การวดั ผลและประเมนิ ผล จุดประสงค์การเรยี นรู้ วิธวี ัด เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมิน 1. นกั เรยี นอธิบายการเกิดอีเอ็ม ตรวจใบงาน ใบงานที่ 1.8 กฎการ ได้ระดับคุณภาพดี เอฟและอธิบายทิศทางของ เหน่ียวนาของฟาราเดย์ จงึ ผ่านเกณฑ์ กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาโดยใช้ กฎของฟาราเดยไ์ ด้ (K) 2. นักเรียนทดลองและสังเกต สังเกตและประเมินการ แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี การเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาโดย ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม ปฏิบัติกิจกรรมการ จึงผ่านเกณฑ์ ใชก้ ฎของฟาราเดย์ได้ (P) ทดลอง 3. การทางานร่วมกับผู้อื่นได้ สังเกตและประเมินการ แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี อยา่ งสรา้ งสรรค์ (A) ทางานร่วมกับผู้อื่นได้ ทางานร่วมกับผู้อื่นได้ จงึ ผ่านเกณฑ์ อย่างสร้างสรรค์ อยา่ งสรา้ งสรรค์ 4. คณุ ลกั ษณะดา้ นมุ่งมั่นในการ สังเกตพฤติกรรม แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ค ุ ณ - ได้ระดับคุณภาพดี ทางาน ลักษณะอันพึงประสงค์ จึงผา่ นเกณฑ์ ด้านมุ่งมั่นในการทา งาน ความคิดเห็นของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ................................................................ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา (…………………….………….……….………………………….) ........./........................./.........
บันทกึ หลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ผลการจัดกจิ กรรม ตารางที่ 1 ผลการประเมินดา้ นความรู้ (K) ลาดับที่ ระดับชัน้ จานวน ดีมาก (4) สรปุ ผลการประเมิน ปรับปรงุ (1) รวม นักเรยี น 100% ดี (3) พอใช้ (2) - 1 ม.6/1 90% - 100% 2 ม.6/3 30 90% -- - 100% 3 ม.6/4 32 100% 10% - - 100% 4 ม.6/5 27 10% - 100% 29 รวม 100 -- ตารางท่ี 2 ผลการประเมนิ ดา้ นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) ลาดบั ท่ี ระดับช้นั จานวน ดมี าก สรุปผลการประเมนิ ปรบั ปรงุ รวม นกั เรยี น (16 – 20) ดี พอใช้ (1 – 5) 1 ม.6/1 100% (11 – 15) (6 – 10) 100% 2 ม.6/3 30 -- - 100% 3 ม.6/4 32 80% 20% - - 100% 4 ม.6/5 27 80% 20% - - 100% 29 90% 10% - - 100 รวม
บนั ทกึ หลังการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการจัดกิจกรรม ตารางที่ 3 ผลการประเมนิ ด้านเจตคติ (A) ลาดบั ท่ี ระดับชัน้ จานวน สรปุ ผลการประเมิน พอใช้ (1 - 3) รวม นักเรียน ดีมาก (7 - 9) ดี (4 - 6) - 1 ม.6/1 - 100% 2 ม.6/3 30 100% - - 100% 3 ม.6/4 32 80% 20% - 100% 4 ม.6/5 27 90% 10% 100% 29 80% 20% 100 รวม ตารางที่ 4 ผลการประเมินด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ลาดับท่ี ระดับชนั้ จานวน ดีมาก (3) สรุปผลการประเมิน ไม่ผา่ น (0) รวม นกั เรียน 100% ดี (2) ผา่ น (1) - 1 ม.6/1 100% - 100% 2 ม.6/3 30 100% -- - 100% 3 ม.6/4 32 100% -- - 100% 4 ม.6/5 27 -- 100% 29 รวม -- 100
บันทึกหลังการสอน ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 6/1 ผลการสอน ดา้ นความรู้ นกั เรียนทกุ คนเขา้ ใจในเน้ือหาสาระไดด้ ีมาก คิดเปน็ ร้อยละ 100 ดา้ นทักษะ นักเรียนทุกคนมีทักษะในระดับดมี าก คดิ เป็นรอ้ ยละ 100 ด้านเจตคติ นกั เรยี นทกุ คนมีเจตคตทิ ่ดี ีมาก คดิ เปน็ รอ้ ยละ 100 ด้านสมรรถนะ นกั เรียนมีความสามารถในการคดิ วเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะห์ได้ ด้านคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ นกั เรยี นทกุ คนมีความมงุ่ มัน่ ในการทางานทีด่ ีมาก ปญั หา/อุปสรรค - แนวทางการแกไ้ ข - หมายเหตุ - ลงช่ือ..........................................................ผ้สู อน ( นางสาวไข่มกุ สพุ ร )
บันทกึ หลังการสอน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6/3 ผลการสอน ด้านความรู้ นักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจในเนื้อหาสาระได้ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 90 และมีบางส่วนเรียนรู้ได้ดี คิดเป็น รอ้ ยละ 10 ดา้ นทักษะ นกั เรียนส่วนใหญม่ ที กั ษะในระดับดมี าก คดิ เป็นรอ้ ยละ 80 และมบี างส่วนมที กั ษะในระดบั ดี 20 ดา้ นเจตคติ นักเรียนสว่ นใหญม่ ีเจตคติทด่ี ีมาก คิดเปน็ รอ้ ยละ 80 และมีบางสว่ นมีเจตคตทิ ่ีดี คดิ เปน็ รอ้ ยละ 20 ด้านสมรรถนะ นักเรยี นมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้ ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ นักเรียนทุกคนมีความมุ่งม่นั ในการทางานทด่ี ีมาก ปญั หา/อุปสรรค - แนวทางการแก้ไข - หมายเหตุ - ลงช่อื ..........................................................ผสู้ อน ( นางสาวไข่มกุ สพุ ร )
บนั ทึกหลังการสอน ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6/4 ผลการสอน ดา้ นความรู้ นักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจในเนื้อหาสาระได้ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 90 และมีบางส่วนเรียนรู้ได้ดี คิดเป็น รอ้ ยละ 10 ด้านทกั ษะ นักเรียนส่วนใหญ่มีทักษะในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 80 และมีบางส่วนมีทักษะในระดับดี คิดเป็น ร้อยละ 20 ด้านเจตคติ นักเรยี นสว่ นใหญ่มีเจตคตทิ ดี่ ีมาก คิดเป็นรอ้ ยละ 90 และมบี างสว่ นมีเจตคติที่ดี คดิ เป็นร้อยละ 10 ดา้ นสมรรถนะ นกั เรียนมีความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์และสังเคราะห์ได้ ด้านคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ นกั เรียนทกุ คนมคี วามมงุ่ มน่ั ในการทางานท่ดี ีมาก ปญั หา/อุปสรรค - แนวทางการแกไ้ ข - หมายเหตุ - ลงช่อื ..........................................................ผ้สู อน ( นางสาวไขม่ กุ สุพร )
บนั ทกึ หลงั การสอน ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 6/5 ผลการสอน ด้านความรู้ นักเรยี นทกุ คนเข้าใจในเนอื้ หาสาระไดด้ ีมาก คิดเป็นร้อยละ 100 ด้านทกั ษะ นกั เรยี นส่วนใหญ่มที กั ษะในระดับดีมาก คิดเปน็ ร้อยละ 90 และมบี างส่วนมที กั ษะในระดับดี 10 ดา้ นเจตคติ นักเรียนสว่ นใหญ่มเี จตคติที่ดีมาก คดิ เป็นร้อยละ 80 และมีบางสว่ นมีเจตคติที่ดี คดิ เป็นรอ้ ยละ 20 ดา้ นสมรรถนะ นกั เรยี นมคี วามสามารถในการคิดวเิ คราะห์และสังเคราะห์ได้ ด้านคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ นักเรยี นทุกคนมีความมงุ่ ม่นั ในการทางานท่ดี ีมาก ปัญหา/อปุ สรรค - แนวทางการแก้ไข - หมายเหตุ - ลงชอ่ื ..........................................................ผู้สอน ( นางสาวไขม่ กุ สุพร )
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 9 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว30205 รายวิชา ฟิสิกส์ 5 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ แม่เหล็กและไฟฟ้า เรอื่ ง เครื่องกาเนดิ ไฟฟา้ วนั ท…่ี …….เดอื น……………พ.ศ……………… เวลา……………………น. จานวน 2 ชั่วโมง ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ผูส้ อน นางสาวไขม่ ุก สุพร สาระฟสิ ิกส์ 3. เขา้ ใจแรงไฟฟา้ และกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศกั ยไ์ ฟฟา้ ความจไุ ฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และกฎของ โอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงาน ไฟฟ้าและกาลังไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทากับประจุไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎ ของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลับ คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และการส่อื สาร รวมทั้งนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ผลการเรยี นรู้ สังเกตและอธิบายการเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนา กฎการเหนี่ยวนาของฟาราเดย์ และคานวณปริมาณ ตา่ งๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ ง รวมทง้ั นาความร้เู รอื่ งอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาไปอธิบายการทางานของเครอ่ื งใช้ไฟฟา้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. นักเรยี นอธบิ ายการทางานของเครื่องกาเนิดไฟฟา้ โดยใช้ความรเู้ ก่ยี วกับอเี อม็ เอฟเหน่ยี วนาได้ (K) 2. นักเรียนทดลองและสังเกตทิศทางของกระแสไฟฟ้ากระแสตรงและไฟฟ้ากระแสสลับจากเครื่อง กาเนิดไฟฟ้าอยา่ งง่ายได้ (P) 3. มีความมงุ่ ม่นั ในการทางานและทางานรว่ มกบั ผูอ้ น่ื ได้อย่างสร้างสรรค์ (A) สาระการเรยี นรู้ เครื่องกาเนิดไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์เปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้าประกอบด้วย ขดลวดพันอยู่บน แกนที่หมุนได้คล่องอยู่ในสนามแม่เหล็ก ปลายขดลวดทั้งสองต่ออยู่กับวงแหวนซึ่งสัมผัสกับแปรงสัมผัส เมื่อ หมนุ ขดลวดจะทาใหฟ้ ลกั ซ์แมเ่ หลก็ ทผ่ี ่านขดลวดมีการเปล่ยี นแปลง เกิดอีเอ็มเอฟเหนย่ี วนาในขดลวด และเกิด กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาเมือ่ ต่อแปรงกับอุปกรณ์ภายนอก จะเป็นเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรง เมื่อใช้วงแหวน ผา่ ซีกและเปน็ เครื่องกาเนดิ ไฟฟา้ กระแสสลบั เมื่อใช้วงแหวนแยก อีเอ็มเอฟไฟฟ้ากระแสสลับเปลี่ยนค่าตามเวลาในรูปของฟังก์ชันแบบไซน์ ตามสมการ ������(������) = ������0sin( ������������) เมื่อต่ออีเอ็มเอฟกับตัวต้านทาน กระแสไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสสลับ ������ที่ผ่านตัวต้านทานและ
ความต่างศักย์ ������ ระหวา่ งปลายตัวต้านทานทเ่ี วลา ������ ใดๆ เปน็ ไปตามสมการ ������ = ������0������������������(������������) แ ล ะ ������ = ������0������������������(������������) สาระสาคญั เครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟา้ การหมุนขดลวดตัวนาในสนามแม่เหล็กทาให้ฟลักซ์แม่เหล็กที่ตัดขดลวดตัวนามีการเปลี่ยนแปลง จึงทาใหม้ อี เี อม็ เอฟเหนี่ยวนาเกิดขึน้ ในขดลวด กิจกรรมเครื่องกาเนิดไฟฟ้า จะสังเกตเห็นว่า กระแสไฟฟ้าจากกรณีที่แปรงสัมผัสแตะกับวงแหวนผ่า ซีกมีทิศทางเดียว เรียกกระแสไฟฟ้านี้ว่า กระแสตรง (Direct Current : DC) แต่สาหรับกระแสไฟฟ้ากรณีที่ แปรงสัมผัสแตะกับวงแหวนแยก จะมีทิศทางสลับไปมา เรียกกระแสไฟฟ้านี้ว่า กระแสสลับ(Alternating Current : AC) เครอื่ งกาเนิดไฟฟา้ กระแสสลบั พิจารณาเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ ดังรูป ประกอบด้วยขดลวดหมุนได้คล่องอยู่ระหว่าง ขั้วแม่เหล็ก ปลายขดลวดแต่ละด้านต่อกับวงแหวนแยกที่หมุนไปพร้อมกับขดลวด และแตะอยู่กับแปรงสัมผัส อันเดิมตลอดเวลา ซึ่งต่อกับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอก เช่น โวลต์มิเตอร์ เมื่อขดลวดหมุนดว้ ยอัตราเร็วเชิงมุม ������ คงตัว ครบหน่งึ รอบโดยใชเ้ วลา ������ อเี อ็มเอฟเหนยี่ วนาที่เกิดขึ้นในชว่ งเวลาดังกลา่ วสามารถอธิบายได้ดังน้ี รปู เครอ่ื งกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ รปู แสดงการหมนุ ของเคร่ืองกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลับ 0 ถึง T และกราฟอีเอ็มเอฟทเ่ี กิดขึ้น พจิ ารณาช่วงเวลา 0 ≤ ������ ≤ ������โดยเรมิ่ ต้นทเี่ วลา ������ = 0 ระนาบขดลวดวางตวั ตงั้ ฉากกับสนามแมเ่ หลก็ 4
ฟลักซ์แม่เหล็กที่ตัดขดลวดมีค่าสูงสุด แต่อัตราการเปลี่ยนแปลงฟลักซ์แม่เหล็กเป็นศูนย์ ทาให้อีเอ็มเอฟ เหนี่ยวนาเป็นศูนย์ หลังจากนั้นอัตราการเปลี่ยนแปลงฟลักซ์จะมีค่าเพิ่มขึ้น ทาให้อีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาเพิ่มขึ้น ตามเวลาที่เปลี่ยนไป จนที่เวลา ������ = ������ ขดลวดหมุนไปเป็นมุม 90 องศา ฟลักซ์แม่เหล็กที่ตัดขดลวดมีค่าเป็น 4 ศูนย์ แต่อัตราการเปลี่ยนแปลงฟลักซ์แม่เหล็กมีค่าสูงสุด ทาให้อีเอ็มเอฟหนี่ยวนามีค่าสูงสุด และเขียนกราฟ ความสัมพันธ์ระหว่างอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนากับเวลาในช่วงเวลา0 ≤ ������ ≤ ������ ในช่วงเวลา ������ < ������ ≤ ������ ขดลวด 4 42 หมุนต่อไป อัตราการเปลี่ยนแปลงฟลักซ์แม่เหล็กจะมีค่าลดลง ทาให้อีเอ็มเอฟเหนี่ยวนามีค่าลดลง จนที่เวลา ������ = ������ ขดลวดหมุนไปเปน็ มุม 180 องศา กับตาแหน่งเร่ิมตน้ (������ = 0) ฟลกั ซแ์ ม่เหล็กท่ตี ดั ขดลวดมคี า่ สูงสดุ แต่ 2 อัตราการเปลี่ยนแปลงฟลักซ์แม่เหล็กมีค่าเป็นศูนย์ และเขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่างอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนา กบั เวลา ในชว่ งเวลาครึ่งรอบแรกได้ ทานองเดยี วกันในชว่ งเวลา ������ < ������ ≤ 3������ อัตราการเปลยี่ นแปลงฟลักซแ์ ม่เหลก็ มีลักษณะคล้ายกับข่วง 24 เวลา 0 ≤ ������ ≤ ������ แต่เนื่องจากขดลวดจะเปลี่ยนตาแหน่งตรงข้าม (ลวดสีเหลืองสลับที่กับลวดสีฟ้า) ดังน้ัน 4 ทศิ ทางของอีเอม็ เอฟเหนี่ยวนาในขดลวดจงึ ตรงข้ามกับช่วงเวลา 0 ≤ ������ ≤ ������ สามารถเขียนกราฟความสัมพันธ์ 4 ระหว่างอเี อม็ เอฟเหน่ียวนากับเวลาได้ ทานองเดียวกนั ในชว่ งเวลา 3������ < ������ ≤ ������ อัตราการเปลี่ยนแปลงฟลักซ์แมเ่ หล็กมีลักษณะคล้ายกับข่วง 4 เวลา ������ < ������ ≤ ������แต่เนื่องจากขดลวดจะเปลี่ยนตาแหน่งตรงข้าม (ลวดสีเหลืองสลับที่กับลวดสีฟ้า) ดังนั้น 42 ทิศทางของอีเอ็มเอฟเหน่ียวนาในขดลวดจึงตรงข้ามกับชว่ งเวลา ������ < ������ ≤ ������ สามารถเขยี นกราฟความสัมพันธ์ 42 ระหวา่ งอีเอ็มเอฟเหน่ยี วนากับเวลา หากหมุนขดลวดในรอบต่อๆ ไปจะได้กราฟความสัมพันธ์ระหว่างอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนากับเวลา เช่นเดยี วกบั รอบทีพ่ ิจารณาข้างต้น ซง่ึ มีความสมั พันธใ์ นรปู ของฟงั กช็ ันแบบไซน์ จากการเปลี่ยนแปลงของอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาของเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับเมื่อขดลวดหมุนด้วย อัตราเร็วชิงมุม ������ คงตัว (ที่ ������ = 0 ระนาบขดลวดตั้งฉากกับสนามแม่เหล็ก) จนครบรอบ กราฟการ เปลี่ยนแปลงของอีเอม็ เอฟเหนี่ยวนาจะอยูใ่ นรปู ของฟังกช์ ันแบบไชน์ สามารถเขียนสมการอีเอ็มเอฟเหน่ยี วนา ท่ไี ดจ้ ากเครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟา้ กรแสสลับขณะเวลา ������ ใดๆ ไดด้ ังน้ี ������(������) = ������0������������������������������ เมือ่ ������(������) เปน็ อเี อ็มเอฟเหน่ยี วนาขณะเวลา������ ใด ๆ ������0 เปน็ อเี อ็มเอฟเหนีย่ วนาสงู สดุ ������ เป็นความถ่เี ชิงมมุ (เทา่ กบั อัตราเรว็ เชงิ มุมของการหมนุ ขดลวด) ค่า ������ จะบอกให้ทราบคาบ (������) และความถี่ ( ������) ในการเปลี่ยนค่าซ้าเดิมของอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนา ซึ่ง ความถเี่ ชงิ มุม คาบ และความถข่ี องการหมุนขดลวดสัมพนั ธก์ นั ตามสมการ
โดย ������ 2������ ������ = ������ = 2������������ ������ มีหน่วยเปน็ เรเดียนตอ่ วนิ าที ������ มหี น่วยเป็นวนิ าที มหี นว่ ยเปน็ รอบต่อวินาที หรอื เฮริ ตซ์ (Hz) เครอื่ งกาเนดิ ไฟฟา้ กระแสตรง พิจารณาเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรง ประกอบด้วยขดลวดหมุนได้คล่องอยู่ ระหว่างขั้วแม่เหล็ก เชน่ เดยี วกบั เครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลับ ตา่ งกันที่ปลายขดลวดแต่ละด้านของเครื่องกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสตรง ต่อกับวงแหวนผ่าซีกที่หมุนไปพร้อมกับขดลวด และสลับการแตะกับแปรงสัมผัสทุกครึ่งรอบ ซึ่งจะทาให้ กระแสไฟฟ้าจากแปรงสัมผัสไปผ่านอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอกมีทิศเดิมเสมอที่เรียกว่า ไฟฟ้ากระแสตรง ซึ่ง อธิบายไดด้ ังน้ี รูปเครื่องกาเนดิ ไฟฟา้ กระแสตรง พิจารณาการหมนุ ขดลวดในลกั ษณะเดยี วกับขดลวดเครื่องกาเนิดไฟฟา้ กระแสสลับก่อนหน้า ในช่วงเวลา 0 < ������ ≤ ������ ครง่ึ รอบนแ้ี หวนซีกสีเหลืองแตะอยู่กับแปรงสมั ผสั สแี ดง และแหวนสีฟ้าจะ 2 แตะกบั แปรงสัมผสั ดา อเี อม็ เอฟเหนยี่ วนาทาให้มีกระแสไฟฟ้าเหน่ียวนาผ่านออกทางปลายเส้นลวดสีเหลืองซ่ึง ตอ่ ยู่กบั แหวนซีกสีหลือง ผ่านแปรงสัมผัสสีแดงไปยังโวลต์มเิ ตอร์และกลับเข้าทางแปรงสัมผัสสีดา ผ่านแหวนสี ฟ้า เข้าสูล่ วดสีฟ้า และสามารถเขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่างอีเอ็มอฟเหน่ียวนา (ความต่างศักย์) กับเวลาที่ ผา่ นโวลตม์ เิ ตอร์ได้ และเมื่อขดลดหมุนครึ่งรอบต่อไปในช่วงเวลา ������ < ������ ≤ ������ ครึ่งรอบนี้แหวนซีกสีฟ้าจะเปลี่ยนมาแตะ 2 กบั แปรงสัมผัสสแี ดง และแหวนสเี หลอื งจะเปลยี่ นมาแตะกับแปรงสีดา อเี อ็มเอฟเหน่ยี วนาทาให้มีกระแสไฟฟ้า เหนยี่ วนาผา่ นออกทางปลายเส้นลวดสีฟซ้ ึ่งต่ออยกู่ บั แหวนซีกสีฟ้า ผา่ นแปรงสัมผสั สแี ดง ไปยงั โวลตม์ ิเตอร์และ กลับเข้าทางแปรงสัมผัสสีดา ผ่านสีหลืองเข้าสู่ลวดสีเหลือง และสามารถเขียนกราฟความสัมพันระหว่างอีเอม็ เอฟเหน่ยี วนากับเวลาท่ผี ่านโวลต์มเิ ตอร์ ในชว่ งเวลาถัดมาจนครบรอบ หากหมุนขดลวดในรอบต่อๆ ไปจะได้กราฟความสัมพันธ์ระหว่างอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนากับเวลา เชน่ เดียวกบั รอบทพี่ จิ ารณาขา้ งต้น
รปู แสดงการหมุนของเคร่อื งกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสตรง จาก 0 ถึง T และอีเอ็มเอฟเหน่ยี วนาทเี่ กดิ ขึน้ สมรรถนะสาคญั ความสามารถในการคดิ - ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ - ทักษะการคิดสังเคราะห์ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (จิตวิทยาศาสตร์) ความมุ่งมั่นในการทางานและทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสร้างสรรค์ นักเรียนแสดงออกถึงความตั้งใจ ความต้องการที่จะรู้และเสาะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ทีสนใจหรือต้องการค้นพบสิ่งใหม่ แสดงออกได้ โดยการถามคาถาม หรือมีความสงสัยในสิ่งที่สนใจอยากรู้ มีความกระตือรือร้นในการเสาะแสวงหาข้อมูลท่ี เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจ และมีการใช้ทักษะทางสงั คม การมีปฏิสัมพันธก์ ับคนอ่ืนๆ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นกับบุคคลอื่น การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น การขอความช่วยเหลือและความร่วมมือจากผู้อ่ืน เพ่ือความรว่ มมอื ในการทางานกลุ่ม ชนิ้ งาน/ภาระงาน ใบงานท่ี 1.9 เคร่ืองกาเนดิ ไฟฟ้า กิจกรรมการเรียนรู้ วธิ ีสอนใชร้ ูปแบบวงจรการเรียนรู้ 5 ข้นั ตอน (5E Learning Cycle model) ขั้นท่ี 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ ( 15 นาที ) 1. ครูทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับกฎการเหนี่ยวนาของฟาราเดย์ และการหมุนแกนของมอเตอร์ทาให้ หลอดไฟสว่าง ดงั น้ี
- ฟลกั ซแ์ มเ่ หล็กในขดลวดของมอเตอร์มีการเปล่ียนแปลงขณะหมนุ ทาให้เกิดอเี อ็มเอฟเหนี่ยวนา แสดงวา่ พลังงานกลสามารถเปล่ียนเปน็ พลงั งานไฟฟ้าได้ 2. ครูต้ังคาถามเพ่ือนาเขา้ สู่การทากจิ กรรม เรื่อง เคร่ืองกาเนิดไฟฟ้า โดยมปี ระเด็นคาถาม ดังต่อไปนี้ - เคร่อื งกาเนิดไฟฟ้าทีผ่ ลติ ไฟฟา้ ท่ีใช้ในบ้านของเรามหี ลักการทางานอยา่ งไร (แนวคาตอบ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ ถกู ต้อง) ขัน้ ท่ี 2 ขัน้ สารวจและคน้ หา ( 45 นาที ) 3. ให้นักเรยี นแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 - 5 คน และใหต้ ัวแทนกลุ่มมารับใบงาน 4. นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ศึกษากิจกรรมจากใบงานท่ี 1.9 เรื่อง เครอื่ งกาเนิดไฟฟ้า 5. ครชู ้แี จงจุดประสงค์และวิธีการปฏิบตั ิกิจกรรมใหน้ กั เรยี นทราบ 6. นักเรยี นลงมอื ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม และรายงานผล ขั้นท่ี 3 ขนั้ สร้างคาอธบิ ายและลงขอ้ สรุป ( 30 นาที ) 7. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มส่งตวั แทนออกมานาเสนอผลการปฏบิ ัติกิจกรรมหนา้ ชนั้ 8. ครใู ห้นักเรยี นรว่ มกนั อภิปรายเพอื่ นาไปสูก่ ารสรปุ โดยใชค้ าถามตอ่ ไปน้ี - ในกรณีที่แปรงสัมผัสแตะกับวงแหวนแยก เมื่อหมุนเครื่องกาาเนิดไฟฟ้าการเบนของเข็มแกล แวนอมเิ ตอร์มลี กั ษณะเป็นอย่างไร (แนวคาตอบ การเบนของเข็มแกลแวนอมเิ ตอร์เบนกลบั ไปกลับมาระหว่างบวกกับลบ) - ในกรณที แ่ี ปรงสัมผสั แตะกบั วงแหวนแยก ทิศทางของกระแสไฟฟ้ามีลักษณะอย่างไร สังเกตได้ อยา่ งไร (แนวคาตอบ ทิศทางของกระแสไฟฟ้ามีลักษณะสลับทิศไปมา สังเกตได้จากเข็มแกลแวนอ มิเตอรเ์ บนกลับไปกลับมาระหว่างบวกกับลบ) - ในกรณีที่แปรงสัมผัสแตะกับวงแหวนผ่าซีก เมื่อหมุนเครื่องกาเนิดไฟฟ้าการเบนของเข็มแกล แวนอมิเตอร์มีลักษณะเป็นอย่างไร (แนวคาตอบ การเบนของเข็มแกลแวนอมิเตอร์ลักษณะเบนไปเบนมา ระหว่างศนู ยก์ บั บวกหรือ ศนู ยก์ บั ลบ ทางใดทางหน่งึ ) - ในกรณีที่แปรงสัมผัสแตะกับวงแหวนผ่าซีก เมื่อหมุนเครื่องกาเนิดไฟฟ้าในทิศทางตรงข้าม การเบนของเข็มแกลแวนอมิเตอร์ มีลกั ษณะเปน็ อย่างไร (แนวคาตอบ เข็มแกลแวนอมิเตอรจ์ ะเบนออกจากตาาแหน่งศูนย์เช่นเดยี วกนั แต่เบนในทศิ ตรง ขา้ มกับครง้ั กอ่ น)
9. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับ เรื่อง เครื่องกาเนิดไฟฟ้า ดังน้ี เครื่องกาเนิดกระแสไฟฟ้า เปลย่ี นพลงั งานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยใชก้ ารหมนุ ขดลวดในสนามแมเ่ หล็ก ทาใหเ้ กิดอีเอม็ เอฟเหนี่ยวนาใน ขดลวด เมื่อนาปลายขดลวดมาต่อกับวงแหวนแยก อีเอ็มเอฟที่ได้จากเครื่องกาเนิดกระแสไฟฟ้าจะมีทิศทาง กลับไปมา จึงเรียกว่า เครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ เมื่อนาปลายขดลวดมาต่อกับวงแหวนผา่ ซีก อีเอ็มเอฟท่ี ไดจ้ ากเครอ่ื งกาเนิดไฟฟา้ จะมที ิศทางเดิมตลอด จงึ เรียกว่า เครื่องกาเนิดไฟฟา้ กระแสตรง ขนั้ ท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้ ( 15 นาที ) 10. ครูอธิบายให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ เครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ และเครื่องกาเนิดไฟฟ้า กระแสตรง ข้นั ที่ 5 ประเมินผล ( 15 นาที ) 11. ครูสังเกตและประเมินพฤติกรรมของนักเรียนในขณะที่ให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมและ การนาเสนอผลการปฏิบัติกจิ กรรม วัสดุ/อปุ กรณ์ ส่ือและแหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี นฟิสกิ ส์ ม.6 เล่ม 1 สังกดั อจท. 2. หนงั สือเรยี นฟสิ ิกส์ ม.6 เลม่ 5 สงั กัด สสวท. 3. ห้องเรยี น 4. หอ้ งสมดุ 5. แหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศ 6. ใบงานที่ 1.9 เครอ่ื งกาเนิดไฟฟ้า
การวดั ผลและประเมินผล จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วิธีวัด เครอื่ งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ 1. นักเรียนอธิบายการทางาน ตรวจใบงาน ใบงานที่ 1.9 เครื่อง ได้ระดับคุณภาพดี ของเครื่องกาเนิดไฟฟ้า โดยใช้ กาเนดิ ไฟฟา้ จึงผ่านเกณฑ์ ความรู้เกี่ยวกับอีเอ็มเอฟ เหนยี่ วนาได้ (K) 2. นักเรียนทดลองและสังเกต สังเกตและประเมินการ แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี ท ิ ศ ท า ง ข อ ง ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ า ปฏิบตั กิ จิ กรรม ปฏิบัติกิจกรรมการ จึงผา่ นเกณฑ์ กระแสตรงและไฟฟ้ากระแส ทดลอง สลับจากเครื่ อง ก าเ นิด ไ ฟ ฟ้ า อยา่ งงา่ ยได้ (P) 3. การทางานร่วมกับผู้อื่นได้ สังเกตและประเมินการ แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี อยา่ งสร้างสรรค์ (A) ทางานร่วมกับผู้อื่นได้ ทางานร่วมกับผู้อื่นได้ จึงผ่านเกณฑ์ อยา่ งสรา้ งสรรค์ อย่างสร้างสรรค์ 4. คุณลกั ษณะด้านมุ่งม่ันในการ สงั เกตพฤติกรรม แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ค ุ ณ - ได้ระดับคุณภาพดี ทางาน ลักษณะอันพึงประสงค์ จึงผ่านเกณฑ์ ด้านมุ่งมั่นในการทา งาน ความคิดเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ................................................................ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา (…………………….………….……….………………………….) ........./........................./.........
บนั ทกึ หลังการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ผลการจดั กิจกรรม ตารางที่ 1 ผลการประเมินดา้ นความรู้ (K) ลาดับท่ี ระดับช้นั จานวน ดีมาก (4) สรปุ ผลการประเมนิ ปรับปรงุ (1) รวม นักเรียน 90% ดี (3) พอใช้ (2) - 1 ม.6/1 85% 10% - - 100% 2 ม.6/3 30 80% 15% - - 100% 3 ม.6/4 32 80% 20% - - 100% 4 ม.6/5 27 รวม 20% - 100% 29 100 ตารางที่ 2 ผลการประเมนิ ดา้ นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) ลาดบั ที่ ระดับช้ัน จานวน ดีมาก สรุปผลการประเมนิ ปรับปรุง รวม นักเรยี น (16 – 20) ดี พอใช้ (1 – 5) 1 ม.6/1 (11 – 15) (6 – 10) 100% 2 ม.6/3 30 80% 20% - - 100% 3 ม.6/4 32 90% 10% - - 100% 4 ม.6/5 27 85% 15% - - 100% 29 80% 20% - - 100 รวม
บันทกึ หลังการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ผลการจัดกจิ กรรม ตารางท่ี 3 ผลการประเมินด้านเจตคติ (A) ลาดบั ที่ ระดับชน้ั จานวน สรปุ ผลการประเมิน พอใช้ (1 - 3) รวม นกั เรียน ดมี าก (7 - 9) ดี (4 - 6) - 1 ม.6/1 - 100% 2 ม.6/3 30 80% 20% - 100% 3 ม.6/4 32 90% 10% - 100% 4 ม.6/5 27 85% 15% 100% 29 80% 20% 100 รวม ตารางที่ 4 ผลการประเมนิ ด้านคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ลาดับที่ ระดบั ชัน้ จานวน ดมี าก (3) สรปุ ผลการประเมนิ ไม่ผา่ น (0) รวม นักเรียน 100% ดี (2) ผา่ น (1) - 1 ม.6/1 100% - 100% 2 ม.6/3 30 100% -- - 100% 3 ม.6/4 32 100% -- - 100% 4 ม.6/5 27 -- 100% 29 รวม -- 100
บันทกึ หลังการสอน ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6/1 ผลการสอน ดา้ นความรู้ นักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจในเนื้อหาสาระได้ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 90 และมีบางส่วนมีการเรียนรู้ที่ดี คิด เปน็ ร้อยละ 10 ดา้ นทักษะ นักเรียนส่วนใหญ่มีทักษะในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 90 และมีบางส่วนมีทักษะระดับที่ดี คิดเป็น ร้อยละ 10 ดา้ นเจตคติ นักเรียนส่วนใหญ่มีเจตคตใิ นระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 80 และมีบางส่วนมีเจตคติระดับที่ดี คิดเป็น รอ้ ยละ 20 ดา้ นสมรรถนะ นกั เรียนมีความสามารถในการคิดวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหไ์ ด้ ด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ นกั เรยี นทุกคนมคี วามมุง่ มน่ั ในการทางานท่ีดีมาก ปญั หา/อุปสรรค - แนวทางการแกไ้ ข - หมายเหตุ - ลงช่อื ..........................................................ผู้สอน ( นางสาวไขม่ กุ สพุ ร )
บันทกึ หลังการสอน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6/3 ผลการสอน ด้านความรู้ นักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจในเนื้อหาสาระได้ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 85 และมีบางส่วนเรียนรู้ได้ดี คิดเป็น รอ้ ยละ 15 ดา้ นทักษะ นกั เรียนส่วนใหญม่ ที กั ษะในระดบั ดมี าก คิดเป็นรอ้ ยละ 90 และมบี างสว่ นมที กั ษะในระดับดี 10 ดา้ นเจตคติ นักเรียนสว่ นใหญม่ ีเจตคติทด่ี มี าก คิดเป็นร้อยละ 90 และมีบางสว่ นมีเจตคตทิ ่ีดี คิดเปน็ ร้อยละ 10 ด้านสมรรถนะ นักเรยี นมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ได้ ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ นักเรียนทุกคนมีความมุ่งมั่นในการทางานที่ดีมาก ปญั หา/อุปสรรค - แนวทางการแก้ไข - หมายเหตุ - ลงช่อื ..........................................................ผ้สู อน ( นางสาวไข่มกุ สพุ ร )
บนั ทึกหลังการสอน ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6/4 ผลการสอน ดา้ นความรู้ นักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจในเนื้อหาสาระได้ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 80 และมีบางส่วนเรียนรู้ได้ดี คิดเป็น รอ้ ยละ 20 ด้านทกั ษะ นักเรียนส่วนใหญ่มีทักษะในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 85 และมีบางส่วนมีทักษะในระดับดี คิดเป็น ร้อยละ 15 ด้านเจตคติ นักเรยี นสว่ นใหญ่มีเจตคตทิ ดี่ ีมาก คิดเป็นรอ้ ยละ 85 และมบี างสว่ นมีเจตคติที่ดี คดิ เป็นร้อยละ 15 ดา้ นสมรรถนะ นกั เรียนมีความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์และสังเคราะห์ได้ ด้านคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ นกั เรียนทกุ คนมคี วามมงุ่ มน่ั ในการทางานท่ดี ีมาก ปญั หา/อุปสรรค - แนวทางการแกไ้ ข - หมายเหตุ - ลงช่อื ..........................................................ผ้สู อน ( นางสาวไขม่ ุก สุพร )
บันทกึ หลังการสอน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6/5 ผลการสอน ด้านความรู้ นักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจในเนื้อหาสาระได้ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 80 และมีบางส่วนเรียนรู้ได้ดี คิดเป็น รอ้ ยละ 20 ดา้ นทักษะ นกั เรียนส่วนใหญม่ ที กั ษะในระดับดมี าก คดิ เป็นรอ้ ยละ 80 และมบี างสว่ นมที กั ษะในระดับดี 20 ดา้ นเจตคติ นักเรียนสว่ นใหญม่ ีเจตคติทด่ี ีมาก คิดเปน็ รอ้ ยละ 80 และมีบางสว่ นมีเจตคตทิ ่ีดี คิดเปน็ ร้อยละ 20 ด้านสมรรถนะ นักเรยี นมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และสงั เคราะห์ได้ ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ นักเรียนทุกคนมีความมุ่งม่นั ในการทางานทด่ี ีมาก ปญั หา/อุปสรรค - แนวทางการแก้ไข - หมายเหตุ - ลงช่อื ..........................................................ผ้สู อน ( นางสาวไข่มกุ สพุ ร )
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 10 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวิชา ว30205 รายวิชา ฟิสกิ ส์ 5 หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 1 ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ แม่เหล็กและไฟฟ้า เรือ่ ง การประยุกตใ์ ชห้ ลกั การอเี อม็ เอฟเหน่ียวนา วนั ท…่ี …….เดอื น……………พ.ศ……………… เวลา……………………น. จานวน 1 ชว่ั โมง ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ผ้สู อน นางสาวไขม่ ุก สพุ ร สาระฟสิ กิ ส์ 3. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟา้ ศักย์ไฟฟา้ ความจุไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ และกฎของ โอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงาน ไฟฟ้าและกาลังไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทากับประจุไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎ ของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลบั คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ และการสื่อสาร รวมทง้ั นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ผลการเรยี นรู้ สังเกตและอธิบายการเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนา กฎการเหนี่ยวนาของฟาราเดย์ และคานวณปริมาณ ต่างๆ ท่เี ก่ยี วข้อง รวมท้ังนาความรูเ้ ร่อื งอีเอม็ เอฟเหนย่ี วนาไปอธบิ ายการทางานของเครื่องใช้ไฟฟ้า จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. นักเรียนอธิบายการทางานของเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าต่างๆ โดยใชค้ วามรู้เก่ียวกบั อเี อม็ เอฟเหนยี่ วนาได้ (K) 2. นักเรยี นสามารถจัดกระทาและส่อื ความหมายของข้อมูลทศ่ี ึกษาค้นควา้ ได้ (P) 3. ความใฝเ่ รียนรู้และอยากรอู้ ยากเหน็ (A) สาระการเรียนรู้ เครื่องกาเนิดไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์เปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้าประกอบด้วย ขดลวดพันอยู่บน แกนที่หมุนได้คล่องอยู่ในสนามแม่เหล็ก ปลายขดลวดทั้งสองต่ออยู่กับวงแหวนซึ่งสัมผัสกับแปรงสัมผัส เมื่อหมุนขดลวดจะทาใหฟ้ ลักซ์แม่เหลก็ ที่ผา่ นขดลวดมีการเปล่ียนแปลง เกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาในขดลวด และ เกิดกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาเมื่อต่อแปรงกับอุปกรณ์ภายนอก จะเป็นเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรง เมื่อใช้วง แหวนผ่าซกี และเปน็ เครื่องกาเนิดไฟฟา้ กระแสสลบั เมื่อใช้วงแหวนแยก อีเอ็มเอฟไฟฟ้ากระแสสลับเปลี่ยนค่าตามเวลาในรูปของฟังก์ชันแบบไซน์ ตามสมการ ������(������) = ������0sin(������������) เม่ือตอ่ อเี อ็มเอฟกับตวั ต้านทาน กระแสไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสสลับ ������ที่ผ่านตวั ตา้ นทานและความ ต่างศักย์ ������ ระหวา่ งปลายตวั ตา้ นทานท่เี วลา ������ ใด ๆ เป็นไปตามสมการ ������ = ������0������������������(������������) และ ������ = ������0������������������(������������)
สาระสาคญั การประยกุ ต์ใช้หลกั การอเี อ็มเอฟเหนย่ี วนา ในปัจจุบัน หลักการอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนานอกจากนาไปใช้กับเครื่องกาเนิดไฟฟ้ายังสามารถนาไป ประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น แบลลัสต์แบบขดลวดของหลอดฟลูออเรสเซนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า เหนี่ยวนา กีตาร์ไฟฟา้ เตาแมเ่ หล็กไฟฟ้าเหน่ียวนา ซ่ึงจะไดอ้ ธบิ ายหลักการทางาน ดงั รายละเอียดต่อไปนี้ แบลลสั ต์แบบขดลวดของหลอดฟลอู อเรสเซนต์ แบลลัสต์แบบขดลวดเป็นอปุ กรณ์สาคัญในวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์ประกอบด้วยขดลวดพันอยู่รอบ แกนเหลก็ ต่อในวงจรหลอดฟลูออเรสเชนต์ ดังรปู รูปแผนภาพแสดงส่วนประกอบของวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์ เมื่อต่อไฟฟ้ากระแสสลับเข้ากับวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์ ทันทีที่เปิดสวิตซ์ กระแสไฟฟ้าจะผ่าน แบลลัสต์ ไส้หลอด สตาร์ทเตอร์ และไส้หลอดอีกด้านหนึ่งจนครบวงจร เมื่อไส้หลอดร้อนและสตาร์ทเตอร์ตัด วงจรและหยดุ ทางาน ทาให้เกิดการเปลยี่ นแปลงของกระแสไฟฟ้าลดลงอยา่ งรวดเรว็ สง่ ผลให้ฟลักซ์แม่เหล็กใน ขดลวดของแบลลัสต์ มีอัตราการเปลี่ยนแปลงมาก เกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาที่สูงมากในขดลวดและระหว่างขั้ว หลอดทั้งสอง ทาให้แก็สในหลอดฟลูออเรสเซนต์แตกตัวและสามารถนาไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าจึงเคลื่อนที่จาก ปลายหลอดดา้ นหนง่ึ ผ่านแกส็ ภายในหลอดไปยังขว้ั หลอดอีกด้านหน่ึง ส่งผลใหแ้ ก๊สในหลอดปล่อยรังสีอัตราไว โอเลต ไปกระตุ้นสารเรืองแสงที่ฉาบอยูภ่ ายหลอด เปล่งแสงสวา่ งออกมา หลังจากนั้นแบลลัสต์ยังคงทาให้เกดิ อเี อม็ เอฟเหนี่ยวนา และคุมกระแสไฟฟา้ ท่ีผ่านหลอด ทาให้หลอดสวา่ งสมา่ เสมอได้อยา่ งตอ่ เน่ือง การเกิดอเี อม็ เอฟกลบั ในมอเตอรไ์ ฟฟ้า รูปแสดงกระแสไฟฟา้ เหนี่ยวนาระหว่างมอเตอรเ์ ร่ิมหมุนและหมนุ ดว้ ยอัตราเร็วคงที่ เมื่อพิจารณามอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงจะพบว่าประกอบด้วยขดลวดส่วนที่หมุนอยู่ในสนามแม่เหล็ก เมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในขดลวดทาให้เกิดโมเมนต์แรงคู่ควบหมุนขดลวด ขณะเดียวกันการหมุนของ ขดลวดตัดผ่านสนามแม่เหล็กก็ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฟลักซ์แม่เหล็กตัดขดลวด เกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนา
ตามกฎการเหนี่ยวนาของฟาราเดย์ เกิดกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนามีทิศตรงข้ามกับกระแสไฟฟ้าที่ทาให้มอเตอร์ หมนุ ทาให้กระแสไฟฟา้ ทีผ่ า่ นมอเตอร์มีค่าน้อยลง โดยมีค่าเท่ากบั ผลต่างของกระแสไฟฟ้าทง้ั สอง กระแสไฟฟ้า ท่ผี า่ นมอเตอรข์ ณะหมุนดว้ ยอัตราเร็วคงตวั จึงมีค่าน้อยกว่ากระแสไฟฟ้าทผี่ ่านมอเตอร์ขณะเริ่มหมุน อีเอ็มเอฟ เหนีย่ วนาท่เี กดิ ขึ้นขณะมอเตอร์หมุนเรยี กว่า อีเอ็มเอฟกลับ (Back emf) ถ้ามอเตอร์ถูกขัดขวางให้หมุนช้าลง จะเกิดอีเอ็มเอฟกลบั น้อยลงทาให้มกี ระแสไฟฟ้าผ่านมอเตอรม์ ากกว่าขณะก่อนถูกขัดขวาง ซึ่งส่งผลใหข้ ดลวด ในมอเตอร์ร้อนจนเสียหายได้ มอเตอร์ไฟฟา้ เหนย่ี วนา มอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวนา (Induction motors) มีหลายแบบตามวัตถุประสงค์ตามการใช้ประโยชน์ใช้ หลักการเหนี่ยวนาแม่เหลก็ ไฟฟ้า มอเตอร์ไฟฟ้าเหน่ียวนาแบบที่พบทั่วไป ประกอบด้วยส่วนทีห่ มนุ ได้ เรียกวา่ โรเตอร์ ติดกับแกนเหล็กที่หมุนได้คล่อง และส่วนที่อยู่กับที่ ได้แก่ โครงมอเตอร์และชุดขดลวด เรียกว่า สเตเตอร์ ดังรปู รปู แสดงสว่ นประกอบของมอเตอร์ไฟฟ้าเหนีย่ วนา การหมุนของมอเตอร์เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนาเหล็กไฟฟ้าที่ขดลวดในสเตเตอร์ และเนื่องจากระแส ไฟฟ้าสลับที่จ่ายให้มอเตอร์ ทาให้ขดลวดในสเตเตอร์สร้างฟลักซ์แม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลงและเหนียวนาให้เกิด กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาในโรเตอร์ เกิดแรงแม่เหล็กแม่เหล็กผลักกันระหว่างขดลวดของสเตเตอร์กับโรเตอร์ ส่งผลให้โรเตอร์หมนุ ปกติขดลวดที่สเตเตอร์ของมอเตอรเ์ หนย่ี วนาจะมี 3 ชดุ เกดิ การเหนยี่ วนาทาใหม้ ีแรงผลัก กันตามลักษณะดังกล่าวทาให้โรเตอร์ของมอเตอร์หมุนได้อยา่ งต่อเนื่อง โดยมอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวนาลักษณะน้ี จะมีราคาถูก บารุงรักษาง่าย และมีความเร็วคงที่ ทาให้นิยมนามอเตอร์ไฟฟ้าเหนี่ยวนาชนิดนี้มาใช้ประโยชน์ เช่น มอเตอรพ์ ดั ลม มอเตอรป์ ัม๊ น้า กีตารไ์ ฟฟา้ กตี าร์ไฟฟา้ มสี ว่ นประกอบท่ีสาคัญที่ทาหน้าทเ่ี ปล่ียนการสั่นของสายกีตาร์เป็นสญั ญาณไฟฟ้าของเสียง คือ ปิ๊กอัพ (Pickup) หรืออีกชื่อหนึง่ คือคอนแทคท์ ภายในปิ๊กอัพจะมีโซเลนอยดท์ ี่พันอยู่บนแท่งแม่เหล็ก ตรง กับตาแหนง่ ของสายกีตาร์ โดยแทง่ แม่เหล็กในขดลวดจะเหนี่ยวนาสายกตี ารท์ ่ีอยใู่ กล้ให้เปน็ แม่เหล็ก ดังรปู
รูปแสดงป๊กิ อัพทีใ่ ชก้ ับกีตารเ์ พื่อรับสญั ญาณไฟฟา้ จากการส่ันของสายกตี าร์ เมื่อดีดสายกีตาร์ทาให้สั่นไปมา การเหนี่ยวนาระหว่างแท่งแม่เหล็กกับสายกีตาร์จะทาให้ฟลักซ์ แม่เหล็กในโซเลนอยด์เกิดการเปลี่ยนแปลง และเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาตามกฎการเหนี่ยวนาของฟาราเดย์ ทาใหเ้ กดิ กระแสไฟฟา้ เหนย่ี วนาในโซเลนอยดส์ ง่ ไปยงั เคร่อื งขยายสัญญาณและเปลี่ยนเป็นเสยี งต่อไป เตาแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เหนี่ยวนา เตาแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนาทางานโดยให้กระแสไฟฟ้าสลับผ่านขดลวดที่อยู่ภายในเตา ทาให้เกิด สนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลงตามเวลา ส่งผลให้เกิดการเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นในภาชนะโลหะเกิด กระแสไฟฟ้าวน (Eddy current) กลับไป-มาที่ก้นภาชนะ ตามความถี่ของกระแสไฟฟ้าที่ให้กับขดลวด ภายในเตา ดังรูป ซึ่งกระแสไฟฟ้าวนนี้จะทาให้ภาชนะโลหะเกิดความร้อน อย่างไรก็ดีภาชนะโลหะที่ใช้กับเตา แมเ่ หล็กไฟฟา้ เหนีย่ วนาต้องถกู ออกแบบใหเ้ หมาะสมจึงจะนามาใชก้ บั เตาชนดิ นี้ได้ รูปแสดงเตาแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนา และแผนภาพส่วนประกอบที่ทาให้เกิดความร้อนจากการเหนี่ยวนาที่ก้น ภาชนะ สมรรถนะสาคัญ ความสามารถในการคดิ - ทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ - ทักษะการคิดสังเคราะห์
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (จติ วทิ ยาศาสตร)์ ความใฝ่เรียนรู้และมีความอยากรู้อยากเห็น นักเรียนแสดงออกถึงความตั้งใจความต้องการที่จะรู้และ เสาะแสวงหาความรู้เกี่ยวกบั สง่ิ ต่างๆ ทสี นใจหรอื ต้องการค้นพบสง่ิ ใหม่ แสดงออกได้โดยการถามคาถาม หรือมี ความสงสัยในสิ่งที่สนใจอยากรู้ มีความกระตือรือร้นในการเสาะแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจ เพียร พยายามในการเรียนและการทากิจกรรมต่างๆ แสวงหาความรูจ้ ากแหลง่ เรียนรตู้ ่างๆ อยู่เสมอ โดยการเลือกใช้ สื่ออย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอด เผยแพร่ และ นาไปใช้ในชวี ิตประจาวันได้ ชิ้นงาน/ภาระงาน ใบงานท่ี 1.10 การประยกุ ต์ใชห้ ลักการอเี อ็มเอฟเหน่ียวนา กิจกรรมการเรยี นรู้ วิธีสอนใชร้ ปู แบบวงจรการเรยี นรู้ 5 ข้ันตอน (5E Learning Cycle model) ขนั้ ท่ี 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ ( 5 นาที ) 1. ครทู บทวนความรู้เดิมเก่ยี วกบั เคร่อื งกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลบั และเครอื่ งกาเนิดไฟฟา้ กระแสตรง 2. ครูตง้ั คาถามเพอ่ื นาเขา้ สกู่ ารทากิจกรรม เรื่อง การประยุกตใ์ ชห้ ลักการอเี อ็มเอฟเหนี่ยวนา ดงั นี้ - ให้นักเรียนยกตัวอย่างอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ประยุกต์ใช้การเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้าและมี การ ประยุกต์ใช้การเหนี่ยวนาแมเ่ หล็กไฟฟา้ อยา่ งไร (แนวคาตอบ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ ถูกต้อง) ขั้นท่ี 2 ขน้ั สารวจและค้นหา ( 25 นาที ) 3. ใหน้ ักเรียนแบ่งกล่มุ กลุ่มละ 4 - 5 คน และใหต้ ัวแทนกลมุ่ มารับใบงาน 4. นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษากิจกรรมจากใบงานที่ 1.10 เรื่อง การประยุกต์ใช้หลักการอีเอ็มเอฟ เหน่ียวนา 5. ครูช้แี จงจุดประสงค์และวิธกี ารปฏิบตั ิกิจกรรมใหน้ ักเรียนทราบ 6. นกั เรียนลงมอื ปฏบิ ัตกิ จิ กรรม และรายงานผล ขัน้ ที่ 3 ขัน้ สร้างคาอธบิ ายและลงข้อสรุป ( 15 นาที ) 7. นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ ส่งตวั แทนออกมานาเสนอผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรมหนา้ ชนั้ 8. ครใู ห้นักเรยี นร่วมกันอภิปรายเพอ่ื นาไปสู่การสรปุ โดยใชค้ าถามต่อไปน้ี
- เมื่อต้องการให้หลอดฟลูออเรสเซนต์สว่าง จะต้องมีความต่างย์สูงมากระหว่างขั้วหลอดทั้งสอง ข้าง ซางเป็นผลมาจากการเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาสงู มากในแบลลัสต์ ให้อธิบายการเกิดอีเอม็ เอฟเหนี่ยวนาสงู มากในแบลลัสต์ (แนวคาตอบ เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านแบลลัสต์ลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสตาร์ทเตอร์ตัดวงจร ส่งผลให้ฟลักซแ์ ม่เหล็กในขดลวดของแบลลสั ตเ์ ปลี่ยนแปลงอย่างรวดเรว็ ทาให้เกดิ อีเอ็มเอฟหน่ยี วนาสูงมาก) 9. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับ เรื่อง การประยุกต์ใช้หลักการอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนา ดังนี้ ความรู้เกี่ยวกับอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาถูกนาไปใช้อธิบายอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องกาเนิดไฟฟ้าแบลลัสต์แบบ ขดลวดของหลอดฟลอู อเรสเซนต ์ม์ อเตอร์ไฟฟา้ เหน่ียวนา กตี ารไ์ ฟฟา้ เตาแมเ่ หล็กไฟฟ้าเหนย่ี วนา เปน็ ต้น ขนั้ ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้ ( 10 นาที ) 10. ครูอธิบายให้นักเรียนเล่นเกมค้นหาคา เพื่อสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยให้หาคาในเกมที่ใช้ หลกั การอีเอ็มเอฟเหนย่ี วนา ขน้ั ท่ี 5 ประเมินผล ( 5 นาที ) 11. ครูสังเกตและประเมินพฤติกรรมของนักเรียนในขณะที่ให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมและ การนาเสนอผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม วัสดุ/อุปกรณ์ สอื่ และแหลง่ เรยี นรู้ 1. หนงั สือเรยี นฟิสิกส์ ม.6 เลม่ 1 สงั กดั อจท. 2. หนังสือเรยี นฟสิ ิกส์ ม.6 เล่ม 5 สังกัด สสวท. 3. เกมส์คน้ หาคา เรอื่ ง การประยกุ ตใ์ ช้หลกั การอเี อม็ เอฟเหน่ียวนา 4. หอ้ งเรยี น 5. หอ้ งสมดุ 6. แหล่งข้อมลู สารสนเทศ 7. ใบงานที่ 1.10 การประยกุ ตใ์ ช้หลกั การอเี อ็มเอฟเหนี่ยวนา
การวดั ผลและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วธิ ีวัด เครือ่ งมือ เกณฑก์ ารประเมิน 1. นักเรียนอธิบายการทางาน ตรวจใบงาน ใบงานที่ 1. 10 การ ได้ระดับคุณภาพดี ของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ โดยใช้ ประยุกต์ใช้หลักการ จึงผ่านเกณฑ์ ความรู้เกี่ยวกับอีเอ็มเอฟ อเี อม็ เอฟเหนย่ี วนา เหนี่ยวนาได้ (K) 2. นักเรียนสามารถจัดกระทา สังเกตและประเมินการ แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี และสื่อความหมายของข้อมูลที่ ปฏิบัติกิจกรรม ปฏิบัติกิจกรรมการจัด จึงผา่ นเกณฑ์ ศึกษาค้นควา้ ได้ (P) กระทาสอื่ 3. มคี วามอยากรู้อยากเหน็ (A) สังเกตและประเมินการ แบบประเมินการความ ได้ระดับคุณภาพดี ความอยากรู้อยากเห็น อยากร้อู ยากเหน็ จึงผา่ นเกณฑ์ 4. คุณลักษณะด้านความใฝ่ สังเกตพฤติกรรม แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ค ุ ณ - ได้ระดับคุณภาพดี เรียนรู้ ลักษณะอันพึงประสงค์ จงึ ผ่านเกณฑ์ ดา้ นใฝ่เรียนรู้ ความคิดเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชอ่ื ................................................................ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา (…………………….………….……….………………………….) ........./........................./.........
บนั ทกึ หลังการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ผลการจัดกิจกรรม ตารางท่ี 1 ผลการประเมนิ ดา้ นความรู้ (K) ลาดบั ท่ี ระดับชน้ั จานวน ดีมาก (4) สรุปผลการประเมนิ ปรบั ปรงุ (1) รวม นกั เรยี น 100% ดี (3) พอใช้ (2) - 1 ม.6/1 90% - 100% 2 ม.6/3 30 90% -- - 100% 3 ม.6/4 32 100% 10% - - 100% 4 ม.6/5 27 10% - 100% 29 รวม -- 100 ตารางที่ 2 ผลการประเมินดา้ นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (P) ลาดับท่ี ระดับชน้ั จานวน สรปุ ผลการประเมนิ พอใช้ (1 - 3) รวม นกั เรียน ดีมาก (7 - 9) ดี (4 - 6) - 1 ม.6/1 - 100% 2 ม.6/3 30 90% 10% - 100% 3 ม.6/4 32 85% 15% - 100% 4 ม.6/5 27 80% 20% 100% 29 90% 10% 100 รวม
บนั ทกึ หลังการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการจดั กจิ กรรม ตารางท่ี 3 ผลการประเมนิ ดา้ นเจตคติ (A) ลาดับท่ี ระดับชนั้ จานวน ดมี าก (3) สรุปผลการประเมิน พอใช้ (1) รวม นกั เรียน 100% ดี (2) - 1 ม.6/1 90% - - 100% 2 ม.6/3 30 90% 10% - 100% 3 ม.6/4 32 100% 10% - 100% 4 ม.6/5 27 รวม - 100% 29 100 ตารางที่ 4 ผลการประเมนิ ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ ลาดบั ท่ี ระดับช้ัน จานวน ดมี าก (3) สรุปผลการประเมนิ ไม่ผา่ น (0) รวม นักเรียน 100% ดี (2) ผา่ น (1) - 1 ม.6/1 100% - 100% 2 ม.6/3 30 100% -- - 100% 3 ม.6/4 32 100% -- - 100% 4 ม.6/5 27 -- 100% 29 รวม -- 100
บันทึกหลงั การสอน ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 6/1 ผลการสอน ด้านความรู้ นักเรียนทกุ คนเขา้ ใจในเนอื้ หาสาระไดด้ มี าก คดิ เปน็ ร้อยละ 100 ด้านทกั ษะ นักเรียนส่วนใหญ่มีทักษะในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 90 และมีบางส่วนมีทักษะระดับที่ดี คิดเป็น ร้อยละ 10 ดา้ นเจตคติ นักเรียนทุกคนมีเจตคตใิ นระดบั ดีมาก คดิ เป็นร้อยละ 100 ดา้ นสมรรถนะ นกั เรยี นมีความสามารถในการคดิ วิเคราะหแ์ ละสงั เคราะห์ได้ ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ นกั เรียนทกุ คนมคี วามใฝเ่ รียนรู้ทดี่ ีมาก ปญั หา/อปุ สรรค - แนวทางการแก้ไข - หมายเหตุ - ลงช่ือ..........................................................ผู้สอน ( นางสาวไขม่ ุก สุพร )
บันทกึ หลงั การสอน ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6/3 ผลการสอน ด้านความรู้ นักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจในเนื้อหาสาระได้ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 90 และมีบางส่วนเรียนรู้ได้ดี คิดเป็น รอ้ ยละ 10 ดา้ นทักษะ นกั เรียนส่วนใหญ่มที กั ษะในระดบั ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 85 และมีบางสว่ นมีทกั ษะในระดับดี 15 ดา้ นเจตคติ นกั เรียนส่วนใหญม่ เี จตคตทิ ี่ดมี าก คดิ เป็นรอ้ ยละ 90 และมบี างสว่ นมเี จตคตทิ ดี่ ี คดิ เปน็ รอ้ ยละ 10 ด้านสมรรถนะ นกั เรยี นมีความสามารถในการคดิ วิเคราะหแ์ ละสงั เคราะห์ได้ ด้านคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ นักเรยี นทุกคนมีความใฝ่เรยี นรู้ที่ดมี าก ปญั หา/อุปสรรค - แนวทางการแก้ไข - หมายเหตุ - ลงช่ือ..........................................................ผสู้ อน ( นางสาวไข่มุก สุพร )
บันทึกหลังการสอน ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6/4 ผลการสอน ด้านความรู้ นักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจในเนื้อหาสาระได้ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 90 และมีบางส่วนเรียนรู้ได้ดี คิดเป็น ร้อยละ 10 ด้านทกั ษะ นักเรียนส่วนใหญ่มีทักษะในระดับดีมาก คิดเป็นร้อยละ 80 และมีบางส่วนมีทักษะในระดับดี คิดเป็น รอ้ ยละ 20 ดา้ นเจตคติ นกั เรยี นส่วนใหญม่ เี จตคติทดี่ ีมาก คดิ เป็นร้อยละ 90 และมีบางส่วนมีเจตคตทิ ี่ดี คดิ เปน็ ร้อยละ 10 ดา้ นสมรรถนะ นักเรียนมคี วามสามารถในการคิดวเิ คราะหแ์ ละสังเคราะหไ์ ด้ ด้านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ นกั เรียนทกุ คนมคี วามใฝ่เรียนร้ทู ีด่ มี าก ปญั หา/อปุ สรรค - แนวทางการแก้ไข - หมายเหตุ - ลงช่อื ..........................................................ผู้สอน ( นางสาวไข่มุก สุพร )
บนั ทกึ หลงั การสอน ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 6/5 ผลการสอน ด้านความรู้ นักเรยี นทุกคนเขา้ ใจในเนอื้ หาสาระได้ดมี าก คดิ เป็นร้อยละ 100 ดา้ นทักษะ นกั เรยี นสว่ นใหญม่ ที กั ษะในระดบั ดีมาก คดิ เป็นร้อยละ 90 และมบี างสว่ นมีทักษะในระดบั ดี 10 ด้านเจตคติ นกั เรียนสว่ นใหญ่มเี จตคติทีด่ มี าก คดิ เปน็ ร้อยละ 100 ด้านสมรรถนะ นักเรียนมคี วามสามารถในการคิดวเิ คราะห์และสงั เคราะหไ์ ด้ ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ นักเรยี นทุกคนมคี วามใฝ่เรยี นรู้ที่ดีมาก ปญั หา/อุปสรรค - แนวทางการแกไ้ ข - หมายเหตุ - ลงชอ่ื ..........................................................ผู้สอน ( นางสาวไขม่ กุ สุพร )
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 11 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว30205 รายวชิ า ฟิสกิ ส์ 5 หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 1 ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรู้ แม่เหล็กและไฟฟา้ เร่ือง ค่ายงั ผลของความตา่ งศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟ้าของไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสสลับ วนั ท…ี่ …….เดือน……………พ.ศ……………… เวลา……………………น. จานวน 2 ชัว่ โมง ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ผสู้ อน นางสาวไขม่ กุ สพุ ร สาระฟสิ กิ ส์ 3. เขา้ ใจแรงไฟฟ้าและกฎของคลู อมบ์ สนามไฟฟ้า ศักยไ์ ฟฟา้ ความจไุ ฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และกฎของ โอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงาน ไฟฟ้าและกาลังไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทากับประจุไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎ ของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลบั คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ และการสือ่ สาร รวมทงั้ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ผลการเรียนรู้ อธบิ ายและคานวณความความตา่ งศกั ย์อารเ์ อ็มเอส และกระแสไฟฟา้ อาร์เอม็ เอส จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1. นักเรียนอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์ กระแสไฟฟ้ากับเวลาในรูปของฟังก์ชันแบบ ไซน์ของกระแสไฟฟ้าสลบั ได้ (K) 2. นักเรียนอธิบายความต่างศกั ย์อารเ์ อ็มเอสและกระแสไฟฟา้ อาร์เอ็มเอสได้ (K) 3. นกั เรยี นสามารถคานวณหาค่าความตา่ งศักย์อาร์เอ็มเอสและกระแสไฟฟ้าอาร์เอ็มเอสได้ (P) 4. ความใฝเ่ รยี นร้แู ละอยากรอู้ ยากเห็น (A) สาระการเรียนรู้ การระบุค่ากระแสไฟฟ้าหรอื ความตา่ งศักย์ของไฟฟ้ากระแสสลับเปน็ ค่าคงตวั ใชก้ ารเทยี บค่ากบั ไฟฟา้ กระแสตรงท่ีให้กาลังไฟฟ้าทเี่ ท่ากันแกต่ วั ต้านทาน ซ่ึงเรยี กว่า คา่ ยงั ผล หรอื คา่ มเิ ตอร์ ค่าดังกลา่ วเปน็ ค่าเฉลย่ี แบบรากท่สี องของกาลังสองเฉลยี่ หรือคา่ อารเ์ อ็มเอส โดย ������rms = ������0 และ ������rms = ������0 √2 √2
สาระสาคัญ คา่ อารเ์ อม็ เอสของความตา่ งศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟ้าของไฟฟา้ กระแสสลับ จากการพิจารณาการทางานของเครือ่ งกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลับทาใหท้ ราบว่าอเี อ็มเอฟเหนี่ยวนาจาก แหลง่ กาเนิดไฟฟ้ากระแสสลบั เปลี่ยนแปลงกบั เวลาตามสมการ ������(������) = ������0������������������(������������) หากนาตัวต้านทาน ������ มาต่อกับแหล่งกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับเป็นวงจร ความต่างศักย์ระหวา่ งปลาย ตัวต้านทาน จะมีค่าเปลี่ยนแปลงกับเวลาเช่นเดียวกับอีเอ็มเอฟ ������ สามารถเขียนความต่างศักย์ ������ และความ ต่างศกั ย์สูงสดุ ������0 ระหว่างปลายตวั ตา้ นทาน ได้ดงั น้ี รูปวงจรตวั ต้านทานตอ่ กับแหลง่ กาเนิดไฟฟา้ กระแสสลับ ������ = ������ จะได้ ������ = ������0������������������(������������) ������ = ������0������������������(������������) โดย ������ = ������0 จากกฎของโอหม์ สามารถเขียนใหอ้ ย่ใู นรูปกระแสไฟฟ้า ������ ดงั นี้ ������ = ������ = ������0������������������(������������) = ������0 ������������������(������������) ������ ������ ������ เม่ือกระแสไฟฟา้ สูงสดุ ������0 หาไดจ้ าก ������0 ������0 = ������ จะได้ ������ = ������0������������������(������������) จากทพ่ี ิจารณาข้างต้นจะเหน็ วา่ ความต่างศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสสลับเปลยี่ นแปลงตาม เวลาในรปู ของฟังกช์ นั แบบไซน์โดยความต่างศกั ย์และกระแสไฟฟา้ ของไฟฟ้ากระแสสลบั ที่ตัวตา้ นทานมีค่ามาก ทสี่ ดุ พร้อมกัน และเปน็ ศนู ยพ์ รอ้ มกนั กลา่ วคอื มีเฟสตรงกนั ดังรูป รปู กราฟความตา่ งศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้าของตัวต้านทานกบั เวลา จากที่ศึกษามาข้างต้น กระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ของไฟฟ้ากระแสสลับมีการเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา แต่ในชีวิตประจาวันค่าต่างๆ เหล่านี้ ถูกวัดหรือระบุเป็นค่าคงตัว เช่น ความต่างศักย์ที่ใช้ตาม
บ้านเรือนมีค่า 230 โวลต์ การวัดหรือระบุค่าเช่นนี้เป็นการเทียบค่ากับไฟฟ้ากระแสตรง ซึ่งเรียกว่า ค่ายังผล (Effective value) หรือเป็นค่าท่ีได้จากการวัดเรยี กว่า คา่ มเิ ตอร์ (Meter value) ค่าน้จี ะเป็นค่าเฉลี่ยแบบ รากทีส่ องของกาลงั สองเฉล่ีย (Root mean square) หรือ ค่าอาร์เอ็มเอส (Rms value) จะไดศ้ ึกษาดงั น้ี คา่ อาร์เอ็มเอสของกระแสไฟฟ้า ������������������������ คานวณไดจ้ าก ������������������������ = √���̅���2 พจิ ารณากระแสไฟฟา้ ของไฟฟ้ากระแสสลบั ทผ่ี า่ นตวั ตา้ นทาน ตามสมการ ยกกาลังสองจะได้ ������ = ������0������������������(������������) ������2 = (������0������������������(������������))2 เมื่อเขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับเวลา และกระแสไฟฟ้ายกกาลังสองกับเวลา จะ ได้กราฟดงั รปู รูปการหาค่าเฉล่ียกระแสไฟฟ้ายกกาลังสองจากพนื้ ทไ่ี ต้กราฟ จากรูปหาค่าเฉลี่ยกระแสไฟฟ้ายกกาลังสองจากพื้นที่ใต้กราฟกระแสไฟฟ้ายกกาลังสองกับเวลาใน ชว่ งเวลาหนึง่ คาบ จะได้ ���̅���2 = ������02 2 = ������0 = ������0 √���̅���2 หรอื ������������������������ √2 √2 ในทานองเดียวกัน ความต่างศักย์ของไฟฟ้ากระแสสลับ สามารถหาความต่างศักย์อาร์เอ็มเอส )(������������������������ มคี วามสมั พันธ์ในลกั ษณะเชน่ เดยี วกับกระแสไฟฟา้ เขยี นได้เป็น ������������������������ = ������0 √2 สมรรถนะสาคัญ ความสามารถในการคดิ - ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ - ทักษะการคิดสังเคราะห์
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (จติ วทิ ยาศาสตร์) ความใฝ่เรียนรู้และมีความอยากรู้อยากเห็น นักเรียนแสดงออกถึงความตั้งใจความต้องการที่จะรู้และ เสาะแสวงหาความรูเ้ ก่ียวกับสงิ่ ตา่ งๆ ทสี นใจหรอื ตอ้ งการคน้ พบส่ิงใหม่ แสดงออกไดโ้ ดยการถามคาถาม หรอื มี ความสงสัยในสิ่งที่สนใจอยากรู้ มีความกระตือรือร้นในการเสาะแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สนใจ เพียรพยายามในการเรียนและการทากิจกรรมต่างๆ แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ อยู่เสมอ โดยการ เลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม บันทึกความรู้ วิเคราะห์ สรุปเป็นองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถ่ายทอด เผยแพร่ และนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ ชิ้นงาน/ภาระงาน ใบงานท่ี 1.11 ค่ายงั ผลของความตา่ งศกั ย์และกระแสไฟฟ้าของไฟฟา้ ของไฟฟา้ กระแสสลบั กจิ กรรมการเรียนรู้ วิธีสอนใชร้ ูปแบบวงจรการเรยี นรู้ 5 ขนั้ ตอน (5E Learning Cycle model) ข้ันท่ี 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ ( 15 นาที ) 1. ครนู าเขา้ สู่บทเรยี น โดยตงั้ คาถามให้นักเรียนตอบ ดังน้ี - เมื่อตอ่ ไฟฟ้ากระแสสลับกับอปุ กรณ์ไฟฟ้า กระแสไฟฟา้ ทีผ่ ่านอปุ กรณ์ไฟฟ้าจะมีค่าคงตัวหรือไม่ อยา่ งไร (แนวคาตอบ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ ถูกตอ้ ง) 2. ครูตง้ั คาถามเพอ่ื นาเข้าสกู่ ารทากิจกรรม เร่ือง ค่ายังผลของความตา่ งศกั ย์และกระแสไฟฟ้าของไฟฟ้า ของไฟฟ้ากระแสสลับ ดงั นี้ - ความต่างศกั ยไ์ ฟฟา้ กระแสสลบั ทใ่ี ช้ตามบ้านเรือนในประเทศไทยมคี า่ เป็นเทา่ ไร - การระบุความตา่ งศักย์ทใี่ ชต้ ามบ้านเรอื นในประเทศไทยเปน็ ค่าคงตวั ทาได้อย่างไร (แนวคาตอบ ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยไม่คาดหวังคาตอบที่ ถกู ตอ้ ง)
ข้นั ที่ 2 ขั้นสารวจและค้นหา ( 45 นาที ) 3. ครูชี้แจงจุดประสงค์และวิธีการปฏิบัติกิจกรรมให้นักเรียนทราบ ตามรายละเอียดในใบงานที่ 1.11 คา่ ยงั ผลของความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าของไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสสลบั 4. ให้นักเรียนแต่ละคนคานวณค่ายังผลของความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าของไฟฟ้าของไฟฟ้า กระแสสลบั จากโจทยท์ ่กี าหนดให้ 5. นักเรียนลงมือปฏบิ ัติกจิ กรรม และรายงานผล ขั้นท่ี 3 ข้นั สร้างคาอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ ( 30 นาที ) 6. ครูสุ่มนักเรียนเพื่อเปน็ ตวั แทนออกมานาเสนอผลการปฏิบตั กิ ิจกรรมหน้าชั้น 7. ครูและนกั เรยี นรว่ มกันอภปิ รายเก่ยี วกับ เรอื่ ง ค่ายังผลของความตา่ งศักย์และกระแสไฟฟา้ ของไฟฟ้า ของไฟฟ้ากระแสสลับ ดังน้ี ความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้าสลับเปลี่ยนแปลงกับเวลาในรูปฟังชันก์แบบไซน์ ตามสมการ ������ = ������0������������������(������������) และ ������ = ������0������������������(������������) ตามลาดับ ค่าความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้า สลบั ทรี่ ะบเุ ปน็ ค่าคงตวั เรยี กว่า คา่ ยงั ผล (effective value) หรือ คา่ มิเตอร์ (meter value) หรือ ค่าอาร์เอ็ม เอส (rms value หรอื root mean square value) ตามสมการ ������������������������ = ������0 และ ������������������������ = ������0 ตามลาดบั √2 √2 ขัน้ ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้ ( 15 นาที ) 8. ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ อีเอ็มเอฟหรือความต่างศักย์ตามบ้านเรือนของประเทศไทย ดังน้ี วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ระบุไว้ในหนังสือ “มาตรฐาน การติดตั้งทางไฟฟ้า สาหรับประเทศไทย พ.ศ. 2556” ซึง่ สรปุ ไดว้ ่า อีเอม็ เอฟของระบบไฟฟ้า อีเอม็ เอฟตา่ ชนดิ 3 เฟส 4 สาย จาก เดิมระบไุ ว้เป็น 220/380 โวลต์ และ 240/415 โวลต์ ให้ปรบั เปน็ ค่าเดียวคือ 230/400 โวลต์ ขั้นที่ 5 ประเมนิ ผล ( 15 นาที ) 9. ครูสังเกตและประเมินพฤติกรรมของนักเรียนในขณะที่ให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมและ การนาเสนอผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม วัสด/ุ อปุ กรณ์ ส่อื และแหล่งเรียนรู้ 1. หนงั สือเรยี นฟสิ กิ ส์ ม.6 เลม่ 1 สังกดั อจท. 2. หนังสือเรยี นฟิสิกส์ ม.6 เลม่ 5 สงั กัด สสวท. 3. หอ้ งเรียน 4. หอ้ งสมุด 5. แหลง่ ข้อมลู สารสนเทศ 6. ใบงานที่ 1.11 ค่ายังผลของความต่างศกั ย์และกระแสไฟฟา้ ของไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแสสลับ
การวัดผลและประเมนิ ผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วธิ ีวดั เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมนิ 1. นักเรียนอธบิ ายความสัมพันธ์ ตรวจใบงาน ใบงานที่ 1. 11 ค่ายัง ได้ระดับคุณภาพดี ร ะ ห ว ่ า ง ค ว า ม ต ่ า ง ศ ั ก ย์ ผลของความต่างศักย์ จึงผา่ นเกณฑ์ กระแสไฟฟ้ากับเวลาในรูปของ และกระแสไฟฟ้าของ ฟังก์ชันแบบไซน์ของกระแส ไฟฟ้าของไฟฟ้ากระแส ไฟฟ้าสลบั ได้ (K) สลับ 2. นักเรียนอธิบายความต่าง ศักย์อาร์เอ็มเอสและกระแส ไฟฟา้ อารเ์ อม็ เอสได้ (K) 3. นักเรียนสามารถคานวณหา สังเกตและประเมินการ แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ก า ร ได้ระดับคุณภาพดี ค่าความต่างศักย์อาร์เอ็มเอ ปฏิบัติกิจกรรม ปฏิบัติกิจกรรมการ จึงผ่านเกณฑ์ สและกระแสไฟฟ้าอาร์เอ็มเอส คานวณ ได้ (P) 4. มีความอยากรูอ้ ยากเห็น (A) สังเกตและประเมินการ แบบประเมินการความ ได้ระดับคุณภาพดี ความอยากรอู้ ยากเหน็ อยากร้อู ยากเหน็ จึงผา่ นเกณฑ์ 5. คุณลักษณะด้านความใฝ่ สังเกตพฤตกิ รรม แ บ บ ป ร ะ เ ม ิ น ค ุ ณ - ได้ระดับคุณภาพดี เรียนรู้ ลักษณะอันพึงประสงค์ จึงผา่ นเกณฑ์ ดา้ นใฝเ่ รยี นรู้ ความคดิ เห็นของผ้บู ริหารสถานศึกษา ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงช่ือ................................................................ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา (…………………….………….……….………………………….) ........./........................./.........
บนั ทกึ หลังการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ผลการจัดกิจกรรม ตารางท่ี 1 ผลการประเมินด้านความรู้ (K) ลาดบั ท่ี ระดับชั้น จานวน ดีมาก (4) สรปุ ผลการประเมนิ ปรับปรงุ (1) รวม นกั เรียน 80% ดี (3) พอใช้ (2) - 1 ม.6/1 100% 20% - - 100% 2 ม.6/3 30 80% - 100% 3 ม.6/4 32 70% -- - 100% 4 ม.6/5 27 รวม 20% - 100% 29 30% - 100 ตารางที่ 2 ผลการประเมนิ ด้านทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (P) ลาดับท่ี ระดับชนั้ จานวน สรุปผลการประเมนิ พอใช้ (1 – 4) รวม นักเรียน ดีมาก (9 – 12) ดี (5 – 8) - 1 ม.6/1 - 100% 2 ม.6/3 30 100% - - 100% 3 ม.6/4 32 90% 10% - 100% 4 ม.6/5 27 100% - 100% 29 85% 15% 100 รวม
บนั ทึกหลังการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ผลการจดั กจิ กรรม ตารางท่ี 3 ผลการประเมนิ ดา้ นเจตคติ (A) ลาดับที่ ระดบั ช้ัน จานวน ดีมาก (3) สรุปผลการประเมนิ พอใช้ (1) รวม นักเรยี น 90% ดี (2) - 1 ม.6/1 85% 10% - 100% 2 ม.6/3 30 90% 15% - 100% 3 ม.6/4 32 80% 10% - 100% 4 ม.6/5 27 รวม 20% 100% 29 100 ตารางที่ 4 ผลการประเมินด้านคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ลาดับที่ ระดบั ชนั้ จานวน ดมี าก (3) สรุปผลการประเมิน ไม่ผา่ น (0) รวม นกั เรยี น 100% ดี (2) ผา่ น (1) - 1 ม.6/1 100% - 100% 2 ม.6/3 30 100% -- - 100% 3 ม.6/4 32 100% -- - 100% 4 ม.6/5 27 -- 100% 29 รวม -- 100
บนั ทึกหลังการสอน ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 6/1 ผลการสอน ด้านความรู้ นักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจในเนื้อหาสาระได้ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 80 และมีบางส่วนเรียนรู้ได้ดี คิดเป็น ร้อยละ 20 ด้านทกั ษะ นกั เรียนทุกคนมที ักษะในระดับดมี าก คดิ เปน็ รอ้ ยละ 100 ดา้ นเจตคติ นักเรียนส่วนใหญ่มีเจตคติที่ดีมาก คิดเปน็ ร้อยละ 90 และมบี างสว่ นมีเจตคติทด่ี ี คดิ เป็นร้อยละ 10 ดา้ นสมรรถนะ นกั เรียนมีความสามารถในการคดิ วิเคราะหแ์ ละสังเคราะห์ได้ ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ นกั เรียนทุกคนมีความใฝ่เรียนร้ทู ี่ดีมาก ปัญหา/อปุ สรรค - แนวทางการแก้ไข - หมายเหตุ - ลงชือ่ ..........................................................ผูส้ อน ( นางสาวไข่มกุ สุพร )
บนั ทึกหลังการสอน ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6/3 ผลการสอน ดา้ นความรู้ นกั เรยี นทกุ คนเขา้ ใจในเน้อื หาสาระได้ดมี าก คดิ เป็นรอ้ ยละ 100 ดา้ นทกั ษะ นกั เรยี นส่วนใหญ่มีทักษะในระดับดีมาก คดิ เปน็ ร้อยละ 90 และมีบางสว่ นมีทกั ษะในระดบั ดี 10 ด้านเจตคติ นกั เรียนส่วนใหญม่ เี จตคตทิ ด่ี มี าก คิดเป็นรอ้ ยละ 85 และมบี างส่วนมีเจตคตทิ ีด่ ี คดิ เปน็ ร้อยละ 15 ด้านสมรรถนะ นกั เรียนมีความสามารถในการคดิ วิเคราะห์และสงั เคราะห์ได้ ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ นักเรียนทกุ คนมคี วามใฝ่เรยี นรู้ท่ีดีมาก ปัญหา/อุปสรรค - แนวทางการแก้ไข - หมายเหตุ - ลงช่อื ..........................................................ผู้สอน ( นางสาวไข่มุก สพุ ร )
บนั ทึกหลังการสอน ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 6/4 ผลการสอน ด้านความรู้ นักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจในเนื้อหาสาระได้ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 80 และมีบางส่วนเรียนรู้ได้ดี คิดเป็น ร้อยละ 20 ด้านทกั ษะ นกั เรยี นทุกคนมที ักษะในระดับดมี าก คดิ เปน็ รอ้ ยละ 100 ดา้ นเจตคติ นักเรยี นส่วนใหญ่มีเจตคติที่ดีมาก คิดเปน็ ร้อยละ 90 และมบี างสว่ นมีเจตคติทด่ี ี คดิ เป็นร้อยละ 10 ดา้ นสมรรถนะ นกั เรียนมีความสามารถในการคดิ วิเคราะหแ์ ละสังเคราะห์ได้ ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ นักเรยี นทุกคนมคี วามใฝ่เรียนร้ทู ี่ดีมาก ปัญหา/อปุ สรรค - แนวทางการแก้ไข - หมายเหตุ - ลงชือ่ ..........................................................ผูส้ อน ( นางสาวไข่มกุ สุพร )
บันทกึ หลงั การสอน ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6/5 ผลการสอน ด้านความรู้ นักเรียนส่วนใหญ่เข้าใจในเนื้อหาสาระได้ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 70 และมีบางส่วนเรียนรู้ได้ดี คิดเป็น รอ้ ยละ 30 ดา้ นทักษะ นกั เรียนส่วนใหญ่มที กั ษะในระดบั ดีมาก คิดเป็นร้อยละ 85 และมีบางสว่ นมีทกั ษะในระดับดี 15 ดา้ นเจตคติ นกั เรียนส่วนใหญม่ เี จตคตทิ ี่ดมี าก คดิ เป็นรอ้ ยละ 80 และมบี างสว่ นมเี จตคตทิ ดี่ ี คดิ เปน็ รอ้ ยละ 20 ด้านสมรรถนะ นกั เรยี นมีความสามารถในการคดิ วิเคราะหแ์ ละสงั เคราะห์ได้ ด้านคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ นักเรยี นทุกคนมีความใฝ่เรยี นรู้ที่ดมี าก ปญั หา/อุปสรรค - แนวทางการแก้ไข - หมายเหตุ - ลงช่ือ..........................................................ผสู้ อน ( นางสาวไข่มุก สุพร )
แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 12 กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหสั วิชา ว30205 รายวชิ า ฟิสิกส์ 5 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ แม่เหลก็ และไฟฟา้ เร่อื ง การผลติ ไฟฟ้ากระแสสลบั วนั ท…ี่ …….เดอื น……………พ.ศ……………… เวลา……………………น. จานวน 1 ชว่ั โมง ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ผูส้ อน นางสาวไขม่ กุ สุพร สาระฟสิ ิกส์ 3. เขา้ ใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟา้ ความจไุ ฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และกฎของ โอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงาน ไฟฟ้าและกาลังไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทากับประจุไฟฟ้า และกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎ ของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลบั คลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้าและการสอ่ื สาร รวมท้ังนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ผลการเรียนรู้ อธิบายหลักการทางานและประโยชน์ของเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส การแปลงอีเอ็มเอฟ ของหมอ้ แปลง และคานวณปริมาณต่างๆ ที่เกย่ี วข้อง จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. นักเรียนอธิบายหลักการทางานของเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส และการส่งไฟฟ้า กระแสสลบั ไปตามบา้ นเรอื นได้ (K) 2. นกั เรียนคานวณหาคา่ พลังงานที่สญู เสยี ไปในสายไฟฟ้า เม่อื ส่งด้วยความต่างศกั ย์ได้ (P) 3. ความใฝเ่ รยี นรูแ้ ละอยากร้อู ยากเห็น (A) สาระการเรียนรู้ เครือ่ งกาเนิดไฟฟา้ 3 เฟส ประกอบด้วยขดลวด 3 ชุด แต่ละชุดวางทามมุ 120 องศา ซึ่งกันและกัน เมื่อหมุนแท่งแม่เหล็กจะเกิดอีเอ็มเอฟไฟฟ้ากระแสสลับจากขดลวดแต่ละชุด มีเฟสต่างกัน 120 องศา ทาให้ ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่าเครื่องกาเนิดไฟฟ้า 1 เฟส เมื่อใช้พลังงานในการผลิตเท่ากัน และการส่ง กาลังไฟฟ้าจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ทาให้ใช้จานวนสายไฟฟ้าลดลงเมื่อเทียบกับการส่งไฟฟ้า 1 เฟส 3 ชุด ทาให้การผลติ และการสง่ ไฟฟ้ากระแสสลบั 3 เฟส มปี ระสิทธภิ าพมากกวา่ ไฟฟ้า 1 เฟส
สาระสาคัญ การผลิตและการสง่ ไฟฟา้ กระแสสลบั การทาให้เกิดไฟฟ้ากระแสสลับ โดยการหมุนขดลวดเพื่อทาให้ฟลักซ์แม่เหล็กที่ตัดผ่านขดลวดมีการ เปล่ียนแปลง การผลติ ไฟฟา้ กระแสสลบั การผลิตไฟฟ้ากระแสสลับโดยเครื่องกาเนิดไฟฟ้านั้นเป็นการเปลี่ยนพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้า ด้วยการทาให้ฟลักซ์แม่เหล็กท่ีตัดผ่านขดลวดมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อทาให้เกิดไฟฟ้ากระแสสลับสามารถทาได้ ทั้งการหมุนขดลวดตัดผ่านฟลักซ์แม่เหล็ก และการหมุนแท่งแม่เหล็กเพื่อทาให้ฟลักซ์แม่เหล็กตัดผ่านขดลวด เช่น เคร่ืองกาเนดิ ไฟฟา้ กระแสสลบั ของรถจกั รยานบางรนุ่ โดยมีส่วนประกอบ ดังรูป รูปตัวอย่างเคร่ืองกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลบั การผลติ ไฟฟ้ากระแสสลบั ดว้ ยเครื่องกาเนิดไฟฟา้ ท่ีมีขดลวด 1 ชดุ ไฟฟ้ากระแสสลบั ทผ่ี ลติ ได้จะถูกส่ง จากเครื่องกาเนดิ ด้วยสายสง่ 2 เส้น เรยี กระบบไฟฟ้ากระแสสลบั 1 เฟส แต่โรงไฟฟา้ จะใชเ้ คร่ืองกาเนดิ ไฟฟ้าที่ มีขดลวด 3 ชุด ในการหมุนแม่เหล็กแต่ละรอบทาให้สามารถผลิตไฟฟ้ากระแสสลับออกมาทั้ง 3 ชุด เรียกว่า ระบบไฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส ซ่งึ มีรายละเอยี ดดังนี้ เครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับที่ใช้งานตามโรงไฟฟ้าจะเป็นเครื่องกาเนิดไฟฟ้า 3 เฟส มีขดลวดตวั นา อยู่ 3 ชุด โดยแนวแกนของขดลวดแต่ละชุดทามุม 120 องศา ซงึ่ กันและกันในลักษณะ รูปแบบจาลองเครือ่ งกาเนิดไฟฟ้า 3 เฟส จากรปู สายไฟฟ้าเส้นที่ 1.1 2.1 และ 3.1 ของแต่ละขด จะตอ่ รวมกัน เรียกว่า สายนิวทรัล (neutral line) และตอ่ ลงดินท่ีโรงไฟฟ้า เรยี กวา่ สายดนิ ส่วนสายไฟฟา้ เส้นที่ 1.2 2.2 และ 3.2 ของแต่ละขด จะมีอีเอ็ม เอฟไฟฟ้ากระแสสลับเปลีย่ นแปลงตามการหมุนของแม่เหล็กเมื่อเทียบกับสายนิวทรัล จึงมีสายไฟฟ้าทีต่ ่อออก จากเครื่องกาเนดิ ไฟฟา้ กระแสสลบั 3 เฟส จานวน 4 เส้น
เมื่อพิจารณาการหมุนแท่งแม่เหล็กครบ 1 รอบ สนามแม่เหล็กจะเหนี่ยวนาให้เกิดไฟฟ้ากระแสสลับ ออกมาจากขดลวดทั้งสามชุด แต่เนื่องจากขดลวดทั้งสามมีแนวแกนของขดลวดทามุมกัน 120 องศา ดังน้ัน อีเอ็มเอฟไฟฟ้ากระแสสลับที่เกิดขึ้นในขดลวดแต่ละชุด จะมีค่าสูงสุดไม่พร้อมกัน สามารถเขียนกราฟระหว่าง อเี อ็มเอฟกบั เวลาของขดลวดแตล่ ะชดุ ได้ ดังรูป รูปกราฟอีเอ็มเอฟจากเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้า 3 เฟสกับเวลา จากกราฟ อธิบายได้ว่าไฟฟ้าจากเครื่องกาเนิดไฟฟ้า 3 เฟส จะมีเฟสของอีเอ็มเอฟไฟฟ้ากระแสสลับ จากขดลวดแตล่ ะชุดตา่ งกนั 120 องศา ในการผลิตไฟฟ้ากระแสสลับจากเครือ่ งกาเนิดไฟฟ้า 3 เฟส ประกอบด้วยสายไฟฟ้า 4 เส้น แต่ในการ ส่งไฟฟ้าจากโรงผลิตไปยังสถานีไฟฟ้าย่อย สายนิวทรัลจะถูกต่อลงดินที่โรงผลิต ทาให้เหลือสายไฟฟ้าที่ใช้ใน การสง่ ไฟฟา้ 3 เฟส จานวน 3 เสน้ ดงั รปู รูปโรงไฟฟ้าถึงสถานีไฟฟา้ ตน้ ทาง ขอ้ ดขี องการผลติ และการส่งไฟฟ้า 3 เฟส คือ การผลติ ไฟฟา้ ด้วยเครื่องกาเนดิ ไฟฟ้า 3 เฟสใหพ้ ลังงาน ไฟฟ้ามากกว่าเครื่องกาเนิดไฟฟ้า 1 เฟส เมื่อใช้พลังงานในการผลิตเท่ากัน และการส่งกาลังไฟฟ้า จะถูกแบ่ง ออกเป็น 3 ส่วน ทาให้ใช้จานวนสายไฟฟ้าลดลงเมื่อเทียบกับการส่งไฟฟ้า 1 เฟส 3 ชุด และการส่งไฟฟ้า 3 เฟส ทาใหก้ ระแสรวมน้อยกวา่ การส่งไฟฟา้ 1 เฟส เม่อื ส่งด้วยพลงั งานทเี่ ทา่ กัน จึงลดขนาดสายไฟฟ้าและเสาที่ ใช้ส่งได้ ซงึ่ ช่วยให้มีประสทิ ธิภาพในการผลติ และการส่งพลังงานไฟฟา้ นอกจากนห้ี ากเฟสใดเฟสหน่ึงเกดิ ปัญหา ก็ยังสามารถใช้ไฟฟ้าเฟสอื่นได้ตามปกติ ซึ่งถ้าเป็นการส่งกาลังไฟฟ้าเพียงเฟสเดียวเมื่อไฟฟ้าขัดข้องจะไม่ สามารถใชไ้ ฟฟ้าได้เลย การสญู เสยี กาลังไฟฟ้าในสายไฟฟา้ เนอ่ื งจากสายไฟฟ้ามคี วามต้านทาน ������ ดงั น้ัน กระแสไฟฟ้า ������ ที่ผ่านสายไฟฟ้าจะทาใหเ้ กดิ การสูญเสีย กาลังไฟฟา้ ������������������������������ ทคี่ วามต้านทานในสายไฟฟา้ ในรูปความรอ้ น ตามสมการ ������������������������������ = ������2������
จะเห็นได้วา่ การสญู เสยี กาลังไฟฟ้ากับความตา้ นทานในสายไฟฟ้าขน้ึ กับกระแสไฟฟา้ ที่ผ่านสายไฟฟ้า ดังน้ันถ้า ตอ้ งการใหส้ ญู เสยี กาลังไฟฟ้าในสายไฟฟ้าน้อย จะต้องใหก้ ระแสไฟฟ้าทผ่ี า่ นสายไฟฟ้ามีคา่ น้อยๆขณะเดียวกัน การสง่ กาลงั ไฟฟา้ ผา่ นสายไฟฟา้ ข้นึ อยู่กับกระแสไฟฟ้าและความตา่ งศักย์ไฟฟ้าทใ่ี ช้ส่ง ตามสมการ ������ = ������������ การส่งกาลงั ไฟฟา้ ปรมิ าณมากจากโรงไฟฟ้าผ่านสายไฟฟา้ เปน็ ระยะทางไกลใหม้ กี ารสูญเสยี กาลงั ไฟฟ้า ในสายไฟฟ้านอ้ ย จะต้องส่งกาลงั ไฟฟ้าดว้ ยกระแสไฟฟ้าน้อย จงึ ตอ้ งใชค้ วามตา่ งศกั ยส์ งู การส่งไฟฟ้ากระแสสลับที่มีกาลังไฟฟ้ามาก ไประยะทางไกล ๆ ต้องส่งไฟฟ้าด้วยความต่างศักย์สูง เพื่อให้กระแสไฟฟ้าต่า ทาให้มีการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าไปกับความต้านทานของสายไฟฟ้าน้อย และสามารถ ใช้สายสง่ ไฟฟา้ ท่ีมีขนาดเล็กลง ถ้าความต่างศักย์สูงมากเกินไป สนามไฟฟ้าระหว่างสายจะทาใหอ้ ากาศบริเวณระหว่างสายไฟฟ้าแตก ตวั เปน็ ประจุไฟฟ้ามสี ภาพเปน็ ตัวนาไฟฟ้า สง่ ผลใหเ้ กดิ ไฟฟา้ ลดั วงจรระหวา่ งสายส่งไฟฟ้าได้ ซงึ่ เป็นสาเหตุของ การสูญเสียพลังงานไฟฟ้าอีกแบบหนึ่ง นอกจากนี้เมื่อฝนตกก็อาจมีอันตรายเนื่องจากไฟฟ้ารั่วลงมาตามเสา ไฟฟา้ ที่เป็นโลหะได้ ดงั นั้นความต่างศกั ย์ท่จี ะใช้สง่ กระแสไฟฟ้าจากโรงผลติ ไฟฟา้ จึงตอ้ งมีค่าเหมาะสม การสง่ กาลงั ไฟฟา้ การสง่ กาลังไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าจนถึงผูใ้ ช้ไฟฟ้าจะมีการปรับคา่ ความตา่ งศักย์ ทงั้ การปรับค่าความต่าง ศักย์ไกลๆ และปรับค่าความต่างศักย์ให้สูงขึ้นเพื่อลดการสูญเสียในการส่งกาลังไฟฟ้าไปไกล ๆ และปรับค่า ความตา่ งศักยใ์ หน้ ้อยลงให้เหมาะสมกับการใช้งาน มีลาดับข้ันตอนการปรบั คา่ ความตา่ งศักย์ ดงั รูป รปู แผนภาพแสดงการส่งไฟฟ้าจากโรงผลติ ไฟฟ้าสูบ่ ้านเรือน การส่งพลังงานไฟฟ้าจากเครื่องกาเนิดไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้า เพื่อให้ส่งกาลังไฟฟ้าได้ไกลและลด การสูญเสียกาลังไฟฟ้าในสายส่ง จะต้องเพิ่มความต่างศักย์ในสายส่งให้สูงขึ้น ในปัจจุบันระบบส่งพลังงาน ไฟฟา้ แรงสูงของการไฟฟา้ ฝา่ ยผลิต (กฟผ.) จะแปลงความต่างศักย์จาก 13,800 โวลตเ์ ปน็ 500,000 โวลต์ หรือ 230,000 โวลต์ หรือ 115,000 โวลต์ หรือ 69,000 โวลต์ ก่อนส่งไปยังสถานีไฟฟ้าย่อยผ่านระบบสายส่ง ไฟฟ้าแรงสูง โดยความต่างศักย์ความต่างศักย์ที่แปลงขึ้นอยู่กับระยะทาง และกาลังไฟฟ้าที่ต้องการส่งสถานี ไฟฟ้าย่อยจะทาหน้าที่แปลงความต่างศักย์สูงให้มีความต่างศักย์ลดลงเหลือ 24,000 โวลต์หรือ 12,000 โวลต์ และส่งผ่านระบบจาหนา่ ยไปตามพน้ื ท่ีต่างๆ โดยจะแปลงค่าความต่างศักย์ ให้เหลือ 400 โวลต์ 3 เฟส ก่อนถูก นาไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม แต่สาหรับบ้านเรือนความต่างศกั ย์จะถกู ลดลงเหลือ 230 โวลต์ 1 เฟส
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174