แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 14 กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา ว30205 รายวิชา ฟิสกิ ส์ 5 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 ช่อื หน่วยการเรียนรู้ ความรอ้ นและทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ เรอื่ ง ความรอ้ น วันท…ี่ …….เดือน……………พ.ศ……………… เวลา……………………น. จานวน 2 ชวั่ โมง ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ผสู้ อน นางสาวไข่มุก สพุ ร สาระฟสิ ิกส์ 4. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยุ่นของ วัสดุและมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอาร์คิมีดิส ความตึงผิวและแรงหนืดของ ของเหลว ของไหลอุดมคติ และสมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของแกส๊ อุดมคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรังสี แรงนวิ เคลียร์ ปฏกิ ิริยานวิ เคลียร์ พลงั งานนวิ เคลียร์ ฟิสิกสอ์ นุภาค รวมท้ังนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ผลการเรียนรู้ อธิบายและคานวณความร้อนที่ทาใหส้ สารเปลี่ยนอุณหภมู ิ ความร้อนที่ทาให้สสารเปล่ียนสถานะและ ความร้อนทีเ่ กิดจากการถ่ายโอนตามกฎการอนรุ ักษ์พลงั งาน จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. นักเรยี นอธิบายความหมายของระดบั อุณหภูมิหรอื สเกลอณุ หภมู ิได้ (K) 2. นักเรียนอธิบายผลหลักการเปลี่ยนอณุ หภูมแิ ละการเปลี่ยนสถานะของสสารได้ (K) 3. นักเรียนสืบค้นความหมายของอุณหภูมิ ระดับอุณหภูมิ หรือสเกลอุณหภูมิได้ และหลักการเปลีย่ น อณุ หภูมิและการเปล่ียนสถานะของสสารได้ (P) 4. ความใฝเ่ รยี นรแู้ ละอยากร้อู ยากเหน็ (A) สาระการเรยี นรู้ เมื่อสสารได้รับหรือคายความร้อน สสารอาจมีอุณหภูมิเปลี่ยนไป และสสารอาจเปลี่ยนสถานะโดยไม่ เปลี่ยนอุณหภูมิ ซึ่งปริมาณความร้อนที่ทาให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิ คานวณได้จากสมการ Q=mcΔT ส่วน ปริมาณของพลังงานความร้อนท่ที าให้สสารเปลี่ยนสถานะคานวณไดจ้ ากสมการ Q=mL
สาระสาคญั ความร้อน คอื พลงั งานรปู หน่งึ ซึ่งจะถา่ ยเทจากวตั ถทุ ีม่ อี ณุ หภมู ิสงู ไปสวู่ ัตถุทมี่ ีอณุ หภมู ติ ่ากวา่ พลังงาน 1 แคลอรี คือ พลังงานความร้อนที่ทาให้น้าที่มีมวล 1 กรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเชล เซียส (ในช่วง 14.5 ºC ถึง 15.5 ºC) พลงั งาน 1 บีทยี ู คอื พลังงานความรอ้ นท่ีทาให้นา้ มวล 1 ปอนด์ มีอุณหภูมเิ พม่ิ ข้นึ 1 องศาฟาเรนไฮต์ (ในช่วง 58.1 ºF ถึง 59.1 ºF) หน่วยของพลังงานความร้อน (thermal energy) ทีน่ ยิ มใช้ มดี งั นี้ 1) จลู (Joule, J) 2) แคลอรี (Calorie, cal) 3) บที ียู (British Thermal Unit, BTU) (ข้อสงั เกต: ในระบบ S1 ของพลังงานความร้อน มหี นว่ ยเปน็ กูล (J) การเปล่ยี นหน่วยของพลงั งานความร้อน 1 cal = 4.186 J 1 BTU = 252 cal = 1,055 J อุณหภูมิ (temperature) คือ ระดับของความร้อน หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ค่าอย่างหนึ่งท่ี เกีย่ วข้องกับพลงั งานจลนข์ องโมเลกุลของระบบ เทอร์มอมเิ ตอร์ คือ เครอื่ งมอื ที่ใช้สาหรับวัดอณุ หภูมิ แบง่ เปน็ 4 ชนิด คือ 1) แบบเซลเชียส แบง่ สเกลไว้ 100 ช่อง มีจดุ เยือกแข็ง 0 ºC จดุ เดอื ด 100 ºC 2) แบบฟาเรนไฮต์ แบง่ สเกลไว้ 180 ชอ่ ง มีจดุ เยือกแขง็ 32 ºF จุดเดือด 212 \" 3) แบบโรเมอร์ แบง่ สเกลไว้ 80 ช่อง มีจดุ เยอื กแข็ง 0 'R จุดเดือด 80 R 4) แบบเคลวิน แบง่ สเกลไว้ 100 ช่อง มีจดุ เยือกแข็ง 273.16 K จุดเดือด 373.16 K ความจุความร้อน (heat capacity) หมายถึง ปริมาณพลังงานความร้อนที่ทาให้วัตถุมีอุณหภูมิ เปล่ียนไป 1 หนว่ ยองศา นิยาม C = Δ������ ΔT โดยท่ี C = ความจคุ วามรอ้ น (J/K) ΔQ = พลังงานความรอ้ น (J) ΔT = อุณหภมู ิท่เี ปลีย่ นแปลง (K)
ความรอ้ นจาเพาะ (specific heat) หมายถงึ ปริมาณพลังงานความร้อนท่ีจะทาให้วัตถุมวล 1 หนว่ ย มอี ุณหภมู เิ ปลี่ยนไป 1 หนว่ ยองศา สูตร Q = mcΔT โดยท่ี c = ความร้อนจาเพาะ (J/Kg.K) m = มวลของวัตถุ (kg) สถานะของสาร มี 3 สถานะ ดงั นี้ 1) ของแข็ง (solid) คือ สารที่มีแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลมาก ทาให้โมเลกุลอยู่ใกล้กันเมื่อมีแรงมา กระทารปู ทรงจะไม่เปล่ยี นแปลงมาก เช่น เหลก็ , ทองแดง, กอ้ นหิน 2) ของเหลว (liquid) คอื สารท่ีมแี รงดงึ ดูดระหวา่ งโมเลกลุ นอ้ ย โมเลกุลจงึ เคลือ่ นท่ีไปมาได้บา้ ง ทาให้ รูปทรงของของเหลวเปล่ียนแปลงไปตามภาชนะทีบ่ รรจุ เชน่ น้า, น้ามัน, ปรอท 3) แก๊ส (gas) คือ สารที่มีแรงดึงดูดระหวา่ งโมเลกุลน้อยมาก จนโมเลกุลของแก๊สอยู่ห่างกันมาก และ เคลอ่ื นท่ฟี ุง้ กระจายเตม็ ภาชนะทบี่ รรจุ เช่น อากาศ, ออกซิเจน ความร้อนแฝง หมายถึง ค่าพลังงานความร้อนที่ทาให้วัตถุทั้งก้อนเปลี่ยนสถานะ โดยอุณหภูมิไม่ เปลยี่ น สูตร Q = mL โดยที่ L = ความร้อนแฝง (J/kg) ข้อสังเกต : ความรอ้ นแฝงของการหลอมเหลวของนา้ = 333 KJ /kg = 333 J/g ความรอ้ นแฝงของการกลายเปน็ ไอของน้า = 2,256 kJ/kg = 2,256 J/g ความร้อนแฝงจาเพาะ หมายถึง ค่าพลังงานความร้อนที่ทาให้วัตถุมวล 1 หน่วย เปลี่ยนสถานะโดย อณุ หภมู ไิ มเ่ ปล่ียน การถ่ายโอนความร้อน คือ การส่งผ่านความร้อนจากวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปสู่อีกวัตถุหนึ่งที่มี อณุ หภมู ิตา่ กว่า การถ่ายโอนความร้อนมี 3 รปู แบบ ดังน้ี 1) การนาความร้อน 2) การพาความร้อน 3) การแผ่รงั สคี วามรอ้ น การนาความร้อน คือ การถ่ายโอนพลังงานความร้อนผา่ นตวั นาความร้อน โดยโมเลกุลของตัวนาไม่ได้ เคลื่อนตามไป โดยมากเป็นโลหะประเภทต่าง ๆ ทาหน้าทีเ่ ป็นตัวนาความร้อน เชน่ การนาความร้อนของโลหะ ท่ีถูกเผาไฟที่ปลายขา้ งหนึง่ ส่งผ่านความร้อนไปยังปลายอีกข้างหนง่ึ การพาความร้อน คอื กระบวนการถ่ายโอนพลังงานความร้อน โดยอาศัยการเคล่ือนท่ีของโมเลกุลของ สารเป็นพาหะพาความร้อนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เช่น การพาความร้อนของน้าจากก้นภาชนะ ไปยังผิว ดา้ นบนทีเ่ ย็นกวา่ การแผ่รังสีความร้อน คือ การส่งพลังงานความร้อนโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง เช่น การเคลื่อนที่ของ คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
สมรรถนะสาคัญ ความสามารถในการคดิ - ทักษะการคิดวเิ คราะห์ - ทกั ษะการคดิ สังเคราะห์ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (จิตวทิ ยาศาสตร)์ ความใฝ่เรียนรู้และมีความอยากรู้อยากเห็น นักเรียนแสดงออกถึงความตั้งใจความต้องการทีจ่ ะรู้และ เสาะแสวงหาความร้เู กยี่ วกบั สงิ่ ต่างๆ ทีสนใจหรือต้องการค้นพบส่งิ ใหม่ แสดงออกไดโ้ ดยการถามคาถาม หรอื มี ความสงสัยในสิ่งที่สนใจอยากรู้ มีความกระตือรือร้นในการเสาะแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจ เพียร พยายามในการเรียนและการทากจิ กรรมต่างๆ แสวงหาความรู้จากแหลง่ เรียนรู้ต่างๆ อยูเ่ สมอ โดยการเลือกใช้ สื่ออย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอด เผยแพร่ และ นาไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้ ช้ินงาน/ภาระงาน ใบงานที่ 2.1 ความรอ้ น กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอนใชร้ ปู แบบวงจรการเรียนรู้ 5 ขนั้ ตอน (5E Learning Cycle model) ข้ันท่ี 1 ขนั้ สร้างความสนใจ ( 15 นาที ) 1. ครูทบทวนบทเรยี นทผี่ า่ นมา เร่ือง ไฟฟ้าและแม่เหลก็ ไฟฟ้า 2. ครูต้ังคาถามเพื่อนาเข้าสู่บทเรียนใหม่ เรอ่ื ง ความร้อนและทฤษฎจี ลน์ของแก๊ส ดังน้ี - บอลลนู สามารถลอยข้นึ ไปบนทอ้ งฟ้าไดเ้ กดิ จากสง่ิ ใดและมีหลกั การอย่างไร (แนวคาตอบ ครูบอลลูนสามารถลอยขึ้นได้โดยอาศัยหลักการของแก๊สตามกฎของชาร์ล โดยท่ี อากาศร้อนเกิดจากการเผาไหม้ของแกส๊ โพรเพนจากบรเิ วณฐานบอลลูน ส่งผลใหอ้ ากาศภายในบอลลูนร้อนขึ้น โมเลกุลของอากาศเกิดการขยายตัว ความหนาแน่นของอากาศภายในน้อยกว่าภายนอก และเนื่องจากภายใต้ ความดันบรรยากาศที่เท่ากันจึงเกิดแรงลอยตัว บอลลูนจึงลอยขึ้นด้านบนได้) โดยเมื่อนักเรียนศึกษาเรียนรูจ้ น จบหน่วยการเรียนรนู้ ีแ้ ล้ว นกั เรยี นจะต้องตอบคาถามและให้เหตุผลของข้อคาถามนไ้ี ด้ 3. ครตู ้ังคาถามเพื่อนาเข้าสู่การทากิจกรรม เรื่อง ความร้อน ดังน้ี - สง่ิ ใดทีม่ ีผลตอ่ การเปล่ียนสถานะของสสาร (แนวคาตอบ ความรอ้ น ซง่ึ เปน็ ปัจจัยสาคัญอย่างหน่งึ ท่มี ีผลโดยตรงตอ่ สถานะของสสาร)
ขั้นท่ี 2 ขน้ั สารวจและคน้ หา ( 45 นาที ) 4. ให้นักเรียนแบ่งกลมุ่ กลุม่ ละ 4 - 5 คน และให้ตัวแทนกลมุ่ มารับใบงาน 5. นักเรียนแตล่ ะกลุม่ ศกึ ษากจิ กรรมจากใบงานที่ 2.1 ความร้อน 6. ครูชแี้ จงจดุ ประสงคแ์ ละวิธกี ารปฏิบัติกจิ กรรมให้นักเรียนทราบ 7. นกั เรียนลงมอื ปฏิบัตกิ จิ กรรม และรายงานผล ขั้นที่ 3 ข้ันสร้างคาอธิบายและลงข้อสรุป ( 30 นาที ) 8. นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ส่งตัวแทนออกมานาเสนอผลการปฏบิ ัติกจิ กรรมหน้าชั้น 9. ครใู ห้นักเรียนร่วมกันอภปิ รายเพือ่ นาไปสู่การสรปุ โดยใชค้ าถามต่อไปนี้ - จากการทากิจกรรม นกั เรยี นทราบหรอื ไมว่ ่าความรอ้ นมีความหมายว่าอย่างไร (แนวคาตอบ ความร้อนเป็นพลังงานรปู หนงึ่ ท่สี ะสมอยใู่ นรูปพลังงานจลน์ของโมเลกุลของวตั ถุ) - หนว่ ยทใ่ี ชใ้ นการวัดปริมาณความร้อนของสาร นอกจากหนว่ ยจลู แล้ว ยังมีหน่วยใดอีกบ้างและ มีค่าเทา่ ใดเม่ือเทียบกบั หน่วยจลู (แนวคาตอบ หนว่ ยแคลอรี โดยท่ี 1 แคลอรี มีคา่ เท่ากับ 4.2 จลู และหนว่ ยบที ียู โดยท่ี 1 บีทียู มคี า่ เท่ากับ 252 แคลอรี หรือ 1,055 จูล) 10. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกย่ี วกับ เรอ่ื ง ความร้อน ดังนี้ ความร้อน คือ พลังงานรูปหน่ึง ซึ่งจะถา่ ยเทจากวัตถุทีม่ ีอณุ หภมู สิ ูง ไปสวู่ ัตถุทม่ี อี ณุ หภมู ิตา่ กว่า พลังงาน 1 แคลอรี คือ พลังงานความร้อนที่ทาให้น้าที่มีมวล 1 กรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศาเชล เซยี ส (ในชว่ ง 14.5 ºC ถึง 15.5 ºC) พลังงาน 1 บที ยี ู คอื พลังงานความร้อนท่ีทาใหน้ ้ามวล 1 ปอนด์ มีอณุ หภูมิเพิม่ ขึน้ 1 องศาฟาเรนไฮต์ (ในช่วง 58.1 ºF ถึง 59.1 ºF) หน่วยของพลังงานความร้อน (thermal energy) ทีน่ ยิ มใช้ มดี ังนี้ 1) จลู (Joule, J) 2) แคลอรี (Calorie, cal) 3) บที ียู (British Thermal Unit, BTU) (ข้อสังเกต: ในระบบ S1 ของพลังงานความรอ้ น มีหนว่ ยเปน็ กลู (J) การเปลี่ยนหน่วยของพลังงานความร้อน 1 cal = 4.186 J 1 BTU = 252 cal = 1,055 J อุณหภูมิ (temperature) คือ ระดับของความร้อน หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ค่าอย่างหนึ่งท่ี เกยี่ วขอ้ งกับพลังงานจลน์ของโมเลกุลของระบบ ความจุความร้อน (heat capacity) หมายถึง ปริมาณพลังงานความร้อนที่ทาให้วัตถุมีอุณหภูมิ เปลย่ี นไป 1 หน่วยองศา
นิยาม C = Δ������ ΔT โดยที่ C = ความจุความรอ้ น (J/K) ΔQ = พลงั งานความร้อน (J) ΔT = อณุ หภมู ิท่เี ปล่ยี นแปลง (K) ความรอ้ นจาเพาะ (specific heat) หมายถึง ปรมิ าณพลงั งานความรอ้ นทีจ่ ะทาให้วัตถมุ วล 1 หน่วย มีอุณหภูมเิ ปล่ียนไป 1 หนว่ ยองศา สตู ร Q = mcΔT โดยที่ c = ความรอ้ นจาเพาะ (J/Kg.K) m = มวลของวัตถุ (kg) สถานะของสาร มี 3 สถานะ ดงั น้ี 1) ของแข็ง (solid) คือ สารที่มีแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลมาก ทาให้โมเลกุลอยู่ใกล้กันเมื่อมีแรงมา กระทารูปทรงจะไมเ่ ปลีย่ นแปลงมาก เชน่ เหลก็ , ทองแดง, ก้อนหนิ 2) ของเหลว (liquid) คอื สารท่ีมีแรงดงึ ดดู ระหวา่ งโมเลกลุ น้อย โมเลกุลจึงเคลอ่ื นทไี่ ปมาได้บา้ ง ทาให้ รปู ทรงของของเหลวเปลย่ี นแปลงไปตามภาชนะทบ่ี รรจุ เชน่ นา้ , นา้ มนั , ปรอท 3) แก๊ส (gas) คือ สารที่มีแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลน้อยมาก จนโมเลกุลของแก๊สอยู่ห่างกันมาก และ เคลอื่ นที่ฟุง้ กระจายเต็มภาชนะทบ่ี รรจุ เชน่ อากาศ, ออกซิเจน ความร้อนแฝง หมายถึง ค่าพลังงานความร้อนที่ทาให้วัตถุทั้งก้อนเปลี่ยนสถานะ โดยอุณหภูมิไม่ เปลยี่ น สตู ร Q = mL โดยที่ L = ความรอ้ นแฝง (J/kg) ข้อสังเกต : ความร้อนแฝงของการหลอมเหลวของน้า = 333 KJ /kg = 333 J/g ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอของนา้ = 2,256 kJ/kg = 2,256 J/g ความร้อนแฝงจาเพาะ หมายถึง ค่าพลังงานความร้อนที่ทาให้วัตถุมวล 1 หน่วย เปลี่ยนสถานะโดย อณุ หภูมไิ ม่เปล่ยี น การถ่ายโอนความร้อน คือ การส่งผ่านความร้อนจากวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงกว่าไปสู่อีกวัตถุหนึ่งที่มี อณุ หภมู ิตา่ กว่า การถา่ ยโอนความรอ้ นมี 3 รูปแบบ ดงั นี้ 1) การนาความร้อน 2) การพาความร้อน 3) การแผ่รงั สคี วามร้อน การนาความร้อน คือ การถ่ายโอนพลังงานความรอ้ นผ่านตัวนาความร้อน โดยโมเลกุลของตัวนาไม่ได้ เคลื่อนตามไป โดยมากเปน็ โลหะประเภทต่าง ๆ ทาหน้าท่ีเปน็ ตัวนาความร้อน เช่น การนาความร้อนของโลหะ ทถ่ี ูกเผาไฟทปี่ ลายข้างหน่ึง สง่ ผา่ นความรอ้ นไปยังปลายอีกขา้ งหนึ่ง
การพาความร้อน คอื กระบวนการถ่ายโอนพลังงานความร้อน โดยอาศัยการเคล่ือนท่ีของโมเลกุลของ สารเป็นพาหะพาความร้อนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เช่น การพาความร้อนของน้าจากก้นภาชนะ ไปยังผิว ดา้ นบนทีเ่ ยน็ กว่า การแผ่รังสีความร้อน คือ การส่งพลังงานความร้อนโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง เช่น การเคลื่อนที่ของ คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า ข้นั ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้ ( 15 นาที ) 11. ครเู ปิดวดิ ีทัศน์การเรียนรู้ เร่อื ง การถา่ ยโอนความร้อน เพื่อยกตวั อย่างการถ่ายโอนความร้อนท่ีพบได้ ในชีวิตประจาวันให้นักเรียนได้เข้าใจมากขึ้น เป็นการเชื่อมโยงความรู้ที่เรียนเข้าสู่การดารงชีวิตใน ชีวิตประจาวัน ข้ันที่ 5 ประเมนิ ผล ( 15 นาที ) 12. ครูสังเกตและประเมินพฤติกรรมของนักเรียนในขณะที่ให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมและ การนาเสนอผลการปฏิบัติกจิ กรรม วสั ด/ุ อปุ กรณ์ สื่อและแหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สือเรยี นฟิสิกส์ ม.6 เล่ม 1 สังกัด อจท. 2. หนงั สอื เรยี นฟสิ กิ ส์ ม.6 เล่ม 5 สงั กัด สสวท. 3. PowerPoint เรอื่ ง ความรอ้ นและทฤษฎีจลน์ของแก๊ส 4. ห้องเรียน 5. หอ้ งสมดุ 6. แหลง่ ข้อมูลสารสนเทศ 7. ใบงานท่ี 2.1 ความร้อน
การวัดผลและประเมนิ ผล จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วธิ ีวัด เครื่องมอื เกณฑก์ ารประเมนิ 1. นักเรียนอธิบายความหมาย ตรวจใบงาน ใบงานท่ี 2.1 ความร้อน ได้ระดับคุณภาพดี ของระดับอุณหภูมิหรือสเกล จงึ ผ่านเกณฑ์ อณุ หภมู ิได้ (K) 2. นักเรียนอธิบายผลหลักการ เปลี่ยนอุณหภูมิและการเปลี่ยน สถานะของสสารได้ (K) ความใฝ่เรยี นรู้และอยากรู้อยาก เห็น (A) 3. นักเรียนสืบค้นความหมาย สังเกตและประเมินการ แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี ของอุณหภูมิ ระดับอุณหภูมิ ปฏิบตั กิ จิ กรรม ปฏิบัติกิจกรรมการ จึงผา่ นเกณฑ์ หรือสเกลอุณหภูมิได้ และ สบื คน้ หลักการเปลี่ยนอุณหภูมิและ การเปลี่ยนสถานะของสสารได้ (P) 4. มคี วามอยากรูอ้ ยากเหน็ (A) สังเกตและประเมินการ แบบประเมินการความ ได้ระดับคุณภาพดี ความอยากรอู้ ยากเหน็ อยากรอู้ ยากเห็น จงึ ผา่ นเกณฑ์ 5. คุณลักษณะด้านความใฝ่ สังเกตพฤตกิ รรม แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ค ุ ณ - ได้ระดับคุณภาพดี เรยี นรู้ ลักษณะอันพึงประสงค์ จึงผา่ นเกณฑ์ ดา้ นใฝเ่ รียนรู้ ความคิดเห็นของผบู้ ริหารสถานศึกษา ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. .................................................
ลงชอ่ื ................................................................ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา (…………………….………….……….………………………….) ........./........................./.........
การประเมินด้านความรู้ (K) เกณฑ์การให้คะแนนใบงาน ประเดน็ การประเมนิ คะแนน 4 321 ความร้อน คือ พลังงานรูปหนึ่ง ซึ่งจะ ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานมีความ ถ่ายเทจากวัตถทุ ี่มีอุณหภูมสิ งู ไปสู่วัตถุ กับประเด็นการ กับประเด็นการ กับประเด็นการ ส อ ด ค ล ้ อ ง กั บ ที่มีอุณหภูมิต่ากว่า พลังงาน 1 แคลอรี ประเมิน เนื้อหา ประเมนิ ส่วนใหญ่ ประเมิน เนื้อหา ป ร ะ เ ด ็ น ก า ร คือ พลังงานความร้อนที่ทาให้น้าที่มี มวล 1 กรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศา สาระของผลงาน เนื้อหาสาระของ สาระของผลงาน ประเมินเนื้อหา เชลเซียส (ในช่วง 14.5 ºC ถึง 15.5 ถกู ตอ้ งครบถ้วน ผลงานถูกต้องแต่ ถูกต้องเป็นบาง สาระแค่บางส่วน ยังมีข้อบกพร่อง ป ร ะ เ ด ็ น แ ต่ และมีข้อบกพร่อง ºC) พลังงาน 1 บีทยี ู คอื พลงั งานความ ร้อนท่ที าใหน้ า้ มวล 1 ปอนด์ มอี ุณหภูมิ เล็กนอ้ ย ม ี ข ้ อ บ ก พ ร ่ อ ง มาก เพิ่มขึ้น 1 องศาฟาเรนไฮต์ (ในช่วง บางสว่ น 58.1 ºF ถึง 59.1 ºF) อุณหภูมิ คือ ระดับของความรอ้ น หรือกลา่ วอีกอย่าง หนึ่งว่า ค่าอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ พลงั งานจลนข์ องโมเลกุลของระบบ ความจุความร้อน หมายถึง ปริมาณ พลังงานความร้อนที่ท าให้วัตถุมี อณุ หภมู ิเปลี่ยนไป 1 หน่วยองศา ความ ร้อนจาเพาะ หมายถึง ปริมาณพลังงาน ความร้อนที่จะทาให้วัตถุมวล 1 หน่วย มีอุณหภูมิเปลี่ยนไป 1 หน่วยองศา ความร้อนแฝง หมายถึง ค่าพลังงาน ความร้อนที่ทาให้วัตถุทั้งก้อนเปลี่ยน สถานะ โดยอณุ หภมู ไิ ม่เปล่ียน การถ่าย โอนความร้อน คือ การส่งผ่านความ ร้อนจากวัตถุที่มอี ุณหภูมสิ ูงกว่าไปสู่อีก วัตถุหนึ่งที่มีอุณหภูมิต่ากว่า มี 3 รูปแบบ ได้แก่ การนาความร้อน การ พาความรอ้ น และการแผ่รังสคี วามร้อน
เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ ดมี าก 4 อยู่ในระดับ ดี 3 อยู่ในระดบั พอใช้ 2 อยู่ในระดับ ปรับปรงุ 1 อย่ใู นระดบั
การประเมนิ ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) เกณฑก์ ารประเมนิ การปฏบิ ัติกจิ กรรมการสบื คน้ ประเดน็ การประเมนิ 3 ระดับคะแนน 1 2 1.การวางแผน การแบ่ง วางแผนงานล่วงหน้า ไม่มีการวางแผนงาน ไม่มีการวางแผนงาน หนา้ ท่ีกันทางาน และแบ่งหน้าที่งานให้ ลว่ งหนา้ แต่สามารถแบ่ง ล่วงหนา้ แตส่ ามารถแบ่ง ชัดเจนเพื่อให้การสืบค้น หน้าที่งานได้เพื่อให้การ หน้าที่งานได้เพื่อให้การ ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน ถูกต้อง และครอบคลุม สืบค้นได้ข้อมูลที่ ถูกต้อง สืบค้นได้ข้อมูลที่ ถูกต้อง ประเด็นสาคญั และตรงประเด็นมาก บางส่วน และตรง ท่ีสุด ประเด็นบา้ งเล็กนอ้ ย 2.ส ื บ ค ้ น จ า ก แ ห ล ่ ง ท่ี ใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือ ใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือ ใช้แหล่งข้อมูลที่ไม่ เหมาะสม และหลากหลาย ได้ มีความถูกต้อง และ ไ ด ้ เ ป ็ น ส ่ ว น ใ ห ญ ่ มี น่าเชื่อถือ แต่เนื้อหายังมี ได้ข้อมูลที่น่าสนใจใน ความถูกต้องบ้าง และ ความถูกต้องเล็กน้อย หลากหลายมมุ มอง ข้อมูลมีความน่าสนใจ แ ล ะ ข ้ อ ม ู ล ม ี ค ว า ม เลก็ นอ้ ย น่าสนใจแตเ่ ปน็ ส่วนน้อย 3.การรวบรวมข้อมูล การ รวมรวบข้อมูล วิเคราะห์ รวมรวบข้อมูล วิเคราะห์ รวมรวบข้อมูล วิเคราะห์ วิเคราะห์ และสรุป และสรุปได้ถูกต้อง และ และสรุปได้ถูกต้องเป็น แ ล ะ ส ร ุ ป ไ ด ้ ถ ู ก ต ้ อ ง สอดคล้องกับประเด็น ส่วนใหญ่ และสอดคล้อง เล็กน้อย และสอดคล้อง สาคัญ กบั ประเด็นสาคญั กับประเด็นสาคัญบ้าง บางส่วน 4.งานสาเร็จทันเวลาและมี งานส าเร็จลุล่วงได้ใน งานส าเร็จได้ มีความ งานส าเร็จได้แต่ไม่ คุณภาพ เว ลาที่ก าหนด และ ล่าช้าเล็กน้อย แต่ยังมี ทันเวลาที่ก าหนด มี ถูกต้อง ครอบคลุม และ ความถูกต้อง ครอบคลุม ความถูกต้อง ครอบคลุม สอดคล้องกับประเด็น แ ล ะ ส อ ด ค ล ้ อ ง กั บ สอดคล้องกับประเด็น ส า ค ั ญ ท า ใ ห ้ ง า น มี ประเด็นสาคัญถือว่างาน สาคัญบ้างเล็กน้อย และ คณุ ภาพ มีคณุ ภาพ มขี ้อบกพรอ่ งบางส่วน
เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ ดีมาก 9 – 12 อยู่ในระดับ ดี 5 – 8 อยู่ในระดบั พอใช้ 1 – 4 อยใู่ นระดบั
การประเมินดา้ นเจตคติ (A) เกณฑ์การประเมินการมีความอยากรู้อยากเห็น ประเด็นการประเมิน 3 คะแนน 1 2 มีความพยายามที่จะ พยายามหาความรู้ใหม่ๆ มกี ารแสวงหาความรู้บ้าง ไม่มีการแสวงหาความรู้ เสาะแสวงหาความรู้ใน อยู่เสมอ ซึ่งไม่สามารถ นาความรู้ที่มีอยู่เดิมมา ใดๆ ใช้เพียงความรู้เดิม ส ถ า น ก า ร ณ ์ ใ ห ม่ ๆ อธิบายได้ด้วยความรู้ที่มี อธิบายเล็กน้อย จึงทาให้ ที่มีอยเู่ ท่าน้นั ไมเ่ กิดการ ต ร ะ ห น ั ก ถ ึ ง ค ว า ม อยู่เดิม เพื่อให้เกิดการ เกดิ การเรียนรูไ้ ดน้ ้อย ซ่ึง เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ สาคัญของการแสวงหา เรียนรู้ และใช้ความรู้ท่ี อ า จ ป ร ั บ ใ ช ้ ไ ด ้ กั บ สามารถแก้ไขต่างๆ ได้ ข้อมูลเพิ่มเติม และช่าง ได้ในการแก้ปัญหา หรือ ช ี ว ิ ต ป ร ะ จ า ว ั น แ ค่ ไม่ให้ความสาคัญกับการ ซัก ช่างถาม ช่างอ่าน ใช้กับชีวิตประจาวันได้ บางส่วน ให้ความสาคัญ เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ เพื่อให้ได้ค าตอบเป็น ให้ความสาคัญกับการ กับการเรียนรู้บ้าง แต่ไม่ มีการสังเกต หรือเกิด ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เรียนรู้ เป็นผู้กระตือ- มีความกระตือรือร้นใน ความสงสยั เทา่ ที่ควร ย่ิงขน้ึ รือร้นในการเรียนหรือ การเรียนหรือแสวงหา แสวงหาความรอู้ ยู่เสมอ ความรู้ และรู้จักถามเมื่อ และช่างสงสัย สังเกต มีข้อสงสัยจากการได้ รู้จักถามเมื่อมีข้อสงสัย สังเกตบ้าง ท าให้ ได้ ท าให้ได้ค าตอบที่เป็น ค าตอบที่เป็นความรู้ ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เพิม่ เติมจากความรเู้ ดิม ยิ่งขึ้น เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ ดมี าก 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อยูใ่ นระดับ พอใช้ 1 อยูใ่ นระดบั
การประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ดา้ นใฝเ่ รียนรู้ แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงคด์ า้ นใฝเ่ รียนรู้ ตัวชี้วัดและพฤติกรรมบ่งช้ี ตัวชวี้ ัด พฤติกรรมบ่งชี้ 4.1 ตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน 4.1.1 ตัง้ ใจเรยี น และเขา้ รว่ มกิจกรรมการเรยี นรู้ 4.1.2 เอาใจใส่และมีความเพียรพยายามในการเรียนรู้ 4.1.3 สนใจเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรยี นรูต้ ่างๆ 4.2 แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ 4.2.1 ศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากหนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์ ส่ือ ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน เทคโนโลยีต่างๆ แหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ด้วยการเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม และเลอื กใชส้ อ่ื ได้อย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ 4.2.2 บันทึกความรู้ วิเคราะห์ ตรวจสอบจากสิ่งที่เรียนรู้ สรุป ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนาไปใช้ เปน็ องค์ความรู้ ในชีวติ ประจาวันได้ 4.2.3 แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ และนาไปใช้ใน ชีวิตประจาวนั เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (ใช้ข้อมูลจากการสังเกตตามสภาพจริงของครูผู้สอน) พฤตกิ รรมบ่งช้ี 32 1 ตามข้อ 4.1 – 4.2 เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน และมีส่วนร่วมใน เรียน และมีส่วนร่วมใน เรียน และมีส่วนร่วมใน การเรียนรู้ และเข้าร่วม การเรียนรู้ และเข้าร่วม การเรียนรู้ และเข้าร่วม กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก บอ่ ยครัง้ เปน็ บางครงั้ โรงเรยี นเป็นประจา
ระดบั เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ ดเี ย่ยี ม 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อยู่ในระดบั ผ่าน 1 อยูใ่ นระดับ ไมผ่ า่ น 0 อยู่ในระดับ หมายเหตุ นักเรยี นสามารถทางานได้ 2 คะแนนขึ้นไปจงึ จะผ่านเกณฑ์
การประเมนิ ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) แบบประเมนิ การปฏบิ ัตกิ จิ กรรมการสืบคน้ รายช่อื สมาชิก…………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… คาชแ้ี จง: ใหผ้ ู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรียน แล้วขีด ลงในชอ่ งทีต่ รงกับระดบั คะแนน ประเด็นการประเมิน ระดบั คะแนน 3 21 1.การวางแผน การแบ่งหน้าที่กัน ทางาน 2.สืบค้นจากแหล่งที่เหมาะสม และ หลากหลาย 3.การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ และสรุป 4.งานสาเรจ็ ทนั เวลาและมีคุณภาพ รวมคะแนน ผลการประเมนิ อย่ใู นระดับ เกณฑ์การให้คะแนน 3 หมายถงึ ดมี าก 2 หมายถงึ ดี 1 หมายถึง พอใช้ เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ 9 – 12 อยู่ในระดบั ดมี าก 5 – 8 อยู่ในระดับ ดี 1 – 4 อยู่ในระดับ พอใช้
การประเมินดา้ นเจตคติ (A) แบบประเมินการมีความอยากร้อู ยากเหน็ รายช่ือสมาชิก…………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………….………………………………………………………………………………………………………………………… คาชีแ้ จง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี น แลว้ ขดี ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ประเด็นการประเมนิ 3 คะแนน 1 2 มีความพยายามที่จะเสาะ แสวงหาความรู้ในสถาน การณ์ใหม่ๆ ตระหนักถึง ความสาคัญของการแสวงหา ข้อมูลเพิ่มเติม และช่างซัก ช่างถาม ช่างอ่าน เพื่อให้ได้ คาตอบเป็นความรู้ที่สมบูรณ์ แบบย่งิ ขึ้น รวมคะแนน ผลการประเมนิ อยู่ในระดบั เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ ดมี าก 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อย่ใู นระดบั พอใช้ 1 อยู่ในระดบั
การประเมนิ ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (ใฝ่เรียนรู้) นกั เรยี นระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6/1 คาชแ้ี จง: ใหผ้ ูส้ อนสงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แลว้ ขีด ลงในชอ่ งที่ตรงกบั ระดบั คะแนน ลาดบั ชอื่ – นามสกลุ คะแนน 1 ท่ี 32 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23
เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ดเี ยย่ี ม 3 อยู่ในระดับ ดี 2 อยใู่ นระดับ ผ่าน 1 อยใู่ นระดบั ไมผ่ า่ น 0 อยูใ่ นระดบั หมายเหตุ นกั เรยี นสามารถทางานได้ 2 คะแนนขึ้นไปจงึ จะผ่านเกณฑ์
บนั ทกึ หลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ผลการจัดกจิ กรรม ตารางท่ี 1 ผลการประเมินด้านความรู้ (K) ลาดบั ที่ ระดบั ช้นั จานวน ดมี าก (4) สรปุ ผลการประเมนิ รวม นกั เรยี น รวม ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรงุ (1) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5 ตารางท่ี 2 ผลการประเมนิ ด้านทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (P) ลาดับท่ี ระดบั ช้ัน จานวน สรปุ ผลการประเมนิ รวม นกั เรียน ดมี าก (9 – 12) ดี (5 – 8) พอใช้ (1 – 4) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 รวม 3 ม.6/4 4 ม.6/5
บนั ทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการจดั กจิ กรรม ตารางท่ี 3 ผลการประเมนิ ดา้ นเจตคติ (A) ลาดบั ที่ ระดับชนั้ จานวน ดีมาก (3) สรุปผลการประเมนิ พอใช้ (1) รวม นกั เรยี น รวม ดี (2) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5 ตารางที่ 4 ผลการประเมินดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ลาดับที่ ระดับชน้ั จานวน ดมี าก (3) สรุปผลการประเมิน ไม่ผา่ น (0) รวม นักเรียน รวม ดี (2) ผา่ น (1) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5
บนั ทึกหลังการสอน ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 6 ผลการสอน ดา้ นความรู้.................................................................................................................. ....................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ดา้ นทกั ษะ.................................................................................................................... ....................................... ................................................................................................................................ ............................................ ............................................................................................................................................................................ ด้านเจตคติ................................................................................................................... ........................................ ................................................................................................................................ ............................................ ............................................................................................................................................................................ ดา้ นสมรรถนะ.................................................................................................................. ................................... ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์........................................................................................................... ................. ปัญหา/อุปสรรค................................................................................................... ............................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................. ............... ............................................................................................................................................................................ แนวทางการแก้ไข............................................................................................................... ................................. ............................................................................................................................................................. ............... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ หมายเหตุ..................................................................................................................... ........................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………....................... ลงชือ่ ..........................................................ผู้สอน (.............................................................) ........./........................./.........
ใบงานที่ 2.1 ความร้อน จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. นักเรยี นอธิบายความหมายของระดบั อณุ หภูมิหรอื สเกลอุณหภูมิได้ (K) 2. นกั เรยี นอธิบายผลหลักการเปลี่ยนอณุ หภูมแิ ละการเปลีย่ นสถานะของสสารได้ (K) 3. นักเรียนสืบค้นความหมายของอุณหภมู ิ ระดับอุณหภูมิ หรือสเกลอุณหภูมิได้ และหลักการเปลี่ยน อณุ หภูมแิ ละการเปล่ียนสถานะของสสารได้ (P) 4. ความใฝ่เรยี นรูแ้ ละอยากรู้อยากเหน็ (A) คาชี้แจง : ให้นักเรียนสืบค้นความหมายของอุณหภูมิ ระดับอุณหภูมิ หรือสเกลอุณหภูมิได้ และหลักการ เปลี่ยนอุณหภูมิและการเปล่ียนสถานะของสสาร สรุปเนื้อหาสาระสาคัญลงในกระดาษโฟลชาร์ท เขียนอธิบาย อยา่ งชัดเจน และออกมานาเสนอผลงานหนา้ ชั้นเรยี น
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 15 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว30205 รายวชิ า ฟิสกิ ส์ 5 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้ ความรอ้ นและทฤษฎีจลนข์ องแกส๊ เรอื่ ง การขยายตวั เชิงความรอ้ นของของแขง็ และคานวณปริมาณท่ีเก่ยี วข้องกบั ความรอ้ นได้ วันท…ี่ …….เดือน……………พ.ศ……………… เวลา……………………น. จานวน 1 ชัว่ โมง ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ผสู้ อน นางสาวไข่มกุ สพุ ร สาระฟสิ กิ ส์ 4. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยุ่นของ วัสดุและมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอาร์คิมีดิส ความตึงผิวและแรงหนืดของ ของเหลว ของไหลอดุ มคติ และสมการแบร์นูลลี กฎของแกส๊ ทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ อุดมคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรังสี แรงนิวเคลยี ร์ ปฏิกิริยานวิ เคลียร์ พลงั งานนิวเคลยี ร์ ฟิสิกสอ์ นภุ าค รวมทัง้ นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ผลการเรียนรู้ อธิบายและคานวณความร้อนที่ทาใหส้ สารเปลีย่ นอุณหภมู ิ ความร้อนที่ทาให้สสารเปลี่ยนสถานะและ ความร้อนท่ีเกิดจากการถา่ ยโอนตามกฎการอนรุ กั ษ์พลังงาน จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. นักเรียนอธิบายผลการขยายตวั เชิงความรอ้ นของของแข็งได้ (K) 2. นกั เรียนคานวณปริมาณทเี่ กย่ี วข้องกบั ความรอ้ นได้ (P) 3. ความใฝเ่ รียนรูแ้ ละอยากรูอ้ ยากเห็น (A) สาระการเรยี นรู้ เมื่อสสารได้รับหรือคายความร้อน สสารอาจมีอุณหภูมิเปลี่ยนไป และสสารอาจเปลี่ยนสถานะโดยไม่ เปลี่ยนอุณหภูมิ ซึ่งปริมาณความร้อนที่ทาให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิ คานวณได้จากสมการ Q=mcΔT ส่วน ปรมิ าณของพลังงานความรอ้ นที่ทาใหส้ สารเปล่ียนสถานะคานวณไดจ้ ากสมการ Q=mL
สาระสาคัญ เมื่อให้ความร้อนแต่สสาร จะทาให้อุณหภูมิ ความยาว หรือปริมาตรของสสารเพิ่มขึ้น และถ้าสสาร สญู เสยี ความร้อนหรอื คายความร้อนจะทาให้อณุ หภูมิ ความยาว หรอื ปรมิ าตรของสสารลดลงการเปล่ียนแปลง ของสสารท่ีเกิดขึน้ เม่ือได้รบั ความร้อน เรียกวา่ การขยายตัวเชิงความร้อน ซ่งึ สามารถเกดิ ได้ทั้งการขยายตัวเชิง เส้นหรอื การขยายตวั เชิงปรมิ าตร โดยจะขึ้นอยกู่ บั สถานะของสาร ในกรณีที่สารอยู่ในสถานะของแข็ง อะตอมหรืออนุภาคในของแข็งจะสั่นรอบๆ ตาแหน่งสมดุลด้วย แอมพลิจูดและความถี่ ค่าหนึ่ง เมื่อของแข็งมีอุณหภูมิสูงขึ้น จะทาให้อนุภาคสันด้วย แอมพลิจูดที่เพิ่มมากขนึ้ ส่งผลให้ระยะห่างระหว่างอนุภาค เฉลี่ยมากขึ้น ของแข็งจึงมีการขยายตัว เรียกว่า การขยายตัวเชิงเส้น โดย ของแข็งแต่ละชนิดจะขยายตัวได้มากหรือน้อยขึ้น อยู่กับสัมประสิทธิ์การขยายตัวเชิงเส้น (coefficient of linear expansiori) ซึ่งเป็นค่าคงตัวเฉพาะของวัสดุแต่ละชนิด และอุณหภูมิของของแข็งที่เปลี่ยนไป สามารถ เขียนแสดง ความสัมพนั ธไ์ ด้ ดงั สมการ ∆L = ������L0∆T ∆L คอื ความยาวของของแข็งทเี่ ปลยี่ นไป มีหนว่ ยเปน็ เมตร (m) ������ คือ สมั ประสทิ ธก์ิ ารขยายตัวเชงิ เส้นของวัสดุ มหี นว่ ยเป็น ต่อเคลวิน (K-1) L0 คอื ความยาวเต็มของของแข็ง มีหนว่ ยเปน็ เมตร (m) ∆T คือ อุณหภมู ิของของแขง็ ทีเ่ ปลี่ยนไป มหี น่วยเป็น เคลวนิ (K) สมรรถนะสาคญั ความสามารถในการคิด - ทักษะการคดิ วิเคราะห์ - ทักษะการคดิ สังเคราะห์ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (จติ วิทยาศาสตร)์ ความใฝ่เรียนรู้และมีความอยากรู้อยากเห็น นักเรียนแสดงออกถึงความตั้งใจความต้องการทีจ่ ะรู้และ เสาะแสวงหาความร้เู กีย่ วกับสงิ่ ตา่ งๆ ทีสนใจหรือต้องการค้นพบสิ่งใหม่ แสดงออกได้โดยการถามคาถาม หรือมี ความสงสัยในสิ่งที่สนใจอยากรู้ มีความกระตือรือร้นในการเสาะแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจ เพียร พยายามในการเรียนและการทากิจกรรมตา่ งๆ แสวงหาความรู้จากแหล่งเรยี นรตู้ ่างๆ อยู่เสมอ โดยการเลือกใช้ สื่ออย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอด เผยแพร่ และ นาไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้
ชิน้ งาน/ภาระงาน ใบงานท่ี 2.2 การคานวณปริมาณตา่ งๆ ที่เก่ียวขอ้ งกบั ความร้อน กจิ กรรมการเรยี นรู้ วธิ สี อนใช้รปู แบบวงจรการเรียนรู้ 5 ขนั้ ตอน (5E Learning Cycle model) ขั้นท่ี 1 ขนั้ สร้างความสนใจ ( 5 นาที ) 1. ครเู ปิดวีดทิ ัศน์เกี่ยวกับการสร้างถนนคอนกรตี หรอื การสรา้ งทางรถไฟ ให้นกั เรยี นศึกษา โดยครูคอย ถามคาถามกระตุ้นเพื่อเชื่อมโยงความรู้ใหม่จากวีดิทัศน์กับความรู้ที่นักเรียนกาลังจะได้ศึกษาเกี่ยวกับการ ขยายตัวเชิงความร้อนของของแขง็ 2. ครูสุ่มนักเรียนเพื่อถามคาถามว่า “ในชีวิตประจาวันของนักเรียน นอกจากการสร้างถนนคอนกรีต แล้ว ยังมีสิง่ ใดบ้างที่เมือ่ ผลติ หรอื สร้างขึน้ มักจะต้องคานงึ ถงึ คุณสมบัติการขยายตัวเชิงความรอ้ นของวสั ดุนั้นๆ ด้วย” 3. ครูและนักเรียนร่วมกันสนทนาอภิปรายเกี่ยวกับการขยายตัวเชิงความร้อนของของแข็ง เพื่อเข้าสู่ บทเรียน ขัน้ ที่ 2 ขั้นสารวจและคน้ หา ( 25 นาที ) 4. นกั เรียนแต่ละคนศึกษากิจกรรมจากใบงานท่ี 2.2 การคานวณปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกบั ความรอ้ น 5. ครูช้ีแจงจุดประสงคแ์ ละวธิ กี ารปฏิบตั กิ จิ กรรมใหน้ ักเรียนทราบ 6. นักเรียนลงมอื ปฏิบัตกิ ิจกรรม และรายงานผล ข้ันท่ี 3 ขนั้ สร้างคาอธบิ ายและลงข้อสรุป ( 15 นาที ) 7. ครูและนักเรียนร่วมกันลงข้อสรุป โดยให้นักเรียนอธิบายสรุปความรู้เกี่ยวกับความร้อนที่ได้ศึกษา มาแล้วทั้งเนื้อหาและตัวอย่างจากหนังสือเรียน และกิจกรรมที่นอกเหนือจากหนังสือเรียน พร้อมทั้งยกอย่าง สถานการณ์ในชวี ติ ประจาวนั ทีเ่ กีย่ วข้องเพื่อทดสอบความเข้าใจ 8. ครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นสอบถามเนื้อหาที่ได้ศึกษาผ่านมาแลว้ ในส่วนที่ยังไม่เข้าใจหรือสงสัย จากนั้น ครูให้ความรู้เพิ่มเติมในส่วนนั้น โดยที่ครูอาจจะใช้ PowerPoint เรื่อง ความร้อนและทฤษฎีจลน์ของแก๊ส มาเปดิ ให้นักเรียนดูประกอบเพอื่ ชว่ ยในการอธบิ ายใหเ้ ขา้ ใจมากย่ิงขน้ึ ขั้นท่ี 4 ขั้นขยายความรู้ ( 10 นาที ) 9. ครใู ห้นักเรยี นใช้โทรศัพท์มือถือสแกน QR Code เรือ่ ง การขยายตัวจากความร้อน จากหนังสือเรียน เพ่อื เป็นการศกึ ษาเพม่ิ เติมจากส่ือดจิ ิทลั ซงึ่ เปน็ ความรเู้ พ่ิมเตมิ ทีน่ อกเหนือจากหนังสือเรียน
ขัน้ ท่ี 5 ประเมนิ ผล ( 5 นาที ) 10. ครูสังเกตและประเมินพฤติกรรมของนักเรียนในขณะที่ให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมและ การนาเสนอผลการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม วัสด/ุ อปุ กรณ์ สอ่ื และแหลง่ เรียนรู้ 1. หนังสือเรียนฟิสิกส์ ม.6 เลม่ 1 สังกดั อจท. 2. หนังสอื เรียนฟสิ กิ ส์ ม.6 เลม่ 5 สงั กดั สสวท. 3. PowerPoint เร่ือง ความร้อนและทฤษฎีจลน์ของแกส๊ 4. วดี ทิ ศั นก์ ารเรยี นรู้ เรอ่ื ง การสรา้ งถนนคอนกรีต 5. หอ้ งเรยี น 6. ห้องสมดุ 7. แหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศ 8. ใบงานที่ 2.2 การคานวณปริมาณตา่ งๆ ท่ีเกี่ยวข้องกบั ความรอ้ น
การวดั ผลและประเมนิ ผล จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ วธิ ีวัด เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมิน 1. นักเรียนอธิบายผลการ ตรวจใบงาน ใ บ ง า น ที่ 2 .2 ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี ขยายตัวเชิงความร้อนของ คานวณปริมาณต่างๆ จึงผ่านเกณฑ์ ของแข็งได้ (K) ที่เกี่ยวข้องกับความ ร้อน 2. นักเรียนคานวณปริมาณที่ สังเกตและประเมินการ แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี เกีย่ วข้องกบั ความรอ้ นได้ (P) ปฏบิ ัติกิจกรรม ปฏิบัติกิจกรรมการ จงึ ผ่านเกณฑ์ คานวณ 4. มคี วามอยากร้อู ยากเห็น (A) สังเกตและประเมินการ แบบประเมินการความ ได้ระดับคุณภาพดี ความอยากรูอ้ ยากเห็น อยากรู้อยากเหน็ จงึ ผ่านเกณฑ์ 5. คุณลักษณะด้านความใฝ่ สงั เกตพฤติกรรม แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ค ุ ณ - ได้ระดับคุณภาพดี เรียนรู้ ลักษณะอันพึงประสงค์ จึงผ่านเกณฑ์ ดา้ นใฝเ่ รยี นรู้ ความคิดเห็นของผู้บรหิ ารสถานศึกษา ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงช่ือ................................................................ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา (…………………….………….……….………………………….) ........./........................./.........
การประเมนิ ด้านความรู้ (K) เกณฑ์การใหค้ ะแนนใบงาน ประเด็นการประเมนิ คะแนน 4 321 เมื่อให้ความร้อนแต่สสาร จะทาให้ ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานมี ค ว า ม อุณหภูมิ ความยาว หรือปริมาตรของ กับประเด็นการ กับประเด็นการ กับประเด็นการ ส อ ด ค ล ้ อ ง กั บ สสารเพ่มิ ขนึ้ และถา้ สสารสญู เสียความ ประเมิน เนื้อหา ประเมนิ สว่ นใหญ่ ประเมิน เนื้อหา ป ร ะ เ ด ็ น ก า ร ร้อนหรือคายความร้อนจะท าให้ อุณหภูมิ ความยาว หรือปริมาตรของ สาระของผลงาน เนื้อหาสาระของ สาระของผลงาน ประเมินเนื้อหา สสารลดลงการเปลี่ยนแปลงของสสาร ถกู ต้องครบถว้ น ผลงานถูกต้องแต่ ถูกต้องเป็นบาง สาระแค่บางส่วน ยังมีข้อบกพร่อง ป ร ะ เ ด ็ น แ ต่ และมีข้อบกพร่อง ที่เกิดขึ้นเมื่อได้รับความร้อน เรียกว่า การขยายตัวเชิงความร้อน ซึ่งสามารถ เล็กนอ้ ย ม ี ข ้ อ บ ก พ ร ่ อ ง มาก เกิดได้ทั้งการขยายตัวเชิงเส้นหรือการ บางส่วน ขยายตัวเชิงปริมาตร โดยจะขึ้นอยู่กับ สถานะของสาร ในกรณีที่สารอยู่ใน สถานะของแข็ง อะตอมหรืออนุภาคใน ของแข็งจะสั่นรอบๆ ตาแหน่งสมดุล ดว้ ยแอมพลจิ ูดและความถี่ คา่ หนึง่ เมื่อ ของแข็งมีอุณหภูมิสูงขึ้น จะทาให้ อนุภาคสันด้วย แอมพลิจูดที่เพิ่มมาก ขึ้น ส่งผลให้ระยะห่างระหว่างอนุภาค เฉลี่ยมากขึ้น ของแข็งจึงมีการขยายตัว เรียกว่า การขยายตัวเชิงเส้น โดย ของแข็งแต่ละชนิดจะขยายตัวได้มาก หรือน้อยขึ้น อยู่กับสัมประสิทธิ์การ ขยายตัวเชิงเส้น ซึ่งเป็นค่าคงตัวเฉพาะ ของวัสดุแต่ละชนิด และอุณหภูมิของ ของแข็งท่เี ปลย่ี นไป
เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ ดมี าก 4 อยู่ในระดับ ดี 3 อยู่ในระดบั พอใช้ 2 อยู่ในระดับ ปรับปรงุ 1 อย่ใู นระดบั
การประเมนิ ดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) เกณฑ์การประเมินการปฏบิ ตั ิกิจกรรมการคานวณ ประเด็นการประเมนิ 3 ระดับคะแนน 1 2 1.การว ิเคราะห์โ จทย์ บอกส่งิ ท่ีโจทยใ์ ห้มา และ บอกสงิ่ ทโี่ จทยใ์ ห้มา และ บอกสิ่งท่ีโจทยใ์ หม้ า และ ปญั หา สิ่งที่โจทย์ต้องการได้ สิ่งที่โจทย์ต้องการได้ สิ่งที่โจทย์ต้องการได้ อย่างถูก และเขียน และเขียนสมการการ และเขียนสมการการ สมการการคานวณของ โจทย์ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง ค านวณของโจทย์ได้ คานวณของโจทยไ์ ด้ อยา่ งถูกต้อง 2.เลือกสูตรที่เหมาะสม เลือกสูตรการคานวณที่ เลือกสูตรการคานวณที่ เลือกสูตรการคานวณท่ี และสมั พันธก์ ับโจทย์ สัมพันธ์กับสิ่งที่โจทย์ สัมพันธ์กับสิ่งที่โจทย์ สัมพันธ์กับสิ่งที่โจทย์ ต้องการให้หาได้อย่าง ต้องการให้หาได้อย่าง ต้องการให้หาได้ แต่ไม่ ถกู ตอ้ งและเหมาะสม ถกู ต้อง สามารถหาค าตอบที่ ถกู ตอ้ งได้ 3.การแทนค่าและแสดงวิธี การแทนค่าของตัวแปร การแทนค่าของตัวแปร การแทนค่าของตัวแปร หาคาตอบ ในโจทย์ได้อย่างถูกต้อง ในโจทย์ได้อย่างถูกต้อง ในโจทย์ได้ และแสดง แสดงวิธีการคานวณเป็น แสดงวิธีการคานวณเป็น วิธกี ารคานวณได้ ลาดบั ขั้นตอนชดั เจนและ ล าดับขั้นตอนและได้ ได้ค าตอบที่ถูกต้องมี คาตอบที่ถกู ต้อง ความแมน่ ยา 4.ตรวจสอบค าตอบของ ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ ส า ม า ร ถ ต ร ว จ ส อ บ โจทย์ และระบุหน่วยได้ คาตอบของโจทยไ์ ด้อย่าง คาตอบของโจทยไ์ ด้ และ คาตอบของโจทย์ได้บ้าง ชดั เจน ถูกต้อง และระบุหน่วย ระบหุ นว่ ยไดช้ ัดเจน เล็กน้อย และระบุหน่วย ได้ชัดเจน ได้ เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ 9 – 12 อย่ใู นระดับ ดมี าก 5 – 8 อยูใ่ นระดบั ดี 1 – 4 อยใู่ นระดับ พอใช้
การประเมินดา้ นเจตคติ (A) เกณฑ์การประเมนิ การมีความอยากรู้อยากเหน็ ประเด็นการประเมิน 3 คะแนน 1 2 มีความพยายามที่จะ พยายามหาความรู้ใหม่ๆ มีการแสวงหาความรู้บ้าง ไม่มีการแสวงหาความรู้ เสาะแสวงหาความรู้ใน อยู่เสมอ ซึ่งไม่สามารถ นาความรู้ที่มีอยู่เดิมมา ใดๆ ใช้เพียงความรู้เดิม ส ถ า น ก า ร ณ ์ ใ ห ม่ ๆ อธิบายได้ด้วยความรู้ที่มี อธิบายเล็กน้อย จึงทาให้ ที่มีอยเู่ ทา่ นั้น ไมเ่ กดิ การ ต ร ะ ห น ั ก ถ ึ ง ค ว า ม อยู่เดิม เพื่อให้เกิดการ เกดิ การเรยี นร้ไู ด้น้อย ซ่ึง เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ สาคัญของการแสวงหา เรียนรู้ และใช้ความรู้ที่ อ า จ ป ร ั บ ใ ช ้ ไ ด ้ กั บ สามารถแก้ไขต่างๆ ได้ ข้อมูลเพิ่มเติม และช่าง ได้ในการแก้ปัญหา หรือ ช ี ว ิ ต ป ร ะ จ า ว ั น แ ค่ ไม่ใหค้ วามสาคญั กับการ ซัก ช่างถาม ช่างอ่าน ใช้กับชีวิตประจาวันได้ บางส่วน ให้ความสาคัญ เรียนรู้เท่าที่ควร และไม่ เพื่อให้ได้ค าตอบเป็น ให้ความสาคัญกับการ กับการเรียนรู้บ้าง แต่ไม่ มีการสังเกต หรือเกิด ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เรียนรู้ เป็นผู้กระตือ- มีความกระตือรือร้นใน ความสงสยั เท่าท่คี วร ย่ิงขน้ึ รือร้นในการเรียนหรือ การเรียนหรือแสวงหา แสวงหาความรอู้ ยู่เสมอ ความรู้ และรู้จักถามเมื่อ และช่างสงสัย สังเกต มีข้อสงสัยจากการได้ รู้จักถามเมื่อมีข้อสงสัย สังเกตบ้าง ท าให้ ได้ ท าให้ได้ค าตอบที่เป็น ค าตอบที่เป็นความรู้ ความรู้ที่สมบูรณ์แบบ เพ่มิ เตมิ จากความรเู้ ดิม ยิ่งข้นึ เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ ดมี าก 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อยูใ่ นระดับ พอใช้ 1 อยูใ่ นระดับ
การประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ดา้ นใฝเ่ รียนรู้ แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงคด์ า้ นใฝเ่ รียนรู้ ตัวชี้วัดและพฤติกรรมบ่งช้ี ตวั ชวี้ ัด พฤติกรรมบ่งชี้ 4.1 ตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน 4.1.1 ตัง้ ใจเรยี น และเขา้ รว่ มกิจกรรมการเรยี นรู้ 4.1.2 เอาใจใส่และมีความเพียรพยายามในการเรียนรู้ 4.1.3 สนใจเข้ารว่ มกจิ กรรมการเรยี นรูต้ ่างๆ 4.2 แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ 4.2.1 ศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากหนังสือ เอกสาร สิ่งพิมพ์ ส่ือ ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน เทคโนโลยีต่างๆ แหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ด้วยการเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม และเลอื กใชส้ อ่ื ได้อย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ 4.2.2 บันทึกความรู้ วิเคราะห์ ตรวจสอบจากสิ่งที่เรียนรู้ สรุป ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนาไปใช้ เปน็ องค์ความรู้ ในชีวติ ประจาวันได้ 4.2.3 แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ และนาไปใช้ใน ชีวิตประจาวนั เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (ใช้ข้อมูลจากการสังเกตตามสภาพจริงของครูผู้สอน) พฤตกิ รรมบ่งช้ี 32 1 ตามข้อ 4.1 – 4.2 เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน เอาใจใส่ในการ เรียน และมีส่วนร่วมใน เรียน และมีส่วนร่วมใน เรียน และมีส่วนร่วมใน การเรียนรู้ และเข้าร่วม การเรียนรู้ และเข้าร่วม การเรียนรู้ และเข้าร่วม กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก บอ่ ยครัง้ เปน็ บางครงั้ โรงเรยี นเป็นประจา
ระดบั เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ ดเี ย่ยี ม 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อยู่ในระดบั ผ่าน 1 อยูใ่ นระดับ ไมผ่ า่ น 0 อยู่ในระดับ หมายเหตุ นักเรยี นสามารถทางานได้ 2 คะแนนขึ้นไปจงึ จะผ่านเกณฑ์
การประเมนิ ดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) แบบประเมนิ การปฏิบตั ิกิจกรรมการคานวณ รายช่ือสมาชกิ …………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………….………………………………………………………………………………………………………………………… คาชแี้ จง: ให้ผู้สอนสงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นในระหว่างเรยี น แล้วขดี ลงในช่องทต่ี รงกบั ระดับคะแนน ประเดน็ การประเมิน ระดับคะแนน 3 21 1.การวิเคราะห์โจทยป์ ัญหา 2.เลือกสตู รที่เหมาะสมและสัมพนั ธ์กับ โจทย์ 3.การแทนค่าและแสดงวธิ ีหาคาตอบ 4.ตรวจสอบคาตอบของโจทย์ และระบุ หน่วยได้ชัดเจน รวมคะแนน ผลการประเมนิ อย่ใู นระดบั เกณฑ์การใหค้ ะแนน ดมี าก 3 หมายถึง ดี 2 หมายถึง พอใช้ 1 หมายถึง เกณฑก์ ารตดั สนิ คุณภาพ ดมี าก 9 – 12 อย่ใู นระดบั ดี 5 – 8 อย่ใู นระดับ พอใช้ 1 – 4 อยู่ในระดบั
การประเมินดา้ นเจตคติ (A) แบบประเมินการมีความอยากร้อู ยากเหน็ รายช่ือสมาชิก…………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………….………………………………………………………………………………………………………………………… คาชีแ้ จง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี น แลว้ ขดี ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ประเด็นการประเมนิ 3 คะแนน 1 2 มีความพยายามที่จะเสาะ แสวงหาความรู้ในสถาน การณ์ใหม่ๆ ตระหนักถึง ความสาคัญของการแสวงหา ข้อมูลเพิ่มเติม และช่างซัก ช่างถาม ช่างอ่าน เพื่อให้ได้ คาตอบเป็นความรู้ที่สมบูรณ์ แบบย่งิ ขึ้น รวมคะแนน ผลการประเมนิ อยู่ในระดบั เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ ดมี าก 3 อยใู่ นระดับ ดี 2 อย่ใู นระดบั พอใช้ 1 อยู่ในระดบั
การประเมนิ ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (ใฝ่เรียนรู้) นกั เรยี นระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6/1 คาชแ้ี จง: ใหผ้ ูส้ อนสงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียน แลว้ ขีด ลงในชอ่ งที่ตรงกบั ระดบั คะแนน ลาดบั ชอื่ - นามสกลุ คะแนน 1 ท่ี 32 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23
เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ดเี ยย่ี ม 3 อยู่ในระดับ ดี 2 อยใู่ นระดับ ผ่าน 1 อยใู่ นระดบั ไมผ่ า่ น 0 อยูใ่ นระดบั หมายเหตุ นกั เรยี นสามารถทางานได้ 2 คะแนนขึ้นไปจงึ จะผ่านเกณฑ์
บนั ทกึ หลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ผลการจัดกจิ กรรม ตารางท่ี 1 ผลการประเมินด้านความรู้ (K) ลาดบั ที่ ระดบั ช้นั จานวน ดมี าก (4) สรปุ ผลการประเมนิ รวม นกั เรยี น รวม ดี (3) พอใช้ (2) ปรบั ปรงุ (1) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5 ตารางท่ี 2 ผลการประเมนิ ด้านทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (P) ลาดับท่ี ระดบั ช้ัน จานวน สรปุ ผลการประเมนิ รวม นกั เรียน ดมี าก (9 – 12) ดี (5 – 8) พอใช้ (1 – 4) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 รวม 3 ม.6/4 4 ม.6/5
บนั ทึกหลังการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการจดั กจิ กรรม ตารางท่ี 3 ผลการประเมนิ ดา้ นเจตคติ (A) ลาดบั ที่ ระดับชนั้ จานวน ดีมาก (3) สรุปผลการประเมนิ พอใช้ (1) รวม นกั เรยี น รวม ดี (2) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5 ตารางที่ 4 ผลการประเมินดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ลาดับที่ ระดับชน้ั จานวน ดมี าก (3) สรุปผลการประเมิน ไม่ผา่ น (0) รวม นักเรียน รวม ดี (2) ผา่ น (1) 1 ม.6/1 2 ม.6/3 3 ม.6/4 4 ม.6/5
บันทกึ หลังการสอน ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ผลการสอน ด้านความร.ู้ ................................................................................................................. ....................................... ........................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ดา้ นทกั ษะ.................................................................................................................... ....................................... ............................................................................................................................................................. ............... ............................................................................................................................................................................ ด้านเจตคติ......................................................................... ................................................................... ............... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ด้านสมรรถนะ........................................................................ ............................................................................. ด้านคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์................................................................................................... ......................... ปญั หา/อุปสรรค.................................................................................................................................... .............. ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................. ............... แนวทางการแก้ไข..................................................................................................... ........................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................ หมายเหต.ุ .................................................................................................................... ........................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………....................... ลงช่อื ..........................................................ผู้สอน (.............................................................) ........./........................./.........
ใบงานที่ 2.2 การคานวณปรมิ าณตา่ งๆ ท่เี ก่ียวข้องกบั ความรอ้ น จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นกั เรียนอธบิ ายผลการขยายตัวเชิงความร้อนของของแข็งได้ (K) 2. นักเรียนคานวณปริมาณท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ความร้อนได้ (P) 3. ความใฝเ่ รยี นรู้และอยากรอู้ ยากเหน็ (A) คาชแ้ี จง : ให้นกั เรยี นคานวณปริมาณที่เก่ยี วขอ้ งกบั ความรอ้ นจากโจทยท์ ีก่ าหนดให้ต่อไปนใ้ี ห้ถูกต้อง 1) นายสุวัฒน์มีของเหลวชนิดหนึ่งมวล 3.5 กิโลกรัม โดยเขานาไปให้ความร้อนปริมาณ 600 กิโลจูล จนของเหลวมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจาก 25 องศาเซลเซียส เป็น 85 องศาเซลเซียส ความจุความร้อน จาเพาะของของเหลวน้ีมีคา่ เท่าใด ......................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ....................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ............. ..................................................................................................................... .................................................. .................................................................................................................................... ................................... .................................................................................................................................................................. ..... 2) ไอน้าจานวน 50 กรัม ที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส กลั่นตัวเป็นหยดน้าที่มีอุณหภูมิ 80 องศา เซลเซียสอยากทราบว่า ไอน้านี้จะคายความร้อนออกมาในปริมาณเท่าใด กาหนดให้ความร้อนแฝง จาเพาะของการกลายเป็นไอของน้าเท่ากับ 540 แคลอรีต่อกรัม และความจุความร้อนจาเพาะของน้า เท่ากบั 1.0 แคลอรตี อ่ กรมั องศาเซลเซยี ส ......................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ....................................................................................................................................................... ................ ......................................................................................................................................................... ...................................................................................................... ................................................................. ...................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ..........................................
3) จมุ่ ชอ้ นอะลูมิเนยี มมวล 40 กรัม อณุ หภมู ิ 60 องศาเซลเซยี ส ลงไปมดิ ด้ามในนา้ แกงซ่งึ อยู่ในภาชนะที่ เป็นฉนวนความร้อน (นั่นคือไม่มีความร้อนจากภายในและภายนอกผ่านเข้าออกได้) ถ้าน้าแกงมีมวล 30 กรัม และมีอุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส จงหาอุณหภูมิสุดท้ายของช้อนอะลูมิเนียมและน้าแกงว่ า เป็นกี่องศาเซลเซียส (กาหนดให้ ความร้อนจาเพาะของอะลูมิเนียม เท่ากับ 0.215 แคลอรีต่อกรัม- องศาเซลเซยี ส, ความรอ้ นจาเพาะของนา้ แกง เท่ากบั 1.000 แคลอรี ตอ่ กรมั -องศาเซลเซยี ส) ......................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ................................................................................................................................................. ...................... ......................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ...................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ....................................................................................................................................................................... 4) น้ามวล 1 กิโลกรัม ที่ 20 องศาเซลเซียส ถ้าทาให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นจากเดิม 2 องศาเซลเซียส จะมี พลังงานความร้อนเพิ่มขึ้นกี่จูล (กาหนดให้ ความร้อนจาเพาะของน้าเท่ากับ 4.2 กิโลจูลต่อกิโลกรัม- เคลวนิ และความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอเท่ากับ 2,256 กิโลจูลต่อกิโลกรมั ) ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................. .......... ....................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ......................................................................................................................................................................
5) นากระดาษมาพับเป็นรูปถ้วยเติมน้าเย็น 4 องศาเซลเซียสลงไป 100 มิลลิลิตร แล้วใช้เปลวเทียนลน กน้ ถ้วยกระดาษน้ัน จนกระท่ังอุณหภูมิเพมิ่ ขึ้นเป็น 9 องศาเซลเซียส พลงั งานความร้อน ท่ีเปลวเทียน ถา่ ยเทใหม้ ีคา่ เทา่ ใด (กาหนดให้ ความรอ้ นจาเพาะของน้าเทา่ กับ 4.18 กิโลจูลต่อน้า 1 กิโลกรัมต่อ 1 เคลวิน) ......................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ........................................................................................................................................... ............................ ......................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ................................................................................................................................................................. ..... ............................................................................................................................. .......................................... ...................................................................................................................................................................... 6) ลูกกระสุนปืนยิงทะลุผ่านก้อนน้าแข็งในเวลา 0.5 วินาที พบว่ามีน้าแข็ง 0.1 กิโลกรัม เปลี่ยนสถานะ เป็นน้าที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ถ้าการละลายของน้าแข็งเกิดจากการสูญเสียพลังงานของลูกปืน เพียงอย่างเดียว อยากทราบว่าลูกกระสุนปืนสูญเสียพลังงานให้กับน้าแข็งกี่กิโลจูล ต่อวินาที (ความรอ้ นแฝงของการหลอมเหลว 333 กิโลจูลต่อกโิ ลกรมั ) ......................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... .. ....................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ......................................................................................................................................................................
7) แท่งเหล็กมีมวล 1 กิโลกรัม เผาให้ร้อนจนมีอุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส หย่อนลงในภาชนะที่มีน้า 100 กรัม และน้าแขง็ 100 กรัม จงหาอณุ หภมู ผิ สมสุดทา้ ย (กาหนดให้ ความร้อน จาเพาะของน้าและ เหล็กมีค่าเท่ากับ 4.18 และ 0.45 กิโลจูลต่อกิโลกรัม เคลวิน ตามลาดับ และ ค่าความร้อนแฝงของ การหลอมเหลวของนา้ เทา่ กบั 333 กิโลจลู ตอ่ กโิ ลกรมั ) ......................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ....................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ................................................................................................................................................... ................... ............................................................................................................... ........................................................ ...................................................................................................................................................................... 8) ใส่นา้ แข็ง 50 กรัม อณุ หภมู ิ 0 องศาเซลเซยี ส ลงในนา้ 200 กรมั ที่อณุ หภูมิ 30 องศาเซลเซียส จะได้ อุณหภูมิสุดท้ายเท่าใด (ความร้อนแฝงของการหลอมเหลวของน้าแข็งเท่ากับ 80 แคลอรี่ต่อกรัม และ ความรอ้ นจาเพาะของน้าเท่ากบั 1 แคลอรตี ่อกรัม-เคลวิน) ......................................................................................................................................................... ...................................................................................................... ................................................................. ....................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ...... ............................................................................................................................ ........................................... ...................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................................
9) จงคานวณหาปริมาณพลังงานความร้อนที่จะทาให้น้าแข็งจานวน 10 กิโลกรัม ระเหยกลายเป็นไอน้า จนหมด (กาหนดคา่ ความร้อนจาเพาะของน้าเท่ากับ 4 กิโลจลู ต่อกโิ ลกรัมต่อเคลวนิ และค่าความร้อน แฝงจาเพาะของการหลอมเหลวของน้าแขง็ และค่าความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอน้าเท่ากับ 300 และ 2,200 กิโลจูลตอ่ กโิ ลกรัม ตามลาดบั ) ......................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................ ............... ....................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................... ................................... ...................................................................................................................................................................... 10) เมื่อใช้น้าปริมาตร A ลิตร อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ผสมกับน้าอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสได้น้า อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส ปริมาตร 180 ลิตร A มีค่าเท่าใด (กาหนดให้ ความหนาแน่น ของน้า เทา่ กับ 1,000 กโิ ลกรัมต่อลกู บาศก์เมตร) ......................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ......................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................ ........................... ......................................................................................................................................................................
แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 16 กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว30205 รายวิชา ฟิสกิ ส์ 5 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ ความร้อนและทฤษฎีจลนข์ องแกส๊ เร่ือง แกส๊ อุดมคติ วันท…่ี …….เดอื น……………พ.ศ……………… เวลา……………………น. จานวน 2 ชวั่ โมง ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ผสู้ อน นางสาวไข่มกุ สพุ ร สาระฟิสิกส์ 4. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยุ่นของ วัสดุและมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอาร์คิมีดิส ความตึงผิวและแรงหนืดของ ของเหลว ของไหลอุดมคติ และสมการแบร์นลู ลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลนข์ องแก๊สอุดมคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรังสี แรงนิวเคลียร์ ปฏกิ ริ ิยานวิ เคลยี ร์ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ ฟสิ กิ ส์อนภุ าค รวมท้งั นาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ผลการเรียนรู้ อธิบายกฎของแกส๊ อุดมคตแิ ละคานวณปริมาณตา่ ง ๆ ท่เี กีย่ วขอ้ ง จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. นกั เรียนอธบิ ายความสมั พันธ์ระหวา่ งอุณหภมู ิ ความดนั และปรมิ าตรของแกส๊ ได้ (K) 2. นกั เรยี นสบื คน้ ความสัมพันธ์ระหวา่ งอุณหภูมิ ความดัน และปรมิ าตรของแกส๊ ได้ (P) 3. ความใฝ่เรียนรแู้ ละอยากรูอ้ ยากเห็น (A) สาระการเรียนรู้ แก๊สอุดมคติเป็นแก๊สที่โมเลกุลมีขนาดเล็กมากไม่มีแรงยดึ เหนี่ยวระหว่างโมเลกุล มีการเคลื่อนที่แบบสุ่ม และมีการชนแบบยดื หย่นุ ความสัมพันธ์ระหว่างความดัน ปริมาตร และอุณหภูมิของแก๊สอุดมคติเป็นไปตามกฎของแก๊สอุดม คติ เขยี นแทนไดด้ ้วยสมการ ������������ = ������������������ = ������������������������
สาระสาคัญ สมบตั ขิ องแกส๊ อุดมคติ จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ในอดีตเกี่ยวกับพฤติกรรมและสมบัติต่างๆ ของแก๊ส พบว่า โดยทัว่ ไปแก๊สเกือบทกุ ชนิดจะมีสมบตั ิบางประการที่คล้ายกัน สามารถสรุปและอธิบายสมบัติต่างๆ ของแก๊สได้ ด้วย ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส (Kinetic theory of gas) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่อธิบายเกี่ยวกับ สมบัติทางกายภาพและ การเคลอื่ นที่ของแก๊ส โดยมีสมมติฐาน ดังนี้ 1. แก๊สประกอบด้วยโมเลกลุ จานวนมาก โดยทกุ ๆ โมเลกลุ ของแก๊สจะมลี ักษณะ เป็นก้อนกลม ขนาด เท่ากัน ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กมาก โมเลกุลเหล่านี้จะมีการขนผนังภาชนะ แล้วกระดอนแบบยืดห ยุ่น เรียกว่า การชนแบบยืดหยุ่น (clastic collision) และเนื่องจากโมเลกุล ของแก๊สอยู่ห่างกันมาก โอกาสของการชน กนั เองระหวา่ งโมเลกุลจึงน้อยมาก ถือไดว้ ่าไมม่ กี ารชน กนั ระหว่างโมเลกลุ 2. แต่ละโมเลกุลของแก๊สมีขนาดเล็ก มากถือได้ว่ามีปริมาตรน้อยมากเมื่อเทียบกับ ปริมาตรของแก๊ส ทง้ั หมดในภาชนะ จงึ กล่าวไดว้ ่า โมเลกลุ ของแกส๊ ไมม่ ปี ริมาตร 3. โมเลกุลของแก๊สอยหู่ ่างกันมาก สง่ ผลให้มีแรงยดึ เหนี่ยวระหว่างโมเลกลุ ของ แกส๊ นอ้ ยมากจนถือได้ วา่ ไม่มีแรงยดึ เหน่ยี ว ระหวา่ งโมเลกลุ หรือแรงใดๆ มากระทาตอ่ กัน แมก้ ระทั้งแรงดึงดดู ของโลก 4. โมเลกุลของแก๊สมีการเคลือ่ นที่แบบสุ่มหรอื เปน็ การเคลือ่ นที่แบบอิสระในทุกๆ ทิศทางแบบไม่เปน็ ระเบยี บ ด้วยอัตราเรว็ คงตัวซึง่ เป็นไปตามกฎการเคลอ่ื นท่ขี องนิวตัน แก๊สที่มีสมบัติเป็นไปสมมติฐานดังกล่าวทุกประการ เรียกว่า แก๊สสมบูรณ์ (perfect gas) ถือได้ว่า เป็นแก๊สอุดมคติ (idical gas) โดยสมมติฐานเป็นแบบจาลองของแก๊สอุดมคติ (ideal gas model) ไม่สามารถ พบไดใ้ นธรรมชาติ ดังน้ัน แก๊สท่ีมีอยู่ในธรรมชาติจะเรียกว่า แก็สจริง (real gas) เน่ืองจากจะประกอบดว้ ย โมเลกุลของ แก๊สที่มีแรงยึดเหน่ียวระหว่างโมเลกุลกับมีปริมาตร แต่อย่างไรกต็ าม แก๊สจริงจะมสี มบัติใกล้เคียงกับแก๊สอุดม คตไิ ดเ้ ม่ืออุณหภูมสิ ูงและมีความดนั ตา่ กฎของแก๊สอดุ มคติ จากการศึกษาและทดลองของนักวิทยาศาสตร์หลายท่านเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความ ดัน ปริมาตร และอุณหภูมิของแก๊ส แล้วสรุปความสัมพันธ์ของปริมาณดังกล่าวออกมาเป็นกฎต่างๆ เรียกว่า กฎของแก๊ส (gas law) 1. กฎของบอยล์ (Boyle's law) รอเบิร์ต บอยล์ (Robert Boyle) (พ.ศ. 2170-2234) ได้สรุปผล การศึกษาและทดลองแล้วเสนอแนวคิดว่า 'สาหรับแก๊สในภาชนะปิด ถ้าอุณหภูมิ (T) ของแก๊สคงตัว ปริมาตร (V) ของแกส๊ ใด ๆ จะแปรผกผันกบั ความดนั (P) ของแก๊สนั้นๆ \"สามารถเขยี นแสดงความสัมพันธไ์ ด้ ดงั น้ี ������ ∝ ������ หรือ PV = k ������
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135