Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์-จำนงทองประเสริฐ

หนังสือประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์-จำนงทองประเสริฐ

Description: หนังสือประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์-จำนงทองประเสริฐ

Search

Read the Text Version

1 .

2 หัวขอ้ น้ี คดั จาก : หนังสือประวตั ศิ าสตร์พุทธศาสนาในเอเชยี อาคเนย์ รวบรวมและเรียบเรยี ง โดย อาจารย์จานง ทองประเสริฐ ราชบณั ฑิตยสถาน ทา่ นไดร้ บั ทนุ จากมูลนธิ อิ าเซีย ใหไ้ ปศึกษาต่อที่มหาวทิ ยาลยั เยล (Yale) สหรัฐอเมรกิ า เม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๒ ในสาขาวิชาปรชั ญาและวิชาืทเ่ี ก่ียวกับเอเชยี อาคเนย์ จิตตภาวนั วิทยาลยั มูลนธิ อิ ภิธรรมมหาธาตุวทิ ยาลัย จดั พมิ พเ์ ผยแพร่ เมื่อปีพทุ ธศักราช ๒๕๑๔ พระพุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์ โดย อาจารยจ์ านง ทองประเสรฐิ กอ่ นท่ีจะไดศ้ กึ ษาถึงประวตั คิ วามเป็นมาของพระพุทธศาสนาในเอเชยี อาคเนย์ ควรท่เี ราจะได้ทราบถงึ ความหมายแห่งคาวา่ “เอเชียอาคเนย์” (South-East-Asia) เสยี กอ่ นว่ามคี วามหมายแค่ไหนเพยี งใด คาว่า “เอเชียอาคเนย”์ นั้น ไดเ้ ป็นท่รี ้จู กั กันแพรห่ ลายมาต้ังแต่สมยั สงครามโลกครงั้ ท่ี ๒ เป็นต้นมา คา ว่า “เอเชยี อาคเนย์” หาได้หมายรวมถงึ พ้ืนท่ที ่เี ปน็ อันหนง่ึ อันเดียวกนั ในทางการเมืองหรือทางวฒั นธรรม โดยเฉพาะอย่างใดอย่างหน่งึ ไม่ แตเ่ ปน็ อาณาบริเวณท่ีมีวฒั นธรรมในสังคมคลา้ ยคลงึ กัน และมี ประวัติศาสตรท์ างการเมืองหลายอย่างทัง้ ในอดีตและในปัจจบุ ันคล้ายคลงึ กันเท่าน้ัน ในดา้ นภมู ศิ าสตร์ ศาสตราจารย์ เบรยี น แฮร์ริสัน (Brian Harrison) ไดเ้ ขยี นไวใ้ นหนงั สือ South-East- Asia, A Short History ว่า “เอเชยี อาคเนย์” เปน็ ดินแดนทร่ี ะกอบด้วยกลมุ่ ประเทศทางด้านภมู ิศาสตร์ ๒ กล่มุ ใหญๆ่ ดว้ ยกัน กลมุ่ หนงึ่ เปน็ อาณาบริเวณบนผืนแผ่นดินใหญ่ หรือ ซึง่ เรยี กกนั วา่ แหลมอนิ โด จนี มปี ระเทศพมา่ ไทย อนิ โดจีน (ลาว กัมพูชา เวยี ดนามเหนือและเวียดนามใต้) และมลายู อีกกลุ่ม หนงึ่ คอื หมเู่ กาะซึ่งแผจ่ ากเกาะสุมาตราไปทางตะวันออกและตะวนั ออกเฉียงเหนือจนถงึ ฟลิ ปิ ปินส์ “เอเชียอาคเนย์” ทัง้ ทีเ่ ปน็ อาณาบริเวณบนผนื แผน่ ดินใหญ่ และที่เป็นหมู่เกาะได้กอ่ ตัวข้ึน เป็นเสมอื นกาแพงมหึมา ซ่ึงมีประตเู ล็กๆ ๒-๓ ประตู ระหวา่ งมหาสมทุ รแปซิฟิกกับมหาสมทุ รอินเดีย “เอเชยี อาคเนย์” จึงเป็นเสมือนบนั ไดหินทที่ อดเป็นขั้นๆ จากทวีปเอเชียไปยังทวปี ออสเตรเลยี อาณาเขตทางทศิ เหนือ ของเอเชียอาคเนย์ มีเทือกเขาเปน็ แดนกน้ั ระหว่างแหลมอินโดจีนกบั ผนื แผน่ ดินใหญ่ของทวปี เอเชีย ทางด้านสดุ ของทิศอาคเนย์ ซึ่งมีเกาะเล็กเกาะน้อยทอดไปจนถึงทวปี ออสเตรเลยี นน้ั หาได้มีเขตกาหนดแนน่ อนอะไรไม่ แต่เรากพ็ อกาหนดเขตได้ครา่ วๆ วา่ อยรู่ ะหว่างหมู่ เกาะโมลุกกะ (Moluccas) กับนิวกนิ ี (New Guinea) ซึ่งเป็นของอนิ โดนีเซียและออสเตรเลีย อนง่ึ หมู่ เกาะทางทิศตะวันตก คือ สุมาตรา ชวา บาหลี บอร์เนยี ว และเกาะอ่ืนๆ อยทู่ างทิศตะวนั ตกของช่องแคบ มากสั ซัส (Macassas)และชอ่ งแคบลอมบอก (Lombok) เป็นหมเู่ กาะทเี่ กิดอยู่ในทะเลตนื้ ๆ เข้าใจว่าเดมิ คงจะเป็นดนิ แดนทตี่ ิดตอ่ เป็นผนื แผ่นดินเดยี วกับผืนแผน่ ดินใหญข่ องทวีปเอเชยี หมเู่ กาะระหว่างนิวกินี

3 กับหมเู่ กาะที่กล่าวนามมาแล้ว (คอื สมุ าตรา ชวา บาหลี บอรเ์ นียว) ได้แก่หม่เู กาะ ซนุ ดานอ้ ย (Lesser Sundas) คือตัง้ แตเ่ กาะลอมบอก ทางทิศตะวนั ออกไปจนถึงเกาะติมอร์ เกาะเซลีเบส และหมู่เกาะ ฟิลปิ ปนิ ส์ ก็รวมอยู่ในเอเชียอาคเนย์ด้วย สาหรับความเหน็ ในด้านภูมิศาสตร์ ตามที่ศาสตราจารย์เบรียน แฮร์รสิ ัน (Brian Harrison) ได้กล่าวไว้ใน หนังสอื South-East-Asia นนั้ เปน็ ทัศนะทย่ี อมรับกนั ทั่วๆ ไป เชน่ ในหนังสอื The Pattern of Asia ซง่ึ นอร์ตนั กินสเบิรก์ (Norton Ginsburg) เปน็ ผจู้ ัดพิมพ์หนังสือ Southeast Asia and the World Today ของ ศาสตราจารย์ เคลาด์ เอ. บุส (Claude A. Buss) และหนงั สอื The Diplomacy of Southeast Asia 1945-1958 ของ ศาสตราจารย์ รสั เซล เอช. ไฟฟลิ ด์ (Russell H.Fifield) เปน็ ต้น แต่ หนงั สือ A History of South East Asia ของ ศาสตราจารย์ (D.G.E Hall) หาได้รวมฟิลปิ ปินสไ์ วใ้ น ดนิ แดนท่เี รยี กวา่ “เอเชยี อาคเนย์” ไม่ โดยให้เหตผุ ลวา่ ฟลิ ิปปินส์ อยนู่ อกขอบเขตแห่งสายพฒั นาการ ทางประวัติศาสตร์ ประชาชนสว่ นใหญ่ ใน “เอเชียอาคเนย์” เป็นพวกมองโกล ซึง่ ได้รบั อิทธิพลจากภายนอก คือ อินเดยี และ จีนมากว่าสองพนั ปแี ล้ว และในระยะหลังๆ ไดร้ บั อิทธิพลทางศาสนา และวัฒนธรรมจากตะวันตก คือ จากยุโรปและอเมริกาดว้ ย ดนิ แดนสว่ นนไ้ี ด้เคยเป็น และยังเปน็ ศนู ย์รวมแหง่ พาณชิ ยกรรม วฒั นธรรม และอารยธรรมต่างๆ ของโลกอกี ดว้ ย ศาสนาฮนิ ดู ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และคริสต์ศาสนา ได้ หลัง่ ไหลเขา้ มาสูด่ ินแดนแถบนีพ้ รอ้ มๆ กับการค้าขาย ประชาชนประมาณคร่ึงหนึง่ ของประชากรในแถบนี้ กน็ บั ถือศาสนาอิสลาม ซ่ึงส่วนใหญ่อยใู่ นประเทศอินโดนเี ซีย และมาเลเซีย สว่ นชาวไทย พมา่ ลาว กมั พูชา เวยี ดนาม และชาวจนี ส่วนมากนับถือศาสนาพุทธ พวกอนิ เดียนับถือศาสนาฮนิ ดู และชาว ฟลิ ิปปินสป์ ระมาณ ๙๕% นับถอื คริสต์ศาสนา สาหรบั ในด้านการศึกษา วา่ ด้วยความเป็นมาของพระพทุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนย์น้ี จะดาเนนิ ไปใน ขอบเขตแห่งประวตั ิศาสตร์พุทธศาสนา โดยเฉพาะเท่านั้น และจะไดศ้ ึกษากนั เป็นประเทศๆ ไป โดยจะ เรมิ่ จาก “ประวตั คิ วามเป็นมาของพระพุทธศาสนาในอนิ เดยี และลงั กา” โดยยอ่ ๆ ก่อน

4 พระพทุ ธศาสนาในประเทศอินเดยี ในสมัยพทุ ธกาลนน้ั พระพทุ ธศาสนาไดเ้ จรญิ ถงึ ขีดสุด เพราะปรากฏว่ามีประชาชนทั่วชมพทู วปี ไดห้ ันมา นับถือพระพทุ ธศาสนาอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแควน้ มคธ โกศล และกาสี ซ่ึงเปน็ แควน้ ที่ ยง่ิ ใหญ่ท่สี ดุ ในสมัยนนั้ ก็มผี ้หู ันมานับถือพระพุทธศาสนาเป็นจานวนมาก ไมว่ า่ จะเปน็ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ หรือศทู ร พระพทุ ธศาสนาสามารถหยง่ั รากลงสจู่ ิตใจประชากรในดนิ แดนต่างๆ เหล่านอี้ ยา่ งมนั่ คง ลาภสักการะไดเ้ กิดข้นึ ในพระพุทธศาสนาอย่างจะหาประมาณไม่ได้ ท้ังน้เี พราะพระภิกษสุ งฆซ์ ึ่งเปน็ สาวก ทเ่ี ปน็ พระอรหันต์ขีณาสพมีอยมู่ ากมาย จงึ ทาให้การประกาศพระพุทธศาสนาดาเนนิ ไปได้อยา่ งรวดเรว็ กวา้ งขวาง แมเ้ ม่ือพระพทุ ธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วใหม่ๆ พระพทุ ธศาสนากย็ ังคง เจรญิ รุ่งเรอื งต่อไปอีกนาน ศาสนาอื่นๆ แมจ้ ะมีอยู่มากมายหลายศาสนาดว้ ยกนั เชน่ ศาสนาเชน ศาสนา พราหมณ์ เป็นต้น แต่ศาสนาเหลา่ น้ยี ังหามีอิทธิพลเหนือศาสนาพุทธไม่ เม่ือกาลเวลาผา่ นไป หลังจากพทุ ธปรนิ พิ พาน ๑๐๐ ปี ก็เกิดมีภกิ ษุชาววชั ชีไดเ้ กดิ มีความคดิ เหน็ วปิ รติ ผดิ แผกไป โดยบัญญตั วิ ัตถุ ๑๐ ประการขนึ้ โดยอา้ งว่าไม่เป็นการผดิ พระวนิ ยั บัญญัติ อันเป็นเหตใุ ห้เกดิ ทตุ ิย สังคายนาขนึ้ ขอ้ น้ีกเ็ ปน็ เหตุหน่งึ ท่ที าให้พระศาสนาต้องเสื่อมลงเหมือนกัน และเปน็ ความเสอื่ มที่เกิดจาก ภายในสงั ฆมณฑลเอง พระพทุ ธศาสนาไดม้ าเจริญรุ่งเรอื งอีกครง้ั หนึ่ง ในสมยั พระเจ้าอโศกมหาราช แหง่ ราชวงศ์โมริ ยะ ประมาณ พ.ศ. ๒๗๙ เปน็ ตน้ มาจนกระท่งั ได้มีการสังคายนาพระพทุ ธวจนะขึน้ ทเ่ี มืองปาฏลีบตุ ร และพระเจา้ อโศกมหาราชยงั ไดส้ ง่ พระมหาเถระผทู้ รงความรู้ออกประกาศพระศาสนาไปยังตา่ งประเทศ ทาให้พระพุทธศาสนาได้แผ่ไปทวั่ ทุกมมุ โลก แตโ่ ดยเหตุทพ่ี ระพุทธศาสนาได้เริ่มขึน้ ในประเทศอนิ เดยี และอินเดียเวลานั้นกเ็ ตม็ ไปดว้ ยศาสนาและลทั ธิ ตา่ งๆ มากมาย ในสมยั ที่พระพทุ ธศาสนาเจรญิ ศาสนาพราหมณ์หรือศาสนาเชน ฯลฯ ก็มิได้ถูกทาลาย ยงั คงสภาพเดิมอยู่ เพียงแต่ว่ามีคนหนั มาสนใจในพระพุทธศาสนามากขึน้ เทา่ น้นั โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ศาสนาพราหมณ์ มผี ู้นบั ถือมากมายยงิ่ กว่าศาสนาพทุ ธเสียอีก เม่ือพระเจ้าอโศกมหาราชผู้เปน็ องค์

5 ศาสนปู ถมั ภกสวรรคตแล้ว พระพุทธศาสนาก็เริม่ เสอ่ื มลงตามลาดับ ทัง้ นเ้ี พราะกษัตริย์แหง่ ราชวงศโ์ มริ ยะองคต์ ่อๆ มา บางองค์กน็ บั ถือพระพทุ ธศาสนา บางองคก์ ็นับถือศาสนาพราหมณ์ ทาให้พระพทุ ธศาสนา ไมไ่ ด้รบั การทะนุบารงุ ส่งเสริมเท่าที่ควร ความเสื่อมของพระพทุ ธศาสนาในอินเดยี เปน็ ไปตามธรรมชาติ หรืออาจจะกล่าวไดว้ ่าค่อยๆ เลือนหายไปและเปล่ยี นสภาพไปเปน็ อ่ืน อินเดียมีอะไรๆ ท่ีประหลาดอยู่ อยา่ งหนงึ่ คือสามารถเปล่ยี นแปลงสง่ิ ที่ตนริบเอามา แล้วกลืนหายกลายเป็นของตนไป พระพทุ ธศาสนา ไมใ่ ช่เพียงแต่จะเกิดในอินเดียเท่านน้ั แต่คาสอนในพระพทุ ธศาสนายงั อยู่ในแนวเดียวกับแนวคดิ เดิมของ อนิ เดีย รวมทัง้ ปรชั ญาในคมั ภีร์อุปนิษัทด้วย ในคมั ภรี ์อุปนิษทั กต็ เิ ตียนวิชาไสยศาสตร์ และติเตยี นการ แบ่งชั้นวรรณะไวม้ าก ฉะน้ัน ศาสนาพราหมณก์ ับศาสนาพุทธ ยิ่งปะทะกันมากเท่าไร ก็ยิ่งใกล้กนั มากข้ึน เทา่ นนั้ อันจะเปน็ เหตทุ าให้เกิดลัทธิมหายานขึน้ ในโอกาสต่อมา ย่ิงลัทธมิ หายานแผก่ ว้างขยายออกไป เทา่ ใด คุณคา่ ของพระพทุ ธศาสนาเดิมกล็ ดน้อยลงเทา่ นัน้ วัดเลยกลายเปน็ สถานที่สะสมทรพั ยส์ มบตั ิ ทา ให้พระรุ่มรวยไปตามๆ กัน ของขลงั เครื่องรางกลายเป็นของศักดิส์ ิทธิ์อนั ควรเคารพกราบไหว้ ในราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๐-๑๑ กษตั ริยใ์ นราชวงศค์ ุปตะของอนิ เดีย ได้ฟนื้ ฟศู าสนาพราหมณเ์ ป็นการ ใหญ่ โดยพระเจ้าพาลาทติ ยคุปต์ ได้ทรงสถาปนาเมืองพาราณสีขึ้นเป็นราชธานี แลว้ ยกย่องศาสนา พราหมณ์เป็นศาสนาประจารัฐ ทรงสรา้ งโบสถ์พราหมณ์ท่ัวเมืองพาราณสี แมจ้ ะไม่ไดร้ งั แก พระพุทธศาสนา แต่พระพุทธศาสนาก็มิไดร้ บั การสนใจ ศาสนาพราหมณ์กลบั เปน็ ใหญ่ และมอี ิทธิพลมาก ขึน้ ทุกที แตต่ อนปลายสมยั ราชวงศค์ ปุ ตะ อนิ เดยี ต้องทาสงครามกบั พวกฮ่นั เป็นนิจ เลยไมไ่ ด้เอาใจใสใ่ น ด้านศาสนามากนกั ทั้งศาสนาพราหมณ์และศาสนาพทุ ธต่างก็ค่อยๆ เสื่อมลงและกลมกลืนเขา้ กนั หมด จนไม่สามารถแยกออกวา่ ไหนเปน็ พราหมณ์ ไหนเปน็ พุทธ ถ้าพราหมณ์กลนื พุทธอยา่ งเขาวา่ จรงิ กแ็ สดง วา่ พุทธศาสนาไดม้ ีอิทธพิ ลมาก จงึ สามารถเปลี่ยนศาสนาพราหมณ์ใหผ้ ดิ แผกไปจากเดมิ มากมาย แตถ่ า้ หากพุทธศาสนากลนื ศาสนาพราหมณ์ กเ็ ท่ากบั แสดงใหเ้ หน็ ว่า ศาสนาพราหมณ์กม็ ีอิทธิพลมากพอท่ีจะ ทาใหพ้ ระพุทธศาสนาผันแปรไปได้มากทีเดยี ว บคุ คลสาคัญทพี่ อกล่าวไดว้ ่า เปน็ ผ้เู ร่งทาให้พระพทุ ธศาสนาส้ินสุดลงในอนิ เดีย ก็คอื ท่าน สงั กราจารย์ ทา่ นผู้น้เี กดิ ท่ีมาลาบาร์ ในอินเดยี ตอนใต้ เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ทา่ นชอบเดินทางไปยงั ท่ีต่างๆ ทัว่ อนิ เดีย ชอบพบปะสนทนาวสิ าสะกับบุคคลต่างๆ ไม่เลือกหน้า ชอบอภิปรายให้เหตผุ ลให้ความเชื่อมน่ั แก่ เขา ทา่ นสงั กราจารย์ พยายามอยา่ งย่ิงท่จี ะสมัครสมานความแตกแยกในลทั ธิและศาสนาตา่ งๆ ท่มี ีอยู่ใน อินเดยี เวลานนั้ ชว่ั ระยะเวลาเพยี ง ๓๒ ปี ท่ที ่านได้มีชวี ติ อยู่ในโลก ทา่ นไดท้ าประโยชน์อันย่ิงใหญ่ไว้ ให้แก่โลก แก่อินเดียจนถงึ ทุกวนั นี้ ทา่ นผูน้ เี้ ป็นทงั้ นกั ปราชญ์ นกั ศึกษา นักพรต นกั กวี นักบุญ นักปฏิรูป และนักสร้างสรรค์ท่ีสามารถ ท่านได้สรา้ งวดั ใหญ่ขึ้น ๔ วัด ใน ๔ มุมของอินเดยี นี่เปน็ การลอกแบบไป จากพระพุทธศาสนาโดยตรงนั่นเอง แตเ่ ดิมพวกพราหมณห์ รือพวกสันนยาสี มิได้รวมกันเป็นหมู่ เปน็ คณะใหญ่ จะมีบา้ งกเ็ พยี งคณะยอ่ ยๆ ท่านผู้น้ีไดเ้ อาปรชั ญาของพระพทุ ธศาสนาและศาสนาอืน่ ๆ ใน อินเดียมาผสมผสานกัน แลว้ ยกใหพ้ ระพุทธเจ้าเป็นนารายณ์อวตารปางหน่งึ คือเปน็ ปางที่ ๙ และยกพระ ศรีอารยิ เมตไตรยซึ่งจะมาตรสั ร้ใู นอนาคต เปน็ นารายณ์อวตารปางท่ี๑๐ พระพุทธศาสนาจึงถูกกลนื หายไปในศาสนาพราหมณ์ หรือซ่ึงเรียกว่า ศาสนาฮินดู ในปจั จุบันน้ี แตเ่ พราะเหตุท่ที า่ นสังกราจารย์ได้ สมัครสมานพระพทุ ธศาสนาเข้ากับศาสนาพราหมณ์นเ้ี อง พวกท่ีไม่ชอบสังกราจารยก์ ็ประณามว่า ท่าน สงั กราจารยเ์ ป็นชาวพุทธท่ีปลอมบวชอยใู่ นศาสนาพราหมณ์ ซงึ่ ความจรงิ ศาสนาพุทธก็มีอทิ ธิพลเหนือ

6 สังกราจารยอ์ ย่างว่าเหมือนกัน ศาสนาพราหมณ์จะดเี ลวอย่างไรก็ตาม แต่กเ็ ป็นศาสนาท่ีเก่าแก่ยง่ิ กว่าศาสนาใดๆ ในโลก และมีอายยุ ั่งยนื มาจนถึงทุกวนั นี้ ถงึ แม้อินเดียจะมีศาสนาทส่ี าคัญๆ อ่นื ๆ เกิดขึ้น เชน่ ศาสนาพุทธ และศาสนาเชน แต่ก็ ยังไมส่ ามารถลบล้างศาสนาพราหมณใ์ หเ้ สอ่ื มสูญไปได้เลย เพราะได้หยัง่ รากลงสู่จติ ใจประชากรของ อินเดียเสยี อยา่ งแนน่ แฟ้นแลว้ แม้ศาสนาพุทธและศาสนาเชนจะเกดิ ขนึ้ มาต่อสู้ และแม้จะถูกรกุ รานโดย ศาสนาอสิ ลามในภายหลัง ศาสนาพราหมณ์ก็ยงั คงหนักแน่นอยใู่ นอินเดียเช่นเดยี วกบั ความหนักแน่นของ ภูเขาหิมาลยั เหมือนกนั เมอื่ พวกมุสลมิ ยกกองทัพมาตีอินเดีย จนถงึ พาราณสี และสารนาถ พวกนี้ไม่ปรานตี ่อโบสถ์พราหมณห์ รือ โบสถพ์ ทุ ธเลยแมแ้ ต่น้อย หวั หนา้ มุสลิมทเ่ี ปน็ ผูร้ บั ผดิ ชอบในการทลายสารนาถ คือสุลตา่ นมะหะหมดุ กซั นาวี คนหนึ่ง กับ นายพลกตู ูบุดดนิ ของ มหุ ะหมดั โฆรี อกี คนหนึง่ หลังจากพวกมสุ ลมิ ไดใ้ ชด้ าบฟาดฟันสารนาถหมดแล้ว สารนาถก็กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า เหลอื กุฏิอยู่ ๒-๓ หลัง พระภกิ ษุสงฆ์กแ็ ตกฉานซ่านเซ็นไปคนละทศิ ละทาง และบ้างก็ถูกพวกพราหมณก์ ลืนไปเสียมิใช่ น้อย นับแตน่ ้นั มาสารนาถก็ถูกกลืน พระพุทธศาสนาก็สญู สิ้นไปจากอนิ เดียตงั้ แตน่ น้ั มา พระพทุ ธศาสนาไดก้ ลับฟืน้ คนื ตัวขน้ึ อีกคร้งั หนงึ่ ก็เมื่อท่านอนาคาริก ธัมมปาละ ชาวลงั กาไดก้ ลบั ไปฟ้นื ฟู พระพุทธศาสนาขึน้ ในอินเดียอกี เม่ือไม่นานมานเ้ี อง จนกระทง่ั พระพุทธศาสนากาลังจะฉายแสงใหม่ขน้ึ อีก วาระหนึ่ง ขณะนี้มชี าวอนิ เดียได้หนั มานับถอื พระพทุ ธศาสนาประมาณ ๑๐ ลา้ นเศษ แตส่ ่วนมากเป็นชน ช้นั ศูทร ซึง่ มี ดร. อมั เบดการเ์ ป็นหวั หน้า ขณะน้ที ี่อินเดียมีพุทธสมาคมเกิดข้นึ หลายแห่ง และแหง่ ที่ สาคัญก็คือ สมาคมมหาโพธ์ิ นอกจากน้ันยงั มีมหาวิทยาลยั พระพุทธศาสนาเกดิ ขึ้นอกี แห่งหน่ึง คอื มหาวิทยาลัยนาลนั ทา ซง่ึ อยู่ในแควน้ พิหารของอนิ เดยี และนบั วนั จะเจริญย่งิ ขึน้ ตามลาดับ

7 พระพุทธศาสนาในประเทศลงั กา กอ่ นท่ีพระพทุ ธศาสนาจะไปประดิษฐานในลงั กาน้นั ประชาชนชาวลงั กาสว่ นมากนบั ถอื ศาสนาพราหมณ์ และบชู าภูตผี เทวดา ยักษ์ และนาคตา่ งๆ พระพุทธศาสนาได้เขา้ ไปสูล่ งั กาเปน็ ทางการคร้ังแรกก็ในรชั สมัยแหง่ พระเจา้ อโศกมหาราช แห่งกรงุ ปาฏลีบุตร ประเทศอนิ เดีย และตรงกับรัชสมัยพระเจา้ เทวานมั ปยิ ดสิ แห่งประเทศลังกา เหตุทีล่ งั กาได้ช่อื วา่ สงิ หฬ ในสมยั ก่อนพุทธกาล ประชาชนชาวลงั กาไมไ่ ดเ้ รยี กตนวา่ ชาว “สิงหฬ” อย่าง ในสมยั ปัจจุบนั นี้ ชาวพน้ื เมอื งเดิมเปน็ พวกคนป่า มีวฒั นธรรมไม่สงู นัก ตามหลักฐานท่ปี รากฏอยูใ่ นคัมภรี ์ มหาวงศ์ พงศาวดารลงั กานน้ั กล่าววา่ มชี นอยู่ ๒ พวกด้วยกัน เรียกวา่ “ยักษ์” พวกหน่งึ พวกนีต้ ้ังถิ่นฐาน และบ้านเมืองอยตู่ ามที่สงู ตอนกลางของเกาะ อีกพวกหน่งึ เรียกว่า “นาค” พวกนี้อยู่ตามท่ีต่า ชายทะเล ส่วนตอนใต้ของชมพทู วีปหรอื อินเดยี น้เี ป็นบ้านเมอื งของพวกทมิฬ แบ่งเป็นหลายอาณาจักร ด้านตะวนั ตกซึ่งอยู่ใกล้กบั เกาะลงั กา ตอนปลายแหลมชมพูทวปี เรียกว่าแคว้นปาณฑยะ ถัดขนึ้ ไปทาง ตะวนั ออกเรยี กวา่ โจฬมณฑล ต่อนัน้ ข้นึ ไปกถ็ ึง กลิงคราษฎร์ ซงึ่ อยตู่ ดิ ต่อกับบ้านเมืองของพวกอริยกะ ทางเหนอื ตานานเล่าว่า ในตอนสมยั พุทธกาลมกี ษตั ริย์ชาวอริยกะพระองค์หนง่ึ ทรงพระนามวา่ พระเจ้าวังคราช มี วงั คนครเปน็ ราชธานี อยู่ขา้ งเหนือกลิงคราษฏร์ ไดร้ าชธิดาของพระเจา้ กลิงคราษฏรเ์ ปน็ เปน็ อคั รมเหสี มี ราชธดิ าชือ่ นางสปุ า นางสปุ านเ้ี ป็นคนมักมากในกามกเิ ลส จึงต้องถูกขับไล่ซัดเซพเนจรไปเท่ียวอาศัยอยู่ ตามทีต่ ่างๆ ไปมีบุตรชอ่ื สหี พาหุกุมาร หนงั สือมหาวงศ์กลา่ ววา่ เพราะนางสปุ านัน้ ไปได้พระยาราชสีห์ เป็นสามี สีหพาหุกมุ าร เปน็ บตุ รเช้อื ราชสหี ์ จงึ มกี าลังวงั ชามาก เม่ือเติบใหญ่ขึ้น จึงพานางผมู้ ารดาหนี พระยาราชสีห์ กลบั เข้ามาอยู่กบั หมู่มนุษย์ ฝ่ายพระยาราชสหี ม์ คี วามอาลยั ออกตดิ ตามบุตรภรรยา เทีย่ ว ขบกัดผู้คนชาวเมืองวงั คนครล้มตายลงมาก จนพระเจ้าวงั คนครตอ้ งปา่ วประกาศรอ้ งหาผทู้ จ่ี ะอาสาฆ่า พระยาราชสหี ์น้ัน สีหพาหุกุมารเขา้ รับอาสา ฆ่าพระยาราชสีห์ตาย เพราะเหตุนจี้ ึงปรากฏนามว่า สหี ฬ กมุ าร ตอ่ มา พระเจ้าวงั คราชสน้ิ พระชนม์ ไม่มเี ชอ้ื พระวงศ์ทจี่ ะครอบครองราชย์สมบตั ิ ชาววงั คนคร จงึ พร้อม

8 กนั ถวายราชสมบตั ใิ ห้ สีหฬกุมาร ต่อมาพระองคไ์ ด้ย้ายไปสรา้ งราชธานใี หมช่ อ่ื สหี บรุ ี แลว้ เสวยราช สมบตั อิ ยู่ในเมืองน้นั ทรงมีพระราชบุตรถึง ๓๐ องค์ องคใ์ หญช่ อ่ื วชิ ัยราชกุมาร พระราชกมุ ารพระองค์ นี้มคี วามประพฤติเป็นพาล พวกราชบดิ าจงึ จบั ใสส่ าเภา พร้อมกบั พรรคพวกขับไล่ออกจากเมอื ง วชิ ยั ราช กุมารไปถึงเกาะลงั กา เหน็ วา่ มชี ัยภูมิดจี ึงขึน้ อาศยั อยู่บนเกาะน้นั และได้นางยักษช์ อื่ กเุ วณา เป็นภรรยา โดยอาศัยนางยักษ์ผูภ้ รรยาเป็นผู้แนะนาพระองค์ก็ตีเมือง ศิรวิ ัตถุบรุ ี ของยักษ์ชือ่ มหากาฬเสน ได้ และ ไดค้ รอบครองเมืองแต่น้นั มา และขยายเมืองออกไปอีกมาก ตอ่ มาพระองค์ไดข้ ับไลน่ างกุเวณากบั บุตรไป แลว้ ทรงอภเิ ษกสมรสกับราชธิดาของ พระเจ้ามทรุ นคร แคว้นปาณฑยะ นบั เปน็ ปฐมกษัตรยิ ์ชาวชมพูทวีป ท่ีไดค้ รองลงั กา ซง่ึ ตรงกบั วนั เสด็จดับขันธปรินพิ พานแห่งองค์สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ของเรา โดย เหตนุ ีแ้ หละ ชาวลงั กาจงึ มชี ่ืออกี ชื่อหน่งึ ว่า “สหี ฬ” ตามสายแห่งบรรพบรุ ษุ ของพระเจา้ วิชัยนนั้ เอง นอกจากนนั้ เกาะลังกายังมชี อ่ื อีกชื่อหนง่ึ วา่ “ตามพปณั ณิทวปี ” คอื “เกาะของคนผู้มฝี า่ มอื สแี ดง” ทัง้ นก้ี โ็ ดยเหตทุ ่ีลงั กาเดิมเป็นประเทศทย่ี ังไม่เจรญิ เมื่อวชิ ัยราชกุมารกบั พวกไปถงึ นั้นต้องเดินบุกปา่ ฝ่า เขาไปหกล้มหกลุกจนกระท่งั ฝา่ มอื แตกมีเลือดออกแดงฉานไป โดยเหตุน้ีเขาจึงเรียกเกาะลังกาว่า “ตามพปัณณิทวีป” แปลวา่ “เกาะของผู้มีฝ่ามือสีแดง” โดยเหตุทพ่ี วกสิงหฬ เปน็ เชื้อสายของพวกอริยะมาจากชมพูทวปี มีความรู้ในการปกครองบ้านเมือง การ ทาไรท่ านาและการทดน้าเป็นอยา่ งดี จึงสามารถทาใหล้ ังกาเจริญได้อย่างรวดเร็ว พระเจา้ วชิ ัยไม่มโี อรส ครองราชย์อยู่ ๓๘ ปีก็สิน้ พระชนม์ พวกข้าราชการได้ไปทลู เชญิ สมุ ติ รราชกมุ าร ซ่ึงเปน็ พระอนชุ าของ พระเจา้ วิชยั มาครองราชย์สมบัตติ อ่ แต่สมุ ติ รราชกมุ ารมาไมไ่ ด้ จึงสง่ โอรสช่อื ปัณฑวุ าสุเทวะ มาครอง แทน ตอ่ มา พระเจ้าปัณฑกุ าภัย กษัตรยิ ์องค์ท่ี ๔ ได้อภเิ ษกสมรสกบั เจา้ หญงิ ศากยวงศ์ และครอบ ครองราชสมบัตสิ บื มาจนถึงสมยั พระเจ้าเทวานัมปิยดสิ ซ่ึงเปน็ กษัตริยอ์ งคท์ ่ี ๔ ครองเมืองอย่ทู ่ี อนุ ราชบุรี เมือ่ ปี พ.ศ. ๒๓๖ ตามคมั ภรี ม์ หาวงศว์ า่ ตรงกับสมัยพระเจา้ อโศกมหาราชแหง่ อินเดีย ในเร่อื ง พ.ศ. นยี้ ังไม่ตรงกันนัก วินเซนต์ เอ. สมทิ ผูส้ อบสวนโบราณคดีครง้ั พระเจ้าอโศกมหาราช ได้คิด คานวณปีลงความเหน็ ว่า พระเจา้ อโศกมหาราช ไดผ้ ่านพภิ พเมื่อ พ.ศ. ๒๗๒ (ในระหวา่ งนีเ้ หน็ จะทา สงครามกบั พวกราชกุมารที่เป็นพระภาดา ดงั กลา่ วไวใ้ นหนังสือมหาวงศ์ถึง ๓ ป)ี จงึ ราชาภิเษกเป็นพระ เจา้ ราชาธิราชปกครองมคธราษฎรท์ ว่ั ไป เม่ือ พ.ศ. ๒๗๕ ปี ทาตติยสังคายนา ถา้ กาหนดว่าในปีท่ี ๑๘ ตัง้ แต่พระเจา้ อโศกมหาราชได้ราชาภเิ ษกมา ตกใน พ.ศ. ๒๙๒ พระเจา้ อโศกมหาราชเสวยราชย์อยู่ ๓๘ ปี สวรรคต เมือ่ พ.ศ. ๓๑๑ ศกั ราชท่ี วินเซนต์ เอ. สมิท คานวณนี้ คลาดเคลื่อนช้าลงมากกว่าศกั ราชทล่ี งไว้ ในหนงั สอื มหาวงศ์ ในหนังสอื น้ันบอกพระพทุ ธศักราชอนั เน่ืองด้วยรชั กาลพระเจ้าอโศกมหาราช คานวณ เทยี บได้คร่าวๆ ดงั นคี้ ือ พระเจา้ อโศกมหาราช ราชาภิเษก พ.ศ. ๒๑๘ เสวยราชย์ได้ ๑๗ ปี จงึ ทาตตยิ สังคายนาเม่ือ พ.ศ. ๒๓๔ หลังจากท่ี พระเจ้าอโศกมหาราช ได้ทรงรับเป็นองคเ์ อกอัครศาสนปู ถัมภก ในการทาตตยิ สงั คายนาท่ี เมืองปาฏลีบุตรแล้ว โดยการแนะนาของพระโมคคลั ลบี ตุ รติสสเถระ พระองคไ์ ด้ทรงสง่ สมณทตู ไปเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาตามที่ตา่ งๆ รวม ๙ แหง่ ด้วยกนั ในการส่งสมณทูตไปประกาศศาสนาครั้งน้ี พระองค์ได้

9 ทรงสง่ พระมหนิ ทเถระ ซง่ึ เป็นพระราชโอรส พร้อมกบั ภกิ ษุอกี ๔ รูป คือ พระอิตยิ ะเถระ ๑ พระอตุ ยิ ะ เถระ ๑ พระสัมพลเถระ ๑ พระภัททสาลเถระ ๑ ไปประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาในลังกาทวปี ซง่ึ ตรงกบั รชั สมัยพระเจา้ เทวานัมปิยดิส พระเจา้ เทวานัมปิยดิส ทรงตอ้ นรบั สมณทูตชดุ นี้เป็นอย่างดยี ง่ิ หลงั จากท่ีพระองค์ได้ทรงสนทนา และฟัง ธรรมที่พระมหินทเถระแสดงแลว้ ก็ทรงเล่อื มใสปฏิญญาณตนเป็นพทุ ธมามกะ และทรงสนบั สนุนในการ เผยแผพ่ ทุ ธศาสนา และพุทธศาสนากต็ ง้ั มัน่ ในลงั กาตง้ั แตน่ ้ันมา การทพี่ ระเจ้าเทวานัมปิยดิส กับ พระมหนิ ทเถระ ทรงเขา้ กนั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี อาจเป็นเพราะมคี วามรสู้ กึ รว่ มกันในเชอื้ สายก็ได้ เพราะพระองค์ทรงสบื เชอื้ สายมาจากพวก ศากยะ ดงั ท่ีได้กลา่ วมาแลว้ พระมหิ นทเถระกม็ เี ชื้อสายศากยะเช่นกัน ทงั้ น้ีเพราะพระเจ้าจนั ทรคปุ ต์ ซงึ่ เปน็ พระปัยยกา (ปู่ทวด) ของ พระองค์น้ัน หนังสือมหาวงศ์ก็อา้ งวา่ ทรงสบื เช้ือสายมาจากพวกศากยราชเหมือนกัน หลังจากพระเจ้าเทวานมั ปิยดิส สวรรคตแล้ว ก็มกี ษตั ริยส์ บื ตอ่ มาอีก ๓ พระองค์ พอถงึ สมยั พระเจา้ สรุ ดสิ พวกทมิฬซึ่งมกี าลังเขม้ แข็งขึ้นกย็ กกองทัพมาชงิ ราชสมบัติได้ แต่กป็ กครองอย่ไู ด้ไมน่ าน พระเจา้ อเสละก็ กลบั ชิงราชสมบตั ิจากพวกทมิฬได้ แลว้ ตอ่ มาพระองค์ก็ถูกเอฬารทมฬิ ยกกองทพั มาชงิ ราชสมบตั ิได้ โดย เหตุทพ่ี วกทมิฬมไิ ด้นับถือพระพุทธศาสนาเชน่ เดียวกบั พวกสีหฬ พวกนน้ี บั ถือเทวดา ยกั ษ์ และรากษส ตลอดจนผีสางนางไมต้ า่ งๆ บางองค์ก็ประพฤตยิ า่ ยีพระพทุ ธศาสนา บางองคแ์ ม้จะไม่ทาลาย แต่กไ็ ม่ไดใ้ ห้ ความอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาเลย พระพุทธศาสนาก็นบั วนั จะอับแสงลงทกุ ที ตอ่ มาพระเจา้ ทฏุ ฐคามณีอภยั เช้ือสายพระเจ้าเทวานมั ปยิ ดิส ได้ยกกองทัพมาแย่งอานาจจากเอฬารท มฬิ ได้ จงึ ได้ครองราชยส์ มบัติในเมืองอนุราชบุรสี ืบมา แตก่ ็สบื ราชสมบตั กิ ันได้ไมน่ านถกู พวกเดียวกันแย่ง ชิงบ้าง ถูกพวกทมิฬแยง่ ชิงบา้ ง ผลัดกันแพ้ ผลัดกนั ชนะอยู่อยา่ งนี้ จนถึงสมยั พระเจา้ วฏั ฏคามณีอภยั พระองค์กถ็ ูกพวกทมิฬแยง่ ชิงราชสมบตั ิได้ พักหนงึ่ ในภายหลงั พระองค์ก็แย่งราชสมบัติกลบั คนื ได้แล้วก็ ทรงหนั มาทะนุบารุงพระพทุ ธศาสนาอย่างเต็มท่ี เพราะในระยะนี้พระพทุ ธศาสนาได้รบั การเอาใจใสน่ ้อย มาก เน่อื งจากผ้ปู กครองประเทศตอ้ งหันไปสนใจต่อการสงครามชงิ อานาจกนั อย่ตู ลอดเวลา ในที่สุดพระ เจ้าวัฏฏามณีอภยั นกี้ ไ็ ด้เปน็ กษตั รยิ อ์ งค์ที่ ๒ ทไี่ ดเ้ ป็นผอู้ ุปถัมภใ์ ห้มกี ารสงั คายนาขนึ้ ในลังกาทวีป หลงั จากพระเจ้าวฏั ฏคามณีอภยั สวรรคตแลว้ พวกทมฬิ และพวกสีหฬกค็ งแยง่ กันเปน็ ใหญอ่ ยู่ตลอดเวลา บางคราวพวกสีหฬก็มีอานาจ บางคราวพวกทมิฬก็กลับมอี านาจ สมัยใดพวกทมิฬมีอานาจ สมยั น้นั พระพทุ ธศาสนากซ็ บเซาไป จนกระทั่งถึงพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ พระพุทธศาสนาในลังกาทวปี กถ็ ึงกับ ศูนยส์ น้ิ สมณวงศ์จนถึง พ.ศ. ๑๖๑๔ กเ็ กดิ มคี นดีชาวสหี ฬได้ลกุ ข้ึนมากอบกู้อสิ รภาพได้ แล้วตั้งตัวเปน็ กษตั ริยท์ รงพระนามว่า “วิชยั พาหุ ศริ สิ ังฆโพธิ์” เมอ่ื พระองค์ทรงจัดการทางฝ่ายราชอาณาจกั รได้ เรียบร้อยแล้วกห็ นั มากอบกูพ้ ุทธศาสนาสบื ต่อไป แตเ่ มื่อหาพระภกิ ษุสงฆ์ที่เปน็ ผบู้ ริสุทธ์ิแมแ้ ต่รูปเดยี วก็ ไม่ได้แล้ว พระองค์จึงทรงส่งราชทตู ไปขอพระสงฆ์จากพม่า ในรัชกาลพระเจ้าอนุรุทธ ได้พระสงฆ์ ๒๐ รปู

10 สมณวงศ์ในลังกาจงึ ได้กลับมีขึ้นอกี คร้ังหนงึ่ เป็นท่ีน่าสังเกตว่าในสมยั ใดที่กษัตริย์มเี ดชานุภาพมาก ใน สมัยนั้นก็มกั มีการทาสังคายนาพระไตรปฎิ กเสียคราวหน่ึง ตอ่ มาประมาณ พ.ศ. ๒๒๙๖ ในลังกาทวปี เกดิ การจลาจลจนตอ้ งเสียอิสรภาพแก่พวกทมิฬอีก พระพทุ ธศาสนากเ็ สอื่ มลงอีกวาระหนึ่ง ถงึ ส้นิ สมณวงศ์ แต่ตอ่ มาพระเจ้ากิตติศิริราชสหี ์ ได้ทรงกอบกเู้ อก ราชได้ จงึ ได้ครองราชสมบตั ิสืบมา พระองค์มพี ระประสงค์ที่จะตั้งสงั ฆมณฑลข้นึ ใหมโ่ ดยทรงพจิ ารณา เหน็ ว่า สังฆมณฑลในประเทศไทยเทา่ นน้ั ทบี่ ริสุทธิก์ ว่าท่ีอ่นื จึงได้ส่งราชทตู มาขอพระสงฆ์จากประเทศ ไทยในรัชสมัยของพระเจ้าบรมโกษฐ์ แหง่ กรงุ ศรีอยุธยา เพ่ือให้กลบั ไปประดิษฐานสมณวงศ์ในลงั กาทวปี อกี วาระหน่ึง พระเจา้ บรมโกษฐไ์ ด้โปรด ฯ ใหพ้ ระราชาคณะ ๒ รปู คือ พระอบุ าลี และ พระอรยิ มนุ ี พร้อมด้วย พระสงฆอ์ ีก ๑๒ รปู เดนิ ทางไปยงั ลงั กาทวีป และได้ให้การอุปสมบทแกก่ ุลบตุ รชาวสหี ฬสืบมา พระสงฆท์ ี่ บวชในสานักนี้ เรยี กวา่ สยามวงศ์ หรือ อุบาลีวงศ์ จนตราบเทา่ ทุกวันน้ี นบั วา่ ไทยเราได้มโี อกาสใชห้ น้ี ลังกาได้อย่างดีท่สี ดุ แลว้ ตอ่ มาเม่อื ลงั กาได้ตกอยู่ภายใต้อานาจของโปรตุเกส ซึ่งเปน็ ฝรัง่ ท่นี ับถือศาสนาคริสต์ แลว้ พระพุทธศาสนา ก็ถูกย่ายีและถกู ทาลายเสมอมา แต่โดยอาศยั ท่ีพระพุทธศาสนาไดฝ้ งั รากลงส่จู ติ ใจของชาวลังกาอยา่ ง ถอนไม่ข้นึ แล้ว แมล้ งั กาจะตกอยภู่ ายใตอ้ านาจของผทู้ ี่ถือศาสนาอนื่ ก็ตาม แต่ชาวลงั กาก็ยงั คงยึดมั่นใน พระพุทธศาสนาตลอดมา จนกระท่ังได้เปน็ เอกราชอีกครงั้ หนึ่ง พระพุทธศาสนาจงึ ไดร้ ับการเอาใจใส่ ทะนบุ ารงุ ย่ิงข้นึ ตามลาดับ พระสงฆใ์ นลงั กาทางานกันอย่างเข้มแขง็ เก่ียวกบั การสอนพุทธศาสนาใหแ้ ก่ เดก็ และประชาชนท่วั ไป ตลอดจนออกประกาศศาสนาไปยังทวปี ยุโรป และอเมริกาอีกด้วย ลงั กาจงึ อาจ เป็นศนู ยก์ ลางแห่งพุทธศาสนาแห่งโลกอีกครั้งหน่งึ ก็ได้

11 . พระพุทธศาสนาในประเทศพมา่ พม่าเปน็ ประเทศหน่ึงในเอเชียอาคเนย์ อยตู่ ดิ ต่อกบั ประเทศไทยทางทิศตะวันตก มีเนื้อที่และประชาชน พอๆ กบั ประเทศไทย และมีความสมั พนั ธ์กบั ไทยในทางประวัติศาสตร์มากทสี่ ุด ทั้งประชาชนสว่ นใหญก่ ็ นบั ถอื พระพุทธศาสนาเชน่ เดียวกับชาวไทยเหมือนกนั เพราะฉะนั้น พมา่ จึงเป็นประเทศทเี่ ราควรจะให้ ความสาคญั เปน็ พเิ ศษในเร่ืองทีเ่ ก่ียวกับพระพทุ ธศาสนา ประวตั คิ วามเปน็ มา ของพระพทุ ธศาสนาในสมัยแรกๆ ก็ยงั คงมืดมนคลุมเครืออยู่ เชน่ เดียวกับในประเทศ อื่นๆ นักเขียนหลายคนตา่ งก็ใหท้ ศั นะต่างๆ กนั บางคนก็ว่า พมา่ ได้รับพระพุทธศาสนามาจากตอนเหนือ ของประเทศอนิ เดยี บ้าง จากอินเดยี ดา้ นฝั่งทะเลทิศตะวันออกบา้ ง จากลงั กา จนี และเขมรบา้ ง ทศั นะ ท้งั หมดนี้อาจจะจรงิ ก็ได้ เพราะมเี หตผุ ลที่ทาให้เชอ่ื ถือได้ว่าพระพุทธศาสนาทแี่ ผ่เข้าไปสู่ประเทศพมา่ นน้ั จะตอ้ งไม่ไดม้ าจากประเทศหน่ึงประเทศใดโดยตรงเป็นแน่

12 พมา่ กบั อนิ เดียเป็นประเทศท่ีมีอาณาเขตติดตอ่ กนั คืออินเดียอยูท่ างทศิ ตะวนั ตกของพม่า ฉะนั้นอินเดยี ซึ่ง เป็นประเทศท่มี ีอารยธรรม และวัฒนธรรมอันมัน่ คง จงึ มอี ิทธพิ ลเหนือพมา่ เชน่ เดยี วกับประเทศอื่นๆ ใน เอเชยี อาคเนย์ แตน่ า่ ประหลาดกต็ รงท่ีวา่ ชาวอนิ เดียเมอื่ เข้ามาสู่ประเทศพม่าแล้ว กย็ งั คงความเป็น อนิ เดยี อยู่ตลอดเวลา คล้ายๆ กบั ว่าอยูใ่ นประเทศของตนน่ันเอง มคี วามเปน็ อยู่และการดาเนินชีวติ เป็น เอกเทศแตกต่างไปจากพวกพม่า ชาวอนิ เดียได้อพยพเขา้ มาส่ปู ระเทศพมา่ ทั้งทางบกและทางทะเล เมอื่ เขา้ มาก็ไดน้ าเอาอารยธรรม วฒั นธรรม และศาสนาของตนเขา้ มาด้วย ตามเอกสารทางประวัตศิ าสตร์ของ พมา่ กล่าววา่ “เจา้ ชายฮนิ ดอู งค์หนึง่ พระนามวา่ อภิราช ได้ทรงสร้างเมืองตะโกง้ (Tagaung) ข้นึ เม่อื ประมาณ ๙๐๐ ปี ก่อนคริสตศกั ราช และแควน้ ยะไข่ (Arakan) กไ็ ด้ทึกทักเอาวา่ ผู้ปกครองแควน้ ของ ตนพระองค์แรกนนั้ เปน็ เจ้าชายจากเมืองพาราณสี (Benares) นิยายปรัมปราเหลา่ นีไ้ มม่ ีคา่ ทาง ประวัตศิ าสตร์มากนัก นอกจากจะทาให้เราได้ทราบวา่ พมา่ ไดม้ ีความสมั พันธก์ บั อนิ เดยี มาเป็นเวลานาน แลว้ นัน่ เอง ยิ่งกว่าน้นั จากหลักฐานเทา่ ที่พบในเอกสารทางประวตั ิศาสตร์ในลังกา เก่ียวกับพระพุทธศาสนา ก็ทราบ เพียงวา่ พระเจ้าอโศกมหาราชไดส้ ง่ พระโสณะ กบั พระอุตตระ มาประกาศพุทธศาสนาในสวุ รรณ ภูมิ คาว่า “สวุ รรณภมู ”ิ นกี้ ็ยังคลมุ เครืออยู่ ไม่ทราบแน่นอนว่า ตัง้ อย่ทู ่ีไหนแน่ แตน่ ักประวตั ศิ าสตรบ์ าง พวกสนั นิษฐานวา่ คือประเทศพมา่ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงคือที่เมอื ง สะเทมิ (Taton) ซึง่ อยูท่ างตอนใตข้ อง ประเทศพมา่ อนั ได้แก่ประเทศมอญเดมิ น่นั เอง เมือง สะเทิม ก็คือเมือง สุธรรมบรุ ี อย่างไรกด็ เี รือ่ งเมอื ง สุวรรณภูมิ ยงั ไมย่ ตุ กิ นั แน่นอน มีนักประวัตศิ าสตรบ์ างพวกและนักโบราณคดีมากหลาย ทสี่ นั นษิ ฐาน ว่า “สวุ รรณภูม”ิ ควรจะอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ คือท่ี นครปฐม และในประเทศไทยมี หลกั ฐานทางโบราณคดีเกา่ กว่าทคี่ ้นพบในพม่า แต่บางท่านกไ็ ม่กาหนดว่าอยู่ที่ใด ไดแ้ ตส่ ันนษิ ฐานตีวง กวา้ งเอาวา่ “สุวรรณภูม”ิ กค็ ืออาณาบรเิ วณแหลมอินโดจีน คอื ถือเอาอาณาเขตต้งั แต่ประเทศพม่าไป จนถงึ ประเทศเวียดนามทีเดียว เมอื่ ยกเรื่อง พระโสณะ กบั พระอตุ ตระ ออกเสยี แลว้ กไ็ ม่มหี ลักฐานใด ๆ ทจ่ี ะแสดงวา่ พระพทุ ธศาสนาไดเ้ จรญิ รุง่ เรืองอยู่ในประเทศพม่าก่อน ก่อนพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ เลย นอกจากนั้น พม่ายังทึกทกั เอาวา่ นายพานิชสองพ่ีน้อง คอื ตปุสสะ กับ ภัลลิกะ ซ่งึ ได้ไปเฝา้ พระพุทธเจา้ หลงั จากท่ีพระองคต์ รสั รแู้ ลว้ เปน็ พวกแรก เป็นพ่อค้าจาก อุกกลชนบท ซึ่งได้แก่ แควน้ โอรสิ สานัน้ พม่าก็ กลา่ วว่าอกุ กลชนบท น้ี ต้ังอยู่ในประเทศพมา่ จากเร่ืองนก้ี ็เลยกลายเปน็ นิยายปรมั ปราเร่ืองสรา้ งพระ เจดยี ช์ เวดากอง บัวตาทอง และสุเลพญาไปเลย โดยพมา่ กลา่ วกนั วา่ นายพานชิ ทงั้ สองเดินทางจาก อนิ เดีย มาขึ้นท่ีทา่ เรือของเมอื งย่างกุ้ง ตรงทีน่ ายพานชิ ทงั้ สองมาขึ้นบกและหยดุ พักนัน้ เขาได้สร้างพระ เจดยี ข์ นึ้ องค์หนงึ่ เรยี กว่า “บัวตาทอง” จากนัน้ กเ็ ดินเรอ่ื ยไป จนถึงที่แหง่ หน่งึ ก็เกดิ หลงทาง จงึ ได้ อธษิ ฐานเส่ียงทศิ ทีจ่ ะนาพระเกศธาตไุ ปประดิษฐาน ท่ตี รงที่นายพานชิ เส่ียงทายคราวหลงทางน้ัน ได้สรา้ ง พระเจดีย์ขนึ้ องค์หนง่ึ คือ “สุเลพญา” และที่ที่บรรจุพระเกศธาตุ กค็ ือ “ชเวดากอง” น่นั เอง จากคัมภีร์ “ทีปวงส์” ซึง่ รวบรวมหลกั ฐานตา่ งๆ ไว้ และได้เรยี บเรียงข้ึนในพุทธศตวรรษท่ี ๙-๑๐ เป็น หลักฐานทีพ่ อจะเชื่อถือได้ และจากหลกั ฐานทีป่ รากฏในคัมภรี ์ทีปวงส์น้ี พอจะทาใหเ้ ราสรุปได้วา่ ในพุทธ ศตวรรษที่ ๖-๘ น้นั “พม่าตอนใต้ไดเ้ ป็นประเทศท่ีนบั ถือพระพทุ ธศาสนาอยา่ งแน่นแฟน้ แลว้ เมอื่ พระ เจา้ อโนรธามังชอ่ (Anawrata) ไดต้ เี มืองสะเทมิ ได้ก็ได้พบว่า ที่เมอื งสะเทิมนั้นมพี ระภกิ ษุสงฆ์ และ

13 พระไตรปิฎกมากมาย พระเจ้าอโนรธามงั ชอ่ นี้ไดค้ รองราชย์สมบัตทิ ีเ่ มือง พุกาม (Pagan) เม่ือปี พ.ศ. ๑๕๘๗ และได้ตีเมอื ง สะเทิมไดเ้ มื่อปี พ.ศ. ๑๖๐๐ หลังจากที่พระองค์ได้เมืองสะเทิมแล้ว พระองค์ก็ไดก้ วาดต้อนเอาพวกภิกษุ สงฆแ์ ละพระไตรปฎิ กทเ่ี มอื งสะเทิม ไปไวท้ ี่เมืองพุกามหมด และพระองค์ก็ได้หันมานบั ถือ พระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาท ผลจากการท่ีพระเจ้าอโนรธามังชอ่ พิชติ เมืองสะเทิมนี้ได้ก่อให้มี ความสมั พันธ์ และแลกเปล่ียนสมณทูตระหวา่ งลังกากับพม่าสบื มา และได้ทรงรบั พระไตรปฎิ กฉบับ สมบรู ณ์จากลงั กาดว้ ย พระเจา้ อโนรธามังช่อ ไดส้ วรรคตปี พ.ศ. ๑๖๒๐ ไมเ่ พยี งแต่พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทเท่านน้ั ที่แผ่เขา้ ไปในพมา่ พุทธศาสนาแบบมหายาน และ ตันตระ ก็ไดห้ ลงั่ ไหลเข้าสพู่ ม่า เช่นเดียวกับศาสนาพราหมณ์เหมอื นกัน ทงั้ หมดนีไ้ ด้มาจากแควน้ เบงกอล และโอรสิ สาในอินเดยี อยา่ งไรกต็ าม พระพทุ ธศาสนาแบบมหายานและตันตระ รวมทัง้ ศาสนาพราหมณ์ ดว้ ย หาไดม้ ีอิทธพิ ลเหนือชวี ิตจิตใจของพม่า อยา่ งพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทไม่ นับว่าเป็นหลกั ฐานท่ี สาคัญท่ีสดุ ท่ีแสดงใหเ้ หน็ ว่า พระพทุ ธศาสนาในพม่านั้น แต่เดิมเปน็ แบบเถรวาท ท้งั นีเ้ พราะได้พบ ขอ้ ความมากมายทจ่ี ารึกอย่บู นแผน่ ทองคาบางๆ ซ่ึงได้ใกล้ๆ เมืองแปร (Prome) ในจารึกเหลา่ นีม้ ีแต่ ขอ้ ความทางศาสนาแบบเถรวาท ภาษาทใี่ ช้เปน็ ภาษาบาลี อกั ษรเป็นแบบอนิ เดียตอนใต้ จากคมั ภีรท์ ่ี ปวงสแ์ ละจดหมายเหตุภาษามอญทาให้เราทราบว่า พม่าไดร้ ับพุทธศาสนาแบบเถรวาทมาก่อนพุทธ ศตวรรษที่ ๑๒ เป็นทีน่ ่าสังเกตว่าทา่ น ตารนาถ (Taranatha) ได้กลา่ ววา่ ในโกกี ประเทศ (Koki) ทัง้ หลาย ซ่ึงรวมทงั้ พุกาม และหงสาวดี ดว้ ยนัน้ ไม่มกี ารเทศนาสอนในเร่ืองมหายาน จนกระท่ังถึงสมยั ท่ศี ษิ ย์ของท่านวสพุ ันธะ ไดน้ าลทั ธิมหายานเขา้ ไปเผยแผ่เลย นอกจากนั้น พม่ายังทึกทักเอาวา่ พระพุทธโฆษาจารย์ ท่ีไปแปลคมั ภรี ์พทุ ธศาสนาในประเทศลังกาก็เปน็ ชาวเมอื งสะเทิม และว่าเมอ่ื พระพุทธโฆษาจารย์กลบั จากลังกานนั้ ก็ได้กลับมายังประเทศพม่าหาไดไ้ ปที่ อนิ เดียไม่ พระพุทธศาสนาในพม่า ได้ปะปนกับศาสนาฮนิ ดูอยู่ไม่น้อย เชน่ เดยี วกับในประเทศไทย เขมร และ ประเทศอนื่ ๆ ในเอเชยี อาคเนย์ เช่นกัน จะต่างกันบา้ งก็เพียงเล็กนอ้ ย คือในประเทศเขมรนน้ั นับถือพระ ศวิ ะ และมีการบูชาศิวลงึ ค์ ทัง้ ถือวา่ เป็นลัทธปิ ระเพณีทง้ั ทางราชการและโดยทั่วๆ ไป แต่ในพม่าจะพบ ส่ิงทเี่ ปน็ เครือ่ งหมายของลัทธิทบี่ ูชาพระศวิ ะน้อยมาก แต่กลบั มเี ทวรูปเกย่ี วกับเทวดาในลทั ธวิ ษิ ณุ มากมาย ความเป็นมาของพระพุทธศาสนาในประเทศพม่าในสมัยแรกๆ ไม่คอ่ ยจะมหี ลกั ฐานทแี่ จ่มชดั นัก เพ่งิ มามี หลกั ฐานบ้าง ก็ตัง้ แต่สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เป็นตน้ มา สาหรับในภาคเหนอื ของประเทศพมา่ นนั้ รสู้ กึ วา่ ออกจะมืดมนกว่าทางภาคใต้ เราควรจะได้ศึกษาความเปน็ ไปของพระพทุ ธศาสนาในภาคเหนือ และ ภาคใต้ของพม่าไปพร้อมๆ กันดว้ ย จนี ไดม้ ีอทิ ธิพลเหนือพม่าเหนือมาก บางทีกษัตรยิ ์พมา่ คงจะไดเ้ คยสง่ สมณทูตไปยังราชสานักกษัตรยิ ว์ ู่ต้ี

14 ในปี พ.ศ. ๑๐๖๘ เชน่ เดียวกบั กษัตรยิ ์ประเทศอืน่ ๆ กเ็ ป็นได้ บนั ทกึ ในสมยั ราชวงศถ์ ัง ได้แสดงใหเ้ ห็นว่า จนี มคี วามสัมพนั ธ์ใกล้ชดิ สนทิ สนมกบั พมา่ เป็นอยา่ งดี ในบันทกึ นั้นได้กลา่ วว่า ชาวพมา่ เป็นพุทธศาสนกิ ชนท่ีเครง่ ครดั ในศาสนามาก ไมก่ ลา้ แม้แต่ท่ีจะฆ่าสัตว์ ตัดชวี ิตผู้อื่น แม้จนกระทั่งผ้าไหมกไ็ มย่ อมสวมใส่ เพราะการทาผ้าไหมนัน้ ต้องทาใหต้ ัวไหมตายด้วย และ ว่าในพม่ามวี ดั วาอารามมากมาย กลุ บตุ รที่มีอายุได้ ๗ ขวบ ก็เริม่ บรรพชาเป็นสามเณร และเปน็ สามเณร อยู่จนกระท่ังอายุ ๒๐ ปี ถา้ ไมป่ รารถนาจะอปุ สมบท ก็ลาสกิ ขาออกไปได้ อยา่ งไรตาม แม้จนี จะมี อทิ ธพิ ลเหนือพมา่ ในระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๖ และในปี พ.ศ. ๑๘๒๗ ก็ได้ยกกองทัพมารุกรานพมา่ ถึงกระนนั้ จีนก็หามีอทิ ธิพลเหนืออิทธพิ ลของอนิ เดยี ไม่ สมัยท่ีพระเจ้าอโนรธามังช่อ ได้เสวยราชสมบัตนิ ้นั ในกรงุ พกุ ามคงจะมีพระหลายนิกายด้วยกนั การฟื้นฟู พุทธศาสนาในกรุงพกุ าม ที่ได้ดาเนนิ ไปด้วยดกี ็โดยอาศยั พระอรหันตเถระ ซ่งึ มาจากเมอื งสะเทมิ เป็น กาลังอนั สาคัญ ท้งั นี้เพราะพระเจ้าอโนรธามงั ช่อทรงพจิ ารณาเหน็ ว่าคณะเดิมในพุกามน้ัน ไม่เคร่งครดั ใน ระเบยี บวนิ ยั สู้ภิกษสุ ามเณรจากเมืองสะเทมิ ไมไ่ ด้ พระองค์จึงทรงใหค้ วามอุปถัมภแ์ ดพ่ ระอรหันตเถระ อย่างเต็มท่ี รวมทงั้ การตดิ ต่อทางสมณทตู กับประเทศลังกาดว้ ย เมื่อเวลาประมาณ ๒๐๐ ปี นับตงั้ แต่ พ.ศ. ๑๖๐๓ เป็นตน้ มา จนถึงต้นพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ เมืองพุกาม ได้กลายเปน็ ศนู ยก์ ลางวัฒนธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ไมเ่ ฉพาะของพม่าเท่านน้ั แตร่ วมถึงประเทศต่างๆ ทางตะวันออกของพมา่ ทั้งมวล รวมท้งั ประเทศไทยด้วย ในปี พ.ศ. ๑๗๑๘ พระเถระรูปหนึ่งชอ่ื อุตตราชีวะ พรอ้ มกับศษิ ยช์ ื่อ ฉปัท ไดเ้ ดินทางไปยังประเทศลังกา และได้ศกึ ษาอยู่ท่ีมหาวิหารเป็นเวลาหลายปี และทา่ นฉปทั ไดร้ ับการอปุ สมบททม่ี หาวิหารนั้น ตอ่ มา ท่านฉปทั ได้เดนิ ทางกลบั มายงั ประเทศพม่าพร้อมด้วยภกิ ษุสิงหลอกี ๔ รปู คอื พระสีวลีเถระ พระตา มลนิ ทเถระ พระอานันทเถระ และพระราหุลเถระ เมอื่ มาถงึ แล้วท่านไดย้ ืนยนั วา่ การอุปสมบททถ่ี ูกต้อง จะต้องเป็นการอปุ สมบทแบบมหาวิหาร ซงึ่ เป็นพวกเดียวเท่านั้นที่สบื ตอ่ มาจากพระพุทธองค์มาโดยไม่ ขาดสาย การท่ีท่านฉปทั พร้อมดว้ ยภกิ ษุอีกสร่ี ปู ซ่ึงได้รบั การอปุ สมบทจากมหาวหิ ารถือวา่ ตนมอี านาจท่ี จะใหก้ ารบรรพชาอปุ สมบทแบบมหาวหิ าร และไม่ยอมรบั รองคณะสงฆพ์ มา่ แบบเดิมนี้ไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ ปฏิกิริยาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยง่ิ จากคณะสงฆม์ อญ โดยคณะสงฆ์มอญได้ยนื กรานวา่ พระอรหัน ตเถระผูไ้ ดท้ าการปฏิรูปพุทธศาสนาภายใต้พระบรมราชาอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโนรธามังชอ่ นัน้ ได้สบื ตอ่ มาจากสมณทตู ท่ีพระเจ้าอโศกมหาราชได้สง่ มา จงึ เปน็ ผู้มีคณุ สมบตั ิที่จะให้การอุปสมบทเช่นเดียวกับ พระมหนิ ทเถระเหมือนกัน แต่ท่านฉปัทหาใช่เพียงแต่จะเปน็ ผูค้ งแก่เรยี น และเป็นนกั ประพันธเ์ ท่าน้ัน ทา่ นยงั เปน็ ผู้ที่มี บคุ ลกิ ลักษณะทา่ ทางเข้มแข็ง และเปน็ ที่โปรดปรานของราชสานักเปน็ อย่างมาก ทา่ นผู้ท่ีเก่งทส่ี ดุ ในการ โตค้ ารม และสามารถทาใหพ้ วกคณะสงฆ์มอญแยกออกไปตง้ั ตวั อย่ตู า่ งหากจากพวกท่ีสืบสายมาจากพทุ ธ สาวก คือพวกที่บวชจากสานักมหาวหิ าร แต่น้นั มากเ็ กิดการแตกแยกเปน็ ๒ ฝ่ายคือ พระสิงหลนกิ าย กับมรัมมนิกาย (คอื พมา่ เดิม) และแต่ละฝา่ ยก็ถือว่าอีกฝา่ ยหนึ่งเปน็ ผ้ทู าสังฆเภท

15 ต่อมาคราวหน่งึ พระราชาทรงนิมนต์พระทัง้ ๔ รูป ไปรบั ไทยทานในพระราชพธิ ีคราวหนึง่ ทา่ นราหลุ เถระเหน็ นางระบาคนหนงึ่ มสี ิรโิ ฉมงดงาม กิรยิ ามารยาทเรียบร้อย ก็เกิดมีจติ ปฏิพัทธร์ กั ใคร่ เมอ่ื พระเถระ อ่ืนๆ ทราบ กต็ ักเตือน แต่ทา่ นราหุลกไ็ ม่เช่อื ในทีส่ ุดก็ต้องลาสิกขาไป คราวหนงึ่ พระราชาทรงถวายชา้ งแกพ่ ระเถระชาวสงิ หลท้ังสามรูปน้ัน องค์ละเชือก พระสวี ลีกบั พระตา มลนิ ทะได้ใหค้ นเอาช้างไปปล่อยเสียในป่า สว่ นท่านอานนั ทเถระไดส้ ง่ ชา้ งไปใหญ้ าติ โดยถอื หลกั วา่ การ สงเคราะหญ์ าติเปน็ มงคลอันสูงสดุ พระเถระอีกสองรปู ไม่เหน็ ดว้ ย กต็ งั้ ขอ้ รังเกียจ จึงแยกกันออกเปน็ ๒ คณะ ต่อมาพระตามลนิ ทะประสงค์จะอนุเคราะห์ศษิ ยท์ ี่เป็นพหูสูต จึงตง้ั วจีวญิ ญัติในสานกั คฤหัสถ์ คือ แสดงความต้องการสนทนาทางวาจาพูดยกย่องศษิ ยข์ องตน เพอ่ื ให้เขารับศิษย์เข้าทางาน ท่านสวี ลเี ถระ ไมเ่ หน็ ดว้ ย ถอื ว่าผดิ วินัย แต่ทา่ นตามลินทะเถยี งวา่ ไม่ผดิ เพราะไม่ไดพ้ ูดขอเพ่ือตัวเรา จึงได้แตกกนั ออกไปอีก รวมเป็น ๓ นิกาย ถ้านบั วงศ์ของพระอรหันตซ์ ึง่ สบื สายมาจากพระโสณะกบั พระอุตตระ หรอื ซ่งึ เรยี กว่าโสณตุ ตรวงศก์ ็เป็น ๔ นิกาย และรวมกบั นิกายของท่านฉปทั เขา้ อีกกเ็ ปน็ ๕ นกิ าย ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ เศษ เม่อื อาณาจักรพุกามเสื่อมอานาจลงแล้ว อาณาจกั รไทยใหญ่ (Shan) ได้ รุ่งเรืองข้นึ แทนท่ี เมอื งวิชยั บุรีและเมืองไชยบรุ ี หรือเมืองสะกาย (Sagaing) ไดเ้ ปน็ ศูนยก์ ลาง พระพุทธศาสนาของพม่าเหนือ ในตอนนี้แหละที่อาณาจักรไทยไดแ้ ผ่ขยายไปจนถึงเมืองหงสาวดี และจาก การทไี่ ทยได้มีสมั พนั ธอ์ ย่างใกล้ชิดกับหงสาวดีนเ้ี อง ความสัมพันธใ์ นดา้ นศาสนาก็คงมีอยู่ด้วยเปน็ เงาตาม ตัว เม่อื อาณาจักรไทยใหญ่ได้เสอ่ื มอานาจลงในปี พ.ศ. ๑๙๐๗ เมอื งอังวะหรอื รตั นปรุ ะ ก็ได้กลายเปน็ ศนู ยก์ ลางพระพุทธศาสนาแทนและได้คงความเป็นศนู ย์กลางพระพทุ ธศาสนาในพม่าเหนืออย่หู ลายร้อยปี ดงั ท่ีได้กล่าวมาแล้ววา่ พระเจ้าอโนรธามงั ชอ่ หลงั จากทีพ่ ระองค์ตีเมืองสะเทิมได้แล้ว ก็ทรงจับพระเจ้า มโนหาริ กษัตริยเ์ มืองสะเทมิ ไปเป็นเชลย และไดเ้ อาพระไตรปฎิ ก พระบรมสารรี ิกธาตุกบั นมิ นตพ์ ระสงฆ์ ผรู้ อบรู้พระไตรปฎิ กประมาณ ๑,๐๐๐ รูป ไปไว้ในเมืองพุกามหมด ตอนนี้แหละทีร่ ามญั นิกายคงจะได้รบั ความกระทบกระเทือนบ้างชัว่ ระยะเวลาหนงึ่ ต่อมาได้ทราบว่าท่านสารบี ตุ ร ซึ่งอปุ สมบทท่ีเมอื งพุกามได้ นาพระพทุ ธศาสนาแบบลังกาวงศ์กลับไปเผยแผ่ในแดนมอญ และในระยะเวลาใกลๆ้ กันนั้น กม็ ีพระเถระ ชาวเมอื งเมาะตะมะสองรปู ได้เดินทางไปยังลงั กา และได้ไปอปุ สมบทใหมท่ ีม่ หาวหิ าร เมอ่ื กลับมาถงึ มาตภุ มู ิแลว้ สาคัญว่าตนวเิ ศษกวา่ พระเถระองค์อ่นื ๆ ทางตอนใต้ไม่ค่อยปรากฏวา่ มวี รรณคดใี ดๆ มากนัก พระสารบี ุตรเปน็ ผู้แต่งหนังสือธรรมศาสตร์ (Dhammathat) ขน้ึ ซง่ึ นับว่าเปน็ หนังสือกฎหมายแท้ของ พมา่ ซ่ึงเอาแบบฉบับมาจากคัมภีรม์ นูธรรมศาสตรข์ องอนิ เดียนั่นเอง สมัยทพ่ี ระพุทธศาสนาในเมืองหงสาวดี (Pegu) เจริญรุ่งเรืองทส่ี ุดก็คือในรชั สมัยพระเจา้ ธรรมเจดีย์หรอื รามาธิบดีปิฎกธร (พ.ศ.๒๐๑๕-๒๐๓๔) กษัตรยิ ์พระองคน์ ี้เดมิ เปน็ สามัญชนนเ่ี อง แตไ่ ดช้ ่วยเหลอื เจา้ หญิง ชาวหงสาวดพี ระองค์หนง่ึ ซึ่งถกู กักอยู่ในราชสานกั พม่าให้หนอี อกมาได้ ตอ่ มาในปี พ.ศ. ๑๙๙๖ เจา้ หญิง พระองคน์ ี้ไดค้ รองกรงุ หงสาวดี และพระเจ้าธรรมเจดยี ์ก็ได้ลาสกิ ขาออกมารับราชการเป็นพระมหา อุปราช และไดเ้ ป็นพระราชบุตรเขยของพระนาง และตอ่ มาไดร้ ับราชสมบัติ แม้พระองค์จะได้ทรงลา สิกขาแล้ว แต่ก็ยงั ทรงสนพระทัยอยู่ในเร่ืองของศาสนาเป็นพเิ ศษ พระองคเ์ ป็นกษัตริยท์ ่ีทรงเขยี นเรื่อง

16 จารกึ กลั ยาณีสีมา ท้งั น้ีกเ็ พ่ือแก้ปญั หาข้อข้องใจต่างๆ เกี่ยวกับเร่ืองสีมา และกาหนดวธิ ผี กู พทั ธสมี าที่ ถกู ต้องขนึ้ เปน็ แบบแผน ปัญหาทพี่ ระองคท์ รงพจิ ารณาเห็นว่าสาคัญมากดังท่ีพระองค์ทรงอธบิ ายไว้ก็คอื ในพมา่ ใต้มีอยู่ ๖ นิกาย ทไี่ ม่ยอมรว่ มอุโบสถกนั นิกายแรกคือกัมพชุ นิกาย หรือโสณตุ ตรวงศ์ ซึ่งเปน็ นิกายเดียวกับนิกายของพระอรหนั ตเถระ หาได้เกี่ยวกับเขมรไม่ ท่ีมีชอื่ ดงั น้ีกเ็ พราะวดั ที่สาคัญท่สี ดุ ของ นิกายนอ้ี ยใู่ กลต้ ลาดกัมพชุ นิกายนีถ้ ือตัวว่าสืบสายมาจากสมณทตู ของพระเจ้าอโศกมหาราช นอกนนั้ ก็มี นกิ ายยอ่ ยๆ ของลังกาวงศ์อกี ๕ นิกาย สีน่ กิ ายแรกศิษยข์ องทา่ นฉปัทและเพอ่ื นเปน็ ผู้ให้กาเนดิ ได้แก่สวี ลี วงศ์ ตามลนิ ทวงศ์ และอานนั ทวงศ์ อกี นิกายหนึ่งพระเถระแห่งเมอื งเมาะตะมะเปน็ ผูใ้ ห้กาเนดิ ดงั นั้น พระเจา้ ธรรมเจดีย์จงึ ได้ทรงสง่ สมณทูตไปยังลงั กา เพือ่ ไปศึกษา ดูวธิ กี ารผูกพทั สีมาท่ถี ูกตอ้ ง และ รับการอปุ สมบทใหม่ เมื่อสมณทตู ชดุ นกี้ ลับมาแล้วก็ไดป้ ระกอบพิธผี กู กัลยาณีสีมา ตามแบบมหาวิหารขน้ึ ในระยะสามปีต่อมาพระภกิ ษุในราชอาณาจักรของพระเจา้ ธรรมเจดีย์ทัง้ หมด ต้องรบั การอุปสมบทใหม่ เปน็ จานวนถึง ๑๕,๖๖๖ รูป ทงั้ นโ้ี ดยมีพระสุวรรณโสภณ ซงึ่ เคยบวชมาจากลงั กาเชน่ กัน มพี รรษาได้ ๒๖ พรรษา เป็นอปุ ัชฌาย์องค์แรก พระเจา้ ธรรมเจดีย์ทรงดีพระทัยมากที่พระองค์ได้ทรงสามารถชว่ ย ชาระพระพุทธศาสนาใหบ้ รสิ ุทธผ์ิ ดุ ผ่องได้ โดยยึดตามแบบมหาวิหารในลังกา แตน่ ้นั มาความแตกแยก ต่างๆ ในวงคณะสงฆ์กห็ มดไป สามารถรวมเปน็ อนั หนงึ่ อนั เดียวกันได้ จงึ สรุปได้วา่ เหตกุ ารณส์ าคญั ๆ อนั เกย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนาในประเทศพม่าต้งั แต่ต้นจนถึงรชั สมยั พระเจา้ ธรรมเจดยี ์นั้น พอแบ่งเป็นยคุ ๆ ได้ ๕ ยุค ดังนี้ :- ยคุ แรก (คอื ในราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๑ หรืออาจกอ่ นหนา้ น้ันหลายร้อยปกี ็ได้) พระพทุ ธศาสนาแบบเถร วาทไดเ้ ปน็ ทร่ี ู้จักกันดีในพม่าใต้ จารึกตา่ งๆ ท่ีค้นพบ เขยี นเปน็ ภาษาบาลีด้วยอกั ษรแบบอนิ เดยี ตอนใต้ ยคุ ที่สอง เปน็ สมัยทพี่ ระเจ้าอโนรธามงั ช่อ (พ.ศ. ๑๕๘๗-๑๖๒๐) ไดช้ าระพระพทุ ธศาสนาในพม่าเหนอื ให้ บริสทุ ธ์ิ โดยอาศัยคัมภรี ต์ า่ งๆ ท่ไี ด้ไปจากเมืองมอญเปน็ หลัก โดยเอาไปเทยี บกบั คัมภรี ท์ ่ีได้มาจากลังกา ยุคทีส่ าม (ประมาณ พ.ศ. ๑๗๔๓) ท่านอุตตราชีวะกบั ทา่ นฉปัทผศู้ ษิ ย์ ซึ่งไปศึกษาทป่ี ระเทศลังกา และ ทา่ นฉปัทไดร้ ับการอุปสมบทที่นั่น ไม่ยอมรบั รองพระมอญว่าเปน็ พระทีส่ มบูรณ์ จึงก่อให้เกิดเป็นสอง นกิ ายขึน้ ในพมา่ เหนือก่อน แลว้ ตอ่ มาก็ขยายตัวมาจนถึงพมา่ ได้ ยคุ ทส่ี ่ี (ประมาณ พ.ศ. ๑๗๙๓ ลทั ธิลังกาวงศ์โดยการนาของพระสารีบตุ รและคณะ ไดเ้ ร่ิมมีอานาจมา จนถึงพม่าใต้ และพวกรามัญนิกายก็เรมิ่ เส่ือมลง ยคุ ที่หา้ (ประมาณ พ.ศ. ๒๐๐๓) พระเจ้าธรรมเจดีย์แห่งกรุงหงสาวดีได้ทรงประกาศว่าพระองคไ์ ด้ทรง ชาระพระพทุ ธศาสนาใหบ้ รสิ ุทธิผ์ ดุ ผ่องแลว้ ตามแบบของคณะมหาวิหารในลงั กา ซ่ึงเป็นนกิ ายเดียวท่ี เก่าแก่ท่สี ุด นอกจากพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทแลว้ พมา่ อาจไดร้ บั พุทธศาสนาแบบมหายานจากแควน้ เบงกอล และโอริสสาก็ได้ นอกจากน้นั ก็ไดป้ รากฏวา่ ไดม้ ีพระในพุทธศาสนา นกิ ายตันตระ รปู หนึ่ง ชื่อ อตศี ะ ได้ เขา้ มาศึกษาท่สี วุ รรณภูมิ ซึง่ เข้าใจกันว่าเปน็ พม่าใตป้ ระมาณ ปี พ.ศ. ๑๕๐๐ เศษ

17 จนกระท่งั บดั นี้ เรากย็ ังไม่ทราบวา่ พระพุทธศาสนาที่เข้ามาสู่พมา่ ร่นุ แรกๆ นั้น มาจากแคว้นมคธ หรอื จากทางตอนใต้ของประเทศอินเดยี แน่ เรอ่ื งสมณทตู ที่พระเจา้ อโศกมหาราชสง่ มายงั สุวรรณภมู ิ เรายงั ยอมรบั หรอื ปฏิเสธไมไ่ ด้ทง้ั สองอย่าง เพราะยังหาหลักฐานท่ีแน่ชัดจริงๆ ไม่พบ หลงั จากทีอ่ าณาจักรพุกามเส่ือมลงแล้ว เราได้ทราบถงึ ความพัฒนาในด้านศาสนาและวรรณคดีในพมา่ เหนอื นอ้ ยมาก แมว้ ่ากรุงอังวะ (Ava) จะได้สรา้ งข้ึนในปี พ.ศ. ๑๙๐๗ แตก่ ห็ าได้เปน็ ศนู ย์กลางศาสนา สาหรับประเทศใกลเ้ คียงไม่ แต่ในรัชสมยั พระเจ้านรปติ (พ.ศ. ๑๙๘๕-๒๐๑๑) นั้น มกี วที มี่ ชี ่ือเสยี ง มากมาย รวมท้ังท่านสลี วังสะ และท่านอรยิ วังสะ ผเู้ ชยี่ วชาญในอภิธรรมปฎิ กด้วย ในตอนปลายพทุ ธ ศตวรรษท่ี ๒๑ ไดเ้ กิดกรทาลายพุทธศาสนาขนึ้ ในพมา่ ซ่งึ พม่าอ้างว่าเปน็ เหตุการณท์ นี่ ่าสลดใจมาก นนั่ ก็ คือ โสหนั พวา หรอื พระเจา้ เสือหม่ ฟ้า เปน็ ชาวไทยใหญ่ ท่ีได้ครองกรุงอังวะ ได้พยายามทาลาย พระพุทธศาสนา โดยการจบั พระฆา่ บา้ ง เอาไฟเผาวดั วาอารามบา้ ง การทาลายศาสนาไดเ้ ป็นไปชัว่ เวลาไม่ นานนักและก็ไมท่ ันได้ขยายไปสู่ถ่นิ อืน่ ๆ นอกจากกรุงอังวะ นอกจากนั้นกก็ ่อใหเ้ กดิ ความขดั เคืองแกช่ าว พมา่ เป็นอย่างมาก และบาปน้ีได้สนองใหท้ นั ตาเห็น คือเป็นเหตุให้ราชวงศ์ไทยใหญถ่ กู โค่น เมอื่ ปี พ.ศ. ๒๐๙๘ เกยี่ วกบั เรอื่ งพวกไทยใหญ่ครอบครองพมา่ นนั้ เกิดข้ึนหลงั จากท่ีอาณาจกั รนา่ นเจา้ ไดเ้ สยี แก่ กบุ ไลขา่ น แล้วประมาณ ๒๐๐ ปี คนสาคัญๆ เผ่าไทยหลายคนไดม้ าเปน็ ผปู้ กครองดินแดนในพมา่ ผ้ทู ี่มี ชอ่ื เสยี งคนหนึ่งเปน็ นักผจญภัยชอ่ื วะเรรุ (Wareru) หรอื มะกะโท ไดย้ ดึ เมืองเมาะตะมะไดเ้ ม่ือปี พ.ศ. ๑๘๒๔ และมไี ทยพ่ีนอ้ งสามคนยึดพมา่ กลาง และพกุ าม ได้ราว พ.ศ. ๑๘๔๒ เป็นต้น พระเจ้าบเุ รงนอง (Bayin Naung) นบั ว่าเป็นกษัตรยิ ์ท่ยี ง่ิ ใหญท่ สี่ ดุ องคห์ น่ึงของพม่า พระองคท์ รง เลือ่ มใสในพระพทุ ธศาสนามาก จนถงึ กบั ใชอ้ านาจบงั คับให้พวกไทยใหญ่และพวกมสุ ลิม ซงึ่ หมายถึง ประชาชนทีอ่ ยู่ในอาณาจักรของพระองค์ท้ังหมด ปฏญิ าณตนเปน็ พุทธมามกะ ในตอนปลายพุทธศตวรรษ ท่ี ๒๒ พระพุทธศาสนาไดเ้ จริญร่งุ เรืองมากในเมอื งอังวะและเมืองไชยบรุ ี (Sagaing) และปรากฏวา่ มีกวที ่ี มชี ือ่ เสียงเกดิ ข้ึนหลายคนดว้ ยกัน และไดม้ ผี ู้เขยี นหนงั สือเก่ียวกับอภธิ รรมไวม้ ากมายเปน็ พเิ ศษ แสดงให้ เหน็ วา่ ชาวพม่าสนใจในด้านอภิธรรมมาหลายร้อยปีแลว้ และแมใ้ นบัดน้ีกย็ งั คงครองความเป็นเลิศในดา้ น อภธิ รรมอยู่ เรือ่ งที่กอ่ ให้เกดิ ความยุง่ ยากแก่วงการพุทธศาสนาในประเทศพม่า ในตอนปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ และ ตอนตน้ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ นั้นกค็ ือ ได้มีความคิดเห็นทรี่ นุ แรงเกีย่ วกบั การห่มผ้า ในตอนกลางพุทธ ศตวรรษท่ี ๒๓ (ราว พ.ศ. ๒๒๕๑) มีพระพวกหนึ่ง เวลาออกวัดกย็ งั หม่ เฉียง เปิดไหล่ขวาอยู่ เรยี กว่า พวก “เอกงั สกิ ะ” กับอีกพวกหนึง่ เวลาออกนอกวัดหม่ คลมุ ทง้ั สองไหล่ เรยี กวา่ พวก “ปารุปนะ” พวกเอ กงั สิกะหาหลกั ฐานยืนยนั การปฏบิ ตั ขิ องตนเองได้นอ้ ยกว่า แตก่ ็ยงั ยนื ยนั วา่ ได้ปฏบิ ตั ิตามแบบอยา่ งพระ ลงั กาซึง่ เป็นครบู าอาจารย์ สว่ นพระที่ถือวา่ ต้องห่มคลุมนั้น ก็เหน็ ว่าวนิ ยั บอกใหห้ ่มเฉวยี งบา่ ก็เวลาทา ความเคารพสงฆ์เท่าน้นั ซ่ึงแสดงวา่ นอกจากนัน้ ต้องห่มคลุม ในปี พ.ศ. ๒๒๕๕ เรือ่ งทานองนี้กเ็ กิดขึ้นอีก ต่อมาอีกราว ๒๐ ปี คอื ประมาณ พ.ศ. ๒๒๗๕ พระราชาจึงได้ทรงต้ังตุลาการขนึ้ พิจารณาฟังข้อความ จากทั้งสองฝา่ ย เพื่อจะไดต้ ดั สินว่าควรจะเอาอย่างไรกนั บังเอิญเหตุการณย์ ุ่งๆ ทางการเมืองในปี พ.ศ. ๒๒๘๓ ทาให้เร่ืองกรณีพิพาทนี้ชะงกั ไปชวั่ คราว ตอ่ เมื่อพระเจา้ อลองพญา (Alompra) ทรงกาจัด อปุ สรรคและศตั รตู า่ งๆ หมดแล้ว พระองคก์ ็ทรงเร่มิ ดาเนินงานตอ่ พวกในราชสานกั ต้องรักษาอุโบสถ

18 พระเจ้าอลองพญา กท็ รงพยายามบาเพ็ญตนใหเ้ สมือนพระเจา้ อโศกมหาราช จนคนทงั้ หลายเข้าใจกนั วา่ พระองค์เปน็ พระโพธสิ ัตวอ์ งค์หน่งึ สาหรบั ปญั หาเรือ่ งการห่มผ้านี้ พระองค์ไม่คอ่ ยเอาภารธุระจริงๆ จังๆ นัก ทรงมอบให้พระอาจารยข์ องพระองคช์ ่ือ พระอตลุ ะ ซึง่ เป็นพวกเอกังสิกะเปน็ ผูร้ บั ผิดชอบ และให้ คณะสงฆฟ์ ังคาสัง่ สอนของทา่ นอตุละ แต่พระฝ่ายปารุปนะหลายองคท์ เี่ กง่ ๆ ไม่ยอมเช่อื ฟัง และยังคงยึด มั่นในความเห็นเดิม เรือ่ งน้ียังไมท่ ันเสรจ็ พระเจา้ อลองพญา กส็ วรรคตเสียก่อน ท่านอตุละ ถ้าไมน่ ักปราชญจ์ รงิ ๆ กต็ อ้ งเปน็ พระท่ีฉลาดและมคี ารมคมคายมาก หลังจากที่พระเจ้าอลอง พญาสวรรคตแลว้ ท่านก็ยังคงปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ีเดมิ ต่อไป และก็ไมป่ รากฏว่ามขี ้อหาใดๆ ต่อพวกเอกังสกิ ะ อกี ตอ่ มาพระเจ้าจงิ กจู าหรือจงิ กูมิน (Sing-gu-sa) ซึ่งทรงสืบราชสมบตั ิตอ่ จากพระเจ้าสนิ พะยฉู ินหรอื พระเจา้ มงั ระ (Sin-byu-shin) ซง่ึ แปลวา่ พระเจ้าชา้ งเผอื ก ไดจ้ ดั ให้มีการโต้วาทกี นั ระหว่างพระสองพวก นแี้ ละในท่สี ดุ พวกเอกงั สิกะเป็นฝา่ ยแพ้ แตน่ น้ั ต่อมาพระเจ้าจงิ กจู าหรอื จงิ กูมนิ จึงไดท้ รงประกาศเป็นพระ บรมราชโองการให้พระท้ังหลายปฏบิ ัตติ ามแบบพระฝา่ ยปารปุ นะ คือใหห้ ่มคลุมทัง้ หมด ต่อมาในสมัยพระเจ้าบโู ดพญา หรือพระเจ้าปู่ หรือพระเจ้าปะดุง (Bodobaya : พ.ศ.๒๓๔๑-๒๓๖๒) เรือ่ งนี้เกิดขนึ้ อีก พระเจ้าบโู ดพญาทรงเขา้ พระทัยว่า พระองคท์ รงเปน็ พระพทุ ธเจ้าองค์หนึ่ง อยา่ งไรกด็ ี อยา่ งน้อยพระองค์ก็สามารถทาให้เรือ่ งนี้เปน็ ระเบยี บเรียบร้อยได้ พระเถระฝ่ายปารปุ นะรูปหนง่ึ ชอ่ื ญาณาภวงั สะ ได้มีอิทธพิ ลเหนือพระองคม์ ากในเร่ืองนี้ ต่อมาพระองค์ได้ทรงต้งั ไวใ้ นตาแหน่งพระอาจารย์ ประจาราชสานกั ทง้ั ๆ ทา่ นอตุละกย็ งั มชี วี ิตอยู่ เบื้องแรกได้ตง้ั คณะกรรมการข้ึนสอบสวนเรอื่ งนี้ ซ่ึงใน ทสี่ ดุ ฝ่ายเอกังสิกะยอมรับว่า ที่ตนไดป้ ฏบิ ตั ิอย่นู ้ันหาได้ทาตามทปี่ รากฏอยูใ่ นคัมภรี ไ์ ม่ หากแต่ทาตาม ประเพณที ่ีทาสบื ๆ กนั มาเทา่ น้ันเอง พระเจ้าบโู ดพญา จึงได้ทรงประกาศพระบรมราชโองการให้ปฏบิ ตั ิ ตามแบบพระฝ่ายปารุปนะ สองปตี ่อมา ทา่ นอตุละไดส้ ่งจดหมายไปถวายพระเจ้าบูโดพญา อ้างวา่ ท่ี พระฝ่ายเอกงั สิกะปฏิบตั ิอยูน่ ั้นถูกต้องตาม คัมภีร์จลู คนั ถีปาฐะ ซง่ึ พระมหาโมคคลั ลานะ อคั รสาวกเบ้ือง ซ้ายของพระพุทธองค์รจนาไว้แล้ว พระราชาจึงทรงโปรดให้ตัง้ กรรมการข้ึนสอบสวน แล้วได้มกี าร อภปิ รายและโตว้ าทีกัน ปรากฏว่า คัมภีรท์ ีท่ า่ นอตลุ ะอา้ งนั้น เปน็ คัมภีรท์ ีเ่ พ่ิงเขียนขึน้ ในประเทศลงั กา ภายหลัง โดยพระเถระรูปหน่ึงชื่อ โมคคลั ลานะเหมอื นกัน ต้งั แตน่ น้ั มาพวกเอกงั สิกะกเ็ ส่ือมลงตามลาดับ และหมดไปในที่สุด ในปี พ.ศ. ๒๓๒๗ พระราชากท็ รงประกาศพระบรมราชโองการให้พระทกุ รปู ปฏบิ ตั ิ ตามแบบพวกปารุปนะสบื ไป ในรชั สมยั พระเจา้ บูโดพญานี้ การพระพุทธศาสนาเจริญรงุ่ เรืองมาก พระองคไ์ ดท้ รงส่งั ให้นาพระมหามัย มนุ ี จากแคว้นยะไข่ (Arakan) มาไวใ้ นเมืองหลวง พระองค์ไดท้ รงสง่ พระพมา่ ไปประดษิ ฐานพระสงฆ์อมร ปุรนกิ ายในลังกา พร้อมทงั้ ได้นาคัมภรี ์พระพุทธศาสนาภาคภาษาบาลีไปด้วย พระเจา้ แผ่นดินองค์ต่อๆ มากท็ รงสนพระทยั ในการบารุงพระพุทธศาสนาเปน็ อย่างดี ในรัชสมยั พระเจา้ มินดง (Min-don-min ) คือระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๓๙๕ ถึงปี พ.ศ. ๒๔๒๐ การ พระพุทธศาสนาไดเ้ จริญถึงท่ีสุดเพราะพระเจ้ามนิ ดงทรงเป็นกษัตริยท์ ี่สามารถ รักสันตแิ ละใจบญุ พระ อาจารย์ของพระองค์ชื่อ พระปัญญาสามี ไดร้ จนาคมั ภีรศ์ าสนวงศ์ ซง่ึ เปน็ ประวตั ศิ าสตรเ์ กยี่ วกับการพระ ศาสนาของพม่าข้ึน พระเจ้ามินดงทรงมีช่ือเสยี งมาก เพราะพระองค์ทรงเปน็ ผอู้ ุปถมั ภ์ในการทาสงั คายนา

19 ครงั้ ท่ี ๕ ในเมืองมนั ดะเล ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๑๑ และมาแลว้ เสรจ็ ปี พ.ศ. ๒๔๑๔ และได้จารึกพระไตรปิฎก ลงไว้บนแผน่ หินอ่อนและทาสถปู ครอบไวร้ วม ๔๕๐ องค์ ซ่งึ ขณะนกี้ ็ยังปรากฏอยู่ ณ เชงิ ภูเขาในกรงุ มัน ดะเล ตอ่ จากพระเจา้ มินดง กถ็ งึ พระเจา้ ธีบอ หรือสปี อ๊ (Thibaw) ซ่งึ เปน็ กษัตริย์องคส์ ุดท้ายของพมา่ และถูกองั กฤษถอดจากตาแหนง่ ในรชั สมยั พระเจา้ ธบี อน้ี พระสงั ฆราชปัญญาสามีกย็ ังทรงมพี ระชนม์อยู่ เมอ่ื อังกฤษไดค้ รอบครองพมา่ และถอดพระเจ้าแผน่ ดนิ ออกแลว้ ปญั หาก็เกิดขนึ้ มาวา่ เดิมทีพระสงั ฆราช นั้นพระเจ้าแผ่นดนิ เป็นผทู้ รงแต่งตั้ง ไมใ่ ชค่ ณะสงฆแ์ ต่งต้ัง บดั นไ้ี ม่มีกษตั ริย์แล้ว ใครเลา่ จะเป็นผู้แต่งต้ัง สมเดจ็ พระสงั ฆราช เมอื่ ลอรด์ เคอรส์ นั (Curzon) ไดม้ าเยือนพม่าใน พ.ศ. ๒๔๔๔ ทา่ นได้จดั การเรือ่ งน้ี ได้จนเรียบร้อย โดยมอบให้คณะสงฆ์ทง้ั หมดเปน็ ผเู้ ลือก แล้วทางรฐั บาลอังกฤษเป็นผแู้ ต่งตง้ั ผทู้ ไ่ี ด้รับ เลอื กสืบต่อจากท่านปัญญาสามี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๖ กค็ ือท่านตองวิน (Taunggwin) แล้วรฐั บาลองั กฤษก็ ไดแ้ ต่งต้ัง“ใหเ้ ปน็ ศาสนไบง์” (Sasanabaing) ซึ่งแปลวา่ “เจา้ ของศาสนา” มีตาแหนง่ หนา้ ทเ่ี ทยี บเทา่ สมเดจ็ พระสงั ฆราช หลังจากอังกฤษไดย้ ดึ เอาประเทศพม่าเป็นประเทศราชแล้ว กิจการพระพุทธศาสนากเ็ ป็นไปตาม ยถากรรม คือไม่ได้รับความอุปถมั ภ์อย่างสมัยท่ีพม่าเป็นเอกราช มพี ระเจา้ แผ่นดินเป็นองค์เอกอัคร ศาสนปู ถัมภก นบั วา่ ยังเป็นโชคดีอยู่ ท่ีพระพุทธศาสนาไดห้ ยั่งรากลกึ ลงในชวี ิตจติ ใจของชาวพม่าเสยี แล้ว จนกระทั่งคาว่า “พมา่ ” กบั “พุทธศาสนิก” เกอื บจะเป็นคาเดยี วกนั อยู่แลว้ ดงั นัน้ พระพุทธศาสนาจึง ดารงมน่ั มาได้ ทัง้ นี้กโ็ ดยความรว่ มแรงร่วมใจระหวา่ งพระสงฆ์และประชาชนชาวพม่านั่นเอง แม้วา่ จะมี ความบกพรอ่ งบ้าง แตถ่ ้าพิจารณาด้วยใจเปน็ ธรรมแล้ว กน็ ่าเหน็ ใจมากอยู่ พระพุทธศาสนามอี ิทธพิ ลเหนือชีวิตจิตใจของชาวพม่ามาก แทบจะแยกกันไม่ออกทเี ดียว ชาวพม่าคนใด ถอื ศาสนาอ่นื จากพุทธศาสนา เขาเรยี กกันวา่ “กะละ” (Kala) ซง่ึ แปลวา่ “ชาวต่างประเทศ” (เพยี นมา จาก กลุ า = แขก) คือกลายเป็นคนแปลกไป ชาวพม่าสว่ นมากนิยมการบวชเปน็ สามเณรมาก เกือบจะพูด ได้วา่ ผู้ชายชาวพม่าท่ีนับถือพระพุทธสาสนาทุกคนเคยบรรพชาเป็นสามเณรมาแล้วท้ังนั้น และกม็ ีไม่น้อย ทไี่ ด้อสุ มบทเปน็ ภกิ ษุ การบรรพชาอุปสมบทในพมา่ ถือเป็นประเพณี มากกว่าทีจ่ ะบวชแบบสละโลก หลงั จากที่ได้เขา้ มาบรรพชาอุปสมบทแล้ว อาจลาสกิ ขาไปดารงเพศเป็นฆราวาสเมื่อใดก็ได้ ชาวพุทธที่ เคร่งครดั มากจะนยิ มสง่ บตุ รหลานของตนไปอยทู่ ีว่ ดั ชั่วระยะหนึง่ บางทีกน็ าน บางทีก็ช่วั ระยะเวลาอัน สัน้ ทั้งน้เี พราะชาวพมา่ ถือกันวา่ การทจ่ี ะเป็นมนุษยท์ ่ีสมบูรณไ์ ดน้ ้ัน จะตอ้ งมีชวี ิตอยูใ่ นวัดชวั่ ระยะ หนงึ่ มฉิ ะนัน้ ก็ไมผ่ ดิ อะไรกับสัตวเ์ ดรจั ฉาน พุทธศาสนิกชนชาวพมา่ จึงมักจะสวดพทุ ธคุณ-ธรรมคณุ -สงั ฆ คณุ ได้ทกุ คน และจะสวดเสมอ ทั้งในเวลาเชา้ และเยน็ ชาวพมา่ นยิ มสรา้ งพระเจดียม์ าก ไม่ว่าทใ่ี ดถ้ามี เนินสงู ๆ มกั จะเห็นเจดียเ์ สมอ ทกุ ๆ วัดจะมีโรงเรียน เพราะวัดเปน็ ศูนยก์ ลางการศกึ ษาเช่นเดียวกับใน ประเทศไทย มีพระภิกษชุ าวพม่ามากมายท่ีมคี วามเช่ียวชาญในดา้ นการศึกษาพระไตรปิฎกโดยเฉพาะอย่างยิ่งอภธิ รรม ปฎิ ก เวลาน้ีมีพระเถระผทู้ รงจาพระไตรปิฎกไดท้ ัง้ หมดอยู่ ๒ รูปด้วยกนั คอื ทา่ นวจิ ติ ราภิวงั สะ กับ ท่าน วิมลาภวิ ังสะ นอกจากนั้นก็ทางานท่เี ด่นๆ ไว้มากเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวรรณกรรม เชน่ มบี ันทึก เหตุการณ์ตา่ งๆ กฎหมายเกยี่ วกบั ทางจริยธรรมและทางการเมอื ง รวมทั้งโคลงกลอนต่างๆ นอกจากนั้น

20 พระพมา่ ก็ออกจะยงุ่ และก้าวกา่ ยในทางการบา้ นการเมืองอยูม่ าก และเสียงของพระเปน็ เสียงที่ค่อนข้าง ดงั มากสักหนอ่ ย ท้งั เปน็ อาจารย์คอยแนะนา แก้ปัญหาทัง้ ท่ีเกย่ี วกบั ศาสนาและการบ้านการเมอื ง และ บางกรณี การเกย่ี วข้องของพระก็ทาให้ยตุ กิ รณพี ิพาทต่างๆ ของชาวบา้ น ทาให้เกดิ สันติสุขและประชาชน ได้รบั ความยุติธรรมมาก ในปี พ.ศ. ๒๔๒๙ เมื่อองั กฤษไดผ้ นวกพม่าไวใ้ นอานาจ สมเดจ็ พระสังฆราชได้ ทรงห้ามไมใ่ ห้พระสงฆเ์ ข้ายุ่งกับการเมืองซ่ึงเป็นเรื่องท่ีน่าสนใจมาก ทง้ั น้ีเพราะพระเจา้ ธบี อ ไดท้ รง ประกาศพระบรมราชโองการแจง้ ว่า วัตถปุ ระสงค์ท่อี ังกฤษรกุ รานพม่า กเ็ พ่ือทาลายพระพทุ ธศาสนา นน่ั เอง ซ่งึ เป็นการเอาศาสนาเข้าไปยุ่งกับการเมืองโดยแท้ เพราะผ้มู ีอานาจอาจถือเอาศาสนาเป็น เคร่ืองมอื สาหรบั สร้างอารมณ์ร่วมในด้านการเมืองได้ และโดยเหตนุ เี้ องทท่ี าใหพ้ ระพม่าบางรูปเขา้ ไปยงุ่ เกยี่ วกับการเมืองเรอื่ ยมา การที่พระพมา่ ยุ่งเกีย่ วกับการเมอื งมากจะเหน็ ไดช้ ัดก็คือ นบั ตั้งแตร่ ะยะเวลาก่อนสงครามโลกครงั้ ที่ ๒ เป็นต้นมา จนถงึ ระหวา่ งสงครามโลกน้นั พระพมา่ ได้มสี ว่ นร่วมในการตอ่ สู้เพื่อเอกราช เชน่ ทา่ น อู วิ สาระ และ อู โอตตมะ และพระภิกษุอื่นๆ อีกเป็นจานวนมาก หลงั จากทีพ่ มา่ ได้รบั เอกราชต้ังแตว่ นั ท่ี ๔ มกราคม ๒๔๙๑ มาแลว้ พมา่ โดยการนาของนายกรัฐมนตรี อู นุ ได้จัดใหม้ ีการทา ฉัฏฐสงั คายนา คือ การสงั คายนาคร้ัง ๖ (นบั แบบพม่า เขาถือวา่ การสังคายนาสมัย พระเจ้ามินดง เปน็ การสงั คายนาครงั้ ท่ี ๕) เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๙๗ และมาเสร็จเรยี บรอ้ ยเมอื่ วันวสิ าขบูชาปี พ.ศ. ๒๔๙๙ (ตรงกบั พ.ศ. ๒๕๐๐ ตามแบบของพม่าและลังกา) ในการสังคายนานี้ รฐั บาลพมา่ ได้ อาราธนาพระสงฆ์จากประเทศตา่ งๆ คือ อินเดีย ลงั กา เนปาล กมั พชู า ไทย ลาว และปากีสถานไปทา สงั คายนาร่วมกับพระพมา่ อกี ๕๐๐ รูป เมือ่ สงั คายนาพระไตรปฎิ กเสร็จแลว้ ก็ไดจ้ ดั ทาการสงั คายนา อรรถกถาและฎกี าต่อไป ในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ รฐั บาลพมา่ ได้ออกกฎหมายตงั้ สานักสงฆ์คลา้ ยๆ เป็น ศาลพระ ขน้ึ สองแห่ง คือทเ่ี มือง ย่างกุ้งแห่งหน่ึง กับท่เี มืองมนั ดะเลอีกแห่งหน่งึ กฎหมายฉบบั นี้เรยี กว่า “ธรรมาจริยะ” “ศาล” ทง้ั สอง แห่งนมี้ ีหน้าท่สี อดส่องและส่งเสรมิ คณะสงฆ์ให้มรี ะเบียบวนิ ัยยิง่ ขน้ึ แต่ “ศาลพระ” น้ีต้องประสบปญั หา ยุ่งๆ เสมอ กฎหมายฉบับท่สี องชื่อ “วินจิ ฉัย” ออกมาเพื่อประกาศต้งั มหาวิทยาลัยบาลี เพือ่ จดั การศกึ ษาและการสอบของพระใหร้ ัดกุมยิ่งขน้ึ และกฎหมายฉบบั ที่สามช่ือวา่ “องค์ พระพทุ ธศาสนา” ทั้งน้กี ็เพื่อทจี่ ะแปลคัมภรี ์พระไตรปฎิ ก พร้อมทัง้ อรรถกถาและฎีกาสภู่ าษาพม่า ในการดาเนินงานเพื่อฟน้ื ฟูพระพุทธศาสนาครง้ั นี้ แมว้ ่านายกรฐั มนตรี อนู ุ จะไม่ได้รับการโต้แย้ง คดั คา้ น จากสมาชิกรฐั สภากจ็ ริง แต่ก็มีผ้สู นบั สนุนงานนจี้ ริงๆ นอ้ ยมาก อยา่ งไรก็ตาม กฎหมายว่าดว้ ย “องค์การ พระพุทธศาสนา” น้ีแหละได้เปน็ เหตุนาไปส่กู ารกระทาสังคายนาคร้งั ที่ ๖ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ รัฐบาลพม่าได้ออกกฎหมายรับรองพระพุทธศาสนาว่า เปน็ ศาสนาประจาชาติ และยงั ได้ออกกฎหมายอีกฉบับหนึ่งรับรองว่า จะให้ความคุ้มครองและความอุปถัมภแ์ ก่ทุกๆ ศาสนาซง่ึ มีอยู่ใน พมา่ อนั ไดแ้ กศ่ าสนาครสิ ต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนาฮินดู เปน็ ส่วนใหญ่

21 ตามสถติ ิ ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ประมาณกนั วา่ ประเทศพมา่ มีพลเมืองประมาณ ๑๘,๕๐๐,๐๐๐ คน จาก จานวนประชาชนทัง้ หมดน้ีก็พอประมาณไดว้ ่า มีผู้นบั ถือพระพุทธศาสนาประมาณ ๑๕ ล้านคน คอื มผี ู้นับ ถือพระพุทธศาสนาประมาณ ๘๐% พระพทุ ธรปู ปางนาคปรก ศลิ ปะแบบขอม ประดษิ ฐานท่ีพระท่นี ่ัง พระนายรายณร์ าชนิเวศน์ จงั หวัดลพบุรี พระพทุ ธศาสนาในประเทศกมั พชู า กมั พชู าหรือเขมรน้นั เป็นประเทศหน่ึงในเอเชยี อาคเนย์อยู่ในแหลมอินโดจนี ตดิ ต่อกบั ประเทศไทย ทางด้านตะวนั ออก เข้าใจกนั ว่าเขมรมีเผา่ พันธเ์ุ ก่ยี วเนือ่ งกับพวก “มุณฑะ” (Mundas) ในอนิ เดยี กับ พวกมลายู และพวกโปลินีเซีย (Polynesian) ในดา้ นภาษามีความสัมพนั ธก์ ับพวกมอญซ่งึ อยู่ทางภาคใต้ ของพม่า และมีความสัมพนั ธ์กับพวก “ขะเซีย” (Khasias) ในอัสสัม แตก่ ็ไม่มีเหตผุ ลใด ๆ ท่ีจะพิสูจน์ ได้วา่ กมั พูชาหรือเขมรมีความสัมพนั ธก์ บั พวกเวยี ดนามทางด้านสายเลือด ความละม้ายคล้ายคลงึ กนั ใน ระหวา่ งภาษามอญกับเขมรนั้นทาให้เขา้ ใจกันว่า บรรพบรุ ุษของมอญและเขมรในสมยั หนงึ่ คงมีอยู่ท่ัวไป ในแหลมอินโดจนี ภาคกลางและภาคตะวันตก ตอ่ มาได้ถูกพวกไทยซง่ึ อพยพลงมาทางตอนใตข้ องประเทศ จีนแทรกเข้ามาในระหวา่ งมอญกับเขมร จนในทีส่ ดุ ทาให้มอญไปอยทู่ างตะวนั ออกและไทยอยตู่ รงกลาง พวกเขมรเรียกตวั เองว่า กมั พูชา และเรยี กชอ่ื ประเทศวา่ “ซรอก กามปู เจีย” (Srok Kampuchea) หรอื ”ซรอก เขมร” คาว่า “กัมพูชา” นี้ เขา้ ใจกันวา่ มคี วามเกีย่ วข้อง กบั ประเทศอินเดยี อยู่ดว้ ยเพราะในอนิ เดียมแี คว้นหนง่ึ ชอื่ แควน้ กมั โพชะ แตช่ าวเขมรเขา้ ใจวา่ ตนเองสบื เช้ือสายมาจาก “ทา้ มกามพู สวยัมภูวะ” (Kambu Svayambhuva) กบั นางเปรา (Pera) หรอื เม รา (Mera) ซ่งึ พระอิศวรประทานใหเ้ ปน็ ชายาของท้าวกามพู สวยัมภวู ะ นยิ ายน้ีจะพสิ จู น์ว่าเขมรมาจากอนิ เดยี หาได้ไม่ แต่ไมต่ ้องสงสยั ละว่า เขมรจะต้องได้รบั อารยธรรมมาจาก อินเดียอย่างแน่นอน นอกจากนั้นก็มีพวกราชตระกูลและผู้ทีน่ ับถือศาสนาฮนิ ดอู ีกมายมายทอี่ พยพเขา้ ไป อยู่ในประเทศกมั พชู า นกั เดินทางชาวจีนจากราชสานักตีมูรข์ า่ น ช่อื “เจาตากวน” (พ.ศ. ๑๘๓๙) ได้ กล่าวไว้ว่า ประเทศที่คนจนี เรียกวา่ “เจนละ” (Chenla) น้ัน ชาวพื้นเมืองเขาเรียกกันว่า “กันโป จ”ี ซงึ่ เขา้ ใจวา่ ตรงกับคาวา่ “กัมพูชา” นั่นเอง ส่วนตน้ เคา้ ของคาวา่ “เจนละ” นั้นไมป่ รากฏว่ามา จากไหน มกี ล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจนละกบั อาณาจักรฟูนนั ซึ่งเปน็ ช่ือทีน่ ักประวัตศิ าสตร์จนี เรยี กกันอยู่ จนกระท่งั ถึงปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ อาณาจักรฟูนันนเ้ี ข้าใจกนั วา่ เปน็ ภูมิภาคทางทิศ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื หรือบางทีอาจเป็นภาคกลางของอนิ โดจนี กไ็ ด้ บางพวกก็เถียงว่า “เจนละ” กค็ ือ

22 ชอื่ เกา่ ของอาณาจักร “ฟูนัน” น่นั เอง หรืออีกนัยหนง่ึ ก็วา่ คาว่า “ฟนู ัน” เป็นคาทมี่ ีความหมายกนิ วง กวา้ งมาก คือ รวมรฐั ต่าง ๆ ไวม้ ากมายซงึ่ มเี จนละหรอื กมั พชู าอยู่ด้วย บนั ทึกจดหมายเหตุสมยั ราชวงศ์ สยุ (Sui) กลา่ วว่า “เจนละ” อยู่ทางทิศตะวนั ตกของหลินอ้ี (Lin – yi) ซง่ึ เดมิ เปน็ เมืองขน้ึ ของ อาณาจักร “ฟนู นั ” นามของราชตระกลู คือกษตั รยิ ์ พระนามของกษัตรยิ อ์ งค์น้นั ชอื่ จิตรเสน ราช บรรพบรุ ษุ ของพระเจ้าจิตรเสนมอี ธปิ ไตยเหนือประเทศน้ีมากยิ่งขึน้ ทกุ ที พระเจ้าจติ รเสนทรงยึดฟนู นั ได้ และลดฐานะฟนู นั ลงมาเปน็ เมืองออก ข้อน้ดี เู หมอื นจะเปน็ ทแี่ จ่มแจง้ พอแลว้ และเรายังไดท้ ราบจากศลิ า จารึกตา่ ง ๆ ของกัมพชู าอกี วา่ จิตรเสนเป็นพระนามของกษัตรยิ ท์ ่ปี กครองฟูนนั อยา่ งเดียวกบั พระเจ้า มเหนทรวรมัน (ประมาณ พ.ศ. ๑๑๔๓) เหมือนกัน เปน็ ที่ทราบกันเปน็ อยา่ งดโี ดยทัว่ ๆ ไปแล้วว่าประเทศกมั พูชาน้ันได้รบั อทิ ธิพลแหง่ ความเจริญทางด้าน จติ ใจมาจากอนิ เดยี เปน็ สว่ นใหญ่ ศาสนาทีเ่ ป็นสาระสาคัญศาสนาแรกก็คือศาสนาพราหมณ์และตอ่ มาก็ คือพระพุทธ ศาสนา ปจั จุบันน้ศี าสนาทง้ั สองยังขยายตัวออกไปและเป็นที่นบั ถือกนั ในหมู่ประชาชนชาว กมั พูชาเป็นส่วนใหญ่ ความเช่ือถือของประชาชนชาวกมั พชู าแต่เดิมนั้นกเ็ ปน็ ไปในทานองเดยี วกบั ความเชื่อถือของบคุ คล สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ คอื มีความเชอ่ื ดนิ น้า ลม ไฟ และใหค้ วามเคารพสกั การะแก่เจ้าป่าเจ้า เขา เทวดาตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ชนชาติกมั พูชากเ็ หมอื นกบั ชนชาตอิ นื่ ๆ ในสมยั โบราณนัน่ เอง คอื ได้รบั นับถือศาสนาไม่เพยี งเพราะ ความกลัวเทา่ น้ัน แตท่ วา่ ยังเชอ่ื ถือส่ิงต่าง ๆ ท่ีมองไม่เห็นอีกดว้ ย และพร้อมกนั นนั้ เม่ือศาสนาพราหมณ์ และพระพุทธศาสนาเผยแพร่เข้าไปถึงก็ได้ยอมรับนบั ถือศาสนาทง้ั สองนป้ี น ๆ ไปกับความเช่อื ถือเดิม ความจริงทส่ี าคัญที่สุดในประวัตศิ าสตร์กมั พูชาก็คือ กมั พูชาไดถ้ ูกอิทธิพลของอินเดียครอบคลุมอยู่ เร่ือยมานับตัง้ แต่ตน้ ทีเดยี ว ซง่ึ นบั ว่าเปน็ อิทธพิ ลท่ีเป็นผลสืบเนอ่ื งมาจากความสัมพนั ธท์ างด้าน การค้า การแสวงหาเมืองขน้ึ และการพชิ ิตดนิ แดงตา่ ง ๆ ไวใ้ นอานาจของพวกอินเดียนน่ั เอง ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔ นี้เอง ทพี่ วกฮนิ ดูได้มีความคนุ้ เคยกับพวกเขมรมากเป็นพิเศษ และได้อพยพเข้า มาอยู่กมั พชู ามากกว่าในสมัยกอ่ น ๆ เดิมทีเดียวพวกท่นี บั ถือศาสนาฮินดเู ป็นผ้ยู ดึ มัน่ ในหลักปฏิบัตทิ ี่หา้ ม ขา้ มน้าข้ามน้าทะเลไปสู่แดนไกล แตต่ ่อมากฎข้อบงั คับนี้ก็ไมค่ อ่ ยมใี ครเอาใจใส่นกั จงึ เปน็ เหตใุ หพ้ วกฮนิ ดู อพยพออกนอกประเทศมากข้ึน ในชาดกต่าง ๆ ไดก้ ลา่ วถึงการเดินทางไปยังเมืองบาบโิ ลนและได้กล่าวถึงพระเจ้าวชิ ัยและพระมหินทเถระ เดนิ ทางไปลงั กาเมื่อตน้ พุทธศักราชและประมาณ พ.ศ. ๓๐๐ เศษ ตามลาดับ แต่ก็ไม่มีหลักฐานท่ีแน่ชัด ใด ๆ ท่รี ะบุถึงสมัยท่ีพวกฮนิ ดูไดเ้ ดินทางไปพน้ แหลมมลายเู ปน็ ครัง้ แรกเลย แตใ่ นมหากาพยร์ ามายนะก็ได้ พดู ถึงชวาด้วยเหมือนกนั คัมภรี ์เปน็ ภาษาสันสกฤตทีเ่ กา่ ท่ีสดุ ท่พี บในประเทศ “จมั ปา” นัน้ มีอายุราว ๆ พุทธศตวรรษที่ ๗ – ๘ จดหมายเหตุจนี สมยั ราชวงศส์ ิน (Tsin) ไดก้ ลา่ ววา่ ในสมัยก่อนราชวงศส์ ินน้นั ได้มีพวกฮนิ ดูมาอยใู่ นอาณาจักรฟูนนั แล้ว ฉะนน้ั จึงพอสรุปได้ว่า พวกฮนิ ดูคงมาถงึ ดินแดนซึง่ เรยี กวา่

23 กัมพชู านี้ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๖ ปัจจุบนั น้เี ราอาจพดู ได้วา่ การสถาปนาอาณาจกั รฮินดขู ้ึนมาน้ัน บาง ทีอาจมีความเกี่ยวโยงไปถึงพวกพ่อคา้ ชาวฮนิ ดสู มยั แรก ๆ ด้วยกไ็ ด้ การเดินทางไปตามชายฝั่งทะเลดา้ น ทศิ ใต้ของอนิ โดจนี และตามหมู่เกาะตา่ ง ๆ อาจเกิดขน้ึ หลังจากที่พวกฮินดูได้มาต้ังมนั่ อยู่ตามบริเวณคอ คอดกระ เชน่ ทเี่ มืองนครศรีธรรมราชเรียบร้อยแล้ว สาเหตุทีท่ าให้พวกฮนิ ดอู พยพมาทางตะวนั ออกอย่างมากมายนน้ั กลา่ วกนั วา่ เนอ่ื งมาจากสาเหตหุ ลาย ประการดัวยกนั เชน่ เนอ่ื งจากได้มีการทาลายและประหตั ประหารนกั ศาสนาในอนิ เดีย การเผยแผ่ ศาสนา การผจญภยั ทางการค้าและทางการเมือง สาหรบั สาเหตปุ ระการแรกน้นั อาจเป็นเร่ืองท่ีไม่ สาคญั นกั ก็ได้ ทงั้ นี้เพราะมีหลกั ฐานทแี่ สดงให้เห็นวา่ มีการประหตั ประหารภกิ ษุสงฆ์ในพระพทุ ธศาสนาใน อินเดียอยูน่ ้อยมาก และทีย่ ง่ิ น้อยไปกว่าน้นั อีกกค็ ือ เร่อื งทชี่ าวพทุ ธจะประหตั ประหารชวี ติ พวก พราหมณ์ อยา่ งไรกด็ ี เหตกุ ารณท์ านองน้กี ็ไดม้ ีเกิดข้ึนบ้างเหมอื นกัน แต่ทว่าเป็นสมัยหลัง ๆ คอื สมัยท่ี พวกมุสลิมบุกรุกอนิ เดีย สาหรบั ในเรือ่ งการเผยแผ่ศาสนานั้น เราไม่ถือวา่ พวกอนิ เดยี ที่มาต้ังหลักฐานอยู่ ในกัมพูชาหรอื ในแหลมอนิ โดจนี น้เี ป็นพวกเผยแผ่ศาสนา พวกพราหมณ์มีความตง้ั ใจอย่างม่ันคงในอันทีจ่ ะ ปฏบิ ตั ติ ามและเอาใจใสส่ อดส่องดูความเจริญก้าวหน้าของอารยธรรมฮนิ ดูอยเู่ สมอ แตพ่ วกนห้ี าไดม้ ีความ สนใจทจ่ี ะอบรมสั่งสอนชาวต่างประเทศใหเ้ ลอื่ มใสในศาสนาฮินดไู ม่ คอยพยายามที่จะอบรมสั่งสอน เฉพาะพวกฮินดดู ว้ ยกันท่มี าต้ังหลกั แหล่งอย่ใู นต่างประเทศเท่านั้น แต่นักเผยแผ่พระพทุ ธศาสนามี ความรสู้ กึ ในการทีจ่ ะส่ังสอนผู้อน่ื ใหเ้ ข้าใจพระพุทธศาสนาอยูม่ ากทีเดยี ว และการทีน่ ักเผยแผศ่ าสนา เหล่าน้ีไดเ้ ดนิ ทางไปต่างประเทศเสมอ ๆ ไดเ้ รา้ ใจประชาชนในวรรณะตา่ ง ๆ ให้อยากไปตา่ งประเทศ บ้าง แตก่ ็หามหี ลักฐานใด ๆ ทีจ่ ะแสดงใหเ้ ห็นว่า พวกฮนิ ดไู ดอ้ พยพเขา้ มาสูป่ ระเทศชวาและกัมพชู าใน ระยะเวลาไลเ่ ลีย่ กนั กบั สมยั ท่ีพระมหนิ ทเถระเดนิ ทางไปลงั กาเลย ทั้งยงั ไม่มหี ลักฐานใด ๆ ที่จะแสดงให้ เหน็ วา่ “ราชา” อินเดียทั้งหลายเปน็ ผู้สัง่ ใหบ้ คุ คลต่าง ๆ เหล่าน้ีเดินทางไปชวาและกัมพูชาอกี ดว้ ย ทงั้ น้ี เพราะไม่พบหลกั ฐานใด ๆ ท่ีแสดงให้เห็นว่า ราชาทง้ั หลายไดส้ ่ังพวกนี้ไปยังประเทศตา่ ง ๆ และไม่มี หลักฐานใด ๆ ที่แสดงว่ารัฐต่าง ๆ ในอนิ เดยี ได้อ้างสทิ ธวิ า่ ตนมอี านาจเหนือดนิ แดนเหล่านี้ เพราะฉะนัน้ เรือ่ งการสถาปนาอาณาจักรฮินดูข้นึ ในชวาและกัมพชู าจึงเป็นเรอ่ื งของพวกพ่อค้าพาณชิ และนักท่องเที่ยว ผจญภยั ซง่ึ เดินทางมาตามสายการคา้ และต่างก็มเี หตุผลเป็นของตนเองในกรณีทจ่ี ะต้องจากประเทศ อินเดียไป ในประเทศกัมพูชากไ็ ด้มีการสถาปนาราชวงศอ์ นิ เดยี ขนึ้ หลังจากท่ีไดม้ ีการต่อส้ดู นิ้ รนอยู่ชั่ว ระยะเวลาอนั ส้ันเทา่ นั้นเอง แต่ในท่ีอน่ื ๆ เช่น ชวาและสมุ าตรา อารยธรรมอนิ เดียได้ดารงอยู่อยา่ ง มัน่ คงมาก ทง้ั น้ีเพราะหัวหน้าชาวพ้ืนเมืองท้ังหลายได้ยอมรบั เอาอารยธรรมเหลา่ นน้ั มาประพฤตปิ ฏิบัติ ตามอย่างเสรี มิใชโ่ ดยการถูกบงั คับขู่เข็ญใหย้ อมรับนับถืออย่างที่ผู้ชนะมักปฏิบตั ิต่อผู้แพ้ทีต่ กอยใู่ นอานาจ ของตนเลย ศิลาจารกึ ต่าง ๆ ในกัมพูชาทาใหเ้ ราทราบประวตั ิศาสตร์ต้ังแต่สมยั พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ – ๑๘ ดขี ้นึ มาก ทเี ดยี ว สาหรบั ประวตั ศิ าสตร์ในสมัยแรก เราจาต้องอาศัยจดหมายเหตุของจนี ทั้งหมด และจดหมายเหตุ จีนนน้ั ก็บันทึกเพยี งเร่ืองสัมพันธภาพระหวา่ งจีนกับฟูนันซ่ึงมีอยู่เป็นคร้ังคราวเทา่ นน้ั เอง ไม่มีอะไรท่ี นา่ สนใจไปมากกว่านั้นเลย จดหมายเหตสุ มยั ราชวงศส์ ินกลา่ วว่า ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. ๘๐๘ เปน็ ตน้ มา กษัตริยแ์ หง่ ฟูนนั ได้สง่ คณะทูตไปยังราชสานักพระเจ้ากรงุ จนี หลายครง้ั หลายหน และยงั กล่าวไว้ด้วย ว่า ประชาชนชาวฟนู ันมีหนงั สอื อา่ นแล้วและเขยี นคลา้ ย ๆ กบั ตัวหนังสือของพวก “หู” (Hu) ซ่งึ เป็น

24 ชาวพ้นื เมอื งเผ่าหนึง่ ในเอเชยี กลาง จดหมายเหตทุ ี่กลา่ วนีค้ งหมายเพียงวา่ อักษรแบบฟูนันคงแตกต่างจาก อกั ษรจีนนน่ั เอง ผจู้ ัดบนั ทึกนี้ยังได้กลา่ วเสริมไว้อกี วา่ ผูค้ รองอาณาจกั รฟูนันนัน้ เป็นสตรี ตอ่ มามชี าย แปลกหน้าผ้หู น่งึ ชือ่ หหู ยุ (Hu Hui) ซงึ่ เป็นผู้ทีบ่ ชู าเทพยดาอารกั ษ์ต่าง ๆ ได้ฝันว่ามีเทวดาองคห์ นง่ึ ได้ มอบธนูให้แกพ่ วกเขาแล้วรบั สง่ั ใหแ้ ลน่ ใบไปยังอาณาจกั รฟูนนั เขาสามารถยดึ อาณาจักรนไี้ ด้ และได้ อภิเษกสมรสกบั ราชินแี ห่งอาณาจกั รนนั้ แต่ผทู้ ส่ี บื สายโลหติ มาจากหูหยุ นนั้ มีความสามารถน้อยลง ตามลาดบั ผู้สบื สายโลหติ ตอ่ มาคนหนึ่งช่อื “ฟานซุน” (Fan Hsun) ไดต้ ้งั ราชวงศใ์ หม่ขน้ึ อีกราชวงศ์ หนง่ึ ส่วนจดหมายเหตุราชวงศจ์ ิ (Chi) (พ.ศ. ๑๐๒๒ – ๑๐๔๔) ได้เล่าเรอื่ งในทานองเดียวกันนั่น แหละ แตก่ ล่าวว่าชายแปลกหน้าผนู้ นั้ ชอื่ ฮนุ่ เทยี น (Hun Tien) และว่าชายแปลกหน้าผูน้ ้ไี ปจากแควน้ จิ หรือแควน้ เจยี ว (Chiao) ซ่งึ กไ็ มท่ ราบวา่ อยูท่ ่ีไหน จดหมายเหตุนีย้ ังได้กล่าวต่อไปอีกวา่ จนกระท่งั ถงึ กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๑ กษัตรยิ แ์ ห่งอาณาจักรฟูนนั ซ่ึงอย่ใู นราชวงศ์ “เชยี วเชิน่ หร”ู (Chiao – ch’ en – ju) หรอื “โกณฑญั ญะ” พระนามวา่ เชเยโปโม (ชัยวรมนั ) ไดต้ ดิ ต่อค้าขายกับเมือง กวางตงุ้ ได้มีพระภิกษทุ างพระพุทธศาสนารูปหน่งึ ชือ่ “นาคเสน” ไดต้ ิดตามพวกพ่อคา้ ชาวฟนู นั มาจาก กวางตุง้ ดว้ ย แตเ่ รอื มาแตกท่ีชายฝัง่ “หลินอ”ี้ ซ่ึง “ฟานตงั ” (Fan – Tang) โอรสของกษัตรยิ ์ชยั วร มัน โกณฑญั ญะไปยึดไวใ้ นอานาจได้เม่ือ พ.ศ. ๑๐๒๑ เม่ือพวกพ่อคา้ และทา่ นนาคเสนขึ้นฝั่งได้แล้วกถ็ ูก โจรปล้นทรัพย์สินเงนิ ทองไปหมด กว่าท่านนาคเสนจะมาถึงราชสานักฟนู ันเพื่อกราบทลู เร่ืองราวให้พระ เจ้าชยั วรมนั ทรงทราบได้ก็ค่อนขา้ งยากลาบากมาก และมีอยู่เรื่องหน่ึงทไ่ี ดท้ ลู ให้กษัตรยิ ์ชัยวรมนั ทรง ทราบกค็ ือ แมอ้ งคจ์ ักรพรรดิของจีนก็นับถือพระพุทธศาสนาเช่นกัน ซ่งึ เป็นเหตุทาให้พระเจา้ ชยั วรมัน ทรงโปรดปรานทา่ นนาคเสนมาก ดงั นนั้ ในปี พ.ศ. ๑๐๓๐ พระเจ้าชยั วรมนั ก็สง่ ท่านไปเฝ้าจกั รพรรดิวู่ ต่ี เพอื่ ทลู ขอใหจ้ ักรพรรดจิ ีนชว่ ยขับฟานตังออกจากราชบัลลงั ก์จมั ปาและลงโทษให้ดว้ ย เพราะฟานตังได้ เคยทาการปฏวิ ตั ใิ นฟนู ันก่อนที่จะหนีไปยึดอาณาจกั รหลินอี้ แตจ่ กั รพรรดิวู่ต่ีกท็ รงเฉยเสยี และทรงยกย่อง ใหฟ้ านตงั เป็นกษัตรยิ ห์ ลนิ อ้ีต่อไป แตท่ ว่ากอ่ นทคี่ ณะทูตจะกลับมาถงึ ฟนู ัน ฟานตงั กถ็ ูกขับออกจากราช บลั ลังก์แลว้ พระนาคเสนได้ทูลจกั รพรรดวิ ูต่ ีว่ า่ ฟนู นั เคร่งครดั ในศาสนามาก และนบั ถือพระมเหศวรเป็น เสมอื นเทพเจา้ ซึ่งกค็ ลา้ ยกับบอกวา่ ฟูนนั นับถือพระพุทธศาสนา และยกยอ่ งพระพุทธศาสนาเป็นอยา่ งสงู น่ันเอง จดหมายเหตสุ มยั ราชวงศเ์ หลียงกล่าวว่า ในสมยั จกั รพรรดิหวู (พ.ศ. ๗๖๕ – ๘๒๓) กษตั รยิ ์แห่ง อาณาจักรฟนู ันพระนามว่า ฟานจัน (Fan Chan) ไดส้ ง่ พระญาติผหู้ น่งึ ชือ่ ซหู วู (Su – Wu) เปน็ ทตู ไปยังประเทศอินเดียเพอ่ื ไปเฝ้าพระเจา้ เม่าหลุน (Mao Lun) ซ่ึงคงจะหมายถึงพระเจา้ มุรณุ ฑะท่ีครอง เมอื งอยูแ่ ถบลุ่มแมน่ า้ คงคา คัมภีรป์ รุ าณะและปโตเลมีได้กล่าวถวึ พวกมุรุณฑะด้วยเหมือนกัน พระเจ้า เมา่ หลนุ ได้ทรงสง่ คณะทตู ไปยังอาณาจักรฟูนนั เปน็ การตอบแทนทนั ที และราชทตู ของพระเจ้าเมา่ หลุนก็ ได้พบกบั ราชทตู จนี ณ ราชสานกั ฟนู ันน้ี จดหมายเหตสุ มัยราชวงศเ์ หลียงไดป้ รากฏข้อความดงั ต่อไปนีอ้ ยดู่ ้วยคอื ในระหว่าง พ.ศ. ๙๐๐ – ๙๖๗ ซงึ่ เปน็ สมยั ที่ฟูนันส่งราชทูตไปยังประเทศจนี บอ่ ย ๆ นั้น กม็ พี ราหมหผ์ ้หู น่ึงชอ่ื เชียวเชน่ิ หยู (โกณ ฑญั ญะ) ได้ยินเสียงสวรรคบ์ ัญชาให้เขาไปครองอาณาจกั รฟนู ัน เม่ือเขาไปถึงฟนู ันก็ไดร้ ับการรับรองเป็น อย่างดียิ่ง และได้รบั เลือกใหเ้ ปน็ กษัตริย์ แล้วพระองคก์ ็ทรงเปล่ยี นขนบธรรมเนียมประเพณตี ่าง ๆ มาใช้ แบบอนิ เดียแทน ผสู้ ืบสายจากพระองค์ผหู้ น่งึ พระนามวา่ ชัยวรมัน ไดส้ ง่ พระพทุ ธรูปศิลาองค์หน่ึงไป

25 ถวายจกั รพรรดิว่ตู ี่ (พ.ศ. ๑๐๔๕ – ๑๐๙๓) และในปี พ.ศ. ๑๐๔๖ ก็มพี ูดกันว่าชาวฟูนันไดส้ รา้ งรปู ยกั ษ์และเทวดาต่าง ๆ ด้วยทองคา ทาใหม้ ีสองเศียรบา้ ง ส่ีเศยี รบ้าง มสี ห่ี ัตถบ์ า้ ง แปดหัตถ์บา้ ง ผู้ที่ ครองราชสืบตอ่ จากพระเจ้าชัยวรมนั กค็ อื พระเจ้ารุทรวรมัน หรือ หลิวโทปะโม (Liu–t’o–pa–mo) ก็ ไดส้ ่งเทวรูปไมจ้ ันทร์ไปถวายจักรพรรดิจีนเมื่อปี พ.ศ. ๑๐๖๒ และในปี พ.ศ. ๑๐๘๒ กไ็ ด้ส่งพระเกสา ของพระพทุ ธเจา้ ซ่ึงยาวถงึ ๑๒ ฟตุ ไปถวายพระเจา้ กรุงจีนด้วย จดหมายเหตสุ มยั ราชวงศส์ ุยกลา่ ว วา่ พระเจา้ จิตรเสนแหง่ อาณาเจนละทรงพิชิตอาณาจกั รฟูนันได้ และโอรสของพระองค์พระนาม ว่า อีสานเสน ได้ครองราชสมบัตสิ บื ต่อมา ฟนู ันดูเหมือนจะเป็นศนู ย์กลางพระพุทธศาสนาท่ีสาคญั ในสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ซึ่งครองราชตง้ั แต่ พ.ศ. ๑๐๒๑ จนถึงต้น พ.ศ. ๑๐๕๗ ในระหว่างนีเ้ องได้มีพระภิกษุจากอาณาจกั รฟนู ันไปเมืองจนี เพอ่ื แปล เอกสารทางพระพุทธศาสนารูปหน่ึงชอื่ สังฆปาละ หรือสังฆวรมัน ซงึ่ เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๑๐๐๓ เมือ่ ได้ ทราบเรอ่ื งราวเกีย่ วกบั ราชวงศ์ฉี ท่านกโ็ ดยสารสาเภาไปยังเมืองจนี โดยเหตุทท่ี า่ นรหู้ ลาย ภาษา จกั รพรรดหิ วูแหง่ ราชวงศเ์ หลยี งจึงได้อาราธนาใหท้ ่านแปลคมั ภรี พ์ ระไตรปิฎกในระหว่าง เวลา ๑๖ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๐๔๙ – ๑๐๖๕ ทา่ นได้ทางานอยู่ในทต่ี ่าง ๆ รวม ๕ แห่งดว้ ยกัน มอี ยู่ แหง่ หนึง่ มีชื่อว่า “สานกั งานฟนู ัน” ท่านถึงแก่มรณภาพเม่ือ พ.ศ. ๑๐๖๗ ภกิ ษุชาวฟนู ันอกี รปู หนึ่ง เดินทางไปเมอื งจนี เพ่ือแปลคัมภรี พ์ ร้อมกับทา่ นสงั ฆปาละน้ีชือ่ มันทระ หรอื มนั ทรเสนะ ท่านไปถงึ เมอื ง จนี เม่ือ พ.ศ. ๑๐๔๖ ต่อมาจกั รพรรดิหวูทรงขอให้ทา่ นร่วมงานกับทา่ นสังฆปาละแตท่ ่านไมม่ ีความรู้ เก่ยี วกบั ภาษาจนี เลย นอกจากนน้ั ก็มภี ิกษทุ างพระพุทธศาสนาอีกหลายรปู ที่เดินทางจากฟูนันไปยัง ประเทศจนี พระเจ้ารุทรวรมนั แม้จะทรงนับถอื พระพทุ ธศาสนาแตพ่ ระองคก์ ็ทรงระมัดระวงั ในอันทจี่ ะคงรักษาระบบ การบชู าพระศิวะของบา้ นเมืองไว้ ทัง้ น้เี พ่ือไมใ่ หก้ ระทบกระเทือนต่อราชบลั ลังก์ของพระองค์ นั่นเอง เพราะชนชนั้ ปกครองทีม่ อี านาจอยูใ่ นบ้านเมืองนั้นยังมีผู้นบั ถือศาสนาฮนิ ดูนิกายไศวะอย่ไู ม่น้อย ข้อความตา่ ง ๆ ทปี่ รากฏอย่ใู นบันทกึ จดหมายเหตุของจนี เหล่านก้ี ม็ ีปรากฏวา่ มีอย่ใู นศิลาจารกึ ของ กัมพูชาดว้ ยเช่นกัน ในศิลาจารึกนนั้ ได้กล่าวถึงพระเจา้ รุทรวรมันและมีพระเจา้ แผน่ ดินหลายพระองค์ท่ี อา้ งว่าตนสบื เชอื้ สายมาจากพระเจา้ โกณฑัญญะ เข้าใจกนั ว่าพราหมณโ์ กณฑัญญะน้ีคงจะเดินทางมาจาก อนิ เดยี ด้านทิศตะวันออกเฉยี งใต้หรอื บางทีอาจแล่นเรือมาจากเมืองมหาพาลีปุระ (อกี ช่ือหนึ่งคอื เมอื ง พระเจดีย์ ๗ องค์) กไ็ ด้ นทึกจดหมายเหตุของจีนได้กลา่ วไว้อยา่ งแจม่ ชัดว่า ได้มกี ารรุกรานฟูนันครงั้ ใหญ่ ๆ อยู่ ๒ ครง้ั ด้วยกนั คอื คร้ังหนง่ึ ภายใต้การนาของฮุน่ เทยี นก่อนสมัยโกณฑัญญะ คอื ราว พ.ศ. ๘๐๘ ช่ือฮุน่ เทยี นน้ี อาจเป็นชือ่ เดยี วกับโกณฑัญญะก็ได้ แต่หากเปน็ เช่นนัน้ จรงิ กน็ ับว่ากอ่ ให้เกดิ ความสบั สนในเรือ่ งวนั เดือนปี มากทีเดียว แตห่ ลักฐานต่าง ๆ ทาให้เราอยากสนั นิษฐานว่า การประดิษฐานอารยธรรมฮนิ ดูในอาณาจักร ฟนู นั นนั้ ได้มมี ากอ่ น พ.ศ. ๙๕๐ เป็นเวลานานทีเดียว และอาจเป็นไปได้เหมือนกนั ท่ีมีเร่อื งแบบเดียวกัน ถงึ สองเรื่องหรอื มีโกณฑญั ญะสองคน สาหรบั โกณฑัญญะคนหลังน้ี เบรียน แฮร์ริสัน อ้างว่าไดม้ าถงึ ฟนู นั ประมาณ พ.ศ. ๙๔๓ และได้เปน็ กษัตริย์ของฟนู ัน โกณฑัญญะผู้นี้มาจากประเทศท่จี ดหมายเหตจุ ีน

26 เรยี กว่า “พนั – พนั ” (P’an – p’an) ทางใตข้ องฟูนันอยู่ที่อ่าวไทยซ่งึ เปน็ เมืองทีพ่ วกพราหมณ์มี อิทธพิ ลอยูใ่ นราชสานกั มาก ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๐ กษตั รยิ ท์ ี่เป็นพราหมณใ์ นสมัยแรกน้ีคงจะได้ นาเอาลทั ธิไศวะเข้าไปดว้ ย แต่ทว่าในพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๐ – ๑๑ นน้ั พระพุทธศาสนาได้ตัง้ ม่นั อยู่ใน อาณาจักรฟูนันแล้ว มาสเปโร (Maspero) ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า การรกุ รานคร้ังแรกคงมาจากชวา และจากชวานเี้ องที่ได้ กอ่ ให้เกิดอาณาจักรจมั ปาขนึ้ นบั ว่าเปน็ ท่นี ่าสนใจเปน็ อยา่ งมากที่ปรากฏวา่ ศิลาจารกึ ต่าง ๆ ที่พบตาม ชายฝัง่ ทะเลดา้ นทิศตะวนั ตกของเกาะบอร์เนยี วเป็นภาษาสันสกฤตและเป็นศิลาจารึกสมัยพทุ ธศตวรรษ ท่ี ๑๐ ศลิ าจารึกนัน้ ได้กลา่ วถึง “กณุ ฑัคคะ” ว่าเป็นพระอยั กาของกษตั รยิ ์ท่ีครองราชอยู่ในสมยั นน้ั และจดหมายเหตสุ มัยราชวงศ์เหลยี งยงั ได้กล่าวถึงกษัตรยิ ์แห่งโปลี (Poli) ซ่งึ อาจเปน็ เกาะบอรเ์ นียว หรอื เกาะสมุ าตราก็ได้วา่ ทรงพระนามวา่ เชยี วเฉน่ิ หยู จึงทาให้ดเู หมือนวา่ ตระกูลของโกณฑัญญะเดมิ คงอยู่ ณ ทใี่ ดที่หน่งึ ในหม่เู กาะทะเลใต้ ซงึ่ บางทีอาจเปน็ เกาะชวานัน่ เอง และจากทนี่ ั้นเองโกณฑญั ญะ ก็ได้ยกทัพไปรุกรานประเทศต่าง ๆ ในวาระตา่ ง ๆ กนั แต่ทว่า “ฟนู ัน” เปน็ คาทค่ี ลุมเครอื อยู่มากใน ดา้ นภมู ิศาสตร์ อาจเป็นดนิ แดนทฮ่ี นุ่ เทียนไดส้ ถาปนาราชวงศฮ์ ินดขู ้ึนในประเทศจัมปากไ็ ด้ นับวา่ มีเหตุผลที่แน่ชัดวา่ ศาสนาในประเทศกัมพชู าในสมัยน้ีคงเป็นศาสนาผสมระหว่างพระพุทธศาสนากับ ศาสนาพราหมณ์ ขอ้ ความที่ทา่ นอ้จี ิงได้บันทึกไว้นบั วา่ น่าสนใจมาก กค็ อื ข้อความทีว่ า่ พระพทุ ธศาสนา ได้เจริญร่งุ เรืองอยู่ในฟนู ันสมัยแรก ๆ แต่ต่อมาไดถ้ กู พระเจ้าแผน่ ดนิ ผมู้ ีพระทัยโหดรา้ ยทารณุ ได้ทาลายลง อย่างสิ้นเชงิ ข้อความนอ้ี าจเป็นไปได้เหมอื นกนั แตท่ ี่ว่าขนบธรรมเนยี มที่ประเทศตา่ ง ๆ เหล่าน้มี ี ความสัมพนั ธก์ ับนักเผยแพรพ่ ุทธศาสนานิกายเถรวาทดอู อกจะเลอื นลางเต็มที ตารนาถไดก้ ลา่ วว่า ศษิ ย์ ของท่านวสุพันธุ์ไดน้ าเอาพระพทุ ธศาสนาเข้ามายงั โกกปี ระเทศ (อินโดจีน) แต่กห็ าหลกั ฐานอะไรเกือบ ไมไ่ ด้เลย ขอ้ ความทีท่ า่ นอจี้ ิงกลา่ วไวน้ น้ั ดจู ะมีนา้ หนักมากกว่า คงจะเป็นประโยชน์มากทีเดียวถา้ จะได้กลา่ วถึงความจรงิ ทางดา้ นประวัติศาสตร์ของกมั พูชาสัก เลก็ นอ้ ย เร่ืองทีจ่ ะได้พิจารณาถงึ ความเปน็ มาของพระพุทธศาสนาในประเทศน้จี นกระทั่งถงึ พุทธศตวรรษ ที่ ๑๘ หลกั ฐานท่ีใชป้ ระกอบในการพจิ ารณากค็ ือ ศลิ าจารึกตา่ ง ๆ ท้งั ท่เี ปน็ ภาษาสันสกฤตและภาษ ขอม จารกึ ทเ่ี ป็นอกั ษรขอมมักเป็นเพียงการแปลขอ้ ความในภาษาสันสกฤตที่พบในบรเิ วณเดยี วกนั ทง้ั นนั้ ตั้งแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ เปน็ ต้นมา เรามบี นั ทึกจดหมายเหตขุ องกัมพูชาซ่ึงนับว่ามีคา่ มาก นอกจากนนั้ กไ็ ด้พบศิลาจารึกเป็นภาษาบาลีและภาษากัมพชู าปจั จุบนั ศลิ าจารกึ ภาษาสันสกฤตท่ี เกา่ ท่สี ดุ มีอยตู่ ้งั แต่กลางพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ คอื ระบุถึงงานท่ดี าเนินการอย่ใู น พ.ศ. ๑๑๔๗ และ พ.ศ. ๑๑๖๗ พระพุทธรูปท่ีพบในฟนู ันกลุ่มแรก ๆ นน้ั บางทา่ นเช่อื วา่ เป็นพระพุทธรูปแบบนคร บรุ ี (Ankor Borei) โกรลิเอ (Groslier) เขา้ ใจวา่ เป็นแบบอินเดียผสมกรีก ตระกูลมคธ หรือมถลุ า หรื ออชันตะ ซ่ึงไม่มอี ิทธิพลของคันธาระอย่เู ลย โกรลเิ อเขา้ ใจว่าเป็นฝีมอื ชา่ งชาวพืน้ เมืองโดยมคี รชู าว อนิ เดียเป็นผู้ใหค้ าแนะนาสั่งสอนหรือมีการบันดาลใจเป็นแบบอินเดยี โกรลิเอบอกว่าพระพุทธรูปแบบวัด รมโลก (Vat Romlok) มีอายุราว ๆ พุทธศตวรรษที่ ๑๐ – ๑๑

27 เมอ่ื ได้พดู ถึงอาณาจักรฟนู ันแลว้ ถา้ หากไม่ได้กลา่ วถึงอาณาจกั ร “เจนละ” เสียเลย ก็ดูจะขาดความ สมบูรณไ์ ป “เจนละ” เพงิ่ ปรากฏในประวตั ิศาสตรเ์ ป็นครั้งแรกเมื่อเจนละได้สง่ คณะทูตไปยงั เมืองจนี เม่ือ พ.ศ. ๑๑๕๙ หรอื ๑๑๖๐ ในสมยั นันพระเจ้าอสี านวรมนั เป็นกษัตรยิ ค์ รองอาณาจกั รเจนละ เดิม เจนละเปน็ เมืองขึน้ ของอาณาจกั รฟนู ันแต่ภายหลังเจา้ ชายจิตรเสนไดย้ กกองทัพไปโจมตีฟูนันและเอาฟนู ัน มาไวใ้ นอานาจได้ แปลลอี อต์ (Pelliot) กล่าวว่า เจนละกค็ ือ กมั พูชาน่ันเอง ท่ตี ั้งของอาณาจักรเจนละดเู หมือนจะอยูใ่ นบรเิ วณเมืองจาปาศกั ดเ์ิ ดย๋ี วน้ี อยู่ริมฝัง่ แมน่ ้าโขงทางใต้ปาก แมน่ า้ มลู หน่อยหน่ึง กษตั ริย์เจนละสมัยแรก ๆ ได้แผอ่ าณาเขตกวา้ งขวางออกไปทุกที ภกิ ษุยวนฉาง กล่าววา่ ในตอนตน้ พุทธศตวรรษที่ ๑๓ อีสานปรุ ะ (เจนละ) น้นั ได้รวมอาณาบริเวณ ระหว่างอาณาจักรทวารวดี (ลุ่มแมน่ า้ เจา้ พระยาตอนใต้) กบั มหาจัมปาเข้าไวด้ ้วย ในตอนกลางพทุ ธ ศตวรรษท่ี ๑๓ เจนละได้แตกแยกออกเปน็ ๒ อาณาจักร คือ เจนละบก กับ เจนละน้า อาณาจกั รเจน ละติดตอ่ กบั อันนัม (ตงั เกี๋ยปัจจุบนั ) ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนอื และตดิ ตอ่ กับอาณาจักรน่านเจา้ ทาง ทศิ เหนือ ในสมัยที่เจนละรุง่ เรืองถงึ ที่สุดน้ัน อาณาจกั รเจนละเหนือนับตัง้ แตล่ าดเขาดงเล็กดา้ นเหนือไป จนจดเขตแดนอาณาจักรน่านเจ้าและอาณาจักรเจนละใต้ ประกอบดว้ ย ดนิ แดนลุม่ แม่น้าโขงและ ทะเลสาบของเขมร หมา่ ตวนเหลนิ ได้กลา่ วว่า “...ชาวเจนละเปน็ จานวนมากนับถือพระพุทธศาสนา แต่ บางพวกกน็ บั ถือลทั ธเิ ต๋า ศาสนกิ ชนและผูน้ บั ถือลทั ธเิ ต๋าไดป้ ระดิษฐานพระพทุ ธรูปหรือรปู ศักด์สิ ทิ ธิใ์ น ลัทธเิ ตา๋ ไวใ้ นบ้านซ่งึ เป็นทพ่ี ักแรมของคนเดนิ ทางไกลดว้ ย กษตั ริย์ทส่ี าคัญทสี่ ดุ องค์แรกของฟนู ันก็คอื พระเจา้ ภววรมัน (ประมาณ พ.ศ. ๑๐๔๓) ซ่งึ เป็นกษัตรยิ ์ผู้ พชิ ิตหรือบางทีอาจเปน็ ผ้ชู ิงราชสมบตั ิได้ พระองคไ์ ด้ทรงขยายราชอาณาจักรไปทางทิศตะวันตกไดไ้ กล มากทเี ดยี ว ภาระในการรณรงค์สงครามของพระองค์ไดม้ ีการรบั ชว่ งสืบต่อตามลาดบั ถึงพระเจ้ามหาวรมนั ซ่งึ บางทีก็เรยี กวา่ พระเจ้าจิตรเสน พระเจ้าอีสานวรมัน และพระเจ้าชัยวรมัน พระเจ้าชัยวรมันได้ ครองราชสมบัตเิ มอื่ ปี พ.ศ. ๑๒๑๐ หลังจากนีป้ ระวตั ิศาสตร์กัมพูชาก็มีชอ่ งโหว่ หาหลกั ฐานไม่ได้อยู่กว่า หนึ่งรอ้ ยปเี พ่ิงมาแจ่มชัดอีกวาระหนงึ่ ในสมัยพระเจา้ ชัยวรมันท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๓๔๕ – ๑๔๑๒) ในรชั สมัยของพระเจ้าอีสานวรมันท่ี ๑ (ราว พ.ศ. ๑๑๕๔ – ๑๑๗๘) ศาสนาพราหมณ์ได้เกดิ ขน้ึ มาในรูป ทแ่ี ปลกประหลาดเป็นครัง้ แรกในกัมพูชา คอื มกี ารบชู าพระหริหระข้นึ พระหริหระก็คือ พระวษิ ณกุ บั พระศวิ ะซง่ึ รวมเป็นองค์เดยี วกันน่ันเอง ในสมยั นีพ้ ระพุทธศาสนาเกือบจะสูญส้นิ ไปทีเดียว อาจเป็นพระ เจา้ อีสานวรมนั นแี้ หละทที่ า่ นอจ้ี ิงบอกวา่ เป็นผทู้ าลายพระพทุ ธศาสนาจนเกือบไม่มชี าวพุทธเหลืออยู่ เลย พระเจ้าอีสานวรมันไดร้ ับการยกย่องเสมอดว้ ยพระอนิ ทร์ทเี ดียว มีศลิ าจารึกอยู่ ๒ แหง่ ท่ีบอกว่าพระเจ้าชยั วรมันที่ ๑ เปน็ ผนู้ บั ถอื พระพุทธศาสนา คือ ศลิ าจารกึ ท่ี พบท่วี ดั พรายเวยี ร (Prey Vier) มอี ายรุ าว ๆ พ.ศ. ๑๒๐๗ – ๑๒๐๘ ได้กล่าวถึงเร่ืองการใช้ศาสน สมบัตโิ ดยอาศัยสิทธิทางเชื้อสาย แต่ทวา่ ถือวา่ เป็นทางการและได้รบั การประกันจากพระเจ้าชยั วรมนั ด้วย บาร์ธ (Barth) เชอ่ื วา่ ศิลาจารกึ แผน่ นเ้ี ปน็ แผ่นแรกในกัมพูชา และเป็นแผ่นแรกทีม่ ิได้ขน้ึ ต้นดว้ ย

28 การบวงสรวงพระผู้เป็นเจ้าของพวกพราหมณ์ สว่ นอีกแผ่นหนงึ่ ไมบ่ อกวนั เดือนปี แต่กเ็ ขา้ ใจกนั ว่ามีอายุ เกา่ กวา่ แผน่ แรก เปน็ ศิลาจารึกทพ่ี บที่วดั ปราสาท จงั หวัดนครพนม เชน่ เดียวกบั แผน่ แรก ศลิ าจารกึ แผน่ น้ไี ดจ้ ารกึ เร่ืองการถวายทาสแก่โพธิสัตว์ คือ พระศาสดา พระศรีอริยเมตไตรย และพระอวโลกิเต ศวร พระเจ้าชยั วรมนั ท่ี ๒ น้นั ถอื กันว่าเป็นวีรบุรษุ ทยี่ ง่ิ ใหญ่ของชาติ และถอื กันว่าเป็นผู้สรา้ งปราสาทบงึ มาลา (Beng Mealea) ทีส่ วยงามมาก ซง่ึ ขณะน้ีกย็ ังมซี ากเหลอื อยู่ ทัง้ ยงั เข้าใจกันวา่ พระองค์ทรง ไดร้ ับพระขรรค์มาจากพระอินทร์ ซงึ่ พระขรรคเ์ ลม่ น้เี วลานี้ยังเก็บรกั ษาไวท้ ี่กรุงพนมเปญอยู่ เราไดท้ ราบ ว่า พระองค์มาจากชวาซ่ึงน่าจะเปน็ ดนิ แดนแหลมมลายหู รือประเทศลาวมากกว่าที่จะมาจากเกาะ ชวา และก็อาจเปน็ ไปไดเ้ หมือนกนั ว่าพระเจ้าชัยวรมันอาจถกู จับไปเปน็ เชลย และถกู นากลบั มายงั ฟนู นั อกี แลว้ กก็ ลับมาตง้ั ราชวงศใ์ หม่เป็นอสิ ระขึ้นมาได้ พระพทุ ธรปู ปางนาคปรก ศลิ ปะแบบขอม ประดิษฐานท่ีพระท่นี ง่ั พระนายรายณ์ราชนเิ วศน์ จงั หวดั ลพบรุ ี พระพทุ ธศาสนาในประเทศกัมพชู า (ต่อ) เกยี่ วกับเร่อื งนี้นักเขียนชาวอาหรับผูห้ นึ่งช่ือ อาบูซาอดิ หะซัน (Abu Zaid Hasan) ได้เลา่ เรื่องการ เดนิ ทางของพอ่ คา้ คนหนึ่งชื่อ สุเลมาน (Sulayma) ซ่งึ ไดเ้ ดนิ ทางมายงั ภมู ิภาคนเี้ ม่ือปี พ.ศ. ๑๓๙๔ และได้บรรยายถึงเร่ืองชวายกกองทัพไปโจมตีอาณาจักรเจนละเม่อื กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๔ แม้วา่ จะเป็นเรื่องนิยายแต่ก็มเี คา้ ความจรงิ อย่บู า้ งเหมือนกนั เรื่องกม็ ีอย่วู า่ กษัตริยห์ นุ่มแหง่ กมั พูชา พระองค์หน่ึงได้เปล่งวาจาโอหังออกมาว่า พระองคป์ รารถนาจะเหน็ พระเศียรมหาราชาแห่งซา บาก (คือ ศรีวิชัย) ใส่ถาดมาวางไว้ตอ่ พระพักตร์ของพระองค์ เรอื่ งน้ไี ด้ทราบไปถึงพระกรรณมหา ราชา พระองค์จึงไดท้ รงยกกองทัพมาตีเมืองหลวงเขมรโดยทที่ างเขมรไมท่ ันไดร้ ูต้ ัวเลย และทรงจับ กษตั รยิ ห์ นมุ่ ผโู้ อหังน้นั ได้ จงึ ไดต้ ดั พระเศียรเสยี มหาราชาทรงนาเอาพระเศียรกษัตรยิ ์เขมรนน้ั กลับไป ดว้ ย ทรงให้อาบยาไว้แลว้ ทรงเอาใส่พระโกษฐส์ ่งกลบั มาใหท้ ายาทของกษตั ริยผ์ นู้ ้นั เพ่อื เปน็ การเตอื นสติ ไว้ ศิลาจารกึ ของเขมรสมยั ต่อมาไดก้ ลา่ วยืนยันวา่ ก่อนที่จะขึ้นครองราชสมบัติ พระเจ้าชัยวรมัน ท่ี ๒ ได้เสดจ็ ไปเยือนชวา ความจริงพระองคถ์ กู นาไปยังราชสานกั ไศเลนทรเ์ พ่ือถวายบังคมในฐานะที่ เป็นทายาทสืบราชสมบตั ติ ่อจากกษัตริย์องค์ท่ถี ูกตัดพระเศียร นกั ประวตั ิศาสตรท์ ้งั หลายมคี วามโนม้ เอียงไปทางที่จะคิดวา่ เรอ่ื งราวท่ชี าวอาหรบั ไดเ้ ขียนขึ้นนน้ั มีความจริงอยู่มาก เพราะเม่ือพระเจา้ ชัยวรมัน ที่ ๒ ได้ขึน้ ครองราชสมบตั ิแล้วก็ทรงประกอบพระราชพิธีพิเศษขน้ึ เพอื่ เปน็ การประกาศ อสิ รภาพ เพราะฉะน้ันบรกิ ซ์จงึ ได้เสนอความเห็นไว้ว่า พระเจา้ ชยั วรมันที่ ๒ ทรงเปน็ ทายาทสบื ต่อ จากพระเจา้ มหปิ ตวิ รมนั และพระเจ้ามหปิ ติวรมันผนู้ แ้ี หละทเ่ี ปน็ กษัตริยเ์ ขมรที่ถูกมหาราชาไศเลนทรต์ ดั พระเศียรเสีย

29 เรื่องนี้ ฟีโนด์ (Finot) ได้เสนอแนะไวว้ ่า ราชตระกูลเก่า ๆ ของอาณาจักรฟนู ันอาจเคยอยู่ทชี่ วามา กอ่ น และได้อา้ งสิทธวิ า่ มีอานาจเหนือกัมพูชาซึง่ เปน็ สถานที่ทีพ่ ระเจ้าชยั วรมันที่ ๒ ถกู นามาปล่อยก็ ได้ ข้อความเก่ยี วกับเรือ่ งนี้ที่ค่อนข้างแจม่ ชัดก็คือ ข้อความที่ปรากฏอยใู่ นศิลาจารึกท่ีพบทส่ี ะ ดก กก ธม (Sdak Kuk Thom ปา่ นกยางใหญ่) ไดบ้ อกใหเ้ ราทราบวา่ กัมพูชาไดเ้ ป็นเมืองขน้ึ ของ ชวา และพระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี ๒ ไดท้ รงตงั้ ราชประเพณีใหม่ขึ้นมาอย่างหนงึ่ ซงึ่ เทา่ กับเปน็ เครือ่ งหมาย แสดงวา่ กัมพูชาไดอ้ ิสรภาพแลว้ เลิกเปน็ เมอื งข้นึ อีกต่อไปแล้ว นับว่าเปน็ ความจริงทวี่ า่ นักล่าเมืองชาวฮินดูที่มาอยู่ท่ีกมั พชู าอาจมาจากเกาะชวาก็ได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐาน ใด ๆ ทีพ่ อจะใชส้ นบั สนนุ ทศั นะท่กี ัมพูชาเป็นเมืองข้นึ ของชวา เมื่อ พ.ศ. ๑๓๔๓ เลย และศลิ าจารกึ ที่ พบท่ปี ระเทศจัมปากร็ ะบุไว้อย่างชดั แจง้ ถงึ “ยะวาทวปี ” (เกาะชวา) กบั “ประเทศชวา” ซึง่ ไม่ทราบ วา่ อยูท่ ไ่ี หน ศลิ าจารึกของพ่อขนุ รามคาแหง ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ เศษก็กลา่ วถงึ ชวาดว้ ย ซง่ึ ชวา ในทน่ี ี้เขา้ ใจว่าได้แกเ่ มืองหลวงพระบาง ดังนนั้ ที่วา่ พวกโจรผู้ป่าเถือ่ นซงึ่ เรยี กว่า “กองทัพชวา” ท่มี าบกุ รุกประเทศจมั ปาเม่อื พ.ศ. ๑๓๓๑ นนั้ มาจากเกาะชวาอาจไม่เป็นการถกู ต้อง เพราะในศลิ าจารกึ นั้น ไมไ่ ด้บอกวา่ พวกโจรเหล่านั้นมาทางเรือ จึงน่าจะหมายความว่าพวกโจรเหล่านั้นมาจากดนิ แดนทีล่ กึ เข้า ไปในผนื แผน่ ดนิ ใหญ่มากกว่า เมอื งนครวัดเปน็ โบราณสถานทีส่ าคญั มากในการท่ีจะทาให้ชาวยโุ รปรู้จกั กมั พูชามากขน้ึ ตรงกลางของ นครวัดมวี หิ ารอยูห่ ลงั หน่ึงเรียกว่า “บายน” หรอื ทเ่ี ราเรียกกนั ว่า “ปราสาทบายน” นอกกาแพง ปราสาทบายนนีม้ สี ่งิ ก่อสรา้ งอยมู่ ากมายทนี่ บั วา่ สาคัญและใหญ่โตมากกค็ ือ นครวัด ซึง่ เป็นโบราณ สถานทใี่ หญ่ท่ีสุด และรกั ษาไว้ได้ดที ี่สุด พระเจา้ อินทรวรมนั (พ.ศ. ๑๔๒๐ – ๑๔๓๒) ดูเหมือนจะทรง เปน็ กษตั ริย์ท่ีรับผิดชอบในการเลอื กสถานที่สาหรับสรา้ ง แตพ่ ระองค์ทรงเพียงเรมิ่ การก่อสร้างปราสาท บายนเทา่ นน้ั สิง่ ก่อสร้างตา่ ง ๆ เพ่ิงมาสาเรจ็ เรยี บร้อยในรัชสมยั พระราชโอรสของพระองค์คือ พระเจา้ ยโสวรมนั (พ.ศ. ๑๔๓๒ – ๑๔๕๑) พระเจ้ายโสวรมันทรงสร้างเมอื งข้นึ รอบ ๆ ปราสาทบายน ด้วย เมืองเหล่าน้ีมีช่ือวา่ ยโสธรปุระ กมั พูปรุ ะ และมหานคร นครธมเปน็ คาทีเ่ ขมรแปลมาจากชื่อ เมอื งมหานคร (ธม ภาษาเขมรแปลว่า ใหญ่) อาณาจักรของพระเจ้ายโสวรมนั ครอบคลมุ แหลมอินโด จีนแทบท้ังหมดท่ีอยู่ระหว่างประเทศพม่ากบั อาณาจักรจมั ปา พระเจ้ายโสวรมันน้ีตามนยิ ายปรมั ปราของ เขมรบอกว่าเปน็ พระเจา้ โรคเรอ้ื น ผูท้ ี่สบื สายจากพระองค์ได้ชว่ ยกันทาใหน้ ครธมมีความสวยงามวิจติ ร ตระการตาย่ิงขึ้น แต่พระเจ้าชยั วรมันที่ ๔ ได้ทรงทิง้ นครธม ปล่อยเป็นเมอื งร้างอยู่หลายปีจนกระท่ัง ถึงสมัยพระเจา้ ราเชนทรวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๔๘๗ – ๑๕๑๑) นครธมจงึ ไดก้ ลบั เปน็ เมอื งหลวงอกี วาระ หนึ่ง บนั ทกึ จดหมายเหตุของจนี กลา่ ววา่ พระเจ้าราเชนทรวรมนั ที่ ๒ นแ้ี หละที่ทรงทาสงครามมีชยั ชนะเหนอื อาณาจักรจัมปา รัชสมยั อันยาวนานของพระเจา้ ชยั วรมันที่ ๕ พระเจ้าสรุ ยิ วรมันที่ ๑ และ พระเจ้าอุทยาทิตยวรมัน ซึ่งรวมเปน็ เวลากวา่ หน่งึ รอ้ ยปี (พ.ศ. ๑๕๑๑ – ๑๖๒๒) น้ันเป็นยุคทร่ี ุ่งเรือง ในด้านสถาปตั ยกรรมอย่างที่สุด แมว้ ่าพระเจ้าอุทยาทติ ยวรมันจะต้องเสียเวลาปราบกบฏถึงสองคร้งั สอง หนก็ตาม กษัตริยท์ ย่ี ่ิงใหญ่อีกพระองคห์ นึ่งก็คอื พระเจ้าสรุ ิยยวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๖๕๕ – ๑๗๐๕) ซง่ึ เปน็ กษตั ริย์ภายหลงั กษตั ริยอ์ งค์สาคญั ทั้งสามพระองค์ทไี่ ด้กล่าวมาแลว้ ไดป้ ระสบผลสาเรจ็ ในการผนวก ดินแดนกัมพชู ากบั จัมปาเขา้ ด้วยกนั ไดช้ ว่ั ระยะเวลาหนง่ึ บางท่านกลา่ วว่า พระองค์ได้ทรงเสด็จไปยงั เกาะลังกาได้เป็นผลสาเรจ็ สาหรบั เรอ่ื งนี้ไม่มเี หตผุ ลเพียงพอที่จะเช่ือถือไดเ้ ลย อยา่ งไรกต็ าม พระองค์

30 ก็ทรงเป็นกษตั รยิ ์ที่สาคญั มากพระองค์หนึ่ง ถา้ หากไม่พดู ถึงสงครามที่ทากบั ต่างประเทศแลว้ กน็ บั ว่า พระองค์ทรงรกั ษาความสงบสุขในราชอาณาจกั รได้ดมี ากทเี ดียว ในสมัยพระเจา้ ยโสวรมันท่ี ๑ (พ.ศ. ๑๔๓๒ – ๑๔๕๑) นั้น แม้การบชู า “เทวราช” จะเป็นศาสนา ประจาชาติแตก่ ็มีประจักษ์พยานมากมายที่บ่งวา่ การบูชาตามแบบพราหมณ์แบบอืน่ ๆ และ พระพทุ ธศาสนาลทั ธมิ หายานได้รบั การค้มุ ครองเป็นอย่างดี ทั้งได้มีการสร้างวัดถวายพระพรหมและ พระพุทธเจา้ มากมายหลายแห่งดว้ ยกัน สว่ นพระเจา้ ราเชนทรวรมันท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๔๘๗ – ๑๕๑๑) แม้ จะทรงนับถือลัทธิไศวะแตก่ เ็ คยศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลกึ ซ้งึ ถึงกระนัน้ ก็ยังคงยดึ ม่ันในลัทธไิ ศวะ อยู่ แม้พระองค์จะมิได้นับถือพระพุทธศาสนาแตก่ ็ทรงแตง่ ตง้ั ชาวพุทธคนหนงึ่ เปน็ เสนาบดีผ้ใู หญ่ ชาว พทุ ธผนู้ ีช้ ่อื กาวนิ ทราวมิ ัททนะ เสนาบดผี นู้ ีไ้ ด้สร้างพุทธสถานขน้ึ หลายแห่งและไดส้ ร้างเทวาลัยอทุ ิศ ถวายในลัทธไิ ศวะหลายแหง่ ด้วยเชน่ กนั ทา่ นได้สร้างพุทธวิหารถวายพระพุทธเจา้ และพระโพธสิ ตั ว์ ปรัชญาปารมติ าด้วย พระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี ๕ (พ.ศ. ๑๕๑๑ – ๑๕๔๔) ทรงส่งเสริมพระพทุ ธศาสนามาก เสนาบดขี องพระองค์ ชื่อ กรี ติบณั ฑติ ซ่งึ นับถือพระพุทธศาสนาไดจ้ ารึกไวว้ า่ พระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๕ ทรงสนบั สนนุ การ ปฏบิ ัตทิ างพระพุทธศาสนา ศิลาจารึกนัน้ ได้กลา่ วถงึ เสนาบดีผนู้ น้ั ว่าไดพ้ ยายามทาให้พระพทุ ธศาสนาตัง้ ม่นั และไดน้ าเอาหนงั สือทางพระพทุ ธศาสนามาจากต่างประเทศเปน็ จานวนมาก ท้ังยงั บอกไว้ดว้ ย วา่ แมแ้ ตป่ โุ รหิตของพระเจ้าชัยวรมนั ท่ี ๕ ก็ต้องชา่ ชองในพระพุทธศาสนาด้วย ในวนั ประกอบพิธตี า่ ง ๆ จะตอ้ งสรงน้าพระพุทธรูปและหาพระมาสวดมนต์ทางพระพุทธศาสนาด้วย กรี ตบิ ัณฑิตผ้นู ้ไี ด้รบั ราชการอย่ถู ึงสองรัชสมัย คือ ในรชั สมัยพระเจา้ ราเชนทรวรมนั ที่ ๒ และพระเจ้าชยั วรมนั ท่ี ๕ น้ี ศิลาจารึกแผน่ หนึ่งท่ีพบท่ี พุมบันทายนาง (Phum Bantay Neang) โดยยกยอ่ งการท่ที า่ นตรีภวู น วชั ระสร้างรปู พระโพธสิ ตั ว์ปรัชญาปารมติ าหรือภควดี “พทุ ธมารดา” และได้กลา่ วว่าบางคนได้อทุ ิศ ถวายแดพ่ ระชคทีศวร และโสมวชั ระน้องเขยของตรภี วู นวชั ระกไ็ ด้สร้างรปู พระโพธิสัตว์อวโลกิเต ศวร ศลิ าจารึกทีป่ ราสาทประทัก นครวดั เรมิ่ ต้นด้วยคากลา่ วประณามคณุ พระศรีรตั นตรยั สาหรบั พระเจา้ สุริยวรมนั ที่ ๑ (พ.ศ. ๑๕๔๕ – ๑๕๙๓) น้นั กล่าวกันว่า พระองคท์ รงเป็นโอรสของ กษัตรยิ ์แหง่ ตามพรลงิ คะกับเจา้ หญิงเขมรในราชกลู สัปตเทวกุล ตามบันทึกพงศาวดารเปน็ ภาษาบาลสี มยั พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ – ๒๑ กลา่ วว่า กษัตรยิ ์ตามพรลิงคะพระนามวา่ สชุ ติ ราช ไดร้ บชนะเมอื งละโว้ หรือลพบุรี เม่อื ยึดเมืองลพบุรีได้แลว้ โอรสของพระองค์ก็พยายามทีจ่ ะพชิ ติ เมืองหรภิ ญุ ไชยให้ได้ พระเจา้ สุรยิ วรมันที่ ๑ ซง่ึ มาจากเมืองตามพรลงิ คะ ศูนย์กลางอิทธิพลทางพทุ ธศาสนานั้น ย่อมเป็น พทุ ธศาสนกิ ชนโดยแท้ พระองคท์ รงนบั ถือพระพทุ ธศาสนาแบบมหายาน สว่ นพวกมอญนบั ถือ พระพุทธศาสนาแบบหนี ยาน แตพ่ ระเจา้ สุรยิ วรมนั ที่ ๑ มไิ ด้ทรงเข้าไปแทรกแซงในด้านการศาสนา ประจาชาติของกัมพชู าและพระพทุ ธศาสนาแบบหีนยานที่เมอื งลพบรุ ี พระองคท์ รงเปน็ กษตั รยิ ท์ ่เี ป็นชาว ตา่ งด้าว และทรงเปน็ ชาวพุทธท่ีมีความกระตือรอื รน้ เฉลยี วฉลาดพอทจี่ ะทาใหป้ ระชาชนเขา้ กันได้ และ ใหม้ ีขันติธรรมในด้านศาสนาต่อกนั แมพ้ ระองค์จะทรงมีพระราชหฤทัยท่ีกอปรด้วยพระขันตธิ รรมอยา่ ง

31 ประเสริฐ แตไ่ ม่ต้องสงสยั ละว่าพระองคท์ รงนับถือพระพุทธศาสนาแบบมหายานที่เคร่งครัด มาก พระองคท์ รงเป็นพวกราชตระกูลที่มาจากเมืองตามพรลิงคะ ซึ่งกษัตริยใ์ นเมืองนน้ั มีพระ นามาภิไธยวา่ “ศรธี รรมราช” แตก่ ม็ เี หตผุ ลหลายประการทีท่ าให้พระองค์ไดท้ รงสถาปนาพระศาสนาใน กัมพชู ามากกวา่ ท่ีได้รบั นับถือกันอยู่ พอมาถึงรัชสมัยของ พระเจ้าอทุ ยาทิตยวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๕๙๓ – ๑๖๐๙) ซงึ่ เปน็ โอรสของพระเจา้ สุ ริยวรมันที่ ๑ ก็ได้เกิดมีปฏกิ ิรยิ าต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก พระองค์ทรงศึกษาศาสนาพราหมณ์ มาก ซง่ึ การทพี่ ระองค์ทรงมีปฏกิ ิรยิ าตอ่ พระพุทธศาสนาอย่างรนุ แรงนเี้ องอาจเป็นสาเหตทุ าใหเ้ กดิ การ ปฏิวตั ิขนึ้ เมือ่ ปี พ.ศ. ๑๖๑๐ ก็ได้ พระองค์อาจต้องสละราชสมบัติ เมื่อปี พ.ศ. ๑๖๐๙ และมีพระ ชนมอ์ ยู่มาถึงปี พ.ศ. ๑๖๑๐ ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๖ หรอื ๑๗ ไดม้ ีผูน้ าพระพุทธรูปประดับเพชรทั้งปางยืนและปางนาคปรกเข้า มาสกู่ มั พูชา ในยุคแรก ๆ ที่สรา้ งปราสาทบายนขึน้ มาแล้วน้ันก็ปรากฏวา่ มีพระพุทธรปู แบบท่ีทรงย้ิม อยู่ พระพทุ ธรปู แบบนีเ้ ขา้ ใจว่ามกี าเนดิ มาจากอาณาจักรทวารวดโี บราณ ในสมยั พุทธศตวรรษ ท่ี ๑๖ เมอ่ื พระเจ้าสรุ ยิ วรมนั ที่ ๑ ทรงพิชติ อาณาบรเิ วณแถบน้ีไดแ้ ลว้ ก็ได้เกิดมีสกุลชา่ งท่ี เรียกวา่ แบบลพบรุ ีหรือแบบทวารวดี สานักท่ี ๒ ข้ึน ซ่ึงเปน็ การผสมระหวา่ งแบบมอญกบั เขมร ซง่ึ ศิลปะช่างสกุลนตี้ ่อมาไดก้ ลับมอี ทิ ธิพลเหนือประติมากรรมสมัยบายน และมีอิทธิพลเหนือศลิ ปะของไทย ในสมัยตอ่ มาด้วย ในประวัติพม่าได้กลา่ วถงึ กมั พูชาอยู่บ้าง คือ ๑. ในระหว่างเวลายุ่งยากเดือนร้อนข้นึ ในกัมพูชาก่อนที่พระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๗ จะได้ครองราชสมบตั ิ นนั้ ทางลงั กาได้ส่งกองทัพเรือและกองทพั บกไปโจมตพี ม่า (พ.ศ. ๑๗๒๓) สาเหตุหนง่ึ กเ็ พราะพมา่ ได้ ชงิ เจา้ หญิงสงิ หลทก่ี ษัตริยล์ งั กาสง่ ไปถวายกษัตรยิ ์แห่งกัมพูชา ๒. ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พระพุทธศาสนาแบบหีนยาน (เถรวาท) ทางภาคใตข้ องอินเดยี ต้องยอม เปดิ ทางให้แกศ่ าสนาพราหมณ์ เมืองกาญจปี ระกลายเป็นเมอื งลัทธมิ หายานไป และลังกาก็กลายเปน็ ทลี่ ้ี ภัยและเป็นท่มี ั่นของฝา่ ยหนี ยาน พระฝา่ ยหีนยานจากแหลมอินโดจนี โดยเฉพาะมอญจากละโว้และ ตะเลงจากพุกามไดเ้ ร่ิมเดนิ ทางไปศึกษาพระพทุ ธศาสนาท่ีลังกา ในปี พ.ศ. ๑๗๒๓ พระมอญรูปหนึง่ ช่ือ อุตตราชีวะ ซ่ึงเป็นอคั รมหาเถระของชาวพุทธฝา่ ยหนี ยานทพ่ี ม่าไดเ้ ดนิ ทางไปลังกา โดยพาสามเณร มอญหน่มุ รูปหน่ึงช่ือ ฉปัท ไปด้วย ซึ่งสามเณรฉปัทนี้ไดศ้ ึกษาอยูใ่ นสานกั ฝา่ ยมหาวหิ ารเปน็ เวลา ถึง ๑๐ และไดอ้ ุปสมบทท่นี ่ันด้วย เม่ือท่านฉปัทได้กลบั มาถึงเมืองพกุ ามเม่ือปี พ.ศ. ๑๗๓๓ ท่านได้ นาพระมาด้วย ๔ รูป รูปหนง่ึ เป็นชาวเมอื งกาญจีปรุ ะและอีกรปู หนงึ่ เปน็ โอรสกษตั รยิ ์ กัมพชู า พระ ๕ รปู นีไ้ ด้สร้างเจดยี ์ฉปทั ขนึ้ ใกล้ ๆ กรุงพกุ าม เป็นเจดยี แ์ บบลังกา และในปี พ.ศ. ๑๗๓๕ ท่านได้ตั้งคณะสงฆ์ข้ึนต่างหาก ซงึ่ ไดก้ ่อใหเ้ กดิ การแตกแยกในฝ่ายหนี ยานในประเทศพมา่ ขน้ึ มา เป็นครัง้ แรก กษตั ริยน์ รปติทรงชอบนิกายใหมแ่ ละต่อมานิกายใหม่น้ีไดม้ ีอทิ ธพิ ลเหนือนิกายเดิมทนี่ าไป จากเมืองสะเทมิ แตด่ เู หมือนวา่ นกิ ายใหม่นม้ี ิได้ไปถงึ กัมพชู าหรือแม้แตม่ อญในลุ่มแม่นา้ เจ้าพระยาก่อน ต้นพทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ เลย

32 เมือ่ พระเจา้ ธรณินทรวรมันท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๖๙๓ – ๑๗๐๓) สิน้ พระชนมแ์ ลว้ พระเจ้ายโสวรมนั ท่ี ๒ ซง่ึ เป็นโอรสองคห์ น่งึ กข็ ึน้ ครองราชสมบตั ิ เจา้ ชายชยั วรมันซึง่ เปน็ โอรสอกี องค์หน่ึงท่คี วรจะไดร้ ับราชสมบตั ิ สืบต่อมาจากพระเจ้าธรณนิ ทรวรมันท่ี ๒ และเปน็ พุทธศาสนิกชนทเี่ ครง่ ครดั และมลี ักษณะเข้มแข็งแต่ ไม่ชอบการสงคราม เหน็ วา่ ถา้ จะอยตู่ ่อไปกเ็ กรงวา่ จะเกดิ อันตราย จงึ ได้ทรงล้ีภยั ไปอยอู่ าณาจักรจัม ปา แตพ่ ระเจ้ายโสวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๗๐๓ – ๑๗๐๙) กไ็ ม่ได้รับประโยชนจ์ ากการเป็นกษัตรยิ ม์ าก นกั เมอื่ ครองราชบัลลงั ก์อยูไ่ ดเ้ พยี ง ๕ ปีเทา่ น้ัน ก็ถูกปลงพระชนม์ พวกกบฏทางานเพ่ือพระเจา้ ตรีภู วนาทิตยวรมัน (พ.ศ. ๑๗๐๙ – ๑๗๒๔) เมอื่ เจา้ ชายชยั วรมนั ทรงทราบข่าวว่าเกิดมีขบถข้นึ ในเมือง หลวงกร็ ีบเสด็จกลบั มายงั กมั พชู าแตไ่ ม่ทราบวา่ จะเสด็จมาช่วยพระเจา้ ยโสวรมันที่ ๒ หรอื เพื่ออา้ งสทิ ธิ ของพระองคเ์ อง แตก่ ็เสด็จมาชา้ เกนิ ไป เพราะเม่ือเสดจ็ มาถึงนัน้ พระเจ้ายโสวรมนั กส็ ิ้นพระชนม์ แลว้ และพระเจา้ ตรภี ูวนาทิตยวรมันกไ็ ด้ขึน้ ครองราชสมบัติแล้ว พระองค์จงึ ต้องเสด็จหลบหนีต่อไปอีก ตอ่ มาได้เกิดสงครามระหวา่ งกัมพูชากับจัมปาข้ึน พวกจามไดบ้ กุ รุกกัมพูชา กองทัพกมั พูชาพา่ ย แพ้ เมอื งหลวงถกู ทาลาย กษัตริยถ์ ูกปลงพระชนม์ ยคุ น้ีเปน็ ยคุ ทีม่ ืดมนทส่ี ดุ ของเขมรนับต้งั แต่กษัตริย์ ฟนู ันพชิ ติ เจนละและตดั เศียรกษัตริย์เจนละเมื่อ ๓๕๐ ปีเป็นต้นมา แต่กัมพชู ากร็ อดพ้นมาได้เพราะ อาศยั เจ้าชายชยั วรมันซงึ่ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงกลบั มาเป็นผ้นู ากัมพชู าอีก ไดข้ น้ึ ครองราชสมบัติ เปน็ พระเจา้ ชัยวรมันที่ ๗ เมือ่ ปี พ.ศ. ๑๗๒๔ ซง่ึ ในตอนนัน้ พระองค์มพี ระชนมายกุ ว่า ๕๐ พรรษา แล้ว เมือ่ ไดเ้ ป็นกษตั รยิ แ์ ล้วพระเจ้าชยั วรมนั กท็ รงยอมท้ิงความสภุ าพอ่อนโยนและทรงเตรยี มการ ทางด้านการทหาร พระองค์ทรงเอาชนะพวกจามผู้รุกรานได้ และทรงกาจัดขา้ ศึกษาผู้บกุ รุกให้หมดไป จากกัมพชู าใตแ้ ละถอดกษตั ริย์จัมปาออกจากราชสมบตั ิ จัมปาคงเป็นเพียงมณฑลหนึ่งของกัมพชู าอยู่ เปน็ เวลาถงึ ๒๐ ปี โดยมีเจา้ ชายองค์หน่ึงที่พระเจา้ ชัยวรมันที่ ๗ ทรงตงั้ ให้เป็นหนุ่ ปกครอง ประเทศ พระเจา้ ชัยวรมนั ทรงขยายอาณาเขตไปทางทิศตะวันออก ทศิ ใต้ และทศิ ตะวันตก จกั รวรรดิ ของกัมพชู าในสมยั พระเจ้าชยั วรมันท่ี ๗ นีก้ ว้างใหญ่ไพศาลกว่าทม่ี ีมากอ่ น เมอื่ พระเจา้ ชยั วรมันท่ี ๗ ได้ขึ้นครองราชยส์ มบตั ิแลว้ การบชู าพระวษิ ณุและพระศิวะกเ็ ส่ือมลงไป ไดม้ ี การสรา้ งวดั ใหญ่ๆ ข้นึ อุทิศถวายพระพทุ ธเจ้าในลัทธิมหายาน และเมื่อคลื่นพระพุทธศาสนาจากลังกามา เยือนเมืองไทยในสมยั พุทธศตตวรรษที่ ๑๙ ลทั ธมิ หายานในกัมพชู าก็ได้เปล่ยี นไปเปน็ แบบหีนยานมากข้ึน ทุกที เมื่อพระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๗ ทรงสรา้ งปราสาทท่มี ีชื่อเสียงไว้มากมาย ทรงสรา้ งปราสาทบันไท กระแจะ (Bantei Kdei) ทีส่ วยงาม และปราสาทตาพรหมที่นา่ รัก เจดีย์นาคพัน และสระอาบน้า ขนาดใหญช่ ื่อ สระสรง ทรงสรา้ งปราสาทบนั ไทชมาร์ (Bantei Chmar) และปราสาทพระขรรค์ท่ีกา ปงสวาย งานทย่ี ง่ิ ใหญท่ ส่ี ดุ ของพระองค์กค็ ือ การสรา้ งเมืองมหานครชอ่ื นครธมขึ้น โดยมีวหิ ารบายน เปน็ ศนู ย์กลาง นอกจากนัน้ พระองคย์ ังมิไดท้ รงวางระบบถนนอย่างกวา้ งขวางไว้ทั้งจักรวรรดิ ทรงสร้าง โรงพยาบาล ทีพ่ ักสาหรับคนเดินทางไกล และเจดีย์สาหรับผ้ทู ่มี ศี รทั ธาปสาทะจะได้ไปเคารพกราบไหว้ ก่อนหนา้ น้นั นานทเี ดยี วที่พระเจ้าชยั วรมนั ท่ี ๗ ทรงเขา้ พระทัยวา่ พระองค์มิได้เปน็ กษตั ริยอ์ ย่างสมบรู ณ์ แบบเท่านั้น แต่ทวา่ ยงั ทรงเป็นเทวดาอกี ดว้ ย พระองค์เปน็ พทุ ธศาสนกิ ชนที่ทรงมีความเชือ่ ม่ันว่า

33 พระองค์ทรงเปน็ พระพทุ ธเจา้ ท่ียงั ทรงพระชนม์อยู่ ข้อน้ีแหละทเ่ี ป็นเหตทุ าใหพ้ ระองค์ทรงกระทาในสิง่ ที่ ไมน่ า่ เชอ่ื วา่ จะเป็นไปได้ พระพักตร์หนิ ขนาดใหญ่ทม่ี องลงมาจากทุกด้านของยอดปรางค์ ซมุ้ ประตเู ขา้ สู่ เมอื งและจากทกุ ๆ ปรางคท์ ่ีพุทธวหิ ารบายนน้ันดเู หมือนจะเป็นภาพของพระองค์ท่ีทรงเปน็ กษตั รยิ แ์ ละ เทวดามากกว่า ท่ภี าพสลกั นูนเป็นจานวนมาก ท่ีประดบั อาคารตา่ ง ๆ ของพระองค์นน้ั ก็มีรปู ของ พระองคป์ รากฏอยู่ และท่ีพิพธิ ภณั ฑสถานในกรุงพนมเปญกม็ ีรปู มหาบุรุษขนาดใหญ่กวา่ คนจรงิ ๆ ซง่ึ เป็นรูปของพระองค์เองในท่านัง่ สมาธิอย่างแนว่ แน่คล้ายพระพุทธเจ้า แมพ้ ระเจา้ ชยั วรมันท่ี ๗ จะเป็นผู้ที่ประชาชนถอื วา่ เป็นกษตั ริยท์ ย่ี ง่ิ ใหญ่ทส่ี ดุ แต่พระองค์กท็ รงเป็น สาเหตุแห่งความเสื่อมนริ ันดรของกัมพชู าโดยไม่มีใครรสู้ ึก แม้วา่ ราชสานกั ของพระองค์เป็นราชสานักที่ ม่ังคง่ั ทสี่ ุดในประวัติศาสตร์ของกัมพูชา แต่ความสุรุ่ยสุร่ายของพระองค์กน็ บั ว่าเป็นสาเหตแุ ห่งความ ยากจนของเขมรในสมยั ต่อมา พระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี ๗ ทรงทางานมากเกนิ ไป เก็บภาษมี ากเกนิ ไป และทาให้ประชาชนกระปรกกระ เปร้ยี มากเกนิ ไป ซงึ่ เปน็ เหตทุ าให้จกั รวรรดิของพระองค์ถึงซึ่งความพินาศในอีกไมก่ ช่ี ว่ั อายุคนตอ่ มา เมอื่ พระเจ้าชยั วรมนั สนิ้ พระชนม์แลว้ กัมพชู าก็เริ่มเส่ือมไปพร้อม ๆ กับท่ีไทยกาลงั เรืองอานาจขึ้นมา แมพ้ ระเจา้ สุรยิ วรมนั ท่ี ๑ จะเป็นกษตั ริยท์ ่ีนบั ถือพระพุทธศาสนา แต่พระพทุ ธศาสนากม็ ิได้เดน่ อยู่ทั่ว ทงั้ ประเทศกัมพชู าทั้งหมด จนกระท่ังถงึ สมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ พระพุทธศาสนาจึงไดแ้ พรห่ ลายไป ทัว่ ประเทศ พระพทุ ธศาสนาในกัมพชู าสมยั นครวัดนั้นเปน็ แบบมหายาน บุคคลสาคญั ในลัทธมิ หายานที่ ปรากฏอยูใ่ นภาพและศลิ าจารึกส่วนมากในเอเชยี อาคเนย์นั้นเป็นรปู พระโพธิสตั วอ์ วโลกเิ ตศวร หรอื ตามท่ีคนทว่ั ๆ ไปเรียกกนั ว่า โลเกศวร พระโลเกศวรมกั จะเปน็ ภาพประทับยนื อยู่บนดอกบัว เป็น พระพทุ ธเจา้ ที่ทรงมีเมตตากรุณา มักจะมี ๔ กร บางทีก็มี ๔ พกั ตร์ หนั มองไปทง้ั สี่ทิศคลา้ ยพระ ศวิ ะ ในรัชสมยั พระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๗ การบูชาเทวราชกย็ งั คงเป็นลทั ธปิ ระเพณีของบ้านเมืองอยู่ โดยยงั คงมี การปกครองท่สี ูงตา่ ลดหล่ันกันลงมาของพวกพระทเ่ี ป็นอภชิ นาธปิ ตั ยท์ ม่ี ่งั คัง่ สมัยท่ี เจาตากวน ได้ เขยี นบันทกึ จดหมายเหตนุ ้นั อิทธพิ ลของลัทธเิ ทวราชไดล้ ดนอ้ ยถอยลงไปเกอื บหมดสิน้ แล้ว ศาสนาที่ สาคัญที่มผี ู้นิยมนบั ถอื อยา่ งแพร่หลายคอื ลัทธหิ นี ยานทสี่ อนเรื่องความงา่ ย ๆ ความจน และน้าใจแบบ ประชาธิปไตย ความยดึ ถอื ในมโนคตเิ ก่ียวกบั กษัตรยิ ผ์ เู้ ปน็ เทวดาก็เสือ่ มลง อานาจของพระชั้นสงู กล็ ด น้อยถอยลง ผู้แนะนาประชาชนด้านศาสนาตามถนนหนทางเป็นพวกพระที่สุภาพอ่อนโยน มเี มตตา กรณุ า ครองผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นพวกที่มาจากสามัญชนนน่ั เอง ซง่ึ จาริกไปตามถนนหนทางเพื่อ บณิ ฑบาตในตอนเช้า พระเหล่านี้มีอยหู่ ลายพนั รูปดว้ ยกนั ลทั ธไิ ศวะกับลทั ธิท่ีนับถือพระโลเกศวรผู้ทรงพระมหากรุณาน้ันมคี วามละม้ายคลา้ ยคลงึ กันมาก ได้เจริญ เคียงบา่ เคียงไหลก่ นั ไปโดยแทบจะไม่มอี ะไรตอ้ งขดั แย้งกนั เลย ความจริงการที่ลทั ธิทัง้ สองนสี้ ังเคราะห์ เข้าดว้ ยกนั ท้งั หมดหรอื เข้ากนั เพียงบางสว่ นนั้นเปน็ ข้อเท็จจริงทคี่ อ่ นขา้ งจะยุง่ ยากสลบั ซบั ซ้อนอยู่ใน ประวตั ศิ าสตร์พระศาสนาในเอเชียอาคเนยม์ าก พระโลเกศวรหรอื อวโลกเิ ตศวรที่ปรากฏทีน่ ครวดั มี

34 พกั ตร์ ๔ พักตรน์ น้ั บางทกี ็มีพระเนตรทห่ี นา้ ผากเชน่ เดียวกับพระศวิ ะในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมนั ที่ ๒ เราไดเ้ คยพบการสงั เคราะห์ลัทธไิ ศวะกับไวษณพเข้าดว้ ยกันซ่ึงปรากฏผลเปน็ การสร้าง “วษิ ณุ ราช” ขนึ้ มาแทน “เทวราช” และได้มวี ิหารทรงปริ ามิดสาหรบั นกิ ายไวษณพขน้ึ ท่ีนครวัด นอกจากนั้น ในรชั สมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ “พุทธราช” บังเกดิ มาแทน “วษิ ณุราช” และมีการเปล่ียนรปู วิหาร บายนเป็นวหิ ารทรงปิรามิดอกี ด้วย ไมต่ ้องสงสยั ละวา่ พระพุทธรูปองค์ใหญท่ ่ี ตรูเว (Trouve) พบที่ก้น หลมุ ใตอ้ งคก์ ลางของปราสาทบายนเมอื่ ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ นัน้ เป็นพระพทุ ธรูปที่แทนเทวราชแน่ ในตอน ใกล้จะเริ่มต้นรัชสมัยของพระองค์น้ันพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ไดท้ รงเรมิ่ พิจารณาเหน็ ว่าพระองคเ์ ป็น พระพทุ ธเจา้ ท่ยี ังทรงพระชนม์อยู่ ในตน้ พ.ศ. ๑๗๒๙ พระราชมารดาของพระองคก์ ็ไดก้ ลายเปน็ องค์ แทนพระปรัชญาปารมิตาพุทธมารดาไป สว่ นพระองค์เองเป็นพระพุทธเจา้ (ศิลาจารึกปี พ.ศ. ๑๗๓๔ ซงึ่ พบที่ปราสาทพระขรรค์) จารึกนี้ยังบอกไดว้ ่ามีการสร้างพระพุทธรปู ในนาม พระชัยพทุ ธ มหานาถะ ขน้ึ ท่วั ประเทศเปน็ จานวนรวมถึง ๒๓ องค์ พัฒนาการแห่งมโนคติเรื่อง “พุทธราช” ดูเหมือนวา่ จะมิไดม้ แี บบที่เปน็ ตวั ตนจนกระท่ังถงึ รชั สมยั พระ เจ้าชยั วรมนั ที่ ๗ หลังจากที่พระองค์ทรงไดส้ รา้ งปราสาทซง่ึ เต็มไปดว้ ยพักตรม์ องไปทัว่ ประเทศและ ปรากฏว่าพระองค์ไดท้ รงสร้างขึ้นเพื่ออุทศิ ถวายพระอวโลกิเตศวรแลว้ เราทราบอีกวา่ ทางภาคเหนือของ อนิ โดจนี และในประเทศตา่ ง ๆ ในเอเชยี อาคเนย์ก็มีการสงั เคราะห์ลัทธไิ ศวะกบั มหายานเข้าดว้ ยกันอยู่ บ้าง ความคดิ เรื่อง “พุทธราช” โดยมพี ระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๗ เอง เปน็ พระพุทธเจ้าในระหวา่ งท่ี พระองคย์ ังพระชนม์อยู่นั้นเป็นท่สี บพระทัยบุคคลทมี่ คี วามกระตือรือร้นอย่างเรน้ ลบั อย่างพระองค์อยู่ มาก พระเจา้ สรุ ิยวรมันท่ี ๒ อาจทรงออกหน้าออกตาในการท่ีจะทาพระองคเ์ ปน็ ผู้แทน ตาแหน่ง “วิษณุราช” ทีน่ ครวดั มาก่อน บางทีแม้พระเจ้าสุริยวรมนั ที่ ๑ เองก็ได้พยากรณพ์ ระองค์ เป็น “พทุ ธราช” มาแล้ว สาหรบั พระเจ้าชยั วรมนั ท่ี ๗ ซึง่ ไดเ้ ริม่ มีความคิดนม้ี าต้ังแตเ่ ริม่ รัชสมัยของ พระองค์แล้วไดท้ รงทาปรางค์ปราสาทบายนองคก์ ลางที่พระองคท์ รงสรา้ งอยใู่ หเ้ ปน็ วิหารทรงปริ ามดิ โดย มพี ุทธราชอย่ตู รงศนู ยก์ ลาง แมใ้ นรัชสมยั พระเจา้ ชยั วรมันท่ี ๗ พระพุทธศาสนาจะเป็นท่โี ปรดปรานของราชสานกั แตล่ ทั ธิไศวะก็ หาไดส้ ูญไปอยา่ งส้นิ เชิงไม่ เพียงแต่ว่าไม่มีอนุสรณยี วตั ถุท่ีสาคัญ ๆ ทางลทั ธิไศวะเกิดขึ้นมาในยุคนี้ เทา่ นน้ั ยุคพระเจา้ ชยั วรมันซึ่งเริม่ ตง้ั แต่รชั สมยั พระราชบิดาของพระองค์เปน็ ตน้ มาน้นั เปน็ ยุคที่เกิดตามหลังยุค ไวษณพมา และในอนสุ รณยี วตั ถทุ ี่พระเจ้าชยั วรมันที่ ๗ ทรงสร้างขนึ้ มามากมายหลายแหง่ ดว้ ยกันน้ันก็ มีสว่ นเก่า ๆ ซงึ่ ดูเหมือนจะเป็นของลทั ธิไวษณพอยู่ด้วย ซ่ึงเปน็ เหตทุ าให้นักศกึ ษาร้สู กึ ว่าบางทพี ระเจา้ ชัยวรมันที่ ๗ จะทรงสร้างอนสุ รณยี วตั ถเุ หล่านน้ั ขนึ้ มาจากซากเดิมของวหิ ารไวษณพเก่า ๆ ก็ ได้ ความคิดเก่ียวกบั “พทุ ธราช” ในวิหารทรงปิรามดิ นน้ั บางทจี ะยืมมาจากพระเจ้าสุรยิ วรมัน ที่ ๒ หรือบางทีอาจยืมมาจากพระเจ้าสุริยวรมนั ที่ ๑ ด้วยซา้ ไป ลัทธิไศวะกับลทั ธิไวษณพในสมัยน้นั ดู เหมอื นจะเขา้ กันไดเ้ ป็นอยา่ งดี และไม่มหี ลักฐานใด ๆ บ่งวา่ มลี ัทธิไวษณพเหลอื อยใู่ นกัมพูชาในรัชสมัย พระเจา้ ชัยวรมนั ที่ ๗ เลย

35 ศาสนาต่าง ๆ เหล่านไ้ี มว่ ่าจะเป็นพระพุทธศาสนา ลัทธิไศวะหรือลัทธิไวษณพกต็ ามลว้ นแตเ่ ปน็ ศาสนา สาหรับพวกปญั ญาชนทงั้ น้ัน ส่วนประชาชนทัว่ ไปกย็ ังถือผีสางเทวดาอยู่ และการบูชาบรรพบรุ ุษที่ถอื วา่ เปน็ เร่อื งธรรมดาสามัญท่วั ทง้ั เอเชยี ในแถบลมมรสุมท้ังปวงนนั้ บางทีกม็ ลี ัทธิฮินดปู ะปนอยู่บา้ ง เหมือนกัน ศาสตราจารยพ์ อล มุส คดิ ว่า ทา่ นไดพ้ บลัทธทิ ่ีถอื สัญลักษณ์จตุรพกั ตร์ซงึ่ มีอยูท่ ่ียอดปรางค์พุทธวหิ าร บายน ซ่ึงมอี ยู่รวม ๕๐ ยอด หรือมากกวา่ น้นั มอี ยู่ในปาฏิหาริยข์ องพระพทุ ธเจา้ ที่ ย่ิงใหญ่ พระพุทธเจา้ เมอื่ ประทบั อยกู่ ลางแจ้งย่อมกลายเป็นจุดเพง่ เลง็ ในทุก ๆ จดุ ใน อวกาศ ศาสตราจารย์พอล มสุ คิดว่า พกั ตรต์ ่าง ๆ เหล่านี้เปน็ ตัวแทนพระโพธสิ ตั วโ์ ลเกศวรสมนั ต มุข “มีพระพักตรร์ อบดา้ น” จตุรพักตรเ์ ป็นตวั แทนทศิ ทั้งปวง ศาสตราจารย์พอล มสุ คิดว่า ยอด ปรางค์ตา่ ง ๆ เป็นตัวแทนจังหวดั ต่าง ๆ หรือเป็นตวั แทนศนู ยก์ ลางทางดา้ นศาสนาหรอื ทางการเมืองของ จังหวัดต่าง ๆ พักตรต์ ่าง ๆ เหลา่ นี้มไิ ด้สอดคล้องต้องกนั กับส่ิงอื่นใดทเี่ ขา้ ใจกันวา่ เป็นตัวแทนของพระ โลเกศวรเลย แตค่ ลา้ ยกบั พระโลเกศวรท่อี ยู่ตามกาแพงตา่ ง ๆ พระพักตรเ์ หล่านท้ี ีป่ รากฏอยู่บนยอดซุ้ม ประตเู มืองและทกุ ๆ ด้านของปรางคต์ า่ ง ๆ ทป่ี ราสาทบายนซงึ่ แกะสลกั อย่างใหญ่โตสวยงาม มากกวา่ ๒๐๐ พกั ตรน์ ้ัน มีพระเนตรสารวมเผยอน้อย ๆ และมรี มิ พระโอษฐเ์ ผยอยิ้ม พกั ตร์เหล่านีซ้ ่งึ เขา้ ใจกันว่าเปน็ พักตร์ของพระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ เอง ซึ่งครง้ั หนึ่งเคยเป็นภิกษุผู้สุภาพอ่อนโยนทไี่ ดเ้ คย สละราชสมบัตถิ ึง ๒ ครงั้ และแลว้ ก็ได้เป็นกษัตริย์ท่ียง่ิ ใหญท่ ีส่ ุดของเขมรจนกระท่งั พระองค์คดิ วา่ พระองค์ทรงเปน็ พระพทุ ธเจา้ ที่ยงั ทรงพระชนม์อยู่ พระพักตร์เปน็ จานวนมากทส่ี ลกั ไวบ้ นยอดปรางค์ที่ นครธมจงึ มีสัญลักษณค์ ล้ายคลึงกับกษัตรยิ ผ์ เู้ ป็นเทพเจา้ เอง เป็นตวั แทนพระโลเกศวรท่ีไดข้ ยายความ ค้มุ ครองไปท่วั ทุกส่วนของจกั รวรรดิ ปรางคจ์ ตรุ พกั ตร์ของพทุ ธวิหารบายนซงึ่ เปน็ องค์แทนพระโพธสิ ัตว์ โลเกศวรน้ัน มิใช่ในฐานะท่เี ป็นส่อื กลางของเทพผู้เปน็ ศนู ย์กลางท่ที รงรอบรทู้ ุกสงิ่ ทุกอยา่ งแต่ทวา่ เปน็ วธิ ี ที่จะทาให้อานาจของพระพุทธเจา้ หรอื กษัตรยิ ์ท่ีมรี ูปอยู่ที่ปรางคน์ ั้นแผ่ไปทว่ั ทุกแวน่ แควน้ ในรชั สมยั พระเจา้ ชัยวรมนั ที่ ๗ ดเู หมือนจะมีปฏิกริ ยิ าอยา่ งรนุ แรงตดิ ตามมา คือ ได้มีการทาลาย ศลิ ปะและวรรณคดเี ปน็ ผลติดตามมา ซ่ึงจะยงั เหน็ รอ่ งรอยได้จากอนสุ รณยี วตั ถุทางพระพทุ ธศาสนาสมัย บายนและสมัยกอ่ นหน้านนั้ จากยุคนี้ซงึ่ ศาสตราจารยย์ อรจ์ เซเดส์ กลา่ ววา่ นับตั้งแต่ตอนเร่ิมต้น หรอื ตอนกลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ เป็นต้นมานน้ั ได้มีการทาลายวัดใหญ่ ๆ ลงถึง ๑๖ แห่ง ทาลาย พระพทุ ธรูปองค์ใหญ่ ๆ ทาใหก้ ลายเปน็ ชิ้นเลก็ ชนิ้ น้อยแล้วก็ทิ้งลงไปในบอ่ ซึ่งได้พบวา่ มีอยู่ทีฐ่ านของ พระพทุ ธรปู นั้นเอง เมื่อไดท้ ิ้งพระพทุ ธรูปลงไปแล้วก็เอาศิวลงึ ค์และสัญลกั ษณ์ทางลทั ธิไศวะไป ประดิษฐานแทน ปฏิกริ ยิ านี้ดเู หมอื นวา่ ได้ขยายตัวมาจนถึงรัชสมัยพระเจา้ อินทรวรมันที่ ๓ และรัช ทายาทของพระองค์ และดูเหมือนจะได้รับอทิ ธิพลมาจากพราหมณ์ชื่อ ชยั มหาปธาน ท่พี ระเจ้าชยั วร มันท่ี ๗ ทรงต้ังเปน็ พระประจาราชสานกั และดเู หมือนจะดารงตาแหน่งนีต้ อ่ มาอีกสองรัชกาล

36 ภาพจาก : เว็บไซต์ transbordernews.in.th พระพทุ ธศาสนาในประเทศกัมพูชา (ต่อ) นบั ตง้ั แต่สิน้ รัชสมยั พระเจา้ ชัยวรมนั ที่ ๗ เปน็ ตน้ มา ประวตั ศิ าสตร์กัมพูชาก็มีชอ่ งโหว่อีกกว่ารอ้ ย ปี พอจะทราบอีกคร้ังหนง่ึ ก็เปน็ สมยั ทปี่ ระเทศไทยเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาจนกลายเป็นศัตรทู ี่นา่ สะพรึงกลวั ของกัมพูชาเสียแลว้ แม้วา่ ความเขม้ แข็งของกมั พูชาจะลดน้อยถอยลงแต่ถึงกระน้นั ปีแรกทพี่ ระเจา้ อนิ ทรวรมนั ที่ ๓ (พ.ศ. ๑๘๓๙ – ๑๘๕๑) ขึ้นครองราชสมบัติ เจาตากวนซึง่ ได้ไปเยือนนครวัดและไดท้ า รายงานทีม่ คี ่ายิ่งไปถวายราชสานกั จีนกท็ าใหเ้ ราทราบความเป็นไปของศาสนาในกมั พูชาในสมัยนั้นได้ พอควร เจาตากวนบอกวา่ ในสมัยนั้นมใิ ช่วา่ กมั พูชาจะไร้ผปู้ กครองเสียทเี ดียว ทงั้ ยงั มิไดถ้ ูกไทยพิชติ อย่างเดด็ ขาดดว้ ย ทั้ง ๆ ท่ีกัมพูชาได้ทาสงครามกับไทยอยู่เสมอ และแมก้ ัมพูชาจะได้ถูกกองทัพไทย โจมตีและถูกทาลายไปบา้ งก็ตาม เจาตากวนมไิ ดก้ ลา่ วถึงเรื่องศาสนาไวอ้ ย่างละเอียดแจ่มแจ้งนกั เจาตา กวนไดย้ อมรับวา่ ไม่มีความเข้าใจในเร่อื งศาสนาดีพอ แต่ท่านกบ็ อกว่าในกัมพชู ามีศาสนาอยู่ ๓ ศาสนา ดว้ ยกัน คอื ปนั จิ จกู ุ และปะซวิ หวยุ อย่างไรก็ตาม พอจะสรุปได้ว่า พระเจา้ ชัยวรมนั ที่ ๗ นบั วา่ ทรงเป็นกษัตริย์ท่นี ับถือพระพุทธศาสนา อยา่ งแรงกลา้ และเม่ือสิน้ พระชนมแ์ ลว้ กไ็ ดร้ ับการเฉลิมพระบรมนามาภไิ ธยว่า มหาปรมเสาคตะ บันทึก เหตกุ ารณใ์ นรชั สมัยของพระองคน์ บั วา่ เปน็ สมยั ท่ีแสดงทัศนะแบบชาวพุทธอย่างงดงามมากโดยเฉพาะ เกยี่ วกับเร่ืองทานและการแผเ่ มตตาไปทัว่ สากลจกั รวาล พระองคท์ รงมบี ทบาทในการสร้างสถาบันทาง ศาสนาอยา่ งมากมาย นอกจากน้ันศิลาจารกึ ภาษาสันสกฤตในสมยั พระเจา้ ชัยวรมนั ที่ ๗ นีย้ ังบอกดว้ ย วา่ พระบรมราชินีของพระองคก์ ็ทรงมีพระทัยฝักใฝ่ในศาสนาเปน็ อย่างมาก ศิลาจารกึ น้ันบอกวา่ เม่ือพระ เจา้ ชัยวรมันเสด็จหนไี ปยังจัมปาคราวแรก พระนางชยั ราชเทวี พระมเหสขี องพระองคไ์ ดแ้ สดงใหเ้ หน็ ความซอ่ื สตั ย์จงรักภกั ดตี ่อพระราชสวามีดว้ ยการทรมานพระองคโ์ ดยวิธีต่าง ๆ เปน็ เวลานาน พระเชฏฐ ภคนขี องพระนางได้แนะนาให้พระนางปฏิบตั ิตามแนวพระพุทธศาสนาจนพระนางสามารถประกอบพิธที ่ี จะทาให้พระนางทรงมองเหน็ ภาพพระราชสวามีของพระนางทห่ี ายไปได้ดียิง่ เมือ่ พระเจ้าชยั วรมันเสดจ็ กลับมาแล้วพระนางยงิ่ เพิม่ ศรัทธาปสาทะยิ่งขน้ึ และทรงบาเพญ็ บญุ กุศลมากยิง่ ขึ้น นับแต่ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ และตน้ พุทธศตวรรษที่ ๑๙ เป็นตน้ มา ไทยได้มีอานาจข้ึนทาง สุโขทัย และพยายามทีจ่ ะยดึ อานาจจากขอมย่ิงขึ้นทกุ ที จนกระท่ังมีกาลงั เขม้ แขง็ ขนาดยกกองทัพไปตี

37 กัมพูชาและยึดนครธมเมอื งหลวงได้หลายครง้ั หลายหน คือ ในปี พ.ศ. ๑๘๙๖ และ ๑๙๓๖ และ พ.ศ. ๑๙๗๔ แต่ทวา่ มิได้ยดึ ครองอยนู่ านนักในปี พ.ศ. ๒๐๑๖ ไทยได้ยดึ ครองเมอื งจันทบุรี โคราช นครวัด และนครธมอีกวาระหนงึ่ แตแ่ ลว้ ก็เลิกราไป กษัตริย์นักองค์จันทน์ ท่ี ๑ ได้ไปสร้างเมืองหลวงใหมอ่ ยู่ทเี่ มืองละแวก ซึ่งเปน็ เมอื งท่ีมีปอ้ มปราการแข็งแรงมาก ทเี ดยี ว พระองค์ได้ครองราชย์ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๐๔๘ – ๒๐๙๘ พระองคแ์ ละราชโอรสพระนามว่า พระ บรมราชา นบั วา่ เป็นกษัตริย์ที่สาคญั ของกัมพูชาด้วยเชน่ กัน แต่สถานการณ์ในเวลานน้ั กน็ า่ วติ กอยู่ มาก เมื่อพระบรมราชาได้ขึ้นครองราชยเ์ มื่อปี พ.ศ. ๒๑๑๗ ไทยก็ถือโอกาสยึดเมืองละแวกและจันทบรุ ี ทนั ที แม้วา่ การยดึ ครองนี้จะทาใหเ้ ขมรหมดอานาจลงไปก็ตาม แต่อาณาจักรกมั พชู าก็ยังไม่สูญสิน้ ยงั คงมี ปรากฏอยู่ในประวตั ศิ าสตร์ แตก่ ็ไมม่ ีอะไรทน่ี ่าสนใจมากนัก บางคร้ังก็ตกเปน็ เมืองข้นึ ของไทย บางครัง้ กต็ กเป็นเมืองข้นึ ของญวน และบางคราวกเ็ ป็นเมืองขึน้ ท้งั ของไทยและของญวนในเวลา เดียวกัน จนกระทั่งถงึ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕ ฝรั่งเศสได้เข้ามามีบทบาทเกย่ี วข้องจงึ ทาให้กมั พูชากลายเปน็ เมอื งในอารักขาและในท่ีสุดก็ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรงั่ เศส สมยั กลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๔ จงั หวัดเสียมราฐและพระตะบองซึ่งเปน็ ทตี่ ั้งของนครวัด นครธม และ โบราณสถานทม่ี ีคา่ มากต่าง ๆ กถ็ กู ไทยผนวกเข้าไวใ้ นดินแดนของไทย แตโ่ ดยอาศยั การไกลเ่ กลยี่ ของ ฝรง่ั เศส สองจังหวัดนี้กก็ ลบั ไปเปน็ ของกมั พูชาอีกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ส่วนจงั หวัดตราดและดนิ แดนอนื่ ๆ อกี เป็นจานวนมากได้ตกมาเปน็ ของไทย นอกจากน้นั ศิลาจารึกเปน็ ภาษาบาลีซ่ึงพบที่วดั กกขะพส หรอื กกสวายเชคใกล้จงั หวัดเสยี มราฐ ซง่ึ มีอายุ ราวปี พ.ศ. ๑๘๕๒ ก็ไดบ้ นั ทกึ ไวว้ ่า เมื่อ พ.ศ. ๑๘๕๑ กษัตริยไ์ ด้ทรงถวายหมู่บ้านแหง่ หนึ่งแดพ่ ระมหา เถระรปู หน่งึ ศิลาจารึกแผ่นน้ีบอกว่าพระเจา้ อินทรวรมนั ท่ี ๖ ได้ทรงสละราชสมบตั ิ เม่ือปี พ.ศ. ๑๘๕๑ ศาสตราจารย์ยอร์จ เซเดส์ ไดใ้ ห้ความเห็นไว้วา่ ในตอนน้ีพระเจ้าอนิ ทรวรมันที่ ๓ ยงั ทรง หนมุ่ แนน่ อยู่จงึ อาจเสดจ็ ไปผนวชอุทิศเวลาให้กับการศึกษาและปฏิบัตธิ รรมตามหลกั พระพทุ ธศาสนาแบบ หนี ยานหรือเถรวาทกไ็ ด้ พงศาวดารลาวได้กล่าวว่า หลงั พ.ศ. ๑๘๕๙ ไมน่ านนัก เจา้ ฟา้ งมุ้ โอรสกษัตริยล์ านชา้ งได้ถูกเนรเทศ ออกจากอาณาจักรเพราะไดป้ ระพฤตผิ ิดต่อพระราชบดิ า เจ้าฟา้ งมุ้ พรอ้ มดว้ ยพเ่ี ลี้ยงนางนมได้เสดจ็ ลีภ้ ยั ไปอยใู่ นราชสานักปรมตั ถเขมราช กษัตริย์แหง่ กัมพชู า (คงหมายถึงพระเจา้ ชัยวรมปรเมศวร) เจ้าฟา้ งมุ้ ไดอ้ ยู่ในราชสานักกัมพูชาเป็นเวลานาน พระองค์ได้รับการอุปถมั ภ์เลี้ยงดูจากฝา่ ยหนี ยาน เมอ่ื พระชนม์ ได้ ๑๖ พรรษา พ.ศ. ๑๘๗๕ ก็ไดอ้ ภเิ ษกกับพระราชธดิ าแห่งกษัตรยิ ก์ ัมพูชา ประมาณ พ.ศ. ๑๘๙๓ กัมพูชาทรงตดั สินพระทยั ชว่ ยเหลอื เจา้ ฟา้ งุ้มให้ไดร้ าชบัลลังก์ท่ีเมอื งชะวา (หลวง พระบาง) หรอื เมืองเซ่า (Swa) และทาใหเ้ มอื งนั้นเปน็ อิสระจากกรุงสุโขทยั ไม่ต้องสงสยั ละวา่ กษัตริย์ กมั พชู าคงทรงทราบวา่ กรุงสุโขทยั กาลงั อ่อนแอลงทุกที และทรงเกรงอานาจกรุงศรอี ยุธยาทน่ี บั วนั จะมี กาลงั มากขนึ้ และเปน็ อิสระจากกรุงสุโขทัย ดังนั้น พระองค์จงึ ทรงมอบกองทหาร ๑๐,๐๐๐ คน ให้เจา้ ฟ้างุม้ ซึ่งเปน็ เหตทุ าให้พระองค์ทรงตเี มอื งชะวาหรือเมืองเซ่าได้ เมือ่ เจา้ ฟ้าง้มุ ยดึ เมอื งได้แล้วกท็ รงถอด พระเจา้ อาออกจากราชสมบัติแลว้ กท็ รงขน้ึ ครองราชย์เสียเอง และแควน้ แดนไทยทุกแควน้ ที่อยรู่ ิมแม่นา้

38 โขงต่างก็ยอมรับในอานาจอธิปไตยของเจ้าฟ้างุ้ม ดนิ แดนท่ีอยตู่ ามลุ่มแม่น้ามลู ไปจนถงึ อาณาจักรนา่ น เจา้ และจากเทือกเขาอานัมไปจนถึงลมุ่ แมน่ ้าสาละวินตอนกลางและตอนบนรวมทั้งลานนา ไทย (เชยี งใหม่) ต่างกย็ อมรับอานาจอธปิ ไตยของเจ้าฟา้ งุ้มท้งั นั้น การตัง้ อาณาจักรลานช้างเปน็ อสิ ระ โดยมเี มอื งหลวงอยทู่ ี่เมืองชะวาหรอื เมืองเซา่ (หลวงพระบาง) นไี้ ดเ้ กิดขน้ึ เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๖ กษตั รยิ ก์ ัมพชู าทรงอาศัยพระราชธดิ าจงึ ทรงมอี านาจเหนือพระราชบตุ รเขยอยูเ่ ป็นเวลาหลายปี พระ ราชินีทรงรับภาระทจี่ ะทาใหป้ ระชาชนชาวลาวทง้ั หลายหนั มานบั ถือพระพุทธศาสนาแบบหนี ยาน เม่อื เจา้ ฟ้างุ้มได้ครองราชสมบัตแิ ลว้ ไม่นานนกั ประชาชนกต็ อ้ งโอดครวญในเรือ่ งความเปน็ ทรราชย์ของ พระองค์ เมือ่ ขา่ วนี้ทรงทราบไปถึงกษตั รยิ ์กมั พชู า ปรมตั ถเขมราช กษตั ริย์กัมพูชาก็ทรงรบั สั่งใหเ้ จ้าฟา้ งุ้มไปยังราชสานัก และทรงแนะนาใหเ้ จา้ ฟ้าง้มุ ปฏบิ ัติตามศลี ของพระพุทธเจา้ เจ้าฟา้ งุ้มก็ทรงยอมรับ ปฏบิ ตั ิตาม และทรงสมาทานศีลตามแบบเถรวาท ทัง้ ยังได้ทูลขอพระสงฆ์กับพระไตรปิฎกและชา่ งฝีมือ กลบั ไปยงั เมืองเซา่ ดว้ ย กษัตรยิ ์กมั พูชาก็ทรงส่งธรรมทูตคณะหนง่ึ ไปโดยมอี าจารย์ของเจ้าฟ้างุม้ เปน็ หวั หน้า เป็นเหตทุ าใหป้ ระชาชนลาวหนั มานับถอื พระพุทธศาสนาแบบหนี ยานหรอื แบบลังกาวงศ์อย่าง เปน็ ทางการ มผี ู้พดู วา่ คณะธรรมทตู ชดุ นี้ได้นาเอาพระพทุ ธรปู ทม่ี ีชือ่ เสียงมาก คือ พระพุทธรูป ชื่อ “พระบาง” ไปด้วย ตอ่ มาเมืองเซ่ากไ็ ด้ชื่อเป็นเมือง “หลวงพระบาง” ตามพระนามของ พระพทุ ธรปู องค์นี้ มเหสขี องเจา้ ฟ้างมุ้ สนิ้ พระชนมเ์ มอื่ พ.ศ. ๑๙๑๑ จากเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ดังกล่าวนี้ แสดงว่าในตอนตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ กมั พูชาได้หนั ไปนับถอื พระพุทธศาสนาแบบหนี ยาน หมดแลว้ และยงั ไดย้ ุ่งอยู่กับการทจ่ี ะทาให้ประเทศบา้ นใกล้เรือนเคียงกนั ไปนบั ถอื พระพุทธศาสนาแบบ หีนยานด้วย ในบรรดาสาเหตุตา่ ง ๆ ที่ทาใหอ้ ารยธรรมโบราณของกัมพูชาเสอ่ื มลงนนั้ มสี าเหตุหนึ่งก็คอื การท่ีกัมพูชา ได้หันมานบั ถอื พระพทุ ธศาสนาแบบหีนยาน ทัง้ นี้เพราะพระพุทธศาสนาแบบหีนยานเป็นศาสนาแบบ ประชาธปิ ไตยซึง่ นับว่าเปน็ ที่ถูกอกถกู ใจประชาชนมาก พระพุทธศาสนามิได้เข้าไปย่งุ เก่ยี วกบั อานาจของ พวกพระในศาสนาพราหมณ์และเทวดาทีม่ ีอานาจลดหล่นั กันลงมา พวกพราหมณเ์ ปน็ พวกที่ละเอียดถี่ ถ้วน คิดคา่ ทาพธิ แี พงเหลอื เกิน และมภี ารกิจมากมาย พระแบบเถรวาทดารงชีวติ อยู่อย่างยากจน ช่วย ทาหนา้ ทอ่ี บรมสง่ั สอนประชาชนและประกอบแต่กุศลกรรม คงจะมาถงึ ลมุ่ แม่นา้ เจ้าพระยาในตอนตน้ พุทธศตวรรษท่ี ๑๙ และคงจะถูกชักนาให้ไปเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาแบบน้ใี นกมั พูชา โดยพวกมอญจาก เมอื งละโวแ้ ละพวกไทยจากภาคเหนือ ซึ่งบางทีอาจเป็นพวกนกั โทษ กรรมกร พอ่ คา้ และพระภิกษุที่ ติดตามไปบางรปู ในสมัยกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ก็ได้ เจาตากวนบอกว่าพระพุทธศาสนาแบบหีนยาน เป็นศาสนาท่สี าคัญทส่ี ดุ ของเมืองหลวงในตอนต้นพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ และเจาตากวนบอกวา่ ทุกคนนับ ถอื พระพุทธศาสนา ประวัตศิ าสตรล์ านช้างบอกวา่ เจ้าฟา้ งมุ้ ซงึ่ เปน็ กษัตริยท์ เี่ ป็นอิสระองคแ์ รกของราชอาณาจกั รลาวได้หันมา นับถอื พระพทุ ธศาสนาแบบหีนยาน ณ ราชสานกั กัมพชู า หลัง พ.ศ. ๑๘๙๖ ไม่นานนัก ดังนัน้ จงึ ทา ให้คดิ วา่ กมั พชู าคงจะหันไปนับถือพระพทุ ธศาสนาแบบหีนยานแบบลงั กาวงศ์ในระยะเวลาระหวา่ งตอนต้น พทุ ธศตวรรษที่ ๑๙ และ ๒๐ นแ้ี หละ การที่ไทยพิชิตเขมรได้ และการท่ีเขมรหันไปนับถือ พระพุทธศาสนาแบบหนี ยานนั้นนับวา่ เป็นการกีดกันไมใ่ ห้กมั พูชาหวนกลบั ไปนบั ถือศาสนาแบบกอ่ นที่จะ

39 นบั ถอื ลัทธฮิ นิ ดูอีก ประวัติศาสตรข์ องกัมพชู าพอจะแบ่งออกได้เป็น ๒ ยคุ ด้วยกนั ทั้งนี้โดยไม่นับเอาความเปน็ ไปได้ที่ พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทจะมอี ยู่ก่อนต้ังแตส่ มัยพทุ ธศตวรรษท่ี ๗ – ๘ เขา้ ไว้ด้วย ในยุคแรกซ่งึ จะเห็นได้จากสิ่งกอ่ สร้างที่เป็นถาวรวตั ถุ และอนสุ รณยี วัตถุท้ังหลาย กับทั้งการปกครองของ กษตั ริยท์ ีส่ าคัญหลายพระองค์ด้วยกนั ทงั้ ท่ีเปน็ พราหมณ์และผทู้ ีน่ ับถือพระพุทธศาสนาแบบมหายาน ยคุ น้ีเรมิ่ ตัง้ แต่พทุ ธศตวรรษที่ ๑๑ เป็นต้นมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ศาสนาในยคุ นไี้ ด้เจรญิ เรื่อยมาไม่ ขาดระยะจนกระทั่งถงึ ยุคท่สี อง ซึง่ เป็นสมัยท่ีกมั พชู าตกอย่ภู ายใตอ้ านาจของไทย พระพทุ ธศาสนาแบบ เถรวาทได้มีอิทธิพลครอบคลุมความเชือ่ ถือด้ังเดมิ จนหมดสิ้น แม้วา่ พระราชพิธีตา่ ง ๆ ในราชสานัก กัมพชู าจะยงั คงดาเนนิ ตามแบบศาสนาพราหมณ์อยู่กต็ าม ในยคุ แรกนัน้ ราชสานักและชนชน้ั สูงท้งั หลายนบั ถอื ศาสนาพราหมณ์และพระพทุ ธศาสนาแบบ มหายาน หลกั ฐานตา่ ง ๆ เก่ียวกบั เร่อื งนี้เราจะเหน็ ได้จากวัดวาอารามใหญ่ ๆ และถาวรวัตถุ ทัง้ หลาย ตลอดจนความรู้ในดา้ นภาษาสันสกฤตและการใชช้ อ่ื ตามแบบอนิ เดยี แตป่ ระชาชนสว่ นใหญก่ ็ คงมีแบบเคารพบูชาเป็นของตนเองตา่ งหาก คอื อาจไม่ได้นบั ถอื ศาสนาพราหมณห์ รือพระพุทธศาสนา แบบมหายาน อย่างพวกในราชสานกั และชนชน้ั สูงกไ็ ด้ ในประเทศกัมพชู าก็คล้าย ๆ ในเมอื งไทย คือ มี การนบั ถือผีสางเทวดาไปพร้อม ๆ กันดว้ ย ดงั ท่ีจะเหน็ ไดจ้ ากการท่ีประชาชนไดส้ ร้างศาลพระภมู ิไว้ใน บรเิ วณบ้านแทบทุกดา้ น การนบั ถือผสี างเทวดาแบบน้ีอาจสบื เนื่องมาจากการนับถือเทวดาของอนิ เดียก็ ได้ พระศิวะได้รับการยกยอ่ งให้เป็นศขิ เรศวร และพระกฤษณะไดร้ บั ยกย่องใหเ้ ป็นศรจี ัมเปศวรซงึ่ เปน็ เทพเจา้ ที่พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๖ ทรงเคารพนับถือมาก การยอมรับนับถือ และการทาให้เทพเจา้ ประจาถิ่นกลายเป็นเทพเจา้ ของฮนิ ดูนนั้ เปน็ แบบที่พวกพราหมณ์ ถนดั มาก พวกอินเดยี ท่ีบุกรกุ เขา้ ไปยังประเทศต่าง ๆ มักจะมีพราหมณต์ ิดตามไปด้วยเสมอ อนุชนท่ี สบื สายมาต่างกย็ งั คงรักษาชอ่ื ท่เี ป็นภาษาอินเดยี เข้าไว้ และพยายามต้ังชอ่ื สถานที่ท่สี าคัญ ๆ เป็นแบบ อินเดยี หมด ภาษาสนั สกฤตกลายเปน็ ภาษาราชการ และภาษาทางศาสนาไป ไดม้ ีการพูด ถงึ “อาศรม” และ “วรรณะ” ด้วย และชาวพ้ืนเมืองก็คงจะค่อยได้รับการยกย่องเข้าสู่วรรณะสงู ๆ ตามลาดับ และคงมคี วามสมั พันธ์ระหว่างกัมพูชากับอนิ เดียเสมอเป็นระยะ ๆ ท้ังยงั มกี ารพดู ถึงการ อภเิ ษกสมรสระหว่างเจ้าหญงิ กมั พูชากับพราหมณช์ ่ือทิวากรซึง่ มาจากฝงั่ แมน่ ้ายมุนาในประเทศอินเดียอกี ด้วย ในยุคน้ี ประเพณกี ารบูชาพระศิวะถือกันวา่ เปน็ ประเพณีท่ีสาคญั มาก และบางทอี าจเป็นศาสนาประจา ชาติด้วยซ้าไป เพราะแมว้ า่ พระมหากษัตรยิ จ์ ะทรงปฏญิ าณวา่ พระองคเ์ ป็นพุทธมามกะทีเ่ ล่อื มใส พระพุทธศาสนาอยา่ งแท้จรงิ แต่ก็คงไม่ถงึ กับละทิ้งการบชู าพระศิวะเสียเลยเปน็ แน่ ทัง้ ยังมกี ารพูดถงึ พระวษิ ณุอยู่มากเช่นกนั ในศิลาจารกึ ยคุ ตน้ ๆ ก็มีการยกย่องเทพเจ้าผสม คือ พระวิษณกุ บั พระศิวะซ่งึ ผสมกลายเป็นองคเ์ ดยี ว และเรียกพระนามใหมว่ ่า “หริ – หระ” “ศมั ภู – วิษณุ” “ศงั กระ – นารายณ”์ ฯลฯ เป็นต้น การบูชาเทพเจ้าผสมเป็นคู่ ๆ น้ี ไดม้ ีการประพฤติปฏิบัติกันไปพรอ้ ม ๆ กับ

40 ลทั ธิการบูชาพระศวิ ะแท้ ๆ และการบชู าเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ในศิลาจารกึ สมยั แรก ๆ พระเจา้ ภววรมนั ได้ ทรงสนบั สนุนการบชู าพระศิวะและไดท้ รงสรา้ งศวิ ลึงคข์ ึน้ มา ทง้ั พระองคย์ งั ได้ทรงบชู าเทพผสมพระนาม ว่า “ศัมภู – วิษณุ” และได้กล่าวถงึ พระอุมา พระลกั ษมี พระภารตี พระธรรม พระมารตุ และพระ วษิ ณุ ในพระนามว่า “จตุรภชู ะ” และ “ไตรโลกยสาระ” อกี ดว้ ย นบั ตั้งแตส่ มยั พุทธศตวรรษ ที่ ๑๒ เป็นต้นมา ดูเหมอื นจะไม่ค่อยนิยมการบชู า พระวษิ ณุ – ศิวะ ในฐานะเปน็ เทพผสมเปน็ องค์ เดยี วนกั พระศวิ ะเทา่ นัน้ ที่ได้รับการยกย่องบชู าเหนือพระวิษณุ กษัตริย์ท่ีทรงเคารพนับถือพระวิษณุมาก เป็นพิเศษ คือ พระเจา้ ชัยวรมันที่ ๓ กับพระเจ้าสรุ ยิ วรมนั ที่ ๒ ซง่ึ ท้งั สองพระองค์น้เี ม่ือสวรรคตแลว้ ไดร้ บั การเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า “พระวษิ ณโุ ลก” กบั “พระบรมวิษณโุ ลก” ตามลาดับ โดยท่วั ๆ ไปถอื กันว่าพระศวิ ะเปน็ เทพเจา้ ทย่ี ่งิ ใหญท่ ่ีสุด โดยถอื ว่าเปน็ เทพเจา้ แห่งสากลจกั รวาล แม้พระ พรหมและพระวิษณุกเ็ กิดจากพระศิวะเหมือนกนั คณุ สมบัตขิ องพระศวิ ะในฐานเป็นผู้ทาลายน้ันไม่ค่อยมี กลา่ วยืนยนั กันมากนัก พระองค์ทรงเป็นเทพเจา้ แห่งการเปล่ียนแปลง และดงั นนั้ จึงเช่อื วา่ ทรงเปน็ ผสู้ รา้ ง ขึ้นมาใหม่อีก สญั ลักษณ์ของพระองค์กค็ ือ “ลึงค”์ เปน็ ที่น่าสังเกตว่า ในศลิ าจารกึ แผ่นนน้ั ไดเ้ รียกพระ ศวิ ะว่า “วิภู” “ปรมวรหมา” “ชคัทปติ” และ “ปศปุ ติ” ศิลาจารกึ ที่พบท่ีนครวดั ได้ กล่าวถึง “อาจารย์ของพวกปาศปุ ตะคือผ้ทู น่ี ับถือพระปศุบดี” และ “อาจารย์ของพวกทน่ี ับถอื ลัทธิ ไศวะ” และดูเหมือนเจาตากวนจะพดู ถึงพวกทีน่ บั ถือพระปศบุ ดโี ดยใช้คาว่า “ปะซิวหวยุ ” (Pa–ssu– wei) ดังนัน้ จึงปรากฏวา่ มีพวกทบ่ี ชู าพระปศุบดี (พระศวิ ะ) อยู่ในกัมพชู าเปน็ นิกายหน่งึ ต่างหาก และ ปรากฏวา่ มพี วกที่บชู าพระศวิ ลึงค์ (ลงิ กายตั ) อย่ทู ัว่ ๆ ไปดว้ ยเช่นกัน ลกั ษณะท่ีน่าสนใจทีส่ ุด และเป็นลักษณะดงั้ เดิมของกัมพชู ากค็ อื การท่ีศาสนาไดม้ ีความสัมพนั ธ์กบั บ้านเมือง และการบชู าเทพต่าง ๆ ซ่ึงบางทีกห็ มายถึงพระมหากษตั รยิ ์หรือผทู้ ี่มีชื่อเสียงโดง่ ดงั ลกั ษณะ ทา่ ทีแบบนี้ปรากฏว่ามีอยู่ทว่ั ๆ ไปท้ังในจัมปาและชวา ในประเทศตา่ ง ๆ เหลา่ นี้ ตามธรรมดาเม่อื พระมหากษัตริย์ทรงสร้างวิหารหรือเทวาลัยขึ้นแลว้ เทพเจ้าทบี่ ชู ากนั ในวิหารหรอื เทวาลยั นนั้ ๆ มกั จะมี ชือ่ ตรงกบั พระนามพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ทรงสร้างหรือไมก่ ม็ ชี ่อื ตา่ ง ๆ ในทานองท่ีคล้ายคลงึ กนั นนั้ ดงั นัน้ เมือ่ พระเจ้าภทั รวรมนั ทรงสรา้ งเทวาลัยถวายพระศิวะ เทพในเทวาลัยนัน้ ก็มีพระนาม ว่า “ภเั ทรศวร” อกี ประการหน่งึ เมอ่ื กษัตริย์หรือผทู้ ี่มชี อ่ื เสยี งสวรรคตหรอื ถึงแก่กรรมไปแลว้ จะมผี ้สู รา้ ง รปู ป้ันหรือสลกั รูปขนึ้ เปน็ อนุสรณโ์ ดยสร้างให้มลี ักษณะหนา้ ตาคลา้ ยผู้ตาย แต่ตง้ั ช่ือตามเทพเจา้ ทีผ่ ตู้ าย โปรดปรานเคารพนบั ถอื มากทส่ี ุด ดังนัน้ พระเจ้าอนิ ทรวรมันและพระเจ้ายโสวรมันท่เี ขาสร้างไว้ท่ี ปราสาทบาโค (Bako) และที่ปราสาทโลไล (Lolei) จึงสร้างเปน็ รูปพระศวิ ะ พระนามเหลา่ นีม้ ักเป็นพระ นามผสม คร่ึงหน่งึ เปน็ พระนามของเจา้ ชายหรือเจา้ หญิงท่ไี ด้รบั ยกย่องเป็นเทพในสมัยที่ยังทรงพระชนม์ อยู่ ส่วนครึ่งหลังมี “อีศวร” หรือ “เทวี” ต่อทา้ ย ทั้งน้ีแลว้ แตจ่ ะเป็นเพศใด การสร้างเทวรูปอกี แบบ หนึ่งก็คือ การถวายพระนามใหม่ให้แก่พระมหากษตั รยิ ท์ ี่สวรรคตแลว้ เพ่ืออธิบายให้ทราบว่าพระองค์ได้ เสด็จไปสู่สวรรคข์ องเทพเจ้าที่คอยคุ้มครองรักษาพระองค์ เชน่ พระบรมวิษณุโลกและพระพทุ ธโลก เป็น ต้น วหิ ารทป่ี ราสาทบายนเป็นวิหารประจาชาติจริง ๆ ในวิหารท่ปี ราสาทบายนนมี้ ีพระปรางคอ์ ยู่มากมาย ท่สี รา้ งอทุ ิศถวายเทพเจ้า และบุคคลสาคญั ๆ ของประเทศ นักโบราณคดีชาวฝร่ังเศสหลายคนมี ความเหน็ วา่ วิหารตา่ ง ๆ เหล่าน้จี าแนกออกได้เปน็ ๔ ประเภทดว้ ยกนั คือ

41 ประเภทท่ี ๑ อทุ ศิ ถวายเทพเจา้ ของอินเดยี สว่ นมากอุทิศถวายพระศิวะ พระเทวี และพระวิษณุ ประเภทที่ ๒ อทุ ิศถวายพระพทุ ธเจา้ ฝ่ายมหายาน โดยเฉพาะอย่างย่งิ พระไภสัชคุรซุ ่ึงถือกนั วา่ เปน็ ผูค้ อย คมุ้ ครองเมืองต่าง ๆ และภูเขาทัง้ หลาย ประเภทที่ ๓ อุทศิ ถวายเทวดาพื้นบ้านทั้งหลาย ซ่งึ คงจะเป็นเทวดาของชาวกัมพูชาเอง คล้าย ๆ กบั เทวดาประจาเมืองทเี่ คารพนับถือกนั อยูใ่ นประเทศจนี ฉะน้ัน ประเภทท่ี ๔ อุทศิ ถวายพระมหากษัตรยิ ์ และผสู้ งู ศกั ด์ิ ทยี่ กยอ่ งนับถือกันวา่ เป็นเทพยดาอารักษ์ ซง่ึ มักทาเป็น ๒ แบบ คือ ทั้งแบบมนุษย์และแบบเทพยดา มชี อื่ ต่างกนั เพียงเล็กนอ้ ยเท่านน้ั ดังน้ัน ใน ศลิ าจารึกแผ่นหนึ่งจึงกล่าวถึงศรมี เหนทเรศวรี ซงึ่ เป็นพระรปู ของพระนางศรมี เหนทรล์ กั ษมี นกั ปราชญ์ พวกที่มีความเห็นวา่ จตุรพักตรท์ ีป่ ราสาทบายนนั้นอาจเป็นพระพักตร์ของพระศิวะก็ได้ ใหเ้ หตุผลไว้ว่าเทพ เจา้ ทเ่ี ปน็ ใหญเ่ ปน็ ประธานของปราสาทบายนก็คือ “พระศวิ ะ” ในรูปของ “ศิวลึงค์” เครอ่ื งประดบั ตกแต่งดา้ นนอกทีส่ าคัญ ๆ ของปราสาทหลังนี้กค็ ือ หอคอย ๔๐ หอ ซง่ึ แตล่ ะหอคอยมี พักตร์ ๔ พักตร์ พระพกั ตร์เหล่านี้เดมิ คดิ กนั ว่าหมายถงึ ”พระพรหม” แต่กม็ ีความสงสยั กันอยู่ เลก็ น้อยว่า พกั ตรเ์ หล่านีค้ งหมายถงึ ลึงค์ซ่ึงมีพระพักตร์ของพระศิวะอยู่ ๔ พักตร์ด้วยกัน เพราะแตล่ ะ พักตรน์ ้นั มีพระเนตร ๓ เนตรทงั้ นน้ั ลงึ ค์เหลา่ นี้พอจะเห็นมีอยใู่ นอนิ เดียบา้ งกเ็ ปน็ เพียงบางครัง้ บาง คราวเท่านน้ั ไม่คอ่ ยจะไดเ้ ห็นท่ัว ๆ ไปหรือบ่อยนกั และในจัมปากไ็ ด้พบโลหะซึ่งมีพักตร์หลายพักตรต์ ิด อยู่ท่ลี ึงค์เปน็ จานวนมาก จตุรพักตร์เหลา่ นมี้ ีอยมู่ ากมายบนซมุ้ ประตเู ขา้ นครธมและท่ปี ราสาทบายน แต่ ละแห่งลว้ นนา่ ดูทั้งนน้ั เครอื่ งหมายทม่ี ีอยู่ทีป่ รางค์องค์กลางของปราสาทบายนซึ่งบางทีอาจ เปน็ “ลึงค์” นนั้ มีชอ่ื วา่ “กมร เตง็ ชะคัท ตะราช” หรือ “เทวราช” ย่งิ ไปกว่านัน้ ก็คอื บางทีก็ เขียนวา่ “กมร เตง็ ชะคัท ตะ ราชย์” ซึง่ หมายความว่า “เทพเจ้าผูท้ รงเปน็ ราชอาณาจักร” ในศิลา จารึกมากมายหลายแหง่ ที่ปรากฏวา่ ไมเ่ พยี งแต่คนท่ีตายไปแล้วเทา่ น้นั ทีจ่ ะมผี ูส้ ร้างรูปอนุสาวรียซ์ ่ึงถือวา่ เป็นเทพเจา้ ให้ แมค้ นทีย่ ังมีชีวติ อยกู่ ็มีผสู้ ร้างใหเ้ หมอื นกนั ศลิ าจารกึ ท่นี ่าสงั เกตมากแห่งหน่งึ กค็ ือ ที่ กลา่ วถึงการมอบกองทหารที่จบั เปน็ เชลยไดถ้ วายพระเจ้าแผ่นดนิ โดยไดท้ ูลขอให้พระองค์ทรงมอบกอง ทหารกองน้ถี วาย “อาตมนั ท่ีเล็กท่สี ดุ ของพระองค์ซ่ึงเป็น “อศิ วร” ผปู้ ระทับอยูใ่ นลึงค์ ทองคา” ดงั นั้น อาตมันทเี่ ล็กละเอียดทส่ี ดุ นซี้ ่งึ อยใู่ นลึงค์จึงถอื กันว่าคือพระศวิ ะน่นั เอง และอาตมนั นีไ้ ด้ ปรากฏอยใู่ นองค์พระเจ้าแผน่ ดินองค์ต่อ ๆ มาด้วย เรื่องจตุรพัตร์จะเป็นพักตร์ของพระศิวะหรอื ของ พระอวโลกเิ ตศวรโพธิสัตว์นัน้ ก็ขึน้ อยู่กบั ว่าในรัชสมยั นนั้ กษตั ริยน์ บั ถือศาสนาใด ถา้ นับถอื พระพทุ ธศาสนาแบบมหายานกถ็ อื ว่า จตุรพกั ตรน์ ้ันเป็นพระพักตร์ของพระโพธสิ ตั ว์อวโลกเิ ตศวร ถา้ กษตั ริย์นับถือศาสนาศาสนาพราหมณ์จตุรพักตรน์ ้นั ก็เปน็ ตวั แทนของพระศวิ ะไป แบบปฏิบัติตา่ ง ๆ ที่อธิบายมาแลว้ น้นั มอี ะไรหลายอย่างที่คลา้ ย ๆ กบั ท่ีได้ปฏบิ ตั ิกนั อยใู่ นประเทศ อินเดีย เพราะในอนิ เดยี ธรรมเนียมการตัง้ ช่ือเทพประจาวิหาร เทวสถาน หรือปรางค์ต่าง ๆ ตามชื่อของ ผสู้ ร้าง เชน่ พระเจา้ วชิ ยาทิตย์ทรงสร้างเทวสถานช่ือ วชิ เยศวร พระราชนิ ีโลกมหาเทวี และพระราชนิ ี ไตรโลกมหาเทวี ทรงสร้างเทวสถานชอ่ื โลเกศวร และไตรโลเกศวร เป็นตน้ ส่วนเรื่องการเคารพบูชา บรรพบรุ ษุ นน้ั ถือวา่ เปน็ เร่ืองธรรมดาทีป่ ฏบิ ตั กิ ันอยู่ทัว่ ๆ ไป มีหลุมฝงั พระศพอยู่มากมายหลายแหง่ และ ความเห็นที่ว่าดวงวญิ ญาณจะต้องสิงสถิตอยู่ ณ ทีใ่ ดที่หน่ึงในชวี ะ มากกวา่ ท่จี ะสิงสถติ อยใู่ นรา่ งกายนัน้ กเ็ ป็นความเชื่อถือทมี่ ีอยใู่ นท่ีท่ัว ๆ ไปด้วย ความคิดเห็นและการปฏิบัติเหล่านห้ี าได้เป็นลกั ษณะทป่ี รากฏ อยใู่ นศาสนาฮนิ ดูไม่ ดังน้ัน ความคิดเห็นของชาวกัมพูชาในทานองนี้คงจะไดร้ ับอิทธิพลมาจากที่อื่นเป็น

42 แน่ สาหรบั ในเอเชยี บูรพาทวั่ ๆ ไปแลว้ การเคารพบชู าบรรพบุรษุ ที่ล่วงลบั ไปแล้วนบั ว่าเป็นศาสนาแบบ ท่ถี อื ว่าเปน็ มาตรฐานและมอี ย่ทู ั่วไปทกุ หนทกุ แห่ง ในประเทศจนี ความคิดเห็นแบบนี้ได้รับการพฒั นา อย่างเต็มท่ี โดยท่ีชาวจีนมคี วามเหน็ วา่ คนสาคญั ๆ ควรจะได้เอาไปฝงั ไวใ้ นฮวงซยุ้ เพื่อดวงวิญญาณจะมา สิงสถิตอยู่ทีร่ ปู ได้ ทั้งยังมคี วามเห็นตอ่ ไปอีกว่า วญิ ญาณของมนุษย์เป็นสงิ่ ประกอบแตง่ ดงั น้นั สว่ นตา่ ง ๆ ของวญิ ญาณอาจแยกย้ายกันไปอยใู่ นทต่ี า่ ง ๆ ได้ ความเชือ่ เหล่าน้ีผสมกบั ความเชื่อถือของชาวอินเดยี ทวี่ า่ เทพยดาจะมาปรากฏตวั ได้ในเวลาที่อวตาร ในดวงวิญญาณของมนุษยแ์ ละในรูปต่าง ๆ นั้นได้ กอ่ ใหเ้ กิดพื้นฐานทางดา้ นทฤษฎเี ก่ยี วกบั การเคารพบูชา “เทวราช” ได้เป็นอยา่ งดที ีเดียว ทัศนะ วา่ ศาสนาและรัฐควรจะได้ให้ความรว่ มมือแก่กันและกนั อย่างใกลช้ ิดและกษตั รยิ ์กัมพชู าน่าจะทรงดี พระทัยทีไ่ ด้เลียนแบบความรุ่งเรอื งของโอรสสวรรค์นน้ั ไดเ้ ป็นทยี่ อมรับนับถอื กนั ทวั่ ๆ ไปแม้ในเอเชยี บรู พา แต่บางทีก็อาจมสี าเหตุท่ีธรรมดาสามญั ยงิ่ กว่าน้นั ก็ได้ท่ีทาให้ศาสนากับรฐั รวมตวั กนั อยู่ได้ใน ดินแดนตา่ ง ๆ ทุกหนทุกแห่งที่ตกอย่ใู ต้อทิ ธพิ ลของศาสนาฮินดู ในประเทศอินเดียสมัยกลางพวก พราหมณ์มอี านาจจนกระทั่งอาจอา้ งว่าตนเปน็ ตัวแทนของศาสนาหรืออารยธรรมโดยแยกตัวออกจากรัฐ เลยทีเดยี วแต่ในประเทศกัมพูชาและจมั ปา ศาสนาและอารยธรรมของพราหมณ์ได้ถูกนาเขา้ มาผูกพันไว้ กับรัฐทงั้ หมด ศาสนาพราหมณใ์ นกมั พูชาสว่ นใหญ่มคี วามสัมพันธ์กบั การบชู า “เทวราช” จนเกอื บจะเขา้ ใจว่าเป็นส่วน หนง่ึ ของราชสานักไป ดูเหมอื นในราชสานักจะมีความเห็นว่า สงิ่ ทีจ่ าเป็นที่กษตั รยิ จ์ ะต้องแสดงให้เหน็ วา่ ตนมฐี านะสงู ศักดเิ์ หนือเจ้านายธรรมดาสามัญท่วั ไปก็คือ จะตอ้ งมอบตาแหน่งที่สงู สุดทางด้านศาสนา ใหแ้ ก่ครบู าอาจารย์ของตน พระเจ้าชัยวรมนั ที่ ๒ ได้ทรงแตง่ ตง้ั ตระกูล “ศวิ ไกวัลย์” เปน็ พระประจา เทวราชสบื ๆ กนั มาตามเชอ้ื สาย ดงั นัน้ วงศท์ างศาสนาที่ตง้ั ข้ึนจงึ มีอานาจรุ่งเรืองอยหู่ ลายรอ้ ยปี จะ ด้อยกว่าก็เฉพาะกษตั รยิ เ์ ทา่ นั้น ศิลาจารกึ ท่ีพบทส่ี ะดกกักธม (ปา่ นกยางใหญ่) ไดบ้ อกถึงประวตั ิของตระกลู ศวิ ไกวลั ยว์ า่ ได้สบื เนอ่ื ง ติดต่อกนั มาตั้งแต่รัชสมยั พระเจ้าชัยวรมันท่ี ๒ มาจนกระทั่งถงึ พ.ศ. ๑๕๙๕ ในรัชสมัยพระเจา้ อทุ ยา ทติ ยวรมันท่ี ๒ ทง้ั นก้ี เ็ พราะพระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี ๒ ทรงมีพระราชประสงค์อยา่ งแรงกล้าทีจ่ ะทาให้ ประชาชนเกิดความเช่ือมนั่ ว่าพระองค์ทรงดารงตาแหนง่ เป็นจกั รพรรดริ าช เป็นอสิ ระไม่ขึ้น ต่อ “ชวา” อกี ต่อไป ทัง้ นโี้ ดยพระองค์ได้อาศัยพราหมณ์ผหู้ นงึ่ ซงึ่ เปน็ บัณฑิตมีความเช่ียวชาญในเวท วิทยาคม “สิทธิวิทยา” พราหมณ์ผู้น้ชี ่ือ หริ ณั ยทามะ เปน็ ผู้ท่ีพระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๒ ทรงเชิญมาจาก ชนบทเพอื่ มาชว่ ยจัดทาพธิ ีการบูชาเทวราชและสอนพระประจาราชสานักชอ่ื ศิวไกวลั ย์ ให้รูจ้ ักคัมภีร์ ทั้ง ๔ อัน ไดแ้ ก่ คัมภีรว์ ินาสิขะ นโยตตระ สัมโมหะ และศิรัศเฉทะ พระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๒ ทรงตก ลงอย่างมีพธิ รี ีตองวา่ ต้องเปน็ สมาชกิ ตระกลู ศวิ ไกวัลยส์ ายมารดาเท่าน้นั จะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ จึง สมควรทีจ่ ะเป็น “ยาชกะ” คือ ผปู้ ระกอบยัญพธิ ไี ด้ ผอู้ ่ืนนอกจากนี้ประกอบยัญพิธีหาไดไ้ ม่ การจากดั ตวั ตายเช่นน้ไี ม่ต้องสงสัยละว่าหมายเฉพาะพิธีกรรมทีเ่ ก่ียวกบั “เทวราช” เทา่ นัน้ และหมายถึง สานกั งานของผทู้ ่ีทาหนา้ ท่ีประจาราชสานักซ่ึงเรยี กวา่ ปโุ รหติ ครุ ุ หรือโหตริ ซึ่งอยา่ งนอ้ ยจะต้องมีสอง คนเสมอไป ศิวไกวลั ย์ได้ตดิ ตามพระเจ้าชัยวรมนั ที่ ๒ ไปทุกหนทุกแห่งไมว่ ่าพระองค์เสด็จไปไหน ไมว่ า่ จะเปน็ คราว

43 เสด็จไปประทับอยู่ทอี่ ินทรปุระ หรือเมืองหริหราลยั หรอื อมเรนทรปุระก็ตาม ท้งั น้กี ็เพ่อื ต้องรับใช้พระ เจา้ ชัยวรมนั ท่ี ๒ นน่ั เอง ศิลาจารกึ ที่พบทีส่ ะดก กัก ธม ไดก้ ลา่ วถึงประวัติครอบครวั ของตระกลู ศวิ ไกวลั ย์ กับได้กล่าวถงึ เร่ือง พระเจา้ ชัยวรมันทรงพระราชทานท่ดี ินให้ และเรือ่ งการที่พวกพระตระกูลศวิ ไกวลั ย์ไดร้ ับยกย่อง การที่ พระเจ้าแผน่ ดนิ พระราชทานท่ดี นิ ให้ตระกลู ศิวไกวลั ย์พรอ้ มทงั้ ยอมใหม้ ีสทิ ธิทจี่ ะบังคับใชแ้ รงงาน ประชาชนดว้ ยนนั้ เปน็ เรอ่ื งธรรมดาสามญั ท่ีมอี ยู่ทั่วไปตามปรกติ ตอ่ มาพวกพระเหล่าน้ีก็จะสรา้ งเมืองขึน้ หรือไม่ก็สรา้ งหมบู่ ้านท่ีเต็มไปดว้ ยเทวสถานและสระน้า การนับถือศาสนาพราหมณใ์ นประเทศกมั พูชาน้ี จะขึ้นอยู่กบั ความเชื่อถือของประชาชนทั่ว ๆ ไป ศลิ าจารึกมกั กล่าวถึงการฟน้ื ฟูศาสนา บางทกี ล่าววา่ วดั วาอารามถูกปลอ่ ยปละละเลยให้ปา่ หญ้าข้นึ รกไปหมด เราพอจะสรุปไดว้ ่า ถ้านายบา้ นเป็นพราหมณเ์ ลิก ใหค้ วามสนใจต่อวดั เสีย จะโดยเหตุผลประการใดก็ตาม แรงงานและจตปุ ัจจยั ทจี่ ะถวายวดั กเ็ ป็นอนั ยุติ กนั ไปในตวั และปา่ หญ้ากจ็ ะถกู ปล่อยให้ขนึ้ ปกคลมุ บรรดาอาคารสถานทตี่ ่าง ๆ ไดต้ ามสบาย ภาพจาก : www.xn--12cs1b3aok1a3fdn9ezl.com พระพทุ ธศาสนาในประเทศกัมพชู า (จบ) มีศลิ าจารกึ อยู่มากมายหลายแผน่ ทีพ่ ิสูจน์ให้เหน็ ว่าตระกูลศวิ ไกวลั ยย์ ิง่ ใหญเ่ พียงใด บัญชีรายการสมบัติ พสั ถาน ข้าทาสบรวิ าร จานวนรูปปัน้ รูปสลกั ที่สร้างขน้ึ เพื่อเปน็ เกยี รติแก่บุคคลในตระกูลศิวไกวัลย์นนั้ แสดงใหเ้ ห็นว่า ฐานะของพวกศวิ ไกวลั ย์น้เี กือบเทา่ เทยี มกษัตริยเ์ ข้าไปทีเดยี ว แมแ้ ต่ในสมยั ท่ี พระมหากษัตรยิ ์ทรงนบั ถือพระพุทธศาสนา พวกพระตระกูลศิวไกวลั ย์กไ็ ดห้ ลีกเลีย่ งการทจ่ี ะยึดราช สมบัติ แตก่ ไ็ ม่มีเจ้าแผน่ ดินองคใ์ ดขึน้ ครองราชสมบัตไิ ด้ถ้าหากพระในตระกูลศิวไกวัลย์ไมย่ อมประกอบ พธิ ใี ห้ ท่านสทาศวิ ะ ทา่ นสงั กรบณั ฑิต และท่านทวิ าบัณฑิต ได้เปน็ ผู้ก่อการสืบวงศ์ทางศาสนาขน้ึ ต้งั แต่ประมาณ พ.ศ. ๑๕๕๑ – ๑๖๕๐ ควบคไู่ ปกับราชวงศ์ในสมัยเดยี วกัน ในศิลาจารึกแผน่ หนึ่งได้ บอกไว้ว่า ทา่ นทิวากรบณั ฑติ ไดป้ ระกอบพระราชพธิ ีราชาภิเษกใหแ้ ก่กษัตริยถ์ ึง ๓ พระองค์ ด้วยกนั ทา่ นสงั กรบัณฑติ ซึ่งเป็นผ้คู งแก่เรยี นนับวา่ เปน็ ผปู้ กครองประเทศจริง ๆ ในสมยั ทพ่ี ระเจ้าอุทยา ทิตยวรมนั ซ่ึงเป็นศิษยข์ องทา่ นยังทรงพระเยาวอ์ ยู่ และเม่ือกษัตริย์หนมุ่ พระองค์นี้ไดค้ รองราชสมบัติ

44 แล้ว อานาจอิทธพิ ลของทา่ นสงั กรบณั ฑติ ก็หาได้ลดนอ้ ยลงไม่ พระพุทธศาสนาแบบมหายานได้มีอย่ใู นกัมพชู าในสมยั ทมี่ ีศิลาจารึก แต่ก็ดูใกลช้ ิดสนิทสนมกบั ศาสนา พราหมณ์มาก จนรู้สึกออกจะลาบากใจทจี่ ะถอื วา่ พระพุทธศาสนาแบบมหายานน้ีเปน็ ศาสนาหนึง่ ตา่ งหากจากศาสนาพราหมณ์ ความรู้สกึ ทีว่ ่าศาสนาทั้งสองน้ีแตกต่างกนั จริง ๆ น้นั ไมป่ รากฏว่ามอี ย่ใู น ความรู้สกึ ของผู้ทาศิลาจารึกเลย และพระพุทธศาสนาก็ไม่คอ่ ยจะแตกต่างจากลัทธิไศวะและลทั ธิ ไวษณพมากนัก บันทึกท่เี กยี่ วกับพระพทุ ธศาสนาที่นับวา่ เก่าท่ีสุดน้นั มีขอ้ ความอยู่เพยี งส้นั ๆ เทา่ นน้ั เอง และมีอายุราว ๆ พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ซ่ึงศลิ าจารึกน้ีได้กลา่ วถงึ บคุ คลผหู้ นง่ึ ช่ือ “พอน ปรชั ญาจันทร์” ว่าได้ถวายทาสชายหญิงแด่พระโพธสิ ตั ว์ ๓ พระองค์ คือ พระ ศาสดา พระศรอี ริยเมตไตรย และพระอวโลกิเตศวร นบั วา่ เปน็ เรอ่ื งท่นี า่ สนใจมากทไ่ี ด้ทราบว่าพระเจ้ายโสวรมนั ไดท้ รงสร้าง “เสาคตาศรม” หรือวดั ใน พระพทุ ธศาสนาคกู่ บั “พราหมณาศรม” ขน้ึ ในนครธม ผู้ที่อยูใ่ นเสาคตาศรมได้รบั ยกยอ่ งนบั ถือเทา่ เทียมกับพวกพราหมณ์ และมรี ะเบียบข้อบงั คับและหนา้ ท่ีตา่ ง ๆ เกือบจะคล้ายกบั พวกพราหมณ์ ทเี ดยี ว คือ มีหนา้ ที่เปน็ ผ้ดู ูแลโรงอโุ บสถหรือวหิ าร เป็นอนาคาริกดารงชวี ติ ด้วยภิกขาจาร และทา หนา้ ทีใ่ นการฌาปนกจิ ศพตา่ ง ๆ อาจารยท์ มี่ ีความเชย่ี วชาญในคัมภรี พ์ ุทธศาสนาก็ได้รับยกยอ่ งเสมอ ด้วยอาจารยใ์ นลทั ธไิ ศวะและลทั ธปิ าสุปตะ คือ ลัทธทิ ่ีนับถอื พระปศุบดี อาจารย์ในสองลัทธินไี้ ดร้ บั ยก ย่องมากเป็นพิเศษก็คือ ผูท้ ่มี ีความเชีย่ วชาญในดา้ นไวยากรณ์ แต่อาจารย์ในพระพทุ ธศาสนาอาจไดร้ ับ เกียรตติ ่ากว่าอาจารย์ในศาสนาพราหมณ์อยบู่ า้ งเลก็ นอ้ ย แมใ้ นศิลาจารึกท่จี ารึกเร่อื งการสร้างอาศรม ท้ังสองน้ีกไ็ ด้แสดงให้เหน็ ความละม้ายคล้ายคลงึ กันอยู่ เฉพาะในศลิ าจารกึ ทัง้ สองนน้ั ข้ึนต้นด้วยโศลก สองบทท่ีกลา่ วสดดุ พี ระศิวะ แลว้ ศลิ าจารึกทางพระพทุ ธศาสนาจงึ ได้เพิ่มโศลกอกี บทหนึ่งที่กล่าวสดดุ ี พระพุทธเจ้าแลว้ ตอ่ จากน้นั ไปมขี อ้ ความเหมือน ๆ กันอกี หลายโศลก พระพทุ ธศาสนาแบบมหายานดูเหมอื นจะเจรญิ รงุ่ เรืองมากเป็นพิเศษนบั แต่สมยั พุทธศตวรรษที่ ๑๕ มา จนกระท่ังถึงพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ และตลอดสมัยน้นั เราไดพ้ บลักษณะที่ละม้ายคลา้ ยคลงึ กันอยู่ ด้วย นนั่ คอื ผู้บริจาคคนสาคัญ ๆ น้ันหาใชพ่ ระมหากษัตริย์ไม่ กลบั กลายเปน็ พวกอามาตย์ข้าราช บริพารของพระองค์ไป พระเจา้ สรุ ิยวรมันที่ ๑ (พ.ศ. ๑๕๙๒) เมอ่ื สวรรคตแลว้ ก็ไดร้ ับการเฉลมิ พระ บรมนามาภไิ ธยว่า “นิรวาณบาท” จึงทาใหส้ นั นิษฐานได้ว่าพระองคท์ รงนบั ถือ พระพทุ ธศาสนา และพระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๗ ก็ได้ท้ิงศิลาจารึกท่มี ีข้อความยาวเหยยี ดซงึ่ เริม่ ตน้ ด้วย ข้อความท่ีแสดงให้เห็นวา่ พระองค์ทรงนับถือพระพุทธศาสนาจรงิ ๆ มีศิลาจารึกของพระเจา้ สรุ ยิ วรมัน อยู่แผน่ หน่ึงท่ีในโศลกบทท่ีสองของศลิ าจารกึ นั้นไดก้ ล่าวว่าคาสอนของพระพุทธเจา้ เท่าน้ันจรงิ ศิลา จารกึ แผ่นน้ไี ดเ้ ริ่มต้นด้วยการกลา่ วสรรเสริญพระศิวะ พระเจา้ ชัยวรมันท่ี ๗ หาได้ทรงละเลยเพิกเฉย ต่อเทพเจ้าทั้งหลายเสยี ทีเดยี วไม่ มีอยู่ประมาณร้อยปที ่ไี ด้มีพวกอามาตย์ราชเสวกคนสาคัญ ๆ หลายคน ทไ่ี ดส้ นับสนุนสง่ เสรมิ พระพทุ ธศาสนา เช่น ทา่ นสตั ยวรมัน (ประมาณ พ.ศ. ๑๔๔๐) ซึ่งไดร้ ับ มอบหมายใหส้ ร้างปราสาทพิมานอากาศขึ้นทนี่ ครวัด ท่านกวนิ ทรารมิ ัทนะ ซึ่งเป็นเสนาบดใี นรชั สมยั พระเจ้าราเชนทรวรมนั ท่ี ๒ และพระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี ๕ ก็ได้สรา้ งพระพุทธรปู ไวม้ ากมาย กับอีกคนหนึ่ง

45 คือท่านกรี ติ บณั ฑติ ซงึ่ เปน็ เสนาบดีในรัชสมยั พระเจา้ ชัยวรมันท่ี ๕ เป็นผแู้ ต่งศลิ าจารึกที่พบท่ีสฺ เรย สันธอ (Srey Santhor) กล่าวยกยอ่ งความเพยี รพยายามของตนที่ไดใ้ ห้คาสอนอันบริสุทธข์ิ อง พระพทุ ธเจา้ ปรากฏขึน้ มาอีกวาระหน่งึ เสมือนดวงจันทร์ทพี่ ้นจากหม่เู มฆหรือดวงอาทิตยย์ ามร่งุ อรุณ ฉะน้ัน เราอาจสร้างจนิ ตนาการเอาเองได้อย่างง่าย ๆ วา่ อานาจที่พระประจาราชสานัก (ศวิ ไกวัลย์) ได้รบั นน้ั ได้เปน็ เหตใุ ห้พวกปัญญาชนทาการปฏวิ ัตติ อ่ ศาสนา ถืออานาจสงู ตา่ ลดหล่ันกันน้ี และหนั ไปนิยมชมชนื่ ต่อเสรีภาพและศาสนาตา่ ง ๆ ทใ่ี หค้ วามปลอดภยั บางทพี ระเจ้าแผ่นดนิ เองร่วมกับพวกประจาราช สานักที่ยอมรบั นบั ถือวา่ พระองค์เป็นเทพเจา้ จะมีความยนิ ดีปรดี าที่อนุญาตให้พวกพระมีเกยี รตพิ อ ๆ กับ พระองค์ โดยทรงยกย่องให้พระเหล่านนั้ มอี านาจยง่ิ ใหญ่ แม้การทาให้ลทั ธไิ ศวะเป็นเอกลักษณ์กบั พระพุทธศาสนาจะทาได้อย่างสมบูรณแ์ บบ จนกระทงั่ เราไดท้ ราบว่ามี “ตรมี ูรติ” ท่ี ประกอบด้วย พระปัทโมทภวะ (พระพรหม) พระอัมโภชเนตร (พระวษิ ณ)ุ และพระพุทธเจา้ แต่ ศิลาจารกึ ที่พวกเสนาบดที ่ีเป็นพทุ ธศาสนิกชนสรา้ งข้ึนก็ได้แสดงถงึ ความชื่นชมยินดีในสมั ฤทธิภาพแห่ง ความพยายามของตน ในศิลาจารกึ แผ่นหนงึ่ ซึ่งสรา้ งขนึ้ โดยมีวัตถปุ ระสงคเ์ พื่อจารึกเรอ่ื งราวที่อามาตย์ชื่อ กวินทราริ มทั นะ สรา้ งพระโพธสิ ัตว์ปรัชญาปารมิตาข้นึ เพอื่ ยกย่องให้เปน็ ปชู นียวตั ถุคบู่ า้ นค่เู มืองยโสธรปรุ ะ แม้ ทา่ นผ้นู จี้ ะเป็นพุทธศาสนิกชนทน่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนาอย่างมั่นคง แตค่ วามจงรักภักดีที่ท่านมตี ่อ พระมหากษัตรยิ น์ ้ันมีมากเหลือเกิน ทา่ นได้สร้างปรางคข์ ึน้ สามปรางคท์ ่ีบาฎชุม (Bat Cum) ท่ปี รางค์ ทั้งสามนมี้ ีศลิ าจารึกเกีย่ วกับการสร้างสระนา้ ด้วย ปรางคอ์ งค์แรกอ้างถึงพระพุทธเจา้ พระโพธสิ ตั ว์วัชร ปาณี และพระโพธิสัตวโ์ ลเกศวร ทป่ี รางคอ์ ่ืน ๆ มีพระปรัชญาปารมิตามาแทนที่พระโลเกศวร และถือ ว่าเป็นเทพธิดาหรือศักติ บางแหง่ กใ็ ช้คาว่า “เทวี” แทน ศลิ าจารกึ ทงั้ สามแห่งน้ไี ด้สรา้ งขึน้ เพื่อเป็น อนุสรณ์ในการสรา้ งสระน้าศกั ด์สิ ทิ ธ์ิแต่ทง้ั ๆ ท่ผี ูส้ รา้ งเปน็ ชาวพทุ ธ ศิลาจารึกกย็ ังมขี ้อความพาดพิงไป ถงึ เร่อื งราวเกยี่ วกบั ศาสนาพราหมณ์ด้วย ศิลาจารกึ ทส่ี ฺเรย สนั ธอ (ประมาณ พ.ศ. ๑๕๑๘) ได้พรรณาถงึ กจิ การท่ีท่านกีรติบัณฑิตไดพ้ ยายาม ฟน้ื ฟูพระพุทธศาสนาข้นึ มาใหมจ่ นสาเร็จและได้ยกความดีความชอบนถ้ี วายแด่พระเจา้ ชัยวรมัน ท่ี ๕ ทา่ นกีรตบิ ัณฑิตเป็นพระประจาราชสานักทีไ่ ดล้ ะท้งิ การบูชาพระศิวะมานบั ถือ พระพุทธศาสนา ทง้ั ยังเป็นผู้ชา่ ชองในเร่ืองเกยี่ วกับพระพุทธศาสนาเป็นอยา่ งมาก เมื่อถงึ วันดีคืนดที ่าน จะเอาพระพุทธรูปมาสรงน้าเป็นพิธใี หญโ่ ตทีเดยี ว เร่อื งทีน่ า่ สนใจในศลิ าจารึกน้ีกค็ อื ขอ้ ความที่กลา่ ววา่ กีรติบัณฑติ ไดน้ าเอาคมั ภรี ์พทุ ธศาสนามาจาก ต่างประเทศ คมั ภรี ต์ า่ ง ๆ เหล่านีร้ วมทัง้ “ศาสตร์มัธยวิภาค” และ “อรรถกถาตัดตวสง เคราะห์” ดว้ ยคมั ภีร์ศาสตรม์ ัธยวภิ าคคงจะเป็นคัมภีร์ “มาธยานตวภิ าคศาสตร์” ทที่ า่ นวสพุ ันธ์ไุ ด้ รจนาไว้เปน็ แน่ ผจู้ ารกึ ศิลาน้ีไว้ได้ก่อใหเ้ กิดความสนใจในการสนับสนุนขอ้ ความทท่ี า่ น “ตารนาถ” ได้ กล่าวว่า ศษิ ย์ของทา่ นวสุพนั ธ์ไุ ด้นาพระพุทธศาสนาเขา้ มาสอู่ ินโดจีน

46 ในรชั สมัยพระเจ้าชยั วรมันที่ ๗ แม้ศาสนาฮินดจู ะยงั คงมีอย่แู ละพระประจาราชสานักซ่งึ เป็นพวกท่นี บั ถอื ลทั ธิไศวะจะยังคงได้รบั การยกย่องอยกู่ ต็ าม แต่ถงึ กระนัน้ พระพทุ ธศาสนาแบบมหายานกย็ ังคงมีอิทธิพล มากจนเปน็ ทีย่ อมรบั นบั ถอื กันวา่ เปน็ ศาสนาประจาราชสานักหรือประจาชาติเอาทเี ดยี ว และท่นี ่าสังเกต ยิง่ ไปกวา่ น้ันอีกก็คือ ในรชั สมยั เดียวกันนี้เองพระพุทธศาสนาแบบมหายานได้เจริญรงุ่ เรืองอยู่ในจัมปา และชวาด้วย ทง้ั นค้ี งจะเปน็ เพราะความเจรญิ รุง่ เรืองแหง่ พระพทุ ธศาสนาในลังกาและพม่ามผี ลสะท้อน ไปถงึ พระพทุ ธศาสนาทุกนิกายในประเทศอ่ืน ๆ ในเอเชยี อาคเนยด์ ้วยนัน่ เอง ศลิ าจารกึ ทมี่ ขี ้อความยืด ยาวของพระเจา้ ชยั วรมันที่ ๗ นน้ั บรรจขุ อ้ ความถงึ ๑๔๕ โศลก เวลานีย้ ังเกบ็ ไวท้ ปี่ ราสาทตาพรหม ใกล้ ๆ นครวัด ศลิ าจารึกแผ่นน้เี ร่มิ ต้นด้วยการอ้างถึงพระพุทธเจา้ ในรูปของตรีกาย พระโลเกศวร และ ชินมาตา ซึ่งหมายถงึ พระโพธิสตั ว์ปรัชญาปารมิตาซึง่ เป็นเพศหญิง มิไดม้ ีข้อความกล่าวถงึ พระศิวะ เลย แตม่ ีกลา่ วถึงเทวดาในศาสนาพราหมณ์มากมายหลายองค์ดว้ ยกัน และมีกล่าวถึงพระภกิ ษแุ ละ พวกพราหมณป์ น ๆ กันไป ศลิ าจารึกน้ันได้กล่าวถึงรายการสงิ่ ของต่าง ๆ ท่มี ีผู้ถวายใหเ้ ป็นของใชใ้ น วหิ ารตา่ ง ๆ และทอ่ี ุทศิ ถวายเฉพาะบุคคล ศิลาจารึกนมี้ ิได้ใหค้ วามแจ่มกระจ่างเก่ยี วกบั พธิ ีทาง พระพุทธศาสนามากนัก ทาให้เขา้ ใจวา่ คงจะมีการประกอบพิธที างพระพุทธศาสนากับศาสนาพราหมณ์ ไปพร้อม ๆ กัน เราไดท้ ราบว่ามีเคร่อื งทรงสาหรบั เทวดาท้ังหลาย และมีมุ้งที่ทาดว้ ยผ้าจีนถึง ถงึ ๔๕ ปาก เพอื่ ใช้ปกป้องคุ้มครองพระพุทธรปู และเทวรปู ต่าง ๆ ไดก้ ลา่ วถงึ วันอุโบสถและงานฤดู หนาวซึ่งเป็นงานทเี่ ขาจะนาเอา “พระภควัตและพระภควดี” ไปรว่ มในพิธีพร้อมดว้ ยราชวตั รฉตั รธงดุ ริยสังคตี และมีเด็กสาว ๆ ฟ้อนราขบั ร้องตามไปด้วย ผทู้ ่มี าร่วมในพิธที ัง้ หมดรวมทง้ั พระดว้ ยมจี านวน ถงึ ๗๙,๓๖๕ คน ซึง่ อาจรวมทัง้ พวกบา้ นใกล้เรือนเคียงด้วยก็ได้ ในพิธีน้ีมีพระอธกิ ารชัน้ ผู้ใหญ่ ๑๘ รปู พระอนั ดบั ๒,๗๔๐ รปู กับผูช้ ว่ ยรวมท้ังลูกศษิ ย์อกี ๒,๓๒๒ คน ซง่ึ ทงั้ น้ี รวมเอา เดก็ หญิงท่ีฟ้อนราขับร้อง ๖๐๕ คนเข้าไวด้ ้วย จานวนทก่ี ล่าวน้ดี อู อกจะมากไปสกั หน่อย ศลิ าจารกึ ได้สรปุ ด้วยขอ้ ความทกี่ ล่าวถงึ ว่าในประเทศกัมพชู ามโี รงพยาบาลอยู่ ๑๐๒ แห่ง โรงพยาบาล เหลา่ น้คี งมใิ ชพ่ ระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ สร้างข้นึ ทั้งหมดเปน็ แน่ และดเู หมือนวา่ พระองค์จะทรงถือว่า โรงพยาบาลเปน็ สว่ นหน่งึ แหง่ รฐั ที่มกี ารปกครองที่เปน็ ระเบียบเรยี บร้อยดีแลว้ พระองค์ทรงเอาพระทยั ใสแ่ ละทรงใช้จ่ายเงนิ เพื่อโรงพยาบาลเป็นจานวนมาก และได้ทรงอุทศิ เปน็ พระราชกุศลถวายพระราช มารดาของพระองค์ รายละเอียดเกี่ยวกบั โรงพยาบาลเหล่าน้ีท่ปี รากฏอยู่ในศลิ าจารกึ อีกแผน่ หน่ึงซงึ่ พบ ในประเทศลาวทาใหเ้ ราทราบวา่ เรื่องราวทั้งหมดน้นั เป็นเรอ่ื งของพระพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนามี บทบาทในกุศลทานนี้มากกวา่ ศาสนาพราหมณ์ ในเบอ้ื งแรกศลิ าจารึกได้อา้ งถึงพระพุทธเจ้าซึง่ มีตรกี าย น้นั วา่ เปน็ ผูอ้ ยู่พน้ จากการทจ่ี ะจัดวา่ เป็นภาวะหรอื อภาวะ ต่อจากนน้ั กไ็ ด้กลา่ วถึงพระไภสัชคุรุและพระ โพธิสัตว์อีกสององค์ซง่ึ เป็นผู้ทาลายความมืดและโรคภยั ต่าง ๆ พระผเู้ ปน็ เจา้ เหล่าน้ซี งึ่ เป็นผู้ยิ่งใหญ่แหง่ สวรรค์เบอ้ื งตะวนั ออกอนั เปรียบเสมอื นสขุ าวดนี ้ันยงั คงเป็นเทพเจ้าทีช่ าวจีนและญปี่ ุ่นนบั ถอื อยู่ โดยถอื กันว่าเปน็ เทพแห่งแสงสว่าง โรงพยาบาลต่าง ๆ ที่กษัตริย์กมั พูชาทรงสร้างข้นึ ภายใต้ความคุ้มครองของ เทพเจ้าแห่งน้ไี ด้เปิดบริการแกป่ ระชาชนทงั้ สีว่ รรณะ มีเจา้ หนา้ ที่ ๙๘ คน โหร ๑ คน และผู้ ประกอบพธิ ี (ยาชกะ) อีก ๒ คน ศลิ าจารกึ ของพระเจ้าชยั วรมันท่ี ๗ เหล่านี้ นับวา่ เป็นศลิ าจารึกสดุ ท้ายที่ได้บอกเร่ืองราวเก่ียวกับ ศาสนาในสมยั กลาง แตเ่ ราก็มเี รื่องศาสนาทไ่ี ด้มาจากที่อืน่ ๆ อีกบา้ ง คือข้อความท่ี “เจาตากวน” ซ่งึ

47 มาจากราชสานกั ตีมรู ข์ า่ นไดจ้ ดไวเ้ ม่ือคราวมาเยือนนครวดั ปี พ.ศ. ๑๘๓๙ เจาตากวนได้อา้ งถึงวัดทีอ่ ยู่ ใจกลางเมืองซ่งึ คงหมายถึงปราสาทบายนนน่ั เอง และยังได้กลา่ วไว้ดว้ ยว่ามีหอคอยทองคาอย่แู ห่ง หนึ่ง และวา่ ทางทิศตะวันออกมสี ะพานทองคา มีสิงโตสองตัวขนาบขา้ งอยู่ และมีพระพุทธรูป อีก ๘ องค์ ทง้ั หมดนี้ทาด้วยโลหะชนิดเดยี วกัน ข้อความท่ีเจาตากวนไดก้ ล่าวอา้ งถึงว่าดว้ ย “ศาสนา ท้ังสาม” น้ัน แปลลอิ อต์ (Pelliot) ได้เขยี นไว้พอสรปุ ได้ดังนี้ เขาเรียกพวกนกั อักษรศาสตร์วา่ “ปันจิ” เรยี กพวกที่ห่มผ้าเหลืองว่า “จูกุ” และเรียกพวกทีน่ บั ถอื ลทั ธิ เต๋าว่า “ปะซิวหวุย” ขา้ พเจา้ ไมท่ ราบว่าปนั จินับถือศาสนาอะไร พวกปนั จิไมม่ โี รงเรยี นจงึ ยากทีจ่ ะ บอกว่าพวกนี้อ่านหนังสืออะไร พวกปันจิแตง่ ตวั คลา้ ยกบั พวกอืน่ ๆ น่นั แหละ เพยี งแตว่ ่าพวกนมี้ ีดา้ ย ขาวคลอ้ งคอดว้ ยเท่านนั้ เอง พวกน้อี ยู่ในฐานะทีส่ ูงมาก พวก “จกู ุ” ปลงผมและครองผา้ สเี หลือง เปิด ไหลข่ วา ร่างกายท่อนลา่ งพันไว้ด้วยผ้านงุ่ สเี หลอื ง และเดินเท้าเปล่า วิหารของพวกจูกุบางทกี ็มงุ ดว้ ย กระเบื้อง ในวหิ ารมีรปู รูปหนง่ึ คลา้ ย ๆ พระศากยมนุ ี ทพ่ี วกจูกเุ รียกวา่ “โปไล” (คอื พระ) ซง่ึ ประดบั ตกแต่งด้วยเคร่ืองประดับสแี ดงเข้มและสนี ้าเงิน หม่ ผา้ สีแดง พระพทุ ธรปู บนปรางค์ต่าง ๆ มีรูปร่างต่าง ๆ กนั และหลอ่ ดว้ ยทองสัมฤทธ์ิ ไม่มรี ะฆงั ไมม่ ีกลอง ไม่มีฉิ่งฉาบ และไม่มีธงอยู่ในวิหารเลย พวกจู กุฉนั อาหารในวัด ฉนั ปลาและเนือ้ ด้วย แถมยงั เอาเน้ือและปลาไปถวายพระพุทธเจา้ อกี ด้วย แตไ่ มด่ ืม่ สุรา พวกจูกุท่องคัมภีร์ต่าง ๆ มากมายท่ีจารกึ ไว้บนใบลาน พระพุทธรูปบางองค์มหี ้องสาหรบั ประดิษฐานโอ่อ่า และมสี ปั ทนดา้ มทองและดา้ มเงนิ ดว้ ย พวกเจา้ นายชอบมาปรกึ ษาหารือกบั พวกจูกุ ในเร่อื งต่าง ๆ ไมม่ ีพระท่ีเป็นผูห้ ญิงเลย พวกปะซิวหวุยก็แตง่ ตัวเหมือนพวกอน่ื ๆ นั่นแหละ เพียงแต่ว่าบนศรี ษะของพวกปะซิวหวุยมีอะไรอยู่ ช้นั หนึ่งท่ีมีสีแดงหรือขาวประดบั อยดู่ ว้ ย คลา้ ย ๆ “กูกุ” ทพ่ี วกผู้หญิงตาร์ตารส์ วมฉะนั้น แตด่ ูจะมี คุณภาพเลวกว่า “กูกุ” วหิ ารของพวกปะซิวหวยุ มีขนาดเล็กกวา่ วิหารของชาวพุทธ ทัง้ นเ้ี พราะมผี ู้นิยม นับถือลทั ธิเตา๋ น้อยกว่าท่นี ับถือพระพุทธศาสนานั่นเอง พวกปะซิวหวุยมิได้บชู าอะไรเลยนอกจากศลิ า สี่เหล่ยี มแผ่นหน่ึงซึง่ มลี กั ษณะคลา้ ย ๆ หนิ บนแท่นบชู าสุริยเทพในประเทศจนี ฉะนั้น ขา้ พเจ้ากไ็ ม่ทราบ เหมือนกนั วา่ ...พวกปะซวิ หวยุ นบั ถือเทพเจา้ องค์ใด ลทั ธิเตา๋ นี้ก็มผี ้หู ญิงอยู่ด้วยเหมอื นกนั พวกปะซวิ หวยุ นีไ้ ม่รับประทานอาหารของผู้อน่ื ทง้ั ไมร่ บั ประทานในทีส่ าธารณะ และไมด่ ื่มสุราด้วย พวกเด็ก ๆ ทเ่ี ป็นคฤหัสถเ์ มื่อไปโรงเรียนย่อมมีโอกาสได้คนุ้ เคนกับพระในพทุ ธศาสนา เพราะพระพวกนี้ เป็นครสู อนหนงั สือเดก็ เมื่อเดก็ เหลา่ นโ้ี ตขึ้นก็จะกลบั มาครองชวี ิตแบบฆราวาสต่อไป “ขา้ พเจา้ ไม่อาจวจิ ัยเรื่องน้ใี ห้ละเอยี ดลออได้” บางแหง่ เจาตากวนกก็ ลา่ วว่า “ทกุ ๆ คนบูชาพระพทุ ธเจ้า” และยงั พรรณนาถึงพธิ ีรตี องต่าง ๆ ท่ี นยิ มปฏิบตั ิกันอีกมากมายหลายอย่างซ่ึงก็คล้าย ๆ กับพิธีรีตองท่ีปฏิบตั ิกันอยู่ในประเทศไทยในปัจจบุ ัน นี้ ทกุ หมบู่ ้านจะตอ้ งมีวดั หรอื สถูปแห่งหนงึ่ เสมอไป เจาตากวนไดก้ ล่าวไวอ้ ีกวา่ ในการรบั ประทาน อาหารนน้ั พวกท่ีนับถือพระพุทธเจ้าทง้ั หลายจะใช้ใบไมต้ ่างช้อน และยงั ได้กล่าวเสริมไว้อีกว่า “เปน็ การปฏิบัติแบบเดยี วกับท่ีพวกคนเหลา่ นไ้ี ดท้ าถวายต่อเจตภูตและพระพุทธเจ้านัน่ เอง”

48 เจาตากวนไดส้ ารภาพไว้วา่ ขอ้ ความทีเ่ ขาจดไวน้ ัน้ ออกจะเปน็ เร่ืองที่ทราบอย่างผวิ เผนิ เต็มที และบาง ทีอาจไดร้ ับอิทธพิ ลมาจากความคดิ เหน็ ท่ีว่าในกัมพชู าควรจะมศี าสนา ๓ ศาสนา เช่นเดียวกบั ใน ประเทศจนี ด้วยเหมอื นกัน พุทธศาสนิกชนมีอยู่ทัง้ ในประเทศกัมพชู าและในประเทศจีน ไม่ต้องสงสยั ละวา่ คาว่า “ปันจิ” จะต้องหมายถงึ คาว่า “บัณฑติ ” และเจาตากวนได้เปรียบพวกพราหมณป์ ระจา ราชสานกั กมั พชู าเท่ากับพวกขุนนางจีนท่ีนบั ถอื ลัทธขิ งจอ๊ื ศาสนาทสี่ ามและรู้จกั กันน้อยท่สี ุดก็คือพวก ปะซวิ หวุย เจาตากวนถือวา่ พวกนเี้ ป็นพวกท่นี ับถือลัทธเิ ตา๋ จดุ ทีส่ าคัญของเจาตากวนก็คือความ เจรญิ รงุ่ เรอื งของพระพุทธศาสนา ขอ้ ความทเี่ จาตากวนได้กล่าวถงึ วัดวาอาราม การครองผา้ และการ ดารงชีวติ ของพวกพระ ย่อมแสดงให้เหน็ ว่าพระเหลา่ นเ้ี ป็นพวกเถรวาทซ่ึงคงจะไดร้ บั ไปจากประเทศ ไทยน่ันเอง ขอ้ ความทีเ่ จาตากวนได้บันทึกไว้นัน้ พอเทียบได้กบั ศิลาจารกึ ของพ่อขนุ รามคาแหงในสมัย ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐ เศษ ขอ้ ความที่ขดั แย้งกนั ซึ่งเจาตากวนไดบ้ นั ทึกไวน้ ้นั นับวา่ มีความสาคัญมาก ทเี ดยี ว เจาตากวนได้บนั ทึกไวว้ า่ พวกพราหมณ์ (คอื พวกปันจิ) นนั้ มีตาแหนง่ สูงอยใู่ นวงราชการแตไ่ ม่ มโี รงเรียน พวกคฤหสั ถ์ทป่ี รารถนาจะไดร้ บั การศึกษาจะต้องใช้ชีวิตในวัยเดก็ วยั หนมุ่ อยู่ในวดั ทาง พระพุทธศาสนาอยู่ชว่ั ระยะเวลาหนึง่ ซึ่งยังคงเปน็ ประเพณีท่ีถือปฏิบัติกันอยู่แมใ้ นทกุ วนั นี้ หลงั จากไป ใช้ชวี ติ ในวัดอยูช่ ั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วกจ็ ะกลบั ออกไปครองชวี ิตแบบชาวโลกๆ ต่อไปอีก สถานะเช่นนี้ แหละทีก่ ่อให้เกิดความเชื่อถือปนๆ กนั อย่ใู นหมู่ประชาชน คอื ประชาชนทง้ั หลายจะนับถือท้ัง พระพทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณไ์ ปพรอ้ ม ๆ กนั อยา่ งแยกไม่ออก พวกพราหมณ์ทีป่ ระจาราชสานัก กค็ ่อย ๆ มีจานวนลดน้อยลงตามลาดบั เมื่อเจาตากวนกล่าววา่ ชาวกัมพูชาทัง้ ปวงนับถือ พระพทุ ธศาสนานั้น เจาตากวนอาจผิดกไ็ ด้ ในเมอ่ื ได้กลา่ วว่าบนประตใู หญ่ ๆ ทน่ี ครธมวัดนครธมนัน้ มี พระเศียรพระพุทธเจา้ อยู่ แต่ทีเ่ จาตากวนทราบซึง้ อยู่แกใ่ จเปน็ อยา่ งดีก็คือประชาชนทง้ั หลายมี ความคนุ้ เคยกับวิหารและวัดวาอารามทางพระพทุ ธศาสนาเป็นอย่างดี ข้อความทเี่ จาตากวนบนั ทกึ ไว้ เกี่ยวกบั พธิ ีรีตองต่าง ๆ ที่เขาทาถวายพระพุทธเจ้านัน้ นบั วา่ เป็นสิ่งท่ีน่าสงั เกตมาก และเพราะเหตุที่ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงกลา่ วถึงบคุ คลท่ีประกอบพธิ ีรีตองจึงเปน็ เหตุทาให้คิดวา่ เจาตากวนอาจจะ ผิดก็ได้ เพราะทางพระพุทธศาสนาไมม่ ีพิธรี ตี องเช่นนนั้ แตถ่ า้ หากวา่ พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทจะ ทาพธิ รี ตี องเชน่ น้นั บา้ งในระยะแรก ๆ ก็คงมิไดน้ าเอาพธิ ีรตี องเหลา่ นัน้ มาใช้อย่างจรงิ จงั เปน็ แน่ เพราะว่าพธิ รี ตี องอยา่ งนั้นแมใ้ นปัจจบุ ันก็ไม่ปรากฏวา่ มที ากนั ในโบสถ์ในวหิ ารของกัมพูชา เลย นอกจากจะมกี ารถวายดอกไมธ้ ูปเทียนกันบ้างเท่าน้ัน พวกปะซิวหวยุ ทาให้เราคาดคะเนถึงอะไรไดอ้ ีกมากมายหลายอยา่ งด้วยกัน และถือกนั ว่าเป็นพวก เดียวกับ “บาไซห์” (Boseih) หรือชนช้นั นักบวช (Sacerdotal Class) ของพวกจาม แต่กม็ สี ิง่ ท่ี นา่ สงสยั อยหู่ นอ่ ยหน่ึงวา่ คานจ้ี ะใชห้ มายถึงพวก “ปสุปตะ” คอื ผูน้ ับถือพระปศุบดีหรือเปล่า ทง้ั ขอ้ ความทีเ่ จาตากวนไดบ้ ันทกึ ไวก้ ็ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ เป็นนกิ ายหน่ึงทีบ่ ชู าศิวลงึ ค์ แม้จะไม่มขี ้อความที่พาดพึง ถงึ “หินบนแท่นบชู าสรุ ิยเทพในประเทศจนี ” ที่พอจะเทียบกับพวกศวิ ลงึ ค์อยู่เลยก็ตาม เจาตากวนมี ความเหน็ วา่ พวกปะซวิ หวยุ ก็คือพวกทนี่ บั ถอื ลัทธิเตา๋ ที่อยู่ในประเทศกมั พชู านัน่ เอง นับต้งั แตส่ มัยเจาตากวนเร่อื ยมาจนถงึ ปัจจุบนั นี้ มีข้อที่น่าสังเกตเกีย่ วกบั ศาสนาในกัมพูชาอยเู่ พยี ง เล็กนอ้ ยเท่าน้ันเอง พระพุทธศาสนาแบบหนี ยาน (เถรวาท) ได้กลายเป็นศาสนาท่ีมีอิทธิพลมาก

49 ที่สดุ ศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาพเิ ศษและมักจะกดข่ีประชาชน เปน็ ศาสนาท่ีจะหาความนิยมชมชน่ื จากประชาชนไม่ไดเ้ ลย เปน็ ศาสนาทบ่ี ังคับใชแ้ รงงานเพื่อสรา้ งสรรคป์ ชู นยี สถานมหมึ าขึน้ มา มากมาย แมว้ า่ ขณะนี้ปูชนยี สถานเหลา่ น้นั จะปรกั หักพังไปบ้างแลว้ แตก่ ็ยงั นบั วา่ เปน็ สง่ิ ท่ีเชดิ หนา้ ชตู า ของกมั พชู าแมก้ ระทั่งทุกวันน้ี ณ สถานที่ตา่ ง ๆ เหล่านไี้ ด้มศี ิลาจารึกท่ีกลา่ วถงึ แรงงานที่พวกกรรมกร ต้องใช้ในการสรา้ งสรรคส์ งิ่ ตา่ ง ๆ เหลา่ นี้ เมอ่ื พระพุทธศาสนาจากประเทศไทยแผ่เขา้ ไปสกู่ ัมพชู า ก็ได้ ก่อใหเ้ กิดความเจรญิ ก้าวหนา้ เปน็ ทวคี ูณ แม้ชยั ชนะน้จี ะเป็นของเพอื่ นบ้านคือไทยกต็ าม แต่ชยั ชนะนี้ ย่อมอานวยประโยชนแ์ ก่คนจนที่ถกู กดข่ีมากทีเดียว แม้ประชาชนทั้งหลายจะนยิ มชมชอบพวกเจา้ ขุน มูลนายแต่ก็หาได้มีความกระตือรือร้นที่จะต่อตา้ นข้าศึกไม่ เพราะชัยชนะที่ไทยมตี อ่ กมั พูชานน้ั ทาให้ ชาวบ้านชาวเมอื งได้รับอสิ รภาพและการศึกษามากขนึ้ แม้วา่ พระในพทุ ธศาสนาจะต้องขออาหารจาก ชาวบา้ นกเ็ ปน็ การขออย่างสุภาพท่ีสดุ ส่วนพวกพราหมณน์ ้ันกพ็ ลอยเสือ่ มอานาจไปตามราชสานัก ดว้ ย ปชู นียสถานทส่ี าคญั ที่สุดของพวกพราหมณ์ก็อย่ใู นบริเวณที่ถกู ไทยโจมตี นักเขยี นชาวโปรตเุ กสรนุ่ แรก ๆ ได้กลา่ วถงึ ปชู นยี สถานเหลา่ นว้ี ่าได้ถกู ทอดทงิ้ จริง ๆ ในตอนตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๒๒ การตดิ ต่อ กับอนิ เดยี ก็หยุดชะงักไป แม้จะมีผอู้ พยพจากดินแดนทางทิศตะวันตกเข้ามาบ้างกห็ ลงั พทุ ธศตวรรษ ท่ี ๑๘ เป็นต้น และมักจะเปน็ พวกมุสลมิ มากกวา่ ทจี่ ะเป็นพวกฮินดู เมอ่ื พวกฮนิ ดูถูกขบั ออกจาก วหิ าร วัดวาอารามของตน ทง้ั ตนเองก็ไม่มีรากฐานที่มั่นคงอย่ใู นกลมุ่ ประชาชนเลย ศาสนาพราหมณ์ ในกมั พชู าจึงตกอยู่ในสภาพทีเ่ หมือนกบั ทุกวันนี้ ราชพิธที ี่ประกอบในราชสานักกไ็ ม่ค่อยจะมคี วามหมาย อะไรนกั นอกจากที่เปน็ ราชพิธีจริง ๆ เท่านั้น สว่ นศาสนาอสิ ลามเกือบจะไม่เปน็ ทร่ี ู้จกั กันในกัมพชู า เลย พระพทุ ธศาสนาในกมั พูชาปจั จบุ นั น้กี ็คลา้ ยกับพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทยแทบทุกอยา่ ง ทั้งมิได้ ปะปนกบั ศาสนาพราหมณ์อกี ดว้ ย ในกัมพชู ามวี ัดวาอารามอยู่มากมาย ภิกษสุ ามเณรก็ไดร้ ับการเคารพ นบั ถือมาก พระทาหน้าท่ีเป็นครบู าอาจารย์เช่นเดยี วกบั ในประเทศไทยและพมา่ พวกเด็ก ๆ และหนุม่ ๆ มักจะใช้ชวี ิตอยใู่ นวดั ช่ัวระยะเวลาหนง่ึ โดยการเป็นเด็กวดั บา้ ง และบวชเป็นภกิ ษสุ ามเณรบา้ ง ตาม ปรกตวิ ัดหนงึ่ ๆ จะมีภิกษุสามเณรประมาณ ๓๐ – ๕๐ รปู ทกุ วดั จะมวี ิหารและศาลาการเปรยี ญ ใน โบสถ์ วหิ าร และศาลาการเปรียญ จะมีพระพุทธรปู ขนาดเขือ่ งประดิษฐานอยู่หนึง่ องค์ ตามฝาผนัง มกั จะมภี าพวาดเก่ียวกับชาดกบา้ ง เก่ียวกับพระพทุ ธประวัติบ้าง อยา่ งเดียวกบั ที่พบอย่ตู ามโบสถ์วิหาร ในประเทศไทยนั่นเอง แตล่ ะวดั จะมีเจา้ อาวาสรปู หน่ึงเปน็ ผ้ปู กครองดแู ลความประพฤติของภกิ ษุสามเณรในวดั เหนือเจา้ อาวาสขึ้นไปกเ็ ป็น เจ้าคณะตาบล เจา้ คณะอาเภอ และเจ้าคณะจงั หวดั การปกครองคณะสงฆ์ ทง้ั หมดอยใู่ นอานาจของสมเด็จพระสังฆราช ผู้ทอ่ี านาจรองจากสมเด็จพระสังฆราชก็คือ สมเด็จพระสุ คนธาธบิ ดี ท้งั สององค์นเ้ี ปน็ ผทู้ มี่ อี านาจบังคับบญั ชาคณะสงฆท์ ั่วประเทศ แต่มีอานาจบังคับบญั ชากัน คนละสว่ น สมเดจ็ พระสงั ฆราชมีอานาจบงั คับบัญชาคณะสงฆ์ฝา่ ยมหานิกาย และสมเด็จพระสุคนธาธิ บดีมอี านาจบังคับบัญชาคณะสงฆฝ์ ่ายธรรมยุตกิ นกิ าย สมเด็จพระสุคนธ์ฯ มีอานาจน้อยกวา่ สมเดจ็ พระสงั ฆราช แตท่ วา่ มิได้ขนึ้ ต่อสมเด็จพระสังฆราชโดยตรง ซงึ่ กด็ คู ลา้ ย ๆ กับว่าประเทศกัมพชู ามี สมเด็จพระสงั ฆราชสององค์ หรอื จะเรียกวา่ มสี มเดจ็ พระสังฆนายกสององค์จะเหมาะกว่า แต่ละองคก์ ็มี อานาจสงู สุดเฉพาะในนิกายของตน สมเดจ็ พระสุคนธฯ์ องคส์ ดุ ทา้ ยถึงแก่มรณภาพเมื่อ พ.ศ.

50 ๒๔๓๗ ตอ่ จากนั้นมาก็มิได้มีการต้ังสมเดจ็ พระสุคนธฯ์ อีกเลย สมเดจ็ พระสคุ นธ์ฯ องค์แรกเป็น นักศกึ ษาที่มีชื่อเสียงมาก และเปน็ ผทู้ ี่นาเอานกิ ายธรรมยุติกาจากประเทศไทยเขา้ ไปเผยแพร่ในกัมพูชา เม่อื คณะสงฆ์ไทยได้เปดิ การศึกษาในข้นั มหาวิทยาลยั ขึน้ สองแหง่ เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๘๙ และ พ.ศ. ๒๔๙๐ แล้ว ต่อมาทางรัฐบาลไทยก็ไดต้ ัง้ ทนุ อปุ ถมั ภ์แกภ่ ิกษุสามเณรจากประเทศบ้านใกล้เรอื นเคียงที่ จะเข้ามาศกึ ษาต่อในมหาวทิ ยาลัยสงฆ์สองแหง่ น้ีดว้ ย ปรากฏว่ามีพระจากประเทศต่าง ๆ คือ พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซยี อนิ เดีย และไตห้ วัน เข้ามาศึกษาอยเู่ ปน็ จานวนมาก ทเ่ี รยี น สาเรจ็ จบหลกั สูตรขน้ั ปริญญาตรแี ลว้ กห็ ลายรปู แตเ่ ปน็ ท่นี า่ เสียดายวา่ เมือ่ กัมพูชาตัดสัมพันธ์ทางการทตู กบั ไทยเมือ่ ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ นัน้ ได้มผี ลกระทบกระเทือนมาถงึ การศกึ ษาของคณะสงฆ์ดว้ ย ทาให้พระ นกั ศกึ ษาจากประเทศกัมพชู าที่กาลงั ศึกษาอยใู่ นมหาวทิ ยาลยั สงฆ์หลายรูปต้องเดินทางกลบั ประเทศ กอ่ นที่จะสาเร็จการศึกษา แต่แมก้ ระน้ันก็มบี างรปู ที่ไดศ้ ึกษาจนจบและไดก้ ลับไปปฏิบัติหน้าทอ่ี ย่ใู น ประเทศกัมพูชา ถา้ หากสถานการณ์ทางการเมอื งระหว่างประเทศกลับเปน็ ปรกตดิ ีอย่างเดมิ แลว้ เราคง จะได้เห็นพระนักศึกษาจากกัมพูชามาศกึ ษาอยู่ในมหาวทิ ยาลยั สงฆ์ไทยต่อไปอีกเป็นแน่ วหิ ารวรรณกรรม หรือ ชือ่ เวียดนามวา่ ‘วนั เหมียว’ เปน็ วดั โบราณแห่งหนงึ่ ของเวียดนาม ภาพจาก : www.qetour.com