Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนวัดสายลำโพงใต้ พุทธศักราช 2564 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เอกสารประกอบหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนวัดสายลำโพงใต้ พุทธศักราช 2564 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Description: เอกสารประกอบหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนวัดสายลำโพงใต้ พุทธศักราช 2564 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบหลักสูตรสถานศึกษา กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) พทุ ธศักราช ๒๕๖๔ โรงเรยี นวัดสายลาโพงใต้ สังกดั สำนกั งำนเขตพ้ืนท่กี ำรศึกษำประถมศึกษำนครสวรรค์ เขต ๓ สงั กดั สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขั้นพ้นื ฐำน กระทรวงศกึ ษำธิกำร

เอกสารประกอบหลกั สูตรสถานศึกษา โรงเรยี นวัดสายลำโพงใต้ พุทธศักราช 2564 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง 2560) กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สำนักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาประถมศึกษานครสวรรค์ เขต 3 สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ

คำนำ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดทำหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฉบับนี้ ซึง่ เปน็ เอกสารประกอบหลกั สตู รสถานศกึ ษา โรงเรียนวดั สายลำโพงใต้ พุทธศกั ราช 2564 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 เพื่อเป็นเป้าหมายใน การพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และกระบวนการจัดการเรียนรู้ เพื่อเป็นกรอบและทิศทางในการจัดการเรยี น การสอน ให้ตรงตามมาตรฐานตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี โดยพิจารณาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) หลกั สตู รสถานศึกษา โรงเรยี นวดั สายลำโพงใต้ ซง่ึ มอี งคป์ ระกอบ ดังน้ี - วิสยั ทัศน์ หลกั การ จุดหมาย - สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น - คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ - สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ - คุณภาพผเู้ รยี น - สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ - ตัวช้วี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง - รายวิชาท่ีเปิด - คำอธบิ ายรายวชิ าและโครงสรา้ งรายวชิ าพื้นฐาน - สอ่ื /แหลง่ เรยี นรู้ - การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ คณะผู้จัดทำขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาและจัดทำหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฉบับนี้ จนสำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเกิดประโยชน์ ตอ่ การจัดการเรียนรู้ใหก้ ับผเู้ รียนตอ่ ไป กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้จดั ทำ

สารบัญ หนา้ คำนำ 1 สารบญั 1 วิสัยทัศน์ 2 หลักการ 3 จุดมุ่งหมาย 4 สมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น 5 คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 6 ทำไมตอ้ งเรยี นวทิ ยาศาสตร์ 7 เรยี นรู้อะไรในวทิ ยาศาสตร์ 8 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 10 ทกั ษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 13 คุณภาพผูเ้ รยี น 48 ตวั ชวี้ ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 49 รายวิชาท่เี ปิดสอน 85 คำอธิบายรายวชิ าและโครงสรา้ งรายวิชาพ้นื ฐาน 86 ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ 103 การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ 104 ภาคผนวก 108 อภิธานศพั ท์ คณะผู้จดั ทำ

เอกสารประกอบหลกั สูตรสถานศึกษา โรงเรียนวดั สายลําโพงใต พุทธศักราช 2564 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลมุ สาระการเรยี นรูวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี วสิ ยั ทัศน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่งเสริมผู้เรียนให้มีการพัฒนาทักษะกระบวนการ คิดข้นั สูง เพอื่ นำไปสคู่ วามเป็นเลิศทางวิชาการ มเี จตคตทิ ีเ่ หมาะสมตอ่ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร้คู ุณคา่ ของ ภมู ิปญั ญาไทย หลกั การ 1. พัฒนาความรู้ ความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามศักยภาพของผู้เรียน และสามารถ นำไปเปน็ เคร่อื งมอื ในการเรียนรูส้ ่งิ ตา่ ง ๆ และเปน็ พ้นื ฐานสำหรบั การศึกษาตอ่ 2. จัดกิจกรรมกระบวนการเรียนรู้อย่างหลากหลายต่อเนื่อง ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดกระบวนการ เรียนรู้อย่างมีความสุข 3. จัดแผนการเรียนการสอนใหแ้ ก่ผู้เรยี น เพ่ือให้ผู้เรียนได้มโี อกาสเรยี นรวู้ ิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามความถนดั และความสนใจ 4. พัฒนาบุคลากรของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้มีความรู้และทักษะตลอดจน นำประสบการณ์มาใช้ในการเรียนการสอนโดยเนน้ ผ้เู รียนเป็นสำคัญ 5. มกี ารนเิ ทศและตดิ ตามอย่างเป็นระบบในด้านการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 6. จัดการเรียนการสอนโดยการสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ในทุกรายวิชาอย่างเป็นรูปธรรม จัด กิจกรรมวชิ าการดา้ นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใหน้ กั เรียนกลา้ แสดงออก และไดป้ ฏิบตั ิกจิ กรรมต่าง ๆ ตามความถนดั และความสนใจ 7. จดั กจิ กรรมนำเสนอผลงานนักเรยี น – ครู ในงานนทิ รรศการทางวิชาการภายในโรงเรียน 8. สนบั สนนุ สง่ เสรมิ ให้ครู ผลติ สื่อและนวตั กรรมประกอบการเรยี นการสอนตามเนื้อหาการเรยี นรู้ 9. จัดกิจกรรมส่งเสริม พัฒนาผู้เรียนที่มีความสามารถ และช่วยเหลือผู้เรียนที่มีปัญหาด้านการเรียน วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 10. วดั ผลและประเมินผลตามสภาพจริง ด้วยวิธีการที่หลากหลายให้ครอบคลุมทง้ั ทางด้านความรู้ ทักษะ/ กระบวนการ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น และคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์

2 จุดมงุ่ หมาย กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มงุ่ พัฒนาผูเ้ รียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศกั ยภาพในการศกึ ษาต่อ และประกอบอาชพี และผเู้ รยี นมีคุณภาพตามเกณฑ์ของคุณภาพผ้เู รยี นกล่มุ สาระ การเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมอ่ื จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังน้ี 1. มคี ุณภาพตามเกณฑ์ของคุณภาพผูเ้ รียนกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านยิ มท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณคา่ ของตนเอง มีวนิ ยั และปฏบิ ตั ิตนตาม หลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยดึ หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 3. มคี วามรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคดิ การแกป้ ัญหา การใชเ้ ทคโนโลยี และมที ักษะชีวติ 4. มสี ุขภาพกายและสุขภาพจิตท่ีดี มีสขุ นิสัย และรกั การออกกำลังกาย 5. มีความรกั ชาติ มีจิตสานึกในความเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ยึดมน่ั ในวถิ ีชีวติ และการปกครองตาม ระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมขุ 6. มีจติ สานึกในการอนรุ ักษ์วฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาไทย การอนุรักษ์และพฒั นาสิ่งแวดล้อม มจี ติ สาธารณะท่ีมุ่งทำประโยชน์และสรา้ งสงิ่ ทดี่ งี ามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสงั คมอย่างมีความสขุ

3 สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐานมุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดงั นี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพ่ือ ขจดั และลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลอื กรบั หรือไม่รับข้อมูลขา่ วสารดว้ ยหลักเหตุผลและความ ถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและ สังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่าง สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพอื่ การตดั สนิ ใจเกย่ี วกับตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มา ใช้ในการป้องกนั และแก้ไขปัญหา และมีการตัดสนิ ใจที่มปี ระสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบทีเ่ กดิ ข้นึ ต่อตนเอง สังคมและสง่ิ แวดลอ้ ม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการ ดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกัน ในสงั คมดว้ ยการสรา้ งเสริมความสัมพันธอ์ นั ดรี ะหว่างบุคคล การจดั การปญั หาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่าง เหมาะสม การปรับตัวให้ทนั กับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดลอ้ ม และการรู้จักหลีกเลีย่ ง พฤตกิ รรมไม่พงึ ประสงค์ท่สี ่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อนื่ 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใชเ้ ทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมี ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ ถกู ต้องเหมาะสมและมีคณุ ธรรม

4 คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผูอ้ ื่นในสังคมได้อยา่ งมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทย และพลโลก ตามหลักสูตร แกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน ดงั น้ี 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หมายถึง มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย นิยมไทย ปฏิบัติตามคำสั่งสอน ของศาสนาเคารพเทิดทูนศาสนา แสดงความจงรักภักดี เทิดทูนพระเกียรติและพระราชกรณียกิจของ พระมหากษตั รยิ ์ 2. ซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติปฏิบตั ิอย่างเหมาะสม และตรงต่อความเปน็ จริงประพฤติปฏบิ ตั ิ อย่างตรงไปตรงมา ทั้งกาย วาจา ใจ ต่อตนเองและผู้อื่นรวมตลอดทั้งต่อหน้าที่การงานและคำม่ัน สัญญา ความประพฤติที่ตรงไปตรงมาและจรงิ ใจในสิ่งท่ีถกู ที่ควร ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมรวมไป ถึงการไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกงและไม่หลอกลวงนอกจากนี้แล้วความซื่อสัตย์สุจริตยังรวมไปถึงการ รักษาคำพูดหรือคำมั่นสัญญาและการปฏิบัติหน้าที่การงานของตนเองด้วยความรับผิดชอบและด้วย ความซื่อสัตย์ไม่แสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้องด้วยการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบซ่ึง ความซ่ือสตั ยส์ จุ ริตน้จี ะดำเนินไปด้วยความต้ังใจจริงเพื่อทำหนา้ ท่ีของตนเองใหส้ ำเรจ็ ลลุ ่วง ด้วยความ ระมดั ระวัง และเกดิ ผลดตี อ่ ตนเองและสงั คม 3. มีวินัย หมายถึง การควบคุมความประพฤติให้ถูกต้องและเหมาะสมกับจรรยามารยาท ข้อบังคับ ข้อตกลง กฎหมายและศีลธรรมการรู้จักควบคุมตนเองให้ประพฤติปฏิบัติตามข้อตกลง ข้อบังคับ ระเบียบแบบแผน และขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามย่อมนำมาซึ่งความสงบสุขในชีวิตของตน ความเปน็ ระเบยี บเรียบรอ้ ยของสังคมและประเทศชาติ 4. ใฝ่เรียนรู้ หมายถงึ การค้นควา้ หาความรหู้ รอื ส่ิงทีเ่ ป็นประโยชน์ เพือ่ พัฒนาตนเองอยเู่ สมอ 5. อยู่อย่างพอเพียง หมายถงึ การมคี วามพอดใี นการบริโภค ใช้ทรพั ยากรและเวลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ คำนึงถึงฐานะและเศรษฐกิจ คิดก่อนใช้จ่ายตามความเหมาะสมรู้จักการเพิ่มพูนทรัพย์ ด้วยการเก็บ และนำไปใช้ให้เกิดประโยชนด์ ูแลรกั ษาบูรณทรพั ย์ของตนเอง มีการเก็บออมเงนิ ไว้ตามสมควร 6. มุ่งมั่นในการทำงาน หมายถึง การศึกษาเรียนรู้เพือ่ หาข้อเท็จจริง ซึ่งอาจพัฒนาไปสูค่ วามจริงในส่งิ ที่ ต้องการเรียนรู้ หรือต้องการหาคำตอบเพื่อนำคำตอบที่ได้นั้นมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น การ ยกระดับความรกู้ ารนำไปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจำวนั หรือนำมาสรปุ เปน็ ความจรงิ ได้ 7. รักความเป็นไทย หมายถึง เข้าใจ หวงแหนความเป็นไทยซึ่งถือเป็นต้นทุนทางสังคมทำให้ทุกศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติโดยต้องมีการดำเนินชีวิตโดยกายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริตเป็น คุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสังคมและการมีปฏสิ ัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น ความมีกิริยามารยาท การ ปรบั ตัว ความตรงตอ่ เวลา ความสภุ าพ การมีสมั มาคารวะ การพูดจาไพเราะ และออ่ นนอ้ มถอ่ มตน

5 8. มีจิตสาธารณะ หมายถึง คุณลักษณะทางจิตใจของบุคคลเกี่ยวกับการมองเห็นคุณค่า หรือการให้ คุณค่าแก่การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งสาธารณะที่ไม่มีผู้ใดผู้ผู้หนึ่งเป็นเจ้าของ หรือเป็นสิ่งที่คนในสังคมเป็นเจ้าของร่วมกันเป็นสิ่งที่สามารถสังเกตได้จากความรู้สึกนึกคิด หรือการ กระทำที่แสดงออกมา ได้แก่ การหลีกเลี่ยงการใชห้ รือการกระทำทีจ่ ะทำให้เกิดความชำรุดเสียหายต่อ ส่วนรวมที่ใช้ประโยชนร์ ว่ มกันของกลุ่มการถือเปน็ หน้าที่ท่ีจะมีส่วนร่วมในการดแู ลรักษาของส่วนรวม ในวิสยั ทต่ี นสามารถทำได้ และการเคารพสิทธใิ นการใช้ของสว่ นรวมที่เปน็ ประโยชน์ร่วมกันของกลุม่ ทำไมตอ้ งเรียนวทิ ยาศาสตร์ การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุด เพื่อให้ได้ทั้ง กระบวนการและความรู้ จากวิธีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลที่ได้มาจัดระบบเป็น หลกั การ แนวคิด และองคค์ วามรู้ การจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตรจ์ ึงมเี ปา้ หมายที่สำคญั ดังนี้ 1. เพือ่ ใหเ้ ข้าใจหลกั การ ทฤษฎี และกฎทเ่ี ป็นพนื้ ฐานในวิชาวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อให้เขา้ ใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตร์และขอ้ จำกดั ในการศึกษาวชิ าวิทยาศาสตร์ 3. เพ่อื ใหม้ ที กั ษะที่สำคัญในการศึกษาค้นคว้าและคดิ คน้ ทางเทคโนโลยี 4. เพอ่ื ใหต้ ระหนกั ถงึ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนษุ ย์และสภาพแวดลอ้ ม ในเชงิ ทีม่ ีอิทธิพลและผลกระทบซงึ่ กันและกัน 5. เพื่อนำความรู้ ความเข้าใจ ในวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและ การดำรงชีวติ 6. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และการจัดการ ทักษะ ในการสือ่ สาร และความสามารถในการตัดสินใจ 7. เพ่ือให้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยอี ยา่ งสร้างสรรค์

6 เรยี นรู้อะไรในวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้ กับกระบวนการ มที ักษะสำคญั ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใชก้ ระบวนการในการสบื เสาะหาความรู้ และแกป้ ญั หาทีห่ ลากหลาย ใหผ้ ู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรทู้ กุ ข้ันตอน มกี ารทำกิจกรรมดว้ ยการลงมือปฏิบัติ จรงิ อยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดบั ชนั้ โดยกำหนดสาระสำคญั ดังน้ี ✧ วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ เรยี นรเู้ ก่ียวกบั ชวี ิตในสง่ิ แวดลอ้ ม องค์ประกอบของส่ิงมชี วี ิต การดำรงชีวิต ของมนุษย์และสัตว์ การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ สง่ิ มีชวี ติ ✧ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนท่ี พลังงาน และคล่ืน ✧ วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ เรยี นรเู้ ก่ียวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏสิ ัมพนั ธ์ ภายในระบบสรุ ิยะ เทคโนโลยอี วกาศ ระบบโลก การเปล่ียนแปลงทางธรณีวทิ ยา กระบวนการ เปล่ยี นแปลงลมฟ้าอากาศ และผลตอ่ สง่ิ มชี วี ิตและสิ่งแวดลอ้ ม ✧ เทคโนโลยี ●การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยวกับ เทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือ แกป้ ญั หาหรอื พัฒนางานอยา่ งมีความคดิ สร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยี อยา่ งเหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ชีวติ สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม ●วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับ การคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาเป็นขั้นตอนและ เป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการ แกป้ ญั หาทีพ่ บในชวี ิตจรงิ ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ

7 สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่ อ ทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อมแนวทางในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแกไ้ ขปญั หาสง่ิ แวดล้อม รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ ประโยชน์ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพนั ธกุ รรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มผี ลต่อสิ่งมชี วี ิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการ ของสง่ิ มชี วี ติ รวมทัง้ นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสมบัติของสสาร กบั โครงสรา้ งและแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งอนภุ าค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การ เกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ เคลือ่ นทแี่ บบต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง กบั เสยี ง แสง และคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และววิ ฒั นาการของเอกภพกาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองคป์ ระกอบและความสมั พนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการเปลีย่ นแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล ตอ่ สงิ่ มชี ีวติ และสิ่งแวดลอ้ ม

8 สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยเี พือ่ การดำรงชีวิตในสงั คมท่ีมกี ารเปลย่ี นแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือ พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบต่อชวี ติ สังคม และสิง่ แวดลอ้ ม มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใชแ้ นวคดิ เชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวติ จรงิ อย่างเป็น ขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงาน และการแก้ปัญหาได้ อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ร้เู ท่าทนั และมจี รยิ ธรรม ทกั ษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การศึกษาทางวิทยาศาสตร์คือ การศึกษาเกี่ยวกับทุก ๆ สิ่งที่อยู่รอบตัวอย่างมีระเบียบแบบแผน เพ่อื ใหไ้ ด้ข้อสรุปและสามารถนำความรู้ที่ได้มาอธบิ ายปัญหาต่าง ๆ ซงึ่ การจะตอบหรืออธิบายปัญหาท่ีสงสัยได้ นั้นจำเปน็ ต้องมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (science process skill) หมายถึง ความสามารถ และความ ชำนาญในการคิด เพอ่ื ค้นหาความรู้ และการแกไ้ ขปัญหา โดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อาทิ การสงั เกต การวัด การคำนวณ การจำแนก การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา การจัดกระทำ และสื่อความหมาย ข้อมูล การลงความคิดเห็น การพยากรณ์ การตั้งสมมติฐาน การกำหนดนิยาม การกำหนดตัวแปร การทดลอง การวเิ คราะห์ และแปรผลขอ้ มูล การสรุปผลขอ้ มูลไดอ้ ย่างรวดเรว็ ถกู ตอ้ ง และแม่นยำ ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ 13 ทักษะ แบ่งเปน็ 2 ระดบั คอื 1. ระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพนื้ ฐาน 8 ทักษะ เป็นทักษะเพ่ือการแสวงหา ความรู้ท่ัวไป ประกอบดว้ ย ทักษะที่ 1 การสังเกต (Observing) หมายถงึ การใชป้ ระสาทสัมผัสของรา่ งกายอย่างใดอย่างหน่ึงหรือ หลายอย่าง ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น กายสัมผัส เข้าสัมผัสกับวัตถุหรือเหตุการณ์เพื่อให้ทราบ และรับรู้ข้อมูล รายละเอียดของสิ่งเหล่านั้น โดยปราศจากความคิดเห็นส่วนตน ข้อมูลเหล่านี้จะประกอบด้วย ข้อมูลเชิง คณุ ภาพ เชงิ ปรมิ าณ และรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่เกดิ ขนึ้ จากการสังเกต ทักษะที่ 2 การวัด (Measuring) หมายถึง การใช้เครื่องมือสำหรับการวัดข้อมูลในเชิงปริมาณของสิ่ง ตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้ได้ข้อมูลเปน็ ตัวเลขในหน่วยการวัดที่ถูกต้อง แมน่ ยำได้ ท้งั นี้ การใช้เครื่องมือจำเป็นต้องเลือกใช้ ใหเ้ หมาะสมกบั สง่ิ ที่ต้องการวัด รวมถงึ เขา้ ใจวธิ กี ารวดั และแสดงขั้นตอนการวดั ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ทักษะ ที่ 3 การคำนวณ (Using numbers) หมายถึง การนบั จำนวนของวัตถุ และการนำตัวเลขที่ได้ จากนับ และตัวเลขจากการวดั มาคำนวณด้วยสูตรคณติ ศาสตร์ เชน่ การบวก การลบ การคณู การหาร เป็นต้น โดยการเกิดทักษะการคำนวณจะแสดงออกจากการนับที่ถูกต้อง ส่วนการคำนวณจะแสดงออกจากการเลือ ก สตู รคณิตศาสตร์ การแสดงวิธีคำนวณ และการคำนวณท่ีถกู ตอ้ ง แมน่ ยำ

9 ทักษะที่ 4 การจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การเรียงลำดับ และการแบ่งกลุ่มวัตถุหรือ รายละเอียดข้อมูลด้วยเกณฑ์ความแตกตา่ งหรือความสัมพนั ธใ์ ด ๆอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ทักษะที่ 5 การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา (Using space/Time relationships) สเปสของวัตถุ หมายถึง ท่วี ่างท่ีวัตถนุ น้ั ครองอยู่ ซ่ึงอาจมีรูปรา่ งเหมือนกันหรอื แตกต่างกับวัตถุ นั้น โดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 มิติ คือ ความกว้าง ความยาว และความสูง ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของ วตั ถุ ได้แก่ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง 3 มิติ กบั 2 มติ ิ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตำแหนง่ ท่ีอย่ขู องวัตถหุ นงึ่ กับวัตถหุ นงึ่ ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสของวัตถุกับเวลา ได้แก่ ความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของวัตถุกับ ช่วงเวลา หรอื ความสัมพันธ์ของสเปสของวัตถุที่เปลีย่ นไปกับช่วงเวลา ทักษะที่ 6 การจดั กระทำ และสอ่ื ความหมายข้อมูล (Communication) หมายถึง การนำข้อมูลท่ีได้ จากการสังเกต และการวัด มาจัดกระทำให้มีความหมาย โดยการหาความถี่ การเรียงลำดับ การจัดกลุ่ม การ คำนวณค่า เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายได้ดีขึ้น ผ่านการเสนอในรูปแบบของตาราง แผนภูมิ วงจร เขียนหรือ บรรยาย เปน็ ตน้ ทักษะที่ 7 การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มความคิดเห็นของตนต่อข้อมลู ท่ี ไดจ้ ากการสังเกตอยา่ งมีเหตผุ ลจากพน้ื ฐานความรูห้ รอื ประสบการณท์ ม่ี ี ทักษะที่ 8 การพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การทำนายหรือการคาดคะเนคำตอบ โดยอาศัย ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตหรือการทำซ้ำ ผ่านกระบวนการแปรความหายของข้อมูลจากสัมพันธ์ภายใต้ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ 2. ระดบั ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ น้ั บรู ณาการ 5 ทกั ษะ เป็นทักษะกระบวนการข้ันสูงที่ มีความซับซ้อนมากขึน้ เพือ่ แสวงหาความรู้ โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพืน้ ฐาน เป็นพน้ื ฐาน ในการพัฒนา ประกอบดว้ ย ทักษะที่ 9 การตั้งสมมติฐาน (Formulating hypotheses) หมายถึง การตั้งคำถามหรือคิดคำตอบ ล่วงหน้าก่อนการทดลองเพื่ออธิบายหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรโดย สมมติฐานสร้างขึ้นจะอาศัยการสังเกต ความรู้ และประสบการณ์ภายใต้หลักการ กฎ หรือทฤษฎีที่สามารถ อธบิ ายคำตอบได้ ทักษะที่ 10 การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining operationally) หมายถึง การกำหนด และ อธิบายความหมาย และขอบเขตของคำต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือการทดลองเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ตรงกันระหว่างบคุ คล ทักษะที่ 11 การกำหนด และควบคุมตัวแปร (Identifying and controlling variables) หมายถึง การบ่งชี้ และกำหนดลักษณะตัวแปรใด ๆให้เป็นเป็นตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น และตัวแปรใด ๆให้เป็นตัว แปรตาม และตวั แปรใด ๆให้เป็นตวั แปรควบคุม ทักษะท่ี 12 การทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏบิ ัติ และทำซำ้ ในขนั้ ตอนเพ่ือหา คำตอบจากสมมตฐิ าน แบง่ เป็น 3 ขน้ั ตอน คอื

10 1. การออกแบบการทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองก่อนการทดลองจรงิ ๆ เพอื่ กำหนดวิธกี าร และขัน้ ตอนการทดลองทสี่ ามารถดำเนินการได้จริง รวมถงึ วธิ กี ารแก้ไขปัญหาอปุ สรรคท่ีอาจเกิดขนึ้ ขณะทำ การทดลองเพ่ือให้การทดลองสามารถดำเนินการใหส้ ำเรจ็ ลุลว่ งด้วยดี 2. การปฏิบัติการทดลอง หมายถงึ การปฏบิ ัติการทดลองจรงิ 3. การบนั ทกึ ผลการทดลอง หมายถงึ การจดบนั ทึกข้อมูลที่ได้จากการทดลองซ่ึงอาจเป็นผลจากการ สงั เกต การวัดและอื่น ๆ ทักษะที่ 13 การตีความหมายข้อมูล และการลงข้อมูล (Interpreting data and conclusion) หมายถึง การแปรความหมายหรือการบรรยายลักษณะและสมบัติของข้อมูลที่มีอยู่ การตีความหมายข้อมูลใน บางคร้ังอาจตอ้ งใชท้ ักษะอ่นื ๆ เช่น ทักษะการสังเกต ทักษะการคำนวณ คณุ ภาพผเู้ รยี น • รายวชิ าพน้ื ฐาน จบช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ❖ เข้าใจลกั ษณะทวั่ ไปของสิง่ มชี ีวิตและการดำรงชวี ติ ของสง่ิ มีชวี ิตรอบตวั ❖ เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุที่ใช้ทำวัตถุ และการเปลี่ยนแปลง ของวัสดรุ อบตัว ❖ เข้าใจการดึง การผลกั แรงแม่เหล็ก และผลของแรงที่มีต่อการเปลย่ี นแปลง การเคล่ือนท่ีของวัตถุ พลังงานไฟฟ้า และการผลิตไฟฟ้า การเกดิ เสียง แสงและการมองเห็น ❖ เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์การขึ้นและตก ของดวง อาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน การกำหนดทิศ ลักษณะของหิน การจำแนกชนิดดิน และการใช้ประโยชน์ ลกั ษณะและความสำคญั ของอากาศ การเกดิ ลม ประโยชน์และโทษของลม ❖ ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ สังเกต สำรวจตรวจสอบโดยใชเ้ ครื่องมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมลู บันทึก และอธิบายผลการสำรวจ ตรวจสอบด้วยการ เขียนหรือวาดภาพ และสื่อสารส่ิงทีเ่ รียนรดู้ ้วยการเลา่ เรอื่ ง หรือด้วยการแสดง ทา่ ทางเพอื่ ให้ผู้อ่ืนเข้าใจ ❖ แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการ สอ่ื สารเบอื้ งต้น รกั ษาข้อมูลส่วนตวั ❖ แสดงความกระตือรือรน้ สนใจทจี่ ะเรียนรูม้ ีความคิดสร้างสรรค์เก่ยี วกบั เร่ืองทจ่ี ะศึกษาตามที่ กำหนดใหห้ รือตามความสนใจ มีสว่ นรว่ มในการแสดงความคดิ เห็นและยอมรบั ฟงั ความคิดเห็นผ้อู นื่

11 ❖ แสดงความรบั ผดิ ชอบดว้ ยการทำงานท่ไี ด้รบั มอบหมายอย่างมุ่งมัน่ รอบคอบ ประหยดั ซ่ือสตั ย์ จนงานลุลว่ งเป็นผลสำเรจ็ และทำงานร่วมกับผ้อู ืน่ อย่างมคี วามสขุ ❖ ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของการใช้ความรแู้ ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ในการ ดำรงชีวิต ศกึ ษา หาความรู้เพ่ิมเตมิ ทำโครงงานหรือชน้ิ งานตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ จบชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6 ❖ เข้าใจโครงสรา้ ง ลกั ษณะเฉพาะการปรบั ตวั ของสิ่งมชี ีวิต รวมทงั้ ความสมั พนั ธ์ของ สง่ิ มชี วี ติ ใน แหล่งทอ่ี ยู่ การทำหน้าท่ีของส่วนตา่ ง ๆ ของพืช และการทำงานของระบบย่อยอาหาร ของมนุษย์ ❖ เข้าใจสมบัติและการจำแนกกล่มุ ของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสาร การละลาย การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงที่ผนั กลับได้และผนั กลบั ไม่ได้ และการแยกสาร อยา่ งง่าย ❖ เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถว่ งของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟา้ และ ผลของแรงตา่ ง ๆ ผลท่เี กดิ จากแรงกระทำต่อวัตถุ ความดัน หลักการทม่ี ีต่อวตั ถุ วงจรไฟฟา้ อย่างงา่ ย ปรากฏการณเ์ บ้อื งต้นของ เสียง และแสง ❖ เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกตา่ งของ ดาวเคราะหแ์ ละดาวฤกษ์ การ ขน้ึ และตกของกล่มุ ดาวฤกษ์ การใช้แผนทดี่ าว การเกดิ อุปราคา พฒั นาการและประโยชนข์ องเทคโนโลยีอวกาศ ❖ เข้าใจลักษณะของแหล่งน้ำ วัฏจักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง น้ำค้างแข็ง หยาดน้ำ ฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิด ซากดึกดำบรรพ์ การเกิดลมบก ลม ทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและผลกระทบของปรากฏการณ์ เรือนกระจก ❖ คน้ หาข้อมูลอย่างมปี ระสิทธภิ าพและประเมนิ ความน่าเชือ่ ถอื ตดั สินใจเลือกข้อมูลใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรกะในการแก้ปญั หา ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการทำงานรว่ มกนั เข้าใจสิทธิและหนา้ ที่ของ ตน เคารพสทิ ธิของผู้อื่น ❖ ตัง้ คำถามหรือกำหนดปญั หาเกย่ี วกบั สง่ิ ที่จะเรียนร้ตู ามทีก่ ำหนดให้หรือตามความสนใจ คาดคะเน คำตอบหลายแนวทาง สรา้ งสมมติฐานท่ีสอดคล้องกับคำถามหรือปญั หา ที่จะสำรวจตรวจสอบ วางแผนและ สำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมอื อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ทเ่ี หมาะสม ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลทง้ั เชิงปริมาณและคณุ ภาพ ❖ วิเคราะหข์ ้อมูล ลงความเหน็ และสรุปความสมั พนั ธข์ องข้อมูลที่มาจากการสำรวจตรวจสอบใน รปู แบบที่เหมาะสม เพ่ือส่อื สารความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบได้อย่างมี เหตผุ ลและหลกั ฐานอา้ งองิ

12 ❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตาม ความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มี หลักฐานอ้างอิง และรับฟังความ คิดเห็นผู้อ่นื ❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่นรอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนงานลุล่วงเป็นผลสำเรจ็ และทำงานร่วมกับผู้อ่นื อยา่ งสร้างสรรค์ ❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และ กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงาน ของผู้คิดค้นและศึกษาหา ความร้เู พิ่มเติม ทำโครงงานหรือชน้ิ งานตามทก่ี ำหนดให้หรือตามความสนใจ ❖ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูแลรักษา ทรัพยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดล้อมอยา่ งรู้คณุ คา่

13 ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต กับ สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การ เปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมาย ของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม รวมทั้งนำความรู้ ไปใช้ประโยชน์ ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ป.1 1. ระบุชื่อพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่ • บริเวณตา่ ง ๆ ในท้องถนิ่ เชน่ สนามหญ้า ใต้ตน้ ไม้ บริเวณต่าง ๆจากขอ้ มูลทรี่ วบรวม สวนหยอ่ ม แหล่งน้ำ อาจพบพืชและสตั ว์หลายชนดิ ได้ อาศยั อยู่ 2 . บ อ ก ส ภ า พ แ ว ด ล ้ อ ม ท่ี • บรเิ วณทีแ่ ตกต่างกันอาจพบพืชและสัตวแ์ ตกต่างกนั เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของ เพราะสภาพแวดลอ้ มของแต่ละบรเิ วณจะมี สัตว์ในบริเวณทีอ่ าศยั อยู่ ความเหมาะสมตอ่ การดำรงชีวิตของพชื และสตั ว์ ท่อี าศยั อยู่ในแต่ละบริเวณ เช่น สระน้ำ มีน้ำเป็น ท่อี ยู่อาศยั ของหอย ปลา สาหร่าย เปน็ ทีห่ ลบภัย และมแี หล่งอาหารของหอยและปลา บริเวณ ต้นมะมว่ งมีตน้ มะมว่ งเปน็ แหล่งที่อยู่ และมีอาหาร สำหรับกระรอกและมด • ถา้ สภาพแวดลอ้ มในบริเวณทพี่ ืชและสัตวอ์ าศยั อยู่ มีการเปลี่ยนแปลง จะมผี ลต่อการดำรงชวี ิตของ พชื และสตั ว์ ป.2 - - ป.3 - - ป.4 - - ป.5 1. บรรยายโครงสร้างและ • สิง่ มีชวี ิตท้ังพืชและสตั วม์ ีโครงสร้างและลกั ษณะท่เี หมาะสม ลกั ษณะของส่งิ มชี ีวิตทเ่ี หมาะสม ในแตล่ ะแหลง่ ที่อยู่ ซง่ึ เป็นผลมาจากการปรับตัวของสง่ิ มชี ีวติ กบั การดำรงชวี ติ ซง่ึ เป็นผลมา เพ่อื ให้ดำรงชีวติ และอยรู่ อดไดใ้ นแต่ละแหลง่ ท่อี ยู่ เชน่ จากการปรบั ตัวของสิง่ มชี ีวิตใน ผกั ตบชวามีช่องอากาศในก้านใบ ช่วยใหล้ อยน้ำได้ ตน้ แตล่ ะแหลง่ ท่ีอยู่ โกงกางที่ข้ึนอยู่ในป่าชายเลนมีรากคำ้ จุนทำให้ลำตน้

14 ชนั้ ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 2. อธิบายความสัมพนั ธร์ ะหว่าง ไม่ล้ม ปลามีครีบช่วยในการเคลอื่ นที่ในน้ำ สง่ิ มชี วี ิตกับสิ่งมชี ีวติ และ • ในแหล่งทีอ่ ย่หู นง่ึ ๆ ส่ิงมีชีวิตจะมีความสัมพันธ์ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสิง่ มีชวี ิต ซ่งึ กนั และกันและสมั พันธ์กบั สง่ิ ไมม่ ีชีวิต เพื่อประโยชน์ตอ่ กับสงิ่ ไม่มชี วี ติ เพ่อื ประโยชนต์ ่อ การดำรงชีวติ เชน่ ความสมั พันธ์กนั การดำรงชวี ติ ด้านการกินกนั เป็นอาหาร เป็นแหลง่ ทีอ่ ยู่อาศัยหลบภยั และ 3. เขยี นโซ่อาหารและระบุ เลีย้ งดูลูกออ่ น ใช้อากาศในการหายใจ บทบาทหน้าท่ีของสิ่งมีชีวิตทีเ่ ป็น • สง่ิ มชี ีวติ มีการกินกันเป็นอาหาร โดยกินต่อกนั เป็นทอด ๆ ใน ผผู้ ลิตและผู้บริโภคในโซอ่ าหาร รูปแบบของโซ่อาหาร ทำให้สามารถระบบุ ทบาทหนา้ ที่ของ 4. ตระหนกั ในคุณคา่ ของ สิง่ มชี ีวติ เปน็ ผ้ผู ลิตและผูบ้ ริโภค ส่งิ แวดล้อมทีม่ ีตอ่ การดำรงชีวิต ของสงิ่ มีชวี ิต โดยมสี ว่ นรว่ มใน การดแู ลรกั ษาสิง่ แวดล้อม ป.6 - -

15 สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสิ่งมีชวี ิต หนว่ ยพ้ืนฐานของสงิ่ มชี ีวติ การลำเลยี งสารเขา้ และออกจาก เซลล์ ความสัมพนั ธ์ของโครงสร้างและหนา้ ท่ีของระบบตา่ ง ๆ ของสตั ว์และมนุษย์ท่ีทำงานสัมพันธ์กนั ความสมั พันธ์ของโครงสรา้ งและหนา้ ที่ ของอวัยวะตา่ ง ๆ ของพชื ที่ทำงานสัมพนั ธก์ ัน รวมทง้ั นำความร้ไู ปใช้ ประโยชน์ ช้นั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.1 1. ระบุชือ่ บรรยายลกั ษณะและ • มนษุ ย์มีส่วนต่าง ๆ ที่มลี กั ษณะและหนา้ ท่ีแตกตา่ งกัน บอกหนา้ ที่ของสว่ นต่าง ๆ ของ เพื่อให้เหมาะสมในการดำรงชีวติ เชน่ ตามหี น้าท่ีไวม้ องดู โดย รา่ งกายมนุษย์ สัตว์ และพชื มีหนังตาและขนตา เพ่ือป้องกันอันตรายใหก้ ับตา หมู หี น้าที่ รวมท้งั บรรยายการทำหนา้ ท่ี รับฟังเสียงโดยมใี บหแู ละรูหู เพอ่ื เปน็ ทางผ่านของเสียง ปาก รว่ มกนั ของส่วนต่าง ๆ ของ มหี นา้ ทพี่ ดู กนิ อาหาร มชี อ่ งปากและมีรมิ ฝีปากบนล่าง แขน ร่างกายมนษุ ย์ในการทำกจิ กรรม และมือมหี นา้ ท่ยี ก หยบิ จับมีท่อนแขนและนิ้วมือที่ขยบั ได้ ต่างๆจากข้อมลู ที่รวบรวมได้ สมองมีหน้าที่ ควบคุมการทำงานของส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย 2. ตระหนักถึงความสำคญั ของ อยใู่ นกะโหลกศรี ษะ โดยสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายจะทำหน้าที่ สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายตนเอง ร่วมกันในการทำกจิ กรรมในชีวติ ประจำวัน โดยการดแู ลสว่ นตา่ ง ๆ อยา่ ง • สัตว์มหี ลายชนดิ แตล่ ะชนิดมสี ่วนต่าง ๆ ทม่ี ีลักษณะและ หน้าทแ่ี ตกต่างกนั เพือ่ ใหเ้ หมาะสมในการดำรงชวี ติ เชน่ ถูกต้อง ใหป้ ลอดภัย และ ปลามีครบี เป็นแผน่ ส่วนกบเต่า แมว มีขา 4 ขา และมีเทา้ รกั ษาความสะอาด อยู่เสมอ สำหรับใชใ้ นการเคลื่อนท่ี • พืชมีสว่ นต่าง ๆ ท่มี ีลักษณะและหนา้ ท่แี ตกตา่ งกนั เพ่ือให้ เหมาะสมในการดำรงชีวติ โดยทัว่ ไป รากมลี ักษณะเรยี วยาว และแตกแขนงเปน็ รากเลก็ ๆทำหนา้ ที่ดูดนำ้ ลำต้นมีลกั ษณะ เปน็ ทรงกระบอกตัง้ ตรงและมีกง่ิ กา้ น ทำหน้าทช่ี ูกิ่งกา้ น ใบ และดอก ใบมีลักษณะเป็นแผ่นแบน ทำหน้าที่สรา้ งอาหาร นอกจากนพี้ ชื หลายชนิด อาจมดี อกทีม่ สี ี รูปรา่ งต่าง ๆ ทำ หนา้ ที่สบื พันธ์ุ รวมทัง้ มผี ลท่ีมีเปลอื ก มเี นื้อห่อหุ้มเมล็ด และ มเี มลด็ ซึง่ สามารถงอกเป็นตน้ ใหมไ่ ด้ •มนุษยใ์ ชส้ ว่ นต่าง ๆ ของร่างกายในการทำกิจกรรมตา่ ง ๆ เพอื่ การดำรงชวี ิต มนษุ ยจ์ งึ ควรใช้ส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย อย่างถูกต้อง ปลอดภัยและรกั ษาความสะอาดอยู่เสมอ เช่น ใช้ตามองตวั หนงั สือในที่ทม่ี แี สงสว่างเพยี งพอ ดูแลตาให้ ปลอดภยั จากอนั ตราย และรักษาความสะอาดตาอยเู่ สมอ

16 ชน้ั ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 1. ระบุว่าพชื ต้องการแสงและนำ้ • พชื ตอ้ งการน้ำ แสง เพ่ือการเจรญิ เตบิ โต เพอ่ื การเจรญิ เตบิ โต โดยใช้ข้อมลู • พืชดอกเม่ือเจรญิ เติบโตและมีดอก ดอกจะมีการสบื พันธุ์ จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ เปล่ยี นแปลงไปเปน็ ผล ภายในผลมีเมล็ดเม่ือเมล็ดงอก ตน้ 2. ตระหนกั ถงึ ความจำเปน็ ท่ีพชื อ่อนท่ีอยูภ่ ายในเมลด็ จะเจรญิ เติบโตเป็นพืชต้นใหม่ พืชต้น ป.2 ตอ้ งได้รับนำ้ และแสงเพ่ือการ ใหมจ่ ะเจรญิ เติบโตออกดอกเพอื่ สบื พนั ธ์มุ ผี ลตอ่ ไปได้อกี เจรญิ เตบิ โต โดยดแู ลพืชใหไ้ ด้รบั หมนุ เวียนต่อเนอื่ งเป็นวฏั จักรชีวติ ของพืชดอก สิ่งดังกลา่ วอยา่ งเหมาะสม 3. สร้างแบบจำลองที่บรรยายวฏั จกั รชีวติ ของพชื ดอก 1. บรรยายสิ่งที่จำเป็นตอ่ การ • มนุษยแ์ ละสตั ว์ตอ้ งการอาหาร นำ้ และอากาศ ดำรงชวี ติ และการเจรญิ เตบิ โต เพื่อการดำรงชวี ิตและการเจริญเติบโต ของมนษุ ยแ์ ละสตั ว์ โดยใช้ข้อมูล • อาหารชว่ ยใหร้ ่างกายแข็งแรงและเจริญเตบิ โต ท่ีรวบรวมได้ น้ำช่วยใหร้ า่ งกายทำงานได้อย่างปกติ อากาศใช้ 2. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ อง ในการหายใจ อาหาร น้ำ และอากาศโดยการ • สตั ว์เมือ่ เป็นตัวเต็มวยั จะสืบพนั ธม์ุ ลี ูก เมื่อลกู ดูแลตนเองและสตั ว์ใหไ้ ด้รบั สิ่ง เจรญิ เตบิ โตเปน็ ตัวเต็มวยั กส็ ืบพนั ธุ์มีลูกต่อไปได้อีก ป.3 เหลา่ นีอ้ ย่างเหมาะสม หมุนเวียนตอ่ เนื่องเป็นวฏั จกั รชวี ติ ของสัตว์ซ่ึงสัตว์แต่ละ 3. สร้างแบบจำลองท่ีบรรยายวฏั ชนดิ เช่น ผเี สอ้ื กบ ไก่ มนุษยจ์ ะมวี ัฏจักรชวี ิตท่ีเฉพาะและ จักรชวี ิตของสตั วแ์ ละ แตกตา่ งกนั เปรียบเทยี บวฏั จักรชีวติ ของสัตว์ บางชนดิ 4. ตระหนกั ถงึ คณุ คา่ ของชีวติ สตั ว์ โดยไม่ทำใหว้ ฏั จักรชีวิตของ สัตวเ์ ปลี่ยนแปลง 1. บรรยายหนา้ ท่ขี องราก ลำต้น • ส่วนตา่ ง ๆ ของพืชดอกทำหนา้ ทีแ่ ตกต่างกัน ใบ และดอกของพืชดอก โดยใช้ - รากทำหนา้ ทีด่ ดู นำ้ และธาตุอาหารขึ้นไปยังลำต้น ป.4 ข้อมูลท่รี วบรวมได้ - ลำตน้ ทำหนา้ ทล่ี ำเลยี งน้ำต่อไปยังส่วนตา่ ง ๆของพืช - ใบทำหนา้ ท่สี ร้างอาหาร อาหารที่พชื สรา้ งข้นึ คือ น้ำตาล ซง่ึ จะเปลย่ี นเป็นแป้ง - ดอกทำหนา้ ทส่ี ืบพันธ์ุ ประกอบดว้ ยสว่ นประกอบตา่ ง ๆ

17 ช้ัน ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ไดแ้ ก่ กลบี เล้ียง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมยี ซงึ่ สว่ นประกอบ แต่ละส่วนของดอกทำหนา้ ที่แตกต่างกนั ป.5 - - ป.6 1. ระบุสารอาหารและบอก • สารอาหารทอ่ี ยู่ในอาหารมี 6 ประเภท ไดแ้ ก่ ประโยชนข์ องสารอาหารแตล่ ะ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมนั เกลือแร่ วติ ามินและนำ้ ประเภทจากอาหารทตี่ นเอง • อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยสารอาหารท่ีแตกต่างกัน รบั ประทาน อาหารบางอยา่ งประกอบด้วยสารอาหารประเภทเดียว อาหาร 2. บอกแนวทางในการเลือก บางอยา่ งประกอบดว้ ยสารอาหารมากกวา่ หน่งึ ประเภท รับประทานอาหารให้ได้ • สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ตอ่ ร่างกายแตกตา่ ง สารอาหารครบถว้ น ในสดั สว่ นที่ กนั โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตนี และไขมันเป็นสารอาหารท่ีให้ เหมาะสมกบั เพศและวัย รวมทงั้ พลังงานแกร่ ่างกาย ส่วนเกลือแรว่ ติ ามนิ และนำ้ เปน็ ความปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ สารอาหารทไี่ ม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ชว่ ยใหร้ า่ งกาย 3. ตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของ ทำงานได้เปน็ ปกติ สารอาหาร โดยการเลือก • การรบั ประทานอาหาร เพื่อใหร้ ่างกายเจริญเติบโต มีการ รบั ประทานอาหารที่มีสารอาหาร เปลยี่ นแปลงของร่างกายตามเพศและวยั และมสี ุขภาพดี ครบถว้ นในสัดสว่ นทเ่ี หมาะสมกบั จำเป็นตอ้ งรบั ประทานให้ได้พลงั งานเพยี งพอกับความต้องการ เพศและวัย รวมท้งั ปลอดภยั ต่อ ของรา่ งกายและให้ไดส้ ารอาหารครบถ้วน ในสดั ส่วนที่ สุขภาพ เหมาะสมกบั เพศและวัย รวมทัง้ ต้องคำนงึ ถงึ ชนิดและ 4. สร้างแบบจำลองระบบยอ่ ย ปริมาณของวัตถุเจือปนในอาหารเพ่ือความปลอดภัยต่อ อาหาร และบรรยายหนา้ ทีข่ อง สขุ ภาพ อวัยวะในระบบย่อยอาหาร • ระบบยอ่ ยอาหารประกอบด้วยอวัยวะตา่ ง ๆ ได้แก่ รวมท้งั อธิบายการยอ่ ยอาหาร ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไสเ้ ล็ก ลำไส้ใหญ่ และการดดู ซมึ สารอาหาร ทวารหนัก ตบั และตับออ่ น ซึ่งทำหน้าทีร่ ว่ มกันในการย่อย 5. ตระหนักถึงความสำคญั ของ และดดู ซึมสารอาหาร ระบบยอ่ ยอาหาร โดยการบอก - ปากมีฟันช่วยบดเคี้ยวอาหารใหม้ ขี นาดเลก็ ลง และมี แนวทางในการดูแลรักษาอวยั วะ ลนิ้ ช่วยคลกุ เคลา้ อาหารกับน้ำลายในนำ้ ลายมเี อนไซม์ ในระบบย่อยอาหารให้ทำงานเป็น ยอ่ ยแปง้ ใหเ้ ป็นนำ้ ตาล ปกติ - หลอดอาหารทำหน้าท่ีลำเลียงอาหารจากปาก ไปยงั กระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหาร มีการย่อยโปรตนี โดยกรดและเอนไซม์ทสี่ รา้ ง

18 ช้นั ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง จากกระเพาะอาหาร - ลำไส้เล็กมีเอนไซม์ที่สร้างจากผนังลำไสเ้ ล็กเองและจากตบั อ่อนที่ช่วยย่อยโปรตนี คาร์โบไฮเดรต และไขมนั โดย โปรตนี คาร์โบไฮเดรต และไขมันทผ่ี ่านการย่อยจนเปน็ สารอาหารขนาดเล็กพอทีจ่ ะดูดซึมได้ รวมถึงนำ้ เกลือแร่ และวิตามินจะถกู ดดู ซึมทผ่ี นงั ลำไส้เลก็ เข้าส่กู ระแสเลือด เพอื่ ลำเลียงไปยังสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกาย ซ่ึงโปรตีน คารโ์ บไฮเดรต และไขมัน จะถูกนำไปใช้เปน็ แหล่งพลังงาน สำหรบั ใชใ้ นกิจกรรมต่าง ๆ สว่ นนำ้ เกลอื แร่ และวติ ามนิ จะช่วยให้รา่ งกายทำงานได้เป็นปกติ - ตับสร้างน้ำดแี ลว้ สง่ มายังลำไสเ้ ล็กชว่ ยให้ไขมันแตกตัว - ลำไส้ใหญ่ทำหน้าที่ดดู น้ำและเกลือแร่ เปน็ บรเิ วณที่มี อาหารท่ยี ่อยไมไ่ ดห้ รือยอ่ ยไม่หมดเป็นกากอาหาร ซึ่งจะถกู กำจดั ออกทางทวารหนัก • อวยั วะตา่ ง ๆ ในระบบย่อยอาหารมีความสำคญั

19 สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.3 เขา้ ใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพนั ธุกรรมทม่ี ีผลตอ่ ส่งิ มชี วี ติ ความหลากหลาย ทางชีวภาพและววิ ัฒนาการของส่ิงมีชีวิต รวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ช้นั ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.1 - - 1. เปรียบเทยี บลกั ษณะของ • สิ่งท่อี ยรู่ อบตวั เรามีท้งั ที่เปน็ ส่ิงมีชีวิตและสิง่ ไม่มชี วี ติ ส่ิงมีชีวิตต้องการอาหาร มีการหายใจเจริญเติบโต ขับถ่าย ป.2 ส่ิงมชี วี ติ และส่งิ ไม่มีชีวิต จาก เคล่ือนไหว ตอบสนองต่อสิ่งเรา้ และสบื พนั ธ์ไุ ดล้ ูกทมี่ ีลักษณะ ขอ้ มลู ทีร่ วบรวมได้ คล้ายคลงึ กบั พ่อแม่ ส่วนส่งิ ไม่มีชีวติ จะไม่มีลกั ษณะดังกล่าว ป.3 - - 1. จำแนกสง่ิ มีชวี ติ โดยใชค้ วาม • สิง่ มีชีวติ มหี ลายชนิด สามารถจดั กลุ่มได้ โดยใชค้ วาม เหมือน และความแตกตา่ งของ เหมือนและความแตกต่างของลักษณะต่าง ๆเชน่ กลมุ่ พืช ลกั ษณะของส่งิ มชี ีวติ ออกเปน็ สร้างอาหารเองได้ และเคลื่อนทดี่ ว้ ยตนเองไม่ได้ กลุ่มสัตว์กนิ กลุ่มพืช กลุม่ สตั ว์ และกลุม่ ท่ี ส่งิ มีชวี ติ อน่ื เปน็ อาหารและเคลอื่ นทไี่ ด้ กลุ่มท่ีไม่ใช่พชื และ ไม่ใชพ่ ชื และสัตว์ สัตว์ เชน่ เห็ด รา จลุ นิ ทรีย์ 2. จำแนกพืชออกเปน็ พชื ดอก • การจำแนกพชื สามารถใช้การมีดอกเปน็ เกณฑ์ และพืชไม่มีดอกโดยใช้การมีดอก ในการจำแนก ไดเ้ ปน็ พืชดอกและพืชไม่มดี อก เปน็ เกณฑ์ โดยใชข้ ้อมลู ท่ี • การจำแนกสัตว์ สามารถใช้การมีกระดกู สนั หลงั ป.4 รวบรวมได้ เป็นเกณฑ์ในการจำแนก ได้เป็นสตั วม์ ีกระดูกสันหลัง 3. จำแนกสตั ว์ออกเปน็ สตั วม์ ี และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลงั กระดูกสันหลงั และสตั ว์ไมม่ ี • สัตวม์ ีกระดูกสนั หลงั มีหลายกลมุ่ ไดแ้ ก่ กลุ่มปลา กระดูกสนั หลัง โดยใชก้ ารมีกระดูก กลุ่มสัตวส์ ะเทินนำ้ สะเทินบก กลุ่มสัตวเ์ ล้ือยคลาน สันหลงั เป็นเกณฑ์ โดยใชข้ ้อมูลที่ กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลกู ด้วยนำ้ นม ซ่งึ แตล่ ะกลุม่ รวบรวมได้ จะมีลักษณะเฉพาะทส่ี งั เกตได้ 4. บรรยายลกั ษณะเฉพาะท่ี สังเกตได้ของสัตวม์ กี ระดกู สัน หลงั ในกลุ่มปลา กลมุ่ สตั วส์ ะเทนิ น้ำสะเทนิ บก กลุ่ม สตั วเ์ ลือ้ ยคลาน กลุ่มนก และ

20 ชน้ั ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สัตวเ์ ลีย้ งลูกด้วยน้ำนม และ ยกตวั อยา่ งส่งิ มชี ีวิตในแต่ละกลุ่ม ป.5 1. อธบิ ายลักษณะทางพนั ธกุ รรม • ส่ิงมชี วี ิตทงั้ พชื สตั ว์ และมนุษย์ เม่อื โตเต็มทจ่ี ะมกี าร ที่มีการถา่ ยทอดจากพ่อแมส่ ลู่ ูก สืบพันธ์เุ พ่อื เพม่ิ จำนวนและดำรงพันธ์ุ โดยลกู ท่ีเกิดมาจะ ของพชื สตั ว์ และมนษุ ย์ ได้รับการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมจากพ่อแม่ทำให้มี 2. แสดงความอยากรอู้ ยากเห็น ลักษณะทางพันธุกรรมท่เี ฉพาะแตกต่างจากส่ิงมชี ีวติ ชนิดอื่น โดยการถามคำถามเกย่ี วกบั • พชื มกี ารถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เชน่ ลกั ษณะของ ลักษณะที่คลา้ ยคลึงกนั ของ ใบ สีดอก ตนเองกับพ่อแม่ • สัตวม์ กี ารถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม เช่นสีขน ลกั ษณะของขน ลกั ษณะของหู • มนษุ ย์มีการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม เชน่ เชิงผมท่ี หนา้ ผาก ลักย้มิ ลักษณะหนังตา การห่อลิ้นลักษณะของตง่ิ หู ป.6 - -

21 สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสมบตั ิ ของสสารกับ โครงสร้างและแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.1 1. อธบิ ายสมบัตทิ ส่ี ังเกตได้ของ • วสั ดุท่ใี ชท้ ำวัตถุท่เี ปน็ ของเล่น ของใช้ มหี ลายชนดิ วสั ดุที่ใชท้ ำวัตถุซึง่ ทำจากวสั ดุชนิด เชน่ ผา้ แก้ว พลาสตกิ ยาง ไม้ อิฐ หนิ กระดาษโลหะ วสั ดุ เดียวหรือหลายชนดิ ประกอบกัน แตล่ ะชนิดมสี มบัติทสี่ ังเกตได้ต่าง ๆเชน่ สี นมุ่ แขง็ ขรขุ ระ โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ เรยี บ ใส ข่นุ ยืดหดได้บิดงอได้ 2. ระบุชนดิ ของวสั ดแุ ละจดั กลุ่ม • สมบัติท่สี งั เกตได้ของวสั ดแุ ต่ละชนิดอาจเหมอื นกัน วัสดตุ ามสมบัตทิ ่สี ังเกตได้ ซง่ึ สามารถนำมาใช้เปน็ เกณฑ์ในการจัดกลุ่มวัสดุได้ • วัสดบุ างอย่างสามารถนำมาประกอบกัน เพือ่ ทำเป็นวัตถตุ า่ ง ๆ เชน่ ผ้าและกระดมุ ใชท้ ำเสื้อไม้และ โลหะ ใช้ทำกระทะ 1. เปรยี บเทยี บสมบตั กิ ารดดู ซบั • วัสดแุ ตล่ ะชนิดมีสมบัติการดูดซับนำ้ แตกตา่ งกัน น้ำของวัสดุโดยใช้หลกั ฐานเชิง ประจักษ์ และระบุการนำสมบัติ จงึ นำไปทำวัตถเุ พ่ือใช้ประโยชน์ได้แตกตา่ งกัน เชน่ ใชผ้ า้ ที่ ดดู ซับน้ำได้มากทำผา้ เช็ดตัว ใชพ้ ลาสตกิ ซึง่ ไม่ดูดซบั นำ้ ทำ การดูดซับนำ้ ของวัสดุไป รม่ ประยุกต์ใชใ้ นการทำวัตถุใน • วัสดุบางอย่างสามารถนำมาผสมกนั ซงึ่ ทำใหไ้ ดส้ มบัตทิ ่ี ชีวิตประจำวัน เหมาะสม เพ่อื นำไปใช้ประโยชนต์ ามตอ้ งการ เชน่ แป้งผสม 2. อธบิ ายสมบัตทิ ส่ี งั เกตได้ของ นำ้ ตาลและกะทิ ใชท้ ำขนมไทย ปนู ปลาสเตอรผ์ สมเยื่อ วสั ดุที่เกดิ จากการนำวัสดุมาผสม กระดาษใชท้ ำกระปุกออมสนิ ปูนผสมหนิ ทราย และนำ้ ใช้ ป.2 กันโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ทำคอนกรีต 3. เปรยี บเทยี บสมบัตทิ ส่ี งั เกตได้ • การนำวสั ดมุ าทำเปน็ วตั ถใุ นการใช้งานตามวัตถุประสงค์ ของวัสดุ เพ่ือนำมาทำเปน็ วตั ถใุ น ขึน้ อยู่กับสมบตั ขิ องวัสดุ วัสดทุ ่ใี ชแ้ ล้วอาจนำกลบั มาใชใ้ หม่ การใชง้ านตามวัตถปุ ระสงค์ ได้ เชน่ กระดาษใช้แล้วอาจนำมาทำเปน็ จรวดกระดาษ และอธบิ ายการนำวสั ดุทใ่ี ช้ ดอกไมป้ ระดษิ ฐ์ถุงใสข่ อง แล้วกลบั มาใชใ้ หม่โดยใช้ หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ 4. ตระหนักถงึ ประโยชนข์ องการ นำวัสดุท่ใี ชแ้ ลว้ กลบั มาใช้ใหม่

22 ชัน้ ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง โดยการนำวัสดุทใ่ี ชแ้ ล้วกลับมา ใช้ใหม่ 1. อธิบายวา่ วตั ถปุ ระกอบขนึ้ จาก • วัตถุอาจทำจากชิน้ สว่ นย่อย ๆ ซงึ่ แต่ละชนิ้ ชิ้นส่วนยอ่ ย ๆซ่งึ สามารถแยก มีลักษณะเหมือนกันมาประกอบเข้าดว้ ยกนั เมือ่ แยกช้ิน ออกจากกันได้และประกอบกัน ส่วนย่อย ๆ แตล่ ะชิน้ ของวัตถุออกจากกันสามารถนำ เปน็ วัตถุชิน้ ใหมไ่ ด้ โดยใช้ ช้ินสว่ นเหลา่ น้นั มาประกอบเปน็ วัตถชุ ้ินใหม่ได้ เช่น หลกั ฐานเชิงประจักษ์ กำแพงบา้ นมีกอ้ นอิฐหลาย ๆกอ้ นประกอบเข้าด้วยกัน ป.3 2. อธิบายการเปล่ียนแปลงของ และสามารถนำก้อนอฐิ จากกำแพงบา้ นมาประกอบเป็นพ้นื วสั ดเุ มอ่ื ทำให้ร้อนขึน้ หรือทำให้ ทางเดินได้ เยน็ ลง โดยใช้หลักฐาน เชงิ ประจกั ษ์ • เมอ่ื ใหค้ วามร้อนหรอื ทำให้วัสดรุ ้อนขึน้ และเมอื่ ลดความ ร้อนหรือทำให้วัสดุเย็นลง วัสดุจะเกดิ การเปล่ยี นแปลงได้ เชน่ สีเปลี่ยน รูปรา่ งเปลีย่ น 1. เปรียบเทียบสมบตั ิทาง • วสั ดุแตล่ ะชนิดมสี มบัติทางกายภาพแตกต่างกัน กายภาพดา้ นความแขง็ สภาพ วัสดุทีม่ ีความแข็งจะทนตอ่ แรงขดู ขีด วัสดทุ มี่ ี สภาพ ยดื หยุ่น การนำความร้อน และการ ยืดหยุน่ จะเปลย่ี นแปลงรปู ร่างเม่ือมีแรง มากระทำและ นำไฟฟา้ ของวสั ดุโดยใช้หลักฐาน กลับสภาพเดิมได้ วสั ดุท่ี นำความรอ้ นจะร้อนได้เรว็ เมอ่ื เชงิ ประจักษจ์ าก การทดลองและ ระบุการนำสมบัตเิ รื่องความแข็ง ไดร้ บั ความร้อน และวัสดทุ น่ี ำไฟฟา้ ได้ จะให้กระแสไฟฟ้า สภาพยดื หยุ่น การนำความร้อน ผ่านได้ ดังนน้ั จึงอาจนำสมบตั ิต่าง ๆ มาพจิ ารณาเพอื่ ใช้ใน กระบวนการออกแบบชน้ิ งานเพื่อใช้ประโยชน์ ใน ป.4 และการนำไฟฟ้า ของวัสดไุ ปใชใ้ น ชีวติ ประจำวนั ชีวติ ประจำวนั ผ่านกระบวนการ ออกแบบช้นิ งาน • วัสดุเป็นสสารเพราะมมี วลและต้องการท่ีอย่สู สารมสี ถานะ 2. แลกเปลีย่ นความคิดกับ เปน็ ของแขง็ ของเหลว หรือแกส๊ ของแขง็ มีปริมาตรและ ผอู้ น่ื โดยการอภิปราย รูปร่างคงที่ ของเหลวมีปรมิ าตรคงท่ี แต่มีรูปร่างเปล่ยี นไป เกยี่ วกับสมบตั ทิ างกายภาพ ตามภาชนะเฉพาะส่วนท่บี รรจขุ องเหลว ส่วนแกส๊ มปี ริมาตร ของวัสดุอย่างมี เหตุผลจาก และรปู ร่างเปลย่ี นไปตามภาชนะท่ีบรรจุ การทดลอง 3. เปรยี บเทยี บสมบตั ขิ องสสาร

23 ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ทั้ง 3 สถานะ จากข้อมลู ท่ีไดจ้ าก การสังเกตมวล การตอ้ งการที่อยู่ รูปรา่ งและปริมาตรของสสาร 4. ใช้เครอ่ื งมือเพ่ือวดั มวล และ ปรมิ าตรของสสารทั้ง 3 สถานะ ป.5 1. อธิบายการเปล่ยี นสถานะของ • การเปลี่ยนสถานะของสสารเป็นการเปลยี่ นแปลง สสาร เม่ือทำใหส้ สารรอ้ นขึน้ หรอื ทางกายภาพ เม่ือเพิ่มความร้อนให้กับสสารถงึ ระดบั หนึ่งจะ เยน็ ลง โดยใช้หลกั ฐาน เชิง ทำให้สสารที่เป็นของแขง็ เปล่ียนสถานะเป็นของเหลว ประจกั ษ์ เรียกว่า การหลอมเหลวและเมื่อเพ่มิ ความรอ้ นต่อไปจนถึง อีกระดับหนึง่ ของเหลวจะเปล่ียนเปน็ แก๊ส เรียกวา่ การ 2. อธิบายการละลายของสารใน กลายเปน็ ไอ แต่เม่ือลดความร้อนลงถึงระดับหนึ่ง น้ำ โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ แก๊สจะเปลย่ี นสถานะเปน็ ของเหลว เรยี กวา่ การควบแน่น และถ้าลดความร้อนต่อไปอีกจนถงึ ระดับหน่ึงของเหลวจะ เปล่ยี นสถานะเป็นของแขง็ เรียกวา่ การแข็งตวั สสารบาง ชนิดสามารถเปลย่ี นสถานะจากของแข็งเปน็ แกส๊ โดยไมผ่ ่าน การเป็นของเหลว เรยี กว่า การระเหดิ ส่วนแก๊ส บางชนดิ สามารถเปล่ยี นสถานะเปน็ ของแข็งโดยไมผ่ ่านการ เป็นของเหลว เรยี กวา่ การระเหิดกลบั • เมื่อใสส่ ารลงในน้ำแล้วสารน้ันรวมเปน็ เนื้อเดยี วกันกบั นำ้ ทัว่ ทุกสว่ น แสดงวา่ สารเกดิ การละลาย เรยี กสารผสมทไ่ี ด้ว่า สารละลาย • เม่ือผสมสาร 2 ชนดิ ขึ้นไปแล้วมีสารใหม่เกดิ ข้ึน ซ่ึงมสี มบัตติ า่ งจากสารเดิมหรือเม่ือสารชนิดเดียว เกดิ การ เปลี่ยนแปลงแลว้ มสี ารใหมเ่ กิดขึ้นการเปลยี่ นแปลงน้ี เรยี กว่า การเปล่ยี นแปลงทางเคมี ซง่ึ สังเกตไดจ้ ากมสี หี รือ กลิ่นตา่ งจากสารเดิม หรอื มีฟองแก๊ส หรือมตี ะกอนเกดิ ขน้ึ หรือมกี ารเพม่ิ ขึ้นหรอื ลดลงของอุณหภูมิ • เมื่อสารเกดิ การเปล่ยี นแปลงแลว้ สารสามารถ

24 ชนั้ ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง เปล่ยี นกลบั เป็นสารเดมิ ได้ เป็นการเปลย่ี นแปลง ที่ผันกลบั ได้ เชน่ การหลอมเหลว การกลายเป็นไอ การละลาย แต่สารบางอย่างเกดิ การเปล่ยี นแปลง แล้วไมส่ ามารถเปลีย่ นกลับเป็นสารเดิมได้เปน็ การ เปลีย่ นแปลงท่ผี นั กลบั ไมไ่ ด้ เชน่ ป.6 1. อธบิ ายและเปรยี บเทียบการ • สารผสมประกอบดว้ ยสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปผสมกัน แยกสารผสมโดยการหยบิ ออก เชน่ น้ำมนั ผสมน้ำ ขา้ วสารปนกรวดทราย วิธกี าร การรอ่ น การใชแ้ ม่เหล็กดึงดูด ท่ีเหมาะสมในการแยกสารผสมขึ้นอยู่กบั ลกั ษณะ การรนิ ออก การกรอง และการ และสมบตั ิของสารท่ผี สมกนั ถา้ องคป์ ระกอบของสารผสม ตกตะกอนโดยใช้หลักฐานเชิง เป็นของแข็งกบั ของแขง็ ที่มีขนาดแตกตา่ งกันอย่างชัดเจน ประจักษ์ รวมทั้งระบุวิธีแก้ปัญหา อาจใช้วธิ ีการหยิบออกหรือการร่อนผา่ นวสั ดทุ มี่ ีรู ถา้ มสี ารใด ในชวี ติ ประจำวันเกยี่ วกบั การแยก สารหนึ่งเป็นสารแม่เหล็กอาจใช้วิธกี ารใชแ้ ม่เหล็กดงึ ดูด สาร ถ้าองคป์ ระกอบเป็นของแขง็ ที่ไม่ละลายในของเหลว อาจใช้ วธิ กี ารรนิ ออก การกรอง หรอื การตกตะกอน ซึง่ วธิ กี ารแยก สารสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจำวันได้

25 สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจธรรมชาตขิ องแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงทก่ี ระทำต่อวตั ถุ ลักษณะการเคลอ่ื นท่ี แบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ช้นั ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.1 - - ป.2 - - ป.3 1. ระบุผลของแรงที่มตี ่อการ • การดงึ หรอื การผลกั เป็นการออกแรงกระทำต่อ เปลยี่ นแปลง วตั ถุ แรงมผี ลต่อการเคลื่อนที่ของวตั ถุ แรงอาจทำใหว้ ัตถุเกิด การเคล่อื นทีโ่ ดยเปลยี่ นตำแหน่งจากทีห่ น่ึงไปยังอีกทหี่ นึ่ง การเคลื่อนทข่ี องวตั ถุจาก • การเปล่ยี นแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ ไดแ้ กว่ ัตถุท่ีอย่นู ิง่ หลักฐานเชงิ ประจักษ์ เปล่ยี นเป็นเคลื่อนท่ี วตั ถุทีก่ ำลังเคลื่อนทเ่ี ปล่ยี นเปน็ เคลือ่ นที่ 2. เปรยี บเทียบและยกตัวอย่างแรง เร็วข้ึนหรอื ช้าลงหรอื หยดุ น่งิ หรือเปล่ยี นทศิ ทางการเคล่อื นท่ี สมั ผสั และ • การดึงหรือการผลักเปน็ การออกแรงท่ีเกดิ จากวัตถหุ น่ึง แรงไมส่ มั ผสั ที่มผี ลต่อการ กระทำกับอีกวตั ถหุ นึง่ โดยวตั ถุท้งั สองอาจสัมผสั หรือไม่ต้อง เคลื่อนท่ีของวัตถุ สมั ผัสกนั เช่น การออกแรงโดยใชม้ อื ดงึ หรือการผลกั โต๊ะให้ โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ 3. จำแนกวัตถุโดยใช้การดงึ ดูดกบั เคล่อื นทเ่ี ปน็ การออกแรงที่วตั ถุตอ้ งสัมผสั กนั แรงนี้จงึ เปน็ แรงสัมผัส ส่วนการทแี่ ม่เหลก็ ดึงดดู หรือผลักระหวา่ งแม่เหล็กเปน็ แมเ่ หล็ก แรงทเ่ี กดิ ข้นึ โดยแม่เหล็กไม่จำเป็นต้องสัมผัสกัน แรงแม่เหล็กน้ี เปน็ เกณฑ์จากหลักฐานเชงิ จงึ เปน็ แรงไม่สัมผัส ประจกั ษ์ • แม่เหล็กสามารถดึงดูดสารแมเ่ หลก็ ได้ 4. ระบุข้ัวแมเ่ หลก็ และพยากรณ์ผล • แรงแมเ่ หลก็ เป็นแรงทเ่ี กดิ ข้ึนระหวา่ งแม่เหล็ก ทีเ่ กดิ ขนึ้ ระหว่างขว้ั แมเ่ หล็กเม่ือนำมาเขา้ กับสารแม่เหล็ก หรือแมเ่ หล็กกบั แมเ่ หล็ก ใกล้กันจาก แม่เหล็ก มี 2 ขั้ว คือ ข้ัวเหนอื และขว้ั ใต้ หลักฐานเชงิ ประจักษ์ ขั้วแม่เหลก็ ชนดิ เดียวกนั จะผลกั กัน ตา่ งชนิดกัน จะดึงดดู กัน ป.4 1. ระบผุ ลของแรงโน้มถว่ งท่มี ีต่อ • แรงโน้มถว่ งของโลกเปน็ แรงดึงดูดทโี่ ลกกระทำต่อวตั ถุ มีทิศ วตั ถจุ ากหลักฐาน ทางเข้าส่ศู ูนย์กลางโลก และเปน็ แรงไม่สมั ผสั แรงดึงดดู ท่ีโลก เชิงประจักษ์ กระทำกบั วตั ถหุ นงึ่ ๆทำใหว้ ัตถตุ กลงสู่พนื้ โลก และทำให้วตั ถุมี 2. ใชเ้ คร่อื งช่ังสปรงิ ในการวดั น้ำหนักวัดนำ้ หนกั ของวตั ถุได้จากเคร่ืองชั่งสปริง น้ำหนัก ของ นำ้ หนกั ของวัตถุ วัตถุขึ้นกับมวลของวตั ถุ โดยวัตถทุ ่มี ีมวลมากจะมีน้ำหนักมาก วตั ถุทม่ี ีมวลนอ้ ยจะมนี ้ำหนักนอ้ ย

26 ชั้น ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 3. บรรยายมวลของวัตถุที่มผี ลตอ่ • มวล คือ ปริมาณเนื้อของสสารทั้งหมดท่ีประกอบ การเปลย่ี นแปลงการเคล่อื นท่ีของ กันเป็นวัตถุ ซึง่ มผี ลต่อความยากงา่ ยในการ วตั ถุจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ เปลย่ี นแปลงการเคล่ือนท่ขี องวัตถุ วัตถทุ ีม่ มี วลมากจะ เปลยี่ นแปลงการเคลื่อนท่ีไดย้ ากกวา่ วัตถุท่ีมมี วลน้อย ดังนัน้ มวลของวัตถุนอกจาก จะหมายถึงเน้ือทัง้ หมดของวัตถุนั้นแล้ว ยังหมายถึงการต้านการเปลย่ี นแปลง การเคลอ่ื นทขี่ องวัตถุน้ันด้วย ป.5 1. อธบิ ายวิธกี ารหาแรงลพั ธ์ของแรง • แรงลพั ธ์เปน็ ผลรวมของแรงท่ีกระทำต่อวัตถุ โดย หลายแรงในแนวเดยี วกันทก่ี ระทำต่อแรงลพั ธข์ องแรง 2 แรงท่ีกระทำต่อวตั ถุเดียวกัน วตั ถใุ นกรณีที่วตั ถุอยู่น่ิงจาก จะมขี นาดเท่ากบั ผลรวมของแรงทง้ั สองเมื่อแรง หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ทงั้ สองอยู่ในแนวเดยี วกนั และมที ศิ ทางเดียวกัน 2. เขยี นแผนภาพแสดงแรงที่กระทำ แต่จะมีขนาดเท่ากับผลต่างของแรงทง้ั สอง เมื่อแรงทง้ั สองอยู่ ตอ่ วตั ถุท่ีอยู่ในแนวเดยี วกนั และแรง ในแนวเดียวกนั แตม่ ีทิศทางตรงขา้ มกัน สำหรบั วัตถุทอี่ ย่นู ่ิง ลัพธท์ ีก่ ระทำต่อวัตถุ แรงลัพธ์ที่กระทำต่อวตั ถุมีคา่ เปน็ ศูนย์ 3. ใช้เครือ่ งชัง่ สปรงิ ในการวัดแรงท่ี กระทำต่อวตั ถุ • การเขียนแผนภาพของแรงท่กี ระทำต่อวตั ถุสามารถเขยี นได้ โดยใชล้ ูกศร โดยหัวลูกศรแสดงทิศทางของแรง และความยาว 4. ระบุผลของแรงเสียดทานท่ีมตี อ่ ของลูกศรแสดงขนาดของแรงที่กระทำตอ่ วตั ถุ การเปลย่ี นแปลงการเคล่ือนที่ของ • แรงเสียดทานเป็นแรงทเ่ี กิดขน้ึ ระหวา่ งผวิ สัมผสั ของวตั ถุ เพอ่ื วตั ถจุ ากหลักฐานเชิงประจักษ์ ต้านการเคล่ือนท่ขี องวัตถนุ ้นั โดยถ้าออกแรงกระทำต่อวตั ถุที่ 5. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสยี ด อยู่นิง่ บนพ้ืนผวิ หนง่ึ ให้เคลื่อนท่ี แรงเสยี ดทานจากพนื้ ผวิ นน้ั ก็ ทานและแรงที่อยใู่ นแนวเดยี วกนั ที่ จะตา้ นการเคล่ือนทข่ี องวัตถุ แตถ่ า้ วตั ถุกำลงั เคลื่อนท่ี กระทำตอ่ วตั ถุ แรงเสยี ดทานก็จะทำให้วัตถนุ ้ันเคลื่อนท่ชี ้าลง หรอื หยดุ น่งิ ป.6 1. อธบิ ายการเกดิ และผลของแรง • วตั ถุ 2 ชนดิ ทีผ่ า่ นการขัดถแู ลว้ เม่อื นำเขา้ ใกล้กัน ไฟฟ้าซ่งึ เกิดจากวตั ถทุ ่ผี า่ นการขัดถู อาจดึงดดู หรือผลกั กัน แรงท่ีเกดิ ข้ึนน้เี ปน็ แรงไฟฟ้า ซง่ึ เปน็ โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจักษ์ แรงไมส่ มั ผัส เกดิ ขึ้นระหวา่ งวัตถุทมี่ ีประจไุ ฟฟา้ ซ่ึงประจุ ไฟฟา้ มี 2 ชนิด คือประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ วตั ถุท่ี มีประจุไฟฟ้าชนดิ เดยี วกนั ผลักกัน ชนดิ ตรงขา้ มกนั ดึงดดู กัน

27 สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏสิ มั พันธ์ ระหวา่ งสสารและพลังงาน พลงั งานในชวี ิตประจำวนั ธรรมชาติ ของคลนื่ ปรากฏการณท์ ี่เกยี่ วข้องกบั เสยี ง แสง และคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชัน้ ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.1 1. บรรยายการเกิดเสยี งและทศิ • เสียงเกิดจากการส่นั ของวตั ถุ วตั ถุที่ทำใหเ้ กิดเสียง ทางการเคลื่อนที่ เปน็ แหล่งกำเนดิ เสยี ง ซึ่งมีทง้ั แหลง่ กำเนิดเสยี ง ของเสียงจากหลักฐานเชิง ตามธรรมชาติและแหลง่ กำเนิดเสยี งทมี่ นษุ ย์ ประจกั ษ์ สรา้ งข้นึ เสียงเคลือ่ นที่ออกจากแหลง่ กำเนิดเสียง ทกุ ทิศทาง ป.2 1. บรรยายแนวการเคลือ่ นท่ีของ • แสงเคลอ่ื นทจ่ี ากแหล่งกำเนิดแสงทุกทศิ ทาง แสงจาก เป็นแนวตรง เมอ่ื มีแสงจากวัตถมุ าเขา้ ตาจะทำให้ แหลง่ กำเนิดแสง และอธบิ าย มองเห็นวตั ถุน้นั การมองเห็นวตั ถทุ ่เี ปน็ การมองเหน็ วัตถุ แหล่งกำเนิดแสง แสงจากวัตถุนน้ั จะเข้าสู่ตาโดยตรง จากหลักฐานเชิงประจักษ์ สว่ นการมองเห็นวตั ถทุ ี่ไม่ใช่แหล่งกำเนดิ แสง ต้องมี 2. ตระหนกั ในคุณคา่ ของความรู้ แสงจากแหล่งกำเนดิ แสงไปกระทบวัตถุแล้ว ของการมองเห็น สะทอ้ นเขา้ ตา ถ้ามีแสงทีส่ วา่ งมาก ๆ เข้าสู่ตา โดยเสนอแนะแนวทางการ อาจเกิดอนั ตรายต่อตาได้ จึงต้องหลีกเลยี่ ง ป้องกันอันตราย การมองหรือใช้แผน่ กรองแสงทีม่ ีคณุ ภาพ จากการมองวตั ถุที่อยู่ในบริเวณ เม่ือจำเป็น และตอ้ งจดั ความสวา่ งใหเ้ หมาะสม ที่มแี สงสวา่ ง กับการทำกจิ กรรมต่าง ๆ เช่น การอา่ นหนังสือ ไม่เหมาะสม การดจู อโทรทัศน์ การใช้โทรศัพทเ์ คลื่อนท่ี และแท็บเลต็ ป.3 1. ยกตวั อยา่ งการเปลี่ยนพลังงาน • พลังงานเป็นปริมาณทแี่ สดงถงึ ความสามารถ หน่ึงไปเปน็ อีก ในการทำงาน พลังงานมีหลายแบบ เชน่ พลงั งานหนึ่งจากหลักฐานเชงิ พลังงานกล พลังงานไฟฟา้ พลังงานแสง ประจักษ์ พลังงานเสียง และพลงั งานความร้อน โดย พลังงานสามารถเปลี่ยนจากพลงั งานหน่ึงไปเปน็ อีกพลงั งานหนง่ึ ได้ เชน่ การถูมือจนรู้สึกร้อน เปน็ การเปลย่ี นพลังงานกลเป็นพลังงานความร้อน แผงเซลล์สรุ ิยะเปลย่ี นพลังงานแสงเป็น พลงั งานไฟฟา้ หรือเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าเปลยี่ นพลังงานไฟฟ้า เป็นพลังงานอ่นื

28 ชั้น ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 2. บรรยายการทำงานของเคร่ือง • ไฟฟา้ ผลติ จากเคร่ืองกำเนดิ ไฟฟา้ ซึง่ ใชพ้ ลังงาน กำเนิดไฟฟ้าและระบแุ หลง่ พลังงาน จากแหลง่ พลังงานธรรมชาติหลายแหลง่ เชน่ พลังงานจากลม ในการผลิตไฟฟา้ จากข้อมูลที่ พลังงานจากน้ำ พลังงานจากแกส๊ ธรรมชาติ รวบรวมได้ • พลงั งานไฟฟา้ มคี วามสำคัญตอ่ ชวี ิตประจำวัน 3. ตระหนักในประโยชน์และโทษ การใช้ไฟฟ้านอกจากต้องใชอ้ ย่างถกู วธิ ี ประหยดั ของไฟฟา้ โดยนำเสนอวธิ กี ารใช้ และคุ้มค่าแล้ว ยังต้องคำนงึ ถึงความปลอดภยั ดว้ ย ไฟฟ้าอย่างประหยัด และปลอดภัย ป.4 1. จำแนกวัตถุเปน็ ตัวกลางโปร่งใส • เมื่อมองสง่ิ ตา่ ง ๆ โดยมีวตั ถุตา่ งชนิดกนั มากน้ั แสงจะทำให้ ตัวกลางโปร่งแสง และวตั ถุทึบแสง ลักษณะการมองเห็นสิ่งนัน้ ๆ ชดั เจนตา่ งกนั จึงจำแนกวตั ถุทม่ี า จากลักษณะการมองเหน็ สิ่งต่าง ๆ ก้นั ออกเป็นตัวกลางโปร่งใส ซึ่งทำให้มองเห็นส่งิ ต่าง ๆ ได้ชัดเจน ผ่านวตั ถุนน้ั เปน็ เกณฑ์ ตัวกลางโปร่งแสงทำให้มองเห็นส่งิ ต่าง ๆ ไดไ้ มช่ ดั เจน และวัตถุ โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ทึบแสงทำให้มองไม่เหน็ สิ่งต่าง ๆ น้นั ป.5 1. อธบิ ายการไดย้ นิ เสยี งผา่ น • การไดย้ ินเสยี งต้องอาศยั ตัวกลาง โดยอาจเปน็ ของแขง็ ตัวกลางจากหลักฐานเชิงประจักษ์ ของเหลว หรืออากาศ เสียงจะส่งผา่ นตัวกลางมายังหู 2. ระบตุ ัวแปร ทดลอง และอธิบาย • เสียงที่ได้ยินมรี ะดับสูงตำ่ ของเสยี งตา่ งกันขน้ึ กบั ความถี่ของการ ลกั ษณะและการเกิดเสยี งสงู เสยี งตำ่ ส่ันของแหล่งกำเนิดเสยี ง โดยเมอื่ แหล่งกำเนิดเสยี งส่นั ดว้ ย 3. ออกแบบการทดลองและอธบิ าย ความถ่ตี ่ำจะเกดิ เสยี งตำ่ แต่ถ้าส่นั ดว้ ยความถส่ี ูงจะเกดิ เสียงสงู ลกั ษณะและการเกิดเสยี งดงั เสยี ง ส่วนเสียงดังค่อยท่ีไดย้ นิ ข้นึ กับพลังงานการส่ันของ คอ่ ย แหล่งกำเนดิ เสยี ง โดยเมือ่ แหลง่ กำเนดิ เสียงสั่นด้วย 4. วัดระดบั เสียงโดยใช้เคร่ืองมอื วัด พลงั งานมากจะเกิดเสยี งดัง แต่ถา้ แหลง่ กำเนดิ เสยี ง ระดับเสียง สัน่ ดว้ ยพลังงานน้อยจะเกดิ เสียงคอ่ ย 5. ตระหนกั ในคุณค่าของความรู้ • เสียงดงั มาก ๆ เป็นอันตรายต่อการได้ยนิ และ เรอื่ งระดับเสยี งโดยเสนอแนะ เสียงท่ีกอ่ ให้เกิดความรำคาญเป็นมลพิษทางเสียง แนวทางในการหลีกเล่ยี งและลด เดซเิ บลเปน็ หน่วยทีบ่ อกถงึ ความดังของเสียง มลพษิ ทางเสยี ง ป.6 1. ระบุสว่ นประกอบและบรรยาย • วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วย แหลง่ กำเนิดไฟฟ้าสายไฟฟ้า หนา้ ทข่ี องแต่ละ และเคร่ืองใช้ไฟฟา้ หรอื อุปกรณไ์ ฟฟ้าแหล่งกำเนิดไฟฟ้า เช่น ส่วนประกอบของวงจรไฟฟา้ อย่าง ถา่ นไฟฉาย หรอื แบตเตอรี่ ทำหนา้ ทีใ่ ห้พลงั งานไฟฟ้า สายไฟฟ้า ง่ายจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ เป็นตวั นำไฟฟา้ ทำหน้าทีเ่ ช่อื มตอ่ ระหว่างแหลง่ กำเนิดไฟฟ้าและ 2. เขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟา้ เคร่อื งใช้ไฟฟา้ เข้าด้วยกันเคร่ืองใช้ไฟฟ้ามีหนา้ ทเ่ี ปลี่ยนพลังงาน อยา่ งง่าย ไฟฟ้าเปน็ พลังงานอ่ืน

29 ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 3. ออกแบบการทดลองและ • เมื่อนำเซลลไ์ ฟฟ้าหลายเซลล์มาตอ่ เรยี งกันโดยใหข้ ัว้ บวกของ ทดลองดว้ ยวธิ ที เ่ี หมาะสมในการ เซลล์ไฟฟ้าเซลล์หนึง่ ต่อกบั ขัว้ ลบของอีกเซลลห์ นึง่ เป็นการต่อ อธิบายวิธกี ารและผลของ แบบอนกุ รมทำให้มพี ลังงานไฟฟ้าเหมาะสมกับเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ การต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรม ซ่งึ การต่อเซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรมสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ใน 4. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของ ชวี ติ ประจำวนั เช่น การต่อเซลล์ไฟฟ้าในไฟฉาย ความรขู้ องการต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบ • การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมเมื่อถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวง อนุกรมโดยบอกประโยชนแ์ ละ หนึ่งออกทำให้หลอดไฟฟา้ ที่เหลือดบั ทงั้ หมด ส่วนการต่อหลอด การประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจำวัน ไฟฟ้าแบบขนาน เมื่อถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนง่ึ ออก 5. ออกแบบการทดลองแลทดลอง หลอดไฟฟ้าท่ีเหลอื ก็ยังสว่างได้ การตอ่ หลอดไฟฟ้าแต่ละแบบ ด้วยวธิ ีทเ่ี หมาะสมในการอธบิ าย สามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ได้เช่น การตอ่ หลอดไฟฟ้าหลายดวงใน การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รม บ้านจึงต้องต่อหลอดไฟฟา้ แบบขนาน เพื่อเลอื กใชห้ ลอดไฟฟ้า และแบบขนาน ดวงใดดวงหน่งึ ได้ตามต้องการ 6. ตระหนกั ถึงประโยชนข์ อง • เม่ือนำวัตถุทึบแสงมากนั้ แสงจะเกดิ เงาบนฉากรบั แสงที่อยู่ ความรู้ของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบ ด้านหลังวัตถุ โดยเงามีรูปร่างคลา้ ยวตั ถุท่ีทำให้เกดิ เงา เงามัว อนุกรมและแบบขนาน โดยบอก เปน็ บรเิ วณทม่ี แี สงบางส่วนตกลงบนฉาก ส่วนเงามืดเป็นบริเวณ ประโยชน์ ข้อจำกดั และการ ท่ไี ม่มีแสงตกลงบนฉากเลย ประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจำวนั 7. อธิบายการเกดิ เงามดื เงามวั จาก หลักฐานเชงิ ประจักษ์ 8. เขียนแผนภาพรังสขี องแสง แสดงการเกิดเงามืดเงามัว

30 สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และววิ ัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพนั ธภ์ ายในระบบสรุ ิยะ ท่สี ง่ ผลตอ่ สงิ่ มชี วี ิต และการประยกุ ต์ใช้ เทคโนโลยอี วกาศ ชั้น ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.1 1. ระบดุ าวทปี่ รากฏบนท้องฟ้าใน • บนทอ้ งฟ้ามดี วงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และดาว เวลากลางวนั ซึ่งในเวลากลางวนั จะมองเห็นดวงอาทิตย์ และกลางคืนจากข้อมลู ทร่ี วบรวม และอาจมองเหน็ ดวงจนั ทรบ์ างเวลาในบางวนั ได้ แต่ไม่สามารถมองเหน็ ดาว 2. อธบิ ายสาเหตุทม่ี องไม่เหน็ ดาว • ในเวลากลางวนั มองไม่เหน็ ดาวสว่ นใหญ่ เน่อื งจาก ส่วนใหญ่ แสงอาทิตย์สว่างกวา่ จึงกลบแสงของดาว สว่ นใน ในเวลากลางวนั จากหลักฐานเชิง เวลากลางคืนจะมองเห็นดาวและมองเห็น ประจกั ษ์ ดวงจันทร์เกือบทกุ คนื ป.2 - - ป.3 1. อธิบายแบบรูปเส้นทางการขึน้ และ • คนบนโลกมองเหน็ ดวงอาทิตย์ปรากฏขึน้ ตก ของ ทางด้านหนง่ึ และตกทางอีกด้านหนง่ึ ทกุ วัน ดวงอาทติ ย์โดยใชห้ ลกั ฐานเชิง หมุนเวยี นเป็นแบบรูปซ้ำ ๆ ประจักษ์ • โลกกลมและหมุนรอบตวั เองขณะโคจรรอบดวง 2. อธิบายสาเหตกุ ารเกดิ อาทิตย์ ทำให้บริเวณของโลกไดร้ ับแสงอาทิตย์ ปรากฏการณ์การขึ้น ไม่พร้อมกัน โลกดา้ นที่ได้รับแสงจากดวงอาทติ ย์ และตกของดวงอาทติ ย์ การเกิด จะเป็นกลางวันส่วนด้านตรงข้ามทไี่ ม่ได้รับแสง กลางวนั กลางคนื จะเป็นกลางคนื นอกจากนี้คนบนโลกจะมองเหน็ และการกำหนดทิศ โดยใช้ ดวงอาทิตยป์ รากฏขนึ้ ทางด้านหนึ่ง ซงึ่ กำหนดให้ แบบจำลอง เปน็ ทศิ ตะวนั ออก และมองเห็นดวงอาทติ ย์ 3. ตระหนักถงึ ความสำคัญของดวง ตกทางอีกด้านหนงึ่ ซงึ่ กำหนดใหเ้ ปน็ ทศิ ตะวันตก อาทิตย์ โดย และเม่ือใหด้ ้านขวามอื อยูท่ างทศิ ตะวันออก บรรยายประโยชนข์ องดวงอาทิตย์ ด้านซา้ ยมืออยู่ทางทิศตะวันตก ดา้ นหนา้ จะเป็น ตอ่ สิง่ มชี ีวิต ทศิ เหนอื และด้านหลังจะเป็นทิศใต้ • ในเวลากลางวันโลกจะไดร้ บั พลงั งานแสงและ พลงั งานความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้ส่ิงมชี วี ิต ดำรงชีวติ อยูไ่ ด้

31 ชน้ั ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ป.4 1. อธบิ ายแบบรูปเสน้ ทางการขนึ้ และ • ดวงจนั ทรเ์ ปน็ บริวารของโลก โดยดวงจนั ทรห์ มนุ รอบ ตก ตัวเองขณะโคจรรอบโลก ขณะทีโ่ ลกกห็ มนุ รอบตัวเองดว้ ย ของดวงจันทร์ โดยใช้หลักฐานเชิง เช่นกัน การหมนุ รอบตัวเองของโลกจากทิศตะวันตกไปทิศ ประจกั ษ์ ตะวันออกในทศิ ทางทวนเข็มนาฬกิ าเมื่อมองจากขวั้ โลก 2. สร้างแบบจำลองที่อธบิ ายแบบรูป เหนือทำให้มองเหน็ ดวงจันทร์ปรากฏข้นึ ทางด้านทศิ การเปลีย่ นแปลงรปู รา่ งปรากฏ ตะวนั ออกและตกทางด้านทศิ ตะวันตกหมุนเวยี นเป็นแบบรูป ของดวงจันทร์ ซำ้ ๆ และพยากรณ์รูปรา่ งปรากฏของ • ดวงจันทรเ์ ป็นวัตถทุ ี่เป็นทรงกลม แต่รปู ร่างของดวงจันทร์ ดวงจันทร์ ท่มี องเห็นหรือรปู ร่างปรากฏของดวงจันทร์บนท้องฟา้ 3. สรา้ งแบบจำลองแสดง แตกต่างกนั ไปในแต่ละวันโดยในแต่ละวนั ดวงจันทร์จะมี องคป์ ระกอบของระบบ รปู รา่ งปรากฏเป็นเส้ียวที่มีขนาดเพิม่ ขน้ึ อย่างตอ่ เนื่องจนเต็ม ดวงจากนน้ั รปู รา่ งปรากฏของดวงจนั ทร์จะแหว่งและมขี นาด สุริยะ และอธบิ ายเปรียบเทยี บ ลดลงอยา่ งต่อเนอ่ื งจนมองไม่เห็นดวงจันทร์ จากน้นั รูปรา่ ง คาบการโคจร ปรากฏของดวงจนั ทรจ์ ะเป็นเสี้ยวใหญ่ขนึ้ จนเตม็ ดวงอีกครัง้ ของดาวเคราะห์ต่าง ๆ จาก การเปล่ียนแปลงเชน่ นเี้ ป็นแบบรปู ซ้ำกันทุกเดือน แบบจำลอง • ระบบสรุ ิยะเปน็ ระบบท่มี ดี วงอาทติ ยเ์ ปน็ ศูนย์กลางและมี บริวารประกอบด้วย ดาวเคราะหแ์ ปดดวงและบริวาร ซึ่งดาว เคราะหแ์ ตล่ ะดวงมีขนาดและระยะห่างจากดวงอาทติ ย์ แตกต่างกัน และยังประกอบด้วย ดาวเคราะหแ์ คระ ดาว เคราะห์น้อย ดาวหาง และวัตถุขนาดเลก็ อื่น ๆ โคจรอยู่ รอบดวงอาทติ ย์ วัตถุขนาดเลก็ อื่น ๆ เมื่อเขา้ มาในชั้น บรรยากาศเนื่องจากแรงโนม้ ถ่วงของโลกทำใหเ้ กดิ เป็นดาวตก หรือผพี ุ่งไตแ้ ละอุกกาบาต ป.5 1. เปรียบเทยี บความแตกต่างของ • ดาวทม่ี องเห็นบนท้องฟ้าอยู่ในอวกาศซ่ึงเป็นบรเิ วณทอ่ี ยู่ ดาวเคราะห์ นอกบรรยากาศของโลก มีทงั้ ดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ ดาว และดาวฤกษจ์ ากแบบจำลอง ฤกษเ์ ป็นแหล่งกำเนิดแสงจึงสามารถมองเห็นได้ ส่วนดาว เคราะห์ไม่ใช่แหลง่ กำเนิดแสง แตส่ ามารถมองเห็นได้ เน่ืองจากแสงจากดวงอาทิตย์ตกกระทบดาวเคราะห์แล้ว สะท้อนเข้าสู่ตา

32 ชนั้ ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 2. ใชแ้ ผนทด่ี าวระบตุ ำแหน่งและ • การมองเหน็ กลุ่มดาวฤกษม์ ีรปู ร่างต่าง ๆ เกิดจาก เส้นทางการขน้ึ จนิ ตนาการของผู้สงั เกต กลุ่มดาวฤกษต์ ่าง ๆ ที่ และตกของกลมุ่ ดาวฤกษ์บนท้องฟ้า ปรากฏในทอ้ งฟา้ แต่ละกลมุ่ มีดาวฤกษแ์ ตล่ ะดวง และอธิบาย เรียงกันทต่ี ำแหนง่ คงท่ี และมีเส้นทางการข้ึน แบบรปู เส้นทางการขนึ้ และตกของ และตกตามเส้นทางเดิมทุกคืน ซง่ึ จะปรากฏ กลมุ่ ดาวฤกษ์ ตำแหนง่ เดมิ การสังเกตตำแหน่งและการขน้ึ บนท้องฟ้าในรอบปี และตกของดาวฤกษ์ และกลุ่มดาวฤกษ์ สามารถ ทำได้โดยใชแ้ ผนท่ดี าว ซ่งึ ระบุมมุ ทศิ และมุมเงย ท่ีกลมุ่ ดาวนน้ั ปรากฏ ผ้สู ังเกตสามารถใช้มือ ในการประมาณค่าของมุมเงยเมอื่ สงั เกตดาว ในทอ้ งฟา้ ป.6 1. สรา้ งแบบจำลองที่อธบิ ายการเกดิ • เมื่อโลกและดวงจนั ทร์ โคจรมาอยใู่ นแนวเส้นตรง และ เดียวกนั กบั ดวงอาทิตย์ในระยะทางทเ่ี หมาะสม เปรียบเทยี บปรากฏการณ์ ทำใหด้ วงจันทร์บังดวงอาทิตย์ เงาของดวงจันทร์ทอดมายัง สรุ ิยปุ ราคา โลก ผูส้ ังเกตทอ่ี ยู่บริเวณเงาจะมองเหน็ ดวงอาทิตยม์ ืดไป และจันทรุปราคา เกิดปรากฏการณส์ ุริยุปราคาซ่ึงมที ้งั สรุ ิยุปราคาเต็มดวง 2. อธบิ ายพัฒนาการของเทคโนโลยี สรุ ยิ ุปราคาบางสว่ นและสรุ ยิ ุปราคาวงแหวน อวกาศ และ • หากดวงจนั ทรแ์ ละโลกโคจรมาอยูใ่ นแนวเสน้ ตรงเดียวกัน ยกตวั อย่างการนำเทคโนโลยีอวกาศมา กับดวงอาทติ ย์ แลว้ ดวงจันทร์เคลื่อนที่ผา่ นเงาของโลก จะ ใช้ประโยชน์ มองเห็นดวงจันทร์มดื ไปเกิดปรากฏการณ์จันทรปุ ราคา ซ่ึงมี ในชีวิตประจำวนั จากขอ้ มลู ที่ ทงั้ จนั ทรปุ ราคาเต็มดวง และจันทรุปราคาบางสว่ น รวบรวมได้ • เทคโนโลยอี วกาศเร่มิ จากความตอ้ งการของมนุษย์ ในการสำรวจวตั ถุทอ้ งฟา้ โดยใช้ตาเปลา่ กล้องโทรทรรศน์ และได้พฒั นาไปสู่การขนส่ง เพื่อสำรวจอวกาศดว้ ยจรวดและยานขนส่งอวกาศ และยงั คงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปจั จบุ ันมกี ารนำ เทคโนโลยีอวกาศบางประเภทมาประยุกตใ์ ช้ ในชีวติ ประจำวนั เชน่ การใช้ดาวเทียมเพื่อ การสื่อสาร การพยากรณ์อากาศ หรอื การสำรวจ ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้อุปกรณว์ ัดชพี จร และการเตน้ ของหวั ใจ หมวกนริ ภัย ชดุ กีฬา

33 สาระท่ี 3 วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลย่ี นแปลง ภายในโลก และบนผวิ โลก ธรณพี ิบัตภิ ยั กระบวนการเปลยี่ นแปลง ลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ังผลต่อสิ่งมีชวี ติ และสิ่งแวดล้อม ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.1 1. อธิบายลักษณะภายนอกของหิน จาก • หนิ ทอ่ี ยใู่ นธรรมชาติมลี กั ษณะภายนอกเฉพาะตัวท่ี ลกั ษณะเฉพาะตวั ทส่ี ังเกตได้ สังเกตได้ เช่น สี ลวดลาย นำ้ หนัก ความแข็งและเนื้อหิน ป.2 1. ระบสุ ่วนประกอบของดนิ และจำแนกชนิด • ดินประกอบด้วยเศษหิน ซากพืช ซากสตั ว์ผสมอยู่ในเนอื้ ของดินโดยใชล้ ักษณะเน้ือดินและการจบั ตวั ดนิ มอี ากาศและนำ้ แทรกอยู่ตามชอ่ งว่างในเน้ือดิน ดนิ เป็นเกณฑ์ จำแนกเปน็ ดินรว่ น ดินเหนียวและดนิ ทราย ตามลักษณะ 2. อธิบายการใชป้ ระโยชนจ์ ากดนิ จาก เนอ้ื ดนิ และการจบั ตวั ของดินซง่ึ มผี ลตอ่ การอุ้มนำ้ ที่ ข้อมูลท่รี วบรวมได้ แตกตา่ งกัน • ดินแตล่ ะชนิดนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ดแ้ ตกตา่ งกันตาม ลกั ษณะและสมบัตขิ องดนิ ป.3 1. ระบุสว่ นประกอบของอากาศ บรรยาย • อากาศโดยทวั่ ไปไม่มีสี ไม่มีกลน่ิ ประกอบด้วยแกส๊ ความสำคญั ของอากาศ และผลกระทบของ ไนโตรเจน แกส๊ ออกซเิ จน แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์แก๊สอื่น ๆ มลพษิ ทางอากาศตอ่ สิ่งมีชวี ติ จากข้อมูลที่ รวมทง้ั ไอนำ้ และฝุ่นละออง อากาศมีความสำคัญต่อ รวบรวมได้ สิง่ มีชีวติ หากส่วนประกอบของอากาศไมเ่ หมาะสม 2. ตระหนกั ถึงความสำคญั ของอากาศ โดย เนื่องจากมีแกส๊ บางชนิดหรือฝุ่นละอองในปรมิ าณมาก นำเสนอแนวทางการปฏิบัติตนในการลด อาจเป็นอนั ตรายต่อส่งิ มชี วี ิตชนิดต่าง ๆ จัดเปน็ มลพิษทาง การเกิดมลพษิ ทางอากาศ อากาศ 3. อธิบายการเกดิ ลมจากหลกั ฐานเชงิ • แนวทางการปฏิบัตติ นเพอื่ ลดการปล่อยมลพษิ ทาง ประจกั ษ์ อากาศ เชน่ ใช้พาหนะรว่ มกัน หรือเลือกใชเ้ ทคโนโลยีที่ลด 4. บรรยายประโยชน์และโทษของลม จาก มลพษิ ทางอากาศ ขอ้ มูลท่รี วบรวมได้ • ลม คือ อากาศทเ่ี คลอ่ื นท่ี เกิดจากความแตกต่างกัน ของอุณหภูมิอากาศบริเวณท่ีอยู่ใกล้กัน โดยอากาศ บริเวณทีม่ อี ณุ หภูมิสูงจะลอยตัวสงู ขึน้ และอากาศ บรเิ วณทมี่ อี ุณหภูมิต่ำกว่าจะเคล่อื นเขา้ ไปแทนท่ี • ลมสามารถนำมาใช้เปน็ แหล่งพลังงานทดแทน ในการผลติ ไฟฟา้ และนำไปใช้ประโยชนใ์ นการ ทำกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของมนุษย์

34 ชัน้ ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.4 - - ป.5 1. เปรียบเทียบปริมาณนำ้ ในแตล่ ะแหลง่ • โลกมที ้งั น้ำจดื และน้ำเคม็ ซึ่งอยูใ่ นแหล่งนำ้ ต่าง ๆ และระบุ ที่มที งั้ แหล่งน้ำผิวดนิ เชน่ ทะเล มหาสมุทร บงึ ปรมิ าณนำ้ ที่มนษุ ย์สามารถนำมาใช้ แม่นำ้ และแหล่งน้ำใตด้ นิ เช่น น้ำในดนิ และ ประโยชนไ์ ด้ น้ำบาดาล นำ้ ทั้งหมดของโลกแบง่ เป็นนำ้ เค็ม จากข้อมูลที่รวบรวมได้ ประมาณร้อยละ 97.5 ซ่งึ อยู่ในมหาสมทุ ร 2. ตระหนกั ถึงคณุ คา่ ของน้ำโดยนำเสนอ และแหล่งนำ้ อ่นื ๆ และท่ีเหลอื อีกประมาณ แนวทาง ร้อยละ 2.5 เปน็ นำ้ จดื ถา้ เรยี งลำดบั ปรมิ าณ การใชน้ ้ำอยา่ งประหยดั และการอนุรักษ์ น้ำจืดจากมากไปน้อยจะอยทู่ ี่ ธารนำ้ แขง็ และ น้ำ พดื นำ้ แขง็ นำ้ ใตด้ ิน ชน้ั ดนิ เยือกแข็งคงตวั และน้ำแข็ง 3. สรา้ งแบบจำลองที่อธบิ ายการหมุนเวยี น ใตด้ ิน ทะเลสาบ ความชืน้ ในดิน ความช้ืนใน ของนำ้ บรรยากาศ บึง แมน่ ำ้ และนำ้ ในสิง่ มชี วี ิต ในวฏั จักรน้ำ • น้ำจดื ทีม่ นุษยน์ ำมาใชไ้ ด้มีปริมาณน้อยมาก 4. เปรียบเทียบกระบวนการเกดิ เมฆ หมอก จงึ ควรใชน้ ้ำอยา่ งประหยัดและร่วมกันอนุรกั ษ์น้ำ น้ำคา้ ง • วัฏจกั รน้ำ เป็นการหมนุ เวยี นของน้ำที่มีแบบรูป และนำ้ คา้ งแขง็ จากแบบจำลอง ซำ้ เดิม และต่อเน่ืองระหวา่ งน้ำในบรรยากาศ นำ้ ผิวดนิ และนำ้ ใต้ดนิ โดยพฤติกรรมการดำรงชวี ติ ของพชื และสตั วส์ ่งผลตอ่ วัฏจกั รนำ้ • ไอนำ้ ในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้ำเลก็ ๆ โดยมลี ะอองลอย เชน่ เกลือ ฝนุ่ ละออง ละออง เรณูของดอกไม้ เปน็ อนุภาคแกนกลาง เม่ือ ละอองนำ้ จำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยูส่ งู จากพนื้ ดนิ มาก เรยี กว่า เมฆ แตล่ ะอองนำ้ ทเี่ กาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้พน้ื ดนิ เรียกว่า หมอก ส่วนไอน้ำท่ีควบแน่นเปน็ ละอองนำ้ เกาะอยู่ บนพนื้ ผวิ วตั ถุใกล้พืน้ ดิน เรียกวา่ นำ้ ค้าง ถ้าอุณหภมู ใิ กล้พนื้ ดนิ ต่ำกว่าจดุ เยอื กแขง็ นำ้ คา้ งกจ็ ะกลายเปน็ น้ำค้างแข็ง

35 ชน้ั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง 5. เปรียบเทียบกระบวนการเกดิ ฝน หมิ ะ • ฝน หมิ ะ ลกู เห็บ เปน็ หยาดนำ้ ฟา้ ซึง่ เปน็ น้ำท่ีมี และลกู เห็บ จากข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ สถานะตา่ ง ๆ ทต่ี กจากฟา้ ถงึ พน้ื ดนิ ฝนเกิดจากละออง นำ้ ในเมฆท่รี วมตวั กันจนอากาศไม่สามารถพยงุ ไว้ไดจ้ ึง ตกลงมา หิมะเกดิ จากไอน้ำในอากาศระเหิดกลับเปน็ ผลกึ น้ำแขง็ รวมตวั กันจนมนี ำ้ หนกั มากข้นึ จนเกินกวา่ อากาศ จะพยงุ ไวจ้ ึงตกลงมาลูกเหบ็ เกิดจากหยดน้ำทีเ่ ปลี่ยน สถานะเปน็ นำ้ แข็งแลว้ ถูกพายุพัดวนซ้ำไปซำ้ มาในเมฆฝน ฟ้าคะนองที่มีขนาดใหญ่และอยใู่ นระดับสูงจนเป็นก้อน นำ้ แข็งขนาดใหญข่ ึ้นแล้วตกลงมา ป.6 1. เปรียบเทยี บกระบวนการเกดิ หินอัคนี • หนิ เปน็ วัสดแุ ขง็ เกิดข้ึนเองตามธรรมชาตปิ ระกอบดว้ ย หนิ ตะกอน และหินแปร และอธบิ ายวฏั แรต่ ั้งแตห่ นง่ึ ชนดิ ข้นึ ไป สามารถจำแนกหินตาม จกั รหนิ จากแบบจำลอง กระบวนการเกิดไดเ้ ปน็ 3 ประเภทได้แก่ หนิ อัคนี หนิ ตะกอน และหนิ แปร • หนิ อัคนีเกิดจากการเย็นตวั ของแมกมา เนื้อหนิ มีลกั ษณะ เป็นผลกึ ทงั้ ผลกึ ขนาดใหญแ่ ละขนาดเล็ก บางชนิดอาจ เป็นเนื้อแก้วหรือมีรูพรุน • หนิ ตะกอน เกดิ จากการทับถมของตะกอนเมื่อถูกแรงกด ทับและมีสารเช่ือมประสานจงึ เกดิ เปน็ หนิ เน้ือหินกลุ่มน้ี ส่วนใหญม่ ีลักษณะเป็นเม็ดตะกอนมีทง้ั เนื้อหยาบและเนอื้ ละเอียด บางชนิดเปน็ เน้ือผลึกทีย่ ึดเกาะกนั เกิดจากการตก ผลึกหรือตกตะกอนจากนำ้ โดยเฉพาะนำ้ ทะเล บางชนดิ มลี ักษณะเปน็ ชั้น ๆ จึงเรยี กอีกชอ่ื วา่ หนิ ชน้ั • หินแปร เกิดจากการแปรสภาพของหนิ เดมิ ซ่ึงอาจเปน็ หินอคั นี หนิ ตะกอน หรอื หินแปรโดยการกระทำของความ รอ้ น ความดนั และปฏกิ ริ ยิ าเคมี เนื้อหินของหินแปรบาง ชนดิ ผลกึ ของแรเ่ รยี งตวั ขนานกันเปน็ แถบ บางชนดิ แซะออกเปน็ แผน่ ได้ บางชนดิ เปน็ เน้อื ผลกึ ที่มีความแข็ง มาก • หนิ ในธรรมชาตทิ ัง้ 3 ประเภท มีการเปลยี่ นแปลง จากประเภทหนง่ึ ไปเป็นอีกประเภทหนึ่ง หรอื ประเภทเดิมได้ โดยต่อเนื่องเปน็ วฏั จักร

36 ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง 2. บรรยายและยกตวั อย่างการใช้ประโยชน์ • หนิ และแร่แตล่ ะชนดิ มีลักษณะและสมบัติ ของหนิ แตกต่างกัน มนุษย์ใชป้ ระโยชนจ์ ากแรใ่ นชีวติ และแร่ในชีวติ ประจำวนั จากข้อมลู ท่ี ประจำวนั ในลกั ษณะต่าง ๆ เชน่ นำแร่มาทำ รวบรวมได้ เคร่ืองสำอาง ยาสีฟนั เคร่อื งประดบั อปุ กรณ์ 3. สร้างแบบจำลองทอ่ี ธบิ ายการเกดิ ซากดกึ ทางการแพทย์ และนำหนิ มาใชใ้ นงานก่อสรา้ ง ดำบรรพ์ ต่าง ๆ เปน็ ต้น และคาดคะเนสภาพแวดล้อมในอดตี ของ • ซากดึกดำบรรพ์เกิดจากการทับถมหรือการ ซากดึกดำบรรพ์ ประทบั รอยของส่ิงมีชีวติ ในอดตี จนเกิดเป็น 4. เปรยี บเทยี บการเกิดลมบก ลมทะเล โครงสร้างของซากหรือรอ่ งรอยของสิง่ มชี ีวิต และมรสุม ทปี่ รากฏอยใู่ นหนิ ในประเทศไทยพบ รวมท้ังอธบิ ายผลทมี่ ตี ่อสง่ิ มชี ีวิตและ ซากดึกดำบรรพ์ทห่ี ลากหลาย เช่น พืช ปะการงั ส่งิ แวดลอ้ ม หอย ปลา เต่า ไดโนเสาร์ และรอยตีนสัตว์ • ซากดกึ ดำบรรพส์ ามารถใชเ้ ป็นหลกั ฐานหน่ึง จากแบบจำลอง ทชี่ ว่ ยอธบิ ายสภาพแวดลอ้ มของพนื้ ท่ใี นอดตี ขณะเกิดสิง่ มชี วี ติ นัน้ เช่น หากพบซากดกึ ดำบรรพ์ ของหอยน้ำจดื สภาพแวดลอ้ มบรเิ วณนัน้ อาจเคย เป็นแหล่งนำ้ จดื มาก่อน และหากพบ ซากดกึ ดำบรรพ์ของพืช สภาพแวดลอ้ มบริเวณน้ัน อาจเคยเป็นป่ามากอ่ น นอกจากนี้ซากดึกดำบรรพ์ ยังสามารถใช้ระบุอายุของหิน และเป็นข้อมลู ในการศึกษาวิวฒั นาการของส่ิงมีชีวิต • ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกดิ จากพ้นื ดิน และพ้นื น้ำ ร้อนและเย็นไม่เท่ากันทำให้อุณหภมู ิ อากาศเหนอื พน้ื ดินและพนื้ น้ำแตกตา่ งกนั จงึ เกิด การเคล่ือนท่ีของอากาศจากบริเวณท่ีมีอุณหภูมิตำ่ ไปยงั บรเิ วณท่ีมีอุณหภูมสิ งู • ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจำถิน่ ท่ีพบบริเวณ ชายฝั่ง โดยลมบกเกิดในเวลากลางคนื ทำให้มี ลมพดั จากชายฝ่ังไปสู่ทะเล ส่วนลมทะเลเกดิ ใน เวลากลางวนั ทำให้มีลมพัดจากทะเลเข้าสู่ชายฝง่ั

37 ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 5. อธิบายผลของมรสุมต่อการเกิดฤดูของ • มรสมุ เป็นลมประจำฤดเู กิดบรเิ วณเขตร้อน ประเทศไทย ของโลก ซ่ึงเป็นบริเวณกว้างระดับภูมภิ าค ประเทศไทยได้รบั ผลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ จากข้อมูลท่รี วบรวมได้ ในช่วงประมาณกลางเดือนตุลาคมจนถึงเดอื น 6. บรรยายลักษณะและผลกระทบของน้ำ กมุ ภาพนั ธ์ทำใหเ้ กิดฤดูหนาว และไดร้ ับผลจาก ทว่ ม มรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ในช่วงประมาณกลางเดือน พฤษภาคมจนถงึ กลางเดือนตุลาคมทำให้เกิด การกัดเซาะชายฝง่ั ดนิ ถลม่ แผน่ ดนิ ไหว สึ ฤดูฝน ส่วนช่วงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ นามิ จนถึงกลางเดือนพฤษภาคมเป็นชว่ งเปลี่ยนมรสมุ 7. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบของภยั ธรรมชาติ และประเทศไทยอยใู่ กล้เส้นศูนย์สูตร แสงอาทิตย์ และ เกือบต้ังตรงและตงั้ ตรงประเทศไทยในเวลา เทยี่ งวนั ทำให้ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ธรณพี บิ ตั ภิ ยั โดยนำเสนอแนวทางในการ อย่างเต็มที่ อากาศจงึ ร้อนอบอ้าวทำใหเ้ กดิ ฤดูร้อน เฝา้ ระวังและปฏบิ ัติตนใหป้ ลอดภัยจากภัย ธรรมชาติ และธรณพี บิ ตั ิภัยทอี่ าจเกดิ ในทอ้ งถ่นิ • น้ำท่วม การกดั เซาะชายฝง่ั ดนิ ถลม่ แผน่ ดินไหว 8. สร้างแบบจำลองท่ีอธิบายการเกิด และสึนามิ มผี ลกระทบต่อชีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม แตกต่างกัน ปรากฏการณ์ • มนษุ ย์ควรเรียนรวู้ ิธีปฏิบตั ติ นใหป้ ลอดภัย เชน่ เรือนกระจก และผลของปรากฏการณเ์ รือน ติดตามข่าวสารอย่างสมำ่ เสมอ เตรียมถงุ ยังชีพ กระจก ใหพ้ ร้อมใช้ตลอดเวลา และปฏบิ ตั ติ ามคำสง่ั ของ ผู้ปกครองและเจ้าหนา้ ทอ่ี ยา่ งเคร่งครัดเมื่อเกดิ ต่อสง่ิ มชี วี ติ 9. ตระหนกั ถึงผลกระทบของปรากฏการณ์ เรือน ภัยธรรมชาติและธรณีพบิ ัตภิ ัย กระจก โดยนำเสนอแนวทางการปฏบิ ตั ิ ตนเพอ่ื • ปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดจากแก๊สเรือนกระจก ลดกจิ กรรมท่ีก่อใหเ้ กิดแกส๊ เรือนกระจก ในชั้นบรรยากาศของโลกกกั เกบ็ ความร้อนแล้ว คายความร้อนบางสว่ นกลบั สู่ผวิ โลก ทำให้อากาศ บนโลกมีอุณหภมู เิ หมาะสมต่อการดำรงชวี ติ • หากปรากฏการณเ์ รือนกระจกรนุ แรงมากขึน้ จะมีผลตอ่ การเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลก มนษุ ย์จึงควรรว่ มกนั ลดกิจกรรมทกี่ ่อให้เกิด แก๊สเรือนกระจก

38 สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพ่ือการดำรงชวี ิตในสังคมท่ีมกี ารเปล่ียนแปลง อย่าง รวดเรว็ ใชค้ วามรแู้ ละทกั ษะทางดา้ นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ ศาสตรอ์ ่นื ๆ เพื่อแกป้ ญั หาหรือพัฒนา งานอย่างมคี วามคิดสร้างสรรค์ ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคำนงึ ถึงผลกระทบต่อชีวิต สงั คม และสิ่งแวดล้อม ชนั้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.1 - - ป.2 - - ป.3 - - ป.4 - - ป.5 - - ป.6 - -

39 สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใชแ้ นวคดิ เชิงคำนวณในการแก้ปญั หาที่พบในชีวติ จริงอยา่ งเปน็ ขน้ั ตอนและ เปน็ ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแก้ปญั หาได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ รู้เทา่ ทนั และมีจริยธรรม ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.1 1. แก้ปญั หาอย่างงา่ ยโดยใช้การลองผดิ ลอง • การแก้ปญั หาให้ประสบความสำเร็จทำไดโ้ ดยใช้ ถูก ขนั้ ตอนการแก้ปัญหา การเปรยี บเทยี บ • ปญั หาอยา่ งง่าย เช่น เกมเขาวงกต เกมหา 2. แสดงลำดับขน้ั ตอนการทำงานหรือการ จดุ แตกต่างของภาพ การจัดหนงั สอื ใส่กระเป๋า แก้ปัญหา • การแสดงขน้ั ตอนการแก้ปัญหา ทำไดโ้ ดยการ อย่างง่ายโดยใชภ้ าพ สญั ลกั ษณ์ หรือ เขยี น บอกเลา่ วาดภาพ หรือใชส้ ัญลกั ษณ์ ข้อความ • ปัญหาอย่างง่าย เชน่ เกมเขาวงกต เกมหาจดุ 3. เขยี นโปรแกรมอย่างงา่ ย โดยใชซ้ อฟต์แวร์ แตกต่างของภาพ การจัดหนังสอื ใสก่ ระเปา๋ หรอื ส่อื • การเขียนโปรแกรมเป็นการสรา้ งลำดบั ของคำสั่ง 4. ใชเ้ ทคโนโลยีในการสร้าง จัดเกบ็ เรยี กใช้ ใหค้ อมพวิ เตอรท์ ำงาน ขอ้ มูล • ตัวอย่างโปรแกรม เช่น เขียนโปรแกรมสั่งให้ ตามวตั ถุประสงค์ ตวั ละครยา้ ยตำแหนง่ ย่อขยายขนาด เปลี่ยนรปู รา่ ง 5. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั • ซอฟต์แวร์หรอื ส่ือที่ใช้ในการเขยี นโปรแกรม เชน่ ปฏิบตั ิ ใชบ้ ตั รคำสัง่ แสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org ตามข้อตกลงในการใช้คอมพวิ เตอร์ร่วมกัน • การใชง้ านอุปกรณเ์ ทคโนโลยีเบ้อื งต้น เช่น การใช้ ดแู ล เมาส์ คยี บ์ อรด์ จอสัมผสั การเปดิ -ปิด อปุ กรณ์ รกั ษาอปุ กรณเ์ บ้ืองต้น ใชง้ านอยา่ ง เทคโนโลยี เหมาะสม • การใช้งานซอฟต์แวรเ์ บื้องต้น เช่น การเข้าและ ออกจากโปรแกรม การสร้างไฟล์ การจดั เกบ็ การเรยี กใช้ไฟล์ ทำไดใ้ นโปรแกรม เชน่ โปรแกรม ประมวลคำ โปรแกรมกราฟิก โปรแกรมนำเสนอ • การสร้างและจัดเกบ็ ไฟลอ์ ย่างเป็นระบบจะทำให้ เรยี กใช้ คน้ หาข้อมลู ได้ง่ายและรวดเร็ว • การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เช่น รจู้ ักขอ้ มูลส่วนตวั อันตรายจากการเผยแพร่ ขอ้ มูลส่วนตัว และไม่บอกข้อมูลสว่ นตวั กบั บคุ คลอ่นื แจ้งผู้เกย่ี วข้องเม่ือต้องการความช่วยเหลอื

40 ชน้ั ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • ขอ้ ปฏบิ ัติในการใช้งานและการดูแลรักษาอุปกรณ์ เชน่ ไมข่ ดี เขียนบนอุปกรณ์ ทำความสะอาด ใช้อุปกรณ์อยา่ งถูกวธิ ี • การใช้งานอย่างเหมาะสม เชน่ จัดทา่ นง่ั ใหถ้ กู ต้อง การพักสายตาเม่ือใชอ้ ุปกรณเ์ ป็นเวลานาน ระมดั ระวงั อุบัตเิ หตุจากการใชง้ าน ป.2 1. แสดงลำดบั ข้ันตอนการทำงานหรอื การ • การแสดงขัน้ ตอนการแกป้ ัญหา ทำได้โดยการเขียน แกป้ ญั หา บอกเลา่ วาดภาพ หรือใชส้ ญั ลักษณ์ อยา่ งง่ายโดยใช้ภาพ สัญลักษณ์ หรอื • ปัญหาอย่างง่าย เชน่ เกมตวั ต่อ 6-12 ช้ินการแต่งตวั ข้อความ มาโรงเรียน 2. เขยี นโปรแกรมอย่างง่าย โดยใชซ้ อฟต์แวร์ • ตวั อย่างโปรแกรม เชน่ เขยี นโปรแกรมส่ังให้ตวั ละคร หรือสื่อ และตรวจหาข้อผดิ พลาดของ ทำงานตามท่ตี ้องการ และตรวจสอบขอ้ ผดิ พลาด โปรแกรม ปรบั แก้ไขใหไ้ ด้ผลลัพธต์ ามที่กำหนด 3. ใชเ้ ทคโนโลยใี นการสรา้ ง จดั หมวดหมู่ • การตรวจหาขอ้ ผิดพลาด ทำไดโ้ ดยตรวจสอบคำสง่ั คน้ หา ทีแ่ จง้ ข้อผิดพลาด หรือหากผลลัพธไ์ ม่เป็นไปตาม จัดเกบ็ เรยี กใชข้ ้อมูลตามวตั ถุประสงค์ ทต่ี อ้ งการใหต้ รวจสอบการทำงานทลี ะคำส่งั • ซอฟต์แวร์หรือสื่อท่ีใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น 4. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างปลอดภัย ใชบ้ ัตรคำสง่ั แสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org ปฏิบตั ิ ตามข้อตกลงในการใชค้ อมพิวเตอรร์ ว่ มกัน • การใช้งานซอฟต์แวร์เบื้องต้น เชน่ การเข้า ดูแล และออกจากโปรแกรม การสร้างไฟล์ การจดั เกบ็ รักษาอปุ กรณ์เบ้อื งต้น ใชง้ านอยา่ ง การเรียกใช้ไฟล์ การแก้ไขตกแตง่ เอกสาร ทำได้ เหมาะสม ในโปรแกรม เช่น โปรแกรมประมวลคำโปรแกรม กราฟิก โปรแกรมนำเสนอ • การสร้าง คดั ลอก ย้าย ลบ เปลี่ยนชื่อ จดั หมวด หมไู่ ฟล์ และโฟลเดอร์อยา่ งเป็นระบบจะทำให้ เรียกใช้ คน้ หาข้อมลู ได้ง่ายและรวดเรว็ • การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั เช่น รู้จักข้อมูลส่วนตวั อันตรายจากการเผยแพร่ • ขอ้ ปฏบิ ัตใิ นการใชง้ านและการดูแลรกั ษาอปุ กรณ์ เช่น ไมข่ ีดเขียนบนอปุ กรณ์ ทำความสะอาด ใชอ้ ปุ กรณ์อย่างถกู วธิ ี

41 ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง • การใชง้ านอยา่ งเหมาะสม เช่น จดั ท่านง่ั ใหถ้ ูกต้อง การพักสายตาเมื่อใช้อปุ กรณ์เป็นเวลานาน ระมัดระวงั อบุ ตั เิ หตจุ ากการใช้งาน ป.3 1. แสดงอัลกอริทึมในการทำงานหรือการ • อัลกอริทึมเปน็ ขนั้ ตอนที่ใช้ในการแก้ปัญหา แกป้ ญั หา • การแสดงอลั กอริทึม ทำได้โดยการเขยี น บอกเล่า อย่างง่ายโดยใช้ภาพ สัญลกั ษณ์ หรอื วาดภาพ หรือใชส้ ญั ลกั ษณ์ ข้อความ • ตวั อย่างปญั หา เช่น เกมเศรษฐี เกมบนั ไดงเู กม 2. เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใชซ้ อฟต์แวร์ Tetris เกม OX การเดนิ ไปโรงอาหารการทำความ หรอื สอื่ และตรวจหาข้อผิดพลาดของ สะอาดห้องเรียน โปรแกรม • การเขียนโปรแกรมเปน็ การสรา้ งลำดบั ของคำสั่ง 3. ใช้อนิ เทอรเ์ นต็ ค้นหาความรู้ ใหค้ อมพวิ เตอร์ทำงาน • ตวั อยา่ งโปรแกรม เช่น เขียนโปรแกรมท่สี ง่ั ให้ ตวั ละครทำงานซำ้ ไม่สิ้นสดุ • การตรวจหาขอ้ ผดิ พลาด ทำได้โดยตรวจสอบคำส่ัง ท่ีแจ้งข้อผดิ พลาด หรือหากผลลพั ธ์ไมเ่ ปน็ ไปตาม ที่ตอ้ งการให้ตรวจสอบการทำงานทีละคำสั่ง • ซอฟต์แวรห์ รือสื่อที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เชน่ ใชบ้ ตั รคำส่ังแสดงการเขยี นโปรแกรม, Code.org • อินเทอรเ์ นต็ เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ช่วยให้ การตดิ ต่อส่อื สารทำไดส้ ะดวกและรวดเรว็ และเป็นแหล่งข้อมลู ความร้ทู ี่ช่วยในการเรยี น • เวบ็ เบราว์เซอร์เปน็ โปรแกรมสำหรับอา่ นเอกสาร บนเว็บเพจ • การสืบค้นขอ้ มลู บนอินเทอร์เนต็ ทำไดโ้ ดยใช้ เว็บไซต์สำหรบั สืบค้น และต้องกำหนดคำคน้ ทีเ่ หมาะสมจึงจะได้ข้อมลู ตามตอ้ งการ • ข้อมูลความรู้ เช่น วิธที ำอาหาร วธิ ีพับกระดาษ เปน็ รปู ต่าง ๆ ข้อมลู ประวัตศิ าสตร์ชาติไทย (อาจเป็นความรู้ในวิชาอ่นื ๆ หรือเรอ่ื งท่เี ปน็ ประเด็นทีส่ นใจในชว่ งเวลานั้น) • การใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ อย่างปลอดภยั ควรอยู่ในการดแู ล

42 ชน้ั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง 4. รวบรวม ประมวลผล และนำเสนอข้อมลู • การรวบรวมข้อมลู ทำได้โดยกำหนดหวั ขอ้ โดยใช้ ทีต่ อ้ งการ เตรียมอุปกรณใ์ นการจดบนั ทกึ ซอฟต์แวร์ตามวัตถปุ ระสงค์ • การประมวลผลอย่างงา่ ย เช่น เปรยี บเทียบ 5. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั จดั กลุ่ม เรียงลำดบั ปฏิบัติ • การนำเสนอข้อมลู ทำได้หลายลกั ษณะตามความ เหมาะสม เช่น การบอกเลา่ การทำเอกสารรายงาน ตามข้อตกลงในการใช้อินเทอรเ์ นต็ การจัดทำปา้ ยประกาศ • การใช้ซอฟต์แวร์ทำงานตามวัตถปุ ระสงค์ เช่น ใชซ้ อฟต์แวร์นำเสนอ หรอื ซอฟต์แวร์กราฟิก สรา้ งแผนภูมิรูปภาพ ใชซ้ อฟตแ์ วรป์ ระมวลคำ ทำป้ายประกาศหรือเอกสารรายงาน ใชซ้ อฟตแ์ วร์ ตารางทำงานในการประมวลผลขอ้ มูล • การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เชน่ ปกปอ้ งข้อมลู ส่วนตัว • ขอความช่วยเหลือจากครูหรือผ้ปู กครอง เมื่อ เกิดปัญหาจากการใช้งาน เมื่อพบข้อมลู หรอื บุคคลทที่ ำให้ไม่สบายใจ • การปฏิบตั ติ ามข้อตกลงในการใช้อนิ เทอรเ์ น็ตจะทำให้ ไมเ่ กิดความเสยี หายต่อตนเองและผู้อ่ืนเช่น ไม่ใชค้ ำ หยาบ ลอ้ เลียน ดา่ ทอ ทำใหผ้ ู้อ่ืนเสยี หายหรือเสียใจ • ข้อดแี ละข้อเสียในการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ และการสื่อสาร ป.4 1. ใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะในการแกป้ ญั หา การ • การใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะเป็นการนำกฎเกณฑ์ อธบิ าย หรือเง่ือนไขที่ครอบคลุมทุกกรณีมาใชพ้ ิจารณา การทำงาน การคาดการณผ์ ลลัพธ์ จาก ในการแกป้ ัญหา การอธบิ ายการทำงาน หรอื ปญั หา การคาดการณ์ผลลัพธ์ อย่างง่าย • สถานะเริม่ ต้นของการทำงานท่แี ตกตา่ งกันจะให้ ผลลัพธท์ ี่แตกตา่ งกนั • ตวั อย่างปัญหา เชน่ เกม OX โปรแกรมทมี่ กี าร คำนวณ โปรแกรมที่มีตัวละครหลายตัวและมกี าร ส่งั งานทีแ่ ตกตา่ งหรือมกี ารส่ือสารระหว่างกัน

43 ช้นั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 2. ออกแบบ และเขยี นโปรแกรมอย่างง่าย • การออกแบบโปรแกรมอยา่ งง่าย เช่น การออกแบบ โดยใชซ้ อฟต์แวรห์ รือสือ่ และตรวจหา โดยใช้ storyboard หรอื การออกแบบอัลกอริทึม ข้อผดิ พลาดและแก้ไข • การเขยี นโปรแกรมเปน็ การสร้างลำดับของคำสง่ั 3. ใช้อินเทอร์เน็ตคน้ หาความรู้ และประเมนิ ใหค้ อมพิวเตอร์ทำงาน เพอ่ื ให้ได้ผลลพั ธต์ าม ความนา่ เช่อื ถือของข้อมลู ความต้องการ หากมีข้อผดิ พลาดให้ตรวจสอบ 4. รวบรวม ประเมิน นำเสนอขอ้ มลู และ การทำงานทีละคำสัง่ เมอื่ พบจดุ ทท่ี ำใหผ้ ลลัพธ์ สารสนเทศโดยใชซ้ อฟต์แวร์ท่ีหลากหลาย ไม่ถูกต้อง ใหท้ ำการแก้ไขจนกว่าจะไดผ้ ลลัพธ์ ท่ถี ูกต้อง เพื่อแกป้ ญั หาในชวี ติ ประจำวัน • ตัวอยา่ งโปรแกรมที่มเี ร่ืองราว เช่น นทิ านท่มี ี การโต้ตอบกับผูใ้ ช้ การ์ตูนสั้น เล่ากิจวตั รประจำวนั ภาพเคลือ่ นไหว • การฝกึ ตรวจหาข้อผดิ พลาดจากโปรแกรมของผ้อู ่ืน จะชว่ ยพฒั นาทักษะการหาสาเหตขุ องปัญหาได้ดี ยง่ิ ขึ้น • ซอฟต์แวร์ท่ีใช้ในการเขยี นโปรแกรม เช่น Scratch, logo • การใชค้ ำค้นท่ีตรงประเดน็ กระชับ จะทำใหไ้ ด้ ผลลัพธ์ที่รวดเรว็ และตรงตามความต้องการ • การประเมินความน่าเชือ่ ถือของขอ้ มูล เช่น พิจารณาประเภทของเวบ็ ไซต์ (หนว่ ยงานราชการ สำนกั ข่าว องค์กร) ผเู้ ขียน วนั ทเ่ี ผยแพรข่ ้อมูล • เมื่อได้ข้อมลู ที่ต้องการจากเวบ็ ไซตต์ ่าง ๆ จะตอ้ ง นำเน้ือหามาพจิ ารณา เปรยี บเทยี บ แลว้ เลอื ก ข้อมูลที่มคี วามสอดคล้องและสมั พันธก์ นั • การทำรายงานหรือการนำเสนอข้อมลู จะต้อง นำข้อมลู มาเรียบเรยี ง สรปุ เป็นภาษาของตนเอง ที่เหมาะสมกบั กล่มุ เป้าหมายและวธิ กี ารนำเสนอ (บูรณาการกบั วชิ าภาษาไทย) • การรวบรวมข้อมลู ทำไดโ้ ดยกำหนดหัวขอ้ ทต่ี อ้ งการ เตรียมอุปกรณ์ในการจดบันทึก • การประมวลผลอย่างง่าย เช่น เปรยี บเทียบจดั กลมุ่

44 ชน้ั ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง 5. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย • วิเคราะห์ผลและสรา้ งทางเลือกท่ีเป็นไปได้ เขา้ ใจ ประเมนิ ทางเลือก (เปรยี บเทียบ ตดั สนิ ) สิทธแิ ละหน้าที่ของตน เคารพในสทิ ธิของ • การนำเสนอข้อมูลทำได้หลายลักษณะตามความ ผู้อน่ื เหมาะสม เช่น การบอกเลา่ เอกสารรายงาน แจ้งผเู้ ก่ยี วข้องเม่ือพบข้อมูลหรอื บุคคลท่ี โปสเตอร์ โปรแกรมนำเสนอ ไมเ่ หมาะสม • การใช้ซอฟต์แวรเ์ พ่ือแก้ปัญหาในชีวติ ประจำวัน เชน่ การสำรวจเมนูอาหารกลางวนั โดยใช้ ซอฟตแ์ วร์สร้างแบบสอบถามและเก็บขอ้ มลู ใช้ ซอฟต์แวร์ตารางทำงานเพื่อประมวลผลข้อมลู รวบรวมขอ้ มลู เกยี่ วกับคุณค่าทางโภชนาการและ สรา้ งรายการอาหารสำหรับ 5 วนั ใช้ซอฟตแ์ วร์ นำเสนอผลการสำรวจรายการอาหารท่เี ปน็ ทางเลอื กและขอ้ มลู ด้านโภชนาการ • การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภัย เข้าใจ สทิ ธแิ ละหนา้ ทีข่ องตน เคารพในสทิ ธิของผู้อนื่ เชน่ ไม่สรา้ งขอ้ ความเท็จและส่งให้ผอู้ ่ืน ไม่สร้าง ความเดือดร้อนต่อผูอ้ น่ื โดยการสง่ สแปม ข้อความลูกโซ่ ส่งต่อโพสตท์ ี่มขี ้อมูลสว่ นตัวของผู้อน่ื สง่ คำเชิญเลน่ เกม ไมเ่ ข้าถงึ ข้อมูลสว่ นตวั หรือ การบา้ นของบคุ คลอนื่ โดยไม่ไดร้ ับอนุญาต ไมใ่ ช้ เครื่องคอมพวิ เตอร์/ชอื่ บญั ชขี องผอู้ ื่น • การสอ่ื สารอยา่ งมมี ารยาทและรกู้ าลเทศะ • การปกป้องข้อมลู ส่วนตัว เช่น การออกจากระบบ เมอ่ื เลิกใช้งาน ไม่บอกรหสั ผ่าน ไม่บอกเลข ประจำตวั ประชาชน ป.5 1. ใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะในการแก้ปัญหา การ • การใช้เหตผุ ลเชิงตรรกะเปน็ การนำกฎเกณฑ์ หรือ อธบิ ายการทำงาน การคาดการณผ์ ลลัพธ์ เง่อื นไขท่ีครอบคลมุ ทุกกรณีมาใช้พจิ ารณาในการ จากปญั หาอย่างง่าย แกป้ ัญหา การอธิบายการทำงาน หรือการคาดการณ์ ผลลัพธ์ • สถานะเร่มิ ต้นของการทำงานที่แตกต่างกนั จะให้ ผลลพั ธท์ ่ีแตกต่างกนั

45 ช้นั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง 2. ออกแบบ และเขยี นโปรแกรมท่มี ีการใช้ • การออกแบบโปรแกรมสามารถทำได้โดยเขยี น เหตผุ ลเชงิ ตรรกะอย่างงา่ ย ตรวจหา เปน็ ข้อความหรือผังงาน ข้อผิดพลาดและแก้ไข • การออกแบบและเขียนโปรแกรมท่ีมีการตรวจสอบ 3. ใช้อนิ เทอร์เน็ตคน้ หาข้อมูล ตดิ ต่อสอื่ สาร เง่อื นไขท่ีครอบคลุมทุกกรณเี พอ่ื ให้ไดผ้ ลลัพธ์ และทำงานรว่ มกัน ประเมินความ ที่ถกู ต้องตรงตามความต้องการ นา่ เชอื่ ถอื ของข้อมลู • หากมีข้อผิดพลาดใหต้ รวจสอบการทำงาน ทลี ะคำสง่ั เมื่อพบจุดท่ีทำใหผ้ ลลัพธไ์ ม่ถูกต้อง ใหท้ ำการแก้ไขจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ท่ีถกู ต้อง • การฝกึ ตรวจหาขอ้ ผดิ พลาดจากโปรแกรมของ ผอู้ ื่น จะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตขุ อง ปัญหาไดด้ ียง่ิ ข้ึน • ตวั อยา่ งโปรแกรม เชน่ โปรแกรมตรวจสอบเลขคู่ เลขค่ี โปรแกรมรับข้อมูลน้ำหนักหรือสว่ นสงู แลว้ แสดงผลความสมส่วนของรา่ งกาย โปรแกรม สั่งให้ตวั ละครทำตามเง่ือนไขท่กี ำหนด • ซอฟต์แวร์ท่ีใช้ในการเขยี นโปรแกรม • การค้นหาข้อมลู ในอินเทอรเ์ นต็ และการพิจารณา ผลการคน้ หา • การติดต่อสื่อสารผ่านอนิ เทอรเ์ นต็ เช่น อีเมล บล็อก โปรแกรมสนทนา • การเขียนจดหมาย (บูรณาการกับวิชาภาษาไทย) • การใช้อนิ เทอรเ์ น็ตในการตดิ ตอ่ สือ่ สารและทำงาน รว่ มกัน เชน่ ใช้นัดหมายในการประชุมกลุ่ม ประชาสัมพันธก์ จิ กรรมในห้องเรียน การแลกเปลี่ยน ความรู้ ความคดิ เหน็ ในการเรียน ภายใต้การดูแล ของครู • การประเมนิ ความนา่ เช่อื ถอื ของขอ้ มลู เชน่ เปรียบเทียบความสอดคล้อง สมบูรณ์ของข้อมลู จากหลายแหล่ง แหล่งตน้ ตอของขอ้ มูล • ขอ้ มลู ท่ดี ีต้องมีรายละเอียดครบทุกดา้ น เช่น ข้อดี และข้อเสยี ประโยชน์และโทษ

46 ชนั้ ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 4. รวบรวม ประเมนิ นำเสนอขอ้ มูลและ สารสนเทศ • การรวบรวมขอ้ มูล ประมวลผล สรา้ งทางเลอื ก ตามวัตถุประสงค์โดยใช้ซอฟต์แวรห์ รือ ประเมินผล จะทำใหไ้ ดส้ ารสนเทศเพ่ือใช้ในการ บริการ แกป้ ัญหาหรือการตดั สนิ ใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ บนอินเทอร์เน็ตท่ีหลากหลาย เพื่อ • การใช้ซอฟต์แวรห์ รอื บรกิ ารบนอินเทอรเ์ น็ต แกป้ ญั หา ท่ีหลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล ในชวี ิตประจำวัน สรา้ งทางเลอื ก ประเมนิ ผล นำเสนอ จะชว่ ยให้ 5. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั มี การแก้ปัญหาทำไดอ้ ย่างรวดเร็ว ถกู ต้อง และ มารยาท แมน่ ยำ เขา้ ใจสทิ ธแิ ละหน้าท่ขี องตน เคารพใน • ตวั อย่างปัญหา เชน่ ถา่ ยภาพ และสำรวจแผนที่ สิทธิของ ในท้องถน่ิ เพื่อนำเสนอแนวทางในการจดั การ ผอู้ ื่น แจง้ ผ้เู ก่ียวข้องเม่ือพบข้อมลู หรอื พื้นท่วี า่ งให้เกิดประโยชน์ ทำแบบสำรวจความ บุคคล คิดเห็นออนไลน์ และวิเคราะหข์ อ้ มูล นำเสนอข้อมูล ท่ีไม่เหมาะสม โดยการใช้ blog หรอื web page ป.6 1. ใชเ้ หตุผลเชงิ ตรรกะในการอธิบายและ • อันตรายจากการใช้งานและอาชญากรรม ออกแบบ ทางอนิ เทอร์เนต็ วธิ ีการแกป้ ัญหาที่พบในชวี ิตประจำวัน • มารยาทในการติดต่อส่ือสารผ่านอินเทอร์เน็ต (บรู ณาการกบั วชิ าท่ีเกี่ยวข้อง) • การแกป้ ัญหาอยา่ งเปน็ ขน้ั ตอนจะช่วยใหแ้ กป้ ญั หา ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ • การใช้เหตผุ ลเชิงตรรกะเป็นการนำกฎเกณฑ์ หรือ เงอื่ นไขที่ครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณา ในการแก้ปญั หา • แนวคิดของการทำงานแบบวนซ้ำ และเง่อื นไข • การพจิ ารณากระบวนการทำงานท่มี ีการทำงาน แบบวนซำ้ หรือเง่ือนไขเปน็ วิธีการทจ่ี ะชว่ ย ให้การออกแบบวธิ ีการแก้ปัญหาเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ • ตวั อย่างปญั หา เชน่ การคน้ หาเลขหน้าที่ต้องการ ให้เร็วทสี่ ดุ การทายเลข 1-1,000,000 โดย ตอบให้ถูกภายใน 20 คำถาม การคำนวณเวลา ในการเดนิ ทาง โดยคำนงึ ถึงระยะทาง เวลา