Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสนาในประเทศไทย

Description: ศาสนาในประเทศไทย

Search

Read the Text Version

101

102

ศาสนสถาน ศาสนวตั ถุ ๒ ๑ พระพทุ ธมหามณีรตั นปฏิมากร ศาสนสถานสำ� คญั เนอ่ื งในพระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ วดั สว่ นศาสนวตั ถสุ ำ� คญั ไดแ้ ก่ พระพทุ ธ ทรงเครื่องฤดฝู น รูป ปูชนียสถานส�ำคัญท่ีเก่ียวเนื่องกับพระพุทธเจ้า ๔ แห่ง หรือเรียกว่า “สังเวชนียสถาน” ได้แก่ วดั พระศรีรตั นศาสดาราม สวนลุมพินี สถานท่ีประสูติ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (สารนาถ) สถานที่แสดง ปฐมเทศนา และกสุ นิ ารา สถานที่ดบั ขนั ธปรินิพพาน ๒ พทุ ธอทุ ยานเขากง จงั หวัดนราธวิ าส ๑ ศาสนสถาน วดั เปน็ ศาสนสถานทส่ี ำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนา เปน็ สถานทอ่ี ยอู่ าศยั หรอื ทจ่ี ำ� พรรษาของ พระภกิ ษุ และสามเณร เพอ่ื ใชป้ ระกอบกจิ กรรมประจำ� วนั ของพระภกิ ษสุ งฆ์ เชน่ การทำ� วตั รเชา้ และเยน็ และสังฆกรรมในอุโบสถ อีกทั้งยังใช้ประกอบพิธีกรรมในวันส�ำคัญทางศาสนา เช่น การเวียนเทียน การสวดมนต์ การท�ำสมาธิ เป็นต้น และยังเป็นศูนย์รวมในการมาร่วมกันท�ำกิจกรรมช่วยกันส่งเสริม พระพทุ ธศาสนา เชน่ การมาท�ำบุญในวนั พระของแต่ละท้องถน่ิ ของพทุ ธศาสนิกชน เปน็ ตน้ วดั แหง่ แรกในพระพทุ ธศาสนาคอื วดั เวฬวุ นั เมอื งราชคฤห์ ซงึ่ พระเจา้ พมิ พสิ าร แหง่ แควน้ มคธสร้างถวายพระพุทธเจ้า ส่วนวัดที่พระพุทธเจ้าประทับจ�ำพรรษานานที่สุดถึง ๑๙ พรรษา คือ วดั เชตวันมหาวิหาร ต้งั อยู่ทางทิศใต้ของกรงุ สาวตั ถี ซงึ่ อนาถบิณฑกิ เศรษฐสี ร้างถวาย วัดมีความผูกพันกับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวไทยอย่างแนบแน่นตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะวดั เป็นศนู ยก์ ลางของสงั คม เชน่ เปน็ สถานท่จี ดั งานเทศกาลและมหรสพของชาวบ้าน เป็นสถาน ที่ศกึ ษาของกุลบตุ รที่ชาวบ้านส่งมารับใช้พระ รบั การฝกึ อบรมทางศีลธรรมและวิชาการตา่ งๆ ทง้ั ยงั เป็น ศนู ย์กลางวัฒนธรรมทรี่ วบรวมศิลปกรรมของชาติ เปน็ ตน้ 103

๑ ภายในวดั ประกอบดว้ ยสถาปตั ยกรรมหลายประเภท ไดแ้ ก่ โบสถ์ หรอื อโุ บสถ วหิ าร ศาลา ๑ พระพทุ ธมหามณีรัตนปฏมิ ากร การเปรียญ สถูป เจดีย์ เป็นต้น ภายในวัดมีศาสนสถานส�ำคัญ ไดแ้ ก่ วหิ าร อโุ บสถ เจดีย์ ทรงเคร่ืองฤดูหนาว วัดพระศรีรตั นศาสดาราม นอกจากน้ี บางพระอารามยังมีต้นพระศรีมหาโพธิ ซึ่งเป็นหน่อเนื้อเช้ือไขของโพธิตรัสรู้ ท่ีอัญเชิญหน่อมาจากพระศรีมหาโพธิจากเมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา และพระศรีมหาโพธิจาก ๒ พระบรมธาตุ จังหวัดนครศรธี รรมราช พทุ ธคยา ประเทศอนิ เดีย ๒ วัดโดยส่วนใหญ่นิยมแบ่งเขตภายในวัดออกเป็น ๒ ส่วน คือ เขตพุทธาวาส และ เขตสังฆาวาส โดยส่วนพุทธาวาสจะเป็นท่ีต้ังของสถูปเจดีย์ อุโบสถ สถานที่ประกอบกิจกรรมทาง พระพุทธศาสนา ส่วนสังฆาวาส จะเป็นส่วนกุฏิสงฆ์ส�ำหรับภิกษุสามเณรจ�ำพรรษา อย่างไรก็ดี ใน ปัจจุบันแทบทุกวัดจะเพ่ิมพ้ืนท่ีเขตสาธารณะเพื่อใช้ในกิจกรรมสาธารณะต่างๆ ของชุมชน เช่น ฌาปนสถาน หรอื ที่เผาศพ ในอดตี ส่วนนีจ้ ะเปน็ ปา่ ช้า ซ่งึ อยู่ติดหรือใกล้วดั ตามธรรมเนยี มของแต่ละ ทอ้ งถิ่น 104

105

106

๑ พระพุทธไสยาสน์ ในพระวิหาร ๒ พระพทุ ธไสยาสน์ วัดพระเชตพุ น วมิ ลมงั คลาราม กรงุ เทพมหานคร พระอารามหลวง ๒ พระธาตดุ อยสเุ ทพ วดั ในประเทศไทยแบ่งไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท ได้แก่ พระอารามหลวง หรอื วัดหลวง คือ จงั หวดั เชียงใหม่ วดั ทพ่ี ระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงสรา้ ง หรอื ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ขา้ จำ� นวนในบญั ชเี ปน็ พระอารามหลวง และวดั ราษฎร์ คอื วดั ท่ปี ระชาชนศรัทธาสรา้ งข้ึน แตม่ ไิ ด้เขา้ บัญชีเป็นพระอารามหลวง ๑ พระอารามหลวงมี ๓ ช้นั ไดแ้ ก่ ชั้นเอก มี ๓ ชนดิ ไดแ้ ก่ ราชวรมหาวิหาร ราชวรวิหาร และวรมหาวหิ าร ช้ันโท มี ๔ ชนิด ไดแ้ ก่ ราชวรมหาวิหาร ราชวรวิหาร วรมหาวหิ าร และวรวหิ าร ชั้นตรี มี ๓ ชนดิ ได้แก่ ราชวรวหิ าร วรวิหาร และสามัญ (ไมม่ ีสรอ้ ยตอ่ ท้าย) 107

วดั ประจ�ำพระบรมมหาราชวังในสมยั กรุงศรอี ยุธยา คอื วัดพระศรีสรรเพชญ์ และในสมัย กรุงรัตนโกสนิ ทร์ คือ วัดพระศรรี ตั นศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว อโุ บสถ หรอื โบสถ์ เปน็ อาคารสำ� คญั ภายในวดั เนอื่ งจากเปน็ สถานทท่ี พ่ี ระภกิ ษสุ งฆใ์ ชท้ ำ� สงั ฆกรรมตามพระวนิ ยั เช่น สวดพระปาตโิ มกข์ การอปุ สมบท มสี มี าเปน็ เครอ่ื งก�ำหนดขอบเขต ซง่ึ แต่ เดมิ ในการทำ� สงั ฆกรรมของพระภกิ ษสุ งฆจ์ ะใชเ้ พยี งพน้ื ทโ่ี ลง่ ๆ ทก่ี ำ� หนดขอบเขตพน้ื ทส่ี งั ฆกรรมโดยการ ก�ำหนดต�ำแหน่ง “สีมา” เท่าน้ัน ภายในอุโบสถประดิษฐานพระประธานที่เป็นพระพุทธรูปส�ำคัญๆ ท�ำให้มีผู้มาสักการบูชาและร่วมท�ำบุญเป็นจ�ำนวนมาก อุโบสถจึงถูกสร้างข้ึนเป็นอาคารถาวรและมักมี การประดับตกแต่งอยา่ งสวยงาม วหิ าร คอื อาคารทป่ี ระดษิ ฐานพระพทุ ธรปู คกู่ บั อโุ บสถ แตไ่ มม่ วี สิ งุ คามสมี าเหมอื นอโุ บสถ คำ� ว่า วหิ าร แต่เดมิ ใชใ้ นความหมายว่า วัด เชน่ เดยี วกบั คำ� วา่ อาราม อาวาส เช่น เวฬวุ นั วิหาร เชตวัน มหาวหิ าร เปน็ ตน้ นอกจากนี้ ค�ำว่า “วิหาร” ยังก�ำหนดใช้เป็นค�ำลงท้ายสร้อยนามพระอารามหลวงต่างๆ เพ่ือแสดงใหร้ วู้ า่ วดั ท่ีมีสร้อยนามอยา่ งน้เี ปน็ พระอารามหลวงสำ� คัญ ๑ พระอโุ บสถวดั เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรงุ เทพมหานคร ๒ ปราสาทพระเทพบดิ ร วัดพระศรีรตั นศาสดาราม กรุงเทพมหานคร ๑ 108 ๒

109

110

๒ เจดยี ์ หมายถงึ สง่ิ กอ่ สรา้ งหรือส่ิงของที่สรา้ งข้ึน เพ่อื เปน็ ท่ีเคารพบูชา เจดียท์ ี่เกี่ยวข้องกบั พระพุทธเจา้ มี ๔ อย่าง คือ ธาตเุ จดีย์ ๓ บรรจุพระบรมสารรี ิกธาตุ บริโภคเจดีย์ คือ สิ่งหรือสถานทีท่ ี่พระพุทธเจ้า ๑ เคยทรงใชส้ อย ธรรมเจดีย์ ทีบ่ รรจพุ ระธรรม และอทุ เทสิกเจดีย์ ของที่ สร้างข้ึนแทนพระพุทธเจ้า เช่น บัลลังก์สร้างให้หมายแทนพระพุทธองค์ รอยพระพทุ ธบาท เปน็ ตน้ ซงึ่ ในบรรดาเจดยี น์ บั รอ้ ยนบั พนั ในประเทศไทย มีเจดียส์ ำ� คญั เพยี ง ๘ แหง่ ทไี่ ด้รบั การยกยอ่ งว่าเปน็ “จอมเจดีย์” “จอมเจดยี ”์ ในประเทศไทย จอมเจดยี น์ นั้ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รง ราชานภุ าพ ทรงเรยี กวา่ “จอมเจดยี แ์ หง่ สยาม” ซง่ึ เปน็ ภาพเขยี นอยใู่ นซมุ้ คูหาภายในพระอุโบสถวัดเบญจมพิตรดุสิตวนาราม โดยออกแบบและ เขียนโดยศิลปินของกรมศิลปากร แล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๔๘๙ สมเด็จฯ กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายถึงความส�ำคัญของจอมเจดีย์ แต่ละองค์ ดังน้ี ๑. พระปฐมเจดีย์ จังหวดั นครปฐม สรา้ งเม่อื แรกพระพุทธ ศาสนาเขา้ มาประดษิ ฐานในสยามประเทศ ๒. พระศรรี ตั นมหาธาตุ จงั หวดั ลพบรุ ี เปน็ สถปู องคแ์ รกใน การประดษิ ฐานพระพุทธศาสนาฝา่ ยมหายานในสยามประเทศ ๓. พระธาตหุ ริภญุ ชยั จังหวดั ล�ำพูน เปน็ เจดียท์ ส่ี รา้ งกอ่ น เจดีย์องคอ์ ืน่ ในแคว้นล้านนาไทย ๑ พระปฐมเจดยี ์ จังหวัดนครปฐม ๒ ปรางค์ประธานวดั พระศรรี ัตนมหาธาตุ จงั หวดั ลพบรุ ี ๓ พระธาตุหรภิ ุญชัย จังหวดั ลำ� พูน 111

๔. พระธาตุพนม จงั หวัดนครพนม เปน็ เจดียท์ ส่ี ร้างก่อนองคอ์ ืน่ ในภาคอีสาน ๕. พระบรมธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นเจดีย์ท่ีสร้างขึ้นเมื่อพระพุทธศาสนา ลงั กาวงศส์ ถาปนาในสยามประเทศ ๖. พระศรรี ตั นมหาธาตเุ ชลยี ง อำ� เภอศรสี ชั นาลยั จงั หวดั สโุ ขทยั เปน็ เจดยี อ์ งคแ์ รกในการ สถาปนาอาณาจักรสโุ ขทยั ๗. พระเจดีย์ช้างล้อม อ�ำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เป็นเจดีย์ที่พ่อขุนรามค�ำแหง มหาราชทรงสรา้ งเฉลิมพระเกยี รติ ๘. พระเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเจดีย์ท่ีสมเด็จพระนเรศวร มหาราชทรงสร้างเฉลิมพระเกียรติ เม่ือคร้ังทรงกระท�ำยุทธหัตถีมีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาแห่ง กรงุ หงสาวดี นอกจากน้ี ในประเทศไทยยังมีเจดีย์ท่ีส�ำคัญอีกเป็นจ�ำนวนมาก เช่น พระบรมธาตุไชยา จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี พระธาตุดอยสุเทพ จงั หวดั เชียงใหม่ พระธาตุดอยตุง จังหวดั เชียงราย เปน็ ตน้ ๑ ๑ พระเจดยี ์ช้างลอ้ ม อ�ำเภอศรสี ัชนาลยั จังหวดั สุโขทยั 112 ๒ พระธาตพุ นม จงั หวัดนครพนม ๒

113

๑ ๒ ศาสนวตั ถุ ๑ พระพุทธรูปทรงเครือ่ ง วัดหน้าพระเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา ศาสนวตั ถสุ �ำคัญในพระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ พระพุทธรปู เดมิ ในอนิ เดยี โบราณไม่สร้างรปู พระพทุ ธเจา้ เปน็ รปู มนษุ ย์ แตจ่ ะใชร้ ปู สงิ่ ของ หรอื รปู ภาพอน่ื ๆ เปน็ สญั ลกั ษณแ์ ทนองคพ์ ระพทุ ธเจา้ เชน่ ๒ พระพุทธสหิ ิงค์ ภายในวหิ ารลายคำ� ดอกบวั สถปู รอยพระพุทธบาท เป็นต้น ตอ่ มาในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๖ ช่างอนิ เดยี โบราณได้เร่มิ สรา้ ง วดั พระสิงห์ จังหวดั เชยี งใหม่ พระพุทธรูปข้ึนเป็นคร้ังแรก ซ่ึงคติการสร้างพระพุทธรูปได้เข้ามายังดินแดนประเทศไทยเมื่อราวพุทธ ศตวรรษท่ี ๘ - ๙ และเปน็ ท่ีนยิ มแพรห่ ลายและมีพฒั นาการรูปแบบสบื เน่ืองมาจนถึงปัจจุบัน ๓ พระพุทธชนิ สีห์ (ด้านหนา้ ) พระพุทธสวุ รรณเขต (ดา้ นหลัง) พระพทุ ธรปู สรา้ งดว้ ยวสั ดแุ ละเทคนคิ ตา่ งๆ กนั เชน่ พระพทุ ธรปู ศลิ า พระพทุ ธรปู ไมแ้ กะ วัดบวรนเิ วศวิหาร กรงุ เทพมหานคร พระพทุ ธรปู ทไ่ี ดร้ บั การยกยอ่ งวา่ งดงามทส่ี ดุ เหน็ จะไดแ้ ก่ พระพทุ ธชนิ ราชทป่ี ระดษิ ฐานอยใู่ นพระวหิ าร หลวงวดั พระศรรี ตั นมหาธาตุจงั หวดั พษิ ณโุ ลกดงั ใน “พระราชปรารภเรอื่ งพระพทุ ธชนิ ราช”ของพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “...จะหาพระพุทธรูปองค์ใดให้งามเสมอพระพุทธชินราชนั้นไม่มี แล้ว...” แตอ่ ย่างไรก็ดี สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศผ์ ู้ได้รบั การยกย่องว่า “สมเด็จครู นายชา่ งใหญแ่ หง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร”์ ทรงเหน็ วา่ พระพทุ ธชนิ สหี ์ซงึ่ ประดษิ ฐานอยดู่ า้ นหนา้ พระพทุ ธสวุ รรณเขต ภายในพระอุโบสถวดั บวรนิเวศวหิ ารนัน้ เป็นฝมี อื ชา่ งเดยี วกบั พระพุทธชินราช และหล่อข้ึนทหี ลัง ชา่ ง จึงไดเ้ หน็ ท่ีเสยี พระพทุ ธชนิ ราชตรงไหน ไดแ้ กใ้ หพ้ ระชนิ สหี ท์ ่ตี รงนนั้ ดีขน้ึ ทุกแหง่ 114 ๓

115

ศาสนวัตถุท่ีพบเป็นจ�ำนวนมากในประเทศไทยอีกอย่าง หนึง่ คอื รอยพระพทุ ธบาท ดังพบคตกิ ารบชู ารอยพระพุทธบาทมาตงั้ แต่ สมัยทวารวดี สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สืบเนื่องมาในสมัยรัตนโกสินทร์ จนถงึ ปจั จบุ นั ซง่ึ สว่ นใหญเ่ ปน็ รอยพระพทุ ธบาททพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชนจำ� ลอง แบบมาจากรอยพระพุทธบาทอนั แท้จริง ที่พระพทุ ธเจ้าทรงประทับรอย พระบาท ณ สถานที่ต่างๆ สร้างด้วยวัสดุต่างๆ เช่น หิน ไม้ ทองแดง เปน็ ตน้ รอยพระพทุ ธบาทจำ� ลองนเ้ี ปน็ ปชู นยี วตั ถปุ ระเภท “บรโิ ภคเจดยี ์ โดยสมมตุ ิ” แตก่ ม็ พี ระพุทธบาทบางแห่งท่ีเช่อื วา่ เปน็ รอยพระพุทธบาท ท่ีพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาและได้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ จึงเป็น พทุ ธเจดยี ป์ ระเภท “บริโภคเจดยี ์” ได้แก่ พระพุทธบาท จงั หวัดสระบุรี และพระพทุ ธบาทคู่ จงั หวดั ปราจีนบรุ ี นอกจากนี้ ศาสนวัตถุส�ำคัญยังมีอีกหลายประเภท เช่น พระบรมสารีรกิ ธาตุ พระพมิ พ์ เปน็ ตน้ ๑ ๒ ๓ ๑ รอยพระพุทธบาทในมณฑปพระพุทธบาท จงั หวัดสระบุรี ๒ มณฑปพระพทุ ธบาท จังหวดั สระบรุ ี ๓ วัดพระธาตผุ าซอ่ นแก้ว จงั หวดั เพชรบูรณ์ 116

117

118

ศาสนพิธี วันส�ำคญั ทางศาสนา ศาสนพธิ ใี นพระพทุ ธศาสนา คอื แบบอยา่ ง หรอื แบบแผนตา่ งๆ ทพ่ี ทุ ธศาสนกิ ชนพงึ ปฏบิ ตั ิ ซึ่งเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมเก่ียวเนื่องกับชีวิตต้ังแต่เกิดจนตาย ส่วนวันสำ� คัญทางพระพุทธศาสนาเป็นวัน ที่พุทธศาสนิกชนไปวัดเพื่อท�ำบุญและปฏิบัติศาสนกิจ ได้แก่ วันธรรมสวนะ (วันอุโบสถหรือวันพระ) วนั วิสาขบูชา วันมาฆบชู า วนั อาสาฬหบชู า วันเขา้ พรรษา วนั ออกพรรษา จติ รกรรมฝาผนงั เลา่ เรอื่ งพทุ ธประวตั ิ วันธรรมสวนะ ตอนพระพทุ ธเจ้าแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ พระอุโบสถ วัดราชสทิ ธาราม กรุงเทพมหานคร วนั ธรรมสวนะ วนั อโุ บสถ หรอื วนั พระ เปน็ วนั ประชมุ ของพทุ ธศาสนกิ ชนเพอื่ จดั กจิ กรรม ทางพระพุทธศาสนาประจ�ำสัปดาห์ ค�ำว่า “ธรรมสวนะ” หมายถึง การฟังธรรม วันธรรมสวนะ หรือ วันพระ จึงหมายถงึ วันทีพ่ ุทธศาสนิกชนไปถอื ศลี ฟังธรรมทวี่ ดั และเป็นวันทพ่ี ระภกิ ษุลงอุโบสถ ซ่ึงใน ๑ เดอื น กำ� หนดไว้ ๔ วัน วนั ขนึ้ ๘ ค�ำ่ วันขนึ้ ๑๕ ค�ำ่ วนั แรม ๘ คำ�่ และวันแรม ๑๕ คำ่� แต่ถ้าหากเดอื น ใดเปน็ เดือนขาดถือเอาวันแรม ๑๔ ค�ำ่ พทุ ธศาสนกิ ชนในอดตี และชาวชนบทในปจั จบุ นั ถอื วา่ วนั พระเปน็ วนั สำ� คญั ทจี่ ะถอื โอกาส ไปวดั เพ่อื ท�ำบุญถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ฟังพระธรรมเทศนา สวดมนต์ และเจรญิ จติ ภาวนา ในส่วน พทุ ธศาสนกิ ชนผูเ้ คร่งครดั อาจถือศลี ๘ หรอื อโุ บสถศลี ในวนั พระ นอกจากน้ี ชาวพุทธยังถือว่า วนั พระ ไม่ควรทำ� บาปใดๆ เพราะเชื่อวา่ การท�ำบาปในวันพระเป็นบาปมากกวา่ วนั อื่น 119

วันวสิ าขบชู า วันวิสาขบูชา หรือ “วิสาขปุรณมีบูชา” แปลว่า “การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ” ซ่ึงตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค�่ำ เดือน ๖ ถ้าปีใดเป็นปีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน ก็เลื่อนไปท�ำ พิธีในวันขึ้น ๑๕ ค่�ำ เดือน ๗ เป็นวันคล้ายวันท่ีเกิดเหตุการณ์ส�ำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ๓ เหตุการณ์ด้วยกัน คือ การประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ทั้ง ๓ เหตุการณ์ เกิดข้ึน ณ วันข้ึน ๑๕ ค�่ำ เดือน ๖ หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (ต่างปีกัน) ชาวพุทธทั่วโลกจึง ถือว่า เป็นวันท่ีรวมเหตุการณ์อัศจรรย์ย่ิง วันวิสาขบูชาจึงเป็นวันส�ำคัญสากลทางพระพุทธศาสนา ทุกนิกายท่ัวโลก ทั้งเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศ และต่อมาเม่ือ พ.ศ. ๒๕๔๒ ท่ีประชุมใหญ่ สมชั ชาสหประชาชาติไดก้ �ำหนดให้วันวสิ าขาบชู าเป็นวันส�ำคญั สากลของโลก ในประเทศไทยปรากฏหลกั ฐานวา่ มกี ารจดั พธิ วี สิ าขบชู ามาตงั้ แตส่ มยั สโุ ขทยั และตอ่ มา พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั รชั กาลที่ ๒ แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทรโ์ ปรดใหร้ อื้ ฟน้ื พทุ ธศาสนกิ ชน ทัง้ พระบรมวงศานวุ งศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมกี ารประกอบพิธีตา่ งๆ เชน่ การตกั บาตร การฟงั พระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นตน้ เพ่ือเป็นการบูชารำ� ลกึ ถึงพระรตั นตรยั และเหตกุ ารณ์สำ� คญั ๓ เหตกุ ารณ์ดงั กลา่ ว ที่ถอื ไดว้ า่ เปน็ วนั คลา้ ยวันท่ี “ประสตู ิ” ของเจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ผู้ซ่งึ ตอ่ มาได้ “ตรสั ร้”ู เปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผทู้ รงกอปรไปดว้ ย “พระบริสุทธคิ ณุ ” “พระปัญญาคุณ” ผซู้ ึง่ ได้ทรงสง่ั สอน ประกาศพระสจั ธรรม คอื ความจริงของโลกแก่ชนทัง้ ปวงโดย “พระมหากรณุ าคณุ ” จวบจน “เสดจ็ ดับ ขนั ธปรนิ พิ พาน” ในวาระสดุ ทา้ ย ทงั้ สามเหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขน้ึ สบื เนอื่ งในวนั เพญ็ เดอื น ๖ นี้ ทำ� ใหพ้ ระพทุ ธ ศาสนาได้บงั เกดิ และสบื ตอ่ มาอยา่ งมน่ั คงจนถึงปัจจบุ ัน 120

วันมาฆบูชา วันมาฆบูชา หรือ “มาฆปูรณมีบูชา” หมายถึง “การบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ” ซ่ึงตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค�่ำ เดือน ๓ ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปท�ำในวันเพ็ญเดือน ๓ หลัง (วันเพ็ญ เดอื น ๔) เหตกุ ารณส์ ำ� คญั ทเ่ี กดิ ขนึ้ ในวนั มาฆบชู าคอื ในพรรษา แรก เมอื่ พระพทุ ธเจา้ ตรสั รู้ เมอื่ ๒,๕๐๐ กวา่ ปกี อ่ น ณ วดั เวฬวุ นั มหาวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ เมืองหลวงของแคว้นมคธ พ ร ะ พุ ท ธ เ จ ้ า ท ร ง แ ส ด ง โ อ ว า ท ป า ติ โ ม ก ข ์ ท ่ า ม ก ล า ง ที่ ประชุมมหาสังฆสันนิบาตคร้ังใหญ่ โดยมีเหตุการณ์เกิดข้ึน พรอ้ มกนั ๔ ประการ คอื พระสงฆส์ าวก ๑,๒๕๐ รปู ไดม้ าประชมุ พร้อมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย พระสงฆ์ที่มาประชุม ทั้งหมดเปน็ “เอหิภกิ ขอุ ปุ สัมปทา” หรือผ้ไู ดร้ ับการอปุ สมบท จากพระพุทธเจ้าโดยตรง พระสงฆ์ที่มาประชุมล้วนเป็น พระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ๖ และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญ มาฆปุรณมดี ถิ ี ขน้ึ ๑๕ ค่ำ� เดือน ๓ และพระพทุ ธเจา้ ประทาน โอวาทปาติโมกข์ ซ่ึงกล่าวถึงหลักค�ำสอนอันเป็นหัวใจของ พระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ การไม่ทำ� ความชว่ั ทง้ั ปวง การบ�ำเพ็ญ ความดีให้ถึงพร้อม และการท�ำจิตของตนให้ผ่องใส เพ่ือเป็น หลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนท้ังมวล ดังนั้นจึงเรียกวันน้ีอีก อยา่ งหนงึ่ วา่ “วันจาตุรงคสนั นบิ าต” หรอื วนั ท่ีมีการประชมุ พรอ้ มดว้ ยองค์ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว (รชั กาล ที่ ๔) ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์คร้ังพุทธกาลในวันเพ็ญ เดือน ๓ ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ส�ำคัญย่ิง ควรประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นท่ีต้ังแห่งความ ศรทั ธาเลอื่ มใส จงึ โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั การพระราชกศุ ลมาฆบชู า ขึน้ ตอ่ มาพธิ ีมาฆบชู าได้ขยายออกไปทวั่ ราชอาณาจักร วันมาฆบูชา พทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยนิยมท�ำบญุ ตักบาตรในตอนเช้า และตลอดวันจะมีการบ�ำเพ็ญบุญกุศล ความดอี ่ืนๆ เชน่ ไปวดั รับศลี งดเวน้ การท�ำบาปท้งั ปวง ถวาย สังฆทาน ให้อิสระทาน (ปล่อยนกปล่อยปลา) ฟังพระธรรม เทศนา และไปเวยี นเทยี นรอบอุโบสถในเวลาเย็น 121

122

พระศรศี ากยะทศพลญาณ วนั อาสาฬหบชู า ประธานพทุ ธมณฑลสุทรรศน์ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม วนั อาสาฬหบชู า หรอื “อาสาฬหปรู ณมบี ชู า” แปลวา่ “การบชู าในวนั เพญ็ เดอื นอาสาฬหะ” ตรงกับวันเพญ็ เดือน ๘ แตถ่ ้าในปใี ดมเี ดอื น ๘ สองหน ก็ให้เลื่อนไปทำ� ในวันเพ็ญ เดอื น ๘ หลงั แทน ในวันน้ี เมื่อ ๔๕ ปี ก่อนพุทธศักราช หลังจากวันตรัสรู้ ๒ เดือน ได้เกิดเหตุการณ์ส�ำคัญข้ึน ณ ป่า อิสปิ ตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ คอื พระพุทธเจา้ ทรงแสดงปฐมธรรมเทศนา “พระธัมม จักกัปปวัตตนสูตร” โปรดปัญจวัคคีย์ ซึ่งมีใจความส�ำคัญคือ ให้ละเว้นทางสุดโต่งท้ังสอง แล้วปฏิบัติ ตามทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) หรืออริยมรรคมีองค์ ๘ และพราหมณ์โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็น ธรรมส�ำเร็จพระโสดาบันแล้วทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา วันนี้จึงเป็นวันที่มีพระรัตนตรัยครบองค์ สามบรบิ ูรณเ์ ป็นครงั้ แรกในโลก คือ มีท้งั พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ วนั นี้มชี อ่ื เรยี กอีกอย่างหนึง่ ว่า “วนั พระสงฆ์” คอื วันท่ีมพี ระสงฆ์เกดิ ขึ้นเปน็ ครัง้ แรกอกี ด้วย เมอื่ พ.ศ. ๒๕๐๑ คณะสงั ฆมนตรไี ดม้ มี ตใิ หเ้ พม่ิ วนั อาสาฬหบชู าเปน็ วนั สำ� คญั ทางพระพทุ ธ ศาสนาในประเทศไทยขึน้ เป็นคร้ังแรก ตามคำ� แนะน�ำของพระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนจุ าร)ี โดยมพี ธิ ี ปฏบิ ตั เิ ทียบเท่ากบั วันวิสาขบชู า นอกจากการเวียนเทยี น ท�ำบญุ ตักบาตร ในวนั อาสาฬหบูชาแลว้ ใน ปัจจุบัน ยังมีหน่วยงานภาครัฐ องค์กรทางศาสนา และภาคประชาชน ร่วมกันจัดกิจกรรมต่างๆ ข้ึน มากมาย เพ่อื เป็นการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาและประชาสมั พนั ธ์กจิ กรรมทางพระพทุ ธศาสนาตา่ งๆ ให้ แกป่ ระชาชน เช่น กิจกรรมสัปดาห์เผยแผ่พระพทุ ธศาสนาวนั อาสาฬหบูชา เป็นต้น 123

๑ วนั เข้าพรรษา ๑ ตกั บาตรดอกไมใ้ นวันเข้าพรรษา วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วันเขา้ พรรษาตรงกบั วันแรม ๑ ค่�ำ เดือน ๘ และสิ้นสดุ ออกพรรษาใน กรงุ เทพมหานคร วันข้นึ ๑๕ ค�่ำ เดือน ๑๑ เป็นเวลา ๓ เดอื น เรียกกนั ท่ัวไปว่า “เทศกาลเขา้ พรรษา” พระสงฆจ์ ะทำ� พธิ ีอธษิ ฐานอยู่ในวดั ตลอด ๓ เดอื น ในฤดูฝน จะไปค้างแรมคืนที่อ่นื ๒ แห่นาคบนหลงั ชา้ ง ของชาวไทยพวน ไมไ่ ด้ นอกจากมเี หตจุ �ำเป็นเทา่ น้นั อ�ำเภอศรสี ัชนาลยั จงั หวดั สุโขทัย ในเทศกาลเข้าพรรษาน้ี พุทธศาสนิกชนโดยท่ัวไปถือโอกาสบ�ำเพ็ญ ๒ กศุ ลเปน็ พเิ ศษ มกี ารจดั ถวายผา้ อาบนำ�้ ฝน และจตปุ จั จยั แกภ่ กิ ษสุ ามเณรไดใ้ ชส้ อย ระหวา่ งเขา้ พรรษา ตลอด ๓ เดอื น บางคนรกั ษาอโุ บสถศลี บางคนละเว้นในสงิ่ ที่ ควรเวน้ เช่น งดดมื่ สรุ า เปน็ ตน้ 124

125

เทศกาลสำ� คัญทเ่ี กย่ี วเน่ืองกบั พระพุทธศาสนา ๑ ๒ เทศกาลส�ำคัญที่เกี่ยวเน่ืองกับพระพุทธศาสนา ได้แก่ การทอดกฐนิ การทอดผา้ ป่า การทอดกฐินคือ การท�ำบุญถวายผ้ากฐินที่เรียกว่า กฐิน ทาน มีการปฏิบตั มิ าต้งั แต่ครงั้ พทุ ธกาล ซึง่ พระพุทธเจา้ มพี ทุ ธานญุ าตให้ พระภิกษุผู้อยู่จ�ำพรรษาครบสามเดือนแล้วรับผ้าที่พุทธศาสนิกชนน�ำมา ถวายหลังจากออกพรรษาซึ่งเป็นฤดูจีวรกาล คือช่วงระยะเวลาการท�ำ จวี รของพระภกิ ษุ เพอ่ื เปลย่ี นผา้ นงุ่ หม่ ใหมแ่ ทนผา้ เกา่ มากหรอื ขาดชำ� รดุ มีก�ำหนดระยะเวลาเพยี ง ๑ เดือน คือ ระหว่างวนั แรม ๑ ค่ำ� เดอื น ๑๑ ถงึ ขึ้น ๑๕ ค่�ำ เดือน ๑๒ วัดหน่ึงรบั กฐินได้เพียงปลี ะ ๑ ครั้งเทา่ นน้ั การ ท�ำบุญกฐินนีถ้ อื ว่าได้อานิสงส์มากเพราะทำ� ในระยะเวลาจำ� กดั และเปน็ งานบุญใหญ่ มีทั้งกฐินราษฎร์ และกฐินหลวง ส่วนการทอดผ้าป่าไม่ได้ ก�ำหนดชว่ งระยะเวลาไว้ 126

๓ ๑-๒ ประเพณีรับบวั หรอื โยนบัว นอกจากน้ี ยังมเี ทศกาลที่ไม่เกย่ี วขอ้ งกบั พระพุทธศาสนาโดยตรง แตพ่ ทุ ธศาสนกิ ชนนยิ ม อำ� เภอบางพลี จงั หวัดสมุทรปราการ บำ� เพ็ญกศุ ลตามแบบพระพุทธศาสนา เช่น เทศกาลตรษุ วนั สงกรานต์ วนั สารท ๓ การแต่งกายของผู้บรรพชาเป็นสามเณรของ อย่างไรก็ตาม ในพระพุทธศาสนามหายานทง้ั จีนนกิ ายและอนัมนิกาย ศาสนพิธีเชน่ เดยี ว ชาวไทยใหญ่หรือทเี่ รียกว่าบวชลกู แก้วหรอื กบั พระพุทธศาสนาเถรวาท เช่น พธิ บี รรพชา - อุปสมบท พิธเี ขา้ พรรษา พธิ ที อดกฐนิ แตม่ ีรายละเอยี ด ปอยสา่ งลอง จังหวัดแมฮ่ อ่ งสอน ทแี่ ตกตา่ งกนั ออกไป สว่ นพธิ ที แี่ ตกตา่ งไปจากพระพทุ ธศาสนาเถรวาทและเปน็ เอกลกั ษณข์ องพระพทุ ธ ศาสนาจนี นิกายและอนมั นิกาย ไดแ้ ก่ พธิ ีกนิ เจ และพธิ ีกงเตก็ 127

128

ศาสนาอิสลาม หลังจากท่านนบีมุฮัมมัด สิ้นชีวิต เกิดความขัดแย้งในเรื่องการเป็นคอลีฟะห์ (ผู้ปกครองอาณาจกั รอิสลามต่อจากทา่ นนบมี ฮุ มั มัด หรอื กาหลบิ ) จึงท�ำให้ศาสนาอสิ ลามแยกออกเป็น นิกายต่างๆ ที่สำ� คัญ ไดแ้ ก่ นิกายซุนนี หรือซุนนะห์ นิกายน้ีเคร่งครัดปฏิบัติตามพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและ อลั ฮะดษี และถอื วา่ คอลฟี ะห์ มีเพยี ง ๔ คน คือ อบบู กั ร์ โอมาร อสุ มาน และอาลี มุสลมิ ส่วนใหญ่ในโลก รวมท้ังประเทศอนิ โดนีเซีย มาเลเซียและไทยนับถือนกิ ายนี้ นกิ ายชอี ะห์ ชอี ะห์ แปลวา่ พรรคพวก หมายถงึ พรรคพวกทา่ นอาลี นกิ ายนถี้ อื วา่ ทา่ นอาลี บุตรเขยของทา่ นนบมี ุฮมั มดั คนเดยี วเทา่ นนั้ เป็นผูท้ ่ีถกู ตอ้ ง ผูถ้ อื นกิ ายน้ีส่วนใหญ่อยูใ่ นประเทศอิหรา่ น อิรกั เยเมน อนิ เดียและประเทศในทวปี แอฟริกาด้านตะวนั ออก มุสลิมในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นนิกายซุนนี นิกายชีอะห์ก็มีบ้าง แต่เดิมมุสลิมนิกาย ซอี ะหเ์ ป็นผูท้ ม่ี ีบทบาทส�ำคญั ในสังคมไทย โดยเฉพาะในสมัยอยธุ ยาได้สืบสาแหรกต่อเนอื่ งกนั มา ไดแ้ ก่ สกลุ บนุ นาค ศรเี พญ็ อหะหมดั จฬุ า จฬุ ารตั น์ และสายสกลุ อน่ื ๆ ตำ� แหนง่ จฬุ าราชมนตรใี นสายเจา้ พระยา รตั นราชเศรษฐี (เฉกอะหมัด) ซงึ่ เป็นมสุ ลิมนกิ ายซีอะห์มาสิน้ สดุ ทจี่ ฬุ าราชมนตรีสอน อหะหมดั จฬุ า ใน สมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กอ่ นเปลยี่ นมาเปน็ มสุ ลมิ นกิ ายซนุ นี (จฬุ าราชมนตรี แชม่ พรหมยงค์) สมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานนั ทมหิดล พระอัฐมรามาธบิ ดนิ ทร ๑ มสั ยิดกลาง จงั หวัดสงขลา ๒ ๒ ภายในมัสยิดกลาง จงั หวดั สงขลา ๑ 129

130

ศาสดา ศาสนบุคคล ศาสดาของศาสนาอิสลามคือ ท่านนบีมุฮัมมัด เกิดที่นครมักกะห์ เมอ่ื วนั จนั ทรท์ ่ี ๑๒ เดอื นเราะบอิ ลุ เอาวลั ซึง่ ตรงกบั วนั ท่ี ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๑๑๑๔ ท่านนบีได้โองการจากอัลลอฮ์ โดยผ่านส่ือเทวทูตญิบรออีล และได้รับบัญชา ให้น�ำหลักการศาสนาออกเผยแผ่แก่มวลมนุษย์ หลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นนบี ๖ เดือน ท่านนบีท�ำหน้าที่ประกาศสอนศาสนาเร่ิมจากครอบครัวและขยายวง กว้างออกไปยังเพ่ือนฝูงและญาติมิตร ท่านต้องเผชิญอุปสรรคนานาจากการต่อ ต้านของพวกกุเรซ ใช้เวลาประกาศศาสนาอยู่ท่ีมักกะห์ ๑๓ ปี จนในที่สุดต้อง อพยพไปเมืองมะดีนะฮ์ การอพยพจากมักกะห์ไปยังเมืองมะดีนะฮ์ของท่านนบี มุฮมั มดั ถอื เปน็ จดุ เร่มิ ต้นของศักราชอิสลาม เรียกวา่ ฮจิ ญ์เราะหศ์ กั ราช ทา่ นนบี ประกาศศาสนาที่เมืองนี้ระยะหนงึ่ จึงเดนิ ทางกลับมกั กะห์ ส้นิ ชวี ติ เม่ืออายุ ๖๓ ปี ณ เมืองมะดีนะฮ์ รวมเวลาท่เี ป็นศาสนทูต ๒๓ ปี ทา่ นนบีมฮุ มั มัด ถอื เป็นศาสดา คนสดุ ทา้ ยของศาสนาอิสลาม ๒ ศาสนาอสิ ลามไมม่ นี กั บวชเพอื่ ทำ� หนา้ ทปี่ ระกอบพธิ กี รรมและเผยแผ่ ศาสนาโดยเฉพาะ ถอื วา่ มุสลิมทุกคนมีหน้าที่ในการสืบทอดศาสนา ด้วยการปฏิบัติ ตนตามหลักการศาสนา ศึกษาและเรียนรู้หลักค�ำสอนของศาสนาให้รู้แจ้งเห็นจริง และท�ำหนา้ ที่เผยแผ่ตามก�ำลังความรูข้ องตน อย่างไรก็ตาม ในการบริหารกิจการต่างๆ เก่ียวกับศาสนาใน ประเทศไทย มคี ณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เป็นผ้กู �ำกบั ดแู ล โดยมี จฬุ าราชมนตรี เปน็ ประธานกรรมการ ถอื เปน็ ผนู้ ำ� สงู สดุ ดา้ นการบรหิ ารกจิ การมสุ ลมิ ในประเทศไทย๑ นอกจากนย้ี งั มกี รรมการอสิ ลามประจำ� จงั หวดั กรรมการมสั ยดิ ซง่ึ ดแู ลกจิ การตา่ งๆ ในมสั ยดิ มอี หิ มา่ มเปน็ ผนู้ ำ� ประจำ� มสั ยดิ คอเตบ็ เปน็ ผแู้ สดงธรรม ประจ�ำมสั ยิด และบหิ ลัน่ เปน็ ผปู้ ระกาศเชญิ ชวนให้มสุ ลมิ ปฏิบตั ศิ าสนกิจตามเวลา ๓ ๑จฬุ าราชมนตรปี จั จบุ นั (๒๕๕๘) คอื นายอาศสิ พทิ กั ษค์ มุ พล ไดร้ บั พระบรมราชโองการแตง่ ตง้ั เมอ่ื วันท่ี ๖ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑ มัสยดิ กลาง จังหวดั ปตั ตานี ๒ นายอาศิส พิทักษ์คมุ พล จฬุ าราชมนตรปี ัจจุบัน 131 ๓ คอเต็บ แสดงธรรมเทศนาในการละหมาด ๑

๑ 132

๒ ๑ พระมหาคมั ภีรอ์ ลั กุรอาน ศาสนธรรม หลกั ค�ำสอน หลักปฏิบัติ ภาษาอาหรบั คัมภีร์สูงสุดของศาสนาอิสลามคือ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน เป็นพระด�ำรัสของอัลลอฮ์ ๒ ซูเราะห์ “ฟาติฮะห์” บทเริม่ ตน้ ของ ท่ีประทานผ่านญิบรออีล ให้แก่ท่านศาสดามุฮัมมัด เพ่ือถ่ายทอดมายังมนุษย์ พระมหาคัมภีร์ พระมหาคมั ภีร์อลั กุรอาน อัลกุรอาน เป็นภาษาอาหรับ แบ่งเป็น ๓๐ ภาค (เรียกว่า ญุซอ์) ซ่ึงมีบทต่างๆ (เรียกว่า ซูเราะห์) จ�ำนวน ๑๑๔ บท แต่ละบทมีชอื่ เรยี กตามเน้อื หาและประกอบด้วยวรรค (ทเ่ี รยี กว่า อายะฮ)์ จำ� นวน ๖,๒๓๖ วรรค มสุ ลมิ ถือว่าทุกคำ� ทุกตัวอกั ษรของคมั ภรี ม์ าจากอัลลอฮ์ และเป็นความจริงที่บรสิ ทุ ธ์ิและ เป็นธรรมนูญส�ำหรับชวี ติ นอกจากพระมหาคมั ภรี อ์ ลั กรุ อานแลว้ ยงั ถอื วา่ อลั ฮะดษี ซง่ึ เปน็ โอวาทและ จรยิ วตั รของทา่ นศาสดามฮุ มั มดั เป็นแบบแผนในการประพฤตปิ ฏิบตั ิตนอนั ดงี ามอีกดว้ ย หลักค�ำสอนท่ีส�ำคัญของศาสนาอิสลามปรากฏในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและอัลฮะดีษ กลา่ วถงึ หลักศรัทธา ๖ ประการ หลกั ปฏบิ ตั ิ ๕ ประการ ซึ่งชาวมุสลมิ ยดึ ถอื ปฏิบัติ 133

หลกั ศรทั ธา ๖ ประการ ๑. ศรทั ธาในอัลลอฮ์ มุสลิมศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว คือ อัลลอฮ์ และยึดมั่นว่าพระองค์ทรงบันดาล ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง ไมม่ สี งิ่ ใดเกดิ ขน้ึ เองโดยลำ� พงั พระองคท์ รงไวซ้ ง่ึ อำ� นาจสงู สดุ ทรงเอกสทิ ธใ์ิ นการปกครอง และการบริหาร ทรงเป็นที่พึ่งของทุกสรรพส่ิง ทรงก�ำหนดการด�ำเนินชีวิตของมนุษย์และสัตว์ รวมท้ัง สรรพส่งิ ทัง้ มวล ทง้ั เชื่อว่า เมอ่ื มนุษย์มคี วามศรัทธาต่อพระเจ้าอยา่ งจริงใจ ค�ำวงิ วอนของมนุษย์ย่อมได้ รับการตอบสนองจากพระเจา้ มสุ ลิมแตล่ ะคนสามารถติดต่อกบั พระเจา้ ได้โดยตรง เช่น โดยการขอพร (ดอุ าอ)์ และโดย การกระทำ� นมสั การ (ละหมาด) เป็นต้น ๒. ศรัทธาในมะลาอกิ ะฮ์ อัลลอฮ์ ทรงสร้างมะลาอิกะฮ์ (เทวทูต หรือ ทูตสวรรค์) ข้ึน ท�ำหน้าที่ตามพระบัญชา ของพระองค์ มะลาอิกะฮ์ เป็นเทพไร้ตัวตน ไม่มีเพศ ไม่กินไม่นอน ไม่มีคู่ครอง ไม่มีบุตร สามารถ จ�ำแลงร่างได้ทุกอย่าง มีความบริสุทธ์ิจากความผิดบาปท้ังปวง ไม่มีตัณหา พระองค์อัลลอฮ์ ทรงสร้าง มะลาอิกะฮ์ จำ� นวนมากเพอื่ รับใชต้ ามหน้าที่แตกต่างกันไป และมีชื่อเรยี กต่างๆ กัน ๓. ศรัทธาในคัมภรี ์ พระเจ้าได้ประทานคัมภีร์อันเป็นบัญญัติของพระองค์ผ่านศาสนทูตมาแล้วรวมทั้งส้ิน ๑๐๔ เลม่ แต่ทสี่ ำ� คญั มี ๔ เลม่ ได้แก่ เตารอฮ์ ซะบรู อินญลี และอัลกุรอาน ซงึ่ เป็นคัมภรี ฉ์ บับสดุ ท้ายที่ พระเจ้าประทานให้แก่ท่านนบีมุฮัมมัด โดยผ่านศาสนทูต ญิบรออีล และเป็นคัมภีร์ท่ียังมีเนื้อหาสาระ คงเดิมทกุ ประการ ไม่มีการแก้ไขเปลย่ี นแปลง 134

๔. ศรทั ธาตอ่ ศาสนทูต ศาสนทตู หรอื รอซลู้ ศาสนทตู เปน็ ผทู้ แี่ จง้ ใหม้ นษุ ยร์ บั รผู้ ลอนั เปน็ รางวลั ของการทำ� ดี และ โทษอนั ไดร้ บั จากการทำ� ชวั่ โดยอาศยั คำ� สง่ั สอนและบญั ญตั ติ า่ งๆ ของพระเจา้ ในคมั ภรี เ์ ปน็ แนวทาง ศาสนทตู จึงเป็นคนธรรมดาท่พี ระเจา้ ทรงเลือก เพ่ือใหเ้ ปน็ ตวั อยา่ งในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตนตาม แต่ศาสนทตู ต้องมีคุณสมบตั ิพิเศษกว่าบคุ คลอน่ื ๔ ประการ คือ ๑) ความซ่ือสตั ยส์ จุ ริต เป็นทวี่ างใจของบคุ คลท่วั ไป ไม่คดโกง ไม่ตระบัดสัตย์ ๒) มีสัจจะ พูดจริงท�ำจริง ไม่โกหก ไม่หลอกลวงใคร ๓) มีสติปัญญาเป็น อจั ฉรยิ ะ ๔) ทำ� หนา้ ทเี่ ผยแผบ่ ญั ญตั จิ ากพระเจา้ แกค่ นทวั่ ไปโดยไมป่ ดิ บงั ดว้ ยความตง้ั ใจสงู มมี านะอดทน เพียรพยายาม ไม่ย่อท้อต่อการขัดขวางของผู้ใดท้ังสิ้น ศาสนทูตท่ีปรากฏในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน มีจำ� นวน ๒๕ ท่าน โดยมีอาดมั เปน็ ศาสนทูตคนแรก และทา่ นนบมี ฮุ มั มดั เป็นคนสดุ ทา้ ย ๕. ศรทั ธาในวนั สนิ้ โลก มสุ ลมิ ตอ้ งศรทั ธาวา่ โลกนพี้ ระเจา้ สรา้ งขนึ้ ชว่ั คราว และตอ้ งดบั สลาย ไมว่ นั ใดวนั หนง่ึ และ พระเจ้าจะพิพากษาความดี ความชว่ั ของมนษุ ย์ ทกุ คนควรเตรยี มพรอ้ มทจี่ ะทำ� ความดี หลกี เลีย่ งความ ชวั่ เมือ่ วันพิพากษามาถงึ ผู้ท่ีทำ� ความดยี อ่ มมีโอกาสไดร้ ับผลตอบแทนในโลกหนา้ ตามความปรารถนา ๖. ศรัทธาในกฎแห่งสภาวการณ์ พระเจ้าเป็นผู้ก�ำหนดสภาวะทางธรรมชาติและการด�ำเนินชีวิตของมนุษย์ อุปสรรคต่างๆ ท่มี นุษยต์ อ้ งเผชิญจะทำ� ใหม้ นษุ ย์แขง็ แกร่ง แกป้ ัญหาตา่ งๆ ได้ การประสบภยั แหง่ ชวี ติ และความเดือด รอ้ น จึงเป็นเพยี งข้อทดสอบของพระเจา้ เพื่อหล่อหลอมชวี ติ มนุษย์ให้เขม้ แข็ง 135

หลักปฏบิ ัติ ๕ ประการ เปน็ หลกั พน้ื ฐานทีม่ สุ ลมิ ทุกคนต้องปฏบิ ตั ิ ประกอบด้วย ๑. การปฏิญาณตน การเป็นมุสลิมจะต้องกล่าวค�ำปฏิญาณตนอย่างเปิดเผย ชัดเจนและ ศรทั ธาเลอ่ื มใสอยา่ งแทจ้ รงิ คำ� กลา่ วปฏญิ าณตน มดี งั น้ี “ไมม่ พี ระเจ้าอ่ืนใด นอกจากอลั ลอฮ์ และมุฮัมมัด เป็นศาสนทูตของพระองค์” ๒. การละหมาด คือ การแสดงความเคารพต่ออัลลอฮ์ ท้ังจิตใจ วาจาและร่างกาย พร้อมกัน และต้องปฏิบัติละหมาดวันละ ๕ ครง้ั ไดแ้ ก่ ช่วงเช้ากอ่ นแสงอรณุ ขึ้น ช่วงเท่ยี ง ชว่ งบ่ายคลอ้ ย ช่วงเย็นดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า และช่วงค่�ำ เมื่อจิตใจส�ำรวมอยู่กับพระเจ้า ระลึกถึงแต่พระองค์ ก็ไม่มี โอกาสท�ำความช่วั ความผดิ หรือฝืนบทบัญญตั ิ ๓. การจ่ายซะกาต คือทรัพย์สินจ�ำนวนหนึ่งที่มุสลิมจะต้องจ่ายให้บุคคลผู้มีสิทธ์ิรับเป็น ประจำ� เมอื่ ครบรอบปตี ามอตั ราทกี่ ฎหมายอสิ ลามกำ� หนด เพอ่ื เปน็ ศาสนทานใหแ้ กค่ นยากจน เดก็ กำ� พรา้ ผู้เริ่มเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม คนเดินทาง ในประเทศไทยนิยมจ่ายชะกาตเป็นข้าวสาร แต่ถ้าเป็น จ�ำนวนเงนิ หรอื ทองค�ำ จะจา่ ยในอตั รารอ้ ยละ ๒.๕ ของทรัพย์สินมคี ่านั้น ๔. การถอื ศลี อด – ถอื บวช หมายถงึ การงดเวน้ การระงบั การหกั หา้ มตวั เอง กระทำ� ทกุ วนั เฉพาะในเดือนรอมฎอน เดอื นท่ี ๙ ทางจนั ทรคติแหง่ ปีอสิ ลาม เริม่ ต้ังแต่เวลาแสงอรณุ ข้ึน จนถงึ ตะวนั ตกดนิ เป็นการขดั เกลากเิ ลส ฝึกความอดทนและความซอ่ื สัตย์ ๕. การประกอบพิธีฮัจย์ ณ นครมักกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ครั้งหนึ่งในชีวิตของ มุสลิมท่ีมีความพร้อมท้ังร่างกายและการเงินจะเดินทางไปท�ำพิธีตามแบบอย่างของท่านนบีมุฮัมมัด ก�ำหนดตง้ั แต่วันท่ี ๘ – ๑๓ เดอื น ๑๒ ตามปฏทิ ินอิสลาม ๑ ๒ 136

๑-๒ การละหมาดในมสั ยดิ ๓๔ ๓ สตรมี ุสลมิ ก�ำลังละหมาด ๔ การบรจิ าคชะกาต ขอ้ หา้ ม ศาสนาอสิ ลามกำ� หนดข้อหา้ มหลกั อาทิ ๑. ห้ามรับประทานเน้ือหมู เลือดของสัตว์ และสัตว์ตายเองโดยมิได้เชือดด้วยการกล่าว นามพระเจ้า ๒. หา้ มใหเ้ งนิ ก้โู ดยคดิ ดอกเบีย้ ๓. ห้ามเสพสุราและสงิ่ เสพตดิ ท้งั หลาย ตลอดจนบหุ ร่ี ๔. ห้ามเล่นการพนนั และการเสี่ยงทายทุกชนดิ ๕. ห้ามตัง้ ภาคีหรือนำ� สงิ่ อื่นเทยี บเคียงอัลลอฮ์พระผเู้ ป็นเจ้า ๖. ห้ามกราบไหว้บชู ารูปปน้ั วัตถุ ตน้ ไม้ กอ้ นอฐิ ก้อนหนิ ดวงอาทติ ย์ ดวงจันทร์ แมน่ ้�ำ ภเู ขา ผสี างเทวดา ๗. หา้ มเชือ่ ดวง ผกู ดวง หา้ มเส่ยี งทายถอื โชคลางและใช้เคร่อื งรางของขลัง ๘. หา้ มผิดประเวณี ๙. หา้ มกักตนุ สนิ คา้ ๑๐. ห้ามประกอบอาชีพที่ไมถ่ กู ต้องศลี ธรรม ๑๑. หา้ มฆา่ สง่ิ มชี ีวิตทุกชนดิ โดยไมม่ เี หตผุ ลตามที่ศาสนากำ� หนด ๑๒. ห้ามใส่ร้ายป้ายสี นินทาหรือกระท�ำการใดๆ ท่ีจะสร้างความเดือดร้อนต่อตนเอง เพื่อนบา้ น สังคมและประเทศชาติ ฯลฯ 137

138

ศาสนสถาน ศาสนวัตถุ ศาสนสถานในศาสนาอิสลาม ได้แก่ มัสยิด ซ่ึงหมายถึง สถานที่ส�ำหรับแสดงความภักดีต่อพระเจ้าและด�ำเนินกิจกรรมต่างๆ ท้ังท่ีเกี่ยวกับศาสนาและการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวันตามแนวทางของ ศาสนาอิสลามมัสยิด ยังเรียกต่างกันอีกว่า กุฎี สุเหร่า อิหม่ามบารา และบาแล มัสยิด สร้างข้ึนเพ่ือเป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน เช่น ปฏิบัติศาสนกิจ การประชุม การศึกษา การบริหาร การตัดสนิ คดีความ พธิ ีกรรม ฯลฯ มสั ยดิ มักมอี งค์ประกอบทสี่ ำ� คัญ คือ โถงละหมาด มิห์รอบ ที่ส�ำหรับอิหม่ามยืนน�ำละหมาด ซึ่งมักจะสร้าง เป็นส่วนเว้าลกึ ขนาดเล็กตรงด้านหนา้ สุดของมัสยิด มิมบรั แท่นสำ� หรับ ๒ อหิ มา่ มหรอื คอเตบ็ ขน้ึ ไปกลา่ วคตุ บะฮห์ รอื คำ� อบรมสงั่ สอนกอ่ นละหมาด มักซูเราะห์ ฉากไม้หรือโลหะท�ำเป็นลวดลายใช้กั้นพ้ืนที่หน้าซุ้มมิห์รอบ แทน่ สำ� หรับผูข้ านสญั ญาณ เพื่อใหผ้ ู้ขานสัญญาณ (มุบลั ลกิ ) ส่งเสยี งให้ สญั ญาณตอ่ จากอหิ มา่ มในกรณที มี่ ผี มู้ าละหมาดจำ� นวนมากเพอ่ื ใหไ้ ดย้ นิ อย่างทั่วถึง ลานหรือโถงอเนกประสงค์ ที่อาบน�้ำละหมาด หออะซาน สำ� หรบั ประกาศเมือ่ ถงึ เวลาละหมาด และ ซมุ้ ประตู กะอ์บะฮ์ อาคารรูปสี่เหล่ียมผืนผ้า ตั้งอยู่ใจกลางมัสยิด อัลฮะรอม นครมักกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็นศูนย์กลางในการ ปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิมท่ัวโลก ท้ังยังเป็นจุดหมายในการผินหน้าไป ของมสุ ลมิ ขณะละหมาด และเป็นสถานที่เดินเวยี นรอบ (ฏอวาฟ) ในการ ประกอบพิธีฮจั ยแ์ ละอมุ เราะฮ์ ๒ และท่มี ุมหน่ึงของกะอบ์ ะฮม์ ีหินด�ำทใี่ ช้ เปน็ จุดกำ� หนดเรม่ิ และสิ้นสดุ การเดนิ ฏอวาฟ ๑ พธิ ีฮัจย์ ณ มัสยดิ อลั ฮะรอม นครมักกะห์ ประเทศซาอดุ ิอาระเบีย ๓ ๒ หมายถึง การเยย่ี มเยยี นสถานที่พ�ำ นกั ของศาสดามฮุ มั มดั ซึง่ ถือเป็นการ ๒ ส่วนประกอบตกแตง่ เหนอื มิหร์ อบ มอี กั ษรนาม อลั ลอฮ์ แสวงบุญยอ่ ย แตกต่างจากพิธีฮัจย์ซ่งึ มสุ ลิมทุกคนควรปฏบิ ัติ แตอ่ ุมเราะฮ์ ไมไ่ ดเ้ ปน็ ข้อ บังคบั แตแ่ นะน�ำ ใหป้ ฏบิ ตั ิ และศาสดามฮุ มั มัด ๓ มหิ ์รอบ และมมิ บรั ภายในมัสยิดกฎุ ีช่อฟา้ จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา 139 ๑

พระมหาคัมภรี อ์ ัลกรุ อาน “กุรอาน” ภาษาอาหรบั แปลว่า “การอ่าน” หมายถึงหนังสือ หรือคมั ภีรซ์ ่ึงเป็นบัญญัตขิ องพระเจา้ แบ่งเปน็ ๓๐ ภาค ๑๑๔ บท และวรรคต่างๆ ๖,๐๐๐ กว่าวรรค ในสมยั ทา่ นนบมี ฮุ มั มดั ยงั ไมไ่ ดม้ กี ารจดั หมวดหมู่ ตอ่ มาในสมยั อบบู กั ร์ คอลฟี ะหค์ นแรก ไดร้ วบรวมบนั ทกึ เปน็ รปู เลม่ และคดั ลอกกนั เผยแพรไ่ ปยงั ดนิ แดนตา่ งๆ ทนี่ บั ถอื ศาสนาอสิ ลาม มสุ ลมิ ถอื วา่ พระมหาคมั ภรี ์ อลั กรุ อานเปน็ ธรรมนญู แหง่ ชวี ติ มคี วามศกั ดส์ิ ทิ ธแ์ิ ละเปน็ ประโยชนต์ อ่ มนษุ ย์ เนอ้ื หาในคมั ภรี ใ์ หค้ วามรู้ ในเรือ่ งศาสตรต์ า่ งๆ ตลอดจนวิชาการ การดำ� รงชีวติ กฎเกณฑค์ วามประพฤติและบทบัญญตั ิในศาสนา อิสลามท่มี ุสลมิ ตอ้ งถือปฏบิ ตั ิตาม อัลฮะดีษ โอวาทและจริยวัตรของท่านนบีมุฮัมมัด ซ่ึงสาวกของท่านเป็นผู้รวบรวม มีเน้ือหาสรุปได้คือ แสดงอุปนิสัยของท่านนบีมุฮัมมัด เพื่อเป็นแบบอย่างแก่มุสลิม แสดงจรรยา บรรณตามหน้าที่ต่อบุคคลผู้ใกล้ชิด เช่น บิดามารดา ครูอาจารย์ มิตรสหาย เป็นต้น แสดงมารยาท ทางสงั คม เช่น การกิน การร่วมประชมุ การเขา้ มสั ยิด ให้มคี วามส�ำรวมตนเพอื่ มิใหร้ บั โทษทางศาสนา ใหพ้ ัฒนาคุณธรรมใหเ้ กดิ ขึ้น เพอ่ื ไดร้ ับพรจากพระเจา้ พระมหาคัมภรี ์อัลกรุ อาน ตน้ ฉบบั เขียนด้วยลายมือ 140

ขอ้ ก�ำหนดประเพณี พธิ ที เี่ กีย่ วขอ้ งกบั ชวี ติ ต้งั แต่เกดิ จนตาย ได้แก่ งานฉลอง ทารกแรกเกิด เมื่อทารกคลอดจากครรภ์มารดา สิ่งแรกท่ีมุสลิมปฏิบัติ คอื กลา่ วถอ้ ยคำ� ทข่ี า้ งหขู วาและหซู า้ ยของทารก เพอื่ ปลกู ฝงั คำ� สอนเรอื่ ง ความศรัทธาในพระเจ้าและศาสดาของอิสลาม จากน้ันตั้งช่ือที่มี ความหมายดีงามแก่ทารก หลังจากคลอดได้ ๗ วัน โกนผมไฟแก่ทารก หากผู้ปกครองมีความสามารถก็จะจัดงานเล้ียงฉลองโดยท�ำอาหารจาก เนอ้ื แพะและเนอ้ื แกะ จากนน้ั ตอ้ งเลย้ี งดใู หม้ สี ขุ ภาพพลานามยั มคี วามสขุ ความอบอุ่น ฝึกฝนให้ปฏิบัติศาสนา อบรมมารยาทและให้ความรู้ เมอ่ื ครบ ๗ ขวบ ฝึกให้ทำ� ละหมาดเพ่ือสร้างศาสนธรรม การแตง่ งาน มสุ ลมิ มขี นั้ ตอนงา่ ยๆ ไดแ้ ก่ การสขู่ อ ฝา่ ยชาย จะพาผใู้ หญไ่ ปเจรจาสขู่ อหญงิ สาวและตกลงกำ� หนดพธิ ี เรอื นหอ งานเลย้ี ง ฉลอง ฯลฯ ส่ิงสำ� คัญคอื ตกลงเรื่องมะฮรั (ทรัพยส์ นิ ) ที่ฝา่ ยชายจะมอบ ใหแ้ กเ่ จา้ สาว ซง่ึ ถือเป็นสิทธเิ์ ฉพาะของเจ้าสาว พธิ ีแต่งงาน หรือเรียกวา่ พธิ นี กิ ๊ะห์ จัดขน้ึ ทบ่ี า้ นเจา้ สาว หรือมสั ยดิ ในชมุ ชนของเจา้ สาว หรือท่ใี ด ตามความสะดวกทัง้ สองฝา่ ย ผู้อยู่ในพธิ ีคอื ผปู้ กครองของเจ้าสาวและตวั เจา้ บา่ ว โดยมมี ะฮรั วางอยตู่ รงหนา้ มพี ยานเปน็ ชายชาวมสุ ลมิ ๒ คน เมอ่ื ผู้ปกครองเจ้าสาวกล่าวยกเจ้าสาวให้เจ้าบ่าวโดยอ้างถึงมะฮัรท่ีตกลงกัน เจ้าบ่าวกล่าวรับเป็นอันเสร็จพิธี ทั้งน้ีก่อนเร่ิมพิธีมักอ่านพระมหาคัมภีร์ อลั กรุ อาน และอหิ มา่ มหรอื ผอู้ าวโุ สแสดงธรรมเกย่ี วกบั บทบาทและหนา้ ที่ ของสามภี รรยาและหลักการครองเรือน งานเลีย้ งฉลอง หลงั พธิ ีแต่งงาน เจ้าภาพจะจัดงานเลี้ยงฉลอง (งานวะลีมะห์) ซึ่งไม่นิยมจัดหรูหราเกิน ก�ำลังจนเป็นหนีส้ ิน พธิ สี ุหนัต หรือ คติ าน ในภาษาอาหรับ หมายถึงการขลบิ มุสลิมบัญญัติให้ท�ำพิธีศพโดยเร็ว หากไม่มีเหตุจ�ำเป็น หนงั หมุ้ ปลายอวยั วะเพศชายตามหลกั การอสิ ลาม เพอื่ เปน็ ไปตามจรยิ วตั ร จะกระทำ� ให้แลว้ เสรจ็ ภายใน ๑ วัน (๒๔ ชว่ั โมง) หลงั จากเสยี ชีวติ ท่านนบีมุฮัมมดั ผปู้ กครองจะพิจารณาว่าเมื่อใดสมควรท�ำคติ าน การแต่งกาย อิสลามก�ำหนดไว้อย่างรัดกุม มิให้เปิดเผย การตาย เมอื่ คนใกล้ชิด ญาติมิตรเสยี ชีวติ ก็จดั พธิ ี ต้งั ศพ เน้นสัดส่วน ห้ามผูช้ ายแตง่ ตวั เป็นหญงิ และหญงิ ทำ� ตวั เป็นชาย เพศชาย และเยย่ี มเยยี นศพ การตงั้ ศพ จะตงั้ ไวท้ บ่ี า้ นหรอื ทมี่ สั ยดิ เพอื่ ใหญ้ าตมิ ติ ร ต้องปกปิดร่างกายอย่างน้อยตั้งแต่สะดือจนถึงหัวเข่า ห้ามใส่ผ้าไหม ไดม้ าเยย่ี มและขอพรจากพระเจา้ ใหแ้ กผ่ ตู้ ายและถามทกุ ขส์ ขุ เปน็ กำ� ลงั ใจ ห้ามใส่ทองค�ำ เพศหญิง ต้องปกปิดร่างกายทั้งหมดและคลุมศีรษะ แก่ครอบครัวของผ้ตู าย อาบนำ�้ ศพ ใหส้ ะอาดท้งั ร่างกาย หอ่ ศพด้วยผา้ เปดิ เผยไดเ้ ฉพาะใบหนา้ และมอื ทงั้ ๒ ขา้ ง ขาวให้มิดชิด ตอ่ จากนนั้ วางศพบนแคร่หรอื ใส่โลง แล้วเคล่ือนศพไปยงั มัสยดิ เพือ่ ท�ำพธิ ลี ะหมาดขอพรใหศ้ พ ซึง่ ใชเ้ วลาสั้นๆ ประมาณ ๕ นาที อาหารการกิน อิสลามวางข้อจ�ำกัดในการบริโภค เช่น เม่ือเสร็จแล้วจะเคล่ือนศพไปฝังในหลุมท่ีกุโบร์ หรือสุสาน จะฝังท้ังโลง จำ� แนกระหว่างสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) และสิ่งอนุมตั ติ ามที่ศาสนากำ� หนด หรือเฉพาะศพก็ได้ โดยวางศพให้นอนตะแคงขวาหันหน้าไปยังทิศทาง และรวมถึงสุขอนามัยด้วย (ฮะลาล) ก่อนรับประทานอาหารและส้ินสุด เดียวกับเวลาท่ีมุสลิมละหมาดประจ�ำวัน หลังจากนั้นผู้เข้าร่วมพิธีซ่ึงยืน การรับประทาน ใหก้ ลา่ วพระนามอลั ลอฮ์ และขอบคณุ อัลลอฮ์ เรยี งรายรอบหลมุ ศพจะขอพรจากพระเจา้ ใหแ้ กผ่ ูต้ ายอีกคร้งั 141

142

วนั ส�ำคัญทางศาสนา วันศกุ ร์ เป็นวันส�ำคัญในรอบสัปดาห์ท่ีมุสลิมจะต้องไปรวมตัวกันเพื่อฟังธรรมกถา (คุตบะฮ์) ละหมาดวันศุกร์ และดุอาอ์ คือ การขอพรจากพระเจ้า ซึ่งถือว่าจ�ำเป็นเพ่ือแสดงออกถึงการร�ำลึก ถึงอัลลอฮ์ ใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาที ในการไปร่วมละหมาดวันศุกร์ มุสลิมต้องอาบน�้ำและแต่งกาย ด้วยเสื้อผ้าท่ีสะอาด ตง้ั ใจรบั ฟังค�ำส่ังสอนและนำ� มาปฏบิ ัติ เดือนรอมฎอน รอมฎอน เป็นเดือนแหง่ การถือศลี อด (เดือนที่ ๙ ทางจันทรคตติ ามปฏิทินอิสลาม) มุสลมิ ทกุ คนตอ้ งงดกนิ งดดม่ื และงดเพศสมั พนั ธ์ นบั แตย่ ำ�่ รงุ่ เมอ่ื แสงตะวนั เรม่ิ ปรากฏ จนถงึ ยำ�่ คำ่� เมอ่ื พระอาทติ ย์ ลบั ขอบฟา้ บคุ คลบางประเภท เชน่ ผู้ปว่ ย หญิงมีครรภ์ หญิงท่ใี หน้ มบตุ ร ผเู้ ดนิ ทาง ผู้ป่วยเรอ้ื รัง ละเว้น การถอื ศลี อดได้และใหถ้ อื ชดใชภ้ ายหลงั หรือชดใช้เป็นอาหารแก่คนยากจน การละหมาดของมุสลิมในวันศุกร์ 143

144

๑ ศูนยก์ ลางอิสลามแห่งประเทศไทย ๒ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร วนั อดี ลิ้ ฟิตร์ ๒ การละหมาดรว่ มกันในวันอีด้ลิ ฟิตร์ ๑ ตรงกับวนั ที่ ๑ เดือนเชาวาล (เดือนท่ี ๑๐ ทางจนั ทรคติตามปฏิทนิ อิสลาม) เปน็ วนั เฉลมิ ฉลองหลงั จากการถอื ศลี อดตลอดเดอื นรอมฎอนมกั เรยี กกนั วา่ วนั ออกบวช ในวนั ดงั กลา่ วมกี ารละหมาด อีดลิ้ ฟติ ร์ ฟังคตุ บะฮ์ การบริจาคทาน การเลย้ี งอาหารและเย่ียมเยยี นกัน วันอะรอฟะฮ์ ตรงกับวนั ท่ี ๙ เดอื นซุ้ลฮจิ ยะห์ (เดือนที่ ๑๒ ทางจันทรคตอิ สิ ลาม) เปน็ วนั รว่ มชมุ นมุ ใหญ่ ของผ้ไู ปประกอบพิธีฮจั ยท์ ่ีทุ่งอะรอฟะฮ์ สว่ นผู้ท่ีไม่ไดไ้ ปประกอบพิธีฮจั ย์จะถอื ศลี อดในวนั นนั้ วันอดี ้ลิ อฏั ฮา ตรงกับวันที่ ๑๐ เดือนซุ้ลฮิจยะห์ เป็นวันเฉลิมฉลองเมื่อบรรดาผู้ประกอบพิธีฮัจย์ เดนิ ทางกลบั จากการพกั ทที่ งุ่ อะรอฟะฮ์ ในวนั ดงั กลา่ วมกี ารละหมาดอดี ล้ิ อฏั ฮาและมกี ารเชอื ดสตั วพ์ ลที าน วนั อาซูรออ์ คือวนั ท่ี ๑๐ เดือนมหุ รั รอม (เดอื นท่ี ๑ ทางจันทรคตอิ สิ ลาม) เป็นวนั ท่ีควรถอื ศีลอดเพอ่ื จะไดก้ ุศลอนั ยงิ่ ใหญ่ 145

๑ ๑ การกล่าวตกั บรี สรรเสริญ พระองค์อัลลอฮ์ ในวันตรุษอดี ้ลิ ฟติ ร์ ๒ หลงั จากละหมาดเสรจ็ แล้ว กม็ กี ารขออภัยซ่งึ กนั และกนั ในส่งิ ท่ีล่วงเกินกัน ๒ 146

147

148

๒ ศาสนาคริสต์ ๑ บริเวณลานโบสถข์ องอาสนวหิ าร ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลก ราว ๒.๑ พันล้านคน ส�ำหรับ แมพ่ ระปฏสิ นธินริ มล จงั หวดั จันทบรุ ี ประเทศไทย จากการส�ำรวจของส�ำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ ประชาชนนับถือคริสต์ศาสนา ๒ ภายในโบสถ์ของอาสนวหิ าร ทว่ั ประเทศ จำ� นวน ๗๘๙,๓๗๖ คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ ๑.๑๙ ของประชากรทง้ั หมด (จำ� นวน ๖๕,๙๘๑,๖๖๐ คน) แม่พระปฏสิ นธนิ ริ มล จงั หวัดจนั ทบุรี ศาสนาคริสตใ์ นประเทศไทยมนี กิ ายหลักอยู่ ๒ นิกาย คือ นิกายโรมันคาทอลิก (Roman Catholic Church) และนิกายโปรเตสแตนท์ (Protestant Christian Church) ๑ 149

๑. นิกายโรมนั คาทอลกิ (Roman Catholic Church) ๑ โบสถ์วดั นกั บญุ ยอแซฟ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดิมเรียกว่า นิกายคาทอลิกแต่อย่างเดียว ค�ำว่า “คาทอลิก” มาจากภาษากรีก แปลว่า “สากล” หรอื “ท่วั ไป” เมอื่ กล่าวถงึ นกิ ายน้ีจงึ หมายถงึ ศาสนจกั รทเ่ี ปน็ สากลและเปน็ ทยี่ ดึ เหนยี่ วสำ� หรบั ๒ ภายในโบสถว์ ัดนักบญุ ยอแซฟ ครสิ ตศ์ าสนกิ ชนโดยทวั่ ไป ตอ่ มาเมอ่ื ศาสนจกั รเกดิ แตกแยกออกเปน็ ศาสนจกั รตะวนั ออกและศาสนจกั ร จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ตะวันตก เม่ือ พ.ศ. ๑๕๙๗ ศูนย์กลางของศาสนาทั้งสองฝ่ายจึงแยกออกจากกัน ฝ่ายตะวันตก ซึ่งมี ศนู ย์กลางท่ีกรุงโรม ใชภ้ าษาละตนิ เปน็ ภาษาหลกั ทางศาสนาจงึ เรยี กวา่ โรมนั คาทอลกิ สว่ นฝา่ ยตะวนั ออก ๓ ภายในอาสนวิหารแมพ่ ระบงั เกดิ เรียกว่า ออร์โธด็อกซ์ นกิ ายนมี้ คี วามเช่อื และปฏบิ ตั ติ ามคำ� สอนและประเพณอี ยา่ งเคร่งครดั มีศนู ยก์ ลาง จังหวัดสมทุ รสงคราม อยทู่ ก่ี รงุ คอนสแตนตโิ นเปลิ หรอื กรงุ อสิ ตนั บลุ ในปจั จบุ นั นกิ ายโรมนั คาทอลกิ นม้ี ผี นู้ บั ถอื อยา่ งแพรห่ ลาย ในกลุ่มประเทศทางยโุ รปตะวันตก โดยเฉพาะในอติ าลี โปรตุเกส สเปน และฝรั่งเศส ผนู้ ำ� สงู สดุ ของศาสนาครสิ ตโ์ รมนั คาทอลกิ คอื พระสนั ตะปาปา (Pope) ซง่ึ มาจากภาษาละตนิ วา่ Papa และในภาษากรีกว่า Pappas หรือ โป๊ป น่ันเอง แปลว่าบิดา ประทับอยู่ท่ีนครรัฐวาติกันอันมี สถานะเปน็ รฐั เอกราชอยใู่ นกรงุ โรม ประเทศอติ าลี อนั เปน็ ศนู ยก์ ลางการปกครองของนกิ ายนด้ี ว้ ย นกิ าย โรมนั คาทอลกิ เชอ่ื วา่ พระเยซเู ปน็ ผมู้ อบสถานะผแู้ ทนของพระองคใ์ หน้ กั บญุ เปโตร (St. Peter) และถอื วา่ ท่านเป็นพระสันตะปาปาองค์แรก นิกายโรมันคาทอลิกปกครองกันเป็นล�ำดับช้ัน เหตุมาจากในยุคเริ่ม แรกของศาสนาครสิ ต์ เกดิ การรวมตวั ของครสิ ตศ์ าสนกิ ชนในแตล่ ะทอ้ งถนิ่ ทเี่ รยี กกนั วา่ ครสิ ตจกั ร ทำ� ให้ ต้องมบี คุ คลหรือคณะบุคคลเป็นผปู้ กครอง บทบาทหนา้ ท่ีของผ้ทู �ำหนา้ ทีด่ แู ลปกครองนี้มาชัดเจนข้ึนใน ชว่ งคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๒ เมอื่ ศาสนาครสิ ตข์ ยายตวั ออกไปมากขึ้น จงึ ตอ้ งมตี ำ� หนง่ สังฆราช หรอื มุขนายก (Bishop) เพื่อปกครองแต่ละเขตท่ีเรียกว่า “สงั ฆมณฑล” (Diocese) มขุ นายกประจำ� มุขมณฑล เปน็ ผู้ แตง่ ตั้งบาทหลวงใหป้ กครองดูแลโบสถ์ครสิ ต์แตล่ ะแห่ง และยงั มตี �ำแหนง่ อัครมุขนายก (Archbishop) หรือในไทยเรียกว่า อคั รสังฆราช ท�ำหน้าทีด่ ูแลมขุ มณฑลทม่ี คี วามส�ำคญั เป็นพิเศษ ๑ ๒ 150 ๓