ดนตรีของกลมุ่ ชาติพันธลุ์ ีซู องอาจ อินทนิเวศ โครงการนไี้ ดร้ บั งบประมาณสนับสนนุ จากกรมส่งเสริมวฒั นธรรม พทุ ธศักราช ๒๕๕๖
คำนำ ดนตรี เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันท่ีปรากฏในทุกชาติ ทุกศาสนา และทุกกลุ่มวัฒนธรรม จึงเปรียบเสมือนว่า “ดนตรีเป็นภาษาสากล” ท่ีผู้คนจากที่หนึ่งแม้ไม่เข้าใจใน ภาษาพดู ของกนั และกนั แตห่ ากได้ฟงั ดนตรี ได้มกี ารแลกเปล่ยี นกนั ทางดนตรีเขาเหล่าน้ันจะเกิดความ เข้าใจร่วมกันได้ สามารถเข้าใจความไพเราะในดนตรีของกันและกันได้ เกิดความซาบซึ้งในอัตลักษณ์ ทางดนตรีท่เี กิดข้นึ ดงั นนั้ จงึ อาจะกลา่ วได้วา่ “ดนตรี เปน็ สนุ ทรยี ะทางวัฒนธรรมของมนษุ ย์” ก็วา่ ได้ การศึกษารวบรวมองค์ความรู้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เรื่อง “ดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ ลีซู” เรื่องนี้เป็นการศึกษารวบรวมองค์ความรู้ด้านดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูในประเทศไทย ท่ีอาศัย อยู่ในเขตจังหวัดเชียงราย และบางส่วนจากแม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่ เป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมา ตั้งแต่บรรพบุรุษผ่านการบ่มเพาะทางความคิด จนกลายเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ในสาขา ศิลปะการแสดง ในการเก็บข้อมูลคณะผู้ดาเนินงานได้รับความอนุเคราะห์ช่วยเหลือท้ังแรงกาย แรงใจจาก หลายท่าน คณะผู้ดาเนนิ งาน จึงขอกราบขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.ณรงค์ชัย ปิฎกรัชต์ และ คณะวทิ ยากรกระบวนการทกุ ท่านท่ีได้ให้ขอ้ เสนอแนะในการทางานตามโครงการครั้งนี้ ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รณิดา ปิงเมือง ท่ีให้คาปรึกษาและแนวทางการ ดาเนินงานโครงการเก็บรวบรวมมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม คร้ังน้ี ตลอดระยะเวลาการดาเนิน โครงการ ขอขอบคุณท่านวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย (นายมงคล สิทธิหล่อ) และผู้อานวยการกลุ่ม ส่งเสริมศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม จังหวัดเชียงราย (นางอุทุมพร เรือนน้อย) ท่ีให้ข้อเสนอแนะต่อ การอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาวลีซู และช่วยส่งเสริมกิจกรรมการทางานของชุมชนลีซู ในจังหวัด เชียงรายคร้ังน้ี ขอขอบคุณ ทีมงานพ่ีน้องลีซูประจาหมู่บ้านทุกหมู่บ้าน ท่ีร่วมทางานกันอย่างแข็งขัน ตลอดจนพ่ีนอ้ งชาวลซี ทู กุ หมู่บา้ นที่ใหก้ ารตอบรับ และเล็งเหน็ คุณคา่ ในการสรา้ งจิตสานึกร่วมกนั ขอขอบคุณ ทีมงานอาจารย์ นักศึกษา ท่ีร่วมเดินทาง และขอแสดงความซาบซ้ึงใจต่อสมาชิก ในครอบครัวอินทนเิ วศ ท่ีเปน็ ผู้ช่วยในการเกบ็ ขอ้ มลู ภาคสนาม และกจิ กรรมอ่ืนๆ ทีเ่ ก่ยี วข้อง สุดท้ายน้ีขอขอบคุณ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ที่เล็งเห็นความสาคัญ ให้ โอกาสและสง่ เสรมิ ใหค้ ณะทางาน ตลอดจนพี่น้องกลมุ่ ชาติพันธ์ุลีซูในทุกชุมชน ทุกคน ได้เกิดจิตสานึก รักษ์ในมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และเกิดความหวงแหนในมรดกภูมิปัญญาที่สั่งสมมาแต่บรรพ บุรษุ ใหค้ งอยเู่ ปน็ มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของชาตติ อ่ ๆ ไป องอาจ อนิ ทนิเวศ เมษายน ๒๕๕๖ ณ บ้านไมห้ อม ดอยดินแดง เชียงราย
ข บทคดั ย่อ ช่อื โครงการ ดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลซี ู ผู้รวบรวม นายองอาจ อนิ ทนเิ วศ ปีทดี่ าเนนิ การ ๒๕๕๖ การศกึ ษารวบรวมขอ้ มูลมรดกภูมิปัญญาทางดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู เพื่อข้ึนทะเบียนเป็น มรดกของภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สาขาศิลปะการแสดง นั้น เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ กระบวนการภาคสนาม รวมกบั คนในชุมชน มคี ณะทางานรว่ มในทุกหมู่บา้ นท่ีเก็บข้อมูล ใช้ระเบียบวิธี วิจัยทางมานุษยดนตรีวิทยา (Ethnomusicology) เป็นแนวทางหลักในการดาเนินงาน มีการจัดการ เสวนากลุ่มย่อยภายในชุมชน เสวนาใหญ่ในระดับจังหวัด เพ่ือสร้างจิตสานึกรักษ์ในภูมิปัญญาทาง วฒั นธรรมของตน จากน้นั มกี ารตรวจสอบขอ้ มูลเพอื่ ความถูกต้องโดยชุมชนทีเ่ กย่ี วขอ้ ง จากการรวบรวมข้อมูล พบว่า ดนตรีของกลุ่มชาติพันธ์ุลีซู เป็นดนตรีท่ีเกิดขึ้นโดยการ ผสมผสานภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์ดนตรีกับการนาเอาวิถีชีวิตการดาเนินชีวิตประจาวันเข้ามา เกี่ยวข้องเป็นเน้ือหาของดนตรี สามารถสังเคราะห์ข้อมูลและจัดหมวดหมู่ โดยแบ่งตามประเภทของ ดนตรที ่ีปรากฏ ไดด้ งั นี้ เพลงร้องของลซี ู (โมะกว่ั กวั ตั๋ว) มีปรากฏในหมู่บ้านลีซูท่ีมีผู้เฒ่าผู้แก่ หรือผู้ท่ีมีอายุตั้งแต่ ๕๐ ปขี ึน้ ไป ในอดีตเปน็ เพลงร้องทีใ่ ชใ้ นโอกาสตา่ งๆ เช่น การทาพิธีกรรมต่างๆ และงานกิจกรรมต่างๆ แต่ ในปัจจุบันจะมีให้เห็นในช่วงงานปีใหม่ลีซู ซ่ึงตรงกับช่วงตรุษจีน นั้นเอง เพลงร้องโมะกั่วกัวตั๋ว เป็น เพลงที่ต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบในการคิดเน้ือร้องเพื่อร้องโต้ตอบกัน โดยมากจะเป็นฝ่ายชายสอนฝ่าย หญิงร้อง และจะยดึ ทานองเดิมไปตลอด ดนตรขี องเครอื่ งดนตรซี ือบอื ซอื บอื เป็นเครอ่ื งดนตรีประเภทเครื่องสาย ด้วยเสียงท่ีดังกังวาน ของเคร่ืองดนตรี ประกอบกับสาเนียงของบทเพลงท่ีไพเราะ มีเทคนิคการสะบัดสาย และเล่ือนเสียง รวมทั้งท่าทางการบรรเลงท่ีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงทาให้ซือบือเป็นเครื่องดนตรีท่ีสาคัญของชาวลีซู ท่บี ง่ บอกความเปน็ ลีซอู ย่างแทจ้ รงิ และเปน็ สิง่ ที่คนลีซมู ีความภาคภมู ิใจ ดนตรีของเครื่องดนตรีฝู่หลู ฝู่หลูเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า ลิ้นอิสระ แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ไดแ้ ก่ ปาลฝิ หู่ ลู (ฝู่หลูขนาดเล็ก) ฝู่หลูแลแล (ฝู่หลูขนาดกลาง) และฝู่หลูนาอุ (ฝู่หลูขนาด ใหญ่) แต่ในปัจจุบันน้ีฝู่หลูแลแล และฝู่หลูนาอุ กาลังเร่ิมหายไป โดยเฉพาะฝู่หลู่นาอุซึ่งในจังหวัด เชยี งรายน้ันไม่มีแล้ว ท้ังนี้ด้วยขนาดของเคร่ืองที่มีขนาดใหญ่ ต้องใช้ลมในการเป่ามาก บทเพลงช้าไม่ เรา้ ใจเม่ือเป่าประกอบการเต้นรา จงึ ทาให้ฝู่หลูนาอุหายไปจากสังคมชาวลีซู ส่วนฝู่หลูแลแล เร่ิมได้รับ การอนุรกั ษจ์ ึงยงั พอมีใหเ้ ห็นบาง
ค ดนตรีของเคร่ืองดนตรีหยื่ลุ หย่ืลุเป็นเคร่ืองดนตรีประเภทขลุ่ยตรง มีท้ังแบบเป่าปลาย และ เป่าข้าง บทเพลงที่บรรเลงมีไม่มาก ยังพอมีให้พบเห็นโดยทั่วไป แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมในกลุ่ม เยาวชน ปัจจุบันมีการดัดแปลงเอาขลุ่ยหย่ืลุมาบรรเลงบทเพลงพื้นเมืองบ้าง หรือเป่าเล่นเพ่ือความ สนุกสนาน การทาขลยุ่ หยล่ื ุใชก้ รรมวิธไี ม่ซบั ซอ้ น แต่บทเพลงกาลงั สญู หาย ดา้ นบริบทท่เี ก่ยี วข้อง พบว่า สถานะภาพของดนตรีลซี ูในปัจจุบัน ยังคงได้รับความนิยมอยู่ใน ระดับสูง ท้ังน้ีเน่ืองจากดนตรีเป็นส่วนหน่ึงของกิจกรรมงานประเพณี (งานปีใหม่ลีซู) ที่จัดข้ึนเป็น ประจาทุกปี ท่ที กุ หมบู่ า้ นใหค้ วามสนใจยึดถือปฏิบัติกันมาแต่โบราณ แต่ในสภาพการณ์จริงของดนตรี ทไี่ ดร้ บั ความนยิ มนี้ มีข้อสงั เกตและนา่ ศกึ ษาอยา่ งน่าเป็นห่วงถึงสถานะที่เป็นอยู่ กล่าวคือ ความลดลง และเส่ือมถอยของดนตรี จากปัญหาการขาดความสนใจฝึกหัดเล่นเครื่องดนตรีที่สั่งสมมา ทาให้ขาด นกั ดนตรีทีจ่ ะมาสบื ทอดบทเพลง ทาใหบ้ ทเพลงบางเพลงหายไป หรือตัดทอนไป บางเพลงมีการเสริม เติมแต่งข้ึน หรือแม้แต่การบรรเลงเพ่ือให้เกิดเสียง โดยมิได้คานึงถึงความหมายของบทเพลงน้ันๆ อยา่ งแทจ้ ริง ซึง่ หากในการเพิ่มเติมแต่งบทเพลงโดยมีการให้ความหมายอย่างชัดเจนก็ยังถือว่าอนุโลม ได้ แต่บางเพลงเป็นเพียงแค่ทานองท่ีเคยฟังมาแล้วนามาบรรเลงตามท่ีใจคิด ก็ไม่อาจอธิบายถึงความ เป็นมา หรือความหมายของบทเพลงน้ันได้ ซ่ึงต้องยอมรับว่าเป็นวิถีกระบวนการเปล่ียนแปลงทาง ดนตรที มี่ ไิ ด้มกี ารจดบนั ทึก หรอื ยดึ ถือรปู แบบตายตัวแต่อย่างใด สถานภาพของนักดนตรีลีซูส่วนใหญ่ไม่ต่างจากชาวบ้านท่ัวไปมากนัก ต้องทางาน ทาไร่ หา ของปา่ เพื่อเสริมสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว ส่วนที่จะแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่พอจะ สงั เกตได้อยา่ งเดน่ ชัด คอื ความอารมณ์ดี เป็นมิตรกับทุกคน และการบรรเลงดนตรีให้กับผู้คนท่ีสนใจ ฟงั เสมอ การเปลี่ยนแปลงตามสภาพการณข์ องสังคมที่เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัย คุมคามท่ีเข้าเก่ียวพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ต่อดนตรีของกลุ่มชาติพันธ์ุลีซู ถึงแม้จะอยู่ในที่ห่างไกล เพียงใดก็มอิ าจหลบหนคี วามทันสมยั ทางเทคโนโลยี ตลอดจนความเจริญทางวัตถุที่แทรกซึมเข้ามาทุก ด้าน จนมิอาจปฏิเสธได้ ดนตรีลีซูในวันน้ีมีปัจจัยที่เข้ามาคุมคามเช่นกัน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รวมถึงเทคโนโลยีขา่ วสารทีเ่ ข้ามาอย่างรวดเรว็ กล่มุ ชมุ ชนชาติพันธล์ุ ีซูทุกหมู่บ้าน ได้มีมติร่วมกันเพื่อขอเสนอให้ ดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู เปน็ มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติ เพื่อจักได้ยังผลให้เกิดประโยชน์ ท้ังด้านการเรียนรู้ ความ ตระหนักในคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม เพ่ือสร้างจิตสานึกในการรักษาภูมิปัญญาของตนให้คงอยู่ และสืบทอดให้แก่เยาวชนในรุ่นต่อๆ ไป โดยมีเหตุผลสนับสนุนการข้ึนทะเบียน กล่าวคือ ดนตรีของ กลุ่มชาตพิ นั ธ์ลุ ีซู เป็นมรดกภมู ปิ ญั ญาในประวตั ิศาสตร์ของมนษุ ยชาติ และสังคมไทย เป็นภูมิปัญญาท่ี ยังถือปฏิบัติกันอยู่อย่างสม่าเสมอ ทุกคนในชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์มีส่วนร่วมในการปฏิบัติ เป็นองค์
ง ความรู้ที่ผ่านการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เป็นองค์ความรู้ที่มีลักษณะเฉพาะทางดนตรี เป็นองค์ ความรู้ทตี่ อ้ งใชท้ กั ษะ ผ่านการฝึกฝน โดยการสบื ทอดตอ่ จากกนั มคี ณุ ค่าทางสังคมในด้านระบบความ เช่ือ ประเพณีและความสัมพันธ์ของชุมชน มีคุณค่าทางสังคมในด้านความมีอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติ พันธุ์ มีคุณค่าทางในเชิงวรรณกรรม และสามารถเชื่องโยงความรู้เพ่ือพัฒนาด้านเศรษฐกิจการ ท่องเทีย่ วเชงิ วฒั นธรรมในชมุ ชน แนวทางการสง่ เสรมิ ให้ดนตรขี องกลุม่ ชาติพนั ธล์ุ ีซใู นจงั หวดั เชียงรายเป็นมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของชาติ น้ัน ให้มีการสนับสนุนดาเนินการ กล่าวคือ มีการจัดตั้งแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมลีซู ในแต่ละชุมชน จัดทาแบบเรียนวิชาดนตรีของกลุ่มชาติพันธ์ุลีซู จัดทาหลักสูตรอบรมผู้ประกอบ พิธีกรรมทางความเชื่อของลีซู มีโครงการด้านการฝึกฝนการปฏิบัติดนตรีลีซู อย่างต่อเนื่อง มีการ บันทึกบทเพลงทบี่ รรเลง และมกี ารเผยแพรค่ วามรู้ดา้ นดนตรีส่สู งั คมอย่างกวา้ งขวาง คาสาคัญ : ดนตรี / มรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรม / ลซี ู
จ Project title Abstract Collector Year Music of Lisu Ethnic Group Mr. Ong-Art Inthaniwet 2013 The study for collecting the data of musical wisdom heritage of Lisu ethnic group for the registration to be the intangible cultural heritage in performing art field was done by using field study. The data was collected with people in the community by having the working team in every target village. The research was conducted by using ethnomusicology method. The small focus group discussion and the seminar in the provincial level were done to create the preservation of the own cultural wisdom, including recheck data correctness of the data was done by the relevant communities. The findings of the study revealed that music of Lisu ethnic group was created from the integration between the wisdom of music creation and the way of life in daily life to be the music content. The type of the music could be synthesized and classified as follows; Lisu’s song (Moguaguatua) appeared in the village where the residents were the elderly people or aged more than 50 years. In the past, this song was used in the occasions of the ritual ceremony and the festival. However, now, it can be heard only in the new year festival of Lisu ethnic group or Chinese New Year. Moguaguatua is the song which the singer has to be clever in creating the content to response each other. Mostly, men will teach women to sing and the melody will be in the same tone. Music of Suebeu represented the identity of Lisu with the echo sound and the accent of song with hammer on, pull off and slide sounds, including the unique playing posture. With these characteristics of Seubeu, it was the important musical instrument which was proud by Lisu people. There were three types of musical instruments of Fulu which consisted of Palifulu, Fululaelae, and Fulunau. At present, Fululaelae, and Fulunau are disappearing. Fulunau is not being seen in Chiangrai because of the big size of the
ฉ instrument and it has to blow strongly. Moreover, the song is slow and not fun for dancing. However, Fululaelae is still being preserved. Yeulu was the flute which had to blow at the tip and the side. The songs were not played a lot because it was not popular among teenagers. At present, Yeulu is modified to play local songs or to play for fun. This kind of instrument is not difficult to make but the songs is disappearing. In term of the related context, it is found that at present, Lisu music is still highly popular because of the music is the part of traditional activities such as Lisu New Year which is traditionally organized every year in every village. However, actually, in the real situation, the reduction and the decline of music should be noticed and considered. The causes of the problems are from lack of the interest to train on playing music, lack of musician so it makes some songs disappeared or reduced. Some songs is modified or played without understanding the real meaning of song. If the song is written more by giving the clear meaning, it can be acceptable, but some songs are played without knowing the origin or meaning of songs so this is the change of music which is not recorded or cannot be used as the fixed pattern. Most of the musicians’ life is the same as other villagers. They are farmers, and find some forest products to earn their living, however; the part which is different from other villagers are being good tempered and friendliness. They always play music for the people who are interested to listen. The rapid change of the society can be the factor which impact music of Lisu ethnic group inevitably. Although living in the remote area, we cannot avoid the modernization and technology. Lisu music also faces with the same situation in having the impacts on economic, social, culture and the rapid information. Lisu ethnic group in every village agreed to propose music of Lisu ethnic group to be intangible cultural heritage of the nation for learning, awareness of cultural heritage value, including creation of consciousness in their own local wisdom and transmission to the youth as well. The reasons for support music of Lisu ethnic group to be intangible cultural heritage of the nation are the music of Lisu ethnic group is the wisdom heritage of the history of humanity and Thai society which is still
ช be seen until now. Everyone in Lisu ethnic group participates in preserving by transmission from the ancestor. This kind of music is unique which is needed to have the skill from training and transmission. There were the social value in terms of believe, tradition, the community relationship, and the identity of the ethnic group as well as the value in literature which can be used for develop the economic on the cultural tourism in the community. The strategies for music promotion of Lisu ethnic group in Chiangrai province to be the intangible cultural heritage should be done as follows; organize Lisu cultural learning resource in each community, make the music lesson of Lisu ethnic group, make the curriculum for training on the chief of ritual ceremony training, organize Lisu music training regularly and, record songs, and publicize musical knowledge to the public. Key words: Music / Intangible cultural heritage / Lisu
สารบัญ หนา้ ก คานา ข บทคัดยอ่ ภาษาไทย จ บทคัดยอ่ ภาษาอังกฤษ ซ สารบัญ ฏ สารบญั ภาพ ๑ ส่วนท่ี ๑ ๑ บทท่ี ๑ บทนา : ประวัตคิ วามเป็นมาของกลมุ่ ชาติพนั ธลุ์ ีซใู นจังหวัดเชียงราย ๒ ๕ ๑. หลักการเหตผุ ล ๗ ๒. ประวตั คิ วามเป็นมาของกลมุ่ ชาตพิ นั ธล์ุ ซี ู ๓. สถานภาพองค์ความรู้ และการแบ่งประเภททางดนตรีของกลุม่ ชาตพิ ันธล์ุ ีซู ๙ ๔. การปรากฏตัวของดนตรีในพนื้ ที่จังหวดั เชียงราย ๙ ๙ บทที่ ๒ ดนตรีของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ลุ ซี ใู นจงั หวัดเชยี งราย ๑๒ ดนตรขี องกล่มุ ชาตพิ ันธุ์ลีซูในจงั หวดั เชยี งราย ๑๒ ๑๓ ๑. เพลงร้องของลีซู (โมะก่วั กวั ตัว) ๑๘ ๒. ซอื บือ ๒๔ ๒๖ ๒.๑ ประวตั คิ วามเปน็ มา ๒๖ ๒.๒ ลกั ษณะทางกายภาพ ๒๘ ๒.๓ ขน้ั ตอนการสรา้ ง ๓๓ ๒.๔ ระบบเสียง ๓๗ ๓. ฝูห่ ลู ๓๙ ๓.๑ ประวตั คิ วามเปน็ มา ๓.๒ ลักษณะทางกายภาพ ๓.๓ ขั้นตอนการสรา้ ง ๓.๔ ลักษณะการบรรเลงฝู่หลู ๓.๕ ระบบเสยี ง
สารบัญ (ต่อ) ฌ ๔. หย่ลื ุ หน้า ๔.๑ ประวตั ิความเป็นมา ๔๐ ๔.๒ ลกั ษณะทางกายภาพ ๔๐ ๔.๓ ข้นั ตอนการสร้าง ๔๐ ๔.๔ ระบบเสียง ๔๑ ๔๒ ดนตรใี นพิธีกรรมของกลุ่มชาติพันธลุ์ ซี ู ๔๓ ๑. พธิ กี รรมทเ่ี กี่ยวข้อง ๔๓ ๒. ขนบธรรมเนียม ประเพณี และความเชอ่ื ๕๒ ๖๐ โนต้ เพลง ๖๐ ๑. เพลงประกอบการขบั รอ้ ง ๖๑ ๒. บทเพลงบรรเลง ๖๕ ๖๗ ฐานขอ้ มลู นกั ดนตรี ๖๙ ฐานขอ้ มลู ช่างผผู้ ลิตเครอื่ งดนตรี ๗๐ การถา่ ยทอด และการสบื ทอด ขอ้ มูลของผบู้ อกรายละเอียด ๗๕ ๗๕ บทท่ี ๓ เงื่อนไขภาวะวิกฤติของดนตรชี าติพนั ธใุ์ นจังหวัดเชยี งราย ๗๖ ๓.๑ สถานะภาพของดนตรีลีซูในปัจจุบนั ๗๗ ๓.๒ สถานะภาพของนกั ดนตรชี าติพนั ธ์ลุ ีซใู นปจั จุบนั ๓.๓ ปัจจยั คกุ คาม ๗๙ ๗๙ บทท่ี ๔ ขอ้ เสนอให้ “ดนตรีของกลมุ่ ชาติพันธุ์ลีซู เปน็ มรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ” ๘๗ ๔.๑ เหตุผล ๔.๒ แนวทางการสง่ เสริมให้ดนตรขี องกลุม่ ชาติพนั ธุล์ ซี ู ๙๐ เป็นมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติ ๙๐ บทท่ี ๕ พิกดั ทางภูมศิ าสตร์ ขอ้ มูลทวั่ ไปของจังหวดั เชียงราย
สารบัญ (ต่อ) ญ ส่วนที่ ๒ หน้า บทท่ี ๖ กระบวนการมสี ่วนร่วมของ “ชมุ ชน” ๑๐๑ ๑๐๑ ๖.๑ การจดั เก็บขอ้ มูล ๑๐๓ ๖.๒ กระบวนการใหช้ มุ ชนมีส่วนร่วมในการรวบรวม ๑๑๐ ๖.๓ วธิ กี ารในการกระต้นุ จติ สานกึ ให้ชมุ ชนเห็นคุณค่าและความสาคญั ๑๑๒ ๖.๔ วิธกี ารในการปกปอ้ งคุ้มครอง ๑๑๔ บรรณานุกรม ๑๑๗ ๑๕๑ ภาคผนวก ภาคผนวก ก โนต้ เพลงกลมุ่ ชาตพิ ันธลุ์ ีซู ภาคผนวก ข แบบบันทกึ ขอ้ มลู รายการมรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม
สารบัญภาพ หนา้ ภาพท่ี ๒.๑ การขบั รอ้ งเพลงลีซู ฝา่ ยชายจะเป็นฝา่ ยคิดบทแล้วกระซิบบอกใหฝ้ ่ายหญงิ รอ้ ง ๑๑ ภาพท่ี ๒.๒ เคร่ืองดนตรซี ือบือ ๑๓ ภาพที่ ๒.๓ นายมนตรี การะเกด บ้านดอยลา้ น ต.วาวี อ.แม่สรวย ขณะบรรเลงซอื บอื ๑๔ ภาพที่ ๒.๔ สว่ นตวั เคร่อื งของซือบอื ๑๔ ภาพท่ี ๒.๕ ส่วนกลอ่ งเสยี งของซือบอื ๑๕ ภาพท่ี ๒.๖ ส่วนกล่องเสียงของซือบือ แบบประยกุ ตใ์ ช้ทอ่ พลาสติก ๑๕ ภาพท่ี ๒.๗ ไม้ดีด หรอื ปจู้ ึ ทาจากปลายเขากวาง ๑๖ ภาพที่ ๒.๘ ลกู บดิ ลวดลายส่วนหวั หย่องบน ๑๗ ภาพท่ี ๒.๙ หนงั หนา้ แลน สาย หยอ่ งล่าง ไมด้ ดี ๑๗ ภาพท่ี ๒.๑๐ หนังแลน ก่อนนามาขึงบนตวั เครือ่ ง ๑๙ ภาพที่ ๒.๑๑ การถากทอ่ นไมซ้ ้อ เพื่อทากล่องเสียงซือบือ ๒๐ ภาพที่ ๒.๑๒ รูปทรงของส่วนกลอ่ งเสียงซือบือ ๒๐ ภาพท่ี ๒.๑๓ ตวั เคร่ือง หลังจากควา้ นและเจาะรู ๒๑ ภาพที่ ๒.๑๔ การยดึ หนังแลน กบั ตวั เครือ่ ง ๒๑ ภาพที่ ๒.๑๕ นายอาเบล โดโ่ ด้ สาธติ การวดั ขนาดความยาวของซอื บอื ๒๒ ภาพท่ี ๒.๑๖ การประกอบเครอื่ งเข้าหากนั ๒๓ ภาพท่ี ๒.๑๗ ปลายด้านทยี่ ดึ สายของลกู บิด ๒๓ ภาพที่ ๒.๑๘ เม่ือประกอบลูกบิดเข้ากบั ส่วนหัวเครอ่ื ง ๒๔ ภาพท่ี ๒.๑๙ ปาลฝิ ่หู ลู ฝหู่ ลแู ลแล และซือบือ เตรียมพร้อมสาหรับบรรเลง ๒๗ ภาพท่ี ๒.๒๐ ผลนาเต้าในลกั ษณะตา่ งๆ ๒๘ ภาพที่ ๒.๒๑ ผลนาเต้าท่ใี ช้ทาตวั เครอ่ื งแบบข้อยาว ๒๙ ภาพท่ี ๒.๒๒ ต้นผลนาเตา้ ๒๙ ภาพท่ี ๒.๒๓ เหมอเมอ๊ ะบ้านดอยลา้ นกาลังเปา่ ปาลิฝู่หลู ในงานก่เู ฉีย ๓๐ ภาพที่ ๒.๒๔ ปากต่อ หรือ สาตา้ ตู่ ๓๐ ภาพที่ ๒.๒๕ ฝูห่ ลแู ลแล ปาลิฝหู่ ลู และซอื บือ ๓๒ ภาพที่ ๒.๒๖ ท่อท่ีใชท้ าฝูห่ ลขู นาดต่างๆ ๓๒ ภาพท่ี ๒.๒๗ ลนิ ฝหู่ ลู ๓๓
ฏ สารบญั ภาพ หน้า ภาพท่ี ๒.๒๘ อุปกรณส์ าหรบั ทาฝู่หลู ๓๔ ภาพท่ี ๒.๒๙ ขผี ึง ๓๔ ภาพท่ี ๒.๓๐ ลินเม่อื ตดิ กับท่อ ๓๖ ภาพท่ี ๒.๓๑ ประกอบท่อเสยี งเขา้ ไปในนาเต้า โดยให้ลินอยู่ข้างใน ๓๗ ภาพท่ี ๒.๓๒ ขล่ยุ หยล่ื ุ ๔๑ ภาพท่ี ๒.๓๓ ช่องเปา่ ของขลยุ่ หย่ืลุ ๔๒ ภาพที่ ๒.๓๔ คืนวันสินปี ชาวลีซูจะไปเตน้ ที่หนา้ ลานบ้านของทุกบ้านในหมบู่ า้ น ๔๕ ภาพท่ี ๒.๓๕ เช้าวนั ปใี หมพ่ อ่ จะต้องแต่งตวั ให้ลูก ๔๕ ภาพท่ี ๒.๓๖ เครอ่ื งสังเวยท่แี ตล่ ะครอบครวั นาไปไหวท้ ่ีศาลเจ้า ๔๖ ภาพที่ ๒.๓๗ ศาลเจ้า และเครอ่ื งสังเวยที่ชาวบ้านนามาถวาย ๔๖ ภาพที่ ๒.๓๘ หลงั จากประกอบพิธีกรรมเสรจ็ จะรบั ประทานอาหาร (ข้าวปกุ๊ ) รว่ มกันทศี่ าลเจา้ ๔๗ ภาพที่ ๒.๓๙ ชาวลีซเู ต้นราท่ีลานหนา้ บ้าน ๔๗ ภาพท่ี ๒.๔๐ ต้นปีใหม่ หรอื ขุฉอื แลซ้ ือ ๔๘ ภาพที่ ๒.๔๑ กลุ่มแมบ่ ้าน เตรยี มอาหารเพ่ือเลียงทุกคน ๔๘ ภาพที่ ๒.๔๒ บางกลุ่มทไ่ี มไ่ ดเ้ ต้นรา ก็น่ังดบู รรยากาศ กนิ อาหารว่าง เชน่ ถวั่ หรือเมล็ดทานตะวัน ๔๙ ภาพที่ ๒.๔๓ หญิงสาวชาวลซี ูในชุดลีซูสมบูรณแ์ บบสาหรบั วันขึนปใี หม่ ๔๙ ภาพท่ี ๒.๔๔ ด้านหนา้ บริเวณประตทู างเข้าอา่ ปาโหมฮ่ ี ๕๓ ภาพที่ ๒.๔๕ อ่าปาโหมฮ่ ี หรือ อาปาโหม่ พร้อมเคร่ืองสังเวย ๕๓ ภาพท่ี ๒.๔๖ หน่มุ ชาวลซี กู าลงั รนิ เหลา้ เพือ่ บูชาศาลอด๊ิ ะมา ซึง่ ตังอยูด่ า้ นหลังศาลอาปาโหม่ ๕๔ ภาพที่ ๒.๔๗ นายอาเลผ้ ่า งัวยา เหมอเมอผา่ บา้ นเฮโก ต.แมจ่ นั ๕๕ กาลงั เดนิ ประกอบพิธกี ่อนวันกเู่ ฉีย ภาพที่ ๒.๔๘ นายอาฉอื หนีผะ งัวผะ (ซา้ ย) หนผ่ี ะ อ.เชียงดาว จ.เชยี งใหม่ ๕๖ กบั เด็กๆ ในหมู่บา้ นเฮโก ภาพท่ี ๒.๔๙ หนุ่มชาวลีซรู วมตวั กนั ในบริเวณศาลเจ้าของหมูบ่ ้าน ๕๘ โดยมีพ่อเฒา่ กาลงั บวงสรวงเทพเจา้ ภาพที่ ๔.๑ การเต้นราในงานกเู่ ฉยี ของหมบู่ า้ น ๘๐ ภาพท่ี ๔.๒ ผสู้ ูงอายุ และเยาวชนผูห้ ญิงมคี วามสุขกบั การไดเ้ ตน้ ราในงานปใี หมป่ ระจาปี ๘๑ ภาพท่ี ๔.๓ ฝา่ ยหญิงกินข้าวไปดว้ ย และรอ้ งเพลงไปด้วยอยา่ งมคี วามสขุ ๘๑
ฐ สารบัญภาพ หนา้ ๘๒ ภาพที่ ๔.๔ นกั ดนตรีบา้ นเวยี งกลางลีซู กาลงั บรรเลงซือบอื เพอื่ บันทึกบทเพลง ๘๓ ภาพท่ี ๔.๕ นักดนตรีอาวโุ ส บา้ นดอยช้าง ร่วมเสวนา และบันทึกบทเพลงลซี ู ๘๖ ภาพที่ ๔.๖ นกั ดนตรีเปา่ นาเสียงเพลงเขา้ บ้านกอ่ นทาพิธีไหวบ้ รรพบรุ ุษ ๘๗ ภาพท่ี ๔.๗ อาหารทนี่ ยิ มเลยี งในวันขึนปีใหม่ ๘๘ ภาพที่ ๔.๘ ศูนย์การเรยี นรู้ชมุ ชนไทยภูเขาบ้านแมม่ อญ ต.ห้วยชมพู จ.เชียงราย ๘๙ ภาพที่ ๔.๙ บรรยากาศการบันทกึ ภาพ เสยี ง และทา่ ทางการเต้นรา ๙๑ ภาพที่ ๕.๑ แผนทีจ่ ังหวดั เชยี งราย ๙๒ ภาพท่ี ๕.๒ ป้ายท่ที าการผใู้ หญบ่ ้าน บรเิ วณหนา้ ทางเขา้ หม่บู า้ น ๙๔ ภาพท่ี ๕.๓ ปา้ ยทางเขา้ หมู่บา้ นเวยี งกลาง ๙๔ ภาพที่ ๕.๔ ภายในหม่บู า้ นเฮโก ๙๕ ภาพที่ ๕.๕ ลกั ษณะการตังบ้านเรือนในหมู่บา้ นหวั แมค่ า ๙๕ ภาพที่ ๕.๖ เดก็ ๆ ในหม่บู ้านหลังเลกิ เรยี น ๙๖ ภาพท่ี ๕.๗ ป้ายทางเข้าหมู่บ้านดอยช้าง ๙๗ ภาพที่ ๕.๘ สนั เขาที่มลี ักษณะคล้ายรปู ชา้ ง บนจดุ สงู สุดของยอดดอยชา้ ง ๙๘ ภาพท่ี ๕.๙ ป้ายทางเขา้ หมู่บา้ นดอยล้าน ๙๙ ภาพท่ี ๕.๑๐ แผนทแี่ สดงทีต่ งั ของหมูบ่ า้ นกลุม่ ชาติพนั ธุ์ลีซใู นจงั หวดั เชยี งราย ๑๐๑ ภาพที่ ๖.๑ นักดนตรบี า้ นหว้ ยส้านลีซู กาลังบอกช่ือเพลงเพ่ือจดบกั ทกึ ภาษา ๑๐๒ โดยมชี าวบา้ นมาชว่ ยกันสะกดเสยี ง ๑๐๒ ภาพที่ ๖.๒ การทางานบกั ทึกเสียง บ้านดอยล้าน ภาพท่ี ๖.๓ ทมี งานนกั ศกึ ษาผู้ช่วยวจิ ัย ภาพน่งิ วีดีโอ และงานเสียง ๑๐๓ ๑๐๔ เพอ่ื บนั ทึกเสยี งและการแสดงดนตรี ณ บา้ นดอยช้าง ภาพท่ี ๖.๔ การพูดคุยชแี จงรายละเอียดเบอื งตน้ กนั ผู้นาหรอื ตัวแทนชุมชน ๑๐๔ ภาพท่ี ๖.๕ ทมี งานในชุมชนบา้ นเวยี งกลาง ร่วมบนั ทกึ บทเพลง ๑๐๕ ๑๐๕ และช่วยกนั ให้ความหมายของบทเพลง ๑๐๖ ภาพท่ี ๖.๖ ทีมงานในชมุ ชนบา้ นดอยลา้ น กาลังประชมุ วางแผนงานรว่ มกับผู้วิจัย ๑๐๖ ภาพที่ ๖.๗ การเสวนากลุ่มยอ่ ย บ้านดอยชา้ ง ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ภาพท่ี ๖.๘ การเสวนากลุม่ ยอ่ ย บ้านหวั แมค่ า ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟา้ หลวง จ.เชยี งราย ภาพที่ ๖.๙ ร่วมตรวจสอบข้อมูลโดยกานนั ต.หว้ ยชมภู (บา้ นห้วยสา้ นลีซู) ภาพท่ี ๖.๑๐ ร่วมตรวจสอบข้อมลู โดยปราชญช์ มุ ชน (นายอาเลเน๊อะ ครี คี ามสขุ ) ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย (บา้ นห้วยไคร้)
ฑ สารบญั ภาพ หน้า ภาพท่ี ๖.๑๑ วฒั นธรรมจงั หวดั เชยี งราย (นายมงคล สทิ ธหิ ลอ่ ) และ ผอ.กลุ่มส่งเสรมิ ศาสนา ๑๐๗ ศลิ ปะและวฒั นธรรม (นางอทุ มุ พร เรือนนอ้ ย) เขา้ เป็นประธาน และร่วมเสวนาในงาน ภาพท่ี ๖.๑๒ ป้ายบนเวที / หวั ขอ้ การเสวนา ๑๐๘ ภาพท่ี ๖.๑๓ บรรยากาศการเสวนา ขณะผู้วจิ ยั กาลังรายงานผลการดาเนินงาน ๑๐๘ ภาพท่ี ๖.๑๔ เยาวชนลซี ูใหค้ วามสนใจเขา้ รว่ มฟังการเสวนา ๑๐๙ ภาพที่ ๖.๑๕ ผวู้ ิจยั กาลงั ชีแจงรายละเอียดขอ้ มูลโครงการกบั ผ้อู านวยการ IMPECT ๑๐๙ ณ สมาคมศูนยร์ วมการศกึ ษาและวฒั นธรรมของชาวไทยภเู ขาในประเทศไทย จ.เชียงใหม่ ภาพที่ ๖.๑๖ ลุงนาปุ๊ เลาหมู่ และลูกสาว กาลังอธิบายเครอื่ งดนตรฝี หู่ ลนู าอุ ๑๑๐ ณ บ้านใหมส่ หสมั พันธ์ อ.ปาย จ.แมฮ่ อ่ งสอน ภาพท่ี ๖.๑๗ โนต้ เพลงซอื บอื ท่ถี กู ถ่ายทอดออกเปน็ โน้ตดนตรสี ากล ๑๑๑ ภาพท่ี ๖.๑๘ แผนผังสรุปการเสวนา ๑๑๒
บทที่ ๑ บทนำ : ประวัตคิ วำมเปน็ มำของกล่มุ ชำตพิ ันธุ์ลซี ใู นจังหวดั เชียงรำย ๑. หลกั กำรเหตผุ ล การศึกษาด้านภูมิปัญญาท้องถ่ิน กาลังได้รับความสนใจจากหน่วยงาน หรือองค์ภาครัฐที่ เกยี่ วขอ้ งท้ังในและต่างประเทศ เนื่องจากภูมิปัญญาท้องถ่ิน เปรียบเสมือนองค์ความของผู้คนในพ้ืนท่ี ท้องถิ่นนั้นๆ ท่ีบรรพบุรุษได้คิดค้น ลองผิดลองถูก ผ่านระยะเวลามานาน จนได้องค์ความรู้ท่ีเกิดจาก ท้องถ่ินน้ัน และเป็นที่สังเกตได้ว่า องค์ความรู้ทางภูมิปัญญาท้องถ่ินเหล่าน้ี โดยมากจะใช้การสืบทอด ด้วยกระบวนการบอกเล่าต่อๆ กัน ปากต่อปาก หรือ “มุขปาฐะ” ซึ่งการถ่ายทอดลักษณะน้ีไม่มีการ จดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด ดังนั้นจึงเส่ียงต่อการผิดเพ้ียนของเร่ืองราวไปบ้าง และการ เปล่ียนแปลงทางสังคม ที่วัฒนธรรมจากสังคมเมืองแพร่กระจายเข้าไปสู่การดารงชีวิตตามแบบ วฒั นธรรมเดมิ ดังท่ี สจุ ติ ต์ วงษ์เทศ (๒๕๕๑: ๑๐) กล่าวว่า “สังคมของชาวสยามในยุคดึกดาบรรพ์จัด อยู่ในลกั ษณะ สงั คมแบบเผ่าพันธ์ุ ต่อมามีการพัฒนาแล้วค่อยๆ ก้าวเข้าสู่ สังคมแบบชาวนา มีการรับ รูปแบบวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามาผสมผสานทาให้เกิดการสร้างสรรค์วัฒนธรรมของสังคมแบบ ชาวนาท่ีอยู่กึ่งกลางระหว่างสังคมแบบเผ่าพันธุ์กับสังคมเมือง ลักษณะบางประการของสังคมชาวนา คอื ในขณะที่ยงั รกั ษาเอกลักษณ์บางอย่าง (ประเพณดี ง้ั เดิม) ทีส่ ืบทอดมา แต่ก็พร้อมท่ีจะยอมรับความ ทันสมัย (หรือท่ีคิดว่าทันสมัย) บางอย่างจากวัฒนธรรมในสังคมแบบเมือง เพื่อนาไปประสมประสาน ปรบั ปรงุ และดดั แปลงประเพณดี ้ังเดมิ ของตนให้ทนั สมัย (หรือเช่อื วา่ ทนั สมัย) อยเู่ รอ่ื ยๆ” เชียงราย เป็นจังหวัดที่มีประวัติความเป็นมาท่ียาวนานถึง ๗๕๐ ปี (พ.ศ.๒๕๕๕) มีเนื้อที่ ประมาณ ๑๑,๖๗๘,๓๖๙ ตร.กม มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านถึง ๒ ประเทศด้วยกันคือ ประเทศสหภาพพม่า และประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีพ้ืนที่ติดกับจังหวัด ใกล้เคียง ได้แก่ เชียงใหม่ พะเยา และลาปาง สภาพพื้นที่ท่ีกว้างใหญ่และมีอาณาเขตติดต่อกับ ต่างประเทศเช่นนี้ จึงทาให้เชียงรายมีจานวนประชากร ทั้งส้ิน ๑,๑๙๘๒๑๘ คน แบ่งเป็นชาย ๕๘๙,๘๙๐ คน หญงิ ๖๐๘,๓๒๘ คน นอกจากน้ีจังหวดั เชียงรายยังเป็นจงั หวัดที่มีความหลากหลายใน เช้ือชาติต่างๆ สูง สามารถแบ่งกลุ่มชาติพันธ์ุที่อาศัยอยู่ในจังหวัดท่ีเป็นกลุ่มหลักๆ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ พ้ืนราบ ได้แก่ ไทเมือง ไทลื้อ ไทเขิน ไทใหญ่ กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นท่ีสูง ได้แก่ ม้ง อาข่า เย้า กะเหร่ียง ลาหู่ และลซี ู (ข้อมลู จากเว็บไซต์กรมการปกครองปี ๒๕๕๔)
๒ กลุม่ ชาตพิ ันธุ์ลซี ู เปน็ กลุม่ หน่ึงท่มี บี ทบาทในจงั หวดั เชียงรายท้งั ในดา้ นตลาดแรงงาน และการ มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของจังหวัด เป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มชาติพันธ์ุลีซู เป็นกลุ่มท่ีมีการนาเอา เครื่องดนตรีเข้ามาเป็นส่วนหน่ึงในการดาเนินชีวิตประจาวันของตนเป็นอย่างมาก ดังท่ี ประทีป นักป่ี (๒๕๔๓: ๑-๒) กลา่ ววา่ “ดนตรขี องชาวลซี อ มีลักษณะและเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชาติพันธ์ุ และมี ความผูกพันกับวิถีชีวิตของชาวลีซอ เพลงลีซอเป็นเพลงส้ันๆ มีความไพเราะเป็นอย่างยิ่ง ทานองจะมี ความสัมพันธ์กับลีลาการเต้นรา ชาวลีซอทุกคนฟังทานองเพลงแล้วสามารถเข้าใจความหมายได้เป็น อยา่ งดี ดนตรจี งึ มีอทิ ธิพลตอ่ วิถีชวี ิต ทง้ั ในด้านเพ่ือความบันเทิง งานพิธีกรรม และงานฉลองในโอกาส ต่างๆ” บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ (๒๕๕๑: ๔๒๕-๔๒๗) ได้กล่าวถึงดนตรีของลีซู ว่า “ชีวิตความเป็นอยู่ของ ชาวแข่รีซอ (ลีซอ) ในวันหนึ่งๆ เต็มไปด้วยการงาน พวกเด็กๆ จะฝึกหัดเป่าแคน ดีดเครื่องดนตรีซึบื เพ่อื ปลุกกลอ่ มชวี ติ อนั เงียบเหงาเวลากลางคืน” แต่ในสภาพปัจจุบันดนตรีของกลุ่มชาติพันธ์ุลีซู กาลังถูกภัยคุกคามจากสภาพของสังคมใน ปัจจบุ ันทเี่ ยาวชน ตลอดจนผ้คู นขาดความสนใจในดนตรีท่ีเป็นมรดกทางวัฒนธรรมด้านภูมิปัญญาของ ตน ดังน้ันหากมีการศึกษารวบรวมองค์ความรู้ด้านดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูในจังหวัดเชียงราย การ ทาให้ชมุ ชนเกิดจติ จานกึ ในการรกั ษาภูมปิ ญั ญาทางดนตรีของกลุ่มชาติพันธ์ุ อนั จะส่งผลต่อการอนุรักษ์ และสืบทอด ส่งเสริมให้ดนตรีของกลุ่มชาติพันธ์ุลีซูในจังหวัดเชียงรายเป็นมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของชาติ และของโลก ก็จะยังผลให้เกิดประโยชน์ ท้ังด้านการเรียนรู้ ความตระหนักใน คณุ ค่าของมรดกทางวฒั นธรรม เพ่ือสรา้ งจิตสานึกในการรักษาภูมิปัญญาของตนให้คงอยู่ และสืบทอด ใหแ้ ก่เยาวชนในรนุ่ ต่อๆ ไป ๒. ประวตั คิ วำมเป็นมำของกลมุ่ ชำตพิ ันธุล์ ีซู ลีซู หรอื ลีซอ หากหมู่บา้ นออกเสียง ลโี ซ หรือ ลีซื ซ่ึงเป็นสาเนียงภาษาจีน เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุ ทจ่ี ัดอยู่ในกลุ่มเชื้อสายตระกูลธิเบต-พม่า สาขาชนชาติโลโล มีถ่ินกาเนิดดั้งเดิมอยู่บริเวณตอนต้นของ แม่น้าสาละวิน แม่น้าโขง และทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนาน ของประเทศจีน และตอน เหนือของรัฐคะฉิ่น ประเทศสหภาพเมียร์ม่า ชาวลีซูส่วนใหญ่เชื่อว่าเมื่อ ๔,๐๐๐ ปีท่ีผ่านมา พวกตน เคยมีอาณาจักรเป็นของตนเอง แต่ด้วยปัญหาการสู้รบ จึงทาให้ต้องเสียดินแดนให้กับจีน จึงได้ เคล่ือนย้ายเข้าสู่ทางตอนใต้ ของรฐั ฉาน และกระจัดกระจายอยู่ตามภูเขาในเมืองต่างๆ เช่น เมืองเชียง ตงุ บางส่วนอพยพไปอยเู่ ขตเมืองซือเหมา สบิ สองปนั นา ประเทศจนี หลังจากน้ันได้อพยพลงมาทางใต้ เนื่องจากเกิดการสู้รบกันระหว่างชนเผ่านับเวลาหลายศตวรรษ ชนเผ่าลีซูได้ถอยร่นเร่ือยลงมา จนใน ท่สี ุดกแ็ ตกกระจายกนั เข้าสูป่ ระเทศสหภาพเมยี รม์ ่า จนี อนิ เดีย ชาวลีซูอพยพเขา้ สูป่ ระเทศไทย เม่อื ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๖๒-๒๔๖๔ โดยมาจากเมืองเชียงตุง กลุ่มหน่ึง และมาจากทางเขตประเทศสภาพเมียร์ม่าอีกกลุ่มหน่ึงซ่ึงเป็นกลุ่มใหญ่ เข้ามาตั้งถิ่นฐาน
๓ บรเิ วณเขต อาเภอแม่จัน (บา้ นหัวแม่คา) อาเภอเมือง (บ้านห้วยส้านลีซู) จังหวัดเชียงราย อาเภอเชียง ดาว อาเภอฝาง อาเภอพร้าว อาเภอแม่แตง ในจังหวัดเชียงใหม่ อาเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน อาเภอแจ้หม่ อาเภอวงั เหนือ จงั หวดั ลาปาง และบางส่วนทีจ่ งั หวดั ตาก กับจงั หวัดเพชรบรู ณ์ ในสว่ นทีเ่ ข้ามาในจังหวัดเชียงรายน้ัน จากการสารวจเมือ่ ปี พ.ศ.๒๕๐๕ (สานักงานเลขานุการ คณะกรรมการปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติ, ๒๕๑๘: ๗) กล่าวว่า “ชาวลีซอในเขตอาเภอแม่จัน เม่ือปี พ.ศ.๒๕๐๕ มีอยู่ ๖ หมู่บ้านด้วยกัน คือ บ้านห้วยมะหิน บ้านสันกาแพง บ้านดอยโคมน บ้านแม่จัน หลวง บา้ นหวั นา้ คา (บ้านหัวแมค่ าในปัจจบุ ัน) บา้ นปางหนุน สว่ นในอาเภอเมืองเชียงราย มีอยู่บริเวณ บา้ นดอยชา้ ง บา้ นห้วยสา้ น (บา้ นหว้ ยสา้ นลีซู หมู่ ๑) มี ๕๐ หลังคาเรือน บ้านแม่มอน (บ้านแม่มอญ) มี ๓๘ หลงั คาเรอื น เส้นทางการเข้ามาในอาเภอแมจ่ ัน มจี ุดหลกั อยู่ทีบ่ ้านหัวแมค่ า เนื่องจากเป็นหมู่บ้านชายแดน ส่วนใหญ่เป็นชาวลีซูที่อพยพมาจากทางตอนใต้ของจีน เข้ามาเม่ือประมาณ ๘๐-๙๐ ปีก่อน หลังจาก น้ันจึงมีการแยกย้ายไปตามหมู่บ้านต่างๆ ใกล้เข้ามาทางในเมืองเชียงราย จนมาถึงหมู่บ้านเวียงกลาง ซึ่งเปน็ หม่บู า้ นใหญก่ ่อนถงึ ตัวเมอื งเชียงราย และเมอ่ื เขา้ สู่ในตัวเมืองชาวลีซูจึงกลมกลืนเข้ากับคนเมือง ไปในปัจจุบัน และบางส่วนอพยพไปทางอาเภอฝาง อาเภอเชียงดาว และอาเภอแม่แตง จังหวัด เชียงใหม่ เปน็ ต้น ส่วนเส้นทางอาเภอเมืองเชียงราย จากการคน้ ข้อมูลพบว่าชาวลีซูได้อพยพมาจากหมู่บ้านแห่ง หนึ่งทางตอนใต้ของเมืองเชียงตุงประเทศสหภาพเมียร์ม่า เข้ามาต้ังถ่ินฐานอยู่ท่ีบ้านห้วยส้านลีซู อาเภอเมือง จังหวัดเชียงราย กลุ่มแรกมี ๔ ครอบครัว เข้ามาระหว่างปี พ.ศ.๒๔๖๒-๒๔๖๔ และอีก ๑๕ ครอบครัวอพยพเข้ามาในปีเดียวกัน ครั้งแรกมาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนอยู่ท่ีบ้านห้วยส้าน อยู่ได้ โดยประมาณ ๕-๖ ปี ก็มีการแยกกลุ่มไปอยู่หมู่บ้านดอยช้าง ทามาหากินอยู่ในบริเวณ ตาบลวาวี อาเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย และโยกย้ายไปตั้งบ้านเรือนในที่อื่นๆของจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลาปาง ตาก พะเยา กาแพงเพชร เพชรบูรณ์ แพร่ และสโุ ขทัย ชนเผา่ ลีซูไม่มีภาษาเขียนของตนเอง แต่สาหรับลีซูท่ีนับถือศาสนาคริสต์ กลุ่มมิชชั่นนารีได้ใช้ อักษรโรมันมาดัดแปลงเป็นภาษาเขียนของชนเผ่าลีซู การแบ่งกลุ่มลีซูแบ่งกลุ่มย่อยออกเป็น ๒ กลุ่ม คอื ลีซูลาย และลซี ูดา ลีซูลายหรือบางทีเรียกว่าลีซูลูกผสม ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศไทย สาหรับลีซูดา ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศสหภาพเมียร์ม่าและจีน ในประเทศไทยมีลีซูดาอยู่จานวนน้อย คือมีเพียงไม่ก่ี คน ลักษณะท่ีแตกต่างกันระหว่าง ๒ กลุ่มคือ การแต่งกายและภาษาพูดที่ไม่เหมือนกันบ้างเล็กน้อย คือ ลีซอลาย (Flowery or Variegated Lisu) ชาย สวมกางเกงขากว้างยาวถงึ หนา้ แข้งคล้ายกางเกงจีน สีที่นิยมคือสีฟ้า สีเขียวตองอ่อน แต่ คนแก่นิยมใชส้ ีดา สวมเสอื้ ลกั ษณะคลา้ ยเสอื้ แจ็คเกตสดี าทาดว้ ยผ้ากามะหย่ีประดบั ด้วยแผ่นโลหะบาง รูปวงกลม เย็บติดกับเสื้อเรียงแถวกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เส้ือกามะหย่ีน้ี เรียกว่า อาคู้หละเบฉึ
๔ จะสวมใส่ในวันปีใหม่ของลีซู (ตรงกับวันตรุษจีน) หรือเมื่อเวลาชายหนุ่มไปเก้ียวพาราสีสาวเท่านั้น ตามปกติเม่ืออยู่บ้าน หรือออกไปทาไร่จะใส่เสื้อเชิ้ตคอปกธรรมดา นิยมใช้ผ้าพันหน้าแข้งสีดา ใส่ รองเทา้ ยาง บางคนชอบโพกศรี ษะดว้ ยผา้ ขนหนูขาว หญงิ การแต่งกายเหมือนกนั ทกุ คนทง้ั เดก็ หญิงสาว หญงิ ทแ่ี ต่งงานแล้ว และหญิงชรา คือ นุ่ง กางเกงสีดาขายาวเลยหัวเข่าเล็กน้อย มีเสื้อคลุมยาวซึ่งนิยมเป็นสีฟ้า หรือสีเขียว สวมทับกางเกงลง มาถึงหน้าแขง้ ตงั้ แตเ่ อวลงมาผา่ ทั้งสองข้าง แขนยาว ท่ีปกคอติดแถบผ้าสีดายาวประมาณ ๑ คืบ ช่วง ตน้ แขนและบริเวณหน้าอกซ่ึงถัดลงมาจากแถบผ้าสีดานั้นมีผ้าแถบเล็กๆ ยาวๆ ต่างสีกันเย็บติดต่อกัน เป็นแผ่น ที่เอวมีผ้าดาผืนใหญ่คาดไว้โดยรอบ ผู้หญิงนิยมใช้ผ้าโพกศีรษะ และนิยมผ้าพันแข้ง เช่นเดียวกับผู้ชาย เม่ือมีพิธีการหรืองานฉลองจะมีการประดับอกและหลังด้วยเหรียญเงิน กระดุมเงิน และสายเชอื กหาง เรียกตามภาษาลีซูว่า หยี่คือเมี๊ยะ ลักษณะคล้ายเชือกแต่ทาด้วยผ้าเย็บด้วยมือเป็น เส้นเลก็ ๆ นยิ มสีแดง มดั รวมกันประมาณ ๒๒๐ เสน้ ผูกห้อยไวท้ ้งั ข้างหนา้ และขา้ งหลัง ลีซูดา (Black Lisu) ชาย สวมกางเกงคล้ายคนจีนนิยมสีฟ้าอ่อน สีตองอ่อน และสีดา ยาวจรดข้อเท้า สวมเส้ือดา ทาดว้ ยกามะหยี่ ไมม่ ีเครือ่ งเงนิ ประดับเหมือนลีซอลาย หญิง นยิ มสวมกระโปรงยาวเลยเข่า สีขาวกับสี ดาสลับกันเป็นหางยาว เนื้อผ้าทาจากเปลือกไม้นามาเย็บติดกัน เส้ือแขนยาวสีม่วง หรือสีดา มี เคร่อื งเงนิ ประดบั เพยี งเล็กน้อย ไม่นยิ มใช้ผา้ โพกศรี ษะ ทั้งชายและหญงิ ไม่นยิ มใช้สายเชือกหางเปน็ เครื่องประดับเหมือนลีซลู าย ลีซู มคี านาหน้านามด้วยคาวา่ “อา” อยู่เสมอ ใช้ทั้งชื่อของชายและหญิง ถ้าเป็นหญิงมักมีคา ลงท้ายนามว่า “ม่า” ด้วยเสมอ เช่น อาซือม่า อาชาม่า อาวู่ม่า ฯลฯ ส่วนนามของชาย เช่น อาเบล อาเลผา่ อาสอื อาซาง อาหลู ฯลฯ ผ้ชู ายมักมีคาลงทา้ ยวา่ “ผา่ ” พวกทม่ี เี ชอื้ สายจีนฮ่อบางทีเติมคาว่า “เลา” แทนคาวา่ อา นาหน้า หรอื ใช้ทง้ั สองอย่างกไ็ ด้เช่นเดียวกนั ตานานของลซี ู ชาวลีซู มีตานานเลา่ คล้ายๆ กับชนเผา่ หลายๆ เผา่ ในเอเชยี อาคเนย์ถงึ น้าทว่ มโลกคร้ังใหญ่ ซ่ึง มีผู้รอดชีวิตอยู่เพียงหญิงหน่ึงชายหน่ึงซ่ึงเป็นพ่ีน้องกัน เพราะได้อาศัยโดยสารอยู่ในน้าเต้าใบมหึมา พอนา้ แห้งออกมาตามหาใครก็ไมพ่ บ จึงประจักษ์ใจว่าตนเป็นหญิงชายคู่สุดท้ายในโลก ซ่ึงถ้าไม่สืบเผ่า มนุษยชาติก็ต้องเป็นอันสูญพันธุ์ส้ินอนาคต แต่ก็ไม่แน่ใจในการเป็นพี่น้อง ต้องเสี่ยงทายฟังความเห็น ของสง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ทิ ้งั หลาย เหน็ มีโมอ่ ยู่บนยอดเขาจึงจบั ตวั ครกกับลูกโม่แยกกันเข็นให้กล้ิงลงจากเขาคน ละฟาก โมเ่ จา้ กรรมพอจะถึงตนี กไ็ มย่ อมหยุดนิ่ง อตุ สาหก์ ล้งิ ออ้ มตีนเขาไปรวมกันเข้ารูปเดิมอย่างดิบดี ไม่ว่าจะลองเส่ียงทายด้วยอะไรก็จะได้ผลแบบน้ีทุกคร้ัง พ่ีชายน้องสาวเห็นว่าพระเจ้ายินยอมพร้อมใจ ให้สืบพนั ธ์ุแนๆ่ จงึ ต้ังหนา้ ต้ังตาผลิต ทั้งลกู ชายท้ังลกู สาวซึง่ จับค่กู นั เปน็ ตน้ เผา่ (อา้ งองิ จาก www.hilltribe.org)
๕ ๓. สถำนภำพองคค์ วำมรู้ และกำรแบ่งประเภททำงดนตรีของกลุ่มชำตพิ ันธล์ุ ีซู จากการศกึ ษาค้นคว้าข้อมูลถึงองค์ความรู้ด้านดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูที่ปรากฏในปัจจุบัน พบว่ามงี านวจิ ยั ที่เกีย่ วขอ้ งกับดนตรีของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ลุ ีซู ตลอดจนเอกสารทีเ่ กย่ี วข้อง พอสรปุ ได้ ดังน้ี นิรุตร์ แก้วหล้า (๒๕๕๐: บทคัดย่อ) วิทยานิพนธ์เร่ือง ฝู่หลูแลแล ดนตรีชาวไทยภูเขาเผ่าลีซู ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ศึกษาถึงฝู่หลูแลแลเครื่องดนตรีในวัฒนธรรม ลักษณะทางกายภาพ ระบบ เสยี ง และการวเิ คราะหบ์ ทเพลงของฝู่หลูแลแล ผลการศกึ ษาพบว่า ฝหู่ ลูแลแลเป็นเครื่องดนตรีท่ีสื่อถึง ความสนุกสนาน สร้างความสามัคคีในชุมชน ถือเป็นเครื่องดนตรีท่ีเป็นเอกลักษณ์ของชาวลีซู สว่ นประกอบหลักของเครอ่ื งมี ๓ ส่วน คอื นา้ เต้า ท่อเสียงจานวน ๕ ท่อ และล้ินซึ่งติดเข้ากับท่อเสียง ในด้านบทเพลงมีความหมายกับชีวิต ความเป็นอยู่ การเต้นราเพ่ือความสนุกสนาน และการเก้ียวพา ราสี ทานองเพลงเปน็ ทานองเดียววนซา้ ไปเร่ือยๆ พัณณดา ภูประภากรกุล (๒๕๔๗: วิทยานิพนธ์) เรื่อง ซือบือ ดนตรีประเภทเคร่ืองสายของ ชาวลีซู: กรณีศึกษาบ้านดอยล้าน ตาบลวาวี อาเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ศึกษาถึงเร่ือง สังคม วัฒนธรรมของชาวลีซู บา้ นดอยล้าน ต.วาวี อ.แมส่ รวย จ.เชียงราย ลกั ษณะทางกายภาพ บทเพลงของ ซอื บอื จานวน ๕ เพลง และความสัมพันธท์ ซี่ ือบอื มตี ่อสงั คมลีซู ช้างตน้ กุญชร ณ อยุธยา (๒๕๔๔:บทคัดย่อ) วิทยานิพนธ์เรอื่ ง ฝู่หลู แคนนา้ เต้าของชาวลีซู : กรณศี กึ ษาบ้านดอยลา้ น ตาบลวาวี อาแมส่ รวย จังหวัดเชียงราย โดยศึกษาถึงวธิ ีการสร้าง รูปแบบการ บรรเลง ลักษณะทางดนตรีของบทเพลงที่บรรเลงโดยฝู่หลู การเต้นรา ตลอดจนศึกษาความสัมพันธ์ ของฝู่หลูท่ีมีต่อสังคมของชาวลีซู จากการศึกษาพบว่า ฝู่หลูเป็นเคร่ืองดนตรีตระกูลเครื่องลม มีระบบ บันไดเสียง ๕ เสียง มีส่วนประกอบ ๓ ส่วน คือ ตัวน้าเต้า ท่อเสียง ๕ ท่อ และล้ิน บทเพลงของฝู่หลู เป็นเพลงท่ีมีทานองสนุกสนาน โครงสร้างของเพลงมีท่อนเดียวบรรเลงซ้าไปมา แต่ละเพลงมี องค์ประกอบทางดนตรีครบถ้วน ท้ังทานอง การประสานเสียง และจังหวะ อีกทั้งยังพบว่า บทเพลง ของฝู่หลูใช้บรรเลงประกอบการเต้นรา ที่มีลักษณะการจับมือต่อกันเป็นวงกลม โดยมีคนเป่าฝู่หลูอยู่ กลางวง ประทีป นักปี่ (๒๕๔๓: รายงานการวิจัย) รายงานวิจัยเร่ือง ดนตรีชาวเขาเผ่าลีซอ ศึกษา เกี่ยวกบั รูปแบบองคป์ ระกอบทางดนตรีของชาวลีซอ ลกั ษณะทางดนตรีท่ีมีความสัมพันธ์กับการเต้นรา ของชาวลีซอ บทบาทหน้าที่ของดนตรีที่มีต่อวิถีชีวิตของชาวลีซอ ความเป็นมา วิถีชีวิตความเป็นอยู่ เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม และประเพณี เฉลิมกิต เข่งแก้ว (๒๕๔๗: บทคัดย่อ) วิทยานิพนธ์เร่ือง เคร่ืองดนตรีชาวเขาเผ่าลีซอ: กรณี ศึกษาซือบึ บ้านเพชรดา ตาบลเขาค้อ อาเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยศึกษาวัฒนธรรมที่ เก่ียวข้องกับซอื บึ การใช้ซอื บึในโอกาสตา่ งๆ เพอื่ ความสนกุ สนานในเขตพ้ืนทีจ่ ังหวดั เพชรบรู ณ์
๖ นอกจากน้ยี ังมเี อกสารอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับดนตรีของกลุม่ ชาตพิ ันธุล์ ีซู ไดแ้ ก่ บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ (๒๕๕๑: ๔๒๕-๔๒๗) หนังสือเรื่อง “๓๐ ชาติในเชียงราย” ได้กล่าวถึง ดนตรขี องลีซู ดังน้ี ชวี ิตความเป็นอยู่ของชาวแข่รีซอ (ลีซอ) ในวันหน่ึงๆ เต็มไปด้วยการงานพวกเด็กๆ จะฝึกหดั เปา่ แคน ดีดเครื่องดนตรซี ึบื เพ่ือปลุกกล่อมชีวิตอันเงียบเหงาเวลากลางคืน เคร่ืองดนตรีหน่ึง คล้ายแมนโดลีน หรือซึง ๔ สายของชาวเหนือ แต่มีเคร่ืองน้ีมี ๓ สาย คันยาวกว่า ชาวแข่รีซอ เรียก “ซึบื” คาว่า ซึ แปลว่า สาม ส่วนคาว่า บื แปลว่า สาย หรือสามสาย อันมีรูปร่างคล้ายคลึงกับเคร่ือง ดนตรชี นดิ หนึ่งของญ่ปี ุน่ ทเ่ี รยี กว่า “ซามิเซง” แปลว่า สามสาย สาหรบั แคนให้เป่าคลอให้เข้ากับซึบืใน เวลาเดียวกันก็ได้ บทเพลงท่ีใช้ในการเต้นรามีกว่า ๑๐ บทเพลง การเต้นราวางเท้าไม่เหมือนกัน บาง เพลงทานองเนิบนาบชา้ ๆ บางเพลงจังหวะกระช้นั เร็ว บางเพลงปานกลาง การเต้นราก็คล้อยตามเพลง บางเพลงค่เู ต้นราหลอกลอ้ คนข้างหน้าอย่างราวง บางเพลงต้องราคู่ผู้หญิงกับผู้ชายจับมือกันเต้นราแต่ ไมม่ ีการชายตา ปิยพงศ์ (๒๕๔๕: ๑๒๖-๑๓๒) หนังสือเร่ือง “เร่ืองลับน่ารู้ของลีซอ” ได้กล่าวถึงดนตรีว่า ดนตรีเป็นยาผ่อนคลายขนานวิเศษของชาวลีซอ กลุ่มผู้ชายในครอบครัวนิยมเล่นเคร่ืองดนตรีเพื่อเป็น การพักผ่อน และให้ความสุขกับผู้ฟังทั้งในครอบครัวและผู้ฟัง เครื่องดนตรีของชาวลีซอมี ๒ ชนิด ได้แก่ ซงึ ซง่ึ เปน็ เครือ่ งดดี และแคนน้าเตา้ ซง่ึ เป็นเคร่ืองเป่า ลักขณา ดาวรัตนหงษ์ (๒๕๓๙: ๑๖) หนังสือเร่ือง “ลีซู ชุดสารานุกรม กลุ่มชาติพันธุ์ใน ประเทศไทย” จัดทาโดย สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพ่ือพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล เนื้อหากลา่ วถึง วฒั นธรรม วถิ ชี วี ติ ความเชอื่ คา่ นยิ ม โลกทศั น์ ในดา้ นของดนตรี ได้กล่าวไว้ว่า เคร่ือง ดนตรีของลีซูมี ฝู่หลู๋ (แคนน้าเต้า) และสึบือ (ซึง) นิยมเล่นในชีวิตประจาวัน และงานเล้ียงฉลองต่างๆ โดยใช้บรรเลงประกอบการเต้นรา ที่มีการจับมือต่อกันเป็นวงซ้อนหลายช้ัน นักดนตรีเต้นอยู่กลางวง ด้านในสุด ท่าเต้นโลดโผน สนุกสนาน ผูห้ ญิงอยู่วงนอกสดุ เต้นขยับเทา้ ตามจังหวะอย่างเดยี ว วัฒนธรรมประเพณีชนเผ่าแม่ฮ่องสอน (มปป.: ๑๖๓-๑๖๔) กล่าวถึงเร่ือง ศิลปะการแสดง ดนตรแี ละการละเล่นของชาวลีซู ได้แก่ การร้องเพลงโต้ตอบกัน (หมุ กั่ว กัว โต๋) ของหญิงสาวกับชาย หนมุ่ ชาวลีซู และเครือ่ งดนตรีของลซี ูทน่ี ยิ มนามาเล่นเสมอ ประเสริฐ ชัยพิกุสิต (๒๕๓๑: ๑๓-๑๔) ได้เขียนบทความเรื่องเพลงและการละเล่นของชาว ไทยภเู ขาเผา่ ลซี ู ในวารสารของสถาบนั วจิ ัยชาวเขา กล่าวโดยสรุปว่า การเต้นราของชาวลีซูขาดเคร่ือง ดนตรีไม่ได้ เพราะต้องมีเสียงดนตรีนา ผู้เต้นจาเป็นต้องเต้นตามจังหวะของเสียงดนตรี ผู้ท่ีเล่นเครื่อง ดนตรมี เี ฉพาะผชู้ ายเท่านั้น และเล่นได้เฉพาะบางคนท่ีมีความถนัด ซึ่งการเต้นราประกอบดนตรีในวัน ปีใหม่ลีซูถือว่าย่ิงใหญ่และสนุกสนาน นาจังหวะของการเต้นราโดยผู้เป่าแคน ซือบือ ดนตรีท่ีบรรเลง โดยซือบือ มีประมาณ ๔๐ เพลง และดนตรีท่ีบรรเลงโดยแคนมีประมาณ ๑๐ เพลง การเต้นราเน้น การกระทืบเทา้ เปน็ หลกั
๗ จากข้อมูลเอกสารนักวิชาการได้ศึกษาไว้ในข้างต้น พบว่า ยังมีเรื่องราวข้อมูลทางดนตรีของ กลุ่มชาติพันธ์ุลีซูท่ียังต้องศึกษา รวบรวมอีกจานวนมาก เน่ืองจากดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ลีซูมีท้ัง เครื่องดนตรีที่เป็นภูมิปัญญา ดนตรีของเคร่ืองดนตรี หรือดนตรีบรรเลง และดนตรีประกอบร้อง อีกจานวนมาก ดงั นัน้ จงึ ควรมีการรวบรวม และเก็บข้อมลู มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในเรื่องดนตรี ของกลุ่มชาตพิ นั ธลุ์ ีซใู นจังหวัดเชยี งรายไว้ เพือ่ เปน็ การปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มิให้สูญหายไป ซึ่งถือเป็นการให้ความสนใจกับวัฒนธรรมของกลุ่มคนในท้องท่ีต่างจังหวัด อันจะเป็น สิ่งช่วยสร้างความตระหนักในกับผู้คนในท้องถิ่นให้เล็งเห็นถึงความสาคัญของมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของตน และเกดิ ความชน่ื ชมร่วมกัน ๔. กำรปรำกฏตัวของดนตรใี นพืน้ ท่จี ังหวัดเชยี งรำย จากการลงพ้ืนที่ศึกษาข้อมูลในงานภาคสนาม และการให้ข้อมูลจากคนในชุมชนลีซู พบว่ามี ภูมิปญั ญาทางดนตรีของกลุม่ ชาติพันธทุ์ ่ปี รากฏในพน้ื ท่อี ยา่ งหลากหลาย ผวู้ จิ ัยไดส้ ังเคราะห์ข้อมูลและ จัดหมวดหมู่ โดยแบ่งตามประเภทของดนตรีที่ปรากฏ ดงั นี้ ๔.๑ เพลงรอ้ งของลซี ู (โมะก่วั กัวต๋ัว) เพลงร้องของชาวลีซู มีปรากฏในหมู่บ้านลีซูท่ีมีผู้เฒ่าผู้แก่ หรือผู้ท่ีมีอายุตั้งแต่ ๕๐ ปีข้ึน เป็น เพลงร้องท่ีใช้ในโอกาสต่างๆ จะทาให้เห็นบ่อยคร้ัง เช่น การทาพิธีกรรมต่างๆ และงานกิจกรรมต่างๆ แตใ่ นปัจจบุ ันจะมีให้เหน็ ในชว่ งงานปใี หม่ลซี ู ซึ่งตรงกับชว่ งตรษุ จีนนนั้ เอง เพลงรอ้ งโมะก่ัวกวั ต๋วั เปน็ เพลงท่ตี อ้ งใชป้ ฏิภาณไหวพรบิ ในการคดิ เนื้อร้องเพ่ือร้องโต้ตอบกัน โดยมากจะเป็นฝา่ ยชายสอนฝ่ายหญงิ รอ้ ง และจะยดึ ทานองเดิมไปตลอด ๔.๒ ดนตรขี องเครือ่ งดนตรี ซอื บอื ซือบือ ถือว่าเป็นเครื่องดนตรีท่ีบ่งบอกความเป็นลีซูอย่างแท้จริง ด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ และดังกังวาน สาเนียงของบทเพลงท่ีมีการสะบัด และเลื่อนสาย รวมท้ังท่าทางการบรรเลงท่ีมี เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตัว จึงทาให้ซอื บอื เป็นเครอ่ื งดนตรีสาคัญของชาวลซี ู ที่คนลีซมู ีความภาคภมู ใิ จ ซือบือจัดเป็นเคร่อื งดนตรีท่ีบรรเลงยากพอสมควร ด้วยที่ไม่มีเฟร็ท และคอที่มีขนาดเล็กเรียว ลาตัวก็มีขนาดไม่ใหญ่มาก การดีดจะต้องมีปลายเขาสัตว์สวมไว้ท่ีปลายน้ิวเพื่อดีด ประกอบท่าทาง เตน้ ราอยา่ งสนุกสนาน จึงทาให้เปน็ ที่น่าสนใจของคนท่ีมาร่วมงานเสมอ นักดนตรีท่ีสามารถบรรเลงซือบือได้ในระดับดีข้ึนไปมีไม่มากประมาณหมู่บ้านละ ๒-๓ คน และระดบั พอเล่นไดป้ ระมาณ ๔-๕ คน ในหน่งึ หม่บู ้านใหญ่
๘ ๔.๓ ดนตรขี องเคร่อื งดนตรี ฝูห่ ลู ฝหู่ ลูเปน็ เครอื่ งดนตรีประเภทเครื่องเป่าลมไม้ เสียงของเคร่ืองมีสาเนียงเสียงที่ไพเราะ เคร่ือง ดนตรีฝหู่ ลู มกี ารจาแนกออกเป็น ๓ ประเภท ไดแ้ ก่ ปาลิฝูห่ ลู เปน็ ฝู่หลขู นาดเล็ก ฝู่หลูแลแล เป็นฝู่หลู ขนาดกลาง และฝู่หลูนาอุ ซ่ึงเป็นฝู่หลูขนาดใหญ่ แต่ในปัจจุบันน้ีฝู่หลูแลแล และฝู่หลูนาอุ กาลังเริ่ม หายไป โดยเฉพาะฝู่หลู่นาอุซ่ึงในจังหวัดเชียงรายน้ันไม่มีแล้ว ท้ังน้ีด้วยขนาดของเคร่ืองท่ีมีขนาดใหญ่ ต้องใชล้ มในการเปา่ มาก บทเพลงชา้ ไมเ่ รา้ ใจเมื่อเป่าประกอบการเต้นรา จึงทาให้ฝู่หลูนาอุหายไปจาก สงั คมชาวลซี ู สว่ นฝหู่ ลแู ลแล เรมิ่ ได้รบั การอนรุ กั ษ์จงึ ยังพอมใี หเ้ หน็ บ้าง ส่วน ปาลิฝู่หลู นั้น ถอื เปน็ เครื่องดนตรยี อดนิยมของกลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุลีซู เพราะฝึกหัดง่าย ขนาด เครือ่ งเล็ก มนี า้ หนักเบา เสยี งไพเราะนา่ รัก จงึ ไดร้ ับความนิยมมาก พบเห็นได้ทุกหมบู่ า้ น ๔.๔ ดนตรขี องเครื่องดนตรี หยลื่ ุ หย่ืลุ เป็นขลุ่ยไม้ตรง มีทั้งแบบเป่าปลาย และเป่าข้าง บทเพลงที่บรรเลงมีไม่มาก ยังพอมีให้ พบเห็นโดยทั่วไป แต่ไม่ค่อยพบกลุ่มเยาวชนเล่นเคร่ืองดนตรีชนิดนี้เท่าที่ควร ปัจจุบันมีการดัดแปลง เอาขลุ่ยหย่ืลุมาบรรเลงบทเพลงพ้ืนเมืองบ้าง หรือเป่าเล่นเพื่อความสนุกสนานบ้าง การทาเคร่ืองใช้ กรรมวิธีไมซ่ ับซ้อน แต่บทเพลงกาลงั สูญหาย
บทที่ ๒ ดนตรขี องกลุ่มชาตพิ ันธ์ุลซี ูในจงั หวัดเชยี งราย ดนตรีของกลุ่มชาติพนั ธลุ์ ซี ู เป็นดนตรีที่เกิดขึ้นโดยการผสมผสานภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์ ดนตรีกับการนาเอาวิถีชีวิต การดาเนินชีวิตประจาวันเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นเน้ือหาของดนตรี ในการนี้ ผู้วจิ ัยจะได้รวบรวม และจะนาเสนอข้อมลู ตามประเดน็ ของดนตรีที่ปรากฏ ดงั นี้ ๑. เพลงรอ้ งของลซี ู (โมะกว่ั กัวต๋ัว) ๒. ดนตรขี องเครอ่ื งดนตรี ซือบือ ๓. ดนตรีของเครื่องดนตรี ฝู่หลู - ปาลิ ฝหู่ ลู - ฝูหลู แลแล - ฝ่หู ลู นาโอ่ ๔. ดนตรขี องเครอ่ื งดนตรี หย่ืลุ ดนตรขี องกลุ่มชาติพันธุ์ลซี ใู นจงั หวดั เชยี งราย ๑. เพลงร้องของลซี ู (โมะก่ัวกวั ตวั ) เพลงรอ้ งของชาวลีซู เปน็ เพลงที่ใช้ในการเก้ียวพาราสีกันของหนุ่มสาวชาวลีซู และข้อคิดจาก การอบรมสงั่ สอนจากผูอ้ าวโุ ส มที ั้งแบบรอ้ งเดยี่ ว และร้องเป็นกลุ่ม ทานองท่ีใช้เป็นทานองเดียวตลอด ท้ังเพลง และจะเปล่ียนเน้ือร้องไปได้เรื่อยๆ แต่ละเพลงไม่มีช่ือเพลง ผู้ร้องจะร้องด้นเนื้อร้องไปเร่ือยๆ โดยใช้ปฏิภาณไหวพริบในการเกี้ยวพาราสีหญิงสาว และหญิงก็จะต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบในการ โต้ตอบเชน่ กนั ๑.๑ ประวัติความเป็นมาของเพลงรอ้ งชาวลีซู ในอดีตการร้องเพลงโต้ตอบกัน (หมุ ก่ัว กัว โต๋) เป็นเพลงร้องเพื่อเป็นสื่อเชื่อมความสัมพันธ์ และประกอบการทากิจกรรมหลายๆ อย่าง กล่าวคือ หญิงชายชาวลีซูจากหมู่บ้านอื่น เมื่อมาพบกัน มักจะชักชวนพากันไปร้องเพลงโตต้ อบ โดยฝา่ ยเจ้าของหมบู่ า้ น เม่ือเหน็ แขกต่างถิ่นมาก็จะแสดงความ ยนิ ดี แล้วพูดว่า “พ่สี าว” หรือ “พีช่ าย” เป็นการเรียกอย่างยกย่องให้เกียรติว่าเป็นผู้นับถือ นานๆ มา พบกันที ไปร้องเพลงโต้ตอบกันดีกว่า ดังพูดเป็นภาษาลีซูว่า “จิ๊จิ ม้ือส้า ถ่ี ซัว โมะ หละ ขัว หมุ กั่ว กวั โต๋ ง่ะ” สถานท่รี ้องเพลงมักเป็นศาลาทางเขา้ หม่บู ้าน หรอื รมิ ลาห้วยที่ห่างไกลหมู่บ้าน และมักร้อง เ พ ล ง เ ว ล า ก ล า ง คื น จ น ถึ ง รุ่ ง เ ช้ า ก า ร ร้ อ ง โ ต้ ต อ บ ฝ่ า ย ห ญิ ง แ ล ะ ฝ่ า ย ช า ย จ ะ ต้ อ ง ห า
๑๐ เพื่อนมาดว้ ยอีกอย่างน้อย ๓-๔ คน เพือ่ ผลดั เปลีย่ นกัน ประโยชน์ของการร้องเพลงนอกจากเพ่ือความ สนุกสนาน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแล้ว เน้ือเพลงยังเป็นการซักถามประวัติ ลาดับญาติ แซ่สกุล อีกด้วย คนทีบ่ อกบทเพลงไดน้ ับเป็นคนฉลาดมีไหวพริบดี เพราะน้อยคนที่จะบอกบทได้กับร้องเพลงได้ ด้วย คนทร่ี อ้ งเพลงได้อยา่ งเดยี วจึงต้องหาคนบอกบทเป็น มาสอนไหม้ ฉิ ะนนั้ กจ็ ะรอ้ งไม่ได้ เพลงร้องของชาวลีซู ประกอบด้วยเพลงแม่บท (เพลงใหญ่) และบทเพลงลูก (เพลงย่อย) อีก มากมาย สาหรบั บทเพลง “เหน่อ ซยวู่ หม่ือ กว่ัวะ” (บทเพลงสาหรับการเดินทางเพื่อเรียนรู้และสร้าง สมประสบการณ)์ เปน็ บทเพลงเรมิ่ ตน้ เพ่อื ไขกุญแจหรือนาไปสู่การร้องเพลงแมบ่ ทใหญ่ การเร่ิมต้นร้องเนอื้ เพลงในบทเพลง “เหน่อ ซยวู่ หมอ่ื กววั่ ะ” น้ัน ผู้ชายที่เดินทางมาเที่ยวหา ผู้หญงิ ทอ่ี ยใู่ นพื้นทนี่ ้นั ๆ ฝ่ายชายมแี นวเพลงท่ีตอ้ งถามทางเร่มิ ตน้ ใหฝ้ า่ ยหญงิ อยู่ ๒ แนว คอื ๑) ถามถงึ บรรยากาศของวันน้ีดีหรือไม่? ซึ่งเป็นการถามแบบอ้อมๆ แฝงนัยว่าวันน้ีพ่อ แม่ พ่ี นอ้ ง มาด้วยหรอื ไม่ การถามข้อน้เี พอื่ เป็นการเปดิ ทางไปสูก่ ารวางแผนเกย้ี วพาราสีต่อไป ๒) ถามว่าถิ่นน้ีเป็นถิ่นท่ีใครอยู่? ในคาถามน้ีฝ่ายชายจะรู้ว่าฝ่ายหญิงท่ีตนเกี้ยวด้วยนั้นเป็น ใคร อย่ใู นตระกลู ใด และเปน็ เครือญาติกันหรือไม่ ซ่ึงคาถามท้ังสองน้ี จะทาให้ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงที่ จะรอ้ งเพลงอยดู่ ว้ ยกันรู้จักกนั ก่อนทีจ่ ะรอ้ งเพลงต่อไป หลักจากทที่ ั้งสองฝ่ายโต้ตอบคืนเพลงทั้งสองแนวคาถามกันแล้ว ฝ่ายหญิงมีคาถามท่ีต้องถาม ฝ่ายชายอีก รวมท้ังสิ้น ๑๗ อย่าง เมื่อเสร็จข้ันตอนน้ีก็จะเริ่มร้องเพลงเกี้ยวพาราสี ระหว่างฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงได้ หลักจากน้นั ก็นาไปสูเ่ นอื้ หาการตอบรบั คา การขอหม้ันหมาย การนัดพบกัน และการ จ่ายคา่ สินสอดทองหมนั้ นอกจากที่กล่าวมานี้เน้ือหาของเพลงแม่บทยังมีต่อเน่ือง และประกอบด้วยเนื้อหาท่ีเก่ียวกับ การทาพิธเี ขา้ เปน็ สมาชกิ ใหมข่ องครอบครัวฝา่ ยชายและการเลี้ยงแขก บทบาทหน้าท่ีของคู่บ่าวสาวใน ครอบครวั ของพ่อแม่ฝ่ายชาย ตอ่ จากน้นั จะกล่าวถึงเน้ือหา การแยกครอบครัวใหม่ การทามาหากินใน รอบปี การเล้ยี งดหู ลาน และการดาเนินชวี ติ ในวยั ผูใ้ หญ่และวัยสูงอายุ การนาชีวิตสู่โลกใหม่หลังความ ตาย เป็นตน้ (โครงการพัฒนาสือ่ ภมู ปิ ญั ญาชนเผ่าลซี ู เครอื ขา่ ยผูร้ ู้ ๖ ชนเผ่า) ๑.๒ บทร้อง บทร้องที่ใช้ในเพลงโมะกั่วกัวตั๋ว น้ันเป็นเน้ือร้องท่ีออกมาจากจิตใจ ปฏิภาณไหวพริบในการ เก้ียวพาราสี ซ่ึงจะพรรณนาข้ึนมาสดๆ ไม่ยึดติดกับภาษา แต่มีนัยแฝงถึงการเปรียบเปรยส่ิงต่างๆ รอบตวั เชน่ การถามถงึ สภาพอากาศว่าปลอดโปร่ง หรือไม่ หมายความว่า มีพ่อแม่พี่น้องอยู่ด้วยใกล้ๆ ไหม หากไม่มีแสดงว่าปลอดโปร่ง หากมี หญิงสาวมักจะตอบว่า วันนี้อากาศไม่ค่อยดี วันหน้าค่อยมา ใหม่นะ หรือการถามเกี่ยวกับการมีคู่หมายปองหรือยัง ก็อาจจะเปรียบเปรยกับนกท่ีเลี้ยง ว่ามีเจ้าของ หรอื ยัง เป็นตน้
๑๑ ๑..๓ ลกั ษณะทานอง ทานองทใี่ ช้ในการร้องโมะก่ัวกัวตั๋ว ท่ีเป็นแบบแผนถูกต้องตามหลักการใช้งานในปัจจุบันแบ่ง ออกเป็น ๔ ทานอง ไดแ้ ก่ ๑) ทานองม่วั โกะดามะ เป็นทานองหลักของเพลงแม่บทใหญ่ ปัจจุบันลักษณะการร้องแบบน้ีถูกละเลย ไปเนอ่ื งจากเป็นการรอ้ งทีม่ ีการเอ้ือนยาว ผูร้ อ้ งตอ้ งมีทกั ษะในการรอ้ งมาพอสมควร ๒) ทานองฮโี้ กะขูม่ วั่ โกะ และ โชโมะมัว่ โกะ เป็นทานองเพลงร้องสาหรับเพลงทั่วไปของหนุ่มสาวท่ีใช้เก้ียวพาราสีกัน หาก เป็นการร้องในบ้าน โดยมีผู้ใหญ่อยู่ด้วย จะเรียกว่า ฮ้ีโกะขู่มั่วโกะ แต่ถ้าร้องนอกบ้าน โดยไม่มีผู้ใหญ่ อยู่ จะเรยี กว่า โชโมะมั่วโกะ ทง้ั นที้ งั้ สองแบบมีลกั ษณะทานองการร้องท่เี หมอื นกนั ๓) ทานองหน่ีโฉว่ ม่ัวโกะ เป็นทานองเพลงที่ใช้ร้องเก้ียวพาราสีกันเป็นกลุ่มในช่วงเทศกาลปีใหม่ลีซู เป็น การรอ้ งท่มี เี น้ือหายาวมาก รอ้ งโต้ตอบกันไปมาอยขู่ า้ งๆ วงเตน้ รา ๔) ทานองญ่ผี ือแป้มวั่ โกะ เป็นทานองทีน่ ิยมใชใ้ นงานแตง่ งาน เนอ้ื เพลงจะเปน็ การราพงึ ราพันถึงความหลัง ในการปฏบิ ตั ิตนทดี่ ี ทาใหเ้ กิดความคิดถึงท่หี ญงิ สาวมตี อ่ ชายหน่มุ และชายหนุ่มท่ีมีตอ่ หญิงสาว ภาพที่ ๒.๑ การขบั รอ้ งเพลงลีซู ฝา่ ยชายจะเปน็ ฝา่ ยคดิ บทแล้วกระซิบบอกใหฝ้ ่ายหญงิ ร้อง ที่มา: องอาจ อินทนิเวศ
๑๒ ๒. ซือบอื ซือบือ เป็นเคร่ืองดนตรีประเภทเครื่องสาย ที่ใช้การดีดเพ่ือให้เกิดเสียง จัดอยู่ในประเภท เดียวกันกับ ซึง หรือพิณ ซือบือเป็นเคร่ืองดนตรีที่ถือเป็นเอกลักษณ์สาคัญอย่างหน่ึงของชาวลีซู นิยม ใช้บรรเลงในงานรื่นเรงิ สาคญั เช่น งานปใี หม่ และงานแต่งงาน ๒.๑ ประวัตคิ วามเป็นมา จากการค้นคว้าข้อมูลเอกสารถึงประวัติความเป็นมาของซือบือ พบว่ามีนักวิจัยท่ีศึกษาเรื่อง เคร่ืองดนตรีประเภทซือบอื ได้ให้แนวคดิ เกยี่ วกับประวตั คิ วามเป็นมาของซอื บอื ดังน้ี ประไพศรี สงวนวงศ์ (๒๕๓๕: ๘๕) กล่าวว่า ซึง หรือพิณ เรียกเป็นภาษาลีซอว่า “ซือบือ” เป็นเครื่องดีดที่มี ๓ สาย เป็นเคร่ืองดนตรีที่เก่าแก่ของชนท่ีอาศัยอยู่ในแถบเอเชียตอนใต้นี้มาช้านาน ซง่ึ ชนทกุ ชาตใิ นแถบนจ้ี ะประดษิ ฐ์ข้นึ ใช้ตามความตอ้ งการของเผ่าพันธ์ุแต่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป ซึงของชาวลีซอมีลักษณะคล้ายซึงของภาคเหนือและมีลักษณะคล้ายซึงโบราณของอินเดีย (กัจฉะป วณี า) ทีก่ ะโหลกพณิ ทาจากกระดองเต่า ซ่งึ อาจเป็นต้นกาเนดิ ของพณิ ชนดิ น้ีกไ็ ด้ พัณณดา ภปู ระภากรกุล (๒๕๔๗: ๔๙) กลา่ วว่า ซือบือ หรือซงึ ของชาวลีซู เป็นเคร่ืองดนตรีท่ี มีมาช้านานในสังคมของชาวลีซู ซ่ึงไม่สามารถหาประวัติความเป็นมาท่ีแน่ชัดได้ เน่ืองจากชาวลีซูไม่มี ภาษาเขยี นจงึ ไมม่ กี ารจดบันทึกเร่อื งนี้ไว้ หรือแม้แต่นิทานปรัมปราของชาวลีซูเท่าท่ีสืบค้นได้ก็ยังไม่ได้ กล่าวถงึ ตน้ กาเนิดของซือบือแต่อย่างใด จากการสัมภาษณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ ก็ได้คาตอบเหมือนกันว่า ซือบือ เป็นเครื่องดนตรีที่มีมาต้ังแต่สมัยบรรพบุรุษท่ีสืบทอดกันมานาน แต่ไม่รู้ว่าต้นกาเนิดมาจากไหนหรือ ใครเปน็ ผสู้ รา้ งข้ึน และเครื่องดนตรชี นิดน้เี อาไวใ้ ช้เล่นประกอบการเต้นราเพื่อความสนกุ สนาน เฉลิมกิต เข่งแก้ว (๒๕๔๘: ๕๖) กล่าวว่า ซือบึเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงในสังคมลีซอ โดย ไม่มีประวัติความเป็นมาและการกาเนิดแน่ชัด แต่ชาวลีซอก็ได้รับสืบทอดการเล่นซือบึมาจากบรรพ บรุ ุษมาช้านาน ซง่ึ อาศัยการสบื ทอดจากรุ่นสู่รุ่นด้วยวิธีปากต่อปากหรือมุขปาฐะ โดยสังคมลีซอใช้การ เล่นซือบึเพ่ือสร้างความบันเทิงในพิธีต่างๆ เช่น พิธีปีใหม่ พิธีแต่งงาน พิธีกินข้าวโพดใหม่ เป็นต้น อีก ท้งั ยงั มีบทบาทเปน็ สื่อกลางในการสร้างความสมั พนั ธ์ให้กับชุมชนลีซอ คือ เม่ือชาวลีซอได้ยินเสียงซือบึ ในบริเวณบ้านใกล้เรือนเคียง หรือในพิธีต่างๆ ก็จะมารวมตัวกันเพื่อรวมกันเต้นรา ดื่มเหล้า พูดคุย สนทนา ทง้ั น้ีซือบยึ งั เป็นสงิ่ ที่บง่ บอกแสดงถึงเอกลกั ษณ์วฒั นธรรมอย่างหนง่ึ ของชาวลีซอ ศักดิ์ดา สินหม่ี (อ้างใน เฉลิมกิต เข่งแก้ว: ๕๖-๕๗) กล่าวว่า ที่มาของซือบึน้ันไม่ทราบที่มา ชัดเจนแต่เป็นเครื่องดนตรีท่ีใช้ในสังคมลีซอ แต่ก็มีเครื่องดนตรีบางชิ้นท่ียอมรับว่าลีซอนามาจากลหุ คือ แคนใหญ่ โดยที่วัฒนธรรมของลีซอกับลหุนั้นมีความใกล้เคียงกัน ซือบึเป็นเคร่ืองดนตรีที่ฟังแล้ว
๑๓ รู้สึกแบบสดชื่น ถ้ามีพิธีกรรมซือบึจะมีบทบาทหลักมากในสังคมลีซอ ถ้าจะให้เปรียบเทียบฝู่หลู่ กับซือบึ ฝู่หลู่จะมีการเข้าถึงง่ายกว่า แต่จะให้พูดถึงความเป็นเอกลักษณ์น่าจะเป็นซือบึมากกว่าฝู่หลู่ ซือบึมีการใชท้ กุ งานทมี่ ีการเต้นรา เชน่ ปใี หม่ ทาบญุ ศาลา ทาบุญข้าวโพดใหม่ ฯลฯ จากการศึกษาข้อมูลด้านเอกสาร และการศึกษางานภาคสนาม ซ่ึงผู้วิจัยได้สอบถามนักดนตรี ชาวลีซทู ีเ่ ล่นซอื บอื ในจังหวัดเชียงราย สว่ นใหญ่ใหข้ ้อมลู ในทิศทางเดียวกัน คือ ซือบือเป็นเครื่องดนตรี ท่ปี รากฏมาตัง้ แต่รุ่นบรรพบุรุษแต่ไม่ปรากฏถึงที่มาของเครื่องดนตรีชนิดนี้ เนื่องจากไม่มีการบักทึกไว้ เป็นลายลักษณ์อักษร จึงทาให้ยากต่อการค้นคว้าข้อมูลเชิงลึก และชาวลีซูจะใช้ซือบือ บรรเลง ประกอบเฉพาะงานรนื่ เรงิ เท่านั้น จากการสอบถามเพิ่มเติมจากนักดนตรีอาวุโสชาวลีซู หลายท่าน อายุ ๖๐-๗๐ ปีขึ้นไป ต่าง แสดงความคดิ เหน็ เปน็ ในทิศทางเดียวกันว่าไดเ้ หน็ และได้ยินเสียงซอื บือมาตั้งแต่ยงั เป็นเด็ก หรือตั้งแต่ จาความได้ และตนเองได้ฝึกเล่นเพลงซือบือมาจากบิดาตั้งแต่ยังเด็ก ซ่ึงเม่ือพิจารณาถึงการท่ีชาวลีซู เข้ามาในประเทศไทย ต้ังแต่ปี พ.ศ.๒๔๖๒ เป็นองค์ประกอบด้วยน้ัน จึงอาจกล่าวได้ว่าเคร่ืองดนตรี ประเภทซือบอื นี้ นา่ จะมีนามาเล่นในสังคมของชาวลีซูมาแลว้ ไมน่ อ้ ยกวา่ ๙๐-๑๐๐ ปี ก่อนหน้าน้ี ๒.๒ ลักษณะทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพของซือบือน้ัน เป็นเคร่ืองดนตรีประเภทเครื่องสาย (Chordophone) ท่ี ใชก้ ารดดี เพอื่ ใหเ้ กดิ เสียง มี ๓ สาม เรียกสายล่างสุด จนสายบนสุดว่า สายลูก สายพ่อ และสายแม่ตัว เคร่ืองทามาจากไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ซ้อ ไม้สัก ไม้ตะเคียน เม่ือทาการแยกช้ินส่วนของเครื่อง จะมี ส่วนประกอบท่ีสาคัญ อยู่ ๒ ส่วนหลัก คือ ส่วนตัวเคร่ือง และส่วนกล่องเสียง และแต่ละส่วนมี องคป์ ระกอบปลีกย่อย โดยมีชอ่ื เรียกเฉพาะเป็นภาษาลซี ู ดังรายละเอยี ดต่อไปนี้ ภาพท่ี ๒.๒ เคร่ืองดนตรีซือบือ ทีม่ า : องอาจ อินทนเิ วศ
๑๔ ภาพที่ ๒.๓ นายมนตรี การะเกด บา้ นดอยล้าน ต.วาวี อ.แม่สรวย ขณะบรรเลงซือบือ ทม่ี า : องอาจ อินทนเิ วศ ๑) สว่ นตวั เครือ่ ง ส่วนตัวเคร่ืองมลี กั ษณะเปน็ ทอ่ นไมเ้ นื้อแขง็ เชน่ ไม้ซ้อ ไม้สัก ไมต้ ะเคียน มีลักษณะยาว เหลา ให้ได้สัดส่วน ปลายส่วนหัวโค้งงอ เซาะร่องเพ่ือใส่ลูกบิด จานวน ๓ รู ด้านหน้าผ่าแบนเรียบด้านหลัง โค้งมน คล้ายคอของกีตาร์ ปลายด้านล่าง เหลาให้เป็นท่อนขนาดเล็กเพื่อสอดใส่กับส่วนกล่องเสียง ภาพที่ ๒.๔ ส่วนตัวเครอ่ื งของซอื บือ ทม่ี า : องอาจ อนิ ทนิเวศ
๑๕ ๒) ส่วนกลอ่ งเสยี ง กล่องเสียง หรือกะโหลก ทาจากไม้เน้ือแข็งทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๒ เซนติเมตร ด้านหน้าขึงด้วยหนังงูเหลือม หรือหนังแลน (หนังตะกวด) ยึดขอบด้วยตะปู ด้านหลังฉลุ ลวดลายสวยงาม ภาพท่ี ๒.๕ สว่ นกล่องเสยี งของซือบือ ท่ีมา : องอาจ อนิ ทนเิ วศ เนื่องด้วยในปัจจุบัน วัสดุในการผลิตซือบือเริ่มหายาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังงูเหลือม หรือ หนงั แลน เพ่อื ทจี่ ะนามาทาหนงั หนา้ ของซือบอื และสว่ นกล่องเสยี งที่ต้องใชค้ วามพยายามในการคว้าน ไม้ และฉลลุ วดลายดา้ นหลังเครื่อง จึงได้มีการประยุกต์ใช้ท่อน้าประปาพลาสติก มาทาเป็นกล่องเสียง ตดั แผ่นไม้ฉลลุ วดลายปิดด้านหลงั และใช้ขวดน้าอัดลมพลาสตกิ แทนหนังหน้า ภาพท่ี ๒.๖ ส่วนกล่องเสียงของซือบอื แบบประยุกต์ใชท้ ่อพลาสตกิ ทมี่ า : องอาจ อินทนเิ วศ
๑๖ สว่ นประกอบปลกี ย่อยของซือบอื ๑) สายของซอื บือ สายของซอื บอื มสี ามสาย ได้แก่ อ้ีฉาฉ๊ะ คือ สายล่าง เปรียบเสมือนสายลูก อี้ผ่าฉะ สายกลาง เปรียบเสมือนสายพอ่ และอ้ีหม่าจ๊ะ สายบนเปรียบเสมอื นสายแม่ ในอดีตสายของซือบือทามาจากสาย ลวดทองแดง หรือเส้นลวดท่ีหาได้ในสมัยนั้นๆ ในปัจจุบันได้มีการดัดแปลงนาเอาสายกีตาร์สายที่ ๑ (.๐๐๙) มาใชเ้ ป็นสายของซือบือ ซึ่งไดร้ ับความนิยมอยา่ งแพรห่ ลาย ๒) ลูกบดิ ลูกบิด หรือ ซอื บือนาโปะ๊ ทาจากไม้เนือ้ แขง็ ยาวประมาณ ๗-๘ เซนติเมตร ด้านหนึ่งเล็กเรียว ผา่ ปลายเพื่อใสส่ าย ส่วนอกี ดา้ นหนึ่งกลมใหญ่ เป็นส่วนทีใ่ ช้จบั เพือ่ ปรบั เสยี ง ๓) หยอ่ งบน หยอ่ งบน หรอื ซือบืออ่าโมซะ ทาจากไม้ หรือโลหะ มีความยาวเทา่ กบั หนา้ กว้างของคอซือบือ ทาหน้าที่ยกสายให้พน้ จากแผ่นหน้าของคอ และยดื ระยะห่างของแต่ละสาย ๔) หยอ่ งล่าง หย่องล่าง หรือ ซือบืออ่าโม ทาจากไม้ วางตาแหน่งไว้ระหว่างกลางของหนังหน้าซือบือ หลักการทางานเหมอื นกับหย่องบน ๕) ไม้ดีด ไม้ดีด หรือ ปู้จึ ทาจากส่วนปลายของเขาสัตว์ ประเภท เขากวาง เขาวัวหรือเขาควาย ยาว ประมาณ ๕ เซนตเิ มตร ใช้เมอ่ื ดีดเลน่ โดยการสวมใสเ่ ข้าไปในนิว้ ช้ี ภาพท่ี ๒.๗ ไม้ดดี หรอื ปู้จึ ทาจากปลายเขากวาง ทมี่ า : องอาจ อินทนิเวศ
๑๗ ภาพที่ ๒.๘ ลูกบดิ ลวดลายสว่ นหวั หย่องบน ทีม่ า : องอาจ อินทนิเวศ ภาพที่ ๒.๙ หนังหนา้ แลน สาย หยอ่ งล่าง ไมด้ ีด ท่มี า : องอาจ อินทนิเวศ
๑๘ ชือ่ เรียกสว่ นประกอบต่างๆ ของซือบือ ชื่อภาษาลซี ู ส่วนประกอบ ซอื บอื อดู ึ ซือบอื ฉือกา๋ สว่ นหวั ซือบือซือโพะ สว่ นคอ อีฉ้ าฉ๊ะ สว่ นกลอ่ งเสียง/กะโหลก อ้ผี ่าฉะ สายล่าง/สายลูก อี้หมา่ จ๊ะ สายกลาง/สายตวั ผู้ ซอื บือนาโปะ๊ สายบน/สายแม่ ซอื บืออา่ โมซะ ลูกบดิ ซอื บอื อา่ โม หยอ่ งบน ซอื บอื กูสึ หย่องล่าง หนงั หนา้ ๒.๓ ข้ันตอนการสร้าง การสร้างซอื บอื ถอื เป็นงานยากสาหรับช่างทาแต่ละคน เนื่องจากจะต้องมีการถาก ขูด คว้าน ไม้ให้ได้รูปทรงตามต้องการ และเนื่องจากตัวเครื่องของซือบือเป็นไม้ช้ินเดียว ดังนั้นหากเกิดการทา ผิดพลาด ช่างจะตอ้ งเร่มิ ทาใหมท่ ันที สาหรับไม้ที่ใช้ทาซือบือ ท่ีให้เสียงที่ดี คือ ไม้จามิดมือกาจึ ในภาษาลีซู หรือไม้ซ้อ ส่วนไม้สัก ไมต้ ะเคยี น ก็สามารถนามาใช้ได้เชน่ กนั เคร่ืองมือ อุปกรณ์ท่ีใช้ในการสร้างเครื่องดนตรีซือบือน้ัน เป็นเคร่ืองมือท่ีใช้กับงานไม้ทั่วไปที่ หาได้ในท้องถ่ิน เช่น ค้อน สิ่ว มีดสาหรับแกะสลักขนาดต่างๆ กรรไก กระดาษทรายเบอร์ละเอียด เชือกฟาง ตะปูเลก็ เศษไม้สาหรบั ทาสลัก ไข่ไก่ เป็นต้น ไม้ซ้อ มชี ือ่ เรียกอนื่ ๆ อกี หลายช่ือ เชน่ แต้งขาว เป้านก สันปลาช่อน มชี ื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Gmelina arborea Roxb. ช่ือวงศ์ VERBENACEAE มีลักษณะเป็นไม้ต้น ผลัดใบ สูง ๑๕-๓๐ เมตร ใบเดีย่ ว เรียงตรงข้าม รูปไข่แกมรูปสามเหลี่ยมกว้าง ๑๐-๑๕ ซม. ยาว ๒๐-๒๕ ซม.มีต่อม ๑ คู่ที่โคน ใบ ดอกมสี ีเหลอื งแกมนา้ ตาลเข้ม ออกเป็นชอ่ ตามกิ่ง กลบี เลีย้ ง ๕ กลีบ โคนเป็นรูปกรวย กลีบดอก ๕ กลบี รูปปากเปดิ เกสรตัวผู้ ๔ อัน ส้ัน ๑ คู่ ยาว ๑ คู่ รังไข่รูปกลมรี ผล เมล็ดเดียวแข็ง รูปกลมแกมรี กวา้ ง ๒.๕-๓ ซม. ยาว ๒.๕-๓.๕ ซม. เมื่อสกุ สีเหลือง ผิวเกล้ียงเป็นมัน มีกล่ิน เมล็ดรูปรี กว้าง ๑ ซม. ยาว ๑.๕ ซม.
๑๙ ๑) การเตรยี มวัสดุ วัสดุท่ีต้องเตรียมอันดับแรก คือ หนังหน้า ที่จะใช้ขึงซ่ึงอาจทามาจากหนังงูเหลือม หนังแลน นามาทาความสะอาด ทาดว้ ยไขข่ าว แล้วตากแดดให้แห้ง จากนั้นหาไม้ตามชนิดที่ต้องการเพ่ือทาส่วน ตัวเคร่ือง และส่วนกล่องเสียง เตรียมสายกีตาร์โปร่ง สายที่ ๑ ขนาดสายเบอร์ .๐๐๙ (ยี่ห้อใดก็ได้) และเชอื กฟาง สาหรับทาสายสะพาย ภาพท่ี ๒.๑๐ หนังแลน กอ่ นนามาขึงบนตวั เครอื่ ง ที่มา : องอาจ อนิ ทนิเวศ ๒) การทาส่วนกล่องเสยี ง - เลือกขนาดไม้ให้ได้สัดส่วนตามที่ต้องการ นามาขูดผิว ถากให้มีลักษณะเป็นทรงกลม กลวง ด้านใน มีความลึกประมาณ ๘ เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง วัดจากด้านใน ประมาณ ๘-๑๐ เซนตเิ มตร ขอบผิวประมาณ ๑-๒ เซนตเิ มตร - ในกรณีทใ่ี ชท้ ่อน้าในการทากล่องเสยี ง นยิ มใช้ทอ่ ประปา หน้ากว้างขนาด ๔-๕ น้วิ - นาแผน่ ไม้มาฉลลุ วดลาย เพ่ือใชป้ ดิ ด้านหลังของกล่องเสียง โดยวัดเส้นรอบวงให้ปิดพอดีกับ ด้านหลังของกล่องเสียง การฉลุลายด้านหลังน้ัน ถือเป็นงานฝีมือที่สาคัญอย่างหนึ่งของช่างทาซือบือ ซง่ึ แตล่ ะคนจะมลี วดลายแตกตา่ งกนั ตามความคดิ สรา้ งสรรคข์ องแตล่ ะคน - เจาะช่องทะลุ ดา้ นบนลงลา่ ง เพื่อใช้สาหรับสอดใสก่ ับตวั เครอ่ื ง - นาแผน่ หนัง/พลาสติก ทท่ี าความสะอาดแล้วมาปิดส่วนด้านหน้าเครื่อง จากนั้นยืดด้วยตะปู ให้แน่นหนา
๒๐ ภาพที่ ๒.๑๑ การถากท่อนไม้ซ้อ เพ่ือทากลอ่ งเสียงซอื บือ ที่มา: องอาจ อินทนิเวศ ภาพที่ ๒.๑๒ รูปทรงของสว่ นกล่องเสยี งซือบือ ที่มา: องอาจ อนิ ทนิเวศ
๒๑ ภาพท่ี ๒.๑๓ ตวั เคร่ือง หลังจากคว้านและเจาะรู ที่มา : องอาจ อนิ ทนิเวศ ภาพที่ ๒.๑๔ การยึดหนงั แลน เขา้ กบั ตวั เครื่อง ทม่ี า : องอาจ อนิ ทนิเวศ 3) การทาส่วนตัวเครอ่ื ง - นาไม้ท่เี ตรยี มไวเ้ พือ่ จะทาตวั เครื่องมาเหลาใหไ้ ดส้ ดั สว่ น การกาหนดความยาวของตัวเคร่ือง นั้น ได้จากการวัดเส้นรอบวงหน้ากล่องเสียงจานวน สองรอบ จะได้เท่ากับความยาวของตัวเครื่อง ซอื บือ
๒๒ ภาพท่ี ๒.๑๕ นายอาเบล โด่โด้ สาธิตการวดั ขนาดความยาวของซือบือ ทีม่ า : องอาจ อินทนิเวศ - นาไม้ท่ีทาตัวเครื่องมาผ่าด้านหน้าให้เรียบ ส่วนด้านหลังไม้ถากให้โค้งมนรองรับกับง่ามน้ิว โปง้ กบั น้วิ ช้ี - ถากสว่ นหัวเคร่อื ง เพ่ือทาชอ่ งใสส่ าย ดา้ นลา่ ง ๒ รู ดา้ นบน ๑ รู - ตกแต่งส่วนหัวเครอ่ื ง สามารถแกะสลกั ลวดลายไดต้ ามตอ้ งการ - ปลายด้านทต่ี ดิ กับสว่ นกลอ่ งเสยี ง ถากให้เล็กลง โดยให้สมั พนั ธ์กับส่วนกล่องเสยี ง - จากน้นั ประกอบเคร่ืองเขา้ หากนั
๒๓ ภาพท่ี ๒.๑๖ การประกอบเคร่ืองเข้าหากนั ทีม่ า : องอาจ อนิ ทนเิ วศ ๔) การทาลูกบิด - นาไม้ท่ีเตรียมทาลูกบิด มาเหลาให้มีลักษณะเรียวกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑-๒ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๘ เซนติเมตร ปลายด้านท่ีจับเพื่อปรับเสียงน้ัน จะใหญ่กว่า ส่วนด้านที่ยึด สายเล็กกวา่ ใหผ้ า่ ปลายเพ่ือไว้สาหรบั ใสส่ าย ทาทง้ั สนิ้ ๓ อัน ภาพท่ี ๒.๑๗ ปลายด้านทย่ี ึดสายของลกู บิด ท่มี า : องอาจ อนิ ทนเิ วศ
๒๔ ภาพที่ ๒.๑๘ เม่อื ประกอบลูกบดิ เขา้ กบั สว่ นหัวเครอ่ื ง ท่มี า : องอาจ อนิ ทนเิ วศ ๕) การทาไมด้ ีด - การทาไมด้ ดี ใหต้ ดั เอาสว่ นปลายของเขาววั หรือเขาควาย นาไปต้มให้นิม่ เสียก่อน - นาดา้ นทแี่ หลมไปฝนใหโ้ คง้ มน - ส่วนด้านลา่ ง (ด้านกวา้ ง) ให้นาสว่ิ มาคว้านเปน็ รู เพ่อื ใหน้ ิ้วสวมใสเ่ ข้าไปได้ (ดูภาพท่ี ๒.๗ ไม้ดดี หรอื ปูจ้ ึ ทาจากปลายเขากวาง) ๖) การดแู ลรกั ษาซอื บอื เน่ืองด้วย ซือบือ ถือเป็นเครื่องดนตรีประจาตัวของนักดนตรีแต่ละคน มีการสืบทอดเคร่ือง ดนตรกี ันจากรนุ่ บรรพบุรษุ บางคร้ังเคร่ืองดนตรอี าจมีชารุดบาง โดยเฉพาะบริเวณหนังหน้า เนื่องจาก ทาจากหนงั งูเหลอื ม หรือหนังแลนจึงมีความบอบบางค่อนข้างสูง ควรระวังไม่ให้โดนน้า หรือตากแดด เป็นเวลานานๆ จะทาให้หนังเกิดการชารดุ เสียหายได้ง่าย ส่วนตัวเคร่ืองมีลักษณะเป็นท่อนไม้ยาว ควร ระวงั ไม่ใหเ้ กิดการกดทับ ซ่งึ จะทาให้หกั ได้ ๒.๔ ระบบเสยี งของซอื บอื การวัดระดับเสียงของเคร่ืองซือบือ ผู้วิจัยได้เทียบระดับเสียง กับทฤษฎีการวัดระดับเสียง ระบบแบ่งเท่า (Equal Temperament) ของ Alexander J. Ellis (๑๘๑๔-๑๘๙๐) โดยใช้หน่วยวัด ระดับเสยี ง เรียกว่า เซนต์ (Cent) แบ่งระยะห่างของโน้ต เป็น ๑๒ โน้ต มีค่าความห่างแต่ละโน้ตเท่าๆ กัน คือ ๑๐๐ เซนต์ ต้ังค่า C กลาง (Middle C) มีค่าเท่ากับ ๐ จัดระยะใน ๑ ช่วงทบหรือคู่แปด (Octave) รวมทงั้ หมด ๑,๒๐๐ เซนต์ สามารถนาเสนอเป็นรปู แผนภูมไิ ด้ ดังนี้
๒๕ การจัดระยะความถห่ี า่ ง ในช่วงคแู่ ปด (1 Octave) C C# D D# E F F# G G# A A# B C ๐ ๑๐๐ ๒๐๐ ๓๐๐ ๔๐๐ ๕๐๐ ๖๐๐ ๗๐๐ ๘๐๐ ๙๐๐ ๑,๐๐๐ ๑,๑๐๐ ๑,๒๐๐ Cent จากการเก็บข้อมูลภาคสนาม บันทึกบทเพลงที่ปรากฏในพ้ืนท่ีจังหวัดเชียงราย เพ่ือวิเคราะห์ ถงึ ระบบเสียงทใ่ี ช้บรรเลงเพลงของซอื บือ โดยมากจะพบอยู่ ๒ ชนิด คือ ระบบเสียงหลัวเตียว และอือ เตียว แต่การลงพ้ืนท่ีเก็บข้อมูลจึงพบนายอาเบล ยันจา อายุ ๖๕ ปี อยู่บ้านเฮโก ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ. เชียงราย เปน็ ผู้มีความสามารถสูง สามารถเล่นบทเพลงได้มากและมีการเทียบเสียงที่แม่นยา จากการ บันทึกบทเพลงของนายอาเบล ยันจา จึงพบว่า ซือบือมีการตั้งสายเพ่ือบรรเลงได้ถึง ๕ ระบบเสียง ดังน้ี ๑) ระบบเสียงหลวั เตียว ได้แก่ A4 D4 และ A3 ๒) ระบบเสยี งจูเตียว ได้แก่ A4 A4 และ C4 ๓) ระบบเสียงอ้ือเตียว ไดแ้ ก่ A4 D4 และ D4 ๔) ระบบเสียงซงั โจ่โกะ๊ ไดแ้ ก่ A4 E4 และ A4 ๕) ระบบเสยี งไม่ปรากฏช่อื ไดแ้ ก่ A4 E4 และ B3 *** การแสดงเสียงโนต้ นับจากสายล่างสดุ
๒๖ ๓. ฝูห่ ลู ฝู่หลู เป็นเครื่องเป่าประเภทเดียวกันกับแคน เรียกเป็นภาษาไทยกลางว่า แคนน้าเต้า เป็น เคร่ืองดนตรีท่ีนิยมบรรเลงโดยทั่วไปในชุมชนหมู่บ้านลีซู เคร่ืองดนตรีฝู่หลู่ แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ไดแ้ ก่ ปาลฝิ หู่ ลู ฝูห่ ลูแลแล และฝูห่ ลูนาอุ ๓.๑ ประวตั คิ วามเปน็ มา ฝู่หลู หรือ แคนน้าเต้าของชาวลีซู เป็นเครื่องดนตรีเก่าแก่ท่ีมีบทบาทอยู่ในสังคมลีซูมาเป็น เวลานาน ซ่ึงประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากชาวลีซูไม่มีภาษาเขียนจึงไม่มี การจดบันทึกเร่ืองราวนีไว้ หรือแม้แต่นิทานปรัมปราของชาวลีซูเท่าที่พอสืบค้นได้ ก็ยังไม่มีเร่ืองใด กล่าวถึงฝู่หลูหรือต้นก้าเนิดของฝู่หลูเลย แต่จากการพูดคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่ชาวลีซูก็ได้ค้าตอบเหมือนกัน ว่า “ฝู่หลู เป็นเครื่องดนตรีโบราณ ไม่รู้ว่ามีต้นก้าเนิดมาจากไหน หรือใครเป็นผู้สร้าง เห็นพ่อเล่น เคร่ืองดนตรีนีมาตังแต่เด็กๆ จะเอาไว้เล่นประกอบการเต้นร้าในช่วงเทศกาลวันขึนปีใหม่ เพ่ือให้เกิด ความสนกุ สนาน” (ช้างตน้ กญุ ชร ณ อยุธยา, ๒๕๔๓: ๕๖) แม้จะไม่ทราบแน่ชัดถึงเร่ืองประวัติความเป็นมาของฝู่หลู แต่จากข้อคิดเห็นเรื่องพัฒนาการ เครื่องดนตรีประเภทเคร่ืองเป่าในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ สามารถท้าให้ทราบความเป็นมาของแคน น้าเต้าได้บ้าง โดย ทองแถม นาถจ้านง (๒๕๓๕: ๑๐๒, อ้างใน ช้างตน้ กญุ ชร ณ อยุธยา, ๒๕๔๓: ๕๖) กล่าววา่ “แคนเป็นววิ ัฒนาการขันสูงของเครื่องดนตรีชนิดเป่าในภูมภิ าคเอเชยี อาคเนย์ ซึ่งมีพัฒนาการ มาจากเครือ่ งเปา่ ล้าเดียว ตอ่ มาเม่ือตอ้ งการให้ได้เสียงมากขึน ก็จะต้องเพ่ิมหลอดเสียงให้มากกว่าหน่ึง หรือสองล้า ซ่ึงเมื่อเพ่ิมหลอดเสียงจะท้าให้เป่าแบบธรรมดาเหมือนเป่าล้าเดียวไม่ได้ คนโบราณมีวิธี จดั การกบั ปญั หานสี องแนวทาง คือ แบบท่ีหนงึ่ เอาล้าไม้ซางสอดผ่านกระบอกอ้อ กระบอกไม้ไผ่ หรือ เตา้ ไมแ้ ก่น แบบนีคือต้นแบบของแคนอ้อ หรือแคนไทย-ลาว ส่วนแบบท่ีสอง เอาล้าไม้ซางสวมเข้ากับ น้าเต้าด้านก้นแล้วเป่าลมด้านขัวน้าเต้า แบบนีท้าให้เกิดต้นแบบของแคนน้าเต้า โดยแคนน้าเต้านีจะ แพรห่ ลายในหมูช่ นชาติอี๋ ลาหู อีก้อ วะ นาซี โลโล นู่ ผหู่ มี่ มง้ ขู่ซง และแมแ้ ตใ่ นมาเลเซียก็มี โดยส่ิงที่ ยืนยนั ถงึ ความเกา่ แก่ของเคร่อื งดนตรปี ระเภทนี คือ น้าเต้าสัมฤทธิ์ที่ขุดพบแถบตอนเหนือของคุนหมิง เป็นน้าเต้าของแคนชนิด ๕, ๖ และ ๗ ล้า เป็นศิลปวัตถุช่วงปลายยุคชุนชิว (ประมาณ ๒,๕๐๐ ปี ก่อน)” จะเห็นได้ว่า ฝู่หลูเป็นเครื่องดนตรีท่ีประดิษฐ์ขึนมาจากวัสดุธรรมชาติ ท่ีหาได้ง่ายและมีอยู่ ท่วั ไปในท้องถน่ิ (อดตี ) ไม่วา่ จะเป็นลา้ ไม้ซางทที่ า้ ทอ่ เสียง หรือน้าเต้าที่น้ามาท้าเต้าของฝู่หลู ล้วนเป็น วัสดุท่ีมีหาได้ในท้องถ่ินและถูกน้ามาใช้ประโยชน์อยู่เป็นประจ้า เช่น ผลน้าเต้าแห้งจะนิยมน้ามาท้า เป็นขนั ตักนา้ หรอื ภาชนะใส่นา้ ดังนันสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ของสังคมลีซู จึงเป็นสาเหตุส้าคัญ ทท่ี ้าให้มกี ารคิดนา้ ไมซ้ าง และนา้ เต้ามาประดิษฐเ์ ปน็ ฝู่หลูขนึ และใชม้ าจนถึงทกุ วนั นี
๒๗ ๑) ปาลิ ฝู่หลู ปาลิฝู่หลู คือ แคนน้าเต้าขนาดเล็ก เป็นฝู่หลูท่ีได้รับความนิยมมากในบรรดาฝู่หลูทังสาม ประเภท เพลงท่ีเป่าโดยปาลิฝู่หลู จะเป็นเพลงที่มีท้านองฟังง่าย สนุกสนาน และเน่ืองจากตัวน้าเต้าที่ ใช้ท้าเครื่องมีขนาดเล็ก เสียงสูง ฟังง่าย เวลาเป่าจะไม่กินลมมาก จึงไม่จ้าเป็นต้องใช้แรงเหมือนฝู่หลู่ ประเภทอื่นๆ ผู้ที่บรรเลงสามารถเป่าได้เป็นเวลานานติดต่อกันโดยไม่เหน่ือย นอกจากนียังฝึกหัดได้ งา่ ย เหมาะส้าหรับผเู้ ริ่มตน้ ๒) ฝู่หลู แลแล ฝูห่ ลูแลแล เปน็ แคนนา้ เต้าขนาดกลาง โดยขนาดจะใหญ่และยาว และระดับเสียงต่้ากว่า ปาลิ ฝู่หลู่ ปัจจุบันนีไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เน่ืองจากฝึกหัดได้ยาก ต้องใช้ลมเป่า และแรงในการ เป่ามากเมื่อเป่าประกอบการเต้นร้าจะท้าให้เหน่ือยเร็ว ถึงแม้ฝู่หลูแลแล จะไม่ค่อยได้รับความนิยม โดยท่ัวไปมากนัก แต่ในกลุ่มผู้เฒ่าผู้แก่ลีซูยังนิยมใช้ฝู่หลูแลแล มากกว่าปาลิฝู่หลู เน่ืองจากเห็นว่า ท้านองเพลงและท่าเต้นของฝู่หลูแลแล มีรายละเอียดและลีลาที่สวยงาม ท้าให้การเต้นมีความ สนุกสนานกว่า ต่างกับวัยรุ่นท่ีเห็นว่าเพลงของฝู่หลูแลแล นันฟังยาก เสียงทุ้มต้่า ไม่เร้าใจเหมือนกับ ปาลิฝหู่ ลู สว่ นท่าเต้นก็เยอื งย่างช้าๆ ไมโ่ ลดโผนทนั ใจ ดงั นนั ในปัจจุบนั คนทส่ี ามารถบรรเลงฝู่หลูแลแล ได้ จงึ มเี ฉพาะคนรนุ่ ผใู้ หญ่ สว่ นวยั รุน่ นนั ให้ความสนใจไม่มากเทา่ ท่คี วร ๓) ฝ่หู ลู นาอุ ฝู่หลูนาอุ คือ แคนน้าเต้าขนาดใหญ่ มีเสียงเบาและทุ้มต้่า ในปัจจุบันนีแทบไม่พบเห็นแล้ว และหายไปจากความนิยมแล้ว วัยรุ่นลีซูส่วนใหญ่ก็ไม่เคยพบเห็น เนื่องจากเป็นเครื่องท่ีเล่นยาก มี ขนาดใหญ่ เวลาเป่าใช้ลมมาก เม่ือเป่าประกอบการเต้นร้าในวงจะท้าให้เหน่ือยมาก ส่วนเพลงที่ใช้ บรรเลงก็มคี วามยากทสี่ ุดในบรรดาฝูห่ ลูทัง ๓ ชนิด ภาพที่ ๒.๑๙ ปาลิฝู่หลู ฝหู่ ลแู ลแล และซอื บือ เตรยี มพร้อมส้าหรับบรรเลง ทม่ี า: องอาจ อินทนิเวศ
๒๘ ฝู่หลู ทังสามชนิดนีมีลักษณะทางกายภาพบางอย่างที่เหมือนกัน และแตกต่างบ้างท่ีส้าคัญ เชน่ ขนาด และระบบเสยี งของแต่ละเครือ่ ง ซ่งึ จะอธิบายตอ่ ไป ๓.๒ ลกั ษณะทางกายภาพ ฝู่หลู เป็นเคร่ืองดนตรีตระกูลเคร่ืองลม (Aerophone) ชนิดใช้ลินอิสระ (Free Reed) ตัวเครื่องประกอบด้วยส่วนหลกั ส้าคัญ ๓ สว่ น ไดแ้ ก่ ๑) ตัวเครือ่ ง (ฝู่หลูเบค๊ ) ตัวเคร่ืองฝู่หลู ท้าจากน้าเต้า เป็นผลน้าเต้าแห้ง ซึ่งช่างที่ท้าฝู่หลูส่วนใหญ่นิยมปลูกต้นผล น้าเตา้ นีไว้ในบริเวณบา้ น ลกั ษณะของผลน้าเต้าท่ีนิยมน้ามาใช้ท้าตัวเครื่องมีอยู่ ๒ แบบ คือ ผลน้าเต้า แบบกา้ นสัน มลี กั ษณะผลกลม ใหญ่ แข็งแรง ท่ีบรเิ วณขัวผลก้านจะสัน ส่วนแบบท่ี ๒ คือ น้าเต้าแบบ ก้านยาว ผลน้าเต้ามีลักษณะเป็นรูปวงรี มีก้านเรียวยาว ซ่ึงจะบอบบาง และหักง่ายกว่าน้าเต้าแบบ กลม ทังนีน้าเต้าทังสองแบบนีมีความแตกต่างกันในแง่ความสวยงามและความทนทาน จากการ สอบถามนักดนตรีฝูหลู่มักจะบอกเหมือนกันว่า ฝู่หลูท่ีตัวเคร่ืองท้าจากน้าเต้าพันธ์ุก้านสัน จะมีความ แขง็ แรงทนทานกว่า แต่รปู ร่างลักษณะไม่สวยงามเท่าแบบเรียวยาว ภาพท่ี ๒.๒๐ ผลนา้ เตา้ ในลกั ษณะตา่ งๆ ท่ีมา: องอาจ อินทนิเวศ
๒๙ ภาพท่ี ๒.๒๑ ผลน้าเต้าที่ใช้ท้าตวั เคร่ืองแบบข้อยาว ทม่ี า: องอาจ อินทนิเวศ ภาพท่ี ๒.๒๒ ต้นผลน้าเต้า ทมี่ า: องอาจ อนิ ทนิเวศ ขนาดของน้าเต้าที่ใช้นันมีหลายขนาดขึนอยู่กับความต้องการของผู้สร้างว่าต้องการเต้าใหญ่ หรอื เตา้ เล็ก ซง่ึ ฝูห่ ลูตวั เล็ก จะเป็นทน่ี ิยมของนกั ดนตรีวยั ร่นุ มากกว่า เพราะมเี สียงแหลมและดังไปไกล เป่าเร็วได้ดีเหมาะกับเต้นเร็วๆ เวลาเป่าก็ไม่ต้องใช้ลมมาก ไม่ค่อยเหนื่อย แต่การจับเคร่ืองจะวางมือ ยากทา้ ใหน้ วิ ปดิ รูเสยี งได้ลา้ บาก ส่วนเต้าใหญ่มีเสยี งท่ที ุ้มต้่า เหมาะส้าหรับผู้ใหญ่ท่ีชอบเป่าและเต้นร้า ช้าๆ เวลาเป่ากต็ อ้ งใชล้ มมาก เหน่ือยกว่าตัวเล็ก ขนาดของน้าเต้าที่ใช้โดยปกติ มีเส้นรอบวงประมาณ ๒๕-๓๐ เซนติเมตร ถอื วา่ เป็นขนาดที่พอเหมาะพอดี
๓๐ ภาพที่ ๒.๒๓ เหมอเม๊อะบา้ นดอยล้านกา้ ลงั เป่าปาลิฝหู่ ลู ในงานกู่เฉีย ทมี่ า: องอาจ อนิ ทนิเวศ น้าเต้าท่ีมีผลสันมากๆ จะต้องมีข้อต่อเพิ่มเป็นปากเป่าให้ยาวออกมา เพ่ือท่ีจะเป่าได้สะดวก การต่อปากนี เรียกว่า สาต้าตู่ ท้าโดยการตัดก้านของน้าเต้าที่สามารถต่อเข้ากับปากของ ฝู่หลูได้ พอดี เจาะรูเป่าแล้วสวมต่อเข้าไปตรงปากของเคร่ือง จะใช้อันเดียวหรือหลายอันเพื่อให้เกิดความยาว มากย่ิงขึนก็ได้ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน ซึ่งถ้าต่อย่ิงยาวเท่าไหร่ก็ยิ่งใช้ลมเป่ามากขึนเท่านัน ประโยชน์อีกด้านหนึ่งของปากต่อฝู่หลูนีคือเมื่อเป่าเครื่องเป็นเวลานานๆ มักจะมีน้าลายออกมามาก ซง่ึ ปากตอ่ นีจะเป็นตัวชว่ ยกรองนา้ ลายไม่ให้ผ่านเข้าไปถึงตัวลินของฝู่หลู ซึ่งจะท้าให้เกิดความเสียหาย ได้ ภาพท่ี ๒.๒๔ ปากตอ่ หรอื สาตา้ ตู่ ท่มี า: องอาจ อินทนิเวศ
๓๑ น้าเตา้ (Bottle gourd) ชอื่ วทิ ยาศาสตร์: Lagenaria siceraria Standl.ช่ือเรียกในท้องถ่ินว่า คิลูส่า, น้าเต้าเป็นไม้เถา ขนาดใหญ่ ซ่ึงอาจมีความยาวกว่า ๑๐ เมตร ล้าต้นเป็นเหลี่ยม มีมือเกาะท่ี แยกออกเปน็ ๒ ทาง ใบมีขนาดใหญ่คล้ายรูปหัวใจ ผิวใบ มีขนนุ่มทัง ๒ ด้าน มีรอยหยักบริเวณใบ ๕- ๙ หยกั ก้านใบยาวประมาณ ๒๐ ซม. รากจะเปน็ ระบบรากตนื ในสว่ นของผลมีตงั แต่ ขนาด เล็กจนถึง ขนาดใหญ่ ผลมีเนอื ในสีขาวหรือสีเขียวคอ่ นขา้ งจะนมุ่ เปลือกมีสีเขียวเป็นลาย จริง ๆ แล้วน้าเต้ามีอยู่ หลายสายพนั ธุ์ อาทิ น้าเต้าพืนบ้าน น้าเต้าทรงเซียน ซ่ึงเป็นทรงที่นิยมน้ามาท้าเป็นเครื่องประดับ ถ้า เราดูหนังจีนจะเห็นว่ามีน้าเต้าทรงเซียนที่นักแสดงน้ามาประกอบฉาก แต่น้าเต้าพืนบ้านเราก็สามารถ น้ามาตากแห้งเคลือบแล็กเกอร์ท้าเป็นเครื่องประดับก็ได้แต่ไม่ค่อยนิยม กันเท่าไรนัก เน่ืองจากผิดกัน ตามรูปทรง สว่ นใหญ่จะนยิ มนา้ มารับประทานมากกวา่ ๒) ทอ่ เสยี ง (อี) ท่อเสียงของฝู่หลูท้าจากไม้เฮียะ มีจ้านวนทังหมด ๕ ท่อเสียง แต่ละท่อมีความยาวแตกต่าง กนั ไป จากนนั รวมทัง ๕ ท่อเขา้ ด้วยกนั สอดเข้ากับน้าเตา้ ตดิ ดว้ ยขชี ันโรง (เบย๊ี ะเหมอ่ ซุ) ท่อเสียงของฝู่ หลมู ชี อ่ื เรยี กดงั นี - อมี าหมู่ หรือเสยี งตัวแม่ เป็นทอ่ ท่ีมคี วามยาวมากท่สี ุด มรี ะดับเสยี งตา้่ สดุ - อีผ่าหมู่ หรอื เสียงตัวผู้ มคี วามยาวรองลงมาจากอมี าหมู่ ใหเ้ สียงสงู กวา่ อีมาหมู่ - อีแลแล หรอื เสียงตา่้ มคี วามยาวทอ่ ลดลงมาจากท่ออผี า่ หมู่ ใหเ้ สียงสงู กวา่ อีผา่ หมู่ - อฮี าฮา หรือเสยี งกลาง ขนาดสันกวา่ อีแลแล มีระดบั เสียงสูงกวา่ อแี ลแล - อลี ลิ ิ หรอื เสยี งสูง เป็นท่อมีขนาดสันท่ีสุด มีระดับเสียงสูงสุด ในฝหู่ ลแู ลแล และ ฝู่หลูนาอุ นอกจากท่อเสียง ๕ ท่อแล้วยังมีท่อครอบเสียงวางขวางท่ีปลาย ท่อ คือ อีมาโม๊ะ เป็นกล่องครอบเสียงของท่ออีมาหมู่ ท้าให้เสียงท่ออีมาหมู่ก้องกังวานสองด้าน ส่วน กล่องครอบเสียงอีกอันหนึ่งคือ หน่าไห้ เป็นกล่องครอบเสียง ลักษณะคล้ายถ้วย วางสวมเข้ากับท่ออี แลแล ท้าให้เกิดเสียงก้องกงั วานที่ท่ออแี ลแล ส่วนประกอบอื่นของฝู่หลู คือ ควากุ หรือเชือกส้าหรับยึดท่อเสียง ๕ ท่อเข้าด้วยกัน บางที ผู้ผลิตใช้เชือกมัด หรืออาจใช้เชือกหวายมัด ส้าหรับฝู่หลูแลแล และฝู่หลูนาอุ มีอุปกรณ์ท่ีขาดไม่ได้ คอื อาฝดู่ ู่ หรือขนเม่น ใช้ส้าหรับแทงรูด้านล่างของตัวเคร่ืองฝู่หลูเพ่ือตังเสียงให้สูงขึนหรือต้่าลง อีกทัง ยังช่วยในการติดขีชันโรงให้เข้ากับตัวท่อเสียงตัวน้าเต้าได้ด้วย หากไม่มีขนเม่นจะใช้ไม้ปลายแหลม แทน
๓๒ ภาพท่ี ๒.๒๕ ฝหู่ ลูแลแล ปาลฝิ หู่ ลู และซือบอื ทีม่ า: องอาจ อินทนิเวศ ภาพท่ี ๒.๒๖ ท่อทีใ่ ช้ท้าฝหู่ ลูขนาดตา่ งๆ ทีม่ า: องอาจ อินทนิเวศ
๓๓ ไม้ไผ่ ที่ใช้ท้าท่อของฝู่หลู มีชื่อเรียกท้องถ่ินว่า ตีโย รวก ว่าบอบอ แวบ้าง แวป่ัง ฮวก สะลอม มีช่ือวิทยาศาสตร์: Thyrsostachys siamensis Gamble ชื่อวงศ์: Gramineae มีลักษณะ เป็นไมพ้ มุ่ เป็นกอ ล้าต้นตังตรง กลม เป็นทรงกระบอกกลวง ขนาด ๒-๕ เซนติเมตร ผิวเกลียง สีเขียว อมเทา ไมม่ ีหนาม เนอื เเขง็ มชี อ้ ปลอ้ งชดั เจนแตล่ ะปลอ้ งจะยาว ๑๕-๓๐ เซนติเมตร มเี หงา้ ใตด้ นิ สนั ๓) ลนิ (อาชุ หรอื ฝู่หลูอาชุ) ลินของฝู่หลูเป็นลินอิสระ (Free reed) ท้าให้เกิดเสียงได้โดยการเป่า และการดูดให้เสียง เดียวกัน ในแต่ละท่อเสียงมีลินติดอยู่ ขนาดความหนาของลินในแต่ละท่อแตกต่างกัน ท่อท่ีมีระดับ เสียงตา้่ ความหนาของลินน้อยกว่าทอ่ ทีร่ ะดับเสียงสงู นนั่ คือทอ่ อีมาหมู่ (ท่อยาวสุด) จะมีลินที่บาง ท้า ใหเ้ กิดเสียงต้่า และท่ออีลิลิ (ท่อสันสุด) มีลินที่หนาท่ีสุด ท้าให้ได้เสียงสูง ลินของฝู่หลูแลแลถือว่าเป็น ส่วนประกอบส้าคัญที่ท้าให้เสียงของฝู่หลูแลแลนันเกิดคุณภาพ ฉะนันไม้ที่ใช้ท้าลินต้องเป็นไม้ที่มี คุณภาพ ผนวกกับผู้ผลิตท้าฝู่หลูที่ช้านาญมีประสบการณ์สูง ท้าให้ได้เสียงของฝู่หลูแลแลท่ีมีคุณภาพ เสยี งดี ทนทาน ไม้ใช้ท้าลินฝู่หลู คือ ไม้ไผ่ หว่ามะ เป็นไผ่เนือแน่น เนือละเอียด เหนียวทนทาน ขึนดีบนเขา สูง สมัยกอ่ นไมม่ ใี นประเทศไทยต้องน้าไผ่หว่ามะจากจีน หรือพม่า แต่ปัจจุบันผู้ผลิตฝู่หลู สามารถน้า พนั ธไุ์ ผม่ าปลกู บรเิ วณสวน และบริเวณบา้ นได้ ทา้ ใหส้ ะดวกสบายมากขึน ภาพที่ ๒.๒๗ ลินฝหู่ ลู ทมี่ า: องอาจ อนิ ทนิเวศ ๓.๓ ขั้นตอนการสร้าง ก่อนจะด้าเนินการท้าฝู่หลู่ ช่างท้าต้องเตรียมเครื่องมือ และวัสดุที่จะใช้ท้าฝู่หลูให้พร้อม เช่น เตรียมไมไ้ ผท่ ใี่ ช้ท้าลนิ ขีผึง หรือขชี นั โรงทผ่ี ่านการตากแดดให้อุ่น ผลน้าเต้าแห้งสีน้าตาลแก่ ไม้ไผ่หว่า มะ มีดขูดลนิ หรือสิว่ เลอื่ ยตัด อกี ทงั เตรียมมดี ขูดเมด็ ของนา้ เต้า กระดาษทรายใชข้ ดั ผิวทอ่ เสียง
๓๔ ภาพท่ี ๒.๒๘ อุปกรณส์ ้าหรับทา้ ฝูห่ ลู ทม่ี า: องอาจ อนิ ทนิเวศ ภาพท่ี ๒.๒๙ ขผี ึง ที่มา: องอาจ อินทนิเวศ
๓๕ การผลิตฝูห่ ลแู ลแล ๑) ตัดท่ออีลิลิ (ท่อที่สันท่ีสุด) ตามความต้องการ ถ้าต้องการให้เสียงต้่าให้ตัดท่อยาว หรือถ้า ต้องการใหเ้ สียงสงู ตดั ท่อให้สนั จากนันแต่งขอบของทอ่ เสียงใหเ้ รียบ ๒) ตดั ท่ออหี ม่าหมู่ โดยน้าท่ออลี ิลมิ าวดั กบั ทอ่ อีหม่าหมู่ ให้ไดค้ วามยาวเป็น ๒ เท่าของท่ออีลิ ลิ แล้วใช้นิวมือ ๒ นิววางทาบปลายท่ออีหม่าหมู่ แล้วจึงตัดออก ๒ นิว (๒ นิวคนทาบ) ได้ท่อ ท่ียาว ที่สุดคือ ท่ออมี าหมู่ ๓) ตัดท่ออีฮาฮา โดยการน้าท่ออีลิลิมาวัดกับท่ออีฮาฮา แล้วใช้นิวมือวางทาบ ๓ นิว (๓ นิว คนทาบ) แล้วจงึ ตดั ท่อ ๔) ตัดท่ออีแลแล โดยการน้าทอ่ อีฮาฮามาวัดกบั ทอ่ อแี ลแล ใชน้ ิวมือวางทาบ ๔ นิว (๔ นิวคน ทาบ) แล้วจงึ ตดั ๕) ตัดท่ออีผ่าหมู่ โดยน้าท่ออีแลแลมาวัดกับท่ออีผ่าหมู่ ใช้นิวมือวางทาบ ๕ นิว (๕ นิวคน ทาบ) แล้วจึงตดั ท่อ ดังนันท่อเสียงที่ตัดได้ทังหมด คือ ๕ ท่อตามล้าดับคือ ท่ออีลิลิ ท่ออีหม่าหมู่ อีฮาฮา อีแลแล และ อีผ่าหมู่ แตล่ ะท่อท่ีตดั ต้องทา้ สัญลักษณไ์ ว้โดยการใชม้ ีดขูดผวิ ของแต่ละท่อ เพ่ือความไม่สับสนใน การเสียบท่อเข้ากับน้าเต้า จากนันจึงน้าท่อทัง ๕ ท่อ มามัดรวมกันแล้ววางเทียบกับตัวน้าเต้าเพ่ือหา จุดทีเ่ จาะรูน้าเต้า ๖) เจาะรนู า้ เตา้ เพอ่ื ให้ท่อเสยี งแต่ละท่อเสยี บลงได้ โดยการเจาะรูด้านบนของน้าเต้าก่อน โดย เจาะท่อต่อไปนีตามล้าดับ ได้แก่ ท่ออีผ่าหมู่ ท่ออีหม่าหมู่ ท่ออีลิลิ ท่ออีแลแล และ ท่ออีฮาฮา การ เจาะน้าเต้าใชม้ ดี ปลายแหลมเจาะให้ไดข้ นาดใหญพ่ อที่จะสวมท่อเสยี งแต่ละท่อลงไปได้ แต่ไม่ให้หลวม จนเกนิ ไป ๗) ขันต่อไปคือการท้าลิน ถือเป็นส่วนส้าคัญท่ีสุดของการท้าฝู่หลู เป็นขันตอนที่ใช้ความ ละเอยี ดสูง ตอ้ งทา้ ในตอนกลางวัน มแี ดด หรอื มีแสงสว่างมาก ๆ วธิ ีการมดี ังนี - ตัดไมส้ า้ หรับทา้ ลนิ ให้เปน็ แผ่นบางๆ ขนาดประมาณ กวา้ ง ๑ ซม. ยาว ๑๒ ซม. สูง ๐.๕ซม. - ใช้มดี ขดู ผวิ ของไม้ - เจาะลินด้วยส่ิว ขูดผิวไม้ให้บางจนสามารถส่องกับแสงแดดดูว่าเห็นแสงทะลุเนือไม้ ถ้า สามารถเหน็ ทะลแุ สดงว่าผวิ ของลนิ อ่อนใช้ได้ - ตัดปลายลินด้วยมีด แล้วใช้ส่ิวขูดขอบของลินทังสองข้างออกเล็กน้อย ทังนีทังสองข้างที่ขูด ออกต้องเสมอกัน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117