การแพทย์ในพระไตรปฎิ ก 51 [๑๒๗] วาเสฏฐะและภารทวาชะ สมยั นัน้ การเสพเมถุนธรรมอันเป็นเหตุใหถ้ ูกขวา้ งฝนุ่ ใสเ่ ปน็ ต้นนนั้ ถอื วา่ เปน็ เรอื่ งไมด่ ี แตบ่ ดั นถี้ อื วา่ เปน็ เรอื่ งธรรมดา สมยั นนั้ เหลา่ สตั วผ์ เู้ สพเมถนุ ธรรม ไมไ่ ดเ้ ขา้ ไปยงั หมบู่ า้ น หรอื นคิ มตลอด ๑ เดือนบ้าง ๒ เดือนบา้ ง เนอ่ื งจากสตั วเ์ หลา่ นน้ั ตอ้ งการเสพอสทั ธรรมเกินเวลา ตอ่ มาจึง พากนั สรา้ งเรอื นขนึ้ เพอ่ื ปกปดิ อสทั ธรรมนนั้ สตั วบ์ างคนเกดิ ความเกยี จครา้ นจงึ มคี วามเหน็ อยา่ งนวี้ า่ ‘ทา่ น ผู้เจริญ เราน้ีช่างล�ำบากเสียจริง ท่ีต้องน�ำข้าวสาลีมาเพ่ือเป็นอาหารเย็นในตอนเย็น และเพื่อเป็นอาหาร เช้าในตอนเช้า ทางท่ดี ี เราควรน�ำขา้ วสาลีมาครงั้ เดียวให้พอเพือ่ เป็นอาหารเช้าและอาหารเยน็ ’ ตอ่ แต่นัน้ มา สัตวน์ ้ันกน็ �ำขา้ วสาลีมาเพียงครัง้ เดียว เพื่อเป็นอาหารเยน็ และอาหารเชา้ คร้ังหนงึ่ สัตวผ์ ูห้ นงึ่ เข้าไปหา สัตว์นั้นถึงท่ีอยู่ แล้วได้ชักชวนว่า ‘มาเถิดท่านผู้เจริญ พวกเราไปเก็บข้าวสาลีกันเถิด’ สัตว์น้ันจึงตอบว่า ‘อยา่ เลย ทา่ นผ้เู จรญิ เรานำ� ขา้ วสาลมี าครง้ั เดยี วพอเพอื่ เปน็ อาหารเยน็ และอาหารเชา้ แลว้ ’ ต่อมา สตั วน์ น้ั จึงถือแบบอย่างสัตวค์ นแรก นำ� ขา้ วสาลีมาคร้ังเดยี ว พอเพ่อื เป็นอาหารถงึ ๒ วัน ดว้ ยกล่าวว่า ‘เออ อยา่ ง นก้ี ็ดีเหมือนกันนะท่าน’ตอ่ มา สตั วอ์ กี ผหู้ นง่ึ จงึ เขา้ ไปหาสตั ว์คนที่ ๒ ถงึ ทอ่ี ยู่ กล่าวชวนสตั ว์คนนนั้ ว่า ‘มา เถิดท่านผ้เู จริญ พวกเราไปเก็บขา้ วสาลีกันเถิด’ สัตว์น้ันจงึ ตอบวา่ ‘อยา่ เลยทา่ นผู้เจรญิ เราน�ำขา้ วสาลมี า ครง้ั เดียวพอเพื่อเป็นอาหารถงึ ๒ วัน’ ต่อมา สัตว์นนั้ จึงถือเอาแบบอย่างสัตว์คนท่ี ๒ นำ� ข้าวสาลีมาคร้งั เดียวพอเพ่ือเป็นอาหารถึง ๔ วันด้วยกล่าวว่า ‘เออ อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะท่าน’ ต่อมา สัตว์อีกผู้หน่ึง เขา้ ไปหาสัตว์คนท่ี ๓ ถึงที่อยู่ กลา่ วชวนสัตวค์ นนั้นวา่ ‘มาเถดิ ท่านผเู้ จริญ พวกเราไปเก็บข้าวสาลีกันเถิด’ สตั วน์ นั้ จงึ ตอบวา่ ‘อยา่ เลยทา่ นผเู้ จรญิ เรานำ� ขา้ วสาลมี าครง้ั เดยี วพอเพอ่ื เปน็ อาหารถงึ ๔ วนั ’ ตอ่ มา สตั ว์ น้ันจึงถือแบบอย่างสัตว์คนท่ี ๓ น�ำข้าวสาลีมาคร้ังเดียวพอเพ่ือเป็นอาหารถึง ๘ วัน ด้วยกล่าวว่า ‘เออ อยา่ งนีก้ ็ดเี หมอื นกนั นะทา่ น’ เพราะสัตว์ทัง้ หลายพากนั บริโภคขา้ วสาลีท่ีส่งั สมไว้ ดงั นั้น ขา้ วสาลจี ึงมรี �ำ ห่อเมล็ดบา้ ง มีแกลบหุ้มเมล็ดบา้ ง ต้นท่ีถูกเกย่ี วแล้วก็ไมก่ ลบั งอกขึ้นอกี ความพรอ่ งได้ปรากฏให้เห็น จงึ ได้มขี า้ วสาลีเป็นหยอ่ ม ๆ การแบง่ ขา้ วสาลี [๑๒๘] วาเสฏฐะและภารทวาชะ คร้ังนนั้ สตั วเ์ หลา่ นั้นจงึ ประชุมกัน ครน้ั แล้วต่างพากนั ปรับทกุ ข์ว่า ‘ทา่ นผเู้ จรญิ บาปธรรมกป็ รากฏในสตั วท์ งั้ หลายแลว้ ดว้ ยวา่ ในกาลกอ่ น พวกเรานกึ คดิ อะไรกส็ ำ� เรจ็ ไดต้ าม ปรารถนา มปี ีตเิ ป็นภกั ษา มีรัศมีซา่ นออกจากรา่ งกาย เทย่ี วสัญจรไปในอากาศ อย่ใู นวิมานงดงาม สถติ อยู่ นานแสนนานสมยั หนง่ึ เมื่อลว่ งไปนาน ๆ เกดิ ง้วนดินลอยข้ึนบนน้ำ� ปรากฏแกพ่ วกเรา งว้ นดินนน้ั สมบูรณ์ ดว้ ยสี สมบรู ณ์ด้วยกล่ิน สมบูรณด์ ้วยรส พวกเรานัน้ ได้พากันใชม้ ือปน้ั งว้ นดนิ ให้เปน็ ค�ำๆ เพือ่ บริโภค เมื่อ พวกเราพากนั ใชม้ ือปน้ั ง้วนดินให้เป็นค�ำๆ เพือ่ บรโิ ภคอยู่ รศั มีที่ซ่านออกจากร่างกายก็หายไป เมอ่ื รัศมที ่ี ซา่ นออกจากรา่ งกายหายไป ดวงจนั ทร์ ดวงอาทติ ย์ กป็ รากฏ เมอ่ื ดวงจนั ทร์ ดวงอาทติ ยป์ รากฏแลว้ ดวงดาว นักษัตรทง้ั หลายก็ปรากฏ เม่อื ดวงดาวนกั ษัตรท้งั หลายปรากฏแล้ว กลางคืนกลางวัน ก็ปรากฏ เม่ือกลาง คนื กลางวนั ปรากฏแลว้ เดอื นหนงึ่ ครง่ึ เดอื น กป็ รากฏ เมอ่ื เดอื นหนง่ึ ครงึ่ เดอื นปรากฏ ฤดแู ละปี กป็ รากฏ พวกเรานั้นบริโภคง้วนดินมีง้วนดินเป็นภักษา มีง้วนดินเป็นอาหาร ได้ด�ำรงอยู่นานแสนนาน เพราะบาป
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 52 อกุศล-ธรรมปรากฏ ง้วนดินของพวกเราจึงหายไป เม่ือง้วนดินหายไป สะเก็ดดินก็ปรากฏ สะเก็ดดินนั้น สมบรู ณ์ดว้ ยสี สมบูรณด์ ว้ ยกล่นิ สมบรู ณด์ ้วยรส พวกเรานั้นไดพ้ ากนั บริโภคสะเกด็ ดนิ พวกเรานน้ั บริโภค สะเกด็ ดินนน้ั มสี ะเก็ดดนิ นนั้ เปน็ ภกั ษา มีสะเก็ดดนิ นัน้ เปน็ อาหาร ไดด้ ำ� รงอยนู่ านแสนนาน เพราะบาป อกศุ ลธรรมปรากฏ สะเกด็ ดินของพวกเราจงึ หายไป เมอ่ื สะเกด็ ดินหายไป เครือดินก็ปรากฏ เครือดินนัน้ สมบรู ณ์ด้วยสี สมบรู ณด์ ว้ ยกลน่ิ สมบรู ณ์ด้วยรส พวกเรานั้นได้พากันบรโิ ภคเครอื ดนิ พวกเรานนั้ บรโิ ภค เครือดนิ นั้น มีเครอื ดินนน้ั เปน็ ภกั ษา มเี ครือดนิ นั้นเป็นอาหาร ไดด้ �ำรงอยู่นานแสนนาน เพราะบาปอกุศล ธรรมปรากฏ เครือดินของพวกเราจึงหายไป เมอ่ื เครือดนิ หายไป ขา้ วสาลอี ันผลผิ ลในทท่ี ี่ไมต่ อ้ งไถ ไมม่ รี �ำ ไมม่ แี กลบ บรสิ ทุ ธิ์ มกี ลน่ิ หอม มเี มลด็ เปน็ ขา้ วสาร กป็ รากฏ ทที่ พี่ วกเราเกบ็ เกย่ี วขา้ วสาลไี ปเพอ่ื เปน็ อาหาร เย็นในตอนเย็น ก็กลับมีข้าวสาลีงอกสุกข้ึนได้ในตอนเช้า ท่ีที่พวกเราเก็บเก่ียวข้าวสาลีไปเพ่ือเป็นอาหาร เช้าในตอนเช้า ก็กลับมขี ้าวสาลีงอกสุกข้ึนไดใ้ นตอนเย็น ความพร่องไมป่ รากฏเลย พวกเรานน้ั เม่ือพากัน บรโิ ภคขา้ วสาลซี งึ่ เกดิ สกุ เองในทท่ี ไี่ มต่ อ้ งไถ มขี า้ วสาลนี น้ั เปน็ ภกั ษา มขี า้ วสาลเี ปน็ อาหาร ไดด้ ำ� รงอยนู่ าน แสนนาน เพราะบาปอกศุ ลธรรมปรากฏ ขา้ วสาลขี องพวกเราจงึ มรี ำ� หอ่ เมลด็ บา้ ง มแี กลบหมุ้ เมลด็ บา้ ง ตน้ ทถ่ี กู เกยี่ วแลว้ กไ็ มก่ ลบั งอกขน้ึ อกี ความพรอ่ งไดป้ รากฏใหเ้ หน็ จงึ ไดม้ ขี า้ วสาลเี ปน็ หยอ่ มๆ ทางทดี่ ี เราควร แบง่ ขา้ วสาลแี ละปกั ปนั เขตแดนกนั เถดิ ’ ครงั้ นน้ั สตั วท์ ง้ั หลายจงึ พากนั แบง่ ขา้ วสาลแี ละปกั ปนั เขตแดนกนั [๑๒๙] วาเสฏฐะและภารทวาชะ ครง้ั น้ัน สตั ว์ผู้หน่ึงมีนิสยั โลภ รักษาส่วนของตนไว้แลว้ ถอื เอาสว่ น อ่นื ทีเ่ ขาไมใ่ ห้มาบริโภค คนทง้ั หลายจับเขาได้ จงึ กล่าววา่ ‘คณุ คุณท�ำกรรมชว่ั ท่ีรกั ษาส่วนของตนไวแ้ ลว้ ถอื เอาส่วนอนื่ ท่เี ขาไม่ให้มาบริโภค คุณอย่าท�ำกรรมช่วั อยา่ งน้ีอกี ’ สตั วน์ ั้นกร็ บั ค�ำแล้ว แมค้ ร้ังที่ ๒ สัตว์ นน้ั ...แม้ครง้ั ท่ี ๓ สัตวน์ นั้ กร็ ักษาสว่ นของตนไวแ้ ลว้ ถอื เอาส่วนอน่ื ท่เี ขาไม่ใหม้ าบรโิ ภค คนทง้ั หลายไดพ้ า กนั จับเขาแลว้ กล่าวค�ำน้ีวา่ ‘คณุ คุณทำ� กรรมชัว่ ท่รี กั ษาสว่ นของตนไว้แล้ว ถอื เอาส่วนอนื่ ท่ีเขาไมใ่ หม้ าบ รโิ ภค คณุ อยา่ ได้ทำ� อยา่ งนี้อีก’ คนเหล่าอนื่ ใช้ฝา่ มือบา้ ง กอ้ นดินบ้าง ทอ่ นไมบ้ า้ ง ทำ� ร้าย วาเสฏฐะและ ภารทวาชะ ในเพราะเร่ืองนั้นเป็นเหตุ การถือเอาส่ิงของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ จึงปรากฏ การครหา จึง ปรากฏ การพดู เทจ็ จึงปรากฏ การถือทณั ฑาวุธ จึงปรากฏ ๓. พระไตรปฎิ ก เลม่ ท่ี ๑๓ สตุ ตนั ตปฎิ กท่ี ๐๔ มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณั ณาสก์ ๘. มหาหัตถปิ โทปมสูตร ว่าดว้ ยอปุ มาด้วยรอยเท้าชา้ ง สตู รใหญ่ เปรียบเทยี บอรยิ สัจกบั รอยเท้าช้าง [๓๐๐] ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั มาอยา่ งน้ี สมยั หนง่ึ พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ พระเชตวนั อารามของอนาถ บณิ ฑกิ เศรษฐี เขตกรงุ สาวตั ถี ณ ทน่ี นั้ แล ทา่ นพระสารบี ตุ รไดเ้ รยี กภกิ ษทุ ง้ั หลายมากลา่ ววา่ “ทา่ นผมู้ อี ายุ
การแพทยใ์ นพระไตรปิฎก 53 ทงั้ หลาย” ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ รบั คำ� แลว้ ทา่ นพระสารบี ตุ รไดก้ ลา่ วเรอ่ื งนว้ี า่ “ทา่ นผมู้ อี ายทุ ง้ั หลาย รอยเทา้ ของ สตั วท์ งั้ หลายผเู้ ทย่ี วไปบนแผน่ ดนิ รอยเทา้ เหลา่ นนั้ ทง้ั หมดรวมลงในรอยเทา้ ชา้ ง รอยเทา้ ชา้ งชาวโลกกลา่ ว ว่า ‘เป็นยอดของรอยเท้าเหลา่ นัน้ เพราะรอยเท้าช้างเป็นรอยเท้าขนาดใหญ่’ แมฉ้ ันใด กุศลธรรมทงั้ หมด ก็ฉนั นน้ั เหมือนกันนบั เข้าในอรยิ สจั ๔” อรยิ สัจ ๔ อะไรบ้าง คอื ๑. ทุกขอรยิ สจั ๒. ทุกขสมุทยอรยิ สัจ ๓. ทกุ ขนโิ รธอรยิ สจั ๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏปิ ทาอริยสจั [๓๐๑] ทุกขอรยิ สัจ เปน็ อยา่ งไรคือ ชาติเปน็ ทกุ ข์ ชราเป็นทุกข์ มรณะเป็นทุกข์ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข์ โทมนสั และอปุ ายาส เปน็ ทุกข์ การไม่ไดส้ ่งิ ทต่ี อ้ งการ เป็นทกุ ข์ โดยย่อ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ ประการ เป็นทุกข์ อุปาทานขนั ธ์ ๕ ประการ อะไรบ้าง คอื ๑. รปู ูปาทานขนั ธ์ ๒. เวทนปู าทานขนั ธ์ ๓. สญั ญปู าทานขันธ์ ๔. สงั ขารูปาทานขันธ์ ๕. วิญญาณปู าทานขนั ธ์ รูปูปาทานขนั ธ์ อะไรบา้ ง คอื มหาภูตรูป ๔ และรูปท่ีอาศัยมหาภตู รปู ๔ มหาภตู รูป ๔ อะไรบ้าง คอื ๑. ปฐวีธาตุ ๒. อาโปธาตุ ๓. เตโชธาตุ ๔. วาโยธาตุ ปฐวีธาตุ [๓๐๒] ปฐวีธาตุ เปน็ อย่างไร คอื ปฐวีธาตภุ ายในก็มี ปฐวธี าตุภายนอกกม็ ี ปฐวธี าตุภายใน เป็นอยา่ งไร คือ อุปาทินนกรปู ๔๑ ภายในทเี่ ปน็ ของเฉพาะตน เป็นของแข้นแข็ง เป็น ของหยาบไดแ้ ก่ ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั เนอื้ เอน็ กระดกู เยอ่ื ในกระดกู ไต หวั ใจ ตบั พงั ผดื มา้ ม ปอด ไสใ้ หญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า หรืออุปาทินนกรูปภายในอื่นใด ที่เป็นของเฉพาะตน เป็นของแข้นแข็ง เป็นของหยาบ นเี้ รยี กวา่ ‘ปฐวธี าตุภายใน’ปฐวีธาตุภายใน และปฐวีธาตภุ ายนอกน้ี ก็เป็นปฐวธี าตนุ ัน่ เอง บณั ฑติ ควรเหน็ ปฐวธี าตนุ นั้ ตามความเปน็ จรงิ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบอยา่ งนวี้ า่ ‘นน่ั ไมใ่ ชข่ องเรา เราไมเ่ ปน็ นนั่ ๔๑ อปุ าทนิ นกรปู หมายถงึ รปู มีกรรมเปน็ สมุฏฐาน คำ� นีเ้ ปน็ ชือ่ ของรปู ท่ีดำ� รงอยภู่ ายในสรีระ ท่ยี ดึ ถอื จับตอ้ ง ลูบคลำ� ได้ เช่น ผม ขน ฯลฯ อาหารใหม่ อาหารเก่า ค�ำนีก้ ำ� หนดจ�ำแนกหมายเอาปฐวีธาตภุ ายใน แต่ส�ำหรับอาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ กม็ นี ัยเช่นเดยี วกัน พงึ ทราบความพิสดารในคมั ภรี ์วิสทุ ธมิ รรค (ม.ม.ู อ. ๒/๓๐๒/๑๓๐)
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแห่งการนวดไทย 54 นนั่ ไม่ใช่อตั ตาของเรา’ บณั ฑิตคร้นั เหน็ ปฐวธี าตนุ ้ันตามความเปน็ จริงด้วยปัญญาอนั ชอบอย่างนแี้ ล้ว ยอ่ ม เบื่อหน่ายในปฐวธี าตุ และทำ� จิตให้คลายกำ� หนัดจากปฐวธี าตุ เวลาที่อาโปธาตภุ ายนอกกำ� เริบย่อมจะมีได้ ในเวลานั้น ปฐวีธาตุภายนอกจะอันตรธานไป ปฐวีธาตุภายนอกซึ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นยังปรากฏเป็นของไม่ เท่ียง มีความส้ินไปเปน็ ธรรมดา มคี วามเสือ่ มไปเป็นธรรมดา มีความแปรผนั ไปเปน็ ธรรมดา ไฉนกายซงึ่ ตั้ง อย่ชู ั่วเวลาเล็กนอ้ ยนท้ี ี่ถูกตัณหาเขา้ ไปยึดถอื ว่า ‘เรา’ ว่า ‘ของเรา’ ว่า ‘เรามีอยู’่ จักไม่ปรากฏ เปน็ ของไม่ เท่ียง มีความสน้ิ ไปเป็นธรรมดา มีความเสือ่ มไปเป็นธรรมดา และมคี วามแปรผันไปเปน็ ธรรมดาเลา่ เม่ือเป็นเช่นนี้ ภิกษุน้ันก็ไม่มีความยึดถือในปฐวีธาตุภายใน น้ีหากชนเหล่าอื่นจะด่า บริภาษ เกร้ียว กราด เบยี ดเบยี นภกิ ษุน้ัน ภกิ ษนุ ้ันรชู้ ดั อยา่ งน้วี ่า ‘ทุกขเวทนาอนั เกดิ จากโสตสมั ผัสนี้ เกิดขึน้ แลว้ แก่เรา แต่ทุกขเวทนานั้นอาศัยเหตุจึงเกิดขึ้นได้ ไม่อาศัยเหตุก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ทุกขเวทนาน้ีอาศัยอะไรจึงเกิดข้ึน ได้ ทุกขเวทนาอาศยั ผัสสะจงึ เกดิ ข้ึนได้’ ภกิ ษนุ ัน้ ย่อมเหน็ ว่า ‘ผสั สะไมเ่ ทยี่ ง เวทนาไม่เทีย่ ง สญั ญาไมเ่ ทยี่ ง สงั ขารท้ังหลายไม่เทย่ี ง วิญญาณไมเ่ ทยี่ ง’ จติ ของภกิ ษุนน้ั ยอ่ มด่งิ ไป ยอ่ มผอ่ งใส ด�ำรงม่นั และน้อมไปใน อารมณ์ คอื ธาตนุ ัน่ แล หากชนเหล่าอื่นจะพยายามท�ำรา้ ยภิกษุนัน้ ดว้ ยอาการทไี่ มน่ ่าปรารถนา ไมน่ า่ ใคร่ ไมน่ า่ พอใจ คอื ดว้ ยการทำ� รา้ ยดว้ ยฝา่ มอื บา้ ง การทำ� รา้ ยดว้ ยกอ้ นดนิ บา้ ง การทำ� รา้ ยดว้ ยทอ่ นไมบ้ า้ ง การ ท�ำร้ายด้วยศัสตราบ้าง ภิกษุนั้นรู้ชัดอย่างน้ีว่า ‘กายน้ีเป็นท่ีรองรับการท�ำร้ายด้วยฝ่ามือบ้าง การท�ำร้าย ดว้ ยก้อนดินบา้ ง การท�ำร้ายด้วยทอ่ นไม้บา้ ง การท�ำรา้ ยด้วยศัสตราบา้ ง’ อนง่ึ พระผมู้ พี ระภาคได้ตรัสไว้ ในพระโอวาทท่ีอุปมาด้วยเล่ือยว่า ‘ภิกษุท้ังหลาย หากพวกโจรผู้ประพฤติตำ่� ทรามจะพึงใช้เล่ือยที่มีที่จับ ๒ ขา้ ง เลอ่ื ยอวยั วะนอ้ ยใหญ่ ผมู้ ใี จคดิ รา้ ยแมใ้ นพวกโจรนนั้ กไ็ มช่ อ่ื วา่ ทำ� ตามคำ� สง่ั สอนของเรา เพราะเหตุ ท่อี ดกลนั้ ไม่ได้นน้ั ’ อนง่ึ ความเพยี รทเ่ี ราเร่ิมทำ� แลว้ จักไม่ย่อหย่อน สตทิ เ่ี ราต้ังไวแ้ ล้วจักไมห่ ลงลมื กายที่ เราท�ำให้สงบแล้วจักไม่กระวนกระวาย จิตที่เราท�ำให้ตั้งม่ันแล้วจักมีอารมณ์แน่วแน่ คราวนี้ ต่อให้มีการ ทำ� รา้ ยดว้ ยฝา่ มอื การทำ� รา้ ยดว้ ยกอ้ นดนิ การทำ� รา้ ยดว้ ยทอ่ นไม้ หรอื การทำ� รา้ ยดว้ ยศสั ตราทก่ี ายนก้ี ต็ าม เรากจ็ ะทำ� ตามค�ำสอนของพระพทุ ธเจา้ ทั้งหลายนใี้ ห้จงได้ เมื่อภกิ ษุนนั้ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ระลึกถึงพระธรรม และระลกึ ถึงพระสงฆ์อยอู่ ยา่ งน้ี ถา้ อุเบกขาอนั อาศยั กุศลธรรมยังด�ำรงอย่ไู มไ่ ด้ ภกิ ษุน้ันย่อมสลดหดหู่ใจเพราะเหตนุ นั้ วา่ ‘ไม่เป็นลาภของเราหนอ ลาภ ไมม่ ีแกเ่ ราหนอ เราได้ไม่ดแี ลว้ หนอ การได้ดว้ ยดีไมม่ ีแก่เราหนอ ทเ่ี ราระลึกถงึ พระพุทธเจา้ ระลกึ ถึงพระ ธรรม และระลกึ ถึงพระสงฆ์อยอู่ ย่างนี้ อเุ บกขาอนั อาศัยกศุ ลธรรมยังด�ำรงอยไู่ มไ่ ด้’ หญิงสะใภเ้ ห็นพอ่ ผวั แล้วย่อมสลดหดหู่ใจ แม้ฉันใด ภิกษุนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงพระธรรม และระลกึ ถงึ พระสงฆอ์ ยอู่ ยา่ งนี้ ถา้ อเุ บกขาอนั อาศยั กศุ ลธรรมยงั ดำ� รงอยไู่ มไ่ ด้ ยอ่ มสลดหดหใู่ จเพราะเหตุ น้นั วา่ ‘ไม่เปน็ ลาภของเราหนอ ลาภไมม่ แี กเ่ ราหนอ เราได้ไมด่ ีแล้วหนอ การได้ด้วยดไี มม่ ีแกเ่ ราหนอ ทเี่ รา ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงพระธรรม และระลึกถึงพระสงฆ์อยู่อย่างนี้ อุเบกขาอันอาศัยกุศลธรรมยัง ด�ำรงอยูไ่ ม่ได้’
การแพทย์ในพระไตรปิฎก 55 ทา่ นผ้มู ีอายทุ ้ังหลาย เมอ่ื ภิกษุน้ันระลกึ ถึงพระพุทธเจา้ ระลึกถงึ พระธรรม และระลึกถงึ พระสงฆ์อยู่ อยา่ งน้ี ถา้ อเุ บกขาอนั อาศยั กศุ ลธรรมดำ� รงอยไู่ ดด้ ว้ ยดี ภกิ ษนุ นั้ ยอ่ มพอใจเพราะเหตนุ นั้ ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ นี้ ภิกษุได้ช่ือว่าทำ� ตามคำ� ส่งั สอนของพระพทุ ธเจ้าทั้งหลายเป็นอย่างมากแล้ว อาโปธาตุ [๓๐๓] อาโปธาตุ เป็นอย่างไร คือ อาโปธาตุภายในกม็ ี อาโปธาตภุ ายนอกก็มี อาโปธาตุภายใน เป็นอย่างไร คือ อุปาทินนกรูปภายในทเ่ี ปน็ ของเฉพาะตน เป็นของเอบิ อาบ มคี วาม เอิบอาบ ได้แก่ ดี เสลด หนอง เลือด เหง่อื มนั ขน้ น้ำ� ตา เปลวมัน น�้ำลาย น้�ำมกู ไขขอ้ มตู ร หรืออุปาทิน นกรูปภายในอ่ืนใด ท่ีเปน็ ของเฉพาะตน เป็นของเอิบอาบ มีความเอิบอาบ น้ีเรียกว่า อาโปธาตภุ ายใน อา โปธาตุภายในและอาโปธาตุภายนอกนี้ ก็เป็นอาโปธาตุน่นั เอง บณั ฑติ พงึ เหน็ อาโปธาตนุ น้ั ตามความเปน็ จรงิ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบอยา่ งนวี้ า่ ‘นนั่ ไมใ่ ชข่ องเรา เราไมเ่ ปน็ นั่น น่ันไม่ใช่อัตตาของเรา’ ครั้นเห็นอาโปธาตุน้ันตามความเป็นจริงด้วยปัญญาอันชอบอย่างน้ีแล้ว ย่อม เบื่อหนา่ ยในอาโปธาตุ และท�ำจติ ใหค้ ลายก�ำหนดั จากอาโปธาตุ เวลาที่อาโปธาตุภายนอกก�ำเรบิ ยอ่ มจะมไี ด้ อาโปธาตุภายนอกนนั้ ย่อมพัดพาบ้านไปบา้ ง นคิ มไปบ้าง เมอื งไปบ้าง ชนบทไปบ้าง บางสว่ นของชนบทไปบา้ ง เวลาทีน่ ้ำ� ในมหาสมทุ รลึกลงไป ๑๐๐ โยชน์บา้ ง ๒๐๐ โยชน์บา้ ง ๓๐๐ โยชนบ์ า้ ง ๔๐๐ โยชน์บ้าง ๕๐๐ โยชนบ์ า้ ง ๖๐๐ โยชน์บา้ ง ๗๐๐ โยชน์บา้ ง ย่อมจะมีได้ เวลาที่น�ำ้ ในมหาสมุทรขงั อยู่ ๗ ช่ัวล�ำตาล บา้ ง ๖ ชั่วลำ� ตาลบา้ ง ๕ ช่ัวล�ำตาลบ้าง ๔ ชั่วล�ำตาลบา้ ง ๓ ชั่วล�ำตาลบา้ ง ๒ ช่ัวลำ� ตาลบ้าง ๑ ชวั่ ลำ� ตาล บา้ ง ยอ่ มจะมไี ด้ เวลาท่ีนำ้� ในมหาสมทุ รขงั อยู่ ๗ ชว่ั บุรุษบ้าง ๖ ช่ัวบรุ ษุ บา้ ง ๕ ชั่วบุรุษบา้ ง ๔ ช่วั บุรุษบา้ ง ๓ ช่ัวบุรุษบ้าง ๒ ชั่วบุรุษบ้าง ๑ ชั่วบุรุษบ้าง ย่อมจะมีได้ เวลาที่น้�ำในมหาสมุทรขังอยู่กึ่งช่ัวบุรุษบ้าง ประมาณเพียงสะเอวบ้าง ประมาณเพียงเข่าบ้าง ประมาณเพียงข้อเท้าบ้าง ย่อมจะมีได้ เวลาท่ีน้�ำใน มหาสมทุ รไมม่ พี อเปียกขอ้ นิว้ มอื กย็ ่อมจะมไี ด้ อาโปธาตภุ ายนอกซ่ึงมมี ากถงึ เพยี งน้ัน ยงั ปรากฏเป็นของไมเ่ ทีย่ ง มคี วามสิ้นไปเปน็ ธรรมดา มคี วาม เส่ือมไปเป็นธรรมดา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดา ไฉนกายซ่ึงต้ังอยู่ช่ัวเวลาเล็กน้อยที่ถูกตัณหาเข้าไป ยดึ ถือว่า ‘เรา’ ว่า ‘ของเรา’ วา่ ‘เรามอี ยู่’ จกั ไม่ปรากฏเป็นของไม่เทย่ี ง มีความสน้ิ ไปเป็นธรรมดา มคี วาม เสื่อมไปเป็นธรรมดา และมคี วามแปรผนั ไปเป็นธรรมดาเล่า เม่ือเปน็ เชน่ น้ี ภิกษนุ นั้ กไ็ ม่มคี วามยึดถือในอา โปธาตภุ ายนอกน้ี ฯลฯ เมอื่ ภกิ ษนุ นั้ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ระลกึ ถงึ พระธรรม และระลกึ ถงึ พระสงฆอ์ ยอู่ ยา่ ง
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแห่งการนวดไทย 56 นี้ อเุ บกขาอันอาศัยกุศลธรรมดำ� รงอยูไ่ ดด้ ว้ ยดี ภกิ ษนุ ้นั ยอ่ มพอใจเพราะเหตนุ ัน้ ด้วยเหตเุ พียงเทา่ นี้ ภิกษุ ไดช้ ่อื ว่าท�ำตามคำ� ส่ังสอนของพระพุทธเจา้ เป็นอยา่ งมากแลว้ เตโชธาตุ [๓๐๔] เตโชธาตุ เป็นอยา่ งไร คอื เตโชธาตุภายในกม็ ี เตโชธาตภุ ายนอกกม็ ี เตโชธาตทุ ่ีเปน็ ภายใน เป็นอย่างไร คอื อปุ าทินนกรูปภายใน ทีเ่ ป็นของเฉพาะตน เป็นของเร่าร้อน มี ความเรา่ รอ้ น ไดแ้ ก่ ธรรมชาตทิ เ่ี ปน็ เครอ่ื งทำ� รา่ งกายใหอ้ บอนุ่ ธรรมชาตทิ เ่ี ปน็ เครอ่ื งทำ� รา่ งกายใหท้ รดุ โทรม ธรรมชาตทิ เี่ ปน็ เครอ่ื งทำ� รา่ งกายใหเ้ รา่ รอ้ น ธรรมชาตทิ เ่ี ปน็ เครอื่ งยอ่ ยสง่ิ ทก่ี นิ แลว้ ดมื่ แลว้ เคย้ี วแลว้ และ ลิม้ รสแลว้ หรืออุปาทินนกรูปภายในอื่นใด ทีเ่ ป็นของเฉพาะตน เปน็ ของเร่ารอ้ น มีความเร่ารอ้ น นเ้ี รียกวา่ เตโชธาตภุ ายใน เตโชธาตุภายในและเตโชธาตภุ ายนอกนี้ ก็เปน็ เตโชธาตุนัน่ เอง บณั ฑติ พงึ เหน็ เตโชธาตนุ นั้ ตามความเปน็ จรงิ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบอยา่ งนวี้ า่ ‘นนั่ ไมใ่ ชข่ องเรา เราไมเ่ ปน็ นั่น น่ันไม่ใชอ่ ัตตาของเรา’ บัณฑิตคร้นั เห็นเตโชธาตุนน้ั ตามความเป็นจรงิ ด้วยปญั ญาอันชอบอยา่ งนี้แล้ว ยอ่ มเบ่อื หน่ายในเตโชธาตุ และท�ำจิตใหค้ ลายก�ำหนดั จากเตโชธาตุ เวลาท่ีเตโชธาตุภายนอกก�ำเริบย่อมจะมไี ด้ เตโชธาตุภายนอกนนั้ ย่อมไหม้บ้านบ้าง นคิ มบา้ ง นครบา้ ง ชนบทบ้าง บางส่วนของชนบทบ้าง เตโชธาตุภายนอกน้ัน (ลาม) มาถึงหญ้าสด หนทาง ภูเขา น�้ำ หรือ ภูมภิ าคท่นี ่ารน่ื รมยแ์ ลว้ เมอ่ื ไม่มีเชือ้ ยอ่ มดับไปเอง เวลาทช่ี นทงั้ หลายแสวงหาไฟดว้ ยขนไกบ่ ้าง ดว้ ยการ ขดู หนงั บา้ ง ยอ่ มจะมไี ด้ เตโชธาตภุ ายนอกซงึ่ ใหญถ่ งึ เพยี งนน้ั ยงั ปรากฏเปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง มคี วามสน้ิ ไปเปน็ ธรรมดา มีความเสอ่ื มไปเปน็ ธรรมดา มคี วามแปรผันไปเปน็ ธรรมดา ไฉนกายซ่ึงตั้งอย่ชู ่ัวเวลาเลก็ นอ้ ยท่ีถูกตณั หาเข้าไปยดึ ถอื วา่ ‘เรา’ ว่า ‘ของเรา’ ว่า ‘เรามีอยู่’ จักไม่ ปรากฏ เป็นของไม่เท่ียง มีความส้ินไปเป็นธรรมดา มีความเส่ือมไปเป็นธรรมดา มีความแปรผันไปเป็น ธรรมดาเล่า เม่ือเป็นเช่นน้ี ภิกษุนั้นก็ไม่มีความยึดถือในเตโชธาตุภายนอกนี้ ฯลฯ เม่ือภิกษุนั้นระลึกถึง พระพทุ ธเจา้ ระลกึ ถงึ พระธรรม และระลกึ ถงึ พระสงฆอ์ ยอู่ ยา่ งนี้ ถา้ อเุ บกขาอนั อาศยั กศุ ลธรรมดำ� รงอยไู่ ด้ ดว้ ยดี ภกิ ษนุ นั้ ยอ่ มพอใจเพราะเหตนุ น้ั ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ นี้ ภกิ ษไุ ดช้ อื่ วา่ ทำ� ตามคำ� สง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ เป็นอย่างมากแล้ว วาโยธาตุ [๓๐๕] วาโยธาตุ เปน็ อย่างไร คอื วาโยธาตภุ ายในกม็ ี วาโยธาตภุ ายนอกกม็ ี
การแพทย์ในพระไตรปิฎก 57 วาโยธาตภุ ายใน เป็นอยา่ งไร คอื อุปาทนิ นกรปู ภายใน ท่เี ปน็ ของเฉพาะตน เป็นของพัดไปมา มีความ พดั ไปมา ไดแ้ ก่ ลมทพี่ ดั ขน้ึ เบอ้ื งบน ลมทพี่ ดั ลงเบอื้ งตำ่� ลมในทอ้ ง ลมในลำ� ไส้ ลมทแี่ ลน่ ไปตามอวยั วะนอ้ ย ใหญ่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรอื อุปาทนิ นกรปู ภายในอ่ืนใด ทเี่ ปน็ ของเฉพาะตน เปน็ ของพัดไปมา มคี วามพดั ไปมา นเ้ี รยี กวา่ วาโยธาตภุ ายใน วาโยธาตภุ ายในและวาโยธาตภุ ายนอกน้ี กเ็ ปน็ วาโยธาตนุ นั่ เอง บณั ฑติ พงึ เหน็ วาโยธาตนุ น้ั ตามความเปน็ จรงิ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบอยา่ งนวี้ า่ ‘นน่ั ไมใ่ ชข่ องเรา เราไมเ่ ปน็ น่นั น่ันไมใ่ ช่อัตตาของเรา’ บัณฑติ ครัน้ เหน็ วาโยธาตนุ นั้ ตามความเปน็ จริง ด้วยปัญญาอนั ชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมเบ่อื หน่ายในวาโยธาตุ และท�ำจติ ใหค้ ลายก�ำหนัดจากวาโยธาตุ เวลาท่ีวาโยธาตภุ ายนอกกำ� เรบิ ย่อมจะมไี ด้ วาโยธาตุภายนอกนั้นย่อมพัดพาบ้านไปบา้ ง นคิ มไปบา้ ง นครไปบา้ ง ชนบทไปบา้ ง บางสว่ นของชนบทไปบา้ ง เวลาทชี่ นทงั้ หลายแสวงหาลมดว้ ยพดั ใบตาลบา้ ง ดว้ ย พัดส�ำหรับพดั ไฟบา้ ง ในเดอื นสุดทา้ ยแห่งฤดูรอ้ น แม้ในท่ีชายคา หญ้าทัง้ หลายก็ไม่ไหว ย่อมจะมีได้ วาโยธาตุภายนอกซ่ึงใหญ่ถึงเพียงนั้น ยังปรากฏเป็นของไม่เที่ยง มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความ เสอ่ื มไปเป็นธรรมดา มคี วามแปรผนั ไปเปน็ ธรรมดา ไฉนกายซงึ่ ต้ังอยู่ช่วั เวลาเล็กนอ้ ยนท้ี ่ถี ูกตณั หาเข้าไป ยดึ ถอื วา่ ‘เรา’ วา่ ‘ของเรา’ วา่ ‘เรามอี ย’ู่ จกั ไมป่ รากฏเป็นของไมเ่ ท่ยี ง มีความส้ินไปเป็นธรรมดา มคี วาม เสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความแปรผันไปเป็นธรรมดาเล่า เม่ือเป็นเช่นน้ี ภิกษุน้ันก็ไม่มีความยึดถือในวาโย ธาตภุ ายนอกน้ี หากชนเหล่าอืน่ จะดา่ บรภิ าษ เกรย้ี วกราด เบยี ดเบยี นภกิ ษุน้นั ภิกษนุ ้ันรู้ชัดอย่างน้วี า่ ‘ทกุ ขเวทนา อนั เกดิ จากโสตสมั ผสั นเ้ี กดิ ขนึ้ แลว้ แกเ่ รา แตท่ กุ ขเวทนานนั้ อาศยั เหตจุ งึ เกดิ ขนึ้ ได้ ไมอ่ าศยั เหตกุ จ็ ะเกดิ ขนึ้ ไมไ่ ด้ ทกุ ขเวทนานอี้ าศยั อะไรจงึ เกดิ ขน้ึ ได้ ทกุ ขเวทนานอ้ี าศยั ผสั สะจงึ เกดิ ขนึ้ ได’้ ภกิ ษนุ นั้ ยอ่ มเหน็ วา่ ‘ผสั ส ะเปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง เวทนาเปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง สญั ญาเปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง สงั ขารทงั้ หลายเปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง วญิ ญาณ เปน็ ของไม่เทย่ี ง’ จติ ของภกิ ษนุ ้นั ย่อมดิง่ ไป ย่อมผ่องใสดำ� รงมน่ั และนอ้ มไปในอารมณ์ คอื ธาตุนน่ั แล
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 58 ๔. พระไตรปิฎกเลม่ ท่ี ๑๙ สุตตันตปฎิ กท่ี ๑๑ สงั ยุตตนิกาย มหาวารวรรค [182] เรอ่ื งเกดิ ขน้ึ ทก่ี รงุ สาวตั ถี พระผมู้ พี ระภาคตรสั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย พวกนาคอาศยั ขนุ เขาหมิ พานต์ ยอ่ มเตบิ โตมกี ำ� ลงั เตบิ โตมกี ำ� ลงั แลว้ ลงสหู่ นอง ลงสหู่ นองแลว้ ลงสบู่ งึ ลงสบู่ งึ แลว้ ลงสแู่ มน่ ำ้� นอ้ ย ลงสแู่ มน่ ำ�้ น้อยแล้วลงสู่แม่น้�ำใหญ่ ลงสู่แม่น�้ำใหญ่แล้วลงสู่มหาสมุทรสาคร นาคเหล่าน้ันย่อมถึงความเจริญเติบโต ทางกายในมหาสมทุ รสาครนน้ั แมฉ้ นั ใด ภกิ ษกุ ฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั เมอ่ื อาศยั ศลี ดำ� รงอยใู่ นศลี เจรญิ โพชฌงค์ (ธรรมทเ่ี ปน็ องค์แหง่ การตรัสร)ู้ ๗ ประการ ทำ� โพชฌงค์ ๗ ประการให้มาก ย่อมถงึ ความเป็นใหญ่ไพบลู ย์ ในธรรมท้งั หลายภกิ ษุเมื่ออาศัยศลี ดำ� รงอยใู่ นศีล เจริญโพชฌงค์ ๗ ประการ ท�ำโพชฌงค์ ๗ ประการให้ มาก ยอ่ มถึงความเป็นใหญไ่ พบูลย์ในธรรมทง้ั หลาย อยา่ งไร คือ ภิกษุในธรรมวินยั นี้ ๑. เจริญสติสมั โพชฌงค์ (ธรรมทเี่ ปน็ องคแ์ หง่ การตรัสรู้ คือความระลกึ ได้) อันอาศยั วิเวก (ความสงดั ) อาศัยวิราคะ (ความคลายก�ำหนดั ) อาศยั นโิ รธ (ความดบั ) น้อมไปในโวสสคั คะ (ความสละ) ๒. เจริญธมั มวิจยสมั โพชฌงค์ (ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรสั รู้ คือการเฟ้นธรรม) ฯลฯ ๓. เจริญวิรยิ สัมโพชฌงค์ (ธรรมทีเ่ ปน็ องคแ์ ห่งการตรัสรู้ คือความเพียร) ... ๔. เจริญปตี ิสมั โพชฌงค์ (ธรรมทเ่ี ปน็ องคแ์ หง่ การตรสั รู้ คอื ความอิม่ ใจ) ... ๕. เจริญปัสสัทธสิ ัมโพชฌงค์ (ธรรมทีเ่ ปน็ องคแ์ หง่ การตรัสรู้ คือ ความสงบกายสงบใจ) ... ๖. เจรญิ สมาธสิ มั โพชฌงค์ (ธรรมท่ีเปน็ องค์แห่งการตรัสรู้ คอื ความตัง้ จิตมน่ั ) ... ๗. เจริญอเุ บกขาสัมโพชฌงค์ (ธรรมทเ่ี ป็นองค์แห่งการตรสั รู้ คอื ความมใี จเป็นกลาง) อันอาศยั วิเวก อาศัยวริ าคะ อาศัยนิโรธ นอ้ มไปในโวสสัคคะ ภกิ ษุทงั้ หลาย ภิกษเุ มื่ออาศัยศีล ด�ำรงอยใู่ นศลี เจรญิ โพชฌงค์ ๗ ประการ ทำ� โพชฌงค์ ๗ ประการให้ มาก ย่อมถงึ ความเปน็ ใหญ่ไพบลู ย์ในธรรมทั้งหลาย อย่างนแ้ี ล” หมิ วันตสตู รท่ี ๑ จบ [187] สมยั หนง่ึ พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ ปา่ อญั ชนวนั สถานทพ่ี ระราชทานอภยั แกห่ มเู่ นอื้ เขต เมอื งสาเกต ครง้ั น้นั กณุ ฑลยิ ปรพิ าชกเข้าไปเฝา้ พระผมู้ ีพระภาคถึงทป่ี ระทับ ไดส้ นทนาปราศรัยพอเป็นที่ บนั เทิงใจ พอเป็นทรี่ ะลึกถงึ กนั แลว้ นงั่ ณ ทส่ี มควร ได้กราบทูลพระผมู้ พี ระภาคดังน้ีวา่ “ทา่ นพระโคดม ข้าพเจา้ เทยี่ วไปในอาราม เข้าไปหาบรษิ ัท เม่ือข้าพเจา้ บรโิ ภคอาหารเช้าเสร็จแลว้ ในเวลาหลงั อาหารเดิน เทย่ี วไปทางอารามสอู่ าราม ทางอทุ ยานส่อู ทุ ยาน ณ ทีน่ น้ั ข้าพเจา้ เหน็ สมณพราหมณ์ พวกหนง่ึ กำ� ลงั กล่าว กถาซง่ึ มวี ธิ เี ปลอื้ งวาทะเปน็ อานสิ งส์ และมวี ธิ โี ตว้ าทะเปน็ อานสิ งส์ สว่ นทา่ นพระโคดม มอี ะไรเปน็ อานสิ งสอ์ ย”ู่ พระผมู้ พี ระภาคตรัสตอบวา่ “กณุ ฑลยิ ะ ตถาคตมวี ชิ ชาและวมิ ตุ ตเิ ปน็ ผลานสิ งส์”
การแพทยใ์ นพระไตรปิฎก 59 “ทา่ นพระโคดม ธรรมเหลา่ ไหนทีบ่ ุคคลเจรญิ ท�ำให้มากแลว้ ท�ำวชิ ชาและวิมตุ ตใิ ห้บริบรู ณ”์ “กณุ ฑลยิ ะ โพชฌงค์ ๗ ประการที่บุคคลเจรญิ ท�ำให้มากแล้ว ท�ำวชิ ชาและวมิ ตุ ตใิ หบ้ ริบรู ณ์” “ทา่ นพระโคดม อนงึ่ ธรรมเหลา่ ไหนทบ่ี คุ คลเจรญิ ทำ� ใหม้ ากแลว้ ทำ� โพชฌงค์ ๗ ประการใหบ้ รบิ รู ณ”์ “กณุ ฑลยิ ะ สติปฏั ฐาน ๔ ประการท่ีบคุ คลเจรญิ ท�ำใหม้ ากแล้ว ทำ� โพชฌงค์ ๗ ประการให้บริบูรณ์” “ทา่ นพระโคดม อนงึ่ ธรรมเหลา่ ไหนทบ่ี คุ คลเจรญิ ทำ� ใหม้ ากแลว้ ทำ� สตปิ ฏั ฐาน ๔ ประการใหบ้ รบิ รู ณ”์ “กณุ ฑลิยะ สจุ ริต ๓ ประการทบ่ี คุ คลเจรญิ ทำ� ใหม้ ากแลว้ ทำ� สตปิ ฏั ฐาน ๔ ประการให้บรบิ ูรณ”์ “ทา่ นพระโคดม อนึง่ ธรรมเหล่าไหนทีบ่ คุ คลเจรญิ ทำ� ใหม้ ากแล้ว ทำ� สุจรติ ๓ ประการใหบ้ รบิ ูรณ์” “กณุ ฑลิยะ อนิ ทรยี สงั วรทบี่ ุคคลเจริญ ท�ำให้มากแลว้ ท�ำสุจรติ ๓ ประการใหบ้ รบิ ูรณ์” ๕. พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๒๐ สตุ ตนั ตปฎิ กท่ี ๑๒ องั คตุ ตรนกิ าย เอกก ทกุ ตกิ นบิ าต การตอบแทนท่ที �ำได้ยาก ๓๔] การทำ� ตอบแทนแกท่ า่ นทงั้ สอง เราไมก่ ลา่ ววา่ เปน็ การทำ� ไดโ้ ดยงา่ ย ทา่ นทง้ั สองคอื ใคร คอื มารดาและ บิดา ถึงบุตรจะมีอายุ ๑๐๐ ปี มชี ีวิตอยู่ ๑๐๐ ปี ประคบั ประคองมารดาดว้ ยบา่ ขา้ งหนึ่ง ประคบั ประคอง บิดาด้วยบ่าข้างหน่ึง ปฏิบัติท่านทั้งสองนั้นด้วยการอบกล่ิน การนวด การให้อาบน�้ำ และการบีบนวด๔๒ และแม้ท่านทั้งสองนั้นจะถ่ายอุจจาระและปัสสาวะลงบนบ่าท้ังสองของเขานั่นแล การกระท�ำอย่างน้ัน ยังไม่ช่อื ว่าอันบุตรไดท้ �ำ หรอื ท�ำตอบแทนแก่มารดาและบดิ าเลย ถงึ บตุ รจะสถาปนามารดาและบิดาไวใ้ น ราชสมบตั ซิ งึ่ เปน็ เจา้ เหนอื หวั แหง่ แผน่ ดนิ ใหญท่ ม่ี รี ตั นะ ๗ ประการมากมายนี้ การกระทำ� อยา่ งนนั้ ยงั ไมช่ อื่ วา่ อนั บตุ รไดท้ ำ� หรอื ทำ� ตอบแทนแกม่ ารดาและบดิ าเลย ขอ้ นน้ั เพราะเหตไุ ร เพราะมารดาและบดิ ามอี ปุ การะ มาก บ�ำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรท้ังหลาย ส่วนบุตรคนใดให้มารดาและบิดาผู้ไม่มีศรัทธา สมาทาน ตั้งม่นั ดำ� รงอย่ใู นสทั ธาสมั ปทา(ความถงึ พรอ้ มด้วยศรทั ธา) ให้มารดาและบดิ าผ้ทู ุศีล สมาทาน ต้ังม่ันด�ำรง อยใู่ นสลี สมั ปทา (ความถงึ พรอ้ มดว้ ยศลี ) ใหม้ ารดาและบดิ าผตู้ ระหน่ี สมาทานตงั้ มนั่ ดำ� รงอยใู่ นจาคสมั ปทา (ความถงึ พรอ้ มดว้ ยการเสยี สละ) ใหม้ ารดาและบดิ าผไู้ มม่ ปี ญั ญา สมาทาน ตงั้ มนั่ ดำ� รงอยใู่ นปญั ญาสมั ปทา (ความถงึ พรอ้ มดว้ ยปญั ญา) ดว้ ยเหตเุ พยี งเทา่ นแี้ ล การกระทำ� อยา่ งนนั้ ชอื่ วา่ อนั บตุ รไดท้ ำ� และทำ� ตอบแทน แก่มารดาและบดิ า๔๓ ๔๒ การบีบนวด หมายถงึ การดึงไปและดึงมาซึ่งมอื และเท้าเป็นตน้ (อง.ฺ ทกุ .อ. ๒/๓๔/๓๒) ๔๓ อกตัญญู หมายถึง ผไู้ ม่ร้อู ปุ การะทบี่ คุ คลอื่นกระทำ� แกต่ น (องฺ.ทกุ .อ. ๒/๓๓/๓๑) อกตเวที หมายถึง ผู้ไมร่ ูจ้ กั ท�ำอุปการะที่บคุ คลอ่ืนกระทำ� แกต่ นใหป้ รากฏ (อง.ฺ ทกุ .อ. ๒/๓๓/๓๑)
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแห่งการนวดไทย 60 ๒. คิลานสตู ร ว่าด้วยคนไขแ้ ละบคุ คลผ้เู ปรยี บด้วยคนไข้ [๒๒] ภิกษุทงั้ หลาย คนไข้ ๓ จ�ำพวกนม้ี ีปรากฏอยูใ่ นโลก คนไข้ ๓ จำ� พวกไหนบา้ ง คือ ๑. คนไขบ้ างคนในโลกน้ี ไดโ้ ภชนะทเี่ ปน็ สปั ปายะ๔๔ หรอื ไมไ่ ดโ้ ภชนะทเ่ี ปน็ สปั ปายะกต็ าม ไดย้ าทเี่ ปน็ สัปปายะ หรอื ไม่ไดย้ าทเ่ี ปน็ สปั ปายะก็ตาม และไดค้ นพยาบาลทเ่ี หมาะสม หรือไมไ่ ดค้ นพยาบาลทเ่ี หมาะ สมกต็ าม ย่อมไม่หายจากอาพาธนั้นไดเ้ ลย ๒. คนไขบ้ างคนในโลกนี้ ไดโ้ ภชนะทเ่ี ป็นสปั ปายะ หรือไมไ่ ด้โภชนะทีเ่ ปน็ สัปปายะกต็ าม ได้ยาที่เป็น สปั ปายะ หรือไมไ่ ดย้ าทีเ่ ป็นสัปปายะก็ตาม และไดค้ นพยาบาลทเ่ี หมาะสม หรือไมไ่ ดค้ นพยาบาลทเี่ หมาะ สมก็ตาม ย่อมหายจากอาพาธนน้ั ได้ ๓. คนไขบ้ างคนในโลกนี้ ไดโ้ ภชนะท่ีเปน็ สปั ปายะจงึ หายจากอาพาธน้นั เมือ่ ไม่ได้ ย่อมไมห่ าย ได้ยา ท่ีเป็นสัปปายะจึงหายจากอาพาธน้ัน เม่ือไม่ได้ ย่อมไม่หาย และได้คนพยาบาลท่ีเหมาะสม จึงหายจาก อาพาธนน้ั เม่ือไม่ได้ ยอ่ มไม่หาย ๓. ปุคคลวรรค บรรดาคนไข้ ๓ จำ� พวกนนั้ คนไข้ใดไดโ้ ภชนะทเี่ ปน็ สัปปายะ จงึ หายจากอาพาธนน้ั เมอ่ื ไม่ได้ ยอ่ มไม่ หาย ได้ยาท่ีเป็นสปั ปายะ จงึ หายจากอาพาธนน้ั เมือ่ ไมไ่ ด้ ย่อมไม่หาย และไดค้ นพยาบาลท่ีเหมาะสม จงึ หายจากอาพาธนั้น เม่ือไม่ได้ ย่อมไม่หาย เพราะอาศัยคนไข้นี้แล เราจึงอนุญาตอาหารส�ำหรับภิกษุไข้ อนุญาตยาสำ� หรบั ภิกษุไข้ และอนญุ าตคนพยาบาลสำ� หรับภิกษไุ ข้ กเ็ พราะอาศัยคนไข้น้ี คนไข้แม้อน่ื ๆ ก็ ควรไดร้ บั การพยาบาลดว้ ย คนไข้ ๓ จ�ำพวกนี้แล มปี รากฏอย่ใู นโลกฉันใด บุคคลท่ีเปรยี บไดก้ บั คนไข้ ๓ จ�ำพวกน้ี กฉ็ ันน้นั เหมือนกนั แล มีปรากฏอยูใ่ นโลก บคุ คลที่เปรียบไดก้ บั คนไข้ ๓ จำ� พวกไหนบา้ ง คือ ๑. บคุ คลบางคนในโลกนไี้ ดเ้ หน็ ตถาคต หรอื ไมไ่ ดเ้ หน็ ตถาคตกต็ าม ไดฟ้ งั ธรรมวนิ ยั ทตี่ ถาคตประกาศไว้ หรอื ไมไ่ ดฟ้ งั ธรรมวนิ ยั ทตี่ ถาคตประกาศไวก้ ต็ าม ยอ่ มไมห่ ยง่ั ลงสคู่ วามเหน็ ชอบทกี่ ำ� หนดในกศุ ลธรรมทงั้ หลาย ๒. บคุ คลบางคนในโลกนไี้ ดเ้ หน็ ตถาคต หรอื ไมไ่ ดเ้ หน็ ตถาคตกต็ าม ไดฟ้ งั ธรรมวนิ ยั ทตี่ ถาคตประกาศไว้ หรอื ไมไ่ ดฟ้ งั ธรรมวนิ ยั ทต่ี ถาคตประกาศไวก้ ต็ าม ยอ่ มหยงั่ ลงสคู่ วามเหน็ ชอบทกี่ ำ� หนดในกศุ ลธรรมทงั้ หลาย ๓. บคุ คลบางคนในโลกนไี้ ดเ้ หน็ ตถาคต จงึ หยงั่ ลงสคู่ วามเหน็ ชอบทกี่ ำ� หนดในกศุ ลธรรมทง้ั หลาย เมอ่ื ไมไ่ ดเ้ หน็ ยอ่ มไมห่ ยง่ั ลง ไดฟ้ งั ธรรมวนิ ยั ทต่ี ถาคตประกาศไว้ จงึ หยงั่ สคู่ วามเหน็ ชอบทกี่ ำ� หนดในกศุ ลธรรม ทง้ั หลายเมือ่ ไมไ่ ดฟ้ งั ยอ่ มไมห่ ยง่ั ลง บรรดาบุคคล ๓ จ�ำพวกนน้ั บคุ คลใดได้เหน็ ตถาคต จึงหย่งั ลงสคู่ วามเห็นชอบท่กี �ำหนดในกุศลธรรม ทั้งหลาย เมื่อไม่ได้เห็น ย่อมไม่หย่ังลง ได้ฟังธรรมวินัยท่ีตถาคตประกาศไว้ จึงหยั่งลงสู่ความเห็นชอบที่ ๔๔ เปน็ สัปปายะในทนี่ ี้ หมายถงึ มปี ระโยชน์ ก่อให้เกิดความเจรญิ (อง.ฺ ตกิ .อ. ๒/๒๒/๙๙)
การแพทยใ์ นพระไตรปิฎก 61 กำ� หนดในกศุ ลธรรมท้งั หลาย เม่ือไม่ได้ฟัง ยอ่ มไมห่ ยง่ั ลง เพราะอาศัยบคุ คลนแ้ี ล เราจึงอนญุ าตการแสดง ธรรม ก็เพราะอาศัยบุคคลน้ี จึงควรแสดงธรรมแกบ่ คุ คลแมเ้ หลา่ อื่น ภิกษุทั้งหลาย บุคคลทเี่ ปรียบไดก้ บั คนไข้ ๓ จ�ำพวกน้แี ล มปี รากฏอยู่ในโลก ๖. พระไตรปิฎกเล่มท่ี ๒๑ สุตตนั ตปิฎกท่ี ๑๓ อังคตุ ตรนกิ าย จตกุ กนบิ าต ๗. โรคสตู ร วา่ ด้วยโรค [๑๕๗] ภกิ ษทุ ง้ั หลาย โรค ๒ อย่างน้ี โรค ๒ อยา่ ง อะไรบ้าง คือ ๑. โรคทางกาย ๒. โรคทางใจ สัตวผ์ อู้ า้ งวา่ ตนเองไมม่ โี รคทางกายตลอดระยะเวลา ๑ ปีบ้าง ๒ ปีบ้าง ๓ ปีบ้าง ๔ ปีบา้ ง ๕ ปีบา้ ง ๑๐ ปบี ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง ๔๐ ปีบา้ ง ๕๐ ปบี ้าง แมย้ ง่ิ กว่า ๑๐๐ ปบี ้าง ยังพอมีอยู่ แตส่ ัตว์ผู้จะกลา่ ว อา้ งวา่ ตนเองไมม่ โี รคทางใจตลอดระยะเวลาแมค้ รเู่ ดยี ว หาไดโ้ ดยยาก ยกเวน้ ทา่ นผหู้ มดกเิ ลสแลว้ ทง้ั หลาย โรคของบรรพชติ ๔ อยา่ งนี้ โรค ๔ อยา่ ง อะไรบา้ ง คือ ๑. ภิกษุในธรรมวนิ ยั นเ้ี ป็นคนมกั มาก คับแค้น ไม่สันโดษด้วยจีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคลิ าน ปัจจยั เภสชั ชบรขิ าร ตามแตจ่ ะได้ ๒. เธอเม่ือมักมาก คบั แค้น ไม่สนั โดษด้วยจีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสชั ชบรขิ าร ตามแตจ่ ะได้ ยอ่ มตง้ั ความปรารถนาชว่ั เพอ่ื ไมใ่ หผ้ อู้ นื่ ดหู มนิ่ เพอ่ื ใหไ้ ดล้ าภสกั การะและชอ่ื เสยี ง ๓. เธอวิง่ เตน้ ขวนขวาย พยายาม เพ่ือไม่ใหผ้ อู้ ่นื ดูหม่ิน เพ่อื ให้ไดล้ าภสักการะและชอื่ เสียง ๔. เธอเข้าไปหาตระกูลท้ังหลาย นั่งกล่าวธรรม กล้ันอุจจาระและปัสสาวะเพ่ือให้เขานับถือ ภิกษุ ทง้ั หลาย โรคของบรรพชิต ๔ อย่างน้ีแล เพราะเหตนุ น้ั เธอทงั้ หลายในธรรมวินยั น้ีพึงส�ำเหนยี กอยา่ งน้ีว่า “เราจักไมเ่ ป็นคนมกั มาก ไม่เป็นคน มีจิตคบั แค้น ไมเ่ ปน็ คนไมส่ ันโดษด้วยจีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ และคลิ านปัจจัยเภสัชชบรขิ าร ตามแตจ่ ะ ได้ เราจกั ไม่ตั้งความปรารถนาชว่ั เพือ่ ใหค้ นอื่นรู้จัก เพ่อื ให้ได้ลาภสักการะและช่ือเสียง เราจักไม่ว่ิงเตน้ ไม่ ขวนขวาย ไม่พยายามเพื่อให้คนอื่นรู้จัก เพื่อให้ได้ลาภสักการะและช่ือเสียง เราจักอดทนต่อความหนาว ความรอ้ น ความหวิ กระหาย ตอ่ การถกู เหลอื บ ยงุ ลม แดด และสตั วเ์ ลอ้ื ยคลานทงั้ หลายรบกวน ตอ่ ถอ้ ยคำ� หยาบคายร้ายแรงต่างๆ จักเป็นผู้อดกล้ันเวทนาทั้งหลายอันมีในร่างกายที่เกิดข้ึนแล้วเป็นทุกข์ กล้าแข็ง เจ็บปวด เผด็ ร้อน ไมน่ ่ายนิ ดี ไมน่ ่าพอใจ พรากชวี ติ ” ภิกษทุ ้ังหลาย พวกเธอพึงส�ำเหนยี กอยา่ งนีแ้ ล
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแห่งการนวดไทย 62 ๗. พระไตรปฎิ กเล่มที่ ๒๒ สตุ ตันตปิฎกที่ ๑๔ อังคตุ ตรนิกาย ปัญจก ฉักกนิบาต ยาคุสตู ร ว่าดว้ ยอานสิ งสข์ องยาคู [๒๐๗] ภิกษุทง้ั หลาย อานิสงสข์ องยาคู (ขา้ วตม้ ) ๕ ประการนี้ อะไรบ้าง คือ ๑. บรรเทาความหวิ ๒. ระงบั ความกระหาย ๓. ใหล้ มเดินคล่อง ๔. ช�ำระลำ� ไส้ ๕. ให้เผาย่อยอาหารท่ยี งั ไมย่ ่อย ภิกษทุ ้งั หลาย อานิสงส์ของยาคู ๕ ประการนแ้ี ล ๘. พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๒๔ สตุ ตนั ตปฎิ กท่ี ๑๖ องั คตุ ตรนกิ าย ทสก เอกาทสกนบิ าต คริ มิ านันทสตู ร ว่าดว้ ยการหายอาพาธของพระคริ ิมานนท์ [๖๐] สมยั หน่งึ พระผูม้ ีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี เขตกรุงสา วัตถี สมยั น้ันแล ทา่ นพระคิรมิ านนทอ์ าพาธ ไดร้ บั ทุกข์ เปน็ ไข้หนัก ท่านพระอานนท์จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาคถงึ ทปี่ ระทบั ถวายอภวิ าทแลว้ นงั่ ณ ทสี่ มควร ไดก้ ราบทลู พระผมู้ พี ระภาคดงั นว้ี า่ “ขา้ แตพ่ ระองค์ ผเู้ จรญิ ทา่ นพระคริ มิ านนทอ์ าพาธ ไดร้ บั ทกุ ข์ เปน็ ไขห้ นกั ขอประทานวโรกาส ขอพระผมู้ พี ระภาคไดโ้ ปรด อนเุ คราะหเ์ สดจ็ ไปเยย่ี มทา่ นพระคริ มิ านนทย์ งั ทอ่ี ยเู่ ถดิ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” พระผมู้ พี ระภาคตรสั วา่ “อานนท์ ถ้าเธอเข้าไปหาแลว้ กลา่ วสญั ญา ๑๐ ประการแก่คริ มิ านนทภ์ กิ ษุ เป็นไปไดท้ ก่ี ารอาพาธของคิรมิ านนท์ ภกิ ษุจะสงบระงับโดยฉบั พลนั เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้ สญั ญา ๑๐ ประการ อะไรบา้ ง คอื ๑. อนจิ จสัญญา ๒. อนัตตสัญญา ๓. อสภุ สญั ญา ๔. อาทนี วสัญญา
การแพทย์ในพระไตรปิฎก 63 ๕. ปหานสญั ญา ๖. วริ าคสัญญา ๗. นิโรธสัญญา ๘. สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๙. สพั พสังขาเรสุ อนจิ จสญั ญา ๑๐. อานาปานสติ อนจิ จสัญญา เปน็ อย่างไร คอื ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยนไ้ี ปส่ปู า่ กด็ ี ไปสโู่ คนไม้กด็ ี ไปสูเ่ รอื นวา่ งก็ดี พจิ ารณาวา่ ‘รูปไมเ่ ท่ยี ง เวทนาไม่ เที่ยง สัญญาไม่เท่ียง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง’ เป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เท่ียงใน อุปาทานขนั ธ์ ๕ น้อี ย่อู ย่างนี้ นีเ้ รยี กวา่ อนจิ จสญั ญา อสภุ สญั ญา เปน็ อย่างไร คอื ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั นพี้ จิ ารณาเหน็ กายน้เี ท่าน้ัน ตง้ั แตพ่ นื้ เทา้ ขึน้ ไป ตัง้ แตป่ ลายผมลงมา มีหนงั ห้มุ อยโู่ ดยรอบ เต็มไปดว้ ยของไม่สะอาด มปี ระการต่างๆ ว่า ‘ในกายนีม้ ี ผม ขน เล็บ ฟัน หนงั เนอ้ื เอ็น กระดกู เยอื่ ในกระดกู ไต หวั ใจ ตบั พงั ผดื มา้ ม ปอด ไสใ้ หญ่ ไสน้ อ้ ย อาหารใหม่ อาหารเกา่ ดี เสลด หนอง เลือด เหงอ่ื มันข้น นำ้� ตา เปลวมนั นำ้� ลาย นำ�้ มูก ไขข้อ มตู ร’ เปน็ ผู้พจิ ารณาเหน็ โดยความเป็นของไมง่ าม ในกายนอ้ี ยูอ่ ยา่ งน้ี นีเ้ รียกว่า อสภุ สญั ญา อาทนี วสญั ญา เปน็ อย่างไร คือ ภกิ ษใุ นธรรมวินัยน้ีไปสูป่ า่ ก็ดี ไปสโู่ คนไมก้ ด็ ี ไปสูเ่ รือนวา่ งกด็ ี พิจารณาเหน็ ว่า ‘กายนม้ี ีทุกขม์ าก มโี ทษมาก เพราะฉะน้นั อาพาธต่างๆ จึงเกิดขึน้ ในกายนี้ คือ โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลนิ้ โรคกาย โรค ศรี ษะ โรคท่ใี บหู โรคปาก โรคฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไขห้ วัด โรคไข้พิษ โรคไขเ้ ชอ่ื มซมึ โรคท้อง โรคลมสลบ โรคลงแดง โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรอื้ น โรคฝี โรคกลาก โรคมองครอ่ โรคลมบ้าหมู โรคหดิ เป่อื ย โรค หดิ ดา้ น โรคคดุ ทะราด โรคหดู โรคละอองบวม โรคอาเจยี นเปน็ เลอื ด โรคดี โรคเบาหวาน โรคเรมิ โรคพพุ อง โรคริดสีดวง อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสลดเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีไข้ สนั นบิ าตเป็นสมฏุ ฐาน อาพาธที่เกิดแตฤ่ ดูแปรปรวน อาพาธท่ีเกิดแต่การบรหิ ารทีไ่ ม่สม่ำ� เสมอ อาพาธที่ เกดิ แตค่ วามเพยี รเกนิ กำ� ลงั อาพาธทเี่ กดิ แตว่ บิ ากของกรรม ความหนาว ความรอ้ น ความหวิ ความกระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ’ เป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความเป็นโทษในกายนี้อยู่อย่างน้ี น้ีเรียกว่า อาทีนว สัญญา
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแห่งการนวดไทย 64 ๙. พระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี ๒๕ สตุ ตนั ตปฎิ กท่ี ๑๗ ขทุ ทกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ ธรรมบท อทุ าน ๑. ทวตั ติงสาการ วา่ ด้วยอาการ ๓๒ ในร่างกายน้มี ีผม ขน เล็บ ฟนั หนงั เนอื้ เอ็น กระดกู เย่อื ในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผดื มา้ ม ปอด ไส้ใหญ่ ไส้นอ้ ย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงอ่ื มันข้น นำ�้ ตา เปลวมัน นำ้� ลาย น�้ำมกู ไขขอ้ มตู ร และมันสมอง ๑๐. พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๒๙ สตุ ตนั ตปิฎกท่ี ๒๑ ขทุ ทกนกิ าย มหานทิ เทส วา่ ด้วยการท�ำนายเสียงเนอื้ และนก [๗๕๕] เสียงเนือ้ และเสยี งนก เรียกว่า เสียงร้อง ในคำ� วา่ ภิกษุผู้นบั ถอื ไมพ่ งึ ส้องเสพการทายเสียงสัตว์ ร้อง การปรุงยาใหต้ ้งั ครรภ์ และการรักษาโรค ความว่า พวกชนท่รี ูเ้ สียงเนอื้ และนก ยอ่ มท�ำนายเสยี งเนือ้ และนก คอื ย่อมรเู้ สยี งร้อง เสียงเจรจากันแหง่ นกหรอื สัตวส์ ่ีเทา้ พวกชนทร่ี ้เู สยี งเนอ้ื และนก ยอ่ มท�ำนาย เสยี งเน้ือและนกอยา่ งน้ี วา่ ด้วยครรภไ์ มต่ ้ังดว้ ยเหตุ ๒ ประการ พวกชนปรงุ ยาใหต้ งั้ ครรภ์ ยอ่ มยงั ครรภใ์ หต้ ง้ั ขนึ้ ครรภย์ อ่ มไมต่ ง้ั ขน้ึ ดว้ ยเหตุ ๒ ประการ คอื ดว้ ยเหลา่ ตวั สัตว์ ๑ ดว้ ยลมก�ำเรบิ ๑ พวกชนทป่ี รงุ ยาใหต้ ้งั ครรภ์ ย่อมให้ยาเพ่อื บ�ำบัดเหลา่ ตัวสัตว์ หรอื เพ่อื บ�ำบัด ลมกำ� เรบิ พวกชนทีป่ รุงยาใหต้ ง้ั ครรภ์ ยอ่ มยงั ครรภใ์ หต้ ั้งขนึ้ อยา่ งนี้ ว่าด้วยการรกั ษาโรค ช่อื ว่าการรักษาโรค ได้แกก่ ารรักษาโรค ๕ อยา่ ง คือ รกั ษาทางเศกเป่า รกั ษาทางผ่าตดั รักษาทางยา รักษาทางภตู ผี รักษาทางกุมาร คำ� ว่า ภกิ ษุผนู้ บั ถอื คือ ภิกษุผู้นับถือพระพุทธเจา้ ผนู้ ับถือพระธรรม ผู้ นบั ถอื พระสงฆ์ ภกิ ษผุ นู้ บั ถอื นนั้ ยอ่ มนบั ถอื พระผมู้ พี ระภาค หรอื วา่ พระผมู้ พี ระภาคยอ่ มทรงรบั บคุ คลนน้ั สมจรงิ ดงั ทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคตรสั วา่ ดกู รภกิ ษทุ งั้ หลาย ภกิ ษเุ หลา่ ใดเปน็ ผหู้ ลอกลวง กระดา้ ง พดู เหลาะแหละ ชอบตกแต่ง มีมานะสงู เหมือนไมอ้ อ้ ไม่มสี มาธิ ดกู ร ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภิกษเุ หลา่ น้นั ชื่อว่า เป็นผไู้ มน่ บั ถอื เรา เปน็ ผปู้ ราศไปจากธรรมวนิ ยั นี้ และย่อมไม่ถงึ ความเจริญงอกงามไพบลู ย์ในธรรมวินยั น้ี ดกู ร ภิกษุท้งั หลาย สว่ นภิกษเุ หล่าใด เป็นผู้ไมห่ ลอกลวง ไม่พดู เหลาะแหละ มปี ัญญา ไม่กระด้าง มีสมาธดิ ี ดูกร ภกิ ษทุ ั้งหลาย ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ ชอื่ วา่ เปน็ ผนู้ บั ถอื เรา เปน็ ผไู้ มป่ ราศไปจากธรรมวนิ ยั และยอ่ มถงึ ความเจรญิ งอกงามไพบลู ย์ ในธรรมวนิ ัยน้.ี
การแพทยใ์ นพระไตรปฎิ ก 65 พระผมู้ พี ระภาคผสู้ คุ ตศาสดา ครน้ั ตรสั ไวยากรณภาษติ นจี้ บลงแลว้ จงึ ไดต้ รสั คาถาประพนั ธต์ อ่ ไปอกี วา่ พวกภิกษุผ้หู ลอกลวง กระดา้ ง พูดเหลาะแหละ มมี านะสูง ดังไม้อ้อ ไมม่ สี มาธิ ภิกษเุ หลา่ น้ัน ยอ่ มไม่ งอกงามในธรรมวนิ ยั ทพี่ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดงแลว้ สว่ นพวกภกิ ษผุ ไู้ มห่ ลอกลวง ไมพ่ ดู เหลาะแหละ มปี ญั ญา ไมก่ ระดา้ ง มสี มาธดิ ี ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ยอ่ มงอกงามในธรรมวนิ ยั ทพ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงแสดงแลว้ คำ� วา่ ภกิ ษผุ นู้ บั ถอื ไมพ่ งึ สอ้ งเสพการทายเสยี งสตั วร์ อ้ ง การปรงุ ยาใหต้ ง้ั ครรภ์ และการรกั ษาโรค ความ ว่า ภิกษผุ นู้ บั ถอื ไม่พงึ เสพ ไมพ่ ึงสอ้ งเสพ ไม่พึงส้องเสพเฉพาะ ไม่พงึ ประพฤติ ไม่พึงประพฤติโดยเอ้อื เฟ้ือ ไมพ่ งึ ยดึ ถอื ประพฤติ ซงึ่ การทายเสียงสตั ว์ร้อง การปรุงยาให้ตงั้ ครรภ์ และการรกั ษาโรค อีกอย่างหนึง่ ไม่ พึงยึด ไมพ่ ึงถือ ไมพ่ ึงทรงไว้ ไมพ่ งึ เข้าไปทรงไว้ ไม่พึงเข้าไปกำ� หนด ไมพ่ ึงประกอบ ซ่งึ การทายเสียงสตั ว์ รอ้ ง การปรุงยาให้ตัง้ ครรภ์ และการรกั ษาโรค เพราะฉะนั้น จงึ ชอ่ื ว่า ภกิ ษผุ ู้นบั ถอื ไมพ่ งึ สอ้ งเสพการทาย เสยี งสตั วร์ อ้ ง การปรงุ ยาใหต้ งั้ ครรภ์ และการรกั ษาโรค เพราะเหตนุ นั้ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ตรสั ตอบวา่ ภกิ ษุ ผูน้ ับถือ ไมพ่ งึ ประกอบการทำ� อาถรรพณ์ การท�ำนายฝัน การทายลักษณะ และการดฤู กษ์ ไมพ่ ึงส้องเสพ การทายเสยี งสัตวร์ อ้ ง การปรงุ ยาให้ตงั้ ครรภ์ และการรกั ษาโรค ว่าด้วยการบ�ำบัดรกั ษาโรค ค�ำว่า การบ�ำบดั รักษาโรค ไดแ้ ก่ การบำ� บัดรกั ษาโรค ๕ อยา่ ง คือ ๑. การรักษาดว้ ยการเสกเปา่ ๒. การรักษาดว้ ยการผา่ ตดั ๓. การรักษาทางยา ๔. การรักษาทางภตู ิผี ๕. การรกั ษาโรคเด็ก (กุมารเวช) ๑๑. พระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี ๓๒ สุตตันตปิฎกท่ี ๒๔ ขุททกนกิ าย อปทาน ภาค ๑ ๑๙. อานิสงส์ของการถวายรองเท้า [๑๔๒] ขา้ พเจ้าได้ถวายรองเทา้ ในพระชนิ เจ้า และในหมูส่ งฆ์ ซึง่ เปน็ หมู่คณะท่ีประเสรฐิ สดุ แลว้ ไดร้ บั อานสิ งส์ซึ่งสมควรแก่กรรมของขา้ พเจ้า ๓ ประการ
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแห่งการนวดไทย 66 [๑๔๓] คอื ยานคือช้าง ยานคอื ม้า วอ และคานหาม ๑ รถ ๖๐,๐๐๐ คัน แวดลอ้ มข้าพเจา้ ทกุ เม่อื ๑ [๑๔๔] เมอ่ื ขา้ พเจา้ เวยี นวา่ ยตายเกดิ อยใู่ นภพ รองเทา้ แกว้ มณี รองเทา้ ทองแดง รองเทา้ ทองคำ� รองเทา้ เงิน ผุดขึ้นรองรบั ทกุ ย่างเท้า ๑ [๑๔๕] บญุ กรรมทัง้ หลายยอ่ มชว่ ยชำ� ระอาจารคณุ ให้สะอาด แน่นอนขา้ พเจ้าไดค้ ุณเหลา่ น้เี พราะผล แห่งกรรมนัน้ ๒๐. อานิสงสข์ องการถวายเขยี งเทา้ [๑๔๖] ขา้ พเจ้าไดถ้ วายเขยี งเท้าในพระสคุ ตและในหมสู่ งฆ์ ซ่ึงเปน็ หม่คู ณะท่ีประเสริฐสุดแลว้ ไดส้ วม เขียงเท้าซง่ึ ส�ำเร็จด้วยฤทธแ์ิ ล้ว อยไู่ ด้ตามปรารถนา สุตตนั ตปิฎกท่ี ๒๕ ข๑ุท๒ท.กพนิกระาไยตอรปปิฎทกาเนลม่ภทาคี่ ๓๒๓ พทุ ธวงศ์ จรยิ าปิฎก หรีตกทายกเถระ ประวัติในอดีตชาติของพระหรีตกทายกเถระ (พระหรีตกทายกเถระ) เมื่อจะประกาศประวัติในอดีต ชาตขิ องตน จงึ กลา่ วว่า [๖๐] ข้าพเจา้ ก�ำลงั น�ำผลสมอ ผลมะขามป้อม ผลมะมว่ ง ผลหวา้ ผลสมอพเิ ภก ผลกระเบา ผลรกฟา้ และผลมะตูม มาด้วยตนเอง [๖๑] ข้าพเจา้ ได้พบพระมหามนุ ี ผู้มีปกติเขา้ ฌาน ยินดใี นฌาน เป็นมุนถี ูกอาพาธเบยี ดเบยี น ทรงเดิน ทางไกล ประทบั อยู่ท่ีเงือ้ มภูเขา [๖๒] ข้าพเจา้ จงึ นำ� ผลสมอมาถวายพระสยัมภู เพยี งข้าพเจา้ ปรุงเภสชั เสร็จแลว้ ความเจบ็ ปว่ ยก็หาย ไปในทนั ใดน้นั เอง [๖๓] พระพุทธเจา้ ผู้ละความกระวนกระวายได้แล้ว ได้ทรงอนุโมทนาวา่ กด็ ้วยการถวายเภสชั ซงึ่ เป็น เครอ่ื งระงับความเจบ็ ป่วยนี้ [๖๔] ทา่ นจะเกดิ เปน็ เทวดา เปน็ มนษุ ย์ หรอื เกดิ ในชาตอิ น่ื ๆ กต็ าม ขอจงเปน็ ผมู้ คี วามสขุ ในทท่ี กุ สถาน และอยา่ ได้มีความเจ็บปว่ ยเลย [๖๕] คร้ันพระสมั มาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระสยัมภู ผไู้ มท่ รงพ่ายแพ้ ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์ ตรัสดงั น้ี แล้วได้เสดจ็ เหาะขนึ้ สทู่ อ้ งฟ้าเหมอื นพญาหงส์ไปในอากาศ [๖๖] ข้าพเจา้ ไดถ้ วายผลสมอแด่พระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า ผทู้ รงเปน็ พระสยัมภู ผแู้ สวงหาคุณอนั ยง่ิ ใหญ่ ในชาตใิ ด ความเจ็บปว่ ยจงึ มไิ ดเ้ กดิ แก่ขา้ พเจา้ อีกเลยจนถงึ ชาตนิ ี้ [๖๗] ภพนี้เป็นภพสุดท้ายของขา้ พเจา้ ภพสุดท้ายกำ� ลังเป็นไปอย่วู ชิ ชา ๓ ขา้ พเจ้าได้บรรลุแล้วโดย ล�ำดับคำ� ส่ังสอนของพระพุทธเจา้ ข้าพเจา้ กไ็ ดท้ �ำส�ำเร็จแลว้
การแพทยใ์ นพระไตรปิฎก 67 [๖๘] ในกปั ท่ี ๙๔ นบั จากกปั นีไ้ ป ข้าพเจา้ ได้ถวายเภสัชไวใ้ นคร้งั นัน้ จงึ ไมร่ จู้ กั ทุคตเิ ลย น้เี ป็นผลแห่ง การถวายเภสชั [๖๙] กเิ ลสทงั้ หลาย ขา้ พเจา้ กเ็ ผาไดแ้ ลว้ ภพทงั้ ปวงขา้ พเจา้ กถ็ อนไดแ้ ลว้ ขา้ พเจา้ ตดั กเิ ลสเครอื่ งผกู พนั ไดแ้ ล้ว อย่อู ย่างผไู้ ม่มอี าสวะ ดจุ พญาชา้ งตัดเครอ่ื งพนั ธนาการได้แลว้ อยอู่ ย่างอสิ ระ [๗๐] การทข่ี า้ พเจ้ามาในสำ� นักของพระพุทธเจ้า เป็นการมาดแี ลว้ โดยแท้ วชิ ชา ๓ ข้าพเจ้าได้บรรลุ แล้วโดยล�ำดับ ค�ำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ขา้ พเจา้ กไ็ ด้ท�ำส�ำเร็จแลว้ [๗๑] คณุ วเิ ศษเหลา่ น้ีคือ ปฏสิ ัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภญิ ญา ๖ ขา้ พเจา้ ก็ไดท้ ำ� ใหแ้ จ้งแล้ว คำ� ส่ัง สอนของพระพทุ ธเจ้า ขา้ พเจา้ กไ็ ดท้ ำ� ส�ำเร็จแล้ว ดังน้ี แลไดท้ ราบวา่ ทา่ นพระหรตี กทายกเถระได้ภาษิต คาถาเหลา่ นี้ ดว้ ยประการฉะนี้ อกั กมนทายกเถระ๔๕ ประวตั ใิ นอดตี ชาตขิ องพระอกั กมนทายกเถระ พระอกั กมนทายกเถระ เมอ่ื จะประกาศประวตั ใิ นอดตี ชาติของตน จึงกลา่ ววา่ [๒๗] ขา้ พเจา้ ไดถ้ วายฉลองพระบาทแดพ่ ระพทุ ธเจา้ พระนามวา่ กกสุ นั ธะ ผทู้ รงเปน็ ปราชญ์ ลอยบาป ได้แล้ว อยูจ่ บพรหมจรรย์ผู้ทรงดำ� เนนิ ไปสทู่ ีป่ ระทับในเวลากลางวนั [๒๘] ในภทั รกปั น้ี ขา้ พเจา้ ไดถ้ วายทานไวใ้ นครงั้ นนั้ จงึ ไมร่ จู้ กั ทคุ ตนิ เ้ี ปน็ ผลแหง่ การถวายฉลองพระบาท [๒๙] กิเลสท้ังหลาย ข้าพเจ้าก็เผาได้แล้ว ภพทั้งปวง ข้าพเจ้าก็ถอนได้แล้ว ข้าพเจ้าตัดกิเลสเครื่อง ผกู พันได้แลว้ อยู่อยา่ งผ้ไู มม่ ีอาสวะ ดุจพญาชา้ งตดั เครอื่ งพนั ธนาการได้แล้ว อยู่อย่างอิสระ [๓๐] การทขี่ า้ พเจา้ มาในสำ� นกั ของพระพุทธเจ้า เปน็ การมาดีแล้วโดยแท้ วิชชา ๓ ขา้ พเจ้าไดบ้ รรลุ แล้วโดยลำ� ดบั คำ� ส่ังสอนของพระพุทธเจา้ ข้าพเจ้ากไ็ ด้ท�ำสำ� เร็จแล้ว [๓๑] ๘ วโิ มกข์ ๔ คณุ วเิ ศษ เหลา่ นี้ คือ ปฏสิ มั ภทิ า และอภญิ ญา ๖ ขา้ พเจ้ากไ็ ดท้ ำ� ใหแ้ จง้ แล้วค�ำสั่ง สอนของพระพุทธเจา้ ขา้ พเจา้ ก็ได้ท�ำส�ำเรจ็ แลว้ ดงั น้ีแลได้ทราบว่า ท่านพระอกั กมนทายกเถระได้ภาษิต คาถาเหลา่ นี้ ด้วยประการฉะน้ี ๔๕ พระอักกมนทายกเถระ หมายถงึ พระสุภยิ เถระ (ข.ุ เถร.อ. ๒/๓/๖)
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 68 หบททล่ี 2กั ธรรมและวนิ ัย ว่าด้วย การแพทย์ การนวด การดแู ลสขุ ภาพ ในพทุ ธศาสนา
บทท่ี 2 หลักธรรมและวนิ ัยว่าดว้ ย การแพทย์ การนวด การดแู ลสุขภาพ ในพุทธศาสนา 69 ก. หลักธรรม 1. การพยาบาลภกิ ษุผู้อาพาธในพระพุทธศาสนา ๒. คุณลักษณะของคนไข้ ผดู้ แู ลท่ดี แี ละไม่ดี ๓. ความจรงิ แทข้ องชีวิต ๔. การพิจารณากาย ไมย่ ดึ มน่ั ในกาย ๕. ชวี ิตคืออะไร ๖. โรค ๗. การเกดิ โรค หรอื สมฏุ ฐาน ๘. อาการ ๓๒ ข. พระวนิ ัย 1. การนวดภิกษุ ๒. การนวดภิกษณุ ี ๓. การอบตัว ๔. การทาน�้ำมนั ๕. การรมเหง่ือ รมด้วยใบไม้ รมใหญ่ ฯลฯ ๖. การนวดกายของภิกษณุ ี ๗. การรดี ครรภ์ นาบครรภ์ ๘. การอาบน�้ำและสีกายกบั ตน้ ไม้ เสาไม้ การถูตัวให้กนั ๙. สขุ อนามัย ๑๐. อาหารเปน็ ยา ในพระวินัยและพระสูตร มีบันทึกเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การเยียวยา การบ�ำบัดรักษาโรคและ ความเจบ็ ป่วยในหมูภ่ ิกษุและภกิ ษณุ เี ปน็ จ�ำนวนมาก อย่างนอ้ ย ๑๐๔ หัวขอ้ โดยอยู่ในพระวินยั อย่างนอ้ ย ๘๘ หัวข้อ ในพระสตุ ตันตปิฎกอยา่ งนอ้ ย ๑๖ หวั ข้อ ซง่ึ ความจรงิ มีจ�ำนวนมากกว่าน้ี เน่อื งจากมีการกลา่ ว ซ�้ำในหลายที่ มีการกล่าวเรื่องเดยี วกันแตใ่ นแตล่ ะเหตกุ ารณ์ แตล่ ะบคุ คลท่ตี ่างกัน มีบันทึกว่าด้วยนวดในพระวินัยและพระสูตรอย่างน้อย ๕๘ หัวข้อ เป็นบันทึกท่ีกล่าวถึงการนวด การอบ การทาน้ำ� มนั การรม ประมาณ ๒๕ หัวข้อ เปน็ บนั ทกึ เก่ยี วกบั การพยาบาลเยียวยาและสขุ อนามัย ๓๓ หัวข้อ
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแห่งการนวดไทย 70 หลักธรรมและหลกั ปฏิบตั ขิ องการแพทย์และการนวดในพระวินยั และพระสตู ร จดั หมวดหมู่ได้ ดังน้ี ก. หลักธรรม ๑. หลกั ธรรมวา่ ดว้ ย การพยาบาลภกิ ษผุ อู้ าพาธในพระพุทธศาสนา พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงบญั ญตั หิ ลกั ธรรมและวนิ ยั ทสี่ ำ� คญั เกย่ี วกบั การดแู ลสขุ ภาพและเยยี วยารกั ษาโรค ดงั น้ี ก. การดูแลและการเยียวยาภิกษุท่ีอาพาธเป็นหน้าที่ของสงฆ์ สงฆ์ต้องพยาบาลภิกษุท่ีอาพาธ ถ้า ไม่พยาบาล ต้องอาบัติทกุ กฎ ข. การดแู ลภิกษุที่อาพาธมคี ณุ คา่ และความส�ำคญั เทา่ กับการพยาบาลพระพทุ ธเจา้ หลักธรรมวินัยข้อนี้ ท�ำให้การพยาบาลภิกษุท่ีอาพาธเป็นกิจของสงฆ์ ผู้ใดละเว้นถือเป็นอาบัติ และ ยกย่องหน้าที่ในการพยาบาลน้ันมีความสำ� คัญสูงสุดเท่ากับการได้พยาบาลพระพุทธเจ้า ถึงขนาดว่า เมื่อ ภกิ ษผุ ู้อาพาธมรณภาพ บาตรและจีวรของภิกษุทอ่ี าพาธจะถูกมอบให้แก่ผทู้ ีพ่ ยาบาลภิกษุรูปน้ัน ไม่วา่ จะ เปน็ ภกิ ษุหรอื สามเณรโดยไม่ตกแก่สงฆ๑์ บทบาทของพระในฐานะผู้เยียวยาในระยะแรกจ�ำกัดอยู่ในขอบเขตของการดูแลภิกษุด้วยกัน ต่อมา หมอพระและวดั มกี ารขยายการดแู ลทางการแพทยอ์ อกไปสสู่ าธารณชน (ตามหลกั ฐานศลิ าจารกึ หลกั ทส่ี อง ของพระเจ้าอโศก ราว พ.ศ. ๒๓๒-๒๖๙) หลักธรรมวินัยข้อนี้ท�ำให้เกิดวัฒนธรรมการแพทย์แบบพุทธ ความสัมพันธ์ในลักษณะที่เก้ือกูลกัน ระหวา่ งพทุ ธศาสนากบั การแพทยช์ ว่ ยสง่ เสรมิ การขยายตวั ของพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี นำ� ไปสกู่ ารสอน การแพทย์ในกลมุ่ วัดต่างๆ ในอนิ เดียอย่างแพรห่ ลาย พระไตรปิฎกเลม่ ท่ี ๐๕ วินัยปิฎกที่ ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒ เรือ่ งภิกษุอาพาธเป็นโรคท้องรว่ ง สมัยน้ัน ภิกษุรูปหน่ึงอาพาธเป็นโรคท้องร่วง ภิกษุน้ันนอนกลิ้งเกลือกไปมาบนปัสสาวะและ อจุ จาระของตนเองครง้ั นนั้ พระผมู้ พี ระภาคมที า่ นพระอานนทต์ ามเสดจ็ เสดจ็ จารกิ ไปตามเสนาสนะ เสด็จเข้าไปทางท่ีอยู่ของภิกษุนั้น ได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้นนอนกลิ้งเกลือกไปมาบนปัสสาวะ ๑ เคน็ เน็ธ จี ซสิ ค์. ลัทธนิ กั พรตและการเยียวยาในอินเดยี โบราณ: ระบบการแพทย์ ในพทุ ธอาราม. พมิ พ์คร้งั ที่ 2. กรุงเทพฯ: มลู นิธโิ กมลคีมทอง; 2552.
บทที่ 2 หลักธรรมและวินยั ว่าด้วย การแพทย์ การนวด การดแู ลสุขภาพ ในพทุ ธศาสนา 71 และอจุ จาระของตนเอง จงึ เสดจ็ เขา้ ไปใกลแ้ ลว้ ไดต้ รสั ดงั นว้ี า่ “ภกิ ษุ เธออาพาธเปน็ โรคอะไร”ภกิ ษุ นน้ั ทลู วา่ “ขา้ พระองคอ์ าพาธเปน็ โรคทอ้ งรว่ ง พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” พระผมู้ พี ระภาคตรสั ถามวา่ “เธอ ไมม่ ภี ิกษผุ ้คู อยพยาบาลหรือ”ภกิ ษุน้ันทูลว่า “ไมม่ ี พระพทุ ธเจ้าขา้ ” พระผู้มีพระภาคตรสั ถามวา่ “เหตใุ ด พวกภกิ ษุจงึ ไม่คอยพยาบาลเธอ” ภกิ ษนุ น้ั ทลู วา่ “เพราะขา้ พระองคไ์ มไ่ ดท้ ำ� อปุ การะแกภ่ กิ ษทุ ง้ั หลาย ดงั นน้ั พวกภกิ ษจุ งึ ไมค่ อย พยาบาลขา้ พระองค์ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” พระผมู้ พี ระภาคตรสั เรยี กพระอานนทม์ ารบั สง่ั วา่ “อานนท์ เธอไปตกั นำ�้ มา เราจะอาบนำ้� ใหภ้ กิ ษนุ ”ี้ พระอานนทท์ ลู รบั สนองพระดำ� รสั แลว้ ตกั นำ�้ มาถวาย พระ ผ้มู ีพระภาคทรงราดน้ำ� พระอานนทข์ ดั สี พระผูม้ ีพระภาคทรงประคองศีรษะขน้ึ พระอานนทย์ ก เท้าวางบนเตียง ต่อมา พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมสงฆ์เพราะเรื่องนี้เป็นต้นเหตุ ทรงสอบถามภิกษุท้ัง หลายวา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย ในวหิ ารหลงั โนน้ มภี กิ ษเุ ปน็ ไขห้ รอื ” พวกภกิ ษกุ ราบทลู วา่ “มี พระพทุ ธเจา้ ข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “เธออาพาธเป็นโรคอะไร” พวกภิกษุกราบทูลว่า “เธออาพาธ เปน็ โรคทอ้ งรว่ งพระพทุ ธเจา้ ขา้ ” พระผมู้ พี ระภาคตรสั ถามวา่ “ภกิ ษนุ นั้ มภี กิ ษผุ คู้ อยพยาบาลหรอื ” พวกภกิ ษกุ ราบทูลว่า “ไมม่ ี พระพทุ ธเจ้าข้า” พระผูม้ พี ระภาคตรสั ถามวา่ “เหตใุ ด พวกภกิ ษจุ ึงไม่ คอยพยาบาลเธอ” พวกภกิ ษกุ ราบทลู วา่ “เพราะเธอไมไ่ ดท้ ำ� อปุ การะแกภ่ กิ ษทุ งั้ หลาย ดงั นนั้ พวก ภกิ ษุจึงไมค่ อยพยาบาลเธอ พระพุทธเจ้าขา้ ” พระผู้มพี ระภาคตรัสวา่ “ภิกษทุ ั้งหลาย พวกเธอไม่มีมารดา ไม่มีบดิ าผูค้ อยพยาบาล ภิกษุ ทง้ั หลาย ถา้ พวกเธอไม่พยาบาลกนั เอง ใครเล่าจะคอยพยาบาลพวกเธอ ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผจู้ ะ พยาบาลเรากจ็ งพยาบาลภกิ ษไุ ขเ้ ถดิ ถา้ มอี ปุ ชั ฌาย์ อปุ ชั ฌายพ์ งึ พยาบาลภกิ ษไุ ขน้ นั้ จนตลอดชวี ติ (หรอื ) จนกวา่ เธอจะหาย ถ้ามีอาจารย์อาจารยพ์ ึงพยาบาลภกิ ษไุ ขน้ น้ั จนตลอดชีวิต (หรอื ) จนกว่า เธอจะหาย ถ้ามสี ทั ธิวหิ าริก (คําเรียกผ้ไู ด้รบั การอุปสมบทแลว้ ถ้าอุปสมบทต่อพระอุปัชฌาย์องค์ ใดกเ็ ปน็ สทั ธวิ หิ ารกิ ของพระอปุ ชั ฌายอ์ งคน์ นั้ (ใชเ้ ขา้ คกู่ บั อปุ ชั ฌาย)์ สทั ธวิ หิ ารกิ พงึ พยาบาลภกิ ษุ ไขน้ น้ั จนตลอดชีวิต (หรือ) จนกว่าเธอจะหาย ถ้ามอี ันเตวาสกิ (ผอู้ ยภู่ ายใน ใชเ้ รียกภกิ ษผุ ูอ้ าศยั อยู่ กบั อาจารย์ หรือภกิ ษผุ ้มู ใิ ช่พระอปุ ัชฌาย์ของตน) อนั เตวาสกิ พงึ พยาบาลภิกษุไข้น้ันจนตลอดชีวติ (หรอื ) จนกวา่ เธอจะหาย ถา้ มภี กิ ษผุ รู้ ว่ มอปุ ชั ฌาย์ ผรู้ ว่ มอปุ ชั ฌายพ์ งึ พยาบาลภกิ ษไุ ขน้ น้ั จนตลอดชวี ติ (หรอื ) จนกวา่ เธอจะหาย ถา้ มภี กิ ษผุ รู้ ว่ มอาจารย์ ผรู้ ว่ มอาจารยพ์ งึ พยาบาลภกิ ษไุ ขน้ น้ั จนตลอดชวี ติ
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแหง่ การนวดไทย 72 (หรอื ) จนกวา่ เธอจะหาย ถา้ ไมม่ อี ปุ ชั ฌาย์ อาจารยส์ ทั ธวิ หิ ารกิ อนั เตวาสกิ ผรู้ ว่ มอปุ ชั ฌาย์ หรอื ผรู้ ว่ ม อาจารย์ สงฆ์ต้องพยาบาลภกิ ษุไข้นั้น ถา้ ไมพ่ ยาบาล ตอ้ งอาบัตทิ กุ กฎ” ๒. หลกั ธรรมว่าด้วย คุณลกั ษณะของคนไข้ ผู้ดแู ลทด่ี ีและไม่ดี ในพระวนิ ยั ไดบ้ อกลกั ษณะของผปู้ ว่ ยทดี่ แู ลยากและงา่ ยวา่ มอี ะไรบา้ ง นอกจากนย้ี งั บอกลกั ษณะของ ผ้ทู ีค่ วรพยาบาลและไม่เหมาะทจ่ี ะพยาบาลคนไข้ ไว้ในพระวินยั การบอกลกั ษณะของผปู้ ่วยและผพู้ ยาบาลท่ดี แี ละไมด่ นี ้นั แสดงวา่ ๑) พระพทุ ธศาสนาไดใ้ หค้ วามสำ� คญั ตอ่ ผทู้ ท่ี ำ� หนา้ ทใี่ นการพยาบาล และตวั คนไขเ้ องวา่ การจะหาย จากอาพาธได้ง่ายหรือยากนั้นขึ้นอยู่กับตัวผู้พยาบาลและตัวผู้ป่วย การหายไม่ใช่จากปัจจัย ภายนอกหรอื สงิ่ ทเี่ หนอื ธรรมชาติ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ วฒั นธรรมการแพทยแ์ บบประจกั ษน์ ยิ มและ เหตุผล (Empirico-rational) ของพุทธศาสนา อนั เป็นไปตามหลักอทิ ปั ปจั จยตา ๒) ภิกษผุ ูพ้ ยาบาลต้องมคี ุณลักษณะ ๕ ประการ ต้ังแต่ มีความรทู้ างการแพทยเ์ ปน็ อยา่ งดีเพราะ ต้องจดั ยา หรือปรุงยาเปน็ ต้องรู้ของทแ่ี สลง ตอ้ งไม่พยาบาลเพ่ือเงินทอง มีเมตตา ซงึ่ ตอ่ มาได้ กลายเปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องแพทยท์ เี่ ปน็ ฆราวาสในสายของพระพทุ ธศาสนา สบื ตอ่ มายงั แพทยแ์ ผนไทย และหมอนวดไทยในปัจจุบนั ท่ีส�ำคัญ ภกิ ษผุ ู้พยาบาลหรือแพทย์ต้องไมร่ งั เกียจท่ีจะน�ำอุจจาระ ปสั สาวะและสง่ิ ปฏกิ ลู ตา่ งๆ ของผปู้ ว่ ยไปทงิ้ ซงึ่ พทุ ธศาสนาไมถ่ อื วา่ การกระทำ� ดงั กลา่ วเปน็ ทน่ี า่ รงั เกยี จ เหมอื นเชน่ ทพี่ ราหมณร์ งั เกยี จพวกแพทยว์ า่ ไมบ่ รสิ ทุ ธิ์ เนอื่ งจากแปดเปอ้ื นกบั ของสกปรก และวรรณะตา่ งๆ ท่เี ปน็ ผู้ปว่ ย และผู้พยาบาลต้อง สามารถพูดคยุ ส่อื สารกบั ผู้ปว่ ย เพ่อื ใหป้ ฏิบัติ ตาม และมีกำ� ลังใจท่ีอยากรกั ษา พระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี ๐๕ วินยั ปฎิ กท่ี ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒ เร่ืองคนไขท้ พ่ี ยาบาลไดย้ ากและพยาบาลได้ง่าย คนไขท้ ี่พยาบาลไดย้ ากมีอาการ ๕ อยา่ ง ภิกษทุ ้งั หลาย คนไข้ที่มอี าการ ๕ อย่าง พยาบาลไดย้ าก คือ ๑. ไม่ท�ำความสบาย ๒. ไม่รปู้ ระมาณในความสบาย
บทท่ี 2 หลกั ธรรมและวนิ ัยวา่ ดว้ ย การแพทย์ การนวด การดแู ลสุขภาพ ในพทุ ธศาสนา 73 ๓. ไม่ฉันยา ๔. ไม่บอกอาการไข้ตามเป็นจริงแก่ผู้พยาบาลไข้ที่มุ่งประโยชน์ คือ ไม่บอกอาการไข้ ทก่ี �ำเริบว่ากำ� เริบ อาการไขท้ ี่ทุเลาว่าทุเลา อาการไขท้ ่ีทรงอยวู่ ่าทรงอยู่ ๕. เป็นคนไม่อดทนความรู้สึกทางกายท่ีเกิดขึ้น เป็นทุกข์แสนสาหัสกล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจ แทบจะคร่าชีวิตภิกษุทั้งหลาย คนไข้ท่ีมีอาการอย่างน้ีแล พยาบาลได้ยาก คนไขท้ ีพ่ ยาบาลได้ง่ายมอี าการ ๕ อยา่ ง ภกิ ษุทัง้ หลาย คนไข้ทมี่ ีอาการ ๕ อย่าง พยาบาลได้งา่ ย คือ ๑. ทำ� ความสบาย ๒. รูป้ ระมาณในความสบาย ๓. ฉันยา ๔. บอกอาการไข้ตามเป็นจริงแก่ผู้พยาบาลไข้ท่ีมุ่งประโยชน์ คือ บอกอาการไข้ที่ก�ำเริบ ว่าก�ำเริบ อาการไข้ทที่ ุเลาว่าทเุ ลา อาการไข้ที่ทรงอยู่ว่าทรงอยู่ ๕. เป็นคนอดทนต่อความรู้สึกทางกายที่เกิดขึ้น เป็นทุกข์แสนสาหัสกล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่นา่ ยินดี ไมน่ ่าพอใจ แทบจะครา่ ชวี ติ ภิกษทุ ง้ั หลาย คนไขท้ ่มี ีอาการ ๕ อย่างนีแ้ ล พยาบาลไดง้ ่าย บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยองค์ ๕ ไม่ควรพยาบาลภิกษไุ ข้ ภิกษุทั้งหลาย ผพู้ ยาบาลภิกษไุ ข้ทปี่ ระกอบดว้ ยองค์ ๕ ไม่ควรพยาบาลคนไข้ คือ ๑. ไม่สามารถจัดยา ๒. ไมร่ ู้จักของแสลงและไมแ่ สลง คือ น�ำของแสลงเข้าไปให้ นำ� ของไม่แสลงออกไป ๓. พยาบาลคนไขเ้ พราะเห็นแกอ่ ามสิ ไม่มีจิตเมตตา ๔. รังเกยี จท่จี ะน�ำอุจจาระ ปสั สาวะ น�้ำลายหรือของทีอ่ าเจยี นออกมาไปเททิง้ ๕. ไม่สามารถพูดให้คนไข้เห็นชัด ชวนให้อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นรา่ เรงิ ดว้ ยธรรมีกถา เปน็ บางคร้งั บางคราว ภกิ ษุท้ังหลาย ผู้พยาบาลภิกษุไขท้ ่ีประกอบดว้ ยองค์ ๕ นี้แล ไม่ควรพยาบาลคนไข้ บคุ คลผ้ปู ระกอบด้วยองค์ ๕ ควรพยาบาลภกิ ษุไข้
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแห่งการนวดไทย 74 ภิกษุทงั้ หลาย ภิกษผุ พู้ ยาบาลภิกษุไขท้ ป่ี ระกอบด้วยองค์ ๕ ควรพยาบาลภิกษไุ ข้ คอื ๑. สามารถจัดยา ๒. รูจ้ กั ของแสลงและไมแ่ สลง คือ นำ� ของแสลงออกไป นำ� ของไม่แสลงเขา้ มาให้ ๓. ไม่พยาบาลคนไข้เพราะเหน็ แก่อามิส มีจิตเมตตา ๔. ไม่รังเกยี จทจี่ ะน�ำอจุ จาระ ปสั สาวะ นำ�้ ลาย หรือของทีอ่ าเจียนออกมาไปเททิ้ง ๕. สามารถพูดให้คนไข้เห็นชัด ชวนให้อยากรับไปปฏิบัติ เร้าใจให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงดว้ ยธรรมีกถา เป็นบางคร้งั บางคราว ภิกษทุ ้งั หลาย ผูพ้ ยาบาลภกิ ษุไขท้ ่ีประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ควรพยาบาลคนไข้ ๓. หลกั ธรรมว่าดว้ ย ความจรงิ แท้ของชวี ิต หลักธรรมสำ� คัญของพระพุทธศาสนาคอื อรยิ สัจ ๔ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นโิ รธ มรรค กล่าววา่ การเกดิ แก่ เจ็บ ตาย น้นั เปน็ ทกุ ข์ ทุกข์เป็นหลกั ธรรมสำ� คญั ในพระพทุ ธศาสนา ทุกข์แปลว่า ทนอยู่ ในสภาพเดมิ ได้ยาก โดยท่วั ไปหมายถึง สังขารทง้ั ปวง อันได้แก่ ขันธ์ ๕ ซง่ึ เปน็ ท่ีตง้ั ของกองทกุ ข์ การเกดิ แก่ เจบ็ และตาย นน้ั เปน็ กระบวนการหนง่ึ ของชวี ติ เพราะรปู และนามเปน็ ทตี่ งั้ แหง่ ทกุ ข์ โดย เฉพาะการมีอุปาทานขันธ์ จะเป็นสาเหตุส�ำคัญของความทุกข์ ซ่ึงเป็นการปฏิเสธความเช่ือเดิมๆ ว่า โรค และความเจ็บป่วยเกิดจากอำ� นาจเร้นลับเหนือธรรมชาติ พระไตรปฎิ ก เล่มท่ี ๑๓ สตุ ตนั ตปฎิ กท่ี ๐๔ มัชฌิมนกิ าย มูลปัณณาสก์ ๘. มหาหตั ถปิ โทปมสูตร วา่ ด้วยอุปมาด้วยรอยเท้าช้าง สูตรใหญ่ เปรยี บเทยี บอรยิ สจั กบั รอยเทา้ ช้าง อริยสัจ ๔ อะไรบ้าง คือ ๑. ทุกขอริยสจั ๒. ทกุ ขสมุทยอริยสจั ๓. ทุกขนโิ รธอรยิ สจั ๔. ทุกขนิโรธคามินีปฏปิ ทาอรยิ สัจ
บทท่ี 2 หลักธรรมและวินัยวา่ ดว้ ย การแพทย์ การนวด การดูแลสขุ ภาพ ในพทุ ธศาสนา 75 [๓๐๑] ทกุ ขอรยิ สจั เปน็ อยา่ งไรคอื ชาตเิ ปน็ ทกุ ข์ ชราเปน็ ทกุ ข์ มรณะเปน็ ทกุ ข์ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอปุ ายาสเปน็ ทกุ ข์ การไมไ่ ดส้ ง่ิ ทตี่ อ้ งการเปน็ ทกุ ข์ โดยยอ่ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ ประการ เป็นทุกข์ อุปาทานขนั ธ์ ๕ ประการ อะไรบ้าง คอื ๑. รปู ปู าทานขนั ธ์ ๒. เวทนปู าทานขันธ์ ๓. สัญญปู าทานขันธ์ ๔. สังขารูปาทานขันธ์ ๕. วญิ ญาณปู าทานขันธ์ หลกั ธรรมนไี้ ดก้ ลายเปน็ รากฐานของปรชั ญาการแพทยใ์ นสายพระพทุ ธศาสนา เมอ่ื เขา้ ใจชวี ติ อยา่ ง ถอ่ งแท้ว่า เราไมอ่ าจหลกี เลี่ยงการแก่ การเจ็บ และการตายได้ การพยาบาลจึงเปน็ การให้รปู (กาย) น้นั หายจากโรค และไม่ยึดติดกับรูปว่าเป็นของเรา รูปมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ดังปัจฉิมโอวาทของ พระพทุ ธเจา้ “วยธมฺมา สงฺยารา อปปฺ มาเทนสมปฺ าเทถ” แปลว่า “สงั ขารทง้ั หลายมีความเส่อื มไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทใหถ้ ึงพรอ้ มเถิดฯ” (ฉบับมหาจุฬาฯ แปลความว่า“สังขารท้ังหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอท้ังหลายจงท�ำหน้าท่ีให้ สำ� เร็จด้วยความไมป่ ระมาทเถิด”) พระไตรปฎิ กเล่มท่ี ๑๐ สตุ ตันตปฎิ กที่ ๐๒ ทีฆนกิ าย มหาวรรค พระสตุ ตนั ตปิฏกทฆี นกิ าย มหาวรรค [๓. มหาปรินพิ พานสตู ร] พระปัจฉมิ วาจาของพระตถาคต ล�ำดบั น้ัน พระผู้มีพระภาครบั ส่ังเรยี กภิกษทุ ั้งหลายมาตรัสวา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย บดั นเี้ ราขอเตอื นเธอทงั้ หลาย สงั ขารทงั้ หลายมคี วามเสอ่ื มไปเปน็ ธรรมดา เธอ ทง้ั หลายจงท�ำหน้าทใี่ ห้ส�ำเรจ็ ด้วยความไม่ประมาทเถดิ ” นเี้ ปน็ พระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแห่งการนวดไทย 76 ๔. หลกั ธรรมว่าดว้ ย การพจิ ารณากาย ไม่ยึดม่นั ในกาย หลักธรรมส�ำคญั ของพระพทุ ธศาสนาเกยี่ วกบั การดแู ลสุขภาพและการพยาบาลอกี ขอ้ หนึง่ ได้แก่ การพิจารณาร่างกายตั้งแต่ส้นเท้าข้ึนไปถึงเบื้องบน จากกระหม่อมลงสู่เบ้ืองล่าง ซ่ึงถูกห่อหุ้มด้วย ผวิ หนงั เตม็ ไปดว้ ยสงิ่ ปฏกิ ลู ทง้ั หลาย และมองวา่ รา่ งกายนี้ เปน็ เพยี งเพอื่ อาศยั เจรญิ ญาณ เจรญิ สตเิ ทา่ นน้ั ไมอ่ าศัย (ตัณหาและทฏิ ฐิ) อยู่ และไมย่ ดึ ม่ันถอื มน่ั อะไรๆ หลักธรรมข้อน้ีมีความส�ำคัญและเป็นรากฐานของปรัชญาการแพทย์ในทัศนะของพระพุทธศาสนา ว่าร่างกายเป็นเพียงท่ีอาศัยเพื่อการเจริญสติ พุทธศาสนาให้ความส�ำคัญกับจิตมากกว่ากาย ท�ำให้ทัศนะ เรื่องความเจ็บป่วยทางกาย ทัศนะเร่ืองความตาย เป็นเรื่องตามธรรมชาติท่ีจะต้องเกิดข้ึน จึงไม่ควรที่จะ ต้องย้ือสังขารเพ่อื ใหม้ ชี ีวิตทยี่ ืนยาวโดยไมส่ มเหตผุ ล พระไตรปฎิ กเล่มที่ ๑๐ สุตตนั ตปฎิ กท่ี ๐๒ ทีฆนกิ าย มหาวรรคกายานุปัสสนา หมวดมนสกิ ารส่งิ ปฏกิ ลู ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหน่ึง ภิกษุพิจารณาเห็นกายน้ี ตั้งแต่ฝ่าเท้าข้ึนไปเบื้องบน ตั้งแต่ ปลายผมลงมาเบอ้ื งลา่ ง มหี นงั หมุ้ อยโู่ ดยรอบ เตม็ ไปดว้ ยสงิ่ ทไี่ มส่ ะอาดชนดิ ตา่ งๆ วา่ ‘ในกายน้ี มผี ม ขน เลบ็ ฟนั หนงั เนอื้ เอน็ กระดกู เยอื่ ในกระดกู ไต หวั ใจ ตบั พงั ผดื มา้ ม ปอด ลำ� ไสใ้ หญ่ ลำ� ไสเ้ ลก็ อาหารใหม่ อาหารเกา่ ดี เสลด หนอง เลือด เหง่อื มนั ขน้ น�ำ้ ตา เปลวมนั น�ำ้ ลาย น้ำ� มูก ไขข้อ มตู ร’ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ถงุ มปี าก ๒ ขา้ ง เตม็ ไปดว้ ยธญั พชื ชนดิ ตา่ งๆ คอื ขา้ วสาลี ขา้ วเปลอื ก ถว่ั เขยี ว ถว่ั เหลือง เมลด็ งา ข้าวสาร คนตาดีเปิดถุงยาวน้ันออกพิจารณาเห็นว่า ‘นีเ้ ปน็ ข้าวสาลี น้เี ป็นข้าว เปลอื ก นเ้ี ปน็ ถว่ั เขยี ว นเ้ี ปน็ ถว่ั เหลอื ง นเี้ ปน็ เมลด็ งา นเี้ ปน็ ขา้ วสาร’ แมฉ้ นั ใด ภกิ ษกุ ฉ็ นั นน้ั เหมอื น กนั พิจารณาเหน็ กายน้ตี ง้ั แตฝ่ า่ เท้าขึ้นไปเบอื้ งบน ตัง้ แต่ปลายผมลงมาเบื้องล่าง มีหนงั หุ้มอย่โู ดย รอบ เตม็ ไปด้วยสงิ่ ทไี่ มส่ ะอาดชนิดตา่ งๆ วา่ ‘ในกายน้ี มผี ม ขน เลบ็ ฟนั หนัง เน้ือ เอ็น กระดูก เย่ือในกระดูก ไต หัวใจ ตบั พังผดื ม้าม ปอด ล�ำไส้ใหญ่ ล�ำไสเ้ ลก็ อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลอื ด เหงือ่ มนั ขน้ นำ�้ ตา เปลวมัน น�ำ้ ลาย น้�ำมกู ไขข้อ มตู ร’ ดว้ ยวิธีน้ี ภกิ ษพุ ิจารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายนอกอยู่ หรอื พจิ ารณาเหน็ กายในกาย ทงั้ ภายใน ทงั้ ภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเปน็ เหตุเกิดในกายอยู่ พจิ ารณาเห็นธรรมเป็นเหตดุ บั ในกายอยู่ หรอื พจิ ารณาเหน็ ทงั้ ธรรมเปน็ เหตเุ กดิ ทงั้ ธรรมเปน็ เหตดุ บั ในกายอยู่ หรอื วา่ ภกิ ษนุ น้ั มสี ตปิ รากฏ อยู่เฉพาะหน้าวา่ ‘กายมีอย’ู่ ก็เพียงเพอ่ื อาศยั เจริญญาณ เจริญสตเิ ทา่ นั้น ไมอ่ าศัย (ตัณหาและ
บทที่ 2 หลกั ธรรมและวนิ ัยว่าด้วย การแพทย์ การนวด การดูแลสขุ ภาพ ในพทุ ธศาสนา 77 ทฏิ ฐิ)อยู่ และไมย่ ดึ มั่นถอื ม่ันอะไรๆ ในโลก ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภิกษพุ ิจารณาเหน็ กายในกายอยู่ อย่างนแี้ ล ภิกษุทั้งหลาย อกี ประการหน่ึง ภกิ ษพุ จิ ารณาเห็นกายนี้ตามทต่ี ง้ั อยู่ ตามทีด่ ำ� รงอยู่โดยความ เปน็ ธาตุวา่ ‘ในกายน้ี มธี าตุดนิ ธาตุน�ำ้ ธาตุไฟ ธาตุลมอย’ู่ ภกิ ษุท้งั หลาย คนฆ่าโคหรอื ลูกมือของ คนฆา่ โคผมู้ คี วามชำ� นาญ ครน้ั ฆา่ โคแลว้ แบง่ อวยั วะออกเปน็ สว่ นๆ นงั่ อยทู่ หี่ นทางใหญส่ แ่ี พรง่ แม้ ฉนั ใด ภกิ ษกุ ฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั พจิ ารณาเหน็ กายนต้ี ามทตี่ ง้ั อยู่ ตามทดี่ ำ� รงอยู่ โดยความเปน็ ธาตวุ า่ ‘ในกายน้ี มีธาตดุ นิ ธาตุน�้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมอยู’่ ดว้ ยวิธนี ้ี ภิกษุพิจารณาเหน็ กายในกายภายในอยู่ พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นกายในกาย ท้ังภายในท้ังภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในกายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับในกายอยู่ หรือพิจารณา เหน็ ทงั้ ธรรมเปน็ เหตเุ กดิ ทงั้ ธรรมเปน็ เหตดุ บั ในกายอยู่ หรอื วา่ ภกิ ษนุ น้ั มสี ตปิ รากฏอยเู่ ฉพาะหนา้ วา่ ‘กายมีอย’ู่ กเ็ พยี งเพ่ืออาศยั เจรญิ ญาณ เจรญิ สตเิ ทา่ นั้น ไม่อาศยั (ตณั หาและทฏิ ฐ)ิ อยู่ และไม่ ยดึ ม่ัน ถอื ม่ันอะไรๆ ในโลก ภกิ ษุทัง้ หลายภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ อยา่ งนแี้ ล ๕. หลักธรรมวา่ ด้วย ชีวติ คืออะไร หลักธรรมสำ� คญั ของพุทธศาสนาเกี่ยวกบั การแพทย์อกี ขอ้ หน่ึง คอื ชวี ิตประกอบข้ึนจากขนั ธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ เมอ่ื เกิดการยดึ มัน่ ถือมน่ั วา่ ขนั ธ์ ๕ เปน็ ของเรา ก็จะเป็น อุปทานขันธ์ อุปาทานขันธ์ ๕ ประการ ได้แก่ ๑. รูปูปาทานขันธ์ ๒. เวทนูปาทานขันธ์ ๓. สัญญูปาทานขันธ์ ๔. สงั ขารปู าทานขนั ธ์ ๕. วญิ ญาณูปาทานขนั ธ์ รปู หรือกาย ประกอบด้วย มหาภูตรูป ๔ คอื ปฐวธี าตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ปฐวธี าตุ เปน็ ของแขน้ แขง็ เปน็ ของหยาบ ไดแ้ ก่ ผม ขน เลบ็ ฟนั หนงั เนอื้ เอน็ กระดกู เยอื่ ในกระดกู ไต หัวใจ ตบั พังผดื มา้ ม ปอด ไสใ้ หญ่ ไสน้ อ้ ย อาหารใหม่ อาหารเกา่ (ตอ่ มามีการเพิ่ม สมอง เป็นปฐวี ธาตทุ ี่ ๒๐) อาโปธาตุ เปน็ ของเอบิ อาบ มีความเอิบอาบ ไดแ้ ก่ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มนั ข้น น้ำ� ตา เปลวมนั น้�ำลาย น�ำ้ มกู ไขข้อ มตู ร
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 78 เตโชธาตุ เปน็ ของเรา่ รอ้ น มคี วามเรา่ รอ้ น ไดแ้ ก่ ธรรมชาตทิ เี่ ปน็ เครอ่ื งทำ� รา่ งกายใหอ้ บอนุ่ ธรรมชาติ ทเ่ี ปน็ เครอ่ื งทำ� รา่ งกายใหท้ รดุ โทรม ธรรมชาตทิ เ่ี ปน็ เครอ่ื งทำ� รา่ งกายใหเ้ รา่ รอ้ น ธรรมชาตทิ เ่ี ปน็ เครอ่ื งยอ่ ย สิ่งทีก่ นิ แลว้ ด่มื แล้ว เคี้ยวแลว้ และล้มิ รสแล้ว วาโยธาตุ เปน็ ของพดั ไปมา มคี วามพดั ไปมา ไดแ้ ก่ ลมทพ่ี ดั ขนึ้ เบอื้ งบน ลมทพ่ี ดั ลงเบอ้ื งตำ�่ ลมในทอ้ ง ลมในล�ำไส้ ลมท่ีแลน่ ไปตามอวยั วะน้อยใหญ่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หลักธรรมข้อน้ีได้กลายเป็นทฤษฎีของการแพทย์ในพระพุทธศาสนา และได้สืบทอดต่อเป็นทฤษฎี การแพทยด์ ง้ั เดมิ ของประเทศตา่ งๆ ทนี่ บั ถอื พทุ ธศาสนา รวมทง้ั เปน็ ทฤษฎกี ารแพทยแ์ ผนไทยและทฤษฎี การนวดไทย ที่เช่ือว่า ชีวิตประกอบขึ้นจากขันธ์ทั้ง ๕ และร่างกายเราประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ คือ ดิน น้�ำ ลม ไฟ พระไตรปิฎก เลม่ ท่ี ๑๓ สุตตนั ตปฎิ กท่ี ๐๔ มชั ฌมิ นิกาย มูลปณั ณาสก์ มหาภูตรูป ๔ อะไรบ้าง คือ ๑. ปฐวธี าตุ ๒. อาโปธาตุ ๓. เตโชธาตุ ๔. วาโยธาตุ ปฐวีธาตุ [๓๐๒] ปฐวธี าตุ เป็นอยา่ งไร คือ ปฐวธี าตภุ ายในกม็ ี ปฐวีธาตุภายนอกกม็ ี ปฐวธี าตภุ ายใน เปน็ อยา่ งไร คอื อปุ าทนิ นกรปู ๒ ภายในทเ่ี ปน็ ของเฉพาะตน เปน็ ของแขน้ แขง็ เป็นของหยาบไดแ้ ก่ ผม ขน เลบ็ ฟัน หนงั เนือ้ เอ็น กระดกู เย่ือในกระดูก ไต หวั ใจ ตบั พังผืด มา้ ม ปอด ไสใ้ หญ่ ไสน้ อ้ ย อาหารใหม่ อาหารเกา่ หรอื อปุ าทนิ นกรปู ภายในอน่ื ใด ทเ่ี ปน็ ของเฉพาะ ตน เปน็ ของแขน้ แข็ง เปน็ ของหยาบ น้เี รียกวา่ ‘ปฐวีธาตภุ ายใน’ ปฐวีธาตุภายใน และปฐวีธาตุ ภายนอกน้ี กเ็ ปน็ ปฐวีธาตุน่นั เอง บณั ฑิตควรเห็นปฐวีธาตนุ ั้นตามความเป็นจริง ด้วยปญั ญาอนั ชอบอย่างนีว้ า่ ‘นน่ั ไมใ่ ช่ของเรา เราไมเ่ ปน็ นน่ั นนั่ ไมใ่ ชอ่ ตั ตาของเรา’ บณั ฑติ ครน้ั เหน็ ปฐวธี าตนุ น้ั ตามความเปน็ จรงิ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบอย่างน้ีแล้ว ย่อมเบ่ือหน่ายในปฐวีธาตุ และท�ำจิตให้คลายก�ำหนัดจากปฐวีธาตุ เวลาท่ีอาโป ๒ อุปาทนิ นกรูป หมายถงึ รปู มีกรรมเปน็ สมุฏฐาน คำ� นเี้ ป็นชอื่ ของรูปท่ดี ำ� รงอยูภ่ ายในสรรี ะ ทีย่ ดึ ถือจบั ตอ้ ง ลบู คลำ� ได้ เชน่ ผม ขน ฯลฯ อาหารใหม่ อาหารเก่า ค�ำนี้ก�ำหนดจำ� แนกหมายเอาปฐวธี าตุภายในแตส่ ำ� หรับอาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ก็มี นัยเช่นเดยี วกัน พงึ ทราบความพิสดารในคมั ภีร์วิสุทธิมรรค(ม.มู.อ. ๒/๓๐๒/๑๓๐)
บทท่ี 2 หลกั ธรรมและวินยั ว่าดว้ ย การแพทย์ การนวด การดูแลสุขภาพ ในพุทธศาสนา 79 ธาตภุ ายนอกก�ำเรบิ ย่อมจะมีได้ ในเวลานั้น ปฐวธี าตุภายนอกจะอันตรธานไป ปฐวีธาตภุ ายนอก ซงึ่ ใหญถ่ งึ เพยี งนน้ั ยงั ปรากฏเปน็ ของไมเ่ ทย่ี ง มคี วามสนิ้ ไปเปน็ ธรรมดา มคี วามเสอื่ มไปเปน็ ธรรมดา มีความแปรผนั ไปเปน็ ธรรมดา ไฉนกายซึง่ ตั้งอยูช่ ัว่ เวลาเล็กน้อยน้ที ีถ่ กู ตัณหาเข้าไปยึดถือว่า ‘เรา’ ว่า ‘ของเรา’ ว่า ‘เรามอี ย’ู่ จกั ไม่ปรากฏเปน็ ของไม่เทีย่ ง มีความสิน้ ไปเป็นธรรมดา มคี วามเสอื่ ม ไปเป็นธรรมดา และมีความแปรผนั ไปเป็นธรรมดาเลา่ เมอ่ื เปน็ เชน่ น้ี ภิกษุนน้ั ก็ไมม่ ีความยดึ ถอื ในปฐวธี าตุภายใน นี้หากชนเหลา่ อน่ื จะด่า บริภาษ เกร้ียวกราด เบยี ดเบียนภกิ ษนุ ัน้ ภิกษนุ ั้นรชู้ ัดอยา่ งน้วี า่ ‘ทุกขเวทนาอนั เกิดจากโสตสมั ผัสน้ี เกิด ขน้ึ แลว้ แกเ่ รา แตท่ กุ ขเวทนานนั้ อาศยั เหตจุ งึ เกดิ ขนึ้ ได้ ไมอ่ าศยั เหตกุ จ็ ะเกดิ ขน้ึ ไมไ่ ด้ ทกุ ขเวทนานี้ อาศัยอะไรจงึ เกดิ ข้ึนได้ ทกุ ขเวทนาอาศยั ผสั สะจึงเกิดขึ้นได’้ ภกิ ษนุ ั้นย่อมเหน็ วา่ ‘ผสั สะไม่เท่ยี ง เวทนาไมเ่ ทยี่ ง สญั ญาไมเ่ ทย่ี ง สงั ขารทงั้ หลายไมเ่ ทยี่ ง วญิ ญาณไมเ่ ทยี่ ง’ จติ ของภกิ ษนุ น้ั ยอ่ มดงิ่ ไป ย่อมผ่องใส ดำ� รงม่นั และน้อมไปในอารมณค์ อื ธาตนุ ั่นแล หากชนเหล่าอ่ืนจะพยายามทำ� รา้ ยภกิ ษุ นนั้ ดว้ ยอาการทไี่ มน่ า่ ปรารถนา ไมน่ า่ ใคร่ ไมน่ า่ พอใจ คอื ดว้ ยการทำ� รา้ ยดว้ ยฝา่ มอื บา้ ง การทำ� รา้ ย ด้วยก้อนดินบ้าง การท�ำร้ายด้วยท่อนไม้บ้าง การท�ำร้ายด้วยศัสตราบ้าง ภิกษุนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า ‘กายนเ้ี ป็นท่ีรองรบั การท�ำรา้ ยดว้ ยฝา่ มอื บา้ ง การทำ� ร้ายด้วยก้อนดนิ บ้าง การทำ� รา้ ยดว้ ยทอ่ นไม้ บา้ ง การท�ำรา้ ยดว้ ยศสั ตราบา้ ง’ อนึง่ พระผมู้ พี ระภาคไดต้ รสั ไวใ้ นพระโอวาทท่ีอปุ มาดว้ ยเลอื่ ยวา่ ‘ภิกษทุ ้ังหลาย หากพวกโจรผ้ปู ระพฤติต�่ำทราม จะพึงใชเ้ ลื่อยที่มที ่จี บั ๒ ข้าง เล่อื ยอวัยวะน้อย ใหญ่ ผูม้ ีใจคิดร้าย แม้ในพวกโจรนั้นกไ็ ม่ชื่อวา่ ท�ำตามค�ำส่งั สอนของเรา เพราะเหตุท่อี ดกลั้นไมไ่ ด้ นน้ั ’ อนง่ึ ความเพยี รทเ่ี ราเรมิ่ ทำ� แลว้ จกั ไมย่ อ่ หยอ่ น สตทิ เ่ี ราตง้ั ไวแ้ ลว้ จกั ไมห่ ลงลมื กายทเี่ ราทำ� ให้ สงบแลว้ จกั ไมก่ ระวนกระวาย จติ ทเี่ ราทำ� ใหต้ งั้ มนั่ แลว้ จกั มอี ารมณแ์ นว่ แน่ คราวนตี้ อ่ ใหม้ กี ารทำ� รา้ ย ดว้ ยฝา่ มอื การทำ� รา้ ยดว้ ยกอ้ นดนิ การทำ� รา้ ยดว้ ยทอ่ นไม้ หรอื การทำ� รา้ ยดว้ ยศสั ตราทกี่ ายนี้ กต็ าม เราก็จะทำ� ตามคำ� สอนของพระพุทธเจา้ ทง้ั หลายนใ้ี ห้จงได้ เม่ือภิกษุน้ันระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงพระธรรม และระลึกถึงพระสงฆ์อยู่อย่างนี้ ถ้า อเุ บกขาอนั อาศยั กศุ ลธรรมยงั ดำ� รงอยไู่ มไ่ ด้ ภกิ ษนุ น้ั ยอ่ มสลดหดหใู่ จเพราะเหตนุ น้ั วา่ ‘ไมเ่ ปน็ ลาภ ของเราหนอ ลาภไม่มแี ก่เราหนอ เราไดไ้ ม่ดแี ล้วหนอ การได้ด้วยดไี ม่มแี กเ่ ราหนอ ท่เี ราระลกึ ถึง พระพุทธเจ้า ระลึกถึงพระธรรม และระลึกถึงพระสงฆ์อยู่อย่างนี้ อุเบกขาอันอาศัยกุศลธรรมยัง ดำ� รงอยไู่ มไ่ ด’้ หญงิ สะใภเ้ หน็ พอ่ ผวั แลว้ ยอ่ มสลดหดหใู่ จ แมฉ้ นั ใด ภกิ ษนุ น้ั กฉ็ นั นนั้ เหมอื นกนั เมอื่ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ระลกึ ถงึ พระธรรม และระลกึ ถงึ พระสงฆอ์ ยอู่ ยา่ งนี้ ถา้ อเุ บกขาอนั อาศยั กศุ ล ธรรมยังด�ำรงอยไู่ มไ่ ด้ ยอ่ มสลดหดหูใ่ จเพราะเหตนุ น้ั วา่ ‘ไม่เปน็ ลาภของเราหนอ ลาภไม่มีแกเ่ รา หนอ เราไดไ้ มด่ แี ลว้ หนอ การไดด้ ว้ ยดไี มม่ แี กเ่ ราหนอ ทเ่ี ราระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ระลกึ ถงึ พระธรรม
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแห่งการนวดไทย 80 และระลึกถึงพระสงฆ์อยู่อย่างน้ี อุเบกขาอนั อาศัยกศุ ลธรรมยังดำ� รงอยไู่ มไ่ ด’้ ทา่ นผมู้ อี ายทุ งั้ หลาย เมอื่ ภกิ ษนุ นั้ ระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ระลกึ ถงึ พระธรรมและระลกึ ถงึ พระสงฆอ์ ยู่ อย่างนี้ ถา้ อุเบกขาอันอาศัยกุศลธรรมด�ำรงอยไู่ ด้ดว้ ยดี ภิกษุนัน้ ยอ่ มพอใจเพราะเหตนุ น้ั ด้วยเหตุ เพยี งเทา่ น้ี ภิกษไุ ด้ช่อื วา่ ท�ำตามคำ� สัง่ สอนของพระพุทธเจา้ ท้ังหลายเปน็ อย่างมากแล้ว อาโปธาตุ [๓๐๓] อาโปธาตุ เปน็ อยา่ งไร คือ อาโปธาตุภายในก็มี อาโปธาตุภายนอกก็มี อาโปธาตภุ ายใน เปน็ อยา่ งไรคือ อุปาทนิ นกรูปภายในท่ีเป็นของเฉพาะตน เป็นของเอิบอาบ มคี วามเอิบอาบ ไดแ้ ก่ ดี เสลด หนอง เลอื ด เหงือ่ มันข้น นำ�้ ตา เปลวมนั นำ�้ ลาย น�้ำมูก ไขข้อ มตู ร หรืออุปาทินนกรูปภายในอื่นใด ท่ีเป็นของเฉพาะตนเป็นของเอิบอาบ มีความเอิบอาบ นี้เรียกว่า อาโปธาตภุ ายใน อาโปธาตุภายใน และอาโปธาตภุ ายนอกนี้ ก็เป็นอาโปธาตนุ นั่ เอง บัณฑติ พงึ เห็นอาโปธาตุนนั้ ตามความเปน็ จรงิ ดว้ ยปญั ญาอันชอบอยา่ งนวี้ ่า ‘น่ันไม่ใช่ของเรา เราไม่เปน็ นั่น นน่ั ไม่ใช่อตั ตาของเรา’ คร้นั เห็นอาโปธาตนุ ้นั ตามความเป็นจรงิ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบ อย่างนแี้ ล้ว ย่อมเบ่ือหน่ายในอาโปธาตุ และท�ำจิตให้คลายกำ� หนัดจากอาโปธาตุ เวลาทอ่ี าโปธาตภุ ายนอกกำ� เรบิ ยอ่ มจะมไี ด้ อาโปธาตภุ ายนอกนน้ั ยอ่ มพดั พาบา้ นไปบา้ ง นคิ ม ไปบ้าง เมืองไปบ้าง ชนบทไปบ้าง บางส่วนของชนบทไปบ้าง เวลาท่ีน�ำ้ ในมหาสมทุ รลึกลงไป ๑๐๐ โยชน์บา้ ง ๒๐๐ โยชนบ์ ้าง ๓๐๐ โยชน์บา้ ง ๔๐๐ โยชน์ บ้าง ๕๐๐ โยชนบ์ ้าง ๖๐๐ โยชน์บ้าง ๗๐๐ โยชนบ์ า้ ง ย่อมจะมีได้ เวลาทนี่ ้ำ� ในมหาสมทุ รขงั อยู่ ๗ ช่วั ลำ� ตาลบา้ ง ๖ ช่วั ล�ำตาลบ้าง ๕ ชวั่ ลำ� ตาลบา้ ง ๔ ชั่วลำ� ตาลบ้าง ๓ ช่ัวลำ� ตาลบ้าง ๒ ชว่ั ล�ำตาล บา้ ง ๑ ชั่วลำ� ตาลบา้ งยอ่ มจะมไี ด้ เวลาท่นี ้ำ� ในมหาสมทุ รขังอยู่ ๗ ชว่ั บรุ ุษบ้าง ๖ ชัว่ บุรุษบ้าง ๕ ชว่ั บรุ ษุ บา้ ง ๔ ชัว่ บรุ ุษบา้ ง ๓ ชั่วบรุ ษุ บ้าง ๒ ชั่วบรุ ุษบา้ ง ๑ ช่ัวบรุ ุษบ้าง ยอ่ มจะมีได้ เวลาทนี่ ้�ำในมหาสมทุ รขงั อยู่กง่ึ ชวั่ บรุ ุษบ้าง ประมาณเพียงสะเอวบ้าง ประมาณเพียงเข่าบา้ ง ประมาณเพยี งข้อเทา้ บา้ ง ยอ่ มจะมไี ด้ เวลาท่ีน้�ำ ในมหาสมุทรไมม่ ีพอเปียกขอ้ นิ้วมอื ก็ย่อมจะมไี ด้ อาโปธาตุภายนอกซ่งึ มีมากถงึ เพยี งน้นั ยงั ปรากฏเปน็ ของไม่เที่ยง มีความส้ินไปเปน็ ธรรมดา มคี วามเสอื่ มไปเปน็ ธรรมดา มคี วามแปรผนั ไปเปน็ ธรรมดา ไฉนกายซงึ่ ตงั้ อยชู่ ว่ั เวลาเลก็ นอ้ ย ทถี่ กู ตณั หาเขา้ ไปยึดถอื วา่ ‘เรา’ วา่ ‘ของเรา’ ว่า ‘เรามอี ยู่’ จกั ไมป่ รากฏเป็นของไมเ่ ท่ยี ง มคี วามสน้ิ ไปเป็นธรรมดา มีความเสือ่ มไปเปน็ ธรรมดา และมีความแปรผันไปเป็นธรรมดาเลา่ เม่อื เป็นเช่นนี้
บทท่ี 2 หลักธรรมและวนิ ยั วา่ ด้วย การแพทย์ การนวด การดแู ลสุขภาพ ในพุทธศาสนา 81 ภกิ ษุนน้ั กไ็ มม่ คี วามยึดถือในอาโปธาตภุ ายนอกน้ี ฯลฯ เมอื่ ภิกษุนนั้ ระลกึ ถึงพระพทุ ธเจ้า ระลึกถงึ พระธรรม และระลึกถงึ พระสงฆอ์ ย่อู ยา่ งน้ี อเุ บกขาอนั อาศัยกศุ ลธรรมด�ำรงอยไู่ ดด้ ว้ ยดี ภกิ ษนุ ัน้ ย่อมพอใจเพราะเหตุน้นั ดว้ ยเหตุเพียงเท่านี้ ภิกษไุ ดช้ ื่อว่าท�ำตามค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจา้ เป็น อยา่ งมากแลว้ เตโชธาตุ [๓๐๔] เตโชธาตุ เป็นอยา่ งไร คือ เตโชธาตุภายในก็มี เตโชธาตภุ ายนอกกม็ ี เตโชธาตุที่เปน็ ภายใน เปน็ อย่างไร คอื อปุ าทินนกรูปภายใน ทีเ่ ป็นของเฉพาะตน เป็นของ เรา่ ร้อน มคี วามเร่าร้อน ได้แกธ่ รรมชาตทิ ่ีเป็นเครอื่ งทำ� ร่างกายใหอ้ บอนุ่ ธรรมชาติท่เี ปน็ เครือ่ งทำ� รา่ งกายใหท้ รุดโทรม ธรรมชาตทิ ีเ่ ป็นเครื่องทำ� รา่ งกายใหเ้ ร่าร้อน ธรรมชาติท่เี ปน็ เครอื่ งย่อยสิ่งที่ กินแล้ว ดืม่ แลว้ เคยี้ วแลว้ และล้มิ รสแลว้ หรอื อปุ าทินนกรปู ภายในอื่นใด ทเี่ ปน็ ของเฉพาะตน เปน็ ของเรา่ ร้อน มีความเรา่ รอ้ น น้เี รียกว่าเตโชธาตภุ ายในเตโชธาตภุ ายใน และเตโชธาตุภายนอก นี้ กเ็ ปน็ เตโชธาตุน่นั เอง บัณฑิตพึงเหน็ เตโชธาตนุ น้ั ตามความเปน็ จริง ด้วยปัญญาอนั ชอบอยา่ งน้ีว่า ‘นัน่ ไม่ใชข่ องเรา เราไมเ่ ป็นนั่น นั่นไมใ่ ชอ่ ตั ตาของเรา’ บัณฑติ คร้นั เหน็ เตโชธาตนุ ้ันตามความเป็นจริง ด้วยปัญญา อันชอบอยา่ งน้ีแลว้ ยอ่ มเบ่ือหนา่ ยในเตโชธาตุ และท�ำจิตให้คลายก�ำหนดั จากเตโชธาตุ เวลาที่เตโชธาตุภายนอกก�ำเริบยอ่ มจะมีได้ เตโชธาตภุ ายนอกนน้ั ย่อมไหมบ้ า้ นบ้าง นคิ มบ้าง นครบา้ ง ชนบทบา้ ง บางส่วนของชนบทบ้าง เตโชธาตุภายนอกนนั้ (ลาม) มาถึงหญา้ สด หนทาง ภูเขา น้�ำ หรือภูมิภาคที่น่าร่ืนรมย์ แล้วเมื่อไม่มีเช้ือย่อมดับไปเอง เวลาท่ีชนทั้งหลายแสวงหาไฟ ดว้ ยขนไก่บ้าง ดว้ ยการขูดหนงั บา้ ง ย่อมจะมีได้ เตโชธาตภุ ายนอกซงึ่ ใหญถ่ ึงเพยี งนนั้ ยังปรากฏ เป็นของไม่เที่ยง มีความส้ินไปเป็นธรรมดา มีความเส่ือมไปเป็นธรรมดา มีความแปรผันไปเป็น ธรรมดา ไฉนกายซง่ึ ตง้ั อยชู่ วั่ เวลาเล็กน้อยทถ่ี กู ตัณหาเข้าไปยดึ ถือวา่ ‘เรา’ วา่ ‘ของเรา’ วา่ ‘เรามอี ยู่’ จกั ไมป่ รากฏ เปน็ ของไมเ่ ทย่ี ง มคี วามสนิ้ ไปเปน็ ธรรมดา มคี วามเสอื่ มไปเปน็ ธรรมดา มคี วามแปรผนั ไปเป็นธรรมดาเล่า เมอื่ เป็นเช่นน้ี ภกิ ษนุ ้ันก็ไม่มคี วามยึดถือในเตโชธาตุภายนอกนี้ ฯลฯ เม่อื ภิกษุ นนั้ ระลกึ ถงึ พระพุทธเจา้ ระลึกถงึ พระธรรม และระลกึ ถงึ พระสงฆ์อย่อู ยา่ งนี้ ถา้ อเุ บกขาอนั อาศัย กุศลธรรมด�ำรงอย่ไู ดด้ ว้ ยดี ภิกษนุ ัน้ ยอ่ มพอใจเพราะเหตุนั้น ด้วยเหตเุ พยี งเทา่ น้ี ภิกษไุ ด้ชือ่ วา่ ทำ� ตามคำ� สง่ั สอนของพระพุทธเจา้ เป็นอยา่ งมากแลว้
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 82 วาโยธาตุ [๓๐๕] วาโยธาตุ เป็นอยา่ งไร คอื วาโยธาตุภายในกม็ ี วาโยธาตุภายนอกก็มี วาโยธาตุภายใน เป็นอย่างไร คือ อุปาทนิ นกรปู ภายใน ทีเ่ ป็นของเฉพาะตน เป็นของพดั ไปมา มคี วามพัดไปมา ได้แก่ ลมท่พี ดั ข้นึ เบ้ืองบน ลมทีพ่ ัดลงเบอื้ งต่�ำ ลมในทอ้ ง ลมในล�ำไส้ ลมท่ีแล่นไป ตามอวยั วะนอ้ ยใหญ่ ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออก หรอื อปุ าทนิ นกรปู ภายในอน่ื ใด ทเี่ ปน็ ของเฉพาะ ตน เปน็ ของพดั ไปมา มคี วามพัดไปมา นีเ้ รียกวา่ วาโยธาตภุ ายใน วาโยธาตภุ ายใน และวาโยธาตุภายนอกน้ี กเ็ ปน็ วาโยธาตุนั่นเอง บณั ฑติ พงึ เหน็ วาโยธาตุน้นั ตามความเปน็ จรงิ ดว้ ยปญั ญาอนั ชอบอย่างนี้วา่ ‘นน่ั ไม่ใช่ของเรา เราไมเ่ ป็นน่ัน นนั่ ไม่ใชอ่ ัตตาของเรา’ บัณฑิตคร้นั เห็นวาโยธาตนุ ้นั ตามความเป็นจรงิ ด้วยปญั ญา อันชอบอย่างนแี้ ลว้ ย่อมเบอื่ หน่ายในวาโยธาตุ และทำ� จติ ให้คลายก�ำหนดั จากวาโยธาตุ เวลาทวี่ าโยธาตภุ ายนอกกำ� เรบิ ยอ่ มจะมไี ด้ วาโยธาตภุ ายนอกนนั้ ยอ่ มพดั พาบา้ นไปบา้ ง นคิ ม ไปบา้ ง นครไปบา้ ง ชนบทไปบา้ ง บางสว่ นของชนบทไปบา้ ง เวลาทชี่ นทง้ั หลายแสวงหาลมดว้ ยพดั ใบตาลบ้าง ดว้ ยพัดสำ� หรับพัดไฟบา้ ง ในเดอื นสุดทา้ ยแหง่ ฤดูร้อน แมใ้ นที่ชายคาหญา้ ทง้ั หลายก็ ไม่ไหว ยอ่ มจะมีได้ วาโยธาตุภายนอกซ่งึ ใหญ่ถงึ เพียงน้นั ยงั ปรากฏเปน็ ของไม่เทยี่ ง มคี วามสนิ้ ไปเปน็ ธรรมดา มี ความเสอื่ มไปเปน็ ธรรมดา มคี วามแปรผนั ไปเปน็ ธรรมดา ไฉนกายซงึ่ ตงั้ อยชู่ วั่ เวลาเลก็ นอ้ ยน้ี ทถ่ี กู ตณั หาเขา้ ไปยึดถอื วา่ ‘เรา’ วา่ ‘ของเรา’ วา่ ‘เรามีอย’ู่ จกั ไม่ปรากฏเปน็ ของไม่เท่ียง มคี วามส้นิ ไปเปน็ ธรรมดา มคี วามเสอื่ มไปเปน็ ธรรมดา มคี วามแปรผนั ไปเปน็ ธรรมดาเลา่ เมอ่ื เปน็ เชน่ นี้ ภกิ ษุ น้นั กไ็ ม่มีความยึดถอื ในวาโยธาตภุ ายนอกนี้ หากชนเหล่าอ่ืนจะด่า บริภาษ เกี้ยวกราด เบียดเบียนภิกษุนั้น ภิกษุนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า ‘ทุกขเวทนาอันเกดิ จากโสตสัมผัสน้ี เกิดขึ้นแลว้ แก่เรา แตท่ กุ ขเวทนานน้ั อาศัยเหตุจงึ เกิดขึน้ ได้ ไม่ อาศยั เหตกุ จ็ ะเกดิ ขน้ึ ไมไ่ ด้ ทกุ ขเวทนานอ้ี าศยั อะไรจงึ เกดิ ขน้ึ ได้ ทกุ ขเวทนานอ้ี าศยั ผสั สะจงึ เกดิ ขนึ้ ได้’ ภิกษุนั้นย่อมเห็นว่า ‘ผัสสะเป็นของไม่เท่ียง เวทนาเป็นของไม่เที่ยง สัญญาเป็นของไม่เท่ียง สงั ขารทัง้ หลายเป็นของไม่เที่ยง วิญญาณเปน็ ของไมเ่ ทยี่ ง’ จติ ของภกิ ษุนน้ั ย่อมดิง่ ไป ยอ่ มผอ่ งใส ด�ำรงมั่นและน้อมไปในอารมณ์ คือธาตุนัน่ แล
บทท่ี 2 หลักธรรมและวนิ ยั วา่ ด้วย การแพทย์ การนวด การดแู ลสุขภาพ ในพทุ ธศาสนา 83 ๖. หลักธรรมว่าด้วย โรค พระพทุ ธเจา้ ไดก้ ล่าวถงึ โรค ในโรคสตู ร วา่ โรคมี ๒ อย่าง ไดแ้ ก่ โรคทางกาย และโรคทางใจ คนอาจปลอดจากโรคทางกายตลอดระยะเวลา ๑ ปี จนถงึ มากกวา่ ๑๐๐ ปี แต่ไม่สามารถปลอดจาก โรคทางใจแม้ครเู่ ดียว ยกเว้นผทู้ ห่ี มดกเิ ลสแล้วเท่านัน้ หลกั ธรรมขอ้ นี้ แสดงวา่ พทุ ธศาสนาไดใ้ หค้ วามสำ� คญั ของโรคทางใจ การจะหมดโรคทางใจตอ้ งควบคมุ กิเลสให้ได้ พระไตรปิฎกเล่มท่ี ๒๑ สุตตันตปิฎกท่ี ๑๓ องั คตุ ตรนกิ าย จตกุ กนบิ าต โรคสูตร (ว่าดว้ ยโรค) [๑๕๗] ภกิ ษทุ งั้ หลาย โรค ๒ อยา่ งน้ี โรค ๒ อยา่ งอะไรบา้ ง คอื ๑. โรคทางกาย ๒. โรคทางใจ สัตวผ์ อู้ ้างว่า ตนเองไมม่ ีโรคทางกายตลอดระยะเวลา ๑ ปบี ้าง ๒ ปบี า้ ง ๓ ปบี า้ ง ๔ ปีบ้าง ๕ ปีบ้าง ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปบี ้าง ๓๐ ปีบา้ ง ๔๐ ปบี า้ ง ๕๐ ปบี า้ ง แมย้ ง่ิ กว่า ๑๐๐ ปบี ้าง ยังพอมอี ยู่ แต่สัตว์ผู้จะกล่าวอ้างว่า ตนเองไม่มีโรคทางใจตลอดระยะเวลาแม้ครู่เดียว หาได้โดยยาก ยกเว้น ท่านผูห้ มดกิเลสแล้วทั้งหลาย โรคของบรรพชติ ๔ อย่างน้ี โรค ๔ อย่างอะไรบา้ ง คอื ๑. ภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี้เป็นคนมกั มาก คับแคน้ ไมส่ นั โดษดว้ ยจวี ร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสชั ชบรขิ ารตามแต่จะได้ ๒. เธอเม่ือมักมาก คับแค้น ไม่สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชชบริขาร ตามแตจ่ ะได้ ยอ่ มตงั้ ความปรารถนาชวั่ เพอื่ ไมใ่ หผ้ อู้ นื่ ดหู มน่ิ เพอ่ื ใหไ้ ดล้ าภสกั การะและชอื่ เสยี ง ๓. เธอว่ิงเต้น ขวนขวาย พยายามเพื่อไม่ให้ผู้อื่นดูหมิ่น เพื่อให้ได้ลาภสักการะและชื่อเสียง ๔. เธอ เข้าไปหาตระกลู ท้ังหลาย น่งั กลา่ วธรรรมกลั้นอจุ จาระและปสั สาวะเพือ่ ให้เขานบั ถอื ภกิ ษุท้งั หลาย โรคของบรรพชติ ๔ อย่างนแี้ ล เพราะเหตนุ น้ั เธอทง้ั หลายในธรรมวนิ ยั นพี้ งึ สำ� เหนยี กอยา่ งนวี้ า่ “เราจกั ไมเ่ ปน็ คนมกั มาก ไม่ เป็นคนมีจิตคับแค้น ไม่เป็นคนไม่สันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชช บรขิ ารตามแตจ่ ะได้ เราจกั ไมต่ งั้ ความปรารถนาชว่ั เพอื่ ใหค้ นอนื่ รจู้ กั เพอื่ ใหไ้ ดล้ าภสกั การะและชอ่ื เสยี ง เราจกั ไมว่ งิ่ เตน้ ไมข่ วนขวายไมพ่ ยายามเพอ่ื ใหค้ นอนื่ รจู้ กั เพอ่ื ใหไ้ ดล้ าภสกั การะและชอื่ เสยี ง เราจกั อดทนต่อความหนาว ความรอ้ น ความหิวกระหาย ตอ่ การถกู เหลอื บ ยงุ ลม แดดและสัตว์ เลอ้ื ยคลานทง้ั หลายรบกวน ตอ่ ถอ้ ยคำ� หยาบคายรา้ ยแรงตา่ งๆจกั เปน็ ผอู้ ดกลนั้ เวทนาทง้ั หลายอนั
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแห่งการนวดไทย 84 มีในร่างกายทีเ่ กดิ ข้นึ แล้ว เปน็ ทกุ ข์ กลา้ แขง็ เจบ็ ปวดเผด็ ร้อน ไมน่ า่ ยินดี ไม่นา่ พอใจ พรากชวี ติ ” ภกิ ษทุ ัง้ หลาย พวกเธอพึงส�ำเหนียกอยา่ งนีแ้ ล ๗. หลกั ธรรมว่าดว้ ย การเกดิ โรค หรอื สมฏุ ฐาน พระพทุ ธเจา้ ไดก้ ลา่ วถงึ สาเหตขุ องการเกดิ โรค๓ วา่ เกดิ จาก นำ�้ ดี เสลด ลม สาเหตจุ ากไขส้ นั นบิ าต ฤดู แปรปรวน การบริหารทไี่ มส่ ม่�ำเสมอ ความเพยี รเกินกำ� ลงั วิบากกรรม ความหนาว ความรอ้ น ความหวิ ความกระหาย ปวดอจุ จาระ ปวดปัสสาวะ หลกั ธรรมเกย่ี วกบั สาเหตขุ องโรคนี้ มกี ารกลา่ วถงึ ตรโี ทษและการผสมผสานของตรโี ทษ คอื นำ�้ ดี เสลด ลม สาเหตจุ ากไข้สนั นิบาต ซ่ึงเป็นแกน่ ของสมุฏฐานวิทยาของการแพทยอ์ ายุรเวท หลักธรรมเร่ืองสมุฏฐานโรคน้ี ได้ปรากฎอยู่ในทฤษฎีการแพทย์แผนไทยว่าด้วยสมุฏฐานในคัมภีร์ สมฏุ ฐานวนิ จิ ฉยั วา่ ดว้ ย ธาตสุ มฏุ ฐาน อายสุ มฏุ ฐาน อตุ สุ มฏุ ฐาน และกาลสมฏุ ฐาน โดยในคมั ภรี ก์ ารแพทย์ แผนไทยจะใชล้ กั ษณะของเจา้ เรอื นมาอธบิ ายแทนตรโี ทษ นอกจากนี้ ยงั มปี รากฏเพม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั ประเทศ สมฏุ ฐาน และอิริยาบถตา่ งๆ ในคมั ภีรว์ รโยคสาร ในคมั ภรี ธ์ าตุววิ รณ์ ไดก้ ล่าวถึงอาพาธ ๘ ซ่งึ ตรงกับหลกั ธรรมขอ้ น้ี อาพาธ ๘ ได้แก่ ๑. ปิตตะสมุฏฐานา อาพาธา คอื อาพาธมีปติ ตะเปน็ สมฏุ ฐาน ๒. เสมหะสมุฏฐานา อาพาธา คอื อาพาธมเี สมหะเป็นสมฏุ ฐาน ๓. วาตะสมฏุ ฐานา อาพาธา คอื อาพาธมวี าตะเป็นสมฏุ ฐาน ๔. สนั นิปาติกา อาพาธา คอื อาพาธอนั เกดิ แตโ่ ทษะ ปิตตะ เสมหะ และวาตะประชมุ พรอ้ มกัน ๕. อุตปุ รนิ ามชา อาพาธา คอื อาพาธอนั เกิดแตฤ่ ดแู ปรปรวน ๖. วสิ มะปรหิ ารชา อาพาธา คอื อาพาธอนั เกดิ แตก่ ารบรหิ ารไมส่ มำ�่ เสมอ รวมทง้ั อาพาธจากอาหาร ๗. โอปักกะมกิ า อาพาธา คอื อาพาธอันเกิดแตค่ วามเพียรเกนิ กำ� ลงั รวมท้งั การถกู ทุบถองโบยตีให้ บอบช�้ำ และแขนขาพลิก แพลง ๘. กัมมะวิปากขา อาพาธา คือ อาพาธอันเกดิ แต่วบิ ากของกรรม อาทีนวสญั ญา เป็นอยา่ งไร คือ ภิกษใุ นธรรมวินยั น้ีไปสปู่ ่าก็ดี ไปสโู่ คนไมก้ ็ดี ไปสเู่ รอื นวา่ งกด็ ี พิจารณาเหน็ วา่ ‘กายนี้มี ทกุ ขม์ าก มโี ทษมาก เพราะฉะนน้ั อาพาธตา่ งๆ จงึ เกดิ ขนึ้ ในกายนคี้ อื โรคตา โรคหู โรคจมกู โรคลน้ิ โรคกาย โรคศรี ษะ โรคทใ่ี บหู โรคปาก โรคฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไขห้ วดั โรคไขพ้ ษิ โรคไขเ้ ชอ่ื มซมึ ๓ ในพระไตรปิฎกภาบาลีมีการกล่าวถึงสมุฏฐานวิทยานี้ โดยสีวกะ นักพรตผู้จาริกได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าถึงสาเหตุของ ความทุกขข์ องมนษุ ย์ พระพุทธเจา้ ทรงอธบิ ายวา่ สาเหตขุ องความทกุ ข์ของมนษุ ย์มี 8 อยา่ ง คอื ดี เสลด ลม และการผสม ผสานของทั้งสามอยา่ ง ฤดู การกระทำ� ทผ่ี ดิ ธรรมชาติ ปจั จัยภายนอก ผลของกรรม
บทท่ี 2 หลักธรรมและวินยั วา่ ดว้ ย การแพทย์ การนวด การดแู ลสขุ ภาพ ในพทุ ธศาสนา 85 โรคทอ้ ง โรคลมสลบ โรคลงแดง โรคจกุ เสยี ด โรคลงราก โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรคมองครอ่ โรคลมบา้ หมู โรคหดิ เปอ่ื ย โรคหดิ ดา้ น โรคคดุ ทะราด โรคหดู โรคละอองบวม โรคอาเจยี นเปน็ เลอื ด โรคดี โรคเบาหวาน โรคเรมิ โรคพพุ อง โรคริดสดี วง อาพาธมีดีเป็นสมฏุ ฐาน อาพาธมเี สลดเป็น สมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีไข้สันนิบาตเป็นสมุฏฐาน อาพาธที่เกิดแต่ฤดู แปรปรวน อาพาธท่ีเกิดแต่การบริหารที่ไม่สม�่ำเสมอ อาพาธท่ีเกิดแต่ความเพียรเกินก�ำลัง อาพาธท่ีเกดิ แต่วิบากของกรรม ความหนาว ความรอ้ น ความหวิ ความกระหาย ปวดอจุ จาระ ปวดปสั สาวะ’ เป็นผู้พจิ ารณาเห็นโดยความเป็นโทษในกายน้ีอยู่อย่างนี้ นี้เรียกว่า อาทนี วสญั ญา ๘. หลักธรรมวา่ ด้วย อาการ ๓๒ หลักธรรมข้อนี้กล่าวว่า ร่างกายประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ แต่ในจ�ำนวนธาตุทั้ง ๔ นี้ มีอยู่ ๒ ธาตุ ท่ี สามารถจบั ตอ้ งได้ คอื ปฐวธี าตุ กบั อาโปธาตุ รา่ งกายมนษุ ยจ์ งึ ประกอบดว้ ยอาการ ๓๒ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ธาตุ ดนิ ๒๐ และธาตุน้�ำ ๑๒ รวมเปน็ ๓๒ อาการ พระไตรปิฎกเลม่ ท่ี ๒๕ สุตตนั ตปฎิ กท่ี ๑๗ ขทุ ทกนกิ าย ขทุ ทกปาฐะ ธรรมบท อุทาน ทวตั ตงิ สาการ ว่าด้วยอาการ ๓๒ ในรา่ งกายนมี้ ผี ม ขน เลบ็ ฟนั หนงั เนอื้ เอน็ กระดกู เยอื่ ในกระดกู ไต หวั ใจ ตบั พงั ผดื มา้ ม ปอด ไสใ้ หญ่ ไสน้ อ้ ย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหง่อื มนั ขน้ น้ำ� ตา เปลวมัน นำ�้ ลาย นำ้� มูก ไขขอ้ มตู ร และมนั สมอง
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 86 ข. วนิ ัย พระพทุ ธเจา้ ไดก้ ำ� หนดวนิ ยั เกย่ี วกบั การนวด อบ รม ไวว้ า่ อะไรทท่ี ำ� ได้ ไมผ่ ดิ อะไรทที่ ำ� แลว้ เปน็ อาบตั ิ๔ ดังนี้ ๑. วนิ ยั ว่าดว้ ย การนวดภกิ ษุ ๑) การนวดพระภกิ ษุท่ีอาพาธ และภกิ ษุน้นั มรณภาพ โดยไมม่ ีเจตนาฆา่ น้ัน ไม่เปน็ อาบตั ิ ๒) การนวดพระภิกษุทอ่ี าพาธโดยมเี จตนาฆา่ และภกิ ษุน้ันมรณภาพ เปน็ อาบตั ิปาราชกิ ๓) การนวดพระภิกษุท่ีอาพาธโดยมีเจตนาฆ่า แต่ภิกษนุ ัน้ ไมม่ รณภาพ เปน็ อาบตั ิถลุ ลจั จยั พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๐๑ วินยั ปฎิ กท่ี ๐๑ มหาวภิ งั ค์ ภาค ๑ เรือ่ งนวด ๓ เรือ่ ง (๑) สมัยนั้น ภิกษรุ ูปหนง่ึ อาพาธ ภกิ ษทุ ัง้ หลายจึงช่วยกันนวดเฟ้นท่าน ท่านถึงแกม่ รณภาพ ภิกษเุ หลา่ นัน้ เกิดกังวลใจวา่ พวกเราต้องอาบัตปิ าราชกิ หรอื หนอ จึงนำ� เรอ่ื งน้ีไปกราบทูลพระผูม้ ี พระภาคให้ทรงทราบ พระองคต์ รสั ถามวา่ “ภิกษทุ ้ังหลายพวกเธอคดิ อย่างไร” “พวกข้าพระพทุ ธเจา้ ไม่มคี วามประสงคจ์ ะฆ่า พระพทุ ธเจา้ ขา้ ” “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พวกเธอไม่มคี วามประสงคจ์ ะฆ่า ไม่ต้องอาบัติ” (เรอ่ื งท่ี ๓๙) (๒) สมัยนั้น ภกิ ษุรูปหนง่ึ อาพาธ ภกิ ษุทั้งหลายมคี วามประสงค์จะฆา่ จงึ ชว่ ยกันนวดเฟน้ ท่าน จนถึงแกม่ รณภาพ ภิกษเุ หลา่ นนั้ เกิดความกงั วลใจวา่ พวกเราต้องอาบตั ิปาราชิกหรอื หนอ จงึ น�ำ เร่ืองน้ไี ปกราบทลู พระผูม้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระองค์ตรัสถามว่า “ภิกษุท้งั หลาย พวกเธอคดิ อย่างไร” “พวกขา้ พระพทุ ธเจ้ามีความประสงค์จะฆา่ พระพุทธเจา้ ขา้ ” “ภกิ ษุท้ังหลาย พวกเธอตอ้ งอาบตั ิปาราชกิ ” (เร่อื งท่ี ๔๐) (๓) สมัยนนั้ ภิกษุรปู หนง่ึ อาพาธ ภิกษทุ งั้ หลายมีความประสงค์จะฆา่ จึงชว่ ยกันนวดเฟ้นทา่ น แต่ท่านไมถ่ งึ แกม่ รณภาพ ภกิ ษเุ หล่าน้ันเกิดความกังวลใจว่า พวกเราต้องอาบตั ิปาราชิกหรือหนอ จงึ นำ� เรอื่ งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระองคต์ รสั ถามวา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย พวกเธอ คิดอยา่ งไร” “พวกขา้ พระพุทธเจ้ามีความประสงคจ์ ะฆา่ พระพทุ ธเจา้ ข้า” “ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอไมต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชิกแตต่ อ้ งอาบัติถุลลัจจยั ” (เร่อื ง ๔๑) ๔ โทษทีเ่ กดิ จากการล่วงละเมดิ สกิ ขาบทหรอื ข้อหา้ มแห่งภิกษุมโี ทษ ๓ สถาน คอื ๑. โทษสถานหนัก เรยี กว่า ครโุ ทษ หรือ มหันตโทษ ทําใหภ้ กิ ษผุ ้ตู ้องอาบตั ิขาดจากความเปน็ ภกิ ษุ ไดแ้ ก่ อาบัตปิ าราชิก ซ่งึ เรยี กว่า ครกุ าบัติ ๒. โทษสถานกลาง เรยี ก ว่า มัชฌมิ โทษ ทาํ ใหภ้ ิกษุผู้ต้องอาบัติต้องอยกู่ รรมกอ่ นจึงจะพ้นโทษ ได้แก่ อาบัติสังฆาทเิ สส และ ๓. โทษสถานเบา เรยี กวา่ ลหุโทษ ทําให้ภิกษุผู้ต้องอาบัติท่ีต่ํากว่าอาบัติสังฆาทิเสสต้องปลงอาบัติคือ บอกอาบัติของตนแก่ภิกษุด้วยกัน ได้แก่ อาบัติถุล ลัจจัย ปาจติ ตยี ์ ปาฏเิ ทสนียะ ทุกกฎ และทพุ ภาษิต ซึง่ เรียกวา่ ลหกุ าบัติ (ป. ส. อาปตตฺ )ิ
บทท่ี 2 หลกั ธรรมและวินัยว่าด้วย การแพทย์ การนวด การดแู ลสขุ ภาพ ในพุทธศาสนา 87 ๒. วนิ ยั วา่ ด้วย การนวดภกิ ษุณี ๑) ภิกษุณใี ช้ภิกษุณบี ีบ นวดเปน็ อาบตั ิปาจิตตีย์ ๒) ภกิ ษณุ ใี ช้สิกขมานา สามเณรหี ญงิ คฤหัสถ์บีบนวด เปน็ อาบัตปิ าจิตตยี ์ ๓) ภกิ ษณุ ตี อ่ ไปน้ี ไมต่ อ้ งอาบตั ิ คอื ภกิ ษณุ ผี เู้ ปน็ ไข้ ภกิ ษณุ ผี มู้ เี หตขุ ดั ขอ้ ง ภกิ ษณุ วี กิ ลจรติ ภกิ ษณุ ี ตน้ บญั ญัติ พระไตรปฎิ กเล่มที่ ๐๓ วินยั ปฎิ กท่ี ๐๓ มหาวิภงั ค์ ภาค ๓ สกิ ขาบทท่ี ๗ ว่าดว้ ยการให้บบี นวด เรอื่ งภิกษณุ ีหลายรปู [๑๒๐๖] สมยั นั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจา้ ประทับอยู่ ณ พระเชตวนั อารามของอนาถบณิ ฑิ กเศรษฐี เขตกรงุ สาวตั ถี ครง้ั นนั้ ภกิ ษณุ ที งั้ หลายใชภ้ กิ ษณุ ใี หบ้ บี บา้ ง ใหน้ วดบา้ ง คนทง้ั หลายเทยี่ ว จาริกไปตามวิหารเห็นแลว้ ตำ� หนิ ประณามโพนทะนาวา่ “ไฉนพวกภิกษุณีจึงใชภ้ ิกษุณใี หบ้ บี บา้ ง ใหน้ วดบา้ ง เหมอื นหญงิ คฤหสั ถผ์ บู้ รโิ ภคกามเลา่ ” ภกิ ษณุ ที งั้ หลายไดย้ นิ คนเหลา่ นน้ั ตำ� หนิ ประณาม โพนทะนา บรรดาภกิ ษุณีผมู้ กั นอ้ ย ฯลฯ พากนั ต�ำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ไฉนพวกภกิ ษุณีจงึ ใชภ้ กิ ษณุ ใี หบ้ บี บา้ ง ใหน้ วดบา้ งเลา่ ” ครนั้ แลว้ ภกิ ษณุ เี หลา่ นนั้ ไดน้ ำ� เรอ่ื งนไ้ี ปบอกภกิ ษทุ ง้ั หลายให้ ทราบ พวกภิกษุได้น�ำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ ทรงประชุมสงฆ์บัญญัติ สิกขาบทลำ� ดับนัน้ พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมสงฆ์เพราะเร่ืองนี้เป็นต้นเหตุ ทรงสอบถามภิกษุท้ังหลายว่า “ภกิ ษทุ ั้งหลาย ทราบว่า พวกภิกษณุ ีใชภ้ กิ ษณุ ีให้บบี บา้ งใหน้ วดบ้าง จรงิ หรอื ” ภิกษทุ ง้ั หลายทลู รบั วา่ “จรงิ พระพุทธเจา้ ขา้ ” ภกิ ษุท้งั หลายไฉนพวกภกิ ษุณีจึงใชภ้ ิกษณุ ีให้บบี บา้ ง ให้นวดบา้ งเล่า ภกิ ษุท้ังหลาย การกระท�ำอย่างนี้ มิได้ท�ำคนที่ยงั ไม่เลอื่ มใสใหเ้ ลอื่ มใส หรือท�ำคนท่ีเล่ือมใสอยูแ่ ลว้ ใหเ้ ลื่อมใสยิง่ ขึ้นไดเ้ ลย ฯลฯ” แลว้ จงึ รบั ส่ังให้ภกิ ษณุ ที งั้ หลายยกสกิ ขาบทน้ขี นึ้ แสดง ดังนี้ “ก็ภกิ ษุณใี ดใช้ภกิ ษุณใี หบ้ บี หรอื ให้นวด ต้องอาบัตปิ าจิตตีย์” อนาปตั ติวาร ภิกษุณีตอ่ ไปนไี้ มต่ อ้ งอาบัติ คือ ๑. ภกิ ษุณีผู้เปน็ ไข้ ๒. ภกิ ษณุ ีผูม้ เี หตุขดั ขอ้ ง
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแห่งการนวดไทย 88 ๓. ภิกษณุ ีวิกลจริต ๔. ภกิ ษุณตี ้นบัญญตั ิ เรอ่ื งภกิ ษณุ หี ลายรปู [๑๒๑๐] สมัยน้ัน พระผมู้ พี ระภาคพุทธเจา้ ประทับอยู่ ณ พระเชตวนั อารามของอนาถบิณฑิ กเศรษฐี เขตกรงุ สาวัตถี ครง้ั นน้ั ภกิ ษุณที ้ังหลาย (ใช้สิกขมานาใหบ้ บี บ้าง ใหน้ วดบ้าง ฯลฯ ใช้สาม เณรีใหบ้ บี บา้ ง ให้นวดบ้าง ฯลฯ) ใช้หญิงคฤหัสถ์ให้บีบบา้ ง ใหน้ วดบ้าง คนทั้งหลายเทีย่ วจารกิ ไป ตามวิหารเห็น จึงต�ำหนิประณามโพนทะนาว่า “ไฉนพวกภิกษุณีจึงใช้หญิงคฤหัสถ์ให้บีบบ้าง ให้ นวดบ้างเหมือนหญิงคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า”ภิกษุณีท้ังหลายได้ยินคนพวกนั้นต�ำหนิ ประณาม โพนทะนา บรรดาภิกษณุ ีผูม้ กั น้อย ฯลฯ พากนั ต�ำหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ “ไฉนพวกภกิ ษณุ ีจึง ใชห้ ญิงคฤหัสถ์ ใหบ้ ีบบ้าง ใหน้ วดบ้างเล่า” ครน้ั แลว้ ภิกษุณเี หลา่ นั้นได้นำ� เรื่องนไ้ี ปบอกภกิ ษทุ ัง้ หลายใหท้ ราบ พวกภกิ ษไุ ดน้ �ำเร่ืองนไ้ี ปกราบทลู พระผู้มพี ระภาคใหท้ รงทราบ ลำ� ดับนั้น พระผู้มีพระภาครบั สัง่ ใหป้ ระชุมสงฆเ์ พราะเรื่องน้เี ปน็ ตน้ เหตุ ทรงสอบถามภิกษทุ งั้ หลายวา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย ทราบวา่ พวกภกิ ษณุ ใี ชห้ ญงิ คฤหสั ถใ์ หบ้ บี บา้ ง ใหน้ วดบา้ ง จรงิ หรอื ” ภกิ ษุ ทั้งหลายทูลรบั ว่า “จริง พระพุทธเจ้าขา้ ”พระผู้มีพระภาคพทุ ธเจ้า ทรงต�ำหนิวา่ “ฯลฯ ภกิ ษุทง้ั หลาย ไฉนพวกภิกษุณจี งึ ใชห้ ญงิ คฤหสั ถใ์ หบ้ บี บา้ ง ใหน้ วดบา้ งเลา่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย การกระทำ� อยา่ งนี้ มไิ ดท้ ำ� คนทย่ี งั ไมเ่ ลอ่ื มใส ใหเ้ ลอื่ มใส หรอื ทำ� คนทเ่ี ลอ่ื มใสอยแู่ ลว้ ใหเ้ ลอ่ื มใสยงิ่ ขน้ึ ไดเ้ ลยฯลฯ” แลว้ จงึ รบั สงั่ ใหภ้ กิ ษณุ ที ง้ั หลาย ยกสกิ ขาบทนขี้ ึ้นแสดงดงั น้ี [๑๒๑๑] ก็ภิกษุณีใด (ใช้สิกขมานาฯลฯ ใช้สามเณรีฯลฯ) ใช้หญิงคฤหัสถ์ให้บีบหรือให้นวด ต้องอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ อนาปัตติวาร ภกิ ษณุ ีตอ่ ไปนี้ไมต่ อ้ งอาบตั ิ คือ ๑. ภกิ ษณุ ีใช้ให้บีบหรือนวดเพราะอาพาธเป็นเหตุ ๒. ภิกษณุ ีผู้มเี หตุขดั ขอ้ ง ๓. ภกิ ษุณวี ิกลจริต ๔. ภิกษณุ ตี ้นบญั ญัติ
บทที่ 2 หลกั ธรรมและวินัยวา่ ดว้ ย การแพทย์ การนวด การดแู ลสุขภาพ ในพุทธศาสนา 89 พระวนิ ยั ท่ีเก่ียวกบั การนวดในภิกษแุ ละภกิ ษณุ ีเป็นหลกั ฐานที่แสดงว่า ๑) มกี ารใชก้ ารนวดเพือ่ การเยยี วยาภกิ ษทุ อ่ี าพาธในชุมชนสงฆแ์ ละไมถ่ อื เปน็ อาบตั ิ ยกเว้นมีเจตนา ที่ไมเ่ ป็นไปเพ่อื การรกั ษา ๒) มกี ารใชก้ ารนวดในหมู่ภิกษุณีท่ีไมอ่ าพาธ พระพุทธเจ้าบญั ญตั ิว่า การกระทำ� อย่างนี้ ไมไ่ ด้ทำ� คน ทยี่ ังไม่เลอื่ มใสให้เล่ือมใส หรอื ทำ� คนท่เี ลอ่ื มใสอยู่แล้วให้เล่อื มใสยิ่งข้นึ ได้เลย จึงก�ำหนดใหเ้ ป็นอาบตั ิ แสดงวา่ การนวดนัน้ เปน็ เรอ่ื งทม่ี ีการใช้เพือ่ การรักษาผ้ทู ี่เจ็บป่วยในสงั คมอนิ เดียดง้ั เดิม ภิกษุน�ำมาใช้ เยียวภกิ ษทุ อี่ าพาธ โดยไม่ถอื วา่ เป็นอาบัติ แตก่ ารใชก้ ารนวดทไ่ี มเ่ ปน็ เพือ่ การเยียวยานัน้ เป็นอาบตั ิ ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการท่ีพระพุทธเจ้าใช้การนวดเพื่อเยียวยาอาการอาพาธของพระองค์ และไม่มี การกล่าวถงึ การนวดในพระสูตร ๓. วินัยวา่ ดว้ ย การอบตัว มวี ินยั เก่ียวกับการใช้การอบตัวเพอ่ื รักษาภิกษทุ อ่ี าพาธเช่นเดยี วกบั การนวด แสดงว่า การอบตวั นนั้ เป็นวิธีการรักษาผู้ป่วยในสังคมอนิ เดยี ดัง้ เดมิ เช่นเดียวกับการนวด ภกิ ษุนำ� การ อบตัวมาใช้เยียวยาภกิ ษทุ ี่อาพาธ โดยไม่ถอื ว่าเปน็ อาบัติ พระไตรปฎิ กเลม่ ท่ี ๐๑ วนิ ัยปิฎกที่ ๐๑ มหาวิภงั ค์ ภาค ๑ เรอ่ื งอบตวั ๓ เรือ่ ง (๑) สมยั นน้ั ภกิ ษรุ ปู หน่งึ อาพาธ ภกิ ษทุ ั้งหลายจึงใหท้ า่ นอบตัวจนถงึ แก่มรณภาพ พวกทา่ น เกดิ ความกงั วลใจวา่ พวกเราตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ หรอื หนอ จงึ นำ� เรอื่ งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาค ใหท้ รงทราบ พระองคต์ รสั ถามวา่ “พวกเธอคิดอยา่ งไร” “พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่มคี วามประสงค์จะฆ่า พระพุทธเจา้ ข้า” “พวกเธอไมม่ ีความประสงคจ์ ะฆ่า ไม่ต้องอาบตั ”ิ (๒) สมยั นนั้ ภกิ ษรุ ปู หนึง่ อาพาธ ภิกษุทัง้ หลายมคี วามประสงค์จะฆ่าจงึ ใหเ้ ธออบตัวจนถงึ แก่ มรณภาพ พวกท่านเกิดความกังวลใจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกหรือหนอ จึงน�ำเร่ืองนี้ไป กราบทลู พระผูม้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระองค์ตรสั ถามว่า“ภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธอคดิ อย่างไร” “พวกขา้ พระพทุ ธเจ้ามีความประสงค์จะฆา่ พระพทุ ธเจ้าขา้ ” “ภกิ ษทุ ้ังหลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชิก”
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 90 (๓) สมยั น้ัน ภิกษุรูปหนง่ึ อาพาธ ภิกษุท้ังหลายมีความประสงคจ์ ะฆา่ จึงใหเ้ ธออบตวั แตท่ า่ น ไม่ถึงแก่มรณภาพ ภิกษุเหล่านั้นเกิดความกังวลใจว่า พวกเราต้องอาบัติปาราชิกหรือหนอ จึงน�ำ เรอื่ งนีไ้ ปกราบทลู พระผูม้ ีพระภาคใหท้ รงทราบ พระองคต์ รัสถามวา่ “ภิกษทุ งั้ หลาย พวกเธอคิด อย่างไร” “พวกขา้ พระพทุ ธเจา้ มีความประสงค์จะฆา่ พระพุทธเจา้ ข้า” “ภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธอไมต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ แตต่ อ้ งอาบัตถิ ุลลจั จยั ” ๔. วินยั วา่ ดว้ ย การทานำ�้ มัน มีวินัยวา่ ดว้ ย การใชก้ ารทาน้�ำมนั เพ่อื รกั ษาภิกษทุ ี่อาพาธเชน่ เดยี วกบั การนวด แสดงว่า การทาน�ำ้ มนั นนั้ เปน็ วิธกี ารรักษาผ้ปู ว่ ยในสังคมอินเดยี ด้ังเดิมเชน่ เดียวกับการนวด ภิกษุน�ำ การทาน�้ำมนั มาใชเ้ ยยี วยาภกิ ษุที่อาพาธ โดยไม่ถอื วา่ เป็นอาบตั ิ พระไตรปิฎกเลม่ ที่ ๐๑ วินัยปฎิ กท่ี ๐๑ มหาวภิ งั ค์ ภาค ๑ เรื่องใหท้ าน้ำ� มนั ๓ เรอ่ื ง (๑) สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ ภิกษุทั้งหลายช่วยกันเอาน�้ำมันมาทาให้ท่าน ท่านถึงแก่ มรณภาพ ภิกษุเหลา่ น้ันเกิดความกงั วลใจวา่ พวกเราต้องอาบตั ปิ าราชิกหรอื หนอ จงึ นำ� เรือ่ งน้ไี ป กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระองคต์ รัสถามวา่ “ภิกษุทงั้ หลาย พวกเธอคดิ อย่างไร” “พวกข้าพระพุทธเจา้ ไม่มคี วามประสงคจ์ ะฆ่าพระพทุ ธเจ้าข้า” “ภิกษทุ งั้ หลาย พวกเธอไมม่ ีความประสงค์จะฆ่า ไมต่ อ้ งอาบัติ” (เร่ืองที่ ๔๕) (๒) สมัยน้ัน ภกิ ษุรปู หนึง่ อาพาธ ภกิ ษุทั้งหลายมคี วามประสงคจ์ ะฆ่าจงึ ชว่ ยกันเอาน้ำ� มันมา ทาใหท้ า่ น ท่านถงึ แกม่ รณภาพ ภกิ ษเุ หลา่ นนั้ เกดิ ความกังวลใจว่าพวกเราตอ้ งอาบัตปิ าราชิกหรือ หนอ จึงน�ำเรื่องน้ีไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระองค์ตรัสถามว่า “ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอคิดอยา่ งไร” “พวกข้าพระพทุ ธเจา้ มีความประสงคจ์ ะฆ่า พระพุทธเจา้ ขา้ ” “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอตอ้ งอาบัติปาราชกิ ” (เร่อื งที่ ๔๖)
บทที่ 2 หลกั ธรรมและวินัยว่าด้วย การแพทย์ การนวด การดแู ลสุขภาพ ในพทุ ธศาสนา 91 ๕. วินัยว่าดว้ ย การรมเหง่ือ รมดว้ ยใบไม้ รมใหญ่ ฯลฯ มีการบัญญัติวินัยว่าด้วย การอนุญาตให้ใช้วิธีการรักษาต่างๆ ที่เก่ียวกับการนวดได้แก่ การรมเหงื่อ การรมด้วยใบไม้ การรมใหญ่ อา่ งน�้ำ การใช้เขาสัตว์กอกระบายโลหติ ออกยาทาเท้า ปรงุ น�้ำยาทาเท้า ผา้ พนั แผล ชะด้วยน้ำ� แปง้ เมลด็ ผักกาดรมแผลดว้ ยควัน น้ำ� มันทาแผล เปน็ ตน้ ๖. วนิ ัยว่าด้วย การนวดกายของภกิ ษณุ ี มีการบัญญัตวิ ่าดว้ ย การนวดตัวของภิกษุณดี ว้ ยกระดูกแขง้ โค ไม้ นวดตามสว่ นต่างๆ ของร่างกายว่า เปน็ อาบัติทกุ กฎ พระไตรปฎิ กเล่มท่ี ๐๗ วนิ ัยปฎิ กที่ ๐๗ จุลวรรค ภาค ๒ เร่อื งภิกษุณนี วดกาย สมยั นน้ั ภกิ ษณุ ที งั้ หลายใชก้ ระดกู แขง้ โคขดั สตี ะโพก ใชไ้ มม้ สี ณั ฐานดจุ คางโคนวดตะโพก นวด มอื นวดหลงั มอื นวดเทา้ นวดหลงั เท้า นวดขาอ่อน นวดหนา้ นวดริมฝปี าก คนท้งั หลายตำ� หนิ ประณามโพนทะนาวา่ “ฯลฯ เหมือนหญงิ คฤหัสถผ์ บู้ ริโภคกาม” ภิกษทุ ้ังหลายจึงนำ� เรอื่ งน้ไี ปกราบทูลพระผู้มพี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ ีพระภาครับส่งั วา่ “ภิกษทุ งั้ หลาย ภิกษุณไี มพ่ งึ ใชก้ ระดูกแขง้ โคสตี ะโพก... ไม่พงึ ใชไ้ มม้ สี ัณฐานดจุ คางโคนวดตะโพก ... ไม่พงึ นวดมือ ... ไมพ่ งึ นวดหลังมือ ...ไม่พงึ นวดเทา้ ... ไม่พงึ นวดหลงั เท้า ... ไม่พงึ นวดขาอ่อน ... ไม่พงึ นวดหนา้ ... ไม่พงึ นวดรมิ ฝีปาก รูปใดนวด ต้องอาบัติทกุ กฎ” ๗. วินยั วา่ ด้วย การรีดครรภ์ นาบครรภ์ มีวินัยว่าด้วย การห้ามภิกษุแนะให้หญิงฆราวาสท่ีมีครรภ์ท�ำการรีดครรภ์ และการนาบครรภ์ให้ร้อน เพอ่ื ใหแ้ ท้งลูก จนหญิงมีครรภแ์ ท้งลกู วา่ เป็นอาบัติปาราชิก พระไตรปฎิ กเล่มท่ี ๐๑ วินยั ปฎิ กที่ ๐๑ มหาวิภงั ค์ ภาค ๑ เรือ่ งให้รีด ๑ เรอ่ื ง
การนวดในพระไตรปิฎกและสายธารแหง่ การนวดไทย 92 สมยั นนั้ หญงิ มคี รรภค์ นหนง่ึ บอกภกิ ษทุ นี่ างอปุ ถมั ภว์ า่ “พระคณุ เจา้ โปรดหายาทำ� แทง้ ใหด้ ว้ ย เถิดภิกษุนนั้ ตอบวา่ “น้องหญงิ เธอจงรีด” นางรดี ครรภ์ทำ� ใหแ้ ทง้ บุตร ภกิ ษุนน้ั เกดิ ความกงั วลใจ ว่า เราตอ้ งอาบัตปิ าราชกิ หรือหนอ จึงน�ำเร่ืองนี้ไปกราบทลู พระผูม้ พี ระภาคให้ทรงทราบ พระองค์ ตรสั ว่า “ภิกษุ เธอต้องอาบตั ิปาราชิก” (เรือ่ งที่ ๖๕) เร่ืองนาบครรภใ์ หร้ ้อน ๑ เร่ือง สมยั นน้ั หญงิ มีครรภบ์ อกภกิ ษุทีน่ างอุปถัมภ์ว่า “พระคุณเจ้าโปรดหายาท�ำแท้งใหด้ ว้ ยเถิด” ภกิ ษนุ น้ั ตอบว่า “นอ้ งหญงิ เธอจงนาบครรภใ์ ห้รอ้ น” นางนาบครรภ์ให้รอ้ นจนแทง้ บุตร ภกิ ษนุ ัน้ เกิดความกังวลใจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกหรือหนอ จึงน�ำเร่ืองน้ีไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ ทรงทราบ พระองค์ตรสั ว่า “ภิกษเุ ธอตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ” (เรอื่ งที่ ๖๖) เร่อื งหญิงหมนั ๑ เร่ือง สมัยน้ัน หญิงหมันคนหนึ่งบอกภิกษุท่ีนางอุปถัมภ์ว่า “พระคุณเจ้าโปรดหายาที่ท�ำให้ดิฉันมี ลกู ไดด้ ว้ ยเถดิ ” ภิกษุนนั้ รับค�ำแลว้ ไดใ้ ห้ยาแก่หญงิ หมนั น้ัน นางถงึ แกค่ วามตาย ภิกษนุ ้นั เกดิ กงั วล ใจวา่ เราตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ หรอื หนอ จงึ นำ� เรอ่ื งนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระองค์ ตรัสวา่ “ภกิ ษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชกิ แตต่ อ้ งอาบตั ทิ ุกกฎ” เรอื่ งหญงิ ไมเ่ ป็นหมัน ๑ เรอื่ ง สมัยนน้ั หญิงไม่เป็นหมันคนหนง่ึ บอกภิกษทุ ีน่ างอปุ ถมั ภว์ ่า “พระคณุ เจา้ โปรดหายาทีท่ ำ� ให้ ดิฉนั หยุดมีลกู ด้วยเถดิ ” ภกิ ษนุ ้นั รบั ค�ำแลว้ ได้ให้ยาแก่หญิงลูกดกนนั้ นางถึงแกค่ วามตาย ภิกษุน้ัน เกิดความกังวลใจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกหรือหนอ จึงน�ำเร่ืองนี้ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ ทรงทราบ พระองคต์ รัสว่า “ภกิ ษุเธอไมต่ ้องอาบตั ิปาราชิก แต่ตอ้ งอาบตั ิทุกกฎ” ๘. วนิ ยั ว่าด้วย การอาบนำ้� และสีกายกับต้นไม้ เสาไม้ การถูตวั ใหก้ นั มีวนิ ยั ว่าด้วย การห้ามภกิ ษุอาบน�้ำแล้วขดั สีกายกับตน้ ไม้ เสาถูตวั การใชไ้ มห้ อมถตู วั หา้ มภกิ ษุถตู ัว ให้กันและกัน อนญุ าตให้ถูตัวดว้ ยเกลยี วผา้ และมอื ถูหลัง แสดงใหเ้ หน็ วา่ การขดั สกี ายของภกิ ษนุ นั้ ตอ้ งระมดั ระวงั โดยเฉพาะการถตู วั ใหก้ นั และกนั เพราะเปน็ เรื่องทพี่ ระพทุ ธเจ้าพิจารณาเหน็ วา่ ไม่สมควร ไม่เป็นเพือ่ การเลอ่ื มใสของคนอื่น
บทท่ี 2 หลกั ธรรมและวินยั วา่ ดว้ ย การแพทย์ การนวด การดูแลสขุ ภาพ ในพทุ ธศาสนา 93 พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๐๗ วนิ ยั ปฎิ กที่ ๐๗ จุลวรรค ภาค ๒ เรอื่ งพระฉัพพคั คียส์ รงน�้ำขดั สกี ายกับต้นไม้ สมยั นนั้ พระผมู้ พี ระภาคพุทธเจา้ ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน สถานท่ใี ห้เหย่ือกระแต เขตกรุง ราชคฤห์ ครงั้ นน้ั พวกภกิ ษฉุ พั พคั คีย์ สรงน�ำ้ ขดั สกี ายคือ ขาบ้าง แขนบ้าง อกบ้าง หลงั บ้างกบั ต้นไม้คนทั้งหลายจงึ ต�ำหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ “ไฉนพวกพระสมณะเช้อื สายศากยบตุ รจึงสรง น�ำ้ ขดั สีกาย คือขาบา้ ง แขนบา้ ง อกบา้ ง หลังบ้างกับตน้ ไม้ เหมือนพวกนักมวยปล�้ำ เหมอื นพวก ลกู หลานชาวบ้านเลา่ ” ภิกษุทัง้ หลายไดย้ ินคนทั้งหลายต�ำหนิ ประณาม โพนทะนา บรรดาภกิ ษุผู้มกั นอ้ ยสนั โดษ มี ความละอาย มีความระมัดระวัง ใฝ่การศึกษา จึงต�ำหนิ ประณามโพนทะนาว่า “ไฉนพวกภิกษุ ฉพั พคั คียจ์ ึงสรงนำ�้ ขัดสีกาย คือขาบา้ ง แขนบ้างอกบา้ ง หลังบ้างกบั ตน้ ไม้เลา่ ”ครัน้ ภกิ ษทุ ั้งหลาย ต�ำหนิพวกภิกษุฉัพพัคคีย์โดยประการต่างๆ แล้วจึงน�ำเร่ืองน้ีไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรง ทราบทรงประชมุ สงฆส์ อบถามลำ� ดบั นน้ั พระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ ใหป้ ระชมุ สงฆเ์ พราะเรอื่ งนเี้ ปน็ ตน้ เหตุ ทรงสอบถามภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย ทราบวา่ พวกภกิ ษฉุ พั พคั คยี ส์ รงนำ�้ ขดั สกี าย คอื ขาบ้าง แขนบ้าง อกบ้าง หลงั บา้ งกับต้นไม้ จริงหรอื ”ภิกษุท้งั หลายทลู รับว่า “จรงิ พระพทุ ธเจา้ ข้า”พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงต�ำหนิว่า “ภิกษุทั้งหลาย การกระท�ำของโมฆบุรุษเหล่านั้นไม่ สมควร ไมค่ ลอ้ ยตาม ไม่เหมาะสม ไม่ใชก่ ิจของสมณะ ใชไ้ มไ่ ด้ ไมค่ วรทำ� เลย ภกิ ษุทงั้ หลาย ไฉน โมฆบรุ ษุ เหลา่ นนั้ จงึ สรงนำ�้ ขดั สกี าย คอื ขาบา้ ง แขนบา้ งอกบา้ ง หลงั บา้ งกบั ตน้ ไมเ้ ลา่ ภกิ ษทุ งั้ หลาย การกระท�ำอยา่ งน้ี มิได้ท�ำคนทีย่ งั ไม่เลื่อมใสให้เลอื่ มใส หรือท�ำคนทเี่ ล่ือมใสอยแู่ ลว้ ให้เลือ่ มใสย่งิ ขึน้ ไดเ้ ลย ทจี่ รงิ กลับจะท�ำใหค้ นทไ่ี ม่เล่ือมใสก็ไม่เลือ่ มใสไปเลย คนท่เี ลื่อมใสอย่แู ล้วบางพวกกจ็ ะ กลายเปน็ อน่ื ไป”พระผมู้ พี ระภาคครน้ั ทรงตำ� หนพิ วกภกิ ษฉุ พั พคั คยี โ์ ดยประการตา่ ง ๆ แลว้ ไดต้ รสั โทษแหง่ ความเปน็ คนเลยี้ งยาก บ�ำรุงยาก มกั มาก ไมส่ นั โดษ ความคลกุ คลีความเกยี จคร้าน ตรัส คณุ แหง่ ความเปน็ คนเลยี้ งงา่ ย บ�ำรุงง่าย มกั น้อย สนั โดษความขัดเกลา ความกำ� จัดกิเลส อาการที่ นา่ เลอ่ื มใส การไมส่ ะสม การปรารภความเพียรโดยประการตา่ งๆ ทรงแสดงธรรมกี -ถาใหเ้ หมาะ สม ให้คลอ้ ยตามกับเรือ่ งนน้ั แลว้ รับสั่งกับภิกษทุ ้งั หลายว่า “ภิกษทุ ั้งหลาย ภิกษุเมื่อจะสรงน้�ำ ไม่ พึงขดั สีกายกบั ต้นไม้ รูปใดขดั สี ต้องอาบัตทิ ุกกฎ” เรอ่ื งพระฉพั พคั คียส์ รงนำ�้ ในท่ไี ม่สมควร สมัยน้ัน พวกภิกษุฉัพพัคคีย์เมื่อสรงน้�ำ สรงน้�ำในท่ีไม่สมควร คนทั้งหลายต�ำหนิประณาม โพนทะนาวา่ “ฯลฯ เหมอื นคฤหสั ถผ์ บู้ รโิ ภคกาม”ภกิ ษทุ งั้ หลายไดย้ นิ คนทงั้ หลายตำ� หนิ ประณาม
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 94 โพนทะนา ฯลฯคร้นั แลว้ ภิกษุท้ังหลายจึงนำ� เรือ่ งน้ีไปกราบทูลพระผูม้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระ ผู้มพี ระภาครับสั่งใหป้ ระชุมสงฆเ์ พราะเรื่องนี้เปน็ ต้นเหตุ ทรงสอบถามภกิ ษุทัง้ หลายวา่ “ภกิ ษุทงั้ หลาย ทราบวา่ พวกภิกษฉุ ัพพัคคยี ์สรงน้ำ� ในที่ทไี่ มส่ มควร จริงหรือ”ภิกษุทง้ั หลายทูลรบั ว่า “จริง พระพทุ ธเจา้ ขา้ ”พระผมู้ พี ระภาคพทุ ธเจา้ ทรงตำ� หนวิ า่ “ฯลฯ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ไฉนโมฆบรุ ษุ เหลา่ นน้ั จงึ สรงนำ�้ ในทที่ ไี่ มส่ มควรเลา่ ฯลฯ” ครนั้ ทรงตำ� หนแิ ลว้ ทรงแสดงธรรมกี ถารบั สง่ั กบั ภกิ ษทุ งั้ หลาย วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภิกษเุ ม่ือจะสรงนำ้� ไมพ่ งึ สรงในท่ีท่ไี ม่สมควรรูปใดสรง ต้องอาบัติทกุ กฏ” เร่อื งพระฉพั พคั คีย์ใช้มอื ท่ีท�ำด้วยไม้หอมถูกายสรงน�้ำ สมัยน้ัน พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ ใช้มือท่ีท�ำด้วยไม้หอมถูกายสรงน�้ำ ฯลฯ คนทั้งหลายจึงต�ำหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ “ฯลฯ เหมอื นคฤหสั ถผ์ บู้ รโิ ภคกาม”ภกิ ษทุ งั้ หลายไดย้ นิ คนทง้ั หลายตำ� หนิ ประณาม โพนทะนา ฯลฯภกิ ษุท้งั หลายจงึ นำ� เร่ืองนี้ไปกราบทลู พระผมู้ ีพระภาคใหท้ รงทราบพระ ผมู้ พี ระภาครบั สงั่ วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย ภกิ ษไุ มพ่ งึ ใชม้ อื ทที่ ำ� ดว้ ยไมห้ อมถกู ายสรงนำ�้ รปู ใดใชส้ รง ตอ้ ง อาบตั ทิ กุ กฏ” สมยั นัน้ พวกภกิ ษฉุ ัพพัคคยี ์สรงนำ�้ โดยใชเ้ ชือกชบุ จรุ ณศิลาสีเหมือนพลอยแดง (ถูตวั ) คนทั้ง หลายจึงต�ำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ฯลฯ เหมือนคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม”ภิกษุทั้งหลายจึงน�ำ เรอื่ งนี้ไปกราบทูลพระผู้มพี ระภาคใหท้ รงทราบพระผ้มู ีพระภาครบั สงั่ วา่ “ภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษุไม่ พึงสรงน้�ำโดยใชเ้ ชือกชุบจรุ ณศิลาสีเหมอื นพลอยแดง (ถกู าย) รูปใดใช้สรง ต้องอาบัตทิ กุ กฏ” สมัยน้ัน พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ต่างท�ำบริกรรม (ถูตัว) ให้แก่กันและกัน คนท้ังหลายจึงต�ำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ฯลฯ เหมอื นคฤหสั ถผ์ บู้ ริโภคกาม”ภิกษทุ งั้ หลายจงึ น�ำเรื่องนไี้ ปกราบทลู พระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบพระผมู้ พี ระภาครบั สงั่ วา่ “ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษไุ มพ่ งึ ทำ� บรกิ รรมใหแ้ ก่ กนั และกนั รปู ใดถู ตอั งอาบัติทุกกฎ” สมัยน้ัน พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ใช้ไม้บังเวียนจักเป็นฟันมังกรถูกายสรงน�้ำ คนทั้งหลายจึงต�ำหนิ ประณามโพนทะนาวา่ “ฯลฯ เหมอื นคฤหสั ถผ์ บู้ รโิ ภคกาม”ภกิ ษทุ ง้ั หลายนำ� เรอื่ งนไ้ี ปกราบทลู พระ ผูม้ พี ระภาคให้ทรงทราบพระผูม้ พี ระภาครับส่งั วา่ “ภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษไุ มพ่ ึงใช้ไมบ้ งั เวยี นจักเปน็ ฟันมงั กรถกู ายสรงนำ�้ รูปใดถู ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฎ”
บทที่ 2 หลักธรรมและวินัยว่าดว้ ย การแพทย์ การนวด การดูแลสุขภาพ ในพทุ ธศาสนา 95 เรื่องภิกษุทุพลภาพเพราะชรา สมยั นน้ั ภิกษุรูปหนงึ่ ทพุ ลภาพเพราะชรา เม่อื สรงน�้ำ ไม่สามารถจะถกู ายตนได้ ฯลฯ ภิกษทุ ้ัง หลายจึงน�ำเร่ืองน้ีไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า “ภิกษุทั้ง หลาย เราอนญุ าตเกลยี วผ้า” ทรงอนญุ าตใหใ้ ชม้ อื ถูหลงั สมยั น้ัน ภิกษรุ ปู หนง่ึ ย�ำเกรงทจี่ ะถหู ลงั ฯลฯภิกษุทงั้ หลายจึงนำ� เรอื่ งไปกราบทูลพระผมู้ ีพระภาค ใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สัง่ ว่า “ภิกษทุ ัง้ หลาย เราอนุญาตใหใ้ ช้มือถหู ลัง” ๙. วนิ ยั ว่าด้วย สุขอนามยั พระพทุ ธเจ้าไดบ้ ญั ญตั วิ ินยั วา่ ด้วย สขุ อนามัยไวห้ ลายเรื่อง ไดแ้ ก่ ๑) การฉนั อาหาร การด่ืมน้ำ� การนอน ๑. ห้ามฉันอาหารในภาชนะเดยี วกัน ๒. ห้ามดืม่ น้ำ� ในขันเดยี วกัน ๓. ห้ามนอนบนเตียงเดยี วกนั ๔. หา้ มนอนบนเตยี งมีเครื่องลาดเดยี วกัน ๕. หา้ มนอนบนเตยี งมีผ้าผนื เดียวเป็นท้ังผา้ ปูและผ้าหม่ บ้าง พระไตรปิฎกเล่มท่ี ๐๗ วินยั ปิฎกท่ี ๐๗ จลุ วรรค ภาค ๒ เร่อื งห้ามฉนั ในภาชนะเดยี วกันเป็นตน้ สมยั นั้น พวกภิกษุฉพั พัคคีย์ฉนั อาหารในภาชนะเดียวกันบ้าง ... ด่ืมนำ้� ในขนั เดียวกนั บา้ ง ... นอนบนเตียงเดียวกันบ้าง ... นอนบนเตียงมีเคร่ืองลาดเดียวกันบ้าง ... นอนบนเตียงมีผ้าห่มผืน เดียวบ้าง ... นอนบนเตียงมีผ้าผืนเดียวเป็นทั้งผ้าปูและผ้าห่มบ้าง คนท้ังหลายต�ำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ฯลฯ เหมอื นคฤหัสถ์ผู้บรโิ ภคกาม” ฯลฯ ภกิ ษทุ ั้งหลายจึงน�ำเรอ่ื งนไี้ ปกราบทูลพระผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผู้มพี ระภาครับสงั่ ว่า “ภิกษุทง้ั หลาย ภิกษุไม่พึงฉนั อาหารในภาชนะเดยี วกัน ... ไม่พงึ ดืม่ น้�ำในขนั เดยี วกนั ... ไม่พึงนอน บนเตียงเดียวกัน ... ไม่พึงนอนบนเตียงมีเคร่ืองลาดเดียวกัน ... ไม่พึงนอนบนเตียงมีผ้าห่มผืน เดยี วกัน ... ไม่พึงนอนบนเตียงมีผ้าผนื เดียวเป็นทงั้ ผา้ ปูและผ้าห่ม รูปใดนอน ต้องอาบตั ิทกุ กฎ”
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 96 ๒) ไมช้ ำ� ระฟนั มีการบัญญัตวิ ินัยวา่ ด้วย การใช้ไม้ช�ำระฟันประโยชนข์ องการใช้ และโทษของการไมใ่ ช้ พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๐๗ วนิ ัยปิฎกที่ ๐๗ จลุ วรรค ภาค ๒ สมัยน้ัน ภิกษุท้ังหลายไม่เค้ียวไม้ช�ำระฟัน ปากมีกล่ินเหม็นภิกษุท้ังหลายจึงน�ำเรื่องน้ีไป กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบพระผู้มีพระภาครับส่ังว่า “ภิกษุทั้งหลาย การไม่เคี้ยวไม้ ช�ำระฟันมีโทษ ๕ประการน้ี โทษ ๕ ประการคอื ๑. ตาฝ้าฟาง ๒. ปากมีกลิ่นเหมน็ ๓. ประสาทล้นิ รบั รสได้ไมด่ ี ๔. น�ำ้ ดีและเสมหะหมุ้ ห่ออาหาร ๕. เบอื่ อาหาร ภิกษุทง้ั หลาย การไมเ่ คยี้ วไม้ช�ำระฟันมโี ทษ ๕ ประการน้แี ล ภิกษุทงั้ หลาย การเคยี้ วไม้ช�ำระฟันมปี ระโยชน์ ๕ ประการ คอื ๑. ตาสว่าง ๒. ปากไมม่ ีกล่นิ เหม็น ๓. ประสาทล้นิ รับรสไดด้ ี ๔. น�้ำดแี ละเสมหะไม่ห้มุ หอ่ อาหาร ๕. เจรญิ อาหาร ภกิ ษทุ ง้ั หลาย การเคยี้ วไมช้ ำ� ระฟนั มปี ระโยชน์ ๕ ประการนแี้ ล ภกิ ษทุ ง้ั หลายเราอนญุ าตไมช้ ำ� ระฟนั ” นอกจากเร่ือง การฉัน การดม่ื น�้ำ การนอน และไมช้ �ำระฟนั แล้ว ยังมวี นิ ัยอีกจำ� นวนมากเกี่ยวกบั สุข อนามยั เชน่ หมอ้ ถ่ายปัสสาวะ หลุมถ่ายอุจจาระ วัจกุฎี ส้วม วธิ ีการเขา้ สว้ ม การท�ำส้วม การลา้ งบาตร ผา้ น่งุ ภกิ ษุณี เปน็ ต้น ซึ่งมีอยใู่ นบทท่ี ๑ เรอื่ งการแพทย์ในพระไตรปฎิ ก
บทท่ี 2 หลักธรรมและวนิ ยั ว่าด้วย การแพทย์ การนวด การดูแลสขุ ภาพ ในพุทธศาสนา 97 ๑๐. วนิ ยั วา่ ดว้ ย อาหารทีเ่ ปน็ ยา ๑) ข้าวตม้ มพี ระวนิ ัยกลา่ วถึงประโยชน์ของขา้ วต้มว่ามีประโยชน์ ๑๐ อย่าง และขา้ วต้มเป็นยา พระไตรปฎิ กเล่มท่ี ๐๕ วินยั ปฎิ กท่ี ๐๕ มหาวรรค ภาค ๒ ประโยชนข์ องขา้ วต้มมี ๑๐ อย่าง พระผ้มู พี ระภาคตรัสกับพราหมณผ์ นู้ ง่ั ณ ทส่ี มควรว่า “พราหมณ์ ขา้ วต้มมีอานสิ งส์ ๑๐ ประการ คอื ผู้ถวายขา้ วต้มชอ่ื ว่า (๑) ให้อายุ (๒) ให้วรรณะ (๓) ให้สุขะ (๔) ใหพ้ ละ (๕) ใหป้ ฏภิ าณ (๖) บรรเทาความหวิ (๗) ระงบั ความกระหาย (๘) ให้ลมเดนิ คลอ่ ง (๙) ช�ำระลำ� ไส้ (๑๐) เผาอาหารที่ ยงั ไม่ย่อยให้ยอ่ ย พราหมณ์ข้าวตม้ มีอานสิ งส์ ๑๐ ประการนแ้ี ล” ครนั้ ตรสั เวยยากรณภาษติ นแ้ี ลว้ พระสุคตตรัสอนุโมทนาตอ่ ไปวา่ “ทายกผตู้ ั้งใจถวายขา้ วต้ม แกป่ ฏคิ าหกผสู้ ำ� รวมแลว้ ผฉู้ นั อาหารทผ่ี อู้ นื่ ถวายตามกาลสมควรเขาไดช้ อื่ วา่ ตามเพมิ่ ใหป้ ระโยชน์ ๑๐ ประการแกป่ ฏคิ าหกคอื อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ ปฏภิ าณนอกจากนน้ั ขา้ วตม้ ยอ่ มบรรเทาความ หวิ ความกระหายให้ลมเดินคล่อง ชำ� ระล�ำไส้ และช่วยย่อยอาหาร” พระสุคตตรัสว่าข้าวต้มเป็นยาดังน้ัน “ผู้ท่ีต้องการความสุขอันเป็นของมนุษย์ตลอดกาลนาน และปรารถนาความสุขอันเป็นทิพย์ หรือปรารถนาความงามอันเป็นของมนุษย์ จึงควรถวาย ขา้ วตม้ ”เมอ่ื ทรงอนโุ มทนาแกพ่ ราหมณด์ ว้ ยพระคาถาเหลา่ นแี้ ลว้ จงึ เสดจ็ ลกุ จากทป่ี ระทบั กลบั ตอ่ มา พระผมู้ พี ระภาคทรงแสดงธรรมกี -ถาเพราะเรอ่ื งนเี้ ปน็ ตน้ เหตุ รบั สง่ั กบั ภกิ ษทุ งั้ หลายวา่ “ภกิ ษุ ท้งั หลาย เราอนุญาตขา้ วตม้ และขนมหวาน” ๒) น้�ำฝาด ใบไม้ ผลไม้ มีวินยั วา่ ดว้ ย น้ำ� ฝาด และผลไม้ที่เป็นยา เร่ืองน�ำ้ ฝาดที่เป็นยา สมยั นน้ั ภกิ ษทุ งั้ หลายผ้เู ป็นไข้ ตอ้ งการนำ้� ฝาดทเ่ี ปน็ ยา ภกิ ษุทงั้ หลายจงึ นำ� เรือ่ งนีไ้ ปกราบทลู พระ ผมู้ พี ระภาคใหท้ รงทราบ พระผมู้ พี ระภาครบั สง่ั วา่ “ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราอนญุ าตนำ้� ฝาดทเี่ ปน็ ยา คอื นำ้� ฝาดสะเดา นำ้� ฝาดโมกมนั นำ�้ ฝาดขก้ี า นำ�้ ฝาดบอระเพด็ นำ�้ ฝาดกระถนิ พมิ านหรอื นำ้� ฝาดทเี่ ปน็
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 98 ยาชนิดอื่นท่ีมอี ยู่ ซ่งึ ไมใ่ ช่ของเคย้ี วของฉนั รบั ประเคนแล้วเก็บไวไ้ ด้จนตลอดชีพ เม่ือมีเหตุจำ� เป็น ภิกษุจงึ ฉันได้ เมอ่ื ไมม่ เี หตุจ�ำเปน็ ภิกษฉุ ัน ต้องอาบตั ทิ กุ กฎ” เร่อื งใบไมท้ เ่ี ป็นยา สมัยน้ัน ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นไข้ต้องการใบไม้ที่เป็นยา ภิกษุทั้งหลายจึงน�ำเรื่องน้ีไปกราบทูลพระ ผู้มีพระภาคใหท้ รงทราบ พระผู้มีพระภาครบั ส่ังว่า “ภิกษทุ ง้ั หลาย เราอนญุ าตใบไมท้ ีเ่ ปน็ ยา คือ ใบสะเดา ใบโมกมนั ใบขี้กา ใบแมงลกั ใบฝ้าย หรือใบไม้ที่เปน็ ยาชนิดอืน่ ทมี่ อี ยู่ ซ่ึงไมใ่ ช่ของเค้ยี ว ของฉัน รับประเคนแล้วเก็บไวไ้ ด้จนตลอดชพี เม่อื มเี หตุจ�ำเปน็ ภิกษจุ ึงฉันได้ เมือ่ ไม่มีเหตุจำ� เปน็ ภกิ ษุฉัน ต้องอาบัตทิ ุกกฎ” เร่ืองผลไมท้ ่เี ปน็ ยา สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นไข้ต้องการผลไม้ที่เป็นยาภิกษุท้ังหลายจึงน�ำเร่ืองน้ีไปกราบทูล พระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ พระผู้มพี ระภาครบั ส่งั ว่า “ภกิ ษทุ ั้งหลาย เราอนุญาตผลไม้ทเ่ี ป็นยา คือ ลูกพิลังคะ ดีปลี พรกิ สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม ผลโกฐ หรอื ผลไม้ท่ีเป็นยาชนดิ อ่นื ท่ีมี อยู่ ซง่ึ ไม่ใช่ของเค้ยี วของฉนั รบั ประเคนแลว้ เก็บไว้ไดจ้ นตลอดชีพ เมอ่ื มเี หตจุ ำ� เปน็ ภิกษุจงึ ฉนั ได้ เม่ือไมม่ เี หตุจำ� เปน็ ภกิ ษฉุ ัน ต้องอาบตั ิทุกกฎ” สรปุ ในพระไตรปฎิ กมหี ลกั ธรรมและวนิ ยั กำ� หนดไวเ้ กยี่ วกบั การแพทย์ การนวด การเยยี วยา และสขุ อนามยั เป็นจ�ำนวนมาก หลักธรรมดังกล่าวได้กลายเป็น หลักการของการแพทย์ในพุทธศาสนา ปรัชญา ทฤษฎี ทางการแพทย์ วิธีการปฎิบัติเก่ียวกับการเยียวยาว่าอะไรท�ำได้ อะไรท�ำไม่ได้ การดูแลสุขภาพ และสุข อนามัย สำ� หรบั ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี และตอ่ มาได้ขยายเข้าสู่การดูแล พยาบาลฆราวาส หลกั ธรรมและวนิ ยั ดงั กลา่ ว ไดก้ ลายเปน็ หลกั ธรรมของการแพทยใ์ นพระพทุ ธศาสนาของประเทศตา่ งๆ ทรี่ บั และนบั ถอื พทุ ธศาสนา โดยเฉพาะใน ธเิ บต เมยี นมา ลาว กมั พชู า ศรลี งั กา ไตห้ วนั รวมทงั้ ประเทศไทย
บทที่ 2 หลักธรรมและวนิ ยั วา่ ด้วย การแพทย์ การนวด การดแู ลสขุ ภาพ ในพุทธศาสนา 99 หลกั ธรรมและวินยั ได้ถูกรับมาเปน็ หลักการ ปรชั ญา ทฤษฎีทางการแพทย์ สมฏุ ฐาน การเยยี วรกั ษา ของการแพทยแ์ ผนไทย และการนวดไทย ซง่ึ การสง่ ผา่ นและสืบทอดมาเปน็ การแพทยแ์ ผนไทยและการ นวดไทยน้ัน ตอ้ งศึกษาเปรยี บเทียบคัมภีรด์ ้งั เดมิ ของการแพทยแ์ ผนไทย และการนวดไทย กบั หลกั ธรรม และวนิ ยั ในพระไตรปฎิ ก จงึ จะเหน็ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษข์ องการสบื ทอด การรบั หลกั ธรรมวนิ ยั ของพระพทุ ธ ศาสนามาเปน็ หลักการ ปรชั ญา ทฤษฎีการแพทย์ของการแพทยแ์ ผนไทยและการนวดไทยอย่างชัดเจน
การนวดในพระไตรปฎิ กและสายธารแหง่ การนวดไทย 100 ตอนที่ 2
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192