Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนวิทยาศาสตร์ สสวท ป.4 เทอม 2

แผนวิทยาศาสตร์ สสวท ป.4 เทอม 2

Published by mppmiw, 2022-09-20 11:08:34

Description: แผนวิทยาศาสตร์ สสวท ป.4 เทอม 2

Search

Read the Text Version

แผนการจดั การเรยี นรรู้ ายวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ภาคเรยี นที่ 2 โดย นางสาวฐติ นิ ันท์ บุญอาจ ตำแหน่ง ครู โรงเรยี นวัดแหลมเขาจนั ทร์ (รฐั ประชาสามัคคี) ต.เขาหินซอ้ น อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชงิ เทรา สพป.ฉะเชงิ เทรา เขต2

หนว่ ยที่ 4 วสั ดุและสสาร

แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 1 กลุม่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวิชา ว 14101 ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 เรื่อง วสั ดแุ ละสสาร เวลา 1 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 วัสดุและสสาร เวลาเรยี น 21 ช่ัวโมง ครูผู้สอน นางสาวนวฉัตร นาเมอื งรกั ษ์ สอนวนั ที่ …..….. เดอื น ….………… พ.ศ. …..………. โรงเรยี นชุมชนวดั บ้านระกาศ สำนกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมทุ รปราการ เขต 2 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ / ตวั ชีว้ ัด สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ตวั ชวี้ ัด ป. 4/1 เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการ นำไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่องความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการนำไฟฟ้าของวสั ดุไปใช้ในชวี ิตประจำวนั ผา่ นกระบวนการออกแบบชิน้ งาน ป. 4/2 แลกเปลย่ี นความคิดกับผู้อน่ื โดยการอภิปรายเก่ยี วกับสมบตั ิทางกายภาพของวัสดุ อยา่ งมีเหตุผลจากการทดลอง 2. สาระสำคญั ความแข็ง สภาพยืดหย่นุ การนาความรอ้ น และการนาไฟฟา้ เป็นสมบตั ิทางกายภาพของวสั ดุ ซ่งึ วสั ดุ แตล่ ะชนิดมีสมบตั แิ ตกตา่ งกนั จงึ นามาใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั ไดแ้ ตกตา่ งกนั 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพของวัสดใุ นด้านความแขง็ สภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการนำ ไฟฟ้า 2. อธบิ ายการนำสมบัติทางกายภาพของวสั ดุในดา้ นความแข็ง สภาพยืดหยนุ่ การนำความรอ้ นและการนำ ไฟฟ้าไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั 3. เลือกใชว้ สั ดุอยา่ งเหมาะสมตามสมบตั ทิ างกายภาพในการออกแบบหรอื สรา้ งชิ้นงาน 4. สาระการเรยี นรู้

ความแข็งของวัสดุ คอื ความทนทานต่อการเกิดรอยของวัสดุเมื่อมแี รงมากระทำ ทดสอบโดยการนำวัสดุมา ขดู ขดี กัน สังเกตรอยทีเ่ กิดขึน้ บนเน้อื วัสดุ สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัสดุ เมื่อมีแรงมากระทำ และสามารถกลับสู่สภาพ เดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทำ ทดสอบโดยการออกแรงดึงวัสดุและหยุดออกแรงสังเกตการเปลี่ยนแปลงสภาพของ วสั ดุ การนำความร้อน คือการถ่ายโอนความร้อนผ่านอนุภาคของวัสดุจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยัง บริเวณทม่ี อี ุณหภมู ิตำ่ กว่า วัสดทุ ี่ความร้อนถา่ ยโอนผา่ นได้ดี เรยี กว่า ตวั นำความรอ้ น วัสดุที่ความร้อนถ่ายโอนผ่านได้ไม่ดี หรือไม่ถ่ายโอนความร้อน เรียกว่า ฉนวนความร้อน ทดสอบโดยการให้ความ ร้อนแกว่ ัสดุแล้ว สังเกตการเปลย่ี นแปลง อุณหภมู ิของวัสดุ วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติ แตกต่างกัน เนื่องจากองค์ประกอบของวัสดุนั้น วัสดุบางชนิดประกอบด้วย สาร ชนดิ เดียว วัสดุบางชนิด ประกอบดว้ ยสารหลายชนดิ จึงนำ มาใช้ประโยชนใ์ น ชวี ติ ประจำวนั 5. สมรรถนะที่สำคญั ของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. กจิ กรรมการเรียนรู้ ขน้ั สร้างความสนใจ (5 นาที) 1. ครูทบทวนความหมายและชนิดของวัสดุโดยให้นักเรียนสังเกตวัตถุหรือสิ่งของที่อยู่รอบ ๆ ตัว เช่น หนังสือ แก้วน้ำ ปากกา รองเท้านักเรียน ไม้บรรทัดสเตนเลส ตุ๊กตา แล้วอภิปรายเกี่ยวกับวัตถุแต่ละชิ้นว่าทำมา จากวสั ดอุ ะไร ขั้นสำรวจและค้นหา (20 นาที) 2. ครนู ำอภปิ รายคำตอบในตารางตามแนวคำถาม ดงั นี้ 2.1 วัตถแุ ตล่ ะชนดิ ทำจากวัสดอุ ะไรบา้ ง (ตัวอย่าง คำตอบ เชน่ กระดาษ แกว้ พลาสตกิ หนัง โลหะ ผา้ ) 2.2 วสั ดุคืออะไร (วสั ดุ คือ ส่ิงท่ีนำมาประกอบกนั เป็นวตั ถุหรอื สง่ิ ของต่าง ๆ) 2.3 วสั ดอุ ืน่ ๆ ทน่ี กั เรียนรจู้ ักมอี ะไรบ้าง (ตัวอยา่ งคำตอบ เช่น คอนกรตี เส้นใย เหลก็ ทองแดง ไม)้ 2.4 วสั ดุเหล่าน้ีใช้ทำวัตถอุ ะไรบา้ ง (คำตอบสอดคลอ้ งกบั วสั ดุท่นี กั เรยี นตอบในข้อ 2.3 เช่น คอนกรีตใช้ทำกระเบือ้ งมงุ หลงั คา ทำพ้นื อาคาร เสน้ ใยใช้ทอเปน็ ผ้า ทองแดงใชท้ ำสายไฟฟา้ ไม้ใช้ทำโต๊ะ )

ข้นั อภปิ รายและลงข้อสรปุ (20 นาที) 3. ครชู ักชวนนกั เรียนศกึ ษาสมบตั ติ า่ ง ๆ ของวัสดุโดยนักเรียนอา่ น ชอื่ บท และ จุดประสงค์การเรยี นรู้ ใน หนังสือเรียน จากนั้นครูสอบถามว่าเมื่อจบบทเรียนนักเรียนจะสามารถทำอะไรได้บ้าง (เปรียบเทียบสมบัติทาง กายภาพของวัสดุ อธิบายการนำสมบัติทางกายภาพของวัสดุไปใช้และเลือกใช้วัสดุตามสมบัติทางกายภาพด้าน ความแข็ง สภาพยืดหย่นุ การนำความรอ้ นและการนำไฟฟ้า) 4. นักเรียนอ่าน แนวคิดสำคัญ จากนั้นครูสอบถามถึงเรื่องที่จะเรียนในบทเรียนนี้ (ในบทนี้เราจะเรียน เรื่องสมบัติทางกายภาพของวัสดุได้แก่ ความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการนำไฟฟ้ารวมถึงการนำ วสั ดมุ าใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจำวนั ) 5. นักเรียนอ่านเนื้อเรื่องในหนังสือเรียน หน้า 2 ครุใช้วิธีอ่านตามความเหมาะสมตามความสามารถของ นักเรียน จากนั้นสอบถามเพื่อประเมินความเข้าใจจากการอ่านโดยใช้แนวคำถามดังต่อไปน้ี 5.1 จากรูป มีอุปกรณ์ กีฬาอะไรบ้าง (ลูกฟตุ บอล ลูกบาสเกตบอล ลูกปงิ ปอง ลกู เทนนิส ลูกขนไก่ ไมต้ ลี กู ปิงปอง ไม้ตีลูกขนไก่) 5.2 นกั เรียนคดิ วา่ อุปกรณ์กฬี าแตล่ ะชนดิ ทำจากวสั ดุอะไร (นักเรยี นตอบตามความเข้าใจ) 5.3 นักเรียนคิดว่า วสั ดแุ ต่ละชนิดมสี มบัติอะไรบา้ ง (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจ) 5.4 การเรียนร้สู มบตั ขิ องวัสดุจะมีประโยชน์กบั เราอย่างไร (นักเรยี นตอบตามความเขา้ ใจ) ขน้ั ขยายความรู้ (5 นาท)ี 6. ครูชักชวนนักเรียนทำ สำรวจความรู้ก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบความรู้เดิมเกี่ยวกับสมบัติทางกายภาพ ของวัสดใุ นกิจกรรมน้ี 7. นักเรียนทำกจิ กรรมสำรวจความรู้กอ่ นเรียน ในแบบบันทึกกิจกรรม โดยอ่าน ช่อื หน่วย ชอ่ื บท ขน้ั ประเมนิ (10 นาท)ี 8. นักเรียนอ่านสถานการณ์และคำถาม ครูตรวจสอบจนแน่ใจว่านักเรียนเข้าใจคำถามแต่ละข้อและ สามารถทำได้ด้วยตนเอง จึงให้นกั เรียนตอบคำถาม โดยคำตอบของนกั เรียนแตล่ ะคนอาจแตกต่างกัน และอาจตอบ ถกู หรอื ผิดกไ็ ด้ 9. ครูรวบรวมคำตอบของนักเรียนเพ่ือตรวจสอบวา่ นกั เรียนมีแนวคิดเกีย่ วกับสมบัตทิ างกายภาพของวัสดุ และวิธีทดสอบอย่างไรบ้าง ครูยังไม่ต้องเฉลยคำตอบที่ถูกต้อง แต่จะให้นักเรียนย้อนกลับมาตรวจสอบคำตอบอีก ครั้งหลังเรียนจบบทนี้แล้ว (ครูอาจบันทึกแนวคิดคลาดเคลื่อนของนักเรียน แล้วนำมาออกแบบการจัดการเรียนรู้ เพอ่ื แกไ้ ขแนวคิดใหถ้ ูกต้องตอ่ ไป) 7. สื่อการสอน/แหลง่ เรียนรู้ 1. หนงั สือเรียน 2. แบบบนั ทึกกจิ กรรม 3. รูปภาพ 4. PowerPoint 8. การวดั และประเมนิ ผล

1. ประเมนิ การอภปิ รายในชนั้ เรยี น 2. ประเมนิ การเรยี นรจู้ ากคาตอบของนกั เรยี นระหวา่ งการจดั การเรยี นรแู้ ละจากแบบบนั ทกึ กจิ กรรม 3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จากการทากจิ กรรม ของนกั เรยี น

แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 2 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว 14101 ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 เร่อื ง ความแขง็ ของวสั ดุ เวลา 1 ชัว่ โมง หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 4 วสั ดุและสสาร เวลาเรยี น 21 ชวั่ โมง ครผู สู้ อน นางสาวนวฉตั ร นาเมอื งรักษ์ สอนวนั ท่ี …..….. เดอื น ….………… พ.ศ. …..………. โรงเรียนชุมชนวดั บา้ นระกาศ สำนกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสมทุ รปราการ เขต 2 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตวั ช้ีวดั สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัตขิ อง สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี ตวั ชี้วัด ป. 4/1 เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการ นำไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่องความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความรอ้ น และการนำไฟฟ้าของวสั ดไุ ปใช้ในชวี ติ ประจำวันผ่านกระบวนการออกแบบช้ินงาน ป. 4/2 แลกเปลยี่ นความคิดกับผ้อู น่ื โดยการอภิปรายเกย่ี วกับสมบัตทิ างกายภาพของวัสดุ อย่างมเี หตุผลจากการทดลอง 2. สาระสำคัญ ความแข็ง สภาพยดื หยนุ่ การนาความรอ้ น และการนาไฟฟา้ เป็นสมบตั ทิ างกายภาพของวสั ดุ ซง่ึ วสั ดุ แต่ละชนิดมสี มบตั ิแตกตา่ งกนั จึงนามาใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั ไดแ้ ตกต่างกนั 3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. ทดลอง อธิบายและเปรยี บเทยี บ ความแข็งของวัสดชุ นิดต่าง ๆ 2. สบื ค้นข้อมูลและยกตวั อยา่ งการนำสมบตั คิ วามแขง็ ของวสั ดมุ าใช้ประโยชนใ์ นชวี ิตประจำวัน 3. ตระหนกั ถึงความเหมาะสมและปลอดภยั ในการเลอื กใชว้ ัสดุ 4. สาระการเรยี นรู้ ความแขง็ ของวสั ดุ คอื ความทนทานต่อการเกิดรอยของวสั ดเุ ม่ือมีแรงมากระทำ ทดสอบโดยการนำวัสดุมา ขดู ขีดกัน สังเกตรอยท่ีเกดิ ข้ึนบนเน้อื วสั ดุ สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัสดุ เมื่อมีแรงมากระทำ และสามารถกลับสู่สภาพ เดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทำ ทดสอบโดยการออกแรงดึงวัสดุและหยุดออกแรงสังเกตการเปลี่ยนแปลงสภาพของ วัสดุ

การนำความร้อน คือการถ่ายโอนความร้อนผ่านอนุภาคของวัสดุจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยัง บรเิ วณที่มีอุณหภมู ิตำ่ กวา่ วสั ดุทคี่ วามรอ้ นถา่ ยโอนผา่ นได้ดี เรียกว่า ตัวนำความร้อน วัสดุที่ความร้อนถ่ายโอนผ่านได้ไม่ดี หรือไม่ถ่ายโอนความร้อน เรียกว่า ฉนวนความร้อน ทดสอบโดยการให้ความ รอ้ นแก่วสั ดแุ ลว้ สังเกตการเปลย่ี นแปลง อุณหภมู ิของวัสดุ วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติ แตกต่างกัน เนื่องจากองค์ประกอบของวัสดุนั้น วัสดุบางชนิดประกอบด้วย สาร ชนิดเดียว วัสดบุ างชนดิ ประกอบด้วยสารหลายชนดิ จึงนำ มาใช้ประโยชนใ์ น ชีวิตประจำวัน 5. สมรรถนะที่สำคัญของผเู้ รยี น 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต 6. กิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั สร้างความสนใจ (5 นาท)ี 1. นักเรียนสงั เกตแผน่ ไม้กบั ก้อนดนิ นำ้ มัน จากนั้นครตู รวจสอบความร้เู ดิมเกี่ยวกับความแข็งของวัสดุโดย ใช้คำถามดงั นี้ 1.1 แผ่นไม้ กับดนิ น้ำมนั มีสมบตั ิอะไรท่แี ตกตา่ งกนั (สี กล่ิน เนื้อวัสดุ ความแขง็ ) 1.2 นกั เรียนคิดวา่ วัสดุใดแข็งกวา่ กัน ทราบไดอ้ ยา่ งไร (นกั เรยี นตอบตามความเขา้ ใจ) 1.3 นกั เรียนคดิ วา่ ความแข็งคอื อะไร (นกั เรียนตอบตามความเขา้ ใจ) 1.4 นักเรยี นคิดว่าการทดสอบความแขง็ ทำไดอ้ ยา่ งไร (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจ) ครูเช่อื มโยงประสบการณเ์ ดมิ ของนักเรยี นสกู่ ารเรียนเรื่องความแข็งของวัสดุและชกั ชวนนักเรียนอา่ นเรื่องความแข็ง ของวสั ดุ ขั้นสำรวจและค้นหา (20 นาที) 2. นักเรียนอ่าน ชื่อเรื่อง และคำถามใน คิดก่อนอ่าน ในหนังสือเรียนหนา้ 4 แล้วร่วมกันอภิปรายในกลมุ่ เพือ่ หาคำตอบใน คิดก่อนอา่ น ครูบนั ทกึ คำตอบไว้บนกระดาน เพือ่ ย้อนกลบั มาตรวจสอบอีกคร้งั หลังจากอ่านเน้ือ เรื่องแลว้ 3. นักเรียนอ่านคำใน คำสำคัญ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (หากนักเรียนอ่านไม่ได้ ครูควรสอนการ อ่านให้ถูกต้อง) จากนั้นให้นักเรียนอธิบายความหมายตามความเข้าใจ และชักชวนให้หาความหมายที่ถูกต้อง หลังจากการอ่านเนอ้ื เรื่อง ข้ันอภปิ รายและลงข้อสรปุ (20 นาที)

4. นักเรียนอ่านเนื้อเรื่อง ครูใช้วิธีการอ่านที่เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน จากนั้นร่วมกัน อภิปรายใจความสำคัญตามแนวคำถามดังนี้ 4.1 พอเพียงและเพื่อนๆ ได้รับมอบหมายให้ทำอะไร (สืบค้นข้อมูล เกีย่ วกับวสั ดุทค่ี นในสมัยโบราณใช้) 4.2 สง่ิ ที่พอเพยี งและเพ่ือนๆ เลอื กสืบค้นคอื อะไร (สืบค้นวสั ดทุ ีใ่ ช้สรา้ งปราสาทหิน) 4.3 พอเพียงมวี ธิ ีสบื ค้นขอ้ มูลอย่างไร (สบื คน้ โดยใชโ้ ปรแกรมการดแู ผนท่บี นอินเทอรเ์ น็ต) 4.4 พอเพยี งและเพ่ือนๆ เลือกสืบค้นปราสาทหนิ ช่ืออะไร (ปราสาทหนิ พิมาย) 4.5 ปราสาทหินทำจากวัสดอุ ะไร (หิน) 4.6 หนิ นำมาใช้ทำส่วนใดของปราสาทหนิ บา้ ง (ทำตัวปราสาท ทางเดนิ ) 4.7 หนิ มสี มบตั อิ ย่างไรจึงนำมาใชท้ ำปราสาทหนิ (มีความแขง็ ) 4.8 ความแขง็ คืออะไร (ความทนทานตอ่ การขดู ขีดทำใหเ้ กดิ รอยได้ยาก) 4.9 อุปกรณ์แกะสลักหนิ ควรมีความแข็งมากกวา่ หรือน้อยกว่าหนิ (นักเรียนตอบตามความเข้าใจ) 5. ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปเรื่องที่อ่านซึ่งควรสรุปได้ว่าในสมัยโบราณคนนำหินมาสร้างปราสาทหิน เนื่องจากหินเป็นวัสดทุ ี่มคี วามแข็งมาก ความแขง็ คือความทนทานต่อการขูดขีดทำให้เกิดรอยได้ยาก ขั้นขยายความรู้ (5 นาที) 6. นกั เรยี นตอบคำถามใน ร้หู รือยัง ในแบบบันทึกกจิ กรรม ขน้ั ประเมนิ (10 นาที) 7. ครแู ละนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือเปรยี บเทียบคำตอบของนักเรยี นใน ร้หู รือยงั กับคำตอบท่ีเคยตอบ และบันทกึ ไวใ้ น คดิ ก่อนอา่ น และแกไ้ ขคำตอบท่ผี ดิ ในคดิ กอ่ นอ่านให้ถกู ต้อง 8. ครูชกั ชวนนักเรียนลองตอบคำถามท้ายเรื่องที่อ่าน ดงั น้ี เราทดสอบความแขง็ ของวัสดุไดอ้ ยา่ งไร ซ่งึ ควร ตอบไดว้ ่า นำวัสดแุ ต่ละชนิดมาขดู ขีดกนั วัสดทุ ี่แขง็ นอ้ ยกวา่ จะเกดิ รอย 7. สื่อการสอน/แหลง่ เรียนรู้ 1. หนังสือเรียน 2. แบบบนั ทึกกิจกรรม 3. รปู ภาพ 4. PowerPoint 5. แผ่นไม้ 6. แผ่นกระจก 7. แผ่นเหล็ก 8. แผ่นพลาสตกิ 9. แผ่นอะลูมิเนียม 8. การวัดและประเมนิ ผล

1. ประเมนิ ความรเู้ ดมิ จากการอภปิ รายในชนั้ เรยี น 2. ประเมนิ การเรยี นรจู้ ากคาตอบของนกั เรยี นระหวา่ งการจดั การเรยี นรแู้ ละจากแบบบนั ทกึ กจิ กรรม 3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จากการทากจิ กรรม ของนกั เรยี น

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 3 กลุม่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวิชา ว 14101 ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 เรอ่ื ง วสั ดุแต่ละชนิดมคี วามแข็งเปน็ อยา่ งไร เวลา 1 ชวั่ โมง หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 วัสดุและสสาร เวลาเรียน 21 ช่ัวโมง ครูผู้สอน นางสาวนวฉตั ร นาเมืองรกั ษ์ สอนวนั ท่ี …..….. เดอื น ….………… พ.ศ. …..………. โรงเรียนชุมชนวัดบา้ นระกาศ สำนกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ / ตัวชว้ี ดั สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี ตวั ช้ีวดั ป. 4/1 เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการ นำไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่องความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความรอ้ น และการนำไฟฟ้าของวัสดุไปใช้ในชีวิตประจำวันผ่านกระบวนการออกแบบชิ้นงาน ป. 4/2 แลกเปลย่ี นความคดิ กบั ผ้อู ืน่ โดยการอภปิ รายเกยี่ วกับสมบัตทิ างกายภาพของวัสดุ อย่างมเี หตผุ ลจากการทดลอง 2. สาระสำคัญ ความแข็ง สภาพยดื หย่นุ การนาความรอ้ น และการนาไฟฟา้ เป็นสมบตั ทิ างกายภาพของวสั ดุ ซ่งึ วสั ดุ แตล่ ะชนดิ มสี มบตั ิแตกตา่ งกนั จึงนามาใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั ไดแ้ ตกตา่ งกนั 3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. ทดลอง อธิบายและเปรยี บเทยี บ ความแขง็ ของวัสดุชนิดตา่ ง ๆ 2. สบื คน้ ขอ้ มูลและยกตัวอย่างการนำสมบัติความแขง็ ของวสั ดุมาใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวัน 4. สาระการเรยี นรู้ ความแข็งของวสั ดุ คอื ความทนทานต่อการเกิดรอยของวัสดเุ ม่ือมีแรงมากระทำ ทดสอบโดยการนำวัสดุมา ขดู ขดี กนั สังเกตรอยท่เี กดิ ขน้ึ บนเนอ้ื วัสดุ สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัสดุ เมื่อมีแรงมากระทำ และสามารถกลับสู่สภาพ เดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทำ ทดสอบโดยการออกแรงดึงวัสดุและหยุดออกแรงสังเกตการเปลี่ยนแปลงสภาพของ วัสดุ

การนำความร้อน คือการถ่ายโอนความร้อนผ่านอนุภาคของวัสดุจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยัง บริเวณท่ีมอี ุณหภมู ติ ่ำกว่า วสั ดุทีค่ วามรอ้ นถ่ายโอนผา่ นได้ดี เรยี กว่า ตัวนำความร้อน วัสดุที่ความร้อนถ่ายโอนผ่านได้ไม่ดี หรือไม่ถ่ายโอนความร้อน เรียกว่า ฉนวนความร้อน ทดสอบโดยการให้ความ รอ้ นแกว่ ัสดุแลว้ สังเกตการเปล่ยี นแปลง อณุ หภูมขิ องวสั ดุ วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติ แตกต่างกัน เนื่องจากองค์ประกอบของวัสดุนั้น วัสดุบางชนิดประกอบด้วย สาร ชนดิ เดียว วัสดุบางชนดิ ประกอบด้วยสารหลายชนิด จึงนำ มาใชป้ ระโยชนใ์ น ชีวิตประจำวัน 5. สมรรถนะท่ีสำคัญของผ้เู รียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 6. กิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั สร้างความสนใจ (5 นาท)ี 1. นักเรยี นแต่ละกลมุ่ สังเกตลกั ษณะกระเบ้ืองดินเผาและ กระเบือ้ งเคลือบ ครอู าจให้บางกลุ่มนำเสนอสิ่งที่ สังเกตเพื่อตรวจสอบทักษะการสังเกตใหต้ รงกัน แล้วถามต่อไปว่าวัสดุทั้งสองมีความแข็งตา่ งกันหรือไม่อย่างไร ครู รับฟังคำตอบที่อาจแตกตา่ งกัน (ครจู ดคำตอบท่นี ่าสนใจไวบ้ นกระดาน) 2. ครชู กั ชวนนักเรยี นให้คดิ และเสนอวิธีตรวจสอบว่าวัสดุ 2 ชนดิ น้ัน ชนดิ ใดแข็งกว่ากนั ซึ่งครูอาจช่วยโดย ให้นึกถึงเรื่องที่อ่านมาแล้ว เพื่อให้ได้ข้อเสนอว่าต้องนำวัสดุ 2 ชนิด มาขูดขีดกัน จากนั้นนำอภิปรายถึงวิธี ตรวจสอบความแขง็ ของวสั ดุ (นกั เรียนตอบตามความเข้าใจ เชน่ นกั เรยี นอาจจะตอบวา่ วสั ดทุ ี่แข็งนอ้ ยกว่า จะเกิด รอย) ขนั้ สำรวจและคน้ หา (15 นาท)ี 3. นักเรียนเริ่มทดสอบความแข็งของกระเบื้องดินเผาและกระเบื้องเคลือบโดยใช้วัสดุทั้งสองชนิดขีดกัน และกัน โดยออกแรงให้มากพอและ สังเกตรอยที่ลบไม่ออกบนผิววัสดุ อนึ่งก่อนการทดสอบครูควรให้นักเรียนใช้ กระดาษหนังสือพิมพ์ปรู องโตะ๊ ก่อนเพ่อื จะได้ไม่เกดิ ความเสียหายกบั โตะ๊ เรยี น 4. ให้นักเรียนกลุ่มหนึ่งนำเสนอวธิ ที ดสอบความแขง็ ของวสั ดุและผลทไี่ ด้ โดยครชู ว่ ยเขียนสรุปบนกระดาน กลุ่มอื่น ๆ อาจเพิ่มเติมหรือแก้ไขจนได้ข้อสรุปว่า เมื่อผลัดกันใช้วัสดุ 2 ชนิดขีดกันวัสดุที่ไม่เกิดรอยในเนื้อจะแข็ง กวา่ วสั ดุท่เี กิดรอยในเน้อื ทัง้ นเี้ พื่อให้เข้าใจตรงกันเกย่ี วกับวิธที ดสอบและเปรยี บเทยี บความแข็งของวัสดุอ่ืนๆ แล้ว จงึ ใหน้ ักเรียนทำกจิ กรรมท่ี 1

5. นักเรียนอ่าน ชื่อกิจกรรม วัสดุแต่ละชนิดมีความแข็งเป็นอย่างไรและ ทำเป็นคิดเป็น โดยร่วมกัน อภปิ รายทลี ะประเด็นเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจเกีย่ วกบั จดุ ประสงค์ ในการทำกจิ กรรมโดยใชค้ ำถามดังนี้ 5.1 กจิ กรรมนี้นักเรียนจะได้เรียนเรื่องอะไร (ความแข็งของวัสดแุ ต่ละชนิด) 5.2 นักเรยี นจะได้เรียนร้เู ร่ืองน้ดี ว้ ยวธิ ใี ด (ทดลองและสืบคน้ ขอ้ มลู ) 5.3 เมือ่ เรยี นแลว้ นกั เรยี นจะทำอะไรได้ (อธิบายและเปรียบเทยี บความแขง็ ของวัสดุชนิด ต่าง ๆ ได้และยกตัวอย่างการนำสมบัติความแข็งของวัสดุมาใช้ประโยชน์) นักเรียนบันทึกจุดประสงค์ลงในแบบ บันทึกกิจกรรม และ อ่าน สิ่งที่ต้องใช้ ในการทำกิจกรรม ครูยังไม่แจกวัสดุอุปกรณ์ให้นักเรียน แต่นำมาแสดงให้ นกั เรียนดูทีละอย่าง 6. นกั เรยี นอา่ น ทำอยา่ งไร ทลี ะขอ้ แลว้ ร่วมกันอภิปรายเพ่ือสรุปลำดับข้ันตอนตามความเข้าใจโดยครูอาจ ช่วยเขียนสรุปสั้น ๆ บนกระดานและนำอภิปรายตามแนวคำถามดังต่อไปนี้ นักเรียนต้องทำอย่างไรกับวัสดุทั้ง 5 ชนิด (สังเกตลักษณะของวัสดุแต่ละชนิด เลือกวัสดุมา 1 ชนิดและตั้งสมมติฐานว่าวัสดุนั้นมีความแข็งเป็นอย่างไร เม่อื เทียบกบั วสั ดทุ ี่เหลอื ระบุตัวแปรที่เกย่ี วข้อง ออกแบบการทดลองและตารางบนั ทึกผลและทำการทดลองตามท่ี ออกแบบไว้) ครูอาจสรุปลำดับการทำกิจกรรมพอเป็นแนวทาง เช่น เลือกวัสดุ ตงั้ สมมติฐาน ระบุตัวแปร วิธีการ ตรวจสอบความแข็ง ออกแบบการทดลอง กำหนดอุปกรณ์ ออกแบบตารางบันทึกผล ทำการทดลอง บันทึกผล สบื คน้ ขอ้ มูล นำเสนอ อภิปราย ขน้ั อภปิ รายและลงข้อสรปุ (20 นาท)ี 7. นักเรียนร่วมกันอภิปรายภายในกลุ่มเพื่อตั้งสมมติฐาน ระบุตัวแปร ออกแบบการทดลอง และตาราง บนั ทกึ ผล 8. ครูเลือกตัวแทน 1 กลุ่มนำเสนอผลการอภิปราย ครูเขียนผลการอภิปรายของนักเรียนบนกระดานแล้ว นำอภปิ รายโดยใชค้ ำถามต่อไปนี้เพ่ือเป็นแนวทางในการปรบั ปรุงผลงานของกลุ่มอื่น ๆ 8.1ถ้าจะเปรียบเทียบความ แข็งของวัสดุแต่ละชนิดจะต้องทำอย่างไร (นำวัสดุที่ต้องการเปรียบเทียบมาทดสอบโดยขูดขีดซ่ึงกันและกันสังเกต รอยที่เกิดขน้ึ บนวัสดุทั้งสองชนิด) 8.2ทราบได้อยา่ งไรวา่ วสั ดุชนิดใดแขง็ กว่ากัน (วัสดุท่ีแข็งกว่าจะไมเ่ กดิ รอย) 8.3 ในการทดลองนี้ ส่งิ ท่กี ำหนดให้ตา่ งกันหรอื ตวั แปรต้นคืออะไร (วสั ดทุ น่ี ำมาขดู ขดี กนั ) 8.4 ส่ิงทเ่ี ฝา้ ตดิ ตามหรอื สงั เกตในการทดลองน้ี (ตวั แปรตาม) คอื อะไร (รอยที่เกดิ ขนึ้ จากการ ขดี จดั เปน็ ตัวแปรตาม) 8.5 ส่ิงท่ีกำหนดใหเ้ หมอื นกนั หรือเทา่ กันมีอะไรบา้ ง (แรงทขี่ ดู ขดี จำนวนคร้งั ท่ขี ูดขีด ผ้ทู ี่ขดู ขีด ตำแหนง่ ท่ีขดี จัดเปน็ ตัวแปรท่ตี อ้ งควบคมุ ให้คงท่ี) 8.6 การทดลองเพือ่ ตรวจสอบสมมติฐานทำได้อย่างไร (นำวัสดุแตล่ ะชนิดมาขดู ขีดซึ่งกนั และ กนั สงั เกตและบันทึกการเกิดรอยหรือไม่เกดิ รอย)

8.7 ตารางบันทึกผลที่ออกแบบไวเ้ ป็นอยา่ งไร (นกั เรียนตอบตามท่อี อกแบบไว้) 8.8 เมือ่ แตล่ ะกล่มุ ได้ผลการทดลองของตนเองแล้ว ต้องทำอย่างไร (นำเสนอผลการทดลอง ของกลมุ่ และนำผลการทดลองมาเขยี นรวมกนั ในตารางบนกระดาน) ต่อจากนนั้ จึงใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ตกลงเลือกวัสดุท่ีจะ นำไปออกแบบการทดลองของตนเองโดยอาจใช้การตกลงกันหรือสุ่มเลือกก็ได้โดยทั้งห้องควรเลือกวัสดุให้ครบทกุ ชนดิ และวสั ดแุ ตล่ ะชนดิ ควรมนี ักเรียนเลอื ก 2 กลมุ่ 9. เม่อื นกั เรยี นเข้าใจวิธที ำกิจกรรมในทำอย่างไร แล้ว นักเรยี นจะไดป้ ฏบิ ตั ิตามขัน้ ตอน ดังน้ี 9.1 สงั เกตลักษณะของวสั ดุแตล่ ะชนิด 9.2 ต้งั สมมติฐานและระบุตวั แปรเพื่อทดสอบเกีย่ วกบั ความแข็งของวสั ดุ 9.3 ออกแบบการทดลอง ตารางบันทึกผล และร่วมกนั อภิปรายสรุปวิธี ทดสอบความแข็ง ของวสั ดุ 9.4 เริ่มการทดลองตามวธิ ีท่สี รปุ ไว้ 9.5 นำเสนอและลงข้อสรุปเกี่ยวกับความแข็งของวัสดุ 9.6 สืบคน้ ขอ้ มูลเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากความแขง็ ของวัสดุ ขณะทดลอง ครูควรสังเกตการทำงานร่วมกัน และความใส่ใจในการควบคมุ ตวั แปรและการ สังเกตผล เช่น การควบคุมขนาดของแรงที่ใช้ในการขูดขีดวัสดุแต่ละชนิด การทดลองซ้ำด้วยขนาดของแรงที่มาก ขึ้น ถ้าไม่เกิดรอยขีด การสังเกตลักษณะของรอยที่เกิดขึ้นว่าเป็นรอยในเนื้อวัสดุ หรือเกิดจากเนื้อของวัสดุอีกชนิด มาตดิ ท่ผี ิวกอ่ นจะใหน้ ำเสนอ 10.เมื่อเสร็จสิ้นการทดลองให้นักเรียนเก็บอุปกรณ์ที่ใช้แล้วให้เรียบร้อย จากนั้นตัวแทนของกลุ่มนำเสนอ ผล ขณะที่นำเสนอให้ลงความเห็นด้วยว่าวัสดุของกลุ่มตนแข็งกว่าวัสดุใดบ้างเพราะเหตุใด หากมีความเห็นขัดแยง้ กับเพอ่ื นกลุ่มอนื่ ครูควรใหโ้ อกาสนำอปุ กรณ์มาตรวจสอบใหมเ่ พือ่ ยนื ยนั ผล ขั้นขยายความรู้ (5 นาที) 11. ครตู งั้ คำถามให้คิดตอ่ ไปว่า ถา้ ตอ้ งการเปรียบเทยี บความแขง็ ของวัสดใุ ห้ ครบทุกชนิด ควรออกแบบการทดลองและตารางบันทึกผลการทดลองอย่างไร (ต้องนำวัสดุแต่ละชนิดมาขูดขีดซ่ึง กนั และกนั ให้ครบ และออกแบบตารางเพ่อื บนั ทึกการเกิดรอยบนวสั ดุใหค้ รบทกุ ชนิด) ข้นั ประเมนิ (15 นาที) 12. ครูให้นำผลการทดลองของทุกกลุ่มมาบันทึกลงในตารางเดียวกันบนกระดาน (ครูควรเตรียมตาราง สรปุ ผลดงั ตวั อยา่ งเพ่ือนำไปตดิ บนกระดาน ดูเฉลยในตารางที่ 1) แล้วอภิปรายเพ่ือหาขอ้ สรปุ จากข้อมลู ในตารางโดยใชค้ ำถามต่อไปนี้ 12.1 วัสดุใดมคี วามแขง็ มากทสี่ ดุ ทราบไดอ้ ย่างไร (กระจก เพราะเมอ่ื นำวสั ดุทกุ ชนิดมาขูด ขดี แล้วไมเ่ กิดรอย) 12.2 วัสดุใดมคี วามแขง็ น้อยทีส่ ดุ รูไ้ ด้อย่างไร (ไม้ เพราะเม่อื นำวัสดทุ ุกชนิดมาขดู ขดี กบั ไม้ ไม้จะเกดิ รอย) 12.3 เรียงลำดับความแขง็ ของวสั ดจุ ากมากไปหานอ้ ย ได้อยา่ งไร (ลำดับความแข็งของวสั ดุ

จากมากไปหาน้อย คือ กระจก เหล็ก พลาสติก อะลูมิเนียม ไม้) หมายเหตุ ลำดับความแข็งของวัสดุอาจไม่เป็นไป ตามนี้ โดยเฉพาะกระจก และเหล็ก ให้ยึดตามผลการทดสอบในห้องเรียนจริงครูให้ความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้ ครอบคลุมแนวคิดใน รอู้ ะไรในเรื่องน้ี 13. ครูและนักเรยี นร่วมกนั อภิปรายและลงข้อสรุปร่วมกันว่า ความแข็งของวัสดุ คอื ความทนทานต่อการ ขูดขีดของวัสดุ ทดสอบโดยนำวัสดุชนิดหนึ่งมาขูดขีดบนวัสดุอีกชนดิ หนึ่งแลว้ ดูการเกิดรอยบนเนื้อของวัสดุ วัสดุท่ี เกดิ รอยแสดงว่ามคี วามแข็งนอ้ ยกวา่ วสั ดทุ ่ไี ม่เกดิ รอย 14. นกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายคำตอบใน ฉันรู้อะไร โดยครอู าจเพ่ิมเตมิ คำถามในการอภปิ รายเพอ่ื ให้ได้แนว คำตอบทถ่ี กู ตอ้ ง 15. นกั เรยี นสรปุ สิ่งทไี่ ดเ้ รียนรใู้ นกิจกรรมน้ี จากนนั้ นกั เรยี นอา่ น สง่ิ ทไี่ ดเ้ รียนรู้ และเปรยี บเทยี บกบั ข้อสรปุ ของตนเอง 16. ครูกระตุ้นให้นักเรยี นฝึกต้งั คำถามเก่ยี วกับเรื่องทส่ี งสัยหรืออยากรู้เพ่มิ เตมิ ใน อยากรู้อกี ว่า จากน้นั ครู ส่มุ นกั เรียน 2 -3 คน นำเสนอคำถามของตนเองหนา้ ชั้นเรียนและให้นักเรยี นอภิปรายเกี่ยวกบั คำถามทน่ี ำเสนอ 17.ครูนำอภิปรายให้นักเรียนทบทวนว่าได้ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะแหง่ ศตวรรษ ที่ 21 อะไรบ้างและในขั้นตอนใดบ้าง แลว้ ใหบ้ ันทึกในแบบบันทกึ กจิ กรรม 18.นักเรียนร่วมกันอ่าน รู้อะไรในเรื่องน้ี ในหนังสือเรียน ครูแนะนำให้นักเรียนใช้แอพลิเคชันสำหรับการสังเกต ภาพเสมือนจริง (AR) ในหนังสือ เรียน และร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับความแข็งของวัสดุเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปเกี่ยวกบั สิ่งท่ีได้เรียนรู้ในเรื่องนี้ จากนน้ั ครกู ระตนุ้ ใหน้ ักเรียนตอบคำถามท้ายเรื่อง เชน่ อปุ กรณแ์ กะสลกั หนิ มีความแข็งเป็น อย่างไรเมื่อเทียบกับหินโดยครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายแนวทางการตอบคำถาม เช่น อุปกรณ์แกะสลักหินมี ความแข็งมากกว่าหิน จึงสามารถเจาะเข้าไปในเนื้อหินได้ หรืออื่น ๆ โดยเน้นให้นักเรียนตอบคำถามพร้อมอธิบาย เหตุผลประกอบ 7. ส่ือการสอน 1. หนงั สอื เรยี น 2. แบบบนั ทึกกิจกรรม 3. รูปภาพ 4. แผน่ ไม้ 5. แผน่ พลาสตกิ 6. แผน่ เหลก็ 7. แผ่นกระจก 8. แผ่นอะลูมิเนยี ม 9. กระดาษปรู๊ฟ 10. กระเบ้อื งเคลอื บและกระเบอ้ื งดนิ เผา 8. การวดั และประเมินผล

1. ประเมนิ ความรเู้ ดมิ จากการอภปิ รายในชนั้ เรยี น 2. ประเมนิ การเรยี นรจู้ ากคาตอบของนกั เรยี นระหวา่ งการจดั การเรยี นรแู้ ละจากแบบบนั ทกึ กจิ กรรม 3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จากการทากจิ กรรม ของนกั เรยี น

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 4 กล่มุ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวิชา ว 14101 ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 เรือ่ ง สภาพยืดหย่นุ ของวสั ดุ เวลา 1 ชัว่ โมง หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 4 วสั ดแุ ละสสาร เวลาเรียน 21 ช่ัวโมง ครูผสู้ อน นางสาวนวฉตั ร นาเมืองรักษ์ สอนวันท่ี …..….. เดอื น ….………… พ.ศ. …..………. โรงเรียนชมุ ชนวัดบา้ นระกาศ สำนกั งานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาสมทุ รปราการ เขต 2 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชวี้ ัด สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัตขิ อง สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี ตัวชี้วัด ป. 4/1 เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการ นำไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่องความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความรอ้ น และการนำไฟฟ้าของวัสดุไปใช้ในชวี ิตประจำวนั ผ่านกระบวนการออกแบบชน้ิ งาน ป. 4/2 แลกเปลี่ยนความคิดกบั ผ้อู ื่นโดยการอภปิ รายเกีย่ วกบั สมบัติทางกายภาพของวัสดุ อย่างมีเหตผุ ลจากการทดลอง 2. สาระสำคญั สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัสดุ เมื่อมีแรงมากระทำ และสามารถกลับสู่สภาพ เดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทำ ทดสอบโดยการออกแรงดึงวัสดุและหยุดออกแรงสังเกตการเปลี่ยนแปลงสภาพของ วัสดุ 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. ทดลอง อธบิ ายและเปรยี บเทยี บสภาพยดื หยนุ่ ของวสั ดุ 2. สืบค้นข้อมูลและยกตัวอยา่ งการนำสมบัติสภาพยืดหยุ่นของวสั ดมุ าใช้ประโยชน์ 4. สาระการเรยี นรู้ ความแขง็ ของวสั ดุ คือความทนทานตอ่ การเกิดรอยของวสั ดเุ มื่อมแี รงมากระทำ ทดสอบโดยการนำวัสดุมา ขูดขดี กัน สงั เกตรอยที่เกดิ ขนึ้ บนเนอื้ วสั ดุ สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัสดุ เมื่อมีแรงมากระทำ และสามารถกลับสู่สภาพ เดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทำ ทดสอบโดยการออกแรงดึงวัสดุและหยุดออกแรงสังเกตการเปลี่ยนแปลงสภาพของ วัสดุ

การนำความร้อน คือการถ่ายโอนความร้อนผ่านอนุภาคของวัสดุจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยัง บริเวณทมี่ อี ุณหภมู ติ ่ำกว่า วัสดุท่คี วามร้อนถา่ ยโอนผ่านได้ดี เรยี กวา่ ตวั นำความร้อน วัสดุที่ความร้อนถ่ายโอนผ่านได้ไม่ดี หรือไม่ถ่ายโอนความร้อน เรียกว่า ฉนวนความร้อน ทดสอบโดยการให้ความ ร้อนแก่วสั ดุแล้ว สังเกตการเปลี่ยนแปลง อุณหภมู ิของวสั ดุ วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติ แตกต่างกัน เนื่องจากองค์ประกอบของวัสดุนั้น วัสดุบางชนิดประกอบด้วย สาร ชนิดเดียว วสั ดบุ างชนิด ประกอบด้วยสารหลายชนดิ จงึ นำ มาใชป้ ระโยชน์ใน ชีวติ ประจำวนั 5. สมรรถนะท่ีสำคญั ของผูเ้ รยี น 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้นั สรา้ งความสนใจ (5 นาท)ี 1. นกั เรียนแต่ละกลมุ่ สงั เกตฟองน้ำกับดินน้ำมันและนำเสนอสมบัติท่แี ตกตา่ งกันให้ไดม้ ากที่สุด (คำตอบที่ ไดอ้ าจหลากหลาย เช่น สี ขนาด รปู ร่าง น้ำหนกั นุ่ม ทึบ การดดู ซับน้ำ) 2. ครูสาธิตเพื่อให้นักเรียนสังเกตความแตกต่างของวัสดุ 2 ชนิดโดยใช้มือหนึ่งบีบฟองน้ำ และอีกมือหนึ่ง บีบดินน้ำมันแล้วถามคำถามดงั นี้ 2.1 ฟองน้ำและดินน้ำมันมกี ารเปล่ียนแปลงรปู ร่างอย่างไร (นกั เรยี นตอบตามความเข้าใจ ครู รับฟังคำตอบของนักเรียน) ครคู ลายมอื ทีบ่ บี ฟองนำ้ และดินน้ำมนั แล้วสอบถามต่อไปว่า 2.2 เมอ่ื คลายมือที่บบี ฟองนำ้ และดินนำ้ มนั ฟองน้ำและดนิ นำ้ มันมกี ารเปลยี่ นแปลงรปู รา่ งใน ลักษณะเดียวกนั หรือไมแ่ ละมีสมบัตดิ ้านใดแตกตา่ งกนั (นกั เรียนตอบตามความเขา้ ใจ ครรู บั ฟงั คำตอบของนักเรียน หรอื อาจจดบันทึกไว้) ขั้นสำรวจและคน้ หา (20 นาที) 3. ครูเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมของนักเรียนสู่สมบัติสภาพยืดหยุ่นของวัสดุ โดยชักชวนให้นักเรียนอ่าน เรื่องสภาพยืดหยุ่นของวัสดุ ให้เปิดหนังสือเรียนหน้า 10 อ่านชื่อเรื่อง และตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน เกยี่ วกับส่งิ ที่จะเรียน จากนนั้ ใหน้ ักเรียนอ่านและลองตอบคำถาม คิดก่อนอ่าน ครูจดคำตอบของนักเรียนไว้เพื่อใช้ เปรยี บเทยี บกบั คำตอบของนักเรยี นหลงั จากอ่านเนื้อเร่ืองแล้ว 4. นักเรยี นอา่ นคำใน คำสำคัญ และอ่านเนื้อเรือ่ ง แลว้ อภปิ รายเกยี่ วกับเนอื้ เรื่องท่ีอา่ นตามคำถามดังน้ี 4.1 เร่ืองท่นี กั เรียนอา่ นเกีย่ วกับอะไร (ยางพารา) 4.2 น้ำยางสดที่ได้จากต้นยางพารามีลกั ษณะอย่างไร (น้ำยางสดเป็นของเหลวสขี าวคลา้ ย นำ้ นม)

4.3 ยางมีสมบตั อิ ย่างไรบ้าง (นุ่ม กันน้ำ มีสภาพยดื หยุน่ ) 4.4 เพราะเหตใุ ดจึงตอ้ งมกี ารผลติ ยางสังเคราะห์ (มคี วามตอ้ งการใชย้ างเพมิ่ มากข้ึน) 4.5 เราใช้ยางทำอะไรไดบ้ ้าง (เราใช้ยางทำลกู บอลยาง ยางลบ ยางรถยนต์ รองเทา้ ) 4.6 ยางมสี มบตั ทิ ี่สำคญั คืออะไร (มสี ภาพยืดหยนุ่ ) สภาพยดื หยุ่นหมายถึงอะไร (สภาพ ยืดหยุ่นคือสภาพที่วัสดุเปลี่ยนแปลงรูปร่างเมื่อได้รับแรงกระทำแล้วสามา รถกลับคืนสู่รูปร่างเดิมได้เมื่อหยุดแรง กระทำ) ข้ันอภิปรายและลงขอ้ สรุป (20 นาที) 5. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจนได้ข้อสรุปจากการอ่านว่า น้ำยางสดที่ได้จากต้นยางพารานำมาทำ เป็นยางแผ่นสำหรับป้อนโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อผลิตสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ยางมีสมบัติสำคัญคือ มี สภาพยืดหยุ่น กันน้ำ นุ่ม สภาพยืดหยุ่นเป็นสมบตั ิของวัสดุทีส่ ามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างเมื่อได้รับแรงกระทำและ กลับคืนส่รู ูปร่างเดมิ ได้เม่ือหยุดแรงกระทำ ข้นั ขยายความรู้ (5 นาท)ี 6. นักเรยี นตอบคำถาม รหู้ รอื ยัง ในแบบบนั ทกึ กจิ กรรม ข้นั ประเมนิ (10 นาท)ี 7. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายสภาพยืดหยุ่นเพื่อเปรียบเทียบคำตอบของนักเรียนใน รู้หรือยัง กับ คำตอบที่เคยตอบและบันทึกไว้ใน คิดก่อนอ่าน ว่าเหมือนหรือต่างกันอยา่ งไร หากตอบผิดให้แก้ไขคำตอบที่ผิดให้ ถูกต้อง ครูชักชวนนกั เรียนลองตอบคำถามท้ายเรื่องที่อ่านว่านอกจากยางแล้วมวี ัสดอุ ะไรอีกบ้างที่มีสภาพยืดหยุน่ และทดสอบสภาพยดื หยนุ่ ได้อย่างไร ครูบันทึกคำตอบของนักเรียนบนกระดานโดยครยู ังไมเ่ ฉลยคำตอบแต่ชักชวน ให้นักเรียนหาคำตอบจากการทำกิจกรรม 7. ส่ือการสอน 1. หนงั สือเรียน 2. แบบบนั ทกึ กจิ กรรม 3. รปู ภาพ 4. ฟองน้ำ 5. ดนิ น้ำมัน 8. การวัดและประเมนิ ผล 1. ประเมนิ ความรเู้ ดมิ จากการอภปิ รายในชนั้ เรยี น 2. ประเมนิ การเรยี นรจู้ ากคาตอบของนกั เรยี นระหวา่ งการจดั การเรยี นรแู้ ละจากแบบบนั ทกึ กจิ กรรม 3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จากการทากจิ กรรม ของนกั เรยี น

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 5 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว 14101 ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 4 เร่ือง วัสดแุ ตล่ ะชนิดมีสภาพยืดหยุ่นเปน็ อย่างไร เวลา 1 ช่วั โมง หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4 วัสดุและสสาร เวลาเรยี น 21 ช่ัวโมง ครผู สู้ อน นางสาวนวฉตั ร นาเมืองรกั ษ์ สอนวนั ที่ …..….. เดอื น ….………… พ.ศ. …..………. โรงเรยี นชมุ ชนวดั บ้านระกาศ สำนกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตวั ชี้วัด สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ตัวชว้ี ดั ป. 4/1 เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการ นำไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่องความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการนำไฟฟ้าของวสั ดไุ ปใชใ้ นชีวติ ประจำวนั ผา่ นกระบวนการออกแบบช้ินงาน ป. 4/2 แลกเปลยี่ นความคดิ กับผอู้ ่ืนโดยการอภปิ รายเกย่ี วกบั สมบัติทางกายภาพของวัสดุ อยา่ งมีเหตผุ ลจากการทดลอง 2. สาระสำคญั สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัสดุ เมื่อมีแรงมากระทำ และสามารถกลับสู่สภาพ เดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทำ ทดสอบโดยการออกแรงดึงวัสดุและหยุดออกแรงสังเกตการเปลี่ยนแปลงสภาพของ วัสดุ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ทดลอง อธบิ ายและเปรยี บเทียบสภาพยืดหยุ่นของวัสดุ 2. สบื ค้นขอ้ มลู และยกตัวอย่างการนำสมบตั สิ ภาพยดื หย่นุ ของวสั ดมุ าใช้ประโยชน์ 4. สาระการเรยี นรู้ ความแขง็ ของวสั ดุ คือความทนทานตอ่ การเกิดรอยของวสั ดุเมื่อมีแรงมากระทำ ทดสอบโดยการนำวัสดุมา ขดู ขดี กนั สงั เกตรอยทเ่ี กิดขึ้นบนเนื้อวัสดุ สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัสดุ เมื่อมีแรงมากระทำ และสามารถกลับสู่สภาพ เดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทำ ทดสอบโดยการออกแรงดึงวัสดุและหยุดออกแรงสังเกตการเปลี่ยนแปลงสภาพของ วัสดุ

การนำความร้อน คือการถ่ายโอนความร้อนผ่านอนุภาคของวัสดุจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยัง บรเิ วณทมี่ ีอณุ หภมู ติ ่ำกวา่ วสั ดทุ ่ีความร้อนถา่ ยโอนผ่านได้ดี เรยี กวา่ ตัวนำความรอ้ น วัสดุที่ความร้อนถ่ายโอนผ่านได้ไม่ดี หรือไม่ถ่ายโอนความร้อน เรียกว่า ฉนวนความร้อน ทดสอบโดยการให้ความ ร้อนแก่วสั ดแุ ล้ว สงั เกตการเปล่ยี นแปลง อณุ หภมู ิของวสั ดุ วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติ แตกต่างกัน เนื่องจากองค์ประกอบของวัสดุนั้น วัสดุบางชนิดประกอบด้วย สาร ชนิดเดยี ว วสั ดบุ างชนิด ประกอบดว้ ยสารหลายชนิด จึงนำ มาใชป้ ระโยชน์ใน ชีวติ ประจำวนั 5. สมรรถนะที่สำคัญของผูเ้ รยี น 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต 6. กจิ กรรมการเรียนรู้ ขัน้ สร้างความสนใจ (5 นาที) 1. ครูนำเข้าสกู่ จิ กรรมโดยเร่ิมจากการตรวจสอบความรขู้ องนักเรยี นเกย่ี วกบั ความหมายของสภาพยืดหยุ่น จากการอ่านนำเรื่องตามแนวคำถามดังน้ี 1.1 สภาพยืดหยุ่นของวัสดุคืออะไร (สภาพยืดหยุ่น หมายถึงสภาพของ วสั ดทุ ่ีเปลีย่ นแปลงรปู รา่ งเมอื่ ไดร้ บั แรงกระทำและกลับคืนสรู่ ปู ร่างเดมิ เมื่อหยุดแรงกระทำ) 1.2 วสั ดใุ ดบ้างมีสภาพยืดหยุน่ เพราะเหตุใด (นกั เรยี นอาจตอบวา่ ฟองนำ้ ลูกบอลยาง ยาง รถยนต์ ลวดสปริง โฟมสำหรับห่อผลไม้ เพราะเมื่อออกแรงกระทำกับวัสดุเหล่านี้ วัสดุจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างและ เมือ่ หยุดแรงกระทำจะกลับคืนสู่รปู ร่างเดมิ ) ขั้นสำรวจและคน้ หา (20 นาท)ี 2. ครูเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมของนักเรียนสู่กิจกรรมที่ 2 วัสดุแต่ละชนิดมีสภาพยืดหยุ่นเป็นอย่างไร โดยให้นักเรียนอ่าน ชื่อกิจกรรม และ ทำเป็นคิดเป็น ในหนังสือเรียน ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน เกี่ยวกับสิง่ ที่จะเรียน โดยใช้คำถามดังต่อไปนี้ 2.1 กิจกรรมนี้นักเรียนจะได้เรียนเกี่ยวกบั เรื่องอะไร (สภาพยืดหยุ่น ของวสั ดุ) 2.2 นกั เรยี นจะได้เรียนเรอื่ งน้ดี ้วยวิธใี ด (การทดลอง) 2.3 เมอื่ เรยี นแล้วนักเรียนจะทำอะไรได้ (อธิบายและเปรียบเทยี บสภาพยืดหยุ่นของวสั ดุ วิธี ทดสอบสภาพยืดหยุ่น รวมถึงยกตวั อยา่ งการนำสมบัตสิ ภาพยดื หยนุ่ ของวัสดมุ าใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน) นักเรยี นบันทกึ จดุ ประสงคข์ องกิจกรรมในแบบบันทึกกจิ กรรม 3. นักเรียนอ่าน สิง่ ทต่ี ้องใช้ จากนั้นครูแสดงวสั ดอุ ปุ กรณท์ ี่ตอ้ งใชใ้ นการทดลองใหน้ ักเรยี นดูทลี ะชนดิ 4. นักเรียนอ่าน ทำอย่างไร ในหนังสือเรียน ครูใช้วิธีการอ่านที่เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน จากนั้นครูตรวจสอบความเขา้ ใจในเนื้อหาทอ่ี า่ นเพอื่ ใหน้ ักเรยี นสามารถทำกิจกรรมไดด้ ว้ ยตนเอง โดยใช้แนวคำถาม

ดังนี้ 4.1 นักเรียนเริ่มการทดลองอย่างไร (จัดวัสดุและอุปกรณ์โดยมัดปลายด้านหนึ่งของเส้นเอ็นไนลอนและเส้น เอ็นยืดเข้ากับลวดที่ดัดเป็นตะขอ และมัดปลายอีกด้านหนึ่งกับคานไม้แล้วสังเกตลักษณะของเส้นเอ็นไนลอนและ เสน้ เอ็นยืดพร้อมบนั ทกึ ลักษณะท่สี งั เกตได้) 4.2 ข้นั ตอนตอ่ ไปนักเรียนทำอยา่ งไร (อภิปรายเพือ่ ตั้งคำถามเปรยี บเทียบสภาพยืดหยุ่นของ เส้นเอน็ ไนลอนและเส้นเอน็ ยดื ) 4.3 ขั้นตอนตอ่ ไปนักเรยี นทำอยา่ งไร (อภิปรายเพื่อตงั้ สมมติฐานว่า วัสดใุ ดมสี ภาพยดื หยุ่น ดีกว่ากนั ) นักเรยี นบันทึกลกั ษณะที่สังเกตไดข้ องวสั ดุ คำถามการทดลองและสมมติฐานลงในแบบบันทึก 4.4 ต่อไปนักเรียนทำอยา่ งไร (นกั เรยี นตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง ครูควรแก้ไขหรอื เพิ่มเติมให้ถูกต้องครบถ้วน ตามแนวคำตอบดังนี้ ทำการทดลองสภาพยืดหยุ่นของเส้นเอ็นไนลอนและเส้นเอ็นยืด โดยวัดความยาวของเส้นเอ็นทั้งสองชนิดก่อนบรรจถุ ่านไฟฉายในถุง ค่อยๆ บรรจุถ่ายไฟฉายลงในถุงพลาสติกทีละ ก้อน วัดความยาวของเส้นเอ็นทั้ง 2 ชนิดขณะใส่ถ่านไฟฉายและวัดความยาวของเส้นเอ็นทั้ง 2 ชนิดหลังนำ ถ่านไฟฉายออก ทำการทดลองเหมือนเดิมโดยใส่ถ่านไปเพิ่มทีละก้อนเรื่อยๆ จนความยาวของเส้นเอ็นทั้ง 2 ชนิด ก่อนใส่ถ่านไฟฉายกับเมื่อนำถ่านไฟฉายออกจากถุงไม่เท่าเดิม จากนั้นสืบค้นข้อมูลการใช้ประโยชน์ของวัสดุตาม สมบัตสิ ภาพยืดหยุ่น) ขน้ั อภิปรายและลงข้อสรุป (20 นาท)ี 5. ครูสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทดลองโดยใช้คำถามดังต่อไปน้ี 5.1 นักเรียนออกแรงกระทำต่อวัสดุ อยา่ งไร (ใชถ้ ่านไฟฉายถว่ งนำ้ หนกั ) 5.2 ตวั แปรต้นของกจิ กรรมนี้คอื อะไร (ชนิดของวัสดคุ อื เสน้ เอน็ ไนลอนและเส้นเอน็ ยืด) 5.3 ตวั แปรตามของกจิ กรรมน้ีคอื อะไร (ความยาวของวัสดกุ อ่ นถ่วงน้ำหนกั ขณะถว่ งน้ำหนกั และหลงั จากถว่ งนำ้ หนักดว้ ยถา่ นไฟฉาย) 5.4 ตัวแปรท่ตี ้องควบคมุ ให้คงท่ี มอี ะไรบ้าง (ขนาดและความยาวของวสั ดจุ ากคานไม้ถึง ตะขอ ขนาดและมวลของถ่านไฟฉาย) 5.5 นักเรียนจะสังเกตวา่ วัสดุมสี ภาพยืดหยุน่ ได้อยา่ งไร (สังเกตและเปรยี บเทยี บความยาว ของวัสดุก่อนและหลังจากถ่วงน้ำหนกั ด้วยถา่ นไฟฉาย) 6. ครูอาจนำคำตอบของนักเรียนมาสรุปเปน็ ขั้นตอนย่อๆ เป็นลำดับบนกระดาน ดังนี้ วัดความยาวของวัสดุก่อนถ่วงน้ำหนักด้วยถ่านไฟฉาย→บรรจุ ถ่านไฟฉาย 1 ก้อนลงในถุงพลาสติกเป็นเวลา 30 วนิ าที→วดั ความ ยาวของวัสดุ→นำถา่ นไฟฉายออก→วดั ความยาววสั ดหุ ลงั จากนำ ถ่านไฟฉายออก→ทำซำ้ โดย เพิ่มถ่านไฟฉายเป็น 2,3,4,5… ก้อน จน ความยาวของวัสดุหลังจากหยุดถ่วงดว้ ยถ่านไฟฉายแตกต่างจาก ความยาว ก่อนถว่ งน้ำหนกั ด้วยถ่านไฟฉาย) นักเรยี นบันทกึ ตัวแปรต่างๆ และนิยามเชงิ ปฏิบัตกิ ารลงในแบบบนั ทึก 7. เมื่อนักเรียนเข้าใจวิธีทำกิจกรรมในทำอย่างไร แล้วนักเรียนจะได้ปฏิบัติ ตามขั้นตอน ดังน้ี 7.1 สังเกต ลักษณะของเส้นเอ็นไนลอนและเส้นเอ็นยืดเมื่อมัดปลายด้าน หนึ่งกับลวดเสียบกระดาษและปลายอีกด้านกับคาน ไม้ 7.2 ตัง้ คำถามทดลองเพอื่ เปรยี บเทยี บสภาพยดื หยุ่น

7.3 ต้งั สมมติฐาน กำหนดตวั แปรและกำหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบัตกิ าร บนั ทกึ 7.4 ดำเนนิ การทดลองเพอ่ื เปรยี บเทียบสภาพยืดหยนุ่ ของเส้นเอ็นไนลอน และเส้นเอ็นยืด 7.5 สืบคน้ ข้อมลู เกย่ี วกับการใชป้ ระโยชน์ของวสั ดใุ นด้านสภาพยืดหยุ่น 8. นักเรยี นนำเสนอผลการทดลอง 9. ตัวแทนแต่ละกลุ่มบันทึกจำนวนก้อนถ่านไฟฉายที่มากที่สุดที่ทำให้วัสดุทั้ง สองชนิดยืดออกและกลับสู่ สภาพเดมิ 10.ครแู ละนกั เรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับข้อมูลในตารางโดยใชค้ ำถามดังต่อไปน้ี 10.1 การทดลองสภาพยดื หยนุ่ ของวสั ดสุ องชนดิ ของนักเรยี นแต่ละกลมุ่ เป็นอย่างไร (นักเรยี นควรไดผ้ ลการทดลองว่า ถ้าเปน็ วัสดชุ นดิ เดียวกันจะใช้จำนวนก้อนถา่ นไฟฉายมากที่สุดที่วัสดุกลับสู่สภาพ เดิมในจำนวนใกล้เคียงกัน แต่ถ้าเป็นวัสดุต่างชนิดกันจะใช้จำนวนก้อนถ่านไฟฉายต่างกัน โดยเส้นเอ็นไนลอนใช้ จำนวนก้อนถ่านไฟฉายมากกว่า) กรณีที่นักเรียนบางกลุ่มผลการทดลองซึ่งแตกต่างไปจากกลุ่มอื่นมาก ครูควรให้ นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ผลการทดลองแตกต่าง ทั้งนี้เพื่อวิเคราะห์หาข้อผิดพลาดที่ทำให้ผลการ ทดลองคลาดเคลื่อน 10.2 เมอื่ บรรจถุ า่ นไฟฉาย 1 ก้อน ลงในถุงพลาสตกิ เพอ่ื ถ่วงนำ้ หนัก ความยาวเส้นเอ็น ไนลอนก่อนและหลงั ถว่ งนำ้ หนักเท่ากนั หรอื ต่างกนั อย่างไร (เทา่ กนั ) แสดงว่าเสน้ เอ็นไนลอนมสี ภาพยืดหยุ่นหรือไม่ รู้ได้อย่างไร (เส้นเอ็นไนลอนมีสภาพยืดหยุ่น เพราะขณะมีแรงกระทำเส้นเอ็นไนลอนมีความยาวเพิ่มขึ้นและเมื่อ หยุดแรงกระทำความยาวของเสน้ เอน็ ไนลอนกลับมาเทา่ เดิม) 10.3 ต้องบรรจถุ ่านไฟฉายกก่ี อ้ นจงึ ทำให้ความยาวของเส้นเอ็นไนลอนไม่กลับสู่สภาพเดิม หลังจากนำถ่านไฟฉายออก (คำตอบขึ้นอยู่กับผลการทดลองของนักเรียน) แสดงว่าสภาพยืดหยุ่นของเส้นเอ็น ไนลอนเป็นอย่างไร (เส้นเอ็นหมดสภาพยืดหยุ่น เพราะเมื่อวัดความยาวของเสน้ เอ็นไนลอนภายหลังนำถ่านไฟฉาย ออกจะไมเ่ ท่าเดมิ ) 10.4 เมือ่ บรรจถุ ่านไฟฉาย 1 ก้อนลงในถุงพลาสตกิ เพื่อถ่วงนำ้ หนกั เส้นเอ็นยืดมีสภาพ ยืดหยุ่นหรือไม่ รู้ได้อย่างไร (เส้นเอ็นยืดมีสภาพยืดหยุ่น โดยความยาวของเส้นเอ็นยืดขณะมีแรงกระทำจะเพิ่มขึ้น และเมอ่ื หยุดออกแรงความยาวของเส้นเอน็ ยืดจะกลบั มาเท่าเดมิ ) 10.5 ต้องใชถ้ ่านไฟฉายกีก่ อ้ นเพ่ือถ่วงน้ำหนัก เส้นเอน็ ยดื จึงจะหมดสภาพยดื หยนุ่ และร้ไู ด้ อย่างไร (คำตอบขึ้นอยู่กับผลการทดลองของนักเรียน ซึ่งรู้ได้ความยาวของเส้นเอ็นยืดภายหลังนำถ่านไฟฉายออก จะไม่เท่าเดมิ ) 10.6 เส้นเอน็ ไนลอนและเส้นเอน็ ยดื ต้องใชถ้ ่านไฟฉายมากทีส่ ดุ จำนวนก่ีกอ้ นที่ทำใหว้ ัสดทุ ัง้ สองชนิดสามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ (คำตอบขึ้นอยู่กับผลการทดลองของนักเรียน ครูควรแนะนำการสังเกตข้อมูล ในตารางบันทกึ ผล) 10.7 เส้นเอ็นไนลอนหรอื เส้นเอ็นยืดมสี ภาพยืดหยนุ่ ดกี ว่ากัน รู้ได้อยา่ งไร (เสน้ เอน็ ไนลอนมี สภาพยืดหยุ่นดีกว่าเส้นเอ็นยืด รู้ได้จากเส้นเอ็นไนลอนใช้จำนวนถ่านไฟฉายเพื่อถ่วงน้ำหนักมากกว่าเส้นเอ็นยืด และเมอื่ หยุดถ่วงนำ้ หนกั หรอื หยดุ ออกแรง เสน้ เอ็นไนลอนกลับสู่สภาพเดมิ ได้)

11. ครูและนักเรียนรว่ มกันอภปิ รายจนได้ขอ้ สรปุ ว่า สภาพยดื หยุ่น หมายถึง สภาพของวสั ดทุ ี่ เปล่ียนแปลงรปู ร่างเมอ่ื มแี รงมากระทำ และสามารถกลับสูร่ ปู รา่ งเดิมไดเ้ มื่อหยุดแรงกระทำ วสั ดแุ ต่ละชนิดมีสภาพ ยืดหยุ่นแตกต่างกัน เช่น เส้นเอ็นไนลอนมีสภาพยืดหยุ่นดกี ว่าเสน้ เอ็นยืด เนื่องจากเส้นเอ็นไนลอนสามารถรับแรง กระทำได้มากกว่าเส้นเอน็ ยืดแต่กย็ ังกลับสู่สภาพเดิมได้ ขั้นขยายความรู้ (5 นาท)ี 12. ครูอธบิ ายเพ่ิมเติมว่าในทางวทิ ยาศาสตร์นนั้ วัสดทุ ม่ี ีสภาพยืดหยุ่น หมายถึง วสั ดุทเ่ี มื่อออกแรง กระทำแล้วจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือขนาด แต่เมื่อหยุดออกแรงจะกลับคืนสู่สภาพเดิมทุกประการ ถ้าวัสดุนั้นไม่ กลับสู่สภาพเดิม เรียกว่า วัสดุไม่มีสภาพยืดหยุ่น ส่วนวัสดุที่เคยมีสภาพยืดหยุ่น เมื่อถูกแรงกระทำถึงระดับหนึ่ง แล้วไมส่ ามารถกลับสสู่ ภาพเดมิ ได้ เรียกว่า วสั ดหุ มดสภาพยืดหยุน่ 13. นักเรียนนำเสนอผลการสบื ค้นเกีย่ วกับการนำสมบัติสภาพยดื หยุน่ มาใช้ประโยชน์ ซ่ึงนกั เรยี นอาจตอบ ไดว้ า่ มกี ารนำวัสดทุ ม่ี สี ภาพยดื หยุน่ มาใช้ประโยชน์มากมาย เชน่ ใช้เส้นเอน็ ยดื ทำเอวกางเกง ทำสรอ้ ยขอ้ มือ ใชย้ าง รัดของรัดสิ่งของต่าง ๆ ใช้ฟองน้ำบุเก้าอี้หรือเตียงนอน เป็นต้น จากนั้นมอบหมายให้นักเรียนแต่ละกลุ่มสืบค้น ข้อมูลเพ่ิมเติมและนำมาส่งครู หลงั จากครูตรวจแล้วคัดเลือกผลงานทน่ี ่าสนใจนำเสนอแก่เพ่ือนนักเรียนในช้ันเรียน ต่อไป ขั้นประเมนิ (10 นาที) 14. นักเรียนร่วมกันอภิปรายคำตอบใน ฉันรู้อะไร โดยครูอาจเพิ่มเติมคำถามในการอภิปรายเพื่อให้ได้ คำตอบตามตวั อย่างแนวคำตอบ 15. นักเรียนสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ในกิจกรรมนี้ด้วยภาษาของนักตนเอง จากนั้นครูให้นักเรียนอ่าน ส่ิงที่ได้ เรียนรู้ แลว้ เปรยี บเทียบกบั ขอ้ สรุปของตนเอง 16. ครชู ักชวนนกั เรยี นตอบคำถามใน นำเรอื่ ง วา่ วัสดุอะไรบา้ งทม่ี ีสภาพยืดหยนุ่ (คำตอบของนกั เรียนอาจ หลากหลาย เช่น เส้นเอ็นไนลอน เสน้ เอ็นยดื ฟองน้ำ) 17. ครกู ระตนุ้ ให้นกั เรียนฝึกตั้งคำถามเกย่ี วกับเรอ่ื งทีส่ งสยั หรืออยากรู้เพม่ิ เติมใน อยากรอู้ กี วา่ จากนั้นครู สมุ่ นักเรยี น 2 -3 คน นำเสนอคำถามของตนเองหน้าชั้นเรยี นและใหน้ กั เรียนอภิปรายเกย่ี วกบั คำถามท่นี ำเสนอ 18. ครูนำอภิปรายเพื่อให้นักเรียนทบทวนว่าได้ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะแห่ง ศตวรรษที่ 21 อะไรบ้างและในข้นั ตอนใดบา้ งแล้วให้บนั ทึกในแบบบนั ทึกกิจกรรม 19. นกั เรียนรว่ มกันอ่าน รู้อะไรในเรือ่ งนี้ ในหนังสือเรยี น ครูอาจแนะนำให้นักเรียนใชแ้ อฟลิเคชันสำหรับ การสงั เกตภาพเสมือนจริง (AR) เกย่ี วกบั สภาพยืดหยุ่น ในหนังสือเรียน หนา้ 15 แล้วชักชวนนกั เรียนอภิปรายเพ่ือ นำไปสู่ข้อสรุปเก่ยี วกับสิ่งท่ีได้เรยี นรใู้ นเรื่องน้ี จากน้ันครตู รวจสอบความเข้าใจในบทเรยี นว่าสภาพยืดหยุ่นคืออะไร และวัสดุใดบ้างมีสภาพยืดหยุ่นโดยตั้งคำถามว่า สภาพยืดหยุ่นมีประโยชน์ต่อใยแมงมุมหรือไม่ มนุษย์สามารถทำ วัสดุที่มีสมบัติคล้ายใยแมงมมุ เพื่อนำมาใช้งานได้หรือไม่ ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายแนวทางการตอบคำถาม เชน่ สภาพยดื หยนุ่ มีประโยชนต์ ่อใยแมงมุมเพราะแมงมมุ บางชนิด ชกั ใยเพอ่ื ดกั จบั เหยื่อ เชน่ แมลงตา่ งๆ เมอ่ื แมลง มาตดิ ที่ใยแมงมุม ใยแมงมุมจะตอ้ งรับแรงกระทำจากน้ำหนักของแมลงและสามารถกลบั สู่สภาพเดิมได้ หรือขณะท่ี

มีแรงจากลม มาปะทะใยแมงมุม ใยแมงมมุ สามารถยืดออกได้และเมื่อไม่มีลมกส็ ามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ ปัจจุบัน มนุษยก์ ำลงั พฒั นาให้วสั ดมุ ีสมบัติคลา้ ยใยแมงมมุ เพ่ือนำมาใช้ประโยชนต์ ่อไป 7. ส่ือการสอน 1. หนงั สอื เรยี น 2. แบบบนั ทกึ กิจกรรม 3. รปู ภาพ 4. เส้นเอ็นไนลอน 5. เสน้ เอ็นยืด (ขนาดเท่าเส้นเอ็นไนลอน) 6. คานไม้ 7. ลวดเสยี บกระดาษ 8. ถ่านไฟฉายขนาดใหญ่ 9. ไม้บรรทดั หรอื สายวัด 10. ถุงพลาสตกิ มหี ูห้ิว 8. การวดั และประเมินผล 1. ประเมนิ ความรเู้ ดมิ จากการอภปิ รายในชนั้ เรยี น 2. ประเมนิ การเรยี นรจู้ ากคาตอบของนกั เรยี นระหวา่ งการจดั การเรยี นรแู้ ละจากแบบบนั ทกึ กจิ กรรม 3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จากการทากจิ กรรม ของนกั เรยี น

แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 6 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหสั วิชา ว 14101 ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 เรือ่ ง การนำความรอ้ นของวสั ดุ เวลา 1 ช่วั โมง หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 4 วัสดุและสสาร เวลาเรยี น 21 ช่วั โมง ครผู ูส้ อน นางสาวนวฉตั ร นาเมืองรักษ์ สอนวนั ท่ี …..….. เดือน ….………… พ.ศ. …..………. โรงเรยี นชุมชนวดั บ้านระกาศ สำนักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมทุ รปราการ เขต 2 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตวั ช้ีวดั สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี ตัวชวี้ ัด ป. 4/1 เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการ นำไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่องความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความรอ้ น และการนำไฟฟ้าของวสั ดไุ ปใช้ในชวี ิตประจำวันผา่ นกระบวนการออกแบบช้นิ งาน ป. 4/2 แลกเปล่ียนความคิดกบั ผู้อื่นโดยการอภปิ รายเกย่ี วกับสมบตั ทิ างกายภาพของวัสดุ อย่างมเี หตุผลจากการทดลอง 2. สาระสำคญั การนำความร้อน คือการถ่ายโอนความร้อนผ่านอนุภาคของวัสดุจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยัง บรเิ วณที่มีอณุ หภมู ิตำ่ กวา่ วสั ดุท่คี วามรอ้ นถา่ ยโอนผา่ นได้ดี เรยี กวา่ ตัวนำความรอ้ น วัสดทุ ี่ความรอ้ นถ่ายโอนผ่าน ได้ไม่ดี หรือไม่ถ่ายโอนความร้อน เรียกว่า ฉนวนความร้อน ทดสอบโดยการให้ความร้อนแก่วัสดุแล้ว สังเกตการ เปลยี่ นแปลง อณุ หภมู ิของวสั ดุ 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. ทดลอง อธิบายและเปรียบเทียบการนำความรอ้ นของวสั ดุ 2. สบื คน้ ข้อมลู และยกตวั อยา่ งการนำสมบัติการนำความร้อนของวสั ดมุ าใชป้ ระโยชน์ 4. สาระการเรียนรู้ ความแขง็ ของวัสดุ คือความทนทานต่อการเกิดรอยของวัสดุเมื่อมีแรงมากระทำ ทดสอบโดยการนำวัสดุมา ขดู ขีดกัน สงั เกตรอยที่เกิดขน้ึ บนเนอ้ื วัสดุ

สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัสดุ เมื่อมีแรงมากระทำ และสามารถกลับสู่สภาพ เดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทำ ทดสอบโดยการออกแรงดึงวัสดุและหยุดออกแรงสังเกตการเปลี่ยนแปลงสภาพของ วัสดุ การนำความร้อน คือการถ่ายโอนความร้อนผ่านอนุภาคของวัสดุจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยัง บรเิ วณที่มอี ุณหภูมิต่ำกว่า วสั ดทุ ีค่ วามร้อนถ่ายโอนผา่ นได้ดี เรยี กวา่ ตัวนำความร้อนวสั ดุท่ีความร้อนถ่ายโอนผ่าน ได้ไม่ดี หรือไม่ถ่ายโอนความร้อน เรียกว่า ฉนวนความร้อน ทดสอบโดยการให้ความร้อนแก่วัสดุแล้ว สังเกตการ เปล่ียนแปลง อณุ หภมู ขิ องวสั ดุ วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติ แตกต่างกัน เนื่องจากองค์ประกอบของวัสดุนั้น วัสดุบางชนิดประกอบด้วย สาร ชนิดเดยี ว วสั ดุบางชนดิ ประกอบดว้ ยสารหลายชนดิ จึงนำ มาใชป้ ระโยชนใ์ น ชีวิตประจำวนั 5. สมรรถนะที่สำคัญของผเู้ รยี น 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ 6. กิจกรรมการเรียนรู้ ข้นั สร้างความสนใจ (5 นาท)ี 1. ครูนำถ้วยแก้ว ถ้วยพลาสติก ถ้วยเซรามิก และถ้วยสเตนเลสมาให้นักเรียนดู และสอบถามว่าถ้าครูจะ เลือกถ้วยสำหรับใส่ข้าวต้มร้อนๆ ควรจะเลือกใช้ถ้วยชนิดใด เพราะเหตุใด (คำตอบของนักเรียนอาจแตกต่างกัน) ครเู ชอื่ มโยงประสบการณ์เดิมของนักเรียนสู่เร่อื งทจ่ี ะเรยี นว่าวสั ดุตา่ งชนิดกันเมือ่ ได้รับความร้อน วสั ดุแตล่ ะชนิดจะ รอ้ นมากน้อยแตกต่างกันหรือไม่ และข้นึ อย่กู บั สมบัตใิ ดของวสั ดุ (นกั เรียนตอบตามความเขา้ ใจ) ขัน้ สำรวจและค้นหา (20 นาท)ี 2. ครตู รวจสอบความรูเ้ ดมิ ของนักเรียนเกย่ี วกับการนำความร้อนของวสั ดุโดยใช้คำถามดงั ต่อไปนี้ 2.1 การนำความรอ้ นคืออะไร (นกั เรยี นตอบตามความเข้าใจ ตวั อยา่ งคำตอบ เช่น การทีว่ ัสดุ รอ้ นขน้ึ เมือ่ สัมผัสกับความร้อน) 2.2 วสั ดอุ ะไรบา้ งนำความร้อนได้ (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจ ตวั อยา่ งคำตอบ เชน่ เหลก็ ) ครูจดบันทึกคำตอบของนักเรียนโดยครูยังไม่เฉลยคำตอบที่ถูกต้องแต่ชักชวนให้นักเรียนค้นหาคำตอบในการอ่าน นำเรอ่ื ง 3. นักเรียนอ่าน ชื่อเรื่อง และ คิดก่อนอ่าน ในหนังสือเรียน แล้วร่วมกันอภิปรายในกลุ่มเพื่อหาแนว คำตอบ ครบู ันทกึ คำตอบของนักเรียนบนกระดานเพื่อใช้เปรียบเทยี บคำตอบหลงั การอ่าน

4. นักเรียนอ่านคำใน คำสำคัญ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (หากนักเรียนอ่านไม่ได้ ครูควรสอนการ อ่านให้ถูกต้อง) จากนั้นให้นักเรียนอธิบายความหมายของคำตามความเข้าใจ และชักชวนให้หาความหมายของคำ หลังจากการอา่ นเน้ือเร่ือง ข้นั อภปิ รายและลงขอ้ สรุป (20 นาที) 5. นักเรียนอ่านเนื้อเรื่อง โดยครูเลือกใช้วิธีการอ่านที่เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน จากน้ัน ตรวจสอบความเขา้ ใจดว้ ยคำถามต่อไปน้ี 5.1 การถ่ายโอนความรอ้ นเกิดขนึ้ ไดอ้ ย่างไร (การถ่ายโอนความรอ้ นเกิดขนึ้ ไดเ้ ม่ือ 2 บรเิ วณ มอี ณุ หภมู ติ า่ งกัน ความรอ้ นจากบรเิ วณท่ีอณุ หภมู ิสงู กว่าจะถ่ายโอนไปยงั บรเิ วณท่อี ุณหภูมติ ำ่ กว่า) 5.2 ขณะนกั เรยี นอยใู่ นน้ำ มีการถ่ายโอนความรอ้ นหรือไม่ อยา่ งไร (มี โดยมีการถา่ ยโอน ความรอ้ นจากรา่ งกายของเราไปสนู่ ้ำ ทำให้รา่ งกายร้สู กึ เยน็ ) 5.3 ขณะเดินเท้าเปล่าบนพน้ื คอนกรีตกลางแดด เรารสู้ ึกร้อนเท้า อณุ หภมู ขิ องพน้ื หรือเทา้ สงู กวา่ กัน และมกี ารถ่ายโอนความร้อนจากทใี่ ดไปสูท่ ี่ใด (อุณหภมู ขิ องพนื้ คอนกรีตสงู กว่าเทา้ ของเรา ดังนนั้ ความร้อน จากพน้ื คอนกรตี จะถา่ ยโอนมาสเู่ ทา้ ทำให้เรารูส้ กึ ร้อนเทา้ ) 5.4 การถา่ ยโอนความรอ้ นเกดิ ไดก้ ับสารกี่สถานะ อะไรบา้ ง (การถา่ ยโอนความร้อนเกดิ ได้กับ สาร 3 สถานะ ได้แก่ ของแขง็ ของเหลว และแกส๊ ) 5.5 การนำความรอ้ นเกีย่ วข้องกบั การถา่ ยโอนความร้อนหรอื ไม่ อยา่ งไร (เก่ียวข้อง การนำ ความร้อนเป็นการถ่ายโอนความรอ้ นผา่ นอนภุ าคของวสั ดุจากบรเิ วณท่ีมีอุณหภมู สิ ูงกว่าไปยังบรเิ วณท่ีมีอุณหภูมิต่ำ กวา่ ) 6. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจนได้ข้อสรุปจากการอ่านว่าการถ่ายโอนความร้อนเกิดขึ้นตลอดเวลา จากบรเิ วณท่ีมีอุณหภูมิสูงไปยังบรเิ วณที่มีอุณหภมู ิต่ำกว่า ความร้อนถา่ ยโอนผ่านไดท้ ั้งของแขง็ ของเหลว และแก๊ส และการถ่ายโอนความร้อนวิธีหนึ่งคือการนำความร้อนซึ่งเกิดจากความร้อนส่งผ่านอนุภาคของวัสดุอย่างต่อเนื่อง จากบรเิ วณทม่ี อี ุณหภูมิสูงกวา่ ไปยังท่มี ีอุณหภูมติ ำ่ กว่า ข้ันขยายความรู้ (5 นาที) 7. นกั เรยี นตอบคำถามใน รหู้ รอื ยัง ในแบบบันทกึ กิจกรรม ขน้ั ประเมิน (10 นาที) 8. ครูและนักเรียนรว่ มกันอภิปรายเรื่องการนำความร้อนและเปรียบเทียบคำตอบของนักเรียนในรู้หรือยงั กบั คำตอบที่บันทกึ ไวใ้ นคิดก่อนอ่าน ว่าเหมือนหรอื แตกตา่ งกันอย่างไร หากนกั เรียนตอบผิดใหแ้ กไ้ ขคำตอบที่ผิดให้ ถูกต้อง ครูชักชวนนักเรียนเข้าสู่กิจกรรมโดยอาจใช้คำถามว่าวัสดุต่าง ๆ นำความร้อนได้เท่ากันหรือไม่ เราจะ เปรียบเทยี บการนำความรอ้ นของวสั ดไุ ดอ้ ยา่ งไร ส่ือการสอน 1. หนงั สือเรยี น 2. แบบบันทึกกจิ กรรม 3. รูปภาพ

4. PowerPoint 5. ถว้ ยแก้ว 6. ถ้วยพลาสตกิ 7. ถ้วยเซรามิก 8. ถ้วยสเตนเลส การวดั และประเมินผล 1. ประเมนิ ความรเู้ ดมิ จากการอภปิ รายในชนั้ เรยี น 2. ประเมนิ การเรยี นรจู้ ากคาตอบของนกั เรยี นระหว่างการจดั การเรยี นรแู้ ละจากแบบบนั ทกึ กจิ กรรม 3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จากการทากจิ กรรม ของนกั เรยี น

แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 7 กล่มุ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา ว 14101 ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง วัสดแุ ตล่ ะชนิดมกี ารนำความรอ้ นเป็นอยา่ งไร เวลา 1 ชัว่ โมง หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 วสั ดุและสสาร เวลาเรยี น 21 ชั่วโมง ครผู ู้สอน นางสาวนวฉัตร นาเมอื งรักษ์ สอนวนั ท่ี …..….. เดือน ….………… พ.ศ. …..………. โรงเรยี นชมุ ชนวัดบ้านระกาศ สำนักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศึกษาสมทุ รปราการ เขต 2 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตวั ชวี้ ัด สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี ตัวชว้ี ัด ป. 4/1 เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการ นำไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่องความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการนำไฟฟา้ ของวสั ดไุ ปใชใ้ นชวี ิตประจำวนั ผา่ นกระบวนการออกแบบชิ้นงาน ป. 4/2 แลกเปลยี่ นความคิดกบั ผูอ้ น่ื โดยการอภปิ รายเก่ยี วกับสมบตั ทิ างกายภาพของวัสดุ อย่างมเี หตผุ ลจากการทดลอง 2. สาระสำคญั การนำความร้อน คือการถ่ายโอนความร้อนผ่านอนุภาคของวัสดุจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยัง บริเวณทมี่ ีอณุ หภูมติ ่ำกวา่ วสั ดทุ ่คี วามรอ้ นถ่ายโอนผา่ นได้ดี เรยี กว่า ตวั นำความร้อน วสั ดทุ คี่ วามรอ้ นถ่ายโอนผ่าน ได้ไม่ดี หรือไม่ถ่ายโอนความร้อน เรียกว่า ฉนวนความร้อน ทดสอบโดยการให้ความร้อนแก่วัสดุแล้ว สังเกตการ เปล่ยี นแปลง อณุ หภูมิของวัสดุ 3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. ทดลอง อธบิ ายและเปรยี บเทยี บการนำความรอ้ นของวัสดุ 2. สบื ค้นข้อมลู และยกตัวอยา่ งการนำสมบัติการนำความร้อนของวสั ดุมาใชป้ ระโยชน์ 4. สาระการเรียนรู้ ความแข็งของวัสดุ คอื ความทนทานตอ่ การเกิดรอยของวัสดุเมื่อมีแรงมากระทำ ทดสอบโดยการนำวัสดุมา ขดู ขดี กัน สงั เกตรอยทีเ่ กดิ ข้นึ บนเนอ้ื วัสดุ

สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัสดุ เมื่อมีแรงมากระทำ และสามารถกลับสู่สภาพ เดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทำ ทดสอบโดยการออกแรงดึงวัสดุและหยุดออกแรงสังเกตการเปลี่ยนแปลงสภาพของ วสั ดุ การนำความร้อน คือการถ่ายโอนความร้อนผ่านอนุภาคของวัสดุจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยัง บรเิ วณท่ีมีอณุ หภมู ิตำ่ กว่า วัสดุที่ความรอ้ นถา่ ยโอนผ่านได้ดี เรยี กว่า ตัวนำความรอ้ น วสั ดทุ ค่ี วามรอ้ นถ่ายโอนผ่าน ได้ไม่ดี หรือไม่ถ่ายโอนความร้อน เรียกว่า ฉนวนความร้อน ทดสอบโดยการให้ความร้อนแก่วัสดุแล้ว สังเกตการ เปลยี่ นแปลง อณุ หภูมิของวสั ดุ วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติ แตกต่างกัน เนื่องจากองค์ประกอบของวัสดุนั้น วัสดุบางชนิดประกอบด้วย สาร ชนิดเดียว วัสดุบางชนิด ประกอบด้วยสารหลายชนิด จงึ นำ มาใชป้ ระโยชน์ใน ชวี ติ ประจำวัน 5. สมรรถนะทสี่ ำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการส่อื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต 6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั สรา้ งความสนใจ 1. ครนู ำอภปิ รายเพ่อื นำเข้าส่กู จิ กรรม โดยใชแ้ นวคำถามดงั นี้ 1.1 ถ้านกั เรยี นใชม้ อื จับช้อนสเตนเลสท่ีจ่มุ ในนำ้ รอ้ น นกั เรยี นรสู้ กึ อย่างไร เพราะเหตใุ ด (รสู้ ึกร้อนมอื เพราะความรอ้ นจากนำ้ ร้อนถา่ ยโอนผ่านชอ้ นสเตนเลสมาสมู่ ือเรา) 1.2 ช้อนสเตนเลสมีสมบัติอะไร ความรอ้ นจึงถา่ ยโอนผา่ นช้อนสเตนเลสได้ (ช้อนสเตนเลสมี สมบตั นิ ำความร้อน) 1.3 วสั ดอุ ืน่ ทน่ี ำความรอ้ นไดม้ ีอะไรอีกบ้าง และรไู้ ดอ้ ย่างไร (เหล็ก แกว้ นำความรอ้ นได้ รู้ จากเมื่อเราจบั เหล็ก และแกว้ ทีแ่ ชใ่ นนำ้ ร้อน เราจะรู้สึกรอ้ นมือ) 1.4 นักเรยี นคดิ วา่ สเตนเลส เหล็ก และแก้วนำความร้อนได้ดีเทา่ กนั หรือไม่ (นกั เรยี นควร ตอบว่าสเตนเลส เหล็ก และแก้วนำความร้อนไดด้ ไี มเ่ ท่ากัน) 1.5 นกั เรยี นคดิ วา่ จะมวี ธิ ีทดสอบอย่างไรวา่ วัสดใุ ดนำความรอ้ นได้ดีกว่ากนั (นักเรยี นตอบได้ หลากหลาย) ครูควรสรุปคำตอบของนักเรียน และชักชวนนักเรียนทำกิจกรรมท่ี 3วิธีทดสอบการนำความรอ้ นของ วัสดชุ นิดต่าง ๆ ข้ันสำรวจและค้นหา

2. นักเรียนอ่าน ชื่อกิจกรรม และ ทำเป็นคิดเป็น ในหนังสือเรียนหน้า 19 ครูตรวจสอบความเข้าใจของ นักเรียนเกยี่ วกับสิ่งท่ีจะเรียน โดยใชค้ ำถามดังต่อไปนี้ 2.1 กิจกรรมนนี้ ักเรียนจะไดเ้ รียนเร่ืองอะไร (การนำความร้อนของวสั ดุ) 2.2 นักเรียนจะได้เรียนเรื่องนด้ี ว้ ยวธิ ีใด (ทดลองและสบื ค้นข้อมลู ) 2.3 เมอ่ื เรยี นแลว้ นักเรยี นจะทำอะไรได้ (อธิบายและเปรียบเทียบการนำความรอ้ นของวสั ดุ ต่างๆ วิธีทดสอบการนำความร้อน รวมถึงยกตัวอย่างการนำสมบัติการนำความร้อนของวัสดุมาใช้ประโยชน์ใน ชวี ิตประจำวนั ) นักเรียนบนั ทึกจดุ ประสงค์ของกิจกรรมในแบบบนั ทึกกิจกรรม อา่ น สิง่ ทต่ี ้องใช้ ในการทำกิจกรรม ครยู ังไม่แจกวสั ดอุ ุปกรณแ์ กน่ กั เรยี นแตน่ ำอุปกรณ์มาแสดงใหน้ ักเรียนดทู ลี ะอย่าง 3. นักเรียนอ่าน ทำอย่างไร โดยครูใช้วิธีการอ่านตามความเหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน ครู แจกชุดการนำความร้อนให้นักเรียนทุกกลุ่ม ให้นักเรียนสังเกตแท่งวัสดุในชุดการนำความร้อนว่าเป็นวัสดุชนิด ใดบา้ งและมลี กั ษณะอยา่ งไร (วัสดทุ ีใ่ ช้ทดสอบการนำความรอ้ น ได้แก่ อะลมู ิเนยี ม ทองแดง เหล็ก ไม้ และแก้ว แต่ ละแท่งมีลกั ษณะเปน็ แทง่ ทรงกระบอก ความยาวประมาณ 15 เซนติเมตรสีแตกตา่ งกนั ) 4. ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภปิ รายเพ่ือต้ังสมมตฐิ าน กำหนดวธิ กี ารสงั เกตการนำความร้อนของวัสดุในการ ทดลองนี้ โดยใช้คำถามตอ่ ไปนี้ เพ่อื ตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรียน 4.1 สมมติฐานของการทดลองนี้คอื อะไร (คำตอบขน้ึ อยูก่ บั นักเรยี น เช่น ทองแดงนำความ ร้อนไดด้ กี วา่ เหลก็ อะลูมิเนียม แกว้ และไม)้ 4.2 นักเรยี นคิดว่าถา้ รินน้ำรอ้ นลงในชดุ การนำความรอ้ นแล้วใชม้ อื จบั ทปี่ ลายวสั ดุทกุ แทง่ นักเรียนจะรู้สึกอย่างไร (อาจจะรูส้ ึกรอ้ นมือเมอ่ื จับวสั ดุบางแท่ง) 4.3 ความรูส้ กึ ของแตล่ ะคนวัดระดบั ความร้อนได้เทา่ กันหรือไม่ (ไม่เท่ากัน) 4.4 ถา้ มเี ทียนไข ไมข้ ดี ไฟ นักเรียนจะมวี ธิ ีวัดการเปลี่ยนแปลงความร้อนของวสั ดโุ ดยใช้เทยี น ไขกับไม้ขีดไฟได้อย่างไร (นักเรียนควรเสนอว่าจุดเทียนไขแล้วหยดเทียนที่ปลายแท่งวัสดุแล้วสังเกตการ เปลยี่ นแปลงของหยดเทียนเม่อื รินน้ำรอ้ นลงในภาชนะ) 4.5 การเปลยี่ นแปลงของหยดเทียนไขสามารถบอกไดอ้ ย่างไรว่าวัสดุนำความร้อนหรือไม่นำ ความร้อน (ถ้าหยดเทียนไขบนแท่งวัสดใุ ดหลอมเหลว แสดงว่าวสั ดนุ ั้นนำความรอ้ น) ครูอธิบายเพิ่มเติมว่าการกำหนดวิธีสงั เกตการนำความร้อนของวสั ดุโดยการสังเกตหยดเทียนไขบนแท่งวัสดุเปลีย่ น จากของแขง็ เป็นของเหลวหรือเกิดการหลอมเหลวเปน็ การกำหนดนิยามเชงิ ปฏบิ ัติการ 5. ครูและนักเรียนรว่ มกันสรปุ วธิ ที ดสอบการนำความร้อนของวสั ดุ โดยใชช้ ุดนำความร้อน ดงั น้ี 5.1 หยดเทยี นไขท่ปี ลายด้านนอกของแท่งวัสดุ แทง่ ละ 1 หยด ใหห้ า่ งจากขอบภาชนะของ ชดุ การนำความรอ้ นเป็นระยะเทา่ กัน 5.2 รนิ น้ำรอ้ นลงในชุดนำความรอ้ นให้ทว่ มแทง่ วสั ดุ 5.3 สงั เกตการเปลี่ยนแปลงของหยดเทียนไข บันทกึ ผลในตาราง 6. นักเรียนแต่ละกลมุ่ ออกแบบตารางบนั ทกึ ผล

7. นักเรยี นวเิ คราะห์ตัวแปร ตามแนวคำถามดงั นี้ 7.1 ในการทดลองน้ี ตวั แปรต้นคืออะไร (ตวั แปรต้นคือ ชนิดของวสั ดุ) 7.2 ตวั แปรตามคอื อะไร (ตัวแปรตามคือการเปล่ยี นแปลงของหยดเทยี นไขจากของแข็งเป็น ของเหลวหรือเกิดการหลอดเหลว) 7.3 จากการทดลองนี้ ตัวแปรทตี่ อ้ งควบคมุ ใหค้ งที่คอื อะไร (ขนาดและความยาวของแทง่ วัสดุ ความยาวของแท่งวัสดุที่แช่น้ำร้อน รูปร่างและขนาดของหยดเทียนไข ระยะห่างของหยดเทียนไขจากปลายแท่ง วสั ดุ) 8. ครูทบทวนวธิ ีการทำกจิ กรรมอีกครง้ั นักเรยี นจะไดป้ ฏิบตั ิดังตอ่ ไปน้ี 8.1 สงั เกตวัสดุในชดุ การนำความร้อนและระบชุ นดิ ของวสั ดุ 8.2 ตัง้ สมมติฐานการทดลอง ระบตุ ัวแปรตา่ งๆ กำหนดนยิ ามเชิงปฏบิ ัติการ และออกแบบ ตารางบันทกึ ผล 8.3 ทำการทดลองเพือ่ ตรวจสอบสมมติฐาน 8.4 นำเสนอและลงขอ้ สรปุ 8.5 สืบคน้ ขอ้ มลู การใชป้ ระโยชน์ของวัสดุทอี่ าศัยสมบัติการนำความรอ้ น หลงั จากนั้น ตรวจสอบวา่ นกั เรยี นเข้าใจแลว้ ใหน้ กั เรยี นลงมอื ทดลอง ข้นั อภปิ รายและลงขอ้ สรุป 9. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันอภปิ รายและสรุปผลการทดลอง โดยใชค้ ำถามดงั นี้ 9.1 จากการทดลองนักเรียนสังเกตเห็นการนำความร้อนของวสั ดุหรอื ไม่ (มองไม่เห็น) 9.2 ส่งิ ทนี่ ักเรยี นสงั เกตเห็นคอื อะไร (การเปลย่ี นแปลงของหยดเทยี นไข) 9.3 หยดเทยี นไขบนแทง่ วัสดุแต่ละชนดิ มีการเปลี่ยนแปลงหรอื ไม่ อยา่ งไร (หยดเทียนไขบน ปลายแท่งทองแดง อะลูมิเนียม และเหล็กมีการเปลี่ยนแปลงโดยหยดเทียนไขหลอมเหลว ส่วนหยดเทียนไขบน ปลายแท่งแก้วและไมไ้ ม่มกี ารเปล่ยี นแปลง) 9.4 หยดเทยี นไขเกิดการเปล่ียนแปลงได้อยา่ งไร (ความรอ้ นจากนำ้ ร้อนสง่ ผ่านมาทแ่ี ท่งวสั ดุ และเมื่อความร้อนส่งผ่านมาถึงบริเวณแท่งวัสดุตำแหน่งที่หยดเทียนไขติดอยู่ทำให้หยดเทียนไขร้อนขึ้นและ หลอมเหลว) 9.5 การเปลีย่ นแปลงของหยดเทยี นไขเกย่ี วข้องกับการนำความร้อนของวัสดอุ ย่างไร (วัสดทุ ี่ นำความร้อนได้ดที ำใหห้ ยดเทียนไขหลอมเหลวได้เรว็ ) 9.6 วสั ดทุ ี่ทำให้หยดเทยี นไขเปลีย่ นแปลง มสี มบตั กิ ารนำความรอ้ นเปน็ อยา่ งไร ได้แกอ่ ะไร (วัสดทุ ่ที ำให้หยดเทียนไขเปล่ยี นแปลงมีสมบตั ิการนำความรอ้ นได้ดี ได้แก่ ทองแดง เหลก็ อะลูมเิ นยี ม) 9.7 วัสดทุ ไ่ี มท่ ำให้หยดเทยี นไขเปล่ียนแปลง มีสมบัติการนำความร้อนเปน็ อยา่ งไร ได้แก่อะไร (วัสดุทีไ่ มท่ ำให้หยดเทยี นไขเปลย่ี นแปลง มีสมบัติการนำความรอ้ นไมด่ ี ไดแ้ ก่ แกว้ และไม)้ 10. ครูอธิบายเพิ่มเตมิ ว่าวัสดทุ ี่ความร้อนถ่ายโอนผา่ นได้ดี เรียกว่า ตัวนำความร้อน ส่วนวัสดุที่ความร้อน ถ่ายโอนผา่ นได้ไมด่ ี เรียกว่า ฉนวนความร้อน จากน้ัน ครสู อบถามนักเรียนด้วยคำถามตอ่ ไปน้ี

10.1 จากการทดลอง วัสดใุ ดเป็นตวั นำความรอ้ น และวัสดุใดเป็นฉนวนความรอ้ น (ตวั นำ ความร้อน ไดแ้ ก่ ทองแดง อะลูมิเนียม และเหล็ก ส่วนฉนวนความร้อน ได้แก่ ไม้ และแกว้ ) 10.2 ความรอ้ นถา่ ยโอนผา่ นแกว้ และไมไ้ ด้หรือไม่ ถา้ นกั เรียนตอบว่าได้ ครถู ามต่อว่า “รูไ้ ด้ อย่างไร” แตถ่ า้ ตอบวา่ ไม่ได้ ครถู ามต่อไปว่า เพราะเหตใุ ดเราจึงร้สู ึกร้อนมือเมื่อสัมผัสแก้วท่ีบรรจุน้ำร้อนหรือรู้สึก ร้อนเท้าเมื่อเดินเท้าเปล่าบนพื้นระเบียงไม้กลางแดด (เพราะความร้อนจากน้ำร้อน ถ่ายโอนผ่านแก้วมาถึงมือเรา และความร้อนจากพื้นระเบียงไม้ถ่ายโอนมาสู่เท้าเรา) ครูอธิบายว่า แก้วเป็นฉนวนความร้อน แต่ความร้อนก็ สามารถถ่ายโอนผ่านแก้วบาง ๆ ได้ หรือสามารถถ่ายโอนผ่านผ้าบาง ๆ ได้เช่นกัน เรามักเข้าใจผิดว่า ฉนวนความ รอ้ นคือวัสดุทคี่ วามรอ้ นถา่ ยโอนผ่านไม่ได้ ซ่งึ ในความเปน็ จริงแลว้ ความร้อนสามารถถา่ ยโอนผา่ นได้ แตผ่ า่ นไดไ้ ม่ดี 11. ครูและนักเรยี นร่วมกันอภิปรายและลงข้อสรุปรว่ มกนั วา่ การนำความร้อนของวสั ดุคือการท่ีความร้อน ถา่ ยโอนผา่ นอนุภาคของวัสดุอยา่ งต่อเนือ่ งจากบรเิ วณที่มีอณุ หภูมิสูงกวา่ ไปยงั บริเวณที่มอี ุณหภมู ติ ่ำกวา่ วัสดแุ ต่ละ ชนิดนำความร้อนไดแ้ ตกต่างกัน วัสดุทีน่ ำความรอ้ นไดด้ ี เรยี กว่า ตัวนำความร้อน วัสดุทน่ี ำความรอ้ นได้ไม่ดีหรือไม่ นำความรอ้ นเรยี กว่า ฉนวนความร้อน 12.นักเรียนตอบคำถามและอภิปรายคำตอบใน ฉันรู้อะไร โดยครูอาจเพิ่มเติมคำถามในการอภิปราย เพ่อื ใหไ้ ดค้ ำตอบตามแนวคำตอบ 13. นักเรียนสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ในกิจกรรมนี้ จากนั้นอ่าน ส่ิงที่ได้เรียนรู้ และเปรียบเทียบกับข้อสรุปของ ตนเอง 14. ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยใช้คำถามว่า วัสดุแต่ละชนิดนำความร้อนได้แตกต่างกัน หรือไมแ่ ละจะทดสอบได้อย่างไร ซ่งึ นกั เรยี นควรตอบได้วา่ เราสามารถเปรียบเทียบการนำความรอ้ นของวัสดุแต่ละ ชนิดได้จากการสังเกตการเปลี่ยนแปลงของหยดเทียนไขที่ปลายแท่งวัสดุว่าเกิดการหลอมเหลวเร็วช้าแตกต่างกัน อย่างไรบ้าง วัสดุที่นำความร้อนได้ดที ี่สุดจะมีผลทำให้หยดเทียนหลอมเหลวเร็วท่ีสุด ส่วนวัสดทุ ีไ่ ม่นำความร้อนกม็ ี ผลใหห้ ยดเทียนไม่หลอมเหลว ข้นั ขยายความรู้ 15. ครกู ระต้นุ ใหน้ กั เรยี นฝึกตัง้ คำถามเกี่ยวกบั เร่อื งที่สงสยั หรืออยากรู้เพิ่มเติมใน อยากรู้อีกวา่ จากนน้ั ครู สุม่ นักเรยี น 2 -3 คน นำเสนอคำถามของตนเองหนา้ ช้นั เรียนและให้นกั เรยี นอภปิ รายเก่ยี วกับคำถามท่ีนำเสนอ ข้นั ประเมิน 16. ครูมอบหมายให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลการนำสมบัติการนำความร้อนไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน แลว้ นำเสนอโดยวธิ ี ตา่ ง ๆ เช่น เล่าใหเ้ พื่อนฟัง หรอื เขยี นรายงานติดไวท้ ี่บอรด์ หน้าช้ันเรียน 17. ครูนำอภิปรายเพื่อให้นักเรียนทบทวนว่าในกิจกรรมนี้ได้ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ในขน้ั ตอนใดบ้างและใหบ้ ันทึกในแบบบันทึกกจิ กรรมหนา้ 20 นักเรียนร่วมกันอ่าน รู้อะไรในเรื่องน้ี ในหนังสือเรียน ครูอาจแนะนำให้นักเรียนใช้แอฟลิเคชันสำหรับการสังเกต ภาพเสมือนจริง (AR) ของการนำความร้อนของวัสดุ ในหนังสือเรียน หน้า 22 แล้วชักชวนนักเรียนอภิปรายเพ่ือ นำไปสูข่ ้อสรุปเกีย่ วกบั สงิ่ ที่ได้เรียนรใู้ นเรื่องนี้

7. สื่อการสอน 1. หนงั สอื เรยี น 2. แบบบนั ทึกกจิ กรรม 3. รูปภาพ 4. PowerPoint 5. ชุดการนำความร้อน 1 ชุด (แท่งวัสดุในชุดการนำความร้อนมี 5 แท่ง ได้แก่ แท่งอะลูมิเนียม แท่ง ทองแดง แทง่ เหล็ก แท่งไม้ แท่งแกว้ ) 6. เทยี นไข 1 แทง่ 7. น้ำรอ้ น ¼ ลติ ร 8. ไมข้ ดี ไฟ 1 กลกั 9. กระป๋องทราย 1 กระปอ๋ ง 8. การวัดและประเมินผล 1. ประเมนิ ความรเู้ ดมิ จากการอภปิ รายในชนั้ เรยี น 2. ประเมนิ การเรยี นรจู้ ากคาตอบของนกั เรยี นระหวา่ งการจดั การเรยี นรแู้ ละจากแบบบนั ทกึ กจิ กรรม 3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จากการทากจิ กรรม ของนกั เรยี น

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 8 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว 14101 ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 เรื่อง การนำไฟฟ้าของวสั ดุ เวลา 1 ชวั่ โมง หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4 วัสดุและสสาร เวลาเรียน 21 ช่ัวโมง ครผู สู้ อน นางสาวนวฉตั ร นาเมอื งรกั ษ์ สอนวันท่ี …..….. เดอื น ….………… พ.ศ. …..………. โรงเรยี นชุมชนวดั บา้ นระกาศ สำนักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมุทรปราการ เขต 2 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ / ตัวช้ีวดั สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี ตวั ชีว้ ัด ป. 4/1 เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการ นำไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่องความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความรอ้ น และการนำไฟฟา้ ของวัสดุไปใช้ในชีวิตประจำวันผา่ นกระบวนการออกแบบช้นิ งาน ป. 4/2 แลกเปล่ียนความคดิ กบั ผู้อน่ื โดยการอภปิ รายเกย่ี วกบั สมบตั ทิ างกายภาพของวสั ดุ อย่างมเี หตผุ ลจากการทดลอง 2. สาระสำคญั วัสดุแต่ละชนิดนำไฟฟ้าได้แตกต่างกัน วัสดุที่นำไฟฟ้าหรือตัวนำไฟฟ้า เป็นวัสดุที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ ส่วนวัสดทุ ไ่ี มน่ ำไฟฟ้าหรือฉนวนไฟฟา้ เป็นวัสดุทไ่ี มใ่ หไ้ ฟฟา้ ผ่าน 3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. สังเกต อธิบายและเปรียบเทยี บการนำไฟฟ้าของวัสดุชนดิ ตา่ ง ๆ 2. สบื ค้นข้อมูลและยกตวั อย่างการนำสมบตั ิการนำไฟฟ้าของวสั ดุไปใช้ประโยชน์ 4. สาระการเรยี นรู้ ความแขง็ ของวัสดุ คือความทนทานตอ่ การเกิดรอยของวสั ดุเม่ือมแี รงมากระทำ ทดสอบโดยการนำวัสดุมา ขดู ขีดกนั สังเกตรอยทเี่ กิดขึน้ บนเนอื้ วัสดุ สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัสดุ เมื่อมีแรงมากระทำ และสามารถกลับสู่สภาพ เดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทำ ทดสอบโดยการออกแรงดึงวัสดุและหยุดออกแรงสังเกตการเปลี่ยนแปลงสภาพของ วสั ดุ

การนำความร้อน คือการถ่ายโอนความร้อนผ่านอนุภาคของวัสดุจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยัง บริเวณทม่ี อี ุณหภูมติ ำ่ กว่า วัสดทุ ี่ความรอ้ นถา่ ยโอนผ่านได้ดี เรียกว่า ตัวนำความร้อน วัสดทุ ่ีความรอ้ นถ่ายโอนผ่าน ได้ไม่ดี หรือไม่ถ่ายโอนความร้อน เรียกว่า ฉนวนความร้อน ทดสอบโดยการให้ความร้อนแก่วัสดุแล้ว สังเกตการ เปล่ียนแปลง อุณหภมู ิของวัสดุ วัสดุแต่ละชนิดนำไฟฟ้าได้แตกต่างกัน วัสดุที่นำไฟฟ้าหรือตัวนำไฟฟ้า เป็นวัสดุที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ ส่วนวสั ดุท่ไี มน่ ำไฟฟา้ หรือฉนวนไฟฟา้ เป็นวัสดทุ ี่ไม่ให้ไฟฟ้าผ่าน วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติ แตกต่างกัน เนื่องจากองค์ประกอบของวัสดุนั้น วัสดุบางชนิดประกอบด้วย สาร ชนดิ เดยี ว วัสดบุ างชนิด ประกอบด้วยสารหลายชนิด จึงนำ มาใชป้ ระโยชน์ใน ชวี ิตประจำวนั 5. สมรรถนะทสี่ ำคัญของผู้เรยี น 1. ความสามารถในการคดิ 2. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 3. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต 6. กิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั สรา้ งความสนใจ (5 นาท)ี 1. ครูทบทวนความรูท้ เ่ี รียนมาแล้ว โดยใชค้ ำถามต่อไปน้ี 1.1 สมบตั ทิ างกายภาพของวสั ดมุ อี ะไรบา้ ง (ความแขง็ ความเหนยี ว สภาพยืดหยนุ่ การนำ ความร้อน) 1.2 การทำกิจกรรมท่ีผา่ นมา นกั เรยี นไดเ้ รยี นรูเ้ กี่ยวกับสมบัตทิ างกายภาพของวสั ดุด้วย วธิ กี ารใดบา้ ง (การสังเกต การทดลอง การสบื คน้ ขอ้ มูล) 1.3 นอกจากสมบตั ิทางกายภาพได้แก่ ความแข็ง สภาพยืดหยุ่น และการนำความรอ้ นแลว้ ยังมีสมบัติอะไรอีกบ้างที่เราจะได้เรียนต่อไป (นักเรียนตอบตามความเข้าใจ ตัวอย่างคำตอบ เช่น สมบัติการนำ ไฟฟ้า) ขน้ั สำรวจและคน้ หา (20 นาที) 2. นักเรียน อ่านชื่อเรื่อง และ คิดก่อนอ่าน ในหนังสือเรียนหน้า 24 จากนั้นลองตอบคำถามตามความ เข้าใจของตนเอง ครูบนั ทกึ คำตอบของนกั เรยี นเพอ่ื ใชเ้ ปรียบเทียบกับคำตอบหลงั การอ่านเนือ้ เรื่อง 3. นักเรียนอ่านเนื้อเรื่อง โดยครูเลือกใช้วิธีการอ่านที่เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน จากน้ัน ตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรียนโดยใชค้ ำถามดังตอ่ ไปน้ี 3.1 นวัตกรรมรถยนตร์ ่นุ ใหมจ่ ะใช้พลังงานอะไร (พลงั งานไฟฟ้า) 3.2 รถยนต์ที่ใช้พลงั งานไฟฟ้ามีข้อดีกว่ารถยนตท์ ใ่ี ชน้ ำ้ มันเช้ือเพลิงอยา่ งไร (รถยนต์ไฟฟ้าใช้ พลงั งานสะอาดชว่ ยรกั ษาสิ่งแวดล้อมดกี ว่ารถยนตท์ ี่ใช้น้ำมันเช้ือเพลงิ ) 3.3 วัสดทุ ี่นำไฟฟ้าไดม้ สี มบัติอยา่ งไร (วสั ดทุ น่ี ำไฟฟ้า มีสมบตั ใิ ห้ไฟฟ้าผ่านได)้

3.4 ถา้ พลังงานไฟฟา้ ในแบตเตอรี่หมด จะเติมพลังงานไฟฟ้าให้รถยนตไ์ ด้อย่างไร (ตอ้ งนำ แบตเตอรีไ่ ปประจุไฟฟา้ ) 3.5 วัสดทุ ีใ่ ช้ทำสายไฟฟา้ มีสมบัตอิ ยา่ งไร (นำไฟฟ้าได)้ ขน้ั อภิปรายและลงขอ้ สรุป (20 นาท)ี 4. ครูชักชวนนักเรียนช่วยกันสรุปเรื่องที่อ่านซึ่งควรสรุปได้ว่ารถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจะช่วยรักษา สิ่งแวดล้อม เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ซึ่งเปน็ พลังงานสะอาด แบตเตอรี่สามารถประจุไฟฟ้า ได้จากไฟบา้ น สายไฟฟ้าทำจากวัสดุทีน่ ำไฟฟา้ หรือให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ ขนั้ ขยายความรู้ (5 นาที) 5. นักเรียนตอบคำถามใน รหู้ รือยงั ในแบบบนั ทกึ กิจกรรม ข้นั ประเมิน (10 นาที) 6. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อเปรียบเทียบคำตอบของนักเรียนในรู้หรือยังกับคำตอบที่เคยตอบ และบนั ทกึ ไว้ในคดิ ก่อนอา่ น 7. ครูเชอื่ มโยงความรจู้ ากเรื่องที่อา่ นเข้าสกู่ ิจกรรมโดยใชค้ ำถามว่า วสั ดุอะไรบ้างที่นำไฟฟา้ เพ่อื ชักชวนให้ นักเรยี นหาคำตอบร่วมกันในกจิ กรรมต่อไป 7. ส่ือการสอน 1. หนังสอื เรียน 2. แบบบันทึกกิจกรรม 3. รปู ภาพ 4. PowerPoint 8. การวัดและประเมนิ ผล 1. ประเมนิ ความรเู้ ดมิ จากการอภปิ รายในชนั้ เรยี น 2. ประเมนิ การเรยี นรจู้ ากคาตอบของนกั เรยี นระหวา่ งการจดั การเรยี นรแู้ ละจากแบบบนั ทกึ กจิ กรรม 3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จากการทากจิ กรรม ของนกั เรยี น

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 9 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา ว 14101 ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 เรอื่ ง วสั ดแุ ต่ละชนดิ มีการนำไฟฟ้าเป็นอย่างไร เวลา 1 ช่วั โมง หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 4 วสั ดุและสสาร เวลาเรียน 21 ช่วั โมง ครผู สู้ อน นางสาวนวฉัตร นาเมอื งรกั ษ์ สอนวนั ที่ …..….. เดือน ….………… พ.ศ. …..………. โรงเรยี นชมุ ชนวดั บ้านระกาศ สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวช้ีวดั สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ตวั ช้ีวดั ป. 4/1 เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการ นำไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่องความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความรอ้ น และการนำไฟฟ้าของวสั ดไุ ปใช้ในชวี ิตประจำวันผ่านกระบวนการออกแบบช้ินงาน ป. 4/2 แลกเปล่ยี นความคดิ กบั ผู้อนื่ โดยการอภปิ รายเกีย่ วกับสมบัติทางกายภาพของวัสดุ อย่างมเี หตผุ ลจากการทดลอง 2. แนวคดิ วัสดุแต่ละชนิดนำไฟฟ้าได้แตกต่างกัน วัสดุที่นำไฟฟ้าหรือตัวนำไฟฟ้า เป็นวัสดุที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ ส่วนวัสดทุ ่ีไม่นำไฟฟ้าหรือฉนวนไฟฟา้ เปน็ วสั ดุท่ีไมใ่ ห้ไฟฟา้ ผา่ น 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. สงั เกต อธบิ ายและเปรยี บเทียบการนำไฟฟา้ ของวสั ดุชนดิ ต่าง ๆ 2. สืบคน้ ข้อมูลและยกตวั อยา่ งการนำสมบตั กิ ารนำไฟฟา้ ของวัสดไุ ปใชป้ ระโยชน์ 4. สาระการเรยี นรู้ ความแข็งของวัสดุ คือความทนทานตอ่ การเกิดรอยของวสั ดุเม่ือมแี รงมากระทำ ทดสอบโดยการนำวัสดุมา ขูดขีดกนั สงั เกตรอยที่เกิดข้นึ บนเนอื้ วสั ดุ สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัสดุ เมื่อมีแรงมากระทำ และสามารถกลับสู่สภาพ เดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทำ ทดสอบโดยการออกแรงดึงวัสดุและหยุดออกแรงสังเกตการเปลี่ยนแปลงสภาพของ วัสดุ

การนำความร้อน คือการถ่ายโอนความร้อนผ่านอนุภาคของวัสดุจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยัง บรเิ วณทม่ี อี ุณหภูมิต่ำกวา่ วสั ดทุ ี่ความร้อนถ่ายโอนผ่านได้ดี เรยี กว่า ตวั นำความร้อน วัสดทุ ่คี วามรอ้ นถ่ายโอนผ่าน ได้ไม่ดี หรือไม่ถ่ายโอนความร้อน เรียกว่า ฉนวนความร้อน ทดสอบโดยการให้ความร้อนแก่วัสดุแล้ว สังเกตการ เปลีย่ นแปลง อณุ หภูมขิ องวสั ดุ วัสดุแต่ละชนิดนำไฟฟ้าได้แตกต่างกัน วัสดุที่นำไฟฟ้าหรือตัวนำไฟฟ้า เป็นวัสดุที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ ส่วนวสั ดุที่ไม่นำไฟฟ้าหรือฉนวนไฟฟา้ เปน็ วสั ดทุ ไี่ มใ่ ห้ไฟฟา้ ผ่าน วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติ แตกต่างกัน เนื่องจากองค์ประกอบของวัสดุนั้น วัสดุบางชนิดประกอบด้วย สาร ชนิดเดยี ว วสั ดุบางชนดิ ประกอบดว้ ยสารหลายชนดิ จงึ นำ มาใช้ประโยชนใ์ น ชวี ิตประจำวนั 5. สมรรถนะที่สำคัญของผู้เรยี น 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการแกป้ ญั หา 3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต 6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั สร้างความสนใจ (5 นาท)ี 1. นักเรียนทบทวนและอภิปรายคำตอบใน คำถาม รู้หรือยัง วัสดุที่นำไฟฟ้าได้มีสมบัติอย่างไรและจะ ทดสอบการนำไฟฟา้ ของวัสดุได้อยา่ งไร เพอื่ เชอ่ื มโยงเข้าส่กู ิจกรรมท่ี 4 2. นกั เรยี น อ่านช่ือกจิ กรรมท่ี 4 วัสดแุ ต่ละชนิดมีการนำไฟฟ้าเป็นอย่างไร และหวั ข้อ ทำเป็นคิดเป็น ครู ตรวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรยี นเก่ียวกบั ส่งิ ทจ่ี ะเรยี น โดยใช้คำถามดงั ต่อไปน้ี 2.1 กจิ กรรมน้ีนักเรยี นจะไดเ้ รยี นเรื่องอะไร (การนำไฟฟา้ ของวัสดุ) 2.2 นกั เรยี นจะไดเ้ รยี นเรือ่ งนดี้ ้วยวิธใี ด (สงั เกตและสบื ค้นข้อมูล) 2.3 เมือ่ เรยี นแล้วนกั เรียนจะทำอะไรได้ (อธบิ ายและเปรียบเทยี บการนำไฟฟา้ ของวสั ดตุ า่ ง ๆ รวมทั้งยกตัวอย่างการนำสมบัติการนำไฟฟ้าของวัสดุมาใช้ประโยชน์) นักเรียนบันทึกจุดประสงค์ในแบบบันทึก กจิ กรรม และอา่ น ส่ิงทต่ี อ้ งใช้ ครยู ังไมแ่ จกวัสดอุ ุปกรณ์แตน่ ำมาแสดงใหน้ กั เรยี นดทู ีละอย่าง ขนั้ สำรวจและคน้ หา (20 นาท)ี 3. นักเรียนอ่าน ทำอย่างไร ในหนังสือเรียนหน้า 26 ครูตรวจสอบความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการทำ กิจกรรม โดยใช้คำถามดงั น้ี 3.1 กจิ กรรมนี้นกั เรยี นต้องทำอะไรบ้าง (ตรวจสอบการทำงานของวงจรไฟฟ้าอยา่ งง่าย โดย ต่อถ่านไฟฉาย หลอดไฟฟ้า และสายไฟฟ้าเข้าด้วยกัน สังเกตหลอดไฟฟ้าสว่างหรือไม่สว่าง จากนั้นนำวัสดุแต่ละ ชนิดต่อแทรกในวงจรไฟฟ้า สังเกตหลอดไฟฟ้าว่าสว่างหรือไม่สว่าง บันทึกผล สืบค้นข้อมูลการใช้ประโยชน์จาก สมบตั ิการนำไฟฟา้ ของวสั ดุ) 3.2 นักเรียนต้องทดสอบการนำไฟฟา้ ของส่งิ ใดบ้าง (แท่งไม้ แท่งแก้ว แท่งเหล็ก แทง่

อะลูมิเนียม แทง่ ทองแดง ลกู กญุ แจ ถุงพลาสตกิ ถา่ นไม้ ไสด้ ินสอ HB และ 2B และ สิ่งของอ่ืนๆ 1 ช้นิ ที่เตรียมมา) 3.3 สิง่ ทีน่ ักเรียนตอ้ งบันทึกในตารางมีอะไรบ้าง (ชนิดของวสั ดุ เขียนเครื่องหมายถูกให้ตรง กับชอ่ งตารางที่ตรงกบั ผลการสังเกตความสว่างของหลอดไฟฟ้า) 4. เมือ่ นักเรยี นเขา้ ใจวิธกี ารทำกจิ กรรมจะไดป้ ฏิบัติดังต่อไปน้ี 1.1 ตอ่ วงจรไฟฟา้ อยา่ งง่าย ตรวจสอบการทำงานของวงจรไฟฟ้าและสังเกต 1.2 นำวัสดตุ ่อแทรกในวงจรไฟฟา้ สังเกต และบนั ทกึ 1.3 นำเสนอ อภปิ รายและลงขอ้ สรปุ 1.4 สืบค้นข้อมลู และนำเสนอประโยชน์ของวสั ดุ 5. นกั เรียนรับอุปกรณ์ที่ครเู ตรยี มมาและทำกจิ กรรม ขั้นอภิปรายและลงข้อสรปุ (20 นาท)ี 6. เมื่อเสร็จสิ้นการทำกิจกรรม ให้นักเรียนเก็บอุปกรณ์ที่ใช้แล้วให้เรียบร้อย จากนั้นตัวแทนกลุ่มนำเสนอ ผลการทำกิจกรรม ครูบันทึกผลการทำกิจกรรมบนกระดานและตรวจสอบกับนักเรียนทุกกลุ่มว่าได้ผลการทำ กจิ กรรมเหมอื นกันหรือไม่ ครคู วรให้กลุ่มทม่ี ผี ลคลาดเคลอ่ื นทำใหม่ หลังจากนั้นครูชกั ชวนนักเรียนอภิปรายผลการ ทำกจิ กรรม โดยใช้คำถามดงั น้ี 6.1 นักเรียนสงั เกตเห็นการนำไฟฟา้ ของวัสดุหรือไม่ (มองไมเ่ ห็น) 6.2 สิ่งทน่ี กั เรยี นสงั เกตเหน็ คอื อะไร (หลอดไฟฟ้าสว่างหรอื ไมส่ วา่ ง) การถามคำถามเหลา่ นี้ เพื่อใหน้ กั เรยี นสามารถระบุและจำแนกข้อมลู ที่ได้จากการสังเกตและข้อมูลทเ่ี ป็นการลงความเหน็ 6.3 ข้อมูลท่ีสังเกตไดน้ ้ีเก่ยี วข้องกบั สมบตั กิ ารนำไฟฟา้ ของวัสดอุ ยา่ งไร (วสั ดทุ ต่ี อ่ กบั วงจรไฟฟ้าแลว้ ทำใหห้ ล อดไฟสว่าง แสดงว่าวสั ดุนัน้ นำไฟฟ้า วัสดุที่ต่อกับวงจรไฟฟ้าแล้วไม่ทำให้หลอดไฟสว่าง แสดงวา่ วัสดุน้นั ไม่นำไฟฟา้ ) 6.4 นักเรียนลงความเหน็ ว่าวัสดใุ ดนำไฟฟา้ และวสั ดใุ ดไม่นำไฟฟ้า สงั เกตจากอะไร (ไส้ ดินสอ 2B เหลก็ อะลมู ิเนยี มและ ทองแดง นำไฟฟา้ สังเกตจากวัสดเุ หลา่ น้ีเม่อื ต่อกับวงจรไฟฟ้าแล้วทำให้หลอดไฟ สวา่ ง ไม้ แก้ว พลาสตกิ และถา่ นไม้ และไส้ดนิ สอ HB ไม่นำไฟฟ้า เพราะต่อกบั วงจรไฟฟ้าแล้วหลอดไฟฟ้าไมส่ วา่ ง) 7. ครอู ธบิ ายว่าวสั ดุทีใ่ หไ้ ฟฟา้ ผา่ นไดห้ รือผ่านไดด้ ี เรียกวา่ ตัวนำไฟฟ้า สว่ นวสั ดุท่ไี ฟฟา้ ผ่านไมไ่ ด้หรือผ่าน ได้ไม่ดี เรียกว่า ฉนวนไฟฟ้า ครูถามนักเรียนว่า จากกิจกรรม วัสดุใดเป็นตัวนำไฟฟ้า และวัสดุใดเป็นฉนวนไฟฟ้า (ตัวนำไฟฟ้า ได้แก่ เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนียม ไส้ดินสอ 2B ส่วนฉนวนไฟฟ้า ได้แก่ ไม้ แก้ว พลาสติก ถ่านไม้ ไส้ ดนิ สอ HB) สว่ นสง่ิ ของทอี่ ่ืน ๆ ท่นี กั เรยี นนำมาทดสอบเพ่มิ เตมิ ใหย้ ดึ ตามผลที่สงั เกตไดจ้ รงิ 8. ครูแนะนำนักเรียนว่าวัสดุบางชนิดเป็นฉนวนไฟฟ้าเมื่อต่อกับแหล่งพลังงานไฟฟ้าต่ำ เช่น ถ่านไฟฉาย แต่สามารถเป็นตัวนำไฟฟ้าได้เมื่อต่อกับแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่มีพลังงานมากกว่า เช่น ไฟฟ้าที่ใช้ในบ้าน ดังน้ัน นักเรยี นจงึ ไม่ควรนำสงิ่ ของต่าง ๆ ไปทดลองกับไฟฟ้าท่บี ้านเพราะอาจเปน็ อนั ตรายถึงชวี ติ ได้

9. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและลงข้อสรุปร่วมกันว่า การนำไฟฟ้าของวัสดุคือการที่วัสดุให้ กระแสไฟฟ้าผ่านได้ ทดสอบโดยการนำวัสดุมาต่อแทรกในวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย วัสดุที่นำไฟฟ้าได้หรือตัวนำไฟฟ้า จะทำใหห้ ลอดไฟฟา้ สว่าง สว่ นวสั ดุทไ่ี ม่นำไฟฟ้าหรอื ฉนวนไฟฟ้าหลอดไฟฟา้ จะไม่สว่าง ขั้นขยายความรู้ (5 นาที) 10.นักเรียนตอบคำถามใน ฉันรู้อะไร และร่วมกันอภิปรายคำตอบโดยครูควรเพิ่มเติมคำถามในการ อภปิ รายเพอื่ ใหไ้ ดค้ ำตอบตามแนวคำตอบ 11.นักเรียนสรุปสิง่ ที่ไดเ้ รียนรู้ในกจิ กรรมน้ี จากนั้นครใู ห้นักเรียนอ่าน สิ่งที่ได้เรยี นรู้ และเปรียบเทียบกบั ข้อสรปุ ของตนเอง ข้ันประเมนิ (10 นาที) 12.ครกู ระตนุ้ ให้นักเรียนฝึกต้ังคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่สงสัยหรืออยากรเู้ พ่ิมเติมใน อยากรู้อีกว่า จากนั้นครู สุม่ นกั เรยี น 2 -3 คน นำเสนอคำถามของตนเองหนา้ ชัน้ เรยี นและใหน้ กั เรยี นอภปิ รายเก่ียวกบั คำถามท่ีนำเสนอ 13.ครูนำอภิปรายเพื่อให้นักเรียนทบทวนว่าได้ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะแห่ง ศตวรรษที่ 21 อะไรบา้ งและในขั้นตอนใดบ้าง แล้วบันทึกในแบบบันทึกกิจกรรม 14.นักเรียนร่วมกันอ่าน รู้อะไรในเรื่องน้ี เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับการนำไฟฟ้าของวัสดุ จากนั้นครู ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยใช้คำถามว่า สายไฟฟ้าควรทำจากวัสดุอะไร และวัสดุอะไรบ้างที่นำไฟฟ้าได้ สายไฟฟา้ ควรทำจากวสั ดทุ นี่ ำไฟฟา้ ได้ เชน่ วัสดทุ ่ีเป็นโลหะ ส่วนวสั ดทุ ่นี ำไฟฟา้ ได้ เชน่ เหลก็ อะลมู เิ นียม ทองแดง ไส้ดนิ สอ 2B 7. สื่อการสอน 1. หนงั สอื เรยี น 2. แบบบันทกึ กจิ กรรม 3. รูปภาพ 4. PowerPoint 5. หลอดไฟฟา้ พรอ้ มฐาน 6. สายไฟฟา้ พรอ้ มคลปิ ปากจระเข้ 7. ถา่ นไฟฉายพร้อมกระบะถา่ น 8. ชดุ การนำความร้อน (ประกอบดว้ ยแทง่ ไม้ แท่งแกว้ แท่งเหลก็ แทง่ ทองแดง และแท่งอะลูมเิ นียม) 5. ไส้ดนิ สอ 6. ไส้ดนิ สอ 2B 7. ลูกกญุ แจ 1 ดอก 8. ถงุ พลาสติก 1 ถุง 9. ถา่ นไม้ 1 ก้อน 10. สงิ่ ของทท่ี ำจากวัสดชุ นิดต่าง ๆ (เชน่ กระดาษ ผา้ ยาง อืน่ ๆ)

8. การวัดและประเมนิ ผล 1. ประเมนิ ความรเู้ ดมิ จากการอภปิ รายในชนั้ เรยี น 2. ประเมนิ การเรยี นรจู้ ากคาตอบของนกั เรยี นระหว่างการจดั การเรยี นรแู้ ละจากแบบบนั ทกึ กจิ กรรม 3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จากการทากจิ กรรม ของนกั เรยี น

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 10 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว 14101 ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 เร่อื ง สมบตั ทิ างกายภาพ เวลา 1 ชว่ั โมง หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 4 วัสดแุ ละสสาร เวลาเรยี น 21 ชัว่ โมง ครผู สู้ อน นางสาวนวฉตั ร นาเมืองรักษ์ สอนวนั ท่ี …..….. เดือน ….………… พ.ศ. …..………. โรงเรยี นชมุ ชนวดั บา้ นระกาศ สำนักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมุทรปราการ เขต 2 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตวั ชี้วดั สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พนั ธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี ตัวชวี้ ดั ป. 4/1 เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน และการ นำไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่องความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนำความรอ้ น และการนำไฟฟ้าของวสั ดไุ ปใชใ้ นชวี ติ ประจำวันผ่านกระบวนการออกแบบช้นิ งาน ป. 4/2 แลกเปลี่ยนความคิดกับผู้อ่นื โดยการอภปิ รายเกีย่ วกบั สมบตั ิทางกายภาพของวัสดุ อยา่ งมเี หตผุ ลจากการทดลอง 2. สาระสำคัญ วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติ แตกต่างกัน เนื่องจากองค์ประกอบของวัสดุนั้น วัสดุบางชนิดประกอบด้วย สาร ชนิดเดียว วสั ดุบางชนดิ ประกอบดว้ ยสารหลายชนดิ จึงนำ มาใช้ประโยชน์ใน ชวี ิตประจำวนั 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. สังเกต อธบิ ายและเปรยี บเทยี บการนำไฟฟา้ ของวัสดุชนิดต่าง ๆ 2. สืบค้นข้อมลู และยกตวั อย่างการนำสมบตั ิการนำไฟฟา้ ของวัสดุไปใช้ประโยชน์ 4. สาระการเรยี นรู้ ความแขง็ ของวัสดุ คอื ความทนทานต่อการเกิดรอยของวัสดุเมื่อมีแรงมากระทำ ทดสอบโดยการนำวัสดุมา ขูดขีดกัน สงั เกตรอยทเี่ กิดข้นึ บนเน้อื วัสดุ สภาพยืดหยุ่นของวัสดุ คือการเปลี่ยนแปลงสภาพของวัสดุ เมื่อมีแรงมากระทำ และสามารถกลับสู่สภาพ เดิมเมื่อหยุดออกแรงกระทำ ทดสอบโดยการออกแรงดึงวัสดุและหยุดออกแรงสังเกตการเปลี่ยนแปลงสภาพของ วสั ดุ

การนำความร้อน คือการถ่ายโอนความร้อนผ่านอนุภาคของวัสดุจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปยัง บรเิ วณที่มีอณุ หภูมิตำ่ กวา่ วัสดทุ ี่ความรอ้ นถา่ ยโอนผ่านได้ดี เรยี กว่า ตัวนำความรอ้ น วสั ดุทีค่ วามร้อนถ่ายโอนผ่าน ได้ไม่ดี หรือไม่ถ่ายโอนความร้อน เรียกว่า ฉนวนความร้อน ทดสอบโดยการให้ความร้อนแก่วัสดุแล้ว สังเกตการ เปลี่ยนแปลง อณุ หภูมิของวสั ดุ วัสดุแต่ละชนิดนำไฟฟ้าได้แตกต่างกัน วัสดุที่นำไฟฟ้าหรือตัวนำไฟฟ้า เป็นวัสดุที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ ส่วนวสั ดุทไี่ มน่ ำไฟฟ้าหรอื ฉนวนไฟฟา้ เปน็ วสั ดุทไ่ี มใ่ หไ้ ฟฟ้าผ่าน วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติ แตกต่างกัน เนื่องจากองค์ประกอบของวัสดุนั้น วัสดุบางชนิดประกอบด้วย สาร ชนิดเดียว วสั ดบุ างชนดิ ประกอบด้วยสารหลายชนดิ จงึ นำ มาใช้ประโยชนใ์ น ชีวติ ประจำวนั 5. สมรรถนะทส่ี ำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการคดิ 2. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต 6. กิจกรรมการเรยี นรู้ ขั้นสร้างความสนใจ 1. นักเรยี นเขยี นหรือวาดรปู สรปุ ส่งิ ท่ีไดเ้ รียนรู้จากบทนี้ ในแบบบันทึกกจิ กรรม ขน้ั สำรวจและคน้ หา 2. นักเรยี นตรวจสอบการสรุปสง่ิ ทไ่ี ดเ้ รยี นร้ขู องตนเองโดยเปรยี บเทียบกับ แผนภาพในหัวข้อ รอู้ ะไรในบท น้ี ในหนังสือเรยี น 3. นักเรียนกลบั ไปตรวจสอบคำตอบของตนเองในสำรวจความรู้ก่อนเรียน ในแบบบันทกึ กิจกรรม อีกครั้ง หากคำตอบของนักเรียนไม่ถูกต้องให้ขีดเส้นทับข้อความเหล่านั้น แล้วแก้ไขให้ถูกต้อง หรืออาจแก้ไขคำตอบด้วย ปากกาตา่ งสี นอกจากนีค้ รูอาจนำคำถามในรปู นำบทในหนังสือเรียน หนา้ 2 มาร่วมกนั อภปิ รายคำตอบกบั นักเรียน อีกครั้ง ดังน้ี อุปกรณ์กีฬาแต่ละชนิดทำจากวัสดุอะไร และมีสมบัติอย่างไร ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายแนว ทางการตอบคำถาม เชน่ ลกู ฟุตบอลมีสว่ นประกอบหลัก 2 ส่วนคือ ส่วนทีเ่ ปน็ ลกู บอลข้างในและสว่ นท่ีเป็นผิวด้าน นอก ลูกบอลดา้ นในทำจากยาง ผวิ ด้านนอกทำจากหนังซึ่งอาจ เป็นหนังแท้หรือหนังเทียม ลูกฟุตบอลเมื่อเติมลมแล้วควรมีสมบัติ ไม่รั่วซึม ดูดซึมน้ำได้น้อย กระดอนได้ดี และมี ความคงทน ลกู เทนนิสมสี ่วนประกอบหลัก 2 สว่ นคือ สว่ นท่เี ปน็ ลูกบอลข้างในและสว่ นท่ีเปน็ ผวิ ด้านนอก ลูกบอล ด้านในทำจากยาง ผิวดา้ นนอกทำจากผ้าสักหลาด ลกู เทนนสิ ควรมีสภาพยืดหยุ่นดี ทนทาน ขน้ั อภิปรายและลงข้อสรุป 4. นักเรียนทำ แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 1 สมบัติทางกายภาพของวัสดุ และนำเสนอคำตอบหน้าชั้นเรียน ถา้ คำตอบยงั ไม่ถกู ตอ้ งครนู ำอภปิ รายหรือใหส้ ถานการณ์เพมิ่ เตมิ เพื่อแก้ไขแนวคิดคลาดเคลื่อนใหถ้ ูกต้อง

ข้ันขยายความรู้ 5. นักเรียนร่วมกันทำกิจกรรม ร่วมคิดร่วมทำ โดยอ่านสถานการณ์ระบุปัญหาและเงื่อนไขจาก สถานการณ์ จากนัน้ ระบวุ ัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใชใ้ นการสรา้ งชน้ิ งาน และออกแบบภาพรา่ ง และสรา้ งช้ินงานตามแบบ ทีร่ า่ ง ทดสอบ ปรบั ปรงุ และ นำเสนอ ข้ันประเมิน 6. นักเรียนร่วมกนั อา่ นและอภิปรายเนื้อเรื่องในหวั ขอ้ วิทยใ์ กล้ตวั 7. สอ่ื การสอน 1. หนงั สอื เรยี น 2. แบบบนั ทกึ กิจกรรม 3. รูปภาพ 4. PowerPoint 8. การวดั และประเมนิ ผล 1. ประเมนิ ความรเู้ ดมิ จากการอภปิ รายในชนั้ เรยี น 2. ประเมนิ การเรยี นรจู้ ากคาตอบของนกั เรยี นระหวา่ งการจดั การเรยี นรแู้ ละจากแบบบนั ทกึ กจิ กรรม 3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จากการทากจิ กรรม ของนกั เรยี น

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 11 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา ว 14101 ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 เร่ือง สมบัตทิ างกายภาพ เวลา 1 ชวั่ โมง หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 4 วัสดุและสสาร เวลาเรียน 21 ช่ัวโมง ครูผู้สอน นางสาวนวฉตั ร นาเมืองรกั ษ์ สอนวันที่ …..….. เดอื น ….………… พ.ศ. …..………. โรงเรียนชมุ ชนวัดบ้านระกาศ สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศึกษาสมทุ รปราการ เขต 2 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตวั ชี้วัด สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ตัวชว้ี ดั ป. 4/3 เปรียบเทียบสมบัติของสสาร ทั้ง 3 สถานะ จากข้อมูลท่ี ได้จากการสังเกต มวล การ ตอ้ งการทีอ่ ยู่รูปรา่ ง และปริมาตรของสสาร ป. 4/4 ใชเ้ ครอ่ื งมือเพ่อื วดั มวล และปริมาตรของสสารทงั้ 3 สถานะของวสั ดุ 2. สาระสำคัญ สสารรอบตัวมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส สสารแต่ละสถานะมีสมบัติทั้งที่เหมือนกัน และ แตกต่างกัน มวลและปรมิ าตรเปน็ สมบัตขิ องสสารทีส่ ามารถวดั ได้โดยใช้เครือ่ งมือต่างๆ 3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. เปรียบเทียบสมบัติของสสารในสถานะของแข็ง ของเหลวและแก๊ส จากการสังเกต มวล การต้องการท่ี อยู่ รปู ร่าง และปรมิ าตร 2. ใช้เครือ่ งมอื วัดมวล ปริมาตรของสสารในสถานะของแขง็ ของเหลวและแก๊ส 4. สาระการเรยี นรู้ วัสดุต่าง ๆ เป็นสสารซึ่งมีสถานะของแข็ง ของเหลวและแก๊ส สสารในสถานะต่าง ๆ มีสมบัติบางประการ เหมือนกันและสมบตั ิบางประการแตกต่างกัน ของแข็งมีมวล ต้องการที่อยู่รปู รา่ งและปริมาตรคงที่ของเหลวมมี วล ต้องการที่อยู่ รูปร่างจะเปลี่ยนแปลงไปตามภาชนะที่บรรจุ ปริมาตรคงที่ แก๊สมีมวล ต้องการที่อยู่ รูปร่างและ ปริมาตรของแกส๊ จะเปล่ยี นแปลงไปตามรูปรา่ งและปรมิ าตรของภาชนะที่บรรจุ และฟุง้ กระจายเต็มภาชนะท่ีบรรจุ เสมอ 5. สมรรถนะทสี่ ำคญั ของผูเ้ รยี น

1. ความสามารถในการคดิ 2. ความสามารถในการแก้ปญั หา 3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ 6. กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นสร้างความสนใจ 1. ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนดูรูปน้ำแข็ง น้ำ และน้ำกำลังเดือด จากนั้นครูถามคำถามเพ่ือ อภปิ รายในประเดน็ ต่อไปน้ี 1.1 นักเรยี นเห็นอะไรในรปู บา้ ง (นำ้ แข็ง นำ้ และนำ้ กำลงั เดือด) 1.2 สสารในรปู มีสถานะอะไรบา้ ง (นักเรยี นตอบตามความเข้าใจ) 1.3 สสารในสถานะของแขง็ ของเหลวและแก๊สมอี ะไรบ้าง (นกั เรียนตอบได้ตามความเขา้ ใจ) ขน้ั สำรวจและค้นหา 2. ครูชักชวนนักเรียนศึกษาสถานะของสสารโดยให้นักเรียนอ่านหนังสือเรียนบทท่ี 2 ของหน่วยที่ 4 โดย เริ่มจากการอ่าน ชื่อบท และ จุดประสงค์การเรยี นรู้ประจำบท จากนั้นครใู ช้คำถามว่าเมื่อจบบทเรียนนักเรียนจะ สามารถทำอะไรได้บ้าง (เปรียบเทียบมวลของสสาร การต้องการที่อยู่ รูปร่างและปริมาตรของสสารในสถานะ ของแขง็ ของเหลวและแก๊ส และใชเ้ คร่อื งมอื วัดมวล ปรมิ าตรของสสารในแตล่ ะสถานะ) 3. นักเรียนอ่าน ชื่อบท และ แนวคิดสำคัญ จากหนังสือเรียนหน้า 40 จากนั้นตรวจสอบความเข้าใจของ นักเรยี นโดยใช้คำถามดงั น้ี 3.1 บทเรียนน้เี ก่ียวกบั เรื่องอะไร (สถานะของสสาร) 3.2 แนวคิดสำคัญของเรือ่ งนีค้ ืออะไร (สสารมที งั้ ทีเ่ ป็นของแขง็ ของเหลว และแกส๊ ซึ่งมี สมบตั ิบางประการเหมือนกนั และบางประการแตกต่างกนั มวลและปรมิ าตรเปน็ สมบัตขิ องสสารซ่งึ สามารถวดั ได้) ขน้ั อภปิ รายและลงข้อสรุป 4. นกั เรียนอ่านเน้อื เร่ือง ในหนังสือเรียน โดยครูใชว้ ธิ ฝี ึกการอ่านตามความเหมาะสมกับ ความสามารถของนักเรยี น จากนน้ั ตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรียน โดยครอู าจใชค้ ำถามดงั น้ี 4.1 เดก็ ท่อี ยู่ในรปู กำลังทำอะไร (เปา่ นำ้ สบู่) 4.2 นักเรียนคดิ วา่ นำ้ สบู่ ขวดพลาสติกและฟองสบมู่ ีสถานะอะไรบ้าง และแตล่ ะสถานะมี สมบตั อิ ย่างไร (นักเรยี นตอบตามความเขา้ ใจ) ขนั้ ขยายความรู้ 5. ครูชักชวนนักเรยี นทำ สำรวจความรู้ก่อนเรยี น เพือ่ ตรวจสอบความรเู้ ดมิ เก่ยี วกับสถานะของสสาร

6. นักเรียนทำกิจกรรมสำรวจความรู้ก่อนเรียนในแบบบันทึกกิจกรรม โดยอ่านชื่อหน่วย ชื่อบท และ คำถาม ครูตรวจสอบว่านักเรียนไมเข้าใจคำถามในประเดน็ ใดบ้าง ครนู ำอภิปรายคำถามท่นี ักเรยี นไม่เขา้ ใจจนแน่ใจ ว่านกั เรียนสามารถตอบคำถามตามความเขา้ ใจของตนเองได้ ขน้ั ประเมิน 7. ครรู วบรวมคำตอบของนักเรยี นเพื่อตรวจสอบว่านักเรียนมแี นวคดิ เกย่ี วกับสถานะของสสารอย่างไรบ้าง ครูยังไม่ต้องให้คำตอบที่ถูกต้อง แต่จะให้นักเรียนย้อนกลับมาตรวจสอบตนเองอีกครั้งหลังจากเรียนจบบทนี้แล้ว (ครูอาจบันทึกแนวคิดคลาดเคลื่อนของนักเรียนแล้วนำมาออกแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อแก้ไขแนวคิดให้ถูกต้อง ต่อไป) 7. สื่อการสอน 1. หนังสอื เรยี น 2. แบบบันทึกกจิ กรรม 3. รูปภาพ 4. PowerPoint 8. การวัดและประเมินผล 1. ประเมนิ ความรเู้ ดมิ จากการอภปิ รายในชนั้ เรยี น 2. ประเมนิ การเรยี นรจู้ ากคาตอบของนกั เรยี นระหวา่ งการจดั การเรยี นรแู้ ละจากแบบบนั ทกึ กจิ กรรม 3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จากการทากจิ กรรม ของนกั เรยี น

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 12 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา ว 14101 ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4 เร่ือง ของแข็ง เวลา 1 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 วสั ดแุ ละสสาร เวลาเรยี น 21 ช่วั โมง ครูผสู้ อน นางสาวนวฉตั ร นาเมอื งรกั ษ์ สอนวนั ท่ี …..….. เดือน ….………… พ.ศ. …..………. โรงเรียนชมุ ชนวัดบ้านระกาศ สำนกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาสมุทรปราการ เขต 2 1. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวช้วี ดั สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี ตัวช้วี ัด ป. 4/3 เปรียบเทียบสมบัติของสสาร ทั้ง 3 สถานะ จากข้อมูลที่ ได้จากการสังเกต มวล การ ต้องการที่อยรู่ ปู รา่ ง และปรมิ าตรของสสาร ป. 4/4 ใชเ้ คร่ืองมอื เพอื่ วัด มวล และปรมิ าตรของสสารท้งั 3 สถานะของวสั ดุ 2. สาระสำคัญ วัสดุต่าง ๆ เป็นสสารซึ่งมีสถานะของแข็ง ของเหลวและแก๊ส สสารในสถานะต่าง ๆ มีสมบัติบางประการ เหมอื นกันและสมบัติบางประการแตกตา่ งกัน ของแข็งมีมวล ตอ้ งการที่อยู่รปู ร่างและปริมาตรคงที่ 3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. สังเกตและอธิบายสมบัติของสสารในสถานะของแขง็ 2. ยกตัวอยา่ งสงิ่ ของท่ีมสี ถานะของแข็งได้ 3. บอกสถานะของสงิ่ ของท่ยี กตวั อยา่ งได้ 4. สาระการเรียนรู้ วสั ดุตา่ ง ๆ เปน็ สสารซึ่งมสี ถานะของแข็ง ของเหลวและแกส๊ สสารในสถานะตา่ ง ๆ มีสมบตั ิบางประการเหมือนกัน และสมบัติบางประการแตกตา่ งกนั ของแข็งมีมวล ตอ้ งการท่ีอยู่รูปรา่ งและปริมาตรคงท่ีของเหลวมีมวล ต้องการท่ี อยู่ รูปร่างจะเปลี่ยนแปลงไปตามภาชนะที่บรรจุ ปริมาตรคงที่ แก๊สมีมวล ต้องการที่อยู่ รูปร่างและปริมาตรของ แก๊ส จะเปล่ียนแปลงไปตามรูปรา่ งและปริมาตรของภาชนะทีบ่ รรจุ และฟงุ้ กระจายเต็มภาชนะทบ่ี รรจุเสมอ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook