138 การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพ่อื เพิม่ คุณภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวชิ าชีพ” นิยามศัพท์เฉพาะ 1. บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย หมายถึง บทเรียนที่ใช้กับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ท่ีบรรจุในแผ่นซีดีรอม (CD - ROM) แสดงผลออกมาทางจอภาพผ่านระบบปฏิบัติการวินโดว์ นําเสนอเน้ือหาบทเรียนด้วยตัวอักษร สัญลักษณ์ ภาพน่ิง ภาพเคล่ือนไหว เสียงดนตรี เสียงบรรยาย ข้อความกราฟิกต่าง ๆ พร้อมท้ังแบบฝึกหัดระหว่างเรียนและ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิก่อนและหลังเรียน โดยมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับบทเรียน ในการวิจัยคร้ังน้ี คือ บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) สําหรับนักเรียน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรยี นอยุธยาวิทยาลยั ทผ่ี ูว้ จิ ยั พัฒนาข้นึ 2. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย หมายถึง ระดับคุณภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ มัลตมิ ีเดียทพี่ ัฒนาขึน้ โดยการตรวจสอบผลทีเ่ กิดกับนกั เรียน ประเมนิ ผลแลว้ ไดต้ ามเกณฑ์ทกี่ ําหนด คือ 80/80 โดยที่ 80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉล่ียของนกั เรยี นทกุ คนที่ได้คะแนนรวมจากการทาํ แบบฝึกหัด ระหว่างเรียนโดยใชบ้ ทเรยี นคอมพิวเตอร์มัลตมิ ีเดยี ไดค้ ะแนนไมน่ ้อยกว่า รอ้ ยละ 80 80 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนท่ีได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิหลังเรียน รายหนว่ ยการเรียนรู้ ได้คะแนนไม่นอ้ ยกว่า รอ้ ยละ 80 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ของนักเรียนท่ีได้รับจากการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย ภาคความรู้ รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียน อยธุ ยาวิทยาลัย ซึง่ วดั โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นรายหนว่ ยการเรียนรู้ท่ีผู้วจิ ัยสรา้ งข้ึน 4. ความพึงพอใจของนกั เรียน หมายถึง ความรู้สึกชอบ ความสนใจ ความรู้สึกท่ีดีของนักเรียนเมื่อได้เรียนรู้ โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) สําหรับนักเรียน ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรยี นอยธุ ยาวทิ ยาลัย ซง่ึ วัดโดยใช้แบบสอบถามความพงึ พอใจท่ผี ู้วจิ ัยสร้างขน้ึ 5. นักเรียน หมายถึง บุคคลซึ่งกําลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2556 แนวคิด/ทฤษฎที เี่ กีย่ วขอ้ งการพฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอรม์ ัลตมิ เี ดยี ภาคความรู้ บทเรยี นคอมพวิ เตอร์มลั ตมิ เี ดยี ภาคความรู้ รายวชิ า ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานชา่ ง) รายวชิ า ง 21102 การงานอาชพี 2 (งานชา่ ง) ขั้นการวางแผน (Planning) ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพวิ เตอร์มลั ตมิ ีเดยี ขน้ั การออกแบบ (Design) ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน ข้นั การพัฒนา (Development) ความพงึ พอใจของนกั เรียนขั้นการประเมินและปรบั ปรงุ (Evaluation and Revise)
การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพอ่ื เพมิ่ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 139กรอบแนวคดิ การวจิ ยั แนวคิดหลักในการวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยได้นําแนวคิดขั้นตอนการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียของณัฐกร สงคราม (2553: 128 - 144) มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาซึ่งประกอบด้วย การดําเนินการ 4 ขั้น คือข้ันการวางแผน (Planning) ข้ันการออกแบบ (Design) ขั้นการพัฒนา (Development) และขั้นการประเมินและปรบั ปรุง (Evaluation and Revise) ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้ ข้ันที่ 1 การวางแผน (Planning) ประกอบด้วย กําหนดเป้าหมาย การวิเคราะห์ปัจจัยท่ีเกี่ยวข้อง และการกําหนดแผนการปฏบิ ัตงิ าน ขั้นที่ 2 การออกแบบ (Design) ประกอบด้วย การเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม การเขียนเนื้อหาการกาํ หนดรปู แบบ กลวิธีในการสอน และวิธีการประเมินผล การวางโครงสร้างของบทเรียนและเส้นทางการควบคุมบทเรียน การเขียนผังการทํางาน (Flow Chart) ของโปรแกรม การร่างส่วนประกอบต่าง ๆ ในหน้าจอ (InterfaceLayout) และการเขียนสตอรีบ่ อร์ด (Storyboard) ขัน้ ที่ 3 การพฒั นา (Development) ประกอบดว้ ย การเตรยี มสื่อในการนําเสนอเน้ือหา การเตรยี มกราฟกิทใี่ ช้ตกแตง่ หนา้ จอ การเขยี นโปรแกรม ทดสอบการใช้งานเบ้อื งต้น และสร้างคู่มือการใช้งานและบรรจุภัณฑ์ ขั้นท่ี 4 การประเมินและปรับปรุง (Evaluation and Revise) ประกอบด้วย การประเมินคุณภาพโดยผเู้ ชย่ี วชาญ (Expert Evaluation) การทดลองใชก้ ับผู้เรียน (Learner Try - out) แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ Pilot Testingและ Field Testing และการปรับปรงุ แก้ไข (Revise)วธิ ีดาํ เนินการวจิ ยั ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง ประชากรท่ีใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ภาคเรียนที่ 2ปกี ารศึกษา 2556 จํานวน 18 หอ้ ง รวมทั้งสน้ิ 940 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ภาคเรียนที่ 2ปีการศึกษา 2556 จํานวน 5 ห้อง รวมท้ังสิ้น 261 คน ซึ่งได้จากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling)ด้วยวิธีการจับฉลาก โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม (Sampling unit) ประกอบด้วย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1/2, 1/6, 1/10, 1/14 และ 1/17 เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย คู่มือการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ และแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ประกอบบทเรียนคอมพวิ เตอร์มลั ติมเี ดีย ผู้วิจัยการดําเนินการ 4 ขั้นคือ ขั้นการวางแผน (Planning) ขั้นการออกแบบ (Design) ข้ันการพัฒนา(Development) และ ขั้นการประเมนิ และปรับปรุง (Evaluation and Revise) ดังรายละเอียด ดังน้ี ขัน้ ที่ 1 การวางแผน (Planning) ผู้วจิ ัยดําเนินการ ดังนี้ 1) กําหนดเป้าหมายในการพัฒนา คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย 2) วิเคราะห์ปัจจัยท่ีเกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อมูลในการวางแผนการพัฒนาบทเรียนมัลติมีเดียผ้วู ิจัยวิเคราะห์ปจั จยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง ได้แก่ กลมุ่ เป้าหมาย รูปแบบการนาํ เสนอ เนื้อหาวิชา และทรัพยากรที่ใช้ในการพัฒนาดังน้ี 2.1) การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ซ่ึงเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 เพื่อให้มีความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว โดยยึดหลักการสําคัญ คือ รูปแบบของบทเรียนออกแบบให้ดึงดูดความสนใจของนกั เรยี น เนอ้ื หาในบทเรียนไม่มากเกินไป และมเี สียงบรรยายช่วยใหน้ ักเรยี นสามารถเรยี นรไู้ ดด้ ขี ้ึน
140 การประชมุ ทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ยั เพอ่ื เพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชีพ” 2.2) การวิเคราะห์รูปแบบการนําเสนอบทเรียนมัลติมีเดียภาคความรู้ในครั้งน้ี ผู้วิจัยพัฒนา ในรูปแบบบทเรียนที่บรรจุโปรแกรมลงในแผ่น CD - ROM (CD - ROM Multimedia) ไม่จําเป็นต้องเรียนผ่านเครือข่าย อินเตอร์เน็ตเพอ่ื ใหน้ กั เรียนนาํ ไปใช้ได้สะดวก รวดเร็วและเหมาะสม 2.3) การวิเคราะห์เนื้อหาวิชาโดยการศึกษาสาระสําคัญหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 และสาระสําคัญของรายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ2 (งานช่าง) เพ่ือนํามากําหนด ขอบขา่ ยของเนื้อหาในแต่ละหนว่ ยการเรียนรู้ ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร แบ่งได้เป็น 6 หน่วยการเรียนรู้ รวมท้งั สิ้น 40 ชวั่ โมง 2.4) การวิเคราะห์ทรัพยากรที่ใช้ในการพัฒนา โดยใช้โปรแกรม Macromedia Captivate เปน็ หลักในการพฒั นาบทเรยี นมัลติมีเดียภาคความรู้ เพราะเป็นโปรแกรมที่ง่าย รวดเร็ว และสะดวกในการเผยแพร่ ชิ้นงาน เหมาะสมสาํ หรบั การใช้งานดา้ น E - learning (อภิชัย เรอื งศิริปิยะกุล. 2553: 9 - 12) 3) กําหนดแผนการปฏบิ ัตงิ าน นาํ ขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการวเิ คราะห์มาทําการวางแผนการปฏิบัติงาน ในการพัฒนาบทเรียนมลั ตมิ ีเดียภาคความรู้ เป็นระยะ ๆ ขัน้ ท่ี 2 การออกแบบ (Design) ขั้นตอนในการออกแบบพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ภาคความรู้ ผวู้ ิจยั ดาํ เนนิ การตามขัน้ ตอนการออกแบบ ดังน้ี 1) เขยี นจุดประสงค์การเรยี นรู้ 2) รวบรวมและเขียนเน้ือหา จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ตามหัวข้อท่ีวางแผนไว้ หลังจากน้ันนําไป ให้ผู้เช่ียวชาญด้านเนื้อหา ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) ซงึ่ ผลการตรวจสอบคา่ IOC อยูร่ ะหวา่ ง 0.67 - 1.00 3) กําหนดรูปแบบการจัดการเรียนรู้ และวิธีการประเมินผล ในแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบการจดั การเรียนรโู้ ดยใชบ้ ทเรียนคอมพิวเตอร์มลั ตมิ เี ดยี ภาคความรู้ 4) วางโครงสร้างของบทเรียนและเส้นทางการควบคุมบทเรียน ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ ออกแบบให้มีรูปแบบท่ีผสมผสานระหว่างมัลติมีเดียแบบการสอนเนื้อหา (Tutorial Instruction) แบบการฝึกหัด (Drills and Practice) และแบบการทดสอบ (Tests) มีโครงสร้างภายในหน่วยการเรียนรู้ ลักษณะไม่เป็นเส้นตรง (Non - Linear Structure) โดยให้ความยืดหยุ่นในการเลือกศึกษาเน้ือหาในหน่วยการเรียนรู้ตามความสนใจหรือ ความต้องการของตน จะเลือกเรียนไปตามลําดับหรือเลือกเรียนหัวข้อหรือเน้ือหาใดก่อนหลังได้ แต่จะต้องเรียน ให้ครบตามเน้ือหาที่กําหนด ส่วนโครงสร้างระหว่างหน่วยการเรียนรู้ มีลักษณะแบบเส้นตรง (Linear Structure) นักเรียนต้องเรียนรู้ตามลําดับเน้ือหาท่ีครูกําหนดในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ เน่ืองจากเน้ือหามีจํานวนมาก นักเรียน อาจสับสันถ้าไม่เรียนรู้ตามลําดับเน้ือหาที่กําหนด ส่วนประกอบภายในบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ ประกอบด้วย ส่วนนํา (Title) หน้าหลัก (Home) คําแนะนําการใช้บทเรียน (Introduction) เมนูหลัก (Menu) เน้ือหา/กิจกรรมรายหน่วยการเรียนรู้ บรรณานุกรม (Bibliography) และผ้จู ดั ทํา (Author) 5) เขียนผังการทํางาน (Flow Chart) ของบทเรียน เพื่อนําไปร่างส่วนประกอบต่าง ๆ ในหน้าจอ ตอ่ ไป 6) ร่างส่วนประกอบต่าง ๆ ในหน้าจอ (Interfacr Layout) เพื่อจะทําให้เราทราบส่วนประกอบ ในหน้าจอของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ซ่ึงในการวิจัยครั้งน้ีในหน้าจอ ประกอบด้วย หัวข้อ เน้ือหา ภาพนิ่ง และภาพเคลอื่ นไหว ตลอดจนระบบการเข้าถงึ ขอ้ มูล (Navigation) คือ ปมุ่ ควบคมุ บทเรียน 7) เขยี นสตอรบี่ อร์ด (Storyboard) แตล่ ะเฟรมตง้ั แต่เฟรมแรกจนถงึ เฟรมสุดทา้ ยของบทเรียน โดยกําหนดรายละเอียดการนําเสนอในแต่ละเฟรม เพื่อนําไปใช้ในขั้นการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ในขั้นตอ่ ไป
การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพือ่ เพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 141 ข้ันที่ 3 การพัฒนา (Development) ขั้นการพัฒนาบทเรียนมัลติมีเดียภาคความรู้ ผู้วิจัยดําเนินการตามกระบวนการต่อไปน้ี 1) เตรียมสื่อในการนําเสนอเน้ือหา ประกอบด้วย ข้อความ ภาพน่ิง ภาพเคล่ือนไหว เสียง วีดิทัศน์และกราฟฟิกตกแต่ง ดําเนินการนําสตอรี่บอร์ด ไปให้ผู้เช่ียวชาญด้านสื่อ ตรวจสอบความสอดคล้องของเนื้อหาและสื่อในการนําเสนอ โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) ซึ่งผลการตรวจสอบคา่ IOC อยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 2) สร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย โดยใช้โปรแกรม Macromedia Captivate ตามท่ีกําหนดไว้ในสตอรบี่ อร์ด โดยนํากราฟกิ หนา้ จอ ภาพนง่ิ ภาพเคลอื่ นไหว วดี ทิ ศั น์ และเสียงท่ีไดจ้ ดั เตรียมไวแ้ ลว้ มาประกอบลงในโปรแกรมจนสมบรู ณ์สวยงาม 3) ทดสอบการใช้งานเบื้องต้น โดยตรวจสอบการใช้งานเพ่ือหาข้อผิดพลาดของบทเรียนและทาํ การปรบั ปรุงแก้ไข จนมนั่ ใจวา่ บทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ติมีเดียไม่มขี ้อผิดพลาดใด ๆ 4) สรา้ งคมู่ ือการใช้งานและบรรจภุ ณั ฑ์ เพือ่ เป็นการอํานวยความสะดวกแก่กลุ่มเป้าหมายท่ีจะนําบทเรยี นคอมพิวเตอรม์ ลั ติมีเดยี ไปใช้ ขน้ั ท่ี 4 การประเมินและปรับปรุง (Evaluation and Revise) โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเน้ือหาและด้านสื่อ(Expert Evaluation) และนาํ ไปทดลองใช้สอน (Learner Try - out) ซง่ึ มขี ั้นตอนการประเมนิ และปรับปรงุ ดงั นี้ 1) การประเมนิ คุณภาพโดยผ้เู ชี่ยวชาญ (Expert Evaluation) 1.1) การประเมินด้านเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเน้ือหา ซึ่งผลการประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ด้านเนื้อหา มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยในภาพรวมเท่ากบั 4.60 มีระดับคุณภาพ/ความเหมาะสมในระดบั มากท่ีสุด 1.2) การประเมนิ ด้านสือ่ โดยผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นสอ่ื ซง่ึ ผลการประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ด้านสื่อ มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากถึงมากท่ีสุด มีค่าเฉลี่ยในภาพรวม เท่ากับ 4.60มรี ะดับคณุ ภาพ/ ความเหมาะสมในระดบั มากทส่ี ุด 2) การทดลองใช้กับผ้เู รยี น (Learner Try - out) แบง่ เปน็ 2 ขั้นตอน คอื 2.1) การทดลองใช้กับผู้เรยี นกลุม่ เลก็ (Pilot Testing) เพ่อื ตรวจสอบข้อบกพร่องของบทเรยี นคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียในด้านต่าง ๆ โดยนําบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียที่สร้างข้ึนให้นักเรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลมุ่ ตวั อยา่ ง ซึง่ เปน็ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/7 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย จํานวน 3 คนท่ีมีผลการเรียนดี ปานกลาง และอ่อน ทําการเก็บข้อมูลโดยการสังเกตพฤติกรรม และสัมภาษณ์นักเรียนถึงปญั หาตา่ ง ๆ เพอื่ นาํ ไปปรบั ปรุงแก้ไข 2.2) การทดลองใช้กับผู้เรียนกลุ่มใหญ่ (Field Testing) การทดลองกับผู้เรียนกลุ่มใหญ่เป็นการทดลองเพ่ือหาแนวโน้มประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียและเป็นการตรวจสอบเพ่ือหาข้อบกพร่องในด้านต่าง ๆ เพื่อนําไปปรับปรุงแก้ไข โดยนําไปให้นักเรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นห้องที่มีผลการเรียนคละกันระหว่างนักเรียนกลุ่มที่เรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน ซ่ึงเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1/11 ปกี ารศึกษา 2556 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย จํานวน 50 คน และเก็บรวบรวมข้อมูลคะแนนจากการทําแบบฝึกหัดระหว่างเรียนและแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน เพื่อนํามาเป็นข้อมูลในการหาประสิทธิภาพของบทเรยี นคอมพิวเตอร์มลั ตมิ ีเดียไดค้ า่ ประสทิ ธภิ าพรายหนว่ ย 80.07/83.00, 80.27/81.20, 80.13/80.40 และ80.30/84.20 ตามลําดับ
142 การประชมุ ทางวชิ าการของคุรุสภา ประจําปี 2557 “การวิจยั เพ่ือเพิ่มคุณภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชีพ” 2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ผู้วิจัยดําเนินสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 1 ประกอบด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนกอ่ นและหลงั เรยี น รายหนว่ ยการเรยี นรู้ มีลักษณะเปน็ แบบเลือกตอบ 4 ตวั เลือก หน่วยการเรียนรู้ละ 10 ข้อ รวม 40 ข้อ ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญโดยเลือกข้อที่มีค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.20 - 0.80 และคา่ อํานาจจาํ แนก (r) อยรู่ ะหวา่ ง 0.20 - 1.00 หากข้อใดต่างไปจากเกณฑ์ดังกล่าวจะนําไปปรับปรุงแก้ไข จนกว่าจะมีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กําหนด ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบรายข้อ เพื่อหาคุณภาพของแบบทดสอบท้ัง ฉบับ โดยใช้สูตร KR - 20 (Kuder - Richardson 20) ได้ค่าความเชื่อม่ันทั้งฉบับของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นทั้ง 4 หน่วย 0.87, 0.82, 0.89 และ 0.79 ตามลําดบั 3. แบบสอบถามความพงึ พอใจของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจยั ดาํ เนนิ การสรา้ งแบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ ท่ีสร้างขึ้นผ่านการตรวจสอบโดยผู้เช่ียวชาญไปทดลองใช้และ วิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (α) ของครอนบาค (Cronbach) ได้คา่ ความเช่อื มน่ั ของแบบสอบถาม ทง้ั ฉบับเท่ากบั 0.87 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 1. สัปดาหแ์ รกผ้วู ิจยั ปฐมนิเทศชีแ้ จงรายละเอยี ดการเรียนรายวชิ า การงานอาชีพ2 (งานช่าง) และการเรียนรู้ โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมเี ดยี ภาคความรู้ ใหก้ ับกลมุ่ ตวั อย่าง 2. สัปดาห์ที่ 2 ถึงสัปดาห์ที่ 10 รวม 9 สัปดาห์ ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างเรียนรู้ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ มลั ตมิ เี ดียภาคความรู้ โดยใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ต่อ 1 คน ระหว่างการใช้บทเรียนนักเรียนจะต้องบันทึกคะแนน จากการทําแบบฝึกหัดระหว่างเรียนรายหน่วยการเรียนรู้ และคะแนนจากการทําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อน และหลังเรียนรายหน่วยการเรียนรู้ ลงในสมุดบันทึกกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้ครูนําไปใช้ในการหาประสิทธิภาพ ของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลตมิ ีเดียภาคความรู้ ตอ่ ไป 3. สัปดาห์สุดท้ายหลังจากเรียนรู้โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถาม ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ภาคความรู้ การวเิ คราะห์ข้อมูล 1. การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย จากสูตร E1/E2 (ชัยยงค์ พรหมวงศ์. 2537: 136) 2. การวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ โดยกําหนด เกณฑ์การแบ่งระดับความพึงพอใจของนักเรียน แบ่งเป็น 5 ระดับ ใช้สถิติค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ในการแปลผลขอ้ มลู 3. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ภาคความรู้ ผู้วิจัยใช้โปรแกรมสําเร็จรูปในการวิเคราะห์ ซึ่งสถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติทดสอบที t - test (t - test dependent) (ฉัตรศริ ิ ปยิ ะพิมลสิทธ์ิ. 2548: 69) สรุปผลการวจิ ยั 1. ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) พบว่า หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเก่ียวกับงานช่าง มีค่า E1/E2 เท่ากับ 80.74/81.07 หน่วย การเรียนรู้ท่ี 2 เคร่ืองมือ วัสดุ อุปกรณ์งานช่าง มีค่า E1/E2 เท่ากับ 80.43/81.34 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 ความปลอดภัย ในการปฏิบัติงานช่าง มีค่า E1/E2 เท่ากับ 80.03/80.88 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 งานเขียนแบบเบ้ืองต้น มีค่า E1/E2 เท่ากับ 80.57/81.26 ซ่ึงเป็นไปตามเกณฑ์ทก่ี าํ หนดไว้ 80/80 ในสมมตฐิ านขอ้ ท่ี 1 ทต่ี ัง้ ไว้
การประชุมทางวิชาการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพ่อื เพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 143 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียทุกหน่วยการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นกอ่ นการใชบ้ ทเรียนคอมพวิ เตอร์มลั ติมีเดยี อย่างมีนยั สําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมตฐิ านขอ้ ท่ี 2 ท่ีต้งั ไว้ 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.65 และเมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ความพึงพอใจบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลตมิ เี ดีย ในระดบั มากที่สุดทุกรายการอภปิ รายผลการวจิ ัย 1. ผลการหาประสิทธิภาพบทเรยี นคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2(งานช่าง) สําหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย พบว่า ประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ ทุกหน่วยการเรียนรู้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กําหนดไว้ 80/80 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1 ที่ตั้งไว้ สอดคล้องกับการศึกษาของปวีณา พานิชชัยกุล (2550) สวรุจ คําสุจริต (2550) สุรภี เทพานวล(2550) นิกลู ชุม่ มน่ั (2551) ชาตรี วงศ์พันธ์ุ (2551) รวีพร เข็มทอง (2551) ศรัณยา ศรีจันทร์ (2551) ศุภนิมิตอนิ บรรเลง (2551) อมุ้ ยศ เถือ่ นศริ ิ (2551) สุทธพิ ล แสงบญุ (2552) ฤทยั วรรณ จงอุดมศีล (2552) และธัญธนาอึ้งตระกูล (2554) ท่ีทําการวิจัยเก่ียวกับการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียรายวิชาในกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี ผลการวิจยั ทุกเรื่อง พบว่า บทเรยี นคอมพวิ เตอร์มัลติมีเดยี ท่พี ัฒนาขนึ้ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ท่ีกําหนดไว้ อาทเิ ชน่ การศกึ ษาของนิกูล ชุ่มมั่น (2551: บทคัดย่อ) ท่ีได้ทําวิจัยเร่ืองการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมัลติมีเดีย เรื่อง เครื่องมือช่างเบ้ืองต้น กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีสาํ หรบั นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลโดยรวมของบทเรียน มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 86.60/88.53สงู กวา่ เกณฑ์ 80/80 ท้งั น้เี พราะในการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอรม์ ลั ตมิ เี ดยี ภาคความรู้ ผู้วิจัยได้นําขั้นตอนการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียของณัฐกร สงคราม (2553: 128 - 144) มาประยุกต์ใช้ในการดําเนินการพัฒนาซึ่งประกอบด้วยการดําเนินการ 4 ขั้นคือ ขั้นการวางแผน (Planning) ขั้นการออกแบบ(Design) ขั้นการพัฒนา(Development) และขั้นการประเมินและปรับปรุง (Evaluation and Revise) ซึ่งเป็นการพัฒนาอย่างเป็นระบบผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเน้อื หาจากผเู้ ชี่ยวชาญด้านเนื้อหา ผ่านการประเมินคุณภาพโดยผู้เช่ียวชาญด้านสื่อตลอดจนผ่านการนําไปทดลองใช้กับผู้เรียนกลุ่มเล็ก (Pilot Testing) เพ่ือตรวจสอบข้อบกพร่องของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ในด้านต่าง ๆ และทดลองใช้กับผู้เรียนกลุ่มใหญ่ (Field Testing) เพื่อหาแนวโน้มประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียและเป็นการตรวจสอบเพื่อหาข้อบกพร่องในด้านต่าง ๆ เพื่อนําไปปรับปรุงแก้ไขก่อนนาํ ไปใชจ้ รงิ นอกจากนี้ในการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ ในคร้ังน้ีผู้วิจัยได้ผสมผสานและประยุกตใ์ ช้แนวคิดจากทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism Theory) ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitivism Theory)และทฤษฎีคอนสตรัคติวิสซึม (Constructivism Theory) มาใช้เป็นหลักพื้นฐานในการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เพราะการที่ผู้พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียนําความรู้ด้านทฤษฎีการเรียนรู้มาใช้ในการออกแบบ จะทําให้ผู้พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ทราบว่าผู้เรียนมีรูปแบบและวิธีการเรียนรู้อย่างไรจึงจะทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ (รังสรรค์ วงศ์สรรค์. 2550: 81 - 87)หลักการที่สําคัญในการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2(งานช่าง) ครั้งน้ี คือ การแบ่งเน้ือหา ภายในบทเรียนมีการแบ่งเป็นหน่วยการเรียนรู้ และแบ่งเน้ือหาภายในหน่วยการเรียนรู้เป็นหน่วยย่อย ๆ เพ่ือง่ายต่อการเรียนรู้ มีการบอกจุดประสงค์การเรียนรู้ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้อยา่ งชดั เจน มีเกณฑ์วดั ผลทีช่ ดั เจน น่าสนใจ มีการวดั ผล โดยการทําแบบฝึกหัดระหว่างเรียนเป็นระยะ ๆ ต่อเน่ืองตลอดบทเรียน มีการให้ข้อมูลป้อนกลับในส่วนแบบฝึกหัดและแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนเพ่ือกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ เลือกใช้ภาพท่ีเหมาะสมกับเน้ือหาและวัยของผู้เรียน การนําเสนอเน้ือหาใช้ภาพ เสียง หรือกราฟิกแทนที่
144 การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ัยเพือ่ เพิ่มคุณภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวิชาชีพ” จะใช้คําอ่านแต่เพียงอย่างเดียว มีการวิเคราะห์ลักษณะของผู้เรียนก่อนการออกแบบเพ่ือให้ออกแบบบทเรียน ได้เหมาะสม ขนาดของตัวอักษร สีตัวอักษร อ่านง่าย สบายตา ภาพสัมพันธ์กับเนื้อหา เสียงบรรยายมีความชัดเจน จัดองค์ประกอบหน้าจอความสมํ่าเสมอ ใช้สีกราฟิกที่น่าสนใจ มีปุ่มนําทางเพื่อให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียน ด้วยตนเอง ใช้สัญลักษณ์แทนปุ่ม มีคําอธิบายประกอบ ออกแบบให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับบทเรียน เพ่ือจะช่วย สนบั สนุนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างกระฉับกระเฉง ซ่ึงหลักการทั้งหมดน้ีสอดคล้องกับแนวคิด เรื่อง The Events of Instruction ของกาเย่ (Gagne) ที่นํามาประยุกต์ในการออกแบบบทเรียนมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู้ (รังสรรค์ วงศ์สรรค์. 2550: 76 - 77) ประกอบด้วยกระบวนการเรียนการสอน 9 ข้ัน ท่ีสําคัญ คือ การสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ มลั ติมีเดยี ท่ีเร้าความสนใจให้พร้อมเรียน มีการแจ้งวัตถุประสงค์บทเรียนให้ผู้เรียนทราบก่อนการเรียนรู้ มีการออกแบบ บทเรียนคอมพิวเตอร์ให้มีการทบทวนความรู้เดิมและนําเสนอเน้ือหาและความรู้ใหม่ มีการช้ีแนะแนวทางการเรียนรู้ กระตุ้นการตอบสนองให้ข้อมูลป้อนกลับหลังจากนักเรียนทําแบบฝึกหัดระหว่างเรียนและหลังการทําแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน ทดสอบความรู้ รวมทั้งการสอดแทรกการส่งเสริมความจําและการนําไปใช้ จึงทําให้ บทเรยี นคอมพิวเตอรม์ ัลตมิ เี ดยี ภาคความรูม้ ปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ทก่ี ําหนด 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ภาคความรู้ รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ มลั ติมีเดียภาคความรู้ทกุ หน่วยการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดียภาคความรู้อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ.01 ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 2 ท่ีต้ังไว้ สอดคล้องกับ การศึกษาของกนกวรรณ จิตราช (2550) ประสาน พานแก้ว (2551) ระพีพรรณ อินอ่อน (2551) ศสิญา แก้วนุ้ย (2551) กิ่งกาญจน์ ทงุ่ คาใน (2553) และสยามรฐั บุตรศรี (2553) ที่ได้ทําการศึกษาผลสัมฤทธ์ิของนักเรียนก่อนและ หลังการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียสําหรับเรียนรายวิชากลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ผลการวิจัยทุกเรื่อง พบว่า นักเรียนท่ีเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงข้ึนอย่างมีนัยสําคัญ อาทิเช่น การศึกษาของกิ่งกาญจน์ ทุ่งคาใน (2553: บทคัดย่อ) ทําการศึกษาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ เร่ือง องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่เรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ มลั ติมีเดียหลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียน อยา่ งมีนัยสาํ คญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .05 แสดงใหเ้ หน็ วา่ การถ่ายทอดความรดู้ ้วย ส่ือบทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ัลติมเี ดีย มีความเหมาะสมชว่ ยใหเ้ กิดการเรยี นรู้ มีความสนใจ ยอมรับและสามารถเรียนรู้ ได้ด้วยตนเอง จากการทดลองใช้ผู้วิจัยสังเกตพบว่า นักเรียนมีความสนใจ ต่ืนเต้นและต้องการท่ีจะเรียนด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเป็นอย่างมาก ทั้งน้ีเนื่องจากบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ ที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น มีท้ังข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคล่ือนไหว วีดีทัศน์เสียงประกอบ และมีการให้ผลป้อนกลับในการทําแบบฝึกหัด ระหว่างเรียนและแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนให้นักเรียนทราบผลการสอบทันที จึงเป็นจุดเร้าความสนใจแก่ ผูเ้ รียนไดเ้ กิดการเรยี นรูไ้ ด้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพมากย่ิงขึ้น นักเรียนสนใจ ต้ังใจเรียน เรียนรู้อย่างมีความสุข สนุกสนาน ทําให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดของ ศักดา ไชกิจภิญโญ (2536: 10 - 11) ที่กล่าวถึงประโยชน์ของคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียว่า คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียสามารถสื่อความหมาย ไดร้ วดเร็วเขา้ ใจง่าย สอดคล้องกับแนวคิดของ ณัฐกร สงคราม (2553: 12) ท่ีกล่าวถึงความสําคัญ และคุณค่าของ บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียไว้ว่าคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียจะช่วยสร้างแรงจูงใจ และกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิคการนําเสนอท่ีหลากหลาย สวยงาม สามารถดึงดูดและคงความสนใจของผู้เรียน ช่วยให้เกิดความคงทน ในการจดจํา เพราะรับรู้ได้จากหลายช่องทางท้ังภาพและเสียง ช่วยให้เกิดการเรียนรู้และสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ดี อธิบายส่ิงท่ีซับซ้อนให้ง่ายขึ้นตามความต้องการและความแตกต่างในแต่ละบุคคล นอกจากนี้การได้โต้ตอบ ปฏิสัมพันธ์กับบทเรียน มีโอกาสเลือก ตัดสินใจและได้รับการเสริมแรงจากการได้ข้อมูลป้อนกลับทันทีเปรียบเสมือน กับการเรียนรู้จากตัวครูผู้สอนเอง บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาน้ีจึงทําให้นักเรียนที่เรียน ดว้ ยบทเรียนคอมพิวเตอร์มลั ติมีเดยี มีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนหลงั เรียนสูงกว่ากอ่ นเรยี นอย่างมีนัยสาํ คญั ทางสถติ ิ
การประชมุ ทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพือ่ เพ่มิ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 145 3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ รายวิชา ง 21102 การงานอาชีพ 2 (งานช่าง) พบว่าในภาพรวมนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษา ปที ่ี 1 โรงเรยี นอยธุ ยาวทิ ยาลยั มคี วามพงึ พอใจบทเรยี นคอมพิวเตอรม์ ลั ตมิ เี ดียภาคความรู้ ในระดับมากท่ีสุด มีค่าเฉล่ีย เท่ากับ 4.65 และ เม่ือพิจารณารายข้อ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมเี ดยี ภาคความรู้ ในระดับมากทสี่ ุดทุกรายการ ซึ่งเป็นไปตามสมมตฐิ านขอ้ ที่ 3 ทตี่ ัง้ ไว้ สอดคล้องกับการศึกษาของพานวุ ัฒน์ ปอ้ งเคน (2555: บทคัดย่อ) วิทัตตา ธุระพันธ์ (2555: บทคัดย่อ) และก่ิงกาญจน์ ทุ่งคาใน (2553:บทคัดย่อ) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย อยู่ในระดับมาก ถึงมากท่ีสุด อาทิเช่น การศึกษาของ พานุวัฒน์ป้องเคน. (2555: บทคดั ยอ่ ). ศกึ ษาเร่ือง การพัฒนาการจัดการเรยี นรทู้ ่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ โดยใช้บทเรยี นมลั ติมีเดียเรื่อง การสร้างเกมด้วยโปรแกรม Macromedia Flash 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3 ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียนอยู่ในระดับมากแสดงให้เห็นว่าบทเรียนคอมพวิ เตอร์มัลติมีเดียเป็นสื่อควรนํามาใช้ในการจัดการเรียนรู้สําหรับนักเรียน เพราะจะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ได้ดีย่ิงข้ึนเนื่องจากมีความชื่นชอบกับบทเรียนดังกล่าว ท้ังนี้การท่ีนักเรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย นั้นอาจเนื่องมากจากสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียท่ีพัฒนาขึ้น มีความสวยงาม น่าสนใจเพราะผู้วิจัยดําเนินการพัฒนาโดยยึดหลักการออกแบบหน้าจอสําหรับบทเรียนมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู้ (รังสรรค์วงศส์ รรค์. 2550: 79 - 85)ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนาํ ผลการวิจยั ไปใช้ 1. ครูผู้สอนที่สอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียเป็นส่ือ ควรมีพ้ืนฐานการใช้คอมพิวเตอร์หรือต้องศึกษาคู่มือการใช้ให้เข้าใจก่อน และควรทดลองใช้ด้วยตนเองก่อนท่ีจะนําไปให้นักเรียนใช้ นอกจากนี้กอ่ นการใช้ควรใหค้ ําแนะนํากับนักเรียนกอ่ นทุกครัง้ เพือ่ ให้นกั เรียนมที กั ษะทดี่ ีในการใชบ้ ทเรยี นคอมพิวเตอร์มัลติมีเดยีและนักเรียนจะได้ทราบถึงขั้นตอนและวิธีการท่ีถูกต้องเป็นวิธีการท่ีจะช่วยลดและป้องกันการเกิดปัญหาและความยุ่งยากต่อการใช้คอมพิวเตอร์ ในขณะที่นักเรียนเรียนรู้ ครูผู้สอนควรอยู่ดูแลคอยให้คําแนะนําช่วยเหลือและแก้ปัญหาทีเ่ กิดข้ึนระหวา่ งเรียนอย่างใกล้ชิด 2. การนําบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ ครูผู้สอนควรเตรียมอุปกรณ์ และเครื่องคอมพวิ เตอร์ทีเ่ หมาะสมและพรอ้ มสําหรบั การใชบ้ ทเรยี นคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เช่น เคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีมีซาวด์การ์ด (Sound Card) และลําโพงสําหรับฟังเสียง หรือถ้าหากผู้เรียนใช้พร้อมกันหลายคน ควรใช้หูฟังแทนเพือ่ เสียงจะไดไ้ ม่รบกวนกัน ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั ครั้งตอ่ ไป 1. บทเรียนคอมพวิ เตอร์มัลตมิ เี ดยี ภาคความรู้ ทพ่ี ฒั นาขนึ้ ทําให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึน และผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ในระดับมากที่สุด จึงควรนําสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียภาคความรู้ มาใชส้ อนนักเรียนทกุ คนในระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 และสอนเสรมิ นกั เรยี นที่เรียนได้เร็ว และซ่อมเสริมนักเรียนทเี่ รียนชา้ ไดซ้ งึ่ ครูผสู้ อนสามารถนาํ ไปใช้เป็นไดท้ ั้งสอ่ื หลักและสอ่ื เสรมิ ตามความเหมาะสม 2. ควรพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เพ่ือการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นการเผยแพร่ความรู้อย่างกว้างขวาง สําหรับผู้เรียนท่ีมีความพร้อมด้านอินเตอร์เน็ตและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สามารถเรียนร้ไู ดท้ กุ ที่ ทกุ เวลา และควรมีการพฒั นาต่อยอดบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียสําหรับนาํ ไปใชก้ ับคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Computer Tablet) เพ่อื ให้นักเรียนหรอื ผ้ทู ี่สนใจสามารถนําไปใช้เรียนรู้ไดท้ ุกเวลาและโอกาส
146 การประชมุ ทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพือ่ เพิม่ คุณภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชีพ” 3. ควรมีการศึกษาวิจัยและพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์มัลติมีเดีย กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและ เทคโนโลยี ในรูปแบบอ่นื ๆ เชน่ รูปแบบเกม รปู แบบการฝึกทกั ษะเพ่ือศกึ ษาผลของการเรยี นรู้ 4. ควรมีการศึกษาถึงผลกระทบและเจตคติของผู้เรียนหลังการเรียนรู้ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ตลอดจนควรมีการศึกษาตัวแปร หรือปัจจัยอ่ืนๆ ท่ีเป็นผลมาจากการเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย เชน่ ความสนใจใฝร่ ู้ ความรับผิดชอบ ความคงทนของความรู้ เปน็ ต้น รายการอ้างองิ กนกวรรณ จติ ราช. (2550). ผลการใช้บทเรียนคอมพิวเตอรม์ ัลติมเี ดยี เรือ่ ง ผกั สวนครวั กล่มุ สาระการเรยี นรู้ การงานอาชพี และเทคโนโลยี สําหรบั นักเรยี นช่วงช้ันที่ 2. สารนพิ นธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยีการศกึ ษา). กรุงเทพ ฯ: บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ. ถา่ ยเอกสาร. กิดานนั ท์ มลทิ อง. (2548).เทคโนโลยีการศกึ ษาและนวตั กรรม. พิมพ์ครัง้ ท่ี 2. กรงุ เทพ ฯ: โรงพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. ชยั ยงค์ พรหมวงศ์. (2537). ระบบส่อื การสอน. กรงุ เทพ ฯ: โรงพมิ พจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ชาตรี วงศ์พันธ์ุ. (2551). การพัฒนาบทเรยี นคอมพิวเตอรม์ ลั ติมเี ดีย เรอ่ื ง การปน้ั และงานเซรามิก สาํ หรับนักเรียน ชว่ งช้ันท2่ี . สารนิพนธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยีการศึกษา). กรุงเทพ ฯ: บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. ธญั ธนา องึ้ ตระกูล. (2554). การพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์มลั ตมิ เี ดยี เรอื่ ง กราฟกิ พน้ื ฐาน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ การงานอาชพี และเทคโนโลยี สาํ หรบั นักเรยี น ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 3. สารนิพนธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยี การศกึ ษา). กรงุ เทพ ฯ: บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ. ถ่ายเอกสาร. นิกูล ชุ่มมัน่ . (2551). การออกแบบบทเรยี นคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนแบบมลั ตมิ ีเดยี เร่ือง เครือ่ งมอื ชา่ งเบ้ืองตน้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลย.ี ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. (อตุ สาหกรรมศกึ ษา). กรุงเทพ ฯ: บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ถ่ายเอกสาร. ประสาน พานแก้ว. (2551). การพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ เรอื่ งการขยายพนั ธพ์ุ ชื กลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชพี และเทคโนโลยี สาํ หรบั นกั เรยี น ช่วงชนั้ ที่ 3. สารนพิ นธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยีการศึกษา). กรุงเทพ ฯ: บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ. ถ่ายเอกสาร. ปวีณา พานิชชัยกุล. (2550). การพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอร์มัลติมีเดยี เรือ่ งการปอ้ งกัน อบุ ตั ิเหตุภายในบา้ น สําหรบั นักเรียนช่วงชนั้ ท่ี 3. สารนิพนธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยกี ารศึกษา). กรงุ เทพ ฯ: บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ. ถ่ายเอกสาร. พานุวฒั น์ ป้องเคน. (2555). การพฒั นาการจัดการเรียนรู้ ท่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ โดยใช้บทเรียนมลั ติมีเดยี เร่ือง การสรา้ งเกมดว้ ยโปรแกรม Macromedia Flash 8 กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และ เทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3. การศึกษาคน้ ควา้ อสิ ระ กศ.ม. (หลักสูตรและการสอน). มหาสารคาม: บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. ถา่ ยเอกสาร. รวพี ร เข็มทอง. (255). การพฒั นาบทเรียนคอมพิวเตอรม์ ัลตมิ เี ดยี เรอื่ ง เทคโนโลยกี ารปลูกพชื โดยไม่ใช้ดนิ กล่มุ สาระการเรยี นรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี สาํ หรบั นกั เรยี น ชว่ งชนั้ ท่ี 3. สารนพิ นธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยีการศกึ ษา). กรุงเทพ ฯ: บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถา่ ยเอกสาร. ระพีพรรณ อนิ อ่อน. (2551). ผลการเรยี นรู้บทเรยี นคอมพวิ เตอร์มลั ตมิ ีเดยี เรอื่ ง การซ่อมแซมและตกแตง่ เสือ้ ผ้าเครือ่ งแตง่ กาย กลมุ่ สาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชพี และเทคโนโลยี สาํ หรบั นกั เรียนช่วงชั้นที่ 3. สารนพิ นธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยกี ารศกึ ษา). กรงุ เทพ ฯ: บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร.
การประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพื่อเพมิ่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 147รังสรรค์ วงศส์ รรค์. (2550). การออกแบบผลติ และพฒั นา e - Learning. นครราชสีมา: โจเซฟ.โรงเรยี นอยธุ ยาวทิ ยาลัย. (2551). หลกั สูตรการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. พระนครศรีอยุธยา: โรงเรยี นอยุธยาวิทยาลยั .ศสิญา แก้วนยุ้ . (2551). การพฒั นาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์มัลติมเี ดีย เรอื่ ง ไฟฟา้ ในบา้ น สําหรบั นกั เรียน ชว่ งชนั้ ที่ 1. สารนิพนธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยกี ารศึกษา). กรุงเทพ ฯ: บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัย ศรีนครินทรวโิ รฒ. ถ่ายเอกสาร.ศักดา ไชกิจภิญโญ. (2549). “คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน”. วารสารสง่ เสริมประสทิ ธิภาพการเรยี นการสอน. 4(1): 9 - 13.ศภุ นิมติ อินบรรเลง. (2551). การพฒั นาบทเรียนคอมพวิ เตอร์มัลตมิ เิ ดยี บนเครอื ข่ายอนิ เทอร์เนต็ เรอื่ ง งานจัดชอ่ ดอกไม้สด กลมุ่ สาระการเรยี นรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาํ หรบั นักเรยี น ช่วงช้ันที่ 2. สารนพิ นธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยีการศึกษา). กรงุ เทพ ฯ: บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัย ศรนี ครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร.สยามรัฐ บตุ รศร.ี (2553). การพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอร์มัลติมเี ดีย เร่อื ง การเขยี นแบบเบือ้ งตน้ สําหรบั นักเรยี นชว่ งชนั้ ที่ 4. สารนพิ นธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยกี ารศึกษา). กรงุ เทพ ฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ.ถา่ ยเอกสาร.สวรุจ คําสุจรติ . (2550). การสรา้ งบทเรียนคอมพิวเตอรม์ ัลติมเี ดีย กลมุ่ สาระการเรยี นร้กู ารงานอาชพี และ เทคโนโลยี วิชา 32101 การงานอาชพี และเทคโนโลยี ตามหลักสตู รการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2544. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. (อุตสาหกรรมศกึ ษา). กรงุ เทพ ฯ: บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ. ถา่ ยเอกสาร.สุทธพิ ล แสงบุญ. (2552). ผลการใชบ้ ทเรยี นคอมพวิ เตอรม์ ลั ตมิ เี ดีย เรอ่ื ง การสรา้ งหุน่ ยนตเ์ บือ้ งตน้ . สารนพิ นธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยกี ารศึกษา). กรงุ เทพ ฯ: บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ถ่ายเอกสาร.สรุ ภี เทพานวล. (2550).การพัฒนาบทเรียนคอมพวิ เตอร์มัลตมิ เี ดีย เรอ่ื ง ความร้เู บอื้ งตน้ เก่ยี วกบั งานประดษิ ฐ์ สาํ หรบั นกั เรยี นชว่ งชน้ั ที่ 3 กลุม่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี. สารนพิ นธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยกี ารศกึ ษา). กรุงเทพ ฯ: บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ. ถา่ ยเอกสาร.อภิชัย เรอื งศิรปิ ิยะกลุ . (2553). พฒั นาสอื่ การสอนดว้ ย Adobe Captivate. กรงุ เทพ ฯ: ซีเอ็ดยูเคชนั่ .อุ้มยศ เถ่อื นศริ .ิ (2551). บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมเี ดีย เร่ือง อาหารวา่ งมังสวริ ตั ิ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ การงานอาชพี และเทคโนโลยี สาํ หรบั นักเรียนชว่ งชัน้ ท่ี 4. สารนพิ นธ์ กศ.ม. (เทคโนโลยกี ารศกึ ษา). กรงุ เทพ ฯ: บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถา่ ยเอกสาร.
148 การประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจําปี 2557 “การวิจยั เพื่อเพิ่มคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชพี ”ผลงานวิจัย การพฒั นาชดุ การเรยี นการสอน เร่ือง ความสมั พนั ธ์เชงิ ฟงั ก์ชนั ระหวา่ งขอ้ มูล สําหรับนกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรียนเบญจมราชูทศิ จังหวัดปตั ตานีผู้วจิ ัย นายสุลายมาน บากาปที ี่วิจัย 2556 บทคดั ย่อ งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอนและเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี หลังเรียนกับเกณฑ์ที่กําหนด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองเป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6/2 และ 6/4 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานีภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 จํานวน 62 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม และใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่มจากนักเรียน 4 ห้องเรียน มีจํานวนทั้งส้ิน 132 คน ใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบหลังการทดลองเคร่ืองมือท่ีใช้ ได้แก่ ชุดการเรียนการสอน เร่ือง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล จํานวน 7 ชุด และแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 30 ข้อ มีค่าความยากตั้งแต่ .40 - .80ค่าอํานาจจําแนกตั้งแต่ .20 - .50 และค่าความเชื่อมั่น .81 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าร้อยละและเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเฉลย่ี กับเกณฑ์ทกี่ าํ หนด โดยใช้ สถติ ทิ ดสอบที ผลการวิจยั พบว่า 1. ชดุ การเรยี นการสอน เรื่องความสัมพนั ธ์เชงิ ฟังก์ชันระหว่างข้อมูล สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนเบญจมราชูทศิ จงั หวัดปตั ตานี มคี า่ ประสทิ ธภิ าพ 78.33/76.89 ซึ่งสงู กว่าเกณฑ์ท่ีกําหนด 75/75 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนเบญจมราชทู ิศ จังหวดั ปตั ตานี หลงั เรียนดว้ ยชดุ การเรียนการสอนสงู กว่ารอ้ ยละ 75ความเป็นมาและความสําคญั ของปญั หาการวจิ ยั คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยเหตุผล กระบวนการคิด และการแก้ปัญหา คณิตศาสตร์จึงเป็นวิชาท่ีช่วยเสริมสร้างให้ผู้เรียนเป็นคนมีเหตุผล มีการคิดอย่างมีวิจารณญาณและเป็นระบบ ตลอดจนมีทักษะการแก้ปัญหาทําให้สามารถวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ สามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจและแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นประโยชน์ในชีวิตประจําวัน ยิ่งกว่านั้นคณิตศาสตร์ยังเป็นเคร่ืองมือสําคัญในการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนศาสตร์อ่ืน ๆ ทําให้มีการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมากมายในปัจจุบัน (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2555) และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (และฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2545) ได้ให้ความสําคัญกับแนวทางในการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้จัดเน้ือหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความถนัดของผู้เรียนโดยคํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ (สํานักงานคณะกรรมการศกึ ษาแห่งชาต,ิ 2545) แต่จากประสบการณ์การสอนคณิตศาสตร์ในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี พบว่าไม่ประสบความสําเร็จเท่าที่ควร อันเน่ืองมาจากสาเหตุหลายประการ เช่นปัญหาผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพ้ืนที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่ีมีการปิดเรียนหลายคร้ัง โดยเฉพาะอย่างย่ิงเหตุการณ์ท่ีกล่มุ ผู้ก่อความไมส่ งบมงุ่ ทาํ ร้ายครูมากย่งิ ข้ึน และเกดิ ข้นึ บ่อยคร้ังในช่วงปลายปี พ.ศ. 2555 ซึง่ เหตกุ ารณ์ดงั กลา่ วได้ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของครู นักเรียนและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนทุกคนและยังส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ นอกจากนี้แล้วยังมีปัญหาอื่น ๆ อีกหลายประการท่ีทําให้การจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนขาดความต่อเนื่องไม่เป็นไปตามกําหนดการท่ีต้ังไว้ เช่น นักเรียนระดับชั้น
การประชมุ ทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพ่อื เพม่ิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 149มัธยมศึกษาปีที่ 6 ต้องใช้เวลาในการดําเนินการเรื่องการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาหรือขอเวลาเรียนเพื่อร่วมกจิ กรรมต่าง ๆ ของโรงเรยี น และหน่วยงานต่าง ๆ อยบู่ ่อยครั้ง ปัญหาดังกล่าวน้ันส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนของผู้วิจัยอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เรื่อง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล ซึ่งเป็นหน่วยการเรียนรู้สุดท้ายในภาคเรียนที่ 2 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 และเป็นเรือ่ งทมี่ ีเนื้อหาข้อมูลค่อนข้างมาก หากใช้วิธีการสอนแบบบรรยาย ทําให้ผู้เรียนเข้าใจได้ยาก ผู้วิจัยจึงได้พยายามหาวิธีการเพื่อแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอนในเรื่องดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ สามารถจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระได้ครบถ้วนตามหลักสูตรและสามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนผ่านเกณฑ์ท่ีกําหนดได้ ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาเรื่องการพัฒนาสื่อการสอนพบว่าสื่อการสอนที่มีประสิทธิภาพน้ันมีความสําคัญอยู่หลายประการ เช่นช่วยกระตุ้นให้นักเรียนสนใจบทเรียน ให้นักเรียนเรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอน เป็นระบบ เกิดความคิดท่ีต่อเน่ืองกันลดเวลาในการเรียนรู้ สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ให้นักเรียนศึกษาด้วยตนเองตามความสามารถในการเรียนรู้ช่วยตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล และช่วยเพ่ิมช่องทางในการเรียนรู้ เป็นต้น (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2555) นอกจากนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาสื่อที่มีความเหมาะสมในการจัดการเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล สําหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 พบว่า ชุดการเรียนการสอน เป็นส่ือการสอนประเภทหน่ึงที่มีความเหมาะสมในการแก้ปัญหาดังกล่าวเน่ืองจาก เป็นชุดของสื่อประสมท่ีประกอบขึ้นอย่างมีระบบ สอดคล้องกับเนื้อหาวิชา วัตถุประสงค์ เป็นเครื่องมือถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียนผู้เรียนสามารถเรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอนต่อเน่ืองกัน โดยครูเป็นผู้ให้คําแนะนําเป็นท่ีปรึกษาและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรหู้ รอื มีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการเรียนรูต้ ามวัตถปุ ระสงคท์ ี่กําหนดไว้ ด้วยหลักการและเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงได้แนวทางแก้ปัญหาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ด้วยการจัดทําชุดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ เรื่อง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กําหนดและสามารถนําชดุ การเรยี นการสอนท่ีสร้างขึ้นมาพัฒนาการเรยี นการสอนคณติ ศาสตร์ ให้มปี ระสทิ ธิภาพตอ่ ไปวัตถุประสงค์การวิจยั 1. หาประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอน เร่ือง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล สําหรับนักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทศิ จังหวดั ปตั ตานี 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล หลังเรียนด้วยชุดการเรยี นการสอนกับเกณฑ์ทีก่ าํ หนดนิยามศัพทเ์ ฉพาะ 1. ชดุ การเรียนการสอน หมายถึง ชุดของส่ือประสมท่ีประกอบข้ึนอย่างมีระบบ สอดคล้องกับเน้ือหาวิชาวัตถปุ ระสงค์ เป็นสื่อในการถ่ายทอดความร้แู ละประสบการณ์ใหแ้ ก่นกั เรยี น ซึง่ นักเรยี นสามารถเรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอนต่อเน่ืองกัน โดยครูเป็นผู้ให้คําแนะนํา เป็นที่ปรึกษาและกระตุ้น ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยดําเนินการตามคู่มือการใช้ชุดการเรียนการสอนแต่ละชุด จนกระท่ังผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือ มีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ ซึ่งชุดการเรียนการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นนี้เป็นชุดการเรียนการสอนประเภทชุดการเรยี นการสอนประกอบการบรรยาย 2. ประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอน หมายถึง ความสามารถในการทําคะแนนจากแบบทดสอบประเมินตนเองท้ายชุดการเรียนการสอนจํานวน 7 ชุด และแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมลู ตามเกณฑ์ 75/75 75 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนทั้งหมดที่ได้จากการทําแบบทดสอบประเมินตนเองทา้ ยชุดการเรียนการสอนจาํ นวน 7 ชุด คดิ เป็นร้อยละ 75 75 ตวั ที่สอง หมายถึง คะแนนเฉล่ียของผู้เรียนทั้งหมดท่ีได้จากการทําแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ความสัมพันธ์เชงิ ฟังกช์ นั ระหวา่ งข้อมลู คดิ เป็นร้อยละ 75
150 การประชมุ ทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพ่ือเพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวชิ าชีพ” 3. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่ได้จากการทําแบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรอ่ื ง ความสัมพนั ธ์เชิงฟังกช์ ันระหวา่ งข้อมลู ทผี่ วู้ จิ ยั สร้างข้ึน 4. เกณฑ์ หมายถงึ ระดับคะแนนท่ผี ู้วิจยั ต้ังไว้ คอื หลงั จากผเู้ รียน เรยี นดว้ ยชุดการเรียนการสอนท่ีสร้างขึ้นแล้วจะทําให้มีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นเฉลี่ยสงู กว่าร้อยละ 75 เนื่องจากเป็นเป็นเกณฑ์ขน้ั ต่าํ ท่ีโรงเรียนกําหนดแนวคดิ /ทฤษฎีทีเ่ กีย่ วขอ้ ง ชุดการสอนหรือชุดการเรียน มาจากคําว่า Instructional Package หรือ Learning Package หรือInstructional Kist เดมิ ทใี ชค้ ําวา่ ชดุ การสอน เพราะเป็นส่ือท่ีครูนํามาใช้ประกอบการสอน แต่ต่อมาแนวความคิดในการยึดเด็กเป็นศูนย์กลางได้เข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น จึงมีผู้นิยมเรียกชุดการสอนเป็นชุดการเรียนมากข้ึน เพ่ือยํ้าถึงแนวการสอนท่ียึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางให้ผู้เรียนบางคนอาจเรียกรวมกันไปเลยว่า ชุดการเรียนการสอนเกรกิ ท่วมกลาง และจินตนา ท่วมกลาง (2555: 122) ได้อ้างถึง คณะอนุกรรมการการสอนและผลิตวัสดุอุปกรณ์ทบวงมหาวิทยาลยั (2524: 249) ไดเ้ รยี กวา่ ชดุ การเรยี นการสอน โดยใหเ้ หตุผลว่า การเรียนร้เู ป็นกิจกรรมของนักเรียนและการสอนเป็นกิจกรรมของครู การเรียนการสอนของครกู ับนักเรียนจะต้องเกิดค่กู ัน สําหรับในการศกึ ษาคร้ังนผ้ี ้วู ิจัยใชค้ าํ ว่า “ชุดการเรียนการสอน” เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของสื่อและกิจกรรมที่ผู้วิจัยได้สร้างข้ึน เพ่ือให้ครูได้ใช้ฝึกทักษะนักเรียน ตามขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีกําหนดในแผนการจัดการเรียนรู้ และให้นักเรียนได้เรียนรู้ ฝึกปฏิบัติโดยใช้สื่อต่าง ๆ ที่สร้างขึ้น เช่น ใบงาน ใบกิจกรรมใบความรู้ และเอกสารแนะแนวทาง ประเภทของชุดการเรียนการสอน เกริก ท่วมกลาง และจินตนา ทว่ มกลาง (2555: 123 - 124) ไดแ้ บ่งชดุ การสอนออกเป็น 4 ประเภท 1. ชดุ การสอนสาํ หรับประกอบการบรรยาย 2. ชุดการสอนสาํ หรับกิจกรรมกลุ่ม 3. ชุดการสอนรายบุคคล 4. ชุดการสอนทางไกล ทฤษฏที ี่เกีย่ วข้องกบั การสร้างชุดการเรยี นการสอน เกริก ทว่ มกลางและจินตนา ท่วมกลาง (2555: 124 - 125) ได้ให้แนวคิดท่ีจะนําไปสู่การผลิตชุดการเรียนการสอนไว้ ดงั น้ี 1. แนวคิดตามหลักจิตวิทยาเก่ียวกับทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยคํานึงถึงความต้องการความถนัด ความสนใจของผูเ้ รยี นเป็นสาํ คญั 2. แนวคิดที่จะเปลี่ยนบทบาทการเรียนการสอน จากเดมิ ท่เี คยยึดครูเปน็ หลักมาเป็นยดึ ผเู้ รียนเป็นหลกั 3. แนวคิดในการจดั ระบบการใชส้ ือ่ โดยนาํ สอื่ ประสมมาใช้ 4. แนวคิดในการสร้างความสัมพนั ธ์ 5. แนวคิดที่ยึดหลกั จิตวิทยาการเรียนรู้มาจดั สภาพการเรียนการสอน 6. แนวคดิ ท่ียึดหลกั การมสี ่วนร่วมในชั้นเรยี นกรอบแนวคิดการวจิ ัยตวั แปรต้น ตวั แปรตามการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ด้วยชดุ การเรยี นการสอน - ประสทิ ธิภาพของชดุ การเรยี นการสอน เร่อื ง ความสัมพนั ธ์เชิงฟงั กช์ ันระหว่างขอ้ มูล - ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
การประชมุ ทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพ่ือเพ่ิมคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 151วธิ ดี ําเนินการวิจยั แบบแผนการวจิ ยั งานวจิ ยั นี้เปน็ งานวิจัยเชิงทดลองแบบมีกลุ่มตัวอย่าง 1 กลุ่ม และมีการทดสอบหลังการทดลอง เพียงคร้ังเดียว(One – shot case study) โดยมีประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ งดังน้ี ประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง ประชากร ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี ภาคเรียนท่ี 2ปีการศึกษา 2556 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ ที่เรียนคณิตศาสตร์เพิ่มเติม ค 33202 จํานวน 4 ห้องมีจาํ นวนนักเรียนทงั้ สิน้ 132 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/4 แผนการเรียนวทิ ยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ โรงเรยี นเบญจมราชูทิศ จงั หวดั ปตั ตานี ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2556 จํานวน 62 คนที่ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (cluster random sampling) และใช้หอ้ งเรยี นเป็นหนว่ ยการสมุ่ เครอื่ งมือทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล เป็นแบบเลือกตอบ4 ตัวเลือก จํานวน 30 ข้อ ผ่านการประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้และนําผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาหาดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ได้ค่า IOC ตั้งแต่ .8 – 1.0 การตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบ โดยวิเคราะห์ค่าความยากและค่าอํานาจจําแนก (r) เป็นรายข้อ โดยใช้เทคนิค 50% ผู้วิจัยได้คัดเลือกขอ้ สอบท่ีมคี า่ ความตงั้ แต่ .40 ถงึ .80 ค่าอํานาจจาํ แนกตงั้ แต่ .20 ถึง .50 จํานวน 30 ข้อ และนําไปทดสอบเพื่อหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ ไดค้ ่าเท่ากบั .81 2. ชุดการเรียนการสอน เร่ือง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล สําหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6ซ่ึงประกอบด้วยคู่มือการใช้ชุดการเรียนการสอน ซ่ึงได้แบ่งเป็นชุดย่อยจํานวน 7 ชุด ใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้โดยใชช้ ุดการเรยี นการสอนจํานวน 14 คาบ (คาบละ 50 นาที) และทดสอบหลังเรียนจํานวน 1 คาบ รวมทั้งสิ้น 15 คาบผู้วิจัยได้สร้างและหาคุณภาพโดยการตรวจสอบความสอดคล้องโดยผู้เช่ียวชาญจํานวน 5 คน และประเมินความเหมาะสม โดยใช้แบบวัดชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยยึดเกณฑ์การตัดสินความเหมาะสมต้ังแต่ระดบั คะแนนเฉล่ีย 3.50 ขึ้นไป (เกริก ทว่ มกลาง และจินตนา ทว่ มกลาง, 2555: 132 - 133) ปรากฏว่าโดยภาพรวมชุดการเรียนการสอนมีคะแนนประเมินเฉลี่ยเท่ากับ 4.42 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.10 แล้วนําไปทดลองใช้เพื่อวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอน ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2555 ซ่ึงจากผลการทดลองพบว่าประสทิ ธิภาพของชุดการเรียนการสอนเทา่ กับ 78.33/76.89 สูงกว่าเกณฑท์ กี่ าํ หนดไว้ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 1. ดําเนินการหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 ตามลําดับข้ันตอน ดงั ท่กี ลา่ วมาแลว้ 2. ดาํ เนินการหาศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น ในภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2556 ดังน้ี 1) ชแ้ี จงให้นกั เรียนกลุ่มตัวอย่างทราบ 2) แบ่งกลมุ่ ผเู้ รยี นแบบคละความสามารถ กลุ่มละ 4 - 5 คน 3) ทดลองใช้ชุดการเรยี นการสอนคณิตศาสตร์ จํานวน 7 ชุด 4) ทดสอบหลังเรียน (Posttest) โดยใช้แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ือง ความสมั พนั ธเ์ ชงิ ฟังก์ชนั ระหว่างขอ้ มูล ท่ีผู้วิจยั สร้างขนึ้ 5) นําคะแนนท่ไี ด้มาทดสอบสมมตฐิ าน การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. หาประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอน เรื่อง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล สําหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี เทียบกับเกณฑ์ประสิทธิภาพ 75/75 โดยใช้สูตรE1/E2 ของชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2556: 10) 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเฉล่ีย เร่ือง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล หลังเรียนดว้ ยชุดการเรยี นการสอนกับเกณฑ์รอ้ ยละ 75 โดยใชส้ ถิตทิ ดสอบทแี บบกลุ่มตวั อยา่ งเดยี ว (one sample t - test)
152 การประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจําปี 2557 “การวจิ ัยเพ่อื เพิ่มคุณภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” สรุปผลการวิจัย 1. ชุดการเรียนการสอน เรื่อง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ จงั หวัดปตั ตานี ท่ีผู้วิจัยสรา้ งข้ึนมีประสิทธภิ าพ 78.33/76.89 ซึง่ สูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ทตี่ ั้งไว้ 2. ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนเฉล่ีย เร่ือง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล สําหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปที ่ี 6 หลงั เรียนด้วยชุดการเรียนการสอนสูงกว่าร้อยละ 75 คะแนน อย่างมนี ยั สําคญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 อภปิ รายผลการวจิ ัย 1. ประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอน เร่ือง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล สําหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 เท่ากับ 78.33/76.89 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ท่ีต้ังไว้ 75/75 ผลปรากฏเช่นนี้เน่ืองจากว่าชุดการเรียน การสอนทส่ี รา้ งข้นึ มีการพฒั นาขึ้นอย่างเป็นขึ้นตอนผ่านการตรวจสอบจากผู้เช่ียวชาญ และได้ทดลองใช้กับผู้เรียน เป็นลําดับข้ัน และมีการพัฒนาแก้ไขกิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือ ให้เหมาะสมมีความสมบูรณ์เพ่ิมขึ้นอย่างเป็นลําดับ จากประสิทธิภาพดังกล่าวจะเห็นได้ว่ามีค่าใกล้เคียงกับเกณฑ์ที่กําหนดไว้ซ่ึงยอมรับได้ว่าชุดการเรียนการสอน มปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ที่กําหนด (ชัยยงค์ พรหมวงศ,์ 2556: 12) แสดงว่าชุดการเรยี นการสอนทีส่ ร้างข้นึ นี้สามารถ นาํ ไปจัดการเรยี นรเู้ พือ่ ทาํ ใหน้ ักเรียนมคี วามเข้าใจในบทเรยี น ทําใหก้ ารจัดการเรียนรู้เร่ืองความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชัน สาํ หรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 เปน็ ไปอย่างมีประสทิ ธภิ าพขน้ึ ดว้ ย ซึ่งสอดคลอ้ งกับงานวิจัยของ วรางคณา มณีนพ (2553) วชั ระ น้อยมี (2551) ยุพิน กลัดลอ้ ม. (2553) ดวงเดอื น รุ่งเรอื ง (2554)และสุรีพร สุดยอด (2555) ท่ีพบว่า ชุดการเรียนการสอนท่ีสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ท่ีกําหนด แต่อย่างไรก็ตามการตั้งเกณฑ์ประสิทธิภาพ ของชุดการเรียนการสอนชุดน้ี ยังคงต้ังตํ่ากว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 เนื่องจากผู้วิจัยเห็นว่าเนื้อหาสาระในเร่ืองนี้ จะต้องใชเ้ วลาไปฝึกฝนและพัฒนา อาจจะไม่สามารถให้ถึงเกณฑไ์ ดใ้ นห้องเรียนหรือในขณะเรียน ซึ่งชัยยงค์ พรมวงศ์ (2556: 56) ไดก้ ล่าวถึงกรณเี ช่นนี้อนุโลมจึงได้ต้งั เกณฑท์ ตี่ ํ่ากว่า เชน่ 75/75 และผลทีไ่ ดต้ ่าํ กวา่ 80/80 อาจเนื่องมาจาก การทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2555 เปน็ ช่วงเวลาที่ไดร้ บั ผลกระทบจากปญั หาตามท่ีไดก้ ลา่ วมาแลว้ 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเฉลี่ย เรื่อง ความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชันระหว่างข้อมูล หลังเรียนด้วยชุดการเรียน การสอนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 สูงกว่าร้อยละ 75 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซ่ึงเป็นไปตาม สมมติฐานที่ต้ังไว้ ท้ังน้ีเพราะว่าชุดการเรียนการสอนดังกล่าวได้ผ่านการทดลองใช้และผ่านการหาประสิทธิภาพ มาหลายขนั้ ตอนในภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2555 และไดน้ ําไปใช้ในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2556 จึงส่งผลให้ การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธภิ าพมากยง่ิ ข้ึนและทาํ ใหน้ ักเรยี นมผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นสงู ขน้ึ สอดคล้อง กับงานวิจัยของวัชระ น้อยมี (2551) ที่พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 หลังจากผู้เรียนได้รับการสอนโดยใช้ชุดการเรียนท่ีสร้างขึ้นสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และธนาพงษ์ สาวฤทธ์ิ (2554) พบว่าคะแนนกระบวนการทางคณิตศาสตร์หลังการใช้ชุดการเรียนการสอนได้ เฉล่ยี ร้อยละ 70.10 ซ่งึ สงู กว่าเกณฑท์ ี่โรงเรยี นท่กี ําหนดไว้รอ้ ยละ 60 ขอ้ เสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะในการนาํ ผลการวจิ ยั ไปใช้ 1 ชุดการเรียนการสอนที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ครูผู้สอนสามารถนําไปใช้ในการ จัดการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ซ่ึงจะส่งผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเพิ่มพูน ประสทิ ธิภาพในการสอนของครูได้ หรือนําไปทดลองใช้เพื่อปรบั ปรงุ ประสทิ ธภิ าพให้ไดต้ ามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2 ชุดการเรียนการสอนชุดนี้เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาหนึ่งท่ีจัดเตรียมสําหรับครูและนักเรียนใช้ร่วมกัน ซง่ึ ครตู ้องทําการศึกษาคูม่ ือการใช้ ใหเ้ ขา้ ใจก่อนนําไปใช้
การประชุมทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพอ่ื เพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 153 ขอ้ เสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการพัฒนาชุดการเรยี นการสอนคณิตศาสตรใ์ นเนือ้ หาอนื่ ๆ 2. ควรมีการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนท่ีได้รับการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนการสอนกบั การสอนโดยใช้วธิ ีปกติ 3. ควรพัฒนาชุดการเรียนการสอนควบคู่กับการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือการจัดการเรียนการสอนผา่ นระบบเครอื ขา่ ยอินเตอรเ์ นต็รายการอ้างอิงเกรกิ ทว่ มกลาง และจินตนา ท่วมกลาง. (2555). การพัฒนาสอ่ื /นวตั กรรมทางการศกึ ษาเพื่อเลือ่ นวทิ ยฐานะ. กรุงเทพ ฯ: เยลโล่การพมิ พ์ (1998).ชยั ยงค์ พรหมวงศ์. (2556). การทดสอบประสทิ ธิภาพสือ่ หรือชุดการสอน. วารสารศลิ ปากรศึกษาศาสตรว์ จิ ัย. 5(1): 7 - 19.ดวงเดอื น รุ่งเรอื ง. (2554). การพัฒนาชดุ การเรยี นคณิตศาสตร์ โดยใชร้ ปู แบบการสอนซปิ ปา เรอ่ื ง สมการเชิงเสน้ ตัวแปรเดียว สําหรบั นักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1. วทิ ยานพิ นธ์นิพนธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑติ (หลักสตู ร และการสอน). ลพบรุ :ี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เทพสตรี.ตวงพร ณ นคร. (2555). การใชส้ อื่ การสอน. (พิมพ์ครง้ั ท่ี 2). กรุงเทพ ฯ: สาํ นกั พิมพม์ หาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง.ธนาพงษ์ สาวฤทธ์ิ (2554). การใชช้ ดุ การเรียนการสอนแบบศนู ยก์ ารเรยี นเพอ่ื พัฒนากระบวนทางคณติ ศาสตร์ ของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4. ศึกษาคน้ คว้าแบบอสิ ระ ศกึ ษาศาสตร์มหาบณั ฑติ (ประถมศึกษา). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม.่บญุ ชม ศรีสะอาด. (2553). การวิจัยสําหรบั คร.ู (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3). กรุงเทพ ฯ: สุวีรยี าสาร์น.ยพุ นิ กลัดลอ้ ม. (2553). การพฒั นาชุดการเรียนคณติ ศาสตร์ เรอ่ื งโจทยป์ ัญหาการบวกลบระคน กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ สาํ หรบั นักเรียนประถมศึกษาปที ี่ 1. วทิ ยานพิ นธน์ พิ นธ์ ครศุ าสตรมหาบณั ฑติ (หลกั สตู ร และการสอน). ลพบรุ ี: มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเทพสตร.ีวรางคณา มณีนพ.(2553). การพัฒนาชดุ การเรยี นการสอนคณติ ศาสตร์ เรอื่ ง การหาร ชน้ั ประถมศกึ ษา ปีที่ 4. วทิ ยานิพนธ์ คศ.ม. (หลกั สูตรและการสอน). สกลนคร: มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร.วชั ระ นอ้ ยมี. (2551). การพฒั นาชดุ การเรยี นคณิตศาสตร์แบบสบื สวนสอบสวน เรื่อง การใหเ้ หตผุ ลและการพิสจู น์ ทางคณติ ศาสตร์ เพื่อส่งเสรมิ ทักษะการใหเ้ หตผุ ล ของผเู้ รยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 4. ปริญญานิพนธ์ กศม. (การมัธยมศกึ ษา). กรงุ เทพ ฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ.สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี (2555). ครคู ณิตศาสตรม์ ืออาชพี เสน้ ทางสคู่ วามสําเร็จ. กรงุ เทพ ฯ: สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลย.ีสาํ นักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2545). พระราชบญั ญัติการศกึ ษาแห่งชาตพิ ุทธศกั ราช 2542 และทแี่ กไ้ ขเพมิ่ เติม พ.ศ. 2545. กรงุ เทพ ฯ: Seven Printing Group.สาํ นกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา. (2548). รายงานการวิจยั การพัฒนารปู แบบและหลกั สตู รการจดั การศกึ ษา สําหรบั ผมู้ คี วามสามารถพเิ ศษดา้ นคณิตศาสตร์ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย. กรงุ เทพ ฯ: พิมพ์ดี.สุรพี ร สดุ ยอด. (2555). รายงานการวิจัยและพัฒนาชุดกจิ กรรมการเรียนร้เู พ่อื สง่ เสรมิ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน เรอื่ ง หนว่ ยของสง่ิ มีชวี ิตและชวี ติ พืช สาํ หรบั นกั เรียน ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1. แม่ฮ่องสอน: โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 21.
154 การประชมุ ทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพือ่ เพ่ิมคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชีพ”ผลงานวิจัย การพฒั นาชุดกิจกรรมการเรยี นรทู้ กั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ัน้ พน้ื ฐาน สาํ หรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นวดั สลุดผ้วู จิ ยั สงั กดั สํานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษา สมทุ รปราการ เขต 2ปที ว่ี ิจัย นางสาวมณรี ตั น์ รัตนวชิ ัย 2556 บทคัดยอ่ การวิจัยคร้ังนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนวัดสลุด สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนวัดสลุด สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 หลังเรียนและก่อนเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนวัดสลุด สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ในภาคเรียนท่ี 2ปกี ารศึกษา 2556 จาํ นวน 30 คน ซ่ึงไดจ้ ากการสุ่มอย่างง่าย เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพ้ืนฐาน ซึ่งเป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตัวเลือกจํานวน 40 ข้อ ที่มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหามีความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20-0.68 และค่าอํานาจจําแนกอยู่ระหว่าง0.20 - 0.73 ได้ค่าความเที่ยง เท่ากับ 0.88 โดยใช้ค่าสถิติพ้ืนฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน คา่ ประสิทธภิ าพชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ (E1/E2) และทดสอบสมมตฐิ านโดยใช้ ค่าที ผลการวิจยั พบวา่ 1. ชุดกจิ กรรมการเรยี นรทู้ กั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพ้ืนฐาน สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 ทพี่ ัฒนาขน้ึ มปี ระสทิ ธิภาพ 84.54/81.83 ซ่ึงเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 2. ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพื้นฐาน สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 หลงั เรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมีนยั สําคญั ทางสถิติที่ระดบั .05ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหาการวจิ ยั วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสําคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจสังคมฐานความรู้และขีดความสามารถในการแขง่ ขันของประเทศแตล่ ะประเทศ ซึ่งประเทศไทยได้ก้าวสู่สังคมขนาดใหญ่จากการเชื่อมโยงของกลุ่มประชาคมอาเซียน การพฒั นาขดี ความสามารถในการแข่งขันของประเทศนนั้ สิง่ สําคญั ที่ตอ้ งพัฒนาอนั ดบั แรกคือ การพัฒนาคน รัฐบาลจึงมีนโยบายท่ีชัดเจนในการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย ด้านการศึกษาเพ่ือยกระดับคุณภาพการศึกษา ให้คุณภาพมาตรฐานในระดับสากลและสอดคล้องกับสังคมโลกยุคใหม่ ประกาศให้การศึกษาเป็นวาระแหง่ ชาติใหป้ ี 2556 เปน็ ปีแห่ง “การรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา” ท้งั นไ้ี ด้กําหนดเป้าหมายมุง่ พฒั นาผ้เู รยี นใหส้ ามารถคดิ วเิ คราะห์ เรียนร้ไู ดด้ ้วยตนเอง มีคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ และทักษะท่ีจําเป็นสําหรับศตวรรษที่ 21โดยดําเนินการเร่งปฏิรูปการเรียนรู้ท้ังระบบให้สัมพันธ์เช่ือมโยงกัน เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาและเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเน่ือง โดยปฏิรูปให้มีความเช่ือมโยงกันท้ังหลักสูตรและการเรียนการสอนให้ก้าวทันการเปลีย่ นแปลงและสอดคลอ้ งกบั การเรียนรยู้ ุคใหม่ ซึ่งการจัดการเรียนการสอนของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการมีทักษะสําคัญในการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอนมกี ารทํากิจกรรมด้วยการลงมอื ปฏิบตั ิจริงจังอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับช้ัน (สํานักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา. 2552: 1)
การประชุมทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพอื่ เพิม่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 155 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ียึดผู้เรียนเป็นสําคัญถือเป็นหัวใจสําคัญของการปฏิรูปการเรียนการสอนซ่ึงกิจกรรมการเรียนการสอนจะมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของหลักสูตรน้ัน ครูผู้สอนจะต้องจัดหาสื่อมาใช้ประกอบการเรียนการสอน เพราะสื่อการเรียนการสอน เป็นองค์ประกอบท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาเกดิ ทกั ษะกระบวนการให้ผู้เรียนคิดเป็น ทําเป็น แก้ปัญหาเป็น ลักษณะของส่ือการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณค่า น่าสนใจชวนคิด และชวนติดตามเข้าใจง่ายและรวดเร็วข้ึน รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักวิธีแสวงหาความรู้เกิดการเรียนอย่างกว้างขวางลกึ ซึง้ และตอ่ เนื่องตลอดเวลา (กรมวชิ าการ, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2545 ก: 39) ผู้วิจัย สอนนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนวัดสลุด สังกัดสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา สมุทรปราการ เขต 2 สังเกตพบว่า ในการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เมื่อครูตง้ั คาํ ถามให้นกั เรยี นตอบ นักเรียนมกั จะตอบคาํ ถามซํ้า ๆ กัน เลียนแบบกัน ไม่ค่อยมีคําตอบที่แปลกใหม่ จากการสมั ภาษณ์ครูผู้สอน ไดใ้ หค้ วามเหน็ ว่า นกั เรียนส่วนใหญ่จะรอฟงั คาํ ส่ังจากครผู ู้สอน ไม่พยายามคิดเอง ขาดความมนั่ ใจในการคิดและตอบคําถาม ขาดทักษะกระบวนการค้นคว้า คิดวิเคราะห์ด้วยเหตุผล ซึ่งสอดคล้องกับรายงานผลการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติ (NT) สํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2ระดบั ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 3 ประจําปีการศึกษา 2555 ซึ่งมผี ลการทดสอบด้านเหตุผลในการคิดวิเคราะห์เปรียบเทียบจัดกลุ่มข้อมูล ประยุกต์ใช้ข้อมูลในการวางแผน เลือกใช้ข้อมูลตัดสินใจแก้ปัญหาของนักเรียน โรงเรียนวัดสลุดมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 41.67 ซึ่งต่ํากว่าค่าเฉล่ียระดับประเทศที่มีค่าเฉล่ียร้อยละ 45.92 (สํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรปราการ เขต 2: 2555) จากสภาพปัญหาดังกลา่ ว ผู้วิจัยได้ตระหนักถึงความสําคัญของการพัฒนาทักษะกระบวนการคิดของนักเรียนอนั เปน็ พนื้ ฐานสําคัญในการนําไปใช้ประกอบการตัดสินใจเพ่ือแก้ปัญหาในข้ันต่างๆ ในการดําเนินชีวิตอยู่ร่วมสังคมได้อย่างมีความสขุ จึงไดพ้ ฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรยี นรกู้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน เพอ่ื เป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนของนักเรียนในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคดิ เปน็ ระบบ เพอื่ นําไปสู่การสร้างองค์ความรู้ประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมนําไปสู่การแก้ปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตประจําวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม มีเหตุผล สามารถดํารงชีวิตไดอ้ ย่างมคี วามสุข และพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของนกั เรียนใหส้ งู ข้นึวัตถุประสงค์การวจิ ยั 1. เพ่ือพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนวัดสลุด สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรปราการ เขต 2ให้มปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิด์ ้านทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพ้ืนฐาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดสลุด สงั กดั สํานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาสมทุ รปราการ เขต 2 หลงั เรียนและก่อนเรยี นนยิ ามศพั ท์เฉพาะ 1. ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ขัน้ พื้นฐาน หมายถงึ ความสามารถท่ีเกิดจากการปฏิบัติและฝึกฝนความคิดอย่างมรี ะบบในการสืบเสาะหาความรู้ เพอ่ื แก้ปญั หา ประกอบดว้ ย ทักษะ 8 ประการ ดังน้ี 1) ทักษะการสังเกต(Observing) 2) ทักษะการวัด (Measuring) 3) ทักษะการคํานวณ (Using Number) 4) ทักษะการจําแนกประเภท(Classifying) 5) ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา (Using Space time Relationships)6) ทกั ษะการจดั กระทําและสอ่ื ความหมายข้อมลู (Communication) 7) ทักษะการลงความเหน็ จากขอ้ มูล (Inferring)8) ทักษะการพยากรณ์ (Predicting)
156 การประชมุ ทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ยั เพอ่ื เพม่ิ คุณภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชีพ” 2. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน หมายถึง สื่อการเรียนท่ีผู้วิจัย พัฒนาข้ึนมีทั้งหมด 8 หน่วยการเรียน และมีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ ส่วนท่ี 1 คู่มือครู ซ่ึงประกอบด้วย คําชี้แจง กจิ กรรมการเรียนการสอน แผนการสอน แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียน เฉลยแบบทดสอบ และเฉลยประจํา หน่วยการเรยี น ส่วนที่ 2 สําหรับนกั เรียน ซึง่ ประกอบด้วย คําสงั่ ใบความรู้ กิจกรรม เน้อื หา แบบฝึกหัด แบบทดสอบ เฉลยแบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ 3. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง คุณภาพของแบบฝึกทักษะ ท่ชี ่วยให้การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมเรียนรขู้ องนักเรยี นบรรลผุ ล ใหเ้ ปน็ ไปตามเกณฑ์ ดังนี้ 4. เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 หมายถงึ เกณฑ์ทกี่ าํ หนดเพ่อื ประกนั วา่ แบบฝกึ ทกั ษะท่ีพฒั นาแลว้ มปี ระสิทธภิ าพ โดยกาํ หนดเปน็ ตัวเลข เป็นรอ้ ยละของคะแนนเฉลยี่ มีคา่ ดงั นี้ 80 ตัวแรก หมายถึง ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนในแบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คดิ ไดจ้ ากรอ้ ยละของคะแนนเฉล่ยี จากการทําแบบฝกึ หดั หรอื ประกอบกิจกรรมของนักเรยี น 80 ตวั หลงั หมายถึง คา่ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์เฉล่ียจากการตอบแบบทดสอบหลังเรียน ด้วยแบบฝึกทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ได้คะแนนเฉลย่ี อยา่ งนอ้ ยรอ้ ยละ 80 5. ผลสมั ฤทธ์ิด้านทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพ้ืนฐาน หมายถึง คะแนนท่ีได้จากแบบทดสอบ วดั ผลสมั ฤทธ์ดิ า้ นทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 6. นักเรียน หมายถึง นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดสลุด สังกัดสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษา สมุทรปราการ เขต 2 ท่กี าํ ลงั ศึกษาในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2556 7. โรงเรียนกลุ่มบางพลี 1 หมายถึง โรงเรียนที่สังกัดกลุ่มบางพลี 1 สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมทุ รปราการ เขต 2 มี 12 โรงเรียน ไดแ้ ก่ โรงเรยี นวัดสลุด โรงเรียนวัดบางพลีใหญ่ใน โรงเรียนวัดบางพลีใหญ่กลาง โรงเรยี นเทวะคลองตรง โรงเรียนคลองลาดกระบัง โรงเรียนวดั กิ่งแก้ว โรงเรยี นคลองบางกระบือ โรงเรียนพรหมพิกุลทอง โรงเรยี นคลองบางแก้ว โรงเรยี นคลองปลัดเปรียง โรงเรยี นเตรยี มปริญญานสุ รณ์ และโรงเรยี นวัดหนามแดง แนวคิด/ทฤษฎีทเ่ี ก่ียวขอ้ ง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพ้ืนฐานของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ได้ยึดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตามสมาคมอเมริกันเพ่ือความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ (The American Association for the Advancement of Science - AAAS) ซึ่งได้แบ่งทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ 13 ลักษณะ เป็น 2 กลุ่ม (AAAS.1970: 33 - 179, อ้างถึงใน เฟ่ืองฟ้า สุวรรณไตร. 2550: 49) โดยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพื้นฐาน (Basic Science Process Skill) มี 8 ทักษะ ได้แก่ ทักษะการสังเกต ทักษะการวัด ทักษะการคํานวณ ทักษะการจําแนกประเภท ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปส กับเวลา ทักษะการจัดกระทําและสื่อความหมายข้อมูล ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูลและทักษะการพยากรณ์ ซ่ึงการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ครูผู้สอนได้จัดทําข้ึนให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระตามจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยแต่ละหน่วยประกอบด้วย ชื่อกิจกรรม คู่มือปฏิบัติกิจกรรม เน้ือหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือให้นักเรียนได้เรียนรู้ อย่างเป็นระบบตามศักยภาพของตนเอง โดยมีครูเป็นท่ีปรึกษาอํานวยความสะดวก ให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรม ด้วยตนเอง เพื่อให้ทักษะและความชํานาญท่ีบรรลุตามจุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้ โดยยึดข้ันตอนการจัดทํา แบบฝึกหัดและแบบฝึกทักษะ ตามที่ ถวัลย์ มาศจรัส (2550: 20) ได้เสนอไว้ คือ ศึกษาเนื้อหาสาระสําหรับจัดทํา แบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะ วิเคราะห์เนื้อหาสาระโดยละเอียดเพ่ือกําหนดจุดประสงค์ในการจัดทํา ออกแบบการจัดทํา แบบฝึกหัดแบบฝึกทักษะตามจุดประสงค์ สร้างแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะและส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น แบบทดสอบ ก่อนฝึก บตั รคาํ สัง่ ขนั้ ตอนกจิ กรรมท่ีผ้เู รียนต้องปฏิบัติ และแบบทดสอบหลังฝึก จากน้ันนาํ แบบฝกึ หัด แบบฝกึ ทักษะ ไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และปรับปรุงพัฒนาให้สมบูรณ์ ทําให้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการ
การประชุมทางวิชาการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพื่อเพม่ิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 157ทางวิทยาศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ สามารถช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาและฝึกฝนประสบการณ์ของตนเองด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้สูงข้ึน เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ครูผู้สอนสามารถนําจุดบกพร่องของผู้เรียนมาปรับปรุงแก้ไข พัฒนาเพ่ิมประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอน เพื่อยกระดับผู้เรียนให้มีศักยภาพในการคิดวิเคราะหไ์ ดเ้ หมาะสมกบั วยั สามารถนาํ ไปใชใ้ นชวี ิตประจําวนั ได้กรอบแนวคดิ การวจิ ัย ตัวแปรตน้ ตัวแปรตามการเรียนการสอนโดยชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ผลสมั ฤทธิด์ า้ นทักษะกระบวนการ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ข้ันพื้นฐาน 8 ทักษะ ข้นั พืน้ ฐาน 8 ทกั ษะวิธดี าํ เนนิ การวจิ ัย แบบแผนการวจิ ัย แบบแผนการวิจัย เป็นแบบกลมุ่ เดียว วัดกอ่ นและหลงั การทดลอง ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง ประชากร ไดแ้ ก่ นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปที ี่ 3 ในโรงเรียน กลุ่มบางพลี 1 สังกัดสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ทก่ี ําลังศึกษาอย่ใู นปีการศึกษา 2556 จํานวน 1,003 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนวัดสลุดสังกัดสํานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาสมุทรปราการ เขต 2 จํานวน 30 คน ซง่ึ ไดม้ าจากการสมุ่ อย่างงา่ ย เครอ่ื งมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพ้ืนฐาน 8 ชุด แต่ละชุดย่อย ประกอบด้วย2 ส่วน คอื ส่วนที่ 1 คู่มือครู ส่วนที่ 2 เป็นกิจกรรมนักเรียน และได้นําไปให้ผู้เช่ียวชาญ 3 ท่าน ตรวจสอบคุณภาพเพ่ือตรวจสอบความถูกต้อง ความเหมาะสมของภาษาที่ใช้ หลังจากนั้นนํามาปรับปรุงแก้ไข แล้วนําไปทดลองใช้นาํ ผลท่ไี ด้มาหาประสิทธิภาพ ซึง่ ผลการวิเคราะห์ ค่าประสทิ ธภิ าพพบว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขัน้ พ้ืนฐานทกุ หน่วยมปี ระสทิ ธภิ าพสูงกว่าเกณฑท์ ี่กาํ หนด คอื ค่าประสทิ ธิภาพของกระบวนการเรยี นในแบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (E1)/ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์เฉล่ียจากการตอบแบบทดสอบหลงั เรยี น (E2) เท่ากบั 80/80 2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิด้านทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขนั้ พนื้ ฐานเป็นแบบทดสอบชนิดปรนัย4 ตัวเลือก จํานวน 40 ข้อ ซ่ึงผู้วิจัยสร้างข้ึน โดยพิจารณาจากโครงสร้างของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพ้ืนฐาน และนําไปให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบด้านความตรงทางโครงสร้าง จากนั้นนําไปทดสอบกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างในการหาประสทิ ธิภาพแบบทดสอบ นําคะแนนมาหาค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20 - 0.68 และค่าอํานาจจําแนกอย่รู ะหว่าง 0.20 - 0.73 แล้วนํามาหาค่าความเทยี่ ง ได้ความเท่ยี งของแบบทดสอบ เท่ากบั 0.88 3. แบบประเมินชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพ้ืนฐาน เป็นชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบ่งการประเมนิ เป็น 6 ดา้ น คอื ดา้ นคําชแี้ จงในการใชช้ ุดกจิ กรรมการเรยี นร้ทู ักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน ด้านเน้ือหา ด้านกิจกรรม ด้านแบบทดสอบและแบบฝึกหัด ด้านภาษา และด้านเอกสารประกอบ ซ่ึงผ้วู ิจัยสรา้ งข้นึ และได้นําไปใหผ้ เู้ ช่ียวชาญ จํานวน 3 คน ตรวจสอบความตรงเชงิ เนื้อหา
158 การประชุมทางวชิ าการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพ่อื เพิม่ คณุ ภาพการศึกษาและการพัฒนาวิชาชีพ” การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู การวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยได้ดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ข้ันพ้ืนฐาน จากนั้นนําชุดกิจกรรมการเรียนรู้มาตรวจสอบประสิทธิภาพก่อนนําไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทใี่ ช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรูจ้ ากการสอบหลังเรียนดว้ ยแบบทดสอบที่ผวู้ ิจัยสรา้ งขนึ้ การวเิ คราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะหข์ ้อมลู ผู้วจิ ยั ไดก้ ําหนดสถติ ิทใี่ ช้ดังนี้ 1. สถิติพนื้ ฐาน ได้แก่ ค่าเฉลย่ี (mean) และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2. สถิติท่ีใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือ คือ 1) ค่าดัชนีความสอดคล้อง 2) การวิเคราะห์ข้อสอบ หาค่าความยากง่าย 3) ค่าความเทีย่ งของแบบทดสอบ ใช้สูตร KR-20 ของคเู ดอร์ ริชาร์ดสนั (Kuder – Richardson) 3. สถติ ทิ ่ีใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉล่ียของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใชก้ ารทดสอบแบบที กรณีกลุ่มตัวอย่างไมเ่ ปน็ อสิ ระต่อกนั Dependent Samples (t - test) และทดสอบคะแนน ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน สรุปผลการวจิ ัย ในการวจิ ัยคร้งั นี้ สรุปผลการทดลองได้ดังน้ี 1. ผลการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานสําหรับนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดสลุด สังกัดสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 มปี ระสิทธิภาพโดยรวมเฉล่ีย 84.54/81.83 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ท่ีตั้งไว้ โดยเป็นค่าประสิทธิภาพของ กระบวนการเรียนในแบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (E1) เป็นคะแนนระหว่างการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งคํานวณจากร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนได้รับจากการทําแบบฝึกหัดชุดกิจกรรมการเรียนรู้ประจําหน่วย มีค่า 84.54 และค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์เฉล่ียจากการตอบแบบทดสอบหลังเรียน (E2) ซึ่งคํานวณจากร้อยละ ของคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนได้รับจากการทําแบบทดสอบหลังการเรียนรู้ประจําหน่วย มีค่า 81.83 และเม่ือพิจารณา เป็นรายหน่วย พบว่าค่าประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนในแบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์(E1) มีค่าอยู่ระหว่าง 83.00 - 86.00 ส่วนค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์เฉลี่ยจากการตอบแบบทดสอบหลังเรียน (E2) พบว่า มีค่าอย่รู ะหว่าง 81.00 - 82.67 ซึง่ เป็นไปตามสมมตฐิ านทต่ี ง้ั ไว้ 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดสลุด สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ที่สอนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพื้นฐาน ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนท่ีเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพื้นฐาน สําหรับนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนวัดสลุด สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ผลการทดสอบก่อนเรียนได้คะแนนเฉล่ีย 18.77 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.36 ผลการทดสอบหลังเรียนได้คะแนน เฉลย่ี 33.53 สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน 2.74 ค่า t เท่ากบั 22.38 คา่ P เท่ากบั .000 นัน่ แสดงว่ามคี ะแนนผลสมั ฤทธ์ิ ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพื้นฐานหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ตามสมมตฐิ านขอ้ ท่ี 2 ทีต่ ั้งไว้
การประชุมทางวชิ าการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพือ่ เพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 159อภิปรายผลการวจิ ยั ในการวจิ ัยครั้งน้ี สรุปผลการทดลองได้ดงั นี้ 1. ผลจากการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพื้นฐาน สําหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนวัดสลุด สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ทุกหน่วย อาจเน่ืองมาจากผู้วิจัยได้พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ และผ่านการประเมินจากผู้เช่ียวชาญ ได้หาประสิทธิภาพตามข้ันตอน ตลอดทั้งได้รับคําแนะนําและนําไปปรับปรุงแก้ไขจนสมบูรณ์ จึงทําให้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสอดคล้องกับงานวิจัยของ นงลักษณ์ จันดากูล (2554: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลก กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4ผลการวิจยั พบวา่ ชุดฝกึ พัฒนาชดุ ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพ้ืนฐาน มีประสิทธิภาพ 82.21/82.27ตามเกณฑ์มาตรฐานที่ต้ังไว้ 80/80 และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังการใชช้ ุดฝึกสูงกว่าก่อนใช้ชุดฝกึ อย่างมีนัยสาํ คญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั .01 2. จากผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพ้ืนฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนวัดสลุด สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2ท่ีสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพ้ืนฐาน ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่านักเรียนท่ีเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพ้ืนฐาน มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพื้นฐานหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05ตามสมมติฐานนัน้ อาจเนือ่ งมาจากการจัดการเรียนรดู้ ว้ ยชดุ กิจกรรมการเรียนร้ทู าํ ให้ผเู้ รยี นได้ตื่นเต้นกับกิจกรรมใหม่ ๆมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีปฏิสัมพันธ์กับเพ่ือน ๆ ในกลุ่ม ทุกคนมีบทบาทหน้าที่รับผิดชอบ ก่อให้เกิดภาวะผู้นําและผตู้ ามทด่ี ี ทาํ ใหผ้ เู้ รียนกระตือรือรน้ มากกว่าการฟงั บรรยายจากครูผ้สู อน สอดคล้องกับงานวิจัยของ ทรัพย์ สยามล(2554: 59) กลา่ ววา่ ชุดฝึกมปี ระโยชน์สําหรับนักเรียน คือ ช่วยให้นักเรียนได้ฝึกประสบการณ์หรือฝึกทักษะต่าง ๆและสามารถพฒั นาตนเองไดต้ ามศักยภาพทําใหน้ ักเรียนทราบข้อบกพร่องของตนเอง และนําข้อบกพร่องนั้นไปปรับปรุงได้ ชุดฝึกมปี ระโยชนส์ าํ หรับครูคือทําให้ครทู ราบจุดเด่นและข้อบกพร่องของนักเรียนและสามารถแก้ไขบกพร่องนั้นในการจัดทําชุดฝึกคร้ังต่อไปได้ ดังน้ันชุดฝึกจึงมีความเหมาะสมสําหรับนํามาใช้ในการฝึกทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ให้กับนักเรียน ซ่ึงยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ ทรัพย์ สยามล (2552: บทคัดย่อ) ได้พัฒนาชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สําหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานหลังเรียนด้วยชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพื้นฐานสําหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติทรี่ ะดบั .01 ทั้งนี้ ยังสอดคล้องกับผลการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติ (NT) ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3โรงเรียนวัดสลุด สํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ประจําปีการศึกษา 2556 พบว่าผลการทดสอบความสามารถและตัวชี้วัดดา้ นเหตุผลของนักเรยี นที่อย่ใู นเกณฑ์ดแี ละดีเยย่ี มมคี า่ เฉลีย่ ร้อยละ 65.63สูงกว่าด้านภาษาท่ีมีค่าเฉล่ียร้อยละ 43.75 และด้านคํานวณมีค่าเฉล่ียร้อยละ 37.51 และเมื่อเปรียบเทียบผลการทดสอบความสามารถและตัวช้วี ัดด้านเหตุผลระหว่างปีการศึกษา 2555 และ 2556 พบว่าในปีการศึกษา 2555 ผลการทดสอบนักเรียนที่แบ่งเกณฑ์ประเมินเป็น 4 ระดับ คือ ปรับปรุง พอใช้ ดีและดีเยี่ยม มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 23.81, 38.10,33.33, และ 4.76 ตามลําดับ ปีการศึกษา 2556 นักเรียนที่อยู่ในเกณฑ์ปรับปรุง พอใช้ ดีและดีเยี่ยมมีค่าเฉลี่ยร้อยละ3.13, 31.25, 43.75, และ 21.88 ตามลําดับ ซึ่งสูงกว่าปีการศึกษา 2555 อย่างชัดเจน ดังน้ันชุดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สามารถนําไปจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิให้สูงขึ้นได้เป็นอยา่ งดี
160 การประชุมทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ัยเพอ่ื เพิม่ คุณภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนําผลการวจิ ัยไปใช้ 1. ในการสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ควรนําไปบูรณาการกับหน่วยการเรียนรู้ ตามมาตรฐานตัวช้ีวัดเพื่อให้ ผู้เรียนไดเ้ รยี นรใู้ นระยะเวลาท่ีจาํ กัดไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ 2. ครผู ้สู อนควรศึกษารายละเอียดและขั้นตอนต่าง ๆ ให้เข้าใจ เพ่ือจะได้สอดแทรกเน้ือหาเชื่อมโยงพร้อม ยกตัวอย่างกับเหตกุ ารณ์ปจั จุบันให้นักเรยี นสามารถเข้าใจได้ดยี ิ่งข้นึ 3. การนําชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ไปใช้กับนักเรียนกลุ่มอ่ืนๆ ควรปรับเวลาและกิจกรรมให้เหมาะสมตามศักยภาพ ของผเู้ รยี น เพอื่ ให้มปี ระสทิ ธิภาพสูงสุด ข้อเสนอแนะในการวจิ ัยครัง้ ต่อไป ควรกาํ หนดเนือ้ หาของหนว่ ยการเรยี นร้แู ตล่ ะหนว่ ยแล้วนําทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันพ้ืนฐาน บรู ณาการการจัดการเรียนรู้ ตลอดทงั้ การพัฒนาสื่อรูปแบบอืน่ ๆ ทีห่ ลากหลายให้ทนั ต่อเหตุการณท์ ่ีเปลย่ี นแปลงไป ในปัจจุบัน เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนและศึกษาจากประสบการณ์จริง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในการจดั การเรียนรูแ้ กผ่ ้เู รยี น รายการอ้างอิง กรมวชิ าการกระทรวงศึกษาธิการ. (2545). คูม่ อื การจดั การสาระการเรยี นรกู้ ลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ตามหลกั สตู รการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพ ฯ: องค์การรับส่งสินค้าและพสั ดภุ ัณฑ์ (ร.ส.พ.). ถวลั ย์ มาศจรสั . (2550). การจดั การเรียนรตู้ ามปรชั ญาพระราชทานเศรษฐกจิ พอเพยี ง. กรงุ เทพ ฯ: ธารอกั ษร. ทรัพย์ สยามล. (2554). การพฒั นาชุดฝกึ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สําหรบั นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษา ปีท่ี 4. วทิ ยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบณั ฑิต. อบุ ลราชธาน:ี มหาวิทยาลัยราชภฏั อบุ ลราชธาน.ี นงลักษณ์ จันดากลู . (2554). การพฒั นาชุดฝกึ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เร่อื ง กระบวนการเปลยี่ นแปลง ของโลก กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4. วิทยานพิ นธค์ รุศาสตรมหาบณั ฑิต. อบุ ลราชธานี: มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอุบลราชธาน.ี เฟื่องฟ้า สุวรรณไตร. (2550). การพฒั นาชดุ ฝึกทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทเ่ี นน้ แหลง่ เรยี นรู้ ในชมุ ชนของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 โรงเรียนบา้ นหนองผักแว่น สาํ นักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษา หนองคาย เขต 3. วทิ ยานิพนธค์ รุศาสตรมหาบัณฑติ . สกลนคร: มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร. สํานักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาสมทุ รปราการ เขต 2. (2555). ข้อมลู โรงเรยี น. สบื คน้ เม่ือ 16 พฤษภาคม 2555. แหล่งท่มี า: ttp://202.143.169.210/samutprakan2/index. สาํ นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา. (2552). ตวั ช้วี ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลางกลุม่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร.์ กรุงเทพ ฯ: ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจาํ กัด.
การประชุมทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพื่อเพ่มิ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 161ผลงานวิจยั ผลการจดั การเรยี นรู้ในกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ตามแนวคดิ คอนสตรคั ติวิสต์ทม่ี ตี อ่ ความสามารถในการสร้างองคค์ วามรู้ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นผวู้ จิ ยั และความสขุ ในการเรียนของนักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นบ้านเสาเลา้ ผกั ชศี รีสวัสด์ิปีทีว่ จิ ัย นางพจนี ศิริวรรณ 2556 บทคัดยอ่ การวิจยั ครั้งน้มี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื 1) ศกึ ษาความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 1 ที่เข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ในกล่มุ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวฒั นธรรมตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 ก่อนและหลังเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ในกลุม่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษาศาสนา และวฒั นธรรมตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ และ 3) ศึกษาความสุขในการเรียนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 ท่ีเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรมตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ กลุ่มเป้าหมาย เป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556โรงเรียนบ้านเสาเล้าผักชีศรีสวัสด์ิ ตําบลโพธิ์ศรีสําราญ อําเภอโนนสะอาด สํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 2 จํานวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หน้าท่ีเด็กดีของชาติ และหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เศรษฐศาสตร์น่ารู้ ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1จาํ นวน 10 แผน แบบทดสอบสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 หน้าท่ีเด็กดีของชาติ และหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เศรษฐศาสตรน์ า่ รู้ ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จํานวน20 ข้อ และแบบสอบถามวัดความสุขในการเรียนของนักเรียนประถมศึกษาปีท่ี 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์เป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 3 ระดับ จํานวน 15 ข้อ สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละค่าเฉลย่ี ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมตฐิ าน โดยใช้ t – test (Dependent Samples) ผลวจิ ัยพบวา่ 1. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ตามแนวคดิ คอนสตรคั ติวิสต์ มคี วามสามารถในการสรา้ งองค์ความรู้อยใู่ นระดับดีมาก 2. หลังเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของสูงขึ้นกว่าก่อนเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสําคัญทางสถติ ิทรี่ ะดับ .01 3. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามแนวคิดคอนสตรัคตวิ ิสต์ มคี วามสุขในการเรียนของอยใู่ นระดบั มากความเป็นมาและความสําคัญของปัญหาการวิจัย ภายใต้สถานการณก์ ารเปล่ยี นแปลงทม่ี ผี ลตอ่ ทศิ ทางการพฒั นาประเทศไทยในศตวรรษท่ี 21 สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังตอ้ งเผชิญกระแสการเปล่ียนแปลงทั้งภายในและภายนอกประเทศท่ีผันผวน ซับซ้อนและคาดการณ์ผลกระทบได้ยาก ประเทศต้องเผชิญกับความเส่ียงในหลายมิติ โดยเฉพาะความเส่ียงจากการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การกําหนดทิศทางและยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในระยะของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) จึงต้องเร่งสร้างภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น ในมิติการพัฒนาด้านต่าง ๆเพ่ือป้องกนั ปัจจัยเส่ียงท่ีสังคมไทยตอ้ งเผชิญ และเสริมรากฐานของประเทศให้เขม้ แขง็ ควบคู่ไปกับการให้ความสําคัญกับการพฒั นาคนและสงั คมไทยให้มีคุณภาพ โดยการพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ส่งเสริมการศึกษา
162 การประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจําปี 2557 “การวจิ ยั เพ่อื เพิม่ คุณภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวิชาชพี ” ทางเลือกที่สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน โดยจัดการศึกษาและการเรียนรู้ท่ีมีคุณภาพ ยืดหยุ่น หลากหลาย เข้าถึงง่าย สัมพันธ์สอดคล้องกับวัฒนธรรม วิถีชีวิต และการประกอบอาชีพในแต่ละท้องถ่ิน โดยเน้น การพัฒนานักเรียนเป็นสําคัญให้สามารถสร้างความรู้ด้วยตนเอง เรียนรู้เป็นกลุ่มจนติดเป็นนิสัยใฝ่เรียนรู้ มีทักษะ การทาํ งาน และการดําเนินชีวิตเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันสําคัญในการดํารงชีวิตและปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก (สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2555: 23) และเพื่อให้การศึกษาเป็นเคร่ืองมือ ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและการเมืองของประเทศอย่างแท้จริง เป้าหมายของการจัดการศึกษา จะต้องมุ่งสร้างสรรค์สังคมให้เอื้อต่อการพัฒนาประเทศโดยรวมและมุ่งสร้าง “คน” หรือ “ผู้เรียน” ซึ่งเป็นผลผลิต โดยตรง ให้มีคุณลักษณะ มีศักยภาพ และความสามารถท่ีจะพัฒนาตนเองและสังคมไปสู่ความสําเร็จได้ ดังน้ันวิธีสําคัญ ทจี่ ะสามารถสร้างและพัฒนาคนหรือผู้เรียนให้เกิดคุณลักษณะต่าง ๆ ท่ีต้องการ คือ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เปน็ สําคัญ (วฒั นาพร ระงับทุกข์, 2542: 11) โดยเปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนไดเ้ รยี นรู้ตามความถนดั และความสนใจเรียน อย่างสนกุ เล่นใหไ้ ดค้ วามรู้ และมคี วามสุขในการเรียน (บวร เทศารนิ ทร์, 2547: 18) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กําหนดการจัดกระบวนการศึกษาที่เน้น นักเรียนเป็นสําคัญ นักเรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้และความเข้าใจในส่ิงที่เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยผ่านกระบวนการคิด และได้เป็นผู้ลงมือกระทําจากประสบการณ์จริงท่ีใกล้ตัวนักเรียน สามารถประยุกต์องค์ความรู้ไปใช้ในการดําเนินชีวิต โดยกําหนดสาระการเรียนรู้และตัวช้ีวัดตามหลักสูตร ประกอบด้วยองค์ความรู้หรือเน้ือหาสาระ ทักษะหรือ กระบวนการเรยี นร้แู ละคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 4) แต่อย่างไรก็ตาม หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐานและหลักสูตรสถานศึกษาท่ีใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดการศึกษาเพ่ือการปฏิรูป การเรียนรู้ พบว่า ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นสําคัญได้เพียงร้อยละ 50 - 60 เท่านั้น (วทิ ยากร เชยี งกลู , 2550: 15) สอดคลอ้ งกบั ทิศนา แขมณี และชนาธปิ พรกุล, 2544 อา้ งถงึ ในทองปัน สอนเอ่ยี ม, 2553: 23) พบว่า นักเรียนขาดการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง คิดไม่เป็น แก้ปัญหาไม่ได้ ขาดการลงมือปฏิบัติ การเรียนรู้ไม่เป็นองค์รวม และขาดการเชื่อมโยงส่ิงท่ีเรียนรู้กับชีวิตจริง ขาดการฝึกฝนทักษะกระบวนการท่ีเป็น เครอ่ื งมอื สําคัญในการเรยี นรู้ ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O - NET) ของสถาบันทดสอบทางการศึกษา ปีการศึกษา 2553 - 2555 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนบ้านเสาเล้าผักชีศรีสวัสดิ์ พบว่า ได้คะแนนเฉล่ีย 48.91, 47.28 และ 39.20 ตามลาํ ดับ นอกจากนี้ จากการประเมนิ ผลการจดั การเรยี นรกู้ ลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรมในปีการศึกษาเดียวกัน ยังพบว่า ได้คะแนนเฉล่ีย 67.23, 65.81 และ 62.27 ตามลําดับ ซึ่งต่ํากว่าเกณฑ์ที่โรงเรียนกําหนด คือ ร้อยละ 70 (งานวัดผลและประเมินผลฝ่ายวิชาการโรงเรียนบ้านเสาเล้าผักชีศรีสวัสด์ิ, 2555: 5) และจากการวิเคราะห์ข้อสอบ วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทางกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ ทําข้อสอบได้คะแนนน้อย ในลักษณะการวัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นความสามารถท่ีต้องใช้ ทักษะการคิดในระดับสูง ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากนักเรียนท่องจาํ เนื้อหาเพื่อการสอบเท่านั้น โดยนักเรียนขาด การสร้างองค์ความรดู้ ว้ ยตนเองอยา่ งเป็นระบบ ไมส่ ามารถเชอื่ มโยงสิ่งที่เรียนรู้กับชีวิตจริง นักเรียนจึงทําข้อสอบไม่ได้ ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนจึงมแี นวโนม้ ตํา่ ลงทกุ ปีดงั ท่ีปรากฏ จากการสังเกตและสัมภาษณ์ครผู สู้ อน พบว่า สภาพการจดั การเรยี นการสอนกล่มุ สาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ใช้วิธีการสอนแบบบรรยายตามเน้ือหาในหนังสือเรียน ผู้เรียนเรียนโดยรับความรู้ จากครู เพยี งฝา่ ยเดยี ว ทําให้นักเรียนขาดความสนใจในเร่ืองที่เรียน เกิดความเบ่ือหน่าย ไม่มีความสุขในการเรียน นักเรียน ขาดการคิดวเิ คราะห์ ไม่สามารถเช่ือมโยงสิ่งท่ีเรียนรู้ ส่งผลให้การเรียนรู้ไม่มีความหมายกับผู้เรียน ดังนั้น การแก้ปัญหา การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงควรปรับเปลี่ยนรูปแบบ การสอนแบบเดิมเป็นรูปแบบการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ โดยนักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองจากการได้ปฏิบัติ
การประชุมทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพอื่ เพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 163จะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทั้งความคิด ความรู้ ทักษะกระบวนการ และมีประสบการณ์มากขึ้น ซ่ึงสอดคล้องกับทองปัน สอนเอี่ยม (2553: 43) ที่กล่าวว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต้องสอนให้นักเรียนเรียนรู้อย่างรู้เท่าทันและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง คือนักเรียนได้เรียนรู้โดยการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองและเชื่อมโยงส่ิงที่เรียนรู้เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ ลักษณะการเรียนรู้ท่ีนักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองมีข้อดี คือ นักเรียนมีส่วนร่วมลงมือปฏบิ ัติกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมุ่งให้นักเรียนได้ใช้กระบวนการ เพื่อพัฒนากระบวนการคิดจากการได้ปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับครูผู้สอนและนักเรียน จนเกิดการสร้างความรู้ด้วยตนเองและเรียนรู้อย่างมีความหมายก่อให้เกิดการพัฒนาทางกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญาของนักเรียนท่ีเกิดขึ้นตามสภาพจริงจนนักเรียนสามารถคิดวเิ คราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ วางแผนและตัดสินใจในการแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง นําไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต ทําให้มีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นสงู ข้ึนและคณุ ภาพชวี ิตดขี ้ึน แนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist Theory) เป็นแนวคิดท่ีเน้นนักเรียนเป็นสําคัญ คํานึงถึงความต้องการและความแตกต่างของนักเรียน ส่งเริมให้นักเรียนมีพัฒนาการอย่างเต็มศักยภาพ รู้จักวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลและสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง แนวคิดนี้ความรู้คือ การสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญาจากประสบการณแ์ ละโครงสร้างเดมิ ท่ีมีอยู่ โดยมีการตรวจสอบว่าสามารถนําไปใช้อธิบายเหตุการณ์อื่น ๆ ได้ การสร้างความรู้ได้มีการเปล่ียนจากเดิมที่เน้นการศึกษาปัจจัยภายนอกมาเป็นส่ิงเร้าภายใน ซึ่งได้แก่ ความรู้ความเข้าใจหรือกระบวนการรู้คิด (Cognitive processes) (วัฒนาพร ระงับทุกข์, 2541: 31) ซึ่งหัวใจสําคัญของแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ที่ทําให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีที่สุดคือผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นเจ้าของการเรียนและลงมือปฏิบัติจริงไม่ใช่การเรียนรู้ด้วยการบอกเล่า แต่ต้องเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ ซ่ึงมีแหล่งเรียนรู้มาจากการที่ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กบั สิง่ แวดลอ้ มตามธรรมชาติและความร้ทู ่ีไดจ้ ากการจัดกจิ กรรม (จิราภรณ์ ศิริทวี, 2541: 24) ผู้วิจัยปฏิบัติหน้าท่ีครูโรงเรียนบ้านเสาเล้าผักชีศรีสวัสดิ์ รับผิดชอบสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งตามพัฒนาการเรียกว่าวัยเด็กตอนกลาง (Middle Childhood)เด็กในวัยน้ีสามารถใช้เหตุผลแล้ว เพราะเด็กมีความคิดเข้าใจเหตุผล และนําเหตุผลมาเป็นแนวทางในการตัดสินใจและเคารพกฎตา่ ง ๆ อยา่ งไมต่ ้งั คําถาม ระยะน้ีจึงเป็นระยะที่เหมาะสมสําหรับสอนให้เด็กเข้าใจสิ่งต่าง ๆ เพราะหากเราสามารถสอนเด็กให้เข้าใจดีแล้วก็จะฝังใจ ติดเป็นนิสัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ และอาจแก้ปัญหาในสังคมไทยได้(ศรีเรือน แก้วกังวาน, 2540: 267 - 268) จากความสําคัญดังกล่าวท้ังหมดในข้างต้น ผู้วิจัยจึงได้นาํ แนวคิดคอนสตรัคติวิสต์มาเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ในคร้ังนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ที่มีต่อความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสุขในการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1โรงเรยี นบ้านเสาเล้าผักชศี รีสวัสด์ิ อนั จะช่วยใหน้ ักเรียนมีความรูพ้ ื้นฐานหรอื ความรูเ้ ดมิ ติดตัวไว้สําหรับเช่ือมโยงกับความรู้ใหม่ในการเรียนในระดับที่สูงข้ึน และยังเป็นการปลูกฝังและวางรากฐานให้นักเรียนได้เรียนรู้โดยการลงมือปฏิบตั ิจริงจนสามารถสรา้ งองค์ความรู้ด้วยตนเองท่ีมีความหมายตั้งแต่เยาว์วัยจนกลายเป็นบุคลิกภาพ และได้เป็นเจ้าของการเรยี นอยา่ งแทจ้ รงิวตั ถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เข้าร่วมการจดั การเรยี นรู้ในกลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศกึ ษาศาสนา และวฒั นธรรมตามแนวคิดคอนสตรคั ติวสิ ต์ 2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเข้าร่วมการจัดการเรียนรใู้ นกลุม่ สาระการเรียนรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรมตามแนวคดิ คอนสตรคั ตวิ สิ ต์ 3. เพ่ือศึกษาความสุขในการเรียนของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ในกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรมตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์
164 การประชมุ ทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557 “การวิจยั เพอ่ื เพิม่ คุณภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชพี ” นยิ ามศพั ท์เฉพาะ 1. การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ หมายถึง การจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง หน้าท่ีเด็กดีของชาติ สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดํารงชีวิตในสังคม และหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง เศรษฐศาสตร์ สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์น่ารู้ ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1 ตามหลักการและแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นให้นักเรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเองจากการปฏิบัติจริงตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยปรับ จาก ไดรเวอร์ (Driver อ้างถึงใน พจนี ศิริวรรณ, 2547: 18) ซ่ึงการจัดการเรียนรู้สําหรับนักเรียนในแต่ละคร้ังเรียงตามลําดับขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 เรียนสนุกปลุกใจ, ข้ันท่ี 2 ไขความรู้เดิม, ขั้นที่ 3 เพ่ิมเติมเรียนรู้ร่วมกัน, ขั้นท่ี 4 สร้างสรรค์จากปัญญา และ ขั้นท่ี 5 นาํ มาสรุปและทบทวน 2. ความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง หมายถึง ความสามารถในการสรุปองค์ความรู้ หรือเนื้อหาสาระ การเช่ือมโยงองค์ความรู้เดิมเข้ากับองค์ความรู้ใหม่ เพ่ือแสดงความสัมพันธ์ของเนื้อหาสาระ การจัดระบบข้อมูลตามรูปแบบแผนผังทางปัญญา และความคิดสร้างสรรค์จากการเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นร้สู ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถของนักเรียนที่เกิดจากการทําแบบทดสอบ วดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 หน้าท่เี ดก็ ดีของชาติ และหน่วยการเรียนรู้ ท่ี 3 เศรษฐศาสตร์น่ารู้ ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 1 ทีผ่ ูว้ จิ ัยสร้างขน้ึ โดยเป็นแบบปรนัยชนดิ เลือกตอบ 3 ตวั เลอื ก จาํ นวน 20 ขอ้ 4. ความสุขในการเรียน หมายถึง ความรู้สึกสบายกายสบายใจ รู้สึกชอบหรือพึงพอใจในชีวิตขณะร่วม การจดั การเรียนรูต้ ามแนวคดิ คอนสตรคั ตวิ สิ ต์ สามารถวดั ได้จากแบบสอบถามวดั ความสุขในการเรยี นท่ีผูว้ ิจัยสร้างขึน้ แนวคดิ /ทฤษฎีทีเ่ กย่ี วข้อง 1. ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการสร้างความรู้ เงื่อนไขการเรียนรู้ ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคตวิ ิสตเ์ ปน็ กระบวนการลงมอื กระทาํ ที่เกิดข้ึนในแต่ละบุคคล ความรู้ต่าง ๆ จะถูกสร้างข้ึน ด้วยตัวของผู้เรียนเอง โดยใช้ข้อมูลท่ีได้รับมาใหม่ร่วมกับข้อมูลหรือความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว รวมท้ังประสบการณ์เดิม มาสรา้ งความหมายในการเรียนรขู้ องตนเอง (วัฒนาพร ระงับทุกข์, 2541: 25) กลมุ่ คอนสตรคั ตวิ ิสต์เช่อื วา่ การเรียนรู้ เปน็ กระบวนการทเี่ กดิ ขน้ึ ภายในตัวผูเ้ รยี น โดยผเู้ รยี นเป็นผ้สู รา้ งความรจู้ ากความสมั พันธ์ระหว่างส่ิงท่ีพบเห็นกับความรู้ ความเข้าใจเดิมท่ีมีมาก่อน เป้าหมายของการสอนจะสนับสนุนการสร้างมากกว่าการพยายามในการถ่ายทอดความรู้ มุ่งเนน้ ให้ผูเ้ รียนลงมือกระทําในการสรา้ งความรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ไดรเวอร์ (Driver อ้างถึงใน พจนี ศิริวรรณ, 2547: 18) ได้เสนอ ลําดบั ขน้ั การสอนแบบคอนสตรคั ติวิสต์ ไว้เปน็ 5 ระยะ คือ ระยะท่ี 1 คือการเตรียมนักเรียนให้สนใจในเร่ืองที่จะศึกษากันในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง หรือประเด็นใด ประเดน็ หนึ่ง (Orientation) อาจเรยี กวา่ เปน็ ระยะวางแผนการสอนกไ็ ด้ ระยะที่ 2 เป็นระยะท่ีดึงความรู้เดิมของเด็กออกมา (Elicitation) ระยะน้ีครูจะต้องช่วยให้นักเรียนรู้ตัว วา่ ในเร่อื งนนั้ ๆ มคี วามรเู้ ดิมอะไรอยู่ เพื่อครูจะไดร้ ู้วา่ เดก็ รู้อะไรบา้ ง ถกู หรือผดิ อย่างไร ระยะที่ 3 เป็นการทําให้เด็กเร่ิมรู้ว่าในความคิดของเขานั้น ๆ ยังมีความรู้อย่างอ่ืนหรือมีความหมายอย่างอื่น ท่ไี มเ่ หมือนกับสง่ิ ที่เขายดึ ถอื อยู่ เด็กจะเริ่มสํารวจตรวจตราแนวคิดหรือความหมายของตน ด้วยจิตวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ แล้วจึงปรับเปลี่ยน หรือขยายความคิดเดิมออกไปครอบคลุมความรู้ใหม่และในที่สุด คือเอาความรู้/ แนวคดิ /ความหมายใหมแ่ ทนของเดิม หรอื สรา้ งใหม่ (Restructuring) ระยะน้ีเปน็ หัวใจของการเรียนการสอน ระยะท่ี 4 เป็นการประยกุ ต์ใช้ (Application) แนวคดิ หรือความรู้ท่ีสร้างใหม่ไปเช่ือมโยงกับสถานการณ์อ่ืน หรือความร้อู ่ืน ๆ ที่เก่ยี วขอ้ ง
การประชุมทางวิชาการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพอื่ เพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 165 ระยะที่ 5 ระยะทบทวน (Review) เพ่อื ให้ผ้เู รยี นสะท้อนออกมาให้ทราบว่า ความคิด หรือความรู้ของเขาเปรียบเทียบกบั แนวคิดเดิมท่ีเด็กมมี านนั้ มีการเปลยี่ นแปลงอยา่ งไร 2. เทคนิคแผนผังทางปัญญา หมายถึง แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความคิดหลักความคิดรองและความคิดย่อยจากส่ิงที่เรียนมาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละคร้ังอย่างเป็นระบบโดยแสดงออกในลักษณะการเขียนเรอ่ื งตอ่ โยงคาํ ภาพ สัญลักษณ์ และสีกรอบแนวคิดการวจิ ัย ตวั แปรตาม ตัวแปรอิสระ การจัดการเรยี นรู้ • ความสามารถในการสรา้ ง กลุ่มสาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา องคค์ วามรู้ด้วยตนเอง ศาสนา และวฒั นธรรม • ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ตามแนวคิดคอนสตรัคตวิ สิ ต์ กลุม่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษาข้นั ที่ 1 เรียนสนุกปลุกใจ ศาสนาและวฒั นธรรมข้ันท่ี 2 ไขความรู้เดิมขัน้ ที่ 3 เพ่ิมเติมเรียนรรู้ ่วมกนั • ความสุขในการเรยี นขน้ั ที่ 4 สร้างสรรค์จากปญั ญาขัน้ ที่ 5 นํามาสรปุ และทบทวนวิธดี าํ เนินการวิจยั แบบแผนการวิจยั แบบแผนการวิจยั เป็นแบบกลุ่มเดียว วัดกอ่ นและหลงั การทดลอง กลุ่มเปา้ หมาย กลมุ่ เป้าหมาย เปน็ นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2556 โรงเรียนบ้านเสาเล้าผักชีศรสี วัสดิ์ ตาํ บลโพธ์ศิ รีสาํ ราญ อาํ เภอโนนสะอาด สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุดรธานี เขต 2 จาํ นวน 30 คน เครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 1. เครอื่ งมอื ที่ใชใ้ นการทดลอง คือ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หน้าที่เด็กดีของชาติ และหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เศรษฐศาสตร์น่ารู้ จํานวน 10 แผน เรียงตามลําดับ ได้แก่ รู้รอบครอบครัวตน คนดีของครอบครัวรอบร้ัวโรงเรียนเรา เขาก็ดีเราก็ดี มีประชาธิปไตย ใส่ใจสินค้าและบริการ งานดีมีรายได้ ใช้จ่ายให้ย้ังคิด เศรษฐกิจพอเพยี ง ชีวติ ไม่เส่ยี งรู้อดออม ผู้วิจัยได้สร้างและหาคุณภาพโดยผ่านเกณฑ์การประเมินจากผู้เช่ียวชาญอยู่ในระดับคุณภาพเหมาะสมมาก (ได้ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.37) และได้ปรับปรุงแก้ไขกิจกรรมให้เหมาะสมกับเวลาตามข้อเสนอแนะของผูเ้ ชย่ี วชาญ 2. เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 หน้าท่ีเด็กดีของชาติ และหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เศรษฐศาสตร์น่ารู้ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จํานวน 20 ข้อ ผ่านการประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อสอบแต่ละข้อกบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ และนําผลการประเมินของผู้เช่ยี วชาญ มาหาคา่ ดชั นีความสอดคล้อง โดยใช้สูตรIOC (บุญชม ศรีสะอาด, 2535: 93 - 98) พบว่า แบบทดสอบมีค่า IOC ตั้งแต่ 0.67 ถึง 1.00 ทุกข้อ ผ่านการตรวจสอบคณุ ภาพข้อสอบเป็นรายขอ้ โดยวิเคราะห์ความยากง่าย (P) และอํานาจจําแนก (B) พบว่าข้อสอบมีความยากต้ังแต่
166 การประชุมทางวชิ าการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพอ่ื เพิ่มคุณภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 0.38 - 0.91 และคา่ อํานาจจาํ แนกตัง้ แต่ 0.21 - 0.83 ผูว้ จิ ัยไดค้ ดั เลอื กข้อสอบท่ีมีค่าความยากง่ายตั้งแต่ 0.43 - 0.68 และค่าอํานาจจําแนกตั้งแต่ 0.40 - 0.80 ไว้ จํานวน 20 ข้อ ความเช่ือม่ันของแบบทดสอบทั้งฉบับ มีค่าเท่ากับ 0.89 สาํ หรับแบบสอบถามวัดความสุขในการเรียน เป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) แบ่งระดับคุณภาพ ออกเป็น 3 ระดับ คือ มาก ปานกลางและน้อย จํานวน 15 ข้อ โดยกําหนดเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้ค่าเฉลี่ยกลาง (midpoint) เป็นเกณฑ์ในการแปลความหมาย (บุญชม ศรีสะอาด, 2535: 45 มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.67 - 1.00 สว่ นแบบประเมินความสามารถในการสรา้ งองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเองตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ โดยใช้ เทคนิคแผนผังทางปัญญา เป็นแบบประเมินท่ีผู้วิจัยได้สร้างข้ึนให้สอดคล้องกับแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์และ หลักการสร้างแผนผังทางปัญญา และจุดประสงค์การเรียนรู้ และกําหนดเกณฑ์การให้คะแนนแบบ Rubric score ซึ่งเกณฑ์ประกอบด้วยรายการประเมิน 5 รายการ ได้แก่ เนื้อหาสาระ การเช่ือมโยงความรู้ การจัดระบบข้อมูล รูปแบบแผนผังทางปัญญา และความสวยงามและความคิดสร้างสรรค์ แต่ละรายการแบ่งระดับคุณภาพออกเป็น 4 ระดับ คอื ดมี าก ดี พอใช้ และตอ้ งปรับปรุง การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 1. วัดครั้งที่ 1 หรือวัดครั้งแรก (Pre - test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หน้าท่ีเด็กดีของชาติ และ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เศรษฐศาสตร์น่ารู้ ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 เปน็ แบบทดสอบปรนัย 3 ตัวเลอื ก จาํ นวน 20 ข้อ ในวันท่ี 4 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2556 2. จัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หน้าที่เด็กดีของชาติ และหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เศรษฐศาสตร์น่ารู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ ใหก้ ับนกั เรียนกลุ่มตัวอยา่ ง ในชั่วโมงเรยี นวนั องั คารและวันพฤหัสบดี เรม่ิ จัดการเรียนรู้ต้ังแต่เวลา 13.40 - 14.40 น. ในวนั ท่ี 5 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2556 - 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556 รวมทัง้ สน้ิ 10 ครงั้ 10 แผนการจัดการเรียนรู้ 3. วัดคร้ังที่ 2 (Post - test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 หน้าที่เด็กดีของชาติ และ หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เศรษฐศาสตร์น่ารู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในวันที่ 9 ธนั วาคม พ.ศ. 2556 ซง่ึ เปน็ แบบทดสอบชุดเดยี วกับการวัดคร้ังท่ี 1 และวัดความสุขในการเรียน ของนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง ท่ีร่วมการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามแนวคิด คอนสตรคั ตวิ สิ ต์ ดว้ ยแบบสอบถามวัดความสขุ ในการเรียน ในวันที่ 9 ธนั วาคม พ.ศ. 2556 หลังจาก Post - test การวิเคราะหข์ อ้ มลู 1. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบประเมินความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยใช้สถิติพ้ืนฐาน คอื ค่าเฉล่ยี (Mean) และค่าร้อยละ (Percentage) 2. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 หน้าท่ีเด็กดีของชาติ และ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เศรษฐศาสตร์น่ารู้ ด้วยการหาค่าเฉล่ีย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วนํามา เปรียบเทียบกันระหว่างคะแนนก่อนทดลองและหลังการทดลองโดยใช้การทดสอบค่าที แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน t - test (Dependent Sample) 3. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามวัดความสุขในการเรียนโดยใช้สถิติพื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ย (Mean) และคา่ รอ้ ยละ (Percentage)
การประชุมทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพ่อื เพมิ่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 167สรุปผลการวจิ ยั 1. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 ที่เข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ตามแนวคิดคอนสตรคั ติวสิ ต์ มีความสามารถในการสร้างองคค์ วามรู้อยู่ในระดับดมี าก 2. หลังเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามแนวคิดคอนสตรัคตวิ สิ ต์ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นกว่าก่อนเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้อย่างมนี ยั สาํ คญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .01 3. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 ที่เข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามแนวคดิ คอนสตรัคติวิสต์ มคี วามสขุ ในการเรียนอยู่ในระดบั มากอภปิ รายผลการวิจัย จากผลการวจิ ยั สามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ 1. นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ มีความสามารถในการสร้างองค์ความรู้อยู่ในระดับดีมาก ท้ังนี้เนื่องจากแผนการจดั การเรียนร้ตู ามแนวคิดคอนสตรัคติวสิ ต์ทผี่ ู้วจิ ยั สร้างข้ึน ได้กําหนดสถานการณ์ปัญหาท่ีมีบริบทใกล้เคียงกับชวี ิตจริงของนกั เรียน และยังมีภารกิจการเรียนรู้ ช่วยให้นักเรียนฝังอยู่ในบริบทของการแก้ปัญหาท่ีตรงกับสภาพจริงส่งผลต่อนักเรียนให้เห็นถึงประโยชน์และความสําคัญของการเรียนรู้ ทําให้การเรียนนั้นมีคุณค่าและมีความหมายต่อนักเรียน สื่อท่ีใช้เป็นแหล่งความรู้มีความเหมาะสมกับวัย นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกันแบบเป็นกลุ่ม ได้พูดคุยปรึกษาหารือ แลกเปล่ียนความคิดเห็นกับเพ่ือนภายใต้สถานการณ์ปัญหา ได้ร่วมมือกันแก้ปัญหา ได้ปฏิบัติภารกิจร่วมกันจนสําเร็จ ส่งผลให้นักเรียนได้ขยายมุมมองที่หลากหลาย มีความรู้เพ่ิมมากข้ึน นอกจากนี้การท่ีนักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ได้รับประสบการณ์ตรงนั้น ทําให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานในการเรียน ยิ่งช่วยสนับสนุนให้นักเรยี นสามารถสรา้ งองคค์ วามรู้ด้วยตนเองได้มากยิ่งข้ึน สอดคล้องกับแนวคิดของ ละเอียด มาดี (2546: 1) ที่กล่าวว่าการสร้างความรู้ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ เกิดจากการที่นักเรียนได้ลงมือทํา ได้คิด ได้ออกแบบ ได้สํารวจ ได้อธิบายได้ทดลองกับปัญหามากกว่าการซึมซับความรู้ท่ีผู้สอนถ่ายทอด หรือผ่านต่อความรู้ของผู้สอนมาให้แก่นักเรียนอีกคร้ังหนึ่ง ซ่ึงนักเรียนจะต้องมีประสบการณ์เดิม เพ่ือเชื่อมโยงกับประสบการณ์ใหม่ และนักเรียนต้องมีส่วนร่วมในการทํากิจกรรมด้วยความกระตือรือร้น จนสามารถสร้างความหมายของส่ิงใดส่ิงหนึ่งรวมไปถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจ โดยการใช้กระบวนการกลุ่มในการทํางาน เพ่ือแลกเปลี่ยนเรียนรู้จนในท่ีสุดสามารถสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาดว้ ยตนเอง 2. หลังเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของสูงข้ึนกว่าก่อนเข้าร่วมการจัดการเรียนรู้อยา่ งมนี ัยสาํ คัญทางสถิติทีร่ ะดบั .01 ท้งั นีเ้ น่ืองจาก การจดั การเรียนรู้ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ เป็นการจัดการเรียนรู้ท่ีมีกระบวนการนําไปสู่การค้นพบความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน เริ่มต้ังแต่การกระตุ้นให้นักเรียน เกิดความสนใจด้วยเกม เพลง การสนทนาที่เป็นกันเอง การใช้ภาพประกอบ การใช้คําถามแบบปลายเปิดที่ยั่วยุให้นักเรียนเกิดความอยากรู้ มีการดึงความรู้เดิมที่นักเรียนมีอยู่ออกมา พร้อมกับชมเชยให้นักเรียนเกิดกําลังใจ หลังจากน้ัน จึงให้นักเรียนได้ศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมเช่ือมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่แบบเป็นกลุ่ม ช่วยทําให้นักเรียนรู้ว่าในความคิดของเขานนั้ ๆ ยังมีความรู้อย่างอื่นเพิ่มข้ึนมา หลังจากนั้นยังให้นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองอย่างเป็นระบบโดยใช้เทคนิคแผนผังทางปัญญา ท้ายสุดจึงเป็นการให้นักเรียนได้สรุปทบทวน ซึ่งนับได้ว่าเป็นลําดับข้ันตอนท่ีนําไปสู่การสร้างความรู้ด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ความรู้เดิมที่นักเรียนมีอยู่ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้นกั เรยี นไดป้ ฏบิ ัตจิ รงิ มชี ้นิ งานทเี่ ป็นประจกั ษพ์ ยานการเรยี นรู้ ท้งั งานรายบุคคลและงานกลุ่ม นักเรียนได้ปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซ่ึงกันและกันจากการทํากิจกรรมกลุ่ม ซึ่งเป็นการร่วมมือกันเรียนรู้ ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน มีความสุขในการเรียน นักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียน จึงทําให้เกิดความคิดในทางบวกต่อเรื่องที่เรียน ทําให้นักเรียนสนใจ อยากเรียนรู้ ตลอดจนชักจูงให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางท่ีดี
168 การประชมุ ทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพือ่ เพมิ่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวชิ าชีพ” ต่อเรื่องท่ีเรียน และบรรลุจุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้โดยช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึน ซง่ึ ตรงกับ ชยั อนนั ต์ สมทุ รวานชิ (2542: 79) ท่ีกล่าวว่า คอนสตรัคติวิสต์ คือ การที่คนเราเป็นนักสร้างความหมายต่าง ๆ จากโลกท่ีพบให้เปน็ ความหมายหรือความร้เู ฉพาะตน การเรียนรู้ท่เี พลดิ เพลิน เหมือนกับการจุดไฟ และเมื่อไฟติดแล้ว ความเพลิดเพลนิ เหมอื นลมท่ีพดั ไมใ่ หม้ อดดับ เพราะไฟนั้นตดิ ในหวั ใจเดก็ แล้ว จากผลการวิจัยในคร้ังน้ี สอดคล้องกับงานวิจัยของ ปัทมา แตงเที่ยง (2545: 92) ได้ศึกษา เรื่อง ผลของการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้กิจกรรมการสร้างความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ผลการวิจยั พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ทร่ี ะดับ .01 และมีความสามารถในการสังเกตและสรุปความสูงขึ้น และงานวิจัยของ สุพัตรา อาถนา (2554: 98) ได้ศึกษา เรื่อง ผลของชุดการสร้างองค์ความรู้ตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เรื่อง เงิน สําหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ผลการศึกษาพบว่า ผู้เรียนมีคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 79.40 ซ่งึ ผา่ นเกณฑ์ความรูท้ ่ตี งั้ ไวค้ ือรอ้ ยละ 70 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เข้าร่วมการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ มีความสุขในการเรียนของอยู่ในระดับมาก อาจเนื่องมาจาก การจัดการเรียนรู้ทุกครั้งผู้วิจัยได้ใช้กิจกรรมท่ีเหมาะสมกับวัย เร้าความสนใจ และเน้นให้นักเรียนเกิดความ สนกุ สนาน เพลิดเพลนิ ไปพรอ้ ม ๆ กบั ไดเ้ รียนรู้ สนับสนุนให้นักเรียนทํากิจกรรมกลุ่มหรือเรียนแบบร่วมมือ ช่วยให้ นักเรียนเกิดจินตนาการและความคิดในการสร้างความรู้ สอดคล้องกับงานวิจัยของ บูลลอค (Bullock, 1996; อ้างถึงใน สมศักดิ์ จิตร์ประวัติ, 2554: 52) ได้ศึกษาผลการเรียนและการสอนแบบคอนสตรัคติวิสต์ซึมของครู คณิตศาสตร์ในระดับชั้นประถม ศึกษาจากเจตคติของนักเรียนท่ีมีต่อวิชาคณิตศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า นักเรียน ท่ีได้รับการสอนตามทฤษฎีดังกล่าวมีเจตคติ ในทางบวกต่อวิชาคณิตศาสตร์ ซ่ึงการมีเจตคติท่ีดีในทางบวกหรือ การมีความสุขในการเรียนนี้เอง จะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักในการเรียนรู้ สอดคล้องกับแนวคิดของ พินิจ ศรีจันทร์ (2543: 43) กล่าวว่าการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist) เป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ที่สามารถส่งเสริมความคิด ได้ลงมือปฏิบัติจริง ผลการทํากิจกรรม ดังกลา่ วจะทําให้นักเรยี นเกดิ ความรู้ความเขา้ ใจอยา่ งถ่องแท้ ขอ้ เสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนําผลการวจิ ยั ไปใช้ 1. ครูควรสร้างบรรยากาศในการเรียนให้อบอุ่น ใช้วาจาที่สุภาพ ไพเราะ เพื่อลดความตึงเครียด และช่วยให้ นกั เรียนเกดิ การผ่อนคลาย เสริมแรงหรือใหก้ าํ ลังใจนกั เรียนทุกคนในขณะทาํ กิจกรรม เพ่อื สรา้ งความมั่นใจใหก้ บั นักเรยี น 2. ครูควรถามคําถามเพื่อให้นักเรียนคิดค้นหาคําตอบ โดยครูควรเตรียมคําถามไว้ล่วงหน้า โดยเร่ิมจาก คําถามงา่ ย ๆ ไปจนถึงคําถามที่ฝึกการคิดวิเคราะห์ ซึ่งควรใช้คําถามปลายเปิดกับนักเรียนเพ่ือให้ได้ข้อมูลความรู้เดิม และความรู้ใหม่ท่ีนกั เรียนมีอยา่ งเต็มศกั ยภาพ 3. ครคู วรจดั เตรยี มส่ือ วสั ดุ อปุ กรณ์ท่จี ําเป็นใหค้ รบถว้ นและเพยี งพอสาํ หรบั ทํากิจกรรมแต่ละครั้ง 4. ครูควรดูแลนักเรียนอย่างทั่วถึง ให้ความช่วยเหลือเมื่อนักเรียนต้องการ คอยกระตุ้นให้นักเรียน ทํากจิ กรรมใหด้ าํ เนนิ ไปตามระยะเวลาทกี่ ําหนด ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั ครง้ั ตอ่ ไป 1. ควรมีการวิจัยเก่ียวกับการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์สําหรับนักเรียน ในระดับช้ันอื่นและกลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืน ๆ อันจะช่วยให้นักเรียนเกิดการผ่อนคลาย ไม่เบื่อหน่าย มีเจตคติท่ีดี ต่อการเรียน และรักการเรยี นรูใ้ นที่สดุ 2. ควรมีการวิจัยเก่ียวกับผลการจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ กับตัวแปรอื่น ๆ เช่น ทักษะทางสังคม ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการพูด และแรงจูงใจ ในการเรยี น เป็นตน้
การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพอื่ เพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 169รายการอ้างองิกระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพ ฯ: โรงพิมพ์ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.จริ าภรณ์ ศริ ทิ ว.ี (2541). เทคนิคการจดั กจิ กรรมให้นกั เรยี นสร้างองคค์ วามรู้ (Constructivism). วารสารวิชาการ. 1(9), 37 - 50.ชยั อนนั ต์ สมทุ ธวานิช. (2542). เพลนิ เพอื่ ร.ู้ กรงุ เทพ ฯ: ทเี พรสจํากดั .บวร เทศารินทร.์ (2547). ปรัชญาการศึกษาไทยสกู่ ารปฏริ ูปการศกึ ษา. ค้นเมื่อ 22 กมุ ภาพันธ์ 2554, จาก http://school.obec.go.th/sup_br3/ed_2.htm.ทองปนั สอนเอ่ยี ม. (2553). การพฒั นาพฤติกรรมการสรา้ งองคค์ วามรใู้ นกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 ดว้ ยรปู แบบการสอนตามแนวคดิ คอนสตรคั ตวิ สิ ต์ โดยใชแ้ หล่งเรียนร้ใู นชมุ ชน. วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสตู รและการสอน. ขอนแก่ : บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ .บญุ ชม ศรีสะอาด. (2537). การพัฒนาการสอน. มหาสารคาม: มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ มหาสารคาม.ปทั มา แตงเที่ยง. (2545). ผลของการจดั การเรยี นการสอนภาษาอังกฤษโดยใชก้ จิ กรรมการสรา้ งองค์ความรู้ ด้วยตนเองของนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 3. วทิ ยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการประถมศึกษา. นนทบุร:ี บณั ฑติ วทิ ยาลยั , มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช.พจนี ศิริวรรณ. (2547). ผลของการจดั กจิ กรรมตามแนวคิดคอนสตรัคติวสิ ตท์ ีม่ ีต่อความฉลาดทางอารมณ์ ของเดก็ ปฐมวยั . วิทยานพิ นธศ์ กึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการแนะแนวและใหค้ ําปรึกษา. ขอนแก่น: บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น.พนิ ิจ ศรีจนั ทร์. “ความคดิ สร้างสรรคก์ บั การสอน”. วารสารรามคาํ แหงศกึ ษาศาสตร.์ 21, 4 (พฤศจกิ ายน 2541 – มกราคม 2542): 43ละเอยี ด มาด.ี (2546). ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ างานบา้ นของนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 ทีจ่ ัดการเรยี นการสอน ตามแนวคดิ คอนสตรคั ติวสิ ต.์ วทิ ยานพิ นธ์ศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาหลักสตู รและการนิเทศ. นครปฐม: บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศิลปากร.วฒั นาพร ระงับทุกข.์ (2541). การจัดการเรยี นการสอนทเ่ี น้นผู้เรยี นเปน็ ศนู ย์กลาง. กรงุ เทพ ฯ: ต้นอ้อ_______. (2542). แผนการสอนทเ่ี นน้ ผู้เรยี นเปน็ ศนู ย์กลาง. ม.ป.ท._______. (2542). ผลการปฏริ ปู การศึกษา หวั ใจสาํ คญั ของการศกึ ษา. พมิ พค์ รั้งที่ 2. [ม.ป.ท.: ม.ป.พ.].วิทยากร เชยี งกูร. (2542). แผนการสอนท่ีเนน้ ผเู้ รยี นเป็นศนู ยก์ ลาง. ม.ป.ท.สมศกั ดิ์ จิตรป์ ระวัต.ิ (2554). การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ตามแนวคดิ คอนสตรัคตวิ ิสต์ เพือ่ พัฒนาความสามารถ ทางคณิตศาสตร์ของเดก็ ปฐมวยั โรงเรียนสมคิดจติ ตว์ ทิ ยา จังหวดั ชลบุร.ี วทิ ยานิพนธ์ศึกษาศาสตร มหาบัณฑติ สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา. ชลบุรี: บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยบรู พา.สาํ นกั งานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ. (2555). แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 11 พทุ ธศกั ราช 2555 - 2559. กรุงเทพ ฯ: สาํ นักพิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.สุพัตรา อาถนา. (2554). ผลของชดุ การสรา้ งความรตู้ ามแนวคิดคอนสตรคั ติวสิ ต์ เรอ่ื ง เงิน สําหรบั นกั เรยี น ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 3. รายงานการศึกษาอิสระปริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าเทคโนโลยี การศกึ ษา. ขอนแกน่ : บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยขอนแก่น.ศรีเรอื น แก้วกังวาน. (2540). จิตวิทยาพฒั นาการทกุ ชว่ งวยั เล่ม 1. พิมพ์คร้ังท่ี 7. กรุงเทพ ฯ: สาํ นกั พิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
170 การประชมุ ทางวิชาการของคุรุสภา ประจําปี 2557 “การวจิ ัยเพื่อเพมิ่ คุณภาพการศึกษาและการพัฒนาวิชาชพี ”ผลงานวจิ ยั การพฒั นาชดุ การสอนแบบองิ ประสบการณ์ สาระท่ี 5 ภูมิศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบ้านหนองสนมผูว้ จิ ยั นางฐปะนยี ์ บุราไกรปีทวี่ จิ ัย 2556 บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) พัฒนาชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองสนม ให้มีประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ทก่ี ําหนด 80/80 และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระที่ 5ภมู ศิ าสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนบา้ นหนองสนม กลุ่มเป้าหมายทใ่ี ช้ในการวิจยั คือ นกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านหนองสนม สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 ปีการศึกษา 2556จาํ นวน 27 คน เครือ่ งมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนบา้ นหนองสนม ค่มู อื การใชช้ ดุ การสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระที่ 5 ภูมศิ าสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (สําหรับครูผู้สอน) และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองสนม สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ได้แก่ สถติ ิพนื้ ฐาน คา่ เฉล่ีย ร้อยละ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และการทดสอบที (t - test) ผลวิจยั พบวา่ 1. ประสิทธิภาพของ ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระท่ี 5 ภูมิศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบ้านหนองสนม มีประสิทธภิ าพเทา่ กบั 83.03/81.97 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระท่ี 5 ภูมิศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหนองสนม สูงกว่ากอ่ นเรยี น อยา่ งมีนัยสาํ คญั ทางสถิติทรี่ ะดับ .05ความเป็นมาและความสาํ คัญของปญั หาการวิจยั ในโลกยุคปัจจุบันนี้ท่ีเราเรียกกันว่า ยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalization) หรือโลกไร้พรหมแดน (Borderlessworld) หรือเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information technology – IT) ก็ตาม แสดงให้เห็นว่าโลกของเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก ย่ิงถ้าเป็นโลกของเศรษฐกิจ การบริการการจัดการ การอุตสาหกรรมถือว่าเป็นโลกที่มีการแข่งขันสูงมาก (High competitive world) การศึกษาที่ได้ผลประโยชน์โดยตรง จะต้องมีการพัฒนาในด้านต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 ประเด็นหลักท่ีสําคัญ คือ คุณภาพของบุคลากร (Quality of people)กระบวนการทํางาน (Work process) หรือกระบวนการผลิต (Production process) และเทคโนโลยีต่าง ๆ(Technology) (สุชาญ โกสิน, 2540: 53) ซึ่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม(ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 4 ระบุว่า การศึกษาตลอดชีวิต เพ่ือให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิตมาตรา 6 ระบุว่าการจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์สมบูรณ์ทั้งร่างกายจิตใจสติปญั ญาความรู้และคณุ ธรรมมจี รยิ ธรรมและวัฒนธรรมในการดํารงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุขและมาตรา 66 ผูเ้ รยี นมสี ิทธไิ ด้รับการพฒั นาขดี ความสามารถในการใช้เทคโนโลยเี พ่ือการศึกษา ใหม้ คี วามรแู้ ละทักษะเพยี งพอทจี่ ะใชเ้ ทคโนโลยเี พื่อการศึกษาในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จึงมุ่งเน้นความสําคัญท้ังทางด้านความรู้ ความคิดความสามารถ คณุ ธรรม กระบวนการเรียนรู้ และความรับผิดชอบตอ่ สังคม เพ่ือพัฒนาคนให้มคี วามสมดุล โดยยดึ หลักผู้เรยี นสําคญั ทีส่ ดุ ทกุ คนมีความสามารถเรยี นรู้และพฒั นาตนเองได้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเตม็ ศักยภาพ ให้ความสําคัญต่อความรู้เกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัว ชุมชนชาติ และสังคมโลก สามารถเรียนรู้ได้ทุกเวลา ทุกสถานท่ี และเรียนรู้ได้จากสื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้
การประชมุ ทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพ่อื เพิม่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 171ทุกประเภท รวมทั้งจากเครือข่ายการเรียนรู้ต่าง ๆ หลากหลาย ท้ังสื่อธรรมชาติ สื่อส่ิงพิมพ์ ส่ือเทคโนโลยี และสื่ออ่ืน ๆซึ่งช่วยส่งเสริมให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณค่า (กรมวิชาการ, 2545: 3) ดังน้ัน ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นทรัพยากรท่ีสําคัญในการพัฒนาประเทศ ประเทศใดที่คนในชาติมีความรู้ ประเทศนั้นย่อมมีความเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นประเทศต่าง ๆจึงให้ความสําคัญต่อการพัฒนาคนในชาติของตน โดยการให้ความสําคัญต่อการให้การศึกษา แก่คนในชาติ เพราะการศึกษาคือ การพัฒนาคนให้มีความรู้ที่สามารถสร้างตนให้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงข้ึน สร้างชาติให้อยู่อย่างมีความสขุ และรงุ่ เรืองได้ (สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี, 2542: 86) ซึ่งกระทรวงศึกษาธกิ ารกําหนดให้มีการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. 2552 - 2561 ซ่ึงมีวิสัยทัศน์ที่ให้คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ในปี 2561 โดยมีการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้อย่างเป็นระบบใน 3 ประเด็นหลัก คือ การพัฒนาคณุ ภาพและมาตรฐานการศกึ ษาและการเรียนรูข้ องคนไทย การเพ่ิมโอกาสทางการศึกษาและการเรยี นรู้อย่างท่ัวถึงและมีคุณภาพ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคมในการบริหารและจัดการศึกษา และยังได้กาํ หนดกรอบแนวทางในการปฏริ ูปการศึกษาไว้ 4 ประการ ไดแ้ ก่ การพฒั นาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ การพัฒนาคุณภาพครยู ุคใหม่ การพฒั นาคณุ ภาพสถานศึกษายุคใหม่ และการพัฒนาการบริหารจัดการใหม่ (กัญนิกา พรามหมรณ์พิทักษ์,2554: 3) สถานศึกษาจึงมีหน้าที่จัดทําหลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545) โดยมีการแบ่งกลุ่มสาระการเรียนรู้เป็น 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ด้วยกัน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้หนึ่งท่ีมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนเป็นพลเมืองที่รับผิดชอบมีความสามารถทางสังคมเกิดความเจริญงอกงามทางความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544. ก: บทนํา) เพราะกิจกรรมการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการทํางานเป็นกลุ่ม สามารถนําความรู้ ทักษะค่านิยมและเจตคติท่ีได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาใช้ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนในชีวิตประจําวันของผู้เรียนได้นอกจากน้ียังมีทักษะกระบวนการต่าง ๆ ที่จะสามารถนํามาใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างรอบคอบในการดําเนินชีวิตและการมีส่วนร่วมในสังคมที่มีการเปล่ียนแปลงตลอดเวลาในฐานะพลเมืองดีช่วยในการนําความรู้ทางจริยธรรมหลักธรรมทางศาสนามาพัฒนาตนเองและสังคมได้ ทําให้ผู้เรียนสามารถดํารงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข(กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2544: 2) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ซ่ึงเป็นหนึ่งในแปดสาระการเรียนรู้ท่ีสถานศึกษาต้องใช้เป็นหลักในการจัดการเรียนการสอน เพี่อสร้างพ้ืนฐานการคิดและเป็นกลยุทธ์ ในการแก้ปัญหาและวิกฤตของชาติ เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ท่ีต้องเรียนตลอดต้ังแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสาระการเรียนรู้ประกอบด้วยหลายแขนงวิชามีลักษณะเป็นสหวิทยาการ การนําวิทยาการจากแขนงวิชาต่าง ๆในสาขาวิชาสังคมศาสตร์มาหลอมรวมเข้าด้วยกัน ได้แก่ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ส่ิงแวดล้อมศึกษา ประชากรศึกษา จริยธรรม สังคมวิทยา ปรัชญา รัฐศาสตร์ และศาสนา (สุมนทิพย์ บุญสมบัติ,2540: 25) จงึ เปน็ กลุ่มทีเ่ สริมสร้างศกั ยภาพ การเป็นพลเมืองดีใหแ้ ก่ผูเ้ รียน โดยมเี ปา้ หมายให้ผู้เรียนเป็นพลเมืองดีในวิถีชีวิตภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การที่จะบรรลุตามเป้าหมายได้จําเป็นจะต้องมีองค์ประกอบคือ ความรู้ของผู้เรียน เจตคติ การเรียนและทักษะทางวิชาการ และทักษะทางสังคม(สิริวรรณ ศรพหล, 2539: 158) ถึงอย่างไรก็ตามไม่มีหลักสูตรวิชาใดเพียงวิชาเดียวที่สําเร็จรูปและสามารถนําไปใช้ในการแก้ปัญหาทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ความสามารถ และทักษะที่หลากหลาย ในการแกป้ ญั หาในชวี ติ ประจาํ วนั ไดอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ (กรมวิชาการ, 2544: 72) การจัดการเรียนการสอนทเี่ น้นการปฏิบตั ติ รงกับจดุ มงุ่ หมายของแต่ละบทเรยี น เป็นทั้งงานสว่ นบคุ คลและงานกลุ่มรจู้ กั การทํางานอย่างมีสติเน้นความสุข ความสะอาดเรียบร้อยเป็นสําคัญ (สมบัติ มหารศ, 2530: 177) หากได้มีการฝึกปฏิบัติด้วยตนเองผู้เรียนจะเกิดความพึงพอใจ เต็มใจทํางานน้ัน ๆ โดยไม่ต้องบังคับ จะทํางานนั้นด้วยความสนใจและต้ังใจ มีความกระตอื รือร้นในการเรียนมากย่งิ ข้นึ เป็นการสง่ เสริมให้รจู้ กั คิดเป็น ทําเป็น แกป้ ัญหาได้ (วารี ถริ ะจติ ร, 2537: 27)
172 การประชมุ ทางวชิ าการของคุรสุ ภา ประจําปี 2557 “การวิจัยเพือ่ เพิม่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวิชาชพี ” จากการประชุมสัมมนาเกี่ยวกับหลักสูตรสังคมศึกษาของกรมวิชาการ (2531: 28 - 29) ได้สรุปไว้ว่า ครูไม่เน้นกระบวนการให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง ส่วนใหญ่ครูมักจะยึดหนังสือเรียนแทนหลักสูตร และใช้การบรรยาย เป็นส่วนใหญ่ ส่วนด้านการประเมินผลการเรียนสรุปว่าทักษะด้านการคิดของผู้เรียนส่วนใหญ่ค่อนข้างต่ํา ครใู ช้ขอ้ สอบแบบเลือกตอบตามตัวเลือกมากกว่าข้อสอบแบบให้เขียนตอบ ทําให้ผู้เรียนตอบแบบความเรียงไม่เป็น นอกจากน้ัน การเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ครูใช้การบรรยายโดยยึด หนังสือเป็นหลัก ขาดส่ือท่ีน่าสนใจในการสอน ให้นักเรียนได้เรียนรู้จนสามารถสร้างช้ินงานได้ ส่วนวิธีการเรียน แบบกิจกรรมกลุ่มมีน้อย ส่ือที่ใช้ในการเรียนการสอน ยังขาดส่ือภาพและเสียงที่เสนอกระบวนการสาธิต ให้นักเรียน ได้ศึกษาตามขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจน สามารถศึกษาได้ด้วยตนเองตามความพร้อม และความสนใจ นอกจากนั้น ส่ือสิ่งพิมพ์ที่ให้นักเรียนขาดการจัดระบบเน้ือหาสาระ และขาดการแบ่งเนื้อหาให้เป็นหมวดหมู่ที่ง่ายต่อการศึกษา ดังน้ันชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์เน้นการสอน 3 แบบ คือ การเรียนรู้กับครู การเรียนรู้กับเพ่ือน และการเรียน ด้วยตนเอง ที่เอื้ออํานวยต่อการสอนและที่สําคัญ ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ เป็นรูปแบบของสื่อประสม ท่ีประกอบด้วย สื่อสิ่งพิมพ์และมัลติมีเดีย เป็นสื่อที่ให้ทั้งภาพและเสียงที่ช่วยให้เข้าใจในการเรียนรู้ไปสู่ทักษะ เนน้ ใหน้ ักเรียนปฏิบตั ิงานได้ (เจษฏาวดี อนิ ทรสูต, 2551: 4 - 5 ) โรงเรียนบ้านหนองสนม สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 นักเรียนมี ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนกล่มุ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ระดับช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โดยมี คะแนนเฉลี่ย 68.25 อยู่ในระดับปานกลางท่ีค่อนข้างต่ํา ได้พบว่านักเรียนขาดความกระตือรือร้นขาดความสนใจ ในการเรียนรู้ ในช่ัวโมงเรียนก็แสดงความไม่สนใจในเนื้อหาท่ีครูกําลังสอน หรืออธิบาย สาเหตุเป็นเพราะครูเน้น การเรียนรู้ตามเนื้อหา มากกว่าด้านกระบวนการเรียนรู้ ครูไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาคําตอบหรือแก้ปัญหา ด้วยตนเอง ครูขาดวิธีสอนท่ีหลากหลาย ท่ีสามารถเรียนรู้จากแหล่งความรู้ สื่อ อุปกรณ์ วิธีการต่าง ๆ และกลุ่มเพ่ือน ครูไม่ส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ร่วมกับผู้อ่ืน ครูขาดการประเมินที่หลากหลายตามสภาพท่ีแท้จริง ท่ีครอบคลุมด้านเน้ือหาและทักษะการปฏิบัติต่าง ๆ ขาดการจัดบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ เพือ่ ให้ผเู้ รียนได้เรียนร้อู ย่างมีวามสขุ ครขู าดการจดั การเรยี นรทู้ ี่ยดึ หลักว่านกั เรียนทกุ คนมีความสามารถเรยี นรู้และ พัฒนาตนเองได้ และถือว่านักเรียนมีความสําคัญที่สุด ครูสอนโดยยึดหนังสือเรียนเป็นหลักสูตร จึงทําให้การเรียนรู้ ไม่มปี ระสิทธภิ าพ ไม่บรรลุตามจดุ มุ่งหมายตามเจตนาของหลักสูตร ซึ่งเป็นหัวใจของ การปฏิรูป เพ่ือให้ครูสร้างคน เป็นยุทธศาสตร์ปรับวิธีสอน ครูเปลี่ยนวิธีสอน เพื่อพัฒนานักเรียนทั้งทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และสังคม และมสี ตปิ ญั ญาอยา่ งเหมาะสม (โรงเรยี นบ้านหนองสนม, 2554: 1 - 2) ด้วยเหตุผลและความสําคัญดังกล่าว ผู้วิจัยจึงศึกษาค้นคว้าการสร้างชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระที่ 5 ภมู ิศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านหนองสนม เพื่อที่จะสามารถช่วยส่งเสริมในการพัฒนา การจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาผู้เรียน ให้คิดเป็น ทําเป็น แก้ปัญหาเป็น รู้จักวิธีการศึกษาหาความรู้ ด้วยตนเอง เข้าใจระหว่างมนษุ ย์กบั สภาพแวดลอ้ มกอ่ ใหเ้ กดิ การสร้างสรรค์ รักและหวงแหนในทรัพยากรธรรมชาติ กับสิ่งแวดล้อมในชุมชนของตนเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และเป็นแนวทางในการสร้างชุดการสอน แบบองิ ประสบการณใ์ นระดบั ประถมเนือ้ หาอ่นื ๆ ตอ่ ไป วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั 1. เพ่ือพัฒนาชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระท่ี 5 ภูมิศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน บา้ นหนองสนม ใหม้ ีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ทีก่ าํ หนด 80/80 2. เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยชุดการสอน แบบอิงประสบการณ์ สาระที่ 5 ภูมศิ าสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรยี นบา้ นหนองสนม
การประชมุ ทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพื่อเพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 173นิยามศัพท์เฉพาะ 1. ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ หมายถึง ชุดสื่อประสมท่ีจัดเตรียมไว้สําหรับกําหนดแนวทางเผชิญประสบการณ์ เพื่อใหน้ กั เรยี นได้ทราบประสบการณห์ ลัก ประสบการณ์รอง ภารกิจ และรายละเอียดข้ันตอนท่ีกําหนดไว้ในแผนเผชิญประสบการณ์ โดยการศึกษาหาความรู้จากประมวลสาระ มัลติมิเดีย และตัวอย่างชิ้นงาน จากบริบทที่เตรยี มไว้ ไดแ้ ก่ มุมหนงั สือ มมุ ตัวอยา่ ง ชิ้นงาน มุมวัสดุอุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้ ผู้ให้ความรู้ หรือ ผู้รู้ เพื่อให้การเผชิญประสบการณ์สําเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ของการสอนแบบอิงประสบการณ์ ครอบคลุมเนื้อหา 3 หน่วยประสบการณ์ คอื หน่วยประสบการณ์ที่ 1 ลักษณะทางกายภาพ หน่วยประสบการณ์ที่ 2 ความสัมพันธ์ของภูมิประเทศท่ีสง่ ผลตอ่ ชุมชน หนว่ ยประสบการณท์ ่ี 3 เครอ่ื งมอื ทางภูมิศาสตร์ 2. การสอนแบบอิงประสบการณ์ หมายถึง การสอนท่ีกําหนดประสบการณ์ท่ีคาดหวังสําหรับนักเรียนเพ่ือให้นักเรียนได้เผชิญ ผจญ และเผด็จประสบการณ์ ด้วยการหาความรู้ท่ีเป็นเน้ือหาสาระ สําหรับประกอบภารกิจและงาน และทักษะความชํานาญจากแหลง่ วทิ ยาการ แหลง่ ความรู้ ผู้ให้ความรู้หรือผู้รู้ ท่ีได้จัดเตรียมไว้ในชุดการสอนแบบองิ ประสบการณ์ 3. เกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์เรอ่ื ง สาระที่ 5 ภูมศิ าสตร์ ที่ช่วยให้นกั เรียนเกดิ การเรียนรู้ท่ีได้จากการประเมนิ กระบวนการและการประเมินผลลพั ธ์ 80 ตวั แรก หมายถงึ คะแนนร้อยละของประสทิ ธภิ าพของกระบวนการทไี่ ดจ้ ากงานทก่ี าํ หนดใหท้ ํา 80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนรอ้ ยละของประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์ได้จากการทาํ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลังเผชิญประสบการณ์ 4. ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรยี น หมายถงึ คะแนนทไี่ ดจ้ ากการทาํ แบบทดสอบกอ่ นเรียน หลังเรียนของชดุ การสอนแบบองิ ประสบการณ สาระที่ 5 ภมู ิศาสตร์ ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรยี นบ้านหนองสนม 5. แหลง่ เรียนรู้ หมายถึง บริเวณ หรือ สถานที่ที่ใกล้เคียงโรงเรียนที่สามารถไปศึกษาตามภารกิจและงานทีไ่ ดร้ ับมอบหมายและสามารถกลบั เขา้ ห้องเรยี นทันตามเวลาที่กําหนด 6. ผูใ้ หค้ วามรู้ หรือ ผู้รู้ หมายถึง บุคลากรในชุมชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนบ้านหนองสนม มาเป็นเวลาตั้งแต่10 ปี ขึ้นไป และมีความสามารถเล่าเหตุการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลงในระยะ 10 ปี ลงมา มีบ้านพักอาศัยอยู่ใกล้เคียงโรงเรยี นที่นกั เรียนสามารถไปศกึ ษาค้นคว้าตามภารกิจ และสามารถกลับเขา้ หอ้ งเรยี นไดท้ ันตามเวลาทกี่ ําหนดแนวคิด/ทฤษฎีทเี่ ก่ยี วข้อง ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ มีขั้นตอนการผลิตชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์มี 11 ข้ันตอน ดังนี้1) การวิเคราะห์เนื้อหา (หลักสูตร/วิชา) 2) การกําหนดชุดประสบการณ์ที่คาดหวัง 3) การวิเคราะห์และกําหนดภารกิจ/งาน 4) การวิเคราะห์และกําหนดเนื้อหาสาระสําหรับแต่ละภารกิจ/งาน 5) การเลือกรูปแบบและวิธีการให้ประสบการณ์ 6) การกําหนดบริบท และสถานการณ์สําหรับเผชญิ ประสบการณ์ 7) การเลอื กและผลิตส่อื สําหรบัชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ 8) การเขียนแผนกํากับประสบการณ์ แผนเผชิญประสบการณ์ แผนการสอนแบบอิงประสบการณ์ และแผนผลิตสื่อการสอน 9) การจัดสิ่งอํานวยความสะดวก เส้นทางการเรียน และออกแบบสถานที่เรียนประสบการณ์ 10) การทดสอบประสิทธิภาพชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ และ 11) การปรับปรุงชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ ในการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้นํามาใช้ในเป็นนวัตกรรมการพัฒนาชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์สาระที่ 5 ภมู ศิ าสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นบา้ นหนองสนม
174 การประชุมทางวชิ าการของคุรุสภา ประจําปี 2557 “การวิจัยเพอ่ื เพ่ิมคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ”กรอบแนวคิดการวจิ ยั ตัวแปรตาม ตัวแปรอิสระ ชดุ การสอน แบบอิงประสบการณ์ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนชดุ การสอนสาระท่ี 5 ภูมศิ าสตร์ กล่มุ สาระการเรียนรู้ แบบอิงประสบการณ์ สาระท่ี 5 ภูมศิ าสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 และวฒั นธรรม ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 3วิธดี ําเนนิ การวิจยั แบบแผนการวิจยั แบบแผนการวิจยั แบบกลมุ่ เดียว วดั ก่อนและวดั หลงั การทดลอง กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนบ้านหนองสนม ปีการศึกษา 2556จาํ นวน 27 คน เคร่อื งมือทีใ่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 1. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง นวัตกรรมชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์กลุม่ สาระการเรียนรู้ สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ประกอบด้วย คู่มือการใช้ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ (สําหรับครูผู้สอน) คู่มือการเผชิญประสบการณ์ (สําหรับนักเรียน) หน่วยประสบการณ์จาํ นวน 3 หน่วย คือ หน่วยประสบการณ์ท่ี 1 เรื่อง ลักษณะทางกายภาพของชุมชน หน่วยประสบการณ์ที่ 2เร่ือง ความสัมพันธ์ของภูมิประเทศที่ส่งผลต่อชุมชน หน่วยประสบการณ์ที่ 3 เร่ือง เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ผู้วิจัยได้สร้างและหาคุณภาพโดยการตรวจสอบความสอดคล้องโดยผู้เช่ียวชาญและนําไปทดลองใช้เพ่ือวิเคราะห์หาประสทิ ธภิ าพของนวตั กรรม ซง่ึ จากผลการทดลองพบวา่ ประสิทธภิ าพของนวัตกรรม เทา่ กับ 83.03 /81.97 ซ่งึ สูงกว่าเกณฑ์ท่ีกําหนดไว้ 2. เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อน หลังเรียนชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 30 ข้อ ผ่านการประเมินความสอดคลอ้ งระหว่างข้อสอบแต่ละข้อกบั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ และนําผลการประเมินของผู้เช่ียวชาญ มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องโดยใช้สูตร IOC (สมนึก ภัททิยธนี. 2545: 166 - 167) ได้ค่า IOC ของข้อสอบต้ังแต่ 0.80 – 1.00ทุกข้อผ่านการตรวจสอบคุณภาพข้อสอบเป็นรายข้อ โดยวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอํานาจจําแนก (r)ของข้อสอบโดยใช้เทคนิค 27% ของจุง เต ฟาน และเลือกข้อสอบที่มีค่าความยากง่าย (p) ระหว่าง .43 - .78คา่ อํานาจจําแนก (r) อยรู่ ะหวา่ ง .47 - .81 จํานวน 20 ขอ้ ความเชอื่ ม่นั ของแบบทดสอบท้ังฉบับ มีค่าเท่ากับ .8028 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 1. วดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นกอ่ นเรยี นชดุ การสอนแบบองิ ประสบการณ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวฒั นธรรม สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 3 กับกลุ่มตวั อยา่ ง 2. ดําเนินการทดลองใช้ ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม สาระที่ 5 ภมู ศิ าสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 3
การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพือ่ เพมิ่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 175 3. วดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั เรียนชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม สาระท่ี 5 ภูมิศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้แบบทดสอบฉบับเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรยี น 4. นําผลการวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนกอ่ นเรียน หลงั เรยี นของกลมุ่ ตัวอย่างมาวิเคราะห์ การวิเคราะห์ข้อมูล 1. หาประสิทธิภาพของชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โดยวิเคราะหค์ ่าประสิทธภิ าพ 2. เปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นชดุ การสอนแบบอิงประสบการณ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวฒั นธรรม สาระที่ 5 ภมู ิศาสตร์ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โดยการทดสอบคา่ ที (t - test)สรปุ ผลการวิจยั 1. ประสิทธิภาพของ ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระท่ี 5 ภูมิศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวฒั นธรรม ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบา้ นหนองสนม มปี ระสทิ ธิภาพเท่ากับ 83.03 /81.97 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบา้ นหนองสนม สงู กว่ากอ่ นเรยี น อย่างมีนัยสาํ คญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05 (t = 35.826, p = .000)อภิปรายผลการวจิ ยั ประสิทธิภาพของชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ ทั้ง 3 หน่วยประสบการณ์มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 สอดคล้องกับสมมุติฐานตามที่ต้ังไว้ เนื่องด้วยองค์ประกอบของชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ที่ผูว้ จิ ยั ออกแบบไว้ดงั นี้ 1. ส่ือสไลด์คอมพิวเตอร์ ที่ผู้วิจัยออกแบบไว้ใช้กับการเรียนด้วยตนเอง รูปแบบที่ใช้ คือ เป็นการบรรยายมีภาพประกอบ สอดคล้องกับเนื้อหา เพื่อให้นักเรียนสามารถนําความรู้ที่ได้จากการชมสไลด์คอมพิวเตอร์ ไปใช้ในการเผชิญประสบการณ์ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพ ความสัมพันธ์ของภูมิประเทศท่ีส่งผลต่อชุมชน เคร่ืองมือภูมิศาสตร์ ส่วนประกอบของรายการ เร่ิมจากเสียงดนตรี เพื่อดึงดูดความสนใจของนักเรียน ดนตรีท่ีใช้ทําให้นักเรียนเกิดความผ่อนคลายและพร้อมกับรับความรู้จากการชมสไลด์คอมพิวเตอร์ ทําให้นักเรียนสามารถเข้าใจแล้วนําไปปฏิบัติเผชิญประสบการณ์ได้ถูกต้องจึงสอดคล้องกับ พนม เขียวนาคู (2546: บทคัดย่อ) ได้ทําการวิจัยเรือ่ ง ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์วิชาทักษะสัตว์ปีก เร่ือง การเลี้ยงไก่ สําหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเพชรบูรณ์ ผลการวิจัยพบว่า ชุดการสอนที่พัฒนาขึ้นทุกหน่วยมปี ระสิทธิภาพตามเกณฑท์ ี่กาํ หนดไว้ 80/80 นกั ศกึ ษามีความกา้ วหนา้ เพิ่มขึน้ อยา่ งมนี ัยสาํ คญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 2. ประมวลสาระ ผู้วิจัยออกแบบตามแนวตําราทางไกลของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ใช้เป็นหลักในการทาํ วิจัยครั้งน้ี จาํ นวน 3 เล่ม คือ ลักษณะทางกายภาพ มีจํานวน 9 หน้า ประกอบด้วย ความสัมพันธ์ของภูมปิ ระเทศสง่ ผลตอ่ ชมุ ชน มีจํานวน 14 หนา้ เครอื่ งมือทางภูมิศาสตร์ มีจํานวน 15 หน้า ประกอบด้วย 1) แผนผังแนวคดิ ที่ทําให้นักเรยี นเหน็ ภาพโดยรวมว่ามีเน้อื หาสาระอะไร และแบง่ ย่อยออกเป็นหน่วยตา่ ง ๆ 2) แผนการสอนประจําหัวเรื่องทําให้นักเรียนทราบแนวคิดและวัตถุประสงค์ของการเรียน และ 3) เน้ือหาประมวลสาระ มีคําอธิบายที่สั้นและกระชับ ไม่ทําให้นักเรียนเบื่อหน่ายในการเรียน มีข้ันตอนการปฏิบัติอย่างชัดเจนทุกข้ันตอนสอดคล้องกับแนวคิดของชัยยงค์ พรหมวงศ์ ได้กล่าวว่า ประมวลสาระช่วยให้นักเรียนสามารถศึกษาด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพพ่งึ พาความชว่ ยเหลอื จากครผู ู้สอน นอ้ ยที่สดุ ช่วยใหน้ กั เรียนได้รับความรู้อย่างครบถ้วนตามท่ีกําหนดไว้ในหลักสูตรมีสื่อที่ถ่ายทอดความรู้เป็นอย่างดี และมีระบบการประเมินที่จะประกันคุณภาพของนักเรียน(ชัยยงค์ พรหมวงศ์และวาสนา ทวกี ลุ ทรัพย,์ 2540: 148) ผู้วิจัยสังเกตพบว่า นักเรียนจะเปิดประมวลประสบการณ์อ่านประกอบการบันทึกสาระสําคัญตลอดเวลาเน่อื งจากประมวลสาระเปน็ แหลง่ ขอ้ มลู ท่จี ะนาํ ไปสู่การบันทกึ สาระสาํ คญั และนกั เรยี นสว่ นใหญต่ ้ังใจอ่านประมวลสาระอยา่ งละเอยี ด ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั การฝึกฝนการเขียนการบนั ทึกสาระสําคัญ
176 การประชุมทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ยั เพ่อื เพมิ่ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 3. วธิ ีการเผชญิ ประสบการณ์ดว้ ยการทาํ งานกลุ่ม เป็นวิธีการให้ประสบการณ์ท่ีสอดคล้องกับภารกิจและงาน ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ โดยแบ่งกลุ่มนักเรียนจํานวน 5 กลุ่ม สมาชิกในกลุ่ม 4 - 5 คน รว่ มกนั เผชญิ ประสบการณต์ ่าง ๆ ตัง้ แตก่ ารเตรียมการ จัดหาวสั ดุ อปุ กรณ์ การประสานงานกับผู้ให้ความรู้ หรือผู้รู้ ตลอดจนการแลกเปล่ยี นเรียนรู้ การเผชิญดว้ ยการทํางานกลุ่มทําให้นักเรียนมีโอกาสแลกเปล่ียนความคิดเห็นจนช่วยกัน ทาํ งานกลมุ่ จนประสบความสําเร็จ ทาํ ให้เกิดเปน็ ชนิ้ งานที่สาํ เร็จออกมา จากการสังเกตการทํางานกลุ่มของนักเรียนแต่ละคน จากการประเมินของผู้วิจัยด้วยแบบประเมินช้ินงาน พบว่า นักเรียนร่วมมือกันทํา ช่วยเหลือในการทํางาน ร่วมแสดงความคิดเห็น มีความต้ังใจในการทํางาน และสามารถ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าของนักเรียน แสดงว่านักเรียนสามารถทํางานร่วมกันได้ วิธีการเผชิญประสบการณ์ด้วยการ ทํางานกลุ่มทําให้นักเรียนมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจนช่วยกันทํางานกลุ่มประสบผลสําเร็จสอดคล้องกับ บุษยพร ขมสนิท (2548: บทคดั ยอ่ ) ได้พัฒนาชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ กลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี เร่ือง การสร้างช้ินงานด้วยโปรแกรมไมโครซอฟเอ็กเซล สําหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 เขตพ้ืนที่การศึกษา ฉะเชิงเทรา เขต 1 ผลการวิจัยพบว่า ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ท่ีผู้วิจัยผลิตข้ึนท้ัง 3 หน่วย มีประสิทธิภาพ เปน็ ไปตามเกณฑ์ 75/75 นกั เรียนทีเ่ รยี นจากชุดการสอนแบบอิงประสบการณม์ คี วามกา้ วหน้าทางการเรียนเพ่ิมข้ึน อย่างมีนัยสาํ คญั ทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนมีความคิดเห็นต่อชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์อยู่ในระดับเห็นด้วย มากท่สี ดุ 4. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ หลงั เผชิญประสบการณ์สูงกว่าก่อนเผชิญประสบการณ์อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับสมมุติฐาน ท่ีตั้งไว้ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ สุดใจ ศุภเอม (2551: บทคัดย่อ) ได้พัฒนาชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระเทคโนโลยี วิชาพิมพ์เอกสาร เรื่อง การสร้างภาพและตกแต่งภาพปกนิทานโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชลประทานวิทยา นนทบุรี พบว่า 1) ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ที่ผลิตขึ้น มีประสิทธิภาพดังนี้ 80/85.43 ตามเกณฑ์ที่กําหนด 80/80 2) นักเรียนท่ีเรียนด้วยชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ มีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มข้ึนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และ 3) นักเรียนมีความคิดเห็นต่อชุดการสอน แบบอิงประสบการณ์อยใู่ นระดบั เห็นดว้ ยมาก ข้อเสนอแนะ 1. ครูผสู้ อนทําการศกึ ษาผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คลเพ่อื สามารถให้คําแนะนํานักเรียนในการร่วมกระบวนการเรียนรู้ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 2. ครูผู้สอนควรศึกษาคําชี้แจงวิธีการใช้ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ให้ผู้เรียนเข้าใจก่อนเริ่มใช้ โดยขณะทีผ่ ู้เรียนใช้ชดุ การสอนแบบองิ ประสบการณ์ ครูผสู้ อนควรคอยให้คําแนะนาํ เมอื่ นกั เรยี นตอ้ งการ 3. ในการประเมินผลผู้สอนควรเน้นให้นักเรียนปฏิบัติให้สําเร็จเพราะการเรียนรู้ในชุดการสอนแบบอิง ประสบการณ์เนน้ การปฏิบัตเิ ปน็ หลัก รายการอ้างอิง กญั นกิ า พรามหมรณ์พทิ ักษ.์ สภาพการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศการศึกษา เพือ่ พฒั นาการเรียนรขู้ องนักเรยี น ระดับมธั ยมศกึ ษา. กรุงเทพ ฯ: กองวิจัยทางการศึกษา กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2544. กัลยา วานชิ ยบ์ ญั ชา. การวิเคราะหส์ ถิต:ิ สถติ ิสําหรบั การบรหิ ารและวจิ ยั . กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พแ์ ห่ง จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2553. เจษฎาวดี อินทรสูต. ชดุ การสอนแบบองิ ประสบการณ์ สาระการอาชพี เรอื่ ง การทาํ พวงหรีดจากผา้ สําหรบั นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 โรงเรยี นโพธนิ มิ ิตวิทยาคม จงั หวดั นนทบุร.ี ปรญิ ญา ศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและส่อื สารการศึกษา. นนทบุร:ี มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช, 2551.
การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจัยเพือ่ เพ่มิ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 177ชัยยงค์ พรหมวงศ์. “ชดุ การสอนระดบั ประถมศกึ ษา” ใน เอกสารการสอนชดุ วิชาส่อื การสอนระดบั ประถมศกึ ษา หน่วยที่ 14. นนทบรุ ี: มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร,์ 2541.ชัยยงค์ พรหมวงศ.์ เอกสารประกอบการสอนชุดวชิ าเทคโนโลยกี ารศกึ ษา หนว่ ยท่ี 1 - 5. กรุงเทพ ฯ: สาํ นกั เทคโนโลยีทางการศกึ ษามหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช, 2545.โรงเรยี นบา้ นหนองสนม. เอกสารการจัดชนั้ เรียน ปีการศกึ ษา 2555. 2555.บุษยพร ขมสนทิ . ชุดการสอนแบบองิ ประสบการณ์ กล่มุ สาระกรงานอาชพี และเทคโนโลยี เรื่อง การสร้างชน้ิ งาน ดว้ ยโปรแกรม ไมโครซอฟเอก็ เซล สาํ หรบั นักเรียนขน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 เขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษา ฉะเชิงเทรา เขต 1. ปริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาเทคโนโลยีและส่อื สารการศกึ ษา. นนทบุรี: มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, 2548.พนม เขยี วนาค.ู ชดุ การสอนแบบอิงประสบการณว์ ชิ าทักษะสัตวป์ กี เรือ่ ง การเลี้ยงไก่ สําหรับนกั ศึกษาระดับ ประกาศนยี บตั รชั้นปที ี่ 3 วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยเี พชรบูรณ์. วิทยานิพนธ์ ปรญิ ญาศึกษาศาสตร มหาบัณฑิต แขนงวชิ าเทคโนโลยแี ละสือ่ สารการศึกษา สาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์. นนทบุร:ี มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, 2546.วาสนา ทวีกลุ ทรัพย.์ “หน่วยที่ 7 ปฏบิ ัตกิ ารชุดสือ่ ประสมเพอ่ื การศกึ ษา” ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ า ประสบการณว์ ชิ าชพี เทคโนโลยีและส่อื สารการศกึ ษา. นนทบุรี: มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช สาขาศกึ ษาศาสตร์, 2541.วาโร เพง็ สวสั ดิ์. วิธวี ิทยาการวจิ ยั . สกลนคร: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร, 2550.วารี ถิระจติ ร. การศกึ ษาสาํ หรบั เด็กพิเศษ. กรงุ เทพ ฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 2537.วารินทร์ รัสมพี รหม. “การวิจัยและทฤษฎดี ้านองคป์ ระกอบของเนือ้ หาสาระทางการศกึ ษา” ใน ประมวลสาระชุด วิชาสมั มนาการวิจัยและทฤษฎที างเทคโนโลยแี ละส่อื สารการศึกษา หน่วยที่ 9. พิมพค์ รง้ั ที่ 1. นนทบรุ ี: มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช, 2537.วชิ าการ, กรม. กระทรวงศึกษาธกิ าร. การจัดสาระการเรยี นรกู้ ลุม่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนา และ วฒั นธรรม ตามหลกั สตู รแกนกลาง การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพรา้ ว, 2551.สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ. วนั สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ประจาํ ปี 2542. กรุงเทพมหานคร: มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, 2542.สชุ าญ โกสนิ . หัวหน้างานกับการเสริมสรา้ งทศั นคตดิ า้ นความปลอดภยั . Safety Journal. 2 (28), 15 สงิ หาคม – 15 กนั ยายน 2540.สดุ ใจ ศภุ เอม. ชุดการสอนแบบอิงประสบการณ์ สาระเทคโนโลยสี ารสนเทศ วชิ าการพิมพ์เอกสาร เร่ือง การสร้างภาพ และตกแตง่ ภาพปกนทิ าน โดยใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรยี นชลประทานวิทยา จงั หวัดนนทบรุ ี. ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าเทคโนโลยีและสื่อสารการศกึ ษา. นนทบรุ ี: มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช, 2551.สนุ ันทา สนุ ทรประเสริฐ. การผลิตชุดการสอน. ชมรมพฒั นาความรดู้ า้ นระเบยี บกฎหมาย, 2550.สรุ เชษฐ์ เวชชพิทักษณ์ และบุญเลิศ อรณุ พิบูลย์. การพฒั นาส่ือคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนและเวบ็ ไซด์ เพื่อการ เรยี นรทู้ ่ีมคี ณุ ภาพ. กรุงเทพ ฯ: องคก์ ารคา้ รับ สง่ พัสดุภัณฑ,์ 2546. จาก http://www.Pirun.ku.ac.th (สบื ค้นเมอื่ 24 ธนั วาคม 2556)
178 การประชมุ ทางวชิ าการของครุ สุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ยั เพื่อเพิม่ คุณภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชพี ”ผลงานวจิ ยั การสร้างและหาประสทิ ธิภาพ การจัดการเรยี นการสอน เร่ือง เสียงในภาษาไทย ดว้ ยกระบวนการ MIAP สาํ หรบั นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6ผู้วจิ ัย นางสาวสุวิชา กฎุ ีศรีปีที่วจิ ัย 2556 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ เพ่ือ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพในการเรียนการสอน โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เสียงในภาษาไทย ด้วยกระบวนการ MIAP ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/802) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนการสอนเรือ่ ง เสียงในภาษาไทย ด้วยกระบวนการ MIAP และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เสียงในภาษาไทย ด้วยกระบวนการ MIAP กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 6 จํานวน 46 คน โรงเรียนปลวกแดงพทิ ยาคม สํานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษาเขต 18ซ่ึงไดม้ าจากการส่มุ อยา่ งง่าย เคร่ืองมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ครงั้ นี้ ไดแ้ ก่ แผนการจัดการเรยี นการสอน เรือ่ ง เสียงในภาษาไทยดว้ ยกระบวนการ MIAP แบบทดสอบวดั ความก้าวหน้าในเร่ืองระบบเสียงในภาษาไทย และแบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ด้วยกระบวนการ MIAP สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าที (t - test) ค่ารอ้ ยละ และคา่ เฉล่ีย ผลการวิจัยพบว่า 1. การจดั การเรียนการสอน เร่อื ง เสยี งในภาษาไทย ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 ด้วยกระบวนการ MIAPมีประสิทธิภาพเทา่ กับ 86.96/83.13 สงู กวา่ เกณฑ์ทีต่ งั้ ไว้ 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ที่ได้รับการจัดกระบวนการเรียนการสอนดว้ ยกระบวนการ MIAP สงู ขึน้ อยา่ งมนี ัยสําคัญ ท่รี ะดับ .01 3. ความคดิ เหน็ ของนักเรยี นท่ีมีต่อการจดั การเรยี นการสอน เรอื่ ง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ด้วยกระบวนการ MIAP สรุปโดยภาพรวม ท้ังด้านรูปแบบ ด้านเนื้อหาและด้านประโยชน์ที่ได้รับอยู่ในระดับมากที่สุดความเป็นมาและความสําคัญของปัญหาการวจิ ัย จากปัญหาการจัดการเรียนการสอนหลักภาษาในวิชาภาษาไทย โรงเรียนปลวกแดงพิทยาคม สังกัดสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 ก็เป็นหน่ึงโรงเรียนท่ีประสบปัญหาการเรียนหลักภาษาไทย โดยสังเกตได้จากผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพ้ืนฐาน (O - NET) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2554 ในรายวิชาภาษาไทย (01) ได้คะแนนเฉลี่ย 36.84 และในมาตรฐานที่ 4.1 ได้คะแนนเฉลี่ย 24.22 ซึ่งตํ่ากว่าคะแนนเฉลี่ยระดบั ประเทศที่คะแนนเฉลยี่ 41.88 และในมาตรฐานท่ี 4.1 ได้คะแนนเฉลี่ย 28.20 เมื่อพิจารณาจากคะแนนเฉล่ียจะพบว่าผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพ้ืนฐาน (O - NET) ของทางโรงเรียนอยู่ในระดับตํ่า ดังนั้นเพื่อเป็นการพัฒนาการเรียนการสอนของนักเรียนให้มีความสามารถในการเรียนและผลการทดสอบทางการศึกษาระดบั ชาติขน้ั พ้ืนฐาน (O - NET) ที่ดีย่ิงขึ้น จึงควรต้องมีการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพทดี่ ีเพอ่ื ชว่ ยสง่ เสรมิ และเสรมิ สรา้ งการจดั การเรียนการสอนใหพ้ ัฒนายงิ่ ขึ้น การจดั การเรยี นการสอนเปน็ บทบาทสําคัญอยา่ งย่งิ ในการสง่ เสริมใหน้ ักเรียนตัง้ ใจเรียนและเกิดการเรียนรู้ถ้าผู้สอนใช้วิธีท่ีดี และเหมาะสมจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนเต็มตามความสามารถของแต่ละคน การปฏิรูปการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาพ.ศ.2542 หมวด 4 แนวการจัดการศึกษาเน้นผู้เรียนสําคัญที่สุด มาตรา 22:หลักการจดั การศกึ ษาต้องยดึ หลักวา่ ผู้เรียนทกุ คนมคี วามสําคญั สามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสําคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มศักยภาพ
การประชมุ ทางวิชาการของคุรสุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพอื่ เพ่ิมคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 179มาตรา 24: กระบวนการเรียนรู้ตอ้ งจดั สาระและกิจกรรมที่สอดคล้องความสนใจ ความถนัด และความความแตกต่างฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการเรียนรู้จากประสบการณ์ รักการอ่าน ใฝ่รู้ใฝ่เรียน อย่างต่อเน่ือง ผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างสมดุล ปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกรายวิชาจัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ มีสื่อเรียนรู้ท่ีหลากหลาย เป็นการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมและเกิดข้ึนได้ทุกเวลาและสถานท่ี มาตรา 30: การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา(กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2542, หนา้ 23) ดังน้ันในการศึกษาแนวคิด ทฤษฎเี กย่ี วกับการเรียนรู้ ผู้วิจัยสนใจกระบวนการเรยี นรรู้ ปู แบบของ MIAP เปน็ อย่างมาก จากความสาํ คญั ดังกล่าวการที่จะพัฒนาการเรียนการสอนหลักการใช้ภาษาไทย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดคุณภาพตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรนั้นต้องพัฒนาการสอนให้เหมาะสมและจัดกิจกรรมเพื่อช่วยให้การเรียนการสอนได้ผลมากข้ึน ผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะสร้างและหาประสิทธิภาพ การจัดการเรียนการสอน เร่ือง เสียงในภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปลวกแดงพิทยาคม โดยใช้วิธีการสอนแบบ MIAP ที่มุ่งเน้นให้บุคคลเกิดการเรียนร้ไู ดก้ ต็ ่อเม่อื บคุ คลนัน้ ตอบสนองตอ่ กระบวนการของสิ่งเร้าซ่ึงเหมาะสมกับเนื้อหาที่เป็นความรู้พื้นฐานประกอบไปด้วยขั้นตอนในการสอน 4 ขั้นตอน คือ ขั้นสนใจปัญหา ขั้นศึกษาข้อมูล ขั้นนําข้อมูลมาลองใช้และขัน้ ประเมนิ ผลสําเร็จ เพื่อเป็นการพัฒนาความรู้ความสามารถในการเรียนของนักเรียนและเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการเรียนการสอนให้เกิดผลดีและมีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน และผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีศักยภาพ และจะช่วยพฒั นาประสิทธิภาพในการเรยี นของนกั เรียนใหด้ ีขึน้วตั ถปุ ระสงค์การวิจยั 1. เพ่ือสร้างและหาประสิทธิภาพในการเรียนการสอน โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เร่ือง เสียงในภาษาไทยด้วยกระบวนการ MIAP ให้มปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนการสอนเรอ่ื ง เสียงในภาษาไทย ด้วยกระบวนการ MIAP 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการจัดการเรียนการสอน โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง เสียงในภาษาไทย ด้วยกระบวนการ MIAPนิยามศพั ท์เฉพาะ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ท่ีสร้างข้ึน หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้ เร่ือง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ด้วยกระบวนการสอนรูปแบบ MIAP มีเนื้อหาตามหลักสูตรแกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนปลวกแดงพิทยาคม ประกอบด้วย 1) ใบแผนการสอน 2) วัตถุประสงค์การเรียนการสอน 3) เน้ือหาวิชา4) กิจกรรมการสอน 5) สื่อการเรียนการสอน 6) แบบฝึกหดั และเฉลย 7) แบบทดสอบทา้ ยบทเรียน 2. การจดั การเรียนการสอนโดยใชก้ ระบวนการเรียนรู้แบบ MIAP หมายถึง การสอนท่ีจะสอนตามขั้นตอนการเรียนรู้ประกอบด้วยข้ันตอนสําคัญ 4 ขั้นตอนคือ ขั้นสนใจปัญหา ขั้นศึกษาข้อมูล ข้ันนําข้อมูลมาลองใช้ และขน้ั ประเมินผลสําเรจ็ 3. ประสิทธภิ าพแผนการจัดการเรยี นรู้ เร่อื ง เสียงในภาษาไทย ด้วยกระบวนการสอนรูปแบบ MIAP หมายถึงการแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีผู้วิจัยได้ค้นคว้าและสร้างขึ้นไปทดลองใช้และปรับปรุงแก้ไข เพ่ือให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของค่าเฉลี่ยท่ีได้จากการทําแบบฝึกหัดระหว่างเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรไู้ ม่ต่าํ กวา่ 80 80 ตัวหลงั หมายถึง ร้อยละของค่าเฉล่ียที่ได้จากการทําแบบทดสอบหลังเรียนของนักเรียนท่ีเรียนด้วยแผนการจัดการเรยี นรไู้ ม่ต่าํ กวา่ 80
180 การประชมุ ทางวชิ าการของครุ ุสภา ประจําปี 2557 “การวจิ ยั เพ่อื เพิ่มคณุ ภาพการศกึ ษาและการพัฒนาวชิ าชพี ” 4. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถงึ ความสามารถของนักเรียนในดา้ นการวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และการ ประเมินค่าหลังจากเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เสียงในภาษาไทย ด้วยกระบวนการสอนรูปแบบ MIAP ซึ่งวัดได้จากแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นท่ีผู้วจิ ยั สร้างข้นึ และได้ผ่านการทดลองหาคุณภาพแลว้ แนวคิด/ทฤษฎที เี่ กย่ี วขอ้ ง วิธีการสอนตามแบบ MIAP วธิ กี ารสอนท่ีสอนตามขั้นตอนการเรียนรู้รวมที่เรียกว่า MIAP เป็นวิธีสอนแบบธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่คํานึงถึง ข้ันตอนของกระบวนการเรียนรทู้ ีส่ าํ คัญ ประกอบไปด้วยขั้นตอนในการสอน 4 ขน้ั ดังตอ่ ไปน้ี 1. ขัน้ สนใจปญั หา (Motivation) การเรียนรู้จะเกิดข้ึนได้เม่ือบุคคลซ่ึงได้รับมอบหมายให้ทํางานอย่างหน่ึง หรือเขาสนใจท่ีจะทํางานอย่างใดอย่างหนึ่งท่ีเขาไม่เคยทํามาก่อน หรือไม่มีข้อมูลในเรื่องน้ันมาก่อน การเรียนรู้จะ เกดิ ขึ้นไมไ่ ด้เลยหากบคุ คลน้นั ไม่ไดส้ นใจทจ่ี ะเรยี นรใู้ นเรื่องน้ัน ๆ ซงึ่ ตรงกนั ขา้ มถ้าเขาสนใจตอ่ เรอ่ื งราวทเี่ ปน็ สิง่ ใหม่ ๆ เป็นสิ่งท่เี ขาไมเ่ คยเรียนรมู้ ากอ่ น หนทางทจ่ี ะไดเ้ รียนรสู้ ิง่ ใหม่ ๆ กจ็ ะมมี ากข้นึ 2. ขั้นศึกษาข้อมูล (Information) หลังจากผู้เรียนผ่านขนั้ ทีห่ น่งึ มาแล้วแสดงว่ามคี วามสนใจพรอ้ มที่จะรับ เนอ้ื หาสาระและความรู้ใหม่ ๆ ขน้ั นีก้ ็จะเป็นขั้นท่ีผู้เรียนได้ศึกษาความรู้ใหม่ ๆ ในเร่ืองของวิธีการศึกษานั้นก็อาจเป็นได้ หลายวิธีด้วยกัน ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับลักษณะของเรื่องราวที่จะเรียนรู้ เช่น ถ้าเรียนรู้ในชั้นเรียน ครูจะเป็นผู้อธิบายให้ฟัง เพื่อช่วยในขั้นอธิบายผู้เรียน อ่านจากตํารา เรียนรู้ด้วยตนเอง พยายามศึกษาตัวอย่างของจริงหรือคู่มือ เช่น การเรียนรู้ การทํางานของอุปกรณ์หรือเครื่องจักรใหม่ ๆ สรุปโดยย่อ ข้ันศึกษาข้อมูล ก็คือ ข้ันท่ีผู้เรียนรับรู้เน้ือหาและพยายาม เรยี นรู้ส่ิงใหม่ ๆ ทีค่ วรจะไดจ้ ากแหลง่ ข้อมูลตา่ ง ๆ กนั 3. ขั้นนําข้อมูลมาลองใช้ (Application) นําข้อมูลที่ได้ศึกษามาแก้ปัญหาที่พบ เพื่อเป็นการตรวจสอบ ความรใู้ หมซ่ ึง่ เพ่ิงได้รับ ในข้ันนีผ้ ู้เรียนจะตอ้ งตอบปญั หาตา่ งๆ ทเ่ี ก่ียวกบั ความรู้ใหมท่ ่ีไดศ้ กึ ษา ความจําเปน็ ทีต่ อ้ งมี การเรียนรู้ในขั้นน้ีก็เพ่ือเป็นการตรวจสอบความรู้ว่าได้รับมาพอเพียงและพอท่ีจะนํามาแก้ปัญหาในขั้นสนใจปัญหา ได้หรือไม่ หากไม่เพียงพอก็แสดงว่าการเรียนรู้ในเรื่องน้ันยังไม่ประสบผลซึ่งอาจหมายถึงยังเรียนรู้ไม่พอในเรื่องนั้น หรืออีกประการหนงึ่ กค็ อื ยังไมม่ ีความรู้ในเร่ืองนั้น ผเู้ รียนสว่ นใหญ่ที่ไม่ได้มีการศึกษาในเรื่องของการเรียนรู้อย่างแท้จริง มักเข้าใจเอาว่าการที่เขาได้ดูได้เห็นได้ฟังในส่ิงใหม่ ๆ น้ัน คือ การเรียนรู้แล้ว ในการนําข้อมูลมาใช้ในข้ันนี้จึงมี ความสําคัญ เป้าหมายก็เพ่ือท่ีจะตรวจสอบการเรียนรู้ว่าได้บรรลุตรงตามวัตถุประสงค์แล้วหรือยัง หากไม่พอเพียง จะได้ทาํ การหาข้อมูลมาเพ่มิ เตมิ เพ่ือให้การเรยี นรู้ในเรื่องนัน้ ๆ สมบรู ณต์ อ่ ไป 4. ขั้นประเมินผลสําเร็จ (Evaluation or Progress) ขั้นของการตรวจสอบผลนั้นจะกระทําทันทีหลังจาก ข้ันพยายามในการนําข้อมูลมาใช้ การประเมินผลนั้นก็จะยึดถือวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายเป็นบรรทัดฐานในการ ทดสอบน้นั หากวา่ ไดต้ ามความมุ่งหมายกถ็ ือวา่ การเรียนรู้สําเร็จผล เกิดการเรียนรู้ในเร่ืองใหม่ ๆ สรุปว่าเกิดความก้าวหน้า ในการเรียนรู้ ดังตัวอย่างท่ีได้ผ่านมาแล้วในเรื่องของนักเรียนผู้หนึ่งต้องการไปชมงานท่ีสวนอัมพรที่เขาไม่เคยไปมาก่อน หลังจากผ่านกระบวนการหาข้อมูลโดยวิธีต่าง ๆ แล้ว เขาทดลองนําข้อมูลมาใช้ แล้วเขาก็ถึงเป้าหมายตามต้องการ การเรยี นรู้ในเรอื่ งการเดนิ ทางทีจ่ ะไปสถานทด่ี ังกลา่ วเม่อื สมบูรณจ์ ะสามารถพิสูจน์ได้วา่ เกิดการเรียนรู้จรงิ และหากวา่ ไดร้ ับข้อมูลแล้วไมเ่ คยนาํ ข้อมลู มาใช้ ขาดการประเมนิ ว่าขอ้ มลู นนั้ ใชไ้ ด้หรอื ไม่ก็ถือได้ว่าการเรียนรู้นั้นยังไม่สมบูรณ์ เพราะไมแ่ นใ่ จวา่ ขอ้ มูลทไี่ ด้จะนํามาแกป้ ัญหาได้ตรงตามเป้าหมายหรือไมใ่ นเรื่องของการเรียนรู้ จะโดยแบบใดหรือ วิธีการใดก็ตาม จะพบว่ามีองค์ประกอบซ่ึงจัดเป็นกระบวนการได้เป็น 4 ขั้นตอน คือ ขั้นสนใจปัญหา ข้ันศึกษาข้อมูล หรือเน้ือหาสาระ ขั้นนําข้อมูลมาใช้และสุดท้ายคือข้ันประเมินผลการเรียนรู้ ความสําคัญและความจําเป็นท่ีต้องจัด ข้ันต่าง ๆ ได้กล่าวไว้พอสังเขปแล้ว ข้อสําคัญท่ีจะขอชี้แจงไว้ในตอนท้ายก็คือการเรียนรู้ในเรื่องใด ๆ ก็ตามจําเป็น ทจี่ ะตอ้ งตั้งวัตถปุ ระสงค์ของการเรียนรู้ว่า จะเรียนอะไรและแค่ไหน เรียนไปเพ่ือใช้ทําอะไร พยายามสร้างจุดสนใจ ต่อปัญหาในเร่ืองที่จะเรียนรู้ โดยคํานึงอยู่เสมอว่า การฟัง การดู และการบอก เพียงอย่างเดียวโดยไม่ใช้ความคิด และปัญญานน้ั จะไม่เกดิ การเรยี นรู้ขึ้นเลย
การประชมุ ทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพอื่ เพมิ่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 181กรอบแนวคดิ การวจิ ยั ตัวแปรตาม ตวั แปรอสิ ระ - ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน แผนการจดั การเรยี นรู้ - ความพงึ พอใจในการเรียนของผู้เรียน เรื่อง เสยี งในภาษาไทย ดว้ ยกระบวนการสอนรูปแบบ MIAPวธิ ีดําเนินการวจิ ยั ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ได้ศึกษากับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนปลวกแดงพิทยาคมอาํ เภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ในภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2556 จํานวน 196 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปลวกแดงพิทยาคมอําเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง จํานวน 1 ห้อง นักเรียน 46 คน ซ่ึงได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple RandomSampling) เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู 1. แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เร่ือง เสียงในภาษาไทย ท่ีจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสอนรูปแบบ MIAP สร้างโดยศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยหนงั สือเรยี นหลกั ภาษาไทย ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 ของกรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ นําไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้องของเน้ือหาและคุณสมบัติของบทเรียน และแก้ไขปรับปรุงตามท่ีผู้เช่ียวชาญให้คําแนะนํานําไปทดลองกับนักเรียน จํานวน 5 คน แล้วให้ผู้เช่ียวชาญตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา ความถูกต้องตามจุดประสงคข์ องบทเรยี น ความเหมาะสมของรูปแบบการสอน ตลอดจนความเหมาะสมดา้ นภาษาที่ใชก้ บั ผเู้ รียนอีกคร้ังเพื่อเก็บรวบรวมขอ้ มูลเบื้องตน้ เก่ยี วกับกับจดุ บกพร่องในดา้ นคุณภาพของบทเรยี น การใชภ้ าษาในการอธิบายลักษณะการเชื่อมโยง ความชัดเจน แล้วนําข้อบกพร่องท่ีพบมาปรับปรุงแก้ไข และนําแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยเร่ือง เสียงในภาษาไทย ที่จัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสอนรูปแบบ MIAP ที่ได้ปรับปรุงแก้ไขจากการทดลองคร้ังที่ 2 ไปทดลองภาคสนามกับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนปลวกแดงพิทยาคม ท่ีไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างจํานวน 30 คน การทดลองภาคสนาม เป็นการทดลองกับผู้เรียนเหมือนสภาพการณ์จริง โดยมีการทดสอบก่อนเรียนและทดสอบหลังเรียน ถ้าผลการทดลองภาคสนามใช้ได้ก็สามารถท่ีจะนําไปใช้กับผู้เรียนอ่ืน ๆ เพื่อให้บทเรียนมีความเรา้ ใจมากย่งิ ข้นึ เม่ือแกไ้ ขปรับปรงุ บทเรยี นแลว้ จึงได้นาํ แผนการจดั การเรยี นรู้วชิ าภาษาไทย เรื่อง เสียงในภาษาไทยทีจ่ ดั การเรียนรดู้ ้วยกระบวนการสอนรูปแบบ MIAP ไปใชใ้ นการทดสอบกับกลุ่มตัวอยา่ งตอ่ ไป 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เรื่อง เสียงในภาษาไทย ก่อนเรียนและหลังเรียน ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนเป็นแบบวัดความรู้ความเข้าใจ เรื่อง ระบบเสียงในภาษา เป็นแบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จํานวน 30 ข้อ วิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) ค่าอํานาจจําแนก (r) ของข้อสอบรายข้อ โดยคัดเลือกข้อสอบที่มีค่าดัชนีอํานาจจําแนก (r)ต้ังแต่ .20 ข้ึนไป และมีค่าดัชนีความง่าย (p) ปานกลางคือตั้งแต่ .20 ถึง .80 (ประภาพรรณ เส็งวงศ์, 2550,หน้า 70 - 74) ข้อสอบท่ีสามารถนําไปใช้ได้มีจํานวน 30 ข้อ ได้ค่าความยากง่ายของแบบทดสอบ ต้ังแต่ 0.43 –0.73 และค่าอํานาจจําแนกตง้ั แต่ 0.22 – 0.74 มคี วามเชื่อม่ันของแบบทดสอบทั้งฉบับโดยใช้วิธีของคูเดอร์ ริชาร์ดสันใช้สูตร KR - 20 ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.92 แสดงว่าแบบทดสอบท้ังฉบับมีความเชื่อมั่นอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถนําไปใช้เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ได้ 3. แบบสอบถามความคิดเห็นท่ีมีต่อการจัดการเรียนการสอน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ด้วยกระบวนการ MIAP
182 การประชุมทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพือ่ เพิ่มคุณภาพการศึกษาและการพัฒนาวชิ าชพี ” การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. กลุม่ ตัวอยา่ งเปน็ นกั เรยี น ทก่ี าํ ลังเรยี นในช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ปกี ารศกึ ษา 2556 จํานวน 46 คน 2. นําแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทยไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างจากน้ัน ตรวจให้คะแนน โดยใช้เกณฑ์การประเมินตามท่ีกําหนดไว้ เมื่อตรวจเสร็จแล้ว จึงนําคะแนนที่ได้ไปใช้เป็นคะแนน การทาํ แบบทดสอบกอ่ นการเรียนของนกั เรยี นและบันทกึ คะแนนของนักเรียนแตล่ ะคนไว้ 3. ดําเนินการทดลอง โดยผู้ศึกษาดําเนินการสอนนักเรียน ด้วยการจัดการเรียนการสอน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 ด้วยกระบวนการ MIAP ที่สร้างข้ึน ใช้เวลาในการสอน รวม 6 ชั่วโมง จํานวน 4 แผน โดยก่อนสอน ผศู้ ึกษาไดศ้ ึกษาแผนการจัดการเรียนรู้อย่างละเอียดอีกคร้ัง จัดเตรียมส่ือการเรียนรู้และดําเนินการสอน ตามขนั้ ตอน ทีร่ ะบไุ ว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ท่สี ร้างขน้ึ 4. ให้นักเรียนทาํ แบบสอบถามความคิดเห็นท่ีมีต่อการจัดการเรียนการสอน เร่ือง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 6 ดว้ ยกระบวนการ MIAP หลังการเรยี น โดยใช้เวลา 10 นาที ในการทําแบบสอบถาม 5. ใหน้ กั เรยี นทาํ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน เรื่อง เสยี งในภาษาไทย จากน้นั ตรวจใหค้ ะแนน การวเิ คราะหข์ ้อมลู 1. การหาประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ (E1) 2. หาประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์ (E2) 3. ในการวิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน ใช้วิธีการหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คํานวณโดย การหาคา่ ที (t - test) 4. หาค่าความเช่อื ม่ัน (Reliability) โดยใช้สตู รของคูเดอรร์ ิชาร์ด 5. หาคา่ ความยากงา่ ยและคา่ อาํ นาจจําแนกของแบบทดสอบวัดความก้าวหน้า เร่ือง ระบบเสียงในภาษาไทย เปน็ รายขอ้ โดยมวี ธิ ีการดงั น้ี 6. หาค่าความยากง่ายและอาํ นาจจําแนกโดยใช้สตู รอย่างงา่ ย (Difficulty Level and Discrimination Power) 7. วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นรายข้อ ซ่ึงมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า โดยนาํ คา่ ระดับทไี่ ด้มาหาคา่ เฉลี่ย แล้วนําไปแปลความหมายค่าระดับตามเกณฑ์ทปี่ รับปรงุ ของลิเคิร์ต (Likert) สรุปผลการวจิ ยั ตอนท่ี 1 ผลการการจัดการเรียนการสอน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ด้วยกระบวนการ MIAP ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ผู้เรียนทําแบบทดสอบระหว่างเรียนได้เฉล่ียร้อยละ 86.96 และผู้เรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 83.13 แสดงให้เห็นว่าการจัดการเรียนการสอน เรอื่ ง เสยี งในภาษาไทย ของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 6 ด้วยกระบวนการ MIAP มีค่าประสิทธิภาพ ของกระบวนการ/ ประสทิ ธิภาพของผลลัพธเ์ ท่ากับ 86.96/83.13 (E1/E2) สงู กวา่ มาตรฐานท่ตี ้งั ไว้ 80/80 ตอนท่ี 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับ การจัดการเรยี นการสอนด้วยกระบวนการ MIAP หลงั เรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมนี ัยสาํ คญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .01 ตอนที่ 3 ผลการศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 ด้วยกระบวนการ MIAP โรงเรียนปลวกแดงพิทยาคม จังหวัดระยอง พบว่านักเรียน มคี วามคิดเหน็ ต่อการจัดการเรยี นการสอน โดยภาพรวม มคี วามคดิ เห็นอยู่ในระดับมากทส่ี ดุ
การประชมุ ทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ยั เพ่อื เพิ่มคณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวิชาชพี ” 183อภปิ รายผลการวิจัย 1. ผลการศึกษาพบว่าการจดั การเรียนการสอน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6ดว้ ยกระบวนการ MIAP ทส่ี ร้างขน้ึ มีประสิทธภิ าพเทา่ กบั 86.96/83.13 ซง่ึ เป็นไปตามสมมตฐิ านของการศกึ ษาท่ีตง้ั ไว้ 2. นกั เรียนทเี่ รียนด้วยการจดั การเรียนการสอน เร่ือง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6ด้วยกระบวนการ MIAP มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึนโดยมีคะแนนเฉล่ียหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉล่ียก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ผู้เรียนมีความก้าวหน้าในด้านความรู้ความเขา้ ใจเก่ยี วกับระบบเสยี งในภาษาสงู ขึน้ 3. นักเรียนมีความคิดเห็นต่อการจัดการเรียนการสอน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ดว้ ยกระบวนการ MIAP โดยภาพรวมอยใู่ นระดับคณุ ภาพมากทีส่ ดุ เป็นเพราะผ้วู จิ ัยไดใ้ ช้หลกั การดงั นี้ 3.1 การออกแบบพัฒนาการจดั การเรียนการสอน เร่ือง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6 ด้วยกระบวนการ MIAP ผู้วิจัยได้ออกแบบโดยยึดแนวความคิดของบรูเนอร์ ในเร่ืองของการสอนแนวความคิดรวบยอดให้กับผู้เรียน โดยการยกตัวอย่างทั้งท่ีเป็นตัวอย่างนิทาน และตัวอย่างนิเสธเพื่อให้ครอบคลุมความคิดรวบยอดท่ีต้องการให้ การเสนอตัวอย่างหลาย ๆ ตัวอย่างทั้งท่ีถูกและผิด จะทําให้ผู้เรียนถูกกระตุ้นด้วยกระบวนการสังเกตวิเคราะห์และสังเคราะห์จนกระท่ังสามารถสรุปได้ด้วยตัวเอง ก่อให้เกิดความต่ืนเต้นเร้าใจ และชวนให้ติดตามเน้อื หาต่าง ๆ ในบทเรียน ซ่งึ การสอนในลักษณะนีน้ อกจากสง่ เสริมให้ผู้เรียนสามารถสร้างความคิดรวบยอดในเร่ืองท่ีเรียนได้ดีแล้ว ยังส่งผลให้การเรียนของผู้เรียนสูงขึ้นด้วย และใช้วิธีการสอนแบบ MIAP มุ่งเน้นให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ได้ก็ต่อเม่ือบุคคลนั้นตอบสนองต่อกระบวนการของส่ิงเร้า ซึ่งเหมาะสมกับเน้ือหาท่ีเป็นความรู้พื้นฐานประกอบไปด้วยข้ันตอนในการสอน 4 ขั้นตอน คือข้ันสนใจปัญหา ข้ันศึกษาข้อมูล ขั้นนําข้อมูลมาลองใช้ และขั้นประเมินผลสําเร็จ เพ่ือเป็นการพัฒนาความรู้ความสามารถในการเรียนของนักเรียนและเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการเรียนการสอนใหเ้ กดิ ผลดีและมีประสิทธภิ าพยง่ิ ขึ้น และผูเ้ รยี นเรียนรไู้ ดอ้ ย่างมศี กั ยภาพ 3.2 การให้ผลย้อนกลับ ผู้วิจัยได้กําหนดรูปแบบการให้ผลย้อนกลับ โดยเฉพาะการทําแบบฝึกหัดเม่ือมีผู้เรียนเลือกคําตอบก็จะมีการตอบสนองโดยทันที เพื่อเร้าความสนใจของผู้เรียน การให้ข้อมูลย้อนกลับน้ีเป็นส่วนหน่ึงท่ีทําให้การเรียนการสอนมีคุณภาพย่ิงข้ึน ซ่ึงในการเรียนนี้การให้ผลย้อนกลับ คือ การแจ้งผลการทําแบบฝึกหัดให้รู้เพื่อเปน็ ประโยชน์ต่อผูเ้ รยี นตอ่ ไป ผลการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน เร่ือง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 ด้วยกระบวนการ MIAP ที่ผู้วิจัยได้ดาํ เนินการมาน้ีย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าการสอนด้วยการจัดการเรียนการสอน เร่อื ง เสียงในภาษาไทย ของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 ดว้ ยกระบวนการ MIAP จะกอ่ ให้เกดิ ประสิทธิภาพทางการศึกษาท้ังผู้สอนและผู้เรียน เพราะเป็นเสมือนตัวกลางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนและเป็นตัวช่วยใหเ้ กิดกจิ กรรมการเรียนรู้ในรปู แบบตา่ ง ๆ รวมทงั้ ช่วยปรบั ปรุงเอกสาร ตํารา ส่วนประโยชน์ที่จะเกิดแก่ผ้เู รียนคอื ผู้เรียนมีผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นสูงขน้ึ สรุปได้ว่า การนําการจัดการเรียนการสอน เร่ือง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6ดว้ ยกระบวนการ MIAP ท่มี ีประสทิ ธิภาพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 มาใชใ้ นการเรยี นการสอนมีผลทําให้นักเรียนมีความก้าวหน้าในด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ เร่ือง เสียงในภาษาไทย สูงข้ึน สามารถนําไปใช้ประกอบการเรยี นการสอนในรายวชิ าภาษาไทยได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
184 การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจําปี 2557 “การวจิ ัยเพือ่ เพิม่ คณุ ภาพการศกึ ษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” ข้อเสนอแนะ 1. ก่อนการเรียนด้วยการนําการจัดการเรยี นการสอน เรอื่ ง เสยี งในภาษาไทย ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปีท่ี 6 ด้วยกระบวนการ MIAP ควรมีการแนะนาํ ผู้เรียนให้ศึกษาคู่มือการใช้บทเรียนอย่างละเอียด และข้อชี้แจง เรื่องการบันทึกคะแนนท่ีทําได้ในแต่ละหน่วยลงในแบบบันทึกคะแนนในคู่มือ เพ่ือที่ครูจะได้นํามาศึกษาความก้าวหน้า ในด้านความรคู้ วามเข้าใจ เกย่ี วกับระบบเสียงในภาษาของผเู้ รียน 2. ไมค่ วรจํากัดเวลาในการเรียน เพราะการนําการจัดการเรียนการสอน เรื่อง เสียงในภาษาไทย ของนักเรียน ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ด้วยกระบวนการ MIAP นี้มุ่งให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที่จะเรียนด้วยตนเอง ดังนั้น ผู้เรียนจึงควร ไดเ้ รียนตามความสะดวกและตามความสามารถของตนเอง รายการอ้างอิง กรมวิชาการ. (2545). การวจิ ัยเพ่อื พัฒนาการเรยี นร้ตู ามหลักสตู รการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน. กรงุ เทพ ฯ: กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร โรงพิมพก์ ารศาสนา. กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2546). การจัดสาระการเรยี นรกู้ ลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทยตามหลักสตู รการศึกษา ข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2544. กรุงเทพ ฯ: โรงพิมพ์องค์การรบั สง่ สินคา้ และพัสดุภณั ฑ.์ _______. (2544). หลักสูตรการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2544. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 1. กรุงเทพ ฯ: โรงพมิ พ์ครุ ุสภา ลาดพร้าว. กาญจนา นาคสกุล. (2545). “ข้อคดิ เกย่ี วกับการสอนภาษาไทย” ใน เอกสารประกอบการอภิปรายในโครงการ จดั การสมั มนา เรื่อง การสอนภาษาไทยยคุ ข้อมูลข่าวสาร: ก้าวหนา้ หรอื ล้าหลัง. กรงุ เทพ ฯ: คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. ก่อ สวัสดิพาณิชย์. (2541). “นิกสก์ บั ภาษาไทย กา้ วไกล 1” ใน วารสารวชิ าการ. (เมษายน 2541) หนา้ 28 - 30. ขจพี รรณ จนั ทระ. (2543). การสร้างชุดการสอนวชิ าภาษาไทยสาํ หรบั ฝึกทกั ษะการอ่านจับใจ ความของนักเรยี น ชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 5 ในโรงเรยี นสงั กดั สาํ นักงานคณะกรรมการการ ศึกษาเอกชนอาํ เภอเมือง จงั หวดั สงขลา. ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. สงขลา: มหาวทิ ยาลัยทักษณิ . ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ และประภาศรี สีหอาํ ไพ. (2551). สาํ นวนไทยในการส่ือสาร. กรงุ เทพ ฯ: จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . ทัศนีย์ ศภุ เมธ.ี (2542). การสอนภาษาไทย. กรุงเทพ ฯ: สถาบันราชภัฏธนบุร.ี _______. (2534). พฤติกรรมการสอนภาษาไทยระดบั ประถมศึกษา. กรงุ เทพ ฯ: ภาควิชาหลักสตู รและการสอน คณะครศุ าสตร์ วทิ ยาลยั ครธู นบรุ ี สหวทิ ยาลยั รตั นโกสินทร์. นวรตั น์ สายวงศ.์ หัวหนา้ กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนบางยีข่ นั วิทยาคม. สมั ภาษณ,์ 8 มิถุนายน 2547. นพพร ธนะชยั ขนั ธ.์ (2544). สถติ เิ พื่อการวจิ ยั . เอกสารประกอบการสอน. เชียงราย: คณะวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี, สถาบนั ราชภัฏเชียงราย. นภดล เวชสวัสดิ์. (2548). การพิมพอ์ ิเลก็ ทรอนิกส์ ห้องสมดุ เสมือนและอนิ เทอร์เนต็ . กรุงเทพ ฯ: หา้ งห้นุ ส่วนจาํ กัดเมด็ ทรายพร้ินตงิ้ . แปลจาก M.S. Sullivan. 1995. Detour: The Truth About The Information Superhighway. California: IDG Books. นาตยา ล้อมวงษ์. (2549). การสรา้ งหนังสอื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรอ่ื ง อาหารกบั สุขภาพ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรยี นปลวกแดงพิทยาคม อาํ เภอปลวกแดง จงั หวดั ระยอง. รายงานการวิจัยในชน้ั เรยี น. ระยอง: สาํ นักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาระยอง เขต 1. นิรนั ดร สชุ ปรดี า. (2530). การศึกษาอตั ราความเรว็ และความเข้าใจในการอ่านของนักเรยี น. ประภาศรี สหี อาํ ไพ. (2551). วฒั นธรรมทางภาษา. พมิ พ์ครง้ั ที่ 3. กรงุ เทพ ฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
การประชุมทางวชิ าการของคุรุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพ่อื เพม่ิ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 185พนู ศรี อมิ่ ประไพ. (2530). การศึกษาข้อบกพรอ่ งในการอา่ นออกเสยี งภาษาไทยและการสรา้ งแบบฝึกซอ่ มเสรมิ สําหรบั นักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 3. ปรญิ ญานิพนธ์ (กศ.ม.) มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ ประสานมิตร.วารี วนั อุทา. (2548). ผลการใช้บทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอนผ่านเครอื ข่ายอินเทอรเ์ น็ต เรอ่ื ง กฎการเคล่ือนที่ ของนวิ ตนั สาํ หรบั นกั เรียนชว่ งช้นั ท่ี 4 โรงเรยี นธรรมศาสตรค์ ลองหลวงวทิ ยาคม จงั หวดั ปทุมธาน.ี วิทยานิพนธป์ ริญญาการศึกษามหาบณั ฑิต, สาขาหลกั สตู รและการสอน, มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช.สายใจ อนิ ทรมั พรรย์. (2540). การสร้างบทเรยี นไฮเปอรม์ เี ดยี เพ่ือการสอนซอ่ มเสรมิ วชิ าคณิตศาสตร์สาํ หรบั นกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 เรอ่ื งพนื้ ทผี่ วิ และปริมาตรของพีระมิด. วทิ ยานพิ นธ์ปริญญาการศกึ ษา มหาบัณฑิต, กรุงเทพ ฯ: มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์.สกุ ัญญา สสี ืบสาน. (2531). ภาษาไทยวชิ าทีถ่ กู ลมื . กรุงเทพ ฯ: บรรณกจิ .สจุ รติ เพียรชอบ. (2543). วิธีสอนภาษาไทยระดับมธั ยมศกึ ษา. กรงุ เทพ ฯ: สาํ นกั พิมพจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยัอัมพร สขุ เกษม. (2551). ภาษาไทย ชดุ ที่ 3 การพดู . กรงุ เทพ ฯ: ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว.
186 การประชมุ ทางวชิ าการของครุ ุสภา ประจาํ ปี 2557 “การวิจยั เพ่อื เพ่มิ คณุ ภาพการศึกษาและการพัฒนาวิชาชีพ”ผลงานวจิ ัย รายงานผลการใชบ้ ทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน เรอ่ื ง เศรษฐกจิ พอเพียงตามแนวพระพุทธศาสนา และหนงั สอื อิเล็กทรอนิกส์ เรอื่ ง วันสําคญั ทางพระพทุ ธศาสนาผู้วิจยั สําหรับนกั เรียนระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรยี นสันทรายวทิ ยาคม จังหวัดเชยี งใหม่ปที วี่ ิจยั นางสาวจันทนา อินทจกั ร์ 2556 บทคดั ย่อ การวิจยั ครง้ั นม้ี ีวตั ถุประสงค์เพอื่ 1) หาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระพุทธศาสนา และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง วันสําคัญทางพระพุทธศาสนา ที่สร้างขึ้นตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) ศึกษาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เร่ือง เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระพุทธศาสนาของ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังจากการสอนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ และ 3) ศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่อื ง วันสําคัญทางศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ก่อนและหลังจากการสอนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสันทรายวิทยาคม ท่ีเรียนวิชาพระพุทธศาสนา ส 22103 ปีการศกึ ษา 2556 รวม 7 ห้องเรียน จํานวน 245 คน เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ประกอบด้วย1) แผนการจัดการเรียนรู้พระพุทธศาสนากับการแก้ปัญหาและการพัฒนา เร่ือง เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระพุทธศาสนา สร้างเป็นหน่วยการสอน จํานวน 1 หน่วยการเรียนรู้ รวม 5 ชั่วโมง 2) แผนการจัดการเรียนรู้พระพุทธศาสนากับการแก้ปัญหาและการพัฒนา เร่ือง วันสําคัญทางศาสนา สร้างเป็นหน่วยการสอนจํานวน1 หน่วยการเรยี นรู้ รวม 5 ช่ัวโมง 3) บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระพุทธศาสนาและหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เร่ือง วันสําคัญทางพระพุทธศาสนา 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระพุทธศาสนา เป็นแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน มีลักษณะเป็นแบบทดสอบแบบเลือกตอบจํานวน 20 ข้อ 5) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวันสําคัญทางศาสนา เป็นแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนมีลักษณะเปน็ แบบทดสอบแบบเลอื กตอบ จาํ นวน 20 ขอ้ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและคา่ เฉลี่ยร้อยละ ผลการวจิ ยั พบว่า 1. ได้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ในรายวิชาพระพุทธศาสนา และผลการหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เท่ากับ 80.00/ 91.76 และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 80.10/93.31ซ่ึงสงู กวา่ เกณฑม์ าตรฐาน 80/80 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระพุทธศาสนา มคี า่ เฉล่ียคะแนนหลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรยี น 3. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนท่ีเรียนโดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง วันสําคัญทางพระพุทธศาสนาในรายวชิ าพระพทุ ธศาสนา มีค่าเฉลย่ี คะแนนหลังเรยี นสูงกวา่ ก่อนเรียนความเปน็ มาและความสําคญั ของปญั หาการวจิ ยั สังคมไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นสถาบันหลักของประเทศไทยมาโดยตลอด ด้วยความสําคัญดังกล่าวกระทรวงศึกษาธิการจึงได้กําหนดให้มีการจัดการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาในระดับมัธยมศึกษาโดยกําหนดเป็นวิชาเลือกเสรีในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ท้ังน้ีมีความเชื่อว่าหลักคําสอนในพระพุทธศาสนาจะมีส่วนช่วยให้นักเรียนเติบโตไปเป็นประชากรท่ีมีคุณภาพ เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม รู้จักรักษาขนบธรรมเนียมประเพณแี ละวัฒนธรรม อันเป็นผลใหบ้ ุคคลอยูร่ ่วมกันในสังคมอยา่ งเป็นสขุ
การประชุมทางวิชาการของครุ สุ ภา ประจาํ ปี 2557 “การวจิ ัยเพอื่ เพมิ่ คณุ ภาพการศึกษาและการพฒั นาวชิ าชพี ” 187 จากการศึกษาผลงานวิจัย ผลการประชุมสัมมนาและผลงานนิเทศติดตามการสอนวิชาพระพุทธศาสนาของกรมวิชาการ พบว่า หลักสูตรไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ เนื้อหามากเกินไป ผู้สอนเพียงจะดําเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรตู้ ามนโยบายของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารเทา่ น้นั ดังท่ี จรลั กาอนิ ทร์ (2540: 54) พบว่า ปญั หาการจดั การเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คือ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้สอนขาดเทคนิคขั้นนําเข้าสู่บทเรียนท่ีสร้างความเร้าใจ และความสนใจ ส่วนนักเรียนก็ขาดทักษะการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองไม่มีความกระตือรือร้นในการเข้าร่วมกิจกรรม และขาดทักษะในการถาม ด้านส่ือการสอนมีไม่เพียงพอ และท่ีมีก็ไม่ตรงกับเนื้อหา นอกจากน้ีผู้สอนขาดการฝึกอบรมความรู้เก่ียวกับการจัดทําส่ือการสอน ด้านการวัดและประเมินผลการสร้างเครื่องมือไม่ครอบคลุมเน้ือหา เน้นความจําไม่เน้นความเข้าใจ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของกรมวิชาการ(2536: 1 - 2) พบว่า การเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนานักเรียนขาดทักษะในการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองขาดความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมกิจกรรม และที่สําคัญก็คือ นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายต่อวิชาพระพุทธศาสนาท้ัง ๆ ท่ีเป็นวิชาที่มีความหมายต่อการพัฒนาคุณภาพจิต สมรรถภาพจิตและสุขภาพจิตของนักเรียน นักเรียนมีคุณลักษณะ ค่านิยมและจริยธรรมที่ไม่พึงประสงค์ ไม่เปล่ียนแปลงพฤติกรรมภายหลังการเรียนวิชาพระพุทธศาสนารวมทงั้ ไมส่ ามารถใฝห่ าความรู้อยา่ งมีหลักการ แต่จะมีความรู้เทา่ ทผ่ี ู้สอนบอกเทา่ นนั้ ทํานองเดียวกับผลงานวิจัยของพัฒนา จันทนา (2532) ได้ทําการวิจัย เร่ือง ความคิดเห็นของนักเรียนในเขตการศึกษา 8 เก่ียวกับการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น พบว่า การใช้เทคนิควิธีการสอน คือ การบรรยาย การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนส่วนใหญ่อยู่ภายในห้องเรียน การวัดและประเมนิ ผล คือ ขอ้ สอบ ส่วนเนือ้ หาวชิ าไมน่ ่าสนใจเพราะมลี ักษณะเปน็ นามธรรม จากผลการวิจัยดังกล่าวจะพบว่านักเรียนให้ความสนใจต่อการเรียนการสอนค่อนข้างน้อย ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะนักเรียนอยู่ในวัยท่ีต้องการสิ่งแปลกใหม่และสามารถสัมผัสได้ เมื่อนักเรียนต้องเรียนรู้หลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนาที่เป็นนามธรรมความสนใจ ความตอ้ งการและเจตคติของนกั เรียนจงึ มีนอ้ ย ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการต่าง ๆ ของโลกยุคโลกาภิวัตน์ มีผลต่อการเปล่ียนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจของทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย จึงมีความจําเป็นท่ีจะต้องปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของชาติซึ่งถือว่าเป็นกลไกสําคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศ เพื่อสร้างคนไทยเป็นคนดี มีปัญญา มีความสุขแตเ่ นอื่ งจากมกี ารเปลยี่ นแปลงไปอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ด้าน ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพฤติกรรมของคนไทยในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนของไทยที่เป็นกําลังสําคัญของชาติบ้านเมืองในอนาคต มีพฤติกรรมเป็นคนเห็นแก่ตัวไม่พ่ึงพาอาศัยกันและไม่ให้ความร่วมมือกัน เห็นแก่ตัว ไม่มีการเสียสละ มีการแข่งขันกันเอารัดเอาเปรียบกันในขณะเดียวกันสภาพการเรียนการสอนในโรงเรยี นยังเปน็ ระบบของการแข่งขันทางการเรียน ขาดระบบการช่วยเหลือซ่ึงกันและกันระหว่างนักเรียน ทําให้นักเรียนมีความสัมพันธ์ทางสังคมตํ่า และมีผลเสียต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรียนด้วย ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2540: 52) ได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่า คุณภาพการศึกษาของไทยอยใู่ นระดับที่นา่ เปน็ หว่ ง ความรคู้ วามสามารถของเรยี นดา้ นผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นโดยเฉลีย่ อ่อนลง การศึกษาโดยเฉพาะในรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนามีความสําคัญต่อการอบรมสั่งสอนและพัฒนาให้เยาวชนเป็นพลเมืองดี มีคุณภาพ แต่งานวิจัยของวิชัย ดิสสระ(2535: 89) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนของวิชาสังคมศึกษาส่วนใหญ่ครูจะไม่ให้นักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏบิ ตั จิ ริงดว้ ยตนเอง แต่ยังเนน้ การสอนแบบบรรยาย การเรียนการสอนเน้นความรู้เนื้อหา และทักษะการเรียนจะไปพร้อมกันท้ังชั้นเรียน ซึ่งครูไม่ได้คํานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล แต่ให้ความสนใจนักเรียนที่เรียนเก่งมากกว่านักเรียนที่เรียนอ่อน จึงทําให้นักเรียนท่ีเรียนอ่อนไม่สนใจในการเรียนส่งผลให้นักเรียนมีปัญหาทางด้านผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น ในปัจจุบัน การศึกษาได้มีการสนับสนุนให้นําคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้เป็นส่ือและแหล่งความรู้ในการเรียนการสอนในทุกระดับการศึกษาโดยคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะทําการนําเสนอบทเรียนแทนผู้สอนและนักเรียนสามารถเรียนด้วยตนเองซ่ึงเรียกว่า “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” หรือ “CAI” คอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้เข้ามามีบทบาท
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339