Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

Published by ธนิต ภูพลอย, 2022-03-07 08:10:31

Description: นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

Search

Read the Text Version

รายงาน นวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา เสนอ ดร. กฤษฎาพันธ์ พงษบ์ รบิ รู ณ์ จดั ทำโดย ธนิต ภูพลอย เป�นส่วนหนึ่งของรายวชิ า นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา ตามหลักสตู รประกาศนียบตั รบัณฑติ วชิ าชีพครู คณะศึกษาศาสตรแ์ ละศลิ ปะศาสตร์ วทิ ยาลยั บณั ฑิตเอเซยี พ.ศ. 2565 คำนำ

รายงานเรอ่ื ง นวตั กรรมทางการศึกษา จดั ทำขึ้นเพ่ือใชป้ ระกอบการเรียนรายวิชานวัตกรรมและ เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู บัณฑิตวิทยาลัย วทิ ยาลยั บณั ฑิตเอเชยี โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ เพือ่ ใช้ในการจัดการเรยี น ของนกั ศกึ ษาต่อไป หวังเป�นอย่างยิ่งว่า จะเป�นประโยชน์แก่นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู และผทู้ ่ไี ด้ศึกษาเพอื่ นำไปใช้ในการเรยี นการสอนตอ่ ไป ธนิต ภพู ลอย

สารบัญ หนา้ ที่ ก เรอื่ ง ข คำนำ สารบัญ 1 1. นวัตกรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศกึ ษา 2 1.1 ประวตั ิ ความเปน� มาของนวัตกรรมทางการศึกษา 6 1.2 นวัตกรรมทางการศึกษา ในประเดน็ ความหมาย แนวคิดพื้นฐาน ประเภท 25 25 ลกั ษณะ การพัฒนา ระยะของนวัตกรรม 27 1.3 นวัตกรรมทางการศึกษาในยคุ ป�จจบุ นั 28 2. ความรเู้ บื้องต้นเกยี่ วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 29 2.1 ววิ ฒั นาการของสารสนเทศ 30 2.2 สาเหตุทีท่ ำให้เกดิ สารสนเทศ 31 2.3 ความหมายของ ข้อมลู 33 2.4 ชนดิ ของข้อมูล 34 2.5 กรรมวธิ กี ารจดั การข้อมูล 35 2.6 ความหมายของสารสนเทศ 37 2.7 หลักเกณฑ์การประเมินผลลพั ธ์ หรอื ผลผลติ 37 2.8 คณุ ลักษณะของสารสนเทศทีด่ ี 38 2.9 คุณภาพของสารสนเทศ 40 2.10 ความสำคัญของสารสนเทศ 42 2.11 บทบาทของสารสนเทศ 42 2.12 องคป์ ระกอบของระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ 44 2.13 เทคโนโลยีส่ือสารโทรคมนาคม 45 2.14 ความสำคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ 48 2.15 ปจ� จัยท่ีทำให้เกิดความล้มเหลวในการนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ 51 2.16 ผลของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 51 2.17 เทคโนโลยีสารสนเทศกับการใชช้ ีวติ ในสงั คมป�จจุบัน 65 2.18 ประโยชน์ของระบบสารสนเทศ 3. คอมพิวเตอร์และอิน-เทอรเ์ นต็ กบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 3.1 เทคโนโลยแี ละสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ 3.2 สื่อเพื่อการเรยี นรู้

สารบัญ (ต่อ) หน้าที่ 71 เรื่อง 76 3.3 หลกั ารออกแบบนวัตกรรมและสอ่ื เพ่ือการเรียนรู้ 86 3.4 การเรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้ เครือข่ายการเรยี นรู้ 89 3.5 การจดั การเรยี นรู้บนเครือขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ 92 3.6 ระบบการสืบค้นผา่ นเครือขา่ ยเพ่อื การเรยี นรู้ 92 3.7 การสืบคน้ และรับสง่ ขอ้ มูล แฟม้ ข้อมลู 95 3.8 สารสนเทศเพื่อใช้ในการจัดการเรียนรู้ 3.9 การวเิ คราะห์ป�ญหาทเี่ กิดจากการใช้นวัตกรรม บรรณานกุ รม

1 1. นวตั กรรมทางการศึกษา 1.1 ประวัติ ความเปน็ มาของนวตั กรรมทางการศกึ ษา 1.1.1 ประวตั ิ นวตั กรรม “นวัตกรรม” (Innovation) มีรากศัพท์มาจาก Innovare ในภาษาลาติน แปลว่า ทำสิ่งใหม่ ขึน้ มา ความหมายของนวตั กรรมในเชงิ เศรษฐศาสตร์คือ การนำแนวความคิดใหม่หรือการใชป้ ระโยชน์จาก ส่ิงทม่ี ีอยู่แล้วมาใช้ในรูปแบบใหม่ เพื่อทำใหเ้ กดิ ประโยชน์ทางเศรษฐกจิ หรอื ก็คือ ”การทำในสิ่งท่ีแตกต่าง จากคนอื่น โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (Change) ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส (Opportunity) และถ่ายทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม” แนวความคิดนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยจะเห็นได้จากแนวคิดของนักเศรษฐ อ ุ ต ส า ห ก ร ร ม เ ช ่ น ผ ล ง า น ข อ ง Joseph Schumpeter ใ น The Theory of Economic Development,1934 โดยจะเนน้ ไปที่การสร้างสรรค์ การวจิ ยั และพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันจะนำไปสู่การได้มาซึ่ง นวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Technological Innovation) เพื่อประโยชน์ในเชิง พาณิชยเ์ ป็นหลัก นวัตกรรมยังหมายถึงความสามารถในการเรียนรแู้ ละนำไปปฎบิ ตั ิใหเ้ กิดผลได้จริงอีกด้วย (พนั ธอุ์ าจ ชัยรัตน์ , Xaap.com) 1.1.2 ความเปน็ มาของนวตั กรรม คำว่า “นวัตกรรม” เป็นคำที่ค่อนข้างจะใหม่ในวงการศึกษาของไทย คำนี้ เป็นศัพท์บัญญตั ิของ คณะกรรมการพิจารณาศัพทว์ ิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มาจากภาษาองั กฤษว่า Innovation มา จากคำกริยาว่า innovate แปลว่า ทำใหม่ เปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งใหม่ ในภาษาไทยเดิมใช้คำว่า “นว กรรม” ต่อมาพบว่าคำนี้มีความหมายคลาดเคลื่อน จึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า นวัตกรรม (อ่านว่า นะ วัด ตะ กำ) หมายถึงการนำสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจากวิธีการที่ทำอยู่เดิม เพื่อให้ใช้ได้ผล ดียิ่งขึ้น ดังนั้นไม่ว่าวงการหรอื กิจการใด ๆ ก็ตาม เมื่อมีการนำเอาความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อปรับปรุง งานให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็เรียกได้ว่าเป็นนวตั กรรม ของวงการนั้น ๆ เช่นในวงการศึกษานำเอามาใช้ ก็เรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation) สำหรับผู้ที่กระทำ หรือนำความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ มาใช้น้ี เรยี กวา่ เปน็ “นวตั กร” (Innovator)

2 1.2 นวัตกรรมทางการศึกษา ในประเด็น ความหมาย แนวคิดพื้นฐาน ประเภท ลักษณะ การพัฒนา ระยะของนวตั กรรม 1.2.1 นวัตกรรมทางการศกึ ษา Educational Innovation เป็นคำศัพท์เทคโนโลยีการศึกษาซึ่งนักการศึกษาได้ใช้คำศัพท์บัญญัติ วิชาการ 2 ลักษณะ คือ นวตั กรรมการศกึ ษา และนวัตกรรมทางการศกึ ษา ในบทเรยี นน้ี ใชค้ ำวา่ นวตั กรรม ทางการศึกษาดว้ ยเหตุว่าเป็นคำทีส่ ือ่ ความหมายได้อย่างชดั เจนและไดร้ ับความนิยมใชใ้ นปจั จบุ นั 1.2.2 ความหมายของนวัตกรรมทางการศกึ ษา นวัตกรรมหมายถึง ความคิด การปฏิบัติและการกระทำใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนหรือการ พัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมยั และใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนำนวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้ การทำงานน้นั ได้ผลดีมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลสูงกว่าเดิม นวัตกรรม (Innovation) มีรากศัพท์มาจาก innovare ในภาษาลาติน แปลว่า ทำสิ่งใหม่ ขน้ึ มา ความหมายของนวตั กรรมในเชิงเศรษฐศาสตร์คือ การนำแนวความคดิ ใหมห่ รือการใช้ประโยชน์จาก สิ่งที่มีอยู่แล้วมาใชใ้ นรูปแบบใหม่ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือก็คือ การทำในสิ่งที่แตกต่าง จากคนอื่น โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงต่าง (Changs) ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส ( Opportunity) และถ่ายทอดไปสู่แนวความคดิ ใหม่ท่ที ำให้เกดิ ประโยชนต์ ่อตนเองและสังคม นวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง การนำแนวคดิ วิธีการปฏิบตั ิ หรือสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับการ พฒั นา ปรบั ปรุงหรอื ดัดแปลงให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการนำมาใช้ในการจัดการศึกษา โดยมี วัตถุประสงค์ เพื่อแก้ไขปัญหา เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล และก่อให้เกิดความสำเร็จสู งสุดแก่ ผเู้ รียน (อรนุช ลิมตศริ ิ 2543 : 3)

3 ทอมัส ฮิวช์ (Thomas Hughes) ได้ให้ความหมายของ “นวัตกรรม” ว่า เป็นการนำวิธีการ ใหม่ๆ มาปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลองหรือได้รับการพัฒนามาเป็นขั้นๆ แล้ว เริ่มตั้งแต่การคิดค้น (Invention) การพัฒนา (Development) ซึ่งอาจจะเป็นไปในรูปของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project) แลว้ จงึ นำไปปฏิบตั จิ รงิ ซง่ึ มคี วามแตกต่างไปจากการปฏิบัติเดิมทเ่ี คยปฏบิ ัติมา มอร์ตัน (Morton,J.A.) ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ว่าเป็นการทำให้ใหม่ขึ้นอีกคร้ัง (Renewal) ซึ่งหมายถึง การปรับปรุงสิ่งเก่าและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรตลอดจนหน่วยงานหรือ องค์การนั้นๆ นวัตกรรม ไม่ใช่การขจัดหรือล้มล้างสิ่งเก่าให้หมดไป แต่เป็นการปรับปรุงเสริมแต่งและ พฒั นา วรวิทย์ นิเทศศิลป์ (2551) ให้ความหมายไว้ว่า นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง การนำเอา ความคดิ หรือวธิ ปี ฏิบัตทิ างการศกึ ษาใหมๆ่ มาใช้กบั การศึกษา สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553) ให้ความหมายไว้ว่า นวัตกรรมทางการศึกษา หมายถึง สิ่งใหม่ๆ ทส่ี รา้ งขึ้นมาเพ่ือชว่ ยแก้ปัญหาเก่ียวกบั การจัดการเรียนการสอนหรือพัฒนาให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรู้อย่างมี ประสิทธภิ าพ ได้แก่แนวคิด รูปแบบ วธิ ีการ กระบวนการ ส่ือต่างๆ ทเี่ กี่ยวกับการศกึ ษา 1.2.1.3 แนวคิดพน้ื ฐานของนวัตกรรมทางการศกึ ษา นวตั กรรมทางการศึกษาได้รบั การพฒั นาข้นึ โดยได้รับอิทธิพลจากแนวคิดพืน้ ฐาน 4 ประการ คอื 1.2.3.1 แนวคดิ ด้านความแตกตา่ งระหว่างบุคคล (Individual Difference) หลกั การจัดการ ศึกษาในปัจจุบันมุ่งเน้นจัดการศึกษาตามความสนใจและความสามารถของผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งนักการ ศึกษาได้พัฒนาวิธีการใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนใชค้ วามสามารถในการเรียนรู้ที่ แตล่ ะคนมีความแตกต่างกนั ให้เกิดประโยชนต์ ่อการเรยี นรู้ให้มากทส่ี ดุ นวัตกรรมทางการศึกษาที่เกิดจากแนวคิดด้านความแตกต่างระหว่างบุคคล ได้แก่ การ จัดการเรยี นรู้แบบไมแ่ บง่ ชน้ั บทเรียนสำเร็จรูป ชดุ การสอน การสอนเป็นคณะ การใช้เครอ่ื งช่วยสอน การ จัดโรงเรยี นในโรงเรยี น เป็นต้น

4 1.2.3.2 แนวคิดด้านความพร้อม (Readiness) การจัดบทเรียนให้มีความเหมาะสมกับระดบั ความสามารถของผเู้ รียนโดยการปรับปรงุ ลำดบั ของเน้ือหา หรือนำนวัตกรรมการศึกษาท่ีเหมาะสมกับการ สร้างความพรอ้ มจะทำใหก้ ารจดั การเรียนรปู้ ระสบความสำเรจ็ นวัตกรรมทางการศึกษาที่เกิดจากแนวคิดด้านความพร้อม ได้แก่ ศูนย์การเรียน การจัด โรงเรียนในโรงเรียน การสอนรวมช้ัน เปน็ ต้น 1.2.3.3 แนวคดิ ดา้ นการใช้เวลาเพ่ือการศึกษา เปน็ การกำหนดเวลาในการจัดการเรียนรู้ให้ สมั พันธก์ บั ลกั ษณะเฉพาะของแต่ละวชิ า นวัตกรรมทางการศึกษาที่เกิดจากแนวคิดด้านการใช้เวลาเพื่อการศึกษา ได้แก่ การจัด ตารางสอนแบบยืดหยุ่น มหาวิทยาลัยเปิด แบบเรียนสำเร็จรูป การเรียนทางไปรษณีย์ บทเรียนโปรแกรม ชุดการเรียน เป็นต้น 1.2.3.4 แนวคิดด้านการขยายตัวทางวิชาการและอัตราการเพิ่มประชากร เป็นการเพิ่ม โอกาสในการเรยี นรแู้ ก่ประชากรซึง่ อาจมขี อ้ จำกดั ทางการเรียนร้บู างประการ วัตกรรมทางการศึกษาที่เกิดจากแนวคิดด้านการขยายตัวทางวิชาการและอัตราการเพ่ิม ประชากร ได้แก่ มหาวิทยาลัยเปิด การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์ การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรยี นสำเร็จรปู ชุดการเรยี น การจัดโรงเรียนสองผลัด บทเรยี นโปรแกรม เปน็ ตน้ 1.2.4 ลักษณะของนวตั กรรมทางการศกึ ษา 1.2.4.1 นวัตกรรมทางการศึกษา เป็นการนำแนวคิดวิธีการมาใช้ในการจัดการศึกษาเพื่อ สง่ เสรมิ กิจกรรมการเรยี นการสอนใหม้ ปี ระสิทธิภาพยิ่งขน้ึ มีลกั ษณะสำคญั คือ 1.2.4.1.1 เป็นแนวความคิดที่ไม่ยังไม่มีการนำมาปฏิบัติในวงการศึกษาและอาจเป็นส่ิง ใหม่บางส่วนหรือเป็นสิ่งใหม่ทั้งหมดซึ่งใช้ได้ไม่ได้ผลในอดีตซึ่งได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น เช่น การ นำคอมพวิ เตอรม์ าใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้ 1.2.4.1.2 เป็นแนวความคิดหรือแนวทางปฏิบัติในลักษณะใหม่ซึ่งดัดแปลงจาก แนวความคิดหรือแนวทางปฏิบัติเดิมท่ีปฏิบัตไิ ม่ประสบความสำเร็จให้มีความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ในปจั จุบันและกอ่ ใหเ้ กิดความสำเร็จได้ และมีการจัดระบบขน้ั ตอนการดำเนนิ งาน (System Approach) โดยการพิจารณาขอ้ มลู กระบวนการ และผลลัพธ์ ใหเ้ หมาะสมก่อนทำการเปล่ียนแปลงนน้ั ๆ 1.2.4.1.3 เป็นแนวความคิดหรือแนวทางปฏิบัตซิ ึ่งมีมาแต่เดิมและได้รบั การปรับปรงุ ให้ มลี ักษณะทันสมัยและไดร้ บั การพสิ ูจน์ประสทิ ธภิ าพด้วยวธิ ที างวทิ ยาศาสตร์หรืออยรู่ ะหวา่ งการวิจัย

5 1.2.4.1.4 เป็นแนวความคิดหรือแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อม ซ่งึ เอื้ออำนวยใหเ้ กดิ ความสำเร็จย่ิงข้นึ เช่น การศึกษาค้นควา้ ดว้ ยตนเอง 1.2.4.1.5 เป็นแนวความคิดหรือแนวทางปฏิบัติที่ค้นพบใหม่อย่างแท้จริงซึ่งยังไม่ได้ทำ การเผยแพรห่ รอื ไดร้ ับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของระบบงานในปจั จบุ นั 1.2.4.2 ประเภทของนวัตกรรมทางการศกึ ษา นักการศึกษาได้แบ่งประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษาตามจุดเน้นของการพัฒนาการ จดั การศกึ ษาหลายลักษณะ วุทธิศักดิ์ โภชนุกูล (2550 : 8) อธิบายว่า นวัตกรรมทางการศึกษา แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คอื 1). นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เช่น หลักสูตรบูรณาการ หลักสูตรรายบุคคล หลักสตู รกจิ กรรมและประสบการณ์ หลักสูตรท้องถ่ิน 2). นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ เช่น การสอนแบบศูนย์การเรียน การใช้ กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ การสอนแบบเรียนรู้ร่วมกัน และการเรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์และ อินเทอร์เน็ต กระบวนการสร้างความตระหนกั กระบวนการสร้างเจตคติ กระบวนการสร้างความคิดรวบ ยอด กระบวนการปฏบิ ตั ิ กระบวนการสบื สอบ กระบวนการสร้างทักษะการคิดคำนวณ การสอนแบบศูนย์ การเรียน การสอนแบบใช้ บทบาทสมมติ การสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง การเรียนแบบสัญญาการ เรยี น การเรยี นเป็นคู่ การเรียนเพื่อรอบรู้ การเรียนแบบรว่ มมือ เป็นตน้ 3). นวัตกรรมสื่อการสอน เช่น Computer Assisted Instruction (CAI), Web- based Instruction (WBI) Web-based Training (WBT) Virtual Classroom (VC) Web Quest Web Blog บทเรียนสำเร็จรูป บทเรียนโมดูล บทเรียนออนไลน์ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดการสอน จุล บท ชุดสื่อประสม วีดิทัศน์ สไลด์ประกอบเสียง แผ่นโปร่งใส บัตรการเรียนรู้ บัตรกิจกรรม แบบฝึก ทักษะ เกม เพลง เปน็ ต้น 4). นวตั กรรมการประเมินผล เช่น การพัฒนาคลงั ข้อสอบ การลงทะเบียนผ่านทาง เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์และอินเทอร์เนต็ การใชบ้ ตั รสมารท์ การ์ดเพ่อื การใชบ้ รกิ ารของสถาบันศึกษา การใช้ คอมพิวเตอรใ์ นการตดั เกรด 5). นวัตกรรมการบริหารจัดการ เช่น ฐานข้อมูล นักเรียน นักศึกษา ฐานข้อมูล คณะ อาจารย์ และบุคลากร ในสถานศกึ ษา ดา้ นการเงนิ บัญชี พสั ดุ และครภุ ัณฑ์

6 มหาวิทยาลัยรงั สิต (2549 : 1) กลา่ ววา่ นวัตกรรมทางการศกึ ษาดา้ นการจดั การเรียนรู้ ที่ครูผู้สอนสร้างหรือพัฒนาขึ้นเพื่อพัฒนาหรือปรับปรุงแก้ไขปัญหาการจัดการเรียนรู้ แบ่งได้ 2 ประเภท คอื 1). กิจกรรมการพัฒนาการเรียนรู้หรือเทคนิควิธีสอน (Instruction) เช่น บทเรียน สำเรจ็ รูป ชดุ การเรยี นการสอน ชุดฝึก แบบฝกึ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ีเนน้ รูปแบบการสอน, กจิ กรรม การเรียนรู้, หรอื กระบวนการเรยี นรู้ ชดุ พัฒนาคุณลักษณะ เปน็ ต้น 2). สื่อการเรียนรู้หรือสิ่งประดิษฐ์ (Invention) เช่น สื่อประสม วีดิทัศน์ แบบจำลอง รูปภาพ, แผ่นโปร่งใส, แผนภาพ เกมประดษิ ฐ์หรือเกมฝกึ ทกั ษะ เปน็ ตน้ สำหรับนวัตกรรมทางการศึกษาที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในระดับชั้นเรียน แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ประเภทกิจกรรมการพัฒนาการเรียนรู้และเทคนิควิธีสอน (Learning and Instruction) และประเภทส่อื การเรียนรหู้ รือสงิ่ ประดษิ ฐ์ (Invention) 1.2.5 ระยะ นวตั กรรม นวัตกรรม แบง่ ออกเป็น 3 ระยะ คอื ระยะที่ 1 มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือเป็นการปรุงแต่งของเก่าให้เหมาะสมกับ กาลสมัย ระยะที่ 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทำอยู่ในลักษณะ ของโครงการทดลองปฏิบัตกิ ่อน (Pilot Project) ระยะที่ 3 การนำเอาไปปฏิบตั ใิ นสถานการณ์ทัว่ ไป ซึง่ จดั ว่าเป็นนวัตกรรมขั้นสมบรู ณ์ 1.3 นวตั กรรมทางการศกึ ษาในยุคปัจจบุ นั 1.3.1 นวตั กรรมทางการศกึ ษาท่สี ำคัญของไทยในปัจจุบนั

7 นวัตกรรม เป็นความคิดหรือการกระทำใหม่ๆ ซึ่งนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวงการ จะมีการคิดและทำสิ่งใหม่อยู่เสมอ ดังน้ัน นวัตกรรมจงึ เป็นสิ่งที่เกดิ ขึ้นใหม่ได้เรื่อย ๆ สิ่งใดที่คิดและทำมา นานแลว้ ก็ถือว่าหมดความเปน็ นวัตกรรมไป โดยจะมสี ิง่ ใหม่มาแทน ในวงการศึกษาปัจจุบัน มีสิ่งที่เรียกว่า นวัตกรรมทางการศึกษา หรือ นวัตกรรมการเรียนการสอน อยู่เป็นจำนวนมาก บางอย่างเกิดขึ้นใหม่ บางอย่างมีการใช้มาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็ยังคงถือว่าเป็นนวัตกรรม เนื่องจากนวัตกรรมเหล่านั้นยังไม่ แพรห่ ลายเปน็ ทรี่ ้จู กั ทว่ั ไปในวงการศึกษา 1.3.2 ประเภทของการใช้นวตั กรรมการศึกษาในประเทศไทย ประเภทของนวัตกรรมการศึกษาพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้มี บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยกี ารศึกษาและนวัตกรรมการศึกษาไว้หลายมาตรา มาตราที่สำคัญ คือ มาตรา 67 รฐั ต้องส่งเสริมให้มีการวจิ ัยและพัฒนาการผลติ และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทั้ง การติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและ เหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทยและในมาตรา 22 \"การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทกุ คนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการ ศึกษาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ\" การดำเนินการปฏิรปู การศึกษาใหส้ ำเร็จได้ตามที่ระบุ ไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ดังกล่าว จำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมการศึกษาใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยแกไ้ ขปัญหาทางการศึกษาท้ังในรปู แบบของการศึกษาวิจัย การ ทดลองและการประเมินผลนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่นำมาใช้ว่ามีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด นวัตกรรมที่นำมาใช้ทั้งที่ผ่านมาแล้วและที่จะมีในอนาคตมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้ นวัตกรรมในดา้ นตา่ งๆ ในท่ีนีจ้ ะขอกล่าวคือ นวตั กรรม 5 ประเภท คือ . 1.3.2.1 นวัตกรรมทางดา้ นหลกั สตู ร นวัตกรรมทางดา้ นหลักสตู ร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลกั สูตรให้สอดคล้อง กบั สภาพแวดลอ้ มในท้องถน่ิ และตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขนึ้ เน่อื งจากหลกั สูตรจะต้องมี การเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเศรษฐกิจและสังคมขอ ง ประเทศและของโลก นอกจากนีก้ ารพัฒนาหลกั สูตรยงั มคี วามจำเป็นทจ่ี ะต้องอยบู่ นฐานของแนวคิดทฤษฎี และปรัชญาทางการจัดการสัมมนาอีกด้วย การพัฒนาหลกั สตู รตามหลักการและวิธกี ารดังกล่าวตอ้ งอาศัย แนวคิดและวิธีการใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมการศึกษาเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ นวัตกรรมทางดา้ นหลกั สตู รในประเทศไทย ไดแ้ ก่ การพัฒนาหลักสูตรดงั ต่อไปนี้

8 1.3.2.1.1 หลักสูตรบูรณาการ เป็นการบูรณาการส่วนประกอบของหลักสูตรเข้าด้วยกัน ทางด้านวิทยาการในสาขาต่างๆ การศึกษาทางด้านจรยิ ธรรมและสังคม โดยมุ่งใหผ้ ู้เรียนเปน็ คนดสี ามารถ ใช้ประโยชน์จากองคค์ วามรู้ในสาขาตา่ งๆ ใหส้ อดคลอ้ งกับสภาพสงั คมอย่างมจี รยิ ธรรม 1.3.2.1.2 หลักสูตรรายบุคคล เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อการศึกษาตาม อัตภาพ เพื่อตอบสนองแนวความคิดในการจัดการศึกษารายบุคคล ซึ่งจะต้องออกแบบระบบเพื่อรองรับ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านต่างๆ 1.3.2.1.3 หลกั สูตรกจิ กรรมและประสบการณ์ เป็นหลักสูตรท่ีมุง่ เน้น กระบวนการในการ จัดกิจกรรมและประสบการณ์ให้กับผู้เรียนเพื่อนำไปสู่ความสำเรจ็ เช่น กิจกรรมที่ส่งเสริมใหผ้ ูเ้ รียนมีส่วน รว่ มในบทเรียน ประสบการณก์ ารเรียนรู้จากการสืบค้นด้วยตนเอง เป็นต้น 1.3.2.1.4 หลักสตู รทอ้ งถิ่น เปน็ การพฒั นาหลักสูตรทตี่ ้องการกระจายการบริหารจัดการ ออกสู่ท้องถิ่น เพื่อให้สอดคลอ้ งกับศิลปวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยูข่ องประชาชนที่มีอยู่ในแต่ ละท้องถิน่ แทนทีห่ ลกั สตู รในแบบเดิมทใ่ี ช้วิธีการรวมศนู ยก์ ารพฒั นาอยู่ในสว่ นกลาง 1.3.2.2 นวตั กรรมการเรียนการสอน เป็นการใช้วิธีระบบในการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธีสอนแบบใหม่ๆ ที่สามารถ ตอบสนองการเรียนรายบุคคล การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบมีส่วนร่วม การเรียนรู้ แบบแก้ปัญหา การพัฒนาวธิ สี อนจำเปน็ ตอ้ งอาศยั วิธีการและเทคโนโลยีใหม่ๆ เขา้ มาจดั การและสนับสนุน การเรียนการสอน ตัวอย่างนวัตกรรมที่ใช้ในการเรียนการสอน ได้แก่ การสอนแบบศูนย์การเรียน การใช้ กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ การสอนแบบเรียนรู้ร่วมกัน และการเรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์และ อนิ เทอร์เน็ต การวิจัยในช้นั เรียน ฯลฯ 1.3.2.3 นวัตกรรมส่อื การสอน เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและ เทคโนโลยี โทรคมนาคม ทำใหน้ ักการศกึ ษาพยายามนำศกั ยภาพของเทคโนโลยีเหล่าน้ีมาใช้ในการผลิตสื่อ การเรียนการสอนใหม่ๆ จำนวนมากมาย ทั้งการเรียนด้วยตนเองการเรียนเป็นกลุ่มและการเรียนแบบ มวลชน ตลอดจนสอื่ ที่ใช้เพ่ือสนับสนุนการฝึกอบรม ผา่ นเครือข่ายคอมพิวเตอรต์ ัวอย่าง นวัตกรรมส่ือการ สอน ไดแ้ ก่ - คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) - มัลตมิ เี ดีย (Multimedia) - การประชมุ ทางไกล (Teleconference) - ชดุ การสอน (Instructional Module) - วีดีทัศน์แบบมปี ฏิสัมพันธ์ (Interactive Video)

9 1.3.2.4 นวัตกรรมทางด้านการประเมนิ ผล เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครือ่ งมือเพอื่ การวดั ผลและประเมินผลไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและ ทำได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน ด้วยการประยุกต์ใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์มาสนับสนุนการวัดผล ประเมินผลของสถานศกึ ษา ครู อาจารย์ ตัวอย่าง นวัตกรรมทางด้าน การประเมินผล ไดแ้ ก่ - การพัฒนาคลังขอ้ สอบ - การลงทะเบียนผา่ นทางเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต - การใชบ้ ตั รสมารท์ การ์ด เพื่อการใช้บรกิ ารของสถาบนั ศึกษา - การใช้คอมพวิ เตอร์ในการตดั เกรด - ฯลฯ 1.3.2.5 นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการ เป็นการใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพ่ือ การ ตัดสินใจของผบู้ รหิ ารการศึกษาใหม้ คี วามรวดเร็วทนั เหตกุ ารณ์ ทนั ต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก นวัตกรรมการศึกษาที่นำมาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดการ ฐานข้อมูลในหน่วยงานสถานศึกษา เช่น ฐานข้อมูล นักเรียน นักศึกษา ฐานข้อมูล คณะอาจารย์และ บุคลากร ในสถานศึกษา ด้านการเงิน บัญชี พัสดุ และครุภัณฑ์ ฐานข้อมูลเหล่านี้ต้องการออกระบบท่ี สมบูรณม์ ีความปลอดภยั ของข้อมลู สูง นอกจากนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับสารสนเทศภายนอกหน่วยงาน เช่น ระเบียบปฏิบัติ กฎหมาย พระราชบญั ญตั ิ ท่เี ก่ยี วกบั การจดั การศกึ ษา ซงึ่ จะตอ้ งมีการอบรม เก็บรักษาและออกแบบระบบ การสืบค้นที่ดีพอซึ่งผู้บริหารสามารถสืบค้นข้อมูลมาใช้งานได้ทันทีตลอดเวลาการใช้นวั ตกรรมแต่ละด้าน อาจมีการผสมผสานที่ซ้อนทับกันในบางเรื่อง ซึ่งจำเป็นต้องมีการพัฒนาร่วมกันไปพร้อมๆ กันหลายด้าน การพฒั นาฐานขอ้ มูลอาจตอ้ งทำเปน็ กลมุ่ เพือ่ ใหส้ ามารถนำมาใชร้ ่วมกันได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 1.3.3 นวตั กรรมทางการศึกษาต่างๆ ท่กี ล่าวถงึ กนั มากในปจั จุบนั 1.3.3.1 E-learning 1.3.3.1.1 ความหมายของ e-Learning การเรียนทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Learning รูปแบบการเรียนการสอน ซึ่งใช้การ ถ่ายทอดเนื้อหา(delivery methods) ผ่านทางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ เครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต อนิ ทราเนต็ เอก็ ซทราเนต็ หรอื ทางสญั ญาณโทรทศั น์ หรือ สัญญาณดาวเทยี ม และ ใชร้ ปู แบบการนำเสนอเนื้อหาสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ ซง่ึ อาจอยู่ในรปู แบบการเรียนท่ีเราคุ้นเคยกันมา พอสมควร เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(Computer-Assisted Instruction) การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรืออาจอยู่ใน

10 ลักษณะที่ยังไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายนัก เช่น การเรียนจากวิดีทัศน์ตามอัธยาศัย (Video On-Demand) เป็นตน้ อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน เมื่อกล่าวถึง e-Learning คนส่วนใหญ่จะหมายเฉพาะถึง การ เรียนเนื้อหาหรอื สารสนเทศซึง่ ออกแบบมาสำหรับการสอนหรือการอบรม ซึ่งใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Technology) ในการถ่ายทอดเนื้อหา และเทคโนโลยีระบบการบริหารจัดการการเรียนรู้ (Learning Management System)ในการบริหารจัดการการเรียนรู้ของผู้เรียนและงานสอนด้านต่างๆ โดยผู้เรียนท่ี เรียนจาก e-Learning นี้สามารถศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน์ นอกจากนี้ เนื้อหาสารสนเทศของ e- Learning จะถูกนำเสนอโดยอาศัยเทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) และเทคโนโลยีเชิง โต้ตอบ (Interactive Technology)จากความหมายที่คนส่วนใหญ่นิยาม e-Learning นั้น จำเป็นต้องทำ ความเข้าใจให้ชัดเจนว่า e-Learningไม่ใช่เพียงแค่การสอนในลักษณะเดิม ๆ และนำเอกสารการสอนมา แปลงให้อยู่ในรูปดิจติ ัล และนำไปวางไว้บนเว็บ หรือระบบบริหารจัดการการเรยี นรู้เท่านั้น แต่ครอบคลุม ถึง กระบวนการในการเรียนการสอน หรือการอบรมที่ใช้เครื่องมือทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ เกิดความยืดหยุ่นทางการเรียนรู้ (flexible learning) สนับสนุนการเรียนรู้ในลักษณะที่ผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง (learner-centered) และการเรียนในลักษณะตลอดชีวิต (life-long learning) ซึ่งอาศัยการ เปลี่ยนแปลงด้านกระบวนทัศน์ (paradigm shift) ของทั้งกระบวนการในการเรียนการสอนด้วย นอกจากนี้ e-Learning ไม่จำเป็นต้องเป็นการเรียนทางไกลเสมอ คณาจารย์สามารถนำไปใช้ในลักษณะ การผสมผสาน (blended) กบั การสอนในชน้ั เรยี นได้ 1.3.3.1.2 ลักษณะสำคญั ของ e-Learning (Feature of e-Learning) ลักษณะสำคญั ของ e-Learning ทีด่ ี ควรจะประกอบไปดว้ ยลกั ษณะสำคญั 4 ประการ ดงั น้ี 1. ทุกเวลาทุกสถานที่ (Anywhere, Anytime) หมายถึง e-Learning ควรต้องช่วย ขยายโอกาสในการเข้าถึงเนื้อหาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้จริง ในที่นี้หมายรวมถึง การที่ผู้เรียนสามารถ

11 เรียกดูเนื้อหาตามความสะดวกของผู้เรียน เช่น ผู้เรียนมีการเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับ เครอื ข่ายได้อยา่ งยืดหยนุ่ 2. มลั ติมเี ดีย (Multimedia) หมายถึง e-Learning ควรตอ้ งมีการนำเสนอเน้ือหาโดย ใช้ประโยชนจ์ ากสื่อประสมเพื่อช่วยในการประมวลผลสารสนเทศของผู้เรียนเพื่อให้เกิดความคงทนในการ จดจำและ/หรือการเรยี นรู้ได้ดขี น้ึ 3. การเชอ่ื มโยง (Non-linear) หมายถงึ e-Learning ควรต้องมีการนำเสนอเนอ้ื หาใน ลักษณะที่ไม่เป็นเชิงเส้นตรง กล่าวคือ ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาตามความต้องการ โดย e-Learning จะต้องจัดหาการเชื่อมโยงที่ยืดหยุ่นแก่ผู้เรียน นอกจากนี้ยังหมายถึงการออกแบบให้ผู้เรียนสามารถเรียน ได้ตามจังหวะ(pace) การเรียนของตนเองด้วย เช่น ผู้เรียนที่เรียนช้าสามารถเลือกเนื้อหาที่ต้องการเรียน ซ้ำไดบ้ อ่ ยคร้งั ผ้เู รียนท่ีเรยี นดีสามารถเลอื กท่จี ะข้ามไปเรยี นในเนื้อหาท่ีตอ้ งการได้โดยสะดวก 4. การโต้ตอบ (Interaction) หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการเปิดโอกาสให้ ผเู้ รียนโตต้ อบ(มปี ฏิสมั พันธ์) กบั เน้อื หา หรอื กบั ผูอ้ ื่นได้ กลา่ วคอื 1). e-Learning ควรต้องมีการออกแบบกิจกรรมซึ่งผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับ เนื้อหา (InteractiveActivities) รวมทั้งมีการจัดเตรียมแบบฝึกหัดและแบบทดสอบให้ผู้เรียนสามารถ ตรวจสอบความเขา้ ใจด้วยตนเองได้ 2). e-Learning ควรต้องมีการจัดหาเครื่องมือในการให้ช่องทางแก่ผู้เรียนในการ ติดต่อสื่อสาร(Collaboration Tools) เพื่อการปรึกษา อภิปราย ซักถาม แสดงความคิดเห็นกับผู้สอน วิทยากรผู้เชี่ยวชาญ หรือเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียนโดยในส่วนของการโต้ตอบนี้ จะต้องคำนึงถึงการให้ผล ป้อนกลับทที่ ันต่อเหตุการณ์ (ImmediateResponse) ซงึ่ อาจหมายถึง การท่ีผู้สอนต้องเข้ามาตอบคำถาม หรือให้คำปรึกษาแก่ผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอและทันเหตุการณ์ รวมถึง การที่ e-Learning ควรต้องมีการ ออกแบบใหม้ ีการทดสอบ การวัดผล และการประเมนิ ผล ซ่ึงสามารถให้ผลปอ้ นกลับโดยทนั ทีแกผ่ เู้ รียน ไม่ ว่าจะอยู่ในลักษณะของแบบทดสอบก่อนเรียน (pre-test) หรือ แบบทดสอบหลังเรียน (posttest) ประกอบดว้ ย 1.1) เนื้อหา (Content) เนื้อหาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดสำหรับ e- Learning คณุ ภาพของการเรียนการสอนของ e-Learningและการทผ่ี ้เู รยี นจะบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์การเรียน ในลักษณะนี้หรือไม่อย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เนื้อหาการเรียนซึง่ ผู้สอนได้จดั หาให้แก่ผู้เรียน ซึ่งผู้เรียนมี หน้าที่ในการใช้เวลาส่วนใหญ่ศึกษาเนื้อหาด้วยตนเอง เพื่อทำการปรับเปลี่ยน ( convert) เนื้อหา สารสนเทศที่ผู้สอนเตรียมไว้ให้เกิดเป็นความรู้ โดยผ่านการคิดค้น วิเคราะห์อย่างมีหลักการและเหตุผล ด้วยตัวของผู้เรียนเอง คำว่า “เนื้อหา” ในองค์ประกอบแรกของ e-Learning นี้ ไม่ได้จำกัดเฉพาะสื่อการ สอน และ/หรือ คอร์สแวร์ เท่านั้น แต่ยังหมายถึงส่วนประกอบสำคัญอื่น ๆ ที่ e-Learning จำเป็นจะต้อง มเี พอ่ื ให้เนอื้ หามีความสมบูรณ์ เช่น คำแนะนำการเรียน ประกาศสำคญั ตา่ ง ๆ ผลปอ้ นกลบั ของผู้สอน เป็น ตน้

12 1.2) ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ (Learning Management System) องค์ประกอบทีส่ ำคัญมากเชน่ กันสำหรับ e-Learning ไดแ้ ก่ ระบบบริหารจัดการการเรยี นรู้ ซงึ่ เป็นเสมือน ระบบที่รวบรวมเครื่องมือซึ่งออกแบบไว้เพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการจัดการกับการเรียนการสอน ออนไลน์นั่นเอง ซึ่งผู้ใช้ในที่นี้ แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ผู้สอน (instructors) ผู้เรียน (students) ผู้ช่วย สอน(course manager) และผู้ที่จะเข้ามาช่วยผู้สอนในการบริหารจัดการด้านเทคนิคต่าง ๆ (network administrator)ซึง่ เครือ่ งมือและระดับของสิทธใิ นการเข้าใช้ที่จัดหาไว้ให้ก็จะมคี วามแตกต่างกันไปตามแต่ การใชง้ านของแต่ละกลุ่ม ตามปรกติแลว้ เครือ่ งมอื ท่ีระบบบรหิ ารจัดการการเรยี นรตู้ ้องจัดหาไว้ให้กับผู้ใช้ ได้แก่ พื้นที่และเครื่องมือสำหรับการช่วยผู้เรียนในการเตรียมเนื้อหาบทเรียน พื้นที่และเครื่องมือสำหรับ การทำแบบทดสอบ แบบสอบถาม การจัดการกับแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ นอกจากนี้ระบบบริหารจัดการการ เรียนรู้ที่สมบูรณ์จะจัดหาเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารไว้สำหรับผู้ใช้ระบบไม่ว่าจะเป็ นในลักษณะของ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เว็บบอร์ด(Web Board) หรือ แช็ท (Chat) บางระบบก็ยังจัดหา องค์ประกอบพิเศษอื่น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ อีกมากมาย เช่น การจัดให้ผู้ใช้สามารถเข้าดู คะแนนการทดสอบ ดสู ถิตกิ ารเข้าใช้งานในระบบ การอนญุ าตใหผ้ ูใ้ ช้สรา้ งตารางการเรียน ปฏทิ ินการเรียน เป็นตน้ 1.3) โหมดการติดต่อสื่อสาร (Modes of Communication) องค์ประกอบ สำคัญของ e-Learning ที่ขาดไม่ได้อีกประการหนึง่ ก็คือ การจัดให้ผู้เรียนสามารถติดต่อสือ่ สารกบั ผ้สู อน วิทยากร ผเู้ ชย่ี วชาญอ่ืน ๆ รวมท้ังผูเ้ รยี นด้วยกัน ในลักษณะท่ีหลากหลาย และสะดวกต่อผู้ใช้ กล่าวคือ มี เครื่องมือที่จัดหาไว้ให้ผู้เรียนใช้ได้มากกว่า 1 รูปแบบ รวมทั้งเครื่องมือนั้นจะต้องมีความสะดวกในการใช้ งาน (user-friendly) ด้วย ซ่งึ เครื่องมอื ท่ี e-Learning ควรจัดหาใหผ้ ้เู รียน ไดแ้ ก่ 1.3.1) การประชุมทางคอมพิวเตอร์ ในที่นี้หมายถึง การประชุมทางคอมพิวเตอร์ทั้งในลักษณะของการ ติดต่อสื่อสารแบบต่างเวลา(Asynchronous) เช่น การแลกเปลี่ยนข้อความผ่านทางกระดานข่าว อิเล็กทรอนิกส์ หรือ ที่รู้จักกันในชื่อของเว็บบอร์ด (Web Board) เป็นต้น หรือในลักษณะของการ ติดต่อสื่อสารแบบเวลาเดียวกัน(Synchronous) เช่น การสนทนาออนไลน์ หรือที่คุ้นเคยกันดีในชื่อของ แช็ท (Chat) และ ICQ หรือ ในบางระบบ อาจจัดให้มีการถ่ายทอดสัญญาณภาพและเสียงสด (Live Broadcast / Videoconference) ผ่านทางเว็บ เป็นต้น ในการนำไปใช้ดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้สอนสามารถเปิดสัมมนาในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในคอร์ส ซึ่งอาจอยู่ในรูปของการบรรยาย การ สมั ภาษณผ์ ้เู ช่ยี วชาญ การเปิดอภปิ รายออนไลน์ เป็นตน้ 1.3.2) ไปรษณีย์อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (e-mail) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นองค์ประกอบสำคญั เพื่อให้ผูเ้ รียนสามารถ ติดตอ่ สื่อสารกับผูส้ อนหรอื ผูเ้ รียนอ่นื ๆ ในลกั ษณะรายบุคคล การสง่ งานและผลป้อนกลับให้ผ้เู รยี น ผู้สอน สามารถให้คำแนะนำปรึกษาแก่ผู้เรียนเป็นรายบุคคล ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นใน

13 การเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนอย่างต่อเนื่อง ท้ังนี้ผู้สอนสามารถใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ในการให้ความ คดิ เห็นและผลป้อนกลับทีท่ ันตอ่ เหตกุ ารณ์ 1.4) แบบฝึกหัด/แบบทดสอบ องค์ประกอบสุดท้ายของ e-Learning แต่ไม่ได้มีความสำคัญน้อยที่สุดแต่ อย่างใด ได้แก่ การจัดให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการโต้ตอบกับเนื้อหาในรูปแบบของการทำแบบฝึกหัด และ แบบทดสอบความรู้ 1.4.1) การจดั ใหม้ ีแบบฝึกหัดสำหรับผูเ้ รียน เนื้อหาที่นำเสนอจำเป็นต้องมีการจัดหาแบบฝึกหัดสำหรับผู้เรียนเพื่อ ตรวจสอบความเข้าใจไว้ด้วยเสมอ ทั้งนี้เพราะ e-Learning เป็นระบบการเรียนการสอนซึ่งเน้นการเรียนรู้ ดว้ ยตนเองของผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนน้ั ผู้เรียนจงึ จำเปน็ อย่างยิ่งทจ่ี ะต้องมีแบบฝึกหัดเพ่ือการตรวจสอบว่า ตนเข้าใจและรอบร้ใู นเร่อื งท่ีศึกษาดว้ ยตนเองมาแล้วเป็นอยา่ งดหี รือไม่ อย่างไร การทำแบบฝกึ หดั จะทำให้ ผเู้ รียนทราบไดว้ า่ ตนนั้นพร้อมสำหรับการทดสอบ การประเมินผลแลว้ หรือไม่ 1.4.2) การจัดใหม้ ีแบบทดสอบผเู้ รียน แบบทดสอบสามารถอยูใ่ นรูปของแบบทดสอบก่อนเรยี น ระหว่างเรียน หรือหลังเรียนก็ได้สำหรับ e-Learning แล้ว ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ทำให้ผู้สอนสามารถสนับสนนุ การออกข้อสอบของผู้สอนได้หลากหลายลักษณะ กล่าวคือ ผู้สอนสามารถออกแบบการประเมินผลใน ลกั ษณะของ อัตนัย ปรนยั ถูกผดิ การจับคู่ ฯลฯ นอกจากนยี้ งั ทำให้ผูส้ อนมีความสะดวกสบายในการสอบ เพราะผู้สอนสามารถที่จะจัดทำข้อสอบในลักษณะคลังข้อสอบไว้เพื่อเลือกในการนำกลับมาใช้ หรือ ปรับปรุงแก้ไขใหม่ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ในการคำนวณและตัดเกรด ระบบ e-Learning ยังสามารถ ชว่ ยให้การประเมินผลผู้เรียนเป็นไปได้อย่างสะดวก เนือ่ งจากระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ จะช่วยทำให้ การคิดคะแนนผู้เรียน การตัดเกรดผู้เรียนเป็นเรื่องง่ายขึ้นเพราะระบบจะอนุญาตให้ผู้สอนเลือกได้ว่า ต้องการที่จะประเมินผลผู้เรียนในลักษณะใด เช่น อิงกลุ่ม อิงเกณฑ์ หรือใช้สถิติในการคิดคำนวณใน ลกั ษณะใด เชน่ การใชค้ ่าเฉลย่ี คา่ T-Score เปน็ ตน้ นอกจากนี้ยงั สามารถทีจ่ ะแสดงผลในรูปของกราฟได้ อีกด้วย ขอ้ ไดเ้ ปรยี บ และขอ้ จำกัดของ e-Learning (advantage of e-Learning) 1.3.3.1.3 ประโยชน์ท่ีได้รบั จากการนำ e-Learning ไปใชใ้ นการเรยี นการสอนมี ดงั นี้ 1) e-Learning ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมปี ระสิทธภิ าพมากยิ่งข้ึน เพราะการ ถ่ายทอดเนื้อหาผ่านทางมัลติมีเดียสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรี ยนรู้ได้ดีกว่าการเรียนจากสื่อข้อความ เพียงอย่างเดียว หรือจากการสอนภายในห้องเรียนของผู้สอนซึ่งเน้นการบรรยายในลักษณะ Chalk and Talk แต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ใช้สื่อใด ๆ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ e-Learning ที่ได้รับการออกแบบและ ผลิตมาอย่างมีระบบ e-Learning สามารถช่วยทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ในเวลาที่เร็วกว่า นอกจากนี้ยังเป็นการสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางได้เป็นอย่างดี เพราะผู้สอนจะสามารถใช้ e-Learning ในการจัดการเรียนการสอนที่ลดการบรรยาย (lecture)ได้ และ

14 สามารถใช้ e-Learning ในการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นให้ผเู้ รียนไดเ้ ปน็ ผู้รับผิดชอบในการจัดการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง (autonomous learning) ได้ดียิง่ ข้ึน 2) e-Learning ช่วยทำใหผ้ ู้สอนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าพฤติกรรมการเรยี น ของผู้เรียนได้อย่างละเอียดและตลอดเวลา เน่ืองจาก e-Learning มีการจัดหาเครื่องมือที่สามารถทำให้ ผสู้ อนตดิ ตามการเรยี นของผู้เรยี นได้ 3) e-Learning ช่วยทำใหผ้ ู้เรียนสามารถควบคมุ การเรยี นของตนเองได้ เน่อื งจากการ นำเอาเทคโนโลยี Hypermedia มาประยุกต์ใช้ ซึ่งมีลักษณะการเชื่อมโยงข้อมูลไม่ว่าจะเป็นในรูปของ ข้อความ ภาพนิ่ง เสียงกราฟิก วิดีโอ ภาพเคลื่อนไหว ที่เกี่ยวเนื่องกนั เข้าไว้ด้วยกันในลักษณะทีไ่ ม่เป็นเชิง เส้น (Non-Linear) ทำให้ Hypermedia สามารถนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบใยแมงมุมได้ ดังนั้นผู้เรียนจึง สามารถเขา้ ถึงข้อมลู ใดก่อนหรือหลังก็ได้ โดยไมต่ ้องเรียงตามลำดบั และเกิดความสะดวกในการเข้าถึงของ ผูเ้ รยี นอีกด้วย 4) e-Learning ช่วยทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามจังหวะของตน (Self-paced Learning) เนื่องจากการนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบของ Hypermedia เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถ ควบคุมการเรียนรู้ของตนในด้านของลำดับการเรียนได้ (Sequence) ตามพื้นฐานความรู้ ความถนัด และ ความสนใจของตน นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถ ทดสอบทักษะตนเองก่อนเรียนได้ทำให้สามารถชี้ชัด จุดอ่อนของตน และเลือกเนื้อหาให้เข้ากับรูปแบบการเรียนของตัวเอง เช่นการเลือกเรี ยนเนื้อหาเฉพาะ บางสว่ นทีต่ อ้ งการทบทวนได้ โดยไม่ต้องเรยี นในสว่ นทีเ่ ขา้ ใจแล้ว ซง่ึ ถือวา่ ผเู้ รยี นได้รบั อิสระในการควบคุม การเรยี นของตนเอง จงึ ทำใหผ้ ูเ้ รยี นไดเ้ รยี นรูต้ ามจงั หวะของตนเอง 5) e-Learning ช่วยทำให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับครผู ู้สอน และกับเพื่อน ๆ ได้ เน่อื งจาก e-Learning มเี คร่อื งมอื ต่าง ๆ มากมาย เชน่ Chat Room, Web Board, E-mail เป็นต้น ที่ เอื้อต่อการโต้ตอบ (Interaction) ที่หลากหลาย และไม่จำกัดว่าจะต้องอยู่ในสถาบันการศึกษาเดียวกัน (Global Choice) นอกจากนั้น e-Learning ที่ออกแบบมาเป็นอย่างดีจะเอื้อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ผู้เรยี นกบั เนอื้ หาได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ เช่น การออกแบบเนอ้ื หาในลกั ษณะเกม หรอื การจำลอง เปน็ ต้น

15 1.3.3.1.4 ขอ้ จำกัด 1) ผู้สอนที่นำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะของสื่อเสริม โดยไม่มีการปรับเปลี่ยน วิธกี ารสอนเลย กลา่ วคอื ผู้สอนยงั คงใช้แตว่ ิธีการบรรยายในทุกเน้ือหา และส่งั ให้ผู้เรยี นไปทบทวนจาก e- Learning หาก e-Learning ไม่ได้ออกแบบให้จูงใจผู้เรียนแล้ว ผู้เรียนคงใช้อยูพ่ ักเดียวก็เลิกไปเพราะไม่มี แรงจงู ใจใด ๆ ในการใช้ e-Learning กจ็ ะกลายเปน็ การลงทุนทไ่ี ม่ค้มุ คา่ แตอ่ ยา่ งใด 2) ผู้สอนจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ให้ (impart) เนื้อหาแก่ผู้เรียน มาเป็น (facilitator) ผู้ช่วยเหลือและให้คำแนะนำต่าง ๆ แก่ผู้เรียน พร้อมไปกับการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ด้วยตนเองจาก e-Learning ทั้งนี้ หมายรวมถึง การที่ผู้สอนควรมีความพร้อมทางด้านทักษะ คอมพิวเตอรแ์ ละรับผิดชอบต่อการสอนมีความใส่ใจกับผเู้ รียนโดยไมท่ งิ้ ผ้เู รยี น 3) การลงทุนในด้านของ e-Learning ต้องครอบคลุมถึงการจัดการให้ผู้สอนและ ผู้เรยี นสามารถเขา้ ถงึ เน้อื หาและการติดต่อสือ่ สารออนไลนไ์ ดส้ ะดวก สำหรับ e-Learning แลว้ ผู้สอนหรือ ผู้เรียนที่ใชร้ ปู แบบการเรียนในลักษณะนี้จะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวก (facilities) ต่าง ๆ ในการเรียนที่ พร้อมเพรียงและมีประสิทธิภาพ เช่น ผู้สอนและผู้เรียนสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้ และสามารถ เรียกดูเนื้อหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในลักษณะมัลติมีเดีย ได้อย่างครบถ้วน ด้วยความเร็วพอสมควร เพราะ หากปราศจากข้อได้เปรียบในการติดต่อสื่อสารและการเข้าถึงเนื้อหาได้สะดวก รวมทั้งข้อได้เปรียบสื่ออน่ื ๆ ในลกั ษณะในการนำเสนอเนื้อหา เชน่ มลั ตมิ เี ดยี แล้วน้ันผเู้ รยี นและผู้สอนก็อาจไม่เหน็ ความจำเปน็ ใด ๆ ท่ตี ้องใช้ e-Learning 1.3.3.1.5 ระดบั ของสอ่ื สำหรับ e-Learning (Level of media for e-Learning) สำหรับ e-Learning แล้ว การถ่ายทอดเนื้อหาสามารถแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะด้วยกัน กล่าวคอื 1) ระดับเน้นขอ้ ความออนไลน์ (Text Online) หมายถงึ เนอื้ หาของ e-Learning ใน ระดับน้จี ะอยู่ในรูปของข้อความเปน็ หลัก e-Learning ในลกั ษณะนจ้ี ะเหมอื นกบั การสอนบนเวบ็ (WBI) ซง่ึ เน้นเนื้อหาที่เป็นข้อความ ตัวอักษรเป็นหลัก ซึ่งมีข้อดี ก็คือการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในก ารผลิต เน้อื หาและการบรหิ ารจัดการการเรยี นรู้ 2) ระดับรายวิชาออนไลน์เชิงโต้ตอบและประหยัด (Low Cost Interactive Online Course)หมายถึง เนื้อหาของ e-Learning ในระดับนี้จะอยู่ในรูปของตัวอักษร ภาพ เสียง และวิดีทัศน์ ที่ ผลิตขึ้นมาอย่างง่าย ๆ ประกอบการเรียนการสอน e-Learning ในระดับหนึ่งและสองนี้ ควรจะต้องมีการ พัฒนา LMS ทด่ี ี เพ่ือช่วยผใู้ ช้ในการสรา้ งและปรับเนอ้ื หาให้ทนั สมัยไดอ้ ยา่ งสะดวกด้วยตนเอง 3) ระดับรายวิชาออนไลน์คุณภาพสูง (High Quality Online Course) หมายถึง เนื้อหาของ e-Learning ในระดับนี้จะอยู่ในรูปของมัลติมีเดียที่มีลักษณะมืออาชีพ กล่าวคือ การผลิตต้อง ใชท้ ีมงานในการผลติ ท่ปี ระกอบดว้ ย ผู้เช่ียวชาญเนื้อหา (content experts) ผเู้ ชี่ยวชาญการออกแบบการ สอน (instructional designers) และ ผู้เชี่ยวชาญการผลิตมัลตมิ เี ดยี (multimedia experts)

16 1.3.3.1.6 ระดับของการนำ e-Learning ไปใชใ้ นการเรียนการสอน การนำ e-Learning ไปใช้ในการเรียนการสอน สามารถทำได้ 3 ระดับ ดงั นี้ 1. ใช้ e-Learning เปน็ สอ่ื เสริม (Supplementary) หมายถงึ การนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะสื่อเสริม กล่าวคือ นอกจากเนื้อหาที่ปรากฏในลักษณะ e-Learning แล้ว ผู้เรียนยัง สามารถศึกษาเนื้อหาเดียวกันนี้ในลักษณะอื่น ๆ เช่น จากเอกสาร(ชีท) ประกอบการสอน จากวิดีทัศน์ (Videotape) ฯลฯ การใช้ e-Learning ในลักษณะนี้เท่ากับว่าผู้สอนเพียงต้องการใช้ e-Learning เป็นอีก หนึง่ ทางเลอื กสำหรับผ้เู รยี นในการเข้าถึงเนอื้ หาเพ่อื ใหป้ ระสบการณ์พเิ ศษเพิ่มเตมิ แก่ผูเ้ รียนเท่านั้น 2. ใช้ e-Learning เป็นสื่อเติม (Complementary) หมายถึงการนำ e-Learning ไปใชใ้ นลกั ษณะเพม่ิ เตมิ จากวธิ กี ารสอนในลกั ษณะอ่ืน ๆ เช่น นอกจากการบรรยายในห้องเรยี นแลว้ ผ้สู อน ยังออกแบบเน้ือหาใหผ้ ู้เรียนเข้าไปศึกษาเน้ือหาเพิ่มเติมจาก e-Learning โดยเนอ้ื หาทผี่ ู้เรียนเรียนจาก e- Learning ผู้สอนไม่จำเป็นต้องสอนซ้ำอกี แต่สามารถใชเ้ วลาในชั้นเรียนในการอธบิ ายในเนื้อหาที่เข้าใจได้ ยาก ค่อนข้างซับซ้อน หรือเป็นคำถามที่มีความเข้าใจผิดบ่อย ๆ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เวลาในการทำ กจิ กรรมทเี่ น้นให้ผู้เรียนไดเ้ กิดการคิดวเิ คราะห์แทนได้ ในความคิดของผเู้ ขียนแล้วในมหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ ของเรา เมื่อได้มีการลงทุนในการนำ e-Learning ไปใช้กับการเรียนการสอนแล้วอย่างน้อยควรตั้ง วตั ถุประสงคใ์ นลักษณะของส่ือเติม (Complementary) มากกว่าแคเ่ พียงเปน็ สื่อเสริม(Supplementary) เพื่อให้เกิดความคุ้มทุน นอกจากนี้อาจยังไม่เหมาะสมที่จะใช้ในลักษณะแทนที่ผู้สอน (Replacement) ตวั อย่างการใช้ในลักษณะสื่อเติม เชน่ ผูส้ อนมอบหมายใหผ้ เู้ รยี นศึกษาเน้ือหาด้วยตนเองจาก e-Learning ในวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งก่อนหรือหลังการเข้าชั้นเรียน รวมทั้ง ให้กำหนดกิจกรรมที่ทดสอบ ความเข้าใจของผู้เรียนในเน้ือหาดังกล่าวใน session การเรียนตามปรกติ เปน็ ตน้ ทงั้ นีเ้ พ่ือให้เหมาะสมกับ ลักษณะของผู้เรียนของเรา ซึ่งยังต้องการคำแนะนำจากครูผู้สอน รวมทั้งการที่ผู้เรยี นสว่ นใหญ่ยงั ขาดการ ปลูกฝังให้มคี วามใฝ่ร้โู ดยธรรมชาติ 3. ใช้ e-Learning เป็นสอื่ หลัก (Comprehensive Replacement) หมายถงึ การ นำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะแทนที่การบรรยายในห้องเรียน ผู้เรียนจะต้องศึกษาเนื้อหาทั้งหมด ออนไลน์ และโต้ตอบกับเพื่อนและผู้เรียนอื่น ๆ ในชั้นเรียนผ่านทางเครื่องมือติดต่อสื่อสารต่าง ๆ ที่ e- Learning จัดเตรียมไว้ ในปัจจุบันแนวคิดเกี่ยวกับการนำ e-Learning ไปใช้ในต่างประเทศจะอยู่ใน ลกั ษณะlearning through technology ซ่งึ หมายถึง การเรียนร้โู ดยมงุ่ เน้นการเรยี นในลกั ษณะมีส่วนร่วม ของผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ผู้สอน ผู้เรียน และผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ (Collaborative Learning) โดยอาศัย เทคโนโลยีในการนำเสนอเนื้อหา และกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งต้องการการโต้ตอบผ่านเครื่องมือสื่อสารตลอด โดยไม่เน้นทางด้านของการเรียนรู้รายบุคคลผ่านสื่อ (courseware) มากนัก ในขณะที่ในประเทศไทยการ ใช้ e-Learning ในลักษณะสื่อหลักเช่นเดียวกับต่างประเทศนั้น จะอยู่ในวงจำกัด แต่การใช้ส่วนใหญ่จะ ยังคงเป็นในลักษณะของ learning with technology ซึ่งหมายถึง การใช้ e-Learning เป็นเสมือน เครื่องมอื ทางเลือกเพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความกระตือรอื ร้น สนุกสนาน พรอ้ มไปกับการเรียนรู้ในช้นั เรยี น

17 m-Learning หรือ Mobile-Learning หลักการก็คือทำให้ผู้เรียนสามารถที่จะนำเอา บทเรียนมาวางไวบ้ นมือถือและเรียกดูได้ตลอดเวลาทุกที่ พร้อมทั้ง สามารถที่จะรับสง่ ข้อมูลได้เมือ่ จำเปน็ และมีสัญญาณจากเครือข่ายโทรคมนาคม นอกจากนั้น จะต้องสามารถทำงานได้ทั้งสองทาง เปลี่ยนแปลง บทเรียนส่งการบ้าน หรือวิเคราะห์คะแนนจาก แบบฝึกหัดได้เช่นกัน การเรียนแบบผสมผสาน (Blended learning) การเรียนการสอนที่อาศัยสื่อหลายๆชนิดผสมผสานกัน ต้งั แต่ด้านเทคโนโลยี กิจกรรมการเรียน การ สอน และเหตกุ ารณ์ที่เหมาะสมเพ่ือสร้างรปู แบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมสำหรับ กลุ่มเป้าหมาย Global learning บทเรียนในรูปแบบของการผสมผสานระหว่างวิดีโอ เสียง ภาพเคลื่อนไหว ทำให้ น่าสนใจและง่ายต่อการทำความเข้าใจ เป็นสื่อการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับความต้องการและวิถีชีวิต ระบบ Online Learning เปน็ การเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านเทคโนโลยี Internet ซงึ่ จะนำเสนอ บทเรียน ในรูปแบบ ของการผสมผสานระหว่างวิดีโอ เสียง ภาพเคลอื่ นไหว และตัวอกั ษร ทำให้ บทเรียน มีความนา่ สนใจ และ ง่าย ตอ่ การทำความเข้าใจ เนือ่ งจากผ้เู รียน Online Learning สามารถเรียนรู้ทุกเรื่องราวได้ทุกที่ทุกเวลา จึงทำให้ Online Learning เปน็ ส่ือการเรยี นรูอ้ อนไลน์ สมบูรณ์แบบทส่ี อดคล้องกบั ความต้องการและวิถี ชีวิต Mentored learning บทบาทของผู้สอนใน E-Learning จะเปลี่ยนไปเป็นผู้ให้คำแนะนำ (Guide) เป็นผู้ฝึก (Coach) เป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) และเป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ต่อกระบวนการ เรยี นร้ขู องผเู้ รียน ในขณะทบ่ี ทบาทของผเู้ รียนจะเปลย่ี นแปลง 1.3.3.1.7 ความหมายของ M – Learning การให้คำจำกัดความของ Mobile Learning สามารถแยกพิจารณาได้เป็น 2 ส่วน จากราก ศัพทท์ น่ี ำมาประกอบกัน คือ 1. Mobile (Devices) หมายถือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือ โทรศัพท์มือถือ และ เคร่ืองเล่น หรอื แสดงภาพทีพ่ กพาติดตัวไปได้ 2. Learning หมายถึงการเรียนรู้ เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเนื่องมาจาก บุคคลปะทะ กับสิ่งแวดลอ้ มจึงเกดิ ประสบการณ์ การเรยี นรเู้ กิดขน้ึ ได้เมื่อมีการแสวงหาความรู้ การพัฒนา ความรู้ ความสามารถของบุคคลให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น รวมไปถึงกระบวนการสร้างความเข้าใจ และ ถ่ายทอดประสบการณท์ เี่ ป็นประโยชนต์ อ่ บคุ คล เมือ่ พิจารณาจากความหมายของคำทัง้ สองแล้วจะพบวา่ Learning นัน่ คือแก่นของM - learning เพราะเปน็ การใช้เทคโนโลยีเครือข่ายไรส้ ายเพื่อใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ ซึ่งกค็ ลา้ ยกับ E – Learning ท่ีเปน็ การใช้เครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตเพือ่ ให้เกดิ การเรียนรู้ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนซึ่งสามารถจัดเป็นประเภทของอุปกรณ์ คอมพิวเตอรแ์ บบพกพาได้ 3 กลมุ่ ใหญ่ หรอื จะเรยี กว่า 3Ps 1. PDAs (Personal Digital Assistant) คือคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็ก หรอื ขนาด ประมาณฝ่ามือ ที่รู้จกั กันท่วั ไปไดแ้ ก่ Pocket PC กบั Palm เครอื่ งมอื สื่อสารในกล่มุ นยี้ ังรวมถึง PDA Phone ซึ่งเป็นเครื่อง PDA ที่มีโทรศัพท์ในตัว สามารถใช้งานการควบคุมด้วย Stylus เหมือนกับ

18 PDA ทกุ ประการ นอกจากน้ียังหมายรวมถงึ เครื่องคอมพวิ เตอร์ขนาดเล็กอืน่ ๆ เช่น lap top, Note book และ Tablet PC อีกด้วย 2. Smart Phones คือโทรศัพท์มือถือ ที่บรรจุเอาหน้าที่ของ PDA เข้าไปด้วย เพียงแต่ไม่มี Stylus แต่สามารถลงโปรแกรมเพิ่มเติมเหมือนกับ PDA และ PDA phone ได้ ข้อดีของ อุปกรณ์กลุ่ม น้ีคือมีขนาดเลก็ พกพาสะดวกประหยัดไฟ และราคาไม่แพงมากนกั คำวา่ โทรศพั ท์มือถือ ตรง กับ ภาษาอังกฤษ ว่า hand phone ซึ่งใช้คำนี้แพร่หลายใน Asia Pacific ส่วนในอเมริกา นิยมเรียกว่า Cell Phone ซึ่งย่อมาจาก Cellular telephone ส่วนประเทศอ่ืนๆ นิยมเรยี กว่า Mobile Phone 3. IPod, เครื่องเล่น MP3 จากค่ายอื่นๆ และเครื่องที่มีลักษณะการทำงานท่ี คล้ายกัน คือ เครื่องเสียงแบบพกพก iPod คือชื่อรุ่นของสินค้าหมวดหนึ่งของบริษัท Apple Computer, Inc ผู้ผลิต เครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช iPod และเครื่องเล่น MP3 นับเป็นเครื่องเสียงแบบพกพาที่ สามารถ รับข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ด้วยการต่อสาย USB หรือ รับด้วยสัญญาณ Blue tooth สำหรับรุ่น ใหม่ๆ มฮี าร์ดดสิ กจ์ ุได้ถงึ 60 GB. และมชี อ่ ง Video out และมีเกมส์ให้เลอื กเลน่ ได้อกี ด้วย 1.3.3.1.8 สอนแบบ e-Learning (Electronic Learning) ดังภาพประกอบต่อไปนี้ M - Learning นั้นเกิดขึ้นได้โดยไร้ข้อจำกัด ด้านเวลา และสถานที่ เพียงแค่ผู้เรียนมี ความ พร้อมและเครื่องมือ อีกทั้งเครือข่ายมีเนื้อหาที่ต้องการ จึงจะเกิดการเรียนรู้ขึ้น และจะได้ผลการ เรียนรู้ที่ปรารถนา หากขาดเนื้อหาในการเรียนรู้ วิธีการนั้นจะกลายเป็นเพียงการสื่อสาร กับเครือข่าย ไร้ สายนัน่ เอง กระบวนการเรียนรู้แบบ M – Learning มดี ้วยกันทั้งหมด 5 ขน้ั ตอน ดงั น้ี ขัน้ ท่ี 1 ผู้เรียนมีความพรอ้ ม และเคร่อื งมือ ขั้นที่ 2 เช่อื มต่อเขา้ สู่เครือขา่ ย และพบเนื้อหาการเรยี นท่ตี ้องการ ขน้ั ที่ 3 หากพบเนือ้ หาจะไปยงั ขั้นท่ี 4 แตถ่ ้าไม่พบจะกลับเข้าสขู่ น้ั ที่ 2 ข้ันที่ 4 ดำเนินการเรยี นรู้ ซง่ึ ไมจ่ ำเปน็ ที่จะตอ้ งอยใู่ นเครอื ข่าย ข้นั ที่ 5 ไดผ้ ลการเรียนร้ตู ามวัตถปุ ระสงค์ ประโยชนแ์ ละข้อจำกดั ของ M – Learning เก็ดส์ (Geddes, 2006) ได้ทำการศกึ ษาประโยชน์ของ M - Learning และสรุปว่า ประโยชน์ท่ี ชดั เจนอย่างย่ิงนนั้ สามารถจัดได้เปน็ 4 หมวด คอื 1. การเขา้ ถงึ ข้อมลู (Access) ไดท้ ุกท่ี ทุกเวลา 2. สร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Context) เพราะ M - Learning ช่วย ใหก้ ารเรยี นรู้จาก สถานท่ใี ดกต็ ามท่ีมคี วามต้องการเรยี นรู้ ยกตวั อย่างเชน่ การสอ่ื สารกบั แหลง่ ข้อมูล และ ผู้สอนใน การเรียนจากสิ่งต่างๆ เช่น ในพิพิธภัณฑ์ที่ผู้เรียนแต่ละคนมีเครื่องมือสื่อสารติดต่อกับวิทยากร หรือ ผู้สอนได้ตลอดเวลา

19 3. การร่วมมือ (Collaboration) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และเพื่อนร่วมช้ัน เรยี นไดท้ กุ ที่ ทกุ เวลา 4. ทำใหผ้ ูเ้ รยี นสนใจมากขึ้น (Appeal) โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรนุ่ เชน่ นักศึกษา ท่ีไม่ค่อย สนใจเรียนในหอ้ งเรียน แตอ่ ยากจะเรยี นดว้ ยตนเองมากขน้ึ ด้วย M - Learning ข้อดขี อง M - Learning 1. มีความเป็นส่วนตวั และอิสระทจ่ี ะเลอื กเรียนรู้ และรบั รู้ 2. ไม่มขี อ้ จำกัดดา้ นเวลา สถานท่ี เพ่มิ ความเป็นไปได้ในการเรยี นรู้ 3. มีแรงจูงใจตอ่ การเรียนรมู้ ากขนึ้ 4. ส่งเสรมิ ให้เกดิ การเรียนรไู้ ด้จรงิ 5. ดว้ ยเทคโนโลยขี อง M - Learning ทำใหเ้ ปลีย่ นสภาพการเรียนจากที่ยึดผู้สอน เป็น ศูนย์กลาง ไปสู่การมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับผู้เรียน จึงเป็นการส่งเสริมให้มีการสื่อสารกับเพื่อนและ ผ้สู อนมากข้ึน 6. สามารถรับข้อมูลที่ไม่มีการระบุชื่อได้ ซึ่งทำให้ผู้เรียนที่ไม่มั่นใจกล้าแสดงออก มากข้นึ 7. เครื่องประเภทพกพาตา่ งๆ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นทางการเรียน และมี ความรับผดิ ชอบตอ่ การเรียนดว้ ยตนเอง ข้อดอ้ ยของ M - Learning 1. ขนาดของความจุ Memory และขนาดหน้าจอที่จำกัดอาจจะเป็นอุปสรรค สำหรับการอ่าน ข้อมูล แป้นกดตัวอักษรไม่สะดวกรวดเรว็ เท่ากับคียบ์ อร์ดคอมพิวเตอร์แบบต้ังโต๊ะ อีกทั้ง เคร่อื งยงั ขาดมาตรฐาน ทต่ี ้องคำนงึ ถึงเม่ือออกแบบส่ือ เชน่ ขนาดหนา้ จอ แบบของหนา้ จอ ที่บางรุ่นเป็น แนวตั้ง บางร่นุ เปน็ แนวนอน 2. การเชอื่ มต่อกับเครือข่าย ยงั มรี าคาทีค่ ่อนข้างแพง และคณุ ภาพอาจจะยังไม่น่า พอใจนัก 3. ซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ในท้องตลาดทั่วไป ไม่สามารถใช้ได้กับเครื่องโทรศัพท์แบบ พกพาได้ 4. ราคาเครอ่ื งใหม่รุ่นที่ดี ยงั แพงอยู่ อกี ท้ังอาจจะถกู ขโมยได้ง่าย 5. ความแข็งแรงของเครอื่ งยังเทียบไม่ไดก้ ับคอมพวิ เตอรต์ ง้ั โต๊ะ 6. อพั เกรดยาก และเครื่องบางร่นุ กม็ ีศักยภาพจำกัด 7. การพฒั นาดา้ นเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ขาดมาตรฐานของการผลิตสื่อ เพื่อ M – Learning

20 1.3.3.1.8 บทบาทของ M-Learning M-Learning นัน้ มีแนวโน้มทีจ่ ะเป็นช่องทางใหม่ที่จะกระจายความรู้ สู่ชุมชนได้อย่าง มี ประสิทธภิ าพ และจะเปน็ ทางเลอื กใหม่ ทส่ี ง่ เสรมิ ให้การเรียนรู้ตลอดชีวติ บรรลุวัตถปุ ระสงค์ไดด้ ี อีกดว้ ย เหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนประเด็นนี้ก็คือ มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั่วโลกกว่า 3.3 พันล้านคน ใน ปี ค.ศ. 2007 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้ในปี 2006 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2 พันล้านคน จำนวนผู้ ลงทะเบียนใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกเกือบ 3 เท่า เพราะในปี ค.ศ. 2008 นั้น จำนวนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 1.3 พันล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากปี ค.ศ. 2007 ที่มีอยู่ ประมาณ 1.1 พันลา้ นคนเท่าน้ัน จากการเปน็ เจา้ ของเคร่ืองโทรศัพท์มอื ถือที่มากกว่าผใู้ ช้ อนิ เทอร์เน็ตเป็น หลายเท่านี้เองท่ีทำให้ M-Learning เป็นสิ่งท่ีน่าสนใจของนักการศกึ ษา เพราะอย่าง น้อย M-Learning ก็ เป็นไปได้เพราะคนเรานั้นมีเครื่องมือ หรือเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว เทคโนโลยีของการรับส่งข้อมูลผ่าน ระบบไร้สายก็มีการพัฒนามากขึน้ อยู่แล้ว ดงั นั้นการเรียนรู้แบบ M-Learning จึงมโี อกาสเปน็ ไปไดส้ ูง และ เปน็ การขยายโอกาสทางการศึกษาอีกแขนงหนึ่ง M-Learning กำลังก้าวเข้ามาเป็นการเรียนรู้คู่กับสังคมอย่างแท้จริง เนื่องจากความ เป็นอิสระ ของเครือข่ายไร้สาย ที่สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา อีกทั้งจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ พกพาที่ ใช้เป็นเครื่องมือนั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นการเรียนรู้อีกทางเลือกหนึ่งของการนำ เทคโนโลยี มาใช้เปน็ ชอ่ งทางในการให้ผู้คนได้เข้าถึงความรู้ ทุกที่ทกุ เวลาอย่างแทจ้ ริง เพราะหากเทียบกับ การ ใช้เครื่องพีซี ก็ยังไม่ถือว่าเป็นทุกที่ทุกเวลาอย่างแท้จริง เพราะยังต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้าน หรือที่ทำงานเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพื่อเข้าสู่ระบบเครือข่าย แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีก็ได้ย่อโลก ของ เครือข่ายให้อยู่ในมือของผู้บริโภคแล้ว และสามารถเข้าสู่แหล่งการเรียนรู้ได้เมื่อต้องการอย่าง แท้จริงทุก เวลาและสถานที่ และหากเทียบราคาเครื่องคอมพิวเตอร์PC และ อุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อ ไร้สายที่กล่าว ไปข้างต้น ราคาก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก นับว่าเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาได้ดี ทีเดียว และในอนาคต ข้างหน้า คาดวา่ การเรียนร้แู บบ M-Learning จะแพร่หลายมากขึ้นยิ่งกว่าใน ปัจจุบนั 1.3.3.1.9 ผลกระทบต่อการศกึ ษา และการเรยี นการสอน ปัจจุบันได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพของโทรศัพท์เคลื่อนท่ี เพื่อรองรับการบริการ ทางด้าน ต่าง ๆ เพิ่มมากข้ึน รวมถึงทางด้านการศึกษาของไทย เน่อื งจากโทรศพั ท์มอื ถือในปัจจุบันมีขนาด เล็ก น้ำหนักเบา สะดวกต่อการพกพาติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลา จนกระทั่งเกิดการพัฒนา โปรแกรม การเรียนการสอนผ่านโทรศัพท์มือถือ M-Learning (Mobile Learning) ซึ่งเป็นการเรียน การสอนหรือ

21 บทเรียนสำเร็จรูป (Instructional package) ที่นำเสนอผ่านโทรศัพท์มือถือหรือ คอมพิวเตอร์แบบพกพา โดยอาศัยเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย (Wireless Communication Network) ที่สามารถต่อเชื่อมจาก เครือข่ายแม่ข่าย (Network Server) ผ่ายจุดต่อแบบไร้สาย (Wireless access point) แบบเวลาจริง (real time) อีกทั้งยังสามารถปฏิสมั พันธ์กบั โทรศัพทม์ ือถอื หรือคอมพิวเตอร์ แบบพกพาเครื่องอื่น โดยใช้ เทคโนโลยีดจิ ติ อล เชน่ Bluetooth เพ่อื สนบั สนนุ การทำงานร่วมกัน ดังนั้น เมื่อมีอุปกรณ์ที่สะดวกต่อการเรียนการสอนเช่นนี้แล้ว จะช่วยส่งผลให้ การศึกษา เป็นไปได้โดยง่าย เพราะผู้เรียนสามารถที่จะเข้าถึงความรู้อย่างง่ายดายมากขึ้น ในปัจจุบันนั้น เป็นยุค ทีว่ ัยรุน่ วัยเรียน ให้ความสนใจกบั เทคโนโลยีมาก โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ น้อยคนมากท่ีจะไม่มี มือถือไว้ใช้ ดังนั้น M-learning จึงเหมาะที่จะนำมาใช้กับการศกึ ษาในสมยั ปัจจุบันมากท่ีสุด เพื่อเป็น การ เสริมความรใู้ หก้ บั ผเู้ รียนอย่างทัว่ ถงึ 1.3.3.1.10 สรุปบทบาทของ M-Learning กับการศกึ ษา โดยสรุปแล้ว M-Learning เข้ามามีบทบาทต่อการศึกษาโดยช่วยเข้ามาส่งเสริมให้ การศึกษา เป็นไปได้ง่ายขึ้นและทั่วถึง ทำให้ผู้ศึกษาสามารถเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา M- Learning เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับการนำมาพัฒนาควบคู่ไปกับการศึกษาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาด้าน การศึกษาต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และบทบาทของ M-learning ต่อการศึกษาในอนาคตจะยิ่งมีมาก ขึ้น เพราะได้มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา และด้วยการพัฒนานั้น จะทำให้สามารถลดข้อด้อยและเพิ่ม ข้อดีของ M-learning ได้มากขึ้น และจะยิ่งเปน็ ประโยชนต์ อ่ การศกึ ษามากยงิ่ ขึ้นไป 1.3.3.1.11 การเปล่ียนแปลงเทคโนโลยีการศกึ ษา ปจั จยั ทีม่ ีผลต่อการเปล่ยี นแปลงทางเทคโนโลยี ดงั ทก่ี ล่าวมาแลว้ ขา้ งตน้ นนั้ นอกจากเป็นปจั จยั ที่มผี ลในทางบวก อันเปน็ ปัจจัยใน การสร้างความเจริญเติบโตให้สังคมแล้ว อีกด้านหนึ่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น ยังมี ผลกระทบต่อสังคมในทางลบท่เี ปน็ ลูกโซต่ ามมาด้วย ดังตัวอย่างต่อไปนค้ี ือ ผลกระทบต่อชมุ ชน การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ มนุษย์มีส่วนร่วมในสังคมลดน้อยลง ความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน มีความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน หายไป เพราะมนษุ ย์ทุกคนสามารถพงึ่ ตนเองได้ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีทำให้เกิดเทคโนโลยีที่ใช้ แรงงานคนน้อยลง ผู้ที่มีทุนมากอาจนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้งานทั้งหมดเป็นธุรกิจขนาดใหญ่มากขึน้ ทำให้ ธุรกิจขนาดเล็กหดลงแต่ในทางตรงกันข้ามการที่แต่ละคนสามารถเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่มีขนาดเล็ก อาจจะทำให้เขากลายเป็นนายทุนอิสระ หรือรวมตัวเป็นสหกรณ์เจ้าของเทคโนโลยรี ่วมกัน และอาจทำให้ เกดิ องค์กรทางธรุ กิจใหม่ ๆ ได้ ผลกระทบดา้ นจิตวทิ ยา ความเจริญทางเทคโนโลยีทีเ่ พ่ิมขึน้ ในเครื่องมือส่ือสารทำ ให้มนุษย์มีการติดต่อสื่อสารผ่านทางจออิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น จึงทำให้ความสัมพันธ์ของมนุษย์ต้อง

22 แบ่งแยกเป็น ความสัมพันธ์อันแท้จริงโดยการสื่อสารกันตัวต่อตัวที่บ้านกับความสัมพันธ์ผ่านจอ อเิ ล็กทรอนิกสซ์ ง่ึ มีผลใหค้ วามร้สู ึกนึกคิดในความเป็นมนษุ ย์เปลยี่ นไป ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีบางตัวมีผล กระทบต่อสภาพแวดล้อมด้วย นอกจากนี้การสร้างเทคโนโลยีการผลิตมากขึ้น มีผลทำให้มีการขุดค้น พลงั งานธรรมชาติมาใช้ได้มากข้ึนและเรว็ ขึ้น เป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติในทางอ้อมและการสร้าง โรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น โดยปราศจากทิศทางการดูแลที่เหมาะสมจะทำให้สิ่งแวดล้อม อาทิ แม่ น้ำ พ้ืนดิน อากาศ เกิดมลภาวะมากยิง่ ขน้ึ ผลกระทบทางด้านการศึกษา นวัตกรรมทางการศึกษามีลักษณะตามธรรมชาติที่ เป็นสิ่งใหม่ ดังนั้นในความใหม่จึงอาจทำให้ทั้งครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่นนักเทคโนโลยีทางการศึกษา ผู้บริหารการศึกษา อาจตั้งข้อสงสัยและไม่แนใ่ จว่า จะมีความพร้อมที่จะนำมาใช้เมื่อใด และเมื่อใช้แล้วจะ ทำใหเ้ กดิ ผลสำเรจ็ มากน้อยอยา่ งไร แตน่ วัตกรรมกย็ ังมีเสน่ห์ในการดึงดูดความสนใจ เกิดการตืน่ ตัว อยาก รูอ้ ยากเหน็ ตามธรรมชาติของมนุษย์ หรอื อาจเกิดผลในเชิงตรงขา้ ม คือกลวั และไมก่ ล้าเข้ามาสมั ผัสสิ่งใหม่ เพราะเกดิ ความไม่แน่ใจว่าจะทำให้เกดิ ความเสยี หาย หรอื ใช้เปน็ หรือไม่ ครูในฐานะผู้ใช้นวัตกรรมโดยตรง จึงต้องมคี วามตื่นตวั และหมน่ั ตดิ ตามความก้าวหนา้ ทางด้านเทคโนโลยตี า่ งๆ ให้ทนั ตามความกา้ วหนา้ และ เลือกนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับสถานภาพและสิ่งแวดล้อมของตนเอง การหมั่นศึกษา และ ติดตามความรู้วิทยาการใหม่ ๆ ให้ทันจะช่วยทำให้การตัดสินใจนำนวัตกรรมมาใช้เพื่อการศึกษา สามารถ ทำได้อยา่ งถูกต้องมปี ระสิทธิภาพและลดการเสย่ี งและความส้ันเปลืองงบประมาณและเวลาไดม้ ากท่ีสุด สุดท้าย จะต้องมีกระบวนการในการตรวจสอบการใช้นวัตกรรมนั้น ๆ ว่า มีความ เหมาะสม มีข้อบกพร่องและแนวทางปรับปรุงแก้ไขอย่างไร ทั้งโดยการสังเกต การใช้แบบทดสอบเพ่ือ ตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนอยู่เสมอ ก็จะทำให้เราเชื่อแน่ได้ว่าการใช้นวัตกรรมนั้นมี ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ 1.3.3.1.12 การเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยีที่มีผลตอ่ สถานศกึ ษา สถานศึกษาในยุคปัจจุบันมี การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก อิทธิพลของความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้สภาพแวดล้อมทางการเรียนและ สถานการณ์ของการเรยี นการสอนแตกตา่ งไปจากเดิม การเปล่ียนแปลงที่เกดิ ข้ึนมีผลกระทบต่อการบริหาร และการจัดการสภาพแวดล้อม ทางการเรียนซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย สภาพแวดล้อม ทางการเรียนในสถานศึกษาปัจจุบันถูกกำหนดด้วยเทคโนโลยีที่ได้มี การพิจารณานำเข้ามาใช้ การนำ เทคโนโลยเี ขา้ มาใช้ทำใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงทม่ี ีผลตอ่ สถานศึกษาอย่าง นอ้ ย 3 ประการ ได้แก่ 1. เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต (Technology alters orientation.) สถานศึกษา สภาพของผู้เรียน และผู้สอนได้รับอิทธิพลจากเทคโนโลยีมีลักษณะของการใช้ชีวิตในฐานะ ผู้เรียน และผู้สอนเปลี่ยนไป วิถีชีวิตของทั้งผู้เรียนและผู้สอนผูกพันและขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น วันนี้ไฟดับงดจ่ายกระแสไฟฟ้า นักเรียนไม่สามารถทนนั่งในหอ้ งเรียนที่ร้อนอบอ้าวได้ เช่นเดียวกับครทู ี่ไม่

23 สามารถทำการสอนได้ เพราะเครื่องฉายภาพจากคอมพิวเตอร์ไม่ทำงาน สื่อต่างๆ ที่ผู้สอนเตรียมมาไม่ สามารถนำมาใชไ้ ด้ และมกี ารเรียนการสอนภาคนอกเวลาซงึ่ มักจะสอนในเวลากลางคืนคงไม่มีการจุดเทียน หรือจุดตะเกียงเพื่อการเรียนการสอน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของการเป็นผู้เรียนและการเป็น ผู้สอนใน สถานศึกษาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และผูกพันกับเทคโนโลยีมากขึ้นจนบางท่านอาจคิดว่า เทคโนโลยมี ีอิทธิพลในการ กำหนดวถิ ีชีวิตไมเ่ พียงการเปล่ียนแปลงวิถชี ีวติ เท่านัน้ 2. เทคโนโลยีเปล่ียนแปลงวธิ ีการ (Technology alters techniques.) วิธกี าร เรียนการสอนในสถานศึกษาปัจจุบันมีหลายรูปแบบหลายลักษณะ และในจำนวนรูปแบบต่างๆ ของการ เรียนเหล่านั้นจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยี เช่น การเรียนการสอนทางไกลแบบสองทาง การเรียนด้วยส่ือ โทรทศั น์ผา่ นดาวเทียม หรือรปู แบบของการเรียนการสอนท่ีไมจ่ ำเป็นต้องมชี ้ันเรียนให้ผู้เรียนเรียน ได้ด้วย ตนเองจากแหล่งวิทยบริการที่มีอยู่หรือจากชุดการเรียนที่ทำขึ้นสำหรับ ผู้เรียนลักษณะนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้เทคนิควิธีการเรียนการสอน การประเมินผล ยังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่มีครูเป็นศูนย์กลาง กลายเป็นผู้เรยี นเปน็ ศูนยก์ ลางของการเรยี นมากขึ้น 3. เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของการเรียน (Technology alters situations of learning.) การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของการเรียนในสถานศึกษา เป็นสภาพใหม่ท่ี เกิดขึ้นพร้อมๆ กับนำเทคโนโลยใี หม่เข้ามาใช้ สถานการณ์ของการเรียนการสอนในสภาพของสิ่งแวดล้อม ในสถานศึกษาที่เต็มไปด้วย เทคโนโลยีเพื่อช่วยการเรียนรู้จะมีบรรยากาศของการเรียน เงื่อนไขในการ เรียน ที่แตกต่างจากเดิม ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนในสถานการณ์และเงื่อนไขที่ตนเองต้องการได้มากขึ้น สถานการณ์ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องสร้างขึ้นด้วยครูผู้สอน เท่านั้นอย่างแต่ก่อน แต่เทคโนโลยี สามารถจะสรา้ งสถานการณ์ของการเรียนใหเ้ กดิ ข้ึนไดแ้ ละมีความหลาก หลายอีกดว้ ย จากผลของการเปลี่ยนแปลงโดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวกำหนดดัง กล่าวข้างต้น ทำให้ สภาพแวดล้อมทางการเรียนในสถานศึกษาต้องมีการวางแผนและจัดการกับ เทคโนโลยีที่เป็นตัวกำหนด นั้นอย่างมีประสทิ ธิภาพและให้เกดิ ประสิทธภิ าพ สูงสุด เพ่อื เป็นแนวทางทจี่ ะนำไปสกู่ ารจัดการศึกษาอย่าง มคี ุณภาพ ทสี่ ถานศึกษาทุกแหง่ ตอ้ งการให้เกิดขึน้ 1.3.3.1.13 ปญั หาและอปุ สรรคในการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา สภาพปัจจบุ ันและปญั หาการใช้เทคโนโลยกี ารศกึ ษาในประเทศไทย จากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการจึงทำให้กระบวนการจัดการศึกษาต้อง เปลี่ยนแปลงตามไปด้วยอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเทคโนโลยีการศึกษาไม่ว่าจะเป็นสื่อวัสดุอุปกรณ์ประเภท ตา่ งๆรวมทั้งเทคนิควธิ กี ารและแหลง่ สนบั สนุนการเรียนร้ตู ้องเปลีย่ นแปลงตามไปด้วยเช่นกัน คอมพิวเตอร์ ได้เข้ามามีอิทธิพลและมีบทบาทต่อการจัดการศึกษาอย่างเด่นชัดมากยิ่งขึ้น และดูเหมือนว่าจะเป็นสื่อที่ น่าสนใจและเป็นสอื่ ท่ตี ้องการของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาทุกๆระดับ ทัง้ น้ีสังคมคาดหวัง ว่าสื่อยุคใหม่หรือนวัตกรรมทางการสอนที่แปลกใหม่และมีความหลากหลายเหล่านั้นจะช่วยเสริมสร้าง ประสิทธิภาพและประสิทธิผลทางการเรียนรู้และการจัดการศึกษาโดยรวมในที่สุด หากมองย้อนหลังสัก

24 หน่อย จะพบว่าเราเร่ิมจาก การไม่มี อยากมี แล้วได้มี ติดตามด้วยใช้ไม่ค่อยเป็น แล้วก็ใช้เป็นกันมากขึ้น แต่ได้ประโยชน์ มีแก่นสารสาระหรือไม่เป็นเรื่องน่าคิด ส่วนมากจะเข้าลักษณะใช้เป็น แต่ไม่ค่อยได้ ประโยชน์ ดูที่กลุ่มเยาวชนก็แล้วกันว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่กับอินเตอร์เน็ต เสียเวลาและทรัพยากรไป เทา่ ไร และได้อะไรตอบแทนกลบั มา ส่วนมากจะเขา้ ข่ายไรส้ าระมากกวา่ 1.3.3.1.14 ปัญหาที่พบในการใชน้ วัตกรรมการศกึ ษา 1) ปัญหาด้านบุคลากร บุคลากรขาดความรู้ความเข้าใจในการผลิตส่ือ ประกอบการจัดกิจกรรม บุคลากรขาดประสบการณ์ในการใช้สื่อนวัตกรรมทางการศึกษา ไม่เข้าใจและ รู้จกั วิธกี ารใช้นวัตกรรมท่ที างโรงเรยี นจัดทำข้ึน ขาดความชำนาญในการใช้นวัตกรรม ขาดส่อื ประกอบการ เรียน บคุ ลากรสว่ นใหญใ่ ห้ความรว่ มมือในการใช้นวัตกรรม แต่ขาดความตอ่ เน่อื งแนวทางแกไ้ ข คอื สร้าง ความตระหนัก ความรับผิดชอบในส่วนที่ยังบกพร่องทางนวัตกรรมของบุคลากร ส่งเสริมให้เข้าร่วมการ อบรมสัมมนา ส่งเสริมใหเ้ กิดการศึกษาด้วยตนเอง เพอื่ ใหค้ วามรู้และประสบการณ์ในการใช้ส่ือนวัตกรรม ทางการศึกษาท่มี ากข้ึน 2) ปัญหาด้านวัสดุ อุปกรณ์ และงบประมาณ เกี่ยวกับนวัตกรรม คือ ขาด งบประมาณในการพัฒนานวัตกรรม ขาดวัสดุ – อุปกรณ์และงบประมาณที่จะพัฒนาสื่อนวัตกรรม การ จัดหา การใช้ การดูแลรกั ษาและขาดงบจัดหาสื่อทันสมัย แนวทางการแก้ไข เพมิ่ งบประมาณให้เพียงพอ ให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องจัดหางบประมาณสนับสนุน สำนักงานเขตพื้นที่ต้องช่วยดูแลและให้ความ ช่วยเหลือจัดสรรงบประมาณได้ เพ่ือใช้ในการพัฒนานวัตกรรมให้มีคุณภาพดียิง่ ขึ้น และระดมทรัพยากรที่ มีในท้องถน่ิ มาชว่ ยสนบั สนนุ 3) ปัญหาด้านสภาพแวดล้อม และสถานที่การใช้นวัตกรรม สภาพแวดล้อม โดยทวั่ ไปยังไม่เหมาะสมกับการใช้สือ่ เนือ่ งจากความย่งุ ยากและไม่คลอ่ งตัว มสี ถานที่ไม่เป็นสัดส่วน ไม่มี ห้องที่ใช้เพื่อเก็บรักษาสื่อ นวัตกรรมเป็นการเฉพาะ ทำให้การดูแลทำได้ยากและขาดการพัฒนาที่ ต่อเนื่อง แนวทางการแก้ไข คอื ใช้สอ่ื นวัตกรรมตามความเหมาะสมของเนื้อหาวชิ าตามความยากง่ายของ เนื้อหา จัดทำห้องสื่อเคลื่อนที่ แบ่งสื่อไปตามห้องให้ครูรับผิดชอบ ควรจัดหาห้องเพื่อการนี้เป็นการ เฉพาะ 4) ปัญหาด้านสภาพการเรียนการสอน เด็กมีความแตกต่างกันด้านสติปัญญา และด้านร่างกาย ปัญหาครอบครัวแตกแยก เด็กอาศัยอยู่กับญาติ มีเนื้อหาวิชาที่มากและสาระ การ เรียนการสอนแตล่ ะครั้งไม่ต่อเน่ือง นกั เรยี นบางคนไม่สบายใจในกิจกรรม และทำไม่จริงจังจึงมีผลต่อการ จัดกิจกรรม นักเรียนต้องเข้าคิวรอนานกับนวัตกรรมบางชนิด และสภาพการเรียนการสอน ครูยังยึด วธิ ีการสอนแบบเดิม คือ บรรยายหน้าชั้นเรยี น แตส่วนใหญ่มีแนวโน้มในการพฒั นาที่ดขี นึ้ ครูยงั ไม่มีการ นำสือ่ นวตั กรรมมาใช้ในการจดั การเรียนการสอนอย่างตอ่ เน่ือง แนวทางการแก้ไข คอื จดั กล่มุ ใหเ้ พื่อนช่วย เพื่อน คอยกำกับแนะนำช่วยเหลือ จัดครูเข้าสอนตามประสบการณ์ความถนัด ควรจัดอบรมเพื่อให้

25 ความรู้ จัดทำนวัตกรรมที่มีโอกาสเป็นไปได้ และสร้างการมีส่วนร่วมจากชุมชน สอนเพิ่มเติมนอกเวลา และจัดการสอนแบบรวมชน้ั โดยใชก้ ระบวนการเรยี นการสอนตามชว่ งช้นั 5) ปัญหาด้านการวัดผลและประเมนิ ผล คือ บุคลากรขาดความรู้ในการที่จะนำส่ือ นวัตกรรมมาใชใ้ นการวัดผลและประเมนิ ผล นักเรยี นท่ีไมค่ ่อยสนใจหรอื ไมช่ อบกิจกรรมก็จะมผี ลต่อการจัด ผลประเมินผล ขาดนวัตกรรมสื่อคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนต็ การวัดประเมินผล ครูส่วนใหญ่ยังใช้วิธีการ ทำแบบทดสอบ แบบปรนัย แนวทางการแก้ไข จัดทำแบบสอบถามสุ่มเป็นรายบุคคล เพศชาย หญิง เน้นนกั เรียนได้ฝกึ ปฏิบัติจริง และสร้างองค์ความรู้ดว้ ยตนเอง จัดแบบทดสอบท่หี ลากหลาย ทั้งแบบปรนัย และอตั นัย และประเมินผลตามสภาพจรงิ ประเมินผลงานจากแฟม้ สะสมงาน 1.3.3.1.15 ปัญหา อุปสรรค การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของ สถานศกึ ษา 1) ด้านการกระจายโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการศึกษา มีสถานศึกษาจำนวนหนึ่งท่ี โทรศัพท์ยังเข้าไม่ถึง และคอมพิวเตอร์ยังไม่มีหรือมีแต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ และที่มีอยู่ก็ขาดการ บำรุงรกั ษา รวมท้ังไมอ่ ยู่ในสภาพที่ใช้การได้ แสดงใหเ้ หน็ ว่าโครงสร้างพืน้ ฐานเพื่อการศึกษาโดยเฉพาะคู่ สายโทรศัพท์ยังมีบริการไม่ทั่วถึง อาจจะเป็นไปได้ว่าสถานศึกษาเหล่านี้อยู่ในท้องถิ่นที่ห่างไกล ดังน้ัน สถานศกึ ษาต้องรีบดำเนินการเพราะเป็นพื้นฐานทจี่ ำไปสู่ระบบอินเทอร์เน็ต 2) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ครูใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาทักษะวิชาชีพครูน้อยมาก และคอมพิวเตอร์มีจำนวนไม่พอกับความ ตอ้ งการท่ีครูจะใช้ แสดงให้เหน็ วา่ ครูยังต้องไดร้ ับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ อีกเป็น จำนวนมาก และสถานศึกษากต็ อ้ งจัดหาคอมพิวเตอรใ์ ห้เพยี งพอต่อความต้องการของครู 3) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อพัฒนาการบริหารจัดการ และให้บริการทางการศึกษา สถานศึกษายังขาดรูปแบบระบบสารสนเทศ ผู้บริหารให้มีความรู้ความ เข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในระดับเบื้องต้น แสดงให้เห็นว่าสถานศึกษายังไม่มี ระบบข้อมลู สารสนเทศท่ีเป็นรปู ธรรมทชี่ ัดเจน ผ้บู ริหารต้องได้รับการพฒั นาด้านการใช้เทคโนโลยีสารเสน เทศและการส่ือสารเพ่ือให้เกดิ ความตระหนักและเหน็ ความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารทจี่ ะนำมาพฒั นาการบรหิ ารจัดการและการบริการทางการศึกษา 4) ด้านการผลติ และพัฒนาบุคลากรด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนา ตนเองของครูด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศยังขาดความต่อเนื่อง บางคนใน 3 ปีที่ผ่านมายังไม่เคยไป เข้ารับการฝึกอบรมด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเลย แสดงให้เห็นว่า ครูได้รับการ พัฒนาด้านการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารยงั ไม่ทั่วถึงเพราะมีครูอีกจำนวนหน่ึงที่ในรอบ 3 ปี ทีผ่ า่ นมายงั ไมเ่ คยไดร้ ับการอบรมดา้ นการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารเลย

26 2. ความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 2.1 ววิ ัฒนาการของสารสนเทศ 2.1.1 ความเปน็ มาของเทคโนโลยสี ารสนเทศ ในสังคมปัจจุบัน ข้อมูล ข่าวสาร และสารสนเทศ ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากในการดำเนินชีวิต ในปัจจุบัน และเนื่องจากเทคโนโลยีต่างๆ ในปัจจุบันได้พัฒนาไปมากและราคาไม่แพง ทำให้การใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศใช้ได้ง่ายขึ้น และทุกคนสามารถหานำมาใช้ได้ระบบสารสนเทศนั้นอาจมองง่ายๆว่า เป็นการนำข้อมูลต่างๆ มาประมวลผลให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้และเทคโนโลยีที่ช่วยในการประมวลผล ข้อมลู ก็หนีไม่พน้ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เมอ่ื คอมพิวเตอร์พัฒนาไปมากข้ึนก็ทำใหร้ ะบบสารสนเทศต่างๆ พฒั นามากข้นึ ไปด้วย 2.1.2 วิวฒั นาการของสารสนเทศ อดตี มนุษยย์ งั ไม่มภี าษาท่ใี ช้สำหรบั การสือ่ สาร เม่ือเกดิ มเี หตกุ ารณ์ (Event) อะไร เกดิ ขึ้น ก็ ไม่สามารถถ่ายทอด หรือเผยแพร่แก่บุคคลอื่น หรือสังคมอื่นได้ อย่างถูกต้องตรงกัน ระหว่างผู้ส่งสารกับ ผู้รับสาร จึงมีการคิดใช้สัญลักษณ์ (Symbol) หรือเครื่องหมาย ทำหน้าที่สื่อ ความหมายแทนเหตุการณ์ ดังกล่าว จึงมีการใช้กฎ และสูตร (Rule & Formulation) มาใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเกิดมา จากสาเหตุใด หรือเกิดมาจากสารใดผสมกับสารใด เป็นต้น จากนั้นเมื่อ มนุษย์มีภาษา สำหรับการสือ่ สาร แล้ว ก็เกิดมีข้อมูล (Data) เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นมามากมาย ทั้งจากภายในสังคมเดียวกัน หรือจากสังคมอื่นๆ เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง ทำให้ต้องมีการวิเคราะห์ หรือประมวลผล ข้อมูลให้มี สถานภาพเป็นสารสนเทศ (Information) ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ หรือผู้บริโภค เมื่อผู้บริโภคมีการ สะสม เพม่ิ พูน สารสนเทศมากๆเข้าและมีการเรียนรู้ (Learning) จนเกดิ ความเข้าใจ (Understanding) ก็

27 จะเป็นการพัฒนา สารสนเทศที่มีอยู่ในตนเองเป็นองค์ความรู้ (Knowledge) เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้ทีม่ ีสติ (สัมปชัญญะ) (Intellect) รู้จักใช้ เหตุและผล (Reasonable) กับความรู้ที่ตนเองมีอยู่ก็จะมีการพัฒนา ความรเู้ ปน็ ปัญญา (Wisdom) ในที่สดุ ดงั แสดงได้ ตาม ภาพท่ี 1 ววิ ฒั นาการของสารสนเทศ ในระบบสารสนเทศนั้นจะมีการนำเสนอข้อมูลต่างๆ มาประมวลผลให้ข้อมูลนั้นเป็นประโยชน์ ต่อการนำไปใช้งานในอดีตที่ยังไม่มี คอมพิวเตอร์ ก็ยังมีเครื่องมืออื่นมาช่วยในการประมวลผลข้อมูลและ ช่วยในการสร้างผลผลิตได้ จนถึงปัจจบุ นั ได้มีการนำเอาคอมพิวเตอรม์ าช่วยในการประมวลผลข้อมูล ก็ทำ ให้ระบบสารสนเทศนี้พัฒนาไปได้มากขึ้น ช่วยให้การดำรงชีวิตของมนุษย์ดีขึ้นในโลกของเราได้มีการ นำเสนอเครื่องมือมา ช่วยในการดำรงชีวิตมากมาย จนปัจจุบันนั้นถือได้ว่าเป็นยุคของเทคโนโลยี สารสนเทศ หากแบง่ วิวฒั นาการของยคุ สารสนเทศจะแบ่งได้ดังน้ี 1. โลกยุคกสิกรรม (Agriculture Age) ยุคนี้นับตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ. 1800 ถือว่าเป็นยุคที่การ ดำเนนิ ชวี ติ ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับการทำนา ทำสวน ทำไร่ โลกในยุคนยี้ งั มีการซ้ือขายสินค้าระหว่างกัน แต่ก็ ถือว่าเป็นสินคา้ เกษตรกรเป็นหลัก มีการนำเครื่องมือเครื่องทุ่นแรงมาใช้ให้ไดผ้ ลผลิตดีขึ้น ในระบบหนึ่งๆ จะมผี รู้ ่วมงานเปน็ ชาวนา ชาวไรเ่ ปน็ หลัก

28 2. ยุคอุตสาหกรรม (Industrial Age) ยคุ นีน้ ับต้ังแตป่ ี ค.ศ. 1800 เปน็ ตน้ มา โดยในประเทศ อังกฤษได้นำเครื่องจักรกลมาช่วยงานทางด้านการเกษตร ทำให้มีผลผลิตมากขึ้นและมีผู้ร่วมงานในระบบ มากขึ้น เริ่มมีโรงงานอุตสาหกรรม เริ่มมีคนงานในโรงงาน ต่อมาการนำเคร่ืองจกั รมาใช้งานนี้ไดข้ ยายไปสู่ ประเทศต่างๆ และได้มีการแปรรูปผลิตผลทางด้านการเกษตรออกมามากขึ้น และเครื่องจักรกลก็เป็น เครื่องมือที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ และเริ่มมีโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้น ซึ่งทำให้โลกของเรามีทั้ง ภาคอตุ สาหกรรม และภาคเกษตรกรรมควบคู่กันไป 3. ยคุ สารสนเทศ (Information Ago) ยุคน้ีนบั ตัง้ แต่ประมาณปี ค.ศ.1957 จากท่ีการทำงาน ของมนุษย์มีทั้งด้านการเกษตรและด้านอุตสาหกรรมรม ทำให้คนงานต้องมีการสื่อสารกันมากขึ้น ต้องมี ความรู้ในการใช้เครื่องจักรกล ต้องมีการจัดการข้อมูลเอกสาร ข้อมูลสำนักงาน งานด้านบัญชี จึงทำให้มี คนงานส่วนหน่งึ มาทำงานในสำนักงาน คนงานเหล่านี้ถือว่าเปน็ ผู้ทมี่ ีความรู้และต้องทำหน้าท่ีประสานงาน ระหว่าง ฝ่ายผลิตและลูกค้า ทำให้มีการพัฒนาเครื่องมือต่างๆ มาช่วยในการประมวลผล จัดการให้ ระบบงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้เกิดการใช้เครื่องมือทางสารสนเทศขึ้นมา ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ เทคโนโลยสี ารสนเทศ เมอ่ื เขา้ สู่ยคุ สารสนเทศ องคก์ รต่างๆ ท่นี ำเทคโนโลยสี ่ือสารมาใชใ้ นการจัดการงานประจำวัน จะทำงานได้สำเร็จเร็วขึ้น การผลิตทำได้เร็วขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตสามารถประมวลผลข้อมูลต่างๆได้รวดเร็ว ขึ้น มีการนำระบบอัตโนมัตดิ า้ นการผลติ มาใช้ มีระบบบญั ชี และมโี ปรแกรมทที่ ำงานเฉพาะด้านมากข้ึน 2.2 สาเหตุทท่ี ำใหเ้ กิดสารสนเทศ 2.2.1 เมื่อมีวิทยาการความรู้ หรือสิ่งประดิษฐ์ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมกันนั้น ก็จะเกิด สารสนเทศมาพร้อมๆ กันด้วย จากนั้นก็จะมีการเผยแพร่ หรือกระจายสารสนเทศ เกี่ยวกับ วิทยาการ ความรู้ หรือสงิ่ ประดษิ ฐ์ ผลติ ภณั ฑ์ ชนดิ น้ันๆไปยงั แหล่งต่างๆ ท่ีเก่ียวข้อง 2.2.2 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือสำคัญในการผลิตสารสนเทศ เนื่องจากมี ความ สะดวกในการป้อน ข้อมูล การปรับปรุงแก้ไข การทำซ้ำ การเพิ่มเติม ฯลฯ ทำให้มีความ สะดวกและง่าย ตอ่ การผลิตสารสนเทศ 2.2.3 เทคโนโลยีส่อื สารยุคใหม่มีความเร็วในการสื่อสารสูงข้นึ สามารถเผยแพร่สารสนเทศ จาก แหล่งหนึ่ง ไปยัง สถานที่ต่างๆ ทั่วโลกในเวลาเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง อีกทั้งสามารถส่งผ่าน ขอ้ มลู ได้อย่างหลากหลาย รปู แบบ พรอ้ มๆ กันในเวลาเดยี วกัน

29 2.2.4 เทคโนโลยีการพิมพ์ที่มีความสามารถในการผลิตสารสนเทศสูงขึ้น สามารถผลิต สารสนเทศได้ครั้งละจำนวน มากๆ ในเวลาสั้นๆ มีสีสันเหมือนจริง ทำให้มีปริมาณสารสนเทศใหม่ๆ เกิด ข้นึ อย่ตู ลอดเวลา 2.2.5 ผู้ใช้มีความจำเป็นต้องใช้สารสนเทศเพื่อการศึกษา เพื่อการค้นคว้าวิจัย เพื่อการ พัฒนา คุณภาพชีวิต เพื่อการ ตัดสินใจ เพื่อการแก้ไขปัญหา เพื่อการปฏิบัติงาน หรือปรับปรุง ประสิทธิภาพการ ปฏบิ ตั งิ าน, การบรหิ ารงาน ฯลฯ 2.2.6 ผู้ใชม้ ีความต้องการใชส้ ารสนเทศ เพ่ือตอบสนองความสนใจ ตอ้ งการทราบแหล่งที่อยู่ของ สารสนเทศ ต้องการเข้าถึงสารสนเทศ ต้องการสารสนเทศที่มาจากต่างประเทศ ต้องการสารสนเทศอย่าง หลากหลาย หรือต้องการ สารสนเทศอย่างรวดเรว็ เปน็ ตน้ 2.3 ความหมายของ ขอ้ มูล จากการศึกษาพบวา่ มีผ้ใู ห้คำนิยามของคำวา่ ข้อมูลไว้ หลากหลาย เช่น ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง ภาพ (Images) หรือเสียง (Sounds) ที่อาจจะ(หรือไม่) แก้ไขปัญหา (Pertinent) หรอื เป็น ประโยชน์ต่อการปฏบิ ัติงาน (Alter 1996 : 28) ข้อมูล คือ ตัวแทนของข้อเท็จจริง ตัวเลข ข้อความ ภาพ รูปภาพ หรือเสียง (Nickerson 1998 : 10-11) ขอ้ มลู คือ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทแ่ี ทนเหตกุ ารณท์ ี่เกิดขึน้ ภายในองค์การ หรือสง่ิ แวดล้อมทางกายภาพ กอ่ นท่จี ะมีการจดั ระบบใหเ้ ป็นรูปแบบท่คี นสามารถเข้าใจ และนำไปใช้ได้ (Laudon and Laudon 1999 :8)

30 ข้อมลู คือ ข้อเท็จจรงิ หรือการอภิปรายปรากฏการณ์อยา่ งใดอย่างหนง่ึ (Haag, Cummings and Dawkins 2000 : 31) ข้อมูล คือ สิ่งประกอบไปด้วยข้อเท็จจริง และสัญลักษณ์ (Figures) ที่มีความสัมพันธ์ (ไม่มี ความหมาย หรอื มี ความหมายน้อย) กบั ผู้ใช้ (McLeod, Jr. and Schell 2001 : 12) ข้อมูล คือ คำอธิบายพื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งของ เหตุการณ์ กิจกรรม หรือธุรกรรม ซึ่งได้รับการ บันทึก จำแนก และ เกบ็ รกั ษาไว้ โดยทยี่ ังไม่ได้เก็บให้เป็นระบบ เพอ่ื ทจ่ี ะให้ความหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ทีแ่ น่ชัด (Turban, McLean and Wetherbe 2001 : 17) ขอ้ มูล ประกอบไปด้วยข้อเท็จจริง (Raw Facts) เชน่ ชื่อลกู คา้ ตวั เลขเกย่ี วกับจำนวนช่ัวโมง ท่ีทำงานในแต่ละ สัปดาห์ ตวั เลขเกย่ี วกบั สนิ ค้าคงคลงั หรือรายการสั่งของ (Stair and Reynolds 2001 : 4) ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง ที่ใช้แทนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้รับการรวบรวม หรือป้อนเข้า ระบบ (เลาวด์ อน และ เลาวด์ อน 2545 : 6) ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่ก่อ หรือยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง (ข้อเท็จจริง หมายถึง ข้อความ หรือเหตุการณท์ ่ี เป็นมา หรอื ทเ่ี ปน็ อยู่จริง (ราชบัณฑิตยสถาน 2539 : 134) สำหรับใช้เป็นหลัก อนมุ านหาความจรงิ หรอื การคำนวณ (หน้าเดยี วกัน) ข้อมูล คือ ข้อความจริงเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยอาจเป็นตัวเลข หรือข้อความที่ทำให้ ผอู้ ่านทราบความเปน็ ไป หรอื เหตกุ ารณ์ทเ่ี กิดขึ้น (สุชาดา กรี ะนันท์ 2542 : 4) ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงที่มีอยูใ่ นชีวติ ประจำวนั เกีย่ วกบั บุคคล สิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ อาจเป็นตวั เลข ตัวอักษร ข้อความ ภาพ หรอื เสยี งก็ได้ (จิตตมิ า เทยี มบญุ ประเสรฐิ 2544 : 3) ข้อมูล คือ ข้อมูลดิบ (Raw Data) ที่ยังไม่มีความหมายในการนำไปใช้งาน และถูกรวบรวม จากแหล่งตา่ งๆ ทง้ั ภาย ใน และภายนอกองค์การ (ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ และไพบลู ย์ เกยี รตโิ กมล 2545 : 40) ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเหตุการณ์ หรือข้อมูลดิบที่ยังไม่ผ่านการประมวลผล ยังไม่มี ความหมายในการ นำไปใช้งาน ข้อมูลอาจเป็นตัวเลข ตัวอักษร สัญลักษณ์ รูปภาพ เสียง หรือ ภาพเคลอื่ นไหว (ทพิ วรรณ หลอ่ สุวรรณรัตน์ 2545 : 9) ข้อมลู คือ ตัวอักษร ตวั เลข หรอื สญั ลกั ษณใ์ ดๆ (นิภาภรณ์ คำเจรญิ 2545 : 14) สรปุ ข้อมลู คือ ขอ้ เทจ็ จรงิ เก่ียวกับเรื่องต่างๆ ท่มี ลี ักษณะเป็นตวั เลข ตัวอกั ษร สัญลักษณ์ ภาพ เสยี ง กลน่ิ หรือมี ลักษณะประสมกนั

31 2.4 ชนิดของข้อมูล เราสามารถแบ่งข้อมูลออกเป็น 4 ชนิด ดังนี้ (Alter 1996 : 151-152, Stair and Reynolds 2001 : 5) 2.4.1 ข้อมูลที่เป็นอักขระ (Alphanumeric Data) ได้แก่ ตัวเลข (Numbers) ตัวอักษร (Letters) เคร่ืองหมาย (Sign) และ สญั ลักษณ์ (Symbol) 2.4.2 ข้อมูลที่เป็นภาพ (Image Data) ได้แก่ ภาพกราฟิก (Graphic Images) และรูปภาพ (Pictures) 2.4.3 ข้อมูลที่เป็นเสียง (Audio Data) ได้แก่ เสียง (Sounds) เสียงรบกวน/เสียงแทรก (Noise) และเสียงท่ีมรี ะดบั (Tones) ต่างๆ เชน่ เสยี งสูง เสยี งต่ำ เป็นตน้ 2.4.4 ข้อมูลที่เป็นภาพเคลื่อนไหว (Video Data) ได้แก่ ภาพยนตร์ (Moving Images or Pictures)และ วีดิทัศน์ (Video)นอกจากนั้นยังพบว่ามีข้อมูลในลักษณะของกลิ่น (Scent) และข้อมูลใน ลักษณะที่มีการประสมประสานกัน เช่น มีการนำเอาข้อมูลทั้ง 4 ชนิดมารวมกันเรียกว่า สื่อประสม (Multimedia) แตถ่ ้ามกี ารประสมข้อมลู ท่เี ป็นกล่ินเขา้ ไปดว้ ย เราเรียกวา่ Multi-scented 2.5 กรรมวิธีการจัดการขอ้ มลู การจดั การขอ้ มูลให้มีคุณคา่ เป็นสารสนเทศ กระทำได้โดยการเปล่ยี นแปลงสถานภาพของข้อมูล ซ่ึงมีวิธีการ หรอื กรรมวิธีดงั ต่อไปนี้ (Kroenke and Hatch1994 : 18-20) 2.5.1 การรวบรวมข้อมูล (Capturing/gathering/collecting Data) ที่ต้องการจากแหล่ง ต่างๆ โดยการเครอ่ื งมอื ช่วยคน้ ท่เี ปน็ บตั รรายการ หรอื OPAC แลว้ นำตัวเลม่ มาพิจารณาวา่ มรี ายการใดท่ี สามารถนำมาใชป้ ระโยชน์ได้

32 2.5.2 การตรวจสอบข้อมูล (Verifying/checking Data) โดยตรวจสอบเนื้อหาของข้อมูลท่ี หามาได้ ในประเด็นของ ความถูกต้องและความแม่นยำของเนื้อหา ความสอดคล้องของตาราง, ภาพประกอบ หรือแผนท่ี กับเนอ้ื หา 2.5.3 การจัดแยกประเภท/จัดหมวดหมู่ข้อมูล (Classifying Data) เมื่อผ่านการตรวจสอบ ความถกู ต้อง สอดคลอ้ งกัน ของเนื้อหาแล้ว นำขอ้ มูลตา่ งๆ เหลา่ นน้ั มาแยกออกเป็นกอง หรอื กลมุ่ ๆ ตาม เร่ืองราวท่ปี รากฏในเนื้อหา 2.5.4 จากนั้นก็นำแต่ละกอง หรือกลุ่ม มาทำการเรียงลำดับ/เรียบเรียงข้อมูล (Arranging/sorting Data) ให้เป็นไป ตามความเหมาะสมของเนื้อหาว่าจะเริ่มจากหัวข้อใด จากนั้นควร เปน็ หัวข้ออะไร 2.5.5 หากมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขจะต้องนำตัวเลขนั้นมาทำการวิเคราะห์หาค่าทางสถิติที่ เกี่ยวขอ้ ง หรอื ทำการ คำนวณข้อมลู (Calculating Data) ให้ไดผ้ ลลัพธอ์ อกเสยี กอ่ น 2.5.6 หลังจากนนั้ จงึ ทำการสรปุ (Summarizing/conclusion Data) เน้อื หาในแต่ละหัวข้อ 2.5.7 เสร็จแล้วทำการจดั เกบ็ หรือบันทึกขอ้ มูล (Storing Data) ลงในสื่อประเภทต่างๆ เช่น ทำเป็นรายงาน หนังสือ บทความตีพิมพ์ในวารสาร หนังสือพิมพ์ หรือลงในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ (แผ่นดสิ ก์ ซดี ี-รอม ฯลฯ) 2.5.8 จัดทำระบบการค้นคืน เพื่อความสะดวกในการจัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศ (Retrieving Data) จะได้ จัดเก็บและค้นคืนสารสนเทศอย่างถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว และตรงกับความ ต้อง 2.5.9 ในการประมวลผลเพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศ จักต้องมีการสำเนาข้อมูล (Reproducing Data) เพื่อป้องกัน ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับข้อมูล ทั้งจากสาเหตุทางกายภาพ และ ระบบการจัดเก็บข้อมูล 2. 5. 10 จากนั้นจึงทำ กา รก าร เผย แ พร่ หรือสื่อสาร หรือกระจา ย ข ้ อ มู ล (Communicating/disseminating Data) เพ่อื ให้ผลลพั ธท์ ่ีได้ถึงยงั ผ้รู ับ หรอื ผู้ที่เกย่ี วขอ้ ง การจัดการข้อมูลให้มีสถานภาพเป็นสารสนเทศ (Transformation Processing) ในความเป็น จริงแล้วไม่จำเป็นที่ จะต้องทำครบ ทั้ง 10 วิธีการ การที่จะทำกี่ขั้นตอนนั้นขึ้นอยู่กับ ข้อมูลที่นำเข้ามาใน ระบบการประมวลผล หากข้อมูลผา่ น ขนั้ ตอน ที่ 1 หรือ 2 มาแล้ว พอมาถงึ เรา เราก็ทำข้นั ตอนท่ี 3 ตอ่ ไป ได้ทันที แต่อย่างไรก็ตามการใหไ้ ด้มาซึ่งผลลัพธ์ท่ีมี คุณค่า จักต้องทำตามลำดับดังกล่าวข้างต้น ไม่ควรทำ ข้ามขั้นตอน ยกเว้นขั้นตอนที่ 5 และขั้นตอนที่ 6 กรณีที่เป็นข้อมูล เกี่ยวกับตัวเลขก็ทำขั้นตอนที่ 5 หาก

33 ข้อมูลไม่ใช่ตัวเลขอาจจะข้ามขั้นตอนที่ 5 ไปทำขั้นตอนที่ 6 ได้เลย เป็นต้น ผลลัพธ์ หรือผลผลิตที่ได้จาก การประมวลผล หรือกรรมวิธีจัดการข้อมูล ปรากฏแก่สังคมในรูปของสื่อประเภทต่างๆ เช่น เป็น หนังสือ วารสาร หนังสือพมิ พ์ ซีดี-รอม สไลด์ แผน่ ใส แผนท่ี เทปคลาสเซท ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความ วา่ ผลผลิต หรอื ผลลพั ธน์ ้ันจะมีสถานภาพเปน็ สารสนเทศเสมอไป 2.6 ความหมายของสารสนเทศ สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่มีการปรับเปลี่ยน (Convert) ด้วยการจัดรูปแบบ (Formatting) การ กลั่นกรอง (Filtering) และการสรุป (Summarizing) ให้เป็นผลลัพธ์ที่มี รูปแบบ (เช่น ข้อความ เสียง รูปภาพ หรือวีดิทัศน์) และเนื้อหาที่ตรงกับ ความต้องการ และเหมาะสมต่อการนำไปใช้ (Alter 1996 : 29, 65, 714) สารสนเทศ คือ ตัวแทนของข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล (Process) การจัดการ (Organized) และการผสมผสาน (Integrated) ให้เกิดความเขา้ ใจอย่างถอ่ งแท้ (Post 1997 : 7) สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่มีความหมาย (Meaningful) หรือเป็นประโยชน์ (Useful) สำหรับบาง คนทจี่ ะใช้ช่วยในการ ปฏิบตั ิงานและการจัดการ องคก์ าร (Nickerson 1998 : 11) สารสนเทศ คือ ข้อมลู ทม่ี คี วามหมาย (Schultheis and Sumner 1998 : 39) สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่มีความหมายเฉพาะภายใต้บริบท (Context) ที่เกี่ยวข้อง (Haag, Cummings and Dawkins 2000 : 20) สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ผ่านการปรับเปลี่ยน (Converted) มาเป็นสิ่งที่มีความ หมาย (meaningful) และเปน็ ประโยชน์ (Useful) กับเฉพาะบุคคล (O’Brien 2001 : 15) สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล หรือข้อมูลที่มีความหมาย (McLeod, Jr. and Schell 2001 : 12)

34 สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ได้รับการจัดระบบเพื่อให้มีความหมายและมีคุณค่าสำหรับ ผู้ใช้ (Turban, McLean and Wetherbe 2001 : 7) สารสนเทศ คือ ทรี่ วม (ชุด) ขอ้ เทจ็ จรงิ ที่ได้มีการจัดการแลว้ ในกรณีเช่น ข้อเท็จจริงเหล่าน้ันได้ มีการเพ่ิมคณุ คา่ ภายใต้คุณค่าของขอ้ เท็จจริงนนั้ เอง (Stair and Reynolds 2001 : 4) สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ได้รับการประมวลผล หรือปรุงแต่ง เพื่อให้มีความหมาย และเป็น ประโยชน์ตอ่ ผใู้ ช้ (เลาว์ดอน และเลาวด์ อน 2545 : 6) สารสนเทศ คือ ข้อมูลท่ีได้รับการประมวลผลให้อยู่ในรูปแบบที่มีความหมายต่อผู้รับ และมี คุณค่าอันแท้จริง หรือ คาดการณ์ว่าจะมีค่าสำหรับการดำเนินงาน หรือการตัดสินใจใน ปัจจุบัน หรือ อนาคต (ครรชิต มาลยั วงศ์ 2535 : 12) สารสนเทศ คือ เรื่องราว ความรู้ต่างๆ ที่ได้จากการนำข้อมูลมาประมวลผลด้วยวิธีการอย่างใด อย่างหนึ่ง และมี การผสมผสานความรู้ หรือหลกั วชิ าทีเ่ กี่ยวข้อง หรือความคิดเห็น ลงไปด้วย (กัลยา อุดม วิทิต 2537 :3) สารสนเทศ คือ ข้อความรู้ที่ประมวลได้จากข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นจนได้ ข้อสรุป เป็นข้อความรู้ที่ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเน้นที่การเกิดประโยชน์ คือความรู้ที่เกิดขึ้นเพิ่มขึ้นกับ ผใู้ ช(้ สชุ าดา กีระนันท์ 2542 : 5) สารสนเทศ คือ ข่าวสาร หรือการช้แี จงขา่ วสาร (ปทีป เมธาคุณวุฒิ 2544 : 1) สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล ผ่านการวิเคราะห์ หรือสรุปให้อยู่ในรูปที่มี ความหมายท่ีสามารถนำไป ใชป้ ระโยชน์ไดต้ ามวตั ถุประสงค์ (จิตติมา เทียมบญุ ประเสริฐ 2544 : 4) สารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ที่เกิดจากการประมวลผลข้อมูลดิบที่ถูกจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ ที่ สามารถนำไป ประกอบการทำงาน หรือสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหาร ทำให้ผู้บริหารสามารถแก้ไข ปัญหา หรือทางเลอื กในการ ดำเนิน งานอยา่ งมีประสิทธิภาพ (ณัฏฐพนั ธ์ เขจรนนั ทน์ และไพบูลย์ เกียรติ โกมล 2545 : 40) สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ได้ผ่านการประมวลผล หรือจัดระบบแล้ว เพื่อให้มีความหมายและ คุณคา่ สำหรบั ผ้ใู ช้ (ทิพวรรณ หล่อสวุ รรณรตั น์ 2545 : 9) สารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลของข้อมูลดิบ (Raw Data) ประกอบไปด้วย ข้อมูลต่างๆ ที่เป็น ตัวอักษร ตัวเลข เสียง และภาพ ที่นำไปใช้สนับสนุนการ บริหารและการตัดสินใจของ ผู้บริหาร (นภิ าภรณ์ คำเจริญ 2545 : 14)

35 สรุป สารสนเทศ คือ ข้อมูล ข่าวสาร ข่าว ข้อเท็จจริง ความคิดเห็น หรือประสบการณ์ อยู่ใน รูปแบบที่แตกต่างกันออกไป เช่น ตัวอักษร ตัวเลข รูปภาพ เสียง สัญลักษณ์ หรือกลิ่น ที่ถูกนำมาผ่าน กระบวนการประมวลผล ดว้ ยวธิ ีการที่ เรียก ว่า กรรมวิธีจดั การข้อมูล (Data Manipulation) และผลท่ีได้ อาจแสดงผลออกมาในรูปแบบของสื่อประเภทต่าง เช่น หนังสือ วารสาร หนงั สอื พิมพ์ แผนที่ แผ่นใส ฯลฯ และเป็นผลลัพธ์ที่ผู้ใช้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง ตรงและทันกับความต้องการ หรือ สารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ที่มีความถูกต้อง ตรงตามต้องการ และทันต่อความต้องการของผู้ใช้ หรือผู้ที่ เกี่ยวข้อง เป็นผลลัพธ์ที่ได้มาจากการนำข้อมูลมาประมวลผลด้วยกรรมวิธีจัดการข้อมูล หรือ สารสนเทศ คือ ผลลัพธ์ที่ได้มาจากการนำข้อมูลมาประมวลผลด้วยกรรมวิธีจัดการข้อมูล ซึ่งจะต้องเป็น ผลลัพธ์ที่มี คณุ สมบตั ิถูกต้อง ตรงตามต้องการ และทนั ต่อความต้องการของผูใ้ ช้ หรือผ้ทู เี่ กย่ี วขอ้ ง 2.7 หลักเกณฑก์ ารประเมินผลลพั ธ์ หรือผลผลิต ข้อมูลของบางคนอาจเป็นสารสนเทศสำหรับอีกคนหนึ่ง (Nickerson 1998 : 11) การที่จะบ่ง บอกว่าผลผลิต หรือ ผลลัพธ์มีคุณค่า หรือสถานภาพเป็นสารสนเทศ หรือไม่นั้น เราใช้หลักเกณฑ์ต่อไปน้ี ประกอบการพจิ ารณา 1. ความถกู ตอ้ ง (Accuracy) ของผลผลิต หรือผลลพั ธ์ 2. ตรงกับความตอ้ งการ (Relevance/pertinent) 3. ทันกับความต้องการ (Timeliness) การพิจารณาความถูกต้องดูที่เนือ้ หา (Content) ของผลผลิต โดยพิจารณาจากข้ันตอนของการ ประมวลผล (Process; verifying, calculating) ขอ้ มูล สำหรับการตรงกบั ความต้องการ หรือทนั กับความ ตอ้ งการ มผี ้ใู ชผ้ ลผลติ เป็น เกณฑใ์ นการพจิ ารณา หากผูใ้ ช้เหน็ วา่ ผลผลิตตรงกับความต้องการ หรือผลผลิต สามารถตอบปัญหา หรือแก้ไขปัญหา ของผู้ใช้ได้ และสามารถเรียกมาใช้ได้ในเวลาที่เขาต้องการ (ทันต่อ ความต้องการใช้) เราจงึ จะสรปุ ไดว้ ่า ผลผลิต หรอื ผลลัพธ์นนั้ มสี ถานภาพ เป็นสารสนเทศ คุณภาพ หรือคุณค่าของสารสนเทศ ขึ้นอยู่กับข้อมูล (Data) ที่นำเข้ามา (Input) หากข้อมูลท่ี นำเข้ามาประมวลผล เป็นข้อมูลที่ดี ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมีคุณภาพดี หรือมีคุณค่า ผู้ใช้ หรือผู้บริโภคสามารถ นำมาใช้ประโยชน์ได้ แต่หากข้อมูลที่ นำเข้ามาประมวลผลไม่ดี ผลผลิต หรือผลลัพธ์ก็จะมีคุณภาพไม่ดี หรือไม่มีคุณค่า สมดั่งกับวลีที่ว่า GIGO (Garbage In Garbage Out) หมายความว่า ถ้านำขยะเข้ามา ผลผลติ (สงิ่ ทไ่ี ดอ้ อกไป) ก็คอื ขยะนั่นเอง

36 2.8 คณุ ลกั ษณะของสารสนเทศท่ีดี สารสนเทศทดี่ คี วรมคี ุณลักษณะดงั ต่อไปน้ี 1. สารสนเทศทีด่ ตี ้องมีความความถกู ตอ้ ง (Accurate) และไมม่ ีความผดิ พลาด 2. ผู้ที่มีสิทธิใช้สารสนเทศสามารถเข้าถึง (Accessible) สารสนเทศได้ง่าย ในรูปแบบ และ เวลาท่เี หมาะสม ตาม ความต้องการของผใู้ ช้ 3. สารสนเทศต้องมีความชัดเจน (Clarity) ไมค่ ลุมเครอื 4. สารสนเทศที่ดีต้องมีความสมบูรณ์ (Complete) บรรจุไปด้วยข้อเท็จจริงที่มีสำคัญ ครบถว้ น 5. สารสนเทศต้องมีความกะทัดรัด (Conciseness) หรือรัดกุม เหมาะสมกับผู้ใช้ 6. กระบวนการผลิตสารสนเทศต้องมีความประหยัด (Economical) ผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินใจ มักจะตอ้ งสร้างดุลยภาพ ระหว่างคุณคา่ ของสารสนเทศกบั ราคาท่ใี ช้ในการผลิต 7. ตอ้ งมคี วามยดึ หยุ่น (Flexible) สามารถในไปใชใ้ นหลาย ๆ เป้าหมาย หรือวัตถปุ ระสงค์ 8. สารสนเทศที่ดีต้องมีรูปแบบการนำเสนอ (Presentation) ที่เหมาะสมกับผู้ใช้ หรือผู้ที่ เก่ยี วขอ้ ง 9. สารสนเทศท่ดี ตี อ้ งตรงกับความต้องการ (Relevant/Precision) ของผ้ทู ่ที ำการตดั สนิ ใจ 10. สารสนเทศทีด่ ีต้องมีความนา่ เชื่อถือ (Reliable) เช่น เปน็ สารสนเทศท่ีไดม้ าจากกรรมวิธี รวบรวมทน่ี ่าเช่อื ถือ หรอื แหล่ง (Source) ทนี่ า่ เช่อื ถอื เป็นตน้ 11. สารสนเทศทด่ี ีควรมีความปลอดภัย (Secure) ในการเข้าถึงของผ้ไู ม่มสี ทิ ธิใช้สารสนเทศ 12. สารสนเทศทีด่ ีควรง่าย (Simple) ไม่สลบั ซบั ซอ้ น มีรายละเอียดที่เหมาะสม (ไม่มากเกิน ความจำเป็น) 13. สารสนเทศท่ีดตี อ้ งมคี วามแตกต่าง หรือประหลาด (Surprise) จากข้อมูลชนิดอน่ื ๆ 14. สารสนเทศที่ดีต้องทันเวลา (Just in Time : JIT) หรือทันต่อความต้องการ (Timely) ของผูใ้ ช้ หรอื สามารถสง่ ถึงผู้รับไดใ้ นเวลาทีผ่ ู้ใชต้ อ้ งการ 15. สารสนเทศที่ดีต้องเป็นปัจจุบัน (Up to Date) หรือมีความทันสมัย ใหม่อยู่เสมอ มิ เช่นน้ันจะไม่ทันตอ่ การ เปล่ียนแปลงทดี่ ำเนนิ ไปอยา่ งรวดเรว็ 16. สารสนเทศท่ีดีต้องสามารถพิสจู น์ได้ (Verifiable) หรอื ตรวจสอบจากหลาย ๆ แหล่ง ได้ วา่ มคี วามถกู ต้อง

37 นอกจากนั้นสารสนเทศมีคุณสมบัติที่แตกต่างไปจากสินค้าประเภทอื่น ๆ 4 ประการคือ ใช้ไม่ หมด ไม่สามารถ ถ่ายโอนได้ แบ่งแยกไม่ได้ และสะสมเพิ่มพูนได้ (ประภาวดี สืบสนธ์ 2543 : 12-13) หรือ อาจสรุปได้ว่าสารสนเทศ ที่ดีต้องมีคุณลักษณะครบทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านเวลา (ทันเวลา และทันสมัย) ด้าน เนื้อหา (ถูกต้อง สมบูรณ์ ยึดหยุ่น น่าเชื่อถือ ตรงกับ ความต้องการ และตรวจสอบได้) ด้านรูปแบบ (ชัดเจน กะทัดรัด ง่าย รูปแบบการนำเสนอ ประหยัด แปลก) และด้าน กระบวนการ (เข้าถึงได้ และ ปลอดภยั ) 2.9 คุณภาพของสารสนเทศ คุณภาพของสารสนเทศ จะมีคุณภาพสูงมาก หรือน้อย พิจารณาที่ 3 ประเด็น ดังนี้ (Bentley 1998 : 58-59) 1. ตรงกับความตอ้ งการ (Relevant) หรือไม่ โดยดูวา่ สารสนเทศนั้นผ้ใู ชส้ ามารถนำไปใช้เพิ่ม ประสิทธิภาพได้ มากกว่าไม่ใช้สารสนเทศ หรือไม่ คุณภาพของสารสนเทศ อาจจะดูที่มันมีผลกระทบต่อ กิจกรรมของผู้ใช้ หรือไม่ อยา่ งไร 2. น่าเชอื่ ถอื (Reliable) เพยี งใด ความน่าเชอ่ื ถอื มหี ัวขอ้ ที่จะใช้พิจารณา เชน่ ความทนั เวลา (Timely) กับผู้ใช้ เมื่อ ผู้ใช้จำเป็นตอ้ งใช้มีสารสนเทศนัน้ หรือไม่ สารสนเทศทีน่ ำมาใช้ต้องมีความถูกตอ้ ง (Accurate) สามารถพิสูจน์ (Verifiable) ได้วา่ เป็นความจริง ดว้ ยการวเิ คราะห์ข้อมลู ท่ีเก่ยี วข้อง เป็นต้น 3. สารสนเทศนั้นเข้มแข็ง (Robust) เพียงใด พิจารณาจากการที่สารสนเทศสามารถเคลื่อน ตวั เองไปพรอ้ มกบั กาลเวลาทเี่ ปล่ียนไป (Rigorous of Time) หรอื พจิ ารณาจากความอ่อนแอของมนุษย์ (Human Frailty) เพราะมนุษย์ อาจทำความผิดพลาดในการป้อนข้อมูล หรือการประมวลผลข้อมูล เพราะฉะน้ัน จะต้องมีการควบคุม หรือตรวจสอบ ไม่ให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น หรือพิจารณาจากความผิดพลาด หรือ ล้มเหลวของระบบ (System Failure) ที่จะส่งผล เสียหายต่อสารสนเทศได้ ดังนั้นจึงต้องมีการป้องกัน ความผดิ พลาด (ท่ีเนอ้ื หา และไมท่ นั เวลา) ท่อี าจเกิดขึ้นได้ หรอื พจิ ารณาจากการเปล่ยี นแปลง การจดั การ (ข้อมูล) (Organizational Changes) ที่อาจจะส่งผลกระทบ (สร้างความเสียหาย) ต่อสารสนเทศ เช่น โครงสร้าง แฟ้ม ข้อมูล วิธีการเข้าถึงข้อมูล การรายงาน จักต้องมีการป้องกัน หากมีการ เปลี่ยนแปลงใน เรื่องดังกล่าว

38 นอกจากนั้นซวาสส์ (Zwass 1998 : 42) กล่าวถงึ คุณภาพของสารสนเทศจะมีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับ การ ทันเวลา ความสมบูรณ์ ความกะทัดรัด ตรงกับความต้องการ ความถูกต้อง ความเที่ยงตรง (Precision) และรูปแบบที่เหมาะสม ในเรื่องเดียวกัน โอไบร์อัน (O’Brien 2001 : 16-17) กล่าวว่า คุณภาพของสารสนเทศ พจิ ารณาใน 3 มิติ ดงั นี้ 1. มติ ดิ า้ นเวลา (Time Dimension) 1.1 สารสนเทศควรจะมีการเตรยี มไวใ้ หท้ นั เวลา (Timeliness) กบั ความตอ้ งการของผ้ใู ช้ 1.2 สารสนเทศควรจะตอ้ งมคี วามทันสมยั หรอื เป็นปัจจบุ นั (Currency) 1.3 สารสนเทศควรจะตอ้ งมีความถ่ี (Frequency) หรือบอ่ ย เท่าทผี่ ใู้ ช้ต้องการ 1.4 สารสนเทศควรมีเรื่องเกี่ยวกับช่วงเวลา (Time Period) ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต 2. มิติด้านเนอ้ื หา (Content Dimension) 2.1 ความถูกตอ้ ง ปราศจากข้อผดิ พลาด 2.2 ตรงกับความต้องการใช้สารสนเทศ 2.3 สมบรู ณ์ สง่ิ ทจ่ี ำเปน็ จะตอ้ งมีในสารสนเทศ 2.4 กะทดั รดั เฉพาะทีจ่ ำเป็นเท่านัน้ 2.5 ครอบคลุม (Scope) ทั้งด้านกว้างและด้านแคบ (ด้านลึก) หรือมีจุดเน้นทั้งภายใน และภายนอก 2.6 มีความสามารถ/ศักยภาพ (Performance) ที่แสดงให้เห็นได้จากการวัดค่าได้ การ บง่ บอกถงึ การพัฒนา หรอื สามารถเพ่มิ พูนทรัพยากร 3. มิติด้านรูปแบบ (Form Dimension) 3.1 ชัดเจน ง่ายต่อการทำความเขา้ ใจ 3.2 มีท้ังแบบรายละเอียด (Detail) และแบบสรปุ ย่อ (Summary)

39 3.3 มกี ารเรียบเรียง ตามลำดับ (Order) 3.4 การนำเสนอ (Presentation) ทหี่ ลากหลาย เช่น พรรณนา/บรรยาย ตวั เลข กราฟิก และอืน่ ๆ 3.5 รูปแบบของส่ือ (Media) ประเภทตา่ ง ๆ เช่น กระดาษ วีดทิ ศั น์ ฯลฯ ส่วนสแตร์และเรย์โนลด์ (Stair and Reynolds 2001 : 7) กล่าวถึง คุณค่าของสารสนเทศ ขึ้นอยู่กับการที่ สารสนเทศนั้น สามารถช่วยให้ผู้ที่มีหน้าที่ตัดสินใจทำให้เป้าหมายขององค์การสัมฤทธ์ิ ผลได้มากน้อยเพียงใด หาก สารสนเทศ สามารถทำให้บรรลเุ ป้าหมายขององค์การได้ สารสนเทศนั้นก็จะมี คุณค่าสูงตามไปดว้ ย 2.10 ความสำคัญของสารสนเทศ สารสนเทศแท้จริงแล้วย่อมมีความสำคัญต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้อง เช่น ด้านการเมือง การปกครอง ดา้ นการศึกษา ด้าน เศรษฐกจิ ด้านสังคม ฯลฯ ในลกั ษณะดังตอ่ ไปน้ี 10.1 ทำให้ ผู้บริโภคสารสนเทศเกิดความรู้ ( Knowledge) และความเข้าใจ (Understanding) ในเร่ืองดังกล่าว ข้างตน้ เมื่อเรารู้และเข้าใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องแล้ว สารสนเทศจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจ (Decision Making) ใน เร่ืองตา่ งๆ ได้อยา่ งเหมาะสม 10.2 นอกจากนั้นสารสนเทศ ยงั สามารถทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหา (Solving Problem) ท่ีเกดิ ขน้ึ ได้อย่าง ถกู ต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว ทันเวลากบั สถานการณต์ ่างๆ ทเ่ี กิดขึ้น 2.11 บทบาทของสารสนเทศ การนำสารสนเทศไปใช้ 3 ด้าน ดังนี้ (จิตติมา เทียมบุญประเสริฐ 2544 : 5) ด้านการวางแผน ด้านการตัดสินใจ และ ด้านการดำเนินงาน นอกจากนั้น สารสนเทศยังมีบทบาท ในเชิงเศรษฐกิจ ดังน้ี (ประภาวดี สืบสนธ์ 2543 : 7-8) 1. ช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสินใจ (Decision) หรือช่วยชี้แนวทางในการแก้ไขปัญหา (Problem Solving) 2. ช่วย หรือสนับสนุนการจัดการ (Management) หรือการดำเนินงานขององค์การ ให้มี ประสิทธภิ าพและเกดิ ประสิทธผิ ลมากข้นึ

40 3. ใช้ทดแทนทรัพยากร (Resources) ทางกายภาพ เช่น กรณีการเรียนทางไกล ผู้เรียนที่ เรียนนอกห้องเรียน จริง สามารถเรียนรู้เร่ืองต่างๆ เช่นเดียวกับ ห้องเรียนจรงิ โดยไม่ต้องเดินทางไปเรียน ทหี่ อ้ งเรยี นน้ัน 4. ใช้ในการกำกับ ติดตาม (Monitoring) การปฏิบัติงานและการตัดสินใจ เพื่อดู ความก้าวหน้าของงาน 5. สารสนเทศเปน็ ช่องทางโนม้ น้าว หรือชกั จงู ใจ (Motivation) ในกรณีของการโฆษณาท่ีทำ ใหผ้ ้ชู ม, ผู้ฟัง ตัดสินใจ เลือกสินค้า หรอื บรกิ ารนนั้ 6. สารสนเทศเป็นองค์ประกอบสำคัญของการศึกษา (Education) สำหรับการเรียนรู้ ผ่าน สอ่ื ประเภทตา่ งๆ 7. สารสนเทศเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ส่งเสริมวัฒนธรรม และสันทนาการ (Culture & Recreation) ในด้าน ของการเผยแพรใ่ นรูปแบบตา่ งๆ เชน่ วดี ทิ ัศน์ โทรทศั น์ ภาพยนตร์ เปน็ ตน้ 8. สารสนเทศเป็นสนิ คา้ และบรกิ าร (Goods & Services) ท่ีสามารถซ้ือขายได้ 9. สารสนเทศเป็นทรัพยากรที่ต้องลงทุน (Investment) จึงจะได้ผลผลิตและบริการ เพ่ือ เปน็ รากฐานของการ จัดการ และการดำเนนิ งาน 2.12 องคป์ ระกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 2.12.1 องคป์ ระกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย 2.12.1.1 ระบบ คือ กลุ่มขององค์การต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันเพื่อจุดประสงค์อันเดียวกัน ระบบอาจจะประกอบด้วยบุคคลากร เครื่องมือ เครื่องใช้ พัสดุ วิธีการ ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องมีระบบจัดการ อนั หนึง่ เพ่ือให้บรรลจุ ุดประสงค์อนั เดยี วกนั 2.12.1.2 สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์หรือประมวลผล แล้ว พรอ้ มจะใช้งานไดท้ นั ที โดยไมต่ ้องแปล หรอื ตีความใด ๆ อกี 2.12.1.3 เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การใชเ้ ทคโนโลยีมาช่วยในการประมวลผล เพ่ือให้ ไดส้ ารสนเทศ ตามที่ตอ้ งการ

41 ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นอาจกล่าวได้ว่าประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีสองสาขาหลักคือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม สำหรับรายละเอียดพอสังเขปของแต่ละ เทคโนโลยีมีดังตอ่ ไปนี้คอื 2.12.2 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถจดจำข้อมูลต่าง ๆ และปฏิบัติตามคำสั่งท่ี บอก เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้ คอมพิวเตอร์นั้นประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ต่อเชื่อมกันเรียกว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์นี้จะต้องทำงานร่วมกับโปรแกรม คอมพิวเตอร์หรือที่เรียกกันว่า ซอฟต์แวร์ (Software) (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. สาขาวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2546: 4) 2.12.2.1 ฮารด์ แวร์ ประกอบดว้ ย 5 ส่วน คือ 1. อุปกรณ์รับข้อมูล (Input) เช่น แผงแป้นอักขระ (Keyboard), เมาส์, เครื่องตรวจ กวาดภาพ (Scanner), จอภาพสัมผัส (Touch Screen), ปากกาแสง (Light Pen), เครื่องอ่านบัตรแถบ แม่เหล็ก (Magnetic Strip Reader), และเครื่องอา่ นรหสั แทง่ (Bar Code Reader) 2. อุปกรณ์ส่งข้อมูล (Output) เช่น จอภาพ (Monitor), เครื่องพิมพ์ (Printer), และ เทอรม์ ินลั 3. หน่วยประมวลผลกลาง จะทำงานร่วมกับหน่วยความจำหลักในขณะคำนวณหรือ ประมวลผล โดยปฏิบัตหิ นา้ ท่ตี ามคำส่ังของโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ โดยการดึงข้อมูลและคำส่งั ท่เี ก็บไว้ไว้ใน หนว่ ยความจำหลักมาประมวลผล 4. หน่วยความจำหลัก มีหน้าที่เก็บขอ้ มูลท่ีมาจากอุปกรณ์รับข้อมูลเพ่ือใช้ในการคำนวณ และผลลัพธ์ของการคำนวณก่อนทจ่ี ะส่งไปยงั อุปกรณส์ ง่ ข้อมลู รวมทง้ั การเก็บคำส่งั ขณะกำลงั ประมวลผล

42 5. หน่วยความจำสำรอง ทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมขณะยังไม่ได้ใช้งาน เพื่อ การใช้ในอนาคต 2.12.2.2 ซอฟต์แวร์ เปน็ องค์ประกอบทส่ี ำคัญและจำเป็นมากในการควบคมุ การทำงานของ เคร่อื งคอมพวิ เตอร์ ซอฟตแ์ วรส์ ามารถแบง่ ออกได้เปน็ 2 ประเภท คือ 12.2.2.1 ซอฟต์แวร์ระบบ มีหน้าทคี่ วบคุมอปุ กรณต์ า่ ง ๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์ และ เป็นตัวกลางระหว่างผ้ใู ช้กบั คอมพวิ เตอรห์ รือฮารด์ แวร์ ซอฟต์แวรร์ ะบบสามารถแบง่ เป็น 3 ชนิดใหญ่ คือ 1. โปรแกรมระบบปฏิบัติการ ใชค้ วบคุมการทำงานของคอมพิวเตอรแ์ ละอุปกรณ์พ่วง ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างโปรแกรมที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน เช่น UNIX, DOS, Microsoft Windows 2. โปรแกรมอรรถประโยชน์ ใช้ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ใน ระหว่างการประมวลผลข้อมูลหรือในระหว่างที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างโปรแกรมที่นิยมใช้กันใน ปจั จุบัน เชน่ โปรแกรมเอดิเตอร์ (Editor) 3. โปรแกรมแปลภาษา ใช้ในการแปลความหมายของคำสั่งที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ใหอ้ ยใู่ นรูปแบบทเี่ ครื่องคอมพวิ เตอร์เขา้ ใจและทำงานตามท่ผี ู้ใช้ตอ้ งการ 2.12.2.2.2 ซอฟตแ์ วรป์ ระยุกต์ เปน็ โปรแกรมท่เี ขียนขนึ้ เพื่อทำงานเฉพาะด้านตามความ ต้องการ ซึ่งซอฟตแ์ วรป์ ระยุกต์นี้สามารถแบง่ เป็น 3 ชนิด คอื 1. ซอฟต์แวร์ประยุกต์เพื่องานทั่วไป เป็นซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งานทั่วไปไม่ เจาะจงประเภทของธุรกิจ ตัวอย่าง เช่น Word Processing, Spreadsheet, Database Management เป็นต้น 2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์เฉพาะงาน เป็นซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในธุรกิจเฉพาะ ตามแต่วัตถปุ ระสงค์ของการนำไปใช้ 3. ซอฟต์แวร์ประยุกต์อื่น ๆ เป็นซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง และอื่น ๆ นอกเหนือจากซอฟต์แวร์ประยุกต์สองชนิดข้างต้น ตัวอย่าง เช่น Hypertext, Personal Information Management และซอฟต์แวร์เกมต่าง ๆ เป็นต้น 2.12.2.3 กระบวนการการจัดการระบบสารสนเทศ สำหรับกระบวนการการจัดการระบบสารสนเทศ เพื่อให้ได้สารสนเทศตามต้องการอย่าง รวดเร็ว ถูกต้อง แมน่ ยำ และมคี ุณภาพ ดงั แผนภาพตอ่ ไปนี้คือ

43 ภาพท่ี 2 แผนภาพแสดงกระบวนการจัดการระบบสารสนเทศ 2.13 เทคโนโลยีส่ือสารโทรคมนาคม เทคโนโลยสี ื่อสารโทรคมนาคม ใช้ในการติดต่อสื่อสารรับ/ส่งข้อมูลจากท่ีไกล ๆ เป็นการส่งของ ข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือที่อยู่ห่างไกลกัน ซึ่งจะช่วยให้การเผยแพร่ข้อมูลหรือสารสนเทศ ไปยังผู้ใช้ในแหล่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และทันการณ์ ซึ่งรูปแบบของ ข้อมูลทรี่ บั /สง่ อาจเป็นตวั เลข (Numeric Data) ตัวอักษร (Text) ภาพ (Image) และเสียง (Voice) เทคโนโลยีทใ่ี ช้ในการสื่อสารหรือเผยแพร่สารสนเทศ ไดแ้ ก่ เทคโนโลยีทใ่ี ช้ในระบบโทรคมนาคม ทั้งชนิดมีสายและไร้สาย เช่น ระบบโทรศัพท์, โมเด็ม, แฟกซ์, โทรเลข, วิทยุกระจายเสียง, วิทยุโทรทัศน์ เคเบิล้ ใยแกว้ นำแสง คลนื่ ไมโครเวฟ และดาวเทยี ม เปน็ ตน้ สำหรับกลไกหลักของการส่ือสารโทรคมนาคมมีองคป์ ระกอบพน้ื ฐาน 3 ส่วน ไดแ้ ก่ 1. ตน้ แหล่งของขอ้ ความ (Source/Sender) 2. สื่อกลางสำหรบั การรบั /สง่ ขอ้ ความ (Medium), 3. และสว่ นรับข้อความ (Sink/Decoder) ดังแผนภาพต่อไปน้ี คือ ภาพท่ี 3 แผนภาพแสดงกลไกหลักของการสอื่ สารโทรคมนาคม 2.13.1 ลักษณะการใช้งานเทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยสี ารสนเทศสามารถจำแนกตามลักษณะการใช้งานได้เปน็ 6 รปู แบบ ดงั น้ตี อ่ ไปนี้

44 1. เทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศ, กล้องดิจิทัล, กลอ้ งถ่ายวีดที ัศน์, เครือ่ งเอกซเรย์ ฯลฯ 2. เทคโนโลยีที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล จะเป็นสื่อบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เช่น เทปแม่เหล็ก, จานแม่เหลก็ , จานแสงหรอื จานเลเซอร์, บตั รเอทเี อ็ม ฯลฯ 3. เทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ 4. เทคโนโลยที ใ่ี ช้ในการแสดงผลข้อมลู เชน่ เคร่อื งพมิ พ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ 5. เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดทำสำเนาเอกสาร เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร, เครื่องถ่าย ไมโครฟิล์ม 6. เทคโนโลยีสำหรับถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูล ได้แก่ ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เช่น โทรทศั น์, วทิ ยุกระจายเสียง, โทรเลข, เทเลก็ ซ์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอรท์ ั้งระยะใกล้และไกล 2.13.2 ลกั ษณะของขอ้ มลู ลักษณะของขอ้ มูลหรอื สารสนเทศท่ีส่งผา่ นระบบคอมพวิ เตอรแ์ ละการส่ือสาร ดังน้ี ข้อมูลหรือสารสนเทศที่ใช้กันอยูท่ ั่วไปในระบบสื่อสาร เช่น ระบบโทรศัพท์ จะมีลักษณะ ของสัญญาณเป็นคลื่นแบบต่อเนื่องที่เราเรียกว่า \"สัญญาณอนาลอก\" แต่ในระบบคอมพิวเตอร์จะแตกต่าง ไป เพราะระบบคอมพิวเตอร์ใช้ระบบสัญญาณไฟฟ้าสูงต่ำสลับกัน เป็นสัญญาณที่ไม่ต่อเนื่อง เรียกว่า \"สัญญาณดิจิตอล\" ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นจะส่งผ่านสายโทรศัพท์ เมื่อเราต้องการส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ เครื่องหนึ่งไปยังเครื่องอื่น ๆ ผ่านระบบโทรศัพท์ ก็ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วยแปลงสัญญาณเสมอ ซึ่งมีชื่อ เรียกว่า \"โมเดม็ \" (Modem) 2.14 ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถอธิบายความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านที่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมด้านต่าง ๆ ของผูค้ นไว้หลายประการดงั ต่อไปนี้ (จอหน์ ไนซ์บติ ต์ อา้ งถงึ ใน ยนื ภู่วรวรรณ) 2.14.1 ประการที่หนึ่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็น สงั คมสารสนเทศ 2.14.2 ประการที่สอง เทคโนโลยีสารสนเทศทำใหร้ ะบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติไป เป็นเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเชื่อมโยงของเครือข่าย สารสนเทศทำใหเ้ กิดสังคมโลกาภวิ ตั น์

45 2.214.3 ประการที่สาม เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้องค์กรมีลักษณะผูกพัน มีการบังคับบัญชา แบบแนวราบมากขึ้น หน่วยธุรกิจมีขนาดเล็กลง และเชื่อมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอื่นเป็นเครือข่าย การ ดำเนินธรุ กจิ มีการแข่งขนั กันในด้านความเร็ว โดยอาศัยการใชร้ ะบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ และการส่ือสาร โทรคมนาคมเปน็ ตัวสนับสนนุ เพือ่ ใหเ้ กิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลไดง้ า่ ยและรวดเรว็ 2.14.4 ประการที่สี่ เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผัส และสามารถ ตอบสนองตามความต้องการการใชเ้ ทคโนโลยใี นรปู แบบใหม่ทีเ่ ลอื กได้เอง 2.14.5 ประการที่ห้า เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดสภาพทางการทำงานแบบทุกสถานที่และ ทุกเวลา 2.14.6 ประการที่หก เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดำเนินการระยะยาวข้ึน อีกทั้งยังทำใหว้ ิถกี ารตัดสินใจ หรอื เลอื กทางเลือกไดล้ ะเอียดขนึ้ กล่าวโดยสรุปแล้ว เทคโนโลยสี ารสนเทศมบี ทบาทท่ีสำคัญในทุกวงการ มีผลตอ่ การเปล่ียนแปลง โลกด้านความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเมือง ตลอดจนการวิจยั และการพัฒนาต่าง ๆ 2.15 ปจั จยั ที่ทำใหเ้ กิดความล้มเหลวในการนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ จากงานวิจัยของ Whittaker (1999: 23) พบว่า ปัจจัยของความล้มเหลวหรือความผิดพลาดที่ เกดิ จากการนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ในองค์การ มีสาเหตุหลัก 3 ประการ ได้แก่ 1. การขาดการวางแผนที่ดีพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางแผนจัดการความเสี่ยงไม่ดีพอ ย่ิง องคก์ ารมขี นาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด การจัดการความเสยี่ งย่อมจะมีความสำคัญมากขน้ึ เป็นเงาตามตวั ทำให้ คา่ ใช้จ่ายดา้ นนเ้ี พิม่ สูงขึน้ 2. การนำเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมมาใช้งาน การนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ใน องค์การจำเป็นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจหรืองานที่องค์การดำเนินอยู่ หากเลือกใช้ เทคโนโลยีที่ไม่สอดรับกับความต้องการขององค์การแล้วจะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา และเป็นการ ส้ินเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ 3. การขาดการจัดการหรือสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง การที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้ามาใช้งานในองค์กร หากขาดซึ่งความสนับสนุนจากผู้บริหารระดบั สูงแล้วก็ถือว่าล้มเหลวต้ังแต่ยังไม่ได้ เริ่มต้น การได้รับความมั่นใจจากผู้บริหารระดับสูงเป็นก้าวย่างที่สำคัญและจำเป็นที่จะทำให้การนำ เทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ในองค์การประสบความสำเรจ็


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook