Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน "โสดาบัน"

Description: พุทธวจน "โสดาบัน"

Search

Read the Text Version

เปดิ ธรรมท่ถี กู ปดิ : คมู่ อื โสดาบัน (หมวด ๔) ๑. ญาณ คือ ความรู้ว่า เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน ๒. ญาณ คอื ความรวู้ ่า เมอ่ื ตณั หาไมม่ ี อปุ าทานยอ่ มไมม่ ี ๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยดื ยาวนานฝ่ายอดีต เพราะมตี ณั หาเป็นปัจจัย จงึ มอี ุปทาน ๔. ญาณ คือ ความรู้วา่ แมใ้ นกาลยืดยาวนานฝา่ ยอดีต เม่ือตณั หาไม่มี อุปาทานยอ่ มไม่มี ๕. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เพราะมีตณั หาเป็นปจั จัย จึงมีอปุ าทาน ๖. ญาณ คอื ความรู้ว่า แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เมอื่ ตณั หาไม่มี อุปาทานย่อมไมม่ ี ๗. ญาณ คอื ความรู้ว่า แม้ ธมั มัฏฐติ ิญาณ ในกรณีนี้ กม็ คี วามสน้ิ ไป เสอ่ื มไป จางไป ดบั ไป เปน็ ธรรมดา 83

พทุ ธวจน - หมวดธรรม (หมวด ๕) ๑. ญาณ คือ ความรู้ว่า เพราะมีเวทนาเป็นปัจจยั จึงมี ตณั หา ๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี ๓. ญาณ คือ ความรู้วา่ แม้ในกาลยืดยาวนานฝา่ ยอดีต เพราะมเี วทนาเปน็ ปัจจัย จึงมีตัณหา ๔. ญาณ คอื ความรูว้ ่า แม้ในกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอดีต เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไมม่ ี ๕. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เพราะมีเวทนาเปน็ ปจั จยั จงึ มีตัณหา ๖. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เม่อื เวทนาไมม่ ี ตณั หายอ่ มไม่มี ๗. ญาณ คอื ความรูว้ า่ แม้ ธมั มัฏฐิตญิ าณ ในกรณีน้ี กม็ คี วามสน้ิ ไป เสอ่ื มไป จางไป ดบั ไป เปน็ ธรรมดา 84

เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : คมู่ ือโสดาบัน (หมวด ๖) ๑. ญาณ คือ ความร้วู า่ เพราะมผี สั สะเป็นปัจจยั จงึ มี เวทนา ๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี ๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอดตี เพราะมผี ัสสะเปน็ ปจั จยั จงึ มเี วทนา ๔. ญาณ คือ ความร้วู ่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝา่ ยอดีต เมือ่ ผัสสะไมม่ ี เวทนาย่อมไมม่ ี ๕. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เพราะมผี ัสสะเปน็ ปจั จยั จงึ มีเวทนา ๖. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เมื่อผสั สะไมม่ ี เวทนายอ่ มไมม่ ี ๗. ญาณ คอื ความรูว้ ่า แม้ ธมั มัฏฐติ ิญาณ ในกรณนี ี้ กม็ คี วามสน้ิ ไป เสอ่ื มไป จางไป ดบั ไป เปน็ ธรรมดา 85

พทุ ธวจน - หมวดธรรม (หมวด ๗) ๑. ญาณ คือ ความรู้วา่ เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมอ่ื สฬายตนะไมม่ ี ผสั สะยอ่ มไมม่ ี ๓. ญาณ คอื ความรูว้ า่ แมใ้ นกาลยืดยาวนานฝา่ ยอดตี เพราะมสี ฬายตนะเปน็ ปัจจยั จึงมีผสั สะ ๔. ญาณ คือ ความรู้วา่ แม้ในกาลยืดยาวนานฝา่ ยอดตี เมอ่ื สฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี ๕. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจยั จงึ มผี สั สะ ๖. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เมอ่ื สฬายตนะไมม่ ี ผัสสะยอ่ มไม่มี ๗. ญาณ คอื ความรู้ว่า แม้ ธมั มฏั ฐติ ิญาณ ในกรณนี ้ี กม็ คี วามสน้ิ ไป เสอ่ื มไป จางไป ดบั ไป เปน็ ธรรมดา 86

เปดิ ธรรมทถี่ กู ปดิ : ค่มู อื โสดาบัน (หมวด ๘) ๑. ญาณ คอื ความรวู้ ่า เพราะมนี ามรูปเปน็ ปจั จยั จึงมสี ฬายตนะ ๒. ญาณ คือ ความรู้ว่า เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะ ย่อมไมม่ ี ๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แมใ้ นกาลยืดยาวนานฝา่ ยอดตี เพราะมีนามรูปเป็นปจั จัย จึงมีสฬายตนะ ๔. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอดตี เมอ่ื นามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไมม่ ี ๕. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เพราะมนี ามรปู เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ๖. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เม่ือนามรูปไม่มี สฬายตนะย่อมไมม่ ี ๗. ญาณ คือ ความรวู้ ่า แม้ ธัมมัฏฐติ ญิ าณ ในกรณีน้ี กม็ คี วามสน้ิ ไป เสอ่ื มไป จางไป ดบั ไป เปน็ ธรรมดา 87

พทุ ธวจน - หมวดธรรม (หมวด ๙) ๑. ญาณ คอื ความรูว้ า่ เพราะมีวญิ ญาณเป็นปัจจยั จึงมีนามรปู ๒. ญาณ คือ ความรวู้ า่ เมอ่ื วญิ ญาณไมม่ ี นามรปู ยอ่ มไมม่ ี ๓. ญาณ คือ ความรู้ว่า แม้ในกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอดีต เพราะมวี ญิ ญาณเปน็ ปจั จยั จึงมนี ามรูป ๔. ญาณ คือ ความรวู้ ่า แม้ในกาลยืดยาวนานฝา่ ยอดีต เม่ือวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี ๕. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เพราะมีวิญญาณเปน็ ปจั จยั จึงมนี ามรปู ๖. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เม่ือวิญญาณไมม่ ี นามรูปย่อมไมม่ ี ๗. ญาณ คือ ความรวู้ า่ แม้ ธัมมฏั ฐิตญิ าณ ในกรณีน้ี กม็ คี วามสน้ิ ไป เสอ่ื มไป จางไป ดบั ไป เปน็ ธรรมดา 88

เปดิ ธรรมที่ถกู ปิด : คู่มือโสดาบัน (หมวด ๑๐) ๑. ญาณ คือ ความรูว้ ่า เพราะมสี ังขารเป็นปัจจยั จงึ มวี ิญญาณ ๒. ญาณ คอื ความรวู้ า่ เมือ่ สังขารทงั้ หลายไมม่ ี วิญญาณ ย่อมไมม่ ี ๓. ญาณ คือ ความร้วู ่า แมใ้ นกาลยืดยาวนานฝ่ายอดตี เพราะมสี งั ขารเป็นปจั จยั จึงมีวิญญาณ ๔. ญาณ คอื ความรวู้ ่า แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอดีต เมอื่ สงั ขารทั้งหลายไม่มี วิญญาณยอ่ มไมม่ ี ๕. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เพราะมสี ังขารเปน็ ปัจจยั จงึ มีวญิ ญาณ ๖. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เมื่อสงั ขารทั้งหลายไมม่ ี วญิ ญาณยอ่ มไมม่ ี ๗. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แม้ ธมั มฏั ฐิติญาณ ในกรณีน้ี กม็ คี วามสน้ิ ไป เสอ่ื มไป จางไป ดบั ไป เปน็ ธรรมดา 89

พทุ ธวจน - หมวดธรรม (หมวดที่ ๑๑) ๑. ญาณ คอื ความรู้ว่า เพราะมีอวิชชาเปน็ ปจั จัย จงึ มีสงั ขารทัง้ หลาย ๒. ญาณ คอื ความรูว้ ่า เม่ืออวิชชาไม่มี สงั ขารทง้ั หลาย ย่อมไม่มี ๓. ญาณ คือ ความรูว้ า่ แมใ้ นกาลยืดยาวนานฝ่ายอดตี เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจยั จึงมสี ังขารทง้ั หลาย ๔. ญาณ คอื ความร้วู า่ แมใ้ นกาลยืดยาวนานฝ่ายอดตี เมอ่ื อวชิ ชาไมม่ ี สงั ขารทงั้ หลายยอ่ มไมม่ ี ๕. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เพราะมีอวิชชาเปน็ ปัจจยั จึงมสี ังขารท้ังหลาย ๖. ญาณ คอื ความรวู้ า่ แมใ้ นกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอนาคต เมอ่ื อวชิ ชาไมม่ ี สังขารท้ังหลายยอ่ มไม่มี ๗. ญาณ คือ ความรูว้ า่ แม้ ธัมมัฏฐิติญาณ ในกรณนี ้ี กม็ คี วามสน้ิ ไป เสอ่ื มไป จางไป ดบั ไป เปน็ ธรรมดา. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   เหลา่ นี้ เรยี กวา่ ญาณวตั ถุ ๗๗ อยา่ ง ดังนี้ แล. 90

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : คูม่ อื โสดาบัน ผ้มู ีธัมมญาณและอนั ๎วยญาณ 18 (พระโสดาบนั ) -บาลี นทิ าน. สํ. ๑๖/๖๘-๗๑/๑๒๐-๑๒๕. ภกิ ษุทั้งหลาย !   ก็ ชรามรณะ เปน็ อยา่ งไรเลา่  ? ความแก่  ความครำ่�คร่า  ความมีฟันหลุด  ความ มีผมหงอก  ความมีหนังเหี่ยว  ความส้ินไปๆ  แห่งอายุ ความแกร่ อบแหง่ อนิ ทรยี ท์ ง้ั หลาย ในสตั วนกิ ายนน้ั ๆ ของ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นๆ   นี้เรียกว่า  ชรา.  การจุติ ความเคลื่อน  การแตกสลาย  การหายไป  การวายชีพ การตาย  การทำ�กาละ  การแตกแห่งขันธ์ทั้งหลาย  การ ทอดทงิ้ ร่าง การขาดแหง่ อนิ ทรยี ์ คอื ชวี ติ จากสัตวนิกาย น้ันๆ ของสัตว์ทั้งหลายเหล่าน้ันๆ   น้ีเรียกว่า มรณะ. ชรานี้ด้วย มรณะนี้ด้วย ย่อมมีอยู่ ดังน ้ี ภิกษุทง้ั หลาย !   นเ้ี รยี กว่า ชรามรณะ. ความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ ชรามรณะ ยอ่ มมี เพราะ ความกอ่ ขน้ึ พรอ้ มแหง่ ชาติ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชรามรณะ 91

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ยอ่ มมี เพราะความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชาติ มรรคอนั ประกอบดว้ ย องคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เองเปน็ ปฏปิ ทาใหถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชรามรณะ ไดแ้ กส่ ง่ิ เหลา่ น้ี คอื ความเหน็ ชอบ ความดำ�ริชอบ  การพูดจาชอบ  การทำ�การงานชอบ การเลย้ี งชวี ติ ชอบ  ความพากเพยี รชอบ  ความระลกึ ชอบ ความตั้งใจมั่นชอบ. ภิกษุทั้งหลาย !   อริยสาวก ย่อมมารู้ท่ัวถึง ซ่ึง ชรามรณะ ว่าเป็นอย่างน้ีๆ มาร้ทู ่วั ถึง ซ่งึ เหตุให้เกิดข้นึ แห่งชรามรณะ ว่าเป็นอย่างน้ีๆ มารู้ท่ัวถึง ซึ่งความดับ ไม่เหลือแห่งชรามรณะ ว่าเป็นอย่างนี้ๆ มารู้ทั่วถึง ซึ่ง ขอ้ ปฏบิ ตั เิ ครอ่ื งท�ำ สตั วใ์ หล้ ถุ งึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ชรามรณะ วา่ เปน็ อยา่ งนๆ้ี ในกาลใด ในกาลนน้ั ความรนู้ ข้ี องอรยิ สาวก นน้ั ชอ่ื วา่ ธมั มญาณ (ญาณในธรรม). ดว้ ยธรรมนอ้ี นั อรยิ สาวก นั้นเห็นแล้ว รู้แล้วบรรลุแล้ว หย่ังลงแล้ว และเป็นธรรม อันใช้ได้ไม่จำ�กัดกาล อริยสาวกนั้น ย่อม นำ�ความรู้นั้น ไปสู่นัยอันเป็นอดีตและอนาคต (ต่อไปอีก) ว่า “สมณะ หรอื พราหมณเ์ หลา่ ใดเหลา่ หนง่ึ ในกาลยดื ยาวนานฝา่ ยอดตี 92

เปดิ ธรรมท่ถี ูกปิด : คูม่ ือโสดาบนั ได้ร้อู ย่างย่งิ แล้ว ซ่งึ ชรามรณะ ได้รู้อย่างยิ่งแล้ว ซ่ึงเหตุ ให้เกิดขึ้นแห่งชรามรณะ ได้รู้อย่างย่ิงแล้ว ซึ่งความดับ ไม่เหลือแห่งชรามรณะ ได้รู้อย่างยิ่งแล้ว ซ่ึงข้อปฎิบัติ เครื่องทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าน้ันทุกท่าน ก็ได้รู้อย่างยิ่งแล้ว เหมอื นอยา่ งทเ่ี ราเองไดร้ อู้ ยา่ งยง่ิ แลว้ ในบดั น.้ี ถงึ แมส้ มณะ หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหน่ึง ในกาลยืดยาวนานฝ่าย อนาคต จักรู้อย่างย่ิง ซึ่งชรามรณะ จักรู้อย่างยิ่ง ซึ่งเหตุ ใหเ้ กดิ ขน้ึ แหง่ ชรามรณะ จกั รอู้ ยา่ งยง่ิ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แห่งชรามรณะ จักรู้อย่างย่ิง ซ่ึงข้อปฏิบัติเคร่ืองทำ�สัตว์ ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งชรามรณะ ก็ตาม สมณะ หรอื พราหมณเ์ หลา่ นน้ั ทกุ ทา่ น กจ็ กั รอู้ ยา่ งยง่ิ เหมอื นอยา่ ง ท่ีเราเองได้รู้อย่างยิ่งแล้วในบัดน้ี”  ดังนี้.  ความรู้นี้ของ อริยสาวกนัน้ ชื่อวา่ อันว๎ ยญาณ (ญาณในการรตู้ าม). ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   ญาณทง้ั สอง คอื ธมั มญาณและ อนั ว๎ ยญาณเหลา่ นข้ี องอรยิ สาวก เปน็ ธรรมชาติ บรสิ ทุ ธิ์ ผอ่ งใส ในกาลใด 93

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !  ในกาลนน้ั เราเรยี กอรยิ สาวกนน้ั วา่ “ผสู้ มบูรณแ์ ล้วดว้ ยทฏิ ฐิ” “ผ้สู มบรู ณ์แลว้ ดว้ ยทสั สนะ” ดังน้บี ้าง “ผู้มาถึงพระสัทธรรมนแ้ี ลว้ ” ดังนบ้ี ้าง “ผไู้ ด้เหน็ อยซู่ ึง่ พระสทั ธรรมน”ี้ ดังนีบ้ า้ ง ดังน้บี า้ ง “ผปู้ ระกอบแล้วด้วยญาณอันเปน็ เสขะ” ดังนบ้ี ้าง “ผปู้ ระกอบแล้วดว้ ยวชิ ชาอนั เป็นเสขะ” ดงั นีบ้ ้าง “ผถู้ งึ ซง่ึ กระแสแห่งธรรมแล้ว” ดงั น้บี ้าง “ผู้ประเสริฐมีปญั ญาเครือ่ งชำ�แรกกิเลส” ดังน้บี ้าง “ยนื อยู่จรดประตแู หง่ อมตะ” ดงั นบี้ า้ ง ดังนี้ แล. 94

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด : คมู่ ือโสดาบัน ผในู้สก้นิ รคณวีขาอมงสคงวสายั ม(เพหร็นะโสดาบนั ) 19 ท่เี ปน็ ไปในลักษณะยึดถอื ตวั ตน -บาลี ขนธฺ . สํ. ๑๗/๒๔๘-๒๕๐/๔๑๗-๔๑๘. ภิกษุท้ังหลาย !   เมื่ออะไรมีอยู่หนอ  เพราะ เข้าไปยึดถือซึ่งอะไร เพราะปักใจเข้าไปสู่อะไร ทิฏฐิจึง เกิดขึ้นจนถึงกับว่า “ลมก็ไม่พัด แม่นำ้�ก็ไม่ไหล สตรี มีครรภ์ก็ไม่คลอด  พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็ไม่ขึ้น ไม่ตก แตล่ ะอย่างๆ เป็นของตัง้ อย่อู ยา่ งมนั่ คงดจุ การ ตั้งอยขู่ องเสาระเนยี ด” ดังนี ้ ? ภิกษุท้ังหลายเหล่านั้น กราบทูลวิงวอนว่า “ข้าแต่ พระองคผ์ เู้ จรญิ  !   ธรรมทงั้ หลายของพวกขา้ พระองค์ มพี ระผมู้ -ี พระภาคเป็นมูล มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ� มีพระผู้มีพระภาค เป็นท่ีพึ่ง.  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !   เป็นการชอบแล้วหนอ ขอให้อรรถแห่งภาษิตนั้น จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง เถิด.  ภิกษุท้ังหลายได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคแล้วจักทรงจำ�ไว้” ดังน้ี.  พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเตือนให้ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ตั้งใจฟงั ด้วยดีแล้ว ได้ตรสั ขอ้ ความดังตอ่ ไปน้ี 95

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย !   เมื่อ รูปน่ันแล มีอยู่ เพราะ เข้าไปยึดถือซ่งึ รูป เพราะปักใจเข้าไปส่รู ูป ทิฏฐิจึงเกิดข้นึ อย่างนี้ว่า “ลมก็ไม่พัด แม่น้ำ�ก็ไม่ไหล สตรีมีครรภ์ก็ ไม่คลอด พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็ไม่ขึ้นไม่ตก แต่ ละอย่างๆ เป็นของตั้งอยู่อย่างมั่นคงดุจการตั้งอยู่ของ เสาระเนียด” ดังนี้. (ในกรณแี หง่ เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ กม็ ถี อ้ ยค�ำ ทต่ี รสั อยา่ งเดยี วกนั ทกุ ตวั อกั ษรกบั ในกรณแี หง่ รปู น้ี ตา่ งกนั แตเ่ พยี ง ชือ่ แหง่ ขันธแ์ ตล่ ะขันธ์ เท่านนั้ ). ภิกษุทั้งหลาย !   พวกเธอจะสำ�คัญความข้อน้ีว่า อยา่ งไร รูป เท่ียงหรือไม่เทยี่ ง ? “ไม่เท่ยี ง พระเจ้าข้า !”. กส็ ่ิงใดไมเ่ ทย่ี ง สง่ิ น้ันเป็นทุกข์หรือเป็นสขุ เลา่  ? “เป็นทุกข์ พระเจ้าขา้  !”. แม้สงิ่ ใดไม่เท่ยี ง เปน็ ทุกข์ มีความแปรปรวนเปน็ ธรรมดา แต่ถ้าไม่ยึดม่ันถือมั่นซึ่งสิ่งน้ันแล้ว ทิฏฐิอย่าง นี้ จะเกดิ ข้ึนได้ไหม วา่ “ลมก็ไมพ่ ดั แม่น้ำ� กไ็ ม่ไหล สตรี มีครรภ์ก็ไม่คลอด พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็ไม่ขึ้น 96

เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : คู่มอื โสดาบนั ไม่ตก แต่ละอย่างๆ เป็นของตั้งอยู่อย่างมั่นคงดุจการต้ัง อยขู่ องเสาระเนียด” ดงั น ้ี ? “ข้อนัน้ หามไิ ดพ้ ระเจ้าข้า !”. (ในกรณแี หง่ เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ กม็ ถี อ้ ยค�ำ ทตี่ รสั อยา่ งเดยี วกนั ทกุ ตวั อกั ษรกบั ในกรณแี หง่ รปู น้ี ตา่ งกนั แตเ่ พยี ง ชอ่ื แห่งขนั ธ์แตล่ ะขนั ธ์ เท่านั้น). ภิกษุทั้งหลาย !   แม้สิ่งใดที่บุคคล ได้เห็นแล้ว ฟังแล้ว รู้สึกแล้ว รู้แจ้งแล้ว บรรลุแล้ว แสวงหาแล้ว ครนุ่ คดิ อยดู่ ว้ ยใจแลว้ เหลา่ นเ้ี ปน็ ของเทย่ี งหรอื ไมเ่ ทยี่ ง ? “ไมเ่ ทย่ี ง พระเจา้ ข้า !”. ก็สิง่ ใดไม่เทีย่ ง สงิ่ นน้ั เปน็ ทกุ ขห์ รือเป็นสุขเลา่  ? “เปน็ ทกุ ข์ พระเจ้าขา้  !”. แม้สิ่งใดไม่เท่ียง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นซ่ึงส่ิงน้ันแล้ว ทิฏฐิ อยา่ งน้ี จะเกดิ ข้ึนได้ไหม ว่า “ลมกไ็ มพ่ ดั แมน่ �ำ้ ก็ไมไ่ หล สตรีมีครรภ์ก็ไม่คลอด พระจันทรแ์ ละพระอาทิตยก์ ็ไม่ข้นึ ไมต่ ก แตล่ ะอยา่ งๆ เปน็ ของตง้ั อยอู่ ยา่ งมน่ั คงดจุ การตง้ั อยู่ ของเสาระเนยี ด” ดังนี้ ? “ข้อนั้นหามไิ ดพ้ ระเจ้าข้า !”. 97

พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุทั้งหลาย !   ในกาลใดแล ความสงสยั (กงั ขา) ในฐานะทงั้ หลาย ๖ ประการเหลา่ น1ี้ เปน็ สง่ิ ทอ่ี รยิ สาวกละ ขาดแลว้ ในกาลนน้ั กเ็ ปน็ อนั วา่ ความสงสยั แมใ้ นทกุ ข์ แม้ ในเหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ แมใ้ นความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข์ แมใ้ น ขอ้ ปฏบิ ตั เิ ครอ่ื งท�ำ สตั วใ์ หถ้ งึ ซง่ึ ความดบั ไมเ่ หลอื แหง่ ทกุ ข ์ กเ็ ป็นส่ิงทีอ่ ริยสาวกละขาดแล้ว. ภิกษุท้ังหลาย !   อริยสาวกน้ี เราเรียกว่า เป็น อริยสาวกผู้เป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำ�เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ (ตอ่ นพิ พาน) มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า ดังนี้ แล. 1. ฐ านะหกประการ คือ ขันธ์ห้าประการ และอาการที่ได้เห็นแล้วเป็นต้น ดังทก่ี ล่าวแลว้ ขา้ งบนเจด็ อย่าง รวมเป็นหนึ่งประการ รวมเปน็ หกประการ. 98

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : คูม่ ือโสดาบนั ผูส้ น้ิ ความสงสัย (พระโสดาบนั ) 20 ในกรณีของความเห็น ทเี่ ป็นไปในลักษณะขาดสญู -บาลี ขนฺธ. ส.ํ ๑๗/๒๕๔-๒๕๖/๔๒๕-๔๒๖. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   เมอื่ อะไรมอี ยหู่ นอ เพราะเขา้ ไป ยึดถือซ่ึงอะไร  เพราะปักใจเข้าไปสู่อะไร  ทิฏฐิจึงเกิดข้ึน อยา่ งนว้ี า่   “ไมม่ ที านอนั บคุ คลบรจิ าคแลว้   ไมม่ ยี ญั ญะ อันบุคคลประกอบแล้ว  ไม่มีโหตระอันบุคคลบูชาแล้ว ไม่มีผลวิบากแห่งกรรม อันบคุ คลกระทำ�ดแี ลว้ กระท�ำ ชว่ั แล้ว  ไม่มีโลกน้ี ไม่มีโลกอื่น ไม่มีมารดา ไม่มีบิดา ไม่มี สตั วท์ งั้ หลายอนั เปน็ โอปปาตกิ ะ ไมม่ สี มณะและพราหมณ์ ผไู้ ปแลว้ ถกู ตอ้ ง ผปู้ ฏบิ ตั แิ ลว้ ถกู ตอ้ ง ผทู้ �ำ ใหแ้ จง้ ซงึ่ โลกน้ี และโลกอ่ืน ด้วยปัญญาอันย่ิงเอง แล้วประกาศอยู่ในโลก  คนเรานี้ เป็นแต่การประชุมของมหาภูตท้ังส่ี  เม่ือใดทำ� กาละ เมื่อนั้นดินย่อมเข้าไปสู่หมู่แห่งดิน นำ้�ย่อมเข้าไป สู่หมู่แห่งน้ำ� ไฟย่อมเข้าไปสู่หมู่แห่งไฟ ลมย่อมเข้าไป สู่หมู่แห่งลม อินทรีย์ทั้งหลายย่อมหายไปในอากาศ บุรุษ ทงั้ หลายมเี ตยี งวางศพเปน็ ทค่ี รบหา้ จะพาเขาผตู้ ายแลว้ ไป รอ่ งรอยทงั้ หลาย ปรากฏอยเู่ พยี งแคป่ า่ ชา้ เปน็ เพยี งกระดกู 99

พุทธวจน - หมวดธรรม ทั้งหลาย มีสีเพียงดังสีแห่งนกพิราบ การบูชาเซ่นสรวง มีข้ีเถ้าเป็นท่ีสุด ส่ิงท่ีเรียกว่าทานน้ัน เป็นบทบัญญัติของ คนเขลา ค�ำ ของพวกทก่ี ลา่ ววา่ อะไรๆ มอี ยนู่ น้ั เปน็ ค�ำ เปลา่ (จากความหมาย) เป็นคำ�เท็จ เป็นคำ�เพ้อเจ้อ ทั้งคนพาล และบณั ฑติ ครน้ั กายแตกท�ำ ลายแลว้ ยอ่ มขาดสญู พนิ าศไป มไิ ดม้ ีอยู่ ภายหลังแต่การตาย” ดังน ้ี ? ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น กราบทูลวิงวอนว่า “ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ !   ธรรมท้ังหลาย ของพวกข้าพระองค์ มีพระ- ผมู้ พี ระภาคเปน็ มลู มพี ระผมู้ พี ระภาคเปน็ ผนู้ �ำ มพี ระผมู้ พี ระภาค เป็นท่ีพึ่ง.  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !   เป็นการชอบแล้วหนอ ขอให้อรรถแห่งภาษิตนั้น จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง เถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจ�ำไว้” ดังน.้ี   พระผมู้ ีพระภาคเจ้า จึงตรสั เตอื นให้ภกิ ษทุ ้งั หลายเหลา่ นัน้ ต้ังใจฟังด้วยดีแล้ว ได้ตรัสข้อความดังต่อไปนี้ ภิกษุทั้งหลาย !   เมื่อ รูปนั่นแล มีอยู่ เพราะ เข้าไปยึดถือซึ่งรูป เพราะปักใจเข้าไปสู่รูป ทิฏฐิจึงเกิด ขนึ้ อยา่ งนวี้ า่ “ไมม่ ที านอนั บคุ คลบรจิ าคแลว้ ไมม่ ยี ญั ญะ อนั บคุ คลประกอบแลว้ ไมม่ โี หตระอนั บคุ คลบชู าแลว้ ไมม่ ี ผลวบิ ากแหง่ กรรม อนั บุคคลกระทำ�ดีแลว้ กระทำ�ช่ัวแล้ว 100

เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : คมู่ ือโสดาบัน ไม่มีโลกนี้ ไมม่ โี ลกอืน่ ไม่มมี ารดา ไม่มีบดิ า ไม่มสี ตั วท์ ้งั หลายอันเป็นโอปปาติกะ ไม่มีสมณะและพราหมณ์ ผู้ไป แล้วถูกต้อง ผู้ทำ�ให้แจ้งซ่ึงโลกนี้และโลกอ่ืน ด้วยปัญญา อันยิ่งเอง แล้วประกาศอยู่ในโลก คนเราน้ี เป็นแต่การ ประชุมของมหาภูตทั้งส่ี เม่ือใดทำ�กาละ เมื่อนั้นดินย่อม เข้าไปสู่หมู่แห่งดิน น้ำ�ย่อมเข้าไปสู่หมู่แห่งนำ้� ไฟย่อม เข้าไปสู่หมู่แห่งไฟ ลมย่อมเข้าไปสู่หมู่แห่งลม อินทรีย์ ท้ังหลายย่อมหายไปในอากาศ บุรุษท้ังหลายมีเตียงวาง ศพเปน็ ทค่ี รบหา้ จะพาเขาผตู้ ายแลว้ ไป รอ่ งรอยทง้ั หลาย ปรากฏอยู่เพียงแค่ป่าช้า เป็นเพียงกระดูกทั้งหลาย มีสี เพยี งดงั สแี หง่ นกพริ าบ การบชู าเซน่ สรวง มขี เ้ี ถา้ เปน็ ทส่ี ดุ สิ่งที่เรียกว่าทานนั้น เป็นบทบัญญัติของคนเขลา คำ�ของ พวกทก่ี ลา่ ววา่ อะไรๆ มอี ยนู่ น้ั เปน็ ค�ำ เปลา่ (จากความหมาย) เปน็ ค�ำ เทจ็ เปน็ ค�ำ เพอ้ เจอ้ ทง้ั คนพาลและบณั ฑติ ครน้ั กาย แตกท�ำ ลายแลว้ ยอ่ มขาดสญู พนิ าศไป มไิ ดม้ อี ยู่ ภายหลงั แต่การตาย” ดงั นี้. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   พวกเธอจะสำ�คัญความข้อนี้ วา่ อย่างไร 101

พุทธวจน - หมวดธรรม รปู เท่ยี งหรอื ไมเ่ ท่ยี ง ? “ไม่เทยี่ ง พระเจ้าขา้  !”. กส็ ่งิ ใดไมเ่ ทย่ี ง ส่ิงนั้นเปน็ ทกุ ขห์ รอื เปน็ สุขเลา่  ? “เป็นทกุ ข์ พระเจา้ ขา้  !”. แม้สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่ยึดมั่นถือม่ันซ่ึงส่ิงน้ันแล้ว ทิฏฐิ อยา่ งนจ้ี ะเกดิ ขน้ึ ไดไ้ หมวา่ “ไมม่ ที านอนั บคุ คลบรจิ าคแลว้ ไม่มียัญญะอันบุคคลประกอบแล้ว ไม่มีโหตระอันบุคคล บูชาแล้ว ไม่มีผลวิบากแห่งกรรม อันบุคคลกระทำ�ดีแล้ว กระทำ�ช่ัวแล้ว ...ฯลฯ...ฯลฯ... คำ�ของพวกที่กล่าวว่า อะไรๆ มีอยู่น้ันเป็นคำ�เปล่า (จากความหมาย) เป็นคำ�เท็จ เป็นคำ�เพ้อเจ้อ ทั้งคนพาลและบัณฑิต ครั้นกายแตก ทำ�ลายแล้ว ย่อมขาดสูญพินาศไป มิได้มีอยู่ภายหลัง แต่การตาย” ดงั น ี้ ? “ขอ้ นั้นหามิได้ พระเจา้ ขา้  !”. (ในกรณแี หง่ เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ กม็ ถี อ้ ยค�ำ ทตี่ รสั อยา่ งเดยี วกนั ทกุ ตวั อกั ษรกบั ในกรณแี หง่ รปู นี้ ตา่ งกนั แตเ่ พยี ง ช่ือแห่งขันธแ์ ต่ละขนั ธ์ เทา่ นัน้ ). 102

เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ : คูม่ ือโสดาบัน ภิกษุท้ังหลาย !   แม้ส่ิงใดท่ีบุคคลได้เห็นแล้ว ฟังแล้ว รู้สึกแล้ว รู้แจ้งแล้ว บรรลุแล้ว แสวงหาแล้ว ครนุ่ คดิ อยดู่ ว้ ยใจแลว้ เหลา่ นเ้ี ปน็ ของเทย่ี งหรอื ไมเ่ ทย่ี ง ? “ไม่เท่ยี ง พระเจ้าข้า !”. ก็สิง่ ใดไมเ่ ทยี่ ง สิง่ นนั้ เป็นทกุ ขห์ รอื เปน็ สขุ เลา่  ? “เปน็ ทุกข์ พระเจา้ ข้า !”. แม้สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่ยึดม่ันถือมั่นซ่ึงสิ่งน้ันแล้ว ทิฏฐิ อยา่ งนจ้ี ะเกดิ ขน้ึ ไดไ้ หมวา่ “ไมม่ ที านอนั บคุ คลบรจิ าคแลว้ ไม่มียัญญะอันบุคคลประกอบแล้ว ไม่มีโหตระอันบุคคล บูชาแล้ว ไม่มีผลวิบากแห่งกรรม อันบุคคลกระทำ�ดีแล้ว กระทำ�ช่ัวแล้ว ...ฯลฯ...ฯลฯ... คำ�ของพวกท่ีกล่าวว่า อะไรๆ มีอยู่น้ันเป็นคำ�เปล่า (จากความหมาย) เป็นคำ�เท็จ เป็นคำ�เพ้อเจ้อ ทั้งคนพาลและบัณฑิต ครั้นกายแตก ทำ�ลายแล้ว ย่อมขาดสูญพินาศไป มิได้มีอยู่ภายหลัง แต่การตาย” ดังน้ี ? “ขอ้ น้ันหามิได้ พระเจา้ ขา้  !”. 103

พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย !   ในกาลใดแล  ความสงสัย (กังขา) ในฐานะทั้งหลาย ๖ ประการเหล่าน้ี เป็นสิ่งที่ อริยสาวกละขาดแล้ว ในกาลน้นั ก็เป็นอันว่าความสงสัย แม้ในทุกข์ แม้ในเหตุให้เกิดข้นึ แห่งทุกข์ แม้ในความดับ ไม่เหลือแห่งทุกข์ แม้ในข้อปฏิบัติเครื่องทำ�สัตว์ให้ลุ ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ก็เป็นสิ่งที่อริยสาวกนั้น ละขาดแล้ว. ภิกษุท้ังหลาย !   อริยสาวกน้ี  เราเรียกว่าเป็น อริยสาวกผู้เป็นโสดาบัน  มีอันไม่ตกต่ำ�เป็นธรรมดา เป็นผ้เู ท่ยี งแท้ (ต่อนิพพาน) มีการตรัสร้พู ร้อมในเบ้อื งหน้า ดงั นี้ แล. 104

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถกู ปดิ : คู่มือโสดาบัน ผลแห่งความเป็นโสดาบัน 21 -บาลี ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๙๐/๓๖๘. ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   อานสิ งสแ์ หง่ การท�ำ ใหแ้ จง้ ซงึ่ โสดาปัตติผล ๖ อยา่ ง เหล่านี้ มีอยู.่ หกอยา่ งเหลา่ ไหนเล่า ?  หกอยา่ ง คอื เป็นบุคคลผ ู้ เท่ียงแท้ตอ่ พระสทั ธรรม เปน็ บุคคลผู้ มธี รรมอันไม่รเู้ สอ่ื ม ทุกขด์ ับไปทกุ ข้ันตอนแห่งการกระท�ำ ทกี่ ระทำ�แลว้ เปน็ บุคคลผู้ ประกอบดว้ ยอสาธารณญาณ (ทไ่ี มท่ ่วั ไปแกพ่ วกอื่น) เป็นบุคคลผ้ ู เหน็ ธรรมท่เี ป็นเหตุ และ เห็นธรรมท้งั หลาย ทีเ่ กดิ มาแตเ่ หตุ. ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   เหลา่ นีแ้ ล อานสิ งส์ ๖ ประการ แหง่ การทำ�ให้แจง้ ซ่ึงโสดาปัตติผล. 105

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปดิ : คมู่ อื โสดาบัน ความเปน็ โสดาบัน 22 ประเสรฐิ กวา่ เปน็ พระเจ้าจักรพรรดิ -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๒๘-๔๒๙/๑๔๑๑-๑๔๑๓. ภิกษุทั้งหลาย !   แม้พระเจ้าจักรพรรดิ ได้ครอง ความเปน็ ใหญย่ ง่ิ แหง่ ทวปี ทง้ั ส่ี เบอ้ื งหนา้ จากการตายเพราะ การแตกทำ�ลายแห่งกาย อาจได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เป็นสหายอย่รู ่วมกับเหล่าเทวดาช้นั ดาวดึงส์ ถูกแวดล้อม อยดู่ ว้ ยหมนู่ างอปั ษรในสวนนนั ทวนั ทา้ วเธอเปน็ ผเู้ อบิ อม่ิ เพียบพร้อมด้วยกามคุณทั้งห้า อันเป็นของทิพย์ อย่างนี้ ก็ตาม แต่กระนน้ั ทา้ วเธอกย็ งั รอดพ้นไปไม่ได้ จากนรก จากกำ�เนิดเดรัจฉาน  จากวิสัยแห่งเปรต  และจากอบาย ทคุ ติ  วนิ บิ าต. ภิกษุท้ังหลาย !   ส่วนอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ แม้เป็นผู้ยังอัตภาพให้พอเป็นไปด้วยคำ�ข้าวท่ีได้มาจาก บิณฑบาตด้วยปลีแข้งของตนเอง พันกายด้วยการนุ่งห่ม ผ้าปอนๆ ไม่มีชาย หากแต่ว่าเป็นผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยธรรม ๔ ประการ เธอก็ยังสามารถ รอดพ้นเสียได้ จากนรก  จากก�ำ เนดิ เดรจั ฉาน  จากวสิ ยั แหง่ เปรต  และ จากอบาย  ทุคต ิ วินบิ าต. 106

เปิดธรรมทีถ่ กู ปิด : คู่มือโสดาบัน ภิกษุทงั้ หลาย !   ธรรม ๔ ประการนั้นเป็นไฉน ? ๔ ประการ คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบพร้อม แล้วดว้ ยความเลอื่ มใสอันหย่งั ลงมั่น ไม่หว่ันไหว ...ในองค์พระพทุ ธเจา้ ...ในองค์พระธรรม ...ในองค์พระสงฆ์ ...เปน็ ผปู้ ระกอบพรอ้ มแลว้ ด้วยศลี ทัง้ หลาย ชนดิ เปน็ ที่พอใจของเหล่าอรยิ เจา้ ฯลฯ ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย !   ระหวา่ งการไดท้ วปี ทง้ั ส่ี กบั การ ได้ธรรม ๔ ประการน้ีน้ัน การได้ทวีปท้ังส่ีมีค่าไม่ถึงเส้ยี ว ทสี่ ิบหก  ของการได้ธรรม ๔ ประการน้ี เลย. 107

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด : คมู่ อื โสดาบนั ความเปน็ พระโสดาบนั 23 ไม่อาจแปรปรวน -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๔๕๗-๔๕๘/๑๔๙๕-๖. ภิกษุท้ังหลาย !   แม้มหาภูตรูปส่ี กล่าวคือ ธาตุ ดิน นำ�้ ไฟ ลม ก็ยังมีความแปรปรวนเป็นอย่างอ่ืนไปได.้ แต่เหล่าอริยสาวกในธรรมวินัยน้ี ผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วยความเลื่อมใสอันหย่ังลงม่ัน ไม่หว่ันไหว ในองค์ พระพุทธเจ้า...ในองค์พระธรรม...ในองค์พระสงฆ์... ย่อมไม่มีความแปรปรวนเป็นอย่างอ่ืนเลย.  ข้อที่ว่า ผู้ประกอบพร้อมแล้ว  ด้วยความเล่ือมใสอันหยั่งลงมั่น ไม่หวั่นไหว ในองค์พระพุทธเจ้า เป็นต้นนั้น ยังจะมีการ ปรวนแปรไปเปน็ เสยี อย่างอืน่   จนเขา้ ถึงนรกกด็  ี กำ�เนดิ เดรจั ฉานกด็  ี วสิ ยั แหง่ เปรตกด็  ี ดงั นนี้ นั้   ไมใ่ ชเ่ ปน็ ฐานะ ท่จี ะมไี ดเ้ ลย. ภิกษุท้ังหลาย !   แม้มหาภูตรูปสี่ กล่าวคือ ธาตุดิน น้ำ� ไฟ ลม ก็ยังมีความแปรปรวนเป็นอื่นไปได้ แต่เหล่าอริยสาวกในธรรมวินัยน้ี ผู้ประกอบพร้อมแล้ว 108

เปิดธรรมท่ีถูกปดิ : คมู่ ือโสดาบัน ด้วยศีลท้ังหลาย ชนิดเป็นที่พอใจของเหล่าอริยเจ้า ย่อมไม่มีความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นได้เลย.  ข้อท่ีว่า ผู้ประกอบพร้อมแล้ว  ด้วยศีลท้ังหลายชนิดเป็นท่ีพอใจ ของเหล่าอริยเจ้าน้ัน  ยังจะมีการปรวนแปรไปเป็นเสีย อย่างอื่น  จนเข้าถึงนรกก็ดี  กำ�เนิดเดรัจฉานก็ดี  วิสัย แหง่ เปรตก็ดี  ดงั น้ีน้ัน  ไม่ใช่เป็นฐานะที่จะมีไดเ้ ลย. 109

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปดิ : คมู่ ือโสดาบนั ส่ิงทีผ่ ้ถู ึงพร้อมดว้ ยทิฏฐิ (พระโสดาบัน) 24ท�ำไม่ไดโ้ ดยธรรมชาติ -บาลี ฉกกฺ . อํ. ๒๒/๔๘๙/๓๖๔. ภิกษทุ งั้ หลาย !   ฐานะที่ไม่อาจเป็นไปได้ (โดยธรรมชาติ) ๖ ประการเหล่านี้ มีอย่.ู หกประการ เหลา่ ไหนเล่า ? หกประการ คือ ผู้ถึงพร้อมดว้ ยทิฏฐ ิ ไม่อาจเข้าถงึ สงั ขารไรๆ โดยความเป็นของเท่ียง ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยทฏิ ฐ ิ ไมอ่ าจเข้าถงึ สังขารไรๆ โดยความเป็นของสุข ผู้ถงึ พร้อมด้วยทฏิ ฐ ิ ไม่อาจเข้าถงึ ธรรมะไรๆ โดยความเป็นตัวตน 110

เปดิ ธรรมท่ีถูกปิด : คมู่ อื โสดาบนั ผถู้ ึงพรอ้ มด้วยทฏิ ฐิ ไม่อาจกระทำ�อนันตริยกรรม ผู้ถึงพรอ้ มด้วยทิฏฐ ิ ไม่อาจหวงั การถึงความบรสิ ุทธ์ิ โดยโกตุหลมงคล ผถู้ งึ พรอ้ มด้วยทฏิ ฐ ิ ไมอ่ าจแสวงหาทกั ขเิ ณยยบคุ คล ภายนอกจากศาสนาน้ี. ภกิ ษุท้งั หลาย !   เหล่าน้แี ล ฐานะที่ไม่อาจเปน็ ไปได้ ๖ ประการ. 111

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถูกปดิ : ค่มู อื โสดาบัน พฐารน้อะมทดเ่ี ้วปยน็ ทไิฏปฐไมิ (ไ่พดระ้ โสสด�ำาหบรันับ) ผ้ถู งึ 25 นยั ท่ีหนึง่ -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๘๙/๓๖๓. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ฐานะทไ่ี มอ่ าจเปน็ ไปได้ ๖ ประการ เหลา่ นี้ มีอยู่. หกประการ เหลา่ ไหนเล่า ? หกประการ คือ ผถู้ งึ พรอ้ มด้วยทฏิ ฐิ ไมอ่ าจอยอู่ ยา่ งไมม่ คี วามเคารพ ย�ำ เกรง ในพระศาสดา ผ้ถู ึงพรอ้ มดว้ ยทิฏฐ ิ ไมอ่ าจอยอู่ ยา่ งไมม่ คี วามเคารพ ยำ�เกรง ในพระธรรม ผถู้ งึ พร้อมด้วยทฏิ ฐ ิ ไมอ่ าจอยอู่ ยา่ งไมม่ คี วามเคารพ ยำ�เกรง ในพระสงฆ์ 112

เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : คมู่ อื โสดาบนั ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยทิฏฐ ิ ไมอ่ าจอยอู่ ยา่ งไมม่ คี วามเคารพ ย�ำ เกรง ในสกิ ขา ผถู้ ึงพรอ้ มดว้ ยทฏิ ฐ ิ ไมอ่ าจมาสูอ่ นาคมนยี วัตถุ (วตั ถทุ ไ่ี มค่ วรเข้าหา) ผู้ถงึ พร้อมดว้ ยทฏิ ฐิ ไมอ่ าจยังภพทแี่ ปดใหเ้ กิดขึ้น. ภิกษุทง้ั หลาย !   เหล่านี้แล ฐานะที่ไม่อาจเป็นไปได้ ๖ ประการ. (ค�ำวา่ “วตั ถุที่ไม่ควรเข้าหา” หมายถงึ วัตถสุ ่งิ ของ กไ็ ด้ การกระท�ำทม่ี ผี ล กไ็ ด้ ทฏิ ฐิ กไ็ ด.้   ค�ำวา่ “ภพทแ่ี ปด” หมายความวา่ ไมอ่ าจจะมแี กพ่ ระโสดาบนั พระโสดาบนั จะมภี พหรอื ชาติ ตอ่ ไปได้ อย่างมากอีกเพยี งเจด็ ชาติเท่าน้นั ). 113

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : คมู่ ือโสดาบัน ฐพารน้อะมทดเี่ ้วปยน็ ทไฏิปฐไมิ (่ไพดระ้ โสสด�ำาหบรนั ับ) ผู้ถึง 26 นยั ทสี่ อง -บาลี ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๘๙-๔๙๐/๓๖๕. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   ฐานะทไ่ี มอ่ าจเปน็ ไปได้ ๖ ประการ เหลา่ น้ี มอี ย.ู่ หกประการ เหล่าไหนเล่า ? หกประการ คือ เปน็ ไปไมไ่ ด ้ ทีผ่ ้ถู ึงพร้อมดว้ ยทิฏฐ ิ จะพงึ ปลงชวี ติ มารดา เป็นไปไมไ่ ด ้ ท่ผี ้ถู ึงพร้อมด้วยทิฏฐิ จะพงึ ปลงชวี ติ บิดา เปน็ ไปไมไ่ ด้ ทผ่ี ถู้ ึงพรอ้ มดว้ ยทิฏฐ ิ จะพึง ปลงชวี ิตพระอรหนั ต์ 114

เปิดธรรมทถี่ กู ปิด : คูม่ อื โสดาบัน เปน็ ไปไมไ่ ด ้ ที่ผู้ถงึ พรอ้ มด้วยทิฏฐิ จะพงึ คดิ ประทุษร้ายตถาคต แมเ้ พยี งท�ำ โลหติ ใหห้ ้อ เปน็ ไปไมไ่ ด้ ท่ผี ถู้ ึงพรอ้ มดว้ ยทิฏฐิ จะพงึ ท�ำ ให้สงฆ์ให้แตกกัน เป็นไปไมไ่ ด้ ท่ผี ูถ้ ึงพร้อมดว้ ยทิฏฐ ิ จะพึง ถือศาสดาอน่ื (นอกจากพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ). ภกิ ษุท้ังหลาย !   เหล่านี้แล ฐานะที่ไม่อาจเป็นไปได้ ๖ ประการ. 115

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมที่ถกู ปดิ : คู่มือโสดาบัน ฐพารนอ้ ะมทดเ่ี ้วปย็นทไฏิปฐไมิ (ไ่พดระ้ โสสด�ำาหบรันับ) ผ้ถู ึง 27 นยั ทสี่ าม -บาลี ฉกกฺ . อ.ํ ๒๒/๔๙๐/๓๖๖. ภิกษทุ ั้งหลาย !   ฐานะทไ่ี มอ่ าจเปน็ ไปได้ ๖ ประการเหลา่ น้ี มอี ย.ู่ หกประการ เหลา่ ไหนเลา่  ? หกประการ คอื ผู้ถงึ พรอ้ มด้วยทฏิ ฐิ ไม่อาจมาสทู่ ฏิ ฐ ิ ว่า “สขุ และทุกข์ ตนท�ำ เอง” ผู้ถึงพรอ้ มด้วยทิฏฐิ ไมอ่ าจมาสทู่ ิฏฐ ิ ว่า “สขุ และทกุ ข์ ผู้อืน่ ท�ำ ให”้ ผู้ถงึ พร้อมดว้ ยทิฏฐ ิ ไม่อาจมาสู่ทิฏฐิ วา่ “สขุ และทกุ ข ์ ตนทำ�เองกม็ ี ผู้อ่ืนทำ�ให้กม็ ี” 116

เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : คมู่ ือโสดาบัน ผถู้ งึ พร้อมด้วยทิฏฐิ ไม่อาจมาสทู่ ฏิ ฐิ วา่ “สุขและทุกข์ ไมต่ อ้ งท�ำ เอง เกดิ ขน้ึ ไดต้ ามล�ำ พงั ” ผถู้ ึงพร้อมด้วยทฏิ ฐิ ไม่อาจมาสูท่ ิฏฐิ ว่า “สุขและทกุ ข์ ไมต่ อ้ งใครอืน่ ทำ�ให้ เกดิ ขึน้ ได้ตามลำ�พงั ” ผูถ้ งึ พร้อมด้วยทฏิ ฐ ิ ไมอ่ าจมาสทู่ ิฏฐิ วา่ “สขุ และทกุ ข์ ไมต่ อ้ งท�ำ เองและไมต่ อ้ งใครอน่ื ท�ำ ให้ เกดิ ขึน้ ไดต้ ามล�ำ พงั ”. ข้อน้นั เพราะเหตไุ รเลา่  ? ภกิ ษทุ ั้งหลาย !   ขอ้ นัน้ เพราะเหตวุ ่า เหตุ (แหง่ สขุ และทกุ ข)์ อนั ผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ยทฏิ ฐิ เหน็ แลว้ โดยแทจ้ รงิ และธรรมทง้ั หลาย กเ็ ปน็ สง่ิ ทเ่ี กดิ มาแตเ่ หตดุ ว้ ย. ภกิ ษุทั้งหลาย !   เหล่านี้แล ฐานะท่ไี มอ่ าจเป็นไปได้ ๖ ประการ. 117



ธรรมะแวดล้อม หมวดธรรม ที่ชวยสรางความเขาใจ แตไมไดระบุถึงความเปนโสดาบันโดยตรง

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : คู่มือโสดาบนั อริยมรรคมอี งค์แปด 28 -บาลี มหา. ท.ี ๑๐/๓๔๓-๓๔๕/๒๙๙. ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   ก็ อรยิ สจั คอื หนทางเปน็ เครอ่ื ง ใหถ้ ึงซึง่ ความดบั ไมเ่ หลือแหง่ ทกุ ข์ เป็นอยา่ งไรเลา่  ? คอื หนทางอนั ประกอบดว้ ยองคแ์ ปดอนั ประเสรฐิ นน่ั เอง. องคแ์ ปด คอื ความเห็นชอบ ความดำ�รชิ อบ วาจาชอบ การงานชอบ อาชีวะชอบ ความเพยี รชอบ ความระลกึ ชอบ ความตง้ั ใจมน่ั ชอบ. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย !   ความเห็นชอบ เปน็ อยา่ งไร ? ภิกษุท้ังหลาย !   ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุ ให้เกิดทุกข์ ความร้ใู นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ความรู้ ในหนทางเป็นเครื่องให้ถึงซ่ึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อันใด.  นี้เราเรียกวา่ ความเห็นชอบ. 120

เปิดธรรมที่ถกู ปิด : คมู่ ือโสดาบนั ภกิ ษทุ ัง้ หลาย !   ความดำ�รชิ อบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุท้ังหลาย !   ความดำ�ริในการออกจากกาม ความด�ำ รใิ นการไมพ่ ยาบาท ความด�ำ รใิ นการไมเ่ บยี ดเบยี น. นเี้ ราเรยี กว่า ความดำ�ริชอบ. ภิกษุทง้ั หลาย !   วาจาชอบ เป็นอยา่ งไร ? ภิกษุท้ังหลาย !   การเวน้ จากการพดู เทจ็ การเวน้ จากการพดู ยใุ หแ้ ตกกนั การเวน้ จากการพดู หยาบ การเวน้ จากการพดู เพอ้ เจ้อ.  นี้เราเรยี กว่า วาจาชอบ. ภิกษุทั้งหลาย !   การงานชอบ เปน็ อยา่ งไร ? ภิกษุท้ังหลาย !   การเวน้ จากการฆา่ สตั ว์ การเวน้ จากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ การเว้นจากการ ประพฤตผิ ดิ ในกามทง้ั หลาย.  นเ้ี ราเรยี กวา่ การงานชอบ. ภกิ ษทุ ัง้ หลาย !   อาชีวะชอบ เปน็ อยา่ งไร ? ภิกษุทั้งหลาย !   อริยสาวกในกรณีนี้ ละการหา เล้ียงชีพที่ผิดเสีย สำ�เร็จความเป็นอยู่ด้วยการหาเลี้ยงชีพ ทถี่ กู ต้อง.  นเ้ี ราเรียกวา่ อาชวี ะชอบ. 121

พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษทุ งั้ หลาย !   ความเพยี รชอบ เปน็ อยา่ งไร ? ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุในกรณีน้ี ย่อมปลูกความ พอใจ ยอ่ มพยายาม ยอ่ มปรารภความเพยี ร ยอ่ มประคองจติ ยอ่ มตง้ั จติ ไว้ เพอ่ื ความไมบ่ งั เกดิ ขน้ึ แหง่ อกศุ ลธรรมทง้ั หลาย อันเป็นบาป  ที่ยังไม่ได้บังเกิด  ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม  ย่อมปรารภความเพียร  ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้  เพ่ือการละเสียซึ่งอกุศลธรรมท้ังหลาย อนั เปน็ บาป  ทบี่ งั เกดิ ขนึ้ แลว้   ยอ่ มปลกู ความพอใจ ยอ่ ม พยายาม  ย่อมปรารภความเพยี ร  ยอ่ มประคองจิต ยอ่ ม ตั้งจิตไว้  เพื่อการบังเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมท้ังหลาย ที่ ยังไม่ได้บังเกิด  ย่อมปลูกความพอใจ  ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร  ย่อมประคองจิต  ย่อมตั้งจิตไว้ เพ่ือความย่ังยืน  ความไม่เลอะเลือนความงอกงามย่ิงขึ้น ความไพบลู ย์  ความเจรญิ   ความเตม็ รอบแหง่ กุศลธรรม ทง้ั หลาย ทบ่ี งั เกดิ ขน้ึ แลว้ .  นเ้ี ราเรยี กวา่   ความเพยี รชอบ. 122

เปิดธรรมท่ถี ูกปิด : คูม่ อื โสดาบนั ภกิ ษทุ งั้ หลาย !   ความระลกึ ชอบ เปน็ อยา่ งไร ? ภิกษุทั้งหลาย !   ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีความรู้สึกตัวท่ัวพร้อม มีสติ นำ�ความพอใจและความ ไม่พอใจในโลกออกเสียได้  เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็น เวทนาในเวทนาทง้ั หลายอย ู่ มคี วามเพยี รเครอ่ื งเผากเิ ลส มีความรู้สึกตัวท่ัวพร้อม มีสติ นำ�ความพอใจและความ ไม่พอใจในโลกออกเสียได้ เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็น จิตในจิตอยู่ มีความเพียรเคร่อื งเผากิเลส มีความร้สู ึกตัว ท่ัวพร้อม มีสติ นำ�ความพอใจและความไม่พอใจในโลก ออกเสยี ได้ เปน็ ผมู้ ปี กตพิ จิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรมทง้ั หลาย อยู่ มีความเพียรเคร่อื งเผากิเลส มีความร้สู ึกตัวทั่วพร้อม มสี ติ น�ำ ความพอใจและความไมพ่ อใจในโลกออกเสยี ได.้ นี้เราเรยี กวา่   ความระลกึ ชอบ. 123

พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย !  ความตง้ั ใจมน่ั ชอบเปน็ อยา่ งไร ? ภิกษุทั้งหลาย !   ภกิ ษใุ นกรณนี ้ี สงดั แลว้ จากกาม ทั้งหลาย สงัดแล้วจากอกุศลธรรมท้ังหลาย เข้าถึงฌาน ท่ีหนึ่ง อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกแล้ว แลอยู่. เพราะวิตกวิจารรำ�งับลง เธอเข้าถึงฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรม อนั เอกผดุ ขน้ึ   ไมม่ วี ติ ก  ไมม่ วี จิ าร  มแี ตป่ ตี แิ ละสขุ อนั เกดิ แต่ สมาธิ แลว้ แลอย่.ู เพราะปตี จิ างหายไป เธอเปน็ ผ้เู พ่งเฉย อยู่ได้ มีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม และได้เสวยสุข ดว้ ยกาย ยอ่ มเขา้ ถงึ ฌานทส่ี าม อนั เปน็ ฌานทพ่ี ระอรยิ เจา้ ท้ังหลาย กล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า “เป็นผู้เฉยอยู่ได้ มีสติ มีความอยู่เป็นปกติสุข” แล้วแลอยู่. เพราะละสุข และทุกข์เสียได้ และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัส และโทมนสั ในกาลกอ่ น เธอยอ่ มเขา้ ถงึ ฌานทส่ี ่ี อนั ไมท่ กุ ข์ และไม่สุข มีแตส่ ตอิ นั บรสิ ทุ ธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอย.ู่ นี้เราเรยี กว่า  ความตั้งใจม่นั ชอบ. ภิกษุท้ังหลาย !   เหล่านี้แล เรียกว่า อริยสัจ คือ หนทางเป็นเคร่ืองให้ถงึ ซ่ึงความดบั ไม่เหลอื แห่งทกุ ข์. 124

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถ่ี ูกปิด : คู่มือโสดาบนั ค�ำทีใ่ ช้เรยี กแทนความเป็น 29 พระโสดาบัน -บาลี นิทาน. ส.ํ ๑๖/๙๒/๑๘๗. ...ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   อริยสาวก ย่อมมารู้ประจักษ์ ถงึ เหตเุ กดิ และความดบั แห่งโลก  ตามที่เป็นจริงอย่างนี้ ในกาลใด ในกาลนั้น เราเรียกอริยสาวกนี้ ว่า “ผสู้ มบรู ณแ์ ลว้ ด้วยทิฏฐ”ิ ดังนบ้ี ้าง “ผู้สมบูรณ์แลว้ ดว้ ยทัสสนะ” ดงั นบี้ ้าง “ผู้มาถึงพระสัทธรรมนี้แลว้ ” ดงั นี้บา้ ง “ผู้ไดเ้ ห็นอยซู่ ่ึงพระสัทธรรมนี้” ดังนบ้ี า้ ง “ผปู้ ระกอบแลว้ ด้วยญาณอนั เป็นเสขะ” ดังนบ้ี า้ ง “ผปู้ ระกอบแล้วดว้ ยวิชชาอนั เป็นเสขะ” ดงั น้ีบา้ ง “ผู้ถึงซึ่งกระแสแหง่ ธรรมแลว้ ” ดงั น้บี า้ ง “ผปู้ ระเสรฐิ มปี ญั ญาเครอ่ื งช�ำ แรกกเิ ลส” ดังนีบ้ า้ ง “ยนื อยจู่ รดประตูแห่งอมตะ” ดังนี้บ้าง ดังนี้ แล. 125

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : ค่มู อื โสดาบนั 126

พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปดิ : คมู่ อื โสดาบัน สังโยชนส์ บิ 30 -บาลี ทสก. อํ. ๒๔/๑๘-๑๙/๑๓. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย !   สังโยชน์ ๑๐ ประการเหล่านี้ มอี ยู่. สิบประการอยา่ งไรเลา่  ?  สิบประการ คอื โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ อุทธัมภาคิยสงั โยชน์ ๕ ประการ. โอรมั ภาคยิ สงั โยชน1์ ๕ ประการ เปน็ อยา่ งไรเลา่  ? ๕ ประการ คือ สกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สลี ัพพตปรามาส กามฉนั ทะ พยาบาท เหล่านี้ คือ โอรมั ภาคิยสงั โยชน์ ๕ ประการ. 1. คือ สงั โยชน์เบ้ืองตำ่� หมายถงึ เครอื่ งรอ้ ยรดั จิตอยา่ งหยาบ ๕ ประการ. 127

พุทธวจน - หมวดธรรม อทุ ธมั ภาคยิ สังโยชน์1 ๕ ประการ เปน็ อย่างไรเล่า ? ๕ ประการ คือ รปู ราคะ อรูปราคะ มานะ อทุ ธัจจะ อวชิ ชา เหล่าน้ี คอื อทุ ธัมภาคิยสงั โยชน์ ๕ ประการ. ภกิ ษทุ ้งั หลาย !   เหล่านี้แล สังโยชน์ ๑๐ ประการ. 1. ค ือ สังโยชน์เบื้องสูง หมายถึง เคร่ืองร้อยรัดจิตอย่างละเอียด ๕ ประการ ทีอ่ รยิ บุคคลระดับอรหตั ตมรรคจะต้องละวาง. 128

พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทีถ่ ูกปดิ : ค่มู อื โสดาบัน อรยิ ญายธรรม 31 คอื การรูเ้ รอื่ งปฏิจจสมปุ บาท -บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๘๓/๑๕๓. คหบดี !   ก็อริยญายธรรม เป็นสิ่งที่อริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี ด้วยปัญญา เป็นอย่างไรเล่า ? คหบดี !   อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อม พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ ดังนี้ว่า ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะสง่ิ นีม้ ี สง่ิ นีจ้ งึ มี เพราะความเกดิ ข้ึนแหง่ ส่งิ น้ี สงิ่ น้จี ึงเกดิ ขึ้น. เพราะสง่ิ น้ไี ม่มี สิ่งน้ีจงึ ไม่มี เพราะความดับไปแห่งสง่ิ น้ี สิง่ นี้จงึ ดับไป 129

พุทธวจน - หมวดธรรม ข้อน้ี ไดแ้ ก่สง่ิ เหล่าน้ี คอื เพราะมอี วิชชาเป็นปัจจยั จึงมสี ังขารทัง้ หลาย เพราะมสี ังขารเปน็ ปจั จัย จงึ มีวญิ ญาณ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจยั จงึ มนี ามรูป เพราะมนี ามรปู เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะมีสฬายตนะเปน็ ปจั จยั จึงมีผสั สะ เพราะมีผัสสะเปน็ ปจั จยั จงึ มเี วทนา เพราะมีเวทนาเปน็ ปัจจัย จงึ มีตัณหา เพราะมีตัณหาเปน็ ปจั จัย จงึ มีอปุ าทาน เพราะมอี ุปาทานปัจจัย จึงมีภพ เพราะมภี พเป็นปจั จยั จงึ มชี าติ เพราะมชี าติ เป็นปจั จัย ชรามรณะ โสกะปรเิ ทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสท้งั หลาย จงึ เกดิ ข้นึ ครบถ้วน ความเกดิ ขึน้ พร้อมแห่งกองทุกขท์ งั้ ส้นิ น้ี ยอ่ มมี ด้วยอาการอยา่ งนี้. 130

เปิดธรรมทถี่ ูกปดิ : คมู่ ือโสดาบนั เพราะความจางคลายดับไป โดยไม่เหลือแห่งอวิชชาน้ันนน่ั เทยี ว จงึ มคี วามดบั แหง่ สังขาร เพราะมคี วามดบั แหง่ สงั ขาร จงึ มคี วามดบั แหง่ วญิ ญาณ เพราะมคี วามดบั แหง่ วญิ ญาณ จงึ มคี วามดบั แห่งนามรปู เพราะมคี วามดบั แหง่ นามรปู จงึ มคี วามดบั แหง่ สฬายตนะ เพราะมคี วามดบั แหง่ สฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ เพราะมีความดบั แห่งผัสสะ จงึ มคี วามดบั แหง่ เวทนา เพราะมีความดบั แหง่ เวทนา จงึ มีความดับแหง่ ตัณหา เพราะมีความดับแหง่ ตัณหา จงึ มคี วามดบั แหง่ อปุ าทาน เพราะมคี วามดบั แหง่ อปุ าทาน จงึ มคี วามดับแห่งภพ เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแหง่ ชาติ เพราะมีความดับแห่งชาติน่ันแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทกุ ขะโทมนสั อปุ ายาสทัง้ หลาย จงึ ดบั สิ้น ความดบั ลงแห่งกองทุกข์ท้ังสนิ้ นี้ ยอ่ มมีดว้ ยอาการอย่างนี.้ คหบด ี !   อรยิ ญายธรรมนแ้ี ล เปน็ สง่ิ ทอี่ รยิ สาวก เห็นแลว้ ดว้ ยดี แทงตลอดแลว้ ด้วยดี ด้วยปญั ญา. 131

พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมที่ถูกปิด : ค่มู อื โสดาบัน ฝุ่นปลายเล็บ (พอรู้อรยิ สจั ทุกขเ์ หลือน้อย 32ขนาดฝุ่นติดปลายเล็บเทียบกับปฐพี) -บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๗๒/๑๗๔๗. ภิกษุท้ังหลาย !   เธอทง้ั หลายจะส�ำ คญั ความขอ้ นี้ ว่าอย่างไร ฝุ่นนิดหน่ึงท่ีเราช้อนขึ้นด้วยปลายเล็บนี้ กับ มหาปฐพนี ี้ ข้างไหนจะมากกวา่ กัน ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !   มหาปฐพีนั่นแหละ  เป็นดิน ทม่ี ากกวา่ .  ฝนุ่ นดิ หนงึ่ เทา่ ทที่ รงชอ้ นขน้ึ ดว้ ยปลายพระนขานี้ เปน็ ของมปี ระมาณนอ้ ย.  ฝนุ่ นนั้ เมอื่ น�ำไปเทยี บกบั มหาปฐพี ยอ่ มไม่ ถงึ ซ่งึ การค�ำนวณได้ เปรียบเทยี บได้ ไมเ่ ข้าถึงแม้ซ่ึงกะละภาค”. ภิกษุทั้งหลาย !   อุปมาน้ีฉันใด อุปไมยก็ฉันน้ัน ส�ำ หรบั อรยิ สาวกผถู้ งึ พรอ้ มดว้ ย (สมั มา)  ทฏิ ฐิ รพู้ รอ้ มเฉพาะ แล้ว ความทุกข์ของท่าน ส่วนท่ีส้ินไปแล้ว หมดไปแล้ว ย่อมมีมากกว่า ความทุกข์ท่ยี ังเหลืออยู่ มีประมาณน้อย เมื่อนำ�เข้าไปเทียบกับกองทุกข์ที่สิ้นไปแล้ว หมดไปแล้ว ในกาลก่อน ย่อมไม่ถึงซึ่งการคำ�นวณได้เปรียบเทียบได้ 132