Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสนาในประเทศไทย

Description: ศาสนาในประเทศไทย

Search

Read the Text Version

ศาสนาซกิ ข์ ศาสนาซิกข์เผยแผ่เข้าสู่ดินแดนไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ ด้วยชาวชิกข์เดินทางเข้า มาในประเทศไทย ดังพบการกล่าวถึงชาวซิกข์ครั้งแรกในพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องระยะทางเสด็จพระราชด�ำเนินประพาสทางบก ทางเรือรอบ แหลมมลายู ร.ศ. ๑๐๙ ซงึ่ ทรงบนั ทกึ ไวข้ ณะเสดจ็ ประพาสเมอื งภเู กต็ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๓๓ วา่ ทรงพบ ต�ำรวจแขกซิกข์มาร่วมรับเสด็จด้วย ดังความในพระราชหัตถเลขาฯ ว่า “ท่ีหน้าตึกเจ้าท่ามีทหาร กรุงเทพฯ ที่ออกมาอยู่กับกรมการและพวกจีน หัวหน้าต้นแซ่มาคอยรับหลายสิบคน มีโปลิศแขกซิกข์ รับแถวหนึ่งด้วย” ท�ำให้ทราบได้ว่าชาวซิกข์เดินทางเข้ามาทางภาคใต้ของประเทศไทยต้ังแต่ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๓ สอดคลอ้ งกบั หลกั ฐานการรายงานจำ� นวนชาวอนิ เดยี ทเ่ี ขา้ มารบั ราชการเปน็ พลตระเวน ในประเทศไทย ซง่ึ ระบวุ า่ ใน พ.ศ. ๒๔๔๑ มชี าวซกิ ขร์ บั จา้ งเปน็ กองตระเวนในประเทศไทยจำ� นวน ๒๘ คน ๑ ซกิ ขศ์ าสนกิ ชนกำ� ลงั สวดอธษิ ฐานขอพร 51 จากองค์พระผู้เป็นเจา้ ทห่ี น้าบลั ลงั ก์ ซ่ึงเป็นท่ีประดิษฐานท่ีประทับของ องค์พระมหาคัมภีร์ครุ คุ รนั ถซ์ าฮบิ พระศาสดานริ นั ดรก์ าลแหง่ ศาสนาซกิ ข์ และ กำ� ลังอรั ดาส กล่าวคือ นอกจากจะขอความ สุขความเจรญิ ให้แกต่ นเองแล้ว ยังอุทิศบญุ กุศลเผ่ือแผ่ให้ทุกชีวิตไดร้ ับโดยทั่วกัน ๒ ซิกข์ศาสนิกชน ก�ำลงั สวดอธษิ ฐาน ขอพรจากองคพ์ ระผเู้ ปน็ เจา้ กรตฺ าปรุ ขุ ดลบนั ดาลใหส้ รรพสง่ิ มีชวี ิตท้งั หมดอยูเ่ ยน็ เปน็ สุขตลอดไป พธิ นี ี้เรียกวา่ อัรดาส คอื การอทุ ศิ บญุ กศุ ลเผอื่ แผใ่ หท้ กุ ชวี ติ โดยทวั่ กนั ไม่จ�ำกดั ช้ัน วรรณะ ๒ ๑

๑ อนง่ึ ตามหลกั ฐานของสมาคมศรคี รุ สุ งิ หส์ ภาไดบ้ นั ทกึ การตงั้ ถน่ิ ฐานของชาวซกิ ขค์ นแรก ๑ อาคารหนิ ออ่ น ๖ ช้ัน เป็นทตี่ ั้ง ในดินแดนไทยไว้ว่า เดินทางเข้ามายังประเทศไทยประกอบอาชีพค้าขายผ้าแพรพรรณในรัชสมัย ของวัดซกิ ข์ ระหว่างถนนจักรเพชร-พาหรุ ดั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาได้ชักชวนญาติมิตรเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่อาศัย กรุงเทพมหานคร ชาวซิกขข์ นานนาม ในประเทศไทยอย่างถาวรเพิ่มมากข้ึน ในเวลาต่อมาได้เปิดรา้ นแหง่ แรกข้นึ ทบี่ ริเวณบ้านหม้อ เรียก ศาสนสถานแห่งน้วี ่า “คุรุดวารา” วา่ “รา้ นแขก” เมอ่ื ชาวซกิ ขเ์ ขา้ มาตงั้ ถน่ิ ฐานในประเทศไทยมลี กู หลานถอื กำ� เนดิ ขน้ึ บนแผน่ ดนิ ไทย เปน็ ชาวไทยถือสัญชาติไทย แตท่ วา่ ยังคงนบั ถือศาสนาซกิ ขต์ ามบรรพบรุ ุษ จึงเรียกว่า ชาวไทยซิกข์ ๒ ศาสนาจารยก์ ำ� ลงั นำ� สวดโดยมีเครอื่ ง ซ่ึงนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่แห่งพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าในพระบรมราชจักรีวงศ์ ดนตรีประกอบ มีศาสนิกชนนงั่ พ้นื ฟงั ท่ีชาวไทยซิกข์ได้พึ่งพระบรมโพธิสมภารตลอดมา ท�ำให้ครอบครัวชาวไทยซิกข์ได้รับความสงบสุข การสวด พิธีนเี้ รียกวา่ พิธีสวดแบบ ร่มเย็นพร้อมมูล ทั้งในการท�ำมาหาเล้ียงชีพ ตลอดท้ังได้ประกอบศาสนกิจตามความเชื่อในหลัก กรี ตัน หมายความว่า เป็นการสวดแบบ ธรรมแหง่ ศาสนาของตนอยา่ งเสรี มดี นตรปี ระกอบ 52 ๒

53

54

บทที่ ๒ อัครศาสนูปถัมภก พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว กบั การอุปถัมภศ์ าสนา พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว ทรงเปน็ อัครศาสนูปถัมภก หมายถึงทรงให้ความอุปถมั ภ์ บ�ำรุงทุกศาสนา และให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา แม้ว่าประเทศไทยจะมีความ หลากหลายทางวัฒนธรรมในภูมิภาคตา่ งๆ มกี ารดำ� รงชวี ติ และคติความเชื่อท่ีแตกตา่ งกัน แตผ่ ูค้ นบน ผนื แผน่ ดนิ ไทยกส็ ามารถอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ตสิ ขุ ภายใตร้ ม่ พระบารมี ทรงเปน็ ศนู ยร์ วมจติ ใจของคนไทย ท้งั ชาติ ทรงดำ� รงอยใู่ นทศพธิ ราชธรรม ในฐานะอคั รศาสนูปถมั ภก ได้พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ แกศ่ าสนาตา่ งๆ อย่างทว่ั ถงึ 55

56

พระพทุ ธศาสนา สมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็น เอกอัครศาสนูปถัมภก พระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์พระพุทธศาสนาและศาสนาต่างๆ ใน พระราชอาณาจกั ร ในสว่ นพระพทุ ธศาสนาซงึ่ เปน็ ศาสนาประจำ� ชาตนิ น้ั มพี ระราชศรทั ธาเลอ่ื มใส อยา่ งลกึ ซง้ึ ทรงประกอบพระราชกรณยี กจิ นอ้ ยใหญใ่ นการทำ� นบุ ำ� รงุ พระพทุ ธศาสนาทง้ั ฝา่ ยเถรวาท และฝ่ายมหายาน ซึ่งมีรายละเอียดโดยสงั เขปดงั นี้ ทรงพระผนวชในพระบวรพทุ ธศาสนา พระราชกรณยี กจิ สำ� คญั ประการหนง่ึ ของพระมหากษตั รยิ ไ์ ทยคอื การทรงพระผนวชใน พระพทุ ธศาสนา บางพระองคท์ รงพระผนวชกอ่ นขนึ้ ครองราชสมบตั ิ เชน่ สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา ที่ ๑ (ลไิ ทย) แหง่ กรุงสุโขทัย สมเดจ็ พระเจา้ ทรงธรรม แหง่ กรุงศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระพทุ ธ เลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั เป็นต้น และบางพระองคท์ รงพระผนวช หลงั จากขึ้นครองราชสมบตั ิ เช่น พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัว รัชกาลปจั จบุ ัน ทรงพระผนวชเมื่อ วันท่ี ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็น พระอปุ ัชฌาย์ ทรงพระผนวชอยู่ ๑๕ วัน ประทับ ณ วดั บวรนเิ วศวิหาร ๑ “ภูมิพโล ภิกข”ุ พระบาทสมเดจ็ ๒ พระเจ้าอยู่หวั ทรงพระผนวช พทุ ธศักราช ๒๔๙๙ 57 ๒ พระภิกษุพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เสด็จออกรบั บณิ ฑบาต ๑

การสร้างและปฏสิ ังขรณพ์ ระอาราม พทุ ธสถาน พระพทุ ธปฏมิ าและศาสนวัตถอุ ื่นๆ การสร้างและปฏิสังขรณ์พระอารามต่างๆ เป็นพระราชกรณียกิจส�ำคัญท่ีสมเด็จ พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าต้ังแต่อดีตทรงบ�ำเพ็ญสืบเน่ืองมาจนถึงปัจจุบัน เช่น สมเด็จ พระเจ้าปราสาททอง แห่งกรุงศรีอยุธยา โปรดให้สถาปนาวัดไชยวัฒนาราม พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้สร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัดส�ำคัญหลายแห่ง ได้แก่ วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม วดั สระเกศ วดั โพธาราม (วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม) เปน็ ตน้ พระบาท สมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหส้ รา้ งวดั ขนึ้ ใหม่ ๓ วดั ไดแ้ ก่ วดั เทพธดิ าราม วดั ราชนดั ดาราม และวัดเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนนทบุรี ท้ังมีพระราชศรัทธาโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดอีก ๓๓ วดั หลายวดั เปน็ การบรู ณปฏสิ งั ขรณค์ รง้ั ใหญท่ งั้ พระอารามเหมอื นสรา้ งใหม่ เชน่ วดั ราชโอรสาราม (วัดจอมทอง) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ บรู ณปฏสิ งั ขรณพ์ ระปฐมเจดยี ์ จงั หวดั นครปฐม พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดให้ สถาปนาวดั เบญจมบพิตรดสุ ติ วนาราม วดั อษั ฎางคนิมติ วัดจฑุ าทศิ ธรรมสภาราม พระบาทสมเด็จ พระเจา้ อย่หู วั รัชกาลปัจจุบัน โปรดใหส้ ร้างวดั พระราม ๙ กาญจนาภิเษก เปน็ ต้น ส่วนวดั ในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานในประเทศไทย เช่น วดั มงคลสมาคม หรือวัด ญวน (วัดโหย่ค้ันต้ือ) ซึ่งเป็นวัดคณะสงฆอ์ นมั นิกาย และวดั มังกรกมลาวาส (เลง่ เน่ยยี)่ ซงึ่ เปน็ วัด คณะสงฆจ์ นี นกิ าย ฝา่ ยมหายาน ซึง่ สรา้ งขึ้นในสมัยรชั กาลที่ ๕ แหง่ กรงุ รัตนโกสินทร์ ลว้ นแล้วแต่ ไดร้ บั พระบรมราชปู ถมั ภจ์ ากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ทั้งสองอาราม ๑ พระอุโบสถ วดั พระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวงั ๒ พระศรรี ตั นเจดีย์ และพระมณฑป บริเวณวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวงั ๑ 58 ๒

59

60

ทรงอุปถัมภพ์ ระไตรปิฎก ๒ พระไตรปิฎก คือพระคัมภีร์ซึ่งรวบรวม ๑ โลหะปราสาท พระธรรมคำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ไว้ พระพทุ ธองคท์ รงมอบ วัดราชนดั ดาราม กรงุ เทพมหานคร ให้เป็นศาสดาของชาวพุทธหลังจากพระพุทธองค์เสด็จดับ ขันธปรินิพพาน พระอรหันต์ได้สังคายนารวบรวมไว้เป็น ๒ สมุดภาพไตรภมู ิ สมัยกรงุ ธนบุรี ตวั แทนขององคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ และคณะสงฆเ์ ถรวาท ไดท้ ่องจำ� รกั ษาไวอ้ ย่างบริสุทธิบ์ รบิ รู ณ์มาจนถึงปัจจุบัน 61 สมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าโปรดให้ ตรวจสอบช�ำระสังคายนาพระไตรปิฎกและพิมพ์พระ ไตรปฎิ กเพอ่ื รกั ษาพระธรรมวนิ ยั ใหบ้ รสิ ทุ ธ์ิ รวมทง้ั โปรดให้ รวบรวมอรรถกถา ฎกี า อนฎุ กี า ตลอดถงึ ปกรณพ์ เิ ศษตา่ งๆ เพ่ือให้พระพุทธศาสนาประดิษฐานอย่างมั่นคงในพระราช อาณาจักร เช่น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช และพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอย่หู วั โปรด ใหส้ งั คายนาพระไตรปฎิ ก พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหต้ รวจสอบชำ� ระและจดั พมิ พพ์ ระไตรปฎิ ก รวมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้ประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิต แต่ง หรือแปลคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เช่น สมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถแหง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยา โปรดใหน้ กั ปราชญ์ ราชบณั ฑติ แตง่ “มหาชาตคิ ำ� หลวง” พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้แต่งเร่ือง “ไตรภูมิโลกย วนิ จิ ฉยั ” และโปรดใหแ้ ปล “พระคมั ภรี ม์ หาวงศ”์ จากภาษา บาลีเปน็ ภาษาไทย เปน็ ตน้ นอกจากนี้ สมเดจ็ พระมหากษัตริยาธิราชเจ้า บางพระองค์ ยงั ทรงพระราชนพิ นธว์ รรณกรรมทเี่ กย่ี วเนอื่ ง กบั พระพทุ ธศาสนาอกี ดว้ ย เชน่ สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา ท่ี ๑ (ลิไทย) ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง “ไตรภูมิพระร่วง” พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลปจั จบุ นั ทรงพระราช นพิ นธ์ เรอ่ื ง “พระมหาชนก” เป็นตน้ ๑

ทรงรเิ ริม่ ศาสนพิธพี ระพทุ ธศาสนา สมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทรงเข้า พระราชหฤทัยในความส�ำคัญของศาสนพิธีจึงทรงมีบทบาท สำ� คญั ในการรเิ รมิ่ และปรบั ปรงุ ศาสนพธิ แี ละประเพณตี า่ งๆ ทาง พระพทุ ธศาสนาใหเ้ ปน็ เครอื่ งยดึ โยงศรทั ธาของพทุ ธศาสนกิ ชน เช่น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดให้ฟื้นฟู “การพระราชกุศลวิสาขบูชา” พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจา้ อยหู่ วั โปรดใหก้ ำ� หนดการบำ� เพญ็ “พระราชกศุ ลมาฆบชู า” ขนึ้ เปน็ ครง้ั แรก และพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดให้จัดพระราชพิธีแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะส�ำหรับ พระราชโอรสที่จะเสดจ็ ไปทรงศกึ ษายงั ทวีปยุโรป เป็นตน้ ทรงบ�ำเพ็ญพระราชกศุ ลเน่อื งในวนั ส�ำคัญ และเทศกาลส�ำคัญทางพระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงบ�ำเพ็ญพระราช กุศลเนื่องในวันส�ำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันธรรมสวนะ ทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้า พระกฐิน อกี ทง้ั โปรดเกล้าฯ ใหพ้ ระบรมวงศานวุ งศ์ เสด็จแทน พระองคใ์ นพธิ ีสำ� คัญทางพระพทุ ธศาสนาดงั กลา่ วข้างต้น นอกจากน้ี ยังมีพระราชกรณียกิจเก่ียวกับ พระพุทธศาสนาอีกเป็นจ�ำนวนมาก เช่น ด้านการศึกษาของ คณะสงฆ์ ดา้ นการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา เปน็ ตน้ ๑ 62

๒ ศาสนาอิสลาม ๑ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัว ถวายผา้ พระกฐนิ ๒ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาธิคุณในการ สนับสนุนส่งเสริมศาสนาอิสลามนานาประการ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ และจุฬาราชมนตรี ต่วน สุวรรณศาสน์ พระราชจริยวัตร รวมทั้งทรงศึกษาหลักค�ำสอน หลักปฏิบตั ิของศาสนาอสิ ลาม พระราชทานพระราชทรัพย์ พระราชทานท่ีดินในการสร้างมัสยิด ท�ำให้ชาว มุสลมิ ปลืม้ ปีตแิ ละซาบซ้งึ ในพระมหากรุณาธิคณุ อยา่ งหาทีส่ ุดมิได้ ท่ีสำ� คญั คือ การแปลพระมหาคมั ภรี อ์ ลั กรุ อานจากภาษาอาหรบั เปน็ ภาษาไทย และจดั พมิ พพ์ ระราชทานไปยังมัสยิดท่ัวราชอาณาจักร เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๕ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรด เกลา้ ฯ ใหน้ ายตว่ น สวุ รรณศาสน์ จฬุ าราชมนตรใี นขณะนนั้ แปลพระมหาคมั ภรี ์ อัลกุรอาน จากภาษาอาหรับเป็นภาษาไทย ท้ังทรงติดตามความคืบหน้าจน สำ� เรจ็ ใชร้ ะยะเวลาในการแปล ๑ ปี ๗ เดอื น ๘ วนั มพี ระราชดำ� รสั พระราชทาน ในงานเฉลมิ ฉลอง ๑๔ ศตวรรษแหง่ คมั ภรี อ์ ลั กรุ อาน เมอ่ื วนั ที่ ๑๖ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๑๑ วา่ “คัมภีร์อัลกุรอาน มิใช่จะเป็นคัมภีร์ท่ีส�ำคัญในศาสนาอิสลาม เทา่ นน้ั แตย่ งั เปน็ วรรณกรรมสำ� คญั ของโลกเลม่ หนงึ่ ซงึ่ มหาชนรจู้ กั ยกยอ่ งและ ได้แปลเป็นภาษาต่างๆ อย่างแพร่หลายแล้ว ดว้ ยการทท่ี า่ นทงั้ หลายได้ด�ำเนนิ การแปลออกเผยแพร่เป็นภาษาไทยครั้งนี้ เป็นการสมควรชอบด้วยเหตุผล อย่างแทจ้ รงิ เพราะจะเป็นการช่วยเหลอื ให้อสิ ลามบรษิ ัทในประเทศไทยท่ีไมร่ ู้ ภาษาอาหรับ ได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมะในศาสนาได้สะดวกและแพร่หลาย ทั้ง ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนผู้สนใจทั่วไปได้ศึกษาท�ำความเข้าใจหลักค�ำ สอนของศาสนาอิสลามอยา่ งถกู ต้องและกว้างขวางย่งิ ข้นึ ...” เมอื่ การจดั พมิ พค์ มั ภรี แ์ ลว้ เสรจ็ สมบรู ณ์ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานไปยงั มสั ยดิ ทวั่ ราชอาณาจกั ร นบั เปน็ พระมหากรณุ าธคิ ณุ อยา่ งยง่ิ พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานฉบับแปลน้ีมีการพิมพ์เผยแพร่อีกหลายครั้ง ในวาระ และโอกาสสำ� คญั ของชาติ เชน่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เนือ่ งในโอกาสที่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี และ พ.ศ. ๒๕๔๘ เนื่องใน โอกาสมหามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ นี าถ ๖ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๗ เปน็ ตน้ 63

การแตง่ ต้ังจฬุ าราชมนตรี เพ่ือบรหิ ารงานศาสนา ต�ำแหน่งจุฬาราชมนตรี มีหน้าที่ดูแลผู้นับถือศาสนาอิสลาม ก�ำหนดไว้ ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม “พระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ัง จฬุ าราชมนตร.ี ..” โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานเขม็ พระปรมาภไิ ธย ประดบั ตามตำ� แหนง่ สว่ น ดะโตะ๊ ยุติธรรม๑ โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานเครอ่ื งราชอสิ ริยาภรณเ์ ชน่ เดียวกับข้าราชการ ตลุ าการ ยกย่องผนู้ �ำศาสนาและครสู อนศาสนา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะกรรมการอิสลามประจ�ำจังหวัดและ อิหม่ามเข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานรางวัลผู้น�ำดีเด่น นอกจากน้ี ยังพระราชทานรางวัลแก่ โต๊ะคร๒ู และผูบ้ รหิ ารโรงเรยี นสอนศาสนาภาคใตอ้ กี ดว้ ย การจดั งานเฉลมิ ฉลอง ๑๔ ศตวรรษแหง่ คัมภีร์อลั กุรอาน เม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๑ ครบ ๑๔ ศตวรรษแหง่ คัมภรี อ์ ลั กุรอาน ประเทศมสุ ลมิ ทั่ว โลกตา่ งจดั งานเฉลมิ ฉลอง แมว้ า่ ประเทศไทยจะมใิ ชป่ ระเทศมสุ ลมิ แตไ่ ดจ้ ดั งานเฉลมิ ฉลอง ด้วยเช่นกัน เม่อื วนั ที่ ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ ณ สนามกฬี ากติ ติขจร หวั หมาก๓ และเป็น โอกาสทไี่ ดน้ ำ� พระมหาคมั ภรี อ์ ลั กรุ อานฉบบั แปลภาษาไทยทลู เกลา้ ฯ ถวายพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว เพ่ือพระราชทานแก่สถาบันต่างๆ มีพระราชด�ำรัสชมเชยและยกย่อง ความตอนหนง่ึ วา่ “ เปน็ ทท่ี ราบกนั อยา่ งกวา้ งขวางวา่ คมั ภรี อ์ ลั กรุ อานมอี รรถรสลกึ ซงึ้ ยากท่ี จะแปลออกเปน็ ภาษาอน่ื ใดใหต้ รงตามภาษาเดมิ ได้ เมอ่ื ทา่ นมศี รทั ธาและวริ ยิ ะอตุ สาหะอนั แรงกลา้ แปลออกเปน็ ภาษาไทย โดยพยายามรกั ษาใจความแหง่ พระคมั ภรี เ์ ดมิ ไวใ้ หบ้ รสิ ทุ ธ์ิ และพิมพ์ข้ึนให้แพร่หลายเช่นน้ี จึงเป็นท่ีควรอนุโมทนาสรรเสริญและร่วมมือสนับสนุน อยา่ งยงิ่ ” ทัง้ ได้พระราชทานพระราชทรพั ยส์ ว่ นพระองค์ จ�ำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท เปน็ ทุนในการด�ำเนินงานต่อไป และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมการศาสนาสนับสนุน งบประมาณในการจัดพมิ พ์ จนในที่สุดได้จัดพมิ พ์แล้วเสร็จ พระราชทานให้คณะกรรมการ อิสลามประจ�ำจังหวัดต่างๆ โดยพระราชทานให้จังหวัดนราธิวาสเป็นแห่งแรก “เพื่อ เป็นนิมิตหมายแห่งความเจริญแพร่หลายของการศึกษาหลักธรรมในศาสนาอิสลามใน ประเทศไทยของเราในกาลสบื ไป” (พระราชดำ� รสั ในพธิ ีพระราชทาน ณ พลับพลาพิธี ศาลากลาง จงั หวดั นราธวิ าส เม่อื วนั ท่ี ๑๗ กรกฎาคม พุทธศกั ราช ๒๕๑๓) ๑ คือ ข้าราชการฝา่ ยตลุ าการศาลยุติธรรม มอี ำ�นาจหน้าทีว่ ินิจฉัยชข้ี าดขอ้ กฎหมายอิสลามในศาลยุตธิ รรม ๒ คือ ครูสอนศาสนาอสิ ลาม ๓ คือ อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก ในปัจจุบัน 64

งานเมาลิดกลาง ๑ งานเมาลิดกลาง คือ งานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่าน ๒ ศาสดามุฮัมมัด เป็นกิจกรรมที่จัดข้ึนเพ่ือร�ำลึกถึงค�ำสอนและแบบอย่าง ๑-๒ สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าชฯ สยามมกฎุ ราชกุมาร ของทา่ นศาสดา นยิ มจดั ตรงกบั วนั เกดิ หรอื เดอื นเกดิ ของทา่ นศาสดา ซง่ึ ตรงกบั วนั ที่ ๑๒ เดอื นรอบอี ลุ้ เอาวลั (เดือนที่ ๓ ตามปฏทิ ินอิสลาม) ในงานมกี ารอ่าน เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ แทนพระองค์ ในงานเมาลดิ กลาง บทรอ้ ยแกว้ รอ้ ยกรองเกย่ี วกบั ชวี ประวตั ทิ า่ นศาสดา การจดั เลย้ี งอาหาร การให้ ณ สวนอัมพร ความรูว้ ิชาการ นิทรรศการ การบรรยาย การอภปิ รายทางวชิ าการ และอน่ื ๆ 65 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงเป็น ประธานในพธิ ี ตั้งแต่การจัดงานในปแี รก เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๖ จนถงึ พ.ศ. ๒๕๑๑ หลงั จากนท้ี รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหแ้ ทนพระองค์ และตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นต้นมา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ แทน พระองค์จนถงึ ปัจจุบนั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชด�ำรัส ซง่ึ ลว้ นแตท่ ำ� ใหพ้ สกนกิ รชาวไทยมสุ ลมิ ตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ของศาสนาอสิ ลาม สร้างสัมพันธภาพอันดีระหว่างศาสนา ทั้งทรงเป็นแบบอย่างในฐานะอัคร ศาสนปู ถัมภกอยา่ งแท้จรงิ “ท่านนบีมูฮ�ำหมัด ผู้เป็นศาสดาแห่ง ศาสนาอิสลาม เป็นมหาบุรุษคนหนึ่ง ได้ท�ำคุณ ประโยชนแ์ กโ่ ลก พระศาสดาสรรเสรญิ ยกยอ่ งความ ฉลาด ความไตรต่ รองรอบคอบและความบรสิ ทุ ธ์ิ ทง้ั กายและใจว่าเป็นหลักส�ำคัญของชีวิต ฉะน้ันขอให้ พสกนกิ รทกุ คนจงพยายามปฏบิ ตั ติ ามคำ� สง่ั สอน เพอื่ ”จะไดป้ ระสบความสุขความเจรญิ (พระราชดำ� รัสในงานเมาลดิ กลาง เม่อื พุทธศกั ราช ๒๕๐๗ ณ ลุมพินีสถาน)

ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหผ้ ชู้ นะเลิศ ๑ การอ่านพระมหาคมั ภีร์อัลกุรอาน เข้าเฝ้าฯ ๒ มุสลิมท้ังชายหญิง เด็กผู้ใหญ่ ต่างสนใจอ่านพระมหาคัมภีร์ อัลกรุ อานให้เปน็ ถูกต้อง มอี รรถรสและเขา้ ใจความหมาย ซง่ึ ตอ้ งใช้เวลาฝึกฝน ท้ังการใช้ไวยากรณ์ถูกต้องตามอักขรวิธี หลักภาษา และอ่านได้อย่างต่อเน่ือง ชัดเจน ท้ังท่วงท�ำนอง ท้ังน้�ำเสียง ผู้อ่านคัมภีร์ท่ีเป็นชาย เรียกว่า กอรี เป็น หญงิ เรยี กวา่ กอรอี ะห์ สบื เนอ่ื งจากเมอื่ พ.ศ. ๒๕๐๔ ประเทศมาเลเซยี ไดเ้ ชญิ ประเทศไทย เขา้ รว่ มการทดสอบการอา่ นพระมหาคมั ภรี อ์ ลั กรุ อานระหวา่ งประเทศ แมว้ า่ ไทย จะไมใ่ ช่ประเทศมุสลิม แต่ก็มปี ระชากรมุสลมิ เป็นท่ี ๒ รองจากพทุ ธศาสนิกชน และเพ่ือสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะด้านศาสนา ประเทศไทยจงึ ไดส้ ง่ กอรแี ละกอรอี ะหเ์ ขา้ รว่ ม ผลปรากฏวา่ ไดร้ บั รางวลั ชนะเลศิ รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระราชาธิบดีมาเลเซีย พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ น�ำรางวัลดังกล่าวถวาย ทอดพระเนตรดว้ ย นบั เปน็ พระมหากรณุ าธคิ ณุ อกี ประการหนง่ึ และเปน็ สริ มิ งคล แกผ่ เู้ ขา้ เฝา้ ฯ อยา่ งยงิ่ หลงั จากนน้ั ประเทศไทยไดส้ ง่ กอรแี ละกอรอี ะห์ เขา้ รว่ ม ทดสอบการอ่านเป็นประจ�ำ และเป็นผลให้เกิดสมาคมกอรีข้ึนในประเทศไทย ในล�ำดบั ต่อมา การเสด็จฯ เปิดมัสยดิ กลางในจงั หวัดชายแดนภาคใต้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงเปิด มสั ยดิ สำ� คญั หลายแหง่ ในจงั หวดั ชายแดนภาคใต้ เชน่ มสั ยดิ กลาง จงั หวดั ปตั ตานี ยะลา นราธวิ าส และสตลู นอกจากนย้ี งั ทรงเยย่ี มมสั ยดิ เมอ่ื เสดจ็ ฯ ไปทรงเยยี่ ม ราษฎรในภูมภิ าคตา่ งๆ กพ็ ระราชทานทดี่ ินเพอื่ จดทะเบยี นเปน็ ของมัสยิด เชน่ มสั ยดิ นรู ลุ้ เอยี ะหซ์ าน ซงึ่ ตงั้ อยใู่ นหมบู่ า้ นมสุ ลมิ ตำ� บลสามพระยา อำ� เภอชะอำ� จงั หวดั เพชรบรุ ี ทกุ ครงั้ ทเ่ี สดจ็ เยย่ี มจะพระราชทานพระราชทรพั ยส์ ว่ นพระองค์ เพ่ือสมทบทุนในการสร้างโรงเรียนสอนศาสนา และทรงรับมัสยิดแห่งนี้ไว้ใน พระราชปู ถมั ภอ์ กี ดว้ ย ชาวบา้ นเรยี กมสั ยดิ แหง่ นว้ี า่ “มสั ยดิ ในหลวง” นอกจากน้ี ยงั ทรงสนบั สนุนสง่ เสรมิ อาชพี ใหก้ บั ชุมชนมสุ ลมิ ในจังหวดั ต่างๆ พระราชทาน โครงการอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำ� ริ แกไ้ ขปญั หาดา้ นเกษตรกรรมซงึ่ เปน็ อาชพี หลกั ของราษฎร อาทิ ศูนยศ์ กึ ษาการพัฒนาพกิ ุลทองฯ จงั หวดั นราธิวาส ศนู ย์ ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายฯ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งยกระดับความเป็นอยู่ท่ีดีขึ้น แกร่ าษฎร 66

๑ พระมหาคัมภรี ์อัลกุรอาน ๓ ๒ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัวยงั เสด็จฯ ไปใน งานสงั คมมสุ ลมิ เช่น งานการกศุ ล เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในภาคใต้ ของสมาคมสตรีไทยมุสลิมแห่งประเทศไทย ทั้งทรงเปิดโอกาสให้มุสลิมปฏิบัติตนตามวัฒนธรรม ๓ ศนู ยบ์ ริหารกิจการอสิ ลามแหง่ ชาติ อสิ ลาม อาทิ การแตง่ กายตามศาสนนิยม การคลุมศีรษะของสตรีมสุ ลมิ การแสดงความเคารพตาม ทศ่ี าสนาอนุญาต เปน็ ตน้ เฉลมิ พระเกยี รติ เขตหนองจอก กรงุ เทพมหานคร การจดั ต้งั ศูนย์บรหิ ารกจิ การศาสนาอสิ ลามแหง่ ชาติ เฉลิมพระเกยี รติ ศูนย์บริหารกิจการศาสนาอิสลามแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ แห่งน้ี นายประเสริฐ มะหะหมดั จฬุ าราชมนตรขี ณะนนั้ ขอใหก้ ระทรวงมหาดไทยจดั หาสถานทเี่ พอ่ื ใชเ้ ปน็ ศนู ยร์ วมในการ ประกอบกจิ การทางศาสนาอสิ ลาม รฐั บาลจงึ ใหท้ ด่ี นิ ราชพสั ดุ บรเิ วณแขวงคลองสบิ เขตหนองจอก กรงุ เทพมหานคร จำ� นวน ๕๐ ไร่ เพ่ือสร้างศนู ย์ฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวพระราชทานนาม ว่า “ศูนยบ์ รหิ ารกิจการศาสนาอิสลามแหง่ ชาติ เฉลมิ พระเกยี รติ” และทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช ฯ สยามมกฎุ ราชกมุ าร เสด็จพระราชดำ� เนนิ ไปทรงเปิดอาคาร ใน โอกาสเสด็จฯ เปิดงานเมาลิดกลางแหง่ ประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๐ ปจั จบุ นั ศนู ยบ์ รหิ ารกจิ การศาสนาอสิ ลามแหง่ ชาติ เฉลมิ พระเกยี รติ แหง่ นไ้ี ดด้ ำ� เนนิ การ ตามวัตถุประสงค์ เช่น เป็นที่ท�ำการของส�ำนักงานจุฬาราชมนตรี เป็นสถานท่ีจัดงานเมาลิด กลาง เป็นศูนย์กลางบริหารกิจการศาสนาอิสลาม เป็นศูนย์กลางประสานงานและให้ความรู้เกี่ยว กับการไปประกอบพิธีฮัจย์ เป็นศูนย์ประสาน แลกเปลี่ยนข่าวสารและส่งเสริมความสัมพันธ์กับ ประเทศมุสลมิ เปน็ ต้น 67

เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปประทบั ฟงั การพจิ ารณาคดขี องกฎหมาย ๑ อสิ ลาม ณ ศาลจงั หวดั ปตั ตานี ๒ พ.ศ. ๒๕๐๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชด�ำเนินไปศาลจังหวัดปัตตานี เพ่ือทรงร่วมในการพิพากษา คดีฟ้องหย่าตามกฎหมายอิสลาม การพิจารณาในคร้ังน้ีท�ำให้ โจทก์ (ภรรยา) และจ�ำเลย (สามี) คืนดีกัน ด้วยความซาบซ้ึงใน พระมหากรณุ าธิคณุ การส่งเสรมิ การศึกษาของชาวไทยมสุ ลิม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยในการศึกษา ของเยาวชนไทยมุสลิมภาคใต้ ซ่ึงเดิมมีการศึกษาภาคสามัญอย่างสูง เพยี งชน้ั ประถมปที ่ี ๔ จากนนั้ เขา้ เรยี นภาคศาสนา คอื โรงเรยี นปอเนาะ เนอ่ื งจากผปู้ กครองตอ้ งการใหร้ ศู้ าสนาเพอ่ื ปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ไปอยกู่ บั โตะ๊ ครู โรงเรยี นปอเนาะไมม่ หี ลกั สตู รในการเรยี น ทำ� ใหเ้ ยาวชนถนดั ภาษา ถนิ่ ไมส่ ามารถเขยี นอา่ นภาษาไทยและใชภ้ าษาไทยได้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั มพี ระราชดำ� รใิ หก้ ระทรวงศกึ ษาธกิ ารหาแนวทางในการ สง่ เสริมปรบั ปรุงการเรียนการสอน และพัฒนาหลักสตู รให้สอดคล้อง กับสภาพเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันนักเรียนปอเนาะมีคุณภาพ สามารถเขา้ ศกึ ษาตอ่ ในระดบั สงู ขนึ้ เกดิ ความเทา่ เทยี มทางการศกึ ษา และนำ� ความร้ไู ปประกอบวิชาชีพได้ พระมหากรุณาธิคุณท่ีกล่าวมา ทรงมีต่อชาวมุสลิมใน ประเทศไทยเป็นอย่างย่ิง ทรงถ่องแท้ในหลักศาสนาอิสลามอย่าง ลึกซ้ึง พระราชทานความเมตตากรุณาแด่ชาวมุสลิมเฉกเช่นเดียว กับศาสนิกชนอื่นๆ ตลอดจนโปรดให้พระราชวงศ์เสด็จแทน พระองค์ในภารกิจของศาสนาอิสลามอีกด้วย จึงทรงเป็นธรรมราชา ผู้ปกครองอาณาประชาราษฎร์ทุกเช้ือชาติและศาสนา ทรงเป็น ศูนย์รวมจิตใจของประชาชนทุกหมู่เหล่า กล่าวได้ว่าทรงเป็นอัคร ศาสนูปถมั ภกอยา่ งแทจ้ ริง ๑ พระนามสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี อกั ษรอาหรับ ๒ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทรงลงพระนามเป็นอกั ษรอาหรบั ณ อิสลามวิทยาลัยแหง่ ประเทศไทย เม่ือเดอื นตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๗ 68

ศาสนาครสิ ต์ แมจ้ ะเปน็ ทร่ี บั รกู้ นั โดยทวั่ ไปวา่ พระมหากษตั รยิ ข์ องไทย นับแต่อดีตท่ีผ่านมาทรงเป็นพุทธมามกะ แต่มีพระบรมราชานุญาต ให้เผยแผ่และอุดหนุนศาสนาต่างๆ อยู่เสมอ ศาสนาคริสต์ก็ได้รับ พระราชทานพระบรมราชปู ถมั ภน์ บั ตง้ั แตส่ มยั อยธุ ยาเปน็ ตน้ มา กลา่ ว เฉพาะในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบรมราชวงศ์จักรีได้มีการอุดหนุน ครสิ ตศ์ าสนามาโดยตลอด ในรชั สมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจ้าอยู่หัว คณะมิชชันนารีในนิกายโปรเตสแตนท์คณะต่างๆ ได้เดิน ทางเข้ามาปฏิบัติงานเผยแผ่คริสต์ศาสนาในประเทศไทยก็ได้รับการ อดุ หนนุ เปน็ อยา่ งดี ไมว่ า่ จะเปน็ ฝา่ ยโปรเตสแตนทห์ รอื โรมนั คาทอลกิ มิชชันนารีโปรเตสแตนท์อย่างเช่น หมอบรัดเล หรือมิชชันนารี คาทอลกิ อยา่ งเชน่ พระสังฆราชปลั เลอกัวซ์ ลว้ นแตม่ คี วามสนทิ สนม คุ้นเคยกับพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชวงศ์จักรี พระบาทสมเด็จ ๑ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๔๐ ได้ เข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา เลโอ ที่ ๑๓ ในรัชกาลดังกล่าว มีการออก “พระราชบัญญัติว่าด้วยลักษณะฐานะวัดบาทหลวง โรมันคาทอลิก” (ร.ศ. ๑๒๘) ให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลด้วย ทางฝ่าย โปรเตสแตนทเ์ องไดพ้ ระราชทานทดี่ นิ ใหต้ ง้ั สถานมี ชิ ชนั นารหี รอื โบสถ์ ในบางพ้ืนที่ รวมไปถงึ การสนบั สนนุ กิจการดา้ นการศกึ ษา การแพทย์ การสาธารณสุขของคริสตศ์ าสนาท้งั สองนกิ าย ๑-๒ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เขา้ เฝา้ สมเด็จพระสนั ตะปาปา ยอห์น ที่ ๒ ๒ ณ นครรฐั วาติกนั เมื่อวนั ที่ ๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๐๓ 69

ในรัชกาลปัจจุบัน คริสต์ศาสนาได้รับพระราชทาน ในฝ่ายของนิกายโปรเตสแตนท์ พระบาทสมเด็จ พระบรมราชูปถัมภ์ไม่ต่างจากศาสนาอื่น โดยส่วนพระองค์เองทรงมี พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันทรงมีพระบรมราชูปถัมภ์ไม่ยิ่งหย่อน ความคนุ้ เคยกบั คริสตศ์ าสนามาต้งั แต่ยงั ทรงพระเยาว์ ทรงเขา้ ศกึ ษา ไปกวา่ กนั เชน่ ในโอกาสทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงประกอบ ในระดับอนุบาลท่ีโรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพฯ ต่อมาเมื่อเสด็จขึ้น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ผู้แทนของประธานสภาคริสตจักรแห่ง ครองราชยแ์ ลว้ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดเ้ สดจ็ พระราชดำ� เนนิ ประเทศไทยพร้อมผู้แทนคริสตจักรต่างๆ ได้รับพระบรมราชานุญาต เยือนนครรัฐวาตกิ ัน และเขา้ เฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ยอหน์ ที่ ๒๓ ใหร้ ว่ มกนั เขา้ เฝา้ ถวายสาสน์ และมพี ระบรมราชานญุ าตใหผ้ นู้ ำ� องคก์ ร เม่อื วนั ท่ี ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ ซึ่งสมเดจ็ พระสันตะปาปา ยอหน์ ครสิ ต์ศาสนาเขา้ เฝา้ ฯ ถวายพระพรเน่อื งในพระราชพธิ สี ำ� คญั ในราช ที่ ๒๓ มีพระด�ำรัสถึงความสัมพันธ์อันดีและพระบรมราชูปถัมภ์ สำ� นกั อยูอ่ ยา่ งสม่ำ� เสมอ เม่อื คริสตจักรไครส้ ตเชิร์ช กรงุ เทพฯ ฉลอง ของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตจนปัจจุบันกับส�ำนักวาติกันที่มีมา ครบรอบ ๕๐ ปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้มีพระราชสาสนไ์ ปแสดงความยนิ ดี ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๒๓๑ ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างส�ำนัก และเมอื่ ครบ ๕๐ ปี ของการเผยแพรค่ รสิ ตศ์ าสนานกิ ายโปรเตสแตนท์ วาติกันและราชอาณาจักรไทยได้เจริญแน่นแฟ้นข้ึนมาอีก เม่ือมี ในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๑ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยาม การเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูตระดับเอกอัครราชทูต มีการ มกุฎราชกุมาร ไดเ้ สด็จพระราชดำ� เนนิ แทนพระองคไ์ ปเปดิ งานเฉลมิ แต่งต้ังเอกอัครราชทูตไทยไปประจ�ำนครรัฐวาติกัน พร้อมกันน้ัน ฉลองดังกลา่ ว ณ โรงเรยี นกรุงเทพครสิ เตยี นวิทยาลยั เมือ่ วนั ที่ ๑๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ เรื่องราวทั้งหมดทีก่ ล่าวถึงเป็นเพยี งตัวอย่าง อาร์คบชิ อบ ยัง ยาโดต์ เอกอคั รสมณทตู วาตกิ นั ประจ�ำประเทศไทย สว่ นหนง่ึ ของพระบรมราชูปถมั ภ์ทมี่ ตี ่อคริสตศ์ าสนา อันแสดงให้เห็น คนแรก เข้าเฝ้าฯ ถวายสาสน์ตราตั้งจากสมเด็จพระสันตะปาปา ถงึ ความเปน็ อคั รศาสนปู ถมั ภกของพระมหากษตั รยิ ไ์ ทยสบื เนอ่ื งตลอด เปาโล ท่ี ๖ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๖ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๑๒ ความสัมพันธ์ระหวา่ ง มาจนถงึ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ในรัชกาลปจั จบุ นั ส�ำนักวาติกันและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวย่ิงแน่นแฟ้นมาก ขึ้น เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ ๒ ซ่ึงเป็นสมเด็จ พระสนั ตะปาปา องคท์ ี่ ๒๖๔ เสดจ็ เยอื นประเทศไทยในฐานะพระราช อาคนั ตกุ ะ ถอื เปน็ วาระทนี่ า่ ยนิ ดยี ง่ิ เพราะยงั ไมเ่ คยปรากฏมากอ่ นวา่ ประมุขคริสตจักรโรมันคาทอลิกเสด็จมาเยือนประเทศไทย ระหว่าง วนั ท่ี ๑๐ – ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ไดเ้ ข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ณ พระทน่ี ง่ั จกั รมี หาปราสาท ในพระบรมมหาราชวงั หลังจากการเสด็จเยือนประเทศไทยของสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ท่ี ๒ พระบรมวงศานุวงศ์ก็ได้เสด็จเยือนสมเด็จ พระสันตะปาปา ณ นครรัฐวาติกันเป็นระยะเม่ือมีโอกาสส�ำคัญๆ เพื่อเสริมสร้างสัมพนั ธไมตรใี ห้แนน่ แฟน้ ยิ่งข้นึ ๑ 70

ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู อยใู่ กลช้ ดิ กบั ชาวไทยมานานกวา่ ๗๐๐ ปี คู่กับพระพุทธศาสนา ประเทศไทยสมัยโบราณ เม่ืออยู่ภายใต้การปกครอง ของอาณาจักรขอม ซ่ึงนับถือทั้งพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานและสลับ กับการนับถือศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ตามความพอใจของกษัตริย์แต่ละ พระองค์ คร้ันชาวไทยมีอิสระหลุดพ้นจากอ�ำนาจขอม สร้างกรุงสุโขทัยเป็น ราชธานีแห่งแรก เมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๐ คงนับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท กับศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูสืบเนื่องคู่กันมา แม้ในรัชกาลพ่อขุนรามค�ำแหง มหาราช พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ได้แพร่เข้ามาสู่กรุง สุโขทัยอย่างม่ันคงก็ตาม อิทธิพลแต่โบราณของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ก็ยังคงแน่นแฟ้นอยู่ในวิถีชีวิตชาวไทยไม่เส่ือมคลายตลอดมาตราบถึงกรุง รตั นโกสินทร์ การปฏิบัติพิธีกรรมในศาสนา พราหมณ์เท่านั้นคือผู้ประกอบพิธี ๒ ด้วยมีข้อก�ำหนดเป็นแบบแผนชัดเจนในคัมภีร์พระเวท ระบุหน้าท่ี คือวรรณะ ของสงั คมอินเดียไว้ ๔ ลักษณะ คอื หน้าที่ของพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และ ศทู ร ซึ่งตา่ งมีหน้าทีไ่ ม่ก้าวกา่ ยกนั และกัน ดังน้ี พราหมณ์ คือ นักบวช ผู้ได้รับพรให้ปฏิบัติหน้าที่เชื่อมระหว่าง มนุษย์กับเทพยดา ในการสวดบวงสรวงพระผู้เป็นเจ้า จึงมีหน้าท่ีประกอบ พิธกี รรม เป็นท่ีปรกึ ษา เปน็ ครอู าจารย์ ทงั้ แก่ราชส�ำนกั และชมุ ชนทัง้ ปวง กษัตริย์ คือ นักรบ นักปกครอง มีหน้าที่ดูแลระเบียบสังคม ปกปอ้ งคมุ้ ครองประชากรในชมุ ชนนอ้ ยใหญใ่ นปกครองใหม้ คี วามรม่ เยน็ เปน็ สขุ ประกอบด้วย ความกลา้ หาญ สามารถเสียสละชีวติ เพ่อื สว่ นรวม ๓ ๑ สมเดจ็ พระสันตะปาปา จอหน์ ปอล ที่ ๒ เข้าเฝา้ ฯ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ในวาระที่เสด็จเยือนประเทศไทยในฐานะพระราชอาคันตกุ ะ ระหว่างวันท่ี ๑๐ - ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ๒ พระมหาราชครูพธิ ีศรีวสิ ุทธิคณุ (ชวิน รังสิพราหมณกลุ ) ทูลเกล้าฯ ถวายนำ�้ เทพมนตร์ แดพ่ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว ในพระราชพธิ ฉี ลองสริ ริ าชสมบตั คิ รบ ๖๐ ปี ๓ พระราชพธิ ถี ือนำ้� พระพิพัฒนส์ ตั ยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรรี ตั นศาสดาราม 71

แพศย์ คอื นกั จดั สรรทรพั ยากรใหส้ มดลุ มหี นา้ ทเี่ ปน็ พอ่ คา้ จดั หา สง่ิ ทขี่ าดแคลนใหก้ ระจายไปสชู่ มุ ชนตา่ งๆ ดว้ ยความยตุ ธิ รรม เพอื่ ไดใ้ ชป้ ระโยชน์ อย่างทวั่ ถงึ ศูทร คือ ผู้ใหบ้ ริการ มีหน้าทท่ี �ำให้สังคมในชมุ ชนได้รบั ทงั้ ความ สะดวกสบายดา้ นสาธารณปู โภค มีสุขภาพ ปราศจากโรคภัย ในการดำ� รงชีวติ ได้แก่ อาชพี วิศวะ การชา่ ง การแพทย์ อนามยั และอื่นๆ ท่ีบรกิ ารใหบ้ งั เกิด ความสขุ ในชุมชน ความหมายของ “วรรณะ” จงึ เปน็ “หน้าที”่ ของแต่ละกลุ่มและ ต่างให้ความนบั ถอื กนั และกนั มใิ ช่การแบง่ ชนชั้นตามทเ่ี ขา้ ใจเชน่ ปจั จุบัน ดว้ ย หนา้ ท่ดี งั กลา่ วมาน้ี พิธกี รรมบูชาพระผเู้ ป็นเจ้าเพอื่ ขอพรให้แกส่ ว่ นรวม ให้แก่ ทกุ วรรณะ จึงเป็นหน้าทขี่ องพราหมณเ์ ทา่ น้ัน ดังค�ำกลา่ ววา่ “ทวยเทพยอ่ มไม่ รบั เครอ่ื งสงั เวยจากพระราชาผไู้ มม่ พี ราหมณป์ โุ รหติ ” ดว้ ยหนา้ ทขี่ องพราหมณ์ ตามทีก่ ลา่ วมา จึงเกิดตำ� แหนง่ พราหมณป์ ฏิบตั งิ านในราชสำ� นกั ของไทยหลาย อยา่ งในเวลาตอ่ มา การทพี่ ราหมณท์ ำ� หนา้ ทใี่ นพธิ กี รรมทง้ั หลาย จงึ เป็นเหตุให้ ชาวไทยเรียกพราหมณ์เป็นช่ือศาสนาตลอดมาและชาวไทยก็คุ้นกับช่ือศาสนา พราหมณ์มาแต่โบราณเชน่ กนั ท�ำเนียบนามข้าราชการไทยแต่โบราณปรากฏต�ำแหน่งพราหมณ์ ท�ำหน้าทตี่ า่ ง ๆ เช่น สมัยสโุ ขทัย มีพราหมณ์ปโุ รหิต ตำ� แหนง่ พระศรมี โหสถ มเี กียรติ ๑ ย่ิงกว่านักปราชญ์ราชบัณทิตทั้งปวง มีหน้าท่ีตกแต่งพระนครและท�ำพระราช พธิ ี ๑๒ เดอื น สมยั อยธุ ยา พราหมณท์ ำ� หนา้ ที่ประกอบพิธีกรรม เป็นทปี่ รึกษา เปน็ ครอู าจารย์ มพี ระมหาราชครูปุโรหติ และพระมหาราชครูมหิธร ท�ำหนา้ ที่ ปรึกษาราชการ ประกอบพิธีการ เป็นครู เป็นโหราจารย์ เป็นผู้ให้ฤกษ์ยาม ประกอบพระราชพธิ ี เปน็ ผเู้ ชยี่ วชาญในพระคมั ภรี ธ์ รรมศาสตร์ พจิ ารณาตวั บท กฎหมาย จงึ มพี ราหมณร์ บั ราชการตำ� แหนง่ ตา่ งๆ ปรากฏในพระราชพงศาวดาร เชน่ พระมหาราชครู พระโหราธิบดี พระศรีมโหสถ เปน็ ตน้ 72

๒ สมัยกรุงธนบุรี ได้สืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีและ วัฒนธรรมอันดีงามมาจากสมัยอยุธยา ลัทธิ ความเช่ือ และประเพณี ๓ พราหมณ์ ยังคงมีบทบาทส�ำคัญต่อบ้านเมือง ช่วยเสริมสร้างขวัญและ ๑ จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถวัดพระเชตพุ นวิมลมังคลาราม กำ� ลงั ใจใหแ้ กอ่ าณาประชาราษฎร์ จรรโลงรกั ษาไวซ้ ง่ึ โบราณราชประเพณี และสรา้ งความศกั ดส์ิ ิทธใ์ิ ห้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ แสดงภาพพราหมณท์ ีศ่ รัทธาในพระพทุ ธศาสนา ๒ พราหมณ์ประกอบพระราชพธิ จี รดพระนังคลั แรกนาขวญั สมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ มีพระราชหฤทัยมุ่งม่ัน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง จะท�ำนุบ�ำรุงศิลปวัฒนธรรมตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ๓ พระมหาราชครพู ิธศี รีวิสทุ ธคิ ณุ (ชวิน รังสพิ ราหมณกลุ ) มพี ระบรมราชโองการรวบรวมตำ� ราเกย่ี วกบั พธิ ตี า่ งๆ ของพราหมณ์ เชญิ พราหมณท์ หี่ ลบลห้ี นภี ยั สงครามจากทว่ั ทกุ สารทศิ เชน่ ทนี่ ครศรธี รรมราช แกว่งคนั ประทปี บูชาเทวรูป และกระทำ� อาคมวิสุทธ์ิ พัทลุง มาเป็นพราหมณ์ประจ�ำราชส�ำนัก เพ่ือประกอบพระราชพิธีและ ณ มณฑลพิธที อ้ งสนามหลวง ในการพระราชพิธี พิธีส�ำคัญของบ้านเมือง ล้วนเป็นพราหมณ์ที่มาจากเชื้อสายตระกูลเก่า จรดพระนังคัลแรกนาขวญั ดงั ปรากฏหลกั ฐานในกฎหมายตราสามดวง “พระมหาราชครู พระราชครู พระอาลกั ษณ พระโหราธบิ ดี พระศรีมโหสถ พระศรศี ักดิ์ ให้ท�ำก�ำหนด ราชประเพณีโดยขบวนโบราณ“ มีชั้นยศและหน้าท่ีในราชส�ำนักหลาย ต�ำแหน่งซ่ึงแบ่งหน้าที่ของพราหมณ์ออกเป็น ๓ ฝ่ายตามที่มีมาแต่สมัย อยุธยา ดังนี้ ๑. พราหมณ์โหรดาจารย์ มหี นา้ ที่บชู าตามลัทธิ ๒. พราหมณ์อทุ าคาดา มหี นา้ ทีส่ วดขับดุษฎีสงั เวย ๓. พราหมณอ์ ชั วรรยุ มีหนา้ ที่จัดท�ำพิธีในลทั ธิ จากหนา้ ทที่ ง้ั ๓ ประการ จำ� แนกภารกจิ ออกอยา่ งกวา้ งขวาง ครอบคลุมทั้งการบูชา การขับสวดสังเวยดุษฎี และการจัดพระราชพิธี จึงมีต�ำแหน่งพราหมณ์ตามหมวดหมู่หลากหลายต�ำแหน่งสืบมา เช่น พระมหาราชครู พราหมณ์ปุโรหิต พราหมณ์พฤฒิบาศ ท�ำหน้าที่เก่ียว กับพระราชพิธี ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี กฎหมายตาม พระธรรมศาสตร์ อันเปน็ บทบาทสำ� คญั ในวฒั นธรรมไทยสืบมา 73

ศาสนาซิกข์ ศาสนาซิกข์ เป็น ๑ ใน ๕ ศาสนาหลัก ท่ีได้รับการยอมรับตามรัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทย ได้แก่ พระพทุ ธศาสนา อสิ ลาม ครสิ ต์ พราหมณ์ - ฮนิ ดู และซกิ ข์ แมว้ า่ ศาสนกิ ชนชาวไทยซกิ ขท์ อ่ี าศยั พงึ่ พระบรมโพธสิ มภาร แหง่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลปจั จบุ นั มจี ำ� นวนประมาณ ๕๐,๐๐๐ ครอบครวั แตพ่ ระมหากรณุ าธคิ ณุ ทที่ รงมี ตอ่ พสกนกิ รชาวไทยซกิ ขม์ ไิ ดย้ อ่ หยอ่ นไปกวา่ ศาสนาอน่ื ๆ ทรงหว่ งใยในวถิ ชี วี ติ ความเปน็ อยขู่ องศาสนกิ ชนชาวไทยซกิ ข์ ทรงช่วยเหลือสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมด้านศาสนา ตลอดทั้งเกื้อกูลอุปถัมภ์พิธีกรรมของศาสนาซิกข์ เพ่ือให้ ศาสนิกชนชาวไทยซิกข์สามารถครองตนอยูใ่ นศาสนวินยั ของตนได้ พระมหากรณุ าธคิ ณุ ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั รัชกาลปจั จุบนั ท่นี �ำความปลาบปลม้ื ปีติยินดมี าสู่ พสกนิกรชาวไทยซิกขเ์ ปน็ ล้นพ้น คอื เสด็จฯ ไปเป็นประธานในงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวนั ประสตู ิครบ ๕๐๐ ปี ของ องค์ปฐมบรมศาสดาคุรุนานักเทพ เม่ือวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๒ ซึ่งศาสนิกชนชาวไทยซิกข์ พร้อมด้วย สมาคมศรีครุ ุสิงห์สภา องค์กรกลางของชาวไทยท่นี บั ถือศาสนาซกิ ข์ ได้ร่วมกันจัดขึ้น ณ โรงละครแหง่ ชาติ พระราช ด�ำรสั ทีไ่ ด้พระราชทานต่อศาสนิกชนชาวไทยซิกข์ในวนั นน้ั แสดงถงึ ความรัก ความห่วงใยท่ีทรงมตี ่อพสกนกิ รชาวไทย อยา่ งเทา่ เทยี มและเสมอภาค ทำ� ใหช้ าวไทยซกิ ขท์ กุ คนภาคภมู ใิ จทเี่ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของสงั คมไทย เปน็ การอยรู่ ว่ มกนั อยา่ ง สมัครสมานสามัคคี ปราศจากความขัดแย้งทางศาสนาบนแผ่นดินอันสงบร่มเย็นด้วยพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หวั ดังความตอนหน่งึ ในพระราชดำ� รัส ว่า “ ข้าพเจ้ายินดีและพอใจท่ีผู้เป็นประธานของท่านกล่าวยืนยันว่า ชาวซิกข์ใน ประเทศไทยไดร้ บั ความสะดวก และไดร้ บั ความอปุ ถมั ภใ์ หม้ คี วามสขุ รม่ เยน็ เปน็ สขุ พรอ้ มมลู ในการท�ำมาหากินเลี้ยงชีพ ตลอดจนการประกอบศาสนกิจตามความเชื่อถือ ฐานะความ ม่ันคง พร้อมทั้งความสุขของบุคคลน้ันจะเกิดมีได้ก็ด้วยความปฏิบัติชอบ ปฏิบัติเป็นธรรม และปฏบิ ตั เิ กอื้ กลู กนั และกนั ของแตล่ ะบคุ คล ทา่ นทง้ั ปวงไดร้ บั ความสขุ สงบเพราะตา่ งตงั้ ตน ไว้ในทางท่ีถูกที่ควร มีความมุ่งหมายที่จะปลูกฝังสร้างเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างมนุษย์ โดยมไิ ดถ้ อื ชาติ ถอื ชน้ั ถอื ลทั ธศิ าสนา และไดพ้ ยายามดำ� เนนิ ตามหลกั การนนั้ ดว้ ยดตี ลอดมา โดยถือวา่ สงั คมหรือสว่ นรวมนั้นเป็นทต่ี งั้ อาศยั ของบคุ คล ” 74

พ.ศ. ๒๕๕๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานเงินจ�ำนวน ๕ ล้าน บาท ให้แก่สมาคมศรีคุรุสิงห์สภา เพ่ือน�ำไปท�ำนุบ�ำรุงและบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานคุรุดวารา สถานทปี่ ระกอบศาสนกจิ ทส่ี ำ� คญั ของชาวซกิ ข์ ซง่ึ ชำ� รดุ ทรดุ โทรมลงไปตามกาลเวลา ดว้ ยเหตทุ ที่ รง ตระหนกั ถงึ ความประสงคแ์ ละความเดอื ดรอ้ นของพสกนกิ รชาวไทยซกิ ข์ จงึ ทรงสนบั สนนุ ทนุ ทรพั ย์ ในการทำ� นบุ ำ� รงุ ศาสนสถานครุ ดุ วาราใหก้ ลบั มางดงามดงั เดมิ ถอื เปน็ พระบรมราชปู ถมั ภค์ รงั้ สำ� คญั ทีน่ ำ� ความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธคิ ุณมาส่ชู าวไทยซกิ ข์เปน็ อนั มาก กล่าวได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ศาสนิกชนชาวไทยซิกข์ได้ประกอบอาชีพและ ด�ำเนินชีวิตอย่างสงบสุขร่มเย็น สามารถจัดตั้งศาสนสถานและประกอบศาสนกิจตามหลักศรัทธา ความเช่ือได้โดยเสรี ก็ด้วยพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำ� ใหพ้ สกนกิ รทกุ เชอ้ื ชาติ ศาสนา ทไ่ี ดเ้ ขา้ มาอาศยั และพงึ่ พระบรมโพธสิ มภารตา่ งอยรู่ ว่ มกนั อยา่ ง สงบสุขในประเทศไทยสบื มา สถานทีป่ ระทับ ขององคพ์ ระมหาคัมภรี ์ คุรคุ รนั ถซ์ าฮบิ ซึ่งชาวซิกข์ถอื เป็น พระศาสดานริ นั ดร์กาล โดยมศี าสนกิ ชน ท่านหน่ึงปรนนบิ ัติ ด้านขวามือ จะมเี ตยี งต่ังซึง่ ต�ำ่ กวา่ ทปี่ ระทับ ขององคพ์ ระมหาคัมภรี ์ครุ คุ รนั ถ์ซาฮิบ โดยมคี ณะศาสนาจารยน์ ่งั ทำ� พธิ ีสวดแบบ กรี ตัน คอื สวดแบบมดี นตรีประกอบ 75

ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กบั หลกั ธรรมของศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานปรัชญา เศรษฐกจิ พอเพียง ๖ ประการ คอื ความพอประมาณ ความมีเหตุผล ของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักในการด�ำเนินชีวิตแก่พสกนิกรไทยมา การมภี มู คิ มุ้ กนั ทด่ี ี มคี ณุ ธรรม ใชห้ ลกั วชิ าความรู้ และดำ� เนนิ ชวี ติ ดว้ ย โดยตลอดยาวนานกวา่ ๓๐ ปี ตง้ั แตก่ อ่ นเกดิ วกิ ฤตการณท์ างเศรษฐกจิ ความเพยี ร และต่อมาได้ทรงเน้นย�้ำถึงแนวทางการแก้ไขเพ่ือให้รอดพ้นจาก ปัญหาต่าง ๆ สามารถด�ำรงอย่ไู ด้อย่างม่ันคงและยงั่ ยนื ภายใตก้ ระแส เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญา หรือแนวทางการด�ำรง โลกาภวิ ัตนแ์ ละความเปล่ียนแปลงต่างๆ ชวี ติ และปฏบิ ตั ติ นของประชาชนในสงั คมตงั้ แตร่ ะดบั ครอบครวั ระดบั ชมุ ชน จนถงึ ระดับรัฐ ท้งั ในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ด�ำเนิน กล่าวได้ว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนี้เกิดขึ้นจาก ไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพฒั นาเศรษฐกจิ เพอ่ื ใหก้ า้ วหนา้ ตอ่ พระปรีชาญาณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมองการณ์ไกล โลกยคุ โลกาภวิ ตั น์ ความพอเพยี งหมายถึงความพอประมาณ ความมี และทรงตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจ เหตุผล ซ่ึงเป็นเสมือนภูมิคุ้มกันท่ีดีในตัว โดยมีเง่ือนไขส�ำคัญ ๒ สังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์ จึงพระราชทานแนวทางการด�ำเนินชีวิตแก่ ประการคอื เงอ่ื นไขความรู้ คอื รอบรู้ รอบคอบ ระมดั ระวงั และเงอื่ นไข พสกนิกรไทยมาโดยตลอด ด้วยทรงมุ่งหวังให้ราษฎรสามารถด�ำรง คุณธรรม คอื ซอ่ื สตั ย์ ขยนั อดทน สตปิ ญั ญา แบ่งปัน อนั นำ� ไปสชู่ วี ิต ตนได้อย่างม่ันคงและยั่งยืน รู้จักความสมถะ พึ่งพาตนเองทาง เศรษฐกจิ สังคม สงิ่ แวดลอ้ ม เกิดความสมดุล ม่ันคง และยง่ั ยนื เศรษฐกจิ สงั คม และรจู้ กั ใชท้ รพั ยากรอยา่ งคมุ้ คา่ บนพน้ื ฐานของหลกั 76

พระพทุ ธศาสนา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จ ๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ ได้แก่ ปธาน หรือ พระเจ้าอยหู่ วั สอดคลอ้ งกับอรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ซึง่ หมายถึง ทางมอี งค์ สมั มปั ปธาน ๔ ๘ ประการอนั ประเสรฐิ หลกั มชั ฌมิ าปฏปิ ทา หรอื ทางสายกลาง เพราะ เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั พอดที จ่ี ะนำ� ไปสจู่ ดุ หมายแหง่ ความหลดุ พน้ เปน็ อสิ ระ ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ ไดแ้ ก่ สติปัฏฐาน ๔ ดบั ทกุ ข์ ปลอดปญั หา ไมต่ ดิ ขอ้ งในทส่ี ดุ ทงั้ สอง คอื กามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค ๘. สัมมาสมาธิ ต้ังจิตม่ันชอบ ไดแ้ ก่ ฌาน ๔ (การหมกมุ่นอยู่ด้วยกามสุข) และอัตตกิลมถานุโยค (การประกอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีวิธีคิดอย่างองค์รวม ความล�ำบากเดือดร้อนแก่ตนเอง หรือการบีบคั้นทรมานตนเองให้ ในการท่ีจะพระราชทานพระราชด�ำริโครงการต่างๆ จะทรงมอง เดอื ดรอ้ น) มรรคมีองค์ ๘ ไดแ้ ก่ อย่างบูรณาการ มองเหตุและปัจจัยถึงเหตุการณ์ท่ีจะเกิดขึ้น และ แนวทางแกไ้ ขอยา่ งเชอื่ มโยงกนั ครบวงจร เชน่ โครงการ “ทฤษฎใี หม”่ ๑. สัมมาทฏิ ฐิ ความเห็นชอบ ไดแ้ ก่ ความรู้อริยสัจ ๔ ทรงมองตั้งแต่การถือครองท่ีดินของประชาชน การบริหารจัดการ หรือเห็นไตรลักษณ์ หรือรู้กุศล อกุศล กุศลมูล อกุศลมูล หรือเห็น ทดี่ นิ แหลง่ นำ้� อนั เปน็ ปจั จยั พน้ื ฐานในการทำ� เกษตรกรรม การจดั การ ปฏิจจสมุปบาท และการตลาดของผลผลติ จนไปถงึ การรวมกลุ่มของเกษตรกรเพ่ือให้ เกิดความเข้มแข็ง เพื่อพร้อมท่ีจะออกสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคม ๒. สมั มาสงั กปั ปะ ดำ� รชิ อบ ไดแ้ ก่ ความดำ� รทิ ปี่ ลอดจาก ภายนอกได้อย่างครบวงจร ซ่ึงก็คือ ทฤษฎีใหม่ขั้นท่ี ๑, ๒ และ ๓ ราคะ ความดำ� รไิ มพ่ ยาบาท ความดำ� รไิ มเ่ บยี ดเบยี น ๓. สมั มาวาจา วาจาชอบ ไดแ้ ก่ วจีสุจริต ๔ ซง่ึ เปน็ ไปตามหลักอริยสจั ๔ นนั่ เอง ๔. สัมมากมั มันตะ กระทำ� ชอบ ได้แก่ กายสุจรติ ๓ ๕. สัมมาอาชีวะ เล้ียงชีพชอบ ได้แก่ เว้นมิจฉาชีพ ประกอบสัมมาชพี 77

ศาสนาอิสลาม ๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงยึดหลักธรรมในการ ๒. ยดึ ถอื การประกอบอาชพี ดว้ ยความถกู ตอ้ ง ซอ่ื สตั ย์ ดูแลประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า รวมทั้งชาวไทยมุสลิมให้ร่มเย็น สุจรติ เป็นสุขโดยเสมอเหมือนกัน พระราชทานแนวคิดส�ำคัญในการถือ ปฏิบัติเพ่ือประโยชน์สุขต่อตนเอง ผู้อื่นและประเทศชาติ โดยเฉพาะ อิสลามถือการประกอบอาชีพเป็นส่ิงมีเกียรติและความ หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง มีความสอดคล้องต้องกนั กบั หลกั เกียจคร้านเป็นเร่ืองที่ควรประณาม ดังน้ัน มุสลิมจะแสวงหาปัจจัย คำ� สอนในพระมหาคมั ภรี ์อลั กุรอานและอัลฮะดษี ๕ หลายประการ ยงั ชพี ดว้ ยการประกอบอาชพี หลากหลาย เกษตรกรรมเปน็ อาชพี หลกั ของคนไทยมาช้านาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน แนวพระราชดำ� รใิ นการดำ� เนนิ ชวี ติ ตามหลกั ปรชั ญาของ “ทฤษฎีใหม่” ซ่ึงสอดคล้องกับหลักค�ำสอนในศาสนาอิสลาม อาทิ เศรษฐกจิ พอเพียง มีแนวทางดงั น้ี ในอัลฮะดีษ ระบุว่า “ผูใ้ ดพฒั นาผืนดนิ หนึง่ ซงึ่ มิใช่กรรมสิทธขิ์ องผู้ใด ๑. ยึดความประหยัด ตัดทอนค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ใหม้ คี วามเจรญิ เขาผู้นั้นยอ่ มมสี ิทธติ ่อทดี่ นิ ผืนนั้น” “มุสลิมคนใดได้ ลดละความฟุ่มเฟือยในการใช้ชีวติ ปลกู ต้นไม้หรอื ท�ำการเพาะปลกู แล้วมนี ก หรอื มนษุ ย์ หรอื สตั ว์มากนิ ยอ่ มถอื ไดว้ า่ เปน็ การทำ� ทานจากเขาผนู้ นั้ แลว้ ” “พวกทา่ นจงแสวงหา ปรากฏในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานว่า “และพวก ปจั จัยยงั ชพี จากสิ่งทปี่ กปิดไว้ในผนื ดิน” สูเจ้าจงกินจงดื่ม และพวกสูเจ้าอย่าได้สุรุ่ยสุร่าย แท้จริงพระองค์ มิทรงรักบรรดาผู้ท่ีสุรุ่ยสุร่าย” (ซูเราะฮฺ ๖ อัล – อะอฺรอฟ อายะฮฺ การประกอบอาชีพด้วยความถูกต้องซ่ือสัตย์สุจริต โดย ๗ ที่ ๓๑) “และ (คือ) บรรดาผู้ซ่ึงเมื่อพวกเขาใช้จ่าย พวกเขาก็ไม่ เฉพาะอาชพี เกษตรกรรมเปน็ สงิ่ ทศ่ี าสนาอนมุ ตั แิ ละสง่ เสรมิ ใหก้ ระทำ� สุรุ่ยสุร่ายและพวกเขาก็ไม่ตระหนี่ถ่ีเหนียวและปรากฏว่าระหว่างส่ิง อีกทั้งการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทฤษฎีใหม่ซ่ึงมีลักษณะผสม ดงั กลา่ วคอื ความเปน็ กลาง (ระหวา่ งการสรุ ยุ่ สรุ า่ ยและความตระหน)ี่ ” ผสานท้งั การเกษตร เลีย้ งสตั ว์ ล้วนแต่อยู่ในกรอบของศาสนา (ซูเราะฮฺ อลั – ฟุรุกอน อายะฮฺ ท่ี ๖๗) “แท้จรงิ บรรดาผู้ท่ีสุรยุ่ สุรา่ ย ฟุ่มเฟือยในการใช้จ่ายน้ัน พวกเขาเป็นพ่ีน้องกับเหล่ามารร้าย และ ๓. ละเลิกการแก่งแย่งผลประโยชน์และแข่งขันใน มารรา้ ยนนั้ มนั เนรคณุ ตอ่ พระผอู้ ภบิ าลของมนั ” (ซเู ราะฮฺ อลั - อสิ รออฺ ทางการคา้ แบบตอ่ สู้กันอยา่ งรนุ แรง อายะฮฺ ท่ี ๒๗) เปน็ ต้น ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ก�ำหนดไว้ว่า “ โอ้บรรดา ศรทั ธาชนทงั้ หลาย พวกทา่ นอยา่ ไดก้ นิ ทรพั ยส์ นิ ของพวกทา่ น ระหวา่ ง พวกทา่ นโดยมชิ อบ ยกเวน้ ทเ่ี ปน็ การคา้ ขายอนั เกดิ จากความพงึ พอใจ จากพวกทา่ น และพวกทา่ นอยา่ ไดฆ้ า่ ตวั ของพวกทา่ นทงั้ หลาย แทจ้ รงิ พระองคอ์ ลั ลอฮน์ นั้ ทรงเมตตาตอ่ พวกทา่ นเสมอ และผใู้ ดกระทำ� สงิ่ ดงั กลา่ วโดยละเมดิ และอธรรม เราจะนำ� เขาผนู้ นั้ เขา้ สนู่ รก” (ซเู ราะฮฺ อลั – นสิ าอฺ อายะฮฺ ที่ ๒๙ – ๓๐) และในอัลฮะดษี กลา่ วว่า “ผูค้ ้าขายที่ ๔ สรุปความจาก “เศรษฐกิจพอเพียงกับหลักการอสิ ลาม” โดย อาลี เสือสมิง มคี วามสจุ รติ ซ่อื สัตย์ ย่อมได้อยูพ่ รอ้ มกบั บรรดาผ้พู ลชี ีพเพือ่ ปกป้อง http:// alisuasaming.com ศาสนาในวันกยิ ามะฮฺ” ๕ พระมหาคัมภีรอ์ ัลกุรอาน เป็นโองการของพระเจ้าทปี่ ระทานแกม่ นษุ ยโ์ ดยผ่าน ท่านศาสดามฮุ ัมมัด ส่วนอัลฮะดษี เปน็ โอวาทและจริยวัตรของท่านศาสดามฮุ มั มัด ๖ หมายถึง บท ๗ หมายถึง วรรค 78

ผู้ศรัทธาจักได้ประจักษ์ถึงงานของพวกท่าน” (ซูเราะฮฺ อัล – เตา บะฮฺ อายะฮฺ ที่ ๑๐๕) ในอัลฮะดีษ ว่า “แท้จริงพระองค์อัลลอฮ์ ทรง โปรดปรานเม่ือคนหนึ่งในหมู่พวกท่านได้กระท�ำงานหน่ึงในการท่ีเขา มคี วามประณีต” เปน็ ตน้ ๕. ปฏิบัตติ นในแนวทางที่ดี ลดละสิง่ ชัว่ ประพฤติตน ตามหลกั ศาสนา การค้าขายใดๆ ก็ตามที่มีการเอารัดเอาเปรียบ หลอกลวง ฉวยโอกาส ฯลฯ เป็นสิ่งต้องห้ามทางศาสนา ในขณะ พระราชด�ำริในการด�ำเนินชีวิตตามหลักปรัชญา เดียวกันผู้ใดท�ำการค้าขายส่ิงท่ีอนุมัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ของเศรษฐกิจพอเพียงข้อนี้เป็นสิ่งส�ำคัญท่ีสุด ซ่ึงหลักค�ำสอนของ ยอ่ มไดร้ ับการยกยอ่ ง ศาสนาที่สอนให้ประพฤติดี และหลีกห่างความช่ัวย่อมเป็นส่ิงท่ีมี อทิ ธพิ ลสงู สดุ ในการควบคมุ พฤตกิ รรมของบคุ คล ในอลั ฮะดษี ระบวุ า่ ๔. ไม่หยุดน่ิงท่ีจะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความ “แนแ่ ทผ้ ทู้ ีย่ อมจ�ำนนตามวิถีอิสลามย่อมได้รบั ความส�ำเรจ็ อีกทัง้ เขา ทุกข์ยากด้วยการขวนขวายใฝ่หาความรู้ให้มีรายได้เพ่ิมพูนขึ้นถึง ไดร้ บั ปจั จยั ยงั ชพี ทพ่ี อเพยี งและอลั ลอฮไ์ ดใ้ หเ้ ขาผนู้ นั้ มคี วามพงึ พอใจ ขัน้ พอเพียงเปน็ เป้าหมายสำ� คัญ ต่อสิง่ ทพี่ ระองค์ทรงนำ� มาให้แกเ่ ขา” ข้อน้ีสอดคล้องกับหลักค�ำสอนของอิสลามในพระมหา หากมสุ ลมิ สามารถนำ� หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง คัมภีร์อัลกุรอาน ดังนี้ “และจงกล่าวเถิดว่า พวกท่านจงท�ำงานเถิด ประยกุ ตใ์ ชแ้ ละปฏบิ ตั ติ ามหลักธรรมของศาสนาแลว้ การดำ� เนนิ ชีวติ แลว้ ต่อไปพระองคอ์ ลั ลอฮ์ ตลอดจนศาสนทตู ของพระองค์ และมวล ก็จะสงบสขุ และเจรญิ รุ่งเรือง 79

ครสิ ต์ศาสนา ๑. หัวใจของหลักคำ� สอน ๒. หลักเกณฑ์สำ� คญั ๆ ของค�ำสอนด้านสังคม หัวใจของหลักค�ำสอนในเร่ืองคริสตชนและการด�ำเนิน ในการดำ� เนนิ ชวี ติ ของครสิ ตชน บนพนื้ ฐานของความพอ ชวี ติ บนพนื้ ฐานของความพอเพยี ง ปรากฏชดั เจนในชว่ งเวลาเรมิ่ สรา้ ง เพยี ง จำ� เปน็ ตอ้ งเขา้ ใจถงึ หลกั เกณฑส์ ำ� คญั ๆ ของคำ� สอนดา้ นสงั คมซง่ึ โลก ที่พระเจ้าทรงสร้างสรรพส่ิงต่างๆ และสร้างมนุษย์ พร้อมกับมี คริสตชนยดึ ถอื เป็นหลักปฏบิ ัติในการด�ำเนนิ ชวี ิต น่ันคอื พระประสงคใ์ หม้ นษุ ยบ์ รหิ ารจดั การสงิ่ สรา้ งตา่ งๆ อยา่ งเหมาะสม เพอื่ การ ด�ำรงชีวิตของมนุษย์แต่ละคนและมนุษย์ทุกคนที่อยู่ร่วมกันในสังคม การเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนถูกสร้างมา “มนุษย์ถูกก�ำหนดให้อยู่ในสวนเพื่อหว่านไถและดูแล ใช้ประโยชน์ ตามฉายาของพระเจ้า มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีและสิทธิ ซ่ึงสูญเสียไป จากสวนนน้ั ตามขอ้ จำ� กดั ทมี่ ไี ว้ ดว้ ยความมงุ่ มนั่ ทจ่ี ะทำ� ใหส้ มบรู ณข์ นึ้ ไม่ได้ ไมว่ า่ จากสภาวะความยากจน ปัญหาเร่อื งเพศ เชอื้ ชาติ ศาสนา เพื่อท่ีจะเป็นประจักษ์พยานแห่งความย่ิงใหญ่และความดีของ หรือความแตกต่างทางสถานะทางเศรษฐกิจ สังคม ภาวะด้อยโอกาส องค์พระผู้สร้าง” มนุษย์เดินไปสู่อิสรภาพสมบูรณ์ตามท่ีพระเจ้าทรง และความสามารถ หรือแม้กระท่ังวัย และอายุ ซึ่งเป็นเรื่องท่ีเน้นว่า เรียก การบริหารจัดการอย่างดีกับส่ิงของประทานที่ได้รับมารวมท้ัง มนษุ ยอ์ ยเู่ หนอื ทกุ สง่ิ และเปน็ ผทู้ อี่ ยใู่ นภาวะของ “การเปน็ ” มากกวา่ วัตถสุ งิ่ ของทง้ั หลาย คืองานแห่งความยุตธิ รรม และความรับผิดชอบ “การม”ี ดังนน้ั ด้วยความตระหนักต่อหลกั เกณฑน์ ี้ การดำ� เนนิ ชีวติ ท่ีมีต่อตนเองและต่อผู้อ่ืน ส่ิงท่ีได้รับมาก็ควรมีการใช้อย่างเหมาะสม ในสังคม และการปฏิบัติใดๆ ของมนุษย์จะไม่เป็นเหตุต่อการละเมิด มกี ารปกปอ้ งและดแู ลรกั ษาไวใ้ หด้ ี หรอื ทำ� ใหเ้ พมิ่ พนู ขน้ึ เพอ่ื ยงั ความ ศักดศิ์ รขี องเพอ่ื นมนุษยด์ ว้ ยกนั ผาสกุ ใหแ้ ก่ทกุ คน และสามารถส่งมอบตอ่ คนรุ่นหลัง เพราะทกุ สง่ิ บน พภิ พนี้มไี ว้สำ� หรับทกุ คน 80

ชุมชนและความดีสว่ นรวม (ประโยชน์สว่ นรวม) บคุ คล โลกด้วยสายตาของคนยากจนและร่วมเดินในบริบทท่ีทุกข์ยากกับ มนุษย์เป็นผู้สังกัดศาสนาและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เราตระหนัก คนยากจนได้หรือไม่ เราจะปฏิบัติต่อผู้ยากไร้อย่างไร แนวทาง ถึงศักดิ์ศรีและสิทธใิ นการมคี วามสัมพนั ธก์ บั ผ้อู นื่ ในชมุ ชน “เราเปน็ เศรษฐกิจพอเพียง เรียกร้องให้ผู้ท่ีเลือกใช้ชีวิตและประกอบอาชีพ รา่ งกายเดยี วกนั เม่อื ผหู้ นึง่ เจ็บป่วย เราก็เจบ็ ปวดดว้ ย” ดังนนั้ ในการ แบบพอเพยี ง ชว่ ยกนั ตรวจสอบถงึ การตดั สนิ ใจเชงิ นโยบาย ทบ่ี อ่ ยครง้ั กระทำ� กจิ กรรมใด หรอื ประกอบอาชพี ใดๆ โดยเฉพาะในทางเศรษฐกจิ ไปสร้างความเดือดร้อน และผลกระทบต่อคนยากจน เราตอ้ งไมเ่ อาเปรยี บ หรอื ไปเบยี ดบงั หรอื หาประโยชนเ์ พอ่ื ตนเอง จน เปน็ เหตุให้ผอู้ ืน่ เดอื ดรอ้ น ความเป็นปึกแผ่นหน่ึงเดียวกัน เราเป็นครอบครัว มนษุ ยชาติ ดงั นเ้ี ราตอ้ งมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ กนั และกนั ในภาวะทเี่ รามี สทิ ธแิ ละความรบั ผดิ ชอบ ทกุ คนมสี ทิ ธขิ น้ั พน้ื ฐานในเรอื่ ง ความแตกตา่ งกนั ทางดา้ นเชอื้ ชาติ เผา่ พนั ธ์ุ เศรษฐกจิ หรอื แมแ้ ตค่ วาม การด�ำรงชีวติ อาหาร ทีอ่ ยู่อาศัย สขุ ภาพอนามยั การศกึ ษา และการ แตกต่างกันทางด้านอุดมการณ์ นอกจากนี้ เราทุกคนได้รับการเรียก ทำ� งาน เฉพาะอยา่ งยง่ิ ในมติ เิ ศรษฐกจิ พอเพยี ง มนษุ ยท์ กุ คนยงั มสี ทิ ธิ รอ้ งใหร้ บั ผดิ ชอบต่อกันและกันบนพ้ืนฐานของความยุติธรรม ทจ่ี ะมสี ว่ นในการตดั สนิ ใจตอ่ เรอื่ งทเ่ี ปน็ ผลกระทบตอ่ ชวี ติ ของพวกเขา เมอ่ื มสี ทิ ธแิ ลว้ มนษุ ยย์ งั มหี นา้ ทแี่ ละความรบั ผดิ ชอบตอ่ การเคารพใน การพิทักษ์รักษาส่ิงสร้างของพระเจ้า การด�ำเนินชีวิต สิทธิของผู้อ่ืนในสังคมวงกว้างอีกด้วย เพื่อช่วยให้แต่ละคนสามารถ ดว้ ยเศรษฐกจิ พอเพยี ง เปน็ วถิ ปี ฏบิ ตั ิท่ีสะท้อนถึงแผนการสรา้ ง การ ดำ� รงชีวติ อยเู่ ขา้ ถงึ ประโยชน์ทางสังคมอยา่ งสรา้ งสรรค์ ด�ำเนินชีวิตที่เคารพต่อพระเจ้าพระผู้สร้าง การเป็นผู้ดูแลรักษาส่ิง สรา้ ง และด�ำรงชวี ติ ความเชอ่ื ของเราในความสัมพนั ธก์ ับสิ่งสร้างของ การอยู่เคียงข้างคนจน เป็นบททดสอบทางศีลธรรม พระเจ้า นี่เป็นข้อท้าทายมิติพื้นฐานด้านศีลธรรมและจริยธรรม ซ่ึง ของการด�ำเนินชีวิตด้วยกรอบความคิดเศรษฐกิจพอเพียง เราจะมอง เราจะมองข้ามไมไ่ ด้ 81

ความรักและความยตุ ิธรรม ความรกั และความยุตธิ รรม เพราะเม่ือเขาท�ำงาน เขาไม่เพียงเปลี่ยนแปลงทรัพยากรและสังคม เป็นสง่ิ ท่ีสมั พันธก์ ัน การรักเพ่อื นบา้ นในบริบทของเศรษฐกิจพอเพยี ง เทา่ นั้น มนษุ ยย์ งั พัฒนาตนเองอกี ดว้ ย มนษุ ยเ์ รยี นรมู้ ากมาย มนษุ ย์ เรยี กรอ้ งใหป้ ฏบิ ตั คิ วามยตุ ธิ รรมและความรกั เมตตาออกมาในการกระทำ� ดัดแปลงทรัพยากรของเขา มนุษย์ออกจากตนเอง และออกไปสู่การ ด้วยการเคารพศักด์ิศรี และปกป้องสิทธิมนุษยชน และเอ้ืออ�ำนวย ช่วยเหลอื ผอู้ ่ืนอกี ดว้ ย ใหก้ ารพฒั นามนษุ ย์เปน็ ไป ขณะเดียวกัน การสง่ เสรมิ ความยุตธิ รรม เปน็ การเปลย่ี นแปลงโครงสร้างตา่ งๆ ทเ่ี ปน็ อุปสรรคต่อความรกั และ ๓. เศรษฐกจิ พอเพยี ง ตอ้ งใหค้ วามสำ� คญั ตอ่ คนงานทกุ คน ช่วยให้คุณคา่ และความหมายของสภาวะพอเพยี งในชีวิตมนษุ ย์ เพราะด้วยการท�ำงานท�ำให้มนุษย์ทุกคนมีศักด์ิศรีในฐานะชายและ หญิงในบริบทสังคมของตน ทั้งชายและหญิงมีงานท่ีเลือกท�ำโดยเสรี ความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจมีไว้เพื่อ และด�ำเนินไปพร้อมกันกับการพัฒนาชุมชนของเขา งานที่ท�ำให้คน ประชาชน และทรพั ยากรทม่ี อี ยใู่ นโลกนี้ ควรไดร้ บั การจดั สรรแบง่ ปนั งานได้รับการเคารพ ไร้ซึ่งรูปแบบการเลือกปฏิบัติ งานท่ีครอบครัว อยา่ งเทา่ เทยี มกัน มนุษย์ผู้ทำ� งานตอ้ งมีความส�ำคัญกวา่ ทนุ และตอ้ ง สามารถไดร้ ับสงิ่ ทจี่ �ำเป็น สามารถให้การศึกษาส�ำหรับบตุ รได้ งานที่ ได้รับค่าตอบแทนท่ียุติธรรม รวมทั้งมีสิทธิที่จะรวมตัวกันเป็นองค์กร ให้คนงานจดั ตงั้ กลุม่ ของตนเองอยา่ งอิสระ และสามารถมีสทิ ธิมเี สยี ง หรือสหภาพ และการกระทำ� เช่นนต้ี อ้ งได้รับการเคารพจากผ้อู ื่น งานท่ีท�ำให้เขามีรากเหง้าของตนทั้งในระดับส่วนตัวและครอบครัว และระดบั จติ วญิ ญาณ ๓. คำ� สอนดา้ นสังคมของพระศาสนจกั ร เพราะมนุษย์เป็นบ่อเกิด เป็นศูนย์กลาง และเป็นจุด ๔. ในการส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง และพัฒนาการ หมายปลายทางของชวี ติ ทางสงั คมและเศรษฐกจิ ดว้ ยเหตนุ ี้ ทรพั ยส์ นิ ท�ำงานภาคธุรกิจและสังคม ต้องมีกระบวนการให้สังคมได้จัดการ ท้ังมวล ถูกก�ำหนดไวต้ ามแผนการของพระเปน็ เจา้ น่ันคอื ทรัพยากร ตนเอง ซงึ่ ไดแ้ กก่ ารมสี ว่ นรว่ ม ความรว่ มมอื กนั และการบรหิ ารจดั การ ของโลกมไี วเ้ พอ่ื แจกจา่ ยแกป่ ระชากรทงั้ หมด และแกแ่ ตล่ ะบคุ คล เพอื่ ดว้ ยตนเอง และต้องมอี งค์ประกอบอืน่ ๆ อาทิ การอบรมทกั ษะ การ เป็นเคร่ืองมอื ส�ำหรบั พฒั นาชีวิตมนุษยอ์ ยา่ งแท้จรงิ เขา้ ถงึ สทิ ธดิ า้ นสขุ ภาพ บรกิ ารขน้ั พนื้ ฐานทางสงั คม และการแสดงออก ทางวฒั นธรรม ๑. การด�ำเนินชีวิตอยู่อย่างพอเพียง เรียกร้องคริสตชน ฆราวาสต้องปฏิบัติหน้าท่ีของตนให้ส�ำเร็จด้วยความสามารถในงาน ๕. การส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง ควรใช้หลักการของ อาชีพ ด้วยความซ่ือสัตย์ และด้วยจิตใจของคริสตชนที่เปิดกว้าง การพัฒนาที่ส่งเสริมความครบครันของมนุษย์แต่ละคนและทุกคน และเรียบง่าย ซ่ึงเป็นหนทางที่น�ำไปสู่ความศักด์ิสิทธ์ิของชีวิตตนเอง โดยนัยมีการปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีข้ึนนอกเหนือจากการที่มนุษย์ อาศัยการท�ำงานของมนุษย์ มนุษย์หาเล้ียงชีพตนเองและครอบครัว ชาย/หญิง มีความเป็นมนษุ ย์ท่ีสมบรู ณ์ สามารถเขา้ ถึงการ “มี” ทาง มนษุ ยส์ มาคมกบั เพอื่ นรว่ มงาน และคอยรบั ใชช้ ว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั วตั ถุ และได้รับผลประโยชน์ ตามความเหมาะสมแลว้ มนษุ ยแ์ ต่ละคน ซงึ่ เปน็ การแสดงความเมตตากรณุ าตอ่ ผอู้ น่ื อยา่ งแทจ้ รงิ และนคี่ อื การ ควรมีการแบ่งสันปันส่วนในทางสังคม และสามารถแสดงออกอย่าง มีสว่ นรว่ มในงานสรา้ งของพระผเู้ ป็นเจ้า มคี วามคดิ สร้างสรรค์ มคี วามรบั ผิดชอบ และมคี วามเออื้ อาทรแกก่ นั และกนั ภายในสงั คม อกี ดว้ ย ๒. การดำ� เนนิ ชวี ติ อยบู่ นหลกั การของเศรษฐกจิ พอเพยี ง โดยเบื้องตน้ ให้ความส�ำคญั ตอ่ มติ กิ ารท�ำงานของทกุ คน และดว้ ยการ หลกั คำ� สอนของครสิ ตศ์ าสนา ชนี้ ำ� ใหด้ ำ� รงชวี ติ ตามหลกั ท�ำงานน้ี มนุษย์จึงเป็นผู้ผดุงความเป็นไปของสังคม ดังที่สังคายนา ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง วาติกันคร้ังที่ ๒ ยืนยันเรื่องการท�ำงานของมนุษย์ว่า เน่ืองจากการ ท่พี ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวพระราชทานไว้ ทำ� งานของมนษุ ยก์ ำ� เนดิ มาจากมนษุ ย์ ดงั นนั้ งานจงึ มไี วส้ ำ� หรบั มนษุ ย์ 82

ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ถอื ว่า ชาติ ศาสนา พระมหา กษตั รยิ ์ เปน็ สถาบนั ทส่ี ำ� คญั ยง่ิ เกย่ี วเนอื่ งกนั ศาสนาเปน็ แมบ่ ทในการ ชน้ี ำ� แนวการประพฤตปิ ฏบิ ตั ดิ า้ นจรยิ ธรรม ใหค้ นในชาตเิ ดนิ ไปตามวถิ ี ทางท่ีถูกที่ควรตามแนวทางที่ศาสนาบัญญัติไว้ พระมหากษัตริย์ทรง เป็นสมมุติเทพ คือ เทวดาบนพื้นโลก ทรงเป็นประมุขของนรชน พระผูท้ รงไวซ้ ึง่ ทศพิธราชธรรม ผทู้ รงนำ� ใหช้ าติ ศาสนา เจรญิ รุ่งเรือง เป็นปึกแผ่นมาตัง้ แตโ่ บราณจนถึงบัดน้ี คำ� วา่ “ธรรม” ของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู หมายถงึ หน้าท่ี หรือส่ิงที่ควรกระท�ำ เป็นพระธรรมศาสตร์ ๑๐ ประการ ที่ ควบคุมความประพฤติ ความคิดทั้งกาย วาจา และ ใจ ให้ประณีต สะอาด บริสุทธ์ิ ผอ่ งแผว้ ไมป่ ลอ่ ยอินทรีย์ไปในการมัวเมาไรข้ อบเขต ไม่ใช้วาจาล่วงเกิน และมีความคิดสร้างสรรค์ดีงามเพ่ือความสันติสุข เนอื งนติ ย์ รจู้ กั มคี วามพอ ซง่ึ ในความพอนน้ั มคี วามหมายกวา้ ง รวมถงึ สบื เนอ่ื งจากการไมเ่ อารดั เอาเปรยี บ ทำ� ใหร้ จู้ กั การแบง่ ปนั การยดึ ถอื ความมี ความมั่นคง ความกล้า ความสขุ ตัง้ ความพยายาม ปรารถนาให้ผู้อ่ืนได้รับประโยชน์สุขเช่นตน เมื่อคุณความดีนั้น อยู่ด้วยความมั่นคง แม้ยังไม่ส�ำเร็จประโยชน์ตามต้องการ ก็เพียรอยู่ บงั เกดิ ในตน เปน็ ความรสู้ กึ ทเี่ ตบิ โตภายในจติ ใจและเผอ่ื แผไ่ ปสบู่ คุ คล เสมอ รสู้ ึกยนิ ดีและพอใจในสง่ิ ท่ีตนมีโดยปราศจากละโมบ หลกั พระ ทวั่ ไป ทำ� ใหเ้ กดิ ความเมตตา กรณุ า มทุ ติ า และอเุ บกขา ความสนั ตสิ ขุ ธรรมศาสตร์ ๑๐ ประการ ไดส้ อนใหว้ ถิ ีชวี ิตของศาสนิกชนตง้ั ตนอยู่ ก็จะบังเกิดท่ัวไป เพราะเป็นความดีอย่างท่ีสุด เมื่อน�ำเอาธรรมส่วน ในหลกั ของเศรษฐกจิ พอเพยี งแหง่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั อยา่ ง น้ีมาใช้ในการท�ำให้เศรษฐกิจด�ำเนินไปในกรอบของศีลธรรม กระท่ัง สมบูรณ์ ดว้ ยข้อธรรมทง้ั หลายท่เี ป็นวตั รปฏิบตั ิของศาสนา เจริญงอกงามรงุ่ เรอื งดี นั่นหมายความวา่ ได้แบง่ ปันทรพั ยากรใหล้ กู หลานได้มีโอกาสใช้ร่วมกันด้วยอย่างทว่ั ถงึ ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เมอื่ แยกออกเปน็ ๒ คำ� คำ� ว่า “เศรษฐกิจ” และค�ำว่า “พอเพยี ง” นน้ั เศรษฐกิจคือ กจิ กรรม เมือ่ มีความเมตตา ยอ่ มสร้างความพอเพยี งท้ังผู้ใหแ้ ละ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การเงนิ ทไ่ี ดม้ าจากการประกอบอาชพี ทเ่ี ปน็ สนิ คา้ แปล ผู้รับ ความพอเพียงย่อมไม่เกิดความโลภ จึงไม่หมกมุ่นมุ่งหวังทุ่มเท ความหมายใหต้ รงเพอื่ ความเขา้ ใจง่าย คือ เศรษฐกิจทด่ี ี หมายรวมถึง กระท�ำในสิ่งท่ีเกินความจ�ำเป็นให้เกิดโทษ ไม่เจ็บป่วย มีเวลาดูแล การมรี ายได้ท่ดี ี ส่วนความพอเพยี ง คอื สิง่ ปฏิบตั ิทีท่ ำ� ด้วยความตั้งใจ ตนเอง ให้สุขภาพดี เมอื่ ทำ� ไดส้ ันตสิ ขุ ก็จะบงั เกิดในสงั คมทว่ั ถงึ จริงอย่างเต็มความสามารถด้วยการไม่ละโมบโลภอยากได้เกินความ จ�ำเปน็ เพราะสว่ นที่เกนิ ยอ่ มเปน็ โทษทั้งตนเองและสว่ นรวม ประดจุ เมื่อความเพียงพออันเป็นธรรมะตั้งมั่นเนื่องอยู่ภายใน ได้ว่า การท�ำธุรกิจการค้าเกินกว่าเหตุ หวังก�ำไรเกินควร ย่อมท�ำให้ จิตใจ ย่อมจะพัฒนาตนให้ก้าวหน้าได้ตามศักยภาพของแต่ละบุคคล เกดิ ความเดอื ดรอ้ น การต้งั ราคาสงู ผซู้ ้อื ต้องรบั ภาระมาก ควรท�ำให้ ท�ำให้เกิดวิริยะ อุตสาหะ ขยันหม่ันเพียรตามความสามารถ เม่ือมี เกดิ ความสมดลุ สงั คมยอ่ มอยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ ไมเ่ สพสงิ่ ชอบ ความเพียรในการประกอบอาชีพ นั่นย่อมหมายความว่า ได้ส่งเสริม สิ่งปรารถนาเกินปริมาณตน เพราะส่ิงท่ีเกินนั้นคือภัยและหายนะทั้ง เศรษฐกิจในสังคมให้เติบโตอย่างถูกต้อง ขยายกว้างเป็นเศรษฐกิจ ตนเองและผอู้ ่นื ชาตใิ นทสี่ ดุ ดงั นน้ั ขอ้ ธรรมทงั้ หลายของพราหมณ์ - ฮนิ ดไู ดส้ นองแนว พระราชด�ำริแห่งองค์พระประมุขผู้ทรงอุปถัมภกศาสนาทั้งปวงใน ประเทศ 83

ศาสนาซกิ ข์ ศาสนาซิกข์มีหลักค�ำสอนท่ีชี้ให้เห็นว่า “ความพอ” การพัฒนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เกิด เป็นคุณธรรมความดีที่ส�ำคัญประการหนึ่ง เพราะจิตใจท่ีพอน้ัน ขึ้นได้ จ�ำเป็นต้องท�ำให้คนในสังคมตระหนักถึงการด�ำรงชีวิตอย่าง ย่อมเป็นจิตที่มีเสรีภาพ พ้นจากความทะยานอยาก ความอิจฉา มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน สอดคล้องกับหลักการของ ริษยา และความละโมบทั้งปวง ย่อมน�ำไปสู่จิตใจท่ีเป็นสุขสงบ ศาสนาซิกข์ท่ีเช่ือในความเสมอภาคและเท่าเทียมกันของมนุษย์ ศาสนาซิกข์จัดว่า “ความโลภ” ซ่ึงหมายรวมถึง ความอยาก โดยไมแ่ บง่ แยกเพศ ฐานะ เชอ้ื ชาติ ศาสนา หรอื รปู ลกั ษณ์ภายนอก ได้เงินทองเกินพอดี โดยเฉพาะเงินทองที่ได้มาจากการคดโกง ตามค�ำสอนท่ีว่า “ทุกคนมีเกียรติเท่ากันเพราะเขาเป็นคนมาจาก หรือหลอกลวงนั้น ถือเป็น ๑ ใน ๕ การกระท�ำบาปขั้นรุนแรง พระผู้เป็นเจา้ ” ทสี่ ำ� คญั อกี ประการหนงึ่ คอื การมเี งนิ ทองมากเกนิ พอดกี อ่ ใหเ้ กดิ ความ โลภเปน็ ทวคี ณู ไมส่ น้ิ สดุ และนำ� ไปสกู่ ารใชเ้ งนิ ทองในทางชวั่ รา้ ย ทงั้ นี้ กล่าวได้ว่า แนวทางค�ำสอนของศาสนาซิกข์มีความ บุคคลสามารถควบคุมความโลภของตนได้ด้วยการมีความพอเพียง สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จ หรอื ความสันโดษ พระเจ้าอยู่หัว ท้ังในแง่ของแนวคิดและวิถีการปฏิบัติ ซึ่งล้วนเป็น ประโยชน์ต่อการน้อมน�ำมาปรับใช้เพื่อการด�ำรงตนอย่างม่ันคงและ ตามหลกั ปรชั ญาของศาสนาซกิ ขซ์ ง่ึ สนบั สนนุ การดำ� เนนิ ยง่ั ยืนภายใตก้ ระแสสังคมยุคโลกาภิวัตน์ ชีวิตทางฆราวาส ยังเน้นย�้ำว่า ผู้ครองเรือนทุกคนต้องยึดมั่นในการ ประกอบสมั มาชพี อยา่ งพากเพยี ร มคี ณุ ธรรม และมคี วามสมดลุ กลา่ ว คือ ไมท่ ำ� งานเกนิ กำ� ลงั กายและกำ� ลงั ทรพั ย์ รู้จักใชป้ ญั ญาในการตอ่ สู้ กบั อปุ สรรค ไมท่ อ้ ถอย มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คมและศาสนา ดงั พระ วจนะตอนหน่ึงในพระมหาคัมภีร์คุรุครันถ์ซาฮิบ พระศาสดานิรันดร์ กาลแหง่ ศาสนาซิกข์ ความว่า โมแ่ ปง้ ใส่กระสอบ ออกไปขาย เดนิ สะดุดหลุดกระจาย ลงในตม แสนระทมทรพั ยส์ ลาย กลายเปน็ จุณ โชคยังดที ี่เคยลม้ิ ชมิ ตอนตำ� จงต้งั ม่นั ท�ำกนิ อย่างพอเพียง จากพระมหาคัมภรี ค์ ุรคุ รนั ถซ์ าฮบิ หนา้ ๑,๓๗๖ ๑ 84

๑ ซกิ ขศ์ าสนกิ ชน ก�ำลังยืนสวดอธษิ ฐาน ศาสนกิ สมั พนั ธ์ ขอพรจากองคพ์ ระผูเ้ ป็นเจา้ เรยี กว่า การอัรดาส คือ การอุทศิ สว่ นบญุ ให้ ความหมาย แก่สรรพสิ่งมชี ีวิตทั้งหมดจงมสี ขุ ทุก ศาสนิกสัมพันธ์ หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกชนของศาสนาต่างๆ ประสาน ประการ ความร่วมมือกันจัดท�ำกิจกรรมภายใต้บริบทแห่งศาสนา และอีกนัยหนึ่ง หมายความถึง การเสวนา รวมท้ังความสัมพนั ธท์ างบวก และสรา้ งสรรคร์ ะหวา่ งศาสนา แบบบุคคลตอ่ บคุ คล และแบบหมู่คณะ ๒ งาน “รวมพลังทางศาสนาเสรมิ สร้าง ต่อหม่คู ณะของผู้ที่มคี วามเชอื่ ต่างกัน เพอ่ื ทำ� ใหเ้ กิดความเขา้ ใจและเพม่ิ พูนกนั และกนั โดยกระทำ� ไป ความสมานฉันท”์ ณ ศนู ย์วัฒนธรรม ในบรรยากาศของความเคารพต่อความจริงและอิสรภาพ รวมทั้งการเป็นพยานยืนยัน และการออก แหง่ ประเทศไทย วันที่ ๒๘ สิงหาคม ค้นหาความเชื่อในศาสนาของตน พ.ศ. ๒๕๕๘ กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม ร่วมกับองคก์ รศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย ได้แก่ องค์การพระพุทธศาสนา ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์ จัดกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมอ่ืนๆ เนื่องในวาระและโอกาสส�ำคัญ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในมหา มงคลเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อน�ำพลังศาสนามาสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างองค์กรทางศาสนาท้ัง ๕ ศาสนา ศาสนิกชนได้น�ำหลักธรรมค�ำสอนทางศาสนาของตนมากล่อมเกลาจิตใจให้ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม ด�ำเนนิ กิจกรรมทางศาสนาท่เี ปน็ ประโยชน์แก่สงั คมประเทศชาติ รวมทงั้ สร้างความสมานฉันท์ แก่คนในชาติ และเสริมสร้างความรักความสามัคคีโดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจ มีการจัดกิจกรรมท้ังในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ ดังปรากฏความร่วมมือสมานฉันท์ในหลาย วาระทผ่ี า่ นมา คือ ๒ 85

งานพธิ มี หามงคลเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เน่ืองในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา และโอกาสฉลองสิริราชสมบัติ นอกเหนือจากการท่ีผู้น�ำทางศาสนาได้เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จออกมหาสมาคมรับการถวาย พระพรชัยมงคล จากพระบรมวงศานุวงศ์ นายกรัฐมนตรี ประธานศาล ฎีกา ประธานรัฐสภา ข้าราชการ ทหาร ต�ำรวจและประชาชนทุกหมู่เหล่า ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาแล้ว องค์กรทางศาสนาต่างๆ ยังร่วมกับกรมการศาสนา จัดพิธีทางศาสนาถวายเป็นราชสักการะ และจัด กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในรูปแบบต่างๆ ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทุก จังหวดั อาทิ การเดนิ เทดิ พระเกยี รติ พธิ ถี วายชัยมงคลและถวายสตั ยป์ ฏิญาณ ปฏิบัติตามพระราชด�ำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พิธีศาสนามหามงคล การลงนามถวายพระพร การบรจิ าคโลหติ บรจิ าคทาน กจิ กรรมสง่ เสรมิ สขุ ภาพ การจดั อภิปราย สัมมนา การจัดนิทรรศการ การบรรพชาอุปสมบท ฯลฯ ง า น ร ว ม พ ลั ง ท า ง ศ า ส น า เ ส ริ ม ส ร ้ า ง ค ว า ม ส ม า น ฉั น ท ์ เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ ีนาถ งานศาสนิก สมั พนั ธน์ ี้จัดขนึ้ หลายครัง้ โดยเร่ิมตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๕๔๖ จนถึงปัจจบุ ัน กจิ กรรม มีอาทิ การถวายราชสักการะและถวายพระพรชัยมงคล การจัดพธิ ที างศาสนา มหามงคล ๕ ศาสนา ถวายพระราชกศุ ล การจัดนทิ รรศการ การฉายวีดิทศั น์ การแสดงผลิตภัณฑ์และวิถีชีวิตชุมชน การแสดงศิลปวัฒนธรรม การบรรยาย อภิปราย การลงนามถวายพระพร ฯลฯ โอกาสอ่ืนๆ อาทิ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ ใน รูปแบบ “คาราวานศาสนิกสัมพันธ์สัญจร” ด้วยการน�ำเคร่ืองอุปโภค บริโภค เวชภัณฑ์ เคร่ืองนุ่งห่ม ผ้าห่ม และอื่นๆ ช่วยผู้ประสบภัยในที่ต่างๆ ท่ีได้รับ ภัยพิบัติ เช่น จากคล่ืนยักษ์สึนามิ จากดินโคลนถล่ม จากภัยหนาว เป็นต้น การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ “ปั่นจักรยาน รวมพลังศาสนิกสัมพันธ์ สรา้ งความสมานฉนั ทส์ ชู่ มุ ชน” วตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ เยยี่ มชมศาสนสถาน การทอ่ งเทย่ี ว เชิงนเิ วศ เรยี นรวู้ ฒั นธรรม และสมั ผัสวถิ ีชีวติ ชมุ ชน นอกจากนี้ในส่วนของพระศาสนจักรคาทอลิก ยังมีหน่วยงาน ด้านศาสนิกสัมพันธ์โดยเฉพาะ ช่ือว่า “สมณสภาเพ่ือการเสวนาระหว่าง ศาสนา” (Pontifical Council for Interreligious Dialogue) แหง่ สนั ตะสำ� นกั ณ นครรฐั วาตกิ นั ทกุ ๆ ปี ทางสนั ตะสำ� นกั นครรฐั วาตกิ นั จะสง่ สาสน์ แสดงความ ยินดีโอกาสเฉลิมฉลองส�ำคัญๆ ของแต่ละศาสนา เช่น วันวิสาขบูชาแด่พี่น้อง ชาวพุทธ สาสน์ ปดิ เดือนรอมฎอนแดพ่ ี่น้องมุสลิม สาสน์ เทศกาลดวี าปารีแดพ่ ี่ นอ้ งฮนิ ดู สาสน์ แดพ่ น่ี อ้ งชาวซกิ ข์ ฯลฯ นอกจากนนั้ ครสิ ตชนยงั รว่ มจดั กจิ กรรม มากมายในงานด้านศาสนสมั พนั ธ์กับศาสนกิ อ่ืนๆ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น 86

งานรวมพลงั ทางศาสนาเสริมสรา้ งความสมานฉนั ท์ วนั ที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ณ ศนู ย์วฒั นธรรมแหง่ ประเทศไทย 87

88

บทที่ ๓ ศาสนาในประเทศไทย พระพุทธศาสนา ในปัจจุบันชาวไทยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ ๙๐ นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท เป็น พระพทุ ธศาสนาแบบดงั้ เดมิ เครง่ ครดั ในพระธรรมวนิ ยั พยายามรกั ษาคตคิ วามเชอื่ และแนวปฏบิ ตั ถิ อื ตามท่ี พระอรหนั ตพ์ ทุ ธสาวกไดว้ างหลกั ธรรมวนิ ยั เปน็ แบบแผนไวต้ ง้ั แตเ่ มอื่ ครงั้ ปฐมสงั คายนา ซงึ่ นบั ถอื แพรห่ ลาย ในประเทศไทย พมา่ ลาว กมั พูชา และศรีลงั กา ผคู้ นสว่ นใหญใ่ นดนิ แดนประเทศไทยนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาฝา่ ยเถรวาทมาตงั้ แตส่ มยั ทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ – ๑๖ พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทประดิษฐานอย่างมั่นคงเป็นศาสนาหลักของ บ้านเมืองสืบมาในสมัยสุโขทัย อยุธยา จนถึงปัจจุบัน กล่าวได้ว่า เป็นศาสนาประจ�ำชาติของชาวไทยมา ชา้ นานจงึ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ วถิ ชี วี ติ และวฒั นธรรมประเพณขี องชาวไทยเปน็ อนั มาก ทง้ั คตคิ วามเชอื่ ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ศลิ ปะ วรรณคดี ค่านยิ ม เปน็ ต้น พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพมหานคร 89

90

ในปัจจุบันพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทในประเทศไทยยังแบ่งออกเป็นคณะมหานิกาย ซ่ึงเป็นคณะสงฆ์ที่มีอยู่เดิม และคณะธรรมยุต หรือธรรมยุติกนิกาย ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ต้งั ขนึ้ นอกจากน้ี พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานยังเป็นที่นับถือของชาวไทยอยู่ด้วยส่วนหน่ึง ซงึ่ เจรญิ รงุ่ เรืองควบคกู่ นั มากบั ฝา่ ยเถรวาท ปัจจุบนั พระพุทธศาสนามหายานมจี ีนนิกายและอนมั นิกาย ตามทะเบียนวดั และสำ� นกั สงฆจ์ ีนนิกายใน พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทัง้ สน้ิ ๑๗ แห่ง เช่น วัดโพธิแ์ มนคุณาราม กรุงเทพฯ วัดมังกรกมลาวาส กรุงเทพฯ วัดบ�ำเพ็ญจีนพรต กรุงเทพฯ วัดโพธิ์เย็น จังหวัดกาญจนบุรี วดั จนี ประชาสโมสร จังหวดั ฉะเชงิ เทรา เป็นตน้ ๑ จติ รกรรมฝาผนงั เลา่ เรื่องพุทธประวตั ิ ๒ ตอนพระพทุ ธเจา้ แสดงธรรมโปรดพทุ ธ บริษทั วดั ราชสทิ ธาราม 91 กรงุ เทพมหานคร ๒ พระสงฆ์ประชุมปฏิบตั ศิ าสนกจิ ในพระ อโุ บสถวัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม กรุงเทพมหานคร ๑

92

พระบรมศาสดา ศาสนบุคคล พระพุทธศาสนามีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า ๒,๕๐๐ ปี นับตั้งแต่สมัยพุทธกาล ผปู้ ระกาศศาสนาและเปน็ ศาสดาคอื พระสมั มาสมั พุทธเจ้า ๒ พระบรมศาสดา ๓ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มพี ระนามเดมิ วา่ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ เปน็ พระราชโอรสพระเจา้ สทุ โธทนะ ๑ จติ รกรรมฝาผนงั เลา่ เรือ่ งพทุ ธประวตั ิ และพระนางสิริมหามายา แหง่ แควน้ ศากยะ (สกั กะ) อันมกี รงุ กบลิ พสั ดุ์เป็นราชธานี ประสูติเมอ่ื วันขึ้น ๑๕ คำ่� เดือน ๖ ปีจอ กอ่ นพุทธศกั ราช ๘๐ ปี ณ สวนลมุ พนิ ี (สวนลมุ พินีและกรุงกบลิ พัสด์ใุ นปัจจุบัน ตอนเสด็จโปรดพระประยรู ญาติ อย่ใู นเขตประเทศเนปาล) วัดวงั จังหวัดพทั ลุง ๒ สมเด็จพระญาณสงั วร สมเด็จพระสังฆราช เมอื่ พระชนมายุ ๕ วนั พระเจา้ สทุ โธทนะโปรดใหเ้ ชญิ พราหมณ์ ๑๐๘ คนมารบั โภชนาหาร สกลมหาสังฆปรณิ ายก และไดเ้ ชญิ พราหมณ์ ๘ คนเขา้ พิจารณาพระลกั ษณะของพระกมุ ารเพือ่ ถวายค�ำพยากรณ์ พราหมณ์ ๗ ๓ สมเด็จพระมหารัชมงั คลาจารย์ คนในจ�ำนวนน้ันท�ำนายเป็น ๒ ประการ คือหากพระราชกุมารครองราชย์จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ (ช่วง วรปญุ โฺ ) วดั ปากน�ำ้ หากผนวชจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เว้นแต่พราหมณ์อายุน้อยสุดชื่อ “โกณฑัญญะ” พยากรณ์ว่า ผู้ปฏบิ ตั ิหนา้ ทส่ี มเด็จพระสังฆราช พระราชกมุ ารจะไดต้ รสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ แนน่ อน แลว้ ขนานพระนามพระราชกมุ ารวา่ “สทิ ธตั ถะ” แปลวา่ “มคี วามต้องการส�ำเรจ็ ” และหลงั จากประสูตแิ ลว้ ๗ วัน พระพุทธมารดากเ็ สด็จสวรรคต เจา้ ชายสทิ ธตั ถะราชกมุ ารทรงศกึ ษาศลิ ปศาสตรท์ งั้ ๑๘ สาขา ในสำ� นกั อาจารยว์ ศิ วามติ ร ซ่ึงเป็นส�ำนักท่ีมีชื่อเสียงท่ีสุด พระเจ้าสุทโธทนะ ทรงสร้างปราสาท ๓ ฤดูให้ประทับ เม่ือพระชนม์ ได้ ๑๖ พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธรา หรือพิมพา ผู้เป็นธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ แห่งกรงุ เทวทหะ เมื่อพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งพระนามว่า พระราหุล ซ่ึง แปลว่า บว่ ง พระองคท์ อดพระเนตรเทวทตู ทั้งสี่ คอื คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ท�ำให้ทรงสงั เวช พระราชหฤทยั ในเพศฆราวาส วนั ทเ่ี จา้ ชายราหลุ ประสตู นิ น้ั เปน็ วนั ทเ่ี จา้ ชายสทิ ธตั ถะเสดจ็ ออกบรรพชา ณ ฝง่ั แมน่ ำ�้ อโนมา หลงั จากออกผนวชมา ๖ พรรษา ตอ่ มาในวนั เพญ็ เดอื น ๖ ณ อรุ เุ วลาเสนานคิ ม แขวง เมอื งพาราณสี ขณะมพี ระชนม์ได้ ๓๕ พรรษา ไดต้ รัสรู้เป็นพระสมั มาสัมพุทธเจ้า เมอ่ื ตรสั รแู้ ลว้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เสดจ็ สงั่ สอนประชาชนตามแวน่ แควน้ ตา่ งๆ ในอนิ เดยี เพอื่ น�ำพาให้ประชาชนท้ังหลายไปสูค่ วามพน้ ทุกขอ์ ยเู่ ปน็ ระยะเวลา ๔๕ พรรษา ชาวอนิ เดยี ในสมัยนั้น ได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา และเข้ามาบรรพชาอุปสมบทเปน็ จ�ำนวนมาก จนกระทง่ั พระพุทธองค์ พระชนมายไุ ด้ ๘๐ พรรษา จึงเสดจ็ ดบั ขันธปรินิพพาน ๑ 93

พทุ ธกจิ ประจำ� วัน ๕ ประการ จิตรกรรมฝาผนงั เลา่ เร่ืองพุทธประวตั ิ ตอนเสด็จออกมหาภเิ นษกรมณ์ พุทธกิจที่พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ทรงบำ� เพ็ญเป็นประจำ� ในแต่ละวนั มี ๕ ประการ ได้แก่ พระท่นี ั่งพุทไธสวรรย์ พิพธิ ภัณฑสถาน เวลาเชา้ – เสดจ็ ออกบิณฑบาต เพ่ือโปรดเวไนยสตั ว์ แหง่ ชาติ พระนคร เวลาเย็น – เสดจ็ ออกพระคันธกฎุ ีแสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชน เวลาคำ�่ – ทรงตอบปัญหาธรรม แสดงธรรม ประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษทุ ง้ั หลาย เวลาเท่ยี งคนื – ทรงตอบปัญหาเทวดา เวลาใกลร้ งุ่ – ทรงตรวจพจิ ารณาสตั วโ์ ลกทส่ี ามารถและทยี่ งั ไมส่ ามารถบรรลธุ รรมอนั ควร จะเสดจ็ ไปโปรดหรอื ไม่ ศาสนบคุ คล ผสู้ ืบทอดในพระพุทธศาสนา คอื พทุ ธบรษิ ัท ๔ ไดแ้ ก่ ภิกษุ ภิกษณุ ี อุบาสก และอุบาสกิ า อันหมายถึง พทุ ธศาสนิกชน พทุ ธมากะ พทุ ธสาวก อนั เปน็ กล่มุ ผูร้ ว่ มกันนับถอื ร่วมกนั ศกึ ษา และรกั ษา สืบทอดพระพทุ ธศาสนาไว้ ภกิ ษุ หมายถึง ชายทบ่ี วชในพระพทุ ธศาสนา ถือสกิ ขาบท ๒๒๗ ข้อ ภกิ ษุสาวกรปู แรก คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ภกิ ษุณี หมายถงึ หญงิ ทบ่ี วชเป็นพระในพระพทุ ธศาสนา มสี ิกขาบทและขนบธรรมเนยี ม ท�ำนองเดียวกับภิกษุ แต่ถือสิกขาบทมากกว่าภิกษุ คือ ๓๑๑ ข้อ หญิงท่ีจะอุปสมบทเป็นภิกษุณีต้อง บรรพชาเปน็ สามเณรกี อ่ น อายุ ๑๘ ปี แลว้ พงึ ขอสกิ ขาสมมตุ ติ อ่ ภกิ ษณุ สี งฆเ์ พอื่ กำ� หนดใหร้ กั ษาสกิ ขาบท ๖ ประการถว้ น ๒ ปี ภิกษุณีรูปแรก คอื พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี อุบาสก หมายถงึ คฤหสั ถผ์ ้ชู ายที่แสดงตนเปน็ ผู้ทน่ี บั ถอื พระพุทธศาสนาโดยประกาศถึง พระรัตนตรยั เป็นสรณะ ปฐมอุบาสกผ้ถู งึ สรณะ ๒ (พระพทุ ธและพระธรรม) คอื ตปุสสะ และ ภัลลกิ ะ ปฐมอบุ าสกผถู้ ึงไตรสรณะ (พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ)์ คอื บิดาพระยสะ อุบาสิกา หมายถงึ คฤหสั ถผ์ ูห้ ญิงท่ีแสดงตนเป็นผทู้ ่ีนบั ถอื พระพุทธศาสนา โดยประกาศ ถึงพระรตั นตรัยเป็นสรณะ ปฐมอุบาสิกา คอื มารดาของพระยสะ และภรรยาเก่าพระยสะ อนง่ึ เดก็ ชายทบ่ี วชในพระพทุ ธศาสนามอี ายยุ งั ไมค่ รบ ๒๐ ปบี รบิ รู ณ์ เรยี กวา่ “สามเณร” สามเณรองค์แรกในพระพุทธศาสนาคือ ราหุล ส่วนเด็กผู้หญิง เรียกว่า “สามเณรี” ซึ่งสามเณรและ สามเณรถี ือสกิ ขาบท ๑๐ ลักษณะ การบวชของภกิ ษแุ ละภกิ ษณุ ี เรียกว่า “อปุ สมบท” ส่วนการบวชของ สามเณรหรือสามเณรี เรยี กวา่ “บรรพชา” 94

95

ศาสนธรรม หลกั ค�ำสอน หลกั ปฏิบตั ิ จติ รกรรมฝาผนงั เล่าเรอื่ งเนมริ าชชาดก เมอ่ื พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ยงั ทรงพระชนมอ์ ยู่ หลกั ธรรมคำ� สอนตา่ งๆ ยงั ไมไ่ ดจ้ ดั เปน็ หมวดหมหู่ รอื เปน็ ระเบยี บแบบแผนทเี่ รยี กวา่ “พระไตรปฎิ ก” อยา่ ง ในปัจจุบัน เรียกพุทธวจั นะ หรอื ค�ำสอนของพระพทุ ธองคว์ า่ “พรหมจรรย”์ และ “ธรรมวนิ ัย” การถ่ายทอดหลักธรรมค�ำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้วิธีการ ทอ่ งจำ� หรอื มขุ ปาฐะ อยา่ งเปน็ ระบบ พระภกิ ษรุ ปู ไหนตอ้ งการเรยี นพระวนิ ยั กต็ อ้ ง ไปเรยี นยังส�ำนกั พระวินยั ธรท่ที ่านเชย่ี วชาญพระวินยั ปฎิ ก หรอื รูปใดต้องการเรียน พระสูตรก็ต้องไปเรียนกับพระอาจารย์ที่ช�ำนาญทางพระสูตร พระภิกษุจึงมีความ เช่ียวชาญในแต่ละด้านช่วยกันจดจ�ำและสืบทอดพระพุทธพจน์ไว้ จนถึงเม่ือพุทธ ศตวรรษที่ ๕ ในรชั สมยั พระเจ้าวัฏฏคามณี (พ.ศ. ๕๑๔ - ๕๒๖) โปรดใหส้ งั คายนา พระไตรปิฎกแลว้ จารึกลงในใบลาน ตอ่ มาพระไตรปฎิ กทไี่ ดจ้ ารึกและเกบ็ รักษาไว้ในลงั กาได้เผยแพร่ไป ยังประเทศต่างๆ เช่น พมา่ ไทย ลาว และประเทศอ่ืนๆ ทนี่ บั ถือพระพุทธศาสนา ฝ่ายเถรวาท แม้แต่ในประเทศอินเดียซึ่งเป็นถ่ินก�ำเนิดของพระพุทธศาสนาเองน้ัน ภิกษุในฝ่ายเถรวาทยังใช้พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลีของลังกา รวมทั้งอรรถกถา และอาจรยิ วาทตา่ งๆ ซ่งึ “พระไตรปฎิ ก” แยกออกไดเ้ ป็น ๓ หมวดหลัก ไดแ้ ก่ ๑. พระวินัยปิฎก เน้ือหาว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี นอกจากน้ี ยงั มพี ทุ ธประวตั ติ อนตรสั รจู้ นถงึ ประกาศศาสนาอยา่ งละเอยี ด และการ สังคายนา ๒ คร้ัง ๒. พระสตุ ตนั ตปฎิ ก เนอ้ื หาวา่ ดว้ ยพระธรรมทว่ั ไป และเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ซงึ่ เปน็ ประมวลเทศนาของพระพทุ ธเจา้ ทแ่ี สดงแกบ่ คุ คลตา่ งๆ แตล่ ะสตู รมที งั้ บทนำ� เนอื้ หาสาระของพระธรรมเทศนา และบทสรปุ ว่าหลังจบพระธรรมเทศนาแลว้ ผ้รู ับ ฟงั ไดร้ ับผลอย่างไรบ้าง ๓. พระอภธิ รรมปิฎก เนื้อหาว่าดว้ ยธรรมะท่เี ป็นปรมตั ถธรรม หรอื ธรรมะท่ีแสดงถึงสภาวะล้วนๆ ไม่มเี ก่ยี วขอ้ งกบั บคุ คล เหตกุ ารณ์ และสถานที่ 96

97

98

หลักค�ำสอนและหลกั ปฏิบัตขิ องพระพทุ ธศาสนา ๒ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแบบอเทวนิยม (Atheism) ๑ จติ รกรรมฝาผนงั เลา่ เรื่องพทุ ธประวตั ิ ไม่เน้นความส�ำคัญของพระเจ้าและเทพเจ้า ไม่มีหลักค�ำสอนที่ให้พ่ึงพา ตอนเสวยวมิ ุตติสขุ ภายหลงั การตรสั รู้ หรืออ้อนวอนเทพเจ้าเพื่อให้มาช่วยเหลือตนเอง สอนให้พึ่งตนเอง “ตน วัดชลธาราสงิ เห จงั หวดั นราธิวาส เปน็ ทพ่ี งึ่ แหง่ ตน” เปา้ หมายสงู สดุ ของพระพทุ ธศาสนาคอื การขจดั ชำ� ระ กิเลส ตัณหา อวิชชา และอกุศลทั้งปวงให้หมดไปโดยส้ินเชิง ท�ำให้จิต ๒ จิตรกรรมฝาผนงั เลา่ เรื่องพุทธประวตั ิ วิญญาณของผู้เข้าถึงหลุดพ้นจากสังสารวัฏ การเวียนว่ายตายเกิด เรียก เสด็จโปรดพระประยูรญาติ ว่า “นิพพาน” อนั เป็นการหลุดพน้ จากความทุกขอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ ความเชอ่ื ณ กรุงกบิลพสั ดุ์ วัดราชสิทธาราม หลักค�ำสอน และหลักปฏิบัติท่ีส�ำคัญของพุทธศาสนิกชน ได้แก่ กรงุ เทพมหานคร พระรตั นตรยั ความเชื่อในศกั ยภาพของมนุษย์ ความเชอ่ื เรื่องกรรม 99 พระรตั นตรยั คอื แกว้ ๓ ประการ หมายถงึ สง่ิ ทม่ี คี ณุ คา่ ยง่ิ ในพระพุทธศาสนา ๓ ประการ ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซ่งึ พทุ ธศาสนกิ ชนถอื วา่ พระรัตนตรยั เป็นท่ีพึง่ อันสงู สดุ พทุ ธศาสนกิ ชน ชาวไทยจึงแสดงตนเปน็ อบุ าสก อุบาสิกาดว้ ยแสดงความเลือ่ มใสในพระ รตั นตรยั และกล่าวค�ำปฏญิ าณขอถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ (ที่พ่ึง) ซงึ่ พระรัตนตรัยตามความเข้าใจของพุทธศาสนิกชนโดยท่ัวไปน้ัน มีความ หมายในเชงิ รปู ธรรมคอื พระพทุ ธเจา้ พระธรรมคำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ และพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า แต่ความจริงแล้วความหมายใน นามธรรม “พุทธ” หมายถึง ศักยภาพสูงสุดที่มีอยู่ในมนุษย์ ในแต่ละ บุคคล “ธรรม” หมายถึง ธรรมดาแห่งเหตปุ จั จัยทร่ี ู้แลว้ จะบรรลุธรรมท่ี เหนอื เหตปุ จั จยั และ “สงฆ”์ หมายถงึ สงั คมอดุ มคตแิ หง่ อรยิ ชนผดู้ ำ� เนนิ อยใู่ นขน้ั ต่างๆ แหง่ การรู้ธรรมและก้าวตามวิถแี ห่งพุทธ พระพทุ ธศาสนาเถรวาทถอื วา่ มนษุ ยเ์ ปน็ สตั วห์ รอื สงิ่ มชี วี ติ อนั สงั่ สอนอบรมได้ ถา้ มผี แู้ นะนำ� มเี พอื่ นทด่ี ี และมคี วามเพยี รอยา่ งจรงิ จงั ก็สามารถพฒั นาตนใหบ้ รรลคุ วามพ้นทกุ ขไ์ ด้ มนุษย์มเี จตนาและมกี รรม เป็นของตนเอง มนุษย์สามารถเปล่ียนแปลงตนเองได้ มนุษย์ประกอบ ดว้ ยรา่ งกายและจติ ใจ โดยจติ ใจมอี ำ� นาจและมคี วามสำ� คญั เหนอื รา่ งกาย ความสขุ หรอื ความทกุ ข์ ความดแี ละความชว่ั จงึ ขน้ึ อยกู่ บั จติ ใจเปน็ สำ� คญั ๑

พระพทุ ธศาสนามุง่ เนน้ เร่ืองการพ้นทกุ ข์ และสอนให้รู้จกั ทุกขแ์ ละวธิ กี ารดับทกุ ข์ ให้พน้ จากความไมร่ คู้ วามจรงิ ในธรรมชาติ อันเป็นเหตุให้เกิดทกุ ข์จากกิเลสทงั้ ปวงคอื ความโลภ ความโกรธ ความหลง รวมทัง้ เน้นการศึกษาท�ำความเข้าใจ พจิ ารณาอย่างรอบคอบแยบคายดว้ ยปัญญา และพิสูจน์ ทราบขอ้ เท็จจรงิ เห็นเหตผุ ลว่าสิ่งนมี้ ีสิง่ น้ีจงึ มี จนเหน็ ตามความเป็นจรงิ ว่าสรรพสิ่งในธรรมชาตเิ ป็นไป ตามกฎไตรลักษณ์ และสตั ว์โลกทเี่ ปน็ ไปตามกฎแห่งกรรม แล้วเลือกใช้หลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่ เหมาะกับผลท่ีจะได้สิ่งท่ีปรารถนาอย่างถูกต้อง ด้วยความไม่ประมาทในชีวิตให้มีความสุขในท้ังชาติ น้ีและชาติต่อๆ ไป ตลอดจนปรารถนาในนิพพานของผู้มีปัญญา ซึ่งความหลุดพ้นหรือนิพพานเป็น เร่ืองเฉพาะตวั ทีม่ นุษยจ์ ะต้องปฏบิ ัตดิ ว้ ยตนเองตามมรรค และตามหลกั ไตรสิกขา คอื ศีล สมาธิ ปัญญา เม่อื ปฏิบัตแิ ลว้ จะบรรลุความรู้แจ้ง และหลุดพ้นจากความทุกขท์ ง้ั ปวง พระพทุ ธศาสนาสอนเน้นใหเ้ ชือ่ เรอื่ ง “กรรม” คอื การกระทำ� ซึ่งกรรมเปน็ ค�ำกลางๆ ท�ำดี เรียกวา่ กศุ ลกรรม ท�ำไมด่ ีเรียกวา่ อกศุ ลกรรม แบ่งออกเปน็ ๓ ทาง คอื ทางกาย ทางวาจา และทางใจ เชื่อผลแหง่ กรรม คือท�ำดีไดด้ ี ท�ำชวั่ ไดช้ ั่ว และเช่ือว่าทกุ คนมกี รรมเปน็ ของตัวเอง ผลแหง่ กรรมจึงเป็น สมบัติเฉพาะตัว ใครท�ำคนนน้ั ได้ จะแบ่งปนั เผ่อื แผ่กันไมไ่ ด้ ส่วนค�ำสอนในพระพุทธศาสนามหายานมีแกนร่วมอยู่กับพระพุทธศาสนาเถรวาท คือ ยอมรบั วา่ นพิ พานเปน็ อดุ มการณส์ งู สดุ ของศาสนา อรยิ สจั ๔ ยงั คงเปน็ หลกั คำ� สอนสำ� คญั แตแ่ ตกตา่ งกนั ในวิธีการเขา้ ถึงอุดมการณ์สูงสุด ซึ่งค�ำสอนสำ� คญั ท่ีเป็นจุดเด่นของมหายาน ได้แก่ คติเร่อื งพระโพธสิ ัตว์ คติเรือ่ งพระพทุ ธเจ้า คตคิ วามเชื่อเรอ่ื งพทุ ธเกษตร และคติเร่อื งพทุ ธจริต นอกจากนี้ หลกั ธรรมทสี่ ำ� คญั ในพระพทุ ธศาสนา ไดแ้ ก่ ไตรลกั ษณ์ (อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา) อริยสจั ๔ ปฏิจจสมปุ บาท มรรค ๘ และนพิ พาน ซงึ่ หลักธรรมสำ� คญั ต่างๆ น้ีอยู่ในสตู รท่สี ำ� คัญ เช่น ธัมมจักกัปปวตั ตนสูตร อนัตตลกั ขณสูตร กาลามสตู ร เป็นตน้ ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร หรอื ปฐมเทศนา พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงโปรดปญั จวคั คยี ์ เปน็ ครง้ั แรกจนทำ� ใหพ้ ระอญั ญาโกณฑญั ญะไดด้ วงตาเหน็ ธรรม ซงึ่ ในพระสตู รนพ้ี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงอรยิ สจั ๔ คอื ทุกข์ ๑ เหตุท่ใี หเ้ กิดทกุ ข์ ๑ การดบั ทกุ ข์ ๑ และทางที่จะดำ� เนินไปสู่ความดบั ทุกข์ ๑ ซึ่งทางที่จะ ด�ำเนนิ ไปสคู่ วามดับทกุ ข์นี้ เรียกวา่ มชั ฌมิ าปฏิปทา หรือทางสายกลาง อนัตตลักขณสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นถึงความไม่เท่ียงของส่ิงต่างๆ คือส่ิงทั้ง หลายทั้งปวงจะตอ้ งมีการเปล่ยี นแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดมิ ตลอดไปได้ ทงั้ เปน็ สงิ่ ที่ไม่มีตัวตนจรงิ ๆ เลย เป็นการสมมตุ ิข้ึนมาเทา่ นน้ั เอง เพราะฉะนน้ั เราจึงไมส่ ามารถบงั คบั ใหม้ นั อยู่ ในอำ� นาจของเราได้ พระพุทธสหิ ิงค์ ภายในพระท่ีน่งั พทุ ไธสวรรย์ พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร 100