หน้า | 46 นบั ถอื สามอี ยู่ถึงแมล้ ดพฤติกรรมบางอย่างแต่ดา้ นอ่ืนยัง ไม่เปลีย่ นแปลง เชน่ การให้ความห่วงใยเออื้ อาทร ปรนนิบตั ิ กย็ ังมเี หมือนเดมิ บรรดาลกู ๆ ทง้ั หลายต้องใหค้ วามเคารพพ่อแม่ ไมก่ ระดา้ งกระเด่ือง มิเช่นนน้ั แล้ว“มนั ละลยุ้ ละลงส้างกึ๋นมหิ ึน้ สา้ งเพงโหเจนิ ลงเพงต๋ีน ” (มนั จะเสื่อมทํากนิ ไมก่ ้าวหน้าสรา้ งสูงถงึ ศรี ษะ ทะลายลงถงึ ตนี ) 3) การสบื สายตระกลู ชาวผู้ไทสว่ นใหญ่ผูช้ ายจะเปน็ หลกั ในการ สบื สายตระกูล ในการสบื มรดกนั้นในอดีตมักจะใหผ้ ชู้ าย เพราะถอื วา่ ลูกผู้หญงิ ตอ้ งไป สมสรา้ งกับสามี บรรดาลูกชายคนท่จี ะไดม้ รดกมากแบง่ เป็นดังนี้ 3.1) พ่จี ะได้มากกว่านอ้ ง คอื “อา้ ยเอาสองนอ้ งเอาหนึง่ ” เพราะมรดกตา่ งๆเช่นทน่ี า ถือวา่ พเ่ี ปน็ คนชว่ ยพอ่ ทาํ มากกวา่ นอ้ ง นอกจากนพ้ี ี่ยังเปน็ คนเลยี้ งน้องด้วย 3.2) ผทู้ ร่ี ับภาระเล้ียงดพู ่อแม่มากยอ่ มไดม้ ากกว่า ไม่วา่ จะเป็นพี่ หรือเปน็ นอ้ งถา้ เป็นผดู้ แู ลพ่อแม่จนพอ่ แม่ตาย มรดกสว่ นท่ียกั ไว้ของพ่อแม่ยอ่ มเปน็ ของผทู้ ีเ่ ลีย้ งดนู ัน้ เพราะเลี้ยงดพู ่อแมจ่ น “เหม็นกบั เข่า เนา่ กบั ตัก ”และ“ไง้เงินเอาะเทาะถงเท ”(ใช้เงินจัดการศพจนขอด เกลี้ยงกระเปา๋ )แตก่ เ็ หมือนกันทพ่ี อ่ แมใ่ ห้ลกู สาวเปน็ ผมู้ าเล้ยี งดตู น หรอื ไปอยู่กับลูกสาว ลกู สาวรบั ภาระใน การเลี้ยงดลู ักษณะนีล้ กู สาวย่อมได้มรดกมากกวา่ (แตจ่ าํ นวนพ่อแม่ที่อยูก่ ับลกู ชายมมี ากกว่าอยกู่ ับลกู สาว ทง้ั ในอดีตและปัจจบุ นั ) มีการใหม้ รดกแก่ลกู สาวอีกวธิ ีหนงึ่ คอื การ “กาวลําชาย” (กลา่ วเอาว่าเป็นลูกชาย) คือ ในกรณที ่ลี กู สาวแตง่ งานออกเรือนไปอยกู่ ับสามีแล้วเกดิ ตกทกุ ขไ์ ดย้ ากสิ้นไร้ไมต้ อก ผูเ้ ปน็ พ่อกเ็ อามา “กาวลําชาย” ใหร้ ับมรดกได้“การกาว ลาํ ชาย ”นั้นจะกลา่ วตอนมหี ญิงสาวทม่ี ีนามสกลุ เดยี วกนั กบั พ่อ(คอื พ่นี อ้ ง ลูกหลานของพ่อ) แตง่ งานก็จะกลา่ วในงานแต่งงาน โดยแจกไม้ขดี ไฟให้ “เทา้ อา้ ยเทา้ น้อง” (ผ้เู ฒ่าผู้ แกฝ่ า่ ยพ่อ) และบรรดาเขยทงั้ หลายแลว้ ประกาศให้ทราบวา่ “นาง...ตอ่ ไปนจี้ ะกลา่ วถือว่าเสมือนเปน็ ลกู ชาย ใหญ้ าตพิ ีน่ ้องรับทราบไว้”เมอื่ กลา่ วแลว้ นางกม็ สี ทิ ธริ ับมรดกจากพ่อและบางคนเม่อื ถูกกลา่ วลําชายแลว้ หัน มาใช้นามสกุลของพ่อก็มใี นปจั จบุ ันนี้ การสบื สายตระกูลสบื มรดกลกู ทกุ คนมีสิทธิ ได้รับแบง่ เทา่ เทยี มกันแต่ จะยักไว้ “พูดพ่อแม่” (สว่ นของพอ่ แม่) ไว้ให้ผ้ทู เี่ ลยี้ งพ่อแม่จนตาย ขนาดครอบครวั ในอดตี เมอื่ 4 0ปกี อ่ น ยงั ไมม่ ีการวางแผนครอบครวั ทําใหค้ รอบครวั มี ขนาดใหญ่บางครอบครวั มีลูกตง้ั 10-12 คน ใครมลี กู มากยิง่ ดีจะได้ “กินแฮง” (กินแรง) ลกู คือ จะมผี มู้ า เลยี้ งดู เวลามกี ารแต่งงานจะมกี ารให้พรค่บู ่าวสาววา่ “เฮ่อได้ลเุ ตม๋ บา้ นเฮ๋อได้หลานเต๋มเมิง ” (ใหไ้ ด้ลูกเต็ม | ภมู ิปัญญาอาหารพน้ื ถน่ิ ผู้ไทในอสี าน
หน้า | 47 บา้ นให้ไดห้ ลานเต็มเมอื ง ) แต่ในปจั จบุ นั ทนกระแสกดดันทางเศรษฐกิจไม่ไหว เม่ือมกี ารรณรงค์การ คุมกําเนิดจึงมีการควบคุมจํานวนลกู ใหไ้ ดต้ ามตอ้ งการบางครอบครวั มีลกู 2 คน บางครอบครัวก็มแี คค่ น เดียว 1) ครอบครัวเดย่ี วครอบครวั ขยายในสมยั ก่อน 40 ปมี าแลว้ ผู้ที่ แตง่ งานแลว้ จะอย่กู บั พอ่ แม่ หรือพอ่ ตาแมย่ ายเสยี ก่อนในระยะ 2-3 ปี แลว้ จึงคอ่ ยแยกครอบครวั ออก แต่ ปัจจุบันเปล่ยี นแปลง คือ พอแต่งงานอยู่กบั พ่อแม่ในระยะเดย๋ี วเดยี วก็ออกไปนนั้ จะแยกกล่าวดงั นี้ ลกู ชายในสมัยก่อนนั้นการหาเงินทองยงั ไมค่ ล่องเหมือนทกุ วันน้ี รับจา้ งถางสวน หรือดาํ นา หรืองานอน่ื ๆ ก็เพียงวันละ 5 บาท ดงั นั้นเมือ่ ลูกชายแต่งงานแลว้ ต้องอาศยั อยู่กับพอ่ เสยี กอ่ น เพราะต้องพึ่งพ่อแทบทกุ อย่าง เงินทองกย็ งั ไมม่ ตี อ้ งอาศัยพ่อแมเ่ วลาทีจ่ ะออกเรอื นแยก ไปไม่แน่นอน หากน้องชายแตง่ งานเร็ว พช่ี ายก็จะแยกเรอื นออกไปเดย๋ี วนเ้ี ปล่ยี นไปความเจรญิ เข้ามา แนวทางหาเงินมีมากลกู ชายกเ็ ลยหาเงนิ เอาเอง (บางทีพ่อแม่ได้อาศยั ลกู ซ้ํา ) สร้างฐานะได้เรว็ จึงแยก ครอบครวั ไดเ้ รว็ ลกู เขย ไม่มีความจาํ เป็นแลว้ ไมม่ ีใครอยากจะ “ชูพ่อเฒ่า ” เลยเพราะทุกข์ยากทัง้ กายและใจสํารวมทกุ อิริยาบถต้อง “คะลาํ ”หลายอย่างทํางานสารพัดจนมีคาํ พูดว่า “เลก็ อยูเ่ ฮินวา้ เขย”(เหล็กอยเู่ รอื นเรียกว่าพร้าข้าอยู่เรอื นเรียกว่า เขย) เสมือนว่าเขยคอื ขขี้ า้ คนหนงึ่ ในเรือน “เปน็ เขยนี้ทุกข์ยากหวั ใจ-* เฮด็ แนวใดยา่ นแต่เพิน่ วา่ (ทําอะไรกลวั แตท่ า่ นว่า) สานกะต่ากะตงกะเบยี น อยู่ในเฮอื นมมุ ุบมมุ า้ ย(อยใู่ นเรือนแบบเจยี นตวั ก้มหนา้ อยู่) บ่ว่าฮ้ายมนั แม่นอีหลี(ไม่ได้ใสค่ วาม เพราะมนั เปน็ ความจริง) แตห่ วั ทีเกินอุกเกินอั่ง(ในหวั คิดมีแตค่ วามกลัดกล้มุ ) น่ังบอ่ นใดยา่ นแตผ่ ิดแมเ่ ฒ่า(น่งั ตรงไหนกลวั แต่ผดิ แมย่ าย) ซาวมอื กบ็ ่ติง( 20 วันกไ็ ม่ไหวตงิ (อยอู่ ยา่ งเจียมตวั ) ภูมิปญั ญาอาหารพน้ื ถ่ินผไู้ ทในอีสาน |
หนา้ | 48 เถิงบาดยามกินข้าวสองสามคาํ กะพัดอิ่ม(ยามกินขา้ ว 2-3 คาํ กอ็ ิม่ ) ชมิ อันน้ันอนั นีห้ นจี้ อ้ ยบ่อยคู่ น(ชมิ ถว้ ยน้ันถ้วยนีห้ นีไปไม่อยนู่ าน) หม่คู นกินขา้ วนาํ กนั กเ็ หลยี วเบิ่ง(หมูค่ นกินขา้ วดว้ ยกนั ก็เหลยี วดู) สง่ บาดยมุ้ บาดแย้มแนมเจ้าว่าจังใด(สง่ ยิม้ เป็นนัยๆ ว่าเจา้ เขยเป็นอย่างไร ทว่ งทลี ะอายหรือ เปลา่ )” สมยั กอ่ นเขยชตู อ้ งจําใจอยู่ เขยชทู ่ีทกุ ขย์ ากมาขอ “ชู” พอ่ ตานม้ี โี อกาสไดอ้ อก เรอื นต่างหาก คือ เม่อื ตง้ั ตัวไดก้ ข็ อออกเรือนไปเลย (หมายถึงวา่ 2-3 ปีจึงออก) แตป่ ระเภทที่พ่อตามลี ูกคน เดียวเปน็ ลูกสาว หรือมลี ูกสาวเดยี ว ลกู ชายออกเรอื นไปอยตู่ า่ งหาก พอ่ ตาตอ้ งการให้ลูกเขยมาเลีย้ งจึงให้ มาเป็นเขยชู ประเภทนีต้ ้องอยู่กบั พอ่ ตาแม่ยายตลอดไป ถา้ พอ่ ตาไมใ่ ห้ออกเรือนกต็ อ้ งชตู ลอดไปจนพ่อตา แม่ยายเสยี ชีวติ แต่กค็ ุม้ เพราะมรดกพ่อตาเขยชจู ะเป็นผูไ้ ด้มากกว่า ในปจั จุบันนี้เขยชปู ระเภทท่ีออกเรอื นไดจ้ ะออกเรอื นเร็วกว่าอดีต เพราะความ เจริญก้าวมาถงึ การหาเงินหาทองเพ่ือสรา้ งฐานะได้เร็วกว่า ดงั ได้กลา่ วมาแล้ว ถึงแม้จะมกี ารชูพ่อเฒ่า พอ่ เฒ่าก็หวั สมยั ใหม่พยายามทาํ ใหล้ ูกเขยอยู่อย่างสบายใจเปน็ กันเอง แตอ่ ยู่ในครอบครวั ของสังคมทวั่ ไป สาํ หรบั ฮตี สําคัญก็ยังปฏบิ ัตอิ ยู่ เช่น หา้ มกระทาํ บางอย่างบนบ้านพ่อตา เชน่ ลับพร้าขดั ฟักพรา้ ดีดสตี ีเปา่ ร้องราํ ทาํ เพลงจบั มอื ถือแขนน้องสาวภรรยายังหา้ มทุกกาลเทศะชาวผู้ไทมีลกั ษณะความเป็นอยู่แบบ ครอบครวั ใหญใ่ นบ้านเดยี วกนั เป็นกลมุ่ คนทาํ งานท่ีมคี วามขยนั ขันแขง็ มัธยัสถ์ ทํางานได้หลายอาชพี เช่น ทํานาทาํ ไร่ คา้ ววั คา้ ควาย นาํ กองเกวยี นบรรทกุ สินคา้ ไปขายต่างถ่ินเรียกว่า ‘นายฮ้อย’ เผ่าผไู้ ทเปน็ กลุ่ม ท่ีพฒั นาไดเ้ ร็วกวา่ เผ่าอ่นื มคี วามร้คู วามเขา้ ใจและมคี วามเขม้ แข็งในการปกครอง มีหนา้ ตาท่สี วยผิวพรรณ ดีกริยามารยาทแชม่ ช้อยมีอัธยาศยั ไมตรใี นการตอ้ นรบั แขกแปลกถิ่นจนเปน็ ทกี่ ล่าวขวัญถงึ 2) การอบรมส่ังสอนเรอื่ งการหาอยู่หากนิ ในอดีตนั้นจะมกี ารอบรมสง่ั สอนโดยประสบการณต์ รง คือ ให้ลงมือปฏิบัติแลว้ พอ่ แม่หรือป่ยู า่ อยขู่ า้ งๆ คอยบอกซ่ึงเป็นการส่ังสอน โดยตรง และบางทกี ็อาจให้ช่วยงานซงึ่ เปน็ การสั่งสอนโดยอ้อม เชน่ พาไปตดั ไม้ไผม่ าจกั สานทาํ ใหล้ ูกรชู้ นดิ ของไมท้ ี่เหมาะแกก่ ารจกั สานภาชนะตา่ งๆ ไมไ้ ผ่ท่ยี อดดว้ นจะไมใ่ ช้จกั สานเพราะผงุ า่ ยและมอดชอบลูกสาว ก็อาจใชช้ ่วยทอหกู ชว่ ยจบั นน่ั จับน่ีพาไปหากินทาํ ใหล้ ูกมีประสบการณม์ ากขึ้นแต่ก็มีลกู บางคนทไี่ มต่ อ้ งเรยี ก | ภมู ิปัญญาอาหารพน้ื ถนิ่ ผู้ไทในอีสาน
หนา้ | 49 มาสอน แตม่ คี วามทะยานอยากจะทําเองเหน็ พอ่ เหน็ แมท่ าํ งานค้างไวพ้ ่อแมไ่ ม่อยกู่ ไ็ ปทาํ ตอ่ พ่อแม่เห็นแววก็ จับมาสอนโดยตรงหรอื บางท่กี ็อาจไปถามคนอื่นท่ีเขาเป็น ในอดตี เป็นความจริงอย่างหนึ่งวา่ ผชู้ ายท่ที ําอะไรเปน็ หลายอยา่ ง ตัง้ แต่เป็นหนุ่ม เช่น ถางไม้ สร้างบา้ น ไถนา สร้างแอก จกั สาน ชายผู้ไทท่ีสามารถทําอย่ทู ํากนิ เป็นตั้งแต่ เปน็ หนมุ่ โสด จะเปน็ ทห่ี มายปองของผ้ทู ่ีมีลูกสาว แม้กระทัง่ ผ้ใู หญช่ มความสามารถกม็ กั จะทํานองวา่ “โอ้ เอ็ดเวะเป๋น พอเอาลเุ อาเมแล้ว ” (โอ้.ทาํ งานเปน็ พอเอาลูกเอาเมยี แล้ว) ที่จริงกเ็ ป็นเชน่ น้นั เพราะเมือ่ แตง่ งานไปก็สร้างเนอ้ื สรา้ งตวั ได้ไวเป็นท่พี ึ่งพาอาศยั ของพอ่ ตาแมย่ ายและญาติๆท้ังหลายในตอนใกล้จะ แต่งงานเปน็ อีกช่วงหนงึ่ ท่บี รรดาลกู ๆจะได้รับการอบรมสงั่ สอนใหร้ ้จู กั การครองเรือนเป็นพ่อบ้านแมบ่ า้ นใน วันแต่งงานผู้ชายจะไดร้ ับการอบรมกอ่ นจะเขา้ พาขวญั คอื ฝา่ ยลงุ ตา(ญาติฝา่ ยเจ้าสาว)จะ“เฆ่ียน”คอื กล่าว ส่ังสอนในทกุ ๆ ดา้ นให้เป็นพอ่ เรอื นที่ดมี ีความขยนั มานะพยายามในการสรา้ งครอบครัว เปน็ ต้น ในปัจจุบนั การอบรมสัง่ สอนได้เปลยี่ นไปแล้วเพราะการศึกษาเจริญ มากขึน้ ลกู หลานท้ังหลายเอาแต่มุง่ มั่นในการศกึ ษาเพ่อื จะเปลย่ี นอาชีพจากอาชพี ของบดิ าใหเ้ ป็นอาชีพอ่นื ท่ดี ีขึน้ การอบรมสงั่ สอนจะ เป็นหนา้ ทีข่ องครูในโรงเรียน ไมว่ า่ ทางศลี ธรรมจรรยา การทํามาหากิน มี หลกั สตู รในสถานศกึ ษารองรับแล้ว พ่อแมม่ ีหน้าทห่ี าเงนิ เพอ่ื สง่ ลกู เรยี น แต่ทงั้ นี้ไมว่ ่าพอ่ แมจ่ ะละเลยไม่ อบรมสั่งสอนเสยี เลย มีโอกาสกส็ ั่งสอนบ้างแตไ่ ม่บอ่ ยเหมือนสมยั อดีตเพราะลกู ไมค่ อ่ ยได้อยกู่ ับพ่อแม่ ดังนน้ั การใหก้ ารอบรมสัง่ สอนลูกหลานจงึ เปน็ หน้าทีข่ องท้งั พ่อและแม่ พรอ้ มท้ังปู่ ย่า ตายาย จะแยกกล่าว ดงั นี้ 3) การอบรมลกู ชาย ในอดตี อบรมใหร้ ู้จักหนา้ ท่พี อ่ เรือนให้รจู้ ักการ หาความรู้เก่ียวกบั การครองชพี ครองเรือน ตลอดจนอบรมจรรยามารยาทดว้ ย เช่น สอนใหร้ กู้ ารจักสาน การจดั หาจัดทําเคร่อื งมอื การเกษตร เช่น ทาํ แอก ทาํ ไถ สอนใหข้ ยนั ทํามาหากนิ ในปจั จบุ ันก็ยังอบรมเช่นกันกับในอดตี เพียงแตว่ ่าแนวทางด้านความรู้ เพ่อื ประกอบอาชพี เลยี้ งตวั น้ันเปลีย่ นแปลงไป และสถานที่หาความร้นู น้ั เปลย่ี นจากหาความรู้ในครอบครวั เป็นหาความรจู้ ากสถาบนั ตา่ งๆ มากมาย 4) การอบรมลูกสาวในสมัย 40 ปีทีผ่ า่ นมา การอบรมลูกสาวใน เบือ้ งแรกนั้นเป็นการอบรมใหร้ ู้จกั รักนวลสงวนตวั หญิงสาวจะไม่ยอมใหผ้ ูช้ ายจับมอื ถอื แขนได้แม้กระทงั่ ภูมิปญั ญาอาหารพ้ืนถ่นิ ผู้ไทในอสี าน |
หน้า | 50 ผา่ นเข้าใกล้กต็ อ้ งระวงั ตัว เคยมีบอ่ ยๆ ทม่ี กี ารปรบั ไหมกนั เมื่อผู้ชายแกลง้ ถูกเนือ้ ตอ้ งตัวหญงิ หล่อนจะ ได้รบั การสงั่ สอนว่า “ไคมแิ ตะ๊ เซอมืออย่าเฮ่อชายมาจับมาตอ้ ง ”(ไขไ่ มแ่ ตกใส่มือยงั ไมแ่ ตง่ งานอย่าให้ชาย แตะต้อง)ถ้าชายขืนแตะตอ้ งโดยเจตนาจะตอ้ ง“ทึแหนเสไก ทึบา่ ไลเสหมูทึทังเนอ้ ทง้ั โตเ๋ สแม้โงโตค๋ วาย ”(ถกู แขนเสียไก่ ถูกบ่าไหลเ่ สียหมูถกู ทง้ั เนื้อทัง้ ตวั เสียแม่วัวตวั ควาย) อนั ดับตอ่ มาก็สอนใหร้ ู้จกั หน้าที่แมบ่ า้ นให้ รจู้ กั เก็บกวาดบ้านเรอื น “เบิงลมุ้ เบงิ เทง็ ” (ดลู ่มุ ดบู น) ใหร้ ู้จกั เรือนสามน้ําสี่ (เรือนสาม ได้แก่ เรือนนอน เรอื นครวั และเรือนผม) นํา้ ส่ี ได้แก่ นา้ํ ด่มื นํา้ ใช้ นํ้าปูน(สมยั นัน้ ผู้หญงิ กินหมาก)และน้ําคํา นอกจากนีย้ งั สอนการอ้วิ ฝา้ ย ดีดฝ้าย ทอผ้า คือ ใหร้ จู้ ักการตดั เยบ็ เครอื่ งนุ่งหม่ เช่น ทอหมอนขวดิ (ผู้ไทวา่ “เก็บหมอน”) เยบ็ หมอนทาํ ผ้าหม่ ทําฟกู ทน่ี อนทอผา้ ขาวมา้ เรือ่ งการทาํ หมอนผา้ ห่มท่นี อน(ผ้ไู ท เรยี ก สานะ)ผา้ ขาวม้า ชายผ้ไู ทจะเนน้ มากพ้นหนา้ นาไม่วา่ ผู้สาวหรือผเู้ ฒ่าก็จะพากนั ทําในสิง่ เหล่านีห้ ญิงสาวใดแต่งงานถ้ามีส่ิง เหลา่ นนี้ ้อย จะถูกกล่าวขวญั นนิ ทามากเพราะแสดงถึงความขเ้ี กียจ หญิงสาวบางคนก่อนแตง่ งานจะมไี วแ้ ล้ว อยา่ งละ 50-60 ผืน ถา้ เปน็ หญิงสาวทข่ี เี้ กยี จก็จะมีอย่างละ 15-20 ผืน ส่ิงเหล่านจ้ี ะเป็นขอ “สมมา”ในวัน แตง่ งานทเ่ี หลอื ก็จะเอาไปใชใ้ นครอบครวั ใหม่ของตน แล้วกเ็ รม่ิ สรา้ งเพิม่ เติมอีก ในสมัยปจั จุบันในเรอื่ งการรกั นวลสงวนตวั เปล่ียนแปลงไปมาก เนื่องจากอทิ ธพิ ลของอารยธรรมตะวนั ตกที่หลงั่ ไหลเข้ามาหญงิ สาวชายหนมุ่ จะไปไหนมาไหน 2ตอ่ 2จะจบั มอื ถอื แขนกนั กไ็ ม่คอ่ ยจะถอื กนั แล้วดังทเ่ี ห็นๆ กนั อยู่ส่วนการสร้างเครอ่ื งนุ่งห่ม 4 อย่าง ที่กลา่ วมานนั้ มี เปลย่ี นแปลงไปตรงที่ว่าแมเ่ ปน็ ผ้สู รา้ งไวใ้ หห้ รอื ซื้อเอาเพราะลูกสาวมภี าระในเร่อื งการเรยี นหนงั สอื หรอื ไป ทํางานต่างถ่ิน ปจั จบุ ันนี้หญิงสาวท่ีปั่นฝ้ายเปน็ ทอผา้ เป็น หายากและนับวันจะลดลงไปเรือ่ ยๆ บทบาทของสมาชกิ ครอบครวั บทบาทของสมาชิกครอบครัวนั้นจะแยกแต่ละบุคคลดังน้ี บทบาทผทู้ เ่ี ป็นสามี บทบาทตอ่ ครอบครวั มีบทบาทในการเป็นผนู้ ําครอบครวั ต้องเปน็ คนขยนั ทาํ มาหากนิ “เฮ่อตืนติก๊ ลุกเช้า”(ใหต้ น่ื ดึกลกุ เช้า)“ตนึ มอื้ เช้าเฮ้อได้ 9 ทางหยาม”(ตน่ื เชา้ ให้ได้9ทาง ไปหาอยูห่ ากนิ หาเงินหาทอง)ไมเ่ ป็นคนละเลย ไม่น่งิ ดดู าย “มเี ฮอ่ ก้มหน้าอยดู่ ๋ายหงายตาอยเู่ บา ”(ไมใ่ หก้ ้ม หน้าอยูด่ ายหงายตาอยู่เปลา่ )ไปนั่นมาน่ีใหร้ ูจ้ กั มองหาสง่ิ ที่จะเปน็ ประโยชน์แลว้ นาํ มาใช้ คอื “ไป๋ดง๋ อยา่ ไดม้ าเปา ไปเลาอยา่ ไดม้ าด๋ายเฮอ่ ฮักไม้ต๋ายมาแก้งกน้ หม้อ”(ไปดงอยา่ มาเปล่า ไปเหล่าอยา่ มาดายให้หักไม้ ตายมาชําระก้นหมอ้ คอื เอามาเปน็ ฟนื ) ใหเ้ ป็นคนมีความเพยี ร ประกอบส่ิงใดก็ทําใหส้ าํ เรจ็ คือ“คา๋ํ นํ้ามิเฮ่อ | ภมู ปิ ัญญาอาหารพนื้ ถ่นิ ผไู้ ทในอีสาน
หนา้ | 51 เอ็ดก้นฟู จกฮมู เิ ฮ่อเอด็ มือส้ัน” (ดาํ นํ้าอยา่ ให้กน้ ฟู ล้วงรูอย่าทํามอื สั้น)เหล่าน้ีลว้ นเป็นคาํ ส่ังสอนของผเู้ ฒ่าผู้ แกต่ งั้ แตโ่ บราณนานมาทกุ วันนี้ก็ยงั ใช้อยู่โดยเฉพาะจะสอนเน้นในตอนผู้จะเป็นเจ้าบ่าวตอนเข้าพธิ ีแตง่ งาน นอกจากนย้ี งั ต้องดแู ลให้ความค้มุ ครองแกภ่ รรยาและบุตรคือปฏิบตั ิตนเป็นสามีทด่ี ีของภรรยาเป็นพอ่ ทด่ี ี แกบ่ ตุ รตามหลกั ธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธศาสนาให้สมกับเป็นชา้ งเท้าหน้า บทบาทต่อบพุ การีต้องใหค้ วามเคารพใหก้ ารดแู ลเอาใจใส่ ใหก้ ารเล้ียงดูพอ่ แม่ของตนเอง สมเองกับเปน็ ลูกทดี่ พี อ่ แม่ของภรรยาคอื พอ่ ตาและแม่ยายย่ิงให้ความยําเกรงเป็นพเิ ศษ ในอดีตถึงข้นั เอาผี เรอื นมาวา่ ถ้าเขยทําไมด่ ีไมง่ ามจะผิดผเี รือนต้อง “เมอ๋ ”(ปรบั ไหม)สงิ่ ทเ่ี ขยทําแล้วผิดน้นั เปน็ การกระทําที่ บา้ นพ่อตาเชน่ หา้ มลับพร้าใส่หมวกขดั มีด ขัดฝักพร้ารอ้ งราํ ทําเพลงดดี สตี ีเปา่ เดนิ เตะเตี่ยวลอยชาย (นงุ่ ผา้ ขาวม้าไม่เหนบ็ ชาย)ใสร่ องเทา้ ย่ําบนบา้ น จบั มือถอื แขนนอ้ งสาวภรรยา ละลาบละลว้ งกระด้างกระเดอ่ื ง ตอ่ ฝ่ายพ่อตามคี าํ สอนอยู่วา่ “เซ้อพ้อแม้ลุงตา๋ โตท๋ อ้ ก้อย นอ้ ยท้อทู เฮ่อเคารพยํ๋าแหยง ”(เชอ้ื สายทางพ่อตา ตวั เท่านิว้ ก้อย น้อยเท่าไม้ตะเกยี บ ให้เคารพยําเกรง)ในปัจจบุ นั น้ีท่ีกลา่ วมาทง้ั หมดก็ยงั ถอื อยเู่ พียงแต่ไม่ ค่อยจะอา้ งผี (ขอ้ หา้ มเหล่าน้ที ่ีจริงกเ็ ปน็ เรอ่ื งทไ่ี ม่เหมาะสมทั้งนนั้ )และใหค้ วามอปุ การะญาติ พน่ี ้องท้ังฝ่าย ตนและฝ่ายสามเี หมือนครอบครัวท่วั ไป บทบาทของภรรยาตอ่ ครอบครัว ถึงแม้ภรรยาจะเปน็ ผู้ “อยู่กับเหยา้ เฝา้ กับเฮิน ”(อยกู่ ับ เหย้า เฝา้ กบั เรือน) แต่รับภาระหนกั เช่น เล้ียงลกู หุงหาอาหาร ตกั น้ําตาํ ข้าว “นาํ้ มิเฮอ่ ฮาดแองแกงมิเฮอ่ ฮาดหม้อ”(นํ้าไม่ใหข้ าดแอ่ง แกงมใิ ห้ขาดหม้อ)ซกั เสื้อผา้ เกบ็ กวาดเหยา้ เรอื นจัดหาเครือ่ งนุ่งหม่ ต้งั แต่อว้ิ ฝ้าย ป่นั ฝ้าย ทอผา้ ตดั เยบ็ (ด้วยมอื )จนสําเรจ็ เปน็ เครือ่ งนงุ่ หม่ ได้ ยังไปช่วยงานสามีนอกบา้ นดว้ ย เช่น งานไร่ งานสวนทัง้ ยงั ต้องปรนนบิ ัตพิ อ่ ปู่แมย่ า่ อีกในปัจจบุ นั น้กี ็ยังเหมือนเดิม แต่มีเปล่ียนแปลงไปบ้างคือภรรยา บางคนกอ็ อกไปทาํ งานนอกบา้ นเทียบเทา่ สามีโดยฝากการเลี้ยงดูลกู ใหก้ บั ปู่ ยา่ ตา ยายสาเหตกุ าร เปล่ียนแปลงเน่ืองมาจากสภาวะเศรษฐกิจรดั ตวั ถา้ ปลอ่ ยแต่สามีหาเล้ียงครอบครัวก็คงจะลําบาก บทบาทตอ่ ชุมชนในอดตี ภรรยาไม่คอ่ ยจะมบี ทบาทตอ่ ชุมชนเพราะได้รับการอบรมสง่ั สอนใหร้ หู้ นา้ ทแี่ ม่บ้านใหอ้ ยกู่ บั เหย้าเฝา้ กบั เรอื น แตใ่ นปจั จบุ ันได้เปลีย่ นไปตามภาวะเศรษฐกิจและสงั คม ถ้าขลกุ แต่ในบ้านก็จะไมท่ ันสมยั หไู ม่กวา้ ง ตาไม่ไกลบางครง้ั ก็เสยี ผลประโยชนต์ อ่ ครอบครัว เช่น การเปน็ กลุ่มสมาชิกกล่มุ แม่บา้ นตา่ งๆ การเข้ารว่ มพัฒนาหมู่บ้านการเขา้ รบั การอบรมความรู้ด้านตา่ งๆ เป็นตน้ ภูมปิ ัญญาอาหารพืน้ ถน่ิ ผไู้ ทในอีสาน |
หน้า | 52 บทบาทตอ่ บุตร ภรรยาจะเป็นผู้ท่ีใกลช้ ิดกับลกู มากกว่าสามีเพราะเป็นผู้เลย้ี งดูอย่าง ใกล้ชิด ดังน้ันการอบรมสั่งสอนลกู จะเปน็ หน้าที่ของภรรยามากกว่าการอบรมเล้ียงดูต้ังแต่อดีตถงึ ปจั จุบนั มี การเปลย่ี นแปลงไม่มากนกั ผู้ทร่ี ับภาระหนกั ท่สี ุดคือ แม่การหาพเี่ ล้ยี งยังไม่มี ถ้าจาํ เป็นทงั้ พ่อทงั้ แมม่ ภี าระ หนัก เชน่ ต้องออกดาํ นากจ็ ะใหป้ ู่ ย่า ตายาย หรอื นอ้ งสาว หรือลูกหลานท่โี ตพอทจี่ ะดแู ลเดก็ ไดแ้ ล้วเปน็ ผู้ เลยี้ งดชู ั่วคราว อาหารการกินสาํ หรบั ลกู นัน้ แยกเปน็ ระยะดังน้ี 1) ทารกอายุ 1 สัปดาห์ ถึง 8 เดอื น ให้กนิ ขา้ วหมก ข้าวหมกนีม้ าจาก ขา้ วเหนยี วแมจ่ ะเอามาเคยี้ วจนละเอียดแล้วคายใสใ่ บตองไม้เปา้ (เปน็ ใบเรยี บยาวกว้างหาได้ง่ายใกลบ้ ้าน) 1 มอื้ อาจเคยี้ ว 5-6 คําใหญแ่ ลว้ หอ่ แบบห่อหมก เอาไม้ปี้งหนบี แลว้ ไปย่างไฟจนสุก กลน่ิ รสหอมหวานอร่อย มาก 2) อายุประมาณ 9 เดอื น ถึง 1 ปีคร่ึง ใหก้ ินขา้ วยา่ํ ยํา่ (เสยี งนาสิก) เป็นภาษาอีสาน คือ เค้ียวการปอ้ นขา้ วยํา่ คอื การท่ีแม่ หรอื พ่อเอาขา้ วมาย่าํ พรอ้ มกับ คอื เนอื้ ปลา ไก่ เปน็ ตน้ ให้ละเอียดเข้ากนั แล้วคายออกให้ลูกกิน ดงั น้ันเมือ่ ลกู ไมอ่ ยใู่ นโอวาทพอ่ แมม่ กั จะดุด่าลูกว่า “เสแฮงกูย่าํ ขา้ วปอ้ นเห้าปากก๋แู ซบแตะ๊ ยงั ไดค้ ายเฮอ่ กิน๋ ...” 3) อายปุ ระมาณ 2 ปี กใ็ หอ้ ดนม อายุ 3 ปี กจ็ ะกินเองได้อยา่ งพ่อแม่ เพยี งแต่ลดรสเผด็ ในอดตี บทบาทในการอบรมลูกหลานนไี้ มม่ ีรปู แบบทแี่ น่นอน คือ จะอบรมสง่ั สอนตาม สถานการณ์ บางครั้งกเ็ อาส่งิ ทเ่ี กดิ ขึ้นจรงิ มาส่งั มาสอน ยกเอาบคุ คลอ่ืนมาอ้างหรอื เอานิทาน หรอื คาํ สุภาษติ โบราณขึน้ มาสงั่ สอน ทอ่ี บรมสัง่ สอนท่ีใช้บ่อยท่ีสุดคอื ท่ีพาขา้ ว เพราะตอนน้นั ลกู ๆ จะพร้อมกนั ดา้ นศีลธรรมจรรยา ไมว่ า่ ลกู หญิงลูกชายจะไดร้ บั การอบรมเหมอื นกัน คอื ใหม้ ีสัมมา คารวะ ทุกอิริยาบถให้สาํ รวม เช่น การยืน ตอ้ งดูกาลเทศะ ใกล้ผใู้ หญห่ ้ามยืนใกล้ (มิเห้อยืนโทม่ เก้า โท้มโห) ไม่ใหย้ ืนท่วมเกลา้ ท่วมหัวพูดกับผ้ใู หญถ่ ้าผู้ใหญ่นง่ั ตอ้ งนัง่ พูดดว้ ยสําหรับหญงิ จะเนน้ พเิ ศษอีกคอื “อย่าย๋ื นเคอ่ ปอง”อยา่ ยนื ใกลช้ ่องกระดาน(พ้นื เรอื น)คงจะกลัวผู้ชายแอบเข้าไปส่องทใี่ ต้ถุนไม่ให้ยนื กลางแดด(เชา้ หรอื บ่าย) มีคําสอนวา่ “ขค้ี ้านอย่าเอด็ นาฮมิ ทาง นุ้งซนี บ๋างอย่ายน๋ื ก๋างแดด ”(ขค้ี ร้านอยา่ ทํานาริมทางนุง่ ซ่ินบางอยา่ ยนื กลางแดด)เพราะถ้าแสงแดดเขา้ ทางหน้าหรอื ทางหลงั คนผูท้ างตรงขา้ มจะมองเหน็ เงาขาใน ผ้าถุง | ภมู ิปญั ญาอาหารพน้ื ถน่ิ ผู้ไทในอีสาน
หนา้ | 53 ดา้ นการเดิน ไมใ่ ห้เดนิ ทา้ วหนกั “อย่าย้างสะลื๋งตงึ๋ ตั๋ง”(อยา่ เดนิ แบบมา้ ดดี กะโหลก)เดิน ผ่านหน้าผูใ้ หญ่ตอ้ งกม้ ตวั ลง ถา้ อยใู่ กลใ้ หเ้ ดินเข่าหรือคลาน“ยา้ งกา๋ ยหนา้ กา๋ ยต๋าผใู้ หญ่พอก้มเห้อกม้ พอคา” การนัง่ ชายใหน้ ัง่ ขัดสมาธิหญิงให้ “นัง่ ตะมอ”(น่งั พบั เพยี บ)ถา้ นง่ั กนิ ข้าว(กบั พ้ืน)เปน็ เดก็ ไมว่ ่าหญิงหรอื ชาย ให้น่งั พับเพยี บหมด นอนหญิงหา้ มนอนในท่ีเปดิ เผยถา้ นอนท่เี ปิดเผยใหร้ ะมัดระวงั ใหน้ อนตะแคงผา้ ถงุ เหนบ็ หวา่ งขา หา้ มนอนหงาย ห้ามนอนใกล้ “ป่อง”(ชอ่ งกระดานพน้ื เรอื นหรือช่องข้างฝา)กลัวจะถกู ชาย “จก” (ลว้ ง) ผู้ชายไม่คอ่ ยมกี ารห้ามเรอ่ื งการนอนแต่ไม่ว่าหญิงหรือชายจะมีสถานท่ีหา้ มนอน คอื ใต้ขอื่ บ้าน เพราะขอ่ื บา้ นเปน็ สิง่ ที่วางศพ แม้แต่พาขา้ วกห็ า้ มวางใตข้ ่อื และอีกอยา่ งห้ามนอนเอามอื ทับหน้าอกเพราะผี จะอาํ (ผที ับ)ทกุ วนั น้เี ปลย่ี นแปลงไปมากเพราะอารยธรรมตะวนั ตกเขา้ มาการพดู ชาวผ้ไู ทเมื่อ 40 ปีก่อนมกั ใชส้ รรพนามบรุ ุษทห่ี นงึ่ วา่ กู บุรษุ ท่สี องใชค้ าํ วา่ ข้อย ลูกพูดกบั พอ่ แม่ ปูย่ ่า ตายาย ก็ใชค้ ําน้ี สว่ นคําวา่ ข้อยและเจ้า เป็นคําพูดทีส่ ภุ าพมากจะใชอ้ ยรู่ ะหวา่ งบ่าวสาว คผู่ ัวเมยี ลูกเขยกับพอ่ ตาแมย่ ายลูกสะใภก้ บั พอ่ ปูแ่ ม่ยา่ ปจั จุบันเปล่ยี นไปเพราะการศกึ ษาเจรญิ ขนึ้ คําว่า กทู ่เี ดก็ ใชก้ ับพอ่ แม่ไม่ได้ยินอีกแล้ว วฒั นธรรมเครอ่ื งแต่งกายของชาวผ้ไู ท โดยลกั ษณะทางสงั คมชาวผไู้ ทเปน็ กลุ่มท่ีมีความขยันและอดออมเป็นพเิ ศษและมีวฒั นธรรมใน เรอื่ งการถกั ทอเส้อื ผา้ เดน่ ชัดจึงปรากฏเสือ้ ผา้ ชนดิ ตา่ งๆ ทัง้ ฝ้าฝ้าย ผ้าไหมในกลมุ่ ชาวผไู้ ท (ผู้ไท)โดยเฉพาะ ผา้ แพรวานับวา่ มวี ัฒนธรรมเรือ่ งเส้อื ผ้าเดน่ ชัดมาก เครอื่ งน่งุ ห่มชาวผู้ไท เปน็ เผา่ ทที่ าํ เครอื่ งน่งุ ห่มโดยเฉพาะผ้าหม่ จนเหลอื ใช้ (ในปัจจบุ นั ชาวผไู้ ทก็ ยงั ทาํ ผ้าห่มไวม้ าก แขกมาเยย่ี มมาพกั มีให้ห่มอยา่ งพอเพียง)สว่ นเสือ้ ผ้าก็พอมใี ช้ ไม่ฟ่มุ เฟือยวสั ดใุ นการผลิต ผา้ หามาเองโดยการปลูกบ้างเอาจากที่มีอยู่ตามธรรมชาตบิ า้ งโดยผา่ นกระบวนการต่างๆ จนเปน็ เคร่ืองน่งุ หม่ ลว้ นหามาเอง ทําข้นึ เองทง้ั ส้นิ เช่น ฝา้ ย เริ่มตง้ั แตก่ ารปลูก จนถงึ ข้ันทอเปน็ ผ้า ลว้ นแตท่ ําเอง ในปจั จบุ นั นม้ี โี รงงานทีท่ ันสมัย ท่ผี ลิตวัสดทุ ี่จะทําเครื่องนุ่งหม่ แลว้ ราคาไม่แพง สี ลวดลายแบบมีใหเ้ ลือก มากมาย การแต่งกาย ของชาวผไู้ ท นยิ มนงุ่ ซิน่ ซึง่ ลักษณะเด่นของซนิ่ ผ้ไู ท คือ การทอและ ลวดลาย เช่น ทอเปน็ ลายนาคเลก็ ๆ นอกจากนม้ี ลี ายอ่นื ๆ เชน่ หม่ีปลา หมกี่ ระจัง หม่ีขอ้ ทําเป็นหมี่คน่ั ไมไ่ ด้ทอเป็นผา้ หมี่ทงั้ ผนื มลี ายต่างๆ มาค่นั ไว้ สีทน่ี ยิ มคือ สีเขยี ว สนี ํา้ เงิน สีแดง สีม่วง พน้ื มกั ใชส้ เี ปลือก อ้อยนอกจากนยี้ งั พบผา้ มัดหม่ีฝา้ ย ขาวสลบั ดํา ในกลมุ่ ผไู้ ทส่วนเสอ้ื นยิ มทาํ เปน็ เสื้อแขนกระบอก 3 ส่วนใน ภูมปิ ญั ญาอาหารพืน้ ถิ่นผ้ไู ทในอสี าน |
หนา้ | 54 ราว พ.ศ.2480 ได้มผี นู้ ําขลบิ แดงติดทเี่ ส้ือเชน่ ทค่ี อ สาบเสื้อปลายแขนเพือ่ ใชก้ บั ฟอ้ นผู้ไทสกลนครและใช้ กันมาจนทุกวันนเ้ี ครอ่ื งประดบั สวมสร้อยคอ สรอ้ ยข้อมอื ข้อเท้า (ก้องแขน-ก้องขา)ดว้ ยโลหะเงนิ เกล้าผม เปน็ มวยสูงตงั้ ตรงในสมยั โบราณใชผ้ ้ามนหรอื แพรมนทาํ เปน็ ผ้าสเี่ หลีย่ มเล็กๆมว้ นผูกมวยผมอวดลวดลายผ้า ดา้ นหลงั ในปจั จบุ ันใชผ้ า้ แถบขนาดเล็กๆ สีแดงผูกแทนแพรมนการแต่งกายปจั จุบันมีการเปลี่ยนแปลงไป มากจนไมม่ คี นแตง่ กายแบบดงั้ เดิมให้เห็นแลว้ ยกเว้นจะมีพธิ กี รรมบางอย่างเช่น เวลาพิเศษการฟอ้ นผ้ไู ทย ทกุ วนั นีพ้ ากันแต่งกายตามสมยั นิยมกนั แลว้ ผู้หญิงหันมานุง่ กางเกงเพราะว่าทะมัดทะแมงดหี าง่าย ซือ้ สําเร็จรูปมาใชไ้ ดเ้ ลย มีหลากสีหลากทรง 1) ผ้าซ่นิ วัฒนธรรมของกลุม่ ผู้ไทท่ีเด่นชดั คือการทอผา้ ซิ่นหม่ีตีนต่อเป็นผืน เดยี วกบั ผ้าผนื เช่น ตนี ตอ่ ขนาดเล็ก กวา้ ง 4 ถงึ 5 น้วิ (มอื ) ท่ีเรยี กวา่ ตีนเต๊าะเปน็ ทนี่ ิยมในหมู่ผ้ไู ททอเป็น หม่ีสาด หม่ีหม้อย้อมคราม จนเปน็ สีครามเกอื บเปน็ สีดาํ แต่ชาวบ้านเรียกว่าผ้าดําหรอื ซ่ินดํา ลักษณะเดน่ ของซ่นิ หมี่ชาวผู้ไท คือการทอและลวดลายเชน่ ทอเป็นลายขนาดเลก็ ๆ นอกจากนีม้ ีลายอ่นื ๆ เช่น หมป่ี ลา หม่ีตมุ้ หมก่ี ระจงั หม่ขี ้อ ทําเป็นหม่ีค่ันมิไดท้ อเป็นหม่ที ้ังผนื แต่หากมลี ายต่างๆ มาคั่นไว้ สที ี่นิยม คอื สีเขยี ว สนี า้ํ เงิน สแี ดง สีม่วง พนื้ มักใชเ้ ครือหกู ฝ้ายสเี ปลอื กอ้อย นอกจากน้ียงั พบผา้ มัดหมฝี่ ้ายขาวสลบั ดาํ 2) ผา้ ห่ม การทอผา้ ผืนเลก็ ๆเป็นวฒั นธรรมของชาวกลุ่มพืน้ อีสานมานานแลว้ ผ้าห่มใชส้ ําหรบั หม่ แทนเส้ือกันหนาว ใช้คลมุ ไหล่ เชน่ เดยี วกบั ไทยลาวทน่ี ยิ มใช้ผ้าขาวมา้ พาดไหลผ่ า้ ห่มของ กลมุ่ ชนต่างๆ ในเวลาต่อมามีขนาดเลก็ ทําเป็นผา้ สไบเปน็ สว่ นแทนประโยชนใ์ ชส้ อย เดมิ คือ หม่ กนั หนาว หรือปกปดิ รา่ งกายสว่ นบนโดยการหม่ ทับเสอื้ ผ้าห่มของ ผ้ไู ท ทเ่ี รยี กว่า ผา้ จอ่ ง เปน็ ผา้ ทอด้ายยนื มเี ครอ่ื ง ลายเคร่ืองพน้ื หลายแบบ นอกจากนี้ยังมีผ้าแพรวานอกจากผา้ จอ่ งแลว้ ชาวผ้ไู ทยังมีผ้าลาย ซง่ึ ใช้เป็นผา้ กัน้ ห้องหรอื ใชห้ ่มแทนเสอ้ื กนั หนาว หรือตอ่ กลาง 2 ผืน เปน็ ผ้าหม่ ขนาดใหญ่พอสมควร การแต่งกายของ ชาวผู้ไทยงั นยิ มสายสรอ้ ยคอ สร้อยขอ้ มือ ข้อเทา้ (ก้องแขนกอ้ งขา)ทาํ ด้วยโลหะเงนิ เกลา้ ผมเปน็ มวยสงู ตงั้ ตรง ในสมัยโบราณใช้ ผา้ มนหรือแพรมนทาํ เป็นผ้าสเ่ี หล่ยี มเลก็ ๆ มว้ นผูกมวยผมอวดลายผ้าด้านหลงั ใน ปัจจุบันใช้ผา้ แถบเลก็ ๆ สีแดงผูกแทนแพรมนทําเป็นผ้าสีเ่ หล่ยี มเลก็ ๆ มว้ นผูกมวยผม อวดลายผ้าดา้ นหลงั ความเช่อื เก่ียวกบั เคร่ืองนงุ่ ห่มจะเหน็ แต่ผ้าคลมุ ศพเมอื่ หามศพลงเรือนผ้าคลุมจะถูกปลด ออกไว้ใช้ต่อไปก่อนจะนํามาใชจ้ ะมพี ธิ โี ยนผา้ กอ่ น ในปัจจุบนั การโยนผา้ ยงั ปฏิบตั ิกันอยู่ และนอกจากนี้ ประเพณขี องชาวผู้ไทเกีย่ วกบั เครอ่ื งนุ่งหม่ 4 อยา่ งน้ี คอื ผ้าห่ม ที่นอน หมอน ผ้าขาวมา้ หญงิ สาวชาวผไู้ ท ต้องจดั สร้างขนึ้ มาไวม้ ากๆเมอ่ื หนมุ่ มาขอแล้วฝา่ ยสาวต้องเร่ง สา้ งเคงิ้ คือ สร้างเคร่ืองน่งุ ห่มนนั่ เอง ใน | ภูมปิ ญั ญาอาหารพ้ืนถนิ่ ผไู้ ทในอีสาน
หน้า | 55 ปัจจบุ นั นกี้ ย็ งั ยดึ ถอื ประเพณีนีอ้ ยเู่ พียงแต่ว่าหญิงสาวทกุ วนั นีต้ อ้ งเรยี นหนังสือหรือไปทํางานตา่ งถน่ิ ไมม่ ี เวลาทาํ เม่ือใกล้จะแตง่ งาน อาจจะให้ญาตๆิ ช่วยทาํ หรือซื้อสําเร็จรูปชาวผู้ไทยเป็นกลมุ่ ชนที่มคี วามขยัน อดออมและมวี ฒั นธรรมในเรอื่ งการถัก ทอ ท่เี ด่นชดั จงึ ปรากฏเสื้อผ้าชนดิ ต่างๆ ท้งั ผา้ ฝา้ ยไหม ในกลุ่มชาว ผู้ไท เช่นผา้ แพรวา ในปจั จุบนั เปน็ ผ้าท่ีผลติ ยาก ใชเ้ วลานานมีความสวยงามจึงนบั ว่าชนชาวผ้ไู ทมี วฒั นธรรมเรอ่ื งเส้ือผา้ เดน่ ชัดมากโดยเฉพาะการทอผา้ ซน่ิ หม่ี ตีนตอ่ เป็นตีนตอ่ ขนาดกวา้ 4-5 นิว้ (มอื ) เรียกวา่ “ตนี เตา๊ ะ”เปน็ ทีน่ ยิ มในกลุ่มผูไ้ ท ทอเป็นหมส่ี าด หม่หี มอ้ ย้อมคราม จนเปน็ สีครามแกเ่ กอื บเปน็ สี ดาํ ชาวบ้านมกั เรียก “ผา้ ดาํ ” หรือ “ซิน่ ดาํ ” รูปภาพ การแตง่ กายชาวผไู้ ท ทีม่ า http://www.isan.clubs.chula.ac.th/webboard/pic_files/20110512071505.jpg ภมู ิปัญญาอาหารพืน้ ถ่นิ ผไู้ ทในอีสาน |
หน้า | 56 วัฒนธรรมความเชือ่ และพธิ กี รรมของชาวผู้ไท เดมิ ทีน้ันชาวผูไ้ ทนบั ถอื ผีหรอื แถนหรือเทวดาก่อนทจ่ี ะมานบั ถือพระพทุ ธศาสนาซงึ่ การนับถอื พระพทุ ธศาสนาน้ันชาวผไู้ ทเร่มิ นบั ถือมาต้ังแตส่ มยั ท่ีอพยพมาอยใู่ นดินแดนประเทศลาวในสมยั กอ่ นหรือว่า เปน็ สมยั ทีไ่ ด้อพยพมาอย่ทู ป่ี ระเทศไทยแลว้ ผูเ้ รียบเรยี งยังไมม่ หี ลกั ฐานยืนยนั ในเรื่องนี้ แตส่ ิง่ ทีช่ าวผ้ไู ทนบั ถอื และเป็นความเชือ่ ท่เี ดน่ ชัดกค็ อื การนบั ถือผี เพราะคติความเชือ่ น้ยี ังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบนั นี้อย่างไม่ เสื่อมคลาย ในเรื่องของการนับถือผขี องชาวผู้ไทน้ี ขอตั้งขอสังเกตเอาไว้ ณ ทนี่ ้วี ่า ผี ในความเช่ือของชาวผู้ไท แล้วจะหมายถึงเทวดามากกว่าทจ่ี ะเปน็ ผใี นความหมายท่ัวไปทีค่ นสว่ นใหญใ่ หค้ วามหมายกัน ผีท่ีชาวผไู้ ทนับถอื สงู สดุ คือแถน ซง่ึ แถนก็คือเทวดาท่ชี าวผูไ้ ทนบั ถอื มาอย่างยาวนาน ซ่งึ มฐี านะ เทยี บเท่ากับเทพของคนอนิ เดียทีน่ บั ถือลัทธเิ ทพ เรียกไดว้ ่า “แถน”ก็คอื เทพองค์หนง่ึ ของชาวผไู้ ทน่นั เอง ดินแดนท่ีเป็นเมอื งแถนอันเป็นดินแดนดง้ั เดมิ ของชาวผไู้ ท(ซึ่งก็เป็นดนิ แดนร่วมของต้นกาํ เนิดชาวลาว โดย ชาวลาวนับถอื วา่ พญาแถนคอื ตน้ กาํ เนิดของลาว) หากจะยอ้ นกล่าวถงึ ตาํ นานเร่อื งการกาํ เนดิ มนุษย์ใน พงศาวดารทไี่ ด้กล่าวมาแลว้ ขา้ งต้นแล้ว เมอื งแถนก็คอื ท่ีเป็นถิ่นฐานด้งั เดิมของชาวผู้ไทซ่งึ เทยี บไดก้ ับเมือง ฟา้ เมอื งสวรรค์ เพราะคําว่า “แถน”มคี วามหมายวา่ “ฟา้ ”ดว้ ยเชน่ กัน ดังนัน้ จึงเชือ่ ว่าเทพหรือผูค้ ุ้มครอง บรรพบรุ ุษกค็ อื “แถน”“ผแี ถน”หรือ“ผฟี า้ ”ซงึ่ ชาวผู้ไท(รวมทัง้ คนลาว)จะต้องเซ่นไหว้แถนเพ่อื เป็นสิริมงคล แก่เผา่ พนั ธ์ุ แตใ่ นคติความเชือ่ ของชาวผูไ้ ทในทศั นะของผู้เรยี บเรยี ง “ผี”สามารถมีฐานะเป็นเทวดาได้ซึ่งจาก บรบิ ททางสงั คมของชาวผ้ไู ทเก่ียวกับพิธีแห่งความตายที่ได้กล่าวขา้ งต้นนนั้ เมอ่ื ผทู้ เ่ี ป็นพ่อแมห่ รือป่ยู ่าตา ยายตายแล้ว จะนํารา่ งไปฝังหรอื ต่อมาคือการเผา แตห่ ลงั จากนั้นแล้วจะอัญเชญิ วิญญาณกลบั เขา้ มาสถติ ไว้ ท่เี รอื น เพ่ือให้ชว่ ยปกปอ้ งคุ้มครองลูกหลานหรือสมาชิกในครอบครวั ในพธิ ีดังกล่าวน้จี ึงขยายความได้ว่า ช่วงท่นี าํ ศพไปฝังหรอื ไปเผาใหม่นั้น ศพทีน่ ําไปฝังหรอื ไปเผาคอื ผี แต่วิญญาณไมใ่ ช่ผี หรืออาจจะเป็นไดว้ า่ วิญญาณในระหว่างพธิ ีฝงั ศพหรือเผาศพก่อนอัญเชญิ วิญญาณกลับสู่เรอื นน้ันเป็นช่วงท่เี รยี กวา่ ผแี ต่เมอื่ ได้นํา วญิ ญาณกลบั สเู่ รือนแล้ว วิญญาณน้ันแม้จะเรียกวา่ ผี แต่ก็เป็นผีที่มีฐานะเป็นเทวดาแลว้ แมจ้ ะยังคงเรยี กว่า ผอี ยเู่ ช่นเดิมก็ตาม ในทีน่ ้ขี อขยายความตอ่ ไปอีกว่า ในแง่นี้ ผีในคติความเชือ่ ของชาวผู้ไทแตท่ ชี่ าวผู้ไทความ หวาดกลัวกนั นน้ั จะเปน็ ผีทเี่ รียกวา่ ผรี ้าย คือผีทจี่ ะมาทาํ อนั ตราย แต่หากเปน็ ผีที่มาช่วยสง่ เสริมจะเปน็ ผีดซี ึ่ง | ภูมปิ ัญญาอาหารพน้ื ถนิ่ ผูไ้ ทในอสี าน
หน้า | 57 จะยกยอ่ งใหเ้ ปน็ เทวดา ดังนน้ั ผีหรอื วญิ ญาณพอ่ แมป่ ู่ยา่ ตายายจงึ เปน็ ผดี หี รอื ยกยอ่ งให้เป็นเสมอื นเทวดา ดว้ ย ผใี นคติความเช่ือของชาวผูไ้ ทแบ่งออกไดเ้ ปน็ ประเภทตา่ งๆ ดังน้ี ผแี ถน ตามคติความเชอ่ื น้นั มีสถานะภาพเปน็ เทวดา สามารถบันดาลให้เกิดสิง่ ต่างๆแกผ่ ู้คนไดท้ ง้ั ส่ิงทร่ี ้ายและดหี รือเรยี กว่าให้ท้งั คุณและให้ทง้ั โทษดังนน้ั ตอ้ งไมท่ าํ ใหแ้ ถนโกรธ และหากใครที่เซ่นสรวงแถน ก็จะได้รับแต่สิ่งทีด่ ีหรือได้รับการอวยพรจากแถน มคี วามเชือ่ ในหมู่คนที่นบั ถอื แถนว่าเหตทุ ี่เกิดเภทภยั เจ็บ ไขไ้ ดป้ ่วยนา้ํ ทว่ ม ฝนแลง้ นาล่มหรือพชื พนั ธ์ุธัญญาหารเหีย่ วแห้ง เปน็ ส่ิงทีเ่ กิดมาจากอทิ ธิฤทธ์ิปาฏิหาริย์ ของแถนหรอื ของผีสางเทวดาท้ังส้ิน ดังนัน้ จงึ ต้องเซน่ ไหวบ้ วงสรวงผีแถน ทกุ คร้ังทม่ี ีการเซ่นไหว้เปน็ ประจาํ ทุกฤดกู าลจะเกดิ แตค่ วามสุขไปทั่ว ผทู้ ่เี จ็บไข้ได้ปว่ ยกห็ าย ข้าวกล้าในนาก็อดุ มสมบรู ณ์ดี จงึ อาจจะกล่าวได้ วา่ ผีแถนหรอื แถนเป็นเทวดาหรอื เทพแหง่ เกษตรกรรมและเทพแหง่ ความเจ็บไข้ได้ป่วย เพียงแต่แถนใน ความหมายของคนเผ่าผไู้ ทจะกว้างขวางและครอบคลมุ ทกุ วิถีชวี ติ การละเมิดต่อแถนจะตอ้ งมกี ารเชญิ ผฟี า้ มาสิงสถติ อยู่ในร่างของคนทรงเรยี กวา่ \"ผีฟา้ \"ในการลาํ ผี ฟา้ มอี งค์ประกอบทัง้ หมด 4 สว่ นได้แก่ หมอลาํ ผีฟา้ หมอแคน ผู้ป่วยและเครือ่ งคาย(เครื่องเซน่ มที ง้ั ไกต่ ม้ ไขไ่ ก่ต้ม หมากพลู ดอดไม้ ธูป เทียน ฯลฯ) ผบี รรพบุรุษ บนเรือนของชาวผู้ไทจะทาํ ห้งิ (ภาษาผูไ้ ทเรยี กว่าฮา้ น)ไวซ้ ง่ึ ห้งิ นี้ก็คอื ท่ีสถิตของผี เรือนและผบี รรพบุรษุ ซง่ึ ผบี รรพบรุ ุษก็คอื ผีของพี่ปู่ยา่ ตายาย (ต่อมาเปน็ หิ้งพระ แต่กย็ งั เป็นหง้ิ ท่ีรวมของ วิญญาณบรรพบุรษุ ด้วย) ผีบรรพบรุ ษุ เป็นผีท่ปี กปอ้ งคมุ้ ครองใหอ้ ยูเ่ ย็นเป็นสุขแก่ลกู หลานและสมาชิกใน ครอบครัว ตอ้ งสักการบูชาทุกวนั เพญ็ ท้งั วนั ข้นึ วนั แรม เช่น 8คาํ่ 14หรอื 15 คาํ่ ในความเช่อื ของชาวผู้ไท การผิดผีจะทําใหค้ นผดิ ผีมีอันเปน็ ไป เช่น อาจจะเกดิ การเจบ็ ปว่ ย จะตอ้ งเสยี ผี หรอื เสยี คา่ ปรบั ไหมตามที่ไดก้ ําหนดไว้ การที่ชายหนมุ่ เตะเนอ้ื ตอ้ งตัวหญงิ สาวก็ถือว่าผิดผเี ช่นกนั ซ่ึงจะตอ้ ง เสยี คา่ ปรับไหม หรอื เรียกว่าค่าไหม ผเี รอื น เป็นผีท่ปี กปอ้ งคุ้มครองบ้านเรือนใหอ้ ยเู่ ย็นเปน็ สขุ จะมีหอ้ งผเี รือนหรือหงิ้ ผีเรือนซึ่งผีวิญญาณ บรรพบรุ ษุ กจ็ ะถูกเชญิ มาไว้ด้วยกัน ภมู ิปญั ญาอาหารพื้นถนิ่ ผ้ไู ทในอสี าน |
หน้า | 58 ผปี ระจําหมบู่ า้ น จะปลกู ศาลใหอ้ ยูเ่ พอ่ื ใหค้ มุ้ ครองคนในหมู่บ้าน อาจจะเรียกวา่ ศาลเจ้าปู่หรือศาลป่ตู า ตามแตห่ ม่บู ้านน้นั จะเรียก ในทุกปีชาวบ้านจะทาํ บญุ เซน่ ไหว้เพอ่ื เป็นสริ ิมงคลแก่หมบู่ า้ น ผนี าหรือผีตาแหะ(ผีตาแฮก) ในสาํ เนียงภาษาผไู้ ทเรยี กว่าผีตาแหะ เป็นผที ่อี ย่ตู ามทงุ่ นาเพือ่ คมุ้ ครองไร่นาใหก้ บั ชาวผู้ไท จะเริม่ ทําพิธกี รรมเซน่ ผนี าหรือผตี าแหะในต้นฤดฝู นประมาณเดือนพฤษภาคม หรอื มิถุนายน ทง้ั น้อี ยู่ทีว่ ่าฤดูฝนจะมาช้าหรอื เร็ว โดยจะเซน่ ผีนาหรือผีตาแหะจาํ ทํากอ่ นจะทาํ การไถคราด พธิ เี ซน่ ก็ทําอยา่ งง่าย ๆ คอื นําข้าวปลาอาหารใสก่ ระทง(ซ่งึ ทาํ ด้วยกาบกล้วยสด) รวมทั้งดอกไม้ ธปู เทยี น พธิ นี เี้ รยี กว่า เลยี้ งผตี าแฮก หรอื เลยี้ งผีครั้งแรก การเลีย้ งผนี าหรอื ผตี าแหะเสร็จแล้วจงึ จะเข้าสงู การแหะนา ซึง่ กค็ อื การไถนาครงั้ แรกนัน่ เอง การแหะนานจ้ี ะไถนาทง้ั แปลหรือไถพอเป็นพธิ กี ไ็ ด้ ผมี เหสกั ข์ เป็นความเช่อื อกี อยา่ งหนงึ่ ของชาวผไู้ ทโดยเฉพาะของผู้ไทพรรณนานิคมจังหวดั สกลนคร โดยจะเรยี กว่าผีเจ้าปู่ บางคนเรียกเจ้าหาญแดง การเซ่นหรือพฑี ะบชู าจะจดั ข้นึ เปน็ ประจําทกุ ปีใน วันขึน้ 15 คํา่ เดือน4 โดยนาํ ข้าวปลาอาหาร ซึง่ นยิ มอาหารคาวเลือด ชาวบา้ นจงึ นําควายไปฆ่าที่ปา่ หน้า ศาล แล้วทาํ ลาบพรอ้ มใส่เลอื ดสดๆ ผสมคลุกกับขา้ วเหนียวนึง่ จดั 8 สาํ รบั ไปถวาย พรอ้ มกับเหลา้ โดยมี ผ้ทู ําพธิ กี รรมท่ีเร่มิ ดว้ ยพิธีกร คอื จ้ํา หรือกวานจํา้ นอกจากนั้นยังมีวัฒนธรรม ประเพณีทส่ี ําคญั ของชาวผ้ไู ทซึง่ ถือกันแตโ่ บราณได้แก่ การลงขว่ ง พธิ ี แตง่ งาน การทํามาหากิน การถอื ผี และการเลยี้ งผคี นชนชาตินี้รักความอสิ ระ มีความเจรญิ รงุ่ เรอื งมากกว่า กลุ่มชนชาติใดๆมคี วามเชอื่ ในการนบั ถือลทั ธผิ ฟี ้าและเคารพวิญญาณบรรพบุรษุ ความเชอื่ เร่อื งยารักษาโรค หมอรกั ษาโรคในอดตี นั้นยังมคี วามเชือ่ ในเร่อื งของการรกั ษาหรอื ฮีต คลองอยู่ ถา้ ผิดฮีตแล้วจะรกั ษาไมห่ ายแต่หมอจะพูดว่า“ผดิ ครู ผิดคาย” คําว่า “คายหรอื ค่ายกครู” หมอเป่า หมอทรง หมอธรรมในกล่มุ ชาวผู้ไทตงั้ แตอ่ ดตี ถงึ ปจั จบุ ันยงั ไม่ปรากฏมผี มู้ อี าชพี แพทย์ แผนโบราณโดยเฉพาะมเี พยี งผ้มู คี วามรู้เรือ่ งสมนุ ไพร รากไม้ รากยาพอช่วยเยยี วยาผเู้ จ็บไข้ไดป้ ว่ ยแลว้ ได้ ค่าตอบแทนเลก็ ๆ นอ้ ยๆ พอเป็นสินน้ําใจถา้ ทางฝา่ ยคนไขไ้ มม่ ีเงินกร็ ักษาฟรีเอาพ่เี อานอ้ งไว้ ในอดตี ยงั มหี มออีกประเภทหนึ่งท่ีรักษาคนไขด้ ว้ ยการใชค้ าถาเป่า (เรียกวา่ หมอเป่า) คนปว่ ยเปน็ ไข้ ตกตน้ ไม้ ควายชน แข้งหักขาบวมชํา้ หมอกใ็ ชค้ าถาเปา่ ได้ ชาวบา้ นในอดีตมักจะไปหามหมอมาเป่าใน เร่ืองเจบ็ ไข้ไดป้ ่วย ในสมยั อดตี มกั จะโยนให้ผี ทถ่ี ูกใส่ความบ่อยที่สุด คือ ผีปอบ และผปี ่า | ภมู ิปญั ญาอาหารพ้ืนถนิ่ ผไู้ ทในอสี าน
หน้า | 59 ผปี อบ คือคนทีเ่ รียนคาถาประเภทเดรัจฉานวิชาและ “คะลาํ ”ถอื ปฏบิ ัติตามทคี่ รบู อกไม่ได้ เม่อื เป็น ปอบแล้วจะมวี ิญญาณลึกลบั อยใู่ นตัวคนน้นั และเปน็ วิญญาณร้ายทีอ่ อกหากนิ คน ผูท้ ถี่ ูกกินจะป่วยลงเมอ่ื หาหมอเปา่ คนป่วยกจ็ ะเพอ้ ออกมาวา่ เป็นผู้น้นั มาเข้า การทคี่ นปว่ ยเพ้อออกมาผไู้ ทยเรียกว่า “เอาะปะ้ ” (ออกปาก) หมอเป่าก็จะใชค้ าถาเป่าคมุ จนปอบยอมออกจากรา่ ง เมือ่ ปอบออกจากรา่ งแล้วคนไขล้ ุกข้นึ นัง่ เดนิ ได้ ทั้งๆท่กี ่อนหน้านนั้ ปว่ ยนอนซมอยไู่ ปไหนมาไหนไมไ่ ด้ ผีปา่ เป็นผีท่สี ิงสถิตอยู่ในปา่ ต้นไม้ใหญ่ ถ้าคนไปทาํ ผดิ เชน่ ไปตดั ไมห้ รอื ไปกวนบ่อน้ําในแหลง่ นาํ้ ซบั กลางป่า หรอื ของป่าบางอย่างผปี ่ากจ็ ะเข้าทับรา่ งทาํ ใหเ้ ปน็ ไขไ้ ดป้ ่วย หรอื บางทเี ห็นหญงิ สาวสวยผีปา่ รกั ก็เขา้ มาทบั ร่างไดเ้ หมอื นกัน อาการปว่ ยก็เหมอื นผีปอบแต่พอเปา่ คนไขเ้ พ้อไปทางปา่ ว่าอยูท่ น่ี ั่นต้นไมน้ น่ั หนองนาํ้ น่ี “พวกสูไปรื้อบา้ นกู” (ตดั ต้นไม้) เป็นตน้ หมอกจ็ ะคมุ จนออก เชน่ กัน หมอทรงเปน็ หมอท่ที าํ พิธอี ัญเชญิ วิญญาณตา่ งๆ ตามทผี่ ูม้ าหาบอกเพ่ือให้เขา้ ร่างหมอทรงแล้วจะ ไดบ้ อกกล่าวเร่ืองราวระหว่างวิญญาณกับผมู้ าหาหมอ หมอธรรมเป็นหมอทน่ี ่งั ทรงทางในเพื่อดดู วงชะตา หรือส่งิ ที่มากระทําต่อคนใดคนหนึ่งทีม่ าหาหมอ หรอื ไลเ่ ลขไลย่ าม ผไู้ ท เรยี กว่า “น่งั ธรรม” หมอธรรมจะ เปน็ สื่อระหว่างวญิ ญาณกบั คนคล้ายหมอทรงแต่ไม่มีพิธสี ลับซับซ้อนเท่าหมอทรง กรณมี ีผ้เู จบ็ ป่วย ชาวผูไ้ ทในอดีตจะมคี วามเช่อื วา่ เป็นการกระทาํ ของผี จงึ มักจดั ให้มกี ารรกั ษาคน ป่วยด้วยการเหยา้ หมอเหย้าจะไปประกอบพธิ กี ารเหย้าข้างๆ คนปว่ ย ในการเหยา้ จะมหี มอแคนเปน็ ผ้เู ปา่ แคนประกอบกบั การเหยา้ ซึง่ บางครงั้ ทาํ ใหร้ ูว้ า่ คนป่วยนัน้ เป็นเพราะเป็นเหตุใดจะทําให้หายป่วยได้ด้วยวธิ ี ใด ส่วนใหญ่จะเกย่ี วข้องกับผี เชน่ เหตุการณป์ ่วยเกิดจากผู้ปว่ ยหรือผทู้ ี่เก่ยี วข้องกับผ้ปู ่วย เช่น พอ่ แมส่ ามี ภรรยาไปทาํ ล่วงละเมดิ ผปี ่า ผหี ้วย ผหี นอง ผนี า ผีบรรพบรุ ุษ ฯลฯ วิธกี ารแก้ไขคอื จะต้องไปแต่งแกห้ รอื ทาํ การขอขมาโทษต่อผีหรอื บางคร้งั หมอเหยา้ ก็อาจบอกว่าเหตุของการป่วยไม่ไดเ้ กิดจากการกระทาํ ของผี แต่เกิดจากโรคภยั ต้องไปรักษาท่ีโรงพยาบาลการปว่ ยจงึ จะหายได้ ปจั จบุ นั ความเชอ่ื ถอื กับการเหย้าได้ลด นอ้ ยลงไปเกอื บหมดแลว้ ยงั คงมกี ารประกอบพธิ กี รรมเหยา้ อยู่บา้ งในสว่ นของความเชือ่ ตามหลกั พุทธ ศาสนาก็ให้ความสาํ คญั ไม่แพก้ ันกับความเช่อื ในเรื่องของผี ประเพณีส่วนใหญย่ ดึ ตามฮตี 12 ครอง 14 ของชาวอสี านทั่วไป ภมู ิปัญญาอาหารพื้นถิ่นผูไ้ ทในอสี าน |
หน้า | 60 วัฒนธรรมฟอ้ นผู้ไท สบื เน่ืองมาจากพระธาตุเชงิ ชมุ เปน็ ปชู นียสถานทีส่ ําคญั ของจังหวัดสกลนคร ซง่ึ ในสมยั โบราณนนั้ ต้องมคี นคอยเฝ้าดแู ล รักษาทาํ ความสะอาดอยตู่ ลอดทง้ั ปี ซึ่งพวกที่ดูแลทาํ นบุ าํ รุงพระธาตเุ ชงิ ชมุ น้ีจะไดร้ ับ การยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีราษฎร์ชูปการ ซ่ึงมีหลายชนเผา่ ดว้ ยกัน ซ่ึงในกลมุ่ ผดู้ ูแลนั้นมีชาวผไู้ ทรวมอยู่ ดว้ ย ในตอนนน้ั มักจะมีงานบญุ ทอดผ้าปา่ และฉลององค์ พระธาตุเชิงชมุ ชาวบา้ นจะนาํ ขา้ วเมา่ ปลาย่าง มา ตดิ กัณฑ์เทศน์ ชาวผไู้ ทซึ่งเป็นกลุ่มท่ีอาสาเปน็ ผ้ปู ฏิบัติรกั ษาองค์พระธาตุ โดยเฉพาะผู้ชายจะแตง่ ตัวน่งุ กางเกงขาก๊วย และนุ่งโสร่งทับ สวมเสือ้ ดํา จะฟ้อนด้วยลีลาอันอ่อนชอ้ ยสวยงาม โดยรอ้ งและฟอ้ นกนั เป็น หมๆู่ แล้วจึงถวายผ้าปา่ ต่อมาได้มกี ารดดั แปลงท่าฟ้อนใหส้ วยงามยง่ิ ข้นึ เปล่ียนจากผ้แู สดงชายมาเป็น หญงิ ลว้ น ตอ่ มาชาวผ้ไู ทในท้องถนิ่ อนื่ ไดม้ าเห็นจึงไดน้ าํ ไปประยุกตท์ ่าฟอ้ นให้สวยงามและมีการแตง่ เน้อื ร้อง ประกอบการฟอ้ นข้ึน การฟ้อนผ้ไู ท 3 เผ่า ประกอบดว้ ย 1. ฟอ้ นผู้ไทจงั หวัดนครพนม เป็นฟ้อนที่ท่มี ชี ื่อเสยี งและเปน็ ที่รู้จักกนั ดี คือ การฟ้อนผู้ไทของ อําเภอเรณูนคร จนถอื ว่าเปน็ เอกลกั ษณ์ของจังหวดั นครพนม ในปี พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระ เจา้ อยหู่ ัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชนิ นี าถ ได้เสดจ็ มานมัสการพระธาตุพนม นายสงา่ จนั ทรสาขา ผูว้ า่ ราชการจงั หวดั นครพนมในสมยั นน้ั ไดจ้ ดั ใหม้ กี ารฟอ้ นผูไ้ ทถวาย โดยมนี ายคํานึง อินทรต์ ิยะ ศึกษาธกิ าร อําเภอเรณนู ครไดป้ รบั ปรุงทา่ ฟอ้ นผู้ไทใหส้ วยงามกว่าเดิม โดยเชญิ ผสู้ งู อายุทมี่ ปี ระสบการณ์ในการฟ้อนผู้ ไทมาใหค้ ําแนะนํา จนกลายเปน็ ทา่ ฟอ้ นแบบแผนของชาวเรณูนครไดถ้ า่ ยทอดใหแ้ กล่ กู หลานสืบทอดต่อมา ท่าฟ้อนผู้ไทไดแ้ ก่ ทา่ เตรยี ม ทา่ นกกระบาบนิ ท่าลาํ เพลนิ ท่ากาเตน้ ก้อน ทา่ ราํ ม้วน ท่าฉาย ท่ารําสา่ ย ทา่ ราํ บูชา ท่ากอ้ นขา้ วเย็น ท่าเสือออกเหล่า ท่าจระเข้ฟาดหาง ซง่ึ การฟ้อนจัดเป็นคู่ๆ ใชช้ ายจริงหญิงแท้ ตัง้ แต่ 10 คู่ขึ้นไป เคร่ืองดนตรปี ระกอบด้วย กลองกิง่ กลองแตะ กลองยาว ฆ้องโหมง่ พังฮาดและกบั๊ แกบ๊ สําหรับเครอื่ งแตง่ กาย ฝา่ ยหญงิ นยิ มใชเ้ ส้อื สนี ้ําเงนิ เขม้ ขลิบสแี ดงทัง้ เส้ือและผา้ ถุง ผ้าสไบสขี าว เครือ่ งประดบั ใชเ้ คร่ืองเงนิ ตัง้ แต่ตมุ้ หู สรอ้ ยคอกาํ ไลเงนิ ผมเกลา้ มวยสูงทัดดอกไมส้ ขี าว ห่มผ้าเบีย่ งสีขาว ซ่ึงปจั จบุ นั ใช้ผ้าถกั สขี าว สว่ นผชู้ ายจะใส่เส้อื มอ่ ฮอ่ มขลิบผ้าแดงนุ่งกางเกงขาก๊วยมผี า้ คาดเอวและโพก ศีรษะ | ภมู ปิ ัญญาอาหารพน้ื ถน่ิ ผไู้ ทในอีสาน
หนา้ | 61 รูปภาพ การฟอ้ นผไู้ ทจังหวดั นครพนม ทีม่ า http://www.isan.clubs.chula.ac.th/folkdance/images/renoo.jpg 2. ฟอ้ นผูไ้ ทจงั หวัดสกลนคร เปน็ ฟ้อนผ้ไู ทท่ีมีลลี าแตกตา่ งจากฟ้อนผู้ไทในท้องถิ่นอนื่ เนือ่ งจาก ฟ้อนผไู้ ทจังหวัดสกลนครจะสวมเลบ็ คล้ายฟ้อนเล็บทางภาคเหนือ ปลายเลบ็ จะมีพไู่ หมพรมสีแดง ใชผ้ ู้หญงิ ฟอ้ นล้วนๆ ท่าฟ้อนที่ชาวผูไ้ ทสกลนครประดิษฐ์ขึ้นน้ันมีเนอื้ เพลงสลับกับทาํ นอง การฟอ้ นจึงใชต้ บี ทตามคํา ร้องและฟอ้ นรับช่วงทาํ นองเพลง ท่าฟ้อน มีดงั น้ีท่าดอกบวั ตูมทา่ ดอกบวั บานทา่ แซงแซวลงหาดทา่ บงั แสง ทา่ นางไอเ่ ลาะดอน หรอื นางไอเ่ ลียบหาด ทา่ นาคมี ้วนหาง ดนตรใี ช้กลองกงิ่ แคน กลองต้มุ กลองแตะ กลองยาว ฆ้องโหม่ง พังฮาด ไมก้ ั๊บแก๊บ เครือ่ งแต่งกาย จะใสเ่ สื้อสดี าํ ผ้าถงุ ดาํ ขลิบแดง สวมเลบ็ ทาํ ด้วย โลหะหรือบางแห่งใชก้ ระดาษทําเป็นเสน้ มพี ตู่ รงปลายสีแดง หม่ ผ้าเบ่ยี งสีแดง ผมเกล้ามวยทัดดอกไมส้ ขี าว บางครั้งผูกด้วยผา้ สแี ดงแทน ในปจั จุบนั พบว่า เส้ือผ้าชดุ ฟอ้ นผไู้ ท จังหวดั สกลนครไดเ้ ปล่ยี นไปบ้าง คือ ใช้ เสอ้ื สีแดงขลบิ สีดาํ ผ้าถุงสีดาํ มเี ชิง ผ้าเบย่ี งอาจใช้เชิงผ้าตนี ซนิ่ มาหม่ แทน ภมู ิปญั ญาอาหารพื้นถิ่นผูไ้ ทในอสี าน |
หนา้ | 62 รูปภาพ การฟอ้ นผูไ้ ทจงั หวดั สกนคร ท่มี า https://2.bp.blogspot.com/-36ogAL872MA/Vw8EE5pvfdI/AAAAAAAAALI/SbSmjyB- nk0ita0Oqh1PIILRhxjF1wncQCKgB/s1600/E12651450-21.jpg 3. ฟอ้ นผไู้ ทจังหวดั กาฬสินธุ์ มีลักษณะการแต่งกายแตกต่างจากฟ้อนผู้ไทในถิน่ อ่นื จะสวมเส้ือสดี าํ ขลิบด้วยผา้ ขดิ หม่ ผา้ แพรวา นงุ่ ผา้ ถุงมดั หม่ีมเี ชิง ลลี าการฟอ้ นไดร้ บั การผสมผสานจากทา่ ฟ้อนผไู้ ทและ เซิง้ บ้งั ไฟ ท่าฟอ้ นจะเร่มิ จากทา่ ฟ้อนไหว้ครู ท่าเดนิ ทา่ ชอ่ มว่ ง ท่ามโนราห์ ท่าดอกบัวบาน ทา่ มยุรี ท่ามาลยั แกว้ โดยใชผ้ ู้หญิงฟ้อนลว้ นๆ ฟอ้ นผูไ้ ทของกาฬสนิ ธุ์จะมกี ารขับลําประกอบเรียกวา่ \"ลําภไู ท\" | ภูมปิ ญั ญาอาหารพ้ืนถ่นิ ผู้ไทในอีสาน
หนา้ | 63 รปู ภาพ การฟ้อนผไู้ ทจังหวัดกาฬสนิ ธุ์ ทม่ี า http://www.isan.clubs.chula.ac.th/folkdance/images/kalsin01.jpg ฟอ้ นผู้ไท 3 เผ่าเป็นการประยุกต์การฟ้อนผู้ไทของท้ัง 3 ถิ่น ให้เห็นถงึ ลลี าการฟ้อนทม่ี ี ลักษณะเฉพาะของแตล่ ะถ่ิน ซึ่งการฟ้อนผู้ไท 3 เผ่าจะแสดงให้เหน็ ถงึ ลกั ษณะร่วมกันของชาวผไู้ ททงั้ 3เผา่ ฟ้อนผูไ้ ท 3 เผา่ จะเรม่ิ จากฟอ้ นผ้ไู ทกาฬสินธ์ุ ผไู้ ทสกลนครและผ้ไู ทเรณนู คร ในการฟอ้ นผูไ้ ท 3 เผ่านี้ จะเพม่ิ ผชู้ ายฟอ้ นประกอบทัง้ 3 เผ่า มีการโชวล์ ลี าของราํ มวยโบราณตอ่ ส้รู ะหว่างเผา่ และ หรือการเก้ยี วพา ราสีกันระหว่างชายหญงิ เซ้ิงกระติบข้าว เป็นการละเล่นพืน้ เมืองของชาวภูไท นยิ มเลน่ กนั ในโอกาสรื่นเรงิ วันนักขตั ฤกษ์ ต่างๆ การแสดงจะเรมิ่ ด้วยชาวภูไทฝา่ ยชายนาํ เอาเครอ่ื งดนตรี และเคร่อื งประกอบจังหวะหลายอย่าง ไดแ้ ก่ แคน เป็นเครอื่ งดนตรีชนดิ หนึ่งใชป้ ากเปา่ เป็นทาํ นองเพลง แก๊บ (กรบั ) กลองเถิดเทงิ กลองแต๊ะ ภูมิปัญญาอาหารพ้ืนถนิ่ ผไู้ ทในอสี าน |
หนา้ | 64 โหมง่ และฉาบ มาร่วมกนั บรรเลงเพลงท่มี ที ํานองและจงั หวะรุกเร้า ต่อจากนัน้ เหล่าสตรชี าวภูไทในวยั ตา่ งๆ ซึ่งมีกระตบิ ขา้ ว แขวนสะพายอยขู่ ้างตวั ออกมาเต้นเซ้งิ เป็นการแสดงอากัปกิรยิ าของสตรชี าวภไู ท ขณะเมอ่ื สะพายกระติบขา้ วเพื่อนําอาหารไปสง่ ใหแ้ ก่สามแี ละญาตพิ ่ีนอ้ งที่ออกไปทํางานอยู่นอกบ้าน เครอ่ื งดนตรี ท่ีใช้ประกอบจงั หวะ ไดแ้ ก่ กลองแต๊ะ กลองยาว แคน ฆ้องโหมง่ ฉ่ิงฉาบ และ กรบั จงั หวะ ป๊ะ เพ่ิง ป๊ะ เพ่ิง ป๊ะ เพ่งิ เพงิ่ การแต่งกาย แตง่ กายแบบพน้ื เมืองภาคอสี าน นุ่งผา้ ซ่นิ มเี ชงิ ยาวคลมุ เข่าเล็กนอ้ ย สวมเส้อื แขนกระบอก คอกลมหรอื คอปดิ ห่มสไบทบั เส้อื ประดบั ดว้ ยเครอ่ื งประดับ ตา่ งๆ เกล้าผมมวยสงู ทัดดอกไมอ้ ุปกรณ์การแสดง กระติบข้าว หรือกล่องใสอ่ าหารสานดว้ ยไม้ไผ่ วฒั นธรรมการกนิ ภมู ปิ ญั ญาอาหารของชาวผู้ไท แหล่งท่ีมาของอาหารการกิน ชาวผูไ้ ทเป็นคนทพี่ ิถีพถิ ันในเรื่องการเลอื กทาํ เลทจ่ี ะตั้งหมบู่ า้ น จะต้องเป็นที่ราบใกลผ้ ู้เขาหรอื แหลง่ น้าํ ในอดตี แหลง่ อาหารกใ็ กลบ้ า้ นนัน่ เอง พวกสัตว์บกสัตว์น้ํา เกง้ หมปู า่ กระรอก กระแต มใี หเ้ หน็ อยทู่ ุกวนั หาได้ง่าย และมกี นิ บอ่ ย พชื ผกั ตา่ งๆ ก็มีมาก ทัง้ พชื บ้าน พืช สวน พืชป่า ดังมีผญาคาํ สอนบทหนง่ึ วา่ “อยา่ ไป๋เกบ็ ดอกหว่านบ้านเพน๋ิ มาบ๋านเฮ่อเจ้ายนื๋ งอยชานเก็บดอก กะเจว๋ ฮมิ โฮ้” (อย่าไปเกบ็ ดอกหวา่ นบ้านอนื่ มาบา้ น ให้เจ้ายนื ทช่ี านเก็บดอกกระเจยี วริมรวั้ ) ชีใ้ หเ้ หน็ วา่ สมยั กอ่ นดอกกระเจยี วก็เกบ็ เอาท่รี ิมรั้วตดิ กับชานบ้าน แสดงวา่ อดุ มสมบรู ณม์ ากจรงิ ๆ อาหารจาํ พวกเน้อื สมยั อดีตไม่ค่อยได้กนิ หมู เป็ด ไก่ ววั ควาย มีมากมาย แต่ไมม่ ีใครฆา่ กิน อาจจะเป็นเพราะเคร่งศลี ธรรมก็ไดน้ านๆ ที เชน่ มีงานบุญ บญุ กฐิน บุญพระเวส ฆ่าทหี นง่ึ ผทู้ ีฆ่ ่าขายกห็ า ยากเตม็ ทีฆา่ แล้วกไ็ มค่ อ่ ยมผี ซู้ ้อื 40 ปมี าแลว้ เนอื้ ววั ควายราคาถูกมาก ซอื้ 10 บาท ได้เน้ือ 1 หาบ หมูโตเต็มทีต่ วั ละ 200 บาท ไกต่ ัวใหญ่ตวั ละ5 บาท ในสมยั ปจั จบุ ันได้เปลย่ี นแปลงไปมาก ผูค้ นมากข้ึนของ กินกห็ ายากระบบการซ้อื ขายเขา้ มา ผคู้ นจึงหาซ้อื กนั ที่ตลาดเป็นส่วนมาก อุปนสิ ยั ในการกินชาวผู้ไทมีอปุ นสิ ยั ในการกินแบบเรียบงา่ ยและในการกนิ อาหารก็ เหมือนอีสานทั่วๆ ไป คือกินข้าวเหนียว นงั่ กนิ กับพน้ื ไม่มชี อ้ นกลาง ช้อน 2-3 คนั เปล่ยี นกนั ซดบาง ครอบครัวกก็ นิ ในห้องครวั บางครอบครวั ก็กินท่ีระเบียงหน้าบา้ นในปัจจุบนั มีการเปลยี่ นแปลงไปบา้ งบาง ครอบครัวท่มี ฐี านะดหี น่อยก็มโี ตะ๊ อาหาร (บางทกี ินขา้ วเจ้า) คือพยายามปรบั ตัวเหมือนกบั คนภาคกลาง ความเชื่อเกย่ี วกบั อาหารชาวผู้ไทยมคี วามเชือ่ เก่ียวกบั อาหารทจี่ ะตอ้ ง “คะลาํ ”เพราะมี ความเช่อื วา่ อาหารบางชนิดกินเขา้ ไปแล้วจะทาํ ใหผ้ ดิ ต่อโรค โดยเฉพาะ “แม่อยู่คาํ ”(ผู้หญงิ ทก่ี าํ ลังอยูไ่ ฟ)จะ | ภูมิปัญญาอาหารพื้นถิ่นผ้ไู ทในอสี าน
หนา้ | 65 กนิ แตข่ ้าวจ่ี หน่อข่า ผกั ตา่ งๆ ปูจี่ กบ เขียดยังพอกินไดแ้ ตใ่ นปัจจุบันน้ไี ดร้ ับการอบรมดา้ นโภชนาการ ความเชอ่ื กเ็ ปลีย่ นไปบ้างแลว้ แต่กระตา่ ยและเกง้ ในปจั จุบนั ก็ยังกินไม่ได้ ซ่งึ ถา้ กนิ เข้าไปแลว้ จะ“ผิดกรรม” อาหารพ้ืนบา้ นผู้ไท น่นั กค็ อื ขน้ั ตอน วิธีการ เครื่องปรุง ส่วนประกอบ ต้องมาจากผู้มิ ปญั ญาของชาวผู้ไททที่ ํากันมาตง้ั แต่อดีตอาหารประเภทอ่อม ชาวผ้ไู ทเราน้ันมกั จะใชธ้ รรมชาติทอ่ี ยู่รอบตวั มาปรุงเปน็ อาหาร เช่น ออ่ มบอน มใี บบอนออ่ นมะกอก หนังควายจที่ ี่ทบุ แลว้ ขั้นตอนการทาํ น้ัน จาํ ไม่คอ่ ยได้ แล้วรู้แต่วา่ อ่อมบอนท่เี คยกนิ ตอนเด็กนน้ั อรอ่ ยมาก ชนดิ นํา้ ลายสอเมือ่ ไดก้ ลิน่ แกงผกั หวาน อาหารชั้นสงู ทเ่ี รยี กว่าช้ันสูง เพราะผกั หวานขึน้ บนเขาท่ีสงู หายาก แดด รอ้ น และอร่อย สมควรเปน็ อาหารชัน้ สงู ใส่ไขม่ ดสม้ (ไข่มดแดง) ดว้ ยแลว้ เวลาเคยี้ วไขแ่ ตกในปาก รสชาติ อร่อย ซบุ มะม่ีมะม่หี รือขนนุ อาหารอีกอยา่ งที่มกั จะทํากนิ กนั ตอนหาอะไรกินไมไ่ ด้ แตเ่ วลาปรงุ แล้ว รสชาตอิ รอ่ ย ลาบไข่มดสม้ (ไขม่ ดแดง)อาหารชั้นสงู อกี อยา่ ง ไข่มดส้ม(ไข่มดแดง) ท่ภี าคอสี านจะ สะอาด ปลอดภยั ไรส้ ารเคมี ซ่ัวไก่อาหารผูไ้ ททีไ่ ม่เคยเห็นคนถน่ิ อื่น ต้องตม้ ไกใ้ หส้ ุกก่อน แลว้ ฉีกเนอ้ื ไกเ่ ปน็ ชิ้นพอคํา ปรุงรสด้วย น้ําปลา ผงชูรส พรกิ ผกั แกงหอย หมกหน่อไม้ คว่ั จีล่ ้อนาํ้ พริก ผกั จ้ิม นาํ้ พรกิ ชาวผู้ไทแตเ่ ดิมนนั้ จิ้มกนิ กับผกั โดยนําผกั มาตาํ ใส่นํ้าปลา จมิ้ ได้สารพดั การกิน เร่อื งการกินชาวผไู้ ทนบั วา่ เปน็ ผ้ทู ี่กนิ งา่ ยท่ีสุดไมค่ อ่ ยพถิ ีพิถนั ในเร่อื งการกินขอให้ มีขา้ วเหนียวไวใ้ นกระติบกพ็ อ“หนอ่ ไมเ้ คม็ ”(หน่อไมห้ มกั เกลอื โรยขา้ วสารนิดๆ) ทอ่ี ยู่ในไหกินกับขา้ วเหนียว อิม่ ท้องแล้วอย่ไู ด้ ทาํ งานได้ หรอื ขา้ วเหนียวคลุกเกลอื หรือ “จาํ้ ปลาแดก”องึ่ อางกบ เขยี ด ทกุ ชนิด ผูไ้ ทกิน หมด แมลงต่างๆ นานาชนดิ ผไู้ ทยกินได้ (มยี กเวน้ บางชนิด)อยา่ งแมลงเม่ามาตอมไฟผู้ไทยเอาน้ําใสก่ ะละมัง มารองเมื่อได้มากแลว้ เอาไปคัว่ โรยเกลือกินกับขา้ วไดด้ งั นนั้ เรือ่ งอาหารการกนิ ของผไู้ ทจึงไมค่ ่อยอด ภูมิปญั ญาอาหารพืน้ ถิ่นผไู้ ทในอสี าน |
หน้า | 66 แหล่งทมี่ าของอาหารการกนิ ชาวผูไ้ ทเป็นชนเผา่ ท่พี ิถพี ิถนั ในเรือ่ งการเลือกทําเลทีจ่ ะตงั้ หมู่บา้ น มาก จะต้องเป็นทีร่ าบใกล้ผเู้ ขาหรอื แหลง่ นํา้ “ ฮนึ่ ผู้เฮอ่ ได้กะแต๋กะเฮาะเลาะฮิมโห้ยเฮ่อได้ผักต๋าเปะ้ ผกั หนามลงเนอ่ น้ําเฮ่อได้ปา๋ ปู๋จ้งุ (ก้งุ ) หอย ”(ขึ้นผู้ใหไ้ ดก้ ระแตกระรอก เลาะรมิ ห้วยใหไ้ ด้ผกั หนามลงน้ําให้ ได้ปลา ปู กุง้ หอย) ในอดีตแหลง่ อาหารกใ็ กล้บ้านนนั่ เอง พวกสัตวบ์ กสัตวน์ าํ้ มีมากมาย เกง้ หมูปา่ กระรอก กระแต มีให้เห็นอยทู่ ุกวัน แต่ว่าสมัยน้ันเครื่องมือจับสตั วย์ งั ไมท่ ันสมยั มีแต่หนา้ ไมย้ งิ กระรอกกระแต อยากกินหมู ปา่ หรือเกง้ ตอ้ งระดมชายฉกรรจ์ทง้ั หมู่บ้านออกลา่ ใครมปี นื แกป็ (ซึ่งหายากเตม็ ที) ก็เอาไป ใครมีหอกกเ็ อา หอกบางครัง้ กใ็ ช้ “เปา๊ ะน้าง”(ดกั ตาขา่ ย) พากันไล่ หมูป่าหรือเกง้ ตะล่อมใหไ้ ปตดิ ตาข่ายแลว้ ใช้หอกแทง กวา่ จะไดม้ ากล็ ําบากพอสมควร สัตว์น้ํา ปู กุ้ง หอย หาได้งา่ ย ปลามกี ินบ่อยตอนหนา้ ฝน หนา้ แล้งกอ็ าศยั การทอดแห แหสมยั นนั้ สานดว้ ยด้ายทแี่ มบ่ า้ นปั่นให้เส้นใหญเ่ ทอะทะ หว่านลงไปจะจม ชา้ ไม่ค่อยจะทนั ปลาใหญ่ กบเขียด อง่ึ อ่างในหน้าฝนมีมากมาย คนื ฝนตก กบเขียด อ่ึงอา่ ง รอ้ งก็ออกไปจบั แตไ่ ม่ไดม้ าก เพราะไฟทจ่ี ะส่องก็ใชไ้ ฟ “กะบอ๋ ง” (ใต)้ แสงไม่สวา่ งเหน็ ไมไ่ กล พชื ผกั ต่างๆ มีมาก ทง้ั พชื บ้าน พชื สวน พชื ปา่ พืชบา้ นไดแ้ ก่ ผักกมุ่ กระถิ่น ตําลึง ฯลฯ พชื สวนก็มี ยอดบวม ยอดฟกั ทองเผอื ก มัน เปน็ ต้น พชื ป่าก็มีผกั หวาน เหด็ ตา่ งๆ ท่ีกินได้ หนอ่ ไม้ดอกกระเจยี ว มีผญาคาํ สอนบทหน่ึงวา่ “อย่าไปเ๋ กบ็ ดอกหวา่ นบา้ นเพน๋ิ มาบ๋านเฮอ่ เจ้ายนื๋ งอยชานเก็บดอกกะเจ๋วฮิมโฮ้ ” (อยา่ ไปเกบ็ ดอกหว่านบา้ นอื่นมาบา้ น ใหเ้ จา้ ยืนท่ีชานเกบ็ ดอกกระเจียวรมิ รวั้ ) ชี้ใหเ้ หน็ วา่ สมยั ก่อนดอก กระเจียวก็เกบ็ เอาท่รี ิมรัว้ ติดกับชานบ้าน แสดงว่าอุดมสมบรู ณ์มากจรงิ ๆ อาหารจําพวกเนือ้ ไมว่ ่าจะเป็นไก่ หมู ววั ควาย สมัยอดีตไม่ค่อยได้กนิ หมู เป็ด ไก่ ววั ควาย มี มากมาย แตไ่ มม่ ใี ครฆา่ กิน อาจจะเปน็ เพราะเครง่ ศลี ธรรมกไ็ ดน้ านๆ ที เช่น มีงานบญุ บญุ กฐนิ บญุ พระเวส ฆา่ ทหี นึ่งผู้ทฆี่ า่ ขายกห็ ายากเตม็ ทฆี า่ แล้วกไ็ มค่ ่อยมผี ู้ซ้อื 40 ปีมาแลว้ เนอื้ วัวควายราคาถูกมาก ซือ้ 10 บาท ได้เนื้อ 1 หาบ หมโู ตเตม็ ทตี่ ัวละ 200 บาท ไกต่ วั ใหญต่ ัวละ 5 บาท ในสมยั ปจั จบุ ันได้ เปล่ียนแปลงไปมาก ผู้คนมากขนึ้ ของกินก็หายาก ระบบการซ้ือขายเขา้ มา ผ้คู นจงึ หาซ้อื กนั ทตี่ ลาดเป็น สว่ นมากแต่ผูท้ ่ขี ยนั หาจรงิ ๆ กห็ าไดพ้ อกินพอขายด้วย การปรุง ผู้ปรงุ การปรงุ อาหารกต็ ามหลกั การปรงุ อาหารทวั่ ๆ ไป คอื จะขาดปลาแดก ไม่ได้ และอาหารผู้ไทจะออกไปทางรสจัดๆ การปรงุ ก็แบบง่ายๆ ไม่ต้องกาํ หนดมาตรฐานสว่ นอาหารบาง | ภมู ปิ ัญญาอาหารพนื้ ถิ่นผูไ้ ทในอีสาน
หน้า | 67 ชนิด เช่น กอ้ ยเน้อื ก้อยปลาการปรงุ ไมต่ ้องใชไ้ ฟเลย กนิ กันดิบๆ แต่ใสเ่ คร่ืองเทศครบหอมน่ากนิ มากจนมี คาํ พูดหลอกกันเลน่ วา่ เวลาปรุงกอ้ ยห้ามสูบบรุ ่ี หรือเอาตะเกยี งมาใกล้ กลัวเนื้อจะสกุ ส่วนผปู้ รงุ อาหารน้นั สว่ นใหญเ่ ปน็ หนา้ ท่ีของผหู้ ญิง มีผู้ชายมาช่วยบา้ งบางคราว เชน่ การปรุงกอ้ ยส่วนมากจะเป็นผู้ชาย ในปัจจุบันมีการเปลีย่ นแปลงไปบา้ งเลก็ นอ้ ย สว่ นที่เปลย่ี นแปลงกค็ อื การกินสุกๆ ดบิ ๆ ลดลงประมาณ 5-10% เนอื่ งจากการรณรงคไ์ ม่ใหก้ นิ สกุ ๆ ดิบๆ โดยเฉพาะปลา อกี ประการหนง่ึ การปรงุ อาหารในปัจจุบนั นกี้ ็ถกู หลกั โภชนาการมากขึน้ เนอ่ื งจากได้รบั ความร้จู ากลูกหลานท่เี ลา่ เรียนมาและไดร้ ับ การอบรมดา้ นโภชนาการ จากหน่วยงานสาธารณสุขประจําอําเภอและตําบล ความเช่อื เก่ยี วกับอาหารชาวผู้ไทยในอดตี น้นั มคี วามเชือ่ เกย่ี วกับอาหารท่จี ะตอ้ ง “คะ ลํา” เพราะมีความเชื่อวา่ อาหารบางชนิดกินเขา้ ไปแล้วจะทําใหผ้ ิดต่อโรค โดยเฉพาะ “แมอ่ ยู่คํา” (ผหู้ ญิงท่ี กาํ ลงั อยูไ่ ฟ) จะกินกระต่ายและเกง้ ไมไ่ ดแ้ ม่อยไู่ ฟนจ้ี ะ “คะลํา” ถีม่ ากตอนอยู่ไฟ จะกินแตข่ ้าวจี่หน่อขา่ ผัก ต่างๆ (บางคนก็กนิ ชะอมไม่ได้) ปูจ่ีกบ เขียดยังพอกินไดแ้ ต่ในปจั จุบันนไ้ี ดร้ บั การอบรมด้านโภชนาการ ความเช่ือกเ็ ปล่ยี นไปบา้ งแล้วแตก่ ระต่ายและเก้งนใี้ นปจั จุบันแมอ่ ยู่ไฟกย็ ังกินไม่ได้ ซง่ึ ถ้ากินเขา้ ไปแล้วจะ “ผิดกรรม”คือ วิงเวียนปวดศรี ษะ เจบ็ ไข้ไปทันทีต้องหายา(สมนุ ไพร) มาแก้(ปทุมทิพย์ ม่านโคกสงู , :2549 ) บทสรุป ในปจั จุบนั น้ีชนชาติพนั ธ์ผู้ไททย่ี ังคงอาศยั อยูแ่ ละท่ยี ังคงรกั ษาเอกลักษณ์ของตนเองไวไ้ ด้อย่างดี คือ ชนชาวผู้ไทในภาคอสี าน เพอ่ื เป็นแหล่งเรียนร้แู ละแหล่งท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมทมี่ ีคุณค่าความเปน็ อตั ลกั ษณ์ท่ีโดดเด่นทางสงั คม วัฒนธรรมประเพณี เครื่องแตง่ กาย ภาษา อาหาร และความเชอ่ื ของชาวผู้ ไทในภาคอสี าน วฒั นธรรมทีส่ ะทอ้ นอตั ลกั ษณ์คนผไู้ ทในหลายๆ เร่อื งได้แก่ 1. การสะท้อนวิถีวัฒนธรรมการทอผ้าใชเ้ อง ต้ังแตก่ ารเพาะปลกู ฝา้ ยจนถงึ การผลติ เป็น เคร่อื งนุ่งห่มชนชาวผไู้ ทมอี ัตลักษณ์ท่ีโดดเด่นเรื่องการทอผ้า ผา้ ที่มีชอ่ื มากท่ีสดุ คอื ผ้าไหมแพรวาท่บี ้านโพน อ.คาํ ม่วง จ.กาฬสินธ์ุ 2.สะทอ้ นวัฒนธรรมการเก้ยี วพาราสีขอคนหนุ่มสาวจนถึงการแต่งงาน ด้วยคนผู้ไทจะมี ข้อห้ามในเรอื่ งการแตง่ งานในสายเลอื ดชดิ หลายชัว่ ชัน้ อายุ การลงข่วงทาํ ใหม้ พี ื้นที่สาธารณะใหค้ นหนุ่มสาว มาพบกนั ภูมปิ ญั ญาอาหารพน้ื ถิ่นผูไ้ ทในอสี าน |
หนา้ | 68 3.เช่ือมโยงสู่การแตง่ งานมีครอบครัว จะมพี อ่ ล่ามแม่ล่ามเปน็ คนกลางของครอบครัวใหม่ ชนชาวผไู้ ท 4.สะท้อนวถิ ีการแตง่ กายทีส่ วยงาม มีเอกลักษณอ์ ตั ลกั ษณ์ทส่ี ะทอ้ นตวั ตนความเป็นคน ชนชาวผู้ไท 5.ดนตรสี นุ ทรยี ะการลงขว่ งทาํ ให้คนหนมุ่ สาวมีพ้นื ทแ่ี สดงออกทางดนตรสี นุ ทรียะของ ชนชาวผู้ไท 6.ลกั ษณะการตัง้ ถิน่ ฐานบ้านเมืองคนชาวผ้ไู ทนิยมตั้งถ่ินฐานในลกั ษณะทเี่ ปน็ ทร่ี าบลมุ่ เชิงเขา (ผู้) พนื้ ที่นาเป็นท่ลี ่มุ พื้นที่เขา (ผู้) ใชเ้ ลีย้ งสตั ว์ หาอาหารหาของป่า 7.ภาษาผไู้ ทเป็นภาษาที่แตกตา่ งจากภาษาลาวหรอื ภาษาอสี านทั่วไปสงั เกตได้ชัดเจนวา่ จะมี สระเออ มากเลยทเี ดยี ว เช่น เจอ (ใจ) เพอ (ใคร) เมอ (กลบั ) แมงกะเบ้อ (ผเี ส้ือ) 8.ที่พิเศษ คือ อัตลักษณท์ างดา้ นอาหารท่ีแตกตา่ งไปจากคนภาคอสี านโดยทัว่ ไป ทม่ี ี ประโยชน์ ควรค่าแกก่ ารสืบทอดให้คงอยู่ เช่น ซว่ั ไก่ อ่อมผกั เสย้ี น ขา้ วต้มขา้ วโพด และอกี หลากหลาย ปัจจัยที่มีอิทธพิ ลต่อการเปล่ียนแปลงวฒั นธรรมในการบรโิ ภคอาหารของชาวผ้ไู ทแบง่ ออกเป็นด้านตา่ งๆ พบวา่ ด้านเศรษฐกิจ ไดแ้ ก่ การอพยพ แรงงาน การผลติ เพอ่ื ยังชพี เป็นการผลติ เพอื่ การค้า การสง่ เสรมิ การ รวมกลุม่ สตรีประกอบอาชพี ของ หน่วยงานภาครัฐ การพัฒนาระบบการตลาดและธรุ กจิ อาหารเป็นตน้ และดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม ได้แก่ วถิ ีชีวิตใหมแ่ บบเมอื งการแตง่ งานข้ามเผ่าพนั ธุ์ครอบครัวแยกขนาดเล็ก สถาบันครอบครัวและเครือญาตลิ ดบทบาท การขาดความภมู ิใจในชาติพนั ธ์ุ การขาดจิตสํานึกใน การอนุรกั ษ์ ค่านยิ มชาติพนั ธ์ุท่ีมขี นาดใหญ่ จะเหน็ วา่ ภมู ิปัญญาท้องถิน่ เหลา่ นกี้ าํ ลังจะถกู ละเลยและ มีโอกาสขาดผสู้ ืบทอดในคนร่นุ ตอ่ ไป เน่ืองจากในปัจจบุ นั สงั คมได้เปล่ียนแปลงไปตามยคุ สมัยซึง่ มีการสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความเปล่ียนแปลงชวี ติ ของคนในชุมชนการอนรุ ักษ์ภมู ิปัญญาทอ้ งถน่ิ ใหด้ าํ รงคงอย่ไู ดอ้ ย่างยัง่ ยืนคกู่ ับชุมชนสังคมไดส้ ืบต่อไปจงึ เป็นจิตสาํ นกึ ทที่ ุกคนในสังคมชุมชนทอ้ งถนิ่ ต้องสร้างสมใหเ้ กิดขึ้นอยา่ งเปน็ รูปธรรม เพอ่ื ปกป้องรกั ษามรดก ทางภูมปิ ญั ญาของบรรพบุรุษให้เจรญิ ม่นั คง อย่างย่งั ยืนสบื ต่อไป | ภมู ปิ ญั ญาอาหารพื้นถ่นิ ผูไ้ ทในอีสาน
หนา้ | 69 ผูเ้ ขยี นไดเ้ ล็งเหน็ ความสําคัญว่าควรมกี ารอนรุ ักษ์วัฒนธรรมภมู ปิ ญั ญาพ้ืนถ่นิ อันเป็นอตั ลักษณข์ องชนชาวผู้ ไท และวถิ ชี ีวิตเหล่านีเ้ อาไวเ้ พือ่ ให้เป็นแหล่งเรยี นรเู้ ป็นแหลง่ ถ่ายทอดประสบการณค์ วามรู้ดา้ นวัฒนธรรม และภมู ปิ ญั ญาไปสู่รุน่ ลกู หลานต่อไป รูปภาพ ภูมปิ ัญญาอาหารคาวหวานของชาวผู้ไท ภมู ิปญั ญาอาหารพน้ื ถิน่ ผไู้ ทในอสี าน |
หนา้ | 70 รปู ภาพ พาข้าวอาหารผไู้ ท1 ทมี่ า https://www.gotoknow.org/posts/482173 รปู ภาพ อาหารผูไ้ ท2 ทีม่ า http://oknation.nationtv.tv/blog/numsunjon/2009/05/13/entry- 1/comment | ภมู ปิ ัญญาอาหารพ้นื ถิ่นผ้ไู ทในอีสาน
หนา้ | 71 บทที่ 4 ภูมิปญั ญาอาหารพ้นื ถิ่นชาวผูไ้ ท อาหารคาวประเภทแกง , ต้ม 1. ช่ืออาหาร แกงหน่อไม้ 6. หนอ่ ไม้ ทุบพอแตก ส่วนประกอบ ผักชะอม 1. เนื้อไกห่ รอื เนอ้ื หมูหรอื เนอื้ ปลา 2. นา้ ยา่ นาง 7. 8. ผักชะแงะ 3. ใบแมงลัก 9. ข้าวเบอื 2ช้อนโต๊ะ 4. ผักก้านตง 10. เหด็ 5. ยอดฟักทองและฟักทองห่ันเป็นชิ้นๆ รูปภาพ ส่วนประกอบหน่อไม้ ภมู ิปญั ญาอาหารพ้ืนถ่ินผู้ไทในอสี าน
หนา้ | 72 รูปภาพ ผกั ซะแงะ รูปภาพ ใบย่านาง ภูมปิ ญั ญาอาหารพ้นื ถิ่นผ้ไู ทในอสี าน
หนา้ | 73 รปู ภาพ ขา้ วเบือ กระบวนการและขน้ั ตอนการประกอบอาหาร 1. ปลอกหนอ่ ไม้ ภูมปิ ัญญาอาหารพื้นถ่นิ ผู้ไทในอสี าน
หนา้ | 74 รูปภาพ หน่อไม้ทปี่ ลอกแล้ว 2. เอาหนอ่ ไมท้ ่ปี ลอกแล้วมาทบุ พอแตก 3. ต้มหนอ่ ไม้ในน้าเดือดพอประมาณ 10-15นาที ยกลงเทน้าออก ภูมิปัญญาอาหารพ้นื ถนิ่ ผไู้ ทในอีสาน
หนา้ | 75 ภมู ิปัญญาอาหารพ้ืนถน่ิ ผ้ไู ทในอีสาน
หนา้ | 76 รปู ภาพ หนอ่ ไมท้ ี่ตม้ แล้วพกั ไว้ ภมู ิปญั ญาอาหารพ้นื ถ่นิ ผไู้ ทในอสี าน
หนา้ | 77 4. โขลกใบยา่ นางกบั ข้าวเบือจนละเอยี ด ภูมิปญั ญาอาหารพืน้ ถิ่นผ้ไู ทในอีสาน
หนา้ | 78 5. น้าใบย่านางทีโ่ ขลกละเอยี ดแล้วไปละลายในน้า ภมู ิปญั ญาอาหารพน้ื ถ่นิ ผ้ไู ทในอสี าน
หนา้ | 79 6. แลว้ เทน้าใบย่านางใส่หม้อหน่อไม้ ให้เดอื ดประมาณ 10-15นาที ภมู ปิ ัญญาอาหารพน้ื ถิ่นผูไ้ ทในอสี าน
หนา้ | 80 7. ใส่เน้ือไก่ พอสุก แลว้ ใสฟ่ กั ทอง บวบ ชมิ รสชาตติ ามชอบแลว้ ใสใ่ บแมงลัก ผกั ชะแงะ ผักหวานบ้าน ผกั ก้านตง ผักชะอมแล้วยกลง รับประทาน ภมู ิปัญญาอาหารพื้นถน่ิ ผู้ไทในอีสาน
หนา้ | 81 รปู ภาพ แกงหน่อไมพ้ ร้อมเสริฟ เทคนิคเฉพาะของพืน้ ทชี่ นชาวผูไ้ ท หนอ่ ไมใ้ ชห้ น่อไม้ขนาดเลก็ และใช้วธิ กี ารทบุ แทนการฝานหรือห่ัน และผกั ท่ีใสใ่ ห้กล่นิ หอมน่า รับทานท่ขี าดไม่ได้คอื ผกั สะแงะประโยชน์ท่ไี ด้รบั จากการรับประทานหน่อไม้ คอื รา่ งกายกจ็ ะถูกดดู ซมึ เข้าสู่กระแสเลอื ด ส่วนกากอาหารทีเ่ หลอื หรือสารพษิ ต่าง ๆ เชน่ ยาฆ่าแมลง โลหะหนกั ตา่ งๆหรอื พวก ไนไตรท์ ก็จะไปรวมกันทล่ี ้าไส้ใหญ่ นา้ ยา่ นาง เป็นยาถอนพษิ ผักหวานบ้าน เปน็ ยาแก้โรคตับ ภูมปิ ญั ญาอาหารพ้นื ถิน่ ผไู้ ทในอสี าน
หนา้ | 82 รูปภาพ ผกั สะแงะ ภมู ปิ ัญญาอาหารพ้นื ถิ่นผ้ไู ทในอสี าน
หนา้ | 83 2. ชือ่ อาหาร แกงหวาย 6. ไกห่ รอื หมู สว่ นประกอบ 7. ใบแมงลัก 8. เกลอื ป่น 1. หวาย (ลา้ ตน้ ออ่ น) 9. น้าปลา 2. ผกั สะแงะ 10. ขา้ วเบือ 3. พรกิ สด 4. นา้ ใบยา่ นาง 5. ฟกั ทอง รปู ภาพ ส่วนประกอบแกงหวาย ภมู ปิ ัญญาอาหารพ้นื ถ่นิ ผ้ไู ทในอสี าน
หนา้ | 84 กระบวนการและข้ันตอนการประกอบอาหาร 1. หวายปอกเปลอื กและหนามแหลมออกเลือกแต่ลา้ ต้นออ่ น ภมู ปิ ัญญาอาหารพื้นถน่ิ ผู้ไทในอสี าน
หนา้ | 85 2. ตัดเป็นชนิ้ ๆ แชน่ ้าไวไ้ มใ่ ห้หวายด้า รูปภาพ หวาย ปอกและห่นั เป็นช้ินๆ ภูมิปญั ญาอาหารพ้นื ถ่นิ ผ้ไู ทในอสี าน
หนา้ | 86 3. ตม้ หวายใส่ปลารา้ และไม่เทน้าออกชนผไู้ ทยไม่นยิ มตม้ ก่อนเพราะชอบรสขมเน่อื งจากเชอื่ วา่ เปน็ ยา 4. นา้ ขา้ วเบอ่ื ทโ่ี ขลกกบั ใบย่านางเขา้ ดว้ ยกนั ไปละลายนา้ กรองเอาแตน่ ้า ใส่หม้อตม้ จนเดือด ขา้ วเบอ่ื ทา้ ใหน้ า้ แกงข้น ภมู ปิ ัญญาอาหารพื้นถน่ิ ผู้ไทในอสี าน
หนา้ | 87 ภมู ิปัญญาอาหารพ้ืนถน่ิ ผ้ไู ทในอีสาน
หน้า | 88 5. จากนั้นปรุงรสดว้ ยนา้ ปลา (ใสน่ า้ ปลารา้ ดว้ ย) ใสผ่ กั สะแงะ (ผกั พน้ื บ้านช่วยแต่งกลิ่น) ตาม ด้วยใบแมงลกั ภมู ปิ ัญญาอาหารพืน้ ถน่ิ ผ้ไู ทในอสี าน
หน้า | 89 รปู ภาพ แกงหวาย เทคนิคเฉพาะของพ้ืนท่ชี นชาวผไู้ ท แกงหวาย เป็นอาหารจานเด็ดจานหน่งึ ที่จะต้องมีอยูใ่ นสา้ รับของชาวผูไ้ ทเปน็ อาหารแหง่ ชาติ พันธ์ของชาวผู้ไทกว็ า่ ได้ ผู้ไทเปน็ คา้ ทใ่ี ช้เรยี กตัวเองของกลุ่มคนทอี่ าศยั อย่ใู นบริเวณล่มุ แมน่ ้าน้าโขง ซ้งึ แตเ่ ดิมน้นั มถี ิ่นฐานอยู่ในประเทศลาวต่อมาชาวผไู้ ทได้เขา้ มาตั้งรกรากในประเทศไทย โดยเฉพาะใน จังหวัดสกลนคร จังหวัดมุกดาหารและจังหวดั อดุ รธานี ชมุ ชนผ้ไู ทมวี ิถีชวี ติ ทผ่ี กู พันกับป่าเพราะพ้นื ปา่ เปน็ แหลง่ อาหารทส่ี า้ คัญของชาวผไู้ ท ทั้งเนือ้ สัตว์ พชื ผักจากปา่ ภูมิปัญญาอาหารพืน้ ถิ่นผู้ไทในอสี าน
หนา้ | 90 รูปภาพ หน่อหวาย ภมู ปิ ัญญาอาหารพ้นื ถิ่นผ้ไู ทในอีสาน
หนา้ | 91 3. ชือ่ อาหาร แกงหมากมี้ 6. ไกห่ รอื หมู สว่ นประกอบ 7. พริกสด 8. น้าใบยา่ นาง 1. หมากม้ี (ขนนุ ออ่ น) 9. ใบอเี ลิศ 2. ใบแมงลกั 10. ชะอม 3. เกลอื ป่น 4. น้าปลา 5. ข้าวเบอื รูปภาพ สว่ นประกอบแกงหมากม้ี ภูมปิ ัญญาอาหารพ้นื ถ่นิ ผไู้ ทในอสี าน
หนา้ | 92 กระบวนการและข้นั ตอนการประกอบอาหาร 1. เลอื กขนุนทย่ี ังไมแ่ กจ่ ดั เอามาปอกเปลือกออก ภูมิปญั ญาอาหารพนื้ ถิน่ ผไู้ ทในอสี าน
หนา้ | 93 2. ลา้ งนา้ หั่นเปน็ แวน่ แลว้ เอามาสับเป็นชนิ้ ๆเลก็ พอคา้ ภูมปิ ญั ญาอาหารพื้นถ่ินผไู้ ทในอสี าน
หนา้ | 94 2. เอานา้ ใส่หม้อพอประมาณ โขลกพรกิ ใสใ่ นหมอ้ เอาขนนุ ใสล่ งตม้ ให้เดอื ด ภมู ิปัญญาอาหารพืน้ ถน่ิ ผู้ไทในอสี าน
หนา้ | 95 4. แล้วไปปดิ ฝาหม้อต้มตอ่ จนเดอื ดอีกครัง้ จนน้าในหมอ้ ลดลงเหลือครง่ึ หน่ึง 5. โขลกใบย่านางใสข่ ้าวเบือละลายน้าใสล่ งไปในหม้อตม้ ต่อ ภูมปิ ัญญาอาหารพื้นถนิ่ ผู้ไทในอสี าน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200