151
๑ ๒ ในโครงสร้างการปกครองของนิกายโรมันคาทอลิกยังมี ประเทศไทยมีการตั้งมิสซังสยาม (สังฆมณฑลหรือเขต พระคารด์ นิ ลั (Cardinal)เปน็ ตำ� แหนง่ สมณศกั ดท์ิ ส่ี งู รองจากพระสนั ตะปาปา ปกครองของศาสนจักรคาทอลิกในสยาม) มาต้ังแต่ พ.ศ. ๒๒๑๒ มีหน้าท่ีเป็นที่ปรึกษาพระสันตะปาปาในการปกครองพระศาสนจักร สว่ นตำ� แหนง่ มขุ นายก หรอื บชิ อ็ ป จะเรยี กวา่ พระสงั ฆราช ตามความคนุ้ ชนิ สากล ต�ำแหนง่ คารด์ นิ ลั ในสมัยแรกๆ อาจจะเปน็ ฆราวาสกไ็ ด้ นบั ต้งั แต่ ของชาวไทยมาตง้ั แตส่ มัยอยธุ ยา ในยคุ แรกผู้เปน็ ประมุขของสงั ฆมณฑล ตรากฎหมายพระศาสนจกั ร ฉบบั ค.ศ. ๑๙๑๗ และ ฉบับ ค.ศ. ๑๙๘๓ สยามลว้ นแตม่ าจากตา่ งประเทศ คนไทยคนแรกทไ่ี ดร้ บั แตง่ ตง้ั ตำ� แหนง่ มขุ พระสงฆ์และพระสังฆราชเท่าน้ันท่ีมีสิทธิ์ได้รับการยกสมณศักด์ิเป็นพระ นายก ไดแ้ ก่ มขุ นายก ยาโกเบ แจง เกดิ สวา่ ง ประมขุ มสิ ซงั จนั ทบรุ ี ไดร้ บั การ คาร์ดินัลได้ พระคาร์ดินัลมีหน้าท่ีในการเข้าร่วมประชุมลับเพื่อเลือก แตง่ ตง้ั เมอ่ื วนั ที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๗ ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๒๑๒ มสิ ซงั สยาม พระสันตะปาปาองค์ใหม่แทนต�ำแหน่งท่ีว่างลง และพระคาร์ดินัลแต่ละ ปกครองโดย สงั ฆราชคนแรกคอื บาทหลวงหลยุ ส์ ลาโน ไดร้ บั การอภเิ ษก องคก์ ม็ สี ทิ ธไ์ิ ดร้ บั เลอื กเปน็ พระสนั ตะปาปาไดเ้ ชน่ กนั พระคารด์ นิ ลั อาจมี เปน็ สงั ฆราช เมอื่ วนั ที่ ๒๕ มนี าคม พ.ศ. ๒๒๑๗ รปู แบบการปกครองมสิ ซงั ตำ� แหนง่ เปน็ มขุ นายกในการปกครองหรอื ไมก่ ไ็ ด้ พระคารด์ นิ ลั ชาวไทยคน สยามใชม้ าจนถงึ พ.ศ. ๒๕๐๘ มกี ารจดั รปู แบบการปกครองของมสิ ซงั สยาม แรก ไดแ้ ก่ พระอคั รสงั ฆราช ไมเกล้ิ มชี ยั กจิ บญุ ชู ประมขุ เขตการปกครอง ใหม่ โดยแบง่ เปน็ ๒ แขวงทางพระศาสนจกั ร (Ecclesiastical Provinces) อคั รสงั ฆมณฑลกรงุ เทพฯ ประกาศแตง่ ตง้ั เมอื่ วนั ที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๖ คือแขวงกรุงเทพฯ และแขวงท่าแร่-หนองแสง ดังน้ัน กรุงเทพฯ และ และมพี ธิ สี ถาปนาเปน็ ทางการเมอ่ื วนั ที่ ๒ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๒๖ ณ มหา ทา่ แร่ - หนองแสงจึงถูกยกข้ึนมาสรู่ ะดบั อคั รสงั ฆมณฑล (Archdiocese วหิ ารนกั บญุ เปโตร กรงุ โรม นครรฐั วาตกิ นั และในปจั จบุ นั มพี ระคารด์ นิ ลั - Metropolitan) ซ่ึงจะมีปริสังฆมณฑล (Suffragan Diocese) ท่ีอยู่ องค์ท่ี ๒ คือพระอัครสังฆราชฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ภายใต้แขวง และมีผู้ปกครองแต่ละเขตมีสมณศักด์ิเป็นสังฆราชแยก พระอคั รสงั ฆราชแหง่ เขตปกครองกรงุ เทพฯ ไดร้ บั การประกาศแตง่ ตง้ั เมอ่ื จากกนั (สว่ นเขตการปกครองในปัจจบุ นั นั้นแบ่งออกเป็น ๑๐ เขต) วันท่ี ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ และมีพิธีแต่งต้ังอย่างเป็นทางการเมื่อ วนั ท่ี ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ส่วนพระสันตะปาปาพระองค์ปจั จุบนั ในประเทศไทยปัจจุบันนิกายโรมันคาทอลิก บริหาร คอื สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซสิ (Pope Francis) มพี ระนามเดมิ ว่า งานโดยสภาสูงสุดเรียกว่า “สภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่ง ฮอร์เฆ่ มารีโอ แบร์โกลโิ อ เป็นสมเด็จพระสันตะปาปา องคท์ ี่ ๒๖๖ สบื ประเทศไทย” (Catholic Bishops’ Conference of Thailand - CBCT) ตอ่ จากนักบุญเปโตร ดำ� รงต�ำแหน่งตงั้ แตว่ ันที่ ๑๓ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบไปดว้ ยมขุ นายกของสงั ฆมณฑลทง้ั ๑๐ เขต นกิ ายโรมนั คาทอลกิ ทรงเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกที่มาจากภูมิภาคละตินอเมริกา ทรงมี มีผู้นับถือในประเทศไทย จ�ำนวน ๓๖๙,๖๓๖ คน (จากการส�ำรวจของ ชาตกิ �ำเนดิ เป็นชาวอาร์เจนตินา และนับเปน็ ครงั้ แรกในรอบ ๑,๓๐๐ ปี องคก์ รคริสตศ์ าสนาในนกิ ายตา่ งๆ) ทพ่ี ระสนั ตะปาปาไมไ่ ดเ้ ปน็ ชาวยุโรป 152
๑-๒ อัครสงั ฆราช ไมเกิล้ มีชยั กิจบญุ ชู ประมุข ๒. นกิ ายโปรเตสแตนท์ (Protestant Christian Church) เขตการปกครองอัครสังฆมณฑล กรงุ เทพฯ ประกอบพิธีอภิเษกพระสังฆราช นิกายโปรเตสแตนท์เกิดจากการปฏิรูปทางศาสนาในการประชุมของสภาแห่งสปีเยอร์ (Diets of Speyer) พ.ศ. ๒๑๓๕ สภาดังกล่าวได้ออกกฎหมายกีดกันผู้ท่ีเช่ือตามแนวคิดของ ๓-๔ ภายในโบสถ์ของคริสตจักรไคร้สตเชิร์ช มารต์ ิน ลเู ธอร์ (Martin Luther) จนเกิดการประท้วงข้ึนและน�ำไปสู่การแตกแยกของศาสนาในทีส่ ดุ (Christ Church) เป็นโบสถ์ในนิกาย แองกลกิ นั เชริ ช์ เปน็ นกิ ายของประเทศองั กฤษ มารต์ นิ ลเู ธอร์ เปน็ บาทหลวงชาวเยอรมนั ในคณะออกสุ ตเิ นยี น ตคี วามคมั ภรี ไ์ บเบลิ้ ในภาค จัดอยู่ในคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนท์ พนั ธสญั ญาใหมว่ า่ มนษุ ยส์ ามารถกลบั ไปมคี วามสมั พนั ธอ์ นั ดกี บั พระเจา้ ไดด้ ว้ ยตนเองหรอื ดว้ ยพธิ กี รรม ก่อต้ังข้ึนเม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๗ มีความแปลก และความศรทั ธาอยา่ งจรงิ ใจในพระเยซู การทำ� บญุ หรอื ลา้ งบาปกบั นกั บวชนนั้ ไมส่ ามารถทำ� ใหค้ นทไ่ี มม่ ี จากโบสถ์นิกายโปแตสแตนท์แห่งอื่นๆ ศรัทธาอยา่ งแทจ้ ริงกลบั ไปคืนดีกับพระเจ้าได้ ใน พ.ศ. ๒๐๖๐ มาร์ติน ลเู ธอร์ ไดเ้ สนอข้อเสนอเพอื่ การ ตรงท่ีใช้ภาพของพระเยซูถูกตรึงกางเขนเป็น ปฏริ ปู ๙๕ ขอ้ นบั เปน็ ตน้ กำ� เนดิ ของโปรเตสแตนท์ เนอื่ งจากในชว่ งเวลานน้ั เกดิ ความขดั แยง้ เรอ่ื งอำ� นาจ ภาพประดับในโบสถ์ ซ่ึงโดยท่ัวไปมักไม่นิยม และผลประโยชน์ระหว่างศาสนจักรและอาณาจักรบ่อยครั้ง รวมไปถึงการท่ีนักบวชในศาสนาคริสต์ได้ ใชร้ ูปเคารพ ท�ำการซอื้ ขายใบไถ่บาป ท�ำใหค้ นไมศ่ รัทธาตอ่ พระเยซอู ยา่ งแท้จรงิ มารต์ นิ ลูเธอร์ ถูกขบั ออกไปจาก ชุมชนของคริสต์ศาสนิกชนเม่ือ พ.ศ. ๒๐๖๔ แต่ก็มีผู้เห็นด้วยกับเขาเป็นจ�ำนวนมากจึงถูกเรียกว่าเป็น กลมุ่ โปรเตสแตนท์ นกิ ายนี้ถอื การปฏบิ ตั ิตามคมั ภรี ไ์ บเบลิ้ อย่างเครง่ ครดั ไม่ยอมรบั บญั ญตั อิ นื่ ๆ หรอื คำ� สัง่ ใดๆ ของพระสันตะปาปาจากกรงุ โรม ไมย่ อมรบั การมอี �ำนาจเด็ดขาดของสำ� นกั วาตกิ นั ในการตีความ พระคัมภรี ์ ไมม่ ีนักบวชถอื พรหมจรรย์ ไม่ยกย่องแม่พระมารยี แ์ ละนักบญุ ต่างๆ วา่ มคี วามส�ำคญั เทา่ กบั พระเยซู ไมม่ กี ารสกั การบชู าพระแมแ่ ละนกั บญุ อน่ื ๆ นกิ ายโปรเตสแตนทแ์ พรห่ ลายในทวปี อเมรกิ าเหนอื และในยโุ รปบางพื้นท่ี เชน่ เยอรมนี องั กฤษ และประเทศในกล่มุ สแกนดิเนเวยี ๓๔ 153
นิกายโปรเตสแตนท์ในประเทศไทยประกอบไปด้วยนิกายย่อยหลายนิกาย เข้ามาท�ำงาน ๑ คริสตจกั รท่ี ๑ ส�ำเหร่ เป็นครสิ ตจักรแหง่ แรก เผยแผ่จริงจังในสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๗๑ กลุ่มมิชชันนารีท่ีเข้า ของนกิ ายโปรเตสแตนท์ ก่อตั้งโดย มาท�ำงานจากหลายประเทศ เช่น อังกฤษ เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา คณะที่เข้ามาก็มีหลากหลาย คณะเพรสไบเทเรยี น ใน พ.ศ. ๒๔๐๐ กลมุ่ เช่น ลอนดอนมชิ ชนั นารโี ซไซเอท็ ตี้ อเมรกิ ันเพรสไบเทเรยี น คณะกรรมาธกิ ารพันธกจิ คริสตจักร โพ้นทะเลแห่งอเมริกา คณะอเมริกันแบ๊บติสต์ คณะแองกลิกันเชิร์ช ฯลฯ ซ่ึงต่อมากลุ่มมิชชันนารี ๒ คณะบาทหลวงพรอ้ มดว้ ยกางเขนทใี่ ช้แหเ่ พื่อ ที่เข้ามาในช่วงแรกได้รวมตัวกันตั้งเป็นสภาคริสตจักรในประเทศ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๗ เพื่อให้เป็น ประกอบพธิ ีกรรม (Processional Cross) ครสิ ตจกั รของชนพนื้ เมอื งอยา่ งแทจ้ รงิ หลงั จากนน้ั กลมุ่ มชิ ชนั นารอี นื่ ๆ กจ็ ดั ตงั้ เปน็ องคก์ รอกี ๓ กลมุ่ คอื เปน็ การแสดงสญั ลกั ษณ์วา่ เป็นพธิ ีกรรมท่เี น่อื ง สหกิจคริสเตียนแห่งประเทศไทย สหคริสตจักรแบบ๊ ติสต์ และคริสตจกั ร (เซเวน่ ธเ์ ดย์แอ๊ดเวนตีส) ด้วยพระเยซู ปจั จบุ นั องคก์ รครสิ เตยี นในฝา่ ยโปรเตสแตนทท์ ไ่ี ดร้ บั การรบั รองจากกรมการศาสนามอี ยู่ ๓ โบสถว์ ดั อคั รเทวดามีคาแอล ซง่ แย้ จงั หวดั ๔ องค์กร คือ ยโสธร ซ่งึ เป็นโบสถไ์ มใ้ นนกิ ายโรมนั คาทอลิกที่ ใหญ่ท่สี ุดในประเทศไทย ๑. สภาคริสตจักรในประเทศไทย ปกครองคณะเพรสไบเทเรียน คณะคริสเตียนเชิร์ช (ดสิ ไซเปิลส์ออฟไครส์) คณะลูเทอแรนเชิร์ชออฟอเมรกิ าในประเทศไทย เป็นต้น ๒. สหกจิ ครสิ เตยี นแหง่ ประเทศไทย ปกครองคณะครสิ เตยี นแอนดม์ ชิ ชนั นารอี ลั ไลแอนซ์ คณะเวิร์ลดไ์ วดอ์ แี วนเจไลเซชนั่ ครูเสด นอกจากน้ยี ังกลุ่มอน่ื ๆ อกี เช่น นกิ ายลูเธอร์แรน เป็นตน้ ๓. มูลนิธิครสิ ตจกั รคณะแบ๊บตสิ ต์ ปกครองครสิ ตจักรแบบ๊ ตสิ ตใ์ นประเทศไทย ๔. มลู นิธคิ รสิ ตจกั รเซเว่นธเ์ ดย์แอ๊ดเวนตสี แห่งประเทศไทย ๑ ๒ ๓ 154
155
156
ศาสดา และบรรดาอัครสาวก ๒ ศาสนาครสิ ต์ มศี าสดาคอื พระเยซคู รสิ ต์ (Jesus Christ) พระเยซู ตามเนอ้ื ความในพระคมั ภรี ์ ๑ พระเยซถู ูกตรึงกางเขนในโบสถว์ ดั อัครเทวดา พระองคท์ รงเป็นชาวยิวและทรงบงั เกดิ ที่เมืองเบ็ธเลเฮม (Bethlehem) แคว้นยูเดยี ปัจจบุ นั อย่ใู นเขต ของกรุงเยรูซาเลม (Jerusalem) ประเทศอสิ ราเอล พระเยซเู ป็นบุตรชายของ โยเซฟ และ มารีย์ แหง่ มคี าแอล ซง่ แย้ จังหวัดยโสธร เมอื งนาซาเรท็ (Nazareth) ซง่ึ อยตู่ อนเหนอื ของอสิ ราเอลในปจั จบุ นั กลา่ วกนั วา่ บดิ ามารดาของทา่ นสบื ๒ สมเดจ็ พระสนั ตะปาปา ฟรังซสิ เชอื้ สายมาจากกษตั รยิ เ์ ดวดิ ทย่ี งิ่ ใหญข่ องชาวยวิ โยเซฟ นน้ั เปน็ ชา่ งไม้ แตง่ งานกบั มารยี ์ หญงิ พรหมจรรย์ ซง่ึ ไดต้ งั้ ครรภพ์ ระเยซโู ดยพระอานภุ าพแหง่ พระเจา้ ในเวลานน้ั จกั รพรรดซิ ซี าร์ ออกสั ตสุ สง่ั ใหม้ กี ารจด พระสันตะปาปา องคท์ ี่ ๒๖๖ ทะเบียนส�ำมะโนประชากรทั่วแผ่นดินในอาณาจักร โยเซฟจึงพามารีย์ออกเดินไปบ้านเกิดคือเมือง ดำ� รงตำ� แหนง่ เมอื่ วนั ท่ี ๑๓ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เบธ็ เลเฮม แตไ่ มม่ ที วี่ า่ งในโรงแรมจงึ ไปพกั กนั ในคอกสตั วข์ องโรงแรม พระเยซคู รสิ ตไ์ ดถ้ อื กำ� เนดิ ณ ทน่ี นั้ ปัจจุบันถือว่าวันท่ีพระเยซูคริสต์ถือก�ำเนิดคือในวันท่ี ๒๕ ธันวาคม (เช่ือกันว่าเป็นการ ก�ำหนดขึ้นภายหลัง) ส่วนปีท่ีเกิดนั้นมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่ คัมภีร์ไบเบ้ิลมีเน้ือหาเกี่ยวกับชีวิตของ พระองคอ์ ยใู่ นพระวรสาร (Gospel) ในวยั เดก็ พระองคอ์ าศยั อยทู่ เ่ี มอื งนาซาเรท็ เมอื่ อายุ ๑๒ ปี พระองคไ์ ด้ เดนิ ทางไปฉลองพระวหิ ารทเี่ ยรซู าเลม็ ณ ทน่ี นั่ พระองคไ์ ดแ้ สดงใหผ้ คู้ นทงั้ หลายไดร้ ถู้ งึ เสน้ ทางทพ่ี ระองค์ จะเตบิ โตไปในอนาคต ด้วยการไปนง่ั ฟังและไถถ่ ามบรรดานักปราชญใ์ นศาสนาของชาวยิวในพระวหิ าร บดิ าและมารดาของพระองคต์ อ้ งตามหาเปน็ เวลาถงึ ๓ วนั พระคมั ภรี ไ์ มไ่ ดบ้ นั ทกึ รายละเอยี ดของพระองค์ มากนกั ในช่วงอายุตั้งแต่ ๑๒ ปี จนถงึ ๓๐ ปี ทราบเพยี งแตว่ ่าพระองคใ์ ช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย มอี าชพี เป็นชา่ งไม้อยูใ่ นบา้ นเกดิ ของมารดาท่พี ากนั ยา้ ยไปอยู่ หลงั จากบิดาเสียชีวติ พระคมั ภรี บ์ อกวา่ พระองค์ ทรงไปทำ� พธิ ลี า้ งบาปทแ่ี มน่ ้�ำจอรแ์ ดนกับยอหน์ บบั ติสท์ (John the Baptist) ซงึ่ เป็นผปู้ ระกาศแก่ชาว อิสราเอลว่าจะมีผู้มาช่วยให้รอดพ้นจากบาปในไม่ช้า และพระองค์เป็นพระแมสซีอาห์ จึงขอให้เตรียม รับเสด็จพระเจ้าทก่ี ำ� ลงั จะมา ขณะทีพ่ ระองค์มีอายไุ ด้ ๓๐ ปี หลงั จากรบั พธิ ลี ้างบาปแลว้ พระองคเ์ ริม่ พนั ธกจิ ทบ่ี งั เกดิ เปน็ มนษุ ย์ เพอื่ มาไถบ่ าปมวลมนษุ ย์ โดยการเดนิ ทางไปยงั ถนิ่ กนั ดาร จำ� ศลี ภาวนา ไมด่ ม่ื กนิ เปน็ เวลา ๔๐ วนั ในช่วงนี้เปน็ ชว่ งทพี่ ระองค์ต้องตอ่ สูก้ บั มารที่มาผจญด้วยการทา้ ทายต่างๆ เพื่อ ยวั่ ยใุ หพ้ ระองคห์ ลงทาง แตใ่ นทส่ี ดุ มารกพ็ า่ ยแพแ้ ละจากไป พระองคจ์ งึ ไดเ้ รม่ิ ออกเทศนาสงั่ สอนสาวกตาม ทต่ี า่ งๆ พระเยซทู รงมสี าวกทใี่ กลช้ ดิ ในรนุ่ แรกทง้ั หมด ๑๒ คน สาวกรนุ่ แรกของพระองคน์ เ้ี ปน็ สามญั ชน สว่ นใหญเ่ ปน็ ชาวประมง พวกเขาไดล้ ะทงิ้ ทกุ อยา่ งในชวี ติ และพากนั ตดิ ตามพระองคไ์ ปในทต่ี า่ งๆ สาวกทงั้ ๑๒ คนนนั้ ไดแ้ ก่ เปโตร (ซโี มน เปโตร) อนั ดรวู ์ ยากอบ (บตุ รเศเบด)ี ยอหน์ ฟลิ ปิ บารโ์ ธโลมวิ โธมสั มทั ธวิ ยากอบ (บตุ รอัลเฟอสั ) ยูดาส (เลบเบอัส, ธัคเคอสั ) ซโี มนผู้รกั ชาติ ยูดาส อสิ คารโิ อท (ซ่งึ เป็นผ้ทู รยศ ขายพระองค)์ สาวกทง้ั ๑๒ คนของพระเยซูน้ี ถกู เรยี กว่า อคั รสาวก (Apostles) ๑ 157
สังคมชาวยิวเวลานั้นอยู่ภายใต้การปกครองและเป็นเมือง ว่าเป็นบุตรของพระเจ้าพร้อมกับดูหม่ินพระเจ้าและศาสนาตามประเพณี ขึ้นของอาณาจักรโรมัน ประชาชนท่ัวไปได้รับความทุกข์นานัปการ ยิว พระองค์ถูกน�ำตัวไปสอบสวนต่อหน้ามหาปุโรหิตและข้าหลวงของ จากหลายสาเหตุ ช่ือเสียงของพระเยซูคริสต์เริ่มเป็นท่ีรู้จักกันมากขึ้น โรมนั ผทู้ ม่ี ชี ื่อว่า ปิลาโต ระหว่างการสอบสวนพระองคถ์ กู โบยและกล่าว เน่ืองจากวิธีการท่ีพระองค์ใช้ในการประกาศความเช่ือคือการช่วยเหลือ ค�ำดา่ ว่าตา่ งๆ ใสร่ า้ ยป้ายสี ปิลาโตเองกม็ องไมเ่ ห็นความผดิ และไมอ่ ยาก ผู้ท่ีเป็นทุกข์จากโรคต่างๆ เช่น คนท่ีเดินไม่ได้หรือเป็นง่อย คนที่ถูกผี เข้าไปยงุ่ กบั กฎศาสนายวิ จึงเอาน�ำ้ มาลา้ งมอื เปน็ สัญลกั ษณ์ประกาศว่า เข้า คนเป็นลมบ้าหมู คนตาบอด คนเป็นใบ้ ให้หายจากโรค ท�ำให้คน ไม่ขอรับผิดชอบในเรื่องนี้ และปล่อยให้ชาวยิวจัดการกันเอง ท้ายท่ีสุด ท้ังหลายเกิดความเล่ือมใสศรัทธาต่อพระองค์ และรับฟังค�ำสอนของ พระเยซถู กู ตดั สนิ ใหป้ ระหารชวี ติ ดว้ ยการตรงึ กางเขนยงั บรเิ วณนอกเมอื ง พระองคเ์ พม่ิ มากข้นึ เรือ่ ย บญั ญัตสิ �ำคัญสูงสดุ คือบัญญัตแิ หง่ ความรัก รัก ณ เนนิ เขา ชอ่ื กัลวารีโอ พระเยซถู ูกประหารพรอ้ มกบั โจร ๒ คน เมือ่ พระเจ้าอย่างสูงสุดโดยการแสดงออกทางความรักต่อเพ่ือนมนุษย์ และ พระองค์ส้ินพระชนม์ บรรดาสาวกได้น�ำศพของพระองค์เข้าไปฝังไว้ใน เน้นศักด์ิศรีการเป็นมนุษย์นั้นเท่าเทียมกันหมด คือการเป็นลูกพระเจ้า ถ้ำ� ในพระคมั ภรี ไ์ ดย้ ืนยันถึงการฟื้นคืนชีพของพระเยซู ๓ วนั หลังจากถูก เนอ่ื งจากพระองคย์ กฐานะคนทตี่ กขอบสงั คมใหม้ คี วามหวงั ในชวี ติ ดงั นน้ั ประหารชวี ติ และการไปปรากฏตัวตอ่ หนา้ สาวกหลายๆ คน กลา่ วกันว่า ค�ำสอนของพระองค์จึงขัดแย้งกับบรรดาธรรมาจารย์ และพวกฟารีสีซ่ึง มีคนเหน็ พระองคก์ วา่ ๕๐๐ คน เป็นเวลา ๔๐ วัน ก่อนจะเสดจ็ กลบั สู่ เป็นกลุ่มท่ีถือความเชื่อตามโมเสสอย่างเคร่งครัด แต่กระท�ำเพ่ือเอาหน้า สวรรค์ หลงั จากนนั้ บรรดาสานศุ ษิ ย์ และบรรดาผทู้ มี่ คี วามเชอ่ื ในพระองค์ เอารดั เอาเปรยี บสงั คม แบบพวกหนา้ ซอ่ื ใจคด ความนยิ มชมชอบตอ่ พระ ได้อยู่ร่วมกันอธิษฐานภาวนาวอนขอพระคุณจากองค์พระจิตเจ้า (Holy เยซูคริสต์ของคนท้ังหลายเพ่ิมมากข้ึน จึงท�ำให้พระองค์ถูกกลุ่มนักบวช Spirit) ต่อมาผู้ท่ีได้รับฟังการเทศนาของเซนต์ปีเตอร์ (นักบุญเปโตร) ท่ี ที่เห็นต่างและไม่พอใจที่พระองค์ได้อ้างว่าเป็นบุตรของพระเจ้าที่จะน�ำ ท�ำหน้าที่เป็นดังหัวหน้าของอัครสาวกทั้งหลายเป็นประจักษ์พยานในค�ำ มนษุ ยไ์ ปสคู่ วามรอด จงึ วางแผนสงั หารพระองค์ ชว่ งเวลาของการเผยแผ่ สอนของพระเยซคู รสิ ต์ ประชาชนเกดิ ความเลอื่ มใสเปน็ จำ� นวนนบั พนั คน คำ� สอนของพระองคด์ ำ� เนนิ ไปในชว่ งเวลาเพยี งแค่ ๓ ปกี อ่ นจะสนิ้ พระชนม์ และเพมิ่ จำ� นวนขน้ึ เรอื่ ยๆ ขณะเดยี วกนั กส็ รา้ งความไมพ่ อใจใหก้ บั ผนู้ ำ� ใน จากการถกู ประหารโดยถกู จบั ตรงึ กางเขน ศาสนายดู ายจนตอ้ งถกู เบยี ดเบยี นทำ� รา้ ยดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ นานา แตก่ น็ บั ในวันที่พระองค์ถูกจับโดยทหารโรมันคืนวันก่อนฉลอง ได้ว่าศาสนาคริสตร์เร่ิมหยั่งรากในจิตใจของผู้คนและเร่ิมแพร่หลายออก เทศกาลปสั กาอันเปน็ เทศกาลของชาวยวิ ที่ระลึกถึงการเดินทางออกจาก ไปในที่ต่างๆ นับแต่นั้นมา บรรดาอัครสาวกที่ส�ำคัญได้แก่ เปโตร หรือ การเปน็ ทาสในประเทศอยี ปิ ต์ ระลกึ ถงึ การขา้ มทะเลแดง (ปสั กา หรอื การ ปเี ตอร์ สนั ตะปาปาองคแ์ รก ยอหน์ ผนู้ พิ นธพ์ ระวรสาร อนั ดรวู ์ อคั รสาวก ข้ามผ่าน Pass over) จากการเปน็ ทาสสู่การเป็นไท ตามประเพณีผคู้ น ฟิลิป อัครสาวก มัทธวิ อัครสาวก โธมัส อคั รสาวก มัทธอี สั ๓ อคั รสาวก จะมารับประทานเนือ้ แกะและขนมปังไม่มีเช้อื ร่วมกัน ในวันนั้นพระองค์ ยากอบ (บตุ รเศเบด)ี หรอื เจมส์ อคั รสาวก ยากอบ (บตุ รอลั เฟอสั ) อคั รสาวก ไดส้ ง่ั ใหอ้ คั รสาวกทงั้ ๑๒ จดั โตะ๊ อาหารตามประเพณี และประกาศในทนี่ นั้ ยดู าส (ธคั เดอสั ) อคั รสาวก บารโ์ ธโลมวิ อคั รสาวก ซโี มน อคั รสาวก เปาโล ว่าจะมีสาวกคนหน่ึงทรยศต่อพระองค์ก่อนจะรับประทานอาหารร่วม อัครสาวก หรือ เซน็ ตป์ อล (Saint Paul) สว่ นสตรใี นยุคแรกๆ ทมี่ ีบทบาท กัน หลังจากรับประทานอาหารค�่ำคร้ังสุดท้าย (The Last Supper มากนอกเหนอื จาก พระนางมารยี ์ มารดาพระเยซคู รสิ ต์ ไดแ้ ก่ มารยี ์ แหง่ ซึ่งต่อมากลายเป็นพิธีมิสซาในปัจจุบัน) แล้วพระองค์ได้พาสาวกไปสวด มกั ดาเลน มารธ์ า ลเิ ดีย ฯลฯ ภาวนาร่วมกันท่ีสวนเยทเซมานี ในเวลาไม่นานยูดาส อิสคาริโอทได้พา ชาวยวิ และทหารโรมนั มาจบั กมุ พระองคด์ ว้ ยขอ้ กลา่ วหาวา่ พระองคอ์ า้ งตน ๓ ได้รับเลอื กจากอัครสาวกท่ีเหลืออยู่ ๑๑ คน เพือ่ แทน ยูดาส อิสคารโิ อท ท่ีทรยศพระเยซู และฆ่าตวั ตายไปในทสี่ ุด 158
159
160
ศาสนธรรม หลกั คำ� สอน หลักปฏบิ ัติ ๒ คมั ภรี ห์ ลักของศาสนาคริสตค์ ือ คมั ภีรไ์ บเบ้ิล (The Bible 161 หรือ Holy Bible) หรือพระคริสตธรรมคัมภีร์ในภาษาไทย ซึ่งมีที่มา จากภาษากรกี โบราณค�ำวา่ บลิบิออน แปลวา่ หนงั สือ คัมภีร์ไบเบิล้ ไมใ่ ช่ หนังสือที่เรียบเรียงเขียนข้ึนมาเป็นเล่มเดียวในคราวเดียว แต่เป็นชุด หนังสือหลายเล่มที่เขียนโดยผู้เขียนหลายคนและเขียนขึ้นในช่วงเวลาท่ี ต่างกัน มีการประมวลชุดหนังสือทั้งหมดน้ันรวมกันเป็นสารบบเรียกว่า สารบบของคมั ภรี ์ (Canon of Scripture) เน้ือหาของคัมภรี ไ์ บเบ้ลิ แยก ออกมาแบ่งออกเป็น ๒ ภาค ได้แก่ ภาคพันธสญั ญาเดมิ (Old Testa- ments) และภาคพันธสัญญาใหม่ (New Testaments) ในภาคพนั ธสญั ญาเดมิ นนั้ ประกอบดว้ ยพระคมั ภรี ท์ ง้ั หมด หากนบั ตามฝ่ายคาทอลกิ มี ๔๖ เลม่ ส่วนโปรเตสแตนท์มี ๓๙ เลม่ เป็น เรื่องราวก่อนที่พระเยซูจะทรงบังเกิดข้ึนในโลก เน่ืองจากศาสนาคริสต์ พัฒนามาจากศาสนายดู ายอันเปน็ ศาสนาดง้ั เดมิ ของชาวยวิ จึงได้รบั เอา คัมภีร์ของศาสนายูดายมาเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิ้ลด้วยโดยอยู่ใน ภาคพันธสัญญาเดิม โดยในคัมภีร์ ๕ เล่มแรกของภาคพันธสัญญาเดิม นบั เปน็ หนง่ึ ชดุ และถอื เปน็ ความเชอ่ื รว่ มกนั ของศาสนาครสิ ตแ์ ละศาสนา ยดู าย ได้แก่ ปฐมกาล อพยพ เลวนี ิติ กนั ดารวถิ ี และ เฉลยธรรมบญั ญัติ โดยรวมเป็นเรื่องราวนับแต่ก�ำเนิดโลกจนไปถึงประวัติศาสตร์ของ มนุษยชาติ และประวัติศาสตร์ของชาวยิว ท่ีอธิบายอิงมิติความเช่ือทาง ศาสนารวมไปถึงกฎเกณฑ์ทางสังคมต่างๆ ของชาวยิวแต่เดิม ประกอบ ไปกบั คมั ภรี อ์ ื่นๆ จนรวมเปน็ พระคัมภีร์ซึ่งมีอย่ใู นปัจจุบนั ๑ พระแท่นในวดั พระคริสตหฤทัยวดั เพลง จงั หวดั ราชบรุ ี พระแท่น (Altar) เป็นสญั ลกั ษณท์ ีแ่ ทนองคพ์ ระเยซู เปน็ สิ่งแรกท่ตี ้องท�ำความเคารพเมือ่ เข้าโบสถ์ มกั คลุมด้วยผา้ ลินินสขี าวเป็นเสมอื นสัญลักษณ์ สอื่ ไปถงึ ผ้าหอ่ พระศพของพระเยซู ๒ นกั บุญเปโตร (หรือเซนต์ปีเตอร์) เดิมชอ่ื ซโี มนเปน็ ๑ ใน ๑๒ อัครสาวก พระเยซไู ด้กลา่ วกับทา่ นว่า “เราจะต้งั ทา่ น เปน็ หวั หนา้ แทนเรา ท้ังจะมอบกญุ แจอาณาจักรสวรรค”์ ดังนัน้ รูปเคารพของทา่ นจะถอื ลูกกญุ แจในมอื ๑
ส่วนภาคพันธสัญญาใหม่ ประกอบด้วยพระคัมภีร์ทั้งหมด ๒๗ เล่ม เป็นเรื่องราวของ พระเยซูไปจนถึงภายหลังการเสด็จข้ึนสู่สวรรค์ของพระเยซู แบ่งออกเป็น ๕ ประเภท ได้แก่ ๑) พระวรสาร ๔ เลม่ ประกอบดว้ ยการบนั ทกึ โดยนกั บญุ มทั ธวิ นกั บญุ มารโ์ ก นกั บญุ ลกู า และ นกั บญุ ยอหน์ ๒) หนงั สอื กจิ การอคั รสาวก เรอ่ื งราวของพระศาสนจกั รในยคุ แรกๆ ๓) จดหมายของเซนตป์ อล ประกอบ ดว้ ยจดหมายนกั บุญเปาโล ท่เี ขียนไปยงั คริสตชนในหลายเมอื ง เช่น ถึงชาวโรม ถงึ ชาวโครนิ ทร์ ถงึ ชาว เอเฟซัส ถึงชาวกาลาเทีย ถึงชาวเทสโลนีกิ ฯลฯ ๔) จดหมายท่ัวไปของสาวกท่านอื่นๆ เพ่ือสอนและ ตกั เตอื นครสิ ตชน ๕) หนงั สอื ววิ รณ์ เขยี นโดย นกั บญุ ยอหน์ อคั รสาวก ทหี่ มายถงึ การเปดิ เผยของพระเจา้ ถึงเร่ืองราวที่จะเกิดขน้ึ ในอนาคต นอกจากคัมภีร์ไบเบิ้ลแล้ว ชาวคริสต์คาทอลิกยังยึดมั่นในธรรมประเพณีอีกด้วย อนั ไดแ้ ก่ การปฏบิ ตั แิ ละบนั ทกึ จากบรรดาปติ าจารย์ ธรรมเนยี มศาสนาทปี่ ฏบิ ตั สิ บื ตอ่ มาอนั เปน็ แบบแผน ยาวนาน อ�ำนาจของสันตะปาปา และสังคายนา ฯลฯ ภายในอาสนวิหารแมพ่ ระปฏสิ นธินริ มล จงั หวดั จันทบุรี 162
หลักค�ำสอนทีส่ �ำคัญของคริสตศ์ าสนา ๗. “เร่ืองอ่ืน ๆ” นอกจากเร่ืองข้างต้น ยังมีค�ำสอนใน ประเด็นต่างๆ ปลีกย่อยไปอีกหลายประเด็น เช่น การตัดสินผู้อ่ืน การ ค�ำสอนของพระเยซคู ริสตป์ รากฏอยู่ในบนั ทึกเรอ่ื งราวของ วิงวอนในพระเจ้า การปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติ การออกเทศนาส่งั สอนซึง่ จดจำ� และบนั ทกึ ไว้โดยอัครสาวก บรรดาสาวก ต่อท่าน เป็นต้น ทเ่ี ลอื่ มใสศรทั ธา แตก่ ม็ ลี กั ษณะปะปนไปกบั เหตกุ ารณต์ า่ งๆ สว่ นคำ� สอน ท่ีเป็นระบบท่ีสุดคือค�ำเทศนาบนภูเขาซึ่งมีผู้จัดกลุ่มค�ำสอนในเร่ืองนี้ไว้ นอกจากน้ี มีผู้ประมวลหลักค�ำสอนที่ส�ำคัญของพระเยซู เปน็ ๗ เร่อื งคอื คริสต์ว่าเป็นค�ำสอนที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของพระเจ้า มนุษย์ และ ๑. “ผเู้ ป็นสขุ ” ท่ีอธบิ ายวา่ ผทู้ ่เี ปน็ สุขนน้ั ต้องมคี ุณสมบตั ิ จรยิ ธรรมทางสงั คม ซงึ่ อาจจ�ำแนกโดยย่อได้เป็น ๓ เรอ่ื งท่เี ป็นหลักคือ ทางจิตใจเป็นอย่างไร เช่น บุคคลใดมีสมถะในจิต ผู้น้ันเป็นสุข เพราะ ๑. หลกั ความเชอื่ เรอ่ื ง พระตรีเอกภาพ (Holy Trinity) แผน่ ดนิ สวรรคเ์ ปน็ ของเขา...บคุ คลใดมใี จกรณุ า ผนู้ นั้ เปน็ สขุ เพราะวา่ เขาจะ ไดพ้ ระกรุณาตอบ... เปน็ ตน้ ศาสนจักรให้ค�ำจ�ำกัดความของ “ตรีเอกภาพ” วา่ หมายถงึ ความเชือ่ เรือ่ งพระเจ้าทรงมี ๓ บคุ คลในองค์เดยี วกัน เชือ่ วา่ นิยามความ ๒. “เกลือดองแผ่นดินและแสงสว่างของโลก” พระเยซู หมายน้ถี อื กำ� เนิดในราวครสิ ต์ศตวรรษที่ ๔ ถึงครสิ ต์ศตวรรษท่ี ๕ และไม่ ใช้สัญลักษณ์จากชีวิตประจ�ำวัน เพื่อสอนว่าผู้ท่ีเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ไดป้ รากฏอยใู่ นคมั ภรี ไ์ บเบลิ้ (หรอื พระครสิ ตธรรม) มาตงั้ แตแ่ รก ภาคทงั้ สาม ค�ำสอนจะเปน็ ผู้ทำ� ประโยชนแ์ ก่โลกและชว่ ยน�ำทางผอู้ ื่นสู่ความรอดดว้ ย ของพระเจ้านั้นได้แก่ พระบิดา (The Father) พระบุตร (The Son) และพระจติ (The Holy Spirit) ซ่งึ หมายถึง พระเจา้ ผู้สร้างสรรพสิง่ และ ๓. “กฎหมายสงั คมใหม”่ เป็นคำ� สอนท่ีบอกว่าพระองค์ไม่ ทรงรกั มนษุ ยม์ ากกวา่ สง่ิ สรา้ งอน่ื ใด พระเยซคู รสิ ตซ์ ง่ึ มฐี านะเปน็ พระบตุ ร ได้เสด็จมาเพอ่ื ลบล้างกฎหมายดง้ั เดมิ ของชาวยวิ แตม่ าท�ำให้สมบูรณข์ ึ้น ของพระเจา้ ทเ่ี สดจ็ มาในโลกนเี้ พอื่ ไถบ่ าปของมนษุ ยผ์ หู้ ลงผดิ ใหก้ ลบั คนื ไป หาพระเจา้ และพระจติ เจา้ ทมี่ พี ลงั อำ� นาจของพระเจา้ เปน็ พลงั ของความ ๔. “กฎแห่งพระอาณาจักรพระเจ้า” เป็นค�ำสอนถึงแนว รักที่เช่อื มพระบิดาและพระบตุ รเข้าด้วยกัน ปฏิบัติและการบ�ำเพ็ญตนเพื่อจะได้ซ่ือสัตย์และมั่นคงในอาณาจักรของ พระเจ้า เนน้ หลัก ๓ ประการคือ การให้ทานทหี่ มายถงึ ความรกั ตอ่ เพอื่ น ๒. หลกั แหง่ ความรกั (Love หรือ Agapé) มนษุ ย์ การภาวนาทห่ี มายถงึ ศรทั ธาตอ่ พระเจา้ การอดอาหารทห่ี มายถงึ การเสยี สละ โดยประยกุ ตจ์ ากการปฏบิ ตั ทิ มี่ อี ยเู่ ดมิ ในประเพณขี องชาวยวิ พระเจา้ คอื องคค์ วามรกั คำ� สอนทส่ี ำ� คญั ดา้ นจรยิ ธรรมของ ศาสนาครสิ ต์ทส่ี งู สดุ คอื ความรกั หมายถึง การมอบชวี ิตท้ังหมดให้ ดว้ ย ๕. “บทภาวนาข้าแต่พระบิดาของเรา” เป็นค�ำสอนถึง รักซ่งึ ใหไ้ มห่ วงั สง่ิ ใดตอบแทน ความเป็นมิตรและความปรารถนาใหผ้ ู้อ่นื การภาวนาในพระเจ้าท่ีมีเนื้อหาสมบูรณ์ หากจะวิเคราะห์หลักธรรมใน มสี ันตคิ วามสขุ คำ� สอนในคมั ภรี ์ไบเบ้ลิ หรอื พระครสิ ตธรรมคมั ภีร์ทง้ั ภาค ศาสนาครสิ ตโ์ ดยสรุปกส็ ามารถวิเคราะห์ได้จากบทภาวนาบทนี้ พันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ล้วนแต่มีค�ำสอนเรื่องความรัก อัน แยกไดเ้ ปน็ ๒ แบบคือ ความรกั ระหวา่ งมนุษยก์ บั พระเจา้ และความรกั ๖. “การไมย่ ดึ มนั่ ถอื มนั่ และความไวใ้ จในพระเจา้ ” คำ� สอน ระหว่างมนษุ ยก์ บั มนุษย์ เชน่ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรกั ตนเอง” การให้ นสี้ อนเรอื่ งการละซง่ึ ความโลภในทรพั ยส์ นิ และสมบตั ติ า่ งๆ ในโลกนี้ และ อภยั แม้แตศ่ ตั รู ฯลฯ มงุ่ ใหส้ ะสมสมบัติในสวรรค์ 163
๓. หลกั อาณาจักรของพระเจา้ ๑. อาณาจักรของพระเจ้า คอื ศาสนจักรหรือดินแดนท่เี ตม็ ค�ำสอนเร่ืองอาณาจักรของพระเจ้าเป็นค�ำสอนท่ีสืบเนื่อง ไปด้วยความรักและความสุขในโลกน้ี มาจากแนวคิดของชาวฮิบรู หรือชาวยิว ซ่ึงอพยพตามโมเสสมาใน ๒. อาณาจกั รของพระเจา้ คอื สวรรค์ท่ีอย่เู หนอื โลก ดนิ แดนปาเลสไตน์ ชาวยวิ เรยี กตนเองวา่ อสิ ราเอล อนั เปน็ ชอ่ื ของหลาน ชายของอับราฮัม ต้นตระกูลของชาวยิว หมายถึงผู้ปล้�ำสู้กับพระเจ้า ๓. อาณาจักรของพระเจ้า คืออาณาจักรแห่งความรักและ ศาสนาทชี่ าวยวิ นบั ถอื คอื ศาสนายดู าย อนั เปน็ ศาสนาทสี่ มั พนั ธก์ บั ศาสนา สนั ติสขุ ภายในจิตใจของมนษุ ยใ์ นปจั จุบันขณะ ครสิ ตอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ ศาสนายดู ายเชอื่ วา่ พระเจา้ เปน็ กษตั รยิ แ์ หง่ สวรรค์ และ อาณาจกั รของพระเจา้ ยงั ไมป่ รากฏแกโ่ ลกมนษุ ย์ สว่ นคำ� สอนของพระเยซู อย่างไรก็ตาม ชาวคริสต์มีความเชื่อว่า จะมีวันส้ินพิภพ ในเร่ืองอาณาจักรของพระเจ้า เป็นค�ำสอนหลักเร่ืองหน่ึงที่พระเยซูให้ พระเยซคู รสิ ตจ์ ะเสดจ็ มาอกี ครงั้ หนงึ่ เพอ่ื พพิ ากษาทงั้ ผทู้ ยี่ งั มชี วี ติ และวญิ ญาณ ความสำ� คญั เปน็ พเิ ศษ โดยเนน้ วา่ ความดตี า่ งๆ ทบ่ี คุ คลไดท้ ำ� แลว้ จะเปน็ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ความยุติธรรมและสันติสุขท่ีแท้จริงน้ันอยู่ในอาณาจักร สงิ่ ทน่ี ำ� พาบคุ คลนน้ั ใหไ้ ปสอู่ าณาจกั รของพระเจา้ ไมว่ า่ จะในโลกนห้ี รอื โลก พระเจ้า ไม่ใช่ในโลกนี้ ชาวคริสต์เชื่อเร่ืองการถูกพิพากษาคร้ังสุดท้าย (The Last Judgement) หนา้ คำ� สอนเรอ่ื งอาณาจกั รของพระเจา้ ในคมั ภรี ไ์ บเบล้ิ ภาคพนั ธสญั ญาใหม่ มนี กั พระคมั ภรี ต์ คี วามออกมาหลายนยั ดงั มผี สู้ รปุ ออกมาเปน็ ๓ นยั ไดแ้ ก่ รูปปั้นของพระแมม่ ารยี ส์ วมมงกฎุ พรอ้ มกบั อมุ้ พระเยซูในวยั เยาว์ มงกฎุ เปน็ สัญลกั ษณ์แสดงถงึ ชยั ชนะหรือเชือ้ สายแหง่ กษตั ริย์ มงกฎุ ของพระแม่แสดงถงึ ความเปน็ ราชินแี ห่งสวรรค์ ด้านหลงั เปน็ ภาพมรณสกั ขีชาวไทยทั้ง ๖ ท่าน วดั สองคอน จังหวัดมุกดาหาร 164
ศาสนสถาน ศาสนวตั ถุ ศาสนสถานท่ีใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ ของศาสนาคริสต์ แยกย่อยออกไปไดห้ ลายแบบ ซึ่งจะยกตวั อยา่ งมาจ�ำนวนหน่ึง ไดแ้ ก่ มหาวิหาร (Basilica) ปกติแล้วจะเป็นสถานที่ศักด์ิสิทธิ์ที่ประจ�ำต�ำแหน่งของ พระสันตะปาปา หรือเป็นวัดท่ีมีความส�ำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งพระ ศาสนจักร และสันตะปาปาได้สถาปนาฐานันดรให้เป็น Basilica เช่น มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ มหาวิหารเซ็นต์จอห์น แห่งลาเตรัน มหาวิหาร ซางตา มารอี า มาร์จอเร่ มหาวหิ ารเซ็นตป์ อล นอกกำ� แพงกรงุ โรม ฯลฯ อาสนวหิ าร (Cathedral) เป็นโบสถ์ประจ�ำต�ำแหน่งของพระสังฆราชประจ�ำท้องถ่ิน ถือเปน็ โบสถแ์ มป่ ระจ�ำสงั ฆมณฑล พระสังฆราชทอ้ งถิ่นอภบิ าลประกาศ ส่ังสอนและบริหารงานในเขตปกครองจากอาสนวิหารแห่งนี้ เป็น สญั ลกั ษณข์ องอำ� นาจพระสงั ฆราชในฐานะผอู้ ภบิ าล (Pastor) อาสนวหิ าร จะมอี าสนะหรอื บลั ลงั กท์ ป่ี ระทบั (Cathedra)ของพระสงั ฆราชประดษิ ฐาน อยู่ อาสนวิหารในประเทศไทยก็มีอยู่ทุกเขตปกครองสังฆมณฑล เช่น อาสนวิหารอัสสัมชัญ (Assumption Cathedral) บางรัก กรุงเทพฯ ซึ่งใช้เป็นท่ีพักของพระคาร์ดินัลและประมุขมิสซังในประเทศไทย ๑ อาสนวหิ ารแมพ่ ระปฏสิ นธนิ ริ มล จนั ทบรุ ี อาสนวหิ ารพระหฤทยั พระเยซเู จา้ เชยี งใหม่ อาสนวิหารนักบญุ ราฟาแอล สรุ าษฎรธ์ านี ฯลฯ ๑ โบสถ์วัดแมพ่ ระลกู ประคำ� (กาลหวา่ ร)์ กรุงเทพมหานคร ๒ โบสถ์เวยี งเชียงราย จังหวัดเชียงราย ๒ 165
166
โบสถ์ หรือวัด (Church) อาคารส่ิงก่อสร้างในทางศาสนาคริสต์ที่สร้างขึ้นด้วยน�้ำมือ มนุษย์นั้น อาจกล่าวได้ว่าไม่ได้เป็นวิหารหรือโบสถ์ท่ีแท้จริง ในเชิง เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์หรือ “บ้านของพระเจ้า”ส�ำหรับ สัญลักษณ์แล้วความเป็นมนุษย์หรือมนุษยภาพของพระเยซูคริสต์ถือเป็น ประกอบศาสนพิธี เพื่อประโยชน์ของคริสต์ศาสนิกชน ปกติการสร้าง วิหารของพระเจ้า คริสต์ศาสนิกชนทุกๆ คนก็เป็นวิหารของพระจิตเจ้า โบสถ์จะต้องได้รับอนุญาตจากพระสังฆราชท่ีปกครองเขตหรือพื้นที่น้ันๆ ด้วยผ่านทางพิธีกรรมศีลล้างบาป และยังถือว่า พระตรีเอกภาพประทับ (Parish church) อย่างเป็นทางการก่อน การสร้างโบสถ์จะต้องมีการ อยใู่ นคนที่รับศลี ล้างบาปทกุ คน เสกและให้ชอ่ื (Title) ส�ำหรบั โบสถน์ ้ันๆ ซงึ่ ชือ่ ดังกลา่ วจะคงอยู่ไปตลอด ไม่มีการเปลี่ยน โบสถ์นั้นจะหมดหน้าที่ต่อเม่ือเกิดความเสียหายอย่าง โบสถ์ยังมีองค์ประกอบหลายอย่างทั้งที่เป็นลักษณะของ มากไม่อาจจะซ่อมแซมหรือบูรณะได้อีก แต่ยังสามารถจะปรับเปลี่ยนไป การออกแบบบเชิงสถาปัตยกรรมของอาคารและพ้ืนที่ หรือรูปแบบการ ทำ� ประโยชน์หรือหน้าที่อน่ื ๆ ไดห้ ากไดร้ บั อนญุ าต แตเ่ ดมิ ในยคุ เรมิ่ แรกชาว ประดับตกแต่ง รวมไปถึงวัตถสุ ญั ลักษณ์ตา่ งๆ ท่ใี ชใ้ นโบสถ์ ซง่ึ เชอ่ื มโยง ครสิ ตไ์ ปประกอบศาสนพธิ กี นั ตามบา้ นเรอื นของครสิ ตศ์ าสนกิ ชนดว้ ยกนั เอง ไปยังแนวคดิ ของศาสนา เช่น ครสิ ตศ์ าสนกิ ชนในนกิ ายโรมนั คาทอลกิ ชาวไทยนยิ มเรยี กโบสถว์ า่ วดั เชน่ วดั แมพ่ ระลูกประค�ำ (กาลหวา่ ร์) วดั เซนตห์ ลยุ ส์ สาทร เป็นต้น รูปแบบ ลานหนา้ โบสถ์ (Church Courtyard) โบสถ์สว่ นใหญม่ กั มี สถาปตั ยกรรมมกั เปน็ แบบยโุ รป สำ� หรบั นกิ ายโปรเตสแตนทจ์ ะเรยี กโบสถ์ ลานหน้าโบสถ์ทเี่ ปน็ เหมอื นพื้นที่ตอ้ นรับผู้ทจ่ี ะมาประกอบพิธีกรรม บาง วา่ ครสิ ตจกั ร เชน่ ครสิ ตจกั รไมก้ างเขน ครสิ ตจกั รแหง่ ความหวงั ครสิ ตจกั ร ท่ีกใ็ ชป้ ระกอบพิธีกรรมดว้ ย การมีพน้ื ทตี่ รงกลางกอ่ นเขา้ สู่โบสถ์เปน็ สิ่งที่ รวมพระพร เปน็ ตน้ ลกั ษณะสถาปตั ยกรรมออกแบบใหเ้ หน็ ความเรยี บงา่ ย จะชว่ ยใหผ้ ทู้ มี่ าประกอบพธิ กี รรมไดป้ รบั ตวั ปรบั ใจจากชวี ติ ปกตทิ มี่ คี วาม ไมเ่ นน้ รปู เคารพหรอื รปู ปน้ั มกั จะมไี มก้ างเขนเรยี บๆ ประดบั เพอ่ื แสดงถงึ วนุ่ วายเข้าสูพ่ นื้ ท่แี ห่งความสงบ สถานทท่ี างศาสนา บรเิ วณสกั การะสถานท่ศี กั ดิส์ ิทธิ์ (Sanctuary) หรือบริเวณ วดั นอ้ ย (Private chapel) พระแท่นบูชา ภายในโบสถ์มักจะจัดพื้นที่แยกออกไปเป็นสัดส่วน ออก หา่ งจากพื้นทท่ี ค่ี ริสต์ศาสนิกชนมาใช้กัน เพราะเปน็ พนื้ ท่ีท่พี ระสงฆ์ หรอื เป็นสถานที่ก�ำหนดไว้ส�ำหรับประกอบศาสนพิธีเพ่ือ บาทหลวงประกอบพธิ ีกรรม มกี ารตง้ั พระแท่น (Altar) ไวเ้ ปน็ ศูนย์กลาง ประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบางคน ไม่ใช้เพื่อการอื่นนอกจาก ของการฉลองพิธีบชู าตา่ งๆ และใช้วัสดุในการกอ่ สร้างใหม้ คี วามงามและ ศาสนพิธี พระสงั ฆราชแต่ละองค์ สามารถมวี ดั นอ้ ยเปน็ ของตนเองได้ แต่ เหมาะสมมากที่สุด มีบรรณฐาน (Lectern) ตั้งประกอบอยู่เพ่ือใช้วาง ถา้ จะให้วัดนอ้ ยนี้เป็นประโยชนส์ �ำหรับคริสต์ศาสนกิ ชนอนื่ ด้วย ก็ต้องได้ หนงั สอื พระคัมภีร์ ซึง่ บรรณฐานน้จี ะจัดสร้างข้นึ ในลกั ษณะที่พเิ ศษและมี รับอนญุ าตจากพระสงั ฆราชผปู้ กครองก่อน เชน่ วดั นอ้ ยในโรงพยาบาล เอกลักษณ์ เพ่ือแสดงออกว่าเป็นท่ีประทับของพระวาจาพระเจ้า โบสถ์ประจ�ำสถาบัน หรอื วดั เล็ก (Oratory) หอระฆงั (Bell Tower) และระฆังโบสถ์ (Bell) โดยทัว่ ไป โบสถ์มักจะมีหอระฆัง เพื่อใช้เสียงเป็นสัญญาณเรียกคริสต์ศาสนิกชนให้ เป็นโบสถ์ประจ�ำโรงเรียน มหาวทิ ยาลยั โบสถป์ ระจำ� บ้าน มาชมุ นมุ กนั ในวนั พระเจา้ หรอื เปน็ สญั ญาณถงึ วนั ฉลองและสมโภชตา่ งๆ นกั บวชตา่ งๆ ฯลฯ เปน็ สถานทีม่ ีลกั ษณะย่อยลงมาอีก สำ� หรับประกอบ รวมทง้ั เปน็ การสอ่ื สารใหท้ ราบถงึ วาระตา่ งๆ ดว้ ยการใชส้ ญั ญาณการเคาะ ศาสนพธิ เี พอ่ื ประโยชนข์ องกลมุ่ ครสิ ตศ์ าสนกิ ชนบางกลมุ่ ครสิ ตศ์ าสนกิ ชน ระฆงั เชน่ ระฆงั เข้าโบสถ์วันธรรมดา ระฆังพรหมถอื สาร ระฆังวันสมโภช คนอื่นๆ สามารถเข้ารว่ มศาสนพิธีในโบสถป์ ระจ�ำสถาบนั (Oratory) ได้ ระฆงั ผู้ตาย ฯลฯ ถา้ ผ้ดู ูแลของสถาบนั นั้นยินยอม มลี กั ษณะใกล้เคยี งกับวัดนอ้ ย 167
นอกจากศาสนสถานแลว้ ครสิ ตศ์ าสนายงั มศี าสนวตั ถตุ า่ งๆ รปู ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ เชน่ เดยี วกบั อกี หลายๆ ศาสนา จะขอยกมาเปน็ ตวั อยา่ งบางประเภท เชน่ คริสต์ศาสนามีการใช้รูปศักด์ิสิทธ์ิเป็นเสมือนส่ิงกระตุ้น ไม้กางเขนและรปู พระเยซูถกู ตรึงบนกางเขน เตือนคริสต์ศาสนิกชนให้เกิดศรัทธาและท�ำการตอบสนองต่อความเชื่อ ความศรทั ธานนั้ รปู ศกั ดส์ิ ทิ ธเิ์ หลา่ นนั้ อาจจะเปน็ รปู ปน้ั หรอื รปู วาดทเี่ ปน็ เป็นสัญลักษณ์ในศาสนาคริสต์เก่าแก่และแพร่หลายที่สุด ส่ือไปถึงความศกั ดส์ิ ทิ ธิใ์ นศาสนา เชน่ พระรูปของพระเยซู พระแมม่ ารีย์ สัญลักษณ์หนึ่ง แม้ว่าจะพบสัญลักษณ์กางเขนได้ในหลายศาสนา แต่ และนักบุญที่ได้รับการเคารพนับถือ ในโบสถ์ยังนิยมตกแต่งด้วย ส�ำหรับศาสนาคริสต์ ไม้กางเขนใช้เป็นสื่อสัญลักษณ์ไปถึงพระเยซูคริสต์ รปู สิบสภ่ี าค (Stations of the Cross) อนั หมายถึงรปู แสดงเรือ่ งราวของ ได้ดีที่สุด เพราะทรงถกู ลงโทษให้ตรงึ พระองค์ไว้บนไมก้ างเขนจนสนิ้ ชวี ิต พระเยซตู อนถูกตรงึ กางเขน กล่าวกันว่าไม้กางเขนถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์มาตั้งแต่ราว คริสต์ศักราชที่ ๒๐๐ นอกจากน้ี ยังเป็นเคร่ืองหมายของศาสนาคริสต์ ทก่ี ลา่ วมาเปน็ แบบแผนธรรมเนยี มของนกิ ายโรมนั คาทอลกิ การชดใช้บาป ความรอดจากบาป และการทศ่ี าสนาครสิ ตช์ ว่ ยไถบ่ าปให้ เป็นส่วนมาก แต่เน่ืองจากคริสต์ศาสนาในประเทศไทยมีอยู่หลายนิกาย แกม่ นุษย์ ไมก้ างเขนมหี ลายรูปแบบ แต่ละนิกายจะมีแบบแผนการปฏิบัติแตกต่างกันไป ในส่วนของโบสถ์ นิกายโปรเตสแตนท์ มักจะมีลักษณะเรียบง่ายไม่เน้นความหรูหรา เน้น ประโยชนใ์ ชส้ อยคอื การเทศนาฟงั ธรรมเปน็ หลกั ในประเทศไทยบางแหง่ ก็มลี ักษณะสถาปัตยกรรมท้องถิ่นปะปนดว้ ย ภาพประดบั กระจกสีทโ่ี บสถว์ ดั ซางตาคร้สู กรุงเทพมหานคร เลา่ เร่ืองอบั ราฮมั ถกู พระเจ้าลองใจให้บูชาพระเจา้ ดว้ ยบุตรของตนเอง 168
169
ศาสนพิธี วนั สำ� คญั ทางศาสนา ศาสนาคริสต์ในประเทศไทยน้ันประกอบไปด้วยหลายนิกาย จึงมีแบบแผนธรรมเนียมใน การปฏิบัติศาสนกิจไม่เหมือนกันไปทั้งหมด ในฝ่ายของนิกายโรมันคาทอลิกมีพิธีกรรมหลักอยู่ ๗ พิธี ซงึ่ เรียกวา่ ศีลศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ (Sacraments) ซึง่ เปน็ สัญลักษณ์ภายนอก ทเี่ ป็นเคร่อื งมอื เพ่อื ส่ือไปถงึ การรับ พระพรจากพระเจ้าทางชีวิตฝ่ายจิต กล่าวคือพระเจ้าประทับอยู่เพ่ือช่วยให้ชีวิตรอดต้ังแต่เกิดจนตาย ได้แก่ ๑. พิธีรับศีลล้างบาป (Baptism) เป็นพิธีกรรมในการรับผู้มีศรัทธาเข้าเป็นชาวคริสต์ บางทีก็เรียกกันว่า ศีลจุ่ม โดยเฉพาะเวลาท�ำพิธีให้กับเด็กทารก ทารกนั้นจะถูกจุ่มลงไปในน�้ำเม่ือยาม รับศลี ที่มาของศลี ลา้ งบาปน้มี าจากความเช่อื ทว่ี า่ มนษุ ย์ท้ังหลายเกิดมาพร้อมกับบาปกำ� เนดิ (original sin) หรือความโน้มเอียงทท่ี ำ� บาปเพราะชวี ิตมนษุ ยไ์ มม่ ีความสมบรู ณ์ ซึ่งเป็นมรดกมาจากมนษุ ยค์ ู่แรก ของโลก คอื อาดัมและเอวา ได้ทำ� การละเมดิ คำ� สั่งของพระเจ้า คริสตศ์ าสนิกชนมักจะน�ำเด็กทเ่ี กิดใหม่ ไปรบั ศลี ล้างบาปโดยมี “พ่อทูนหวั ” (Godfather) และ “แมท่ ูนหัว” (Godmother) มาร่วมพิธดี ว้ ย เน่ืองจากท้งั สองคนจะเป็นผรู้ ับผิดชอบการเลีย้ งดใู หเ้ ด็กนั้นเติบโตขึ้นมาอย่างมีความศรทั ธาตอ่ ศาสนา 170
๑ ๒. พธิ รี บั ศีลมหาสนิท (Eucharist or Holy Communion) เป็นพธิ กี รรม หลักอย่างหน่ึงของนิกายโรมันคาทอลิก พิธีกรรมน้ีเป็นการร�ำลึกถึงอาหารม้ือสุดท้าย (The ๒ Last Supper) ที่พระเยซูทรงรับประทานร่วมกับบรรดาสาวกใกล้ชิด ๑๒ ท่าน ก่อนถูกจับ ๑ พิธรี บั ศีลมหาสนทิ ตรึงกางเขน ในวันดังกล่าวพระเยซูได้ทรงหยิบขนมปังหักแบ่งให้ผู้ร่วมมื้ออาหารและเปรียบ ๒ พธิ รี ับศีลก�ำลัง ว่าเปน็ กายของพระองค์ ทมี่ อบให้ทุกคนเพือ่ ระลึกถงึ พระองค์ จากนัน้ ทรงหยิบถว้ ยเหลา้ องุน่ มาเทแบ่งให้ทุกคนในท�ำนองเดียวกัน โดยกล่าวว่าเป็นเหมือนกับโลหิตของพระองค์ ดังนั้น ผเู้ ขา้ รว่ มการรบั ศลี มหาสนทิ จะประกอบพธิ กี รรมทเี่ รยี กวา่ “มสิ ซา” โดยการรบั เอาขนมปงั และ เหล้าองุ่นมารับประทานร่วมกัน อันเป็นสัญลักษณ์ว่าได้รับเอาพระวรกายและพระโลหิตของ พระเยซเู จา้ เขา้ ไปเปน็ หนง่ึ เดยี วกบั ตน กลายเปน็ ประชากรของพระเจา้ และมคี วามเชอื่ มโยงกบั ครสิ ตศ์ าสนกิ ชนคนอน่ื ดว้ ยสายสมั พนั ธแ์ หง่ ความรกั ทมี่ ตี อ่ กนั ครสิ ตชนคาทอลกิ เชอ่ื แนน่ อนวา่ พระเยซูครสิ ต์ประทับอยู่จริงในปจั จบุ นั ในพิธบี ชู าขอบพระคณุ หรือพิธีบชู ามสิ ซา พิธนี ี้ปกติ พระสงฆ์คาทอลิกกระท�ำทุกวัน โดยเฉพาะในวันอาทิตย์เป็นวันท่ีระลึกถึงพระเยซูคริสต์กลับ คืนพระชนมชพี อาจมพี ิธหี ลายรอบเพือ่ บรกิ ารสตั บุรุษเพอ่ื การฟังพระวจนะพระเจ้า ฟงั เทศน์ อธิษฐานสรรเสริญพระเจ้าพรอ้ มกัน และการรับแผน่ ขนมปงั ทรงชีวิต อาหารฝ่ายจติ พธิ ีกรรม มีความเข้มข้นโดยเฉพาะช่วงเทศกาลส�ำคัญทางศาสนาคือ ในช่วงต้นเดือนธันวาคม โอกาส ครสิ ตสมภพ และชว่ งประมาณมนี าคมหรอื เดอื นเมษายน ซง่ึ เปน็ เทศกาลสมโภชปสั กาทเ่ี ปน็ การ รำ� ลกึ ถึงวนั คนื ชีพของพระเยซคู รสิ ต์ หรือเทศกาลอีสเตอร์ (Easter) ๓. พธิ ีรับศลี ก�ำลงั (Confirmation) พธิ ีกรรมน้ีเป็นการสอ่ื ให้เห็นวา่ พระพร นานัปการของพระจิตเจ้าประทับอยู่กับผู้ท่ีเข้าพิธีการเป็นคริสต์ศาสนิกชนอย่างสมบูรณ์ พร้อมท้ังเป็นการยืนยันถึงความเช่ือและศรัทธาของบุคคลน้ันๆ ว่าจะเป็นชาวคริสต์ท่ีแท้จริง และพร้อมท่ีจะประกาศโดยการเป็นพยานแห่งการเจริญชีวิต โดยในการท�ำพิธีจาก พระสังฆราช หรือบาทหลวงผู้ประกอบพิธีจะน�ำเอามือไปวางบนศีรษะของผู้เข้าร่วมพิธีและ เจิมน้�ำมนั ทห่ี นา้ ผากเปน็ รูปไม้กางเขน ปกตนิ �ำ้ มนั มะกอกเปน็ สญั ลกั ษณ์ภายนอกบง่ ถึงการให้ พละก�ำลงั ให้เขม้ แขง็ น้ำ� มันน้ีไดร้ บั การเสกให้ศักดส์ิ ิทธิ์ เรียกวา่ น�ำ้ มนั ครสิ มา ๔. พิธีรับศีลแก้บาปหรือศีลอภัยบาป (Penance or Sacrament of Reconciliation) เปน็ พธิ กี รรมทท่ี ำ� ใหค้ รสิ ตศ์ าสนกิ ชนทไ่ี ดป้ ระพฤตผิ ดิ ไปแลว้ สามารถทจ่ี ะ กลบั ใจเรม่ิ ตน้ ชวี ติ ใหมไ่ ด้ ไมต่ อ้ งสนิ้ หวงั เพราะพระเจา้ ทรงใหโ้ อกาสอยเู่ สมอ ทำ� ใหม้ นษุ ยส์ ามารถ “คนื ดี” กับพระเจ้าได้อยูต่ ลอด การแกบ้ าปจะกระทำ� กับบาทหลวงทเ่ี ป็นตัวแทนของพระเจา้ ทจี่ ะอ้างอ�ำนาจของพระองค์ในการใหอ้ ภัยต่อบาปทค่ี นท้งั หลายไดท้ �ำลงไป การสารภาพบาป มกั จะท�ำพร้อมๆ กันกอ่ นพธิ บี ชู ามสิ ซา 171
๕. พธิ รี ับศีลสมรส (Matrimony) เปน็ พิธกี รรมทจ่ี ะท�ำการผูกผนั หญิงชายไว้ด้วยกัน การประกอบพิธีกรรมจะกระท�ำโดยบาทหลวง ดังน้ันการท�ำ พิธีการสมรสจึงกลายเป็นพิธีศักดิ์สิทธ์ิทางศาสนา เมื่อสมรสกันไปแล้วการหย่าจะ เป็นเรอ่ื งตอ้ งหา้ ม เหตุเพราะในครสิ ตศ์ าสนาความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาเป็น ความสมั พนั ธต์ ามกฎของพระเจา้ ครอบครวั ทคี่ สู่ มรสแตล่ ะคตู่ ง้ั ขน้ึ มาจงึ เปน็ สถาบนั ศักด์ิสิทธ์ิ เป็นความสัมพันธ์ที่ยกเลิกไม่ได้ พิธีกรรมการแต่งงานจะท�ำระหว่างพิธี มิสซา บาทหลวงจะไปอยหู่ นา้ คู่บา่ วสาวและจะมพี ยานเป็นชายหญงิ อีกค่หู นง่ึ เมือ่ บาทหลวงประกาศความเปน็ คแู่ ตง่ งานไปแลว้ จะมกี ารแลกแหวนทม่ี กี ารเสกแลว้ ให้ ระหวา่ งกนั ความศักดิ์สิทธขิ์ องการสมรสอย่ทู ีค่ บู่ ่าวสาวใหค้ �ำม่นั สญั ญาดว้ ยตนเอง ๑ ว่าเขาท้ังสองจะเป็นเลือดเน้ือเดียวกัน ยกย่องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ท้ังในยาม ทุกข์ ยามสุข เวลาเจบ็ ไขห้ รือเวลาสบายดี จนตลอดชวี ติ การสมรสจงึ ต้องมใี จอสิ ระ ๖. พิธีรับศีลบวช (Ordinations) เป็นพิธีกรรมในการรับผู้ท่ีจะ ปวารณาตวั เขา้ เปน็ ศาสนบรกิ รของศาสนจกั รและรบั ใชป้ ระชากรพระเจา้ ผทู้ จี่ ะเขา้ รบั การบวชเปน็ บาทหลวงได้ ตอ้ งผา่ นการรบั ศลี ลา้ งบาปและศลี กำ� ลงั มาแลว้ และมี คุณสมบัติในเรื่องการมีศีลธรรมอันดีพร้อมทั้งเช่ือมั่นว่าตนเองได้รับการดลใจจาก พระเจ้าให้มาเป็นสมาชิกศาสนบริกรพิเศษของศาสนจักร ซ่ึงการบวชน้ันมีหลาย ข้นั ตอน และหลายระดับ ๗. พิธีรับศีลเจิมคนไข้ (Anointing of the Sick) เปน็ พิธกี รรมที่ สืบเน่ืองมาจากสมัยก่อนที่มุ่งหมายจะให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาท้ังทางกายและทาง วญิ ญาณ แตเ่ ดิมจะเปน็ ญาตพิ ่นี อ้ งของผ้ปู ว่ ยท่เี จมิ เขาด้วยน�ำ้ มันศกั ดิ์สิทธ์ิ แตห่ าก ผ้ปู ่วยมอี าการหนกั จะเจมิ โดยพระสงั ฆราชหรอื บาทหลวง พธิ ีกรรมจะเรมิ่ ดว้ ยการ อา่ นพระคมั ภรี ์ การเทศนเ์ พอื่ เตอื นใจ จากนน้ั จงึ ทำ� การปกมอื เหนอื ศรษี ะผปู้ ว่ ย กอ่ น จะเสกน้�ำมันและน�ำน้�ำมันนั้นมาเจิมท่ีหน้าผากและมือเพ่ือขอให้เขามีก�ำลังทางจิต วญิ ญาณ และแนว่ แนใ่ นความเชือ่ แม้ทนทุกขจ์ ากความเจ็บปว่ ย สว่ นในฝา่ ยของนกิ ายโปรเตสแตนทถ์ อื วา่ ศลี ลา้ งบาปและศลี มหาสนทิ มีความส�ำคัญมากกว่าเร่อื งอื่นๆ นอกนนั้ ชาวครสิ ต์ โดยเฉพาะคาทอลกิ ยงั มพี ธิ กี รรมอน่ื ๆ อกี มากมาย เชน่ การสวดทำ� วตั ร การเข้าเงยี บ พิธปี ฏญิ าณตนเป็นนักบวชคณะต่างๆ เพื่อรบั ใช้ ๒ พระเจา้ และเพอื่ นมนษุ ยต์ ามจติ ตารมณข์ องผตู้ งั้ คณะนกั บวช อธษิ ฐานภาวนา ฯลฯ 172
๑ พธิ รี ับศีลสมรส เทศกาลสำ� คัญของศาสนาคริสต์ ๒ พิธรี บั ศลี บวช ๓ พิธีกรรมในโบสถว์ ัดซางตาครู้ส คริสต์ศาสนิกชนมีวันส�ำคัญหรือเทศกาลส�ำคัญทางศาสนาอยู่เป็น จ�ำนวนไม่น้อย ในท่ีน้ีจะยกกล่าวเป็นบางวันหรือเทศกาล ทั้งในส่วนของนิกาย กรงุ เทพมหานคร โรมนั คาทอลกิ และนกิ ายโปรเตสแตนท์ ๓ 173
เทศกาลคริสต์มาส (Christmas) หรอื วันสมโภช เทศกาลปัสกาของคริสต์ หรอื อสี เตอร์ (Easter) พระคริสตสมภพ (Feast of the Nativity) เทศกาล “ปสั กา” (Pasqua) แตเ่ ดมิ เปน็ การฉลองของชาวยวิ จัดขึ้นเป็นประจ�ำทุกปีในวันท่ี ๒๕ ธันวาคม เพ่ือเฉลิม โดยมีพิธีการกินขนมปังไร้เช้ือกับเนื้อแกะ ในภาษาฮิบรู แปลว่า การ ฉลองการประสูติของพระเยซูคริสต์ ค�ำว่า “คริสต์มาส” เป็นค�ำทับ ขา้ มหรอื การกระโดดผา่ น เพอื่ ระลกึ ทพี่ ระเจา้ ชว่ ยใหพ้ วกเขารอดพน้ จาก ศัพท์ภาษาอังกฤษ มีท่ีมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า “Christes การเปน็ ทาสของชาวอยี ปิ ต์ แตเ่ ทศกาลปสั กาของชาวครสิ ต์ เปน็ การฉลอง Maesse” หมายถึงการบูชามิสซาของพระคริสต์ ธรรมเนียมการเฉลิม เหตกุ ารณท์ พ่ี ระเยซู ทรงไถบ่ าปของมนษุ ยด์ ว้ ยการยอมการรบั ทรมานจน ฉลองน้ีมาจากการฉลองของพระเสาร์ (Saturn) และเรยี กเทศกาลเฉลิม สนิ้ พระชนม์ และการฟน้ื คนื ชพี ซง่ึ เหตุการณ์ดังกลา่ ว โดยมเี ครอื่ งหมาย ฉลองน้ีว่า “Saturnalia” เร่ิมตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมจนถึงวันที่ ๑ ผ่านจากความตาย และกลับคืนชีพเป็นสัญลักษณ์ของการ “ข้ามผ่าน” มกราคมของทุกปี พอมาถึงรัชสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนตินท่ีนับถือ จากความทุกข์สู่ความยินดี จากบาปและความตายสู่ชีวิตใหม่ เทศกาล ศาสนาคริสต์ จงึ กำ� หนดให้วนั ที่ ๒๕ ธนั วาคมของทกุ ปีเปน็ วันฉลองการ น้ีมชี ือ่ เรียกในภาษาองั กฤษวา่ อีสเตอร์ (Easter) ในวันดังกลา่ วจะมีการ ประสูติของพระเยซู ดังน้ันประเพณีน้ีจึงเร่ิมจากกรุงโรมนับต้ังแต่คริสต์ ฉลองด้วยการกินไก่งวงและไข่ ในพระศาสนจักรเริ่มแรกน้ัน ไข่ได้เคย ศตวรรษท่ี ๔ ในปัจจุบันเทศกาลนี้เป็นเทศกาลที่ผู้คนทั่วโลกท้ังคริสต์ หา้ มรบั ประทานเปน็ อาหาร ระหวา่ งเทศกาลมหาพรต แตเ่ มอ่ื จบเทศกาล ศาสนิกชนและคนอ่ืนๆ ถือเป็นเทศกาลของการให้ของขวัญระหว่าง มหาพรตแล้ว คริสตชนก็ต่างดีใจ ที่จะได้กินไข่อีกครั้งหนึ่ง และตั้งแต่ นั้นมา กเ็ ป็นประเพณีกินไขอ่ สี เตอร์ และแจกไขใ่ นเวลาตอ่ มา ปจั จุบันจะ กัน มีการประดับตบแต่งต้นคริสต์มาสให้สวยงามเพ่ือการเฉลิมฉลอง มีธรรมเนียมเอาไข่ไปย้อมสีหรือวาดรูปและเขียนคำ� อวยพรต่างๆ น�ำไป ในประเทศไทยมีประเพณีการฉลองเทศกาลคริสต์มาสในกลุ่มคริสต์ ซ่อนไว้ตามพุ่มไม้หรือกอหญ้า เพื่อให้ผู้ไปร่วมฉลองได้มีโอกาสหาไข่ ศาสนิกชนทั่วไป และมีประเพณีที่พิเศษที่ไม่มีในท่ีอ่ืนๆ ของโลกคือ อีสเตอร์ เพ่ือความสนกุ สนาน เทศกาลแหด่ าวคริสต์มาส ทต่ี ำ� บลทา่ แร่ อำ� เภอเมืองฯ จังหวัดสกลนคร เรม่ิ จัดครั้งแรก เมือ่ พ.ศ. ๒๕๒๕ เพือ่ การประสตู ิของพระเยซู เนือ่ งจาก วันพุธรบั เถา้ มีต�ำนานว่า ยามที่พระเยซูประสูติน้ัน มีโหราจารย์ได้มองเห็นดาว เป็นวันเทศกาลมหาพรต คือช่วงเวลาสี่สิบวันท่ีเตรียมการ ลักษณะพิเศษที่มีความสุกสว่างกว่าดาวทั่วไปปรากฏข้ึนบนท้องฟ้า จึง ก่อนการสมโภชปัสกาของศาสนาคริสต์ เทศกาลน้ีมีช่ือเป็นภาษาละติน ออกเดินทางตามดาวน้ันไป จนพบสถานท่ีประสูติของพระเยซูที่เมือง ว่า “Quadragesima” ซ่งึ แปลวา่ “ท่สี ่ีสิบ” (ภาษาอังกฤษเรยี กเทศกาล เบธ็ เลเฮม ในดนิ แดนปาเลสไตน์ ชาวครสิ ตจ์ งึ ถอื วา่ “ดาว” คอื สญั ลกั ษณ์ นี้ว่า “Lent”) ปัจจบุ ันนีเ้ ทศกาลมหาพรตเริ่มตั้งแตว่ นั พธุ รบั เถ้าซ่งึ มีพธิ ี ของการเสด็จลงมาในโลกมนุษย์ของพระเยซู หรือท่ีเรียกกันในชื่อว่า เสกและโปรยเถา้ บนศรี ษะของครสิ ตศ์ าสนกิ ชนระหวา่ งพธิ มี สิ ซาหรอื อาจ “Star of Bethlehem” ชาวบ้านจะพากันประดิษฐ์ดวงดาวด้วยการ จะไมม่ มี ิสซากไ็ ด้ การใช้เถ้าโปรยศีรษะเปน็ เครอ่ื งหมายแสดงการไว้ทกุ ข์ เหลาไมไ้ ผเ่ ปน็ โครงรปู ดาวแลว้ นำ� มาตดิ กระดาษแกว้ หลากสนี ำ� มาประดบั หรอื การกลบั ใจของชาวยวิ แตโ่ บราณ พรอ้ มทงั้ มกี ารอดอาหารจำ� พวกเนอื้ ตามโบสถ์ บา้ น รวมไปถงึ ขบวนรถแห่ดาวซ่งึ จะออกแหใ่ นตอนกลางคืน ลดอาหารเหลอื มอ้ื เดยี ว ปฏิบัตศิ าสนกจิ บริจาคทาน อดออมและละเว้น จากสงิ่ ฟงุ้ เฟอ้ ฟมุ่ เฟอื ย เทศกาลนจ้ี ะสน้ิ สดุ ลงในวนั ปสั กาหรอื วนั อสี เตอร์ นับรอ้ ยคนั 174
วันฉลองพระแม่และนักบญุ ตา่ งๆ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก มีความเคารพนับถือในพระแม่มารีย์เน่ืองจากเป็น พระมารดาของพระเยซู และบรรดานักบุญทง้ั หลาย ทางศาสนจักรโรมันคาทอลกิ จัดให้มกี ารฉลองเพ่ือ เป็นการระลึกถึงคุณงามความดี และเพื่อเป็นก�ำลังใจแก่คริสต์ศาสนิกชนในการเดินตามพระเจ้าและ บรรดานักบญุ ต่างๆ เหล่านน้ั ศาสนาครสิ ตน์ กิ ายโรมันคาทอลกิ ในประเทศไทย จะมีวันฉลองดังนี้ วนั ที่ ๑ มกราคม วนั สมโภชพระนางมารยี ์ พระมารดาของพระเยซู วนั ที่ ๖ มกราคม วันสมโภชพระเยซูครสิ ตแ์ สดงตน วนั ที่ ๒๙ มถิ นุ ายน วันสมโภชนักบญุ เปโตรและเปาโล อัครสาวก วันท่ี ๑ พฤศจกิ ายน วันสมโภชนกั บญุ ทัง้ หลาย วันที่ ๘ ธนั วาคม วันสมโภชพระนางมารยี ผ์ ู้ปฏิสนธนิ ิรมล วนั ที่ ๒๕ ธันวาคม วันสมโภชพระคริสตสมภพ 175
176
ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู สกุลพราหมณ์จากสายภาคใต้เป็นหลักในการก่อตั้งเทวสถานประจ�ำพระนคร มีการตั้ง เสาชงิ ชา้ ตามคตกิ ารสรา้ งบา้ นเมอื งของพธิ พี ราหมณ์ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๒๗ หลงั จากพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ ยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชทรงสถาปนากรงุ รตั นโกสนิ ทร์ สรา้ งพระบรมมหาราชวงั มนเทยี ร พระราชฐาน และวัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้วเสร็จ มีการประกอบพระราชพิธีตรียัมปวาย – ตรีปวาย และพิธี โล้ชิงช้า เพ่ือพระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาประสิทธิ์ประสาทสวัสดิมงคล อันอุดมด้วยความม่ันคงไพบูลย์แห่ง พระราชอาณาจกั ร พราหมณ์ ณ เทวสถานแห่งน้ี คือกลไกส�ำคัญที่ท�ำหน้าท่ีประกอบพิธีกรรมท้ังหลายใน การพระราชพิธีแห่งพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกรัชกาลของแผ่นดิน ตลอดท้ังพิธีของพระราชวงศ์ หนว่ ยราชการและอาณาประชาราษฎร์ ใหศ้ านตสิ ขุ ใหค้ วามรม่ เยน็ ธำ� รงอยใู่ นสงั คมไทยสบื เนอ่ื งตอ่ มาไมข่ าด สายตราบปจั จบุ นั ซงึ่ การพระราชพธิ หี รอื พธิ นี นั้ ๆ จะมพี ธิ สี งฆใ์ นพระพทุ ธศาสนาเปน็ หลกั ทำ� ใหพ้ ธิ กี รรม ทงั้ สองศาสนาได้ผสมผสานเป็นอันหนึง่ อันเดยี วกัน แสดงเอกลักษณค์ วามกลมกลนื ไปดว้ ยกนั ตลอดมา อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าบ้านเมือง สังคมไทยจะก้าวเข้าสู่สถานการณ์ใด หรือบ้านเมือง มีผลกระทบจากสังคมโลกสถานใด บทบาทความส�ำคัญของคติพราหมณ์แห่งเทวสถานก็มิได้ลด หรือตัดทอนสิ่งท่ีมีมาต้ังแต่ด้ังเดิมคร้ังประเทศไทยยึดถือการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตง้ั แต่โบราณกาลกระทัง่ ถึงรัชกาลที่ ๗ แหง่ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ ๑ วดั พระศรมี หาอุมาเทวี หรอื วดั แขกสีลม ๒ กรงุ เทพมหานคร 177 ๒ จิตรกรรมแสดงรปู พราหมณป์ ระกอบพธิ ี จรดพระนังคลั แรกนาขวัญ เพ่ือสวัสดิมงคลแกพ่ ชื พนั ธ์ธุ ัญญาหาร ๑
หลังจาก พ.ศ. ๒๔๗๕ ประเทศไทยเปล่ยี นการปกครองเปน็ ระบอบประชาธิปไตยอนั มี พระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จารีตอันเป็นโบราณ ราชประเพณีอันงดงาม แม้มิได้รับความนิยมและเห็นชอบในคติพราหมณ์ตามกระแสของระบอบ ประชาธิปไตยในเบื้องต้นก็ตาม ระเบียบประเพณีตามคติพราหมณ์ก็ยังคงรักษาและถือปฏิบัติแสดง ความเป็นเอกลักษณ์ท่ีโดดเด่นของชาติไทยเสมอมา คติพราหมณ์แห่งเทวสถานคงสนองภารกิจท่ีเกิด ข้ึนใหม่ตามสมัย ซ่ึงได้มีการพัฒนาปรับรูปแบบด้ังเดิมให้สอดคล้องตามความประสงค์ให้สัมฤทธิ์ผล อย่างสมบูรณต์ ลอดมา จงึ ไดเ้ ห็นวิวัฒนาการ การปรุงแตง่ คตคิ วามดงี ามทีค่ ณะพราหมณย์ ดึ มัน่ และผจง สรา้ งสรรค์สรรพสงิ่ มงคลนานาประการ ทั้งในสถาบนั ชาติ ศาสนา และ พระมหากษตั รยิ ใ์ นทกุ ๆ โอกาส เพ่อื ความรม่ เย็น ศานติสขุ เพอื่ เปน็ ขวัญกำ� ลงั ใจในการธำ� รงความเจริญรุ่งเรอื งให้ยั่งยนื สบื ไป 178
คุณสมบัติของพราหมณ์ในสังคมไทย ผู้มีสิทธิ์ในการ ลักษณะดังกล่าวคือรูปแบบพราหมณ์ของเทวสถาน ซึ่ง ประกอบพิธีกรรม คือพราหมณ์ทวิชาติ ถือว่าเป็นพราหมณ์ท่ีแท้จริง เป็นสว่ นหนึ่งของสงั คมไทย สงั เกตได้จากการไว้มวยผม แต่งกายนุ่งขาว หมายถึงผไู้ ดม้ กี ารเกดิ ๒ ครง้ั ก�ำเนดิ พราหมณ์คร้ังแรกจากบิดามารดา ตลอดเวลา เมอื่ ประกอบพธิ กี รรมจะนงุ่ โจง สวมเสอ้ื ราชปะแตน ไมบ่ รโิ ภค ก�ำเนิดครั้งที่ ๒ จากการบวช เพ่ือปฏิบัติบูชาและประกาศพระคุณของ เนอ้ื โคไมป่ ฏเิ สธการปฏบิ ตั กิ จิ ทางพระพทุ ธศาสนาการปฏบิ ตั ธิ รรมเนอ่ื งตาม เทพเจ้า เพ่ือน�ำชีวิตของศาสนิกชนให้กลับไปอยู่กับพรหม พรหมัน ขอ้ บญั ญตั ใิ นศาสนาและมกี ารประสานสมั พนั ธส์ มาคมกบั คณะพราหมณ์ มีคณุ สมบัติ ๕ ประการคือ – ฮินดใู นนิกายอ่ืน ๆ ทกุ แหง่ อย่างดี ๑. ชาตหิ รอื กำ� เนดิ ตอ้ งเกดิ จากบดิ ามารดาผอู้ ยใู่ นวรรณะ เฉพาะในกรุงเทพมหานคร มีคณะพราหมณ์ – ฮินดูใน พราหมณม์ าโดยตลอด ๗ ชว่ั อายุ นกิ ายอน่ื ซง่ึ เปน็ แหลง่ ทชี่ าวอนิ เดยี ทเ่ี ดนิ ทางเขา้ มาประกอบอาชพี คา้ ขาย และพ�ำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานจ�ำนวนมาก ได้สร้างศาสน ๒. มนตร์ ตอ้ งเรยี นจบไตรเพทและคมั ภรี ต์ า่ งๆ ทเ่ี กย่ี วเนอื่ ง สถานข้ึน ส�ำหรับปฏิบัติศาสนกิจและประกอบพิธีสักการบูชาพระผู้เป็น กับคมั ภรี ์ไตรเพทจนมคี วามรูค้ วามช�ำนาญ เจ้าและเทพยดาด้วย ปรากฏว่า เริ่มต้ังแต่รัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมาตราบ ถงึ รัชกาลปจั จบุ นั ได้เผยแพร่ศาสนกจิ ในกล่มุ ชนชาวอินเดียอย่างเสรีขน้ึ ๓. วรรณะ หมายถงึ รปู รา่ งหนา้ ตา ผวิ พรรณงดงามผดุ ผอ่ ง หลายกลุ่ม ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ได้เปน็ ท่นี ยิ มอย่างกวา้ งขวางทั้งชาว คลา้ ยพรหม ๔. ศลี คอื ปฏบิ ตั ริ กั ษากาย วาจา ใหเ้ รยี บรอ้ ย รจู้ กั ควบคมุ ไทยและชาวจนี เมือ่ ถงึ เทศกาลสำ� คัญจะมีผูไ้ ปสกั การะรว่ มงานนอกจาก อารมณ์ ชาวอินเดียแล้ว ยังมีประชาชนในศาสนาอื่นด้วย อันแสดงศรัทธาความ ๕. ปญั ญา หมายถงึ ความรอบรู้ ความฉลาดท่ีเกดิ จากการ เช่อื อย่างแท้จรงิ ในศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูนัน่ เอง เรยี น ชนทั่วไปนับถอื ว่าเป็นอาจารย์ 179
๑ ศาสดา ศาสนบุคคล 180 ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู เปน็ ศาสนาเดยี วทไี่ มม่ บี รมศาสดาทเ่ี ปน็ บคุ คล อบุ ตั มิ าเพอื่ ประกาศศาสนาและทำ� หนา้ ทเ่ี ผยแผห่ ลกั ธรรมคำ� สอนแกม่ วลมนษุ ยชาติ อยา่ งเชน่ หลาย ๆ ศาสนา หากมีแตพ่ ระผู้เป็นเจา้ เทา่ นั้น ความเกา่ แกข่ องศาสนา พราหมณ์ - ฮินดู ไมอ่ าจประมาณเวลาได้ คาดวา่ น่าจะมอี ายุมากกวา่ ๕,๐๐๐ ปี ด้วย “พระพรหม” ผ้สู รา้ งโลก แลว้ ก็ดบั สูญ เกดิ ดบั มามาก โลกของเราจะเปน็ โลก ทีเ่ ทา่ ใดแลว้ ไม่สามารถคำ� นวณได้ เมอ่ื เรมิ่ ตน้ เรยี กศาสนาวา่ “สนาตนธรรม” แปลวา่ กายอนั ไมร่ จู้ กั ตาย หมายถงึ พระวษิ ณุ มชี อ่ื อกี อยา่ งหนงึ่ วา่ วษิ ณธุ รรม คอื คำ� สงั่ สอนของพระวษิ ณเุ ปน็ เจ้า ตอ่ มาอกี หลายพันปี เรยี กว่า “ไวทิกธรรม” อกี หลายพันปีต่อมา มีผู้ตั้งช่ือศาสนาน้ีใหม่วา่ “อารยธรรม” แปลว่า ความเจรญิ ด้วยขนบธรรมเนยี มอนั ดงี าม ตอ่ มาอกี หลายพันปี ศาสนาสนาตนธรรม เปลี่ยนไปเรียกว่า “พราหมณธรรม” แม้จะมีชื่อตามยุคต่างๆ ตามที่สาธยายมา แท้จรงิ แล้วคอื ธรรมะอันเดียวกันท้ังสิ้น ๒
เมื่อ ๗๐๐ ปี มาน้ี ศาสนาเปล่ียนมาเรียกชอื่ ใหมว่ า่ “สินธุ” และ “หินทู” และ “ฮินด”ู แปลว่า ธรรมที่สอนลัทธิอหิงสา แม้ไม่อาจสอบค้นได้ว่า สนาตนธรรม เกิดข้ึนเม่ือใดก็ตาม ในคัมภีร์ พระเวทบอกว่า คือธรรมอันไม่มีต้นไม่มีปลาย เกิดข้ึนมาตั้งแต่สร้างโลกแล้ว นับว่าเป็นเวลานานอย่าง เหลือท่ีจะคณานับ เม่ือสนาตนธรรมเป็นศาสนาของตน จึงแปลว่า ศาสนาท่ีมีมาแต่นิรันดรกาล คือมี มาต้ังแต่ดั้งเดิม ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเริ่มต้นเมื่อใด การได้เรียนธรรมจากสนาตนธรรม เชื่อว่ากล่าวไว้ในคัมภีร์ พระเวท ซึ่งมิใช่เป็นคัมภีร์ท่ีมนุษย์แต่ง หากพวกฤๅษีได้ยินมาโดยตรงจากพระผู้เป็นเจ้า คัมภีร์จึงมีช่ือ เรยี กรวมๆ วา่ ศรตุ ิ แปลวา่ “การไดย้ นิ ” ฤๅษผี ไู้ ดย้ นิ คมั ภรี พ์ ระเวทเปน็ ผมู้ ญี าณวเิ ศษเหนอื มนษุ ยธ์ รรมดา ดังนัน้ พราหมณ์ - ฮินดจู งึ เปน็ ศาสนาท่สี บื ทอดมาจากการนับถอื คัมภีร์พระเวทอันศกั ด์สิ ทิ ธ์ิของพระผู้ เปน็ เจา้ เป็นศาสนาทีไ่ มม่ ศี าสดาเป็นผูก้ ่อต้ังเหมอื นศาสนาอื่นทวั่ ไป ไดน้ ำ� ความเกา่ แกข่ องคมั ภีร์ทีแ่ ต่ง ขึ้นมาเป็นเกณฑ์ก�ำหนดยุคของศาสนาด้วย เล่าว่าจุดเริ่มต้นของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู เกิดขึ้นเม่ือ ประมาณ ๓,๕๐๐ ปมี าแลว้ ชาวอารยนั อพยพเขา้ มาตงั้ ถน่ิ ฐานในอนิ เดยี บรเิ วณลมุ่ แมน่ ำ้� สนิ ธุ อนั เปน็ ทม่ี า ของค�ำวา่ ฮินดู ต้นนำ้� เกิดจากภูเขาหมิ าลยั ในเขตประเทศอนิ เดีย ไหลผ่านประเทศปากีสถานไปลงทะเล อาหรับ ชาวอารยันมีคัมภรี ท์ างศาสนาทีเ่ ก่าแก่ทีส่ ดุ ในโลก เรยี กว่า เวทะ หรือ พระเวท แรกทเี ดยี วมี ๓ คัมภีร์ คือ ฤคเวท สามเวท และ ยชุรเวท ต่อมา มีคมั ภรี อ์ าถรรพเวทเพ่มิ ข้ึนมาอีกคมั ภรี ์หนง่ึ คมั ภรี ์ของ พราหมณ์ - ฮนิ ดมู ีจำ� นวนเพ่ิมขน้ึ ตามสมัยในกาลต่อมา ซง่ึ ก�ำหนดไว้เป็น ๓ สมยั คอื สมยั แรก เรียกวา่ สมัยพระเวท แรกทีเดยี ว มี ๓ คัมภีร์ คอื ฤคเวท สามเวท และ ยชุรเวท ตอ่ มา มคี มั ภรี ์อาถรรพเวทเพิ่มขึ้นมาอกี คัมภีรห์ นึง่ สมยั ท่ี ๒ เรยี กว่า สมยั อติ หิ าสะ มี ๒ คมั ภรี ์ คือ รามายณะและมหาภารตะ สมัยที่ ๓ เรยี กว่า สมยั ปุราณะ มีคัมภีรป์ ุราณะเกิดข้ึน ๑๘ คัมภีร์ และคัมภรี อ์ ุปปรุ าณะ เกิดขึ้นอกี ๑๘ คมั ภรี ์ นับแลว้ มมี ากกวา่ ๑๐๐ คัมภีร์จนไม่สามารถกล่าวได้หมด ๑ จารึกภาษาทมฬิ ทเ่ี ขาพระนารายณ์ พบทเ่ี ขาพระนารายณ์ อำ� เภอกะปง จงั หวดั พังงา พทุ ธศตวรรษที่ ๑๔ ปัจจบุ นั อยู่ท่พี พิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ นครศรธี รรมราช ๒ พระกฤษณะและชายา ณ วัดเทพมณเทยี ร สมาคมฮนิ ดสู มาช ๓ หอ้ งสกั การะ ของสมาคมฮนิ ดูธรรมสภา ๓ 181
คัมภีร์ทั้ง ๓ สมัย คือ สมัยพระเวท สมัยอิติหาสะ และ สมัยปุราณะ เป็นคัมภีร์ที่ใช้ภาษาสันสกฤตท้ังสิ้น ผู้รู้ภาษาสันสกฤต และสามารถประกอบพิธีทางศาสนาคือพราหมณ์เท่านั้น ต่อมาได้มีการ เปลย่ี นแปลงเกดิ ขนึ้ ไดม้ กี ารแตง่ คมั ภรี แ์ ละบทสวดบชู าพระเปน็ เจา้ และ เทพเจา้ ดว้ ยภาษาทอ้ งถ่ิน เพอื่ ใหช้ นในทอ้ งถน่ิ น้นั ๆ เข้าใจในศาสนางา่ ย ข้ึน เช่น เรื่องรามเกียรต์ิ นิกายไวษณพจะนับถือพระนารายณ์เป็นเจ้า แต่งดว้ ยภาษาอวธี ในอนิ เดียภาคใต้ มีผูน้ บั ถอื ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ท้ังนิกายที่นับถือพระวิษณุเป็นพระเจ้าสูงสุดและนิกายที่นับถือพระศิวะ เป็นพระเจ้าสูงสุด ซ่ึงทั้งสองกลุ่มน้ีแต่งกวีบทสวดสรรเสริญพระเป็นเจ้า ทตี่ นนับถอื ด้วยภาษาทมิฬ พราหมณ์ - ฮนิ ดถู อื ว่า ในสนาตนธรรม มตี �ำราหรอื คัมภรี ์ ทย่ี กยอ่ งในศาสนา ดังนี้ พระเวท ๔ เลม่ อุปเวท ๔ เล่ม ศาสตร์ ๖ เลม่ อปุ นิษัท ๓๘ เล่ม ปุราณะ ๑๘ เลม่ อุปปุราณะ ๑๘ เลม่ นอกจากนั้น มีคัมภีร์อื่นๆ ทำ� นองอรรถาธิบายจ�ำนวนมากนับได้หลายพันเล่ม และมี คมั ภรี ท์ เี่ ปน็ สาระแหง่ คมั ภรี ท์ ง้ั หลายอกี ๒ เลม่ คอื คมั ภรี ม์ หาภารตะ ซ่งึ มีศรีมัทภควัทคีตาเป็นตอนท่ีส�ำคัญที่สุด และคัมภีร์รามายณะ ว่าด้วย พระรามเปน็ อวตารปางที่ ๗ ของพระวษิ ณุ ในปจั จบุ นั กลา่ วไดว้ า่ ทกุ ๆ ครอบครัวชาวอินเดีย ท้ังในและนอกประเทศ มีพระคัมภีร์เหล่าน้ีไว้ใน ครอบครองของตน นอกจากจะถือเป็นวรรณกรรมส�ำคัญแล้ว ยังเป็น คัมภีร์ท่ีให้บทเรียนทางปรัชญา ทางศาสนา และจริยธรรมหลากหลาย ด้าน ด้วยเป็นคัมภีร์แห่งมนุษยธรรม จึงมีการแปลเผยแผ่ออกไปหลาย แมพ้ ราหมณ์ – ฮนิ ดู จะเปน็ ศาสนาเทวนยิ ม ทเี่ นน้ พธิ กี รรม ภาษา ด้วยหลกั ค�ำสอนท่วี ่า ชีวะ คอื วิญญาณ ไม่มีวันตายและไม่เคยมี และการสวดออ้ นวอนบชู าพระผเู้ ปน็ เจา้ แตก่ ม็ กี ารปฏบิ ตั เิ พอ่ื ใหถ้ งึ ความ วันสูญสลายไปเลย ย่อมมีอยู่ตลอดกาล เพียงแต่หมุนเวียนอยู่ในกรรม หลุดพ้นตามหลกั ขององค์ประกอบ ๓ ประการ คือ กรรมโยค คือ การ คตทิ ่กี ระทำ� อยูต่ ลอดเวลา ประพฤตกิ รรมดลี ะเวน้ กรรมชวั่ ชญานโยค คอื ความรคู้ วามเหน็ ทถ่ี กู ตอ้ ง ดังได้กล่าวมาแล้วว่า วรรณะพราหมณ์ได้รับมอบหมาย เปน็ เกณฑ์ ภกั ตโิ ยค คอื ความภกั ดแี ดอ่ งคภ์ ควานโดยไมห่ วงั ผลตอบแทน หน้าที่เป็นสื่อกลางส�ำหรับการสื่อสารระหว่างมนุษย์และพระผู้เป็นเจ้า การปฏิบัตติ ามหลกั ธรรมนี้ จะนำ� ไปสจู่ ดุ หมายสูงสดุ คือ และเชอื่ วา่ พราหมณ์ถอื กำ� เนิดมาจากพระโอษฐข์ องพระพรหม เป็นผ้มู ี ความหลุดพ้นจากกองทกุ ข์ กองกิเลส อันเปน็ หนงึ่ เดียวกบั ปรมาตมัน ซงึ่ ความรู้คัมภีร์พระเวท สัจธรรมความรู้สูงสุดอันเป็นแก่นแท้ของศาสนา ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏต่อไป และพราหมณ์เท่าน้ันจะเป็น การสอื่ สารกบั พระผเู้ ปน็ เจา้ ดว้ ยการประกอบพธิ บี วงสรวงบชู า ออ้ นวอน ผเู้ ผยแผ่พระเวทและหนทางไปสู่การหลุดพ้นนน้ั ได้ พระผเู้ ปน็ เจา้ ใหบ้ นั ดาลความสขุ แกม่ นษุ ยไ์ ดค้ วามสำ� เรจ็ จงึ ถอื วา่ เปน็ ผทู้ ่ี เกย่ี วขอ้ งกับศาสนาอยา่ งใกลช้ ดิ 182
ศาสนธรรม หลักคำ� สอน หลกั ปฏิบตั ิ หลักค�ำสอน ยึดอหิงสา คือการไม่เบียดเบียนท้ังตนเอง และผู้อนื่ หลักปฏิบัติ เปน็ การกระท�ำท้งั กาย วาจา ใจ ด้วยจติ ที่มคี วาม สงบ สขุ สำ� ราญใจ อนั เกดิ ขึ้นจากการภาวนาในขอ้ ธรรม ทก่ี ำ� หนดไว้ใน หมวดตา่ ง ๆ ธรรมสำ� คญั ของศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู คอื “พรหมธรรม” เป็นการปฏิบัติธรรมของพระพรหม ๔ ประการ คอื เมตตา ๑ กรณุ า ๑ มทุ ิตา ๑ อุเบกขา ๑ ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องน�ำจิตใหถ้ งึ พรหม โดยแมน่ ม่ัน แนว่ แน่อยใู่ นความสงบ โดยไมม่ สี ิง่ ใด ๆ จูงจิตไปส่กู เิ ลสอันเป็นเครอ่ื งน�ำ ไปสู่ความทกุ ขโ์ ทมนัส จุดมุง่ หมายของ ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู กล่าวอยา่ งตรง ไปตรงมาคอื เพอ่ื นำ� บคุ คลไปสคู่ วามหลดุ พน้ เปน็ ความหลดุ พน้ ทง้ั จากกอง กิเลสและกองทุกข์ ซ่ึงเม่ือหลุดพ้นไปแล้วจะกลายเป็นเอกภาพ มีภาวะ เป็นอันหนึ่งอันเดียวไปกับปรมาตมันด้วย ภาวะเช่นน้ีเรียกว่า โมกษะ จะไมม่ กี ารเวยี นวา่ ยตายเกดิ อกี มสี ภาพไปกลมกลนื รวมอยกู่ บั ปรมาตมนั เปน็ การสอนใหร้ จู้ กั และเขา้ ใจในกรรมของตน มใิ ชข่ อพง่ึ พระเปน็ เจา้ อยา่ ง เดียว ดังนั้นคัมภีร์พระเวทจึงบัญญัติว่า มนุษยชาติทั้งหลายควรปฏิบัติ ตามคติ ๔ ประการ คอื ในทกุ ชว่ ง “อาศรม” ของชีวติ ชว่ งอาศรมของชีวิต มี ๔ ชว่ ง ๑. ศึกษากาล เรียกว่า พรหมจรยาศรม ช่วงแรกตั้งแต่ เกิด – อายุ ๒๕ ปี หมายถงึ เวลาแห่งการกระท�ำให้ตนเอง ได้แก่ ศกึ ษา เล่าเรยี น ๒. บรวิ ารกาล เรียกวา่ คฤหสั ถาศรม อายุ ๒๕ - ๕๐ ปี ประกอบอาชพี แต่งงาน เปน็ เวลากระท�ำให้ครอบครวั ๓. สงั คมกาล เรียกว่า วานปรัสถาศรม อายุ ๕๑ - ๗๕ ปี เป็นเวลาแห่งการกระทำ� เพื่อสงั คมและประเทศชาติ ๔. วิศวกาล เรียกว่า สันยัสตาศรม เป็นช่วงอายุ ๗๕ ปี ข้ึนไป เป็นเวลาแหง่ การกระท�ำเพ่อื มนษุ ยชาติท้ังปวง เปน็ นักบวช ณ วดั เทพมณเฑยี ร สมาคมฮนิ ดสู มาช 183
คตธิ รรม ทีม่ นุษยชาตคิ วรถือปฏบิ ัติ ๔ ประการ คอื ๑. ธรรมะ คอื การดำ� รงชวี ติ ภายใตก้ รอบคำ� สอนของศาสนา ๒. อรรถะ คือ การแสวงหาทรพั ย์ ด�ำรงชวี ิตภายในกรอบ ของศาสนา ๓. กามะ คอื การแสวงหาความสุขทางโลก ภายใตก้ รอบ คำ� สอนของศาสนา ๔. โมกษะ คือ ในท่สี ดุ ต้องแสวงหาความหลุดพน้ จากการ เวียนว่ายตายเกดิ หน้าทข่ี องศาสนิกพราหมณ์ – ฮินดู แท้จริง มกี ิจประจำ� วนั ทต่ี อ้ งปฏิบตั ิ ๗ ขอ้ ดงั นี้ ๑. บูชาเทพประจ�ำครอบครัว สวดบูชา ท�ำสมาธิ ไปไหว้ พระท่ีเทวาลัย เดินทางไปแสวงบุญ ณ สถานศักด์ิสิทธิ์ เพ่ือให้ใจจดจ่อ อยู่ทีพ่ ระผู้เปน็ เจ้า นอกจากน้ันจะต้องท�ำกิจประจ�ำวันเรียกว่า ปัญจมหา ยัชญะ คอื การบูชาที่ยิง่ ใหญ่ ๕ ประการ ไดแ้ ก่ ๒. ศึกษาคัมภีร์ทางศาสนา ด�ำเนินชีวิตส่วนตัว ชีวิต ท่ีเก่ียวข้องกบั สงั คมให้เปน็ ไปตามคำ� สอน จะต้องจ�ำให้ไดเ้ สมอวา่ มนุษย์ ๑. พรหมยัชญะ ทอ่ งคมั ภรี พ์ ระเวทและคมั ภีรท์ างศาสนา มีจุดมุ่งหมายของชีวิต ๔ ประการ คือ มีหน้ีท่ีต้องช�ำระ ๑ ช่วงชีวิตท่ี อืน่ ๆ ทกุ วนั เพ่ือรกั ษาความรู้เก่าและเพ่มิ ความรู้ใหม่ เรยี กว่า “อาศรม” ๔ ช่วง ต้องใชห้ ลักศีลธรรมกำ� กับ เพ่อื ด�ำเนินชวี ิตไป สู่จุดหมาย ได้แก่ ธรรมะ อรรถะ กามะ และโมกษะ คือการด�ำรงชีวิต ๒. ปิตฤยัชญะ นึกถึงบรรพบุรุษผู้ท่ีล่วงลับไปแล้วทุกวัน เพอ่ื สบื ทอดมรดกทางวัฒนธรรมทที่ า่ นสรา้ งสรรคไ์ ว้ ภายใตก้ รอบค�ำสอนของศาสนาตามท่กี ล่าวมาแล้ว ๓. เทวยัชญะ ระลึกถึงพระเป็นเจ้า โดยการสวดมนต์ ทุกวนั และทำ� สมาธิ ๓. เช่ือในค�ำสอนทีส่ ืบทอดตอ่ ๆ กันมา ๔. ภูตยัชญะ ให้อาหารแก่คนหิวโหย เป็นการพัฒนาให้ ๔. เชือ่ ในเทพทัง้ หลายทีแ่ ท้ คอื หลายรูปของพระเปน็ เจา้ รจู้ กั การแบง่ ปนั อนั เปน็ ธรรมสงู สดุ สำ� หรบั ชว่ งชวี ติ ของทกุ อาศรม รวมทงั้ สูงสุดพระองคเ์ ดียว การดแู ลเอาใจใสส่ ตั วเ์ ลย้ี งและพชื พนั ธ์ุ ซงึ่ ถอื เปน็ การรกั ษาสง่ิ แวดลอ้ มดว้ ย ๕. เคารพนับถือมุนผี บู้ รรลธุ รรม นกั พรต ทงั้ บรุ ษุ และสตรี ๕. นรยชั ญะ ใหค้ วามรกั ความเคารพ นบั ถอื แขกผมู้ าเยอื น เคารพครู พอ่ แม่ และคนสงู อายุ เปรียบเสมอื นเทพ ๖. ช่วยเหลอื คนที่ขาดแคลนยากจน คนพกิ ารทช่ี ว่ ยเหลอื ทั้งหลักค�ำสอนและหลักปฏิบัติ มีรายละเอียดท่ีจ�ำแนก ตนเองไมไ่ ด้ คนป่วย คนด้อยโอกาส คณุ และโทษเพอ่ื ความลึกซ้ึงในขอ้ ธรรมทุกลักษณะ อนั เปน็ ศรทั ธา ความ เขา้ ใจใหย้ ดึ มน่ั ใหเ้ ชอ่ื มโยงจติ วญิ ญาณไวก้ บั พระเปน็ เจา้ แนน่ แฟน้ สบื ทอด ๗. ตอ้ นรบั แขกดว้ ยความรกั ความนบั ถอื พรอ้ มทจ่ี ะบรกิ าร จากร่นุ สูร่ ุน่ ตลอดไป ให้ความสะดวก ศวิ ลงึ คท์ องคำ� บนฐานเงนิ พุทธศตวรรษท่ี ๑๑ - ๑๒ พบในถ้�ำเขาพลเี มือง อำ� เภอสชิ ล จังหวดั นครศรธี รรมราช ปัจจุบนั จัดแสดงที่พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรธี รรมราช 184
185
วัดวษิ ณุ ณ สมาคมฮนิ ดูธรรมสภา กรุงเทพมหานคร 186
ศาสนสถาน ศาสนวตั ถุ วัดพระศรมี หาอมุ าเทวี ต้ังอยู่ท่ี เลขที่ ๒ ถนนปั้น ต�ำบลสีลม เขตบางรัก กรงุ เทพมหานคร สรา้ งโดยคณะชาวอนิ เดยี เผา่ ทมฬิ จากอนิ เดยี ภาคใตเ้ มอื่ ๑๐๐ ปีมาแลว้ เปน็ เทวาลยั ไดก้ อ่ ตั้งเปน็ วดั ทสี่ มบรู ณ์ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๙ เดิมชอ่ื วา่ วัดพระศรมี หามรีอมั มนั บชู าพระศรีมหาอุมาเทวี ต่อมาเรยี ก ชื่อวดั ใหมว่ ่า “วดั พระศรมี หาอมุ าเทว”ี ชาวไทยเรยี ก “วดั แขกสลี ม” จัดพิธีบูชาพระอุมาในเทศกาลนวราตรี เป็นการเฉลิมฉลองที่เอิกเกริก เล่ืองลือมาก ได้น�ำเทวรูปสำ� คัญ ๆ จากประเทศอินเดยี มาสกั การะ ไดแ้ ก่ พระอศิ วร พระอมุ า พระพรหมธาดา นอกจากนนั้ ไดส้ รา้ งพระพทุ ธชนิ ราช เรยี กวา่ “พระพทุ ธชนิ ราชวดั แขก” เพอื่ เวยี นประทกั ษณิ ในวนั สำ� คญั ทาง พระพทุ ธศาสนาดว้ ย วดั วษิ ณุ และสมาคมฮินดธู รรมสภา ตงั้ อยทู่ ี่ เลขท่ี ๕๐ ซอยวดั ปรก แขวงทงุ่ วดั ดอน เขตยานนาวา วัดเทพมณเฑียร ณ สมาคมฮินดูสมาช กรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นโดยชาวอุตตรประเทศจากอินเดีย เดิมเป็น สมาคมฮนิ ดธู รรมสภา ตั้งข้นึ เม่อื พ.ศ. ๒๔๕๘ มีโบสถ์ใหญ่และโบสถ์เล็ก ประดิษฐานเทวรูป พระวิษณุ และเทพในคัมภีร์รามายณะหลายองค์ วดั เทพมณเฑียร ณ สมาคมฮนิ ดูสมาช รวมท้งั ศวิ ลึงค์ พระแมท่ ุรคา เปน็ ตน้ ต้ังอยู่ที่ เลขที่ ๑๓๖/๒ ถนนศิริพงษ์ แขวงเสาชิงช้า สมาคมอารยสมาช กรุงเทพมหานคร เร่ิมด้วยงานด้านสมาคมเป็นกิจกรรมสงเคราะห์ที่ให้ ท้ังความรู้และทุนการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนเป็นหลักส�ำคัญ ส่วน ตั้งอยู่ที่ เลขที่ ๙ ซอยดอนกุศล ๓ แขวงทุ่งวัดดอน เขต ดา้ นการศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู คอื โบสถ์เทพมณเฑยี ร ได้ประดิษฐาน ยานนาวา เป็นบริเวณทตี่ ดิ ตอ่ กบั สมาคมฮินดูธรรมสภา เทวรูปสัญลักษณ์แห่งการรักษาความดีงามท้ังปวง จ�ำนวน ๙ องค์ คือ พระนารายณแ์ ละพระแมล่ กั ษมี พระรามและภควดสี ดี า พระกฤษณะและ คีตาอาศรมแหง่ ประเทศไทย ตั้งอยู่ท่ี เลขท่ี ๑๔๕ ซอยพร้อมศรี ๑ ซอยที่ ๓๙ ถนน พระนางราธา พระพุทธเจ้า ปางอวตารที่ ๙ แหง่ พระวิษณุ พระศิวะหรอื สขุ มุ วทิ กรงุ เทพมหานคร นบั ถอื พระกฤษณะและคมั ภรี ศ์ รมี ทั ภควทั คตี า พระอศิ วรในทา่ นาฏราช พระแม่ทรุ คาสัญลกั ษณ์แหง่ ความเข้มแข็ง พระ เป็นหลักในการปฏบิ ัติ พฆิ เนศวร หนมุ าน และพระแม่สตี สมาคมสง่ เสริมวัฒนธรรมพราหมณ์ฮนิ ดู วัดและสมาคมท้ังหลายล้วนต้ังปณิธานเข้าร่วมมือใน กิจกรรมต่าง ๆ ในสังคมไทยตลอดมา อีกท้ังได้แสดงความจงรักภักดี ต้ังอยู่ท่ี ซอยสมประสงค์ ถนนเพชรบุรี กรุงเทพมหานคร ในสถาบันพระมหากษัตริย์ในวาระมหามงคลสมัยส�ำคัญๆ แห่งองค์ กิจกรรมเผยแพร่พระธรรมโดยสังคีตและนาฏศิลปต์ ามคติศาสนา ตอ่ มา พระประมขุ ทเี่ วยี นมาทกุ โอกาสโดยประสานผา่ นพราหมณเ์ ทวสถานตลอด ไดอ้ ยใู่ นอุปถัมภ์ของอาศรมวัฒนธรรมไทย - ภารต สอนโยคะทางศาสนา มา จงึ ไดเ้ หน็ ความสมั พนั ธข์ องศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ในแผ่นดนิ ไทย พราหมณ์ - ฮินดู เพ่ือประโยชน์ของมนษุ ย์ทงั้ ปวง แนน่ แฟ้นย่ิงข้ึนสบื ไป 187
เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เทวสถานสำ� หรบั พระนครกอ่ ตง้ั มาพรอ้ มกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ไดข้ น้ึ ทะเบยี นเปน็ โบราณวตั ถุ สถานสำ� คญั ของชาติ ประกาศในราชกจิ จา นเุ บกษา เลม่ ๖๖ ตอนที่ ๖๔ หนา้ ๕๒๘๐ - ๕๒๘๑ วนั ท่ี ๒๒ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ระบุ โบราณสถาน (โบสถพ์ ราหมณ)์ และเสาชงิ ชา้ เปน็ โบราณ วตั ถสุ ถานส�ำคัญของชาติ ประกอบด้วย เทวาลยั สถานพระอิศวร สถาน พระนารายณ์ สถานพระพฆิ เนศวร และหอเวทวทิ ยาคม มเี ทวรปู พระเปน็ เจา้ แตล่ ะพระองค์ประดษิ ฐานอยู่ภายในแตล่ ะสถาน เทวรปู สำ� คญั แบ่งออกได้ ๓ กลุ่มคอื กลุ่มท่ี ๑ เทวรูปประธานในสถานทั้ง ๓ หลัง คือเทวรูป พระอศิ วร ในสถานพระอศิ วร เทวรปู พระพฆิ เนศวร ในสถานพระพฆิ เนศวร และเทวรปู พระนารายณ์ พระลกั ษมี พระมเหศวรี ในสถานพระนารายณ์ ๑ กลุม่ ท่ี ๒ เทวรูปขนาดย่อมลงมา ส�ำหรับอญั เชญิ ไปในการ ประกอบพระราชพธิ สี �ำคัญ พระราชพิธจี รดพระนงั คัลแรกนาขวัญท่ที อ้ ง สนามหลวง อยูท่ เี่ บญ็ จาในสถานพระอิศวร กลุ่มที่ ๓ เทวูปขนาดเล็กส�ำหรับอัญเชิญไปประกอบพิธี ในต่างจังหวัดอยู่ในหอเวทวิทยาคม รวมทั้งเทวดานพเคราะห์ขนาดเล็ก ซึ่งจะอัญเชิญไปในพระราชพิธีส�ำคัญ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพธิ ีเฉลิมพระชนมพรรษา ๑ เทวาลยั ทา้ วมหาพรหม เทวสถานโบสถ์พราหณ์ ๒ กรงุ เทพมหานคร ๓ ๒ สถานพระนารายณ์ ๓ ภายในสถานสกั การะ วัดเทพมณเทยี ร ณ สมาคมฮินดสู มาช พระนารายณ์ และพระลกั ษมีอยูก่ ลาง พระพฆิ เนศวร อย่ดู า้ นซ้าย และหนมุ านอย่ดู า้ นขวา 188
189
ศาสนวตั ถุ ศาสนวตั ถใุ นนกิ ายดงั กลา่ ว ทป่ี รากฏในเทวสถานแตล่ ะแหง่ ย่อมสืบเนื่องตามคติความเชื่อของแต่ละนิกายเป็นหลัก มีรูปเคารพ นกิ ายใหญๆ่ ในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู มี ๔ นิกาย ดงั น้ี ทตี่ า่ งๆ กนั ตามผสู้ รา้ งแตล่ ะยคุ สมยั ซงึ่ รวมเอาความนบั ถอื ในสตั วพ์ าหนะ ๑. นิกายไศวะ ถือพระศิวะเป็นใหญ่ และนับถือ ของแต่ละพระองคด์ ว้ ย พระนารายณ์ พระพรหม และเทพอนื่ ๆ ด้วย ๒. นิกายไวษณพ ถือพระนารายณ์เป็นใหญ่และนับถือ ความเชอื่ ด้ังเดมิ ต้งั แต่ยคุ พระเวท “พระพรหม” คอื พระผู้ พระศิวะ พระพรหมและเทวดาอนื่ ๆ ดว้ ย เปน็ เจา้ สูงสุด เปน็ ผ้สู ร้างสรรพสง่ิ กำ� หนดดวงชะตามนษุ ย์ แบ่งภาคออก เป็นรปู ๓ หรือพระผู้เป็นเจ้าสงู สุด ๓ องค์ ได้แก่ ๓. นิกายศากติ ถือว่าพระแม่อาทิศักตี หรือพระแม่ ปราศกั ตีเปน็ ใหญ่ องคเ์ ทวที ง้ั ปวงเปน็ ปางของพระแมอ่ าทศิ กั ตี หรอื พระแม่ - พระพรหมธาดา เทพนริ มติ สรรพสิง่ ปราศักตีน่ันเอง และนับถือพระพรหม พระนารายณ์ พระศิวะ และ - พระศวิ ะหรอื พระอศิ วร เทพผทู้ ำ� ลายและทำ� ใหเ้ กดิ ใหม่ องค์เทพอ่นื ๆ ด้วย - พระวษิ ณหุ รือพระนารายณ์ เทพผู้ปกปกั รักษา ๔. นกิ ายสมารต ถอื หา้ พระองคด์ ว้ ยกนั คอื พระพฆิ เนศวร ทั้ง ๓ องค์รวมกันเรียกรวมว่า ตรีมูรติ สิ่งเคารพที่ พระแม่ภวานี คือ พระแม่อาทศิ กั ตี พระพรหมา พระนารายณ์ พระศิวะ กล่าวมา ได้มีการสร้างเป็นรูปเคารพ ในรูปแบบต่างๆ นอกจากเจาะจง ไมม่ อี งคใ์ หญ่กว่าโดยเฉพาะ เฉพาะเทพเจ้าแล้ว ยังมีเครือญาติที่มีอิทธิฤทธิ์มหิทธานุภาพยิ่งใหญ่ ทส่ี รา้ งคณุ ปู การแก่มวลมนุษย์ อนั เป็นทง้ั พระอัครชายา พระโอรส และ ทั้ง ๔ นิกายน้ีถือว่าเป็นปรมาตมันไม่มีรูป ไม่มีตน ทวยเทพอน่ื ๆ ทสี่ ถติ ปกปกั รกั ษาแผน่ ดนิ ธรรมชาติ ภเู ขา ทะเล มหาสมทุ ร เป็นพระเจ้าสูงสุด และพลังของปรมาตมัน คือ พระแม่อาทิศักตี อนั กวา้ งใหญ่ นำ� มาสรา้ งรูปเคารพเพ่ือสักการบชู าดว้ ย เช่น พระอาทติ ย์ บางต�ำรากเ็ รยี กชอ่ื ปรมาตมันวา่ อาทปิ รุ ุษและปรพรหมดว้ ย พระจันทร์ พระแม่คงคา พระแม่ธรณี เทพประจ�ำจตรุ ทศิ เป็นอาทิ นอกจากน้ัน ยังมีลัทธทิ ี่แยกจากทงั้ ๔ นกิ าย อกี มากมาย แตล่ ะนกิ ายมเี ทวดาสำ� หรบั บชู าสกั การะ มพี ระปรมาจารยผ์ กู้ ำ� เนดิ นกิ าย ซึ่งทุกนิกายต่างถือว่า ปรมาตมันเป็นพระเจ้าสูงสุด มีตัวอักษรรูปโอม เปน็ สัญลักษณ์ สรุปความวา่ ไมว่ า่ จะมีนิกายมากมายเพียงใดกต็ าม ลว้ น เปน็ ครอบครัวเดยี วกนั ท้งั ส้ิน 190
ศาสนพิธี วันสคญั ทางศาสนา พราหมณ์ - ฮินดเู ปน็ ศาสนาเก่าแกอ่ ยคู่ ่ปู ระเทศไทยมายาวนาน ตั้งแต่สมยั สุโขทยั อยธุ ยา ธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตราบปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ทรงพระมหากรุณาส่งเสริมอุปถัมภ์กิจกรรม ของศาสนาตลอดมา พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช พระมหากษตั รยิ ์ รชั กาลท่ี ๙ แหง่ พระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงรอ้ื ฟืน้ พิธีกรรมเพื่อความมัน่ คงแก่ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ อนั เปน็ สถาบันหลักของประเทศ สอดคล้องตามคติของโบราณราชประเพณี ซ่ึงเป็นวัฒนธรรมท่ีส่ังสมผูกพัน และสบื ทอดกบั วิถีชวี ติ ของชาวไทย พราหมณ์ของเทวสถานท�ำหนา้ ท่ปี ระกอบพระราชพธิ ีสำ� คญั ๆ เช่น พระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษก พระราชพธิ ถี อื นำ้� พระพพิ ฒั นส์ ตั ยา พระราชพธิ ฉี ตั รมงคล การบวงสรวงพระมหา กษตั รยิ าธริ าชเจา้ เทพยดา อารกั ษท์ ปี่ กปกั รกั ษาบา้ นเมอื ง ซง่ึ จะอำ� นวยความรม่ เยน็ เปน็ สขุ มาสปู่ วงชน ในแผ่นดนิ พระราชพิธีพชื มงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เพอื่ ความไพบูลยแ์ ห่งเกษตรกรรมของชาติ พระราชพธิ ีสมโภชเดอื นขึ้นพระอู่ เป็นตน้ 191
นอกจากพระราชพธิ ที กี่ ลา่ วมาในเบอ้ื งต้นแล้ว ปรากฏว่า ๗. กาลราตรี หรอื กาลี ปางทเี่ จด็ พระแมเ่ จา้ อมุ าเสวยเลอื ด วนั สำ� คญั ทางศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู อนั ถอื เปน็ พระราชพธิ ที เ่ี กยี่ วเนอ่ื ง ของอสูร ในราชประเพณไี ทยดว้ ยคือ พระราชพิธตี รยี ัมปวาย – ตรปี วาย การสวด สรรเสรญิ ตอ้ นรบั พระอศิ วรและพระนารายณท์ เ่ี สดจ็ ลงมาเยยี่ มโลกมนษุ ย์ ๘. มหาเคารี ปางที่แปด พระแม่เจ้าอุมาผู้ทรงเป็นเจ้าแม่ ประจำ� ปี ในเดอื นยขี่ องทกุ ปี อนั ถอื เปน็ วนั ขน้ึ ปใี หมข่ องพราหมณ์ ระหวา่ ง แหง่ ธญั ชาติ จงึ เรยี กวา่ อนั นปรู ณา หมายถงึ เจา้ แมท่ ท่ี ำ� ใหธ้ ญั ชาตสิ มบรู ณ์ ทเี่ สดจ็ อยใู่ นโลก พราหมณจ์ ะทำ� พธิ ตี อ้ นรบั มกี ารจดั งานรบั รองพระเปน็ เจา้ อยา่ งสนกุ สนาน ตรยี มั ปวาย คือการรับรองพระอศิ วร เริ่มตั้งแตว่ ันขึ้น ๗ ๙. สิทธิทาตรี ปางที่เก้า พระแม่เจ้าอุมากลับเป็นเจ้าแม่ ค่�ำ เดอื นยี่ กำ� หนด ๑๐ วัน เสดจ็ กลับวันแรม ๑ ค�ำ่ เดอื นย่ี แหง่ ความสำ� เรจ็ ทุกอยา่ ง ส่วนตรีปวาย คือวันที่พระนารายณ์เสด็จลงมาต่อจาก เมื่อท�ำการบูชา ๙ วัน ๙ ปาง เสร็จแลว้ กท็ �ำการบูชาไฟ พระอิศวร ในวนั แรม ๑ คำ�่ เดือนยแ่ี ละเสดจ็ กลบั ในวันแรม ๕ ค�่ำ เดือน และเชิญกุมารี ๙ คน แทนปางทงั้ ๙ (เดก็ ผหู้ ญิงมีอายุไม่เกิน ๑๐ ปี ตาม เดยี วกัน ซง่ึ จะกระทำ� อยา่ งเรยี บ ๆ ลำ� ดับดงั น้ี ปางแรกเดก็ ผู้หญิงมีอายุ ๒ ปี ปางท่ีสอง เด็กมีอายุ ๓ ปี จนถึง ปางท่ี ๙ ) เมอ่ื เสรจ็ พธิ แี ลว้ ประชาชนทงั้ หลายกถ็ วายสง่ิ ของแกเ่ ดก็ ทง้ั ๙ วนั สำ� คญั ทางศาสนานอกจากพธิ ตี รยี มั ปวายและตรปี วาย คน ประชาชนผนู้ ับถือศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู เชือ่ วา่ เมือ่ ทำ� พิธนี ้ีเสรจ็ ของเทวสถานโบสถพ์ ราหมณแ์ ลว้ มพี ธิ อี กี มากมาย จดั ลำ� ดบั การประกอบ จะได้ความศกั ดส์ิ ิทธิ์ท้ังกายและใจ พธิ ีตามวันเวลาทางจนั ทรคติ ประมวลพิธตี ลอดทง้ั ปี มี ๓๖ พธิ ี ซึ่งแตล่ ะ พธิ ที เี่ รียกว่าวันส�ำคญั ก�ำหนดวนั ในการท�ำพิธีทแ่ี ตกตา่ งกันด้วย บางพิธี วันนวราตรี ช่วงที่ ๒ เป็นการบูชาพระทุรคารอบที่ ๒ จะทำ� ตอ่ เนอ่ื งกนั ๓ วนั ๗ วนั ๙ วนั กลา่ วไดว้ า่ การบชู าสกั การะในแตล่ ะ ระหว่างวันขน้ึ ๑ - ๙ ค�่ำ เดอื น ๑๑ เป็นเวลา ๙ วัน ทำ� พิธเี หมือนวัน พธิ นี นั้ มงุ่ หมายใหศ้ าสนกิ ชนตงั้ อยใู่ นการปฏบิ ตั กิ ศุ ลตลอดเวลา เนอ่ื งจาก นวราตรใี นชว่ งแรก ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู เคารพบูชาเทพเจ้า ฉะน้นั วันส�ำคญั ตา่ งๆ จงึ นอกจากนี้ ยังมีวันส�ำคัญอื่นๆ อีกเช่น วันไวศาขีปูรณิมา วันคเณศจตุรถี วันมหาลัยปูรณิมา วันมาฆีปูรณิมา วันศิวราตรี วัน พระราชพิธีตรียัมพวาย - ตรีปวาย วนั โหลิหรอื โหลี เป็นตัน เก่ยี วข้องกบั พระเปน็ เจ้า ในท่นี ี้ จะยกมาเปน็ บางพธิ ี ดงั นี้ วันนวราตรี ช่วงแรก เป็นการบูชาพระอุมา พระชายา พระศิวะ มี ๙ ปาง จัดข้ึนระหว่างวนั ขึ้น ๑ - ๙ ค�่ำ เดือน ๕ แต่ละราตรี ทำ� การบชู าแตล่ ะปาง ดงั นี้ ๑. ไศลปตุ รี เปน็ ปางแรก พระแมเ่ จา้ อมุ าเปน็ บตุ รขี องภเู ขา คือเปน็ ธิดาของหิมวตั ราชาแห่งภเู ขาทัง้ หลาย ๒. พรหมจาริณี ปางทส่ี อง พระแมเ่ จา้ อุมาเกิดขึ้นเอง ไมม่ ี พ่อแม่ อย่เู ปน็ โสดตลอดกาล ๓. จันทรฆัณฏา ปางท่ีสาม พระแม่เจ้าอุมาเกิดมาปราบ อสรู ด้วยเสยี งระฆงั ๔. กูษามาณฑา ปางท่ีสี่ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปางทุรคา พระแม่เจา้ อมุ าเกดิ มาปราบอสรู ด้วยอาวุธ ทง้ั ๔ กร ๕. ษกันทมาตา ปางท่ีห้า พระแม่เจ้าอุมาเป็นปางเล้ียง พระขนั ธกมุ าร พระโอรสพระศวิ ะกบั อมุ าเทวี หรอื ปารวตี ซงึ่ จะไปปราบอสรู ตอ่ ไป ๖. กาตยายนี ปางท่ีหก พระแม่เจ้าอุมาเกิดเป็นเทวีของ ปีศาจ ใชพ้ วกภตู ผีปศี าจเปน็ พลพรรคไปปราบอสูร พระนางทรุ คา หรือเจ้าแมก่ าลี ปางหน่งึ ของพระอุมา 192
พระนารายณ์ และพระลักษมภี ายในสถานสกั การะ วดั เทพมณเทยี ร ณ สมาคมฮนิ ดูสมาช 193
๑ ๒ 194
๔ ๕ ๑ พระศิวะ และพระอมุ าเทวี ณ วัดวิษณุ สมาคมฮนิ ดธู รรมสภา ๓ ๒ พระศวิ ะ ณ วัดเทพมณเทยี ร สมาคมฮินดูสมาช ๖ ๓ เทวรปู หนุมาน ณ วัดเทพมณเฑียร สมาคมฮนิ ดสู มาช ๔-๕ การสรงนำ้� ศิวลงึ ค์ ๖ การเจมิ หน้าผากให้พร 195
196
ศาสนาซกิ ข์ ศาสนาซกิ ขก์ ำ� เนดิ ขน้ึ ในแควน้ ปญั จาบ ทางตอนเหนอื ของประเทศอนิ เดยี เมอ่ื พ.ศ. ๒๐๑๒ ๔ เปน็ ศาสนาประเภทเอกเทวนิยม คือ นับถือพระเจา้ พระองค์เดยี ว โดยเช่ือว่าพระเจ้าเป็นผสู้ ร้างโลกและ มีอ�ำนาจยง่ิ ใหญท่ ีส่ ุด ค�ำวา่ “ซิกข์” เป็นภาษาปญั จาบ ตรงกบั ค�ำภาษาสันสกฤตวา่ “ศษิ ฺย” แปลว่า ผูศ้ ึกษา หรอื ศษิ ย์ หมายความวา่ ชาวซกิ ขห์ รอื ผนู้ บั ถอื ศาสนาซกิ ขท์ กุ คนเปน็ ศษิ ยข์ อง “ครุ ”ุ หรอื ครู ซงึ่ หมายถงึ ศาสดาของศาสนาซิกข์ นกิ ายของศาสนาซิกขท์ ี่สำ� คัญแบง่ ออกเปน็ ๒ นิกาย คอื นกิ ายขาลสาและนกิ ายสหัชธรี นกิ ายขาลสาหรอื สงิ หน์ กิ ายจะเนน้ ตามคำ� สอนของพระศาสดาครุ โุ ควนิ ทสงิ หเ์ ปน็ หลกั ชาวซกิ ขใ์ นนกิ าย นี้ตอ้ งผ่านพิธีรับอมฤตและรับศาสนสญั ลกั ษณ์ ๕ ประการ จงึ มีการไว้ผมและหนวดเครา โดยไมต่ ัดหรือ โกนตลอดชีวิต ส่วนนิกายสหัชธรีน้ัน มีผู้สันนิษฐานว่าอาจเป็นนิกายเดียวกับนามธารี ซึ่งหมายถึง การเทดิ ทนู พระผศู้ ักดิ์สทิ ธิ์หรือพระผเู้ ป็นเจ้า ชาวซกิ ขเ์ ดนิ ทางเขา้ มาสดู่ นิ แดนไทยครง้ั แรกเมอื่ ใดนนั้ ยงั ไมป่ รากฏหลกั ฐานระบแุ นช่ ดั แต่ สามารถอนมุ านไดว้ ่า ชาวซกิ ขเ์ ร่ิมเดนิ ทางเข้ามาตัง้ ถิน่ ฐานในประเทศไทยตัง้ แตร่ ชั สมยั พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั การเขา้ มาตงั้ ถน่ิ ฐานของชาวซกิ ขใ์ นกรงุ เทพมหานคร สว่ นใหญเ่ รม่ิ ตง้ั บา้ นเรอื นอยบู่ รเิ วณ พาหุรัดกระจายออกไปตลอดแนวต้ังแต่ถนนบ้านหม้อมาจนจดถนนพาหุรัด จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชด�ำริให้ปลูกสร้างอาคารตึกแถวริมถนนพาหุรัดข้ึน เพ่ือใช้ประโยชน์ในกิจการต่างๆ พ่อค้าชาวซิกข์จึงเริ่มเข้าไปจับจองเพ่ือเปิดร้านค้าขายผ้าและสินค้า น�ำเข้าจากประเทศอนิ เดยี ท�ำให้พาหรุ ดั กลายเป็นยา่ นการค้าทส่ี �ำคญั เรอ่ื ยมาจนปจั จบุ นั หลงั จากประกอบพธิ ีกรรมทางศาสนาสิ้นสดุ ลง อยา่ งสมบูรณ์แลว้ ศาสนาจารย์ และศาสนกิ ชน ลุกข้ึนยนื สวดอรั ดาส ซึง่ จะกระท�ำการอัรดาส ในทกุ ครั้งท่ีสวดคุรมุ นต์จบโดยสมบูรณ์ ๔ นับตามปีเกดิ ของครุ ุนานกั เทพ พระศาสดาองค์แรกของศาสนาน้ี 197
อนึ่ง การสรา้ งตกึ แถวบรเิ วณถนนพาหุรดั ในชว่ งแรกคงจะ ขายทีด่ ินนน้ั เป็นสทิ ธขิ าดแก่ชาวตา่ งประเทศ ซึง่ ยงั เขา้ มาพกั อาศัยอยู่ใน ทำ� การกอ่ สรา้ งเฉพาะตกึ แถวรมิ ถนนเทา่ นน้ั สว่ นดา้ นในยงั คงเปน็ บา้ นไม้ ประเทศไทยไมถ่ ึง ๑๐ ปี หลงั คามุงแฝก หรือบา้ นไมฝ้ าไมไ้ ผ่ขัดแตะเช่นเดิม จนเกิดเพลิงไหม้ครง้ั ใหญ่ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๗ จึงมปี ระกาศหา้ มการก่อสรา้ งอาคารไมใ้ นบริเวณ นอกจากบริเวณพาหุรัดและถนนจักรเพชรแล้ว ยังมีชาว พ้ืนทีเ่ พลิงไหม้ ท�ำให้อาคารตกึ แถวทส่ี รา้ งขึ้นใหม่บรเิ วณรมิ ถนนพาหุรัด ซิกข์บางส่วนที่ต้ังถ่ินฐานอยู่อาศัยในบริเวณบ้านหม้อ ถนนราชวงศ์และ กลายเป็นอาคารคอนกรีตที่มีรูปแบบทันสมัยมากข้ึน เม่ือประกอบกับ บริเวณใกล้เคียงอีกด้วย เมื่อชาวซิกข์ได้เข้ามาพ�ำนักอาศัยในกรุงเทพฯ การเป็นย่านการค้าและย่านชุมชนมาแต่เดิม ส่งผลให้บริเวณนี้มีความ เพมิ่ มากขนึ้ จงึ นำ� ไปสกู่ ารมศี าสนสถาน ๕ แหง่ แรกในบรเิ วณถนนบา้ นหมอ้ เจริญมากขึ้นเป็นล�ำดับ ดังปรากฏภาพความเจริญของย่านน้ีในหนังสือ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕ โดยศาสนิกชนชาวซิกข์ได้เช่าบ้านเรือนไม้ ๑ คูหา เร่ือง นริ าศบางกอก ตอน “นริ าศชมตลาดสำ� เพง็ ” ของนายบุศย์ ซ่งึ แตง่ แล้วจัดตกแต่งสถานที่ให้เหมาะสม แต่เน่ืองจากความไม่สะดวกในการ ขนึ้ ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๔๕๕ – ๒๔๖๔ บทกลอนดงั กลา่ วสะท้อนภาพความ ประกอบศาสนกิจบางประการ ศาสนิกชนชาวซิกข์จึงประกอบศาสนกิจ เจริญทางการค้าและความคับคั่งของผู้คนในย่านถนนจักรเพชร ถนน กันเองสัปดาหล์ ะ ๑ ครั้ง พาหรุ ัด สะพานหนั ส�ำเพ็ง เรื่อยไปจนถึงบริเวณวัดเกาะ (วัดสมั พันธวงศ์) ซ่ึงบริเวณน้ันมีการจ�ำหน่ายสินค้าหลากชนิด ท้ังผ้าและผลไม้จากต่าง ต่อมาเม่ือชุมชนขยายตัวข้ึน ชาวซิกข์จึงได้ย้ายจากสถาน ประเทศ รา้ นยาไทยและจีน เคร่ืองแก้ว เครื่องกระปอ๋ ง หนงั สตั ว์ และ ที่เดิมมาเช่าบ้านหลังใหญ่ขึ้น ณ บริเวณหัวมุมถนนพาหุรัดและถนน เครื่องเทศ ฯลฯ จักรเพชร หลังจากตกแต่งแก้ไขจนสามารถประกอบศาสนกิจได้แล้ว กพ็ รอ้ มใจกนั อญั เชญิ พระมหาคมั ภรี ม์ าประดษิ ฐานเปน็ ประธาน และสวด จากการทพี่ าหรุ ดั กลายเปน็ ยา่ นการคา้ ทสี่ ำ� คญั ทำ� ใหม้ ชี าว มนตป์ ฏบิ ตั ศิ าสนกจิ เปน็ ประจำ� ทกุ วนั ไมม่ วี นั หยดุ นบั ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๔๕๖ ซิกข์เข้ามาท�ำการค้าและสร้างท่ีอยู่อาศัยในบริเวณน้ีมากข้ึน ดังปรากฏ หลักฐานการจดทะเบียนพาณิชย์ของชาวซิกข์ท่ีมาประกอบการค้าใน พ.ศ. ๒๔๗๕ สังคมชาวซิกข์เติบโตมากขึ้น ศาสนิกชน ย่านนี้ อาทิ ชาวซิกข์จึงเห็นถึงความจ�ำเป็นในการมีศาสนสถานถาวรแทนการเช่า สถานทีเ่ พอื่ ท�ำเป็นศาสนสถาน ดงั นน้ั จึงมกี ารรวบรวมทนุ ทรพั ย์เพอ่ื จดั ๑. รา้ นเกยี ปาซงิ หอ์ ารม์ าซงิ ห์ จดทะเบยี นวนั ที่ ๒๕ ตลุ าคม ซอื้ ทด่ี นิ และกอ่ สรา้ งศาสนสถาน เปน็ อาคารขนาด ๓ ชน้ั ใชช้ อื่ วา่ “ศาสน พ.ศ. ๒๔๖๐ จำ� หน่ายผ้าตา่ งๆ สถานสมาคมศรคี รุ ุสงิ ห์สภา” ครนั้ เกิดสงครามโลกครั้งท่ี ๒ บรเิ วณยา่ น พาหรุ ดั ไดร้ บั ความเสยี หายจากการทงิ้ ระเบดิ ของฝา่ ยสมั พนั ธมติ ร แรงสน่ั ๒. ร้านจ�ำปาซิงห์มาเกตราม จดทะเบียนวันท่ี ๑๖ สะเทอื นทำ� ใหศ้ าสนสถานครุ ดุ วาราบางสว่ นเสยี หายจนไมส่ ามารถประกอบ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๖๓ จ�ำหนา่ ยผา้ ตา่ งๆ ศาสนกจิ ได้อีกต่อไป จนกระท่ัง พ.ศ. ๒๕๒๒ ชาวไทยซิกข์ พร้อมด้วย สมาคมศรีคุรุสิงห์สภาได้ร่วมใจกันก่อสร้างศาสนสถานคุรุดวาราขึ้นใหม่ ๓. รา้ น อาร.์ เอส. บลั บรี ซ์ งิ ห์ จดทะเบยี นวนั ท่ี ๒๖ มนี าคม บนพื้นท่ีเดิม ถือเป็นศูนย์รวมของซิกข์ศาสนิกชนในประเทศไทยสืบมา พ.ศ. ๒๔๖๙ จำ� หน่ายผา้ ต่างๆ ตราบจนปจั จบุ ัน อน่ึง ปรากฏหลกั ฐานว่าชาวซกิ ขบ์ างคนทเ่ี ข้ามาตัง้ ถนิ่ ฐาน องค์การศาสนาซิกข์ ที่กรมการศาสนาให้การรับรอง ท�ำการค้าในย่านพาหุรัด และมีเงินทุนสะสมมากพอ ได้ท�ำค�ำร้องขอซ้ือ ปจั จบุ นั มี ๒ องค์การ คอื บา้ นและทด่ี นิ จากเจา้ ของกรรมสทิ ธชิ์ าวไทยเพอ่ื ใชเ้ ปน็ ทพ่ี กั อาศยั ถาวร จงึ ทำ� ใหท้ ราบวา่ บคุ คลดงั กลา่ วไดเ้ ขา้ มาพกั อาศยั ในดนิ แดนไทยเปน็ เวลาไม่ ๑. สมาคมศรีคุรสุ ิงห์สภา นอ้ ยกวา่ ๑๐ ปีแล้ว เน่ืองจากตามหลักกฎหมายท่ดี ินไทยว่าด้วยการขาย ท่ีดินให้แก่ชาวต่างประเทศ ซ่ึงประกาศใช้ต้ังแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จ ๒. สมาคมนามธารสี ังคตั แห่งประเทศไทย พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดก้ ำ� หนดไวว้ า่ ทด่ี นิ ภายในกำ� แพงพระนครและ ๕ ศาสนสถานของชาวซิกข์ เรียกวา่ คุรุดราวา หมายถึงประตหู รอื ทางทที่ อดไปสู่ หา่ งจากกำ� แพงพระนครโดยรอบออกไป ๒๐๐ เสน้ หา้ มผเู้ ปน็ เจา้ ของทดี่ นิ พระศาสดา 198
ศาสดา ศาสนบุคคล ศาสดาแหง่ ศาสนาซกิ ขเ์ รยี กวา่ “ครุ ”ุ องคป์ ฐมบรมศาสดา พระศาสดาคุรุนานักเทพกล่าวว่าตนเป็นเพียงครูผู้หนึ่ง คือ คุรุนานกั เทพ ประสูติเมื่อ พ.ศ. ๒๐๑๒ ณ หมู่บ้านตลั วันดี ซง่ึ เปน็ เท่านั้น เมื่อกลับจากส่ังสอนศาสนาแล้ว ได้กลับมาเป็นผู้ครองเรือนดัง หมบู่ า้ นเล็กๆ ปัจจบุ นั เรยี กว่า “นันกานา่ ซาฮบิ ” ตั้งอยทู่ างทิศตะวันตก เดิมและส่ังสอนให้ทุกคนเป็นผู้ครองเรือนที่ดีและต้ังม่ันอยู่ในศาสนา เฉียงใตข้ องเมอื งลาโฮร์ แควน้ ปัญจาบ ประเทศปากีสถาน ไม่สนับสนุนให้คนสละโลกเพื่อบ�ำเพ็ญตบะ ด้วยเห็นว่าคฤหัสถ์เพศก็ สามารถหลุดพ้นจากห้วงสงสารได้ หากบ�ำเพ็ญภาวนาช�ำระล้างจิตใจให้ ในสมัยของพระองค์ ศาสนาอิสลาม นิกายชุนนี ซึ่งมุ่ง สะอาดอยู่เสมอ สอนเร่ืองการสละความหรูหราสะดวกสบายก�ำลังมีบทบาทอย่างมากใน สงั คม สว่ นศาสนาฮนิ ดกู ไ็ ดเ้ กดิ ลทั ธภิ กั ดขี น้ึ ลทั ธนิ ม้ี งุ่ เนน้ ความจงรกั ภกั ดี ตามประวัติพระศาสดาคุรุนานักเทพเป็นผู้มีเมตตาสูงและ และเชื่อมั่นในพระเป็นเจ้า โดยไม่ประสงค์ส่ิงใดตอบแทน คุรุนานักเทพ มีความนอบน้อม แต่เคร่งครัดในหลักศาสนาและยึดม่ันในความถูกต้อง ซ่ึงมีความสนใจในศาสนามาแต่วัยเยาว์ จึงได้ศึกษาทั้งศาสนาฮินดูและ ตลอดชีวิตพระองค์ได้ออกเดินทางสอนศาสนาไปท่ัวประเทศอินเดีย อิสลาม โดยได้สนทนาธรรมกับนักบุญของท้ังสองศาสนา เม่ือเจริญวัย รวมถงึ ประเทศใกลเ้ คยี ง ไดพ้ ยายามสรา้ งความประนปี ระนอมและความ และแตง่ งานมคี รอบครวั ไดแ้ ยกตวั ไปบำ� เพญ็ ตนและพจิ ารณาธรรมเพยี ง สามัคคีระหว่างศาสนาต่างๆ ในประเทศอินเดีย โดยให้ถือว่าทุกคนเป็น ผู้เดียว เมื่อแน่ใจว่าตนได้ค้นพบธรรมะอันเป็นที่พอใจแล้ว จึงได้เร่ิมส่ัง พน่ี อ้ งกนั เพราะมาจากพระเจา้ พระองคเ์ ดยี วกนั และพระองคเ์ ปน็ พระเจา้ สอนธรรมแกค่ นท้งั ปวง ของมนุษยชาติทงั้ มวล ขณะน้ันประเทศอินเดียตกอยู่ภายใต้การปกครองของ เมื่อพระศาสดาคุรุนานักเทพสิ้นพระชนม์ ศาสนาซิกข์มี ราชวงศ์โมกุล ซง่ึ นบั ถือศาสนาอิสลาม แตป่ ระชาชนส่วนใหญใ่ นอินเดยี พระศาสดาสบื ตอ่ มาอกี ๙ พระองค์ คอื นบั ถอื ศาสนาฮนิ ดู จงึ เกดิ ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลมุ่ ผนู้ บั ถอื ศาสนาทงั้ สอง พระศาสดาครุ นุ านกั เทพไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทในการแกไ้ ขปญั หาความขดั แยง้ ๑. คุรนุ านักเทพ (พ.ศ. ๒๐๑๒ – ๒๐๘๒) โดยส่ังสอนให้ทั้งสองฝ่ายสามัคคี ไม่แบ่งแยกซึ่งกันและกัน ในเบื้องต้น ๒. คุรุองั คตั เทพ (พ.ศ. ๒๐๔๗ – ๒๐๙๕) พระศาสดาครุ นุ านกั เทพมสี าวกเพยี งสองคน คนหนง่ึ เปน็ ชาวฮนิ ดู สว่ นอกี ๓. คุรุอมรเทพ (พ.ศ. ๒๐๒๒ – ๒๑๑๗) คนเปน็ นกั ดนตรชี าวมสุ ลมิ ทงั้ สองคนไดต้ ดิ ตามพระศาสดาครุ นุ านกั เทพ ออกเดินทางไปสอนศาสนายังท่ีต่างๆ โดยแต่งหลักธรรมเป็นโศลกหรือ ๔. ครุ ุรามดาบส (พ.ศ. ๒๐๗๗ – ๒๑๒๔) กาพยก์ ลอน แลว้ ดดี พณิ รอ้ งไป ทำ� ใหม้ ชี าวบา้ นสนใจมาฟงั มากในทกุ แหง่ ๕. คุรอุ รชุนเทพ (พ.ศ. ๒๑๐๖ – ๒๑๔๙) ๖. ครุ ฮุ าร์โควนิ ท ์ (พ.ศ. ๒๑๓๘ – ๒๑๘๘) ๗. คุรหุ ริราย (พ.ศ. ๒๑๗๓ – ๒๒๐๔) ๘. ครุ ุหริกฤษณะ (พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๐๗) ๙. ครุ เุ ตฆ พาหทรุ (พ.ศ. ๒๑๖๔ – ๒๒๑๘) ๑๐. คุรุโควินทสงิ ห ์ (พ.ศ. ๒๒๐๙ – ๒๒๕๑) 199
200
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212