88 การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ัยเพอ่ื เพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชีพ” 6. ความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของนกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หมายถึง ความสามารถ ในการใชค้ วามรู้ ทกั ษะและวิธีการทางคณิตศาสตร์ในการหาคําตอบให้กับคําถามหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่กําหนดข้ึน ได้อย่างเหมาะสม รวดเร็วและถูกต้อง ซ่ึงวัดได้จากการทําแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ กลุม่ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ ทีผ่ ู้วิจัยสรา้ งข้นึ แนวคิด/ทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้อง การแก้ปัญหาคณติ ศาสตร์ เป็นกระบวนการในการประยุกต์ความรู้ทางคณิตศาสตร์ ข้ันตอน/กระบวนการ แก้ปัญหา ยุทธวิธีการแก้ปัญหา และประสบการณ์ท่ีมีอยู่ไปใช้ในการค้นหาคําตอบของปัญหาทางคณิตศาสตร์ ใน การแก้ปญั หาหนงึ่ ๆ นอกจากนกั เรียนจะต้องมีความรู้พื้นฐานที่เพียงพอและเข้าใจกระบวนการแก้ปัญหาดีแล้ว การเลือกใช้ยุทธวิธีการแก้ปัญหาท่ีเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ก็เป็นอีกปัจจัยหน่ึงที่ช่วยในการแก้ปัญหา ถ้านักเรียนมีความคุ้นเคยกับยุทธวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เหมาะสมและหลากหลายแล้ว นักเรียนสามารถเลือก ยุทธวิธีเหล่านั้นมาใช้ได้ทันที ผู้วิจัยจึงสร้างและพัฒนาแนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหา คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เพื่อใช้เป็นสื่อนิเทศพัฒนาครูให้มีความรู้ความสามารถ และมีทักษะในการ พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นสูงข้นึ กรอบแนวคิดการวิจยั การนิเทศครูผสู้ อน 1. ครมู ีความรคู้ วามเขา้ ใจเก่ยี วกับกลุ่มสาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยใช้แนวทางการพฒั นาการจัด การแกป้ ัญหาคณิตศาสตร์ กจิ กรรมการเรยี นรู้การแกป้ ญั หาคณิตศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 3 2. ครมู คี วามคดิ เห็นทด่ี ตี ่อแนวทาง พัฒนาการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ การแกป้ ญั หาคณิตศาสตร์ 3. ครสู ามารถจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ การแกป้ ญั หาคณิตศาสตร์ ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ นกั เรียนท่ีเรยี นโดยการจัดกิจกรรม การเรยี นร้กู ารแกป้ ญั หาคณติ ศาสตร์ มีความสามารถในการแกป้ ญั หา คณิตศาสตร์ ผูบ้ รหิ ารโรงเรียนและผ้ปู กครอง นักเรียนมีความคดิ เห็นทีด่ ตี อ่ การจดั กิจกรรมการเรยี นรกู้ ารแก้ปญั หา คณิตศาสตร์
การประชมุ ทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพอื่ เพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 89วธิ ดี ําเนินการวิจัย ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นผู้บริหารโรงเรียน ครู นักเรียน และผู้ปกครองนักเรียน ในปีการศึกษา 2555สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 4 ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน จํานวน 147 คนครูผู้สอนระดับช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 จํานวน 147 คน นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 จํานวน 1,587 คน และผู้ปกครองนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 3 จํานวน 1,587 คน ตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ เป็นผู้บริหารโรงเรียนที่มีผลการประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานเพอ่ื การประกันคุณภาพผเู้ รียน (National Test) คะแนนความสามารถด้านคํานวณเก่ยี วกับการแก้ปญั หาคณิตศาสตร์กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ อยู่ระดับต่ํากว่าเป้าหมายท่ีต้ังไว้ท่ีร้อยละ 50 ในปีการศึกษา 2555 จํานวน 53 คนและครูผู้สอนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 จํานวน 53 คน ท่ีได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling)ส่วนตัวอย่างท่ีเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) ตามสัดส่วนจํานวนนักเรียนจากห้องท่ีครูผู้สอนเป็นตัวอย่าง โดยใช้สูตรของทาโร ยามาเน่ (Taro Yamane, อ้างถึงใน ธีรวุฒิเอกะกุล, 2543) ที่ระดับความเช่ือมั่น 95% กําหนดขอบเขตความคลาดเคล่ือน 0.05 ได้นักเรียนท้ังหมด 319 คนและผูป้ กครองนักเรียน จํานวน 319 คน เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 1. เคร่ืองมือทีเ่ ป็นสือ่ ในการนิเทศ คอื แนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ซงึ่ เป็นเอกสาร จํานวน 7 เล่ม ประกอบด้วยเนื้อหา 1) การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ 2) การแก้ปัญหาสาระจํานวนและการดําเนินการ 3) การแก้ปัญหาสาระการวัด 4) การแก้ปัญหาสาระเรขาคณิต 5) การแก้ปัญหาสาระพีชคณิต 6) การแก้ปัญหากับโครงงานคณิตศาสตร์ และ 7) การประเมินผลการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.05/82.12 ซง่ึ สงู กวา่ เกณฑ์ทกี่ าํ หนดไว้ คือ 80/80 2. เครื่องมือทีใ่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ได้แก่ 2.1 แบบทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 จํานวน 40 ข้อ เป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตั้งแต่ .80 - 1.00ค่าความยากง่ายรายขอ้ ตงั้ แต่ .20 ถึง .80 ค่าอํานาจจําแนกรายข้อตั้งแต่ .20 ถึง 1.00 และค่าความเช่ือมั่นทั้งฉบับเทา่ กับ 0.79 2.2 แบบสอบถามความคิดเห็นของครูท่ีมีต่อแนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ จํานวน 10 ข้อ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) มีระดับความคิดเห็น 5 ระดับ มีค่าความสอดคล้องของขอ้ คาํ ถาม (IOC) มคี า่ ต้ังแต่ 0.80 ถึง 1.00 มีค่าอํานาจจําแนก อยู่ระหว่าง 0.38 ถึง 0.64 และคา่ ความเชอ่ื ม่ันทั้งฉบับเท่ากับ 0.75 2.3 แบบประเมินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของครูชั้นประถมศึกษาปีที่ 3จํานวน 35 ข้อ เป็นแบบมาตรประมาณค่า (rating scale) มีระดับคุณภาพ 5 ระดับ มีค่าความสอดคล้องของข้อคาํ ถาม (IOC) มีคา่ ตง้ั แต่ 0.80 ถงึ 1.00 2.4 แบบนเิ ทศ ติดตามการจัดกิจกรรมการเรยี นร้กู ารแก้ปญั หาคณิตศาสตร์ของครูช้ันประถมศึกษาปที ี่ 3จํานวน 35 ข้อ เป็นแบบตรวจสอบรายการประกอบการสัมภาษณ์ ผู้เช่ียวชาญ จํานวน 5 ท่าน ได้พิจารณาแล้วเหน็ วา่ มีความครอบคลุมของเน้ือหาและกจิ กรรม 2.5 แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3จํานวน 30 ข้อ เป็นแบบเลือกตอบ แบบถูกผิดและแบบจับคู่ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตั้งแต่ .80 -1.00ค่าความยากง่าย อยู่ระหว่าง 0.29 - 0.78 และค่าอํานาจจําแนก อยู่ระหว่าง 0.33 - 0.67 และค่าความเช่ือม่ันทั้งฉบับ เท่ากบั 0.76
90 การประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจําปี 2557 “การวจิ ัยเพอ่ื เพ่ิมคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชีพ” 2.6 แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและผู้ปกครองนักเรียนต่อการจัดกิจกรรม การเรยี นรูก้ ารแกป้ ัญหาคณิตศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 3 จํานวน 10 ข้อ เป็นแบบมาตรประมาณค่า(rating scale) มีระดับความคิดเห็น 5 ระดับ มีค่าความสอดคล้องของข้อคําถาม (IOC) ค่าต้ังแต่ 0.80 ถึง 1.00 ค่าอํานาจจําแนก ตั้งแต่ 0.38 ถึง 0.66 คา่ ความเช่อื ม่ันทงั้ ฉบบั เทา่ กับ 0.78 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การดําเนนิ การนิเทศ ตดิ ตามและประเมนิ ผล มกี ิจกรรม 3 ระยะ ดังนี้ ระยะท่ี 1 การอบรมพัฒนาครูให้มีความรู้ ทักษะความสามารถในการจัดกิจกรรมการแก้ปัญหา คณิตศาสตร์โดยใช้แนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ เป็นส่ือการนิเทศ จาํ นวน 5 วนั ระหว่างวนั ที่ 5 - 9 พฤศจิกายน 2555 ดาํ เนินการทดสอบวดั ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการจัดกิจกรรม การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ก่อนและหลังการอบรม ทดสอบระหว่างการอบรม และสอบถามความคิดเห็นของครู ทม่ี ตี อ่ แนวทางการพฒั นาการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ การแกป้ ัญหาคณิตศาสตร์ ระยะที่ 2 นิเทศ ติดตาม ใหค้ วามชว่ ยเหลอื แนะนําครูผูส้ อนในระหวา่ งท่ดี ําเนินการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ตามแนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างวันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 ถงึ วันที่ 28 กมุ ภาพันธ์ 2556 ระยะที่ 3 ประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของครูผู้สอน โดยการประเมิน และนิเทศ ติดตามการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของครู สอบวัดความสามารถในการ แก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 และสอบถามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและ ผู้ปกครองนกั เรยี นตอ่ การจัดกิจกรรมการเรยี นรูก้ ารแก้ปัญหาคณติ ศาสตร์ ระหวา่ งวนั ที่ 1 - 29 มนี าคม 2556 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ดําเนนิ การระหวา่ งวันที่ 5 พฤศจกิ ายน 2555 ถึงวันที่ 29 มีนาคม 2556 1. ทดสอบวัดความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ก่อนการอบรม โดยใชแ้ บบทดสอบวัดความรู้ความเขา้ ใจฯ 2. ครรู ่วมกจิ กรรมอบรมโดยใช้แนวทางการพฒั นาการจัดกจิ กรรมการเรียนรกู้ ารแกป้ ญั หาคณิตศาสตร์ 3. ทดสอบระหว่างการอบรมโดยใชแ้ นวทางการพฒั นาการจดั กิจกรรมการเรียนรกู้ ารแกป้ ญั หาคณติ ศาสตร์ 4. ทดสอบวดั ความรู้ความเข้าใจหลงั การอบรมโดยใช้แบบทดสอบวดั ความร้คู วามเขา้ ใจ ฯ 5. สอบถามความคดิ เห็นของครูผู้เข้ารบั การอบรมที่มีต่อแนวทางการพัฒนาการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 6. นเิ ทศ ติดตาม ใหค้ วามชว่ ยเหลือ แนะนาํ ครูผ้สู อนระหว่างดาํ เนินการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 7. ประเมนิ และนิเทศ ติดตามการจดั กิจกรรมการเรยี นรกู้ ารแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของครผู ้สู อน 8. สอบวดั ความสามารถในการแก้ปญั หาคณติ ศาสตรข์ องนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 3 9. สอบถามความคิดเหน็ ของผบู้ ริหารโรงเรียนและผู้ปกครองนกั เรยี นตอ่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหา คณติ ศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 การวิเคราะหข์ อ้ มูล 1. วิเคราะหค์ ะแนนความรู้ความเข้าใจกอ่ นและหลงั การอบรม โดยใช้คา่ สถติ ิ t - test for dependent 2. วิเคราะห์ความคิดเห็นของครูท่ีมีต่อแนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหา คณิตศาสตร์ โดยหาคา่ เฉลี่ย ( ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 3. วิเคราะห์ผลประเมินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยหาค่าเฉล่ีย ( ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการนเิ ทศ ตดิ ตามการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ โดยหาจํานวนและร้อยละ และวเิ คราะหเ์ นอ้ื หา (content analysis) 4. วิเคราะห์ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปที ี่ 3 กับเกณฑ์ที่ตัง้ ไว้ที่รอ้ ยละ 60 โดยใช้สถิติ t – test one group 5. วิเคราะหค์ วามคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและผู้ปกครองนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหา คณติ ศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 3 โดยหาคา่ เฉลี่ย ( ) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
การประชุมทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพอื่ เพ่ิมคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 91สรุปผลการวิจัย 1. คะแนนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์หลังการอบรมโดยใช้แนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของครูชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3โดยภาพรวมสงู กวา่ กอ่ นการอบรม อยา่ งมนี ัยสําคญั ทางสถติ ิท่รี ะดับ .05 รายละเอยี ดดงั ตาราง คะแนน N S.D. df T Sig 52 45.72* 0.0000กอ่ นการอบรม 53 23.13 3.33หลงั การอบรม 53 32.81 3.50 2. ความคิดเห็นในภาพรวมของครูชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ที่มีต่อแนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแกป้ ัญหาทางคณิตศาสตร์ มคี วามเหมาะสมอยู่ในระดบั มาก ( = 4.26, S.D. = 0.55) 3. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรกู้ ารแก้ปัญหาคณติ ศาสตรข์ องครชู ้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 3 3.1 ผลการประเมินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครู โดยรวมมีระดับการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก( = 3.89,S.D. = 0.61) 3.2 ผลการนิเทศ ติดตามการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของครู พบว่า ครูร้อยละ97.90 มีการปฏบิ ัติตามแนวทางการพัฒนาการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้การแกป้ ัญหาคณิตศาสตร์ 4. ความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 หลังได้รับการสอนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์ท่ีต้ังไว้ท่ีร้อยละ 60 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .05 รายละเอยี ดดงั ตารางคะแนนเต็ม ร้อยละ S.D t(คะแนน)30 19.65 65.50 4.59 18 7.76* 5. ความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและผู้ปกครองนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณติ ศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 3 มคี า่ เฉลย่ี โดยรวมอยูใ่ นระดบั มากทสี่ ดุ รายละเอยี ดดังตาราง รายการ ระดบั ความคิดเหน็ S.D. ความหมาย1. ความคิดเหน็ ของผบู้ รหิ ารโรงเรียนต่อการจัดกิจกรรม การเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 4.60 0.54 มากท่ีสดุ2. ความคดิ เหน็ ของผปู้ กครองนักเรียนต่อการจัดกจิ กรรม 4.52 0.55 มากที่สดุ การเรียนร้กู ารแก้ปญั หาคณิตศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3อภปิ รายผลการวจิ ยั 1. คะแนนความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์หลังการอบรมโดยใช้แนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของครูช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3โดยภาพรวมสงู กวา่ ก่อนการอบรม ท้ังนอ้ี าจเปน็ เพราะวา่ แนวทางการพัฒนา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่สร้างข้ึนมีการออกแบบได้ตรงตามความต้องการของครูและวัตถุประสงค์ของการนิเทศ นําเสนออยา่ งเป็นระบบ ผ่านกระบวนการสร้างอย่างเป็นระบบ อีกท้ังเทคนิควิธีและกระบวนการฝึกอบรม วิทยากรได้เน้นให้ผู้เข้าอบรมมีส่วนร่วมและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันภายในกลุ่ม สามารถนําไปสู่การ
92 การประชมุ ทางวชิ าการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพอ่ื เพ่มิ คุณภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชพี ” ปฏิบัตจิ รงิ ได้ ทําให้ครมู ีความรคู้ วามเขา้ ใจหลังการอบรมเพมิ่ ขน้ึ ซ่งึ สอดคล้องกับผลการวิจัยของสายยนต์ จ้อยนุแสง (2552) ได้ทําการศึกษาการพัฒนาชุดฝึกอบรมครูเพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยประยุกต์ทฤษฎพี หุปญั ญา พบว่า ครมู คี วามรคู้ วามเข้าใจหลังการฝึกอบรมสูงกว่าก่อนการฝึกอบรมอย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติท่ีระดับ .05 และสอดคล้องกับผลการวิจัยของณัฐภรณ์ ท้าวแพทย์ (2550) ได้ทําการศึกษาผลการนิเทศ ครผู ู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้เอกสารแนวทางการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 พบว่า คะแนนเฉล่ียการทดสอบของครูผู้สอนหลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรมอย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติทีร่ ะดับ .05 2. ความคิดเห็นในภาพรวมของครูชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ที่มีต่อแนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะว่า มีรูปเล่ม กะทัดรัด น่าศึกษา กิจกรรมมีความเหมาะสมและน่าสนใจ มีการเรียงลําดับข้ันตอนง่ายต่อการเรียนรู้ มีเน้ือหาสาระ ที่เป็นประโยชน์และสามารถนําความรู้ท่ีได้ไปประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี วิทยากร จัดกิจกรรมให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้มีส่วนร่วม ได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ระหว่างผ้เู ข้าอบรมด้วยกนั และกับวทิ ยากรอยา่ งเปน็ กัลยาณมิตร มกี ารสอดแทรกเทคนคิ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ท่ีเน้นให้ครูผู้สอนได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติจริง ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของปริญญ์ พวงนัดดา (2550) ได้ทาํ การศึกษาการพฒั นานวัตกรรมการศกึ ษาโดยชุดนเิ ทศของครูสังกดั สํานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษาสงิ ห์บุรี พบว่า ครูมีความพึงพอใจต่อการใช้ชุดนิเทศอยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับผลการวิจัยของชุมศรี ไพบูลย์กุลกร (2549) ได้ทําการศึกษาการพัฒนาชุดฝึกอบรมครู เร่ืองการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ พบว่า ความคิดเห็นของ ผ้เู ขา้ รบั การฝกึ อบรมทมี่ ตี อ่ ชดุ ฝกึ อบรมครูอยใู่ นระดับดี 3. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นร้กู ารแกป้ ญั หาคณิตศาสตร์ของครชู น้ั ประถมศึกษาปที ่ี 3 3.1 ผลการประเมินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของครูช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 โดยรวมมีระดับการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะว่า มีแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางการพัฒนา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ จัดหา จัดทําสื่ออุปกรณ์ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม สร้างบรรยากาศท่ีดี และมีวิธีการประเมินพัฒนาการของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย ทดสอบก่อน - หลังเรียน และระหว่างเรียน และนักเรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ สายยนต์ จ้อยนุแสง (2552) ได้ทําการศึกษาการพัฒนาชุดฝึกอบรมครูเพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการจัดกิจกรรม การเรียนรโู้ ดยประยกุ ต์ทฤษฎพี หุปัญญา พบวา่ ครูมคี วามสามารถในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ มีคุณภาพการปฏิบัติ โดยรวมอยู่ในระดบั ดี 3.2 ผลการนเิ ทศ ตดิ ตามการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของครู พบว่าครูร้อยละ 97.90 มีการปฏิบัติตามแนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า ครูผู้สอนทุกคนมีแผนการจัดการเรียนรู้ นําข้อมูลพ้ืนฐานของผู้เรียนมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จัดหา/ เตรียมส่ืออุปกรณ์ จัดสภาพห้องเรียนให้เอ้ือต่อการเรียนรู้ ครูผู้สอนทุกคนดําเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ นําเกมหรือสถานการณ์ปัญหามาใช้อย่างหลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมวางแผนและกําหนดขั้นตอน การทํางานกันเองภายในกลุ่ม จัดบรรยากาศการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์การเรียนรู้จากของจริง ใช้คําถาม เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง คิดวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ครูผู้สอนใช้วิธกี ารประเมนิ พฒั นาการของผู้เรยี นดว้ ยวิธกี ารทีห่ ลากหลาย ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินผลงานผู้เรียน นําเสนอผลงานและได้ร่วมวิจารณ์ผลงานของตนหรือของเพ่ือนอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ณฐั ภรณ์ ท้าวแพทย์ (2550) ไดท้ าํ การศกึ ษาผลการนเิ ทศครูผสู้ อนกล่มุ สาระการเรยี นร้คู ณิตศาสตร์ โดยใชเ้ อกสาร แนวทางการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่า ครูทุกคนได้จัดกิจกรรม การเรียนรู้ตามที่เสนอในแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นลําดับขั้นตอน ครูใช้คําถามกระตุ้นให้เด็กคิด ตอบคําถาม
การประชุมทางวิชาการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพือ่ เพมิ่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 93นักเรียนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรมการตอบคําถาม การเล่นเกมและทําแบบฝึกเสริมทักษะ นักเรียนมีความสุขในการเรียนจากกิจกรรมท่ีครูจัดให้ ผลการประเมินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของครูผู้สอนภายหลังการอบรมมผี ลการประเมินอยู่ในระดับดี 4. ความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังได้รับการสอนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์ท่ีต้ังไว้ที่ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 ทัง้ นี้อาจเปน็ เพราะว่าครูผู้สอนไดร้ บั การนิเทศ ติดตามให้คาํ แนะนําช่วยเหลืออย่างสม่ําเสมอและต่อเน่ืองและท่ีสําคัญ คือ สอดคล้องกับความต้องการของครูท่ีจะนําเทคนิค วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ไปใช้จริง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2550: 11 - 35) ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์เน้นให้นักเรียนมีการเขียนแนวความคิดและวิธีการคํานวณตามขั้นตอนกระบวนการแกป้ ัญหา สง่ เสรมิ ให้เกดิ กระบวนการปัญหา มีการกระตุ้นด้วยคําพูดท่ีเน้นความคิดจะทําให้เกิดปฏิสัมพันธ์ ระหว่างผู้เรียนด้วยกันและระหว่างผู้เรียนกับครู ผู้เรียนมีโอกาสแสดงความคิดเห็น ซึ่งสามารถช่วยเสริมการทํางานแก้ปัญหาได้และนักเรียนได้มีการทํากิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่ม ได้ฝึกปฏิบัติจริงและได้มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ การที่นักเรียนได้มีโอกาสแก้ปัญหาด้วยตนเองและนําเสนอต่อเพ่ือนสมาชิกภายในกลุ่มเพื่อนําเสนอกระบวนการแก้ปัญหา การเลือกใช้ยุทธวิธีแก้ปัญหาท่ีเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดและสอดคล้องกับผลการวิจัยของ พนม จองเฉลิมชัย (2553) ได้ทําการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแกป้ ญั หาคณิตศาสตรข์ องนักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 เรอื่ ง อตั ราส่วนตรีโกณมิติที่ได้รับการสอนโดยการให้นักเรียนต้งั โจทย์ปัญหาด้วยตนเอง พบว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังได้รับการสอนสูงกว่าเกณฑร์ ้อยละ 60 อย่างมนี ัยสําคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั .01 5. ความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและผู้ปกครองนักเรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณติ ศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 มีค่าเฉล่ียโดยรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด อาจเป็นเพราะว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมและได้ปฏิบัติจริง เรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่ม นักเรียนเรยี นอยา่ งมคี วามสุข สนกุ สนาน สามารถนาํ กิจกรรมการเรียนรู้ การแกป้ ญั หาคณติ ศาสตรไ์ ปใชใ้ นชวี ิตประจําวนั ได้และตรงกับความต้องการของผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนและชุมชน ดังที่สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2551: 131 - 132) ได้กล่าวถึงแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ เป็นการจัดกิจกรรมปัญหาหรือสถานการณ์ปัญหาที่เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของนักเรียน ส่งเสริมให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตร์มีแนวคิดที่หลากหลาย มีนิสัยกระตือรือร้นไม่ย่อท้อ และมีความม่ันใจในการแก้ปัญหา ทีเ่ ผชิญอยู่ท้งั ภายในและภายนอกหอ้ งเรียน ซง่ึ เป็นทักษะพื้นฐานท่ีนักเรียนสามารถนําติดตัวไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจําวันได้ ซ่ึงสอดคล้องกับผลการวิจัยของ เสถียร สุวรรณจักษ์ (2547) ได้ทําการศึกษาผลการใช้แนวทางการพฒั นาหนว่ ยการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 พบว่า ความคิดเห็นของผูบ้ ริหารโรงเรียนและผู้ปกครองนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนตามแนวทางการพัฒนาหน่วยการเรียนรู้วา่ เหมาะสมอยูใ่ นระดับมากข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนําผลการวิจยั ไปใช้ 1. การเตรียมสื่อหรืออุปกรณ์ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ ครูผู้สอนควรนําสือ่ อุปกรณ์ของจริงทห่ี าง่ายในท้องถ่ินมาใช้ โดยให้นกั เรยี นมสี ว่ นรว่ มในการจัดหา 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครูผู้สอนควร มีการแนะนําการใช้ส่ือ/อุปกรณ์ก่อนท่ีนักเรียนจะลงมือปฏิบัติกิจกรรม เนน้ ให้นักเรยี นได้ศกึ ษาให้เขา้ ใจกอ่ นลงมอื ปฏิบตั ิเสมอ และรักษาเวลาให้เหมาะสมตามทกี่ าํ หนด 3. ครูควรจัดใหน้ ักเรียนและเพอื่ นมสี ่วนร่วมในการประเมนิ ผลงานของนักเรยี นเอง 4. ครผู ู้สอนควรคอยกระตนุ้ ใหน้ ักเรียนมสี ว่ นรว่ มและมกี ารแขง่ ขนั ในการปฏิบัติกจิ กรรมกลุ่ม
94 การประชมุ ทางวชิ าการของครุ ุสภา ประจําปี 2557 “การวิจยั เพ่ือเพม่ิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชีพ” ขอ้ เสนอแนะในการวิจัยครง้ั ตอ่ ไป 1. ควรใช้แนวทางการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์กับโรงเรียนทุกโรงเรียน ในสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 4 ที่ยังไม่ได้นําแนวทางการพัฒนาพัฒนาการจัดกิจกรรม การเรียนรกู้ ารแกป้ ญั หาคณิตศาสตรไ์ ปจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน 2. ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มที่ได้รับและ ไมไ่ ด้รับการสอนโดยการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้การแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ เพือ่ ได้ทราบผลการพัฒนาทีช่ ดั เจน รายการอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพ ฯ: โรงพิมพ์ ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จํากัด. ชมุ ศรี ไพบูลยก์ ลุ กร. (2549). การพัฒนาชดุ ฝึกอบรมครู เร่อื ง การจัดกระบวนการเรยี นรู้แบบบรู ณาการ. วทิ ยานิพนธ์ ค.ม. (หลักสูตรและการสอน) กรงุ เทพ ฯ: มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนคร. ณฐั ภรณ์ ทา้ วแพทย์. (2550). รายงานการนิเทศครผู สู้ อนกลุม่ สาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ โดยใช้เอกสาร แนวทางการจดั การเรียนรกู้ ลมุ่ สาระการเรยี นรูค้ ณติ ศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6. เชยี งราย: กลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมนิ ผลการจัดการศึกษา สํานกั งานเขตพืน้ ที่การศึกษาเชียงราย เขต 2. ธีรวฒุ ิ เอกะกุล. (2543). ระเบยี บวธิ ีวิจยั ทางพฤติกรรมศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร.์ อุบลราชธานี: สถาบันราชภฎั อบุ ลราชธานี. ปริญญ์ พวงนดั ดา. (2550). การพัฒนานวตั กรรมการศกึ ษาโดยชุดนเิ ทศของครสู งั กัดสาํ นกั งานเขตพนื้ ที่ การศึกษาสงิ หบ์ ุร.ี สิงห์บุร:ี สาํ นกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาสงิ หบ์ ุร.ี พนม จองเฉลมิ ชัย. (2553). การศกึ ษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นและความสามารถในการแกป้ ญั หาคณิตศาสตร์ ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เรอื่ ง อตั ราสว่ นตรโี กณมติ ิทไี่ ดร้ บั การสอนโดยการให้นกั เรยี น ตัง้ โจทยป์ ญั หาดว้ ยตนเอง. สารนพิ นธ์ กศ.ม. (การมัธยมศกึ ษา). กรุงเทพ ฯ: มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. สมวงษ์ แปลงประสพโชค. (2549). “ปญั หาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์และแนวทางแกไ้ ข.” วารสารวงการคร.ู 3(31): 78 - 80. สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2550). ทกั ษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตร.์ กรงุ เทพ ฯ: ครุสภาลาดพร้าว. _______. (2551). เอกสารอบรมครคู ณิตศาสตรป์ ระถมศกึ ษา ตามหลกั สตู รการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐานหลกั สูตร ท่ี 2. กรุงเทพ ฯ: ครสุ ภาลาดพรา้ ว. สายยนต์ จ้อยนแุ สง (2552). การพฒั นาชดุ ฝึกอบรมครู เพื่อเสรมิ สร้างความสามารถด้านการจัดกิจกรรมการ เรยี นรู้โดยประยุกตท์ ฤษฎพี หุปัญญา. การศึกษาคน้ คว้าอสิ ระ กศ.ม. (หลักสตู รและการสอน) มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. สํานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 4. (2554). รายงานผลการการประเมนิ คณุ ภาพ การศึกษาข้ันพื้นฐาน เพอ่ื การประกันคณุ ภาพผเู้ รยี น (NT) ของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 ปกี ารศกึ ษา 2554. เชียงราย: กลุ่มนเิ ทศตดิ ตามและประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษา. เสถียร สุวรรณจักษ์. (2547). รายงานผลการใช้แนวทางการพัฒนาหนว่ ยการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาตา่ งประเทศ ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรียนในสงั กัดสาํ นกั งานเขตพื้นท่กี ารศึกษาเชียงราย เขต 4 ปีการศกึ ษา 2547. เชียงราย: สาํ นกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาเชียงราย เขต 4. National Council of Teachers of Mathematics (NCTM). (2000). Principles and Standards for School Mathematics. Reston, Verginia: NCTM, Inc.
การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพ่ือเพม่ิ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 95ผลงานวิจยั การพัฒนาชดุ ส่อื ประสมเพอื่ พัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคาํ ควบกลํา้ ของนักเรียน ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 3ผ้วู ิจยั นางไพรประนอม ประดับเพชรปีทีว่ จิ ัย 2555 บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดส่ือประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 แล้วนําชุดส่ือประสมที่มีคุณภาพแล้วไปพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้าของนักเรียน เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้านการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้าระหว่างก่อนทดลองและหลังทดลองโดยใช้ชุดส่ือประสมทักษะการอา่ นออกเสียงคําควบกลํ้า และศึกษาความพึงพอใจของนกั เรยี นหลงั การใชช้ ดุ สือ่ ประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสยี งคาํ ควบกล้ํา ชุดสื่อประสมฝกึ ทักษะการอ่านการอ่านออกเสยี งคาํ ควบกลํา้ เปน็ ชุดฝึกท่ีรวมแบบฝกึ ที่มีกิจกรรมที่หลากหลายทําใหน้ กั เรยี นเรยี นดว้ ยความสนุกสนานและเมื่อใช้คูก่ ับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือกันเรียนรู้ทําให้นักเรียนได้พฒั นาทักษะการอา่ นออกเสยี งคําควบกลํ้าใหส้ ูงข้นึ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านนาแก สํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศกึ ษาชยั ภูมิ เขต 2 จํานวน 27 คน ซง่ึ ไดม้ าโดยการเลอื กแบบเจาะจง เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการทดลองคร้ังนี้คือชุดส่ือประสมฝึกทักษะ การอ่านออกเสียงคําควบกลํ้า จํานวน 16 ชุดแผนการจดั การเรียนรูท้ ีม่ ีกิจกรรมกระบวนการเรียนรูแ้ บบรว่ มมอื กันเรียนรู้ จํานวน 16 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นดา้ นการอ่านออกเสยี งคาํ ควบกลํา้ รายบุคคลจาํ นวน 50 ข้อ มคี ่าความเชอื่ มน่ั ของแบบทดสอบท้งั ฉบับเท่ากับ 0.82 และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 ท่ีมีต่อชุดสื่อประสมฝึกทักษะการเรียนรู้การอ่านออกเสียงคําควบกลํ้า สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉล่ีย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบคา่ t - test (Dependent) ผลการวจิ ัยสรุปได้ดงั น้ี 1. ชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้ํา มีประสิทธิภาพ 94.48/89.62 สูงกว่าเกณฑ์ท่ีต้ังไว้คอื 80/80 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ก่อนและหลังการเรียนโดยการใช้ชุดสื่อประสมฝทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้าสูงกว่ากอ่ นเรยี นทง้ั 16 ชุด แตกตา่ งกันอย่างมนี ัยสําคัญทางสถิตทิ ่ีระดบั .01 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนเร่ืองการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําโดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านออกเสยี งคาํ ควบกล้ําอยใู่ นระดบั มากที่สดุ คา่ เฉลี่ยคิดเป็นรอ้ ยละ 86.29ความเป็นมาและความสําคญั ของปญั หาการวิจัย ภาษาไทยเป็นภาษาประจําชาติมีความสําคัญอย่างมากเป็นส่ิงซ่ึงแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติ ส่งเสริมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติและเป็นเคร่ืองมือท่ีใช้ในการสื่อสารเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและศิลปวิทยาต่าง ๆ และเพ่ือให้เกิดความเข้าใจ ระหว่างคนไทยด้วยกันในด้านการศึกษาถือว่า ภาษาเป็นเคร่ืองมือสําคัญที่จะนําไปสู่การเรียนรู้วิชาอื่น ๆ ดังน้ันครูผู้สอนจึงมีความจําเป็นอย่างยิ่ง ท่ีจะต้องปูพ้ืนฐานในดา้ นการฟงั การพดู การอ่าน การเขยี น ภาษาไทยและจะตอ้ งจดั เตรยี มกจิ กรรมใหม้ คี วามต่อเนื่องและต้องอาศัยการฝึกซา้ํ บ่อย ๆ จนเกิดความชาํ นาญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในดา้ นการอ่านซึ่งเปน็ ทกั ษะที่สําคัญยงิ่ ในการแสวงหาความรู้ การอา่ นออกเสยี งเป็นส่งิ ท่จี ําเป็นมาก เพราะการอ่านนําไปสู่การพูด การฝึกอ่านออกเสียงที่ถูกต้องชัดเจนตามอกั ขรวิธจี ะส่งผลใหก้ ารพดู ถกู ตอ้ งชัดเจนไปด้วย
96 การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพอื่ เพ่ิมคุณภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวชิ าชีพ” จากการที่ได้ศึกษาผลการเรียนรู้ด้านการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านนาแก จังหวัดชัยภูมิ ในปีการศึกษา 2554 และปีการศึกษา 2555 พบว่านักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 มีผลสัมฤทธิ์ ทางการอ่านต่าํ กว่าเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ ทั้งปีการศึกษา 2553 – 2554 ต่าํ กว่าเป้าหมายของหลักสูตรสถานศึกษาที่ตั้งไว้ แสดงให้เห็นว่า ปัญหาด้านการอ่านของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 เป็นปัญหาที่สําคัญและเร่งด่วนมากท่ีต้อง ได้รับการแก้ไข จากการวิเคราะห์พบว่าปัญหาในการอ่านการเขียนมากที่สุด คือนักเรียนอ่านคําควบกลํ้าไม่ถูกต้อง อ่านออกเสียงคําควบกล้ํา ร ล ว ไม่ชัด ดังน้ันจึงสามารถสรุปสาเหตุสําคัญท่ีทําให้นักเรียนส่วนใหญ่อ่านออกเสียง คาํ ควบกลํา้ ไม่ถูกตอ้ ง เพราะ เนื่องมาจากครไู ม่นาํ สอ่ื และนวัตกรรมการสอนใหม่ ๆ มาใชแ้ กป้ ัญหาการจัดการเรียน การสอนภาษาไทย โดยเฉพาะการอ่านและ นักเรียนพูดภาษาถ่ินในชีวิตประจําวันจนเกิดความเคยชิน ทําให้การอ่าน คาํ ควบกลา้ํ เป็นไปได้ช้า โดยเฉพาะ ภาษาถิน่ ชยั ภมู ิของนกั เรยี นจะไมม่ ี ร ล ว ควบกล้ํา ปัญหาท่กี ลา่ วมาขา้ งตน้ น้ี ผู้วิจยั จึงไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ เอกสารตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง ในด้านนวัตกรรมทางการสอน ที่จะนําไปใช้ในการแก้ปัญหาการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้า พบว่าการนําส่ือหลายรูปแบบมาสร้างแบบฝึกทักษะ น่าสนใจมาก เพราะการให้นักเรียนฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําจากบทอ่านประเภทร้อยกรองและเพลง ทมี่ คี าํ ควบกลํา้ จะทําให้นักเรียนสนุก และไม่เบื่อ เหมาะสมกับธรรมชาติของเด็ก ดังท่ี ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2524: 104) เสนอแนวทางการฝึกไว้ว่า “การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในเรื่องใด จะต้องจัดทําส่ือการสอนท่ีน่าสนใจเน้น หรอื ชว่ ยใหเ้ นอื้ หาหรือทักษะทีต่ ้องฝกึ ฝนดีขึ้น เช่น การออกเสียงคาํ จากหลักการ แนวคิดและเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความประสงค์จะพัฒนาชุดสื่อประสม ฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้าของนักเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านนาแก จังหวัดชัยภูมิ ในปีการศกึ ษา 2555 ให้มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นสูงขนึ้ วตั ถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อพัฒนาชุดส่ือประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพอ่ื เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์กิ ารอ่านออกเสยี งคําควบกลํา้ ของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 ก่อนและหลัง การทดลองใช้ชดุ สอื่ ประสมฝกึ ทกั ษะการอ่านออกเสียงคาํ ควบกล้าํ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการใช้ชุดสื่อประสมฝึกทักษะ การอ่านออกเสยี งคาํ ควบกลา้ํ นิยามศัพทเ์ ฉพาะ 1. ชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้า หมายถึง ชุดสื่อประสมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้ ในการฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้ํา เป็นชุดฝึกที่มีกิจกรรมหลากหลาย จํานวน 16 ชุด สําหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 2. แผนการจดั การเรียนรู้ หมายถงึ แผนจดั การเรียนร้ทู ่ีใชก้ ระบวนการเรยี นรู้แบบร่วมมือประกอบการใช้ ชดุ สอื่ ประสมฝึกทกั ษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้าํ สําหรบั นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ 3 จาํ นวน 16 แผน 3. ประสิทธิภาพของชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้า หมายถึง คุณภาพของชุด สอ่ื ประสมท่ีประเมินตามเกณฑ์ 80/80 4. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถของนักเรียน หลังการเรียน โดยใช้ชุดส่ือประสม การอ่านออกเสียงคําควบกลํ้า ซึ่งพิจารณาจากคะแนนการทดสอบจากแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ท่ีผู้วิจัยสร้างและ หาคณุ ภาพแล้ว 5. ความพึงพอใจ หมายถึง การตัดสินใจโดยความรู้สึกของนักเรียนที่มีต่อชุดส่ือประสมการฝึกทักษะ การอ่านออกเสยี งคาํ ควบกลา้ํ หลังการเรยี น ซึ่งวัดไดจ้ ากแบบทดสอบทีผ่ ู้วจิ ัยสรา้ งและหาคุณภาพแล้ว
การประชมุ ทางวชิ าการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพื่อเพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 97แนวคดิ /ทฤษฎีที่เกย่ี วข้อง การวิจัยคร้ังนี้เป็นการพัฒนาชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 3 เป็นชดุ ฝกึ ทมี่ ีประสทิ ธิภาพสามารถนําไปพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําของนักเรียนให้สูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําแล้วนักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้านการอ่านออกเสียงคาํ ควบกลาํ้ สูงกว่าก่อนเรียน และความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 ที่มีต่อชุดส่ือประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคาํ ควบกลา้ํ โดยนําพื้นฐานด้านจิตวิทยามาจากทฤษฏีการเรียนรู้ของ Thorndike (สุนทรี ประเสริฐศรี, 2526: 19) ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้มาประยุกต์ใช้ในการสร้างชุดส่ือประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียง แนวคิดในการสร้างแบบฝึกทักษะของวัชรี สุวรรณพินธุ์ (2537: 13) และภาวินี ทอนสูงเนิน (2543: 31) มีหลักในการสร้างแบบฝึกทักษะโดยจะคํานึงถึงความเหมาะสมกบั วัยของผู้เรยี น มคี าํ อธบิ ายชดั เจนเป็นแบบฝึกสนั้ ๆ ง่าย ๆ ใชเ้ วลาเหมาะสม ฝึกเรื่องใดเรื่องหน่ึงเพียงเร่ืองเดียว ฝึกจากง่ายไปหายาก เร้าความสนใจโดยใช้ภาพประกอบ สร้างบรรยากาศที่สนุกสนานโดยใช้เพลงในการนําเข้าสู่บทเรียน ใช้ส่ือการเรียนการสอนหลาย ๆ รูปแบบ นอกจากนี้ยังได้ศึกษาหลักจิตวิทยาในการสร้างแบบฝึกทักษะของ ทิพย์สุดา จงกล (2549: 31 - 33) ซึ่งใช้หลักจิตวิทยาของความแตกต่างระหว่างบุคคลเพราะผู้เรียนเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันการสอนภาษาจึงต้องมีการทดสอบความรู้พ้ืนฐานของผู้เรียนก่อนสอน การสอนจะต้องแบ่งกลุ่มเด็กเก่งและเด็กอ่อนคละกันและยังคํานึงถึงความพร้อมของเด็กในด้านวุฒิภาวะประสบการณเ์ ดมิ ความสมั พันธข์ องบทเรยี นกบั ตวั เด็ก ความต่อเน่อื งในบทเรยี น การจงู ใจผู้เรียน ฝึกในส่ิงท่ีใกล้ตัวลงมือกระทําด้วยตนเอง จัดกระบวนการเรียนรู้อย่างมีเป้าหมาย และใช้กฎแห่งการฝึกฝน การฝึกฝนบ่อย ๆทําให้ผลการเรียนรู้ได้ผลเร็วยิ่งขึ้นและการทําซํ้า ๆ จะทําให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี วิชาภาษาไทยเป็นวิชาทักษะฉะน้ันการฝึกฝนบ่อย ๆ จะทําให้เกิดความแม่นยําในเนื้อหา การอ่าน ถ้าได้ฝึกบ่อย ๆ ความชํานาญก็จะเกิดขึ้น ทําให้ออกเสียงได้ชัดเจนอ่านไดถ้ ูกตอ้ งกรอบแนวคดิ การวิจัยตวั แปรต้น ตัวแปรตาม ชดุ ส่ือประสมฝกึ ทักษะ 1. ประสทิ ธิภาพชุดสอื่ ประสมฝกึ ทักษะการอา่ นออกเสยี งคาํ ควบกล้ํา การอา่ นเสียงคาํ ควบกลาํ้ 2. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน 3. ความพงึ พอใจของนกั เรยี นวธิ ดี าํ เนนิ การวิจยั แบบแผนการวจิ ัย ในการวิจัยคร้ังนี้ ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงทดลองแบบหนึ่งกลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง one - grouppretest - posttest design (ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ. 2535: 216) ดงั ตาราง O1 X O2
98 การประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพอ่ื เพ่ิมคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากรทีใ่ ช้ในการวจิ ยั คร้ังนี้ ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านนาแก สํานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2555 จํานวน 3 ห้องเรียน จํานวนนักเรียน ท้ังหมด 78 คน กลุ่มตัวอย่างทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ครง้ั นี้ คอื นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนบ้านนาแก สาํ นกั งานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 คะแนนด้านการอ่านตํ่ากว่าร้อยละ 60 ทุกคน รวมจํานวน 27 คน ได้มาโดย วิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล เครื่องมือทีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั ครัง้ นมี้ ีดงั น้ี 1. ชุดส่ือประสมฝึกทกั ษะการอ่านออกเสียงคาํ ควบกลํา้ สาํ หรับนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 จํานวน 16 ชุด ในแต่ละชดุ ประกอบไปด้วย เพลงคําควบกล้ํา จํานวน 18 เพลง แบบฝึกวิธีฝึกการออกเสียงควบกล้ําจํานวน 16 แบบฝึก แผนภูมคิ าํ ควบกล้าํ จาํ นวน 16 แผนภูมิ กาพย์ยานี 11 สําหรับฝึกโดยใช้เป็นบทรอ้ ยกรองท่องสนุก จํานวน 16 แบบฝึก แบบฝกึ เสริมทกั ษะการเขียน คาํ ควบกล้ํา 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านความสามารถการอ่านคําควบกลํ้า ทดสอบก่อนใช้ ชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้ํา (Pre - test) และหลังการใช้ชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่าน ออกเสยี งคาํ ควบกลํา้ (Post - test) จํานวน 50 ข้อ เป็นข้อสอบแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลอื ก 3. แผนการจัดการเรียนรู้ท่ีมีกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือกันเรียนรู้เรื่องการอ่านคําควบกล้ํา ร ล ว ประกอบการใชช้ ุดสอ่ื ประสมฝึกทกั ษะการอ่านออกเสยี งคาํ ควบกล้าํ จาํ นวน 16 แผน 4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้ํา จํานวน 10 ข้อ มลี ักษณะเปน็ มาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดบั (rating scale) การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้า ได้แก่ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านนาแก สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิเขต 2 จํานวน 27 คน การทดลองกระทําในภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2555 ใช้เวลาในการทดลอง 16 ครั้ง 2. นําแบบทดสอบการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําที่เป็นแบบทดสอบรวม ท่ีผ่านการหาค่าความเช่ือมั่น ค่าความยากง่าย (p) และค่าอํานาจจําแนก (r) จาํ นวน 50 ข้อข้อละ 1 คะแนน รวม 50 คะแนนมาทดสอบ ก่อนทดลอง (Pre - test) โดยทดสอบก่อนที่จะดําเนินการสอนในชั่วโมงแรก เพื่อศึกษาดูความรู้เดิมและ ความสามารถในการอ่านคาํ ควบกลาํ้ ร ล ว ของนักเรียนแล้วบนั ทกึ คะแนนทนี่ กั เรียนทําไดม้ าหาคา่ เฉล่ยี ( 1) 3. ดําเนินการทดลองใช้ส่ือประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้า โดยใช้ส่ือประสมฝึกทักษะ การอ่านออกเสียงคาํ ควบกลาํ้ คกู่ ับแผนการจดั การเรียนรู้ ทง้ั หมด 16 แผน แผนละ 1 ชว่ั โมง รวมทง้ั หมด 16 คร้ัง 4. เมื่อเรียนจนครบทั้ง 16 แผนแล้วนําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การอ่านออกเสียง คําควบกลํ้าชดุ รวม ทดสอบหลงั การทดลอง (Post - test) เม่ือสิ้นสุดการดําเนินการทดลองซึ่งเป็นฉบับเดียวกันกับ ทีใ่ ช้ทดสอบก่อนเรยี น (Pre – test) แล้วบันทึกคะแนนที่นักเรียนทําได้มาหาค่าเฉลี่ย นําคะแนนมาเปรียบเทียบกันว่า แตกต่างกนั หรือไมม่ คี วามกา้ วหนา้ มีมากนอ้ ยเพียงใด และทดสอบความแตกต่าง โดยวธิ ีทางสถิติ
การประชุมทางวชิ าการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพ่อื เพ่ิมคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 99 การวเิ คราะห์ข้อมูล วิเคราะหข์ ้อมลู เพอ่ื หาประสทิ ธิภาพของเครอ่ื งมือทีใ่ ช้ในการวิจัยครงั้ น้ี 1. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้า วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของกระบวนการและประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์ ใช้ E1/ E2 2. เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น ก่อนเรยี นและหลังเรยี น โดยใช้คา่ t – test แบบ dependent 3. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต่อชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานสรปุ ผลการวจิ ยั 1. ประสิทธิภาพของชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้า สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มคี า่ เทา่ กบั 94.48/89.62 สงู กวา่ เกณฑ์ทก่ี าํ หนดไว้คือ 80/80 2. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนด้านการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้าของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้า หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสําคัญทางสถิตทิ ่ี .01 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ต่อชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่าออกเสียงคําควบกลํ้าอยใู่ นระดับมากท่สี ุดอภปิ รายผลการวจิ ยั 1. จากผลการวิจัยที่พบว่า ชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกลํ้า มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ เนื่องจากในการสร้างชุดสื่อประสมชุดน้ี ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร ทฤษฎีและงานวิจัยหลากหลายเพื่อนําความรู้มาสังเคราะห์ในการสร้างชุดสื่อประสมที่มีประสิทธิภาพมากท่ีสุด มีรูปแบบที่น่าสนใจสําหรับผู้เรียนมีประโยชน์และส่งผลดีต่อการเรียนรู้ เข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น สามารถจดจําเน้ือหาและคําศัพท์ได้คงทนและมคี วามสนกุ สนานในขณะท่เี รียน 2. การท่ีผลสัมฤทธ์ิด้านการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําของนักเรียนสูงข้ึน หลังจากการใช้ชุดส่ือประสมฝกึ ทักษะการอ่านออกเสยี งคาํ ควบกลํ้ามีค่าสงู กว่าก่อนเรียน ทั้งนี้ ผลทเี่ กิดข้นึ เปน็ ไปตามกฎการฝึกหดั ของ ธอรน์ ไดค์(Thorndike) ท่ีว่าการฝึกหัดกระทําบ่อย ๆ ย่อมทําผู้ฝึกมีความคล่องแคล่วและสามารถทําสิ่งน้ันได้ดี เกิดการเรียนรู้ได้นานและมีความคงทนถาวรและการฝึกอ่านด้วยกิจกรรมที่หลากหลายนั้น จะช่วยทําให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานในการเรียนรู้ และเหตุผลอีกอย่างหน่ึง คือ การสร้างชุดสื่อประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ออกแบบให้ใช้คู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ซ่ึงเป็นรูปแบบการเรียนรู้ทมี่ กี จิ กรรมหลากหลาย เปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นได้นําความสามารถของตนมาใช้ ในการเข้ากลุม่ ทํากิจกรรมจะมีทั้งคนเก่งปานกลาง และอ่อนอยู่ร่วมกัน ให้ทุกคนได้ร่วมมือกันช่วยกันทํากิจกรรมให้สําเร็จการร่วมมือกันทํากิจกรรมทําให้ผ้เู รยี นเขา้ ใจกัน มีสัมพนั ธภาพท่ดี ตี อ่ กัน สง่ ผลให้มีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นสูงขนึ้ 3. ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนคําควบกลํ้าโดยใช้ชุดส่ือประสมฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําคู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมืออยู่ในระดับมากท่ีสุดซ่ึงสามารถสรุปพฤตกิ รรมของนักเรยี นโดยภาพรวมไดว้ ่า นักเรยี นมคี วามสนใจและกระตือรือร้นในการร่วมกิจกรรม นักเรียนร่วมกิจกรรมการเรียนอย่างสนุกสนาน มีความสามัคคีกันในการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่ม ทุกคนมีความเพียรพยายามในการฝึกอย่างแขง็ ขัน การให้นักเรียนทํางานกลุ่มแบบร่วมมือน้ัน ทําให้การเรียนรู้ได้ผลดีมาก นักเรียนท่ียังไม่เข้าใจก็จะได้รับคาํ อธิบายจากเพื่อนคนอืน่ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ และเป็นการส่วนตวั และนกั เรียนผู้ที่ให้คําอธิบายแก่เพื่อนก็สามารถเพิ่มพูนความเขา้ ใจของตน จากการอธิบายน้ัน
100 การประชมุ ทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพอื่ เพ่ิมคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชีพ” ข้อเสนอแนะ 1. การฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคําควบกล้ําโดยใช้ชุดฝึกทักษะน้ี ครูควรให้นักเรียนฝึกหัดเป็นกลุ่ม เพ่อื ให้นกั เรยี นได้ชว่ ยเหลอื ซง่ึ กันและกนั ในด้านการอ่าน 2. คําควบกลํ้าคําใดที่นักเรียนอ่านออกเสียงได้ไม่คล่องแคล่ว ชัดเจนหรือไม่คล่อง ไม่ถูกต้อง ให้ครูฝึกฝน ให้เกดิ ความชํานาญและเอาใจใสเ่ ปน็ พิเศษ 3. เม่ือนักเรียนฝึกอ่านและเขียนคําควบกลํ้าในแต่ละชุดเสร็จแล้ว ครูควรเสริมให้นักเรียนได้มีโอกาส ใชค้ ําควบกล้าํ ในชุดฝึกน้นั ๆ โดยการนาํ คาํ เหลา่ นัน้ มาแต่งเปน็ ประโยคหรอื เขยี นเรยี งความ 4. ครูควรให้แรงเสริมทันทีท่ีเด็กปฏิบัติได้ตามท่ีครูกําหนดให้ปรึกษาหรือขอคําแนะนําชี้แนะจากครู ไดต้ ลอดเวลา รายการอา้ งอิง กรรณกิ าร์ พวงเกษม. (2533). ปญั หาและกลวิธกี ารสอนภาษาไทยในโรงเรยี นประถมศึกษา. กรุงเทพ ฯ: ไทยวฒั นาพานิช. วชิ าการ, กรม. (2534). คู่มืออบรมครแู นวการใชห้ ลักสตู รประถมศกึ ษา พุทธศกั ราช 2521 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2533). กรุงเทพ ฯ: โรงพิมพ์การศาสนา. กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2534). หลักสตู รประถมศึกษา พทุ ธศกั ราช 2521 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2533). กรงุ เทพ ฯ: โรงพิมพค์ ุรสุ ภา. ก่อ สวัสดพิ าณชิ ย.์ (2537). แนวการสอนภาษาไทย. กรงุ เทพ ฯ: กรมการฝึกหัดคร.ู กองวจิ ัยทางการศึกษา. (2544). การวจิ ยั เพอ่ื พัฒนาการเรยี นรู้ตามหลกั สตู รการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน. กรุงเทพ ฯ: กรมวิชาการ. กาญจนา สงั สอาด. (2540). การแกไ้ ขข้อบกพรอ่ งในการอ่านและการเขยี นคาํ ควบกล้าํ ร ล ว ของนกั เรียน ท่ีมีภาษาอสี านเปน็ ภาษาถ่ิน. ปริญญานิพนธ์การศกึ ษามหาบัณฑติ สาขาวิชาการประถมศกึ ษา บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. กติ ติคุณ รตั นเดชกําจาย. (2542). ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาภาษาไทย เรอ่ื ง มาตราตัวสะกด ของนักเรยี น ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 ทสี่ อนโดยใช้แบบฝึกเสริมทกั ษะกับสอนโดยวธิ ปี กต.ิ วทิ ยานพิ นธศ์ ิลปะศาสตร มหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการประถมศึกษา บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ เกษร รองเดช. (2522). การสร้างแบบฝึกเพื่อซ่อมเสรมิ การออกเสียงพยญั ชนะ “ง” “ฟ” “ฝ”“คว” “ขว” สําหรบั นักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 ในจังหวดั นครศรธี รรมราช. วทิ ยานิพนธ์ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการประถมศึกษาบณั ฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ เกษรา ภทั รเดชไพศาล. (2537). กจิ กรรมเสริมทักษะการอ่านและการเขยี นคาํ ควบกล้ํา ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 2. วิทยานพิ นธศ์ ึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการประถมศกึ ษา บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. ขันธชยั มหาโพธิ.์ (2535). รายงานการวจิ ยั เรือ่ งการเปรยี บเทยี บผลการเขียนสะกดคาํ ของนกั เรยี น ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 ในสงั กดั สาํ นกั งานการประถมศกึ ษาจงั หวัดอุดรธานี โดยใช้แบบฝึกการเขยี น สะกดคาํ กบั การเขยี นตามคาํ บอก. อุดรธานี: สาํ นักงานการประถมศึกษาจงั หวัดอุดรธาน.ี คมขํา แสนกลา้ . (2547). การพัฒนาแผนการเรียนรโู้ ดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านและการเขยี นคาํ ควบกลา้ํ วชิ ากาษาไทย ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3. วิทยานิพนธ์การศกึ ษามหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
การประชมุ ทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพอื่ เพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 101ผลงานวจิ ัย ผลการจัดการเรียนรบู้ รู ณาการไอซีที (ICT) เพื่อพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น กล่มุ สาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี (คอมพวิ เตอร์เพิ่มเตมิ )ผู้วจิ ยั ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรยี นอนบุ าลสพุ รรณบุรีปที ่วี จิ ัย นางสาววัชราภรณ์ เพง็ สุข 2556 บทคดั ยอ่ การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือ (1) พัฒนาบทเรียนออนไลน์กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์ เพิ่มเติม) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กําหนด 80/80 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ และ(3) ศกึ ษาความพงึ พอใจของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ที่มตี ่อการจดั กิจกรรมการเรยี นรโู้ ดยบูรณาการ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคร้ังนี้เป็นนักเรียนช้ันประศึกษาปีท่ี 4/6 โรงเรียนอนุบาลสุพรรณบุรีสํานกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต1ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2555 ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม(Cluster Random Sampling) โดยใช้การจับสลากห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่มจํานวน 1 ห้องเรียน ปีที่ 4/6จํานวน 40 คนเคร่ืองมือท่ีใช้ ได้แก่ (1) บทเรียนออนไลน์ (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน จํานวน 40 ข้อ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยบูรณาการสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานและ t - test แบบ Dependent Test ผลการศึกษาปรากฏว่า (1) บทเรียนออนไลน์กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี(คอมพิวเตอร์เพ่ิมเติม) ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 จากการทดลองใช้กับนักเรียนแบบภาคสนาม ได้ค่าประสิทธิภาพ(E1/E2) เท่ากับ 81.06/80.83 เป็นไปตามเกณฑ์ท่ีกําหนด 80/80 (2) ค่าเฉล่ียของผลต่างของคะแนนจากแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้โดยบูรณาการการเรยี นรู้ดว้ ยบทเรยี นออนไลน์ การใช้หอ้ งสมุดออนไลน์ และการใช้แอปพลิเคช่ันท่ีผู้วิจัยไดส้ ร้างและพฒั นาขึน้ โดยภาพรวมนักเรียนมคี วามพึงพอใจอยูใ่ นระดบั มากความเป็นมาและความสําคัญของปัญหาการวจิ ัย การศึกษาเปน็ รากฐานท่ีสาํ คญั ทสี่ ดุ ประการหนงึ่ ในการสร้างสรรคค์ วามเจริญก้าวหนา้ และแก้ไขปัญหาต่าง ๆในสังคม เน่ืองจากการศึกษาเป็นกระบวนการท่ีช่วยให้คนได้พัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ ตลอดช่วงชีวิต การศึกษาจะเป็นกระบวนการท่ีเตรียมและนําคนไทยและสังคมให้ก้าวสู่ยุคใหม่อย่างมั่นคง และรู้ทันโลก ให้คนสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิต พัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนาสังคม ตนเอง ครอบครัว และบ้านเมืองโดยฝึกให้เป็นผู้มีระเบียบวินัยไม่เบียดเบียน มีจิตใจท่ีดีงามขยันหมั่นเพียร อดทน มีความรู้พื้นฐานที่ดี รู้จักคิด รู้จักปรับตัว รู้จักแก้ปัญหา มีทักษะในการทาํ งาน รูจ้ ักพัฒนาฝมี ือ โดยมแี หล่งเรียนรู้ สื่อและส่ิงแวดล้อมท่ดี ี (สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ. 2545: 1 - 3) ปัจจุบันเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทในการเรียนรู้เป็นอย่างมากและเป็นเทคโนโลยีทางการศึกษาที่สําคัญเหมือนกับเทคโนโลยีการศึกษาอื่น ๆ ท่ีคุ้นเคยกันเช่นหนังสือวิทยุโทรทัศน์คอมพิวเตอร์เพราะสามารถศึกษาด้วยตนเองได้ซ่ึงทําให้บทบาทของผู้เรียนและผู้สอนเปล่ียนไปด้วยท้ังน้ีเพราะนักเรียนเป็นจํานวนมากสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารท่ีไม่ได้จัดให้อยู่ในการเรียนการสอนในสถานศึกษาของตนเอง(ทกั ษณิ า สวนานนท.์ 2540: 5)
102 การประชุมทางวิชาการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพื่อเพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชีพ” การจดั การเรยี นการสอนแบบอีเลิรน์ นง่ิ (e - Learning) เปน็ การใชเ้ ทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ เทคโนโลยีเครือข่าย และเทคโนโลยีการสื่อสารท่ีเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์และส่งผ่านองค์ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ไปยังผู้เรียน ทอ่ี ยู่ในสถานท่ีแตกต่างกันให้ได้รับความรู้ทักษะและประสบการณ์ร่วมกันอย่างมีชีวิตชีวากระบวนการเรียนรู้จะถูก สร้างสรรค์ขึ้นอย่างเหมาะสม และนําไปใช้เรียนทั้งในลักษณะของการศึกษาและการฝึกอบรมโดยที่ผู้เรียนสามารถ เรียนรู้ได้ตามความถนัดและความสามารถของตนเองระบบอีเลิร์นนิ่งผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะดําเนินการ จัดการต่าง ๆ เกี่ยวกับกระบวนการเรียนการสอนให้เป็นอย่างอัตโนมัติ เสมือนกับการเรียนการสอนในสถานศึกษาปกติ (บุปผชาติ ทฬั หกิ รณ์. 2540: 7) สอดคลอ้ งกบั ถนอมพรเลาหจรัสแสงที่กล่าววา่ บทเรยี นอีเลิร์นน่ิงเป็นการเรียนการสอน ที่ประยุกต์ใช้คุณลักษณะของอินเทอร์เน็ตโดยนําทรัพยากรที่มีอยู่ใน เวิลด์ ไวด์ เว็บ (World Wide Web) มาเป็นสื่อกลางเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีประโยชน์มากเพราะเป็นการ นําประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการค้นคว้าข้อมูลในการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นการสนองตอบแนวคิด การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก นั่นคือไม่ใช่การสอนที่เป็นการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอน แต่เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย และเกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานท่ี (Any Time Any Where) โดยใชเ้ ทคโนโลยแี ละการส่อื สารสารสนเทศต่าง ๆ ใหเ้ ป็นประโยชน์ ซึ่งส่งิ ต่าง ๆ เหลา่ นี้ สามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างอิสระ (ถนอมพร เลาหจรัสแสง.2541: 8 - 11) การนําภาพวีดิทัศน์ ภาพกราฟิกต่าง ๆ ที่น่าสนใจมาใช้ผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์การใช้คุณสมบัติ ของไฮเปอร์มีเดียในการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายน้ัน จะช่วยสนับสนุนศักยภาพการเรียนรู้ด้วยตนเองตามลําพัง โดยผู้เรียนสามารถเลอื กเน้ือหาบทเรียนที่เสนออยู่ในรูปแบบไฮเปอร์มีเดีย ซ่ึงเป็นเทคนิคการเชื่อมโยงข้อความไปสู่ เนื้อหาหลักด้วยเนื้อหาอื่นท่ีเก่ียวข้องหรือสื่อภาพและเสีย งการเช่ือมโยงดังกล่าวจึงเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถ ควบคุมการเรียนด้วยตนเอง ในส่วนคุณสมบัติของเครือข่ายเวิลด์ ไวด์ เว็บ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถ ปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนหรือผู้เรียนอ่ืนเพื่อการเรียนรู้โดยไม่จําเป็นต้องอยู่เวลาเดียวกันหรือสถานท่ีเดียวกัน (Human to Human Interaction) (ไชยยศ เรืองสุวรรณ.2546: 13) อีกท้ังนักการศึกษาในประเทศไทยก็ได้พัฒนารูปแบบ เว็บเพจในการใช้สื่อในการจัดการเรียนการสอนซ่ึงมักพบในระดับอุดมศึกษาการพัฒนาในระดับมัธยมและ ประถมศึกษาน้ันยังพบว่ามีการพัฒนาค่อนข้างน้อยหากนักการศึกษาหรือครูผู้สอนมีการผลิตสื่อการเรียนการสอน บนเครือข่ายมากข้ึนมีการทดสอบประสิทธิภาพเว็บเพจโดยอาศัยกระบวนการวิจัยและพัฒนาก็จะส่งผลให้ผู้เรียน มีโอกาสเรยี นรแู้ ละทาํ ความเข้าใจได้ดยี ิง่ ข้นึ (ถนอมพร เลาหจรสั แสง. 2541: 56 - 65) จากเหตผุ ลดงั กล่าวผู้รายงานจึงได้จัดการเรียนรู้บูรณาการไอซีที (ICT) เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์ เพ่ิมเติม) ของนักเรียนระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ซ่ึงในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนผู้รายงานได้บูรณาการการเรียนรู้ด้วยบทเรียนออนไลน์ การใช้ห้องสมุดออนไลน์ และการใช้แอปพลิเคช่ันที่ผู้วิจัยได้สร้างและพัฒนาข้ึนเพื่อการติดต่อส่ือสารกับผู้ปกครอง เป็นการเรียนรู้ท้ังเน้ือหา และฝกึ ปฏบิ ัตใิ นด้านการอยูร่ ่วมกนั การทํางานรว่ มกัน โดยอาศัยคณุ ธรรม จรยิ ธรรมควบคู่ไปกบั การเรียนรู้ทางด้าน วิชาการนักเรียนได้พัฒนาผลการเรียนทางด้านทักษะการใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มตามศักยภาพของแต่ละบุคคล เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ความเป็นคนดี คนเก่ง และสามารถอยู่ในสังคมได้ อย่างมีความสุขซึ่งผลท่ีได้จากการศึกษาจะเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชพี และเทคโนโลยีใหม้ ปี ระสิทธภิ าพยิ่งขึน้ ต่อไป วตั ถปุ ระสงค์การวิจัย 1. เพอื่ พฒั นาบทเรียนออนไลน์กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพวิ เตอร์ เพิ่มเติม) ของนักเรียนระดับชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ใหม้ ีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ท่ีกาํ หนด 80/80 2. เพื่อเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นระหวา่ งกอ่ นและหลงั เรยี นดว้ ยการจัดการเรยี นรูบ้ รู ณาการ 3. เพอื่ ศึกษาความพึงพอใจท่ีมตี ่อการจดั กิจกรรมการจดั การเรยี นร้บู ูรณาการ
การประชมุ ทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพือ่ เพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 103นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 1. บทเรียนออนไลน์ (online course) หมายถึง บทเรียนที่สร้างขึ้นผ่านเว็บซึ่งเป็นบทเรียนสําเร็จรูปผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและมีปฏิสัมพันธ์กับบทเรียนได้ ภายในบทเรียน ประกอบด้วย ข้อความภาพกราฟิก ภาพนง่ิ เสยี ง และภาพเคลื่อนไหว 2. การเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลน์ หมายถึง การเรียนรู้เป็นรายบุคคลผ่านบทเรียนท่ีพัฒนาขึ้นผ่านเว็บในหลักสูตรเน้ือหากลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์เพ่ิมเติม) ของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 3. การเรยี นร้บู ูรณาการ หมายถึง การจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์ เพิ่มเติม) ของนกั เรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการใช้บทเรียนออนไลน์ การใช้ห้องสมุดออนไลน์และการใช้แอปพลิเคชั่นท่ีผู้วิจัยได้สร้างและพัฒนาขึ้นเพ่ือการติดต่อสื่อสารกับผปู้ กครอง 4. แบบฝึกหัดระหว่างการจัดการเรียนรู้ หมายถึง ชุดของข้อคําถามย่อยท่ีอยู่ในกิจกรรมการเรียนรู้ของบทเรียนออนไลน์ ขณะจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียนออนไลน์ ในการศึกษาคร้ังนี้เป็นแบบทดสอบแบบจับคู่ จํานวน 3 ฉบับและแบบทดสอบแบบถูกผดิ จาํ นวน 2 ฉบับ 5. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านความรู้ความเข้าใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 หลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์เพ่ิมเติม) โดยใช้แบบทดสอบประเภทเลือกตอบแบบปรนัย 4 ตัวเลือกจาํ นวน 40 ขอ้ 20 คะแนน โดยใช้เกณฑ์การใหค้ ะแนนเปน็ รายข้อ แบบตอบถกู ให้ 1 คะแนน ตอบผิดให้ 0 คะแนน 6. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ทักษะที่เกิดจากการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้โดยพิจารณาจากคะแนนทีไ่ ด้จากการทําแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนกอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นท่ีผู้รายงานสร้างขนึ้ 7. ประสิทธิภาพของบทเรียน 80/80 หมายถึง คุณภาพของบทเรียนออนไลน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์ เพ่ิมเติม) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีทําให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และบรรลุวตั ถปุ ระสงคต์ ามเกณฑ์ 80/80 โดยที่ 80 ตัวแรก หมายถงึ คะแนนเฉล่ียทไ่ี ดจ้ ากการทําแบบฝกึ หดั ระหว่างเรียนและแบบทดสอบยอ่ ยหลงั เรียนด้วยบทเรยี นออนไลน์โดยคดิ คะแนนเฉล่ียไดร้ ้อยละ 80 ขึน้ ไป 80 ตัวหลงั หมายถงึ คะแนนเฉล่ยี ทไี่ ดจ้ ากการทาํ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นหลังจากเรียนด้วยบทเรยี นออนไลน์โดยคดิ คะแนนเฉลี่ยไดร้ ้อยละ 80 ขนึ้ ไป 8. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนออนไลน์ในด้านเนื้อหา รูปแบบ และผลที่เกิดกับนักเรียน โดยพิจารณาจากคะแนนที่ได้จากการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ 9. ห้องสมุดออนไลน์หรืออิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง แหล่งความรู้ท่ีเก็บรวบรวมข้อมูลไว้ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่สามารถอํานวยความสะดวกให้กับผู้เรียน ได้ทุกที่ ทุกเวลา ในการแสวงหาความรู้และข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ
104 การประชมุ ทางวิชาการของครุ ุสภา ประจําปี 2557 “การวจิ ัยเพอื่ เพ่ิมคุณภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชีพ” แนวคดิ /ทฤษฎีที่เกยี่ วขอ้ ง ผ้รู ายงานได้ใชท้ ฤษฎีการเรียนรู้ผสมสานของกานเย (Gagne) 9 ขน้ั ดงั นี้ ข้ันท่ี 1 สร้างความสนใจ เป็นขั้นท่ีทําให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในบทเรียน เป็นแรงจูงใจที่เกิดข้ึนทั้งจาก สิ่งย่ัวยุภายนอกและแรงจูงใจที่เกิดจากตัวผู้เรียนเองด้วย ครูอาจใช้วิธีการสนทนา ซักถาม ทายปัญหา หรือมีวัสดุ อุปกรณต์ ่าง ๆ ท่กี ระต้นุ ให้ผเู้ รยี นตน่ื ตัว และมีความสนใจท่ีจะเรียนรู้ ขนั้ ที่ 2 แจ้งจดุ ประสงค์ เปน็ การบอกให้ผู้เรียนทราบถึงเป้าหมายหรือผลท่ีจะได้รับจากการเรียนบทเรียนน้ัน โดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้เรียนเห็นประโยชน์ในการเรียนเห็นแนวทางของการจัดกิจกรรมการเรียนทําให้ผู้เรียนวางแผน การเรียนของตนเองได้ นอกจากนัน้ ยงั สามารถชว่ ยครูดําเนินการสอนตามแนวทางที่จะนําไปส่จู ดุ หมายไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ขนั้ ที่ 3 กระตุ้นให้ผู้เรียนระลึกถึงความรู้เดิมท่ีจําเป็นเป็นการทบทวนความรู้เดิมท่ีจําเป็นต่อการเชื่อมโยง ให้เกิดการเรียนรู้ความรู้ใหม่ เนื่องจากการเรียนรู้เป็นกระบวนการต่อเนื่องการเรียนรู้ความรู้ใหม่ต้องอาศัยความรู้ เก่าเป็นพ้ืนฐาน ข้นั ท่ี 4 เสนอบทเรียนใหม่ เป็นการเร่ิมกิจกรรมของบทเรียนใหม่โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ีเหมาะสม มาประกอบการสอน ขน้ั ที่ 5 ใหแ้ นวทางการเรยี นรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนสามารถทํากิจกรรมด้วยตนเอง ครูอาจแนะนําวิธีการ ทํากจิ กรรม และนําแหลง่ คน้ ควา้ เป็นการนําทางใหแ้ นวทางใหผ้ ู้เรียนไปคิดเอง เป็นต้น ขน้ั ที่ 6 ให้ลงมือปฏิบัติเป็นการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนสามารถแสดงพฤติกรรม ตามจุดประสงค์ ขัน้ ท่ี 7 ให้ข้อมูลป้อนกลับเป็นข้ันท่ีครูให้ข้อมูลเก่ียวกับผลการปฏิบัติกิจกรรมหรือพฤติกรรมที่ผู้เรียน แสดงออกว่า มคี วามถูกตอ้ งหรือไม่ อย่างไร และเพียงใด ขน้ั ท่ี 8 ประเมนิ พฤติกรรมการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ เป็นข้ันการวัดและประเมินว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้ ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ของบทเรียนเพียงใด ซ่ึงอาจทําการวัดโดยการใช้ข้อสอบ แบบสังเกต การตรวจผลงาน หรือการสัมภาษณ์ แล้วแต่ว่าจุดประสงค์น้ันต้องการวัดพฤติกรรมด้านใด แต่ส่ิงที่สําคัญ คือ เคร่ืองมือท่ีใช้จะต้องมี คุณภาพ มคี วามเชื่อถือได้ มคี วามเท่ียงตรงในการวดั ข้ันที่ 9 ส่งเสริมความแม่นยําและการถ่ายโอนการเรียนรู้เป็นการสรุป การย้ําทบทวนการเรียนท่ีผ่านมา เพื่อให้ผู้เรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ฝังแน่นข้ึน กิจกรรมในข้ันน้ีอาจเป็นแบบฝึกหัด การให้ทํากิจกรรมที่เพ่ิมพูนความรู้ รวมทั้งการให้ทําการบ้าน การทํารายงาน หรือหาความรู้เพิ่มเติมจากความรู้ท่ีได้ในช้ันเรียน พร้อมท้ังส่งงานผ่านทาง ระบบออนไลนบ์ นเวบ็ ไซต์ กรอบแนวคิดการวจิ ัย ตวั แปรตน้ ตัวแปรตน้การจัดการเรยี นรูบ้ รู ณาการไอซีที 1. ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น (ICT) 2. ความพงึ พอใจของนกั เรยี นท่มี ตี ่อ บทเรียนออนไลน์หอ้ งสมดุ ออนไลน์ และแอปพลิเคชนั่ เพ่ือการเรียนรู้
การประชมุ ทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพ่อื เพิม่ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 105วิธดี ําเนนิ การวิจัย แบบแผนการวิจยั แบบแผนการวจิ ัย เปน็ แบบกลมุ่ เดยี ว วดั กอ่ นและหลังการจัดการเรียนรดู้ ว้ ยบทเรยี นออนไลน์ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนอนุบาลสุพรรณบุรีสํานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษาสุพรรณบุรี เขต 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2555 จํานวน 6 ห้องเรียนรวมจาํ นวนนักเรียน 241 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนช้ันประศึกษาปีที่ 4/6 โรงเรียนอนุบาลสุพรรณบุรีสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้การจับสลากห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่มจํานวน 1 ห้องเรียนสาํ หรับการสมุ่ ตวั อย่างเป็นกลุ่มทดลอง ไดน้ กั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4/6 จาํ นวน 40 คน เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการศึกษาครัง้ น้ี ประกอบด้วย 1. บทเรียนออนไลน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์ เพิ่มเติม)ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียนออนไลน์กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอรเ์ พ่มิ เตมิ ) ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยบูรณาการการเรียนรู้ด้วยบทเรียนออนไลน์ การใช้ห้องสมุดออนไลน์ และการใช้แอปพลิเคชั่นที่ผู้วิจัยได้สร้างและพฒั นาขนึ้ กลุม่ สาระการเรียนรูก้ ารงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอรเ์ พิม่ เตมิ ) การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผู้รายงานดําเนนิ การทดลองและเก็บรวบรวมข้อมลู ดงั น้ี 1. ผู้ศึกษาจัดเตรียมเอกสารบทเรียนออนไลน์กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี(คอมพิวเตอร์เพ่ิมเติม) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เพียงพอกับจํานวนนักเรียน จากนั้นทบทวนลาํ ดับข้นั ตอนในการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ด้วยตนเอง 2. แจ้งข้อตกลงให้นักเรียนทราบก่อนดําเนินการจัดการเรียนรู้ คือ มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น สาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ระยะเวลาดําเนินการ การประเมินผล และเกณฑก์ ารให้คะแนน 3. ดําเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ในคู่มือการใช้บทเรียนออนไลน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์เพ่ิมเติม) ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 จํานวน 20 ช่ัวโมง โดยมีวิธีการจัดกิจกรรมการเรยี นรูใ้ นแตล่ ะหน่วย ดังนี้ 3.1 วิเคราะห์ผู้เรียนโดยใช้แบบบันทึกข้อมูลผู้เรียนรายบุคคล เพื่อผู้รายงานสามารถจัดกิจกรรมได้สอดคล้องกับความตอ้ งการของผเู้ รียน 3.2 ทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนท่ีผู้รายงานสร้างขึ้นจํานวน 40 ขอ้ เพ่ือเกบ็ ข้อมูลความรูพ้ น้ื ฐานของผเู้ รยี นใช้เวลา 1 ช่วั โมง 3.3 ทดสอบย่อยก่อนเรียนหน่วยการเรียนรู้ละ 10 ข้อ และดําเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจดั การเรียนรจู้ นครบ
106 การประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจําปี 2557 “การวจิ ัยเพื่อเพมิ่ คุณภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชีพ” 3.4 ทดสอบยอ่ ยหลงั เรยี นทุกหนว่ ยการเรยี นรู้ หน่วยการเรยี นรลู้ ะ 10 ขอ้ 3.5 หลงั จากเรยี นจบทุกหนว่ ยการเรียน ทดสอบหลงั เรียนด้วยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนที่เป็นฉบับเดียวกับแบบทดสอบก่อนเรียนแต่สลับข้อและสลับตัวเลือกท่ีผู้รายงานสร้างขึ้น และสอบถาม ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลน์ การใช้ ห้องสมุดออนไลน์ และการใช้แอปพลิเคชั่นท่ีผู้วิจัยได้สร้างและพัฒนาข้ึน กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ เทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์เพม่ิ เติม) 4. นาํ ข้อมูลหรือคะแนนที่ได้มาวิเคราะหข์ ้อมูลเพ่อื ทดสอบสมมตฐิ าน การวเิ คราะหข์ ้อมลู ในการตรวจสอบสมมติฐานของการศึกษา และการเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือให้ตรงตามวัตถุประสงค์ ของการพฒั นาทต่ี งั้ ไว้ ผรู้ ายงานแบง่ การวเิ คราะห์ข้อมลู เป็น 3 ตอน ดังนี้ 1. หาประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์ เพิ่มเติม) ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 4 ด้วยค่า E1/E2 2. วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการทําแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยค่าสถิติที (t - test) แบบ Dependent 3. วิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ท่ีมีต่อการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลน์กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์เพิ่มเติม) ด้วยค่าเฉลย่ี ( ) และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) สรุปผลการวิจยั ผลการใช้บทเรียนออนไลน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์ เพ่ิมเติม) ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 สรปุ ผลได้ ดังนี้ 1. ผลการหาประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์ เพ่ิมเติม) ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ได้ประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์เท่ากับ 81.06/80.83 ซงึ่ สงู กว่าเกณฑม์ าตรฐานทก่ี าํ หนด 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน ท่ีเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์ เพมิ่ เตมิ ) หลงั เรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมนี ัยสําคัญทางสถติ ิทีร่ ะดบั .05 3. ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลน์การใช้ห้องสมุด ออนไลน์ และการใชแ้ อปพลเิ คช่ันขึ้นโดยภาพรวมนักเรยี นมคี วามพงึ พอใจอย่ใู นระดบั มาก อภิปรายผลการวจิ ัย 1. ผลการหาประสิทธิภาพของบทเรียนออนไลน์ พบว่าบทเรียนออนไลน์มีประสิทธิภาพ 81.06/80.83 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กําหนดไว้ ทั้งนี้เนื่องจากทุกขั้นตอนได้มีการปรับปรุงจนได้บทเรียนสําเร็จรูป ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของศิวกร แก้วรัตน์ (2546: 76); ฤตินันท์ บุญกอง (2546: 60); ขวัญชนก ขวัญชัชวาล (2546: 91); ศราวุธ เรืองสวัสดิ์ (2545: 59); เลี้ยง ชาตาธิคุณ (2543: 52) ได้พัฒนา บทเรียนโดยใช้การสอนผ่านเว็บที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กําหนด ทําให้บทเรียนออนไลน์เป็นส่ือท่ีช่วยในการ จดั การเรยี นการสอนทม่ี ีคณุ ภาพเชือ่ ถือได้ 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้บทเรียนออนไลน์ กลุ่มสาระ การเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์ เพิ่มเติม) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ท้ังนี้เพราะบทเรียนออนไลน์ เป็นตัวกระตุ้นในการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดีทั้งจากความแปลกใหม่ของบทเรียน และความสามารถในการ
การประชุมทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพือ่ เพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 107สร้างภาพ สี และเสียง เป็นตัวกระตุ้นนักเรียนให้อยากเรียนตลอดเวลานอกจากนี้ยังสามารถให้ข้อมูลย้อนกลับให้การเสริมแรงแก่นักเรียนได้รวดเร็ว และช่วยสนองต่อการเรียนรู้รายบุคคลได้เป็นอย่างดี จึงทําให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของเลี้ยง ชาตาธิคุณ (2543: 52) พบว่านักเรียนที่เรียนด้วยบทเรยี นออนไลน์ท่ีมคี ุณภาพทาํ ให้ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรยี นสูงขึน้ 3. ผลการวิจัยพบว่าความพึงพอใจของนักเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณารายข้อพบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับมากท่ีสุด ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะว่าการพัฒนาส่ือออนไลน์คร้ังน้ีมีจุดเด่น คือ มีด้านเนื้อหาและการนําเสนอของบทเรียนออนไลน์ มีความชัดเจนในการอธิบายเนื้อหา การจัดลําดับขั้นตอนของเนื้อหาดี และมีความน่าสนใจ ด้านภาพกราฟิก การใช้ภาษา และเสียงประกอบ ของบทเรียนออนไลน์มีความสอดคล้องกับเนื้อหาและสื่อให้เข้าใจเน้ือหาได้ง่ายข้ึน จํานวนภาพประกอบมีความน่าสนใจ ทั้งน้ีเพราะบทเรียนออนไลน์ประกอบด้วยส่ือประสมท่ีทําให้นักเรียนเข้าใจเน้ือหาได้ง่าย ด้านการออกแบบหน้าจอ ตัวอักษร และสีของบทเรียนออนไลน์เหมาะสมกับวัยของนักเรียน การออกแบบหน้าจอของแต่ละเรื่องขนาดของตัวอักษร สีของตัวอักษร มีผลทําให้ผู้เรียนมคี วามสนใจและเขา้ ใจในบทเรยี นมากยิง่ ข้ึน กิจกรรมและแบบทดสอบของบทเรียนออนไลน์มีการออกแบบกจิ กรรม แบบฝึกหดั หลงั บทเรยี นแต่ละเรื่องมีความเหมาะสม แบบทดสอบก่อนและหลังเรียนตรงตามเน้ือหาบทเรียนและแบบทดสอบกอ่ นและหลงั เรียนมคี วามยากงา่ ยพอเหมาะ ด้านการจัดบทเรียนออนไลน์ นักเรียนมีความสะดวกในการใช้บทเรียนมีความน่าสนใจของการจัดหน้ามีความชัดเจนของคําส่ังการใช้งานของบทเรียน ความน่าสนใจและชวนให้ตดิ ตามบทเรียนมีส่ือเพอ่ื ทบทวนบทเรียนให้นักเรียนไดเ้ รียนรู้ได้ตลอดเวลาข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนําผลการวิจยั ไปใช้ 1. เน่ืองจากบทเรียนออนไลน์ มีลักษณะเป็นสื่อประสมซ่ึงประกอบด้วย ข้อมูลภาพ และเสียง ควรจะใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ท่ีมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นเคร่ืองอ่านข้อมูล การ์ดเสียงพร้อมลําโพงเพื่อให้การเรียนเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมปี ระสิทธภิ าพ 2. สําหรับนักเรียนท่ีเรียนดีหรือเก่งมักจะเรียนบทเรียนออนไลน์จบเร็วกว่านักเรียนท่ีเรียนอ่อนดังนั้นจึงมีเวลาว่างก่อนการทํากิจกรรมขั้นต่อไปครูควรหากิจกรรมอ่ืนนอกเหนือจากบทเรียนมาเสริมให้นักเรียนกลุ่มนี้ หรือให้คําแนะนาํ กับเพ่อื นนักเรียนที่เรยี นออ่ นกวา่ 3. นกั เรียนสามารถศึกษาบทเรียนออนไลน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์เพมิ่ เตมิ ) ของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ี่ 4 นอกเหนอื จากการเรยี นในชวั่ โมงเรยี นหรอื ใช้เปน็ แหล่งในการค้นควา้ ขอ้ มลู ข้อเสนอแนะในการวจิ ัยคร้งั ตอ่ ไป 1. ควรมกี ารพัฒนาบทเรยี นออนไลน์ โดยศึกษาตวั แปรอนื่ ๆ เชน่ ความคงทนในการเรยี นรู้ ความสามารถในการแก้ปัญหา เจตคติของนักเรียนทีม่ ตี ่อบทเรยี น และบทเรยี นออนไลนท์ ม่ี ีผลตอ่ ทกั ษะการบวนการคดิ 2. ควรมีการศึกษาองค์ประกอบอื่นที่มีผลต่อประสิทธิภาพของการเรียนโดยใช้บทเรียนออนไลน์ เช่นระยะเวลาในการเรียน โปรแกรมท่ีใชพ้ ฒั นาบทเรยี น สภาพแวดลอ้ มของหอ้ งปฏิบัตกิ าร เปน็ ตน้ 3. ควรมีการพัฒนาบทเรียนออนไลน์ในเนื้อหาอ่ืน ๆ ให้ครบทุกเนื้อหาสาระ และพัฒนาบทเรียนออนไลน์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ แลว้ แตค่ วามเหมาะสมของสภาพวชิ า
108 การประชุมทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพ่อื เพ่ิมคณุ ภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวิชาชพี ” รายการอ้างอิง ขวญั ชนก ขวญั ชัชวาล. (2546). การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นเรอ่ื งการปรบั ตวั และสขุ ภาพจติ โดยการสอนผา่ นเวบ็ กบั การสอนปกตสิ ําหรับนักศึกษาปรญิ ญาตรมี หาวิทยาลัยขอนแกน่ . วทิ ยานพิ นธ์ ศศ.ม. (เทคโนโลยีการศึกษา). ขอนแก่น: บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. ไชยยศ เรืองสวุ รรณ. (2543). เทคโนโลยีการศึกษา: ทฤษฎแี ละการวจิ ัย. พิมพค์ รั้งท่ี 3. กรงุ เทพ ฯ: สํานกั พิมพ์ โอเดยี นสโตร์. _______. (2546). การบรหิ ารสอ่ื และเทคโนโลยีทางการศึกษา. กรงุ เทพ ฯ:วัฒนาพานชิ . ถนอมพร เลาหจรัสแสง. (2541). คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน. กรุงเทพ ฯ: วงกมลโพดักชัน่ . ทักษณิ า สวนานนท์. (2540). คอมพวิ เตอรเ์ พือ่ การศึกษา. กรุงเทพ ฯ: องค์การคา้ ครุ สุ ภา. ทิศนา แขมมณ.ี (2551). รปู แบบการเรยี นการสอน: ทางเลือกท่หี ลากหลาย. พิมพค์ ร้ังท่ี 5. กรงุ เทพ ฯ: สํานกั พมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ฤตินนั ท์ บญุ กอง. (2546). การศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าจิตวทิ ยาเบื้องต้นเรอื่ งการคดิ สาํ หรับนักศกึ ษา ระดบั ปริญญาตรมี หาวิทยาลยั ขอนแกน่ โดยใชก้ ารสอนผา่ นเวบ็ กับการสอนปกต.ิ วทิ ยานพิ นธ์ ศศ.ม. (เทคโนโลยีการศกึ ษา). ขอนแก่น: บัณฑติ วิทยาลัยมหาวิทยาลยั ขอนแก่น. เล้ียง ชาตาธคิ ุณ. (2543). การพฒั นากจิ กรรมการเรยี นการสอนวอชาฟิสิกสเ์ รอ่ื งการชนและโมเมนตัม บนเครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ น็ตสาํ หรับนักเรียนมธั ยมศึกษาตอนปลาย. วทิ ยานิพนธ์ ศศ.ม. (เทคโนโลยี การศกึ ษา). ขอนแก่น: บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ขอนแก่น. ศราวธุ เรืองสวสั ด.์ิ (2545). การศึกษาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของนกั ศกึ ษาพยาบาลศาสตร์ เร่อื ง การพยาบาลเดก็ ท่ีมีความผดิ ปกติของเลือด จากการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ . ปรญิ ญานิพนธ์ ศศ.ม. (เทคโนโลยีการศกึ ษา). กรงุ เทพ ฯ: บณั ฑติ วิทยาลัยมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. ศิวกร แก้วรตั น.์ (2546). การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นเรือ่ งพืน้ ฐานไมโครโปรเซสเซอรโ์ ดยใชก้ าร สอนผ่านเวบ็ กบั การสอนปกติสําหรบั นกั ศกึ ษาปริญญาตรสี ถาบนั ราชภฎั เลย. สาํ นักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาต.ิ (2545). พระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และแกไ้ ข เพิม่ เติม (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545. กรงุ เทพ ฯ: พรกิ หวานกราฟฟิค จํากดั .
การประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพ่ือเพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 109ผลงานวิจยั การศึกษาผลการจดั กจิ กรรมเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เร่อื ง ระบบสุริยะและพลงั งานแสง ทีม่ ีตอ่ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนและความพงึ พอใจของนกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4ผู้วิจยั โรงเรยี นวัดประทมุ ทายการามปีท่วี จิ ยั นายทวีศลิ ป์ ซอ่ื สัตย์ 2556 บทคดั ย่อ การวิจัยคร้ังน้ีมีจุดประสงค์เพื่อ 1) สร้างและพัฒนาการจัดกิจกรรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้เรอ่ื ง ระบบสรุ ิยะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ 4 ให้มีประสิทธิภาพ 80/802) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เรื่องระบบสุริยะและพลังงานแสง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนทม่ี ตี อ่ การจัดกจิ กรรมการเรยี นรอู้ ะไร ทาํ อะไรได้ เร่ือง ระบบสุริยะและพลงั งานแสง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 กลุม่ ตวั อยา่ งเปน็ นักเรยี น ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรยี นวัดประทุมทายกาม สํานักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษานครศรีธรรมราช เขต 4 จาํ นวน 1 หอ้ งเรียน มีนกั เรยี น 37 คน ไดม้ าโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Clusterrandom sampling) โดยกําหนดหน่วยเป็นห้องเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ชุดกิจกรรมเรียนรู้อะไรทาํ อะไรได้ เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงาน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เรอ่ื ง ระบบสุริยะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4มีค่าความเชื่อมนั่ 0.73 และแบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรยี นท่มี ตี ่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้มีคา่ ความเชื่อมนั่ 0.8.3 ผลการวจิ ัยพบวา่ 1. ชุดกิจกรรมเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เร่ือง ระบบสุริยะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 มีประสิทธิภาพ 84.80/85.41 2. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสงกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 สงู กวา่ กอ่ นจดั กิจกรรมอยา่ งมนี ัยสําคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .01 3. นกั เรียนมีความพึงพอใจตอ่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสงกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 อยู่ในระดับมากความเปน็ มาและความสาํ คัญของปัญหาการวิจัย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กําหนดให้วิทยาศาสตร์เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้หลักในโครงสร้างหลักสูตร โดยมีเป้าหมายในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและสร้างความเข้าใจว่า วิทยาศาสตร์เป็นท้ังความรู้และกระบวนการสืบเสาะความรู้ ดังน้ันผู้เรียนทุกคนควรได้รับการกระตุ้นส่งเสริมให้สนใจ และกระตอื รอื ร้นที่จะเรียนวิทยาศาสตร์ มีความสงสัย เกิดคําถามในสิ่งต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวกับโลกธรรมชาติรอบตัว มีความมุ่งม่ันและมีความสุขที่จะศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้ เพ่ือรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ผลนําไปสู่คําตอบของคําถาม สามารถตัดสินใจด้วยการใช้ข้อมูลอย่างมีเหตุผล สามารถสื่อสารคําถามคําตอบ ข้อมูลและสิ่งที่ค้นพบจากการเรียนรู้ให้ผู้อื่นเข้าใจได้ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิตความรู้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องราวเก่ียวกับโลกธรรมชาติซ่ึงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกคนจึงต้องเรียนรู้เพ่ือนาํ ผลการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตและการประกอบอาชีพ เมื่อผู้เรียนได้เรียนวิทยาศาสตร์โดยได้รับการกระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้น ท้าทายกับการเผชิญสถานการณ์หรือปัญหา มีการร่วมกันคิด ลงมือปฏิบัติจริง ก็จะเข้าใจและเห็นความเชื่อมโยงของวิทยาศาสตร์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นและชีวิต ทําให้สามารถอธิบาย ทํานาย
110 การประชุมทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพื่อเพิ่มคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาวิชาชีพ” คาดการณส์ ง่ิ ต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุผล ทําให้ประสบความสําเร็จในการเรียนวิทยาศาสตร์ มีความสนใจ มุ่งม่ันที่จะสังเกต ตรวจสอบ สืบค้นความรู้ที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจึงต้องสอดคล้องกับ สภาพจริงในชีวิต โดยใช้แหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลาย คาํ นึงถึงผู้เรียนท่ีมีวิธีการเรียนรู้ ความสนใจและความถนัด แตกตา่ งกัน (สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี 2553: 1) จากความสาํ คัญของวทิ ยาศาสตร์ และเปา้ หมายในการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ จึงเป็นส่ิงจําเป็น อย่างย่ิงที่ครูผู้สอนต้องพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความเข้าใจหลักการ ทฤษฏีที่เป็นพื้นฐาน ขอบเขต ธรรมชาติ ข้อจํากัดของวิทยาศาสตร์ และพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แต่จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดประทุมทายการาม สํานักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 ปรากฏว่า ปีการศึกษา 2555 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ย ร้อยละ 73.34 (โรงเรียนวัดประทุมทายการาม 2554: 3) ซ่ึงตํ่ากว่าเป้าหมายที่โรงเรียนกําหนด คือร้อยละ 75.00 และจากการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแต่ละหน่วยการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4 โรงเรยี นวัดประทมุ ทายการาม ปีการศึกษา 2555 ปรากฏว่า หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ระบบสุริยะ และพลังงานแสง ของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 มคี ะแนนเฉลยี่ ร้อยละ 72.74 ซงึ่ ตา่ํ กว่าหนว่ ยการเรยี นรู้อ่ืน ๆ และเป็นปัญหาต่อการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียน วัดประทุมทายการาม และจากการวิเคราะห์สาเหตุท่ีส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 มีสาเหตดุ งั น้ี 1. ด้านกระบวนการเรียนการสอน ครูไม่ได้มุ่งเน้นการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ และกระบวนการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ การสอนโดยรวมยังมุ่งเน้นเน้ือหา ไมเ่ นน้ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ การทดลองกิจกรรมทางวทิ ยาศาสตร์ ไมเ่ น้นกระบวนการให้ผ้เู รียนพฒั นาการคดิ 2. ด้านสอ่ื การสอน ครูไม่ได้ใชส้ ื่อการสอนอย่างหลากหลาย ส่ือการสอนไม่เหมาะสมขาดสื่อ อุปกรณ์ไม่ได้ ใช้ส่ือ การเรียนท่ีเปน็ เทคโนโลยีสมยั ใหม่ ครไู ม่มเี วลาพอในการผลิตสอื่ การสอน เพราะต้องรับภาระงาน 3. ดา้ นผเู้ รยี น ผู้เรยี นยังขาดความร้พู ้ืนฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ ขาดทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ขาดความสนใจในการเรียน และการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้การเรียนการสอนไม่บรรลุตามเป้าหมาย ของหลกั สตู ร นักเรยี นไม่สามารถนําความรวู้ ทิ ยาศาสตร์ไปสังเคราะห์และบรู ณาการความรตู้ า่ ง ๆ ได้ 4. นักเรียนผลิตผลงาน ช้ินงาน ไม่สอดส้องกับเป้าหมายและตัวช้ีวัดตามหลักสูตร กิจกรรมการเรียนรู้ ผลงาน ชน้ิ งาน และภารงานของนกั เรียนไม่สามารถประเมนิ ไดว้ ่า นักเรียนเกิดการเรียนรตู้ ามตัวช้วี ัดหรอื ไม่ จะเห็นได้ว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 หน่วยการเรียนท่ี 3 ระบบสุริยะและพลงั งานแสง ตํ่ากวา่ หน่วยการเรยี นรู้อื่น ๆ ไม่เป็นที่น่าพอใจ นักเรียนส่วนใหญ่มีความรู้ความสามารถ ในด้านการเรียนรู้แตกตา่ งกนั มาก จงึ ทําให้ผู้วจิ ยั สนใจท่จี ะพฒั นาชดุ กิจกรรม เพอ่ื ใหน้ กั เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข และสนองต่อความแตกตา่ งระหว่างบุคคล นอกจากนี้การเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมจะช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสูงขึ้น ตลอดจนจะเป็นการช่วยสนองต่อเจตนารมณ์ของหลักสูตรท่ีต้องการ พัฒนาให้นักเรียน คิดเป็น ทําเป็น และแก้ปัญหาเป็น เพ่ือส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียน (บุญเกื้อ ควรหาเวช. 2542: 91) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่สร้างขึ้น เพื่อใช้ประกอบ การจัดการเรียนรู้ ซึ่งผู้เรียนสามารถศึกษาได้ด้วยตนเองตามขั้นตอนท่ีระบุไว้ ตามศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน เป็นการพัฒนาสมรรถนะทางด้านการเรียนรู้ของผู้เรียนเพื่อให้บรรลุผลการเรียนรู้ที่คาดหวังของชุดกิจกรรมที่ได้ กําหนดไวโ้ ดยมคี รูเปน็ ผู้แนะนําหรอื คําปรึกษาเท่านนั้ (เบญจวรรณ ใจหาญ. 2550: 10) จากเหตุผลหลายประการท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น ทําให้ผู้วิจัยในฐานะครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มคี วามสนใจและมีแนวคิดท่ีจะพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนให้สอดคล้องกับนโยบายเร่งรัดพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ของโรงเรียน จงึ ไดส้ ร้างชุดกิจกรรมเรียนรู้อะไรทําอะไรได้ เร่ือง ระบบสุริยะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนรู้
การประชุมทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพอื่ เพมิ่ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 111วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 ประกอบด้วยชุดกิจกรรม จาํ นวน 8 เล่มซ่ึงเป็นกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ที่ทําให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติกิจกรรมการทดลองทางวิทยาศาสตร์ การผลิตชิ้นงาน ผลงานตามเป้าหมายและตัวชี้วัด ทําให้นักเรียนได้รับความรู้ ความเพลิดเพลิน รู้จักวิธีการเรียนด้วยตนเอง และเพ่ือเป็นประโยชนใ์ นการพฒั นาการเรียนการสอนและเปน็ แนวทางในการจัดการศกึ ษาตอ่ ไปวตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัย 1. เพื่อสร้างและพัฒนาการจัดกิจกรรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เร่ือง ระบบสุริยะและพลังงานแสงกล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 ให้มีประสทิ ธภิ าพ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้เร่อื ง ระบบสรุ ยิ ะและพลงั งานแสง กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 3. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 4นยิ ามศัพท์เฉพาะ 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ หมายถึง ส่ือการสอน ประเภทชุดกิจกรรมการเรียนรู้ สําหรับจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 จํานวน 8 เล่ม คือ เล่มท่ี 1 ระบบสุริยะ เล่มที่ 2 กําเนิดและการเคลื่อนท่ีของแสง เล่มท่ี 3ทําไมจงึ มองเห็น เลม่ ที่ 4 การมองเห็นแสงผ่านวัตถุตา่ ง ๆ เล่มท่ี 5 การสะทอ้ นของแสง เล่มท่ี 6 การหกั เหของแสงเล่มที่ 7 แสงขาวประกอบดว้ ยแสงสีใดบ้าง เลม่ ท่ี 8 การเปล่ยี นพลงั งานแสงเปน็ พลงั งานไฟฟา้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น หมายถึง คะแนนที่ได้จากนักเรียนทําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรือ่ ง ระบบสุรยิ ะพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 3. ความพงึ พอใจของนกั เรียน หมายถงึ คะแนนท่ไี ดจ้ ากการตอบแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้อะไร ทาํ อะไรได้ โดยใชม้ าตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั คือ เหน็ ด้วยมากท่ีสุด เหน็ ด้วยมากเหน็ ด้วยปานกลาง เหน็ ดว้ ยน้อย และเห็นดว้ ยน้อยทสี่ ดุแนวคดิ /ทฤษฎีท่ีเกีย่ วขอ้ ง การจดั กจิ กรรมเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เป็นการจดั การเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญโดยให้ผู้เรียนได้ลงมือทําดว้ ยตนเองในการศึกษาค้นคว้า ทดลอง สํารวจสืบค้นหาความรู้ การสร้างช้ินงาน ผลงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายและตัวชี้วัด ครูผู้สอนมีหน้าท่ีเป็นผู้สนับสนุนชี้แนะ ช่วยเหลือ ตลอดจนแก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึนในระหว่างการเรียนการสอน ซ่ึงใช้วิธีการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ การจัดกิจกรรมเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ประกอบดว้ ย 3 ขนั้ ตอน ดังน้ี ข้นั ท่ี 1 ปฏิบัตกิ จิ กรรม เปน็ การวางแผนกําหนดแนวทางการสํารวจตรวจสอบ ตั้งสมมติฐาน กําหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจทําได้หลายวิธีเชน่ ทาํ การทดลอง ทาํ กจิ กรรมภาคสนาม การใช้วัสดุ อุปกรณ์เพื่อสร้างสถานการณ์จําลอง (simulation) การศึกษาหาขอ้ มลู จากเอกสารอ้างอิงหรือจากแหล่งข้อมูลตา่ ง ๆ เพือ่ ใหไ้ ด้มาซง่ึ ขอ้ มลู อยา่ งเพยี งพอทจ่ี ะใชใ้ นข้นั ตอ่ ไป ข้นั ที่ 2 เรยี นรู้อะไร เป็นการนําความร้ทู ่ีได้จากการปฏิบัติกิจกรรม หรือสร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมหรือนําแบบจําลองหรือข้อสรุปที่ได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือเหตุการณ์อ่ืน ๆซงึ่ จะชว่ ยใหเ้ ช่อื มโยงกับเร่ืองต่าง ๆ และทําใหเ้ กิดความรกู้ วา้ งขวางขนึ้ ข้ันที่ 3 ทาํ อะไรได้ เป็นการนําเสนอผลทีไ่ ดใ้ นรปู ของชิ้นงาน ผลงาน ภาระงาน และออกแบบประดิษฐ์คิดค้นอย่างสร้างสรรคท์ ่มี คี ุณภาพ ทส่ี อดคล้องกับเปา้ หมายและตัวช้ีวัดสาํ หรบั ประเมนิ ผลการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น
112 การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจําปี 2557 “การวิจัยเพอ่ื เพิ่มคุณภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ”กรอบแนวคดิ การวจิ ยั ในการวิจัยผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รู้อะไร ทําอะไรได้ เร่ือง ระบบสุริยะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 มกี รอบแนวคิด ดังน้ี ตัวแปรอิสระ ตวั แปรตามกจิ กรรมการเรยี นรอู้ ะไร ทาํ อะไรได้ 1. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนเรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสง เร่อื ง ระบบสรุ ยะและพลงั งานแสงกลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2. ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัด ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 กจิ กรรมการเรยี นร้อู ะไร ทําอะไรได้วธิ ีดําเนินการวิจยั แบบแผนการวจิ ยั แบบแผนการวิจัย เป็นแบบกลุ่มเดียว วัดกอ่ นและหลงั การทดลอง ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนวัดประทุมทายการาม สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศกึ ษานครศรธี รรมราช เขต 4 ปีการศึกษา 2556 จํานวน 6 ห้องเรียน มนี กั เรียน 208 คน กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4/3 โรงเรียนวัดประทุมทายการาม สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 ปีการศึกษา 2556 จํานวน 37 คนได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม(Cluster random sampling) โดยกาํ หนดหน่วยเป็นหอ้ งเรียน แล้วจับสลากมา 1 ห้องเรียน เคร่ืองมอื ที่ใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 1. เครื่องมือท่ีใช้ในการทดลอง คือ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จํานวน 8 เล่ม ได้แก่ เล่มท่ี 1 ระบบสุริยะ เล่มที่ 2 กําเนิดและการเคล่ือนที่ของแสง เลม่ ท่ี 3 ทําไมจึงมองเห็น เล่มท่ี 4 การมองเห็นแสงผ่านวัตถุต่าง ๆ เล่มที่ 5 การสะท้อนของแสง เล่มที่ 6การหักเหของแสง เล่มที่ 7 แสงขาวประกอบด้วยแสงสีใดบ้าง และ เล่มท่ี 8 การเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้าท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นและหาคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ ทดลองหาประสิทธิภาพกับนักเรียน 1 คน นักเรียน 10 คน และทดลองภาคสนาม จํานวน จํานวน 33 คน 2. เครอื่ งมอื ทีใ่ ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ไดแ้ ก่ 2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง ระบบสุริยะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 จํานวน 30 ข้อ ผ่านการประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อสอบแต่ละข้อกับตัวชี้วัด และนําผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องโดยใช้สูตร IOC (กรมวิชาการ.2545: 83 - 84) ได้ค่า IOC ของข้อสอบตั้งแต่ .60 – 1.00 ทุกข้อ การตรวจสอบคุณภาพข้อสอบเป็นรายข้อโดยวิเคราะห์ความยากง่าย (P) และอํานาจจําแนก (r) ของข้อสอบโดยใช้เทคนิค 50% ผลการทดสอบพบว่าข้อสอบมคี า่ ความยากงา่ ยต้งั แต่ 0.20 – 0.80 และคา่ อํานาจจาํ แนกตง้ั แต่ 0.20 ข้นึ ไป ได้แบบทดสอบ จํานวน 30 ข้อและนําไปหาความเชือ่ มนั่ ของแบบทดสอบท้ังฉบับ ไดค้ ่าความเชื่อม่ันเท่ากับ 0.73 2.2 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบวัดชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ของลเิ คิร์ท (Likert) จาํ นวน 15 ข้อ มีค่าความเช่ือมน่ั เท่ากบั 0.83
การประชมุ ทางวิชาการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพ่ือเพม่ิ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 113 การเก็บรวบรวมข้อมลู 1. ให้นักเรยี นทําแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เร่อื ง ระบบสรุ ิยะและพลงั งานแสง กอ่ นจัดกิจกรรมการเรยี นรูอ้ ะไร ทําอะไรได้ ตรวจผลการสอบและเกบ็ คะแนนของแต่ละคนไว้ 2. จัดกิจกรรมการเรียนร้โู ดยใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เร่ือง ระบบสุริยะและพลังงานแสงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่าง วันที่ 2 กรกฎาคม 2556 - 5 ตุลาคม 2556โดยใชเ้ วลาในการทดลอง 20 ชัว่ โมง 3. ให้นกั เรยี นทําแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เร่อื ง ระบบสุรยิ ะและพลังงานแสง หลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสง (Post - test) ซึ่งเป็นแบบทดสอบชุดเดียวกับที่ใช้ทดสอบกอ่ นการจดั กิจกรรม ตรวจผลการทดสอบและเกบ็ คะแนนของแต่ละคนไว้ 4. ให้นักเรียนทําแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้เรือ่ ง ระบบสุรยิ ะและพลงั งานแสง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 4 5. นาํ คะแนนท่นี กั เรียนทําแบบทดสอบหลังเรยี นและแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน มาวิเคราะห์เพ่ือหาประสิทธิภาพของการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้อะไร ทาํ อะไรได้ 6. นาํ คะแนนจากการทาํ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไรทาํ อะไรได้ มาวเิ คราะห์เพอื่ เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น 7. นําคะแนนท่ีนักเรียนทําแบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้มาวเิ คราะหเ์ พอ่ื ศึกษาความพงึ พอใจ การวเิ คราะห์ข้อมลู 1. หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสงโดยวิเคราะห์ประสิทธภิ าพ 80/80 2. เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนก่อนและหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เร่ือง ระบบสุริยะและพลงั งานแสง โดยใช้สถิติ t – test แบบ dependent 3. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสง โดยใช้สถิติพื้นฐานสรุปผลการวจิ ัย 1. การจัดการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เร่ือง ระบบสุริยะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4 มีประสิทธภิ าพ 84.80/85.41 สงู กวา่ เกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 2. ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. นักเรยี นมีความพึงพอใจตอ่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสงกลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ในระดบั มากอภปิ รายผลการวิจยั จากการวิเคราะห์ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เร่ือง ระบบสุริยะและพลังงานแสงกลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 อภิปรายผลได้ ดงั น้ี 1. ผลการหาประสิทธภิ าพของการจัดกิจกรรมการเรยี นรูอ้ ะไร ทําอะไรได้ เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสงกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ปรากฏว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้
114 การประชมุ ทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557 “การวิจัยเพื่อเพ่ิมคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชพี ” เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 มีประสิทธิภาพ 84.80/85.41 สูงกวา่ เกณฑ์ 80/80 ทก่ี ําหนดไว้ ซึ่งมีสาเหตุมาจาก ผู้วิจัยได้สร้างและพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ อย่างมรี ะบบตามกระบวนการพัฒนาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเริ่มต้ังแต่ศึกษาหลักสูตร ศึกษาวธิ ีการสร้างชุดกิจกรรม การเลือกและวิเคราะห์เน้ือหา การกําหนดหน่วยการสอน หัวเร่ือง กิจกรรมท่ีปฏิบัติ เวลาท่ีใช้ ส่ิงเหล่านี้ช่วยให้ผู้เรียนได้ครบทั้งกระบวนการ ซึ่งสอดคล้องกับขั้นตอนการสร้างชุดกิจกรรมของ สุวทิ ย์ มูลคาํ และอรทยั มูลคํา (2545: 54) นอกจากน้ีได้นําชุดกิจกรรมท่ีสร้างขึ้นไปให้ผู้เช่ียวชาญ จํานวน 5 คน พิจารณาตรวจสอบและนําไปทดลองใช้กับนักเรียน 3 คน นักเรียน คน 10 คน และทดลองภาคสนาม แล้วนําข้อมูล มาปรับปรุงแก้ไข และผลการศึกษาครั้งนี้ยังสอดคล้องกับผลการศึกษาของสุรีย์ โทนทอง (2554: บทคัดย่อ) ที่ได้พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 7E กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การดํารงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สําหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการศึกษาส่วนหนึ่งพบว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ เรื่อง การดํารงพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.91/82.22 ซง่ึ สงู กว่าเกณฑม์ าตรฐานท่ตี ั้งไว้ คือ 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เรื่อง ระบบสุริยะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ทีร่ ะดบั .01 ท้งั น้ีเนื่องมาจากการจัดกิจกรรมโดยใช้ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เป็นการจัดประสบการณ์เน้นให้นักเรียน เป็นผูล้ งมือปฏบิ ัตกิ ารแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง และเม่ือปฏิบัติกิจกรรมครบ มีการให้นักเรียนผลิตผลงาน ช้ินงาน ซึ่งช่วยให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นที่จะวัดผลความรู้ของตนเองและมีความสนใจในการเรียนมากขึ้น และการศึกษาครั้งนี้ สอดคล้องกับผลการศึกษาของ นันทกา บินตาฮี (2551: 56) ที่ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์ และความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ ด้วยชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่ามีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สําคญั ทางสถติ ิท่รี ะดับ .01 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจดั กิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ เร่ือง ระบบสุริยะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 ในระดับมาก ( =4.55, S.D. = 0.45) ทั้งนี้เน่ืองมาจาก ชดุ กิจกรรมการเรียนร้อู ะไร ทําอะไรได้ ทีพ่ ัฒนาขึน้ มกี ระบวนการ ขั้นตอน ในการจดั การเรยี นรูท้ ่เี หมาะสม โดยให้ นักเรียนได้เรียนตามความถนัด และความสนใจของตนเอง ได้แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ส่งเสริมความสามารถ รายบุคคล ส่งเสริมการทํางานกลุ่ม การสร้างช้ินงาน และผู้เรียนเรียนอย่างมีความสุข และการศึกษาครั้งนี้ ยังสอดคล้องกับการศึกษาของ บุญมา บุญศิริ (2552: บทคัดย่อ) ที่ได้ศึกษาผลการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เร่ือง การดํารงชีวิตของพืช สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการศึกษา ส่วนหน่งึ พบวา่ นักเรียนมีความพงึ พอใจต่อชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์อยใู่ นระดบั มาก ขอ้ เสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะในการนาํ ผลการวจิ ยั ไปใช้ 1. การศกึ ษาค้นคว้าคร้ังนี้ พบว่าการจดั กิจกรรมการเรยี นร้อู ะไร ทาํ อะไรได้ เร่ือง ระบบสรุ ยิ ะและพลังงานแสง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ทําให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึน และนักเรียนมีความพอใจต่อการเรียน ดังน้ันครูผู้สอนวิทยาศาสตร์สามารถนํารูปแบบการสอนดังกล่าว ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรียน 2. การการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้ ท่ีมีประสิทธิภาพ ควรทําการวิเคราะห์หลักสูตรให้ชัดเจน วา่ นักเรยี นรู้อะไร และทําอะไรได้ การศกึ ษาเอกสาร การค้นควา้ หาความรูเ้ พ่ิมเติมตลอดเวลา
การประชมุ ทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพ่อื เพมิ่ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 115 ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั คร้ังต่อไป 1. ควรพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ รู้อะไร ทําอะไรได้ โดยเลือกเนื้อหาให้เหมาะสมในทุกระดับชั้น เพื่อฝึกให้นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และความคิดสร้างสรรค์ของักเรยี น 2. ควรมีการศึกษาความคงทนของความรู้ของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้อะไร ทําอะไรได้เพอ่ื สนับสนุนประสิทธิภาพของการจัดกจิ กรรมการเรยี นร้รู ูปแบบน้ีรายการอา้ งอิงนันทกา บินตาฮ.ี (2551). การศึกษาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ และความคิดสรา้ งสรรค์ ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ท่ไี ดร้ ับการจดั การเรยี นรดู้ ้วยชุดกิจกรรม วทิ ยาศาสตร.์ สารนิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต. กรงุ เทพ ฯ: มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ.เน้อื ทอง นายี.่ (2544). ผลการใชช้ ดุ กิจกรรมทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรก์ บั การสอนโดยครเู ป็นผู้สอน และความสนใจทางวิทยาศาสตรข์ องนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1. ปริญญานิพนธ์การศึกษา มหาบัณฑิต กรุงเทพ ฯ: มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ.บุญเกอ้ื ควรหาเวช. (2542). นวตั กรรมการศึกษา. (พิมพค์ ร้ังท่ี 4) กรุงเทพ ฯ: เอส อาร์ พริน้ ต้ิ.บุญมา บญุ ศิร.ิ (2552). รายงานผลการใชช้ ดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เรอ่ื ง การดาํ รงชีวิตของพชื สําหรบั นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4. โรงเรยี นวัดพระประทานพร อําเภอศรีราชา จงั หวัดชลบุรี.เบฐจวรรณ ใจหาญ. (2550). การศึกษาผลของการจดั กจิ กรรมดว้ ยชดุ ฝกึ ทกั ษะการจดั การความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นและทักษะการนําเสนอความรู้ทางวทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษา ปที 2่ี . สารนพิ นธ์ การศกึ ษามหาบณั ฑิต (การมธั ยมศึกษา) กรุงเทพ ฯ: มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ.พูลทรพั ย์ โพธสิ์ .ุ (2546). การพัฒนาชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์ เร่ือง พชื และสตั ว์ ในสาระที่ 1 ส่งิ มีชวี ิต กบั กระบวนการดํารงชีวติ สาํ หรบั นักเรยี นชว่ งชน้ั ที่ 2. วทิ ยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑติ กรงุ เทพ ฯ: มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ ประสานมติ ร.วโิ รจน์ แสนคาํ ภา. (2550). การเปรียบเทยี บทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6. วทิ ยานพิ นธ์ปริญญาครศุ าสตรมหาบัณฑติ . เลย: มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเลย.วิชาการ, กรม.(2545). คมู่ อื หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ พุทธศกั ราช 2544 ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2. กรงุ เทพ ฯ: คุรสุ ภาลาดพรา้ ว.สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลย.ี (2553). คูม่ อื ครู รายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3. กรุงเทพ ฯ: โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว.สมฤทยั รจุ ริ าวโรดม. (2547). การศกึ ษาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนและความสามารถด้านการประชาสมั พนั ธ์ ทางวิทยาศาสตร์ ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ท่ีเรยี นร้จู ากชดุ การเรียนดว้ ยกระบวนการ ประชาสมั พันธท์ างวทิ ยาศาสตร์. ปรญิ ญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต (การมัธยมศึกษา) กรุงเทพ ฯ: มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒประสานมติ ร.สุมนฑา พรหมบุญ, และคนอนื่ ๆ. (2541). การปฏริ ปู การเรยี นรตู้ ามแนวคิด 5 ทฤษฎ.ี กรงุ เทพฯ. ไอเดีย สแควร์.สุรีย์ โทนทอง. (2544). การพฒั นาชุดกิจกรรมการเรยี นรแู้ บบ 7E กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ เรื่อง การดาํ รงพนั ธุข์ องสงิ่ มีชวี ิต สําหรบั นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 5. โรงเรียนอนุบาลอตุ รดติ ถ์ สาํ นกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาอุตรดติ ถ์ เขต 1.สวุ ทิ ย์ มูลคํา และอรทัย มลู คํา. (2545). 20 วธิ ีจดั การเรียนรู้. กรงุ เทพ ฯ: ภาพพิมพ.์
116 การประชมุ ทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ัยเพ่ือเพม่ิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชีพ”ผลงานวจิ ัย การพฒั นารปู แบบการสอนด้วยบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนและการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา เพือ่ เสริมสรา้ งการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณและผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของนักศึกษาผ้วู จิ ยั ระดับช้ันประกาศนยี บัตรวิชาชพี ชั้นสูงปที ่วี จิ ัย นายวรวฒั น์ บุญดี 2556 บทคัดยอ่ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา เพ่ือเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณและผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักศึกษาระดับช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง และ 2) ศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา การวิจัยแบ่งเป็น 3 ข้ันตอน คือ ขั้นตอนท่ี 1การศกึ ษารวบรวมขอ้ มลู วเิ คราะห์ และสังเคราะห์ข้อมลู เบื้องต้น ขั้นตอนท่ี 2 พัฒนารูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา และ ขั้นตอนที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้ คือนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปีที่ 1 แผนกวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และแผนกวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลัยเทคนิคยโสธร ท่ีลงทะเบียนเรียนวิชาโปรแกรมโครงสร้าง 1 ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2556จํานวน 64 คน ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เคร่ืองมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล มีดังนี้1) รูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา 2) แบบทดสอบวัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน สว่ นสถิตทิ ใี่ ชท้ ดสอบสมมตุ ิฐาน คือ Independent Samples t - test ผลการวิจยั พบวา่ 1. รูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหาเพื่อเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง ประกอบด้วย ดังนี้ 1) รูปแบบการสอน มี 7 องค์ประกอบ คือ (1) วัตถุประสงค์ (2) บทบาทผู้สอน(3) บทบาทผู้เรยี น (4) วิธกี ารสอน (5) บทบาทคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (6) บทบาทผู้เชี่ยวชาญ และ (7) ประเมินผล2) วิธีการจัดการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มี 6 ขั้น คือ (1) ปฐมนิเทศ (2) ประเมินก่อนเรียน(3) นําเข้าสู่บทเรียน (4) ศึกษาเน้ือหา (5) สรุปปัญหา และเนื้อหาจากการเรียนรู้ และ (6) ประเมินหลังเรียน และ3) วิธีการจัดการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา มี 7 ขั้น คือ (1) พบกลุ่ม (2) ระบุปัญหา (3) รวบรวมข้อมูล(4) วางแผนแกป้ ญั หา (5) ดาํ เนนิ การแกป้ ญั หา (6) ประเมนิ ผล และ (7) สรุปผล 2. กลุ่มทดลองมีการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสําคัญทางสถติ ิทีร่ ะดับ .05
การประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพอื่ เพม่ิ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 117ความเป็นมาและความสําคัญของปญั หาการวิจัย ปัจจุบันเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนองต่อรูปแบบการดําเนินชีวิของคนเราให้ได้รับความสะดวกสบายทุกดา้ นมากข้นึ จึงทําให้สถานศึกษามีความจําเป็นต้องผลิตและพัฒนาบุคลากรทางด้านคอมพิวเตอร์ให้มีความรู้ ความสามารถในการจัดการระบบคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ วิทยาลัยเทคนิคเป็นสถานศึกษาท่ีสังกัดสํานักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ที่จัดการเรียนการสอนทางด้านคอมพิวเตอร์ให้กับเยาวชนเพื่อให้สามารถเปน็ กําลงั คนออกบริการรับใช้สังคมทางด้านคอมพิวเตอร์ได้อย่างต่อเน่ือง เมื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีการพฒั นาอยู่ตลอดเวลา จงึ ทําให้สถานศกึ ษาต้องพัฒนาวิธีจัดการเรียนการสอน หรือรูปแบบการสอนอย่างต่อเน่ืองเพอื่ ให้สามารถผลิตกําลงั คนให้มีคุณลักษณะท่ีสอดคล้องกับการพัฒนาของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ดังนั้น การผลิตกาํ ลังคนให้มีความรู้ ความสามารถทางด้านคอมพวิ เตอรใ์ หเ้ ปน็ ท่ตี ้องการของสังคมนั้น วิทยาลัยเทคนิคจึงจําเป็นต้องพฒั นาทั้งหลกั สตู รและวิธกี ารจัดการเรยี นการสอนรายวชิ า การจดั การสอนในรายวิชา 3128 - 1003 โปรแกรมโครงสร้าง 1 วิทยาลัยเทคนิคยโสธร จะใช้วิธีสอนด้วยการบรรยายประกอบส่ือ PowerPoint และการปฏิบัติการเขียนโปรแกรมภาษาซี จึงเป็นวิธีการสอนที่นักศึกษาต้องใช้เวลามากเพ่ือทําความเข้าใจเน้ือหาวิชา หรือบางคนไม่สามารถทําความใจเน้ือหาท่ีเรียนในเวลาเรียนท่ีจํากัดในห้องเรียน เน่ืองจากการเขียนโปรแกรมภาษาซี เป็นวิชาท่ียาก จึงทําให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ํา นอกจากน้ีการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะต้องใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และสร้างสรรค์ (สํานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา. 2556: Unpaged) ซงึ่ เป็นปัญหาที่เกดิ ข้นึ กับผเู้ รียน เนอ่ื งจากวธิ ีการสอนไม่ได้เสริมสรา้ งความสามารถในการคดิ แก้ปัญหาอย่างสมเหตสุ มผล หรอื กระบวนการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ การพัฒนารูปแบบการสอนเพื่อให้สามารถพัฒนาคุณภาพผู้เรียนท้ังด้านความรู้และกระบวนการคิดจะตอ้ งใช้ยทุ ธวธิ ีการสอนท่ีมีความเหมาะสม มีสื่อเทคโนโลยี และใช้องค์ประกอบพื้นฐานในการจัดการเรียนการสอนท่ีครอบคลุม จึงจะสามารถพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาให้มีประสิทธิภาพที่สูงข้ึน เหมาะกับบริบทของผู้เรียน และเหมาะกับบริบทสถานศึกษา ด้วยวิธีการนําเทคโนโลยีมัลติมีเดียมาจําลองเหตุการณ์เก่ียวกับเน้ือหาวิชาก็จะทําให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาบทเรียนได้ง่ายขึ้น การพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีองค์ประกอบ คือ วิธีสอน สื่อการสอน และบรรยากาศในการเรียนการสอน โดยปัจจัยย่อยท่ีมีค่าขนาดอิทธิพลต่อทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณสูงสุด คือ วิธีสอน (ณัชชา มหปุญญานนท์. 2554: 185)ผู้วจิ ัยจึงไดน้ าํ เอาบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน และวิธกี ารสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา มาเป็นฐานเพื่อพัฒนารปู แบบการสอนในลาํ ดบั ต่อไปวัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย 1. เพอื่ พฒั นารูปแบบการสอนดว้ ยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหาเพือ่ เสรมิ สร้างการคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณและผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนักศกึ ษาระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชพี ชั้นสูง 2. เพื่อศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา เพื่อเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดบั ชนั้ ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชัน้ สงูนยิ ามศพั ท์เฉพาะ 1. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง บทเรียนคอมพิวเตอร์ ที่ประกอบด้วยส่ือมัลติมีเดีย ท่ีมีเนื้อหาเก่ยี วกบั โปรแกรมภาษาซี ในรายวชิ า 3128 - 1003 โปรแกรมโครงสร้าง 1 ตามหลักสตู รประกาศนยี บตั รวิชาชีพชนั้ สงูพทุ ธศักราช 2546 ของสํานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่ผวู้ จิ ัยพฒั นาข้ึน 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความเข้าใจ เนื้อหาวิชา ที่เกิดข้ึนกับผู้เรียน หลังจากได้เรียนรู้ตามวิธีที่ผู้วจิ ยั กาํ หนด วัดได้ดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน ที่ผู้วิจัยสรา้ งข้นึ
118 การประชุมทางวิชาการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพอ่ื เพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชีพ” 3. การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ หมายถึง กระบวนการคิดทีร่ อบคอบ รอบดา้ นอย่างกว้างขวาง อยา่ งสมเหตสุ มผล สามารถตดั สินใจ หรอื แก้ปญั หาได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งมีองค์ประกอบการประเมิน ดังนี้ (1) ความสามารถ ในการนิยามปัญหา (2) ความสามารถในการเลือกข้อมูลท่ีเก่ียวข้องกับปัญหา (3) ความสามารถในการตระหนักใน ขอ้ ตกลงเบ้อื งตน้ (4) ความสามารถในการคัดเลอื กสมมตุ ิฐาน และ (5) ความสามารถในการสรุปอย่างสมเหตุสมผล วัดไดจ้ ากแบบทดสอบวัดการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ ทผ่ี วู้ ิจัยสร้างข้ึน 4. กลุ่มทดลอง หมายถึง นักศึกษาท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่าง จํานวน 32 คน โดยจัดให้เรียนเป็นกลุ่มย่อย จํานวน 8 กลุ่ม ในหนึ่งกลุ่มย่อยมีสมาชิก 4 คน (จากกลุ่มความสามารถทางการเรียนสูง 1 คน กลุ่มปานกลาง 2 คน และกลุ่มตํ่า 1 คน) จัดให้เรียนรู้ตามวิธีการของรูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและการสอน แบบกระบวนการแกป้ ญั หา ทผี่ ูว้ ิจยั พัฒนาข้นึ 5. กลุ่มควบคุม หมายถึง นักศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จํานวน 32 คน การจัดให้เรียนรู้แบบรายบุคคล ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เม่ือเรียนจบแต่ละหน่วยจะไม่มีกิจกรรมพบกลุ่ม จะมีเพียงการมอบหมายงาน ให้ทาํ สง่ เป็นรายบุคคล และการทดสอบหลังเรียน 6. การเรยี นรู้ตามรปู แบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนและการสอนแบบกระบวนการแกป้ ญั หา หมายถึง วิธีการจัดให้ผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยละ 4 คน แยกกันเรียนรู้แบบรายบุคคลตามวิธีการสอนด้วยบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เมื่อเรียนจบแต่ละหน่วย ก็จะนําสาระการเรียนรู้ ประเด็นปัญหาที่ได้รับจากบทเรียน มาพบกลุ่ม เพอ่ื เรียนรตู้ ามวธิ ีการสอนแบบกระบวนแก้ปญั หา แลว้ ผสู้ อนจะมอบหมายงานให้ทาํ สง่ ทั้งรายบุคคลและรายกลมุ่ แนวคดิ /ทฤษฎที เี่ กี่ยวขอ้ ง การวิจัย เรื่อง การพัฒนารูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และการสอนแบบ กระบวนการแก้ปัญหา เพ่ือเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา ระดบั ช้นั ประกาศนยี บัตรวชิ าชีพชน้ั สงู ผู้วิจยั ไดศ้ ึกษาเอกสาร แนวคิด และทฤษฎที ่เี กยี่ วขอ้ ง ดงั น้ี 1. รปู แบบการสอน เป็นโครงสรา้ งของการจัดการเรียนการสอนที่ได้ออกแบบไว้อย่างเป็นระเบียบ ที่สอดคล้อง ตามหลักปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิดหรือความเช่ือต่าง ๆ ที่ประกอบด้วย กระบวนการหรือขั้นตอนสําคัญ ในการเรียนการสอนท่ชี ว่ ยใหผ้ ู้เรียนบรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ โดยศกึ ษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์องค์ประกอบของรูปแบบ จากนักการศึกษาได้สรรสร้างไว้ (Gerlach และ Ely. 1971: 57; Kemp. 1985: 1 - 10; Klausmeier และ Ripple. 1971: 11; Reiser และ Dick. 1996: 4; จันทร์เพ็ญ เชื้อพานิช. 2544: 15 - 20) ได้ 7 องค์ประกอบ คือ 1) วัตถุประสงค์ 2) บทบาทผู้สอน 3) บทบาทผู้เรียน 4) วิธีการสอน 5) บทบาทคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 6) บทบาท ผู้เช่ยี วชาญ และ 7) ประเมนิ ผล 2. วิธีจัดการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Alessi & Trollip. 1991: 267; บุญเกื้อ ควรหา เวช. 2543: 70 - 71; วสันต์ อติศัพท์. 2530: 19 – 27; มนต์ชัย เทียนทอง. 2543: 96 - 101) มี 6 ขั้น คือ 1) ปฐมนิเทศ 2) ประเมินก่อนเรียน 3) นําเขา้ สบู่ ทเรยี น 4) ศึกษาเน้ือหา 5) สรุปปัญหา และเน้ือหาจากการเรียนรู้ และ 6)ประเมินหลงั เรียน 3. วิธีจัดการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา (Polya. 1957: 23 - 29; Dewey. 1975; Sdorow. 1993: 362; ทศิ นา แขมมณี. 2548: 312 - 313; สํานักเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. 2550: 4) มี 7 ขน้ั คอื 1) พบกลุม่ 2) ระบปุ ญั หา 3) รวบรวมขอ้ มูล 4) วางแผนแกป้ ัญหา 5) ดาํ เนนิ การแกป้ ญั หา 6) ประเมินผล และ 7) สรปุ ผล 4. การวัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Dressel and Mayhew. 1957; ณัชชา มหปุญญานนท์. 2554: 30) ประกอบด้วยการวัด 5 ด้าน คือ 1) ด้านความสามารถในการนิยามปัญหา 2) ด้านความสามารถในการเลือกข้อมูล ท่ีเกี่ยวข้องกับปัญหา 3) ด้านความสามารถในการตระหนักในข้อตกลงเบื้องต้น 4) ด้านความสามารถในการคัดเลือก สมมตฐิ าน และ 5) ด้านความสามารถในการสรปุ อยา่ งสมเหตุสมผล
การประชุมทางวิชาการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพือ่ เพม่ิ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 119กรอบแนวคิดการวจิ ัยการสอนดว้ ยบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน การสอนแบบกระบวนการแกป้ ัญหาAlessi & Trollip(1991: 267); บญุ เกอื้ ควรหาเวช Polya (1957: 23 - 29); Dewey (1975); Sdorow(2543: 70 - 71); วสันต์ อติศพั ท์ (2530: 19 – 27); (1993: 362); ทิศนา แขมมณี (2548: 12 - 313);มนตช์ ัย เทียนทอง (2543: 96 - 101) สํานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา (2550: 4 - 5)1. ปฐมนิเทศ 2. ประเมินก่อนเรียน 1. พบกลุม่ 2. ระบุปญั หา3. นาํ เข้าสู่บทเรียน 4. ศกึ ษาเนอื้ หา 3. รวบรวมขอ้ มูล 4. วางแผนแกป้ ัญหา5. สรุปปัญหา 6. ประเมินหลังเรียน 5. ดาํ เนนิ การแก้ปญั หา 6. ประเมินผล 7. สรุปผลรูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน - การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณและการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา เพ่ือเสริมสร้าง - ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นการคิดอย่างมีวิจารณญาณและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนกั ศกึ ษาระดับชน้ั ประกาศนยี บัตรวิชาชีพชั้นสูง ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคดิ ของการวจิ ัยวิธดี ําเนนิ การวิจัย สําหรับการวิจัย เรื่อง การพัฒนารูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา เพ่ือเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ผูว้ ิจยั ไดอ้ อกแบบกระบวนการวจิ ยั มี 3 ขนั้ ตอน คือ ขน้ั ตอนท่ี 1 การศึกษารวบรวมข้อมูล วเิ คราะห์ และสังเคราะห์ขอ้ มลู เบ้อื งต้น ดาํ เนนิ การดังนี้ 1. การศกึ ษาเอกสาร หลกั การ แนวคดิ และงานวิจยั ทีเ่ ก่ยี วข้อง ผู้วจิ ัยดําเนนิ การ ดงั น้ี 1.1 ศึกษาวิธีการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Alessi & Trollip. 1991: 267;บุญเกื้อควรหาเวช. 2543: 70 - 71; วสันต์ อติศัพท์. 2530: 19 – 27; มนต์ชัย เทียนทอง. 2543: 96 - 101) เพื่อนํามาวิเคราะห์และสังเคราะห์ วธิ กี ารสอนด้วยบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน 1.2 ศึกษาวิธีการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา (Polya. 1957: 23 - 29; Dewey. 1975;Sdorow.1993: 362; ทิศนา แขมมณี. 2548: 312 - 313; สํานักเลขาธิการสภาการศึกษา. 2550: 4) เพื่อนํามาวิเคราะห์และสังเคราะห์วิธกี ารสอนแบบกระบวนการแก้ปญั หา 2. สัมภาษณ์ครูท่ีสอนคอมพิวเตอร์ ของสถานศึกษาที่สังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดยโสธร จํานวน 10 คนคอื วิทยาลยั เทคนคิ ยโสธร จํานวน 5 คน วิทยาลัยอาชีพเลิงนกทา จํานวน 3 คน และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยียโสธร จาํ นวน 2 คน เครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู คือ แบบสมั ภาษณแ์ บบมโี ครงสร้าง ผลการสัมภาษณ์ พบว่า 1) นักศึกษาท่ีเรียนคอมพิวเตอร์ ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณมีค่าในระดับตํ่า 2) วิธีการจัดการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 6 ข้ัน มีความเหมาะสม และ 3) วิธีการจดั การสอนแบบกระบวนการแก้ปญั หา 7 ขัน้ เหมาะสมกบั บริบทผูเ้ รยี นและสถานศกึ ษา
120 การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพ่ือเพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวชิ าชพี ” 3. การศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาความคิดเห็น คือ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรมในภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2556 ของสถานศึกษาท่ีสังกัดอาชวี ศกึ ษาจงั หวัดยโสธร กาํ หนดโดยใช้ตาราง Krejcieand Morgan (บุญชม ศรีสะอาด. 2543: 40) กลุ่มตัวอย่าง จํานวน 254 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง(Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับมีปลายเปดิ ผลการศกึ ษา ดงั ตาราง 1ตาราง 1 แสดงความคิดเหน็ ของนกั ศึกษาทมี่ ตี ่อความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ การเรียนร้ดู ว้ ยบทเรียน คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน และการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ ขอ้ คําถาม S.D. ระดับ ความคิดเหน็1. ด้านการใช้งานคอมพวิ เตอร์2. ด้านการเรียนดว้ ยบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน 4.37 1.07 มาก3. ด้านการเรียนแบบกระบวนการแก้ปญั หา4. ดา้ นการคดิ อย่างมีวิจารณญาณ 4.19 1.01 มาก 4.45 1.01 มาก 4.43 0.98 มากโดยรวม 4.21 1.01 มาก ข้ันตอนท่ี 2 พฒั นารูปแบบการสอนด้วยบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน และการสอนแบบกระบวนการแกป้ ัญหา มดี ังนี้ 1. ศึกษาและรวบรวมข้อมูล ระบบการสอน และรูปแบบการสอน (Gerlach และ Ely. 1971: 57; Kemp. 1985:1 - 10; Klausmeier และ Ripple. 1971: 11; Reiser และ Dick. 1996: 4; จันทรเ์ พญ็ เช้อื พานิช. 2544: 15 - 20) 2. วิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ประกอบของรูปแบบ และการสร้างกิจกรรมการเรียนการสอน เชื่อมโยงองค์ประกอบของรูปแบบที่บทบาทมีความสัมพันธ์กนั จึงได้รปู แบบการสอนท่ี ตน้ แบบ 3. นํารูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหาต้นแบบไปเสนอผู้เช่ียวชาญ 5 ทา่ น ท่มี วี ุฒิการศึกษาต้ังแต่ปริญญาโทข้ึนไป ทางด้านวัดผลการศึกษา 1 ท่าน ด้านเทคโนโลยีการศึกษา 1 ทา่ น และดา้ นหลักสูตรและการสอน 1 ท่าน และด้านเนื้อหา 2 ท่าน เพ่ือพิจารณาประเมินความเหมาะสมและขอคําแนะนํา มาปรับปรงุ แก้ไขรปู แบบการสอนใหม้ ีความสมบรู ณ์ย่งิ ขนึ้ ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและการสอนแบบกระบวนการแกป้ ญั หาตน้ แบบ ของผเู้ ชยี่ วชาญ 5 ท่าน อยูใ่ นระดับมาก ขั้นตอนท่ี 3 การทดลองใชร้ ปู แบบการสอนดว้ ยบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอนและการสอนแบบกระบวนการแก้ปญั หา ดําเนินการ ดังน้ี 1. แผนการทดลองตามแบบ Randomized Control - Group Pretest - Posttest Design มีลักษณะการทดลอง ดังน้ี กล่มุ สอบกอ่ น ทดลอง สอบหลงั E R T1 X T2 C R T1 - T2
การประชมุ ทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพื่อเพม่ิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 121 สัญลกั ษณ์ทใ่ี ชใ้ นแผนการทดลอง E คอื กลุ่มทดลอง (Experimental Group) C คอื กล่มุ ควบคุม (Control Group) R คือ การกาํ หนดกลุ่มตัวอยา่ งแบบสมุ่ (Random Assignment) X คอื การจดั กระทํา (Treatment) T1 คอื การทดสอบก่อนทีจ่ ะจัดกระทาํ (Pre - test) T2 คือ การทดสอบหลงั จากทีจ่ ดั กระทํา (Post - test 2. ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่างทีใ่ ช้ในการวจิ ัย มดี งั นี้ 2.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในขั้นตอนนี้ คือ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงแผนกวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และแผนกวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลัยเทคนิคยโสธร ท่ีลงทะเบียนเรียนในรายวชิ าโปรแกรมโครงสรา้ ง 1 จาํ นวน 123 คน ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2556 2.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้วิจัยในข้ันตอนน้ี คือ นักศึกษาระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชั้นสูงปีที่ 1แผนกวิชาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และแผนกวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลัยเทคนิคยโสธร ท่ีลงทะเบียนเรียนในรายวิชาโปรแกรมโครงสร้าง 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 จํานวน 64 คน ได้จากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม(Cluster Random Sampling) โดยจดั ใหเ้ ป็นกลุ่มทดลอง 32 คน และกลุ่มควบคมุ 32 คน 3. เคร่ืองมือท่ีใช้เก็บรวบรวมข้อมูล มีดังนี้ 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชาโปรแกรมโครงสร้าง 1ภาษาซี 2) แบบทดสอบวดั การคิดแบบมีวิจารณญาณ 3) แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น 4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ผู้วิจัยดาํ เนินการ ดังนี้ 1) วัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม2) ดาํ เนินการทดลองโดยจัดกลุ่มทดลองใหเ้ รยี นร้ตู ามวิธกี ารในรูปแบบการสอนที่ผู้วิจัยพัฒนาข้ึน ส่วนกลุ่มควบคุมให้เรียนรู้แบบรายบุคคลด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ผู้วิจัยพัฒนาข้ึน เมื่อเรียนจบแต่ละหน่วยท้ังกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมจะมีการมอบหมายงานให้ทําส่งผู้สอนและทดสอบหลังเรียน 3) ส้ินสุดการทดลองท้ังกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียน 5. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล ดําเนินการ ดงั นี้ 5.1 การวิเคราะห์ข้อมลู หาคณุ ภาพเคร่ืองมอื วิจยั มีดังน้ี 5.1.1 วิเคราะห์ประสทิ ธิภาพบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน ตามเกณฑ์ E1/E2 (80/80) 5.1.2 วิเคราะห์คุณภาพแบบสอบถาม อํานาจจําแนกใช้ Item Total Correlation และการวิเคราะห์ค่าความเช่ือมั่นใช้วธิ ีสมั ประสทิ ธ์อิ ัลฟา ของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) 5.1.3 วิเคราะห์คุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบทดสอบวัดการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ ใชว้ ิเคราะหค์ วามยากง่าย (P) วิเคราะห์อํานาจจาํ แนก (D) และวเิ คราะห์ความเชือ่ มน่ั ใช้วิธี KR - 20 5.2 วิเคราะห์ขอ้ มลู ทเี่ ก็บรวบรวมได้ มดี งั นี้ 5.2.1 วิเคราะห์ข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมได้จากการใช้แบบสอบถาม ใช้สถิติพื้นฐานที่ใช้ คือ ร้อยละคา่ เฉลยี่ และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน 5.2.2 การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ระหว่างกลุ่มทดลองกับกล่มุ ควบคุม สถิติทีใ่ ช้ คอื Independent Simples t – test
122 การประชุมทางวชิ าการของครุ ุสภา ประจําปี 2557 “การวจิ ัยเพ่ือเพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ”สรปุ ผลการวจิ ัย 1. รูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา เพ่ือเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณและผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักศึกษาระดับช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงทีผ่ ู้วิจัยพัฒนาขน้ึ ดังภาพประกอบ 2 บทบาทผสู้ อน วธิ ีการสอน วตั ถปุ ระสงค์ บทเรียนคอมพวิ เตอร์ กระบวนการแก้ปญั หา บทบาทผู้เรียน ช่วยสอน 1. พบกลุ่มบทบาทคอมพวิ เตอร์ 2. ระบุปัญหา 1. การคดิ อยา่ งมี ช่วยสอน 1. ปฐมนเิ ทศ 3. รวบรวมข้อมูล วจิ ารณญาณ 4. วางแผนแกป้ ญั หา บทบาท 2. ประเมนิ กอ่ นเรยี น 5. ดาํ เนินการแกป้ ัญหา 2. ผลสมั ฤทธิ์ ผเู้ ชย่ี วชาญ 3. นําเขา้ สบู่ ทเรียน 6. ประเมนิ ผล ทางการเรยี น 4. ศกึ ษาเนื้อหา 5. สรุปปัญหา และเนอื้ หา 7. สรปุ ผล จากการเรยี นรู้ 6. ประเมินหลงั เรียน ประเมนิ ผลภาพประกอบ 2 รูปแบบการสอนด้วยบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน และการสอนแบบกระบวนการ แกป้ ญั หา เพ่อื เสรมิ สรา้ งการคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณและผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น ของนกั ศกึ ษาระดบั ช้นั ประกาศนียบตั รวชิ าชีพช้ันสูง2. ผลการทดลองใช้รปู แบบการสอน ดังต่อไปน้ี 2.1 ผลการเปรยี บเทยี บการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ ระหว่างกลุม่ ทดลองกบั กลุม่ ควบคุม ดงั แสดงในตาราง 2ตาราง 2 แสดงผลการเปรยี บเทียบการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณระหว่างกลุ่มทดลองกบั กลุ่มควบคมุตัวอย่าง N Χ S.D. t-test Pกล่มุ ทดลอง 32 33.34 1.66 2.842* .006กล่มุ ควบคมุ 32 32.09 1.86 จากตาราง 2 พบวา่ กลุ่มทดลองมกี ารคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณสงู กวา่ กลุม่ ควบคมุ อยา่ งมีนัยสาํ คัญทางสถิติทร่ี ะดบั .05 2.2 ผลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกลมุ่ ทดลองกับกลุ่มควบคุม ดังแสดงในตาราง 3 ตาราง 3 แสดงผลการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนระหวา่ งกับกลมุ่ ทดลองกับกลมุ่ ควบคมุตัวอย่าง N Χ S.D. t-test Pกลมุ่ ทดลอง 32 32.75 1.64 2.188* .032กล่มุ ควบคุม 32 31.84 1.67 จากตาราง 3 พบว่า กลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดบั .05
การประชมุ ทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพอ่ื เพ่ิมคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 123อภปิ รายผลการวิจัย 1. จากผลการพฒั นารูปแบบการสอนทีผ่ วู้ จิ ยั พัฒนาขึ้น พบว่า รูปแบบมี 7 องค์ประกอบ คือ (1) วัตถุประสงค์(2) บทบาทผู้สอน (3) บทบาทผู้เรียน (4) วิธีการสอน (5) บทบาทคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (6) บทบาทผู้เช่ียวชาญและ (7) ประเมินผล ที่รูปแบบการสอนมีองค์ประกอบเช่นนี้ก็น่าจะเป็นเพราะว่าองค์ประกอบทั้ง 7 เป็นพ้ืนฐานในการจัดการเรียนการสอน นอกจากนี้ผู้วิจัยได้นําระบบการสอนและรูปแบบการสอนของนักการศึกษาในอดีตท่สี รรสร้างเอาไว้ มาเป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบ จึงน่าจะเป็นเหตุผลท่ีทําให้องค์ประกอบของรูปแบบการสอนที่ผู้วิจัยพัฒนาข้ึนมีองค์ประกอบตามที่ได้นําเสนอ ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ ปรณัฐ กิจรุ่งเรือง (2553: 200)ได้ศึกษา เร่ือง การพัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้กรณีศึกษาศาสตร์การเรียนการสอนเพ่ือส่งเสริมความสามารถด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาวิชาชีพครู ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบมี 4 องค์ประกอบ และสอดคล้องกับงานวจิ ยั ของปณติ า วรรณพิรุณ (2551: บทคดั ยอ่ ) ได้ศึกษา เร่อื ง การพฒั นารูปแบบการเรยี นบนเวบ็ แบบผสมผสานโดยใช้ปัญหาเป็นหลักเพื่อพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนิสิตปริญญาบัณฑิต ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบมี 4 องคป์ ระกอบ 2. กลุ่มทดลองมีการคิดอย่างมีวิจารณญาณสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05ที่ผลวิจัยปรากฏเช่นนี้ น่าจะเป็นผลมาจากการที่กลุ่มทดลองได้เรียนรู้ตามวิธีการของรูปแบบที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นทําให้ได้เรียนรู้จากสถานการณ์จําลองอย่างหลาย ๆ กรณี ท่ีบรรจุในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน แล้วนําความรู้ที่ได้รับมาต่อยอดด้วยการพบกลุ่ม ตามวิธีการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา ซ่ึงเป็นวิธีการสอนท่ีทําให้ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระดมสมองอย่างเต็มท่ีจึงทําให้นักศึกษาได้ฝึกการใช้กระบวนการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ โสภิดา ทัดพินิจ (2548: 171 - 172) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนารูปแบบการสอนท่ีส่งเสริมความสามารถในการใช้กระบวนการพยาบาลและทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05ส่วนผลวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05น่าจะเปน็ ผลมาจากการท่กี ล่มุ ทดลองได้เรยี นรู้ตามวธิ กี ารของรูปแบบการสอนที่ผู้วิจัยพัฒนาข้ึน ทําให้ได้รับความรู้เน้ือหาจากบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ต่อจากนั้นก็จะนําความรู้ที่ได้รับ มาระดมสมองแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตามวิธีการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา จึงทําให้นักศึกษาสามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ พร้อมทั้งได้รับการเติมเต็มความรู้จากองค์ประกอบของรูปแบบ จึงน่าจะเป็นเหตุผลท่ีทําให้กลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุม ซ่ึงสอดคล้องกับ อลิสา เสนามนตรี (2551: 119) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนานวัตกรรมบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอนระบบสื่อประสม เร่อื ง ชีวโมเลกุลดว้ ยรปู แบบการบูรณาการสําหรับนักเรียนระดับช่วงช้ันที่ 4ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านพุทธิพิสัย และทักษะการทดลองทางวิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนกลมุ่ ควบคุมอย่างมีนยั สาํ คญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .05ข้อเสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะในการนําผลการวจิ ยั ไปใช้ 1. รปู แบบการสอนด้วยบทเรยี นคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา เพ่ือเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณและผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักศึกษาระดับช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงที่ผู้วิจัยพัฒนาข้ึน เป็นวิธีการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ เนื้อหาวิชาของผู้เรียนโดยใช้ส่ือมัลติมีเดีย สําหรับการสร้างองค์ความรู้ใหม่ จะใช้วิธีการพบกลุ่มเพื่อระดมสมอง ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากผลการทดลองใช้รูปแบบ พบว่าสามารถพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนให้สงู ข้นึ 2. การเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณของรูปแบบการสอนท่ีผู้วิจัยพัฒนาข้ึน ด้วยวิธีการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา และสถานการณ์ที่จัดไว้ในบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ซ่ึงเป็นวิธีการทําให้ผู้เรียน
124 การประชมุ ทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพ่ือเพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวิชาชีพ” ได้ฝึกใช้ความคิดแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยใช้กระบวนการคิดแก้ปัญหาอย่างสมเหตุสมผล จึงเป็นวิธีการ พฒั นาการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ ทเ่ี หมาะสมกับผู้เรียน 3. รูปแบบการสอนที่ผู้วิจัยพัฒนาข้ึน ได้นําเอาองค์ประกอบพ้ืนฐานของการเรียนการสอนมามีบทบาท ในการจัดการเรียนการสอนมากขน้ึ จงึ เปน็ วิธที ี่มีความเหมาะสมกับบริบทสถานศึกษาทีจ่ ะนาํ มาพัฒนาผูเ้ รยี น ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั ครงั้ ต่อไป 1. ควรมีการศึกษาวิจัยโดยใช้วิธีการสอนแบบกระบวนการแก้ปัญหา เพ่ือพัฒนาพฤติกรรมด้านอ่ืน ๆ ของผเู้ รียนอยา่ งหลากหลาย 2. ควรมีการวิจัยใช้บทเรียนมัลติมีเดียท้ังบนเว็บ และนอกเว็บ หลาย ๆ รูปแบบ เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน พฒั นาทักษะการคิดดา้ นตา่ ง ๆ ให้มากขน้ึ 3. ควรมีการศึกษาและวิจัยการนํารูปแบบการเรียนการสอนท่ีเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณ กบั ยุทธศาสตรก์ ารสอนวิธีอน่ื ๆ เพอ่ื ให้สามารถพัฒนาผูเ้ รยี นใหม้ คี ณุ ลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์ รายการอา้ งองิ จันทรเ์ พญ็ เชื้อพานชิ . (2544). การส่งเสรมิ ใหค้ นไทยคิด: จากอดีตสปู่ ัจจุบนั และอนาคต แนวคิดและแนวปฏบิ ตั ิ สําหรบั ครมู ัธยมศกึ ษา เพื่อการปฏิรปู การศกึ ษา. กรงุ เทพ ฯ: บพิธการพมิ พ์. ณชั ชา มหปญุ ญานนท.์ (2554). โมเดลเชงิ สาเหตขุ องปัจจยั บางประการทีส่ ่งผลตอ่ ทกั ษะการคิดวิจารณญาณ. กรุงเทพ ฯ: สํานกั งานกองทนุ สนับสนุนการวิจยั . ทิศนา แขมมณ.ี (2548). ศาสตร์การสอนองค์ความรู้เพ่ือการจดั กระบวนการเรยี นรู้ทมี่ ีประสทิ ธิภาพ. กรุงเทพ ฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . บญุ เก้ือ ควรหาเวช. (2542). นวัตกรรมการศกึ ษา. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 4. กรุงเทพ ฯ: ศนู ยห์ นังสอื จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. บุญชม ศรีสะอาด. (2543). การวจิ ัยเบ้อื งต้น. กรุงเทพ ฯ: ชมรมเดก็ . ปณติ า วรรณพริ ุณ. (2551). การพฒั นารปู แบบการเรียนบนเวบ็ แบบผสมผสานโดยใช้ปญั หาเปน็ หลกั เพือ่ พัฒนาการคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณของนสิ ิตปรญิ ญาบณั ฑิต. วทิ ยานพิ นธ์ คด. กรุงเทพ ฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ปรณฐั กจิ รุ่งเรอื ง. (2553). การพฒั นารปู แบบการสอนโดยใชก้ รณศี ึกษาศาสตร์การเรียนการสอนเพือ่ สง่ เสริม ความสามารถด้านการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณของนักศึกษาวชิ าชพี ครู. ปรญิ ญาปรชั ญาดษุ ฎีบัณฑติ . กรุงเทพ ฯ: มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. มนตช์ ยั เทยี นทอง. (2543). การออกแบบและการพัฒนาคอรส์ แวร์. กรงุ เทพ ฯ: สถาบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ. วสันต์ อตศิ พั ท์. (2530). “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน”, วารสารศกึ ษาศาสตร์. 3(8): (กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม) 75 - 89. โสภดิ า ทดั พินจิ . (2548). การพัฒนารปู แบบการสอนทส่ี ่งเสรมิ ความสามารถในการใช้กระบวนการพยาบาล และทักษะการคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ. วิทยานพิ นธ์ ศษ.ด. ขอนแก่น: มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น. สาํ นักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา. (2556). ภารกจิ และนโยบาย. <http://www.vec.go.th/> เก่ยี วกบั สอศ/ภารกจิ และนโยบาย.aspx[Online]. 26 มีนาคาม 2556. สํานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. (2550). การจดั การเรยี นรู้แบบกระบวนการแก้ปญั หา. กรงุ เทพ ฯ: ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จํากดั .
การประชมุ ทางวิชาการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพื่อเพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 125อลสิ า เสนามนตรี. (2551). การพฒั นานวตั กรรมบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนระบบสอ่ื ประสม เรอื่ ง ชีวโมเลกุล ด้วยรปู แบบการบรู ณาการสาํ หรบั นกั เรียนระดบั ชว่ งชน้ั ที่ 4. ปริญญานิพนธ์ กศ.ด. กรงุ เทพ ฯ: มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ.Alessi, S.M. and Stanley R. Trollip. (1991). Computer - Base Instruction: Methods and Development. 2nd ed. New Jersey: Prentrice-Hall Inc.Dressel, P.L. and Mayhew, L.B. (1957) General Education: Explorations in Evaluation.Washington, D.C.: American Council on Education.Dewey, J. (1933) How We Think ?. New York: D.C. Health and Company.Gerlach, Ver S. and Donald P. Ely. (1971). Teaching and Media: A Systematic Approach. Englewood Cliffs, N.J.: Prentice-Hall.Kemp, Jerrold E. (1985). The Instructional Design Process. New York: Harper & Row.Klausmeier, H.J. and R.E. Ripple. (1971). Learning and Human Abilities: EducationalPsychology. 3rd ed. New York: Harper & Row Publishers.Polya, George. (1957). How to Solve it 3rd ed. New York: Doublebay.Reiser, R. and W. Dick. (1996). Instructional Planning: A Guide for Teachers. 2nd ed. Boston: Allyn and Bacon.Sdorow, L. M. (1993). Psychology Third Edition. Iowa: WCB. Brawn, s Benchmark Publishers, Inc.
126 การประชุมทางวชิ าการของครุ ุสภา ประจําปี 2557 “การวจิ ยั เพือ่ เพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” ผลงานวจิ ัย การพฒั นาสาระการเรยี นรทู้ ้องถิ่น เรือ่ ง เร่มิ ต้นกบั วิทยาศาสตรท์ างทะเล ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ผู้วจิ ัย นางสาวสุนันท์ พุทธภมู ิ ปที ีว่ จิ ัย 2555 บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความต้องการด้านเนื้อหาและสร้างสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เร่ือง เร่ิมตน้ กบั วทิ ยาศาสตร์ทางทะเล (2) ศกึ ษาผลการใชส้ าระการเรียนรู้ทอ้ งถ่นิ เรอื่ ง เร่ิมต้นกับวิทยาศาสตรท์ างทะเล ในด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ด้านเจตคติต่อสิ่งแวดล้อม ด้านคุณภาพของสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เร่ือง เร่ิมต้นกับ วิทยาศาสตร์ทางทะเล และ (3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อความเหมาะสมของสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เร่ือง เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ศึกษา ความต้องการด้านเน้ือหาและสร้างสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน ฯ คือ ครูผู้มีประสบการณ์สูงในการสอนวิทยาศาสตร์ จํานวน 14 คน ผู้แทนชุมชน 3 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ปีการศึกษา 2553 จํานวน 40 คน กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการทดลองใช้หลักสูตร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพลูตาหลวงวิทยา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2544 จํานวน 30 คน และภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จํานวน 40 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสํารวจความต้องการด้านเน้ือหาในสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เร่ือง เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แผนการจัดการเรียนรู้จํานวน 12 แผน แบบทดสอบประจําแผน การจัดการเรียนรู้ แบบประเมินเจตคติต่อส่ิงแวดล้อม แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อความเหมาะสม ของสาระการเรียนรู้ทอ้ งถนิ่ เร่อื ง เริม่ ต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถติ ิทดสอบ t - test ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. สาระการเรียนรทู้ อ้ งถนิ่ เร่ือง เร่มิ ต้นกบั วิทยาศาสตร์ทางทะเล มีเน้ือหาประกอบด้วย หน่วยการเรียนรู้ 5 หน่วย ได้แก่ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 น้ําและเคมีของนํ้าทะเล หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เรียนรู้ทะเล หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ส่ิงมีชีวิตในทะเล หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 ประโยชน์และผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล และหน่วยการเรียนรู้ที่ 5 สํารวจทะเล 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ที่เรียนโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เรือ่ ง เร่ิมต้นกบั วิทยาศาสตรท์ างทะเล หลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมีนยั สําคญั ทางสถติ ิท่ีระดบั .05 3. นักเรียนท่ีผ่านการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เรื่อง เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ ทางทะเล มเี จตคตติ อ่ สงิ่ แวดลอ้ มในระดับดี 4. สาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เร่ือง เร่ิมต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล มีความเหมาะสมในระดับมาก และผลการเรยี นรทู้ า้ ยแผนการจัดการเรียนรมู้ ีคา่ สูงกวา่ เกณฑ์มาตรฐานอย่างมนี ยั สําคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .05 5. นกั เรยี นมคี วามคดิ เห็นวา่ สาระการเรยี นร้ทู อ้ งถ่นิ เร่ือง เรม่ิ ต้นกบั วิทยาศาสตร์ทางทะเล มคี วามเหมาะสม อยใู่ นระดับมาก ความเป็นมาและความสาํ คัญของปญั หาการวิจยั การสอนวิทยาสตร์นอกจากจะตอบสนองจุดมุ่งหมายของความเป็นวิทยาศาสตร์โดยตรงแล้ว ยังเชื่อมโยง ไปสู่จุดมุ่งหมายในการดําเนินชีวิตไปกับธรรมชาติอย่างสมดุลย่ังยืนด้วย วิทยาศาสตร์ทางทะเลเป็นศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์แขนงหน่ึง ที่สามารถเช่ือมโยงท้ังสองส่ิงเข้าด้วยกันได้อย่างกลมกลืน และเกี่ยวข้องกับทะเล ทง้ั ทางดา้ นกายภาพ เคมี และชีวภาพ ครอบคลุมไปถงึ วิทยาศาสตรพ์ ้นื ฐาน ซึ่งกค็ อื กระบวนการตา่ ง ๆ ที่เกิดขึ้นในทะเล ท้ังการหมนุ เวยี นของกระแสนํ้า ลม และความสัมพันธ์ระหว่างภูมิอากาศกับทะเล (เปี่ยมศักด์ิ มานะเศวต, 2549. หน้า 3)
การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพอ่ื เพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 127วิทยาศาสตร์ทางทะเล เป็นเรื่องใกล้ตัวและเก่ียวกับชีวิตประจําวันของมนุษย์ พ้ืนท่ี 3 ใน 4 ส่วนของโลก คือ ทะเลฉะน้ันจึงเป็นที่แน่นอนว่าทรัพยากรทางทะเลย่อมมีมากกว่าส่วนที่เป็นแผ่นดิน คือ แหล่งอาหารท่ีไม่มีวันหมดแหล่งพลังงานธรรมชาติ และการสร้างสมดุลธรรมชาติให้กับโลกที่เราอยู่ ดังน้ันการให้การศึกษาแก่เยาวชนโดยเฉพาะอย่างย่ิงนักเรียนในจังหวัดที่อยู่ใกล้ทะเล เพื่อให้เยาวชนเหล่าน้ีมีความเข้าใจเก่ียวกับทะเลและกระบวนการต่าง ๆ ในทะเลและมหาสมุทรในมุมมองที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นความจําเป็นพื้นฐานท่ีจะนําไปสู่การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมทางทะเลของประเทศเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างย่ังยืนดังกล่าวมาแล้วข้างต้นจะเห็นว่า การจัดการด้านทรัพยากรจึงเป็นสิ่งสําคัญในการกําหนดบทบาทของผู้ท่ีเกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา การจัดการศึกษาที่ดีต้องคํานึงถึงชุมชนท้องถิ่น สนองความต้องการของคนในท้องถิ่น (ทัศนาแสวงศักดิ์, 2548) ซ่ึงสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และวิสัยทัศน์การสอนวิทยาศาสตร์ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) คือ หลักสูตรการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จะเช่ือมโยงเน้ือหา แนวคิดหลัก และกระบวนการท่ีเป็นสากล แต่มีความสอดคล้องกับชีวิตจริง มีความยืดหยุ่นและมีความหลากหลาย โดยใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น โดยจัดการเรียนการสอนควบคู่กับการเรียนในสถานศึกษา (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2546. หน้า 2) การท่ีจะให้หลักสูตรสอดคล้องกับท้องถิ่นได้วิธีการหนึ่ง คือ การปรับปรุงหลักสูตรโดยเฉพาะการจัดทําสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นซ่ึงสอดคล้องกับหลักการของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพทุ ธศักราช 2551 ข้อ 3 (อา้ งถงึ ในวิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล,2553 ,หน้า 25) ได้กล่าวไว้ว่า เป็นหลักสูตรการศกึ ษาทสี่ ง่ เสรมิ การมสี ่วนร่วมในการจดั การศึกษาใหส้ อดคล้องกบั สภาพและความตอ้ งการของท้องถ่ิน โรงเรียนพลูตาหลวงวิทยา อําเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นโรงเรียนท่ีตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านช่องแสมสารซึ่งพบปัญหาเร่ืองส่ิงแวดล้อมจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ท้ังการท่องเท่ียวการดํานํ้าดูปะการัง การตกปลาการประมง อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับที่ต้ังของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด กิจกรรมของมนุษย์ต่าง ๆ ท่ีกล่าวมาน้ีล้วนสร้างผลกระทบตอ่ ทะเลทั้งส้ิน การให้การศึกษาแก่เยาวชนโดยเฉพาะอย่างย่ิงนักเรียนในจังหวัดที่อยู่ใกล้ทะเลเพื่อให้เยาวชนเหล่าน้ีมีความเข้าใจเกี่ยวกับทะเลและกระบวนการต่าง ๆ ในทะเลและมหาสมุทรในมุมมองที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นความจําเป็นพ้ืนฐานที่จะนําไปสู่การบริหารจัดการส่ิงแวดล้อมทางทะเลของประเทศเพ่ือให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยัง่ ยนื ผู้วิจัยในฐานะเป็นครูผู้สอนวิทยาศาสตร์มากว่า 20 ปี และเป็นครูที่ปรึกษาชุมนุมวิทยาศาสตร์ทางทะเลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 เป็นเวลากว่า 16 ปี จึงสนใจที่จะพัฒนาสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เรื่อง เร่ิมต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ขึ้น เพื่อให้ได้สาระการเรียนรู้ท้องถิ่นสําหรับการจัดการเรียนการสอนในอําเภอสตั หบี จงั หวดั ชลบุรี และเปน็ แนวทางในการจดั ทําสาระเพ่มิ เติมสาํ หรับสถานศกึ ษาที่อยู่ใกล้ชายฝ่ังทะเลตอ่ ไปวัตถปุ ระสงคก์ ารวิจยั 1. เพื่อศึกษาความต้องการด้านเน้ือหาในการสร้างสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เร่ือง เร่ิมต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล 2. เพื่อสร้างสาระการเรยี นรู้ท้องถิ่น เรือ่ ง เริ่มตน้ กับวิทยาศาสตรท์ างทะเล 3. เพ่ือศึกษาผลการใชส้ าระการเรยี นรูท้ อ้ งถนิ่ เร่ือง เริ่มต้นกบั วิทยาศาสตรท์ างทะเล 4. เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนกั เรยี นทมี่ ตี อ่ สาระการเรยี นรูท้ ้องถ่ิน เรือ่ ง เร่ิมตน้ กบั วทิ ยาศาสตร์ทางทะเลขอบเขตการวิจยั 1. สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถิ่น เรอื่ ง เร่มิ ตน้ วทิ ยาศาสตรท์ างทะเล มจี ดุ มุง่ หมายเพ่ือทจ่ี ะให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมาย 5 ประการ คือ (1) ความรู้ความจําวิทยาศาสตร์พื้นฐานทางทะเล (2) ความเข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในโลกที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมทางทะเล (3) กระบวนการสืบเสาะหาความรู้
128 การประชุมทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพื่อเพิม่ คุณภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวชิ าชพี ” ทางวิทยาศาสตร์ (3) การนําความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ (5) เจตคติที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจัดทําเป็น หลักสูตรสาระเพิ่มเติมโดยมีลักษณะกิจกรรมการเรียนการสอนเบ็ดเสร็จในแต่ละชั้นปี สามารถจัดการเรียนการสอน ได้อย่างอิสระไม่ต้องเรียงลําดับก่อนหลัง โดยจัดทําคําอธิบายรายวิชาและเน้นกิจกรรมการเรียนรู้ในแหล่งเรียนรู้ ทางทะเล แหลมแสมสาร อําเภอสัตหีบ จงั หวัดชลบุรี สําหรบั เนือ้ หาและกิจกรรมท่ีนาํ เสนอในสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เร่ือง เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล ใช้ ข้อมูลจากสภาพแหล่งเรียนรู้ทางทะเล แหลมแสมสาร อําเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี มาจัดทําเป็นบทเรียนและ กิจกรรมการเรียนการสอนตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ (Learning Cycle) ซ่ึงเป็นรูปแบบ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ที่คาร์พลัส (Karplus, 1977, หน้า 169 – 175) ได้พัฒนาข้ึนบนพื้นฐานการเรียนรู้ ของเพยี เจต์ ซงึ่ สมาคมการศึกษาหลักสูตรวทิ ยาศาสตรส์ าขาชีววทิ ยา (Biological Science Curriculum Study: BSCC) 2. ตัวแปรท่ีศึกษา ประกอบด้วย ความต้องการสาระท้องถ่ินเรื่องเร่ิมต้นวิทยาศาสตร์ทางทะเล คุณภาพ ของสาระท้องถ่นิ ท่พี ัฒนาขน้ึ ผลการใช้สาระท้องถ่นิ 3. กลุ่มท่ีศึกษา ประกอบด้วย ชุมชน อาจารย์ท่ีมีประสบการณ์สูงทางการสอนวิทยาศาสตร์ ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผู้เช่ยี วชาญ และนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 4. เวลาในการดําเนินการวิจัย ประกอบด้วย ปีการศึกษา 2553 ศึกษาความต้องการและสร้างสาระท้องถิ่น ปีการศกึ ษา 2554 - 2555 ทดลองใชส้ าระทอ้ งถ่ินท่ีพัฒนาข้ึน นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การพัฒนาสาระการเรยี นรทู้ ้องถิ่น หมายถึง กระบวนการ ข้ันตอนการเรียนการสอนที่เหมาะสมเป็นระบบ ที่สามารถนําไปปฏิบัติในการจัดการเรียนการสอนได้ โดยมีขั้นตอนการพัฒนา 4 ข้ันตอน คือ การศึกษาความต้องการ ดา้ นเนื้อหาสาํ หรับการสรา้ งหลักสตู ร การสร้างหลกั สตู ร การทดลองใช้หลกั สตู ร และการประเมนิ หลักสตู ร 2. ผลการใชส้ าระการเรียนรู้ทอ้ งถิ่น เรือ่ ง เร่ิมตน้ กับวทิ ยาศาสตร์ทางทะเล หมายถึง ผลจากการทดลองใช้ สาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เรื่อง เร่ิมต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเลในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เพมิ่ เติมนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โดยพจิ ารณาจาก 2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในด้านความรู้ ความเข้าใจ ดา้ นกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ดา้ นการนําความรแู้ ละวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ไปใช้ 2.2 เจตคติต่อสิ่งแวดล้อม หมายถึง ความรู้สึกหรือท่าทีของนักเรียนที่มีต่อสิ่งแวดล้อมจํานวน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านจริยธรรมสิ่งแวดล้อม ด้านความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อม ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และด้านการอนรุ ักษแ์ ละพฒั นาสิ่งแวดลอ้ มอยา่ งย่ังยืน 3. คุณภาพของสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เร่ือง เร่ิมต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล หมายถึง ผลการใช้ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยพิจารณาจาก 3 ขั้นตอน คือ การประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ ก่อนนําไปใช้โดยผู้เช่ียวชาญเป็นผู้พิจารณา, การประเมินภายหลังจากการนําแผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้ โดยประเมนิ จากผลจากการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เร่ือง เร่ิมต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล โดยพิจารณาจากบันทึกหลังสอน ซึ่งครอบคลุมในหัวข้อ ผลการเรียนรู้ เน้ือหาในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ กิจกรรม การเรียนการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนการสอนและระยะเวลาท่ีใช้ในการจัดการเรียน การสอน และการประเมินผลการเรียนรู้ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบทดสอบท้ายแผนการจัดการเรียนรู้ แล้วพิจารณาคะแนนของนักเรียนเทียบกับเกณฑ์ท่ีต้ังไว้ คือ นักเรียนที่ได้คะแนนในแต่ละแบบทดสอบอย่างน้อย ร้อยละ 80 มีจํานวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของจํานวนนักเรียนกลุ่มตัวอยา่ ง
การประชุมทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพอื่ เพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 129แนวคิด/ทฤษฎที ่เี กยี่ วขอ้ ง การพัฒนาสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นในการวิจัยน้ีได้ใช้แนวคิดและรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรที่มีนักการศกึ ษาหลายทา่ นได้เสนอความคิดและรปู แบบไว้ โดยผู้วิจัยอาศัยแนวคิดของไทเลอร์(Tyler, 1950 ) เซเลอร์อเล็กซานเดอร์ และลีวสี (Sayler Alexander and Levis, 1974) สงัด อุทรานันท์ (2523, หน้า 30) กรมวิชาการ(2540, หน้า 103) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2544, หน้า 3) มาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1) การศึกษาความต้องการด้านเนอ้ื หาสําหรับการสร้างหลกั สตู ร 2)การสร้างหลักสูตร 3)การทดลองใช้หลกั สูตร และ 4) การปรับปรงุ หลักสตู ร สาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เรื่อง เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล ท่ีพัฒนาขึ้น เพ่ือท่ีจะให้นักเรียนเกิดการเรยี นรูต้ ามจุดมุง่ หมาย 5 ประการ ตามแนวคิดของคลอปเฟอร์ (Leopold E. Klopfer) คือ (1) ความรู้ความจาํ(2) ความเข้าใจ (3) กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (4) การนําความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ (5) เจตคตติ อ่ ส่งิ แวดล้อมเพอ่ื จะได้เปน็ สว่ นหนงึ่ ในการดแู ลทรพั ยากรธรรมชาตทิ างทะเลในท้องถนิ่ ของตนกรอบแนวคดิ การวจิ ัย การศกึ ษาความตอ้ งการดา้ นเนอื้ หาสาํ หรบั การสรา้ งหลกั สตู ร 1. การสํารวจสภาพปญั หาและความต้องการของชุมชน/ครู/นักเรยี น 2. การศึกษาและวเิ คราะห์หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 3. การนาํ ขอ้ มลู ทไี่ ด้มากําหนดเปน็ เปา้ หมายและเนื้อหาของหลักสูตร การสรา้ งหลักสตู ร การทดลองใชห้ ลกั สูตร1. การสรา้ งหลักสตู ร 1. เตรียมการใช้ - กาํ หนดสภาพปัญหาและความจาํ เปน็ / - สร้างเคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการทดลองหลักการ/จดุ มงุ่ หมาย/คาํ อธิบายรายวิชา/ - แบบแผนการทดลองใช้ผลการเรยี นร/ู้ หนว่ ยการเรยี นการสอน - ทดลองใช้หลกั สตู รและรวบรวมข้อมูล2. การประเมนิ หลักสูตรกอ่ นนําไปใช้ 2. ประเมนิ หลักสตู ร - ประสิทธภิ าพของหลกั สตู ร - ประเมนิ ความเหมาะสม/สอดคลอ้ ง - ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของสว่ นประกอบหลกั สตู ร - เจตคติตอ่ สิ่งแวดล้อม3. การปรับปรงุ หลกั สูตรก่อนนําไปใช้ 3. ความคิดเห็นต่อหลักสูตร - นําข้อมูลและขอ้ เสนอแนะทไ่ี ด้มาปรับปรงุการปรบั ปรงุ หลกั สูตร
130 การประชมุ ทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557 “การวิจัยเพอ่ื เพม่ิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” วิธดี ําเนินการวจิ ัย แบบแผนการวจิ ยั การวจิ ัยครัง้ นใ้ี ชว้ ิธีการวจิ ยั และพัฒนา โดยวิจัยสาระท้องถิ่นตามความต้องการของชุมชนและวิจัยโดยการ ทดลองใชส้ าระการเรยี นรูท้ อ้ งถิน่ ตามแบบแผนการวจิ ยั The one - group, pretest - posttest design ขน้ั ตอนท่ี 1 การศกึ ษาความต้องการดา้ นเนื้อหาสําหรับการสร้างหลกั สูตร เป้าหมายที่ใช้ ในการสํารวจความต้องการด้านเนื้อหาวิชา เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล ระดับชั้น มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ได้แก่ ผูแ้ ทนชุมชน จาํ นวน 3 คน ครผู ู้มีประสบการณส์ งู จํานวน 17 คน และกลมุ่ ตัวอย่างท่ีเป็น นกั เรียนระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 3 จาํ นวน 40 คน เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู คือ แบบสัมภาษณ์สภาพปญั หาการเรยี นการสอน หรือปัญหาสังคม ในชุมชน และความต้องการด้านเนื้อหาของครูผู้มีประสบการณ์สูงในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ และผู้แทนชุมชน และแบบสํารวจความต้องการด้านเน้ือหาของครูและนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 กลุ่มการเรียนวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ การเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้การสัมภาษณ์ผู้นําชุมชนและครูผู้มีประสบการณ์สูงในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น เกีย่ วกับสภาพสังคมปัญหาการเรียนการสอน และความตอ้ งการด้านเน้ือหา และการสํารวจ ความต้องการดา้ นเน้ือหาของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2553 การวิเคราะห์ขอ้ มูล ใช้การวิเคราะห์เนื้อหาและใชส้ ถติ ิคา่ เฉล่ีย และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ขั้นตอนท่ี 2 การสร้างหลักสูตร ข้ันตอนนี้มี 3 ข้ันตอนย่อย คือ การสร้างหลักสูตร การประเมินหลักสูตร ก่อนนําไปใช้ และการปรับปรงุ หลักสูตรกอ่ นนาํ ไปใช้ การสร้างหลักสูตร เป็นการนาํ ผลการสํารวจข้อมูลพ้ืนฐานที่ได้จากข้ันตอนท่ี 1 มากําหนดเป็นประเด็นต่าง ๆ ในสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เรื่อง เร่ิมต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล ระดับมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ได้แก่ สภาพปัญหาและ ความจําเปน็ ในการสรา้ งหลักสูตร, หลกั การของหลักสตู ร, จดุ มงุ่ หมายของหลักสูตร, คําอธบิ ายรายวิชา, ผลการเรยี นร,ู้ หน่วยการเรียนการสอน (ประกอบด้วยจุดประสงค์การเรียนรู้, เนื้อหาที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน, กิจกรรม การเรยี นการสอน, สือ่ การเรยี นการสอนและวธิ วี ัดผลประเมินผล) การประเมินหลักสูตรก่อนนําไปทดลองใช้ ผู้วิจัยได้ดําเนินการประเมินหลักสูตรฉบับร่าง โดยกําหนดให้มี การประเมินความเหมาะสมระหว่างองค์ประกอบภายในโครงร่างหลักสูตร และประเมินความสอดคล้องระหว่าง องค์ประกอบภายในหนว่ ยการเรียนรู้ เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการประเมินโครงร่างหลักสูตร ได้แก่ แบบประเมินความเหมาะสม ของโครงร่างหลักสูตร และแบบประเมินความสอดคล้องของโครงร่างหลักสูตรและเก็บรวบรวมข้อมูล โดยส่ง แบบประเมินไปให้ผู้เช่ยี วชาญและได้โทรศัพท์เพือ่ ขอรบั ฟงั ขอ้ เสนอแนะและข้อคดิ เห็นเพมิ่ เตมิ จากผเู้ ชย่ี วชาญด้วย การปรับปรุงหลักสูตรก่อนนําไปใช้ ผู้วิจัยนําข้อมูลจากการประเมินโครงร่างหลักสูตร ทั้งแบบประเมิน ความเหมาะสมและแบบประเมินความสอดคล้องของโครงร่างหลักสูตร และข้อเสนอแนะท่ีได้จากผู้เช่ียวชาญ มาปรับปรุงหลักสูตรในส่วนที่บกพร่องโดยพิจารณาถึงรายละเอียดในแต่ละองค์ประกอบตามข้อเสนอแนะ และคาํ แนะนาํ ของผู้เช่ยี วชาญก่อนนําไปทดลองใช้ในข้นั ตอ่ ไป การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยนําเสนอแบบบรรยายตารางค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนี ความสอดคลอ้ ง ขัน้ ตอนท่ี 3 การนําหลักสูตรไปทดลองใช้ การดําเนินการวิจัยในขั้นตอนน้ี เป็นการนําหลักสูตรท่ีได้ ปรับปรุงแล้วในข้ันตอนที่ 2 ไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างท่ีเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 กลุ่มการเรียน วิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์โรงเรียนพลูตาหลวงวิทยา อําเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2554 จํานวน 30 คน และ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จํานวน 40 คน เป็นเวลาภาคเรียนละ 18 สัปดาห์ สปั ดาหล์ ะ 2 ช่ัวโมง รวม 36 ช่วั โมง
การประชุมทางวชิ าการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพื่อเพิม่ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 131 การดาํ เนนิ การทดลองใช้หลักสตู ร ไดด้ ําเนินการดงั นี้ 1) ศกึ ษาผลการเรียนร้ขู องนักเรียนโดยก่อนทําการสอนใหน้ ักเรยี นกลมุ่ ตัวอย่างทําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เมื่อส้ินสุดการสอนตามกําหนดเวลา ทําการเก็บข้อมูลหลังทดลองใช้หลักสูตร โดยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนและแบบวัดเจตคติต่อสิ่งแวดล้อม 2) ประเมินคุณภาพของหลักสูตร โดยประเมินคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้ ทําได้โดยนําแผนการจัดการเรียนรู้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความเหมาะสม จากน้ันนําแผนการจัดการเรียนรู้ไปทดลองใช้สอนกับกลุ่มตัวอย่างซึ่งผู้วิจัยเป็นผู้ดําเนินการสอนเอง สังเกตและบันทึกหลังสอน วัดผลการเรียนรู้ของนักเรียนโดยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทําแบบทดสอบประจําแผนการจัดการเรียนรู้ แล้วนําคะแนนท่ีได้มาพิจารณาเทียบกับเกณฑ์3) ศกึ ษาความคดิ เห็นของนักเรียนท่ีมีต่อความเหมาะสมของสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เรื่อง เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เรื่อง เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3, แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, แบบวัดเจตคติต่อสิ่งแวดล้อม,แบบทดสอบประจําแผนการจัดการเรียนรู้และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อสาระการเรียนรู้ท้องถ่ินเรื่อง เรมิ่ ตน้ กบั วทิ ยาศาสตร์ทางทะเล การวิเคราะห์ขอ้ มูล 1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของวิชาเริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเลในด้านความรู้ความเข้าใจ,กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์, การนําความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ ใช้การทดสอบค่าทีโดยผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เร่ือง เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเลหลังเรียนสงู กวา่ กอ่ นเรยี น โดยใช้สถิติ t - test จงึ จะถือวา่ หลกั สตู รมคี ณุ ภาพ 2. เจตคติต่อสิ่งแวดล้อม ใช้วิเคราะห์ค่าเฉลี่ย โดยเจตคติต่อส่ิงแวดล้อม ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้สาระการเรียนร้ทู ้องถ่ิน เร่ือง เรม่ิ ต้นกับวทิ ยาศาสตรท์ างทะเล หลงั เรยี นมีค่าเฉล่ยี อย่ใู นระดบั ดี จึงจะถือวา่ หลกั สตู รมีคณุ ภาพ 3. เปรียบเทียบผลการเรียนรู้ของนักเรียนประจําแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละแผนใช้การทดสอบค่าทีโดยผลการเรียนรู้ของนักเรียนประจําแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละแผนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ผ่านจุดประสงค์จงึ จะถอื วา่ หลกั สตู รมคี ุณภาพ 4. ประเมินหลักสูตรระหวา่ งทดลองใช้ โดยสงั เกตขณะสอน บันทกึ หลังสอนและบนั ทกึ การเรียนรูข้ องนกั เรยี น ขน้ั ตอนที่ 4 การปรับปรุงหลักสูตร การดําเนินการข้ันตอนน้ี เป็นการปรับปรุงองค์ประกอบต่าง ๆของหลักสูตรภายหลังจากการทดลองใช้หลักสูตรแล้ว ผู้วิจัยได้ปรับปรุงการเขียนสภาพปัญหาและความเป็นมาของการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความจําเป็นของผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3ในสภาพท้องถิ่น อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ปรับปรุงผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวังในแต่ละหน่วยการเรียนรู้โดยใช้พฤติกรรมที่สามารถประเมินได้อย่างชัดเจน ปรับปรุงรายละเอียดของเน้ือหาให้เหมาะสมกับการนําไปใช้ในท้องถ่ิน ปรับปรุงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและสื่อการสอนให้สามารถอํานวยความสะดวกในการนําไปใช้ในสภาพการณ์ทเ่ี ปน็ จริงในชวี ิตประจําวัน เพื่อใหห้ ลักสตู รท่ผี ูว้ จิ ัยสร้างขึน้ นี้บรรลวุ ตั ถุประสงค์ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพสรุปผลการวิจยั ในการพัฒนาสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เรื่อง เร่ิมต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยสรุปผลการวิจัยเปน็ ขั้นตอน ดังน้ี 1. การศึกษาความต้องการด้านเน้ือหาสําหรับการสร้างหลักสูตร พบว่าด้านเน้ือหาท่ีมีระดับความต้องการมากที่สุด ได้แก่ เรื่อง สํารวจทะเล, ส่ิงมีชีวิตในทะเล, ประโยชน์และผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรจากทะเล, นํา้ และเคมขี องนา้ํ ทะเล, เรยี นรทู้ ะเล
132 การประชุมทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ัยเพื่อเพมิ่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวชิ าชีพ” 2. ผลการสรา้ งสาระทอ้ งถิ่น เรื่อง เรม่ิ ตน้ กับวทิ ยาศาสตรท์ างทะเล หลักสูตรประกอบด้วย สภาพปัญหาและความจําเป็นในการสร้างหลักสูตร เป้าหมายของหลักสูตร หลักการของหลักสูตร จุดมุ่งหมายของหลักสูตร คําอธิบายรายวิชา ผลการเรียนรู้และหน่วยการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วย จุดประสงค์การเรียนรู้ เน้ือหาท่ีใช้ในการจัดการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนการสอน ส่อื การเรยี นการสอน และการวัดผลประเมนิ ผล ในส่วนของหน่วยการเรียนรู้มี 5 หน่วยการเรียนรู้ คือ น้ําและเคมีของน้ําทะเล เรียนรู้ทะเล ส่ิงมีชีวิต ในทะเล ประโยชน์และผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และสํารวจแหลมแสมสาร มาเป็นเนื้อหาของหน่วยการเรียนรู้ โดยผู้วิจัยกําหนดข้ึนให้สอดคล้องกับ คาํ อธิบายรายวิชาและผลการเรียนรู้ และจัดลําดับความสําคัญของเนื้อหา โดยวิเคราะห์จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล ท่ีได้จากการสํารวจความต้องการในขั้นตอนที่ 1 นอกจากน้ียังคํานึงถึงสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น แหลมแสมสาร อําเภอสัตหีบ จงั หวัดชลบุรี มากําหนดเป็นเนื้อหาและกิจกรรมการเรยี นรู้ จากการประเมินความเหมาะสมของโครงร่างหลักสูตรจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ผลปรากฏว่า ส่วนประกอบของโครงร่างหลกั สูตรมีความเหมาะสมอยู่ในระดบั มาก และการประเมินความสอดคล้องของโครงร่าง หลกั สูตรจากความคิดเหน็ ของผู้เชยี่ วชาญ ผลปรากฏวา่ ทุกองค์ประกอบของโครงรา่ งหลกั สูตรมีความสอดคลอ้ งกัน 3. ผลการใชส้ าระการเรียนรทู้ อ้ งถ่ิน เร่อื ง เริ่มต้นกบั วิทยาศาสตรท์ างทะเล 3.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้านความรู้ความเข้าใจ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การนําความรู้และ วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ไปใช้ ของนักเรยี นกลมุ่ ตัวอย่าง ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2554 และนักเรยี นกล่มุ ตวั อย่าง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ที่เรียนโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เรื่อง เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล หลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรยี นอย่างมนี ัยสาํ คญั ทางสถติ ทิ ่ี .05 ถือวา่ หลักสูตรมีคณุ ภาพ เป็นไปตามเกณฑท์ ก่ี ําหนด 3.2 ด้านเจตคติต่อสิ่งแวดล้อมของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2554 และ นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2555 ท่ีเรียนโดยได้รับการสอนโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เร่ือง เริม่ ต้นกบั วทิ ยาศาสตร์ทางทะเล มคี ่าเฉลีย่ อยใู่ นระดับดี ถือวา่ หลักสตู รมีคุณภาพ เปน็ ไปตามเกณฑท์ ่กี าํ หนด 3.3 การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินคุณภาพของหลักสูตร โดยการประเมินคุณภาพของแผนการ จัดการเรียนรู้ 3 ขั้นตอน “ขั้นตอนแรก” เป็นการนาํ แผนการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เช่ียวชาญพิจารณาความเหมาะสม โดยขั้นตอนนี้จะอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาความเหมาะสมของโครงร่างหลักสูตร พบว่ามีความเหมาะสม ในระดบั มาก “ข้ันตอนที่สอง” ผู้วิจัยซึ่งเป็นผู้สอนหลักสูตรน้ีเองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ได้ประเมินการใช้หลักสูตร จากการสังเกตขณะสอนในบันทึกหลังสอน และบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียน พบว่า ผลการเรียนรู้, เนื้อหา, กิจกรรมการเรียนการสอน, วิธีการวัดผลประเมินผลตลอดจนระยะเวลาที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน มีความ เหมาะสมกับวัยของนักเรียน, พ้ืนฐานความรู้ของนักเรียน และสภาพของท้องถิ่น กิจกรรมการเรียนการสอนทําให้ นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน, ส่งเสริมให้นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองและส่งเสริมทักษะ การคิดของนักเรียน และ “ข้ันตอนที่สาม” ประเมินผลการเรียนรู้แต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ท่ีเรยี นโดยใช้สาระการเรียนรทู้ อ้ งถิน่ เรอื่ ง เริ่มตน้ กบั วทิ ยาศาสตรท์ างทะเล มีคะแนนเฉลี่ยสงู กวา่ เกณฑผ์ ่านจุดประสงค์ อย่างมนี ยั สําคัญทางสถิตเิ ทา่ กับ .05 ถอื ว่าหลกั สตู รมีคณุ ภาพ 4. ผลการศึกษาความคดิ เห็นของนักเรียนท่ีมีต่อสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เรื่อง เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล มคี วามเหมาะสมในระดบั เห็นด้วยมาก
การประชุมทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพ่ือเพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 133อภปิ รายผลการวิจยั 1. การศกึ ษาความตอ้ งการด้านเน้อื หาสําหรับการสรา้ งหลกั สตู ร ข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลที่เช่ือถือได้ และตรงตามความเป็นจริงของสภาพการณ์ในขณะนั้นและครอบคลุมด้านต่าง ๆ อย่างเพียงพอ เนื่องจากผู้ที่ให้ข้อมูล คือ ผู้แทนชุมชนที่มีความรู้ความสามารถและมีภูมิลําเนาอยู่ในอําเภอสัตหีบ เป็นผู้ทราบข้อมูลสภาพแวดล้อมของท้องถ่ินเป็นอย่างดี สามารถเป็นตัวแทนของคนในชุมชนได้ส่วนครูผู้มีประสบการณ์สูงในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ท่ีใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย เป็นผู้มีเกียรติประวัติเป็นท่นี า่ เช่ือถือ เช่น เป็นครดู ีเด่นระดบั ประเทศ เปน็ วิทยากรแกนนําของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นครูชํานาญการพิเศษ และเป็นครูท่ีมีประสบการณ์สูงในการสอนวิทยาศาสตร์ ทําให้ข้อมูลที่ได้จากกลุ่มตัวอยา่ งเปน็ ข้อมลู ท่นี า่ เช่อื ถือและเปน็ ท่ยี อมรับกันโดยทวั่ ไป 2. ผลการสร้างหลกั สตู ร ในการจัดองค์ประกอบต่าง ๆ ในหลักสูตรให้เหมาะสม ผู้วิจัยได้จัดองค์ประกอบของหลักสูตรให้สอดคล้องโดยคํานึงถึงจุดมุ่งหมายของหลักสูตรว่าหลักสูตรต้องการให้ผู้เรียนได้รับความรู้ เร่ือง เร่ิมต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเลสามารถนําความรู้ที่ได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับ อานนท์ สนิทวงศ์ (2546, หน้า ก) ที่กล่าวว่า“การให้การศึกษาแก่เยาวชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนในจังหวัดท่ีอยู่ใกล้ทะเล เพ่ือให้เยาวชนเหล่านี้มีความเข้าใจเกี่ยวกบั ทะเลและกระบวนการต่าง ๆ ในทะเลและมหาสมทุ รในมมุ มองทเี่ ปน็ วทิ ยาศาสตร์ เป็นความจําเป็นพ้ืนฐานทีจ่ ะนําไปสู่การบรหิ ารจัดการสิง่ แวดล้อมทางทะเลของประเทศ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างย่งั ยืน” การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนน้ัน ผู้วิจัยคํานึงถึงสิ่งต่าง ๆ ดังนี้ ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ยึดการเรียนรู้ท่ีเกิดจากการกระทํา ยึดความสําคัญของกระบวนการเรียนรู้ ยึดกลุ่มของผู้เรียนเป็นแหล่งความรู้ยึดธรรมชาติเป็นแหล่งเรียนรู้ ยึดการค้นพบด้วยตนเองเป็นวิธีหลักในการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ท่ีมีความหมายสําหรับผู้เรียนและยึดความสําคัญของการนําความรู้ไปใช้ในชีวิตประจําวัน (Bruner, 1960, p.182; ประเวศ วะสีอ้างถึงในทิศนา แขมมณี, 2550, หน้า 176 - 177) จึงทําให้การปะเมินความเหมาะสมของโครงร่างหลักสูตรมีความเหมาะสมในระดับมากถึงมากท่ีสุด อภิปรายได้ว่าสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน เรื่อง เร่ิมต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเลระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นน้ีในกิจกรรมการเรียนการสอนกําหนดให้จัดกิจกรรมท่ีนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ ทดลอง ค้นคว้าหาความรู้ จึงเหมาะสมที่จะส่งเสริมความรู้ให้กับผู้เรียน เพราะองค์ประกอบสําคัญของการเรียนรู้ที่ขาดไม่ได้ คือ ทักษะการฝึกปฏิบัติและเจตคติต่อสิ่งที่จะเรียนรู้นั้น (Gagne, 1968, p.154) และทักษะปฏิบัติการทดลองวิทยาศาสตร์จะทําให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์สูงข้ึน(ราเมศ เสียบสื่อตระกูล,2530, บทคัดย่อ) ดงั น้ันโครงรา่ งหลักสตู รในสว่ นนจ้ี งึ เหมาะสมมากทสี่ ดุ 3. การทดลองใช้หลักสูตร 3.1 การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นในดา้ นความรู้ความเข้าใจ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และการนําความรู้และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ของนักเรียนท่ีเรียนโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถ่ินเรื่อง เร่ิมต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เป็นเพราะว่าการสอนโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถิ่นท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนนั้นยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ท่ีมีความหมายสําหรับผู้เรียนและเน้นการสามารถนําความรู้ไปใช้ในชีวิตประจําวันได้ นอกจากนี้ผู้วิจัยซ่ึงเป็นผู้สอนเองได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ ซึ่งข้ันตอนดังกล่าวส่งเสริมให้นักเรียนมีโอกาสได้ลงมือปฏิบัติเพ่ือค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ลงข้อสรุปด้วยตนเอง และตรวจสอบแนวความคิดหลักท่ีได้จากการค้นคว้าด้วยตนเอง การเรียนรู้โดยการกระทําและได้ลงมือปฏิบัติจริงและฝึกคิดด้วยตนเองการเรียนรู้นั้นก็จะเกิดข้ึนและจําได้นาน โดยเฉพาะการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ง่าย ถ้าได้เรียนในสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียนและการเรียนรู้ที่เกิดจากการปฏิสัมพันธ์กับส่งิ แวดล้อมท่ีหลากหลาย (Bruner, 1960, p. 182) ซ่ึงสอดคล้องกับบุปผชาติ ทัฬหิกรณ์ (2538, หน้า 5) ท่ีกล่าวว่า
134 การประชมุ ทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557 “การวิจัยเพอื่ เพม่ิ คุณภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชพี ” การทน่ี กั เรยี นได้ทดลองด้วยตนเอง จะทาํ ใหม้ ใี จรักวทิ ยาศาสตร์ รจู้ ักใชค้ วามรู้ ความคดิ เปน็ คนมเี หตุผล มีขนั้ ตอน ในการปฏิบัติเป็นอย่างดี และสามารถใช้ระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการทํางาน ด้วยเหตุน้ีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนกั เรยี นทเ่ี รียนโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เรื่อง เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนหลังเรียน จึงสูงกว่ากอ่ นเรียน 3.2 การศึกษาเจตคติต่อส่ิงแวดล้อมของนักเรียนที่เรียนโดยใช้สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เรื่อง เร่ิมต้นกับ วทิ ยาศาสตรท์ างทะเล มคี ่าเฉลยี่ อยใู่ นระดบั ดี เหตุทีเ่ ปน็ เช่นนี้เพราะรูปแบบการเรียนการสอนของสาระการเรียนรู้ ท้องถิน่ ทีผ่ ู้วิจัยสร้างขึ้น คือ นําผู้เรียนออกไปสัมผัสกับการศึกษาและเก็บข้อมูลด้านส่ิงแวดล้อมภาคปฏิบัติ ปลูกฝัง ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตรค์ วบคู่กบั จติ สาํ นกึ ทด่ี ีต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่นของตน ทําให้ผู้เรียนท่ีได้รับการเรียน การสอนแบบนี้จะเป็นผู้ท่ีรักหมู่บ้าน มีจิตสํานึกท่ีดี พยายามแก้ปัญหาในหมู่บ้านตลอดเวลา และพร้อมที่จะลงมือ ทํางานร่วมกับชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับบรูเนอร์ (Bruner, 1960, หน้า 182) ที่กล่าวว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ง่าย ถ้าเรียนในสิ่งที่มีความหมายต่อผู้เรียนและการเรียนจะเกิดผลดีเมื่อผู้เรียนมีจุดมุ่งหมาย มีความต้องการ มีความสนใจ และลงมอื กระทําด้วยตนเอง นอกจากน้ีการเรียนรู้ยังเกิดจากการรับรู้ ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมท่ีมีความหลากหลาย นอกจากน้ีในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนผู้วิจัยซึ่งเป็นผู้สอนมักเชิญนักอนุรักษ์ทางทะเลมาร่วมเป็นวิทยากร ด้วยบ่อย ๆ การที่นักเรียนได้สัมผัสกับแบบอย่างของนักอนุรักษ์อยู่เป็นประจํา ได้สัมผัสกับสภาพธรรมชาติของ ท้องทะเลอยบู่ ่อย ๆ จึงทําใหเ้ จตคตติ ่อสิ่งแวดล้อมของนักเรยี นมีคา่ เฉล่ยี อยู่ในระดบั ดี 3.3 การศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อความเหมาะสมของสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เร่ือง เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล มีความเหมาะสมในระดับเห็นด้วยมาก เพราะสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น เรอ่ื ง เริ่มต้นกับวิทยาศาสตร์ทางทะเล ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติกิจกรรม ส่ือหลัก และสื่อเสริม ซึ่งช่วยให้นักเรียนเข้าในเน้ือหาสาระมากย่ิงขึ้น นักเรียนมีข้อคิดเห็นว่าความรู้ที่ได้รับจากสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน สามารถนําไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจําวันได้ อาจเป็นเพราะผู้วิจัยได้กําหนดเน้ือหาตามความต้องการของผู้เรียน และสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของเตือนใจ ดวงละม้าย (2549; บทคัดย่อ) ซึ่งพบว่า หลักสตู รทส่ี อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของท้องถน่ิ ผู้เรยี นสามารถนําไปใชใ้ นชวี ิตประจําวันได้ ขอ้ เสนอแนะ 1. การจัดทําสาระการเรียนรู้ท้องถ่ินตามความต้องการของผู้เกี่ยวข้องและสภาพแวดล้อมของท้องถ่ิน ทาํ ให้นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนในสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นในลักษณะดังกล่าวเกิดเจตคติต่อสิ่งแวดล้อม ในระดบั ดี ดงั นน้ั หากต้องการใหน้ กั เรยี นเกดิ เจตคตทิ ี่ดตี ่อสงิ่ แวดล้อมในท้องถ่ินของตน ควรจัดทําสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน ที่มีการสํารวจความต้องการของผู้เกี่ยวข้องและสภาพแวดล้อมของท้องถ่ิน เพ่ือจัดทําเป็นสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น ตามลกั ษณะทอ้ งถ่ิน นั้น ๆ 2. ควรทําการวิจัยทํานองเดียวกันนี้ โดยศึกษาผลการเรียนรู้ด้านความสามารถในการคิดด้านอื่น ๆ เช่น ความสามารถในการคิดแกป้ ญั หา หรอื ผลการเรยี นรูด้ า้ นจติ พิสัยที่สูงข้นึ เช่น ค่านยิ มทางวิทยาศาสตร์ เป็นตน้ 3. ควรทําการวิจัยทํานองเดียวกันนี้ โดยศึกษาผลการเรียนรู้ด้านความสามารถในการคิดด้านอื่น ๆ เช่น ความสามารถในการคดิ แก้ปญั หา หรอื ผลการเรียนรู้ด้านจิตพิสยั ทีส่ ูงขึน้ เช่น ค่านยิ มทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
การประชมุ ทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพอื่ เพ่ิมคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 135รายการอ้างองิกรมวิชาการ. (2540). คู่มือการพัฒนาหลกั สตู รตามความตอ้ งการของทอ้ งถน่ิ . (พิมพ์ครัง้ ท่ี 2). กรุงเทพ ฯ: ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว.________. (2544). หลกั สตู รการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2544. (พมิ พค์ รั้งท่ี 2). กรุงเทพ ฯ: โรงพิมพอ์ งค์การรบั ส่งสนิ ค้าและพสั ดุภัณฑ.์ทิศนา แขมมณ.ี (2551). ศาสตรก์ ารสอน องค์ความรเู้ พ่ือการจดั การเรียนร้ทู ีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ. (พมิ พค์ รั้งที่ 8). กรุงเทพ ฯ: สํานักพิมพจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .บปุ ผชาติ ทฬั หกิ รณ์. (2538). หลักการเพอื่ การเรียนรู้วทิ ยาศาตร.์ ครวู ทิ ยาศาสตร,์ 3 (1), หน้า 5เปีย่ มศกั ดิ์ มานะเศวต. (2549). วทิ ยาศาสตร์ทางทะเล. Science in action, 2(5), หนา้ 3พรรณี ช เชนจติ . (2538). จติ วิทยาการเรยี นการสอน. กรงุ เทพ ฯ: บรษิ ทั คอมแพคท์ พรนิ ท์ จํากดัภพ เลาหไพบูลย์. (2542). แนวการสอนวทิ ยาศาสตร์. กรงุ เทพ ฯ: ไทยวฒั นาพานิชวิชัย วงษใ์ หญ.่ (2525 ). พัฒนาหลักสตู รและการสอนมติ ิใหม.่ (พิมพ์คร้งั ท่ี 3). กรงุ เทพ ฯ: โอเดยี นสโตร.์________. (2535). การพฒั นาหลักสตู รครบวงจร. กรงุ เทพ ฯ: สุวริ ิยาสาสน์.สงดั อทุ รานันท์. (2528). พน้ื ฐานและการพัฒนาหลกั สูตร. (พมิ พค์ ร้งั ที่ 3). กรงุ เทพ ฯ: เซน็ เตอร์พับบลเิ คชัน่ .________. (2538). หลักสูตรและการสอน. กรงุ เทพ ฯ: สาํ นกั พิมพจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี (2544). คมู่ ือการจัดการเรยี นรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์. กรงุ เทพฯ: องคก์ ารรับส่งสนิ ค้าและพสั ดภุ ัณฑ(์ ร.ส.พ.).________. (2551). 36 ปี สถาบสั ่งเสรมิ การสอนวิทยาศาตรแ์ ละเทคโนโลย.ี ม.ป.ท.สุชาติ วงศ์สวุ รรณ. (2537). ทอ้ งถนิ่ กับการพัฒนาหลกั สูตร. สารพฒั นาหลกั สูตร, 14(21), หน้า 119.Bruner, J.S. (1960). The Process of Education. Cambridge: Harvard University Press.Gagne', R.M. (1970). The Condition of learning. (2nd ed). New York: Holt Rinchart and Winston.Karplus, R. (1977). Science Teacher and the Development of Reasoning. Research in Science Teaching, 14, 169 - 175.Sylor, G,Alexander, W.M. & Levis, R.B. (1974). Curriculum Planning for The Better Teaching and Learning. New York: Holt Rinehart and Winston Inc.Tylor, Raph.W. (1950). Basic Principle of Curriculum and Instruction. Chicago: University of Chicago Press.
136 การประชมุ ทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพ่อื เพ่ิมคณุ ภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชพี ”ผลงานวิจัย การพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอร์มลั ตมิ ีเดยี ภาคความรู้ รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) สําหรบั นกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นอยธุ ยาวทิ ยาลยัผูว้ ิจัย นายศุภกร การสมบตั ิปีท่ีวจิ ยั 2556 บทคัดยอ่ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ก่อนและหลังการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2(งานช่าง) และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัยท่ีมีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่นักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นอยธุ ยาวทิ ยาลยั ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2556 จํานวน 5 ห้อง รวมท้ังส้ิน261 คน ซึ่งได้จากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย คู่มือการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียสถติ ทิ ่ใี ชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มูล คือ คา่ ร้อยละ ค่าเฉลีย่ ( ) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าประสิทธิภาพตามเกณฑ์80/80 จากสูตร E1/E2 และสถติ ทิ ดสอบที (t - test dependent) ผลการวจิ ยั สรุปไดด้ งั นี้ 1. ค่าประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2(งานช่าง) สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 – 3 มีค่า E1/E2เท่ากบั 80.74/81.07, 80.43/81.34, 80.03/80.88 และ 80.57/81.26 ตามลําดบั ซึ่ง เป็นไปตามเกณฑท์ กี่ ําหนด 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียหลังเรียนสูงกว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นกอ่ นเรียนทกุ หนว่ ยการเรียนรู้ ทร่ี ะดบั 0.01 3. ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มลั ตมิ เี ดยี ในภาพรวมอยใู่ นระดับมากทสี่ ุด มคี า่ เฉล่ยี เท่ากบั 4.65ความเปน็ มาและความสําคญั ของปัญหาการวิจยั กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เป็นสาระการเรียนรู้ท่ีช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ มีทกั ษะการงานอาชพี ที่จําเปน็ ต่อการดาํ รงชีวิต และรู้เท่าทนั การเปล่ียนแปลง สามารถนําความรู้เก่ียวกับการดํารงชีวิต การงานอาชีพและเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ในการทํางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์และแข่งขันในสังคมไทยและสากล เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ รักการทํางาน และมีเจตคติที่ดีต่อการทํางาน สามารถดํารงชีวิตอยใู่ นสงั คมได้อย่างพอเพียงและมคี วามสขุ (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน. 2551: 5 - 7) โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย จัดการเรียนรู้โดยใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551การจัดการเรยี นรู้ในกลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยีมงุ่ พฒั นาผูเ้ รียนแบบองค์รวม เพื่อให้มีความรู้ความสามารถ มีทักษะในการทํางาน และเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยจัดรายวิชาที่มีเน้ือหาสาระครอบคลุม 6 งานหลัก คือ งานช่าง งานธุรกิจ งานเกษตร งานประดิษฐ์ งานบ้านและงานคอมพิวเตอร์ การจัดโครงสร้างรายวิชาในกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี โรงเรียนอยุธยาวทิ ยาลยั นัน้ จัดโครงสร้างรายวิชาที่เน้นความเหมาะสมสอดคล้องกับบรบิ ทของสถานศึกษาท้ัง ในด้านบุคลากรและความต้องการของผู้เรียน โดยจัดรายวิชาทั้งสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และสาระการเรียนรู้เพ่ิมเติม
การประชมุ ทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพือ่ เพ่มิ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 137แยกเป็น 6 งานหลัก ให้ผู้เรียนเรียนรู้ในช่วง 3 ปี ซึ่งในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3 นั้น ผู้เรียนจะเรียนสาระการเรียนรู้การงานอาชีพในแต่ละภาคเรียนไม่พร้อมกันโดยในช่วง 3 ปีการศึกษา นักเรียนจะเรียนครบ 6 งาน คืองานบ้าน งานช่าง งานประดิษฐ์ งานเกษตร งานธุรกิจ และงานคอมพิวเตอร์ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แต่ละงานครผู ู้สอนจะยึดตวั ชว้ี ัดเปน็ หลักในการจัดกิจกรรมการเรียนร้โู ดยแทรกเนือ้ หาในงานตา่ ง ๆ เข้าไปบูรณาการในการเรียนรู้ซ่ึงเมื่อผู้เรียน เรียนครบ 3 ปีการศึกษา นักเรียนจะเรียนรู้ครอบคลุมตามมาตรฐาน และตัวชี้วัดของหลักสูตรแกนกลางทกี่ าํ หนดและได้เรียนรคู้ รอบคลุมเนือ้ หา 6 งานหลกั ดว้ ย (โรงเรียนอยุธยาวทิ ยาลัย. 2551: 30) รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐาน จากการสังเกตบรรยากาศการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภายในช้ันเรียน และสอบถามปัญหาในการเรียนรู้รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง)ในปีการศึกษา 2555 พบปัญหาที่สําคัญในการเรียนรู้ของนักเรียน คือ นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบการเรียนรู้ในภาคทฤษฎีหรือภาคความรู้ เพราะว่ากิจกรรมการเรียนรู้ในภาคความรู้ ส่วนใหญ่ครูจะให้ศึกษาจากหนังสือเรียนหรอื ใบความรู้ และทาํ กจิ กรรมตามแบบฝกึ หัดและใบงานที่กําหนด นกั เรียนมีความคิดเห็นว่า เม่ือปฏิบัติหลาย ๆ ครั้งนักเรียนมีความรู้สึกว่าเป็นกิจกรรมที่น่าเบื่อ ไม่ค่อยมีสื่อการเรียนรู้ท่ีมีความแปลกใหม่และน่าสนใจ จากสภาพปัญหาดังกล่าว ผ้วู ิจัยจงึ สนใจในการแกป้ ญั หาการจดั กจิ กรรม การเรยี นรูร้ ายวชิ า ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานชา่ ง)โดยการศึกษารูปแบบของสื่อการเรียนรู้ ตลอดจนการศึกษาแนวทางการผลิตสื่อการเรียนรู้หรือนวัตกรรมที่เหมาะสมกับนักเรียนมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือให้นักเรียนพัฒนาการทางการเรียนท่ีดีขึ้นโดยเน้นการแก้ปัญหาการจัดการเรยี นรู้ ในส่วนเนอ้ื หางานช่างในภาคความรูท้ น่ี ักเรียนเกิดความเบอ่ื หน่าย จากการศกึ ษาแนวคิดเก่ียวกบั สอ่ื การเรียนรู้ พบว่า ในปัจจุบันส่ือการเรียนรู้ประเภทคอมพิวเตอร์เป็นส่ือท่ีมีความสําคัญและเป็นทนี่ า่ สนใจสาํ หรบั นกั เรียน เปน็ ตัวกลางในการส่อื สารระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนได้อย่างมีระบบผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองเนื่องจากคอมพิวเตอร์ช่วยให้การเรียนการสอนมีปฏิสัมพันธ์กันได้ในระหว่างผ้เู รียนกับคอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกับการเรียนการสอนระหว่างครูกับนักเรียนในห้องเรียนปกติ (กิดานันท์ มลิทอง.2548: 10) สามารถสนองความแตกต่างของผู้เรียนได้ดีท่ีสุด นอกจากนั้นยังช่วยประหยัดเวลาในการเรียนของผู้เรียนเพราะผู้เรียนสามารถควบคุมวิธีการเรียนได้ด้วยตนเอง บทเรียนที่นําเสนอด้วยคอมพิวเตอร์จะทําให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจและสนใจท่ีจะเรียนเพิ่มมากขึ้น เน่ืองจากคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเป็นสื่อที่ประยุกต์ในการพัฒนาเทคโนโลยที างดา้ นคอมพิวเตอร์ โดยมีการพัฒนารูปแบบการนําเสนอในส่วนของตัวอักษร กราฟิก ภาพเคล่ือนไหวเสยี งและลกั ษณะการผสมผสานรว่ มกับส่ืออน่ื ในลักษณะส่อื ประสม เพ่ิมความน่าสนใจมากขึ้น ผู้วิจัยในฐานะผู้สอนในรายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) จึงสนใจที่จะพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) สําหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1เพ่อื แกไ้ ขปัญหาการเรียนการสอนในสว่ นเนอ้ื หางานช่างในภาคความรู้ ที่นักเรียนเกิดความเบ่ือหน่าย ผลการศึกษาจะช่วยส่งเสริมและกระตุ้น ให้นักเรียนมีความสนใจ และมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้มากย่ิงข้ึน ส่งผลให้เกิดการพัฒนาให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงข้ึน นอกจากน้ีผลการวิจัยจะเป็นแนวทางในการพัฒนาสื่อและนวัตกรรมสําหรับครูที่จะนํามาปรับปรุงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้มีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น อันจะส่งผลต่อการพฒั นาผู้เรียนใหเ้ กดิ การเรียนร้ตู ามศกั ยภาพของตนเองอย่างสงู สดุ ตอ่ ไปวัตถุประสงค์การวจิ ยั 1. เพ่ือพัฒนาและหาประสิทธิภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ รายวิชา ง 21102การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพอ่ื เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรยี นอยธุ ยาวทิ ยาลยั 3. ก่อนและหลังการใชบ้ ทเรียนคอมพวิ เตอรม์ ัลตมิ ีเดียภาคความรรู้ ายวชิ า ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มลั ติมีเดียภาคความรู้ รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานชา่ ง)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339