบรรทุกไม้ฝาง น�้ำตาล พริกไทย ขนนกแลผ้าดอก มีลูกเรือประมาณ ๕๐ คน ม. ฮันเตอร์ กัปตันดอสัน แล ม. แมคโดแนล 1 ไดต้ ามไปส่งจนถงึ เรอื 1 ในบันทึกของกุทซลัฟฟ์เรียกช่ือว่า แมกแดลแนก (Mr. MacDalnac) โปรดดู Journal Of Three Voyages Along The Coast Of China in 1831, 1832, p. 67 และ The Chinese Repository : From May, 1832, to April 1833, vol. 1, p. 81.

114 ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เลม่ ๑๖ เรือล่องลงไป ๖ วัน พอวันที่ ๙ ถึงสันดอน เมื่อคืนวันท่ี ๘ ม. กัตส์ลาฟป่วย อาการหนักมาก แทบจะไม่รอด แต่พอเช้าวันท่ี ๙ ก็เผอิญค่อยยังชั่ว วันที่ ๑๔ เมื่อเรือยังทอดอยู่ท่ีสันดอน มีไทย (ชาวด่าน) คนหนึ่งไปหา ม. กัตส์ลาฟขอตรวจเข้าของ เมื่อตรวจไม่พบส่ิงของที่ต้องห้ามแล้วก็กลับไป เรือทอดอยู่ที่สันดอนจนถึงวันท่ี ๑๗ ครั้นวันที่ ๑๘ จึงออกเดินทางต่อไป วันท่ี ๑๙ ถึงเกาะคราม วันที่ ๒๒ กันยายน ถึงปากน้�ำไพโฮ เมืองเทียนสิน 1 (ความที่กล่าวมาตอนนี้คัดจากหนังสือ ไจนิสเรโปซิตอรี 2 เล่ม ๑ หน้า ๘๑, ๘๔, ๘๗, ค.ศ. ๑๘๓๒) ตามเร่ืองของ ม. กัตส์ลาฟ ซ่ึงได้กล่าวมาข้างบนนี้ หมอบรัดเลสรรเสริญ ม. กัตส์ลาฟว่า เป็นผู้มีความพากเพียรอุตสาหะย่ิงนัก เพราะเมื่อมาถึงเมืองไทยใหม่ ๆ มีผู้อิจฉาริษยามากแต่ก็ได้อดทน พยายามประกอบกิจที่ต้ังใจไว้ มิได้เอาใจใส่ต่อส่ิงเหล่านั้น จนในท่ีสุดได้ผ่านพ้นอุปสรรคท้ังหลายนั้น ๆ เสียได้ กลับเป็นผู้มีหน้ามีตา ในระหว่างเวลาอยู่ในเมืองไทยได้แจกหนังสือว่าด้วยเรื่องศาสนาแล แจกยารักษาโรคต่าง ๆ ซ่งึ เป็นอบุ ายในการท่ีจะด�ำ เนนิ กิจในศาสนาให้สะดวกยง่ิ ๆ ข้ึน เพราะการแจกยา แลรับรักษาโรคซ่ึงบรรดามิชชันนารีท้ังหลายกระทำ�กันในสมัยนั้น คนไทยจึงเรียกบรรดาพวกมิชชันนารี ว่า “หมอ” นี่เป็นกิจการส่วนหน่ึงซึ่ง ม. กัตส์ลาฟได้กระทำ�ไปในเวลาที่ตนอยู่ในเมืองไทย ยังมีกิจอย่างอื่น อีกซ่ึงนับว่า ม. กัตส์ลาฟได้ทำ�ในเวลาท่ีตนออกจากเมืองไทยไปแล้ว คือในเวลาที่ตนยังอยู่ในเมืองไทย ได้ตรวจดูอุปนิสัยใจคอของไทยแลไตร่ตรองถึงความเป็นไปต่าง ๆ ในเมืองนี้ เม่ือเห็นว่าเมืองน้ีสมควร จะเป็นท่ีแผ่ศาสนาคริศตังให้มาประดิษฐานอยู่ได้แล้ว จึงมีจดหมายไปถึงคณะผู้อำ�นวยการศาสนา ซึง่ ต้ังสาขาอยใู่ นกรงุ ลอนดอน ออกความเหน็ ใหค้ ณะรบี จดั การสง่ มิชชนั นารเี ข้ามายงั เมอื งไทย แลได้เขยี น 1 เทียนสิน (Tientsin) หรือเทียนจิน (Tianjin) เป็นเมืองปากแม่น้�ำไฮ (Hai River) ในประเทศจีน แม่น้�ำสายนี้ ไหลลงทะเลที่อ่าวโบไฮ (Bohai Gulf) ในทะเลเหลือง (Yellow River) เทียนสินเป็นเมืองท่าค้าขายมาตั้งแต่สมัยโบราณ สนธิสัญญาเทียนสิน พ.ศ. ๒๔๐๑ ซ่ึงลงนามหลังจากจีนพ่ายแพ้อังกฤษในสงครามฝิ่นคร้ังท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๓๙๙ - ๒๔๐๓) ท�ำให้จนี ต้องเปิดเมืองเทียนสินให้ชาติตะวันตกเข้าไปค้าขาย 2 ช่ือนิตยสารรายเดือนของมิชชันนารีนิกายโปรเตสแตนต์ท่ีเผยแผ่ศาสนาในจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้มี บทบาทส�ำคัญคือ เอลจาห์ โคลแมน บริดจ์แมน (Elijah Coleman Bridgman) มิชชันนารีอเมริกัน ในสังกัดสมาคม American Board of Commissioners for Foreign Missions (ABCFM) บริดจ์แมนเป็นมิชชันนารีโปรเตสแตนต์คนแรกท่ีเข้าไปสอน ศาสนาในจีน และเป็นบรรณาธิการนิตยสารดังกล่าวใน พ.ศ. ๒๓๗๕ - ๒๓๙๐ โดยพิมพ์ที่เมืองกว่างโจว เล่มแรกออก ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๕ เล่มสุดท้ายออกในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๔ นิตยสารท่ีออกช่วง พ.ศ. ๒๓๗๘ - ๒๓๘๕ มีบทความจ�ำนวนมากที่มีเน้ือหาเก่ียวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะในช่วงเวลาน้ัน สิงคโปร์ ปะหัง มะละกา ปัตตาเวีย ชวา ย่างกุ้ง และแอมบอยนา เปน็ ศนู ยก์ ารเผยแผศ่ าสนาของมชิ ชนั นารคี ณะนี้ ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๔๑๐ - ๒๔๘๕ มกี ารออกนติ ยสาร ฉบบั ใหมช่ อ่ื Chinese Recorder

จดหมายเหตเุ รอ่ื งมิชชันนารีอเมรกิ นั เข้ามาประเทศสยาม 115 จดหมายถึงเรเวอเรนต์เจ.จัดสัน 1 ท่ีประเทศพม่าอีกฉบับหน่ึง เป็นใจความว่าอยากได้หนังสือสอน ศาสนาเป็นภาษาพม่าบ้าง และต้องการมชิ ชันนารีซึง่ เคยท�ำ การอยู่ในประเทศพม่าสักคนหนงึ่ เพ่ือประโยชน์ จะส่ังสอนพวกพม่าและญวนซ่ึงอยู่ในเมืองไทยน้ี หนังสือที่ ม. กัตส์ลาฟเขียนไปนั้น ม. ทอมลิน เพ่ือนร่วมคิดก็ได้ช่วยเหลือช้ีแจงเหตุผลสนับสนุนความเห็นเพิ่มเติมลงไปในหนังสือน้ันอีกด้วย แต่ในเวลา น้ันมิชชันนารีในประเทศพม่าก็มีจำ�กัด ไม่มีตัวมิชชันนารีที่จะส่งให้เข้ามาช่วยเหลือในเมืองไทยได้ ครั้นต่อมา ม. กัตส์ลาฟ กับ ม. ทอมลิน ได้พยายามเขียนจดหมายขอมิชชันนารีเข้ามาทำ�งาน ในเมืองไทยอีก คราวน้ีเขียนถึงคณะอเมริกัน บอด ออฟ คอมมิชชันเนอร์ ฟอร์ โฟเรน มิชชันซ์ ซ่ึงอยู่ในประเทศอเมริกา ฝากกัปตันคอฟฟินไป เม่ือคณะกรรมการได้รับหนังสือของ ม. กัตส์ลาฟ ก็เห็นชอบด้วย แต่เวลานั้นยังไม่มีตัวมิชชันนารีที่จะส่งตรงมายังเมืองไทย แต่บังเอิญประจวบกับเวลา ท่ีเรเวอเรนต์เดวิด เอบิล มิชชันนารีประจำ�ตะวันออกของคณะน้ัน กำ�ลังจะเดินทางไปเมืองกวางตุ้ง คณะกรรมการจึงส่ังให้เรเวอเรนต์เอบิลแวะมาเมืองไทยด้วย เรเวอเรนต์เอบิลได้มาทัน ม. ทอมลิน ที่สิงคโปร์ แลเลยสมทบกันเดินทางต่อมาถึงเมืองไทย พฤติเหตุของ ม. กัตส์ลาฟ หมดเพียงเท่านี้ จะได้เล่าถึงพฤติเหตุของเรเวอเรนต์เอบิล กับ ม.ทอมลนิ อีกต่อไป ฝ่ายเรเวอเรนด์เอบิล เมื่อได้ทำ�การท่ีเมืองกวางตุ้ง 2 แลโดยสารเรือไปยังเกาะชวา แลเกาะอื่น ๆ เพ่ือตรวจหลักฐานของฮอลันดาตามคำ�สั่งโดยตรงของผู้อำ�นวยการคณะแล้ว จึงออกเดินทางไป เมืองสิงคโปร์เพ่ือหาเรือต่อมาเมืองไทย บังเอิญพบกับ ม. ทอมลินซ่ึงออกไปเปลี่ยนอากาศท่ีนั้น ก�ำ ลังจะเดินทางกลบั มากรุงเทพ ฯ เขาทง้ั ๒ จึงได้เดินทางมาด้วยกนั 1 ท่ีถูกคือ เอ. จัดสัน (Adoniram Judson, พ.ศ. ๒๓๓๑ - ๒๓๙๓) มิชชันนารีชาวอเมริกัน เป็นผู้บุกเบิกงาน เผยแผ่ศาสนาคริสต์คนส�ำคัญในเอเชีย และริเร่ิมก่อตั้งสมาคม American Board of Commissioners for Foreign Missions (ABCFM) ใน พ.ศ. ๒๓๕๓ ต่อมาได้เดินทางพร้อมแอนน์ (Ann Hazeltine) ภรรยาคนแรกไปเผยแผ่ศาสนาในอินเดีย ซ่ึงที่อินเดียจัดสันเปล่ียนไปสังกัดคณะแบปติสต์ (Baptist) และถอนตัวออกจากสมาคม ABCFM จัดสันมีส่วนริเร่ิมจัดตั้งองค์การ ของแบปตสิ ตใ์ นสหรัฐอเมริกาคอื สมาคม American Baptist Board ต่อมาเขา้ ไปเผยแผศ่ าสนาในพม่า (พ.ศ. ๒๓๕๖ - ๒๓๙๓) จัดสันแปลคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาษาพม่าเสร็จใน พ.ศ. ๒๓๗๗ นอกจากน้ี ยังจัดท�ำพจนานุกรมภาษาอังกฤษ - พม่า หลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิต เขาแต่งงานกบั ซาราห์ บอรด์ แมน (Sarah Boardman) จดั สันเคยกลับสหรัฐอเมริกาเพยี งคร้ังเดียว (พ.ศ. ๒๓๘๘ - ๒๓๘๙) 2 ปัจจุบนั เรยี ก กว่างโจว (Guangzhou หรอื Canton) ในมณฑลกวางตุง้ (Guangdong) เปน็ เมืองท่าปากแม่น้�ำเพิร์ล (Pearl) กว่างโจวในเวลาน้ันเป็นเมืองท่าแห่งเดียวที่จีนเปิดให้ติดต่อกับชาวตะวันตก

116 ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภเิ ษก เล่ม ๑๖ วันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๗๔ จึงโดยสารเรือช่ือ โซเฟีย 1 (เป็นเรืออาหรับชนิดหน่ึง) ซึ่ง ชาวองั กฤษเป็นกัปตัน ออกจากสงิ คโปร์ 2 มาเมืองไทย ได้มาถึงกรงุ เทพ ฯ ในวันท่ี ๒ กรกฎาคม พอมาถงึ ม. คาลอส เดอ ซิลเวียรา กงสุลปอตุเกศ ได้มีความเอ้ือเฟ้ือรับรองคนทั้ง ๒ เป็นอย่างดี มีสิ่งที่ทำ�ให้ ม. ทอมลิน เสียใจอยู่อย่างหน่ึง คือมาไม่ทัน ม. กัตส์ลาฟ เขาท้ัง ๒ ได้พักอยู่ท่ีเรือนซึ่งเคยอยู่กับ ม. กตั ส์ลาฟคร้ังอยูก่ อ่ นนั้น ม. ทอมลินกลับมาประเทศสยามเที่ยวนี้ ได้นำ�ยามาเป็นจำ�นวนมาก หนังสือจีน ๖ หีบ แลหนังสือภาษาไทยพิมพ์ด้วยตัวอักษรโรมัน ๓๐๐ ฉบับ ม. กัตส์ลาฟได้เหลือหนังสือไว้ให้เขาอีก ๗ หีบ ครั้นจัดแจงท่ีอยู่ที่พักเรียบร้อยแล้ว ม. ทอมลินก็เร่ิมแจกหนังสือ แจกยาอีก มีผู้มาขอยาแลหนังสือ เปน็ จ�ำ นวนมาก ในไม่ชา้ หนงั สือภาษาไทยทน่ี ำ�มาก็หมด* ม. ทอมลนิ รู้สกึ ปล้ืมใจในการงานทีไ่ ด้ท�ำ ไปแลว้ นั้นมาก แลพูดถึงคนสำ�คัญ ๆ ซึ่งได้เคยไปหาเขาแลขอหนังสือจากเขา เช่นพระองค์หนึ่งซึ่งเป็นสมภาร อยู่ในวัดของเจ้าพระยาพระคลัง 3 ก็ได้เคยมาขอลอกพระคัมภีร์ใหม่ไปหลายภาค ม. ทอมลินได้ต้ัง โรงสวดสำ�หรับบูชาพระเจ้าข้ึนแห่งหน่ึง ในเรือนของเขา มีการสวดมนต์กันทุก ๆ วันเสาร์ คำ�สวดนั้น เป็นภาษาจีน มพี วกจีนไปท�ำ สกั การบชู ากนั มาก ในพวกจีนเหล่านน้ั ม.ทอมลนิ เคยพดู ถึงเด็กคนใช้ ๒ คน ว่าไม่มีสิ่งใดที่จะทำ�ให้เขายินดีเท่าที่ได้เห็นเด็ก ๒ คนของเขากลับใจได้เห็นปรากฏอยู่ดังนี้เลย 1 Sophia น่าจะหมายถึงเรือเดาว์ (Dhow) เป็นเรือใบท่ีเคยใช้แพร่หลายในมหาสมุทรอินเดีย ใบเรือเป็นรูปสามเหล่ียม 2 Singapore เป็นเกาะปลายแหลมมลายู เดิมเป็นหมู่บ้านชาวมลายู มีอาชีพท�ำประมง อยู่ใต้อ�ำนาจของสุลต่าน รัฐยะโฮร์ (Johor) ต่อมาเซอร์ทอมัส สแตมฟอร์ด รัฟเฟิลส์ (Thomas Stamford Raffles) ในนามบริษัทอิสต์อินเดียของอังกฤษ (British East India Company) ท�ำสัญญาเช่าเกาะจากสุลต่านฮุสเซน ชาห์ (Sultan Hussein Shah) แห่งยะโฮร์ เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๓๖๑ (ค.ศ. ๑๘๑๙) เพ่อื พัฒนาพน้ื ทีเ่ กาะตอนใตใ้ หเ้ ปน็ เมืองท่าค้าขาย สงิ คโปรต์ กเป็นอาณานิคมขององั กฤษ เม่ือวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ เมื่อสุลต่านองค์เดิมท�ำสัญญาฉบับใหม่กับจอห์น ครอว์เฟิร์ด (John Crawfurd) เจ้าเมือง สิงคโปร์ (Resident) ยกสิงคโปร์ให้บริษัท ฯ ใน ค.ศ. ๑๙๖๓ * คิดไมเ่ หน็ ว่า หนงั สือนน้ั จะมีประโยชน์ในการสอนศาสนาไดอ้ ย่างไร เพราะไทยในสมัยนนั้ เหน็ จะอ่านอกั ษรโรมันได้น้อย เตม็ ที 3 คือวัดประยุรวงศาวาส เป็นวัดท่ีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เม่ือครั้งดำ�รงตำ�แหน่งเจ้าพระยา พระคลัง ว่าท่ีกรมท่า และสมุหพระกลาโหม ได้อุทิศสวนกาแฟ ซ่ึงมีอาณาเขตติดกับบ้าน สร้างเป็นวัดในสมัยรัชกาลท่ี ๓ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๗๑ ตอ่ มา พ.ศ. ๒๓๗๕ ถวายเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามวา่ “วัดประยรุ วงศาวาส” ราษฎรนิยมเรียกว่า “วัดรั้วเหล็ก” เพราะมีร้ัวเหล็กล้อมเป็นกำ�แพงวัดอยู่บางตอน รั้วเหล็กน้ี สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์สั่งเข้ามาจาก ประเทศอังกฤษเพ่ือน้อมเกล้า ฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้ล้อมเป็นกำ�แพงพระราชวัง แต่ไม่โปรด สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ จึงขอรับพระราชทานมาใช้เป็นกำ�แพงวัดแทน การสร้างวัดประยุรวงศาวาสใช้เวลา ๘ ปี จงึ สำ�เร็จใน พ.ศ. ๒๓๗๙ และมีการฉลองวัดในวนั ที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๗๙ (ค.ศ. ๑๘๓๗)

จดหมายเหตุเร่อื งมิชชนั นารอี เมริกันเขา้ มาประเทศสยาม 117 เมื่อเรเวอเรนต์เอบิลเห็นชัดว่า เมืองไทยจะเป็นสถานที่ ๆ จะประดิษฐานศาสนาคริสตัง อันสำ�คัญยิ่งแห่งหนึ่งเช่นนี้แล้ว จึงได้มีหนังสือไปยังคณะกรรมการ ลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๗๔ ว่า “มีสิ่งหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าควรจะเตือนคณะกรรมการให้ทราบคือ เมืองไทยในเวลานี้มีผู้ที่ต้องการจะรับโอวาท คำ�สั่งสอนมากมาย เกินกำ�ลังที่พวกมิชชันนารีที่มีอยู่จะเทศนาสั่งสอนให้ทั่วถึงกันได้ แลกรุงเทพ ฯ เป็น สถานที่ใหม่อันสำ�คัญที่พวกเราต้องการยึดไว้เป็นที่ประดิษฐานศาสนา สมควรแล้วที่จะต้องมีผู้ช่วยเหลือ เหตุนั้นขอให้ส่งมิชชันนารีมาอีกสองหรือสามคนโดยเร็วที่สุด” แลกล่าวต่อไปในหนังสือฉบับเดียวกันนั้นว่า “อันข้อซึ่งจะพูดจากันด้วยเรื่องจะตั้งที่เมืองไทยเป็นแหล่งแห่งศาสนานั้น จะต้องจัดการเสียในเวลาเร็วที่สุด อนึ่ง ม. ทอมลิน เพื่อนผู้เอาการเอางานของข้าพเจ้า ก็ดูเหมือนว่าจะไม่อยู่ในเมืองไทยอีกนานเท่าไรนัก เขาได้มาจากสิงคโปร์ โดยมิได้เอาพวกจีนลูกน้องมาด้วย แลครอบครัวของเขาก็ยังอยู่ที่เมืองสิงคโปร์” เรเวอเรนต์เอบิลชอบเมืองไทยมาก แลต้ังใจว่าจะไม่โยกย้ายไปท่ีอื่นอีก แต่ภายหลังมาประสบ เกิดป่วยไข้เข้า เรเวอเรนต์เอบิลจึงคิดท่ีจะไปเปลี่ยนอากาศที่เมืองอ่ืนชั่วคราว ด้วยในครั้งหนึ่ง (เม่ือปีเถาะ จุลศักราช ๑๑๙๓) น้�ำข้ึนมาก ท่วมถนนหนทางท่ัวทุกแห่งอยู่ประมาณสองเดือนเศษ จนหาที่เหมาะ ๆ จะออกก�ำลังกายไม่ได้ จึงท�ำให้เกิดเป็นไข้ข้ึน นี่เองเป็นเหตุท�ำให้เขาคิดจะไปรักษาตัวที่เมืองสิงคโปร์ พร้อมกับ ม. ทอมลิน ซ่ึงจ�ำเป็นต้องไปเย่ียมภรรยาผู้ป่วยอยู่ที่สิงคโปร์นั้นด้วย ครั้นถึงวันท่ี ๗ มกราคม พ.ศ.๒๓๗๔ เรเวอเรนต์เอบิล กับ ม. ทอมลิน จึงออกเดินทางจาก เมืองไทยไปสิงคโปร์ วันท่ี ๑๓ ก็ถึง เรเวอเรนต์เอบิลได้ไปเที่ยวท่ีสิงคโปร์แลมละกา 1 เช่นน้ันการป่วยไข้ ก็กลับหายเป็นปรกติ ครั้นวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๓๗๕ เรเวอเรนต์เอบิลได้โดยสารเรือสำ�เภากลับมา เมืองไทยอีก แต่มาโดยลำ�พัง ม. ทอมลินหาได้กลับมาด้วยไม่ เท่ียวน้ีเรเวอเรนต์เอบิลตั้งใจจะมาให้ถึง กรุงเทพ ฯ ก่อนท่ีจะมีเรือสำ�เภาลำ�ใดลำ�หนึ่งไปยังเมืองจีน โดยประสงค์จะจัดการฝากหนังสือเรื่องศาสนา คริสตังไปยังเมืองจีน ครั้นวันที่ ๑๘ พฤษภาคม เขาได้มาถึงกรุงเทพ ฯ ม. เดอซิลเวียรา ได้รับรอง เป็นอันดี แต่ในเที่ยวนี้เขารู้สึกว่าที่กรุงเทพ ฯ มีการกวดขันมากไม่เหมือนเมื่อก่อน ภายหลังที่เขา มาถึงแล้วไม่สู้ช้านัก มีหมายประกาศออกครั้งที่ ๒ ห้ามไม่ให้ราษฎรรับแจกหนังสือต่าง ๆ แต่เขาก็ยัง ได้รับอนุญาตให้ฝากหนังสือไปยังเมืองจีนได้ดังความปรารถนา 1 เมืองมะละกาเป็นเมืองท่าส�ำคัญบนคาบสมุทรหรือแหลมมลายู บริเวณช่องแคบมะละกา ตรงข้ามกับเกาะสุมาตรา ใน พ.ศ. ๒๐๕๒ ชาวโปรตุเกสเดินทางมาถึงมะละกาเพ่ือขอต้ังสถานีการค้า แต่ถูกปฏิเสธ ท�ำให้เกิดสงครามระหว่างโปรตุเกส - มะละกา โปรตุเกสเป็นฝ่ายชนะเมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๐๕๔ ต่อมาฮอลันดาเข้ายึดครอง ภายหลังเป็นอาณานิคม ของอังกฤษตามสนธิสัญญาแองโกล - ดัตช์ ใน พ.ศ. ๒๓๕๗ ปัจจุบันมะละกาเป็นรัฐทางตอนใต้ของประเทศมาเลเซีย เป็นหนึ่งในสองรัฐของมาเลเซียที่ไม่มีเจ้าผู้ครองรัฐเป็นประมุข

118 ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑๖ เรเวอเรนต์เอบิลไดแ้ จกจา่ ยยารักษาโรคตา่ ง ๆ ให้แกค่ นเจ็บป่วยมจี �ำ นวนมาก ซง่ึ มมี าหาทุก ๆ วัน แลรู้สกึ มคี วามปลม้ื ใจท่ีได้เหน็ ว่า มีผูม้ าท�ำ สักการบชู าพระเปน็ เจา้ ในวนั เสารข์ นึ้ มากหน้าหลายตา การทีม่ า ประชุมกันไหว้พระเป็นเจ้าเช่นน้ี แม้ในเวลาที่เรเวอเรนต์เอบิลไปอยู่ที่เมืองสิงคโปร์ ก็ได้กระทำ�กัน อยู่เนือง ๆ เรเวอเรนต์เอบิลรู้สึกยินดีมาก ได้จดหมายเหตุไว้ว่า “แต่ก่อนน้ีในวันเสาร์มีพวกจีนมาไหว้พระ สวดมนตเ์ พียงครัง้ ละ ๑๒ ถึง ๒๐ คนเท่านั้น แต่เดย๋ี วนมี้ ีครง้ั ละมาก ๆ ในบาญชีปรากฏวา่ มผี ู้มาเขา้ ช่ือ ถือศาสนามากข้ึนเป็นลำ�ดับ ข้าพเจ้าเชื่อว่าต่อไปจะเป็นสมาคมหรือสโมสรอันใหญ่ได้แห่งหนึ่ง ในระหว่าง เวลาแจกยา ขา้ พเจา้ เคยอธบิ ายแกผ่ มู้ าขอวา่ ควรจะไปในการพธิ ที ใี่ นโรงสวดของขา้ พเจา้ บา้ ง ไดก้ �ำ หนดวนั แลช่ัวโมงแก่เขาเหล่านั้นให้ไปรับยา ณ ที่น้ัน โดยวิธีน้ีได้มีคนไปยังโรงสวดเป็นอันมาก ต่างมีความยินดี แลพอใจ จนดูเหมือนว่าไม่มีความเกียจคร้านในเรื่องนี้เสียเลย นอกจากน้ียังมีอีกประมาณ ๖ คน ได้มีความร่าเริงในผลของการสวดมนต์ไหว้พระแลรับคำ�ส่ังสอนทุก ๆ วัน ผลท่ีปรากฏแล้วคือว่ามีคน หมู่มากเห็นแล้วว่า คำ�สอนของศาสนาคริสตังเป็นคำ�สอนอันดีแลแท้จริง แลบางคนถือมั่นฝังหัวใจ เสียจนไมม่ ีเวลาท่จี ะลืมไดอ้ กี เลย แลเขาท้ังหลายคงจะละการนับถือลทั ธอิ ่นื ๆ แลมาเช่อื ถอื ในพระเปน็ เจ้า อันแท้จริงของเราพระองค์เดียวได้อย่างแน่นอน แต่ข้าพเจ้าไม่กล้าพอที่จะทำ�พิธีรับหรือตั้งชื่อให้แก่ใคร ๆ ท่ีจะเข้าศาสนาด้วยตัวข้าพเจ้าเองได้ เพราะฉะน้ันความหวังท่ีจะให้เขาท้ังหลายอยู่ในคำ�ส่ังสอนไปทุกส่ิง ทุกอย่าง เป็นของยากมาก หรืออยู่ไกลที่สุด เพราะหัวใจของเขาพึ่งจะหลุดพ้นจากความมืดมนได้ใหม่ ๆ เท่านั้น” มีจีนผู้หน่ึงซ่ึง ม. กัตส์ลาฟ ได้ทำ�พิธีรับเข้าศาสนาไว้ ต่อมาปรากฏว่าเป็นผู้เช่ือมั่นในคำ�สั่งสอน ของพระเป็นเจ้าเสียจริง ๆ จีนผู้นี้ คือ จีนบุญตี๋ ที่กลับมาจากเมืองจีนและญวน ได้ช่วยเหลือเรเวอเรนต์ เอบิลมาก คือเป็นผู้ฝึกหัดคนท่ีไปสวดมนต์ให้รู้ระเบียบ ก่อนท่ีเรเวอเรนต์เอบิลจะออกไปจากเมืองไทย เขาไดต้ งั้ ใจให้จีนบญุ ต๋ีเป็นผ้แู นะนำ�ก�ำ กับผู้ทีจ่ ะมาทำ�พิธที ั้งหมด แลไดต้ กลงกับ ม. ซลิ เวียรา ขออนญุ าต ใหผ้ ทู้ ีจ่ ะมาทำ�พธิ ีพกั อาศยั ท�ำ กันในเรอื นหลงั เดมิ ทเ่ี คยท�ำ กันมาน้ันได้ ในการท่ีจะปลูกสร้างส่ิงใด ๆ ขึ้น เพื่อจะได้ให้เป็นการสะดวกแก่มิชชันนารีน้ัน เรเวอเรนต์เอบิล ออกความเห็นว่า ควรจะสร้างถนนอิฐในระหว่างที่พักของมิชชันนารีแลหมู่บ้านจีน แลควรทำ�สัญญากับ

จดหมายเหตเุ ร่ืองมชิ ชันนารอี เมรกิ ันเข้ามาประเทศสยาม 119 เจ้าฟ้า 1 (คือพระป่ินเกล้า) ว่าด้วยท่ีอยู่ให้เป็นหลักฐาน แลเหมาะโอกาสดีก็จะได้เลยแนะนำ�พระองค์ ให้เขา้ ถอื ศาสนาคริสตังเสียด้วยทีเดียว เรเวอเรนตเ์ อบลิ ไดร้ จู้ กั คุ้นเคยกับเจา้ ฟา้ พระองค์น้ีมาตงั้ แตแ่ รกเข้ามาถึงเมืองไทยใหม่ ๆ พระองค์ มีพระเมตตาแก่เขาเช่นเดียวกับท่ีได้มีพระเมตตาแก่ ม. กัตส์ลาฟ แล ม. ทอมลิน แลเรเวอเรนต์เอบิล ได้กล่าวถึงคุณ (หลวงนาย) สิทธิ (ซ่ึงภายหลังได้เลื่อนข้ึนเป็นพระนายไวย)*2ซ่ึงเป็นผู้ท่ีพวกมิชชันนารี หวงั จะไดอ้ าศยั เป็นอนั มากอกี คนหนึ่ง แต่เพราะเกิดเหตุมีความไม่ผาสุกขึ้นเนือง ๆ ในระหว่างเวลาท่ีเรเวอเรนต์เอบิลอยู่ในเมืองไทย จึงคิดที่จะเดินทางจากเมืองไทยไปยังเมืองอื่น วันที่ ๕ พฤศจิกายน เรเวอเรนต์เอบิลโดยสารเรือใบของ ม. ฮันเตอร์ พ่อค้าอังกฤษออกจาก กรุงเทพ ฯ ไปยงั สงิ คโปร์ ม. ฮนั เตอร์ น้ี เป็นผทู้ ี่ ม. กัตสล์ าฟชมวา่ เปน็ ผูห้ นึ่งมีความเอ้ือเฟอ้ื แก่มชิ ชันนารี เป็นอย่างดี โดยความเอื้อเฟื้อของกัปตันนอริส เรเวอเรนต์เอบิลจึงได้โดยสารเรือไปสิงคโปร์โดย มิได้เสียค่าโสหุ้ยอย่างใดเลย พอเขาถึงสิงคโปร์ไม่สู้ช้านัก เรเวอเรนต์โรเบิด เบิน ซึ่งเป็นคนสอนศาสนา ประจำ�อยู่ที่สิงคโปร์ก็ถึงแก่มรณะ เรเวอเรนต์เอบิลไปทันยังได้พยาบาลเขาอยู่จนหมดลมหายใจ 1 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฑามณี รู้จักกันในพระนาม เจ้าฟ้าน้อย สมเด็จ พระราชอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี เสด็จพระราชสมภพเม่ือวันท่ี ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๑ ณ พระราชวังเดิม พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระปรีชาสามารถในกิจการต่าง ๆ หลายด้าน เช่น ด้านการทหาร ท้ังกองทัพบก และกองทัพเรือ ด้านการต่างประเทศ วิชาช่างจักรกล และวิชาการปืนใหญ่ ทรงรอบรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี จนสามารถเขียน โต้ตอบกับเซอร์จอห์น เบาว์ริง ราชทูตอังกฤษ ที่เดินทางมาเจริญพระราชไมตรีกับประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ ชาวต่างชาติ เรยี ก The Second King ในฐานะพระมหากษัตรยิ ์พระองคท์ ่ี ๒ คู่กับ The First King คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๘ พระชนมพรรษา ๕๘ พรรษา * คอื สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสรุ ยิ วงศ์ (นามเดิม ช่วง บุนนาค เป็นบุตรชายคนโตของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) กับท่านผู้หญิง จันทร์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๕๑ เข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๒ เรียกกันว่า มหาดเล็กช่วง ในรัชกาลที่ ๓ เลื่อนเป็นนายไชยขรรค์ มหาดเล็กหุ้มแพร และเป็นหลวงสิทธิ์ นายเวรมหาดเล็ก เรียกกันว่า หลวงนายสิทธิ์ ต่อมาเล่ือนเป็น จมื่นไวยวรนาถ หัวหมื่นมหาดเล็ก ถึง พ.ศ. ๒๓๘๔ เพิ่มสร้อยนามเป็น จมื่นไวยวรนาถภักดีศรีสุริยวงศ์ พ.ศ. ๒๓๙๓ เลื่อนเป็นพระยาศรีสุริยวงศ์ จางวางมหาดเล็ก ในรัชกาลที่ ๔ เลื่อนเป็นเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ท่ีสมุหพระกลาโหม ต่อมาในรัชกาลที่ ๕ เป็นผู้ส�ำเร็จราชการแทนพระองค์ (พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๑๖) แล้วเล่ือนเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหา ศรีสุริยวงศ์ ถึงแก่พิราลัยด้วยโรคลม ขณะเดินทางกลับจากราชบุรี เม่ือ พ.ศ. ๒๔๒๕ สิริอายุได้ ๗๕ ปี - บ.ก.)

120 ประชมุ พงศาวดารฉบับกาญจนาภเิ ษก เล่ม ๑๖ เรเวอเรนต์เอบิลรู้สึกว่าตนมีความสุขมากขึ้น เม่ือได้รับเชิญให้เป็นหัวหน้าสอนศาสนา จึงตกลง ยอมรับหน้าท่ี ความหวังเดิมท่ีคิดว่าจะกลับไปประเทศอเมริกาเป็นอันงดเลิกไว้ก่อน เรเวอเรนต์เอบิล ได้พยายามเรียนภาษา รักษาไข้เจ็บคนในพ้ืนเมืองแลพยายามแจกหนังสือศาสนาคริสตังให้แก่พวกจีน ทุก ๆ บ้าน โดยเหตุที่ตนตรากตรำ�ต่องานมากเช่นน้ี โรคเดิมก็กลับกำ�เริบข้ึนอีก เลยจำ�เป็นต้องออกจาก เมืองสิงคโปร์ไปยังประเทศอเมริกา ตามคำ�เช้ือเชิญของคณะกรรมการ ซึ่งต้องการจะให้เขากลับไป ประจำ�อยู่ที่นั่นตั้งแต่เขายังอยู่ในกรุงเทพ ฯ แล้ว วันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๖ เขาโดยสารเรืออังกฤษออกจากสิงคโปร์ไปประเทศอังกฤษ เมื่อได้ท่องเที่ยวไปในประเทศอังกฤษ ฮอลันดา เยรมัน ฝรั่งเศส แลสวิสเซอรแลนด์แล้ว ก็กลับไปยัง ประเทศอเมริกา ความจริง เรเวอเรนต์เอบิลผู้นี้ เมื่ออยู่เมืองไทยได้ตั้งใจว่า จะเอาประเทศนี้เป็นที่ประดิษฐาน ศาสนา ถ้าหากว่าเขามีความผาสุกสบายดีแล้ว เขาคงจะไม่ไปที่ไหนอีก จะเป็นมิชชันนารีอยู่ใน เมืองไทยจนถึงที่สุด เหตุนั้นคณะกรรมการจึงถือว่าเขาเป็นมิชชันนารีประจำ�การแพนกประเทศสยาม ผู้หนึ่ง ในต้นปี พ.ศ. ๒๓๗๕ คณะกรรมการได้มีประกาศอย่างเปิดเผยว่า จะส่งมิชชันนารีเข้ามา ยังเมืองไทย ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๓๖๕1 ม. สเตเฟน และเรเวอเรนต์ชารล์ส รอบินสัน ได้ถูก คณะกรรมการเลือกให้มาดำ�เนินการสอนศาสนาในเมืองไทย เรเวอเรนต์อิรา เตรซี 2 ก็หวังว่าจะได้มา เป็นผู้ช่วยด้วยผู้หนึ่ง แต่ภายหลังให้ไปเสียยังประเทศจีน 1 ท่ีถูกควรเป็น พ.ศ. ๒๓๗๕ 2 คือ ศาสนาจารย์อิรา เทรซี (Rev. Ira Tracy, M.D.) มิชชันนารีอเมริกัน สังกัด American Board of Commissioners for Foreign Missioners เดินทางไปเผยแผ่ศาสนาในประเทศจีน มีผลงานเขียนเกี่ยวกับจีน เช่น Life, Character, Writing, Doctrines and Influence of Confucius เป็นตน้

จดหมายเหตุเรอ่ื งมชิ ชันนารีอเมริกันเขา้ มาประเทศสยาม 121 วันที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๓๗๕ ขณะที่เรเวอเรนต์เอบิลยังอยู่ในประเทศสยาม เรเวอเรนต์ ยอน เทเลอร์ โยนส์ ได้ถูกพวกมิชชันนารีท่ีเมืองพม่า เลือกให้เข้ามาเป็นมิชชันนารีในเมืองไทย แลได้ออกเดินทางจากมอลเมน 1 มาสิงคโปร์ ในเวลาท่ีเรเวอเรนต์โยนส์ยังอยู่ท่ีสิงคโปร์ เรเวอเรนต์เอบิลได้ออกไปจากประเทศสยาม พบกันท่ีน่ัน ก่อนที่เอบิลจะออกเดินทางไปอเมริกา ได้เล่าให้ ม. โยนส์ฟังถึงเร่ืองสมาคมน้อย ๆ ของตน ในกรุงเทพ ฯ แลขอให้ ม. โยนส์ช่วยเอ้ือเฟื้อสมาคมน้ันให้ได้มาประชุมกันเหมือนแต่ก่อน จนกว่าพวก มชิ ชนั นารีจะมาถงึ เรื่องราวของมิชชันนารีชุดที่ ๑ ซึ่งเข้ามาทำ�กิจการในเมืองไทยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๗๒ ถึง พ.ศ. ๒๓๗๕ หมดความเพียงเท่านี้ 1 คือเมืองมะละแหม่ง (Molmein) ในเมียนมา

122 ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภเิ ษก เล่ม ๑๖ มชิ ชนั นารชี ดุ ที่ ๒ แลท่ี ๓ มิชชันนารีชุดที่ ๒ คือ เรเวอเรนต์ยอน เทเลอร์ โยนส์ กับภรรยา แลเรเวอเรนต์วิลเลียม ดีน กับภรรยา มิชชันนารีชุดที่ ๓ คือ เรเวอเรนต์รอบินสันกับภรรยา เรเวอเรนต์เอส. ยอนสันกับภรรยา แลหมอ ดี. บ.ี บรดั เลกบั ภรรยา มิชชันนารีชุดที่ ๒ เป็นคณะอเมริกัน แบบติสต์ บอด มาถึงเมืองไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๖ ชุดท่ี ๓ เป็นคณะอเมริกัน บอด คอมมิชชันเนอร์ ฟอร์ ฟอเรน มิชชันส์ มาถึงเมืองไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๘ ภายหลัง ๒ คณะนี้รวมเป็นคณะเดียวกัน แลเรียกช่ือย่อว่า คณะ เอ.บี.ซี.เอฟ.เอม. (แทนคำ�ว่า อเมรกิ นั บอด คอมมชิ ชนั เนอร์ ฟอร์ ฟอเรน มชิ ชันส์) ดงั ไดก้ ลา่ วไวแ้ ล้วขา้ งต้นน้นั มิชชันนารีชุดท่ี ๒ มาจากประเทศพม่า ชุดท่ี ๓ มาจากประเทศอเมริกา แต่ก่อนจะมาถึง เมืองไทย ต้องเดินทางมายังเมืองสิงคโปร์เสียก่อน แล้วจึงได้เดินทางต่อมายังประเทศสยามอีกต่อหนึ่ง เมื่อพวกมิชชันนารีชุดที่ ๒ มาถึงเมืองไทยใหม่ ๆ ได้พักอยู่ท่ีบ้านกงสุลปอตุเกต ต่อมาไม่สู้ช้านัก จึงได้ว่าเช่าที่ของนายกล่ิน ตุลาการคนหน่ึงซ่ึงเป็นน้องชายของ (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ จ่ี) พระราชาคณะผู้ใหญ่ฝ่ายพระสงฆ์ไทยองค์หน่ึง เหนือวัดเกาะข้ึนมาเล็กน้อย แลได้สร้างเรือนท�ำด้วยไม้สัก ข้ึน ๒ หลังเป็นที่พักอาศัย คร้ันเม่ือมิชชันนารีชุดท่ี ๓ เข้าถึงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๘ จึงได้ตรงมาอยู่ที่เรือน ๒ หลังน้ีทีเดียว ท่ี ๆ พวกมิชชันนารีเช่าจากนายกล่ินอยู่นั้นเป็นที่สกปรก มีเรือนเต้ีย ๆ หลังคามุงจาก อยู่รอบ ทางเข้าบ้านก็เปียกแฉะเสมอ ข้างหน้าบ้านเป็นคูต้องใช้เรือ หรือมิฉะนั้นก็ต้องเดินบนไม้กระดาน แผ่นเดียวซ่ึงทอดยาวยืดเป็นสะพานเดินเท้าไป ข้อนี้เพราะวัดเกาะอยู่ใกล้แม่น้�ำท่ีเป็นชายเลน ลุม่ นำ้� ขน้ึ ถึงอยเู่ สมอ ในทใ่ี กลเ้ คยี งกบั ท่ี ๆ มชิ ชนั นารอี ยนู่ น้ั มตี ลาด (ส�ำเพง็ )1 ตลาดนเ้ี อง พวกมชิ ชนั นารี ไดพ้ บคนเจบ็ ปว่ ยบอ่ ยๆ เพราะอยใู่ นที่ ๆ สกปรกอนั เปน็ บ่อเกดิ แห่งโรคภยั ไข้เจ็บต่าง ๆ ที่เรือน ๒ หลังน้ี นอกจากเป็นท่ีพักของพวกมิชชันนารีแล้ว ยังใช้เป็นสถานท่ีจ�ำหน่ายยาแลรักษาโรคต่าง ๆ ด้วย กจิ การของพวกมชิ ชันนารที ั้ง ๒ ชุดนี้ กอ็ ยา่ งเดียวกับชดุ ที่ ๑ กลา่ วคอื ตง้ั หนา้ ทำ�การแจกหนังสือ สอนศาสนาคริสตังแลแจกยาสำ�หรับรักษาโรคต่าง ๆ อันเป็นอุบายให้คนรักใคร่นับถือ แล้วจะได้ชักชวน เข้าถือศาสนาได้ง่าย ๆ เพราะฉะน้ัน จะได้กล่าวถึงกิจการของพวกมิชชันนารีเหล่าน้ีแต่เฉพาะบางคน ซ่งึ เปน็ คนส�ำ คัญแลเปน็ คนทอ่ี ยูใ่ นเมอื งไทยนานที่สดุ เทา่ นน้ั 1 ส�ำเพ็งเป็นแหล่งการคา้ ของชาวจีนแห่งแรกในกรุงเทพ ฯ สืบเน่ืองจากเมอื่ คร้ังรชั กาลท่ี ๑ เสดจ็ ข้นึ ครองราชย์ โปรดเกล้า ฯ ให้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ทางตะวันออกของแม่น�้ำเจ้าพระยา มีการสร้างพระบรมมหาราชวัง จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ชาวจีนท่ีเคยอยู่ บรเิ วณนั้นยา้ ยไปอยู่ ณ ทส่ี วนตง้ั แตค่ ลองวดั สามปล้ืมไปจนถงึ คลองวัดส�ำเพง็ ชาวจนี จึงได้สรา้ งชุมชนและย่านการค้าแห่งใหม่ข้ึน จนเจริญรุ่งเรืองสืบมาจนถึงทุกวันนี้

จดหมายเหตุเรือ่ งมชิ ชนั นารีอเมรกิ นั เขา้ มาประเทศสยาม 123 เรเวอเรนต์ยอน เทเลอร์ โยนส์ * มชิ ชันนารผี ูน้ ้ีอยูใ่ นคณะอเมริกนั แบบติสต์ บอด มาถึงเมอื งไทยเมือ่ พ.ศ. ๒๓๗๖ พอมาถงึ แล้ว ก็เร่ิมสืบถามถึงพวกที่เล่ือมใสในศาสนาคริสตัง ซึ่งเรเวอเรนต์เอบิลได้ส่ังไว้เม่ือพบกันที่สิงคโปร์ให้ช่วย ทะนุบำ�รุงให้จงได้น้ัน เขาสามารถรวบรวมคนพวกน้ันเข้าเป็นคณะน้อย ๆ ได้อีก แลให้มาประชุมกันได้ ในวันทำ�พิธีไหว้พระเป็นเจ้า คือประชุมกันสวดมนต์แลอ่านพระคัมภีร์ แลให้โอวาทส่ังสอนท่ัวทุกคน ในปีน้ันเองมีจีน ๓ คน ได้สมัครขอให้ทำ�พิธีรับตนเข้าในศาสนา เรเวอเรนต์ยอน เทเลอร์ โยนส์ได้ทำ� พธิ ีรับจีนทงั้ ๓ คนนั้น ในวันท่ี ๘ เดอื นธันวาคม คือ จนี เปง ๑ จีนใจ ๑ แลจีนไลเสง ๑ แต่ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๓๗๗ เขาท้ัง ๓ ได้ถึงแก่กรรมเสียทั้งหมด หาไม่คงจะเป็นกำ�ลังในการช่วยเผยแผ่ศาสนา ใหแ้ พรห่ ลายได้บ้างเป็นแน่ คณะน้อยซง่ึ เรเวอเรนต์เอบลิ ไดร้ วบรวมตั้งขนึ้ ไว้นน้ั นับแตย่ อน เทเลอร์ โยนส์ ได้มาเป็นผู้อุปถัมภ์ให้โอวาทสั่งสอน ก็เชื่อถือพระเป็นเจ้าแลอยู่ในโอวาทคำ�สั่งสอนของโยนส์เป็นอันดี เพราะฉะน้ันโยนส์นับว่าเป็นคนสำ�คัญผู้หนึ่งซึ่งได้มาคุมคณะน้อย ๆ น้ันข้ึนไว้ได้ อันเป็นปัจจัยให้ผู้อ่ืน เข้าในศาสนาไดส้ บื ๆ มา เร่อื งราวของเรเวอเรนตโ์ ยนส์ นอกจากท่ีได้เล่ามาแลว้ นี้ กไ็ มเ่ ห็นมีอะไรควรจะ เลา่ ไวใ้ นทนี่ ีอ้ กี จะขอเล่าถงึ ผอู้ ่นื อกี ต่อไป หมอ ด.ี บี. บรดั เล หมอบรัดเล เป็นคนสำ�คัญที่สุดในคณะอเมริกัน บอด คอมมิชชันเนอร์ ฟอร์ ฟอเรน มิชชันส์ ซง่ึ มาถงึ เมอื งไทยเมือ่ พ.ศ. ๒๓๗๘ ฉะนนั้ จะได้น�ำ เร่อื งของหมอผู้นม้ี าเลา่ ให้ผอู้ ่านได้ฟงั ตามจดหมายเหตุ รายวัน ซึ่งตัวหมอบรัดเลได้จดไว้เอง ดังต่อไปนี้** (พ.ศ. ๒๓๗๘) วนั ท่ี ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๗๘ วนั นี้ ม.ฮนั เตอร์ ซงึ่ เป็นพอ่ ค้าชาวยุโรปคนเดียวทีอ่ ยเู่ มืองไทย ในสมัยนั้น มาหาหมอบรัดเลแต่เช้า บอกว่าพระยาศรีพิพัฒน์ (พระยาศรีพิพัฒน์ผู้น้ีภายหลังได้เป็น สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย) ให้มาเชิญตัวเขาไปในพระนามของพระเจ้าแผ่นดิน เพ่ือให้ไปรักษาคนใช้ แลพวกเชลย1 ซึ่งป่วยเป็นไข้ทรพิษแลโรคอหิวาต์ เขายอมไปรักษาโดยเต็มใจ แต่เอา ม.ฮันเตอร์ไปด้วย * ในหนังสอื แสดงกจิ จานุกิจ เรียกว่า หมอยอน ** ความตรงนีเ้ ป็นส�ำนวนคนอ่นื แทรก 1 รัชกาลที่ ๓ มพี ระบรมราชโองการให้พระยาศรีพิพัฒน์ หรือพระยาศรีพพิ ฒั น์รตั นราชโกษา (ทตั บุนนาค) เชญิ หมอบรดั เล ไปรกั ษาทาสเชลยกลมุ่ หนง่ึ ท่ปี ว่ ยเปน็ โรคฝีดาษและอหิวาตกโรค เพ่อื ทดสอบความสามารถในการรกั ษาคนป่วยของหมอบรัดเล

124 ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภเิ ษก เล่ม ๑๖ ช้ันแรกเขาไปที่บ้านของพระยาศรีพิพัฒน์นั้นก่อน แล้วภายหลังจึงได้ไปหาพระนาย1 ซ่ึงเป็นน้องภรรยา ของพระยาศรีพิพัฒน์ (เห็นจะเป็นพระนายศรีเอ่ียม ซึ่งเป็นเจ้าพระยาพลเทพ ในรัชกาลที่ ๔) พระนาย ได้นำ�เขาไปยังที่ ๆ คนเจ็บอยู่ เม่ือไปถึงท่ีคนเจ็บอยู่ พระนายได้ชี้แจงกับเขาว่า ในหลวงมิได้เอาพระทัย ใส่ในบุคคลเหล่าน้ันดอก* ถ้าว่าเขารักษาบุคคลเหล่าน้ีหายได้ดีเรียบร้อยแล้ว ในหลวงจึงจะให้เขาเข้าไป ท�ำ การรักษาคนชน้ั สงู ในวังตอ่ ไป ครั้งน้ีเป็นการทดลองความสามารถของเขาดกู ่อน เขาเห็นจรงิ ดว้ ยตามคำ� บอกเล่าของพระนายว่า ในหลวงมิได้เอาพระทัยใส่ในบุคคลเหล่านั้น เพราะคนป่วยเหล่านั้นล้วนแต่เป็น เชลยแลทาสท้ังน้ัน คนไข้เหล่านี้อยู่ในท่ีสกปรกชื้นแฉะ หลังคาเรือนก็ทำ�ด้วยกระแชงอย่างหลังคาเรือ ซง่ึ ใช้ในการสงครามอนั จอดอยู่ทคี่ ลองบางหลวง อาหารการกนิ ก็ไม่สะอาด คนรกั ษาพยาบาลกไ็ ม่มี คนไข้ เหล่านี้ล้วนแต่มีอาการเพียบ ๆ ไปตามกัน สถานท่ีอยู่ก็สกปรก อาหารการกินก็ไม่สะอาดพอเช่นนั้น เขาก็หมดหนทางท่ีจะช่วยเหลือได้ เขาได้อธิบายถึงเร่ืองความไม่สะอาดของอาหารการกินแลความสกปรก ของท่ีอยู่ให้พระนายฟัง แลดูเหมือนว่าพระนายก็เห็นจริงด้วย เขาได้ปลอบโยนเอาใจคนไข้ต่าง ๆ แลพวก คนไข้กไ็ ด้แสดงอาการขอความชว่ ยเหลอื จากเขา แตไ่ ม่ไหว หมดความสามารถของเขาเสยี แล้ว เมื่อพระนายสังเกตเห็นเขารักษาโรคไข้ทรพิษแลอหิวาต์ไม่ไหวเช่นน้ัน จึงถามเขาว่า คนท่ีเป็น โรคอหิวาต์ก็ดี ไข้ทรพิษก็ดี ถ้าเพียงแต่เห็นเท่านั้น อาจบอกได้หรือไม่ว่า จะตายหรือจะรอด เขาตอบว่า บอกไม่ได้ เมื่อได้ฟังคำ�ปฏิเสธเช่นน้ัน พระนายก็แสดงท่าว่าเขาเห็นจะไม่ใช่หมอท่ีเก่งจริงดังโจทย์กัน เสียแล้ว ในเมืองไทยนี้ ในครั้งน้ันเห็นจะมีหมอชั้นเลว ๆ เท่ียวอวดคุยต่าง ๆ ว่าเพียงแต่ได้เห็นคนไข้ ก็รู้ได้ทีเดียวว่าจะตายหรือรอดเป็นจำ�นวนมาก เท่ียวหลอกลวงคนโง่ ๆ ให้เช่ือถือความสามารถของตัว แลพรรณนาคุณยาเสียอย่างเลิศลอย จึงถือกันจนชินว่าถ้าหมอที่เก่งแล้ว พอแลเห็นคนไข้ก็รู้ทีเดียวว่า จะเป็นหรือตาย เพราะฉะนั้นเมื่อพระนายได้ฟังคำ�ปฏิเสธของหมอบรัดเล จึงได้แสดงว่าหมอบรัดเล ไม่เก่งจรงิ ดงั ว่า ครนั้ สนทนากับพระนายพอสมควรแก่เวลาแลว้ เขากก็ ลับมายงั บา้ น 1 คอื จมื่นศรีสรรักษ์ (เอ่ยี ม) หัวหม่นื มหาดเล็ก หรือเรียกโดยสามัญวา่ พระนายศรเี อยี่ ม เปน็ ราชินิกูล เน่อื งจากเป็นบุตร ของคุณม่วง ธิดาเจ้าคุณชูโต ซึ่งเป็นพระเชษฐาของสมเด็จพระอมรินทรา บรมราชินี ในรัชกาลท่ี ๑ พระนายศรีเอ่ียมเป็นน้องชาย ของท่านผู้หญิงน้อย ภรรยาของพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา (ทัต บุนนาค) ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมัยรัชกาลท่ี ๒ ได้เป็นนายจ่าเรศ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นหลวงฤทธินายเวร ต่อมาเป็นจม่ืนศรีสรรักษ์ ในสมัยรัชกาลท่ี ๔ เป็นเจ้าพระยาพลเทพ ถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ. ๒๓๙๔ เปน็ ตน้ สกลุ ชูโต * ค�ำซึ่งบอกน้ันสันนิษฐานว่าเห็นจะบอกว่า “ไม่ใช่ข้าราชการ”

จดหมายเหตุเร่ืองมิชชนั นารอี เมริกันเขา้ มาประเทศสยาม 125 วนั ที่ ๔ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๓๗๘ เขาไดจ้ ดั บา้ นแลร้านขายยาให้เปน็ ระเบียบเรยี บร้อย คอยโอกาส ท่ีเขาจะไดท้ �ำ การรักษาคนเจบ็ ปว่ ย วันท่ี ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๗๘ เขาได้รักษาคนป่วยหลายคน อนุญาตให้มาขอความช่วยเหลือ เขาไดต้ ลอดท้ังวนั แต่ความจริง การรักษามีตอ้ งท�ำ เพยี งวนั ละ ๑ หรอื ๒ ช่วั โมงเทา่ นน้ั ก็พอ วันที่ ๑๒ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๓๗๘ วนั นเี้ ขาไดร้ ักษาคนไข้หลายคน แต่โดยมากเปน็ จนี ในเย็นวันน้ี เจ้าฟา้ นอ้ ย (พระปน่ิ เกล้า) เสด็จมาเย่ยี มพวกมิชชนั นารี วันท่ี ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๗๘ วันนี้เขาได้สัญญาไว้ว่าจะไปเฝ้าเจ้าฟ้าน้อย แลได้ไปเฝ้า ตามสญั ญาน้นั วนั ที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๗๘ เขาพร้อมดว้ ย ม. รอบินสนั ได้ไปเฝ้าพระองค์ น.*1พระเจา้ ลกู เธอ พระองค์หน่ึงซ่ึงประทับอยู่ในวัง พระองค์ น. นี้ โปรดภาษาอังกฤษมาก เขาได้เขียนอักษรอังกฤษ ท้ังสระแลพยัญชนะ แลตัวกล้�ำพร้อมเสร็จถวายพระองค์ไว้ในวันนี้เอง เขาพร้อมด้วยเรเวอเรนต์รอบินสัน ได้รับเกียรติยศให้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับพระองค์ น. แลเม่ือเสร็จการรับประทานอาหารแล้ว พระองค์ น. ยังได้พาไปดูเคร่ืองพิณพาทย์อีกด้วย ในเคร่ืองพิณพาทย์เหล่าน้ัน เขาท้ัง ๒ ชอบฆ้องวง มากกวา่ อยา่ งอ่นื วันท่ี ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๗๘ มีคนปว่ ยมาหาพวกมชิ ชนั นารเี ป็นอันมาก ถงึ กบั ท่อี ยูแ่ นน่ ไปหมด ต้ังแต่เช้าจนเยน็ พวกคนปว่ ยที่มาเหล่านี้ ล้วนแตเ่ ป็นคนที่มโี รคอย่างอาการมากจึงมาท้งั นนั้ วนั ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๗๘ มีขา้ ราชการไทยคนหนึ่ง มาทีร่ ้านยาของพวกมิชชนั นารี ดูเหมือน เพ่ือจะสืบสวน พอไปถึงร้านได้เท่ียวดูตามขวดยาต่าง ๆ แลลองจิบน�้ำในแก้วบนโต๊ะว่า จะเป็นเหล้า หรือน�้ำตาลเมา * พระองค์ น. นี้ สันนิษฐานว่า จะเป็นพระองค์เจ้าคเนจร (กรมหม่ืนอมเรนทรบดินทร) เวลาน้ันพระชันษาได้ ๒๐ ปี (จากหนงั สือ Bangkok Calendar ฉบับ ค.ศ. ๑๘๗๐ หน้า ๙๔ หมอบรดั เลใชค้ ำ� ว่า “Prince N” แตใ่ นหนังสือ Abstract of the Journal of Rev. Dan Beach Bradley หมอบรัดเลใช้ค�ำวา่ “Prince Niurat” ซึง่ หมายถงึ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ นิลรัตน กรมหมื่นอลงกฎกิจปรีชา พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับเจ้าจอมมารดาพิม ในรัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้า ฯ ให้ว่ากรมแสงปืนต้น กรมแสงหอกดาบ และทรงก�ำกับช่างเงินโรงกระษาปณ์ท�ำเงินเหรียญ ส้ินพระชนม์ในสมัย รชั กาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๑๐ ทรงเปน็ ต้นราชสกุล นลิ รตั น - บ.ก.)

126 ประชมุ พงศาวดารฉบับกาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑๖ วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๓๗๘ นายกลิ่นซ่ึงเป็นเจ้าของท่ี ๆ พวกมิชชันนารีเช่าอยู่นั้น มาบอก แก่พวกมชิ ชันนารีว่า การที่พวกมิชชนั นารอี ยู่ในทนี่ ้นั พวกข้าราชการไมใ่ ครพ่ อใจ สงสัยการประกอบอาชพี ของพวกมิชชันนารี นายกล่ินออกความเห็นว่า พวกมิชชันนารีควรจะไปขออนุญาตจากเจ้าพระยาพระคลัง เสยี ก่อนจะดกี ว่า มฉิ ะนนั้ อาจถูกไล่ให้ออกจากท่นี นั้ ได้ มิวนั ใดก็วนั หน่ึง วันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๓๗๘ ตอนเช้าวนั นม้ี ีคนป่วยมาหาหมอบรดั เล กว่า ๑๐๐ คน เพอื่ ขอ คำ�แนะนำ�ในทางยาแลขอยาสำ�หรับรักษาโรค เขาได้ให้คนป่วยเหล่าน้ัน สวดมนต์แลอ่านพระคัมภีร์ก่อน ทเ่ี ขาจะใหย้ ารักษาโรค เพอ่ื เปน็ การชักจูงคนป่วยใหเ้ หน็ ฤทธิเ์ ดชของพระเจ้าว่าศักดส์ิ ิทธ์ิ เม่อื สวดมนต์แลว้ กนิ ยาจะได้หายดี แลต่อไปจะได้มคี วามเชอ่ื ถือในพระเจ้ามาก ๆ แลในวันเดียวกันนี้เอง หมอบรัดเลพร้อมด้วยพวกมิชชันนารีได้ไปหา ม. ฮันเตอร์ แลได้ไปดู เรืออังกฤษลำ�หนึ่ง ชื่อ ปิรามัส ซ่ึงกัปตันเวลเลอร์นำ�เข้ามา กัปตันเวลเลอร์ผู้นี้ ทำ�งานอยู่กับ ม. ฮันเตอร์ ท้ังได้ไปดูเรืออีกลำ�หนึ่ง ซึ่งเพิ่งมาถึงกรุงเทพ ฯ เมื่อ ๒ - ๓ วันก่อนนี้ เรือลำ�นี้ต่ออย่างแบบอังกฤษ แต่เป็นของพ่อค้าชาวเมืองสุหรัด (อยู่ในอินเดีย) คนหนึ่ง แลคนเรือทั้งหมดก็เป็นชาวเมืองสุหรัด วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๓๗๘ ม. ฮันเตอร์ พาพวกมิชชันนารีไปหาผู้ช่วยเจ้าพระยาพระคลัง1 เจรจากันด้วยเร่ืองท่ี ๆ พวกมิชชันนารีอยู่ แต่ผู้ช่วยเจ้าพระยาพระคลังไม่มีอำ�นาจในเร่ืองนี้ แต่ได้แนะนำ� ให้ ม. ฮันเตอร์พาพวกมิชชันนารีไปหาพระยาโชฎึก2 (ทองจีน) ซ่ึงเป็นผู้มีอำ�นาจเด็ดขาดในท่ีดินแปลงนั้น พวกมิชชันนารีรู้สึกว่ายากมาก ถ้าพระยาโชฎึกเป็นผู้มีอำ�นาจเด็ดขาดในที่ดินแปลงนั้นแล้ว ทราบอยู่ว่าแก เป็นคนที่ไม่ชอบพวกคริสตัง เมื่อ ม. ฮันเตอร์จะกลับ ผู้ช่วยเจ้าพระยาพระคลังได้แนะนำ�อีกว่าควรไปหา พระยาโชฎึก แลได้ชี้แจงว่าการที่พวกมิชชันนารีจะต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นน้ัน เป็นเพราะพวกมิชชันนารี แจกหนังสือมากเกินไป จนเป็นที่น่าสงสัยแลเป็นการผิดธรรมเนียมการทำ�บุญของคนไทย ท่ีจริงการทำ�บุญ แจกหนงั สือน้นั รฐั บาลก็ยินยอมให้ท�ำ เหมือนกัน เเตต่ อ้ งเปน็ บางคร้งั บางคราวหรือเเจกเเก่พระเจา้ พระสงฆ์ 1 Bangkok Calender ฉบับ ค.ศ. ๑๘๗๐ หน้า ๙๕ หมอบรัดเลใช้ค�ำว่า “acting P’rak’lang, Pie see - pipat” น่าจะหมายถึง พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา (ทัต บุนนาค) จางวางกรมพระคลังสินค้า ซ่ึงขณะน้ันรักษาการแทนเจ้าพระยา พระคลงั (ดศิ บุนนาค) ผ้เู ป็นพีช่ าย ซง่ึ ไปราชการทเ่ี มืองจันทบุรี 2 พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ทองจีน ไกรฤกษ์) เป็นบุตรชายคนโตของพระยาไกรโกษา (ฤกษ์) ต้นสกุล ไกรฤกษ์ เป็นผู้รับมรดกบ้านและที่ดินตรอกพระยาไกร ส�ำเพ็ง

จดหมายเหตเุ รอ่ื งมิชชันนารอี เมรกิ นั เขา้ มาประเทศสยาม 127 ไม่แจกแก่บุคคลทั่วไป เม่ือผู้ช่วยเจ้าพระยาพระคลังอ้างข้อขัดข้องให้ฟังดังนั้นแล้ว จึงได้กล่าวต่อไปอีกว่า ถ้าหากว่าไม่เป็นการขัดข้องแก่ธรรมเนียมไทยดังว่าแล้ว ตัวท่านก็ไม่อยากจะขัดขวางในเรื่องการบุญกุศล ของพวกมิชชันนารีเลย แลว่าตัวท่านก็ชอบการบุญกุศลอยู่เหมือนกัน ผู้ช่วยเจ้าพระยาพระคลังพูดดูเหมือนเป็นทีเล่นทีจริง แต่เป็นข้อความสำ�คัญมาก ผู้ช่วยน้ีเป็น น้องชายของสมเด็จองค์ใหญ่ (ซึ่งได้ถึงพิราลัยไปเสีย ภายหลังเม่ือได้เซ็นสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่าง อังกฤษกับไทย เม่ือปี พ.ศ. ๒๓๙๙ ได้ ๒ - ๓ วัน เทา่ นัน้ ) ในเวลาที่หมอบรัดเลเข้ามาถึงกรุงเทพ ฯ ตัวเจ้าพระยาพระคลังไม่อยู่ ไปเมืองจันทบุรี เพื่อ สร้างป้อมป้องกันพวกญวน 1 แลได้ต่อเรือใบไทยลำ�ใหญ่ขึ้นเป็นคร้ังแรก 2 ท่านมีบุตรชายคนหน่ึง ช่ือคุณสิทธิ์ (คือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อยังเป็นตำ�แหน่งหลวงสิทธิ์นายเวรมหาดเล็ก) เป็นมือขวาในการช่วยต่อเรือ แลเป็นคนสำ�คัญของเมืองไทย วันท่ี ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๓๗๘ ม. ฮันเตอร์มาหาพวกมิชชันนารี บอกว่าได้ไปหาพระยาโชฎึก มาแล้ว พระยาโชฎึกบอกว่า พวกมิชชันนารีจะต้องย้ายไปอยู่ที่อ่ืน ซึ่งมีอีก ๓ แห่ง แต่ท่ีดินทั้ง ๓ แห่ง ท่ีพระยาโชฎึกบอกให้น้ัน ล้วนแต่เป็นท่ีพวกบาดหลวงโรมันคาธอลิกอยู่ท้ังนั้น พระยาโชฎึกไม่ชอบให้ พวกมิชชันนารีสวดมนต์เป็นภาษาจีนแลแจกหนังสือแก่จีน เพราะเมื่อพวกมิชชันนารีได้พวกมาก ๆ แล้ว เกรงว่าจะคิดการกำ�เริบขึ้นในภายหลัง วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๓๗๘ กัปตันเวลเลอร์เกิดวิวาทข้ึนกับพระวัดเกาะ ถูกพระวัดเกาะ ตีปางตาย เรื่องท่ีเกิดขึ้นเป็นดังน้ี คือในเย็นวันน้ัน กัปตันเวลเลอร์กับ ม. ฮันเตอร์ ถือปืนมาเที่ยวเล่น ท่ีบ้านพวกมิชชันนารี นึกอุตริจะไปยิงนกพิราบเล่น ม. ฮันเตอร์คุยอยู่กับพวกมิชชันนารี กัปตันเวลเลอร์ ถือปืนเดินเข้าไปในวัด พอไปถึงก็ยิงนกพิราบตาย ๒ ตัว ขณะน้ันเป็นเวลาท่ีพระกำ�ลังสวดมนต์เย็นอยู่ เมื่อได้ยินเสียงปืนพระจึงได้กรูกันออกมา เดิมก็เพียงแต่จะว่ากล่าวกันก่อน แต่ทำ�ไมจึงได้เกิดตีกันข้ึน ก็ไม่ทราบ กัปตันเวลเลอร์ถูกตีท่ีท้ายทอย แผลสาหัสถึงกับสลบไป ปืนก็หาย พอ ม. ฮันเตอร์ทราบเรื่อง 1 รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่กองย้ายเมืองจันทบุรีไปตั้งที่บ้านเนินวง ซ่ึงอยู่ในที่สูง พร้อมทั้งสร้างป้อมปราการ ใน พ.ศ. ๒๓๗๗ เพื่อป้องกันการรุกรานจากญวน โดยรื้อศิลาแลงและอิฐของก�ำแพง เมืองจันทบุรีเก่าไปสร้างบนก�ำแพงค่ายวางปืนใหญ่เรียงรายโดยรอบ ปัจจุบันอยู่ในพื้นท่ีต�ำบลบางกะจะ อ�ำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี 2 คือ เรือเอริล (Ariel) นอกจากนี้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ขณะเป็นหลวงนายสิทธ์ิ และเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) บิดา ยังต่อเรือก�ำปั่นใบท่ีจันทบุรีอีก ๓ ล�ำ ใน พ.ศ. ๒๓๗๘ คือ เรือคองเคอเลอ เรือคาลิโดเนีย และเรือวิกตอรี

128 ประชมุ พงศาวดารฉบับกาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑๖ ฉวยปืนได้ก็วิ่งไปช่วยกัปตันเวลเลอร์ คิดเคืองพระเป็นอันมาก ไปถึงก็ว่าพระเสียต่าง ๆ นา ๆ แต่ ม. ฮันเตอร์เป็นผู้ท่ีมีคนยำ�เกรงมาก หาไม่ก็คงจะโดนพระตีเข้าอีก พอกัปตันเวลเลอร์ได้สติ ม. ฮันเตอร์ ก็ช่วยพยุงให้เดินมาที่บ้านพวกมิชชันนารี ทั้งยังเปรอะเปื้อนเลือดอยู่ ในระหว่างที่หมอบรัดเลจัดการ พันแผลอยู่นั้น กัปตันเวลเลอร์ยังเป็นลมสลบไปอีกหลายครั้ง ม. ฮันเตอร์ได้รีบไปหาปอร์ดกัปตัน (หมายความว่าเจ้าท่า) แลคาดคั้นว่าให้นำ�เรื่องนี้ขึ้นชำ�ระให้จงได้ ปอร์ดกัปตันตกใจ จึงรีบนำ�คดีไปเสนอ ต่อผู้ช่วยเจ้าพระยาพระคลัง วันที่ ๙ กนั ยายน พ.ศ. ๒๓๗๘ วันน้หี มอบรดั เลไปเยี่ยมกปั ตันเวลเลอร์ พบกำ�ลังนอน แต่อาการ ค่อยยังชั่วมากแล้ว ในเร่ืองน้ีเจ้าหน้าท่ีกำ�ลังไต่สวนกันอย่างเอาจริงเอาจัง ม. ฮันเตอร์คาดค้ันจะเอาเร่ือง ให้ได้ วันที่ ๑๑ กันยายน พ.ศ. ๒๓๗๘ วนั น้ี ม. ฮนั เตอร์เตอื นขอให้รีบช�ำ ระเรือ่ งพระตกี ปั ตันเวลเลอร์อีก มีข่าวว่าในหลวงได้ตรัสสั่งให้พระราชาคณะ1 ประชุมหารือตัดสินอธิกรณ์นั้นโดยเร็ว วนั ที่ ๑๒ กนั ยายน พ.ศ. ๒๓๗๘ นายกล่ิน (เจา้ ของท)ี่ มาขบั ไล่พวกมิชชันนารีอกี ว่าถ้าในหลวง เสด็จผ่านมาเห็นเข้า ตัวเขาจะต้องถูกลงพระราชอาญาอย่างหนัก แลอีกราว ๒๐ วันในหลวงจะ เสด็จพระราชดำ�เนินทางชลมารคมายังวัดเกาะ ฉะนั้นขอให้พวกมิชชันนารีรีบย้ายไปเสียก่อนกำ�หนด เสด็จพระราชดำ�เนินนี้ให้ได้ วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๓๗๘ วันนี้สมเด็จพระสังฆราช2 ลงทัณฑกรรมพระสงฆ์ท่ีตีกัปตัน เวลเลอร์ โดยให้นั่งกลางแดดครึ่งวัน แลทัณฑกรรมอย่างอ่ืนอีก แล้วได้มีประกาศของสมเด็จพระสังฆราช ออกหา้ มมิใหพ้ วกพระสงฆเ์ กะกะวนุ่ วายกับพวกฝรัง่ อกี ตอ่ ไป 1 Bangkok Calendar ฉบับ ค.ศ. ๑๘๗๐ หน้า ๙๗ หมอบรัดเล ใช้ค�ำว่า “High Priest of the Kingdom who is his brother” หมายถึง เจ้าฟ้ามงกุฎ (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ขณะนั้นทรงพระผนวช มีพระนาม ฉายาว่า วชิรญาโณ ทรงเป็นท่ีรู้จักในหมู่ชาวตะวันตกในพระนาม เจ้าฟ้าใหญ่ 2 คือ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน)

จดหมายเหตเุ ร่อื งมชิ ชันนารีอเมรกิ นั เขา้ มาประเทศสยาม 129 พระยาพพิ ัฒนโ์ กษา (บญุ ศรี บุรณศริ ิ ตอ่ มาคือเจา้ พระยาสธุ รรมมนตร)ี วันท่ี ๑๘ กันยายน พ.ศ. ๒๓๗๘ วันนี้พวกมิชชันนารีไปหาผู้ช่วยเจ้าพระยาพระคลัง ร้องทุกข์ เร่ืองพวกจีนทำ�เสียงอึกทึกต่าง ๆ อันเป็นเคร่ืองหนวกหู ผู้ช่วยเจ้าพระยาพระคลัง (พระยาพิพัฒน์)1 รับรองเป็นอันดี แลว่าจะต้องประชุมเจ้าหน้าท่ีฝ่ายปกครองขอให้จัดการเรื่องน้ีให้ พวกมิชชันนารีรู้สึกดีใจ แลขอบใจผู้ช่วยเจ้าพระยาพระคลังในเรื่องนี้มาก วันที่พวกมิชชันนารีไปหาผู้ช่วยเจ้าพระยาพระคลังนี้ ว่ามีเทศน์ด้วย (เห็นจะเป็นวันพระ) วันที่ ๒๐ วันน้ีเป็นวันเกิดของ ม. ฮันเตอร์ ๆ มีการเลี้ยงโต๊ะท่ีบ้าน ได้เชิญพระยาศรีพิพัฒน์ 2 แลบุตรชายหัวปี* ของท่านมากินเล้ียงด้วย บุตรชายหัวปีของพระยาศรีพิพัฒน์ผู้นี้ พวกมิชชันนารีว่าเป็น ขา้ ราชการผ้ใู หญฝ่ า่ ยทหาร วนั ที่ ๒๖ กันยายน วันนี้มคี นป่วยมาก วันท่ี ๓๐ กันยายน วันน้ีผู้ช่วยเจ้าพระยาพระคลังเชิญเรเวอเรนต์รอบินสัน กับยอนสันไปท่ีบ้าน เพ่ือฟังคำ�เด็ดขาดเรื่องพวกมิชชันนารีจะต้องย้ายท่ีอยู่ในภายในกำ�หนด ๕ วัน พวกมิชชันนารีจึงต้อง ไปเช่าบ้านเลก็ ๆ ของเรเวอเรนตโ์ ยนสอ์ ยหู่ ลงั หน่งึ กบั บา้ นของ ม. ฮันเตอร์ อีก ๒ หลงั 1 Bangkok Calendar ฉบับ ค.ศ. ๑๘๗๐ หน้า ๙๙ หมอบรัดเล ใช้ค�ำว่า “Second Phra Klang, Pee pipat” น่าจะหมายถึง พระยาพิพัฒนโ์ กษา (บญุ ศร)ี ราชปลัดทลู ฉลองกรมทา่ สมัยรัชกาลที่ ๔ โปรดเกลา้ ฯ ต้งั เปน็ พระยามหาอ�ำมาตย์ ต่อมาเป็นเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี เสนาบดีจตุสดมภ์ กรมวัง สมัยรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้า ฯ ต้ังเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี ถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ. ๒๔๑๗ อายุ ๘๖ ปี เป็นต้นสกุล บุรณศิริ 2 คอื พระยาศรีพพิ ฒั น์รัตนราชโกษา (ทตั บนุ นาค) ต่อมาคือ สมเดจ็ เจ้าพระยาบรมมหาพิชยั ญาติ * คอื พระสุรยิ ภักดี (สนธิ ) (นามเดิม สนทิ บุนนาค ถงึ แก่กรรมเมือ่ พ.ศ. ๒๓๘๑ - บ.ก.)

130 ประชมุ พงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เลม่ ๑๖ วันท่ี ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๗๘ เม่ือพวกมิชชันนารีจะต้องย้ายจากที่อยู่เดิมเช่นนี้ จึงต้องไป อาศัยบ้านเรเวอเรนต์โยนส์อยู่บ้าง ม. ฮันเตอร์อยู่บ้างไปพลางก่อน จนกว่าจะหาที่อยู่ได้เป็นปรกติ เรเวอเรนต์รอบินสันไปพักอยู่กับพวกปอตุเกต เรเวอเรนต์ยอนสันไปอยู่ที่แพ ซ่ึงพวกมิชชันนารีซื้อไว้ ว่าจะทำ�ร้านขายยา หมอบรัดเลกับครอบครัวไปอยู่ในบ้านสันตครูส์ 1 (กุฎีจีน) พอรู้ข่าวว่าพวกมิชชันนารี จะต้องย้ายไปเช่นนี้ พวกคนป่วยพากันเสียดายเป็นอันมาก พวกมิชชันนารีจะย้ายไปในวันนี้แล้ว แต่บุตรีของเรเวอเรนต์ยอนสัน (มารี) ป่วยมาก จึงต้องผลัดไปอีก เร่ืองที่ถูกย้ายสถานท่ีน้ี เพราะรัฐบาล รังเกียจด้วยพวกมิชชันนารีอยู่ในระหว่างบ้านของพวกจีน แลเป็นท่ีนับถือของพวกจีนมากด้วย เกรงวา่ เมื่อพวกมิชชันนารีมีพวกมาก ๆ แล้ว จะชักชวนพวกจีนก่อการกำ�เริบขึ้น วันท่ี ๕ ตุลาคม พวกมิชชันนารีต้องย้ายไปวันน้ี เพราะหมดกำ�หนดท่ีผลัดไว้ ถึงแม้ว่าลูกสาว ของเรเวอเรนต์ยอนสันเจ็บจวนจะตาย เรเวอเรนต์รอบินสันได้ย้ายไปอยู่กับพวกปอตุเกต ใกล้กับโรงสวด ตัง้ แตเ่ มอื่ วันที่ ๒ แลว้ วันที่ ๖ ตุลาคม วันนี้ลูกของเรเวอเรนต์ยอนสันตาย วันที่ ๗ ตุลาคม วันน้ีได้จัดการฝังศพผู้ท่ีตาย ใกล้กับที่ ๆ ฝังศพของเมีย ม. กัตส์ลาฟแลศพ ของคนอน่ื ๆ ซ่ึงได้ฝงั ไวใ้ นกาลกอ่ น เรเวอเรนต์ยอนสันกับภรรยา มาอยู่กับพวกมิชชันนารีได้ ๕ วัน แล้วก็กลับไปพักยังแพ ทไ่ี ปอยู่นัน้ อีก (แพหลังน้จี อดอยู่หนา้ กุฎจี นี ) 1 บ้านซางตาครู้ส อยู่ริมแม่น�้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ใกล้วัดประยุรวงศาวาสและวัดกัลยาณมิตร เป็นชุมชนชาวคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก เชื้อสายโปรตุเกส หรือท่ีเรียกกันว่า ฝร่ังกุฎีจีน เพราะอยู่ใกล้กับวัดจีนและศาลเจ้าเกียงอันเก๋ง ซางตาครู้สเป็นภาษาโปรตุเกส แปลว่า มหากางเขน บ้านซางตาครู้ส มีอาณาเขตใกล้กับท่ีดินของตระกูลบุนนาคสายสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) สืบต่อมาถึงเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค)

จดหมายเหตเุ รอ่ื งมิชชนั นารีอเมริกันเข้ามาประเทศสยาม 131 ต่อมาพวกมิชชันนารีย้ายไปอยู่ทางฝั่งคลองอีกฟากหนึ่งใกล้กับพวกปอตุเกต มีห้างอังกฤษ1 อยู่ในระหว่างกลาง (ท่ี ๆ ว่าน้ีอยู่ริมน้�ำหน้าวัดประยุรวงศ์) พวกมิชชันนารีได้ท�ำสัญญาเช่ากับเจ้าพระยา พระคลัง เจ้าพระยาพระคลังปลูกเรือนให้พวกมิชชันนารีอยู่ ๒ หลัง เป็นเรือนขนาดใหญ่ คิดเอาค่าเช่า เดือนละ ๖๕ บาท พวกมิชชันนารีไม่เห็นว่าแพงนัก เม่ือคิดเทียบกับเรือนท่ีพวกลอนดอนมิชชันนารีเช่า อยู่ท่ีสิงคโปร์แลปินังก็เห็นว่าดีกว่า ด้วยเรือน ๒ หลังน้ีเป็นเรือนไม้ มุงด้วยกระเบ้ืองอย่างวัดมีระเบียงรอบ ท�ำแข็งแรงดี วันท่ี ๑๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๓๗๘ วันน้ีพวกมิชชันนารีไปอยู่ในเรือปิรามัส เพื่อคอยดูในหลวง เสด็จพระราชด�ำเนินทางชลมารคไปพระราชทานกฐินตามอารามต่าง ๆ ซ่ึงอยู่ริมน้�ำ พระองค์เสด็จไป โดยเรอื กนั ยาปดิ ทอง ยาวประมาณ ๑๐๐ ฟติ กว้างประมาณ ๖ หรือ ๘ ฟิต หัวท้ายปิดทอง ตรงกลาง มีพระแท่นที่ประทับ ในหลวงประทับบนพระแท่น มีม่านปิดรอบพระแท่น มีฝีพายประมาณ ๖๐ คน น่ังเป็นคู่ ๆ พายพร้อม ๆ กัน แลมีคนตีฆ้องคอยให้จังหวะพาย2 ด้วย มีเรืออีกล�ำหน่ึงร้องเพลง (เห่) ตามเสด็จมาข้างหลังเรือทรง (คือเรือไตรพระกฐินควรจะไปข้างหน้า) นอกจากเรือทรงนี้แล้ว ยังมีเรือ ขนาดใหญ่อกี ประมาณ ๖๐ ล�ำ อยหู่ นา้ เรอื พระท่ีน่ังบ้าง ตามมาข้างหลังบ้าง เป็นกระบวนใหญ่ ตามธรรมเนียมไทยแต่โบราณ ถือกันว่าเป็นการไม่สมควรยิ่งนัก ที่คอยจ้องมองดูในหลวงซึ่งเสด็จ ผ่านมา ฉะน้ันเม่ือเสด็จไปถึงไหน พวกที่แอบดูต้องหลบไปหมด ประตูหน้าต่างก็ต้องปิด เรือแพนาวา จะผา่ นไปมาไมไ่ ด้ ผูท้ ่ตี อ้ งการจะดูจรงิ ๆ ต้องคอยระวัง คอื เม่ือเสด็จผา่ นมาตรงตัว ตอ้ งหมอบกม้ หนา้ ลง ทำ�ความเคารพ แต่พวกฝรั่งได้รับความผ่อนผันให้ยืนดูได้ แต่ต้องเปิดหมวกถวายคำ�นับ พวกฝร่ังได้รับ ผ่อนผันพิเศษเช่นน้ี หมอบรัดเลเลยถือโอกาสดูในหลวงเสียพอใจทางช่องกระจกเรือปิรามัส ปอดกัปตัน เกรงว่าเรเวอเรนต์ยอนสันกับภรรยาซึ่งอยู่ท่ีแพ จะปล่อยให้คนใช้แลพวกเด็ก ๆ ไปยืนดูในหลวง จึงไปวางยามไว้คอยห้าม แลสั่งอย่าให้อึง 1 ห้างของรอเบิร์ต ฮันเตอร์ (Robert Hunter) ตึกเช่าหน้าวัดประยุรวงศาวาสเป็นห้างค้าขายแห่งแรกของชาวตะวันตก ในกรุงเทพ ฯ 2 Bangkok Calendar ฉบับ ค.ศ. ๑๘๗๐ หน้า ๑๐๒ หมอบรดั เล ใช้ค�ำวา่ “Two tall signal - staffs in each boat of the royal guards which raised and fell striking on the boat at every stroke of the paddle” น่าจะหมายถงึ คนกระทุ้งเส้า ใหจ้ งั หวะ

132 ประชุมพงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เล่ม ๑๖ เจา้ พระยาพระคลัง (ดศิ บุนนาค ต่อมาคอื สมเด็จเจา้ พระยาบรมมหาประยูรวงศ)์ พระยาศรพี ิพัฒนร์ ตั นราชโกษา (ทัต บุนนาค ต่อมาคอื สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาต)ิ

จดหมายเหตเุ ร่อื งมิชชันนารีอเมรกิ ันเขา้ มาประเทศสยาม 133 วันท่ี ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๗๘ วนั นีม้ ีขนุ นางไทยหนมุ่ คนหน่งึ มาหาพวกมชิ ชนั นารี ขนุ นางหนมุ่ ผู้น้ี พวกมิชชันนารีกล่าวว่า ท่าทางคมขำ� เฉียบแหลม พูดจาไพเราะ เมื่อแรกมาถึงได้สนทนากับพวก มิชชันนารีอยู่สักพักหนึ่ง ครั้นจวนจะกลับ จึงได้สนทนากับยอนแบบติสต์ ผู้ช่วยในร้านขายยา ตอนท่ีคุย กับยอนแบบติสต์น้ีเอง ขุนนางหนุ่มคนนั้นได้บอกว่า ตัวท่านคือหลวงนายสิทธิ์ 1 (คือสมเด็จพระยาบรม มหาศรีสุริยวงศ) บุตรหัวปีของเจ้าพระยาพระคลัง เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ 2 เพิ่งกลับมาจาก จันทบุรี โดยเรอื ที่ไปต่อมาจากที่น่ัน ซ่ึงได้ให้ชื่อว่า “อาเรยี ล” ส่วนบิดาของท่านยงั คงอยู่ทีจ่ ันทบรุ ี เมื่อพวก มิชชันนารีรู้เข้าเช่นนี้ จึงเช้ือเชิญให้ท่านอยู่สนทนากันอีกก่อน ท่านก็ยอมอยู่สนทนาด้วยอีกครู่หน่ึง ขณะเมื่อจะลาไปได้เชิญให้พวกมิชชันนารีไปเที่ยวที่บ้านของท่าน3 บ้าง วันท่ี ๒๔ ตุลาคม วันนี้พวกมิชชันนารี ได้ไปหาหลวงนายสิทธิ์ยังบ้านของท่าน บ้านของหลวง นายสิทธ์ิน้ี หมอบรัดเลกล่าวว่าใหญ่โตงดงามมาก ท่ีหน้าบ้านเขียนป้ายติดไว้ว่า “น่ีบ้านหลวงนายสิทธิ์ ขอเชิญท่านสหายท้ังหลาย” ท่ีบ้านหลวงนายสิทธ์ินี้ พวกมิชชันนารีได้รู้จักคนดี ๆ อีกหลายคน ข้อน้ีพวก มชิ ชนั นารรี สู้ กึ ชอบพอแลรกั ใคร่ท่านมาก 1 ค�ำว่า หลวงนายสิทธ์ิ เป็นค�ำสามัญใช้เรียกต�ำแหน่งนายเวรมหาดเล็กเวรสิทธ์ิ ท่ีเรียกอย่างเป็นทางการว่า หลวงสิทธ์ิ นายเวร หากเรียกอย่างย่อก็เรียกว่า “หลวงนาย” และเรียกต�ำแหน่งหัวหม่ืนมหาดเล็กว่า “พระนาย” ผู้ที่ด�ำรงต�ำแหน่ง หลวงนายสิทธใ์ิ นขณะน้ัน คอื ช่วง บุนนาค ตอ่ มาคือ สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ิยวงศ์ ผสู้ �ำเรจ็ ราชการแผ่นดนิ ในรชั กาลท่ี ๕ 2 หมายถึง เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) ด�ำรงต�ำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลังและว่าที่สมุหพระกลาโหมด้วย กรมพระคลังดูแลเก่ียวกับการจัดเก็บเงินรายได้แผ่นดิน การค้าขายและดูแลกรมท่า ซึ่งเป็นกรมข้ึน กรมท่ามีหน้าท่ีเกี่ยวกับ การต่างประเทศและดูแลหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออก ส่วนกรมพระกลาโหมมีหน้าท่ีดูแลหัวเมืองปักษ์ใต้ ระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๓๗๗ - มถิ ุนายน พ.ศ. ๒๓๗๙ เมือ่ เจา้ พระยาพระคลงั (ดิศ บุนนาค) ออกไปจนั ทบุรี เป็นแม่กองสร้างเมืองป้อมใหม่ท่ีต�ำบลเนินวง รวมทั้งต่อเรือรบด้วย ขณะน้ันมีผู้รักษาราชการแทนท่ีกรุงเทพ ฯ คือ พระยาศรีพพิ ฒั นร์ ัตนราชโกษา (ทัต บนุ นาค) จางวางกรมพระคลงั สินค้า รักษาราชการแทนในกรมพระคลัง พระยาพพิ ัฒน์โกษา (บญุ ศรี บุรณศิริ) ราชปลดั ทลู ฉลองกรมท่า รักษาราชการแทนในกรมท่า พระยาเทพอรชุน ราชปลัดทูลฉลองกรมพระกลาโหม รักษาราชการแทนในกรมพระกลาโหม (ท่านผู้น้ี รัชกาลที่ ๕ ทรงสันนิษฐานวา่ ชื่อ บุญถงึ เป็นบรรพบรุ ษุ ของสกุล สุนทรารชุน เป็นปขู่ องเจา้ พระยาศรวี ิไชยชนินทร์ (ชม) ตน้ สกุล สุนทรารชุน) เหตุที่ระบุว่า เจ้าพระยาพระคลังเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ เน่ืองจากในสมัยรัตนโกสินทร์ ราชการของ กรมทา่ มีความเก่ียวขอ้ งกับการคา้ ต่างประเทศ 3 อยู่ฝ่ังธนบุรี ปจั จุบันคือ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั บา้ นสมเด็จเจ้าพระยา

134 ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑๖ วันท่ี ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๗๘ พวกมิชชันนารีไปชมเรือใบอาเรียล ซ่ึงต่อมาจากเมืองจันทบุรี มาถงึ ได้ ๒ - ๓ วนั เท่าน้นั จะน�ำมาถวายให้ในหลวงทอดพระเนตร พวกมชิ ชันนารกี ล่าววา่ เรืออาเรียลน้ี เป็นเรือล�ำแรกท่ีท�ำเทียมเรือฝร่ัง หลวงนายสิทธิ์ไม่มีแบบดี แต่เที่ยวได้จ�ำแบบจากเรือฝรั่งล�ำโน้นนิด ล�ำนี้หน่อย แล้วมาท�ำข้ึน ถึงเช่นนั้นนับว่าท�ำพอใช้ทีเดียว หลวงนายสิทธิ์ผู้น้ีเป็นคนฉลาดไหวพริบนัก คนไทยออกจะฉลาดเทียมฝรั่งแล้ว นอกจากเรืออาเรียลท่ีน�ำมาถวายทอดพระเนตร หลวงนายสิทธิ์ยังได้ ต่อเรืออื่น ๆ ท่ีเมืองจันทบุรีนั้นอีกเป็นจ�ำนวนมาก น�้ำหนักตั้งแต่ ๓๐๐ ตัน ถึง ๔๐๐ ตัน ภรรยาของหลวงนายสิทธิ์ 1 (ชื่อท่านผู้หญิงกลิ่น) นิสัยคล้ายกับสามี ชอบสมาคมกับชาว ต่างประเทศได้ชอบพอรักใคร่กับนางแบบติสต์มาก ถึงกับเคยไปนอนค้างที่บ้านนางแบบติสต์ กินหมากติด 2 เรเวอเรนต์โยนส์มีลูก ๓ คน แต่ ๒ คนก่อน พออายุได้ ๑๐ เดือนเศษก็ตายเสียเช่นเดียวกัน ทั้ง ๒ คน เวลาน้ีเหลืออีกคนเดียว เป็นคนท่ี ๓ ชื่อ ฮอวาร์ด คนนี้อีกนะแหละไม่ใคร่จะสมประกอบ ป่วย ๆ ไข้ ๆ อยู่เสมอ จึงได้มอบให้หมอบรัดเลเป็นผู้คอยรักษา ลูกของพวกมิชชันนารีมักไม่ค่อยจะรอด ขอ้ นีเ้ ปน็ ของธรรมดาดแู ตล่ ูกของรอบินสันตายเหมอื นกนั เน่อื งด้วยลูกเจ็บ ๆ ไข้ ๆ น้ี นางโยนสค์ ดิ จะเอาลูก ไปไว้ในเรือลำ�หนึ่งซึ่งทอดอยู่นอกสันดอน แลถ้ายังไม่ค่อยยังชั่วก็จะได้ให้เลยไปอยู่เสียที่สิงคโปร์ทีเดียว เรื่องเด็กของพวกมิชชันนารีเลี้ยงยากนั้น หมดบรัดเลออกความเห็นไว้ว่า เป็นเพราะแม่บำ�รุงรักษา ไม่ดี อากาศก็ไม่ดีด้วย บิดามารดามักไปอยู่เสียท่ีสิงคโปร์ ทิ้งลูกไว้ทางน้ีบ้าง อน่ึง แม่นมไทยก็เต็มที ไม่คอ่ ยจะมวี ธิ ีอะไรมากนกั นอกจากจะหาของต่าง ๆ ให้เดก็ กิน กันเดก็ ร้องไหเ้ ท่าน้นั เมื่อพเ่ี ลี้ยงนางนมไทย ไม่มีความรู้ในทางเลี้ยงเด็กเช่นน้ีแล้ว บิดามารดาของเด็กยังไว้ใจเช่ือถือก็นับว่าเป็นความผิดของบิดา มารดาเอง วันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๗๘ วนั น้เี ปิดหา้ งขายยาใหม่ท่บี า้ นพวกมชิ ชันนารี ห้องหบั จดั สะอาด สะอา้ นเรยี บร้อยดี มีหอ้ งเหลืออีกห้องหนงึ่ จงึ จดั เปน็ ห้องส�ำ หรับผสมยา 1 หลวงนายสิทธ์ิ (ช่วง บุนนาค) มีภรรยา ๓ คน คือ ท่านกล่ิน ท่านพัน และ ท่านหยาด ในที่น้ีหมายถึงท่านกลิ่น เป็นธิดาของหลวงแก้วอาญัติ (นามเดิม จาด เป็นบุตรของเจ้าพระยาอัครมหาเสนา บุนนาค) กับท่านลิ้ม ท่านกล่ินต่อมาเป็น ท่านผู้หญิงกลิ่น มีบุตรธิดา ๔ คน คืิอ คุณชายวร (เจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์) คุณหญิงกลาง (ต่อมาเป็นภริยาพระยาสีหราช ฤทธไิ กร แย้ม บุณยรัตพันธุ์) คุณหญิงเล็ก และคุณหญิงปิ๋ว ส่วนท่านพันและท่านหยาด ไม่มีบุตรธิดา 2 Bangkok Calendar ฉบับ ค.ศ. ๑๘๗๐ หนา้ ๓๔ หมอบรัดเลอธิบายว่า ท่านกลิ่นมีผู้ติดตาม ๔ คน คอยพายเรือ และถือหีบหมากและของใช้อื่น ๆ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook