คุณหมอผเู้ ตมิ เต็มความอ่ิมใหท้ ารกแรก เกิดกบั ผลการศึกษาความสมั พันธข์ อง พังผืดใตล้ นิ้ กบั การดูดนมมารดา ดบดัริบแปทลคงณจะาแกพบททยคศวาาสมตในร์ศหรินิรังาสชอื พเคยาลบด็ าไมลล่ ับ R2R อาจารย์มงคล เลาหเพ็ญแสง คณะแพทยศาสตร์ ศริ ริ าชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล “อแุ ว๊ๆๆ...” ทารกนอ้ ยแรกเกดิ วยั ไมถ่ งึ สปั ดาหส์ ง่ เสยี งรอ้ งไหจ้ า้ มอื นอ้ ยปา่ ยเปะปะไปมาในอากาศ เหมอื นตอ้ งการ จะบอกว่า... “แมจ่ า๋ ...หนูหิว” แมล่ กู อ่อนมอื ใหมว่ ัย 20 ต้นๆ ประคองลูกน้อยไวใ้ นออ้ มแขนอยา่ งทะนุถนอม เธออยากป้อนน้ำ� นม จากอกอนุ่ ใหล้ กู ดม่ื กนิ เพอื่ ดบั ความกระหายหวิ อยากใหล้ กู รบั รถู้ งึ สายใยรกั อนั ยงิ่ ใหญท่ เ่ี ธอมใี ห้ แตเ่ ธอทำ� ได้ เพยี งยนื่ ขวดนมพลาสตกิ ใสป่ ากใหล้ กู เจา้ ตวั นอ้ ยดดู ดม่ื นำ้� นมจากจกุ ยางดว้ ยความหวิ ดวงตาไรเ้ ดยี งสาคนู่ นั้ จอ้ งมองเธอตาแปว๋ หญงิ สาวมองลกู นอ้ ยดว้ ยความสงสารจบั ใจ นกึ ตำ� หนติ วั เองทไี่ มส่ ามารถอดทนใหน้ มลกู ได้ หมอบอกว่าลูกของเธอมีปัญหาพังผืดเกาะใต้ลิ้น ท�ำให้ดูดนมไม่ได้ เด็กน้อยจึงใช้เหงือกขบหัวนมแม่ เพอื่ ดดู รดี นำ้� นมแทน หวั นมของเธอยงั คงมรี อ่ งรอยของบาดแผลจากการถกู ขบ เธอตอ้ งหยดุ ใหน้ มลกู ชว่ั คราว เต้านมจงึ คดั ตึงรา้ วระบม ทั้งยังรูส้ กึ ครัน่ เน้อื ครนั่ ตวั เหมือนจะเป็นไข้ วนั นล้ี กู ของเธอจะไดร้ บั การผา่ ตดั พงั ผดื ใตล้ นิ้ ใจหนงึ่ เธอนกึ กลวั เพราะลกู ยงั เลก็ นกั รา่ งกระจอ้ ยรอ่ ย น้ีเพงิ่ ลืมตามาชน่ื ชมโลกไดไ้ มก่ ี่วนั ก็ต้องถูกเข็นกลบั เข้าไปห้องผ่าตัดอกี ครง้ั ถ้าผลการผา่ ตดั ไม่ส�ำเรจ็ จะ เกดิ อะไรขน้ึ … ความกลวั ถกู แทนทด่ี ว้ ยความอนุ่ ใจ เมอ่ื อาจารยม์ งคล เลาหเพญ็ แสง สาขาวชิ ากมุ ารศลั ยศาสตร์ ภาค วชิ าศลั ยศาสตร์ โรงพยาบาลศิรริ าชบอกว่า ลกู ของเธอจะปลอดภยั และกลับมาดูดนมเธอได้เป็นปกติ... นมแม่...แหล่งอาหารส�ำคญั ของลกู เปน็ ทที่ ราบกนั ดวี า่ นมแมเ่ ปน็ แหลง่ อาหารทม่ี คี ณุ คา่ มากทสี่ ดุ สำ� หรบั ลกู โดยเฉพาะในเดก็ วยั แรกเกดิ ถงึ 6 เดือน ท้ังสารอาหารท่มี ีประโยชน์ และภมู ติ า้ นทานโรค นอกจากนี้ ยังสะดวกและประหยัด ทสี่ �ำคัญ ระหว่างให้นมลูกน้ันเป็นช่วงเวลาคุณภาพที่ช่วยสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกให้แน่นแฟ้นย่ิงข้ึน คลินิก นมแม่ โรงพยาบาลศริ ริ าช จงึ รณรงคก์ ารใหน้ มแมอ่ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ปญั หาการเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแมจ่ งึ ลดนอ้ ยลง ทวา่ คลนิ กิ นมแมก่ ลบั พบปญั หาใหม่ นน่ั คอื คณุ แมจ่ ำ� นวนหนงึ่ ไมส่ ามารถใหน้ มลกู ได้ เนอ่ื งจากเดก็ มพี งั ผดื ใตล้ ิ้น โดยอาจารยม์ งคล กลา่ วถงึ เรอ่ื งนี้วา่ “ทางคลินิกนมแม่มาปรึกษาหน่วยงานเรา เร่ืองเด็กดูดนมมักจะใช้เหงือกงับหัวนมแม่ ท�ำให้แม่เจ็บ หวั นม บางรายถงึ ขั้นหัวนมเปน็ แผล แต่ ณ เวลานั้นเราไมม่ คี วามรู้ความช�ำนาญใน เร่อื งนี้ ปกตแิ ลว้ เราจะ รักษาเดก็ ทมี่ ีปัญหาพูดไมช่ ัด มปี ลายลิ้นตดิ ทำ� ให้มปี ัญหาในเรือ่ งออกเสียงพยญั ชนะ ร ล r และ l ซงึ่ มกั จะเปน็ ในเด็กโตอายุระหวา่ ง 2-4 ขวบ แตเ่ ม่อื คลนิ กิ นมแมม่ าขอค�ำปรึกษาเราก็ต้องชว่ ยกัน 100
“ระหวา่ งนั้นก็ไปศึกษาดวู ่า พังผดื ใต้ลน้ิ มผี ลทำ� ใหเ้ ด็กดูดนมไดไ้ ม่ดจี รงิ หรอื ไม่ โดยศึกษาจากวารสาร ที่เคยมีการศึกษามาแล้ว และลงพ้ืนท่ีไปดูเคสจริง ท่ีคลินิกนมแม่ว่าเด็กมีปัญหาดูดนมไม่ได้จริงหรือเปล่า จากการสังเกตกพ็ บวา่ เดก็ มีปัญหาในการดดู นมจริงๆ ซง่ึ การดูดนมตามธรรมชาตนิ นั้ เด็กจะยื่นลิน้ ออกไป ทีล่ านหัวนม แลว้ ใช้ปลายล้นิ รีดนำ�้ นมกลบั เขา้ ไปในปาก แตเ่ ดก็ ทม่ี ีพงั ผดื ใต้ลน้ิ จะยืน่ ลนิ้ ออกไปไมไ่ ด้ จงึ ใช้ เหงอื กงับหวั นมแมแ่ ทน ทำ� ใหแ้ มเ่ จบ็ บางคนหัวนมเปน็ แผลเลยก็มี” แมจ่ า๋ ...ท�ำไมหนูดดู นมแมไ่ มไ่ ด้ จากปญั หาดงั กลา่ ว ทำ� ใหแ้ มห่ ลายคนตดั สนิ ใจใหล้ กู ดดู นมจากขวดพลาสตกิ แทนการดดู จากเตา้ ตนเอง เพราะทนเจ็บไม่ไหว การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงเกดิ ความลม้ เหลว ในระหว่างนนั้ เรื่องพงั ผดื ใตล้ น้ิ ยงั เป็นประเด็นทีก่ ำ� ลงั ถกเถียงกันอย่ใู นวงการแพทย์ และยังหาขอ้ สรปุ ทีแ่ น่ชัดยังไมไ่ ด้ว่า พังผดื ใตล้ ิ้นสง่ ผลใหเ้ ด็กดูดนมไดไ้ ม่ดีจริงหรอื ไม่ เมอื่ รวบรวมขอ้ มลู ไดใ้ นระดบั หนงึ่ แลว้ จงึ นำ� มาปรกึ ษาเพอ่ื หาขอ้ สรปุ กบั ภาควชิ ากมุ ารเวชศาสตร์ แต่ เม่ือน�ำเรื่องนี้เข้าท่ีประชุมก็ถูกหลายฝ่ายท้วงติงว่า วิธีการดังกล่าวอาจจะไม่เหมาะสม เพราะการน�ำเด็ก ทารกแรกเกิดมาดมยาสลบเพ่ือผ่าตัดพังผืดใต้ลิ้นเป็นเรื่องท่ีค่อนข้างใหม่และเส่ียง แต่ถ้าคิดแง่ของ กมุ ารแพทย์ คือ การเส่ียงที่คุม้ คา่ โดยอาจารย์มงคลกลา่ ววา่ “ถา้ เราท�ำส�ำเร็จแมแ่ ละเดก็ จะได้รบั ประโยชน์มาก ซ่ึงเราตกลงรับหนา้ ทผ่ี ่าตัดให้ โดยใช้วิธกี ารรกั ษา เดยี วกบั เดก็ โตทเ่ี ราเคยทำ� มาแล้วได้ผล คือ ดมยาสลบ แต่เมอ่ื นำ� มาใช้จริงก็มปี ัญหา พอ่ แม่เดก็ ไม่เขา้ ใจ กลวั ว่าลกู จะเปน็ อนั ตราย ซ่ึงการรักษาแบบน้ี คือ ทางเลือก มนั ยังมวี ิธอี ่นื ๆ ทใ่ี ชแ้ ทนกันได้ เช่น ถา้ เด็กดดู นมแมไ่ ม่ได้ กใ็ ชว้ ิธดี ูดนมขวดแทน หรอื บีบนมแมใ่ ส่ขวดกไ็ ด้ ซง่ึ พ่อแมส่ ว่ นใหญเ่ ลอื กทจี่ ะให้ลูกดูดนมจาก ขวดแทน มจี ำ� นวนนอ้ ยมากท่เี ขา้ รบั การรกั ษา คอื 10 รายจะตัดสินใจทำ� แค่ 1 ราย เราก็มาปรึกษากันวา่ วิธกี ารน้ไี ม่นา่ จะได้ผล เพราะพอ่ แมส่ ว่ นใหญ่ไมย่ อมรบั และในทางปฏิบตั จิ รงิ ๆ ก็ทลุ ักทเุ ลมาก คือ ก่อนดมยาสลบ เดก็ ตอ้ งงดนมแมอ่ ยา่ งนอ้ ย 4 ชว่ั โมง ถา้ เป็นนมผสม ก็ตอ้ งงดอย่าง นอ้ ย 6 ชว่ั โมง หลงั ผา่ ตัดแลว้ จะยังกนิ นมไม่ได้ทันที ตอ้ งนอนให้น�ำ้ เกลอื ที่ โรงพยาบาล 1-2 วัน ถ้าแม่ คลอดทีโ่ รงพยาบาลเรา กต็ อ้ งค้างคนื อีก 2-3 วนั เราพยายามหาวิธีท่ีง่ายกว่านี้ โดยสังเกตจากการท่ีเราท�ำในเด็กโตมานาน จะเห็นว่าพังผืดใต้ลิ้นใน เดก็ เลก็ บางกวา่ มาก ในเดก็ โตยงิ่ ปลอ่ ยไวน้ านพงั ผดื กจ็ ะยงิ่ หนาตวั มากขน้ึ ถา้ เราตดั โดยทไ่ี มต่ อ้ งไปเยบ็ มนั จะใชไ้ ด้ไหม ถ้ามนั ทำ� ได้จริงเราก็จะใช้ยาชาเฉพาะท่ี เด็กก็ไม่ตอ้ งเสี่ยงดมยาสลบ” นายแพทย์มงคลกลา่ ว ต้องการหาค�ำตอบให้กับค�ำถามดงั กล่าว จึง ตอ้ งการวิจัยเปรียบเทยี บวิธกี ารรักษาพงั ผืดใต้ล้ินระหว่างการ ผ่าตดั โดยการดมยาสลบทท่ี �ำมาแตเ่ ดมิ (frenuloplasty) และการผ่าตัดโดยการใช้ยาชาเฉพาะท่ี (frenu- lotomy) ว่าจะสามารถแก้ปญั หาไดเ้ หมือนกันหรือไม่ เมื่อโครงงานวิจัยได้รับการอนุมัติเป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว อาจารย์มงคล รวบรวมทีมงานอันประกอบไป ดว้ ย แพทยห์ ญงิ โสภาพรรณ เงนิ ฉำ�่ สาขาวชิ าทารกแรกเกดิ ภาควชิ ากมุ ารเวชศาสตร์ และคณะทำ� งานจาก Care Team ของโครงการสง่ เสริมการเล้ียงลกู ด้วยนมมารดา โดยการผา่ ตัดพงั ผดื ใตล้ น้ิ ของทารกแรกเกิดที่ มีปัญหาในการดดู นมมารดาเนือ่ งจากพังผืดใต้ล้นิ ของโรงพยาบาลศริ ิราชเพอ่ื ร่วมท�ำงานวจิ ยั ดงั กลา่ ว ยาชาเฉพาะที่ ทางเลือกทปี่ ลอดภัยกว่า ในชว่ งที่รวบรวมเคสจำ� เปน็ ตอ้ งใชค้ นไขท้ ง้ั หมด 60 คน โดยแบง่ เป็น 2 กลุ่ม กล่มุ ละ 30 คน คือ กลมุ่ ดมยาสลบ และกลมุ่ ใช้ยาชาเฉพาะที่ ซ่ึงกล่มุ คนไข้ท่ีหายาก คอื กลมุ่ ดมยาสลบ พ่อแม่ส่วนใหญก่ ลัว วิธีดงั กลา่ ว เพราะเป็นวธิ ที ่ดี ูจะเปน็ อันตรายสำ� หรับทารกแรกเกิด การประชุมวิชาการนมแม่แหง่ ชาติ ครง้ั ที่ 6 101
“เราพยายามอธิบายให้พ่อแม่เด็กฟังว่า งานวิจัยน้ีมันจะเป็นประโยชน์ต่อลูกของเขาและเด็กคนอื่นๆ ซง่ึ กอ่ นทำ� การรกั ษาเราจะสง่ เดก็ แรกเกดิ 2-3 วันแรก ไปฝกึ ดดู นมแมท่ ค่ี ลนิ ิกประมาณ 3-4 วัน เพ่อื ให้ มั่นใจวา่ เดก็ มีปัญหาพังผืดใตล้ น้ิ ดดู นมไมไ่ ด้จรงิ ๆ จงึ จะท�ำการดมยาสลบแล้วผา่ ตดั สว่ นกรณีใชย้ าชาเฉพาะท่ีนั้นเดก็ ไมต่ ้องงดนมกอ่ นเขา้ ห้องผา่ ตดั เม่ือผ่าตดั เสรจ็ เด็กสามารถดดู นมได้ ทันที แมล่ กู กลับบา้ นไดเ้ ลยโดยไมต่ อ้ งนอนคา้ งโรงพยาบาล หรือ ในกรณที โ่ี รงพยาบาลอื่นส่ง case มาให้ เราผ่าตัดในตอนเช้า กก็ ลบั บ้านไดเ้ ลยในตอนเยน็ เม่ือนำ� ผลการรักษาท้ัง 2 วิธมี าเปรียบเทยี บกนั กพ็ บว่า การใช้ยาชาเฉพาะทส่ี ะดวก รวดเร็ว ลดอตั รา เส่ียงจากการดมยาสลบ และที่ส�ำคัญคือลดค่าใช้จ่าย ซึ่งสมัยน้ันค่ารักษาพยาบาลด้วยการดมยาสลบ ประมาณ 2,000 กวา่ บาท แต่การใชย้ าชาเฉพาะท่รี าคาจะประมาณ 200-300 บาท หลังจากนั้นมาเราก็ น�ำวธิ ีการนมี้ าใช้ เพราะเป็นการแกป้ ัญหาอย่างทนั ทว่ งที” อาจารย์มงคลอธบิ าย Care Team Tongue Tie การใช้ยาชาเฉพาะที่เร่ิมได้รับความนิยมเพ่ิมมากข้ึน จากที่เคยมีคนไข้เดือนละ 1-2 ราย เพ่ิมเป็น 50-100 รายตอ่ เดอื น ซง่ึ ภาระการทำ� งานของภาควชิ าศลั ยศาสตรก์ เ็ พม่ิ มากขน้ึ ตามไปดว้ ย แตบ่ คุ ลากรยงั เทา่ เดิม จงึ มีการรวบรวมคนท่ีสนใจเรือ่ งนี้มาร่วมงานกัน ซ่ึงประกอบไปดว้ ยภาควิชาสตู ิ-นรเี วช ภาคกมุ าร เวชศาสตร์ และภาควิชาศัลยศาสตร์ รวมกล่มุ กันขน้ึ เรียกวา่ แคร์ทมี (Care Team) โดยอาจารยม์ งคล อธบิ ายถงึ วัตถปุ ระสงค์ในการรวมกลุม่ ของทมี แคร์ใหฟ้ ังวา่ “ศริ ริ าชสนบั สนุนใหเ้ ราตง้ั แครท์ มี ขนึ้ มาเพอื่ ทำ� งานร่วมกนั โดยมจี ดุ ประสงคเ์ พ่ือจะแกป้ ญั หาเดก็ ทด่ี ูด นมไม่ไดเ้ นือ่ งจากมีพังผืดเกาะท่ใี ตล้ ้ิน เราก็ทำ� Guide line ออกมา เชน่ ถา้ สตู ิ-นรีเวชมีปญั หา กส็ ง่ ต่อมา ทคี่ ลนิ กิ นมแม่ หรอื ถา้ คลนิ กิ นมแมแ่ กป้ ญั หาไมไ่ ดก้ ส็ ง่ มาทศี่ ลั ยศาสตร์ ซง่ึ วธิ นี ท้ี ำ� ใหเ้ ราไมต่ อ้ งทำ� งานซำ้� ซอ้ น เหมอื นในอดตี แมว้ า่ บคุ ลากรของเราเทา่ เดมิ แตส่ ามารถรกั ษาคนไขไ้ ดเ้ พม่ิ ขนึ้ เดอื นละประมาณ 80-100 คน” นายแพทย์มงคลกล่าว จากท่ีเคยกังวลว่าอาจเกิดปัญหารุนแรงข้ึนกับเด็กในตอนแรก เมื่อผลการรักษาได้ผลดีและมีความ ปลอดภัย ความกงั วลหมดไป “พังผดื ของเด็กมันแผ่นบางมาก เม่อื ทำ� การผา่ ตดั จงึ ไมเ่ กิดผลข้างเคียงใดๆ โดยเฉพาะเร่อื งเลือดออก ทกี่ งั วลกนั มากก็ไม่มี และเพอ่ื รกั ษาประสทิ ธิภาพการรักษาของหน่วยงานเอาไว้ แคร์ทมี จึงมีการประชุมกนั อย่างสม่�ำเสมอ โดยมีการต้ังค่าช้ีวัด KPI เพ่ือวัดระดับประสิทธิภาพความส�ำเร็จของการท�ำงาน ซึ่งเรา สามารถรกั ษาคา่ KPI ทกุ ตวั ไวท้ ร่ี ะดบั >90% มาตลอด สว่ นในเรอ่ื งของการประชาสมั พนั ธ์ เราแทบไมต่ อ้ ง ทำ� อะไรเลย เพราะมกี ารบอกปากตอ่ ปากอยแู่ ลว้ วา่ ทำ� แลว้ ไดผ้ ล ระยะเวลาในการรกั ษากส็ น้ั ลง พอ่ แมเ่ ดก็ แคต่ ัดสนิ ใจว่าทำ� หรือไมท่ �ำแค่นนั้ เอง ส่วนอีกประมาณ 10% ทย่ี ังเป็นปญั หาอยนู่ ้นั พบวา่ ข้นึ อยกู่ บั ปจั จยั อนื่ ๆ เช่น แรงดูดของเด็ก ลาน นมแมไ่ มด่ ี และคนทมี่ าทำ� ชา้ คอื กลบั บา้ นไปแลว้ มปี ญั หาแลว้ กลบั มาทำ� บางคนหวั นมเปน็ แผลไปแลว้ กม็ ”ี อาจารย์มงคลกลา่ ว ปัญหาพังผืดเกาะใตล้ ้นิ ไมเ่ พียงแต่ทำ� ให้เด็กไมส่ ามารถดดู นมได้ตามปกติ หรือ หวั นมแม่แตกเปน็ แผล จากการขบของลกู เทา่ นน้ั เดก็ บางคนยงั ประสบปญั หาน้ำ� หนักตัวลดเพราะไมส่ ามารถดูดนมแม่ได้ ซึง่ เป็น เร่อื งน่าเป็นหว่ ง ทางทมี แคร์จึงคดิ หาเคร่อื งมอื มาชว่ ยในการทำ� งานวิจยั ที่สามารถวดั ได้ในครง้ั แรกเลยวา่ เดก็ คนไหนมีปญั หาเร่ืองการดูดนมแม่ “เรากลบั ไปคน้ ดเู ครอื่ งมอื เกา่ ๆ แตไ่ มม่ เี ครอ่ื งมอื ตามทเี่ ราตอ้ งการ มเี ครอ่ื งมอื 2 ตวั ทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ แยกกัน คือ เครอ่ื งมือที่ดปู ระสิทธิภาพการดูดนม และเครอื่ งมือดูความรุนแรงของพงั ผดื ใตล้ นิ้ แตย่ งั ไมเ่ คย มเี ครื่องมอื การดูประสิทธภิ าพการดดู นมกบั ดูความรุนแรงของพังผดื ใตล้ น้ิ ในเคร่ืองเดียวกัน ซ่ึงเครื่องมอื ที่ 102
ดพู งั ผดื ใตล้ น้ิ กม็ ขี นั้ ตอนทย่ี งุ่ ยากมาก ผมคดิ วา่ เครอ่ื งมอื ทเ่ี ราจะนำ� มาใชง้ านอะไรกแ็ ลว้ แตต่ อ้ งไมซ่ บั ซอ้ นยงุ่ ยาก เพราะคนทต่ี อ้ งใช้เคร่ืองมอื นีค้ อื พยาบาล เราก็อยากให้เขาสามารถน�ำไปใชง้ านได้ง่ายๆ และสะดวก” คุณหมออธบิ าย เครอื่ งมอื ทนี่ ายแพทยม์ งคลกลา่ วถงึ นนั้ ประกอบไปดว้ ยการใหค้ ะแนนความรนุ แรงของพงั ผดื ใตล้ นิ้ การ ใหค้ ะแนนลกั ษณะลานหวั นมแม่ และการใหค้ ะแนนจากความรู้สึกของแม่ขณะท่ีลูกดูดนม มชี อื่ ว่า Siriraj Tongue Tie Score (STT Score) ก�ำเนดิ SIRIRAJ TONGUE-TIE SCORE (STT Score) “เนอ่ื งจากมนั เปน็ การผา่ ตดั ชนดิ ใหมผ่ มกก็ ลวั วา่ มนั จะเกดิ อนั ตรายกบั เดก็ จงึ ทำ� อยคู่ นเดยี ว ยงั ไมไ่ วใ้ จ ให้ใครท�ำ แล้วผมก็มานั่งวิเคราะห์ดูว่า มันน่าจะมีความสัมพันธ์กันระหว่างหัวนมแม่กับพังผืด หมายถึง function ในการดดู นม เดก็ บางคนมพี งั ผดื เยอะ แตด่ ดู นมไดด้ ไี มม่ ปี ญั หา เมอื่ ไปดหู วั นมแม่ ปรากฏวา่ หวั นม แมด่ ี แมเ่ องก็บอกวา่ ไม่เจ็บเลย เด็กสามารถยน่ื ลิ้นมาถึงลานหวั นมได้ โดยไมใ่ ชเ้ หงอื กงบั หัวนม เห็นได้ชดั วา่ มนั มคี วามสมั พันธ์กันระหวา่ งลักษณะลานนมแม่ ลักษณะพังผดื ใต้ล้ิน และความรสู้ ึกของ แมข่ ณะลูกดูดนม ถ้าเอา 3 กรณีนม้ี าเปรยี บเทยี บกันไดน้ า่ จะดี เชน่ จับครู่ ะหวา่ งหวั นมแมด่ ี เดก็ พงั ผืด เยอะ แต่กด็ ดู นมได้ ไม่มปี ัญหา เด็กบางคนพงั ผดื นดิ เดียวแตไ่ ปจบั คกู่ ับหัวนมไม่ดี ก็ดดู ไม่ไดเ้ ลย แต่กรณที ี่ หวั นมกไ็ มด่ ี พงั ผดื เยอะ แบบนก้ี จ็ ะยงิ่ แย่ ถา้ เราเอา 3 เรอ่ื งนม้ี าสมั พนั ธก์ นั และคดิ เปน็ คะแนนขน้ึ มา โดยที่ เอากรณที ่ีรนุ แรงมากๆ ใหค้ ะแนนน้อยๆ เช่น พงั ผืดเยอะๆ ให้ 1 คะแนน หวั นมไม่ดีให้ 1 คะแนน พังผดื นอ้ ย ดดู ได้ตามปกตกิ ็ใหค้ ะแนนเยอะๆ หัวนมดีกใ็ ห้คะแนนเยอะๆ แตต่ ัวช้ีวัดประสิทธภิ าพการดดู นมวา่ ดี หรือไมน่ ั้น คือความรู้สึกของแม่เวลาลูกดดู นม พบวา่ ที่ดที ีส่ ุดคือ ลนิ้ อยูท่ ี่ลานหวั นมตลอด และทแ่ี ยท่ ี่สดุ คือ ไม่มีลน้ิ เลย เหงือกงบั ลานหัวนมตลอด คนทด่ี ที สี่ ดุ ก็จะได้ 10 คะแนน คนทแี่ ย่ท่ีสุดก็จะได้ 2 คะแนน ท่ีเหลอื กจ็ ะอย่รู ะหว่าง 2-10 คะแนน เรากเ็ อาคะแนนมาดูว่าใชไ้ ด้ไหม” จากทฤษฎีสูภ่ าคปฏบิ ตั ิ เนื่องจากการวิจัยท�ำในเด็กจ�ำนวน 1,500 ราย ทั้งยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ที่ยังไม่มีใครมีความรู้ เร่ืองนี้เลย ก่อนลงมือท�ำจึงต้องมีการวางแผนเป็นอย่างดี โดยคัดเลือกพยาบาลท่ีเป็นตัวแทนของแต่ละ วอรด์ รวมกนั ประมาณ 50-60 คน เพอ่ื มาเกบ็ ข้อมูล จากนนั้ ก็เปดิ อบรมทมี งานกอ่ นวา่ ต้องทำ� ยงั ไงบา้ ง โดยสอนแบบตวิ เข้มใหเ้ ห็นวิธกี ารดูและการวัด การสงั เกตการณ์ในหอ้ งผา่ ตดั และการให้คะแนนจรงิ ๆ “เราจะเกบ็ ขอ้ มูลของเด็กทุกคนท่คี ลอดในขณะน้ัน สว่ นหนง่ึ เป็นการอบรมวิธีการ (ทฤษฎ)ี อีกสว่ น หนงึ่ เป็นการทำ� จรงิ (ภาคปฏิบตั ิ) และถ้าทำ� จรงิ จะให้ท�ำ 2 คร้งั เป็นอย่างน้อย กอ่ นอืน่ ให้ไปดูก่อนท�ำการ รกั ษา เพอื่ ใหค้ ะแนน และอกี 7 วันหลังจากเด็กกลับมา ก็ให้คะแนนเด็กอกี ครั้ง และได้ lecture ใหญ่ 1 คร้ัง สรุปคือ ทมี งานแตล่ ะคนต้องผ่านการอบรมทง้ั หมด 3 ครงั้ เคสที่เราเก็บ คือ คนไข้ที่หมอขอตรวจได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กท่ีคลอดในศิริราช โดยเราจะประเมิน คะแนนกอ่ นวา่ แต่ละรายได้คะแนนเทา่ ไหร่ ซึ่งเราจะเก็บเปน็ ความลบั และไปคดั ดูวา่ เดก็ คนไหนทค่ี วรส่งไป รกั ษาบ้าง และเอามาดูผลการรกั ษาว่า ได้คะแนนเท่าไหร่ ซึ่งจะรผู้ ลภายใน 1 สปั ดาห์ เมอ่ื เก็บคะแนนเรียบร้อยแล้วแครท์ มี ก็จะน�ำคะแนนมาเทียบกนั วา่ เดก็ แตล่ ะคนได้คะแนนเท่าไหร่ โดย แต่ละตัวเลขจะมีประสิทธิภาพต่างกัน ย่ิงถ้าได้ตัวเลขสูงๆ ประสิทธิภาพของการดูดนมจะดี และก็พบว่า ตวั เลขที่เรายอมรบั ได้คอื 8 แต่ถา้ ต่ำ� กวา่ 8 จะเรมิ่ มปี ัญหา ตอ้ งรีบให้การช่วยเหลอื ถ้าชว่ ยเหลือแลว้ ดขี น้ึ กไ็ มต่ อ้ งทำ� อะไรต่อ แตถ่ ้า 8 ขน้ึ ไปสบายใจได้ ไมต่ ้องไปยงุ่ อะไรเลย เพราะเด็กสามารถดดู นมได้ดี แต่ตอนนั้นเราต้องการจะหา point ตรงที่ว่าเด็กคนไหนท่ีต้องผ่าตัดแน่นอน ซึ่งถ้าประเมินน้อยกว่า 4 มกั จะต้องทำ� การผ่าตัด แตจ่ ำ� นวนไมม่ ากเมือ่ คิดเป็นเปอร์เซน็ ต์จากจ�ำนวนคนทัง้ หมดทีเ่ ข้าทดลอง ซ่ึง แน่นอนวา่ คนทีไ่ ด้นอ้ ยกว่า 4 ประมาณ 1+1+0=2, 1+2+0=3 คอื คนทม่ี ีพงั ผืดเยอะและหัวนมของแมก่ ็ตอ้ ง มีปัญหาด้วย แตแ่ ม่ลกู ทีม่ ีมากจนไดค้ ะแนนน้อยกวา่ 4 มไี มม่ ากนกั จึงท�ำให้ค�ำนีย้ งั ไมม่ ีนยั ส�ำคญั ทางสถิติ การประชุมวิชาการนมแม่แหง่ ชาติ คร้งั ที่ 6 103
เราป้องกันการอคติด้วยการให้คนประเมินเก็บคะแนนเป็นความลับ ไม่มีใครรู้ว่าใครได้คะแนนเท่าไหร่ เราจะหาจังหวะด้วยว่าจังหวะไหนจะดีที่สดุ ทจ่ี ะทดสอบเครอ่ื งมือนี้ เชน่ ประเมินหลังคลอดทนั ทนั ที และ ประเมนิ หลงั คลอด 24 ชว่ั โมง พบวา่ การประเมนิ หลงั คลอดใชไ้ มไ่ ด้ เพราะแมอ่ าจจะยงั มอี าการสะลมึ สะลอื จากการคลอด เด็กเองกอ็ าจจะยงั ไม่พรอ้ ม เพราะฉะน้ัน จงั หวะทด่ี ที ส่ี ดุ คือ 24 ชว่ั โมงหลังคลอด ซ่ึงจาก การให้คะแนนของพยาบาลทุกคนก่อนที่จะท�ำการวิจัย พบว่าทุกคนให้คะแนนไปในทิศทางเดียวกัน พอ คำ� นวณออกมาแลว้ ดี” SIRIRAJ TONGUE-TIE SCORE (STT SCORE) จกุ ยางหรอื จะสูน้ มแม่ ในมมุ มองของอาจารยม์ งคลเหน็ วา่ ปญั หาภาวะลนิ้ ตดิ กบั การดดู นมแมไ่ มไ่ ดน้ นั้ เปน็ ปญั หามานานแลว้ เนือ่ งจากถูกละเลย จึงไมไ่ ดร้ บั การแกไ้ ขเสยี ที “มีคนต้ังขอ้ สังเกตว่า ถ้ามองย้อนกลับไปในสมยั ทีย่ งั ไม่มีขวดนม ท�ำไมเดก็ ทมี่ พี ังผดื ถงึ ดูดนมแมไ่ ดล้ ่ะ ผมคิดว่าก็คงมปี ัญหานั่นแหละ แมอ่ าจเจบ็ หัวนม หัวนมแตก หัวนมเปน็ แผล แต่แม่ก็อาจจะทนๆ เอา เจ็บ ปวดแคไ่ หนก็ทนเอา ถา้ ดูดไมไ่ ด้ดี ทารกกไ็ มอ่ ยากดดู เม่ือพฒั นามาสู่ยคุ ที่มขี วดนม พอแม่ทนไม่ไดก้ ใ็ ห้ลูกไปกินนมผสมจากขวดแทน ซ่งึ มันช่วยไดใ้ นระดบั หนง่ึ แตม่ นั เทยี บเทา่ นำ�้ นมแมไ่ มไ่ ด้ คอื ตอ้ งทำ� ความเขา้ ใจกอ่ นวา่ นำ�้ นมแมต่ อ้ งถกู กระตนุ้ ดว้ ยการดดู จงึ จะ คงอยู่ไดน้ าน 6 เดือนถึง 1 ปี แต่ถ้ากระตุ้นด้วยการบีบมันจะอย่ไู ด้ไมน่ าน 2-3 เดอื นนำ้� นมกจ็ ะแห้งไป ยงั ไงการดูดนมจากขวดก็ทดแทนการดูดจากเตา้ ไมไ่ ด้ คงเหมือนกับการคลอดลูก บรรพบุรุษเราในอดีตก็เบ่งคลอดตามธรรมชาติ แต่ท�ำไมเมื่อเทคโนโลยี กา้ วหนา้ การผา่ ตดั ทำ� คลอดถงึ ไดร้ บั ความนยิ มขนึ้ เรอ่ื ยๆ ละ แสดงวา่ มนั ตอ้ งมอี ะไรบางอยา่ งผดิ ปกตทิ คี่ ลอด ดว้ ยวิธธี รรมชาตไิ มไ่ ด้ ถา้ เบง่ ไม่ออกเดก็ ก็เสียชีวิตไป คือ ถา้ มเี รือ่ งของเทคโนโลยมี าช่วยมันอาจจะช่วยใน เรอ่ื งของการลดอตั ราการตายของเดก็ ทารกจากการคลอดได้ ในกรณดี ดู นมกเ็ หมอื นกนั ”อาจารยม์ งคลอธบิ าย สรุปคือ เราท�ำการผ่าตดั ในเด็กทม่ี ีปญั หาเร่ืองการดดู นมไม่ไดเ้ ท่าน้นั ถา้ ในเดก็ ทม่ี พี งั ผดื เยอะ แตย่ ัง สามารถดูดนมแม่ไดเ้ รากจ็ ะไม่ผ่าตดั และเคร่อื งมอื นจ้ี ะสามารถช่วยเราวินจิ ฉยั ได้วา่ คนไข้กลุม่ ไหนท่ีควร ได้รับการผ่าตดั กลุม่ ไหนไม่มีปัญหาเรากไ็ ม่ทำ� เครื่องมือน้ี คือ เคร่อื งมือวัดปัญหาการดูดนมของเดก็ ความจริงอาจไม่ใช่ปัญหาเรอื่ งพังผดื หรือเรอ่ื ง ลานหวั นมแม่ แต่อาจะเปน็ ปัญหาการอ้มุ ลูกไม่ถกู วิธี เพราะบางคนเปน็ แม่ครั้งแรก ไมเ่ คยมีประสบการณ์ ในการเลี้ยงลูก ซึ่งถ้าเราให้ความช่วยเหลือในเรื่องของ position เขาก็จะสามารถผ่านปัญหาน้ีไปได้อย่าง สบาย แถมไมต่ อ้ งมคี วามเจบ็ ปวดจากการถกู ลกู งบั ลานหวั นม ไมต่ อ้ งมปี ญั หาหวั นมแตก หรอื เจบ็ ปวดดว้ ย แต่ถ้าเราไม่ชว่ ยเหลอื เด็กกจ็ ะงบั ดดู นมแบบผดิ วิธี หรอื ใช้เหงอื กงบั หวั นมแม่ และทำ� ให้เดก็ ดดู นมได้ไม่ดี ทง้ั ที่ความจรงิ น่าจะดูดไดด้ ”ี 104
แม่สขุ ลกู อมิ่ ...รางวัลที่ประเมนิ ค่าไม่ได้ ความส�ำเร็จที่ได้รับจากการท�ำวิจัยในคร้ังนี้ นอกจากจะช่วยยกระดับการท�ำงานของหน่วยงานท่ี เก่ยี วข้องใหม้ มี าตรฐานข้ึน ผปู้ ว่ ยได้รับประโยชน์ทัง้ แม่และเด็กแล้ว ยงั นำ� มาซง่ึ ความภาคภูมิใจของทมี งาน โดยนายแพทย์มงคลในฐานะหัวเรอื ใหญ่ถือโอกาสน้ีพดู ถงึ ความรู้สึกของทมี งานทกุ คนวา่ “การไดเ้ ห็นเดก็ กลบั มาดดู นมแม่ได้เป็นปกติ ได้เห็นปฏิกริ ิยาทด่ี จี ากแม่ เชน่ ลกู ดูดนมดีข้นึ มาก หาย เจบ็ นมแลว้ มคี ณุ แมค่ นหนงึ่ บอกวา่ ผลการรกั ษาดมี ากเลย ตอนแรกกลวั วา่ ลกู จะไดร้ บั อนั ตราย แตเ่ มอ่ื ทำ� เสร็จแล้วลูกปลอดภัย และดูดนมได้ดี การได้เห็นงานวิจัยท่ีเราร่วมกันท�ำมันสามารถน�ำไปใช้ได้ประโยชน์ และเหน็ ผล ผมวา่ มนั ช่ืนใจ ทมี งานทกุ คนดใี จกบั ผลงานท่ีมนั สำ� เรจ็ โดยเฉพาะคลนิ ิกนมแม่ เพราะเขารสู้ ึกว่าเขามาหาเราแลว้ ได้ รบั การชว่ ยเหลอื และเปอรเ์ ซน็ ตก์ ารดดู นมของเดก็ กด็ ขี น้ึ มาก ตอนนคี้ ลนิ กิ นมแมก่ ก็ ลายเปน็ ศนู ยฝ์ กึ อบรม ของศริ ริ าชไปแลว้ เราอยากให้เดก็ กนิ นมแม่ไปใหน้ านทส่ี ุดเท่าท่ีจะเปน็ ไปได้ เราเคยตดิ ตามผลแบบตอ่ เนื่องวา่ เด็กทเ่ี ราเคยรักษาสามารถกลบั ไปดูดนมไดน้ านเทา่ ไหร่ พบว่าดูด ได้นานเกินกวา่ 1 เดอื นเปน็ อยา่ งนอ้ ย กค็ ิดเปน็ 70-80% เรากด็ ีใจ และน�ำมาบอกทมี ของเราด้วยวา่ สง่ิ ที่เราร่วมใจกันท�ำ มันเป็นส่ิงท่ีมีคุณค่าท่ีได้ช่วยเหลือเพ่ือนมนุษย์ มันเป็นค่าตอบแทนท่ีมีค่าต่อจิตใจมาก ทุกคนภูมใิ จ ทำ� ให้เราเห็นวา่ ความสขุ ใจมันไมส่ ามารถวัดออกมาเป็นตวั เงินได้ ทกุ คนมองไปในจดุ เดยี วกนั วา่ งานท่ที �ำนั้นมนั สามารถชว่ ยยกระดบั ของการพัฒนางานของศริ ริ าช เป็นประโยชน์กับประเทศไทย” ปจั จบุ นั ศริ ริ าชมคี ลนิ กิ ดแู ลเฉพาะพงั ผดื ใตล้ น้ิ อยา่ งครบวงจร ทำ� การผา่ ตดั รกั ษาชว่ ยใหท้ ารกทม่ี ปี ญั หา กลบั มาดดู นมไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ โดยปลอดภัยไปมากกวา่ 30,000 ราย และยงั เปน็ สถานท่ีฝึกอบรม บคุ ลากรทกุ ระดบั ออกไปรบั ใชส้ งั คมไทย ชว่ ยเหลอื สง่ เสรมิ การเร่ืองลกู ดว้ ยนมมารดา อย่างต่อเนื่อง หลังจากหลับป๋ยุ ไปหลายชวั่ โมง ร่างกระจ้อยร่อยทน่ี อนซกุ ตัวอยใู่ นผ้าหม่ อุ่นก็เริ่มรสู้ กึ ตัว ไม่นานนัก กส็ ง่ เสียงรอ้ งไหจ้ ้า มือน้อยปา่ ยเปะปะไปมาในอากาศราวกบั ตอ้ งการบอกว่า “แม่จ๋า...หนหู ิว” คุณแมม่ อื ใหม่ประคองกอดลูกนอ้ ยไว้ในอ้อมแขนด้วยความทะนถุ นอม หลังจากลูกถกู เข็นออกมาจาก หอ้ งผา่ ตดั เธอแทบจะอดทนรอไมไ่ หวทจ่ี ะใหล้ กู กนิ นม เมอื่ เจา้ ตวั นอ้ ยสง่ สญั ญาณใหร้ วู้ า่ หวิ เธอไมร่ อชา้ รบี จัดแจงใหล้ ูกน้อยดดู นมในทา่ ทเ่ี หมาะสมและถูกต้องตามทีพ่ ยาบาลคลินิกนมแม่เคยแนะน�ำ เจ้าตัวนอ้ ยคอ่ ยๆ ยน่ื ล้ินเล็กๆ ออกไปพร้อมกับอมงบั ลานหัวนม ก่อนจะใชล้ น้ิ รดี น�้ำนมกลบั เขา้ ไปใน ปากเสียงดงั จบุ๊ ๆ หนูน้อยจ้องมองผู้เปน็ แมต่ าแป๋ว หญงิ สาวมองลกู นอ้ ยดว้ ยความตน้ื ตนั นกึ ขอบคณุ อาจารยม์ งคล เลาหเพญ็ แสงและทมี งานทชี่ ว่ ยรกั ษา ลกู ของเธอให้หายจากอาการพังผืดใตล้ ้นิ และกลับมาดูดนมได้ปกตเิ หมอื นเด็กคนอ่ืนๆ เหนอื ส่ิงอนื่ ใด เธอรู้สึกอ่มิ ใจทไ่ี ด้ปอ้ นนมลูกจากอกอนุ่ ของเธอเอง... การประชมุ วิชาการนมแม่แหง่ ชาติ ครงั้ ท่ี 6 105
Highlight Breastfeeding Resource ศาสตราจารย์ คลินกิ พญ. ศริ าภรณ์ สวสั ดิวร เลขาธิการคณะกรรมการศนู ยน์ มแม่แห่งประเทศไทย เมือ่ เร่มิ ตน้ ในการจดั กำ� หนดการประชมุ วิชาการนมแม่แหง่ ชาตคิ ร้งั น้ี ทีป่ ระชมุ เห็นวา่ มูลนธิ ศิ นู ยน์ ม แมแ่ หง่ ประเทศไทย มีขอ้ มูลบทความ สือ่ ส่ิงพิมพ์ ชุดนำ� เสนอ video you tube ฯลฯ ทมี่ กี ารจดั ท�ำหรือ ประสานการจัดทำ� โดยมลู นิธศิ นู ยน์ มแม่ฯ ในระหวา่ ง 14 ปที ผี่ า่ นมาเปน็ จำ� นวนมาก ที่อยใู่ นแหล่งสืบคน้ ใหญข่ องมลู นธิ ฯิ 2 แหล่ง คือ ในเวบ็ ไซต์ และในคลังข้อมูลดจิ ทิ ลั ซึง่ นา่ จะนำ� มาเผยแพร่ให้กับผเู้ ข้าประชมุ ไดเ้ ลอื กพจิ ารณานำ� ไปใช้ ขอ้ มลู ดงั กลา่ วหลายเรอ่ื งยงั เปน็ กลมุ่ Highlight คอื ยงั คงทนั สมยั และเปน็ ประเดน็ ทเี่ ปน็ ทสี่ นใจของการทำ� งานในการสง่ เสรมิ ปอ้ งกนั และปกปอ้ งการเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่ เพอ่ื จะไดเ้ กดิ การใช้ ข้อมูลอยา่ งคุม้ คา่ ถา้ ดเู ปน็ รายปี จะพบชดุ ส่อื ความรู้ ท่ผี ลิตตามกจิ กรรมของมูลนธิ ใิ นปีนน้ั ๆ และเม่อื แยก เปน็ หมวดหมู่ เชน่ หมวดจดหมายขา่ วศนู ยน์ มแม่ หมวดตำ� รา หมวดทบทวนวชิ าการ หมวดหนงั สอื ประกอบ การประชุมประจ�ำปี หมวดแผ่นพบั ฯลฯ กจ็ ะไดเ้ ห็นชุดข้อมูลทีส่ ามารถเปรียบเทยี บระดบั การพัฒนางาน ดา้ นนมแม่ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี สามารถน�ำมาปรบั ใช้เผยแพรต่ อ่ ได้ โดยไม่ตอ้ งเสยี เวลาเร่ิมตน้ ทำ� ใหม่ท้ังหมด อยา่ งไรกต็ าม เมอื่ ทดลองสบื คน้ ในจกั รวาลของ social media พบวา่ ปจั จบุ นั แหลง่ สบื คน้ เรอ่ื งนมแม่ มมี ากมายและเป็นไปอย่างไรพ้ รมแดน ถ้าจะให้ความหมายของ Highlight Breastfeeding Resources ทเ่ี น้นความน่าเชอื่ ถือของแหลง่ ข้อมลู เปน็ ส�ำคญั ผ้เู ขยี นจึงไดร้ วบรวม เทา่ ท่ีมปี ระสบการณก์ ารสบื คน้ และ จะลงรายละเอยี ดในบางแหล่งสืบคน้ ทผ่ี ูเ้ ขียนมปี ระสบการณ์ ในการเข้าไปใช้บรกิ าร ดงั นี้ 1. เวบ็ ไซตศ์ นู ยน์ มแมแ่ ห่งประเทศไทย www.thaibf.com เรม่ิ เปดิ ตวั ครง้ั แรกเมอ่ื พ.ศ. 2548 ในชอื่ www. thaibreastfeeding.com โดยมี พญ.ปยิ าภรณ์ บวรกรี ติขจร หรอื คุณหมอหวาน อดตี เว็บมาสเตอร์ เป็นผบู้ กุ เบิกและท่มุ เทการท�ำงานดา้ นนมแม่ ออนไลนเ์ ปน็ ทา่ นแรก (คณุ หมอหวานไดน้ ำ� คำ� ถามจากกระทมู้ ารวบรวมเปน็ หนงั สอื นมแม่ 50 คำ� ถาม ยอดฮติ ซงึ่ ทา่ นไดเ้ ปน็ บรรณาธกิ ารหลกั ดว้ ย) ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2551 ไดเ้ ปลย่ี นรปู แบบ และเปลยี่ นชอื่ เปน็ www.thaibreastfeeding.org เพม่ิ ความสะดวกในการเขา้ ถงึ คณะกรรมการเวบ็ ไซตใ์ นระยะหลงั กไ็ ดส้ บื ทอดเจตนารมณ์ คุณหมอหวาน ปรับปรงุ โครงสรา้ งอยา่ งตอ่ เนื่อง จนลา่ สดุ ในปนี ้ี เวบ็ ไซตม์ กี ารปรบั ปรงุ โครงสรา้ ง และมกี ารปรบั เปลยี่ นรปู แบบใหม่ ซงึ่ ทำ� ใหย้ งิ่ งา่ ย ต่อการเข้าถึงขอ้ มลู ขอ้ มูลถูกจดั เกบ็ อย่างเป็นระบบ มีความทันสมยั และสะดวกต่อการเข้าถึงข้อมลู ไดร้ บั ความรว่ มมอื จากผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นการสอ่ื สาร กลมุ่ แมผ่ เู้ ชยี่ วชาญในการสอื่ สารผา่ นเวบ็ ไซต์ www. thaibf.com เปิดใชง้ านเมอ่ื 1 ตลุ าคม 2560 สามารถแสดงผลผ่านทางโทรศัพท์มือถอื แทบ็ เลต็ โนต้ บคุ๊ และคอมพวิ เตอรพ์ ซี ี ได้ และมไี อคอนลงิ คไ์ ปสู่ Facebook/Thaibf, YouTube มลู นธิ ศิ นู ยน์ มแม่ แห่งประเทศไทย Instagram thaibreastfeedingcenter เวบ็ ไซต์จะเน้นการส่ือสารกบั กลุ่มแมแ่ ละประชาชนทัว่ ไป โดยจะมี ขอ้ มูลที่จะช่วยแม่ มีความรู้ และเข้าใจวิธีการให้นมแม่ได้ส�ำเร็จ ตั้งแต่เร่ืองคุณค่าของน้�ำนมแม่ รู้ก่อนให้นม เริ่มให้นม ค�ำถาม 106
พบบอ่ ยหลงั คลอด พฒั นาการเดก็ สทิ ธปิ ระโยชนท์ างกฎหมาย และมจี ดุ เดน่ คอื การสอ่ื สารจากกลมุ่ แม่ อาสา บทความถกู จดั เกบ็ เปน็ หมวดหมู่ คอื หมวดสำ� หรบั ประชาชน หมวดกลมุ่ บคุ ลากรทางการแพทย์ และชุดสือ่ การศกึ ษา ภายในมีข้อมูลหลากหลาย สามารถน�ำไปปรบั ใชไ้ ดอ้ ย่างสะดวก นอกจากนั้นยัง สามารถเชอ่ื มตอ่ กบั แอปพลเิ คชนั เลยี้ งลกู ดว้ ยนมแม่ ซงึ่ ใหค้ วามรเู้ กยี่ วกบั การเลย้ี งลกู นอ้ ยดว้ ยนมแม่ ทท่ี นั สมยั และมปี ระโยชนม์ าก คอื แอพพลเิ คชน่ั Moom Mae สนบั สนนุ โดย NECTEC มขี อ้ มลู รวบรวม ห้องใหน้ มแม่ ตามหา้ งสรรพสนิ คา้ โรงพยาบาล หรือสถานทพ่ี กั ผอ่ น สำ� หรับครอบครวั และมีแบบ บนั ทกึ การให้นมแก่ลกู ด้วย ในแอพพลเิ คชน่ั ดงั กล่าว สามารถค้นหาคลนิ กิ นมแม่ ท่วั ประเทศ ได้โดย แบ่งกลมุ่ ของกรงุ เทพฯ และ 6 ภาค มีเบอรโ์ ทร แผนที่ผ่าน Google Map เพ่ือใหส้ ามารถสืบค้นและ ตดิ ตอ่ รับบริการไดโ้ ดยสะดวก บคุ ลากรสาธารณสขุ สามารถสบื คน้ บทความและงานนำ� เสนองานประชมุ วชิ าการนมแมแ่ หง่ ชาติ งานมลั ตมิ เี ดยี สอ่ื ต่างๆ อบี คุ๊ และ อีแมกกาซีน ไว้ดว้ ย 2. คลังข้อมูลดิจทิ ัล ศนู ยน์ มแมแ่ หง่ ประเทศไทย (Thai Breastfeeding Center: Digital Repository) พฒั นาขน้ึ ในปี พ.ศ. 2554 เพอื่ รว่ มเฉลิมฉลองสัปดาห์นมแม่โลก ภายใตแ้ นวคดิ “Talk to me: บอกต่อรอบทิศด้วยจิตอาสา” โดย ศาสตราจารย์ ดร. วิลาศ วูวงศ์ ซ่ึงเป็นรองอธิการบดีสถาบัน เทคโนโลยีแห่งเอเชยี (AIT) ในขณะนั้น พรอ้ มทีมงาน คลงั ขอ้ มลู ดจิ ทิ ัลศูนยน์ มแม่ พฒั นาขนึ้ ด้วย ซอฟตแ์ วรด์ สี เปซ DSpace [http://dspace.org] ซงึ่ เปน็ ซอฟตแ์ วรท์ พ่ี ฒั นาขนึ้ โดยสถาบนั เทคโนโลยี แมสซาชูเซตส์ (MIT) เพื่อใชใ้ นการพัฒนาคลังจัดเก็บสารสนเทศดิจทิ ัลแบบเปดิ (Open Access) จดุ เดน่ ของคลงั ขอ้ มลู ดจิ ทิ ลั คอื การจดั เกบ็ ขอ้ มลู ในรปู แบบมาตรฐานสากลดว้ ยเมทาดาทาแบบ ดบั ลนิ คอร์ (Dublin Core) ซงึ่ เปน็ รปู แบบทสี่ ามารถใชใ้ นการเผยแพร่ เชอื่ มโยงและแลกเปลยี่ นขอ้ มลู กบั คลงั ดจิ ทิ ลั อน่ื ๆ ทใี่ ชม้ าตรฐานเดยี วกนั ไดท้ วั่ โลก โดย Google กเ็ ปน็ หนงึ่ ในระบบคน้ หาขอ้ มลู ทร่ี จู้ กั และเขา้ ใจรปู แบบขอ้ มลู ของคลงั ข้อมูลนี้ ระบบสามารถบันทึกความเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นกับแฟ้มข้อมูลที่จัดเก็บในระบบ ผู้ดูแลข้อมูล สามารถกำ� หนดสิทธิ์ในการเข้าถึงแฟ้มขอ้ มลู ตามตอ้ งการ และระบบยงั เปิดให้ผใู้ ช้ทั่วไปที่ไดร้ ับสิทธิน์ ำ� ขอ้ มลู เขา้ ระบบไดด้ ว้ ยตนเอง ปจั จบุ นั มหี นว่ ยงานทใ่ี ชซ้ อฟตแ์ วรด์ สี เปซในการพฒั นาคลงั ขอ้ มลู ดจิ ทิ ลั เพือ่ ใช้จดั เกบ็ สารสนเทศดิจทิ ลั ทเ่ี ป็นภูมปิ ัญญาของสถาบัน จำ� นวนกวา่ 3,000 แหง่ ทั่วโลก ตัวอย่างหน่วยงานท่ีใช้คลังดิจิทัลในรูปแบบเดียวกันกับศูนย์นมแม่ในประเทศไทย ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสขุ (สวรส.) สถาบนั สขุ ภาพเดก็ แห่งชาติมหาราชินี สถาบันพิพิธภณั ฑ์การ เรียนรแู้ ห่งชาติ เป็นตน้ ในปี พ.ศ. 2560 คณะทำ� งานปรบั ปรงุ คลงั ข้อมูลดจิ ิทลั ให้มีความทนั สมัยมากขนึ้ ดังน้ี (1) ปรบั รนุ่ ของซอฟต์แวรใ์ หเ้ ปน็ ปจั จุบนั เพ่ือใหส้ ามารถใชง้ านฟงั ก์ช่นั ตา่ งๆ ได้มากขนึ้ (2) ปรับแตง่ หนา้ จอ (Theme) ใหเ้ ป็นระเบยี บสวยงามในรูปแบบ responsive โดยท่รี ปู แบบ การแสดงผลของหนา้ จอจะปรบั เปลย่ี นไปตามขนาดของอปุ กรณท์ ใี่ ชง้ าน เพอื่ ใหผ้ ใู้ ชส้ ามารถ เขา้ ใชง้ านได้จากท้ังบน โทรศัพทม์ ือถอื แทบ็ เล็ต โนต้ บุ๊ค และคอมพิวเตอร์พซี ี (3) ก�ำหนดรูปแบบโครงสร้างข้อมูลใหม่ ตรงตามความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ ปัจจุบันก�ำหนด หมวดหมขู่ องเนอื้ หาจำ� แนกตามกลมุ่ เปา้ หมาย 2 กลมุ่ คอื บคุ ลากรสาธารณสขุ และกลมุ่ แม/่ ประชาชนทวั่ ไป • บุคลากรสาธารณสขุ สามารถเข้าถงึ หนงั สอื รายงานวิจยั บทความวชิ าการ และเอกสาร นำ� เสนอในงานประชมุ ระดับชาติ และ งานสัมมนาวิชาการด้านนมแมท่ มี่ คี ณุ ภาพ มีความ การประชุมวชิ าการนมแมแ่ หง่ ชาติ ครัง้ ท่ี 6 107
นา่ เชือ่ ถือ และสามารถนำ� ไปอา้ งอิงทางวชิ าการได้ • แม่และประชาชนท่ัวไปสามารถเข้าถึงสื่อท่ีให้ความรู้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ที่สั้น กระชับ และเข้าใจง่าย เชน่ หนงั สอื คูม่ อื บทความถาม-ตอบ แผน่ พบั แฟ้มเสยี ง และคลปิ วิดโี อ ขนาดสน้ั เพอ่ื นำ� ความร้ไู ปปฏบิ ัตไิ ดถ้ กู ต้อง (4) พัฒนาเคร่ืองมือเรียกดูแฟ้มข้อมูลในรูปแบบต่างๆ เพ่ือผู้ใช้สามารถเปิดดูแฟ้มข้อมูลใน รูปแบบ PDF ภาพถา่ ย แฟ้มเสียง และแฟม้ วีดิทัศน์ จากบนหน้าจอได้ทนั ที (5) ปรับแต่งลิงค์ส่งต่อข้อมูลผา่ นเครอื ขา่ ยโซเชียล (Social Network) ให้โดดเด่นและชดั เจน เพ่ือสะดวกในการสง่ ต่อขอ้ มูลสู่สาธารณะ ระบบจะจัดเก็บสถติ จิ �ำนวนการสง่ ต่อข้อมลู (6) ตดิ ตง้ั เครอ่ื งมอื วเิ คราะหข์ อ้ มลู (Google Analytics) จดั เกบ็ สถติ กิ ารเขา้ ใชง้ านของผใู้ ชแ้ บบ ละเอยี ด นำ� สถติ ิทไ่ี ด้รบั ไปวิเคราะหเ์ พอ่ื ปรบั ปรงุ เนอ้ื หาและรปู แบบการให้บรกิ าร สามารถเข้าใช้บริการ ผ่านทาง http://dlibrary.thaibreastfeeding.org และทาง www.thaibf.com และสามารถเขา้ ถึงขอ้ มูล ผ่านทางโทรศพั ทม์ ือถือ แทบ็ เลต็ โน้ตบุ๊ค และ คอมพวิ เตอร์พซี ี รวมถงึ เช่อื มตอ่ กบั link อ่นื ๆ ไดเ้ ชน่ เดยี วกนั กับเวบ็ ไซต์ 3. World Alliance for Breastfeeding Action (WABA) http://waba.org.my/ เปน็ ขององคก์ รเครอื ขา่ ยพนั ธมติ รนมแมโ่ ลก (World Alliance for Breastfeeding Action-WABA) ซึ่งมีกำ� เนดิ เมอื่ พ.ศ. 2534 หลงั การประกาศอินโนเซ็นติ (Innocenti Declaration) เวป็ ไซตน์ ี้ เป็น เจ้าภาพกำ� หนดประเดน็ หรือ ค�ำขวัญสัปดาหน์ มแมโ่ ลก (World Breastfeeding Week- WBW) ได้ รบั การรบั รองจากองคก์ รยนู เิ ซฟ องคก์ ารอนามยั โลก ในเวบ็ ไซตม์ ขี อ้ มลู แนวทาง ชดุ สอื่ และคำ� แนะนำ� การจดั กิจกรรมตา่ งๆ ทช่ี ่วยประเทศสมาชิก มากกว่า 170 ประเทศ ใช้รณรงคท์ ศิ ทางเดยี วกนั 4. The Academy of Breastfeeding Medicine (ABM) http://www.bfmed.org/ เปน็ เวบ็ ไซตเ์ รมิ่ ตน้ ของกลมุ่ แพทยใ์ นอเมรกิ า ทอี่ ทุ ศิ การทำ� งาน เพอื่ การสง่ เสรมิ ปอ้ งกนั และปกปอ้ ง การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่ พนั ธกจิ (Our mission is to unite members of the various medical specialties with this common purpose) เรมิ่ กอ่ ตงั้ เมอื่ ค.ศ. 1993 จากทมี่ แี พทยก์ ลมุ่ หนงึ่ เขา้ รว่ ม ประชมุ UCLA Lactation Consultant (LC) Training Course และพบวา่ ปญั หาทเี่ ปน็ อปุ สรรค (Barriers) ในการใหน้ มแม่ ตน้ สาเหตหุ ลายสว่ นมาจากผลการดแู ลรกั ษาจากแพทย์ เกย่ี วขอ้ ง multi specialties และตอ่ มากข็ ยายสนู่ านาประเทศ เพราะเหน็ ความสำ� คญั ของการรว่ มมอื กนั ทงั้ โลก มผี กู้ อ่ ตงั้ 12 คน ซง่ึ ไดร้ บั เชญิ เวยี นมาพดู ใน Founder session ในการประชมุ ทกุ ปี ปจั จบุ นั มสี มาชกิ 600 คน จาก 58 ประเทศ บทบาททางวชิ าการทสี่ ำ� คญั และเปน็ จดุ ใหเ้ หน็ ความ แตกต่างการขับเคล่ือนอย่างมีประสิทธิภาพคือ การผลักดันให้เกิดงานวิจัย ABM ผลิต Journal Breastfeeding Medicine มี ผลงานวจิ ยั evidence- based protocols สำ� หรบั clinical lactation management มากมาย รวมทง้ั มี position statement เพอ่ื ชจ้ี ดุ ยนื ในมติ ติ า่ งๆ ของงานนมแม่ เปน็ ระยะ 5. International Lactation Consultant Association (ILCA) http://www.ilca.org/ เวบ็ ไซต์ นี้ มชี ือ่ เสยี งเปน็ เจ้าภาพ การจดั ให้มมี าตรฐานการเลีย้ งลูกด้วยนมแม่ โดยจัดให้มีการ สอบ International Board Certified Lactation Consultants® (IBCLC®) เปน็ การประกันคณุ ภาพ ทไ่ี ดร้ บั การยอมรบั จากทว่ั โลก ในประเทศไทยมผี ชู้ ำ� นาญการทำ� งานนมแมม่ าก แตม่ ไี มก่ คี่ นทสี่ มคั รเขา้ สอบและไดร้ บั การประกาศเปน็ IBCLC อาทิ พญ. วมิ ลมาศ พรหมสาขา ณ นคร พญ. ปยิ ะฉตั ร วงศบ์ กุ ลุ พญ. บปุ ผา เผา่ สวสั ดิ์ และคณุ มนี ะ สพสมยั พญ. นภาพรรณ วริ ยิ ะอตุ สาหกลุ เปน็ ประกาศนยี บตั รทขี่ อ เชญิ ชวนผ้ทู �ำงานด้านนมแม่ เข้าสอบ จงึ ขอกลา่ วชื่อไว้ เพื่อเชญิ ชวนผู้สนใจได้ทราบ ภายในเวบ็ ไซต์ 108
มขี อ้ มลู ครบถว้ นและอ้างอิงได้ 6. Infant Risk Center http://www.infantrisk.com/ 7. United States Lactation Consultant Association (USLCA) https://uslca.org/ 8. Canadian Lactation Consultant Association (CLCA) http://clca-accl.ca/ 9. Breastfeeding Inc. (Dr.Jack Newman) Dr. Jack Newman เกิดในอิสราเอล เติบโตในแคนาดา จบกุมารแพทย์ทั้งจากแคนาดาและ อเมรกิ า เปน็ นกั ปฏบิ ตั แิ ละนกั ชน้ี ำ� นโยบาย แนวทางแกไ้ ขปญั หาทม่ี คี วามชดั เจน เปน็ ผแู้ นะนำ� แนวคดิ การต้ังคลินิกนมแม่ ทั้งในและนอกโรงพยาบาล และเร่ิมจัดต้ังเป็นคลินิกแรก ใน ค.ศ. 1984 ท่ี Toronto’s Hospital for Sick Children ประสบการณง์ านนมแม่ในประเทศ South Africa ศนู ย์ นมแม่ฯ ได้เคยเชิญมาบรรยายในประเทศไทยเมื่อประมาณ พ.ศ. 2548 ข้อมูลในเว็บไซต์มีครบ ทง้ั แนวทางปฏบิ ตั ิ เทคนคิ การแกไ้ ขปัญหา ชุดสอื่ วิดิโอ handouts Dr. Jack Newman เรียก information sheet มีความคมชัดในการน�ำเสนอมาก (ความเห็นส่วนตัว) และถ้าสนใจ training course จะมี parenting course และ e-learning รวมทง้ั มรี ายละเอยี ด lactation training course นา่ สนใจเพราะมีประสบการณก์ วา่ 33 ปี และองิ หลกั ฐานทางวชิ าการ 10. LANCET Breastfeeding Series จดั ทำ� โดย สำ� นกั พมิ พน์ ติ ยสาร Lancet ผลติ วารสาร Lancet ตงั้ ขนึ้ ในปี พ.ศ. 2366 (ค.ศ. 1823) “lancet” มคี วามหมายถงึ มดี ปลายแหลมสองคมขนาดเลก็ สำ� หรบั ผา่ ตดั และชอื่ สว่ นของสถาปตั ยกรรม กอทกิ แบบอังกฤษ ทีเ่ ปน็ ชอ่ งหนา้ ตา่ งโค้งยอดแหลม [4] ซึ่งหมายถึง “แสงสวา่ งแห่งปัญญา” หรือ “เพื่อให้แสงสว่างเข้ามา” วารสารน้ีเป็นแหล่งข้อมูลเป็นท่ีนิยม และใช้อ้างอิงในระดับโลก Lancet series จะน�ำเรื่องปญั หาสขุ ภาพท่สี �ำคัญตา่ งๆ ทุกกลมุ่ วยั และทกุ มิติการดูแลสุขภาพ เชน่ การรักษา การปอ้ งกนั การขบั เคลอื่ นนโยบาย การจดั ระบบ health systemฯ จดั เปน็ ซรี ยี ์ ปจั จบุ นั มี 236 ซรี ยี ์ โดยเรอ่ื งนมแมจ่ ะเปน็ หนงึ่ ใน 236 issues ซง่ึ มเี นอ้ื หาครอบคลมุ ประเดน็ กวา้ งขวางทง้ั ในเชงิ นโยบาย คณุ ประโยชนข์ องนมแม่ วธิ ปี ฏบิ ตั ิ ปญั หาอปุ สรรค มติ สิ งั คม เศรษฐกจิ ทมี่ กี ารศกึ ษาวจิ ยั อยา่ งมมี าตรฐาน มปี ระโยชน์ ทั้งในการนำ� ไปใช้ในระดับบุคคล และระดับประเทศ ชว่ ยน�ำการพฒั นาดา้ นอนามยั แม่และ เด็กสู่เปา้ หมาย SDG ใน ค.ศ. 2030 เม่ือตน้ ปที ีผ่ า่ นมา องคก์ าร Alive and Thrive องค์การ UNICEF และกรมอนามัยกระทรวง สาธารณสุข ได้ร่วมกันแถลงข่าว เนื้อหา ส�ำคัญของ ฉบับล่าสุด คือปี ค.ศ. 2016 Lancet Breastfeeding: Achieving the New Normal มี 2 บทส�ำคญั คือ Breastfeeding 1 Breastfeeding in the 21st century: epidemiology, mechanisms, and lifelong effect Breastfeeding 2 Why invest,and what it will take to improve breastfeeding practices? โดยมี series ก่อนหน้าน้ีหลายปี เชน่ ปี 2013 เป็น Lancet breastfeeding Series on maternal and child nutrition แหลง่ ขอ้ มลู เหลา่ นี้ เปน็ แหลง่ ขอ้ มลู มาตรฐาน มหี นว่ ยงานองคก์ ร ทไ่ี มแ่ สวงผลกำ� ไร เปน็ เจา้ ภาพ ในการดแู ล ยงั คงมแี หลง่ ขอ้ มูลทด่ี ๆี จ�ำนวนมาก ไมส่ ามารถน�ำมากลา่ วไดห้ มด ขณะเดยี วกนั มแี หลง่ การประชุมวชิ าการนมแมแ่ ห่งชาติ ครงั้ ท่ี 6 109
ขอ้ มูลท่ีแอบแฝง เพ่อื หวังผลประโยชน์ อาทิ การชกั ชวนให้ใช้ผลติ ภัณฑ์ นมอ่ืนแทนนมแม่ การใช้ ยา เครื่องมือ การบริการท่ีไมม่ ีความจ�ำเปน็ การดงึ ข้อมลู จากโซเชยี ล มเี ดีย ตอ้ งใช้ดลุ ยพินจิ เป็นอย่าง มาก สำ� หรบั แหลง่ ขอ้ มลู ทีเ่ ปน็ ผลจากการสอื่ สาร ทาง FB ทาง LINE เปน็ ทน่ี ยิ มของผสู้ นใจงานด้าน นมแม่ อาทิ Facebook Page พ่อนมแม่ (โดยสมาพันธเ์ ครอื ข่ายนมแม่แห่งประเทศไทย) https:// m.facebook.com/FatherBreastfeeding/ Line BF Network/ BF sick babies / เครือข่ายนมแม่ TABFA และอีกหลายแหลง่ สร้างช่องทางการรบั ขอ้ มลู ทห่ี ลากหลายทง้ั ด้านวิชาการ การแสดงความ คิดเห็น จากหลากหลายวชิ าชีพ อย่างไรก็ตาม ปัจจบุ ัน การสืบค้นแหลง่ ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นนมแม่ หรอื วชิ าการอืน่ ๆ ในมหาวทิ ยาลัย ทั้งในและต่างประเทศ มีการจัดท�ำหลักสูตรออนไลน์ ท�ำให้เลือกเรื่องที่อยากรู้เชิงลึกได้ อาจได้รับ ประกาศนยี บตั ร หรอื ไมไ่ ดก้ เ็ ลอื กได้ เชน่ ของมหาวทิ ยาลยั Harvard มี SDG Academy ซง่ึ จดั ทำ� course สนับสนุนการพฒั นา SDG เกีย่ วกบั เดก็ ท่ีน่าสนใจ คอื The Best Start in Life: Early Childhood De- velopment for Sustainable Development เปน็ course ระยะสน้ั ประมาณ 3 เดอื น https://courses.sdgacademy.org/learn/the-best-start-in-life-early-childhood-develop- ment-for-sustainable-development-september-2017 สามารถเข้าเรยี นไดแ้ บบ universal access การพฒั นา course ต่างๆ กไ็ มใ่ ชม่ หาวทิ ยาลยั ทำ� ตาม ลำ� พัง แต่มมี หาวทิ ยาลยั อืน่ ร่วมด้วยรวมท้ังหนว่ ยงานท่เี กย่ี วข้อง แหลง่ สบื คน้ ใหมๆ่ มคี วามทนั สมยั เชน่ วดิ โิ ออดั บทพดู วชิ าการเปน็ ภาษาองั กฤษ ของ ABM และ ของ มหาวิทยาลัย Harvard จะมี ภาษาองั กฤษ ขนึ้ พรอ้ มการพูดของวิทยากร แบบการพูด-บนั ทกึ ทเ่ี รารู้จกั กนั ในการใชโ้ ทรศัพทม์ อื ถอื และสามารถเข้าถึงได้ทุกระบบ Android Apple จะเรยี นท่ไี หน เม่อื ไร อยา่ งไร ได้หมด ขอใหม้ วี นิ ยั เรยี นตามเวลาให้จบ พรอ้ มวิธกี ารเรียน ข้อระวงั ระบบประเมินผล การ แบง่ ปันความ เหน็ สามารถใหป้ ระกาศนียบัตรไปรบั รองความสามารถในการประกอบอาชีพได้ โดยสรปุ ผเู้ ขยี นไดน้ ำ� เสนอภาพรวมของแหลง่ สอื่ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั นมแม่ ในประเทศไทยเนน้ สอ่ื ของมลู นธิ ิ ศนู ย์นมแม่ ซ่งึ มใี นแหลง่ สบื ค้นส�ำคญั 2 แหล่ง คอื ใน website และในคลงั ขอ้ มลู digital library และ แนะนำ� แหลง่ ขอ้ มลู มาตรฐานของตา่ งประเทศ โดยช้แี นะในแหลง่ ทผี่ เู้ ขยี นมีประสบการณ์ในการใช้ ส�ำหรับ แหล่งอื่น ไม่เปน็ เร่อื งยากในปจั จุบนั ทีผ่ ทู้ ำ� งานด้านนมแม่ จะเขา้ ไปคน้ หา และใชด้ ลุ ยพนิ จิ ในการนำ� ไปใช้ มีขอ้ สังเกตวา่ ในการพัฒนาสื่อ และแหล่งข้อมูลตา่ งๆ ทจี่ ะทำ� ใหบ้ ังเกดิ ผลดีท่สี ุด มที ิศทางชัดเจนของการ ดึงความรว่ มมือจากหลายๆ ส่วนมาร่วมกนั ท�ำ ทง้ั ในระดับในประเทศและตา่ งประเทศ และเร่อื งนี้ก็เป็นอกี ตัวอยา่ ง ของการชว่ ยกัน ทลายอปุ สรรคการเลย้ี งลูกด้วยนมแม่ ชว่ ยสร้างความแข็งแรงเชิงระบบ ในการ สง่ เสริม สนับสนุน และปกป้อง การเลยี้ งลูกดว้ ยนมแมอ่ ย่างยัง่ ยืน ดงั ค�ำขวัญสปั ดาหน์ มแมโ่ ลกในปีนี้ รวม พลัง สร้างสังคมนมแม่ ให้ยั่งยนื (Sustaining Breastfeeding Together) 110
Workshop 1: Breastfeeding Research การเลีย้ งลกู ดว้ ยนมแมก่ บั การวิจัย: จากงานประจำ�สูง่ านวจิ ัยเพอ่ื รบั ใช้สังคม ศาสตราจารย์ ดร.สสุ ัณหา ยม้ิ แยม้ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ การจดั ประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั ิการ (workshop) ในครง้ั นี้ จงึ มีความม่งุ หมายใหผ้ ู้เข้ารว่ มประชมุ ทกุ ทา่ นได้ ทบทวนสถานการณป์ ญั หาการเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแมท่ ผี่ เู้ ขา้ รว่ มประชมุ มสี ว่ นเกยี่ วขอ้ งในงานประจำ� วา่ ยงั มปี ระเดน็ ใดทย่ี งั เปน็ ทส่ี งสยั ขาดความชดั เจน นา่ สนใจและมปี ระโยชนท์ จี่ ะเลอื กมาทำ� วจิ ยั เพอื่ พฒั นางานประจำ� รวม ทง้ั มกี ารแลกเปลยี่ นเรยี นรปู้ ระสบการณใ์ นกระบวนการทำ� วจิ ยั ระหวา่ งวทิ ยากรกบั ผเู้ ขา้ รว่ มประชมุ และระหวา่ ง ผู้เข้ารว่ มประชมุ ด้วยกันเอง อนั จะนำ� ไปสู่การพัฒนางานด้านการเล้ียงลกู ดว้ ยนมแมใ่ ห้มีประสิทธภิ าพและ ประสทิ ธิผล เกดิ สขุ ภาวะท่ีดีทั้งแม่และลกู ครอบครวั ชมุ ชน สงั คมและประเทศชาติต่อไป กอ่ นการเรม่ิ ตน้ พฒั นาหวั ขอ้ งานวจิ ยั การเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแมจ่ ากงานประจำ� นนั้ ทา่ นลองพจิ ารณากอ่ น วา่ ทา่ นเป็นบุคคลในกลมุ่ ไหนใน 5 กลมุ่ นี้ กลุ่มที่ 1 มีข้อมลู เอาไวบ้ า้ งแลว้ แต่ยงั ไม่รู้วา่ จะทำ� อะไรต่อไปอยา่ งไร กลุ่มที่ 2 มีโครงการวจิ ัยหรอื มหี ัวข้ออย่แู ลว้ แตย่ ังไมไ่ ด้เร่มิ ท�ำ กล่มุ ที่ 3 สนใจท่จี ะทำ� งานวิจัยมาก แต่ยังไมม่ ีโครงการแน่นอน กลุ่มที่ 4 สนใจท่ีจะท�ำวจิ ัยพอควร แตไ่ มค่ อ่ ยแน่ใจว่าจะท�ำไดห้ รือไม่ กล่มุ ที่ 5 ไม่ตอ้ งการทำ� วจิ ยั เลย คิดวา่ ยงุ่ ยากและไม่สนใจ ส�ำหรบั ทา่ นทสี่ นใจลงทะเบียนเขา้ รว่ มในหัวขอ้ การประชมุ เชิงปฏิบัติการน้ี คงอยู่ในกลุ่ม 1-4 อยา่ งไร ก็ตามส�ำหรับท่านท่ีอยู่ในกลุ่มท่ี 5 หากท่านลองเปิดใจเรียนรู้สักนิดท่านอาจจะเปลี่ยนลองท�ำดูสักคร้ัง ดังน้ัน การประชุมเชิงปฏิบัติการน้ี จึงจะเน้นจุดเริ่มต้นในการท�ำงานวิจัยในประเด็นน้ี น่ันคือ การพัฒนา หัวขอ้ งานวิจยั การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่จากงานประจำ� ความส�ำคญั ของการพัฒนางานดา้ นการเลีย้ งลูกดว้ ยนมแม่ด้วยงานวจิ ยั การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแมจ่ ะประสบผลสำ� เรจ็ และเกดิ ประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ สขุ ภาพของแมแ่ ละลกู ไดน้ นั้ ตอ้ ง ได้รับการส่งเสริม สนับสนุน อย่างต่อเน่ืองจากบุคลากรสุขภาพ ซึ่งการส่งเสริมการเล้ียงลูกด้วยนมแม่ เป็นการกระบวนการ ที่จะต้องใชค้ วามร้คู วามสามารถในการด�ำเนินการ8 จากการทบทวนวรรณกรรมของ เดนนิส (Dennis)1 ท่รี วบรวมงานวิจัยระหว่างปี ค.ศ. 1990-2000 พบว่าบุคลากรสขุ ภาพไม่ไดเ้ ป็นแหลง่ สนบั สนนุ ท่ดี ีของการเล้ยี งลกู ด้วยนมแม่ เนอื่ งจากขาดความรู้ ท�ำให้ไม่สามารถใหค้ ำ� แนะน�ำแกแ่ มไ่ ดอ้ ยา่ ง ถูกต้อง นอกจากนี้แมคอนิ เนส และแชมเบอร์ส (McInnes & Chambers)2 ได้ทบทวนอย่างเป็นระบบจาก งานวจิ ยั ระหวา่ งปี ค.ศ. 1990-2005 พบวา่ การสนบั สนนุ ชว่ ยเหลอื ในเรอื่ งการเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแมจ่ ากบคุ ลากร สุขภาพ ยังไม่มีคณุ ภาพเท่าทีค่ วร เนื่องจากบุคลากรสขุ ภาพยงั ขาดความรทู้ ที่ ันสมยั ขาดทกั ษะในการดแู ล รวมท้ังขาดความเข้าใจในความต้องการของแม่ และบุคลากรสุขภาพบางคนไม่มีทักษะในการเป็นที่ปรึกษา ให้แกแ่ ม่ที่มปี ญั หาในการให้นมลูก ดังน้นั บคุ ลากรสขุ ภาพ จำ� เป็นต้องมกี ารเพ่ิมพูนความรูใ้ หเ้ ปน็ ปจั จุบัน ในเร่อื งการเลยี้ งลกู ด้วยนมแม่ ทัง้ ในระยะต้ังครรภ์ ระยะคลอด และหลังคลอด รวมถึงความรูเ้ ก่ยี วกบั การ การประชมุ วชิ าการนมแมแ่ หง่ ชาติ ครง้ั ที่ 6 111
แก้ไขปัญหาในการเลย้ี งลูกดว้ ยนมแม่ ซึ่งการวจิ ัยเป็นวธิ กี ารส�ำคัญวิธีหน่งึ ท่ีจะชว่ ยได้ การวจิ ัยเป็นสิ่งทีอ่ ยรู่ อบตวั ซึ่งไม่ใช่เปน็ เร่อื งท่ียงุ่ ยากอยา่ งที่บางคนคดิ หากเราได้เรยี นรู้ เขา้ ใจ และ ไดท้ ดลองนำ� มาใช้ ในทางตรงกนั ขา้ มการวจิ ยั ชว่ ยใหท้ ำ� งานประจำ� ไดอ้ ยา่ งสนกุ ไมน่ า่ เบอื่ กบั การงานทซ่ี ำ�้ ซาก แตไ่ ม่ได้ผลเทา่ ทค่ี วร หากเพียงแต่เรารสู้ ังเกต ต้งั ค�ำถาม และคน้ หาค�ำตอบ โดยการมีมมุ มองใหม่ ทผ่ี ่าน กระบวนการคิดไตร่ตรองอย่างรอบด้านและมีวิจารณญาณ รวมทั้งมีการค้นหาวิธีใหม่มาทดลองใช้ในการ แก้ไขสถานการณ์ปัญหากบั งานประจำ� ที่เราต้องเผชญิ ทุกวนั เราก็จะพบว่างานวิจัยเป็นเรื่องท่นี ่าสนใจและ ทา้ ทายใหค้ นเราเผชญิ สถานการณ์ รวมทง้ั แกไ้ ขปญั หาตา่ งๆ ในการทำ� งานไดอ้ ยา่ งมเี หตมุ ผี ล มรี ะบบระเบยี บ เกดิ การพฒั นางานใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลได้อยา่ งกวา้ งขวาง ทั้งในประโยชนใ์ นสว่ นตวั องคก์ ร/ หนว่ ยงาน และสังคมโดยรวม การท�ำวิจัยจากงานประจำ� (routine to research) หมายถึง กระบวนการแสวงหาความรดู้ ว้ ยวธิ ี การอย่างเป็นระบบของผู้ปฏิบัติงานประจำ� ในการแก้ปัญหาและพัฒนางานที่รับผิดชอบด�ำเนินการอยู่ตาม ปกติ โดยมีผลลพั ธ์เป็นการพัฒนาตนเองและเพื่อนรว่ มงาน อันสง่ ผลกระทบในการบรรลเุ ปา้ ประสงคส์ งู สุด ขององค์กร การพิจารณาว่างานวิจัยที่ถือว่าพัฒนามาจากงานประจ�ำนั้น อาจต้องพิจารณาจากโจทย์วิจัย ผทู้ �ำวิจัย ผลลัพธ์ของการวจิ ยั และการน�ำผลการวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์ ดังน้ี “โจทยว์ ิจยั ” ตอ้ งมาจากงานประจ�ำเปน็ การแกป้ ญั หา/พัฒนางานประจำ� “ผูท้ ำ� วิจัย” ตอ้ งเป็นผทู้ ำ� งานประจ�ำ มีบทบาทหลกั ของการวิจยั “ผลลัพธ์ของการวิจัย” ต้องวัดท่ีผลต่อตัวผู้ป่วย หรือ บริการที่มีผลต่อผู้ป่วยโดยตรง ไม่ใช่วัดที่ตัว ช้ีวัดทุตยิ ภูมิเทา่ นัน้ เช่น ระดบั สารต่างๆ ในร่างกาย/ผลการตรวจพเิ ศษต่างๆ “การน�ำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์” ต้องมีผลต่อการเปล่ียนแปลงการให้บริการผู้ป่วยโดยตรงหรือ ตอ่ การจัดบริการผู้รับบริการ ทั้งน้ี งานนน้ั ตอ้ งใชห้ ลกั การและกระบวนการวิจยั และ มีคุณสมบตั ิ 4 ข้อขา้ งตน้ จงึ ถอื ว่าเป็นงาน วจิ ยั ทพี่ ฒั นาจากงานประจำ� นอกจากนงี้ านวจิ ยั การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแมย่ งั อาจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ การนำ� งานประจำ� ไปสงู่ านวจิ ยั รบั ใชส้ งั คม ซง่ึ เปน็ เปา้ หมายทส่ี ำ� คญั ประการหนงึ่ ของนโยบายการวจิ ยั ทตี่ อบสนองตอ่ นโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล ซึง่ หากพจิ ารณาจากความหมายของงานงานวิจัยหรอื งานวชิ าการรับใชส้ ังคม ตามประกาศของคณะกรรมการขา้ ราชการพลเรอื นในสถาบนั อดุ มศกึ ษา (กพอ.) วา่ “เปน็ งานทเ่ี ปน็ ประโยชน์ ต่อสังคมหรือท้องถ่ิน ที่เกิดข้ึนโดยใช้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาอย่างน้อยหนึ่งสาขาวิชา และปรากฏผล ทสี่ ามารถประเมนิ ไดเ้ ปน็ รปู ธรรมโดยประจกั ษต์ อ่ สาธารณะผลงานทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ อ่ สงั คมนี้ ตอ้ งเปน็ ผลให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางท่ีดีข้ึน ทางด้านใดด้านหนึ่ง หรือหลายด้านเก่ียวกับ ชุมชน วิถีชีวิต ศิลป วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม อาชีพเศรษฐกิจการเมือง การปกครอง คณุ ภาพชีวิต หรอื สุขภาพ หรอื เป็นผลงาน ที่น�ำไปสู่การจดทะเบียนสิทธิบัตรหรือทรัพย์สินทางปัญญาในรูปแบบอื่นท่ีสามารถแสดงได้เป็นท่ี ประจักษ์ วา่ สามารถใชแ้ กป้ ัญหาหรือพัฒนาสังคม และก่อให้เกิดประโยชนอ์ ยา่ งชัดเจน หรือเปน็ การเปลี่ยนแปลงใน ความตระหนักและการรบั รู้ในปญั หาและแนวทางแก้ไขของชุมชนทัง้ น้ี ไม่นบั รวมงานทีแ่ สวงหากำ� ไร และได้ รบั ผลตอบแทนสว่ นบุคคลในเชิงธรุ กิจ”3 แนวทางในการพัฒนาหัวขอ้ งานวิจัยการเล้ียงลูกด้วยนมแม่ การพัฒนาหวั ขอ้ /โจทย์ในการวจิ ัย ในการพัฒนาโจทยว์ ิจยั อาจจะเร่มิ จากปัญหา/ค�ำถามวจิ ยั ที่ได้จากงานประจ�ำทรี่ บั ผิดชอบดำ� เนนิ การ อยู่ และตอ้ งการจะแกไ้ ขปญั หา หรอื พฒั นาตอ่ ยอดหรอื ขยายผลงานทท่ี ำ� อยู่ โดยใชก้ ระบวนการหาคำ� ตอบ ด้วยวิธกี ารทนี่ า่ เช่อื ถอื เพ่อื ใชต้ ดั สนิ ใจในการพฒั นาคนและพัฒนางานในระบบสุขภาพ ท้งั นี้ งานวิจยั นน้ั จะ ต้องมคี ุณลกั ษณะดงั นี้ •เป็นงานอสิ ระทางวชิ าการและสามารถประยกุ ต์ใช้กบั งานประจำ� 112
• เป็นเคร่อื งมอื ในการเปิดแนวคดิ ใหม่ๆ ในการทำ� งาน • ช่วยผู้ปฏิบตั ิงานในการสรา้ งความรแู้ ละสามารถย้อนกลบั มาช่วยงานประจ�ำทที่ ำ� อยู่ • ไมค่ วรยดึ ตดิ รปู แบบการวิจัย แตค่ วรถกู ตอ้ งตามหลักวชิ าการ • ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งไดอ้ งคค์ วามรใู้ หมท่ งั้ หมด แตเ่ ปน็ การคน้ หาวธิ กี ารเพอื่ ประยกุ ตใ์ ชใ้ นบรบิ ทของผวู้ จิ ยั • เปน็ เครอ่ื งมอื การพัฒนาคนใหร้ จู้ ักพฒั นาฐานขอ้ มูล ใช้ข้อมลู และสามารถคิดเชิงระบบ • เป็นเครอ่ื งมือในการสรา้ งเสริมศกั ยภาพทำ� ใหเ้ ข้าใจสภาพแวดล้อมท่รี อบตวั มากขึน้ • ชว่ ยสรา้ งระบบพเ่ี ลยี้ งในการทำ� วจิ ยั และเออื้ เฟอ้ื กนั ในการทำ� งานระหวา่ งนกั วชิ าการและผปู้ ฏบิ ตั งิ าน โดยตรง • สามารถน�ำไปตีพิมพเ์ ผยแพรผ่ ลงานเพ่ือท�ำใหผ้ ้อู ื่นร่วมเรยี นรูไ้ ด้ การพฒั นาหัวขอ้ วจิ ัยและท�ำให้ปญั หาการวิจัยมีความชัดเจนนน้ั มีข้ันตอนดังน้ี 1. เลือกประเด็นที่สนใจ อาจจะใช้จินตนาการ และลองเขียนแผนผังความคิด ซึ่งอาจจะเป็นหัวข้อ กวา้ งๆ (general idea) ทย่ี งั ไมช่ ดั เจน ไมเ่ ปน็ รปู ธรรม โดยไมต่ อ้ งวพิ ากษ์ วจิ ารณใ์ ดๆ ในครง้ั แรก พยายาม ใหค้ วามคดิ พรัง่ พรู หลัง่ ไหลออกมาก่อน หลงั จากน้ันคอ่ ยมาพจิ ารณาคดั เลอื ก โดยใช้หลกั การดังน้ี 1) ความสนใจของผวู้ จิ ยั => แรงจงู ใจที่จะท�ำ 2) ความแปลกใหม่ ไม่ซ้�ำซ้อน เพ่อื พฒั นาองคค์ วามร/ู้ ตอ่ ยอด 3) ปญั หามคี วามสำ� คญั /ประโยชนต์ อ่ พฒั นางานดา้ นสขุ ภาพในหนว่ ยงาน ชมุ ชน สงั คมและประเทศชาติ 4) เป็นค�ำถามท่สี ามารถหาค�ำตอบได้โดยใชก้ ระบวนการวิจยั ได้ 5) มีความเหมาะสมและเปน็ ไปไดใ้ นการทำ� วจิ ัย โดยคำ� นึงถงึ 5.1) ระยะเวลาทศี่ ึกษา และ กลุม่ เป้าหมาย 5.2) อปุ กรณ์ เครอื่ งมอื และสงิ่ สนบั สนุนตา่ งๆ 5.3) ความรว่ มมือจากบคุ คลอื่นและหน่วยงาน 5.4) งบประมาณ แหลง่ สนบั สนุน 5.5) จริยธรรม คณุ ธรรม และคา่ นิยม 5.6) ประสบการณแ์ ละความช�ำนาญของผูว้ ิจยั 2. ปรับหัวขอ้ ที่กว้าง ใหแ้ คบลง เป็นหวั ขอ้ ที่เฉพาะเจาะจง (specific topic) เพ่อื น�ำไปส่ปู ญั หาทที่ �ำ วิจัยได้ โดยการตง้ั ถามว่า 5 W (Why, Who, What, Where, When) และ 1 H (How) ดงั นี้ 1) ท�ำไม (Why) ท�ำไมต้องศกึ ษาเร่ืองนี้ General idea 2) ใคร (Who) ที่มีปัญหาหรือเปน็ กล่มุ ท่ีต้องการการแก้ไขปัญหา หรือปรบั ปรงุ กระบวนการพฒั นา 3) อะไร (What) เป็นปจั จัยท่ีเปน็ สาเหตหุ รอื มอี ทิ ธพิ ล หรอื อะไรผล ปญั หาการวจิ ัย ท่ีตามมา 4) ที่ไหน (Where) ควรวจิ ัยหรือศกึ ษาเรื่องนที้ ี่ไหน 5) เม่ือไหร่ (When) ควรวจิ ยั หรือศึกษาเรอื่ งนีเ้ มอ่ื ไหร่ Specific topic 6) อย่างไร (How) วธิ ีการดำ� เนนิ งานวจิ ยั เป็นอยา่ งไร 3. ศึกษาเพ่มิ เติมเกีย่ วกบั หวั ขอ้ ที่สนใจ เพือ่ ใหช้ ดั เจนเกีย่ วกบั ความรขู้ องหัวขอ้ นน้ั เพอื่ หาช่องวา่ ง ขององค์ความรู้ทส่ี นใจ และตั้งค�ำถามการวจิ ยั ให้ชัดเจน 4. เขียนปัญหาการวิจัยท่ีชัดเจนรวมท้ังข้อมูลสนับสนุน โดยการเร่ิมเขียนปัญหาการวิจัย อาจเป็น เพียง 2-3 ประโยคกอ่ น แลว้ จงึ ขยายความเป็น “ความส�ำคญั และความเปน็ มาของปญั หา” ทมี่ ปี ระกอบ ดว้ ยสาระสำ� คญั ดังนี้ 1) ความส�ำคัญของปัญหา (significant of problem) ซ่ึงตอ้ งบ่งถึง ขนาดหรือความรนุ แรงของ ปัญหา ระดบั ของปญั หา และผลกระทบของปัญหา การประชุมวิชาการนมแม่แห่งชาติ ครั้งท่ี 6 113
2) ความเปน็ มาของปญั หาประกอบดว้ ย ภมู หิ ลงั (background) ของปญั หา เพอ่ื สามารถบอกไดว้ า่ ชอ่ งวา่ งขององคค์ วามรทู้ ร่ี ะบไุ ดว้ า่ มอี ะไรทรี่ แู้ ลว้ และมอี ะไรทยี่ งั ไมร่ ู้ คำ� ถามประเดน็ ทสี่ นใจวจิ ยั ท่ี ตอ้ งการหาคำ� ตอบ นอกจากนค้ี วรระบแุ นวคดิ หรอื ความรใู้ ดทจ่ี ะนำ� มาประยกุ ตใ์ ชก้ บั งานประจำ� 3) สถานการณข์ องปญั หาในปจั จบุ นั และวธิ กี ารดำ� เนนิ การศกึ ษาครงั้ น้ี ควรครอบคลมุ ถงึ ปจั จบุ นั มกี ารศกึ ษาหรอื ท�ำวิจยั เกยี่ วกบั เร่ืองน้เี ร่อื งอะไร กับใคร ท่ีไหน เมือ่ ไหร่ อย่างไร แลว้ ผลทีไ่ ด้ เปน็ อย่างไร ท�ำไมต้องวิจัยคร้งั น้ี มีอะไรท่ตี ้องการปรบั เปล่ยี น กบั ใคร ท่ีไหน เมอื่ ไหร่ อย่างไร 4) ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะไดร้ บั นา่ จะระบถุ งึ ความคาดหวงั ในการนำ� ไปใชพ้ ฒั นางานประจำ� ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน และผู้รับบรกิ ารสขุ ภาพ 5. ประเมนิ ปญั หาการวจิ ยั ตามหลกั การกำ� หนดปญั หาการวจิ ยั เพอ่ื พจิ ารณาคดั เลอื กประเดน็ ทสี่ นใจ ซง่ึ อาจจะมหี ลายประเดน็ ใหเ้ หลอื ประเดน็ ทเี่ หมาะสมและมคี วามเปน็ ไปไดใ้ นการทำ� วจิ ยั โดยใชห้ ลกั เกณฑ์ ในการพจิ ารณาดังน้ี 1) ความสนใจของผวู้ จิ ยั นา่ จะเปน็ ขอ้ พจิ ารณาอนั ดบั แรก ทง้ั น้ี หากเราทำ� ในสง่ิ ทส่ี นใจมกั มแี รงจงู ใจ ทจ่ี ะมงุ่ ม่นั ท�ำงานวิจยั ให้สำ� เรจ็ ลุลว่ งด้วยดี 2) ความแปลกใหม่ ไมซ่ ้�ำซ้อน ที่น�ำไปสกู่ ารพฒั นาองคค์ วามรู้ใหมห่ รือตอ่ ยอดองค์ความรู้เดมิ 3) ความสำ� คญั /ประโยชนข์ องปญั หา ตอ่ พฒั นางานดา้ นสขุ ภาพในหน่วยงาน ชมุ ชน สงั คมและ ประเทศชาติ 4) การใชก้ ระบวนการวจิ ยั ทงั้ นป้ี ระเดน็ ทวี่ จิ ยั มคี ำ� ถามทส่ี ามารถหาคำ� ตอบไดโ้ ดยใชก้ ระบวนการ วจิ ยั ได้ 5) ความเหมาะสมและความเปน็ ไปไดใ้ นการท�ำวจิ ัย โดยค�ำนงึ ถึง 5.1) ระยะเวลาท่ศี กึ ษา และ กลุ่มเป้าหมาย 5.2) อปุ กรณ์ เคร่อื งมือ และสง่ิ สนับสนนุ ตา่ งๆ 5.3) ความรว่ มมือจากบุคคลอื่นและหนว่ ยงาน 5.4) งบประมาณ แหล่งสนบั สนุน 5.5) จรยิ ธรรม คณุ ธรรม และค่านยิ ม 5.6) ประสบการณ์และความชำ� นาญของผู้วจิ ยั ตัวอยา่ งงานวจิ ยั การเล้ียงบตุ รด้วยนมแม่ทมี่ าจากงานประจ�ำ จากประสบการณข์ องผเู้ ขยี นในการสอนและดแู ลมารดาหลงั คลอดมากกวา่ 35 ปี พบวา่ การเลยี้ งลกู ด้วยนมแม่เป็นเรื่องที่ท้าทายในบทบาทของบุคลากรสุขภาพ ท่ีต้องช่วยเหลือและสนับสนุนให้มารดาหลัง คลอด ไดเ้ รม่ิ การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแมอ่ ยา่ งถกู ตอ้ งและมน่ั ใจ เพอ่ื สง่ เสรมิ ใหม้ ารดาสามารถเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่ อย่างต่อเนื่องตามความต้องการและลดปัญหา/ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการให้นมลูกด้วยนมแม่ที่อาจจะ เกดิ ขน้ึ ตามมา จากการสังเกตขณะปฏิบตั ิการดูแลมารดาหลงั คลอด พบวา่ มารดาบางรายก็สามารถใหน้ ม แมแ่ กล่ กู ได้อยา่ งงา่ ยดาย แตบ่ างรายกลับมปี ญั หาหรืออุปสรรคมากมายจนเลิกล้มความต้ังใจในการใหน้ ม แมอ่ ยา่ งตอ่ เนอื่ งตอ่ ไป ดงั นนั้ จงึ สนใจทท่ี ำ� งานวจิ ยั เกยี่ วกบั การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแมใ่ นมารดาทที่ ำ� งาน โดยมหี วั ขอ้ งานวจิ ยั ท่ี ผเู้ ขยี นได้ศกึ ษาวิจัยเก่ยี วกบั การเลี้ยงบุตรดว้ ยนมแม่มีดังนี้ 1. ปจั จยั ทางดา้ นสงั คมเศรษฐกจิ วฒั นธรรม และนโยบายทม่ี ผี ลตอ่ การปฏบิ ตั กิ ารใหน้ มมารดาแกบ่ ตุ ร ในมารดาที่ทำ� งานในเขตจงั หวดั เชียงใหม4่ 2. ผลการให้ค�ำแนะน�ำและการติดตามเย่ียมต่อการปฏิบัติการให้นมมารดาแก่บุตรในมารดาที่ท�ำงาน นอกบา้ น5 3. การพัฒนาการสนบั สนุนการเลี้ยงบตุ รด้วยนมมารดาจากพยาบาลในสตรที ีท่ �ำงานนอกบา้ น6 114
4. การพฒั นาการสนบั สนนุ การเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในสถานประกอบการ7,8 5. การศกึ ษาชดุ สิทธปิ ระโยชน์สนับสนุนการเลย้ี งลูกด้วยนมแมอ่ ยา่ งเดียวหกเดอื น9 6. ผลของเคร่ืองดม่ื สมนุ ไพรกระตุน้ น้ำ� นมแมต่ ่อการผลติ น�้ำนมในมารดาหลังคลอด10 จากบทบาททผี่ เู้ ขยี นเป็นอาจารยพ์ ยาบาล พบวา่ การสอนบรรยายเรอื่ ง การเลยี้ งลกู ด้วยนมแม่ เป็น เรอ่ื งทย่ี ากในการทำ� ความเขา้ ใจ สำ� หรบั นกั ศกึ ษาพยาบาลทไี่ มเ่ คยมปี ระสบการณท์ างคลนิ กิ ในการดแู ลมารดา ทีใ่ ห้นมแม่มากอ่ น ดงั นั้นจงึ สนใจในการทำ� วจิ ัย เร่อื ง การพฒั นาหนงั สอื อิเล็กทรอนิกส์ มลั ตมิ เี ดีย เรือ่ ง “ความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับการเล้ียงบุตรด้วยนมมารดา” ส�ำหรับนักศึกษาพยาบาล11 ซ่ึงผลการวิจัยพบว่า หนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ มัลติมีเดยี เรอื่ ง “ความรเู้ บอื้ งตน้ เกยี่ วกบั การเลยี้ งบตุ รด้วยนมมารดาน้ี มีความ น่าสนใจและเหมาะสมกบั ใช้ในสอื่ ผสมเพอื่ เสรมิ การเรียนรู้ และจากลกั ษณะของรปู แบบเป็น CD ขนาดเล็ก พกพาสะดวก สามารถใชแ้ ละเกบ็ รกั ษางา่ ย จงึ ทำ� ใหน้ กั ศกึ ษาสามารถใชเ้ รยี นรแู้ ละ/หรอื ทบทวนดว้ ยตนเอง ตามความตอ้ งการทุกเวลา ทุกสถานที่ นอกจากน้ีในการเตรียมปฐมนิเทศที่ต้องฝึกปฏิบัติหลักการ ขั้นตอนในการปฏิบัติงาน (procedure) ในหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารจนกอ่ นไปฝกึ ปฏบิ ตั จิ รงิ กบั ผรู้ บั บรกิ าร ผเู้ ขยี นพบวา่ การสอนเกยี่ วกบั การนวด การประคบ และการบบี นำ้� นมแมก่ บั หนุ่ จำ� ลองเตา้ นมครง่ึ ตวั ทม่ี อี ยใู่ นหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารนนั้ ไมส่ ามารถแสดงถงึ การบบี ทใี่ ห้ เห็นมีน�ำ้ นมออกไดจ้ รงิ ดงั นนั้ จึงคดิ พัฒนางานวิจยั เร่อื ง การพัฒนาห่นุ จำ� ลองเต้านม FON CMU เพื่อการ สอนการเลีย้ งบุตรด้วยนมมารดา12 โดยอาศัยหลกั การและกลไกในเรอื่ ง กาลกั น้�ำ (syphon หรอื siphon) ซึ่งเป็นวิธีการถ่ายเทของเหลวจากท่ีสูงลงไปสู่ที่ต่�ำอย่างต่อเน่ืองโดยผ่านตัวกลางคือท่อ หลอด หรือสาย โดยทไ่ี มต่ อ้ งใชอ้ ปุ กรณไ์ ฟฟา้ ชว่ ยแตอ่ ยา่ งใด ซง่ึ ผลการวจิ ยั ไดห้ นุ่ จำ� ลองเตา้ นม FON CMU ซงึ่ ทำ� ดว้ ยซลิ โิ คน มโี ครงสรา้ งเปน็ พลาสตกิ ทส่ี ามารถใชอ้ ธบิ ายโครงสรา้ งและลกั ษณะทง้ั ภายนอกและภายในของเตา้ นมมารดา หลังคลอด รวมทั้งฝึกทักษะการเตรียมและให้การดูแลเต้านมมารดาหลังคลอด (การนวด การประคบ และการบีบน�้ำนม)ได้ เมอ่ื น�ำมาทดลองใชแ้ ละประเมนิ คุณภาพ มีคา่ เฉล่ยี คะแนนคณุ ภาพโดยรวม และค่า เฉล่ียคะแนนคุณภาพในแต่ละคุณสมบัติอยู่ในระดับมากท่ีสุด เมื่อเปรียบเทียบคะแนนคุณภาพหุ่นจ�ำลอง เต้านม FON CMU ท่พี ฒั นาขึน้ ใหม่กับหุ่นจำ� ลองเต้านมทมี่ อี ยเู่ ดิม พบวา่ หุ่นจำ� ลองเต้านม FON CMU มี คะแนนคณุ ภาพดกี วา่ หนุ่ จำ� ลองเตา้ นมครง่ึ ตวั และหนุ่ จำ� ลองเตา้ นมทที่ ำ� ดว้ ยผา้ ปจั จบุ นั นห้ี นุ่ จำ� ลองเตา้ นม FON CMU กำ� ลงั อยใู่ นระหวา่ งขน้ั ตอนการจดสทิ ธบิ ตั ร โดยทว่ั ไปการยนื่ ขอสทิ ธบิ ตั รใชเ้ วลาในการดำ� เนนิ การ และตรวจสอบว่ามีความซ้�ำซ้อนนวัตกรรมที่มีผู้เสนอขอรับสิทธิบัตรไปแล้วท้ังในระดับประเทศและระดับ นานาชาติ ใช้เวลานานไมต่ ่ำ� กวา่ 5 ปี ซึ่งผู้เขียนได้ย่นื งานน้ไี ปยงั กรมทรพั ยส์ ินทางปญั ญา (ต้งั แต่เดือน เมษายน พ.ศ. 2556) ซ่งึ คาดว่าน่าจะได้รบั สทิ ธิบตั รในปหี น้า (พ.ศ. 2561) จากท่ีกล่าวมาข้างต้น ผู้เขียนจะขอเพ่ิมเติมรายละเอียด ตัวอย่างความส�ำคัญและความเป็นมาของ ปัญหา โดยเปน็ งานวจิ ัยเชงิ พรรณนาหรืองานวิจัยไมท่ ดลอง 1 เรอ่ื ง และงานวิจัยเชิงทดลองอกี 1 เร่อื ง เพือ่ ให้งา่ ยต่อความเขา้ ใจ ดังทนี่ ำ� เสนอตอ่ ไปน้ี ตัวอย่างการเขียนความส�ำคัญและความเป็นมาของปัญหาของงานวิจัยเชิงพรรณนาเพ่ือหาความ สมั พนั ธเ์ รอ่ื ง ปจั จยั ทางดา้ นสงั คมเศรษฐกจิ วฒั นธรรม และนโยบายทมี่ ผี ลตอ่ การปฏบิ ตั กิ ารใหน้ มมารดา แก่บตุ รในมารดาทท่ี �ำงานในเขตจังหวดั เชยี งใหม่ 1. ความสำ� คัญ 1) ขนาดของปญั หา: อบุ ัติการการเลย้ี งด้วยนมแมอ่ ยา่ งเดียว 2) ผลกระทบของปัญหา: อตั ราการเจ็บป่วยและการตายทารก 2. ความเป็นมา สถานการณ์ปจั จุบัน ประโยชน์ 1) มารดาตอ้ งกลบั เข้าท�ำงานนอกบา้ นภายใน 3 เดอื นหลงั คลอด 2) การท�ำงานของมารดาอาจเปน็ อปุ สรรคต่อการเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่อยา่ งต่อเนือ่ ง การประชุมวิชาการนมแมแ่ ห่งชาติ คร้งั ท่ี 6 115
3. ชอ่ งวา่ งขององคค์ วามรทู้ ร่ี ะบไุ ดว้ า่ มอี ะไรทรี่ แู้ ลว้ และมอี ะไรทยี่ งั ไมร่ ู้ ทเ่ี ปน็ คำ� ถามประเดน็ ทส่ี นใจ วจิ ยั 3.1 สงิ่ ทรี่ แู้ ลว้ จากการทบทวนงานวจิ ยั ทผี่ า่ นมาพบวา่ ปจั จยั เปน็ อปุ สรรคตอ่ การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่ เมื่อกลับทำ� งาน ได้แก่ 1) มารดาขาดความม่นั ใจในการผสมผสานการเลี้ยงลกู ด้วยนมแมก่ ับการท�ำงาน 2) มารดาไมร่ ู้และขาดทักษะในการผสมผสานการเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแมก่ ับการทำ� งาน 3) มารดาขาดการสนบั สนนุ จากสามแี ละสมาชิกในครอบครัว 4) มารดาขาดการสนับสนุนจากหวั หน้างานและเพื่อนรว่ มงาน 5) สภาพการทำ� งานทีไ่ มเ่ ออ้ื มรี ะยะเวลายาวนาน ไมม่ ีความยดื หยุน่ 6) ที่ทำ� งานไกลจากบา้ น 3.2 สิ่งทีย่ งั ไมร่ ู้ ทีเ่ ป็นค�ำถามประเด็นท่สี นใจวจิ ยั เพ่อื พิสูจน์วา่ ปัจจยั ทก่ี ล่าวในขอ้ 3.2 ข้างต้น เปน็ อุปสรรคตอ่ การเล้ยี งลกู ดว้ ยนมแมเ่ มอื่ กลับทำ� งานหรือไมอ่ ย่างไร ตัวอยา่ งการเขียนความส�ำคญั และความเปน็ มาของปญั หาของงานวจิ ยั เชิงทดลองเรื่อง ผลของการ ให้ค�ำแนะน�ำและการติดตามเยย่ี มต่อการปฏบิ ัติการใหน้ มมารดาแก่บุตรในมารดาท่ีท�ำงานนอกบา้ น 1. ความส�ำคญั 1) ขนาดของปัญหา: อุบัตกิ ารณ์/ อตั ราการให้นมมารดาแก่บุตร 2) ผลกระทบของปญั หา: เจ็บป่วยของทารก การเจริญเตบิ โต & พัฒนาการ สัมพันธภาพ เพ่ิม ค่าใชจ้ ่าย 2. ความเปน็ มา สถานการณป์ จั จบุ นั ประโยชน์ 1) การท�ำงานนอกบ้านทำ� ใหก้ ารให้นมมารดาแก่บุตรลดลง 2) สถานการณ์ปญั หาปัจจบุ ันน้ี มารดาท่ตี ้องไปท�ำงานนอกบา้ น ขาดความรู้ 3) ความเข้าใจ ขาดความมั่นใจและขาดทักษะในการผสมผสานเลยี้ งด้วยนมมารดา 4) ขณะต้องกลบั ไปท�ำงาน เมอื่ มปี ญั หาขาดทป่ี รึกษา แนะนำ� และให้การช่วยเหลอื 3. ชอ่ งว่างขององคค์ วามทรี่ ะบไุ ด้วา่ มอี ะไรทีร่ ู้แลว้ และมีอะไรทีย่ งั ไมร่ ู้ ท่ีเปน็ ค�ำถามประเดน็ ท่สี นใจ วจิ ยั ส่ิงที่รู้แล้ว การติดตามและการให้ค�ำแนะน�ำท่ีเหมาะสมและเป็นไปได้ ที่จะน�ำมาใช้ส่งเสริมการเล้ียง บุตรด้วยนมมารดาอย่างต่อเนื่อง และ พยาบาลเป็นบุคลากรสุขภาพท่ีส�ำคัญในการให้ค�ำแนะน�ำและการ ตดิ ตามเยย่ี ม เพอื่ ชว่ ยใหม้ ารดาทราบและเขา้ ใจการเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่ เกดิ ความมน่ั ใจ และสามารถประยกุ ต์ ใช้ถูกต้อง นอกจากน้ีการติดตามเย่ียมน่าจะส่งผลต่อการปฏิบัติอย่างยั่งยืนในการเล้ียงลูกด้วยนมแม่อย่าง ตอ่ เนือ่ ง สง่ิ ทยี่ งั ไมร่ ู้ ทเี่ ปน็ คำ� ถามประเดน็ ทสี่ นใจวจิ ยั เพอื่ พสิ จู นว์ า่ การใหค้ ำ� แนะนำ� และการตดิ ตามเยยี่ มมผี ล ต่อการเพิม่ อตั ราการให้นมมารดาแกบ่ ตุ รในมารดาท่ที �ำงานนอกบา้ นหรอื ไม่ อยา่ งไร การเขยี นวัตถุประสงค์ ค�ำถาม และสมมตุ ิฐานของการวจิ ัย วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั (research objective) : เปน็ ข้อความทีร่ ะบทุ ิศทางของการแสวงหาความ รู้และบอกภาพรวมของเป้าหมายที่ผู้วิจัยต้องการบรรลุ ซ่ึงการเขียนวัตถุประสงค์ของการวิจัยต้องบ่งบอก ถึงพฤติกรรมที่ผู้วจิ ัยจะดำ� เนินการกบั ตัวแปรทเ่ี ปน็ สถานการณ์ท่ีจะศกึ ษา - สำ� รวจการเลย้ี งลกู ด้วยนมแม่ในมารดาทำ� งานหลงั คลอด - เปรยี บเทยี บอัตราการเลี้ยงลกู ดว้ ยนมแมใ่ นมารดาที่ทำ� งานแตกตา่ งกัน - ศึกษาความสมั พันธร์ ะหวา่ งการท�ำงานนอกบ้านกับการเลย้ี งลูกดว้ ยนมแมใ่ นมารดาหลงั คลอด - พฒั นารูปแบบในการสง่ เสรมิ การเล้ยี งดบู ตุ รด้วยนมมารดาสำ� หรบั สตรที ี่ทำ� งานนอกบา้ น 116
ค�ำถามการวจิ ยั (research question): เป็นค�ำถามทผ่ี ้วู จิ ัยตง้ั => สอดคล้องกับสถานการณป์ ัญหา การวจิ ยั และวตั ถปุ ระสงคท์ ต่ี งั้ ไว้ ลกั ษณะคำ� ถามการวจิ ยั ตอ้ งเฉพาะเจาะจง (specific) สนั้ (short) ชดั เจน (clear) คม (sharp) ไมม่ อี คติ (non-bias) สงิ่ สำ� คญั ตอ้ งเปน็ ประโยคคำ� ถาม มกี ารระบตุ วั แปรและประชากร ท่ศี ึกษา และสามารถทำ� วจิ ัยเพอ่ื ตอบปญั หาได้ โดยผลท่ไี ดจ้ ากการวิจัยต้องเปน็ ประโยชน์ ตัวอยา่ งค�ำถามการวิจยั เชน่ การท�ำงานนอกบา้ นสัมพันธก์ บั การเลยี้ งลูกด้วยนมแม่ในมารดาหลัง คลอดหรือไม่ อยา่ งไร สมมุติฐานการวิจยั (hypothesis) ท่ีเป็นข้อความเขียนถงึ ผลการวิจัย ท่ผี ้วู ิจยั คาดวา่ จะไดร้ บั จุดมุ่ง หมายทส่ี ำ� คญั ในการตง้ั สมมตุ ฐิ าน เปน็ การเชอื่ มโยงระหวา่ งทฤษฎกี บั สถานการณจ์ รงิ ทส่ี งั เกต เปน็ การขยาย ขอบความรู้ ซ่ึงเป็นการอนุมานมาจากทฤษฎี ช่วยช้ีทิศทางของการท�ำวิจัยให้ชัดเจน สมมุติฐานการวิจัย อาจจะแบง่ ไดห้ ลายแบบดังนี้ 1. การแบ่งตามความยากง่ายของสมมุติฐาน (simple and complex hypothesis) - สมมตุ ิฐานอยา่ งงา่ ย (simple hypothesis) ทปี่ ระกอบด้วย ตัวแปรตน้ 1 ตัว และ ตัวแปร ตาม 1 ตวั - สมมุติฐานท่ซี บั ซอ้ น (complex hypothesis) ท่ปี ระกอบด้วย ตัวแปรตน้ มากกวา่ 1 ตวั และ ตวั แปรตามมากกว่า 1 ตัว 2. การแบ่งตามทศิ ทางของสมมุติฐาน (directional and non-directional hypothesis) - การระบทุ ศิ ทางของสมมตุ ฐิ าน (Directional hypothesis) เชน่ ความสมั พนั ธท์ างบวก/ ทางลบ - การไมร่ ะบทุ ิศทางของสมมุตฐิ าน (Non-directional hypothesis) เชน่ ปจั จัยต้นและปัจจยั ตามมคี วามสัมพันธก์ นั 3. Research กับ Statistical (Null) hypothesis - Research hypothesis - Statistical (Null) hypothesis เพอื่ ทดสอบหรอื วเิ คราะหท์ างสถติ ิ ลกั ษณะสมมุตฐิ านทีด่ ี ควรสะทอ้ นให้เห็นปญั หาการวิจัยทีด่ ี สามารถทดสอบได้ ควรเขยี นในลกั ษณะ ประโยคบอกเล่า ที่กระชับ ใช้ภาษาเข้าใจง่าย ต้องสอดคล้องกับกรอบแนวคิด ตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของการ ทบทวนเอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวข้อง และระบกุ ลมุ่ ประชากรทีศ่ กึ ษา ตวั อย่างเชน่ การท�ำงานนอกบ้าน มีความสัมพนั ธ์ในทางลบต่อการเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่ในมารดาหลงั คลอด การก�ำหนดตัวแปรในการวิจัย การก�ำหนดตัวแปรที่ดีจะนำ� ไปสู่การสร้างเคร่ืองมือวัด และวิธีการวัด ตัวแปรนั้นๆ อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งตัวแปรในการวิจัย เป็นคุณสมบัติหรือคุณลักษณะของบุคคลหรือ สถานการณ์หรือมโนทศั น์ ท่ตี อ้ งการศึกษาทแี่ ปรค่าได้ ตวั อยา่ งเชน่ - บุคคล เช่น อายุ น�้ำหนัก ส่วนสงู เป็นต้น - สถานการณ์ เช่น การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่ การดูแลสุขภาพชมุ ชน เป็นต้น - มโนทัศน์ เช่น ความรสู้ ึกไม่แน่นอน ความวิตกกังวล เปน็ ต้น ชนดิ ของตวั แปร แบง่ ไดห้ ลายวิธดี ังนี้ 1. การแบ่งตามลักษณะของคา่ ทีว่ ัดได้ 1) Categorical variable เช่น เพศ อาชพี ศาสนา เปน็ ต้น 2) Discrete variable เชน่ ลำ� ดบั การตั้งครรภ์ จำ� นวนบตุ ร เปน็ ต้น 3) Continuous variable เชน่ อายุ น�ำ้ หนกั สว่ นสูง เปน็ ต้น 2. การแบ่งตามความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปร 1) Independent variable (ตวั แปรอิสระ ตัวแปรตน้ ) เชน่ การท�ำงานนอกบ้าน เป็นต้น 2) Dependent variable (ตัวแปรไม่อิสระ ตัวแปรตาม) เช่น การเลี้ยงลูกดว้ ยนมแม่ เปน็ ตน้ การประชมุ วชิ าการนมแม่แหง่ ชาติ คร้ังท่ี 6 117
3) Extraneous variable (ตวั แปรแทรก) เช่น ความเจ็บป่วยของมารดาและทารก ผ้ดู แู ลทารก การท�ำงานของมารดา เป็นตน้ 3. การแบง่ ตามคุณลกั ษณะ 1) Attribute variable คุณลกั ษณะทเ่ี หน็ ชัดอยู่แล้ว เชน่ ขอ้ มูลสว่ นบคุ คล เป็นตน้ 2) Abstract variable คณุ ลกั ษณะทเ่ี ปน็ รปู ธรรมทถี่ กู กำ� หนดขนึ้ เชน่ ความเครยี ด ความวติ กกงั วล เปน็ ต้น ค�ำจำ� กดั ความตัวแปร การให้คำ� จำ� กดั ความตัวแปร โดยทั่วไปมสี องลกั ษณะดังน้ี 1. คำ� จำ� กัดความเชงิ ทฤษฎี (Conceptual definition): คำ� อธบิ ายตัวแปร/ มโนทศั น์ตามความหมาย ที่กลา่ วไว้ในทฤษฎี หรือกรอบแนวคิด ตัวอย่างเช่น การเลยี้ งลูกด้วยนมแม่ หมายถึง การทมี่ ารดาให้นมมารดาเป็นสารอาหารแก่บตุ ร ซ่ึงองค์การอนามัย โลก (WHO) แนะนำ� และสง่ เสริมการใหน้ ำ้� นมแม่ และเน้นวา่ ทารกควรได้รับนำ�้ นมแมอ่ ย่างนอ้ ยทีส่ ุด 6 เดือน โดยใหภ้ ายในชั่วโมงแรกที่ทารกเกดิ และโดยไม่ตอ้ งใหน้ �้ำนมอืน่ ใด หลังจากนั้นใหน้ มแม่ตอ่ ไปร่วมกบั อาหารอ่นื ประมาณ 1-2 ปี 2. คำ� จ�ำกัดในการวิจัย (Research definition): คำ� อธิบายตัวแปร/ มโนทัศน์ ที่สามารถสังเกตหรอื วัดไดอ้ ยา่ งไรในสถานการณท์ จี่ ะทำ� การวิจัย การเล้ียงลูกด้วยนมแม่ในการศึกษานี้ หมายถึง การท่ีมารดาน�ำเอานมแม่ให้บุตรโดยไม่จ�ำกัดวิธีว่า เป็นการใหจ้ ากเตา้ นม หรือบีบน้ำ� นมมารดาเก็บไว้ป้อนให้บุตร ทั้งน้อี าจจะเป็นการให้นมแมร่ ว่ มกับการให้ นมอ่ืนบางคร้งั แต่ตอ้ งมกี ารใหน้ มแม่เปน็ หลกั การใหน้ มอนื่ ต้องไม่เกิน 2 ครงั้ ต่อวัน ตวั อย่างการเขยี นวตั ถปุ ระสงค์ คำ� ถาม สมมตุ ิฐานของการวิจยั และค�ำจ�ำกดั ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย ตวั อย่างการเขยี นวตั ถุประสงค์ ค�ำถาม และสมมุตฐิ านของการวจิ ยั เรอ่ื ง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการ ทำ� งานนอกบา้ นกบั การเลย้ี งลูกด้วยนมแมใ่ นมารดาหลงั คลอด มีดงั นี้ วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั เพอื่ ศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการทำ� งานนอกบา้ นกบั การเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแมใ่ นมารดาหลงั คลอด ค�ำถามการวจิ ยั การท�ำงานนอกบ้านสมั พนั ธก์ ับการเลี้ยงลกู ด้วยนมแม่ในมารดาหลังคลอดหรอื ไม่ อยา่ งไร สมมตุ ิฐาน การท�ำงานนอกบ้านมคี วามสมั พนั ธใ์ นทางลบต่อการเลยี้ งลูกด้วยนมแมใ่ นมารดาหลงั คลอด ค�ำจำ� กดั ท่ใี ช้ในการวิจยั การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หมายถงึ การปฏบิ ัติการให้นมแม่ (รวมทัง้ การใหน้ มแมอ่ ยา่ งเดียวหรือให้ นมผสมรว่ มดว้ ย) ในระยะ 6 เดอื นแรกหลังคลอด ซึ่งประเมินโดยการสอบถามทผ่ี วู้ ิจยั พัฒนาโดย อาศยั แนวคดิ ขององค์การอนามยั โลกได้ก�ำหนดเป็นระยะทมี่ ารดาควรไดร้ บั นมแม่ทอ่ี ยา่ งเดยี ว บทส่งทา้ ย โดยสรุปแล้วงานวิจัยเก่ียวกับการเล้ียงลูกด้วยนมแม่เป็นการพัฒนางานประจ�ำสู่งานวิจัยที่น่าท้าทาย และไม่น่ายากจนเกินไป หากนักวิจัยและบุคลากรสุขภาพทุกท่านท่ีมีความมุ่งม่ันในการพัฒนางานประจ�ำ เพื่อแก้ไขปัญหาในการท�ำงาน ให้มีการเปล่ียนแปลงไปในทางท่ีดีย่ิงข้ึน อันจะส่งผลทั้งตัวผู้วิจัย องค์กร หรอื หนว่ ยงาน ผรู้ บั บรกิ าร และสงั คมในวงกวา้ งตอ่ ไป ดงั นน้ั จงึ กลา่ วไดว้ า่ งานวจิ ยั เกย่ี วกบั การเลยี้ งลกู ดว้ ย นมแมเ่ ปน็ งานวจิ ยั ทพี่ ฒั นามาจากงานประจำ� สงู่ านวชิ าการรบั ใชส้ งั คม ทต่ี อบสนองตามนโยบาย Thailand 4.0 ของรฐั บาล 118
เอกสารอ้างองิ 1. Dennis, C. (2002). Breastfeeding initiation and duration: A 1990-2000 literature review. Journal of Obstetrics Gynecologic and Neonatal Nursing, 31, 12-32. 2. McInnes, R. J., & Chambers, J. A. (2008). Supporting breastfeeding mothers: Qualitative synthesis. Journal of Advanced Nursing, 62(4), 407-427. 3. คณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา. (2550). ประกาศ กพอ. เรื่อง หลกั เกณฑแ์ ละวิธีการพจิ ารณา แต่งตง้ั บุคคลใหด้ �ำรงตำ� แหนง่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550. กรงุ เทพฯ : สำ� นกั คณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา. 4. สุสัณหา ยมิ้ แย้ม. (2545). ปจั จัยทางดา้ นสังคมเศรษฐกจิ วฒั นธรรม และนโยบายที่มผี ลต่อ การปฏบิ ตั กิ ารใหน้ มมารดาแกบ่ ตุ รในมารดาทที่ ำ� งานในเขตจงั หวดั เชยี งใหม.่ รายงานวจิ ยั . เชยี งใหม:่ คณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม.่ 5. สสุ ัณหา ย้ิมแย้ม, อภริ ชั สกุลณียา, มาล ี เอื้ออ�ำนวย, สพุ ณิ ชยั รตั นภวิ งศ์, และจงรักษ์ ชลา นันท.์ (2548) ผลการติดตามเยยี่ มและการใหค้ �ำแนะนำ� ตอ่ การปฏบิ ตั ิการใหน้ มมารดาแก่บุตรในมารดา ท่ีท�ำงานนอกบา้ น. พยาบาลสาร, 32 (2), 61-79. 6. สุสัณหา ยมิ้ แย้ม, และพกิ ลุ ทรพั ย์พนั แสน (2559). การพัฒนาการสนบั สนุนการเลย้ี งบตุ ร ด้วยนมมารดาจากพยาบาลในสตรีที่ท�ำงานนอกบ้าน. รายงานวิจัย. เชียงใหม่: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม.่ 7. สสุ ณั หา ยมิ้ แยม้ , พกิ ลุ ทรพั ยพ์ นั แสน, และศรเี วยี ง ชมุ่ ปนั . (2555). การพฒั นาการสนบั สนนุ การเลีย้ งบตุ รดว้ ยนมมารดาในสถานประกอบการ. วารสารสภาการพยาบาล, 27 (2): 122-132. 8. Yimyam, S. (2004). Multiple Triangulation: A study on breastfeeding experience. Thai Journal of Nursing Research, 8 (4), 294-308. 9. มลู นธิ ศิ นู ยน์ มแมแ่ หง่ ประเทศไทย. 2557. การศกึ ษาชดุ สทิ ธปิ ระโยชนส์ นบั สนนุ การเลย้ี งลกู ดว้ ย นมแมอ่ ย่างเดียวหกเดอื น. รายงานวจิ ยั . กรุงเทพฯ : มูลนธิ ิศนู ยน์ มแมแ่ หง่ ประเทศไทย. 10. สสุ ัณหา ยม้ิ แย้ม, สจุ ติ รา เทยี นสวัสดิ,์ ศิริพร ศรสี วสั ดิ,์ พิกุล ทรพั ยพ์ ันแสน และทอง เหรยี ญ มลู ชพี . (2559). ผลของเครอื่ งดมื่ สมนุ ไพรกระตนุ้ นำ�้ นมแมต่ อ่ การผลติ นำ้� นมในมารดาหลงั คลอด. รายงานวิจัย. เชียงใหม:่ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 11. สสุ ณั หา ยิม้ แย้ม, จนั ทรรัตน์ เจริญสันติ และ โสภา กรรณสตู . (2557). การพฒั นาหนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ มัลติมีเดีย เรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเล้ียงบุตรด้วยนมมารดา. พยาบาลสาร, 41 (4): 70-82. 12. สสุ ัณหา ยมิ้ แย้ม และ โสภา กรรณสตู . (2556). การพัฒนาหนุ่ จำ� ลองเต้านม FON CMU เพื่อการสอนการเล้ียงบุตร ดว้ ยนมมารดา (Developing a FON CMU Breast Model as a Teaching Aid for Breastfeeding) พยาบาลสาร, 40 (4): 58-68. การประชมุ วชิ าการนมแมแ่ หง่ ชาติ ครัง้ ท่ี 6 119
Workshop 2: From Hospital to Community การขับเคลอ่ื นนมแมส่ ชู่ มุ ชน เพ่อื ความยง่ั ยนื กลยทุ ธ์ในการสง่ เสรมิ การเล้ียงลกู ดว้ ยนมแม่ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ จนั ทบรุ ี พว.วาสนา งามการ พยาบาลวิชาชีพช�ำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ จนั ทบรุ ี เปา้ หมายของการส่งเสริมการเลยี้ งลกู ด้วยนมแม่ คือ การส่งเสรมิ ใหเ้ ดก็ ได้รบั นมแมอ่ ยา่ งเดียวอย่าง น้อย 6 เดอื น ไม่ให้อาหารอนื่ ใดเสรมิ แมแ้ ตน่ ำ้� และใหน้ มแมค่ วบคกู่ บั อาหารตามวยั จนถงึ 2 -3 ปี หรือ นานกว่านั้น การที่จะส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ประสบผลส�ำเร็จตามเป้าหมาย จึงเป็นเร่ืองท่ีต้อง วางแผนในการบรหิ ารจดั การงานท่ีดี ซึง่ โรงพยาบาลพระปกเกล้า มกี ารด�ำเนินงานเพื่อประสบความสำ� เร็จ ในการสง่ เสรมิ การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแมจ่ ากโรงพยาบาลสชู่ มุ ชน โดยแบง่ เปน็ กลยทุ ธใ์ นการสง่ เสรมิ การเลย้ี งลกู ด้วยนมแม่ในโรงพยาบาลและกลยุทธ์ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับสถานบริการสาธารณสุขในเครือข่าย และชมรมนมแม่ให้มีความเข้มแข็งให้มามีบทบาทส�ำคัญในการช่วยเหลือแม่ให้ประสบผลส�ำเร็จในการ เลี้ยงลกู ด้วยนมแมด่ งั ต่อไปนี้ กลยุทธ์ในการส่งเสรมิ การเลี้ยงลกู ด้วยนมแม่ในโรงพยาบาล การด�ำเนินงานในโรงพยาบาลมีความส�ำคัญ ต้องด�ำเนินงานอย่างเข้มแข็งและมีการพัฒนางานอย่าง ต่อเนื่อง โดยยึดหลักบันได 10 ขน้ั สูค่ วามส�ำเรจ็ ในการเลีย้ งลกู ดว้ ยนมแม่ ผู้รับผดิ ชอบงานในการส่งเสรมิ การเลย้ี งลูกด้วยนมแม่ของแต่ละโรงพยาบาล ตอ้ งทำ� ความเขา้ ใจในแต่ละประเด็นของบันได 10 ขั้น ซึ่งมี ความหมาย และมีความส�ำคัญ หากได้เข้าใจและยึดถือปฏิบัติตามแนวทาง จะท�ำให้มารดาประสบความ ส�ำเร็จในการส่งเสริมการเล้ียงลูกด้วยนมแม่เพ่ิมขึ้น ซึ่งโรงพยาบาลพระปกเกล้าได้ด�ำเนินการส่งเสริมการ เล้ยี งลกู ดว้ ยนมแมต่ ามบนั ได 10 ข้นั ดังน้ี 1.มีนโยบายการเล้ียงลูกด้วยนมแม่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ส่ือสารกับบุคลากรทางการแพทย์และ สาธารณสขุ ทุกคนไดเ้ ปน็ ประจำ� ได้ท�ำให้นโยบายเปน็ จรงิ และมีการนเิ ทศ กำ� กับ ตรวจสอบอยา่ งต่อเน่ือง ได้แต่งต้ังคณะกรรมการนมแม่ของโรงพยาบาล เพื่อท�ำหน้าท่ีน�ำนโยบายลงสู่การปฏิบัติ วางแผนงานการ รณรงค์ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ปกป้องให้ทารกได้รับนมแม่อย่างน้อย 2-3 ปี บุคลากรเป็นแบบ อยา่ งในการด�ำเนนิ งาน ไมร่ บั บริจาคนมผสม หรอื ซ้ือในราคาถกู ไมส่ ง่ เสริมให้บริษทั นมมาโฆษณานมผสม ในโรงพยาบาล โรงพยาบาลพระปกเกล้าได้ท�ำข้อตกลงในสัญญากับร้านค้าต่างๆ ที่เข้ามาขายสินค้าใน โรงพยาบาลไม่ขายสินคา้ ทเ่ี กย่ี วกบั อาหารทารกและเด็กเลก็ นมผง ขวดนม และหัวนมเทยี มต่างๆ มีการ ตรวจสอบภายใน โดยคณะกรรมการ 5 ส. ตรวจสอบทุก 3 เดือน กรณีพบเอกสาร หรือผลิตภัณฑ์ท่ี เก่ียวข้องกับบริษทั นม ด�ำเนินการแจง้ ให้หัวหนา้ หน่วยงานแก้ไขทันที และในฐานะบุคลากรด้านสาธารณสุข ควรเปน็ แบบอยา่ งท่ีดี 2. ฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกคนให้มีทักษะท่ีจะน�ำนโยบายนี้ไปปฏิบัติ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ จดั อบรมใหค้ วามรเู้ รอ่ื งนมแมแ่ กบ่ คุ ลากรใหม้ คี วามรแู้ ละทกั ษะในการเลย้ี งลกู ดว้ ย นมแม่ ในสาขาสูติกรรมและกมุ ารเวชกรรมไดร้ ับความร้เู รอื่ งนมแม่ครบ 20 ช่ัวโมง และ จดั อบรมทุกปี น�ำ ความรใู้ หมๆ่ หรอื ปญั หาทพ่ี บเพอ่ื พฒั นาความรแู้ ละทกั ษะในการชว่ ยเหลอื แมท่ ที่ นั สมยั อยเู่ สมอ การสง่ ตวั แทน เข้ามาประชุมวิชาการเก่ียวกับการเล้ียงลูกด้วยนมแม่ในเวทีระดับชาติ และน�ำความรู้ท่ีได้รับมาเผยแพร่ 120
แกบ่ ุคลากรในโรงพยาบาล การเรยี นรู้สิง่ ใหมๆ่ หรือนวัตกรรม ตา่ งๆ ทไี่ ดเ้ รยี นรมู้ าเผยแพรใ่ หแ้ กบ่ คุ ลากรในหนว่ ยงาน เชน่ การ กคู้ นื นำ�้ นมแม่ นวตั กรรมสปาเตา้ นม การพฒั นาการนวดเตา้ นม ในการชว่ ยเหลอื มารดา ท่มี ีปญั หาในการเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่ 3.ช้ีแจงให้หญิงต้ังครรภ์ทุกคนทราบถึงประโยชน์และ วิธกี ารเลย้ี งลูกด้วยนมแม่ หนว่ ยงานฝากครรภถ์ อื ว่ามบี ทบาท ส�ำคัญ เพื่อให้มีทัศนคติท่ีดีต่อการเล้ียงลูกด้วยนมแม่ หาก บุคลากรมีทักษะในการให้ความรู้และโน้มน้าวให้หญิงต้ังครรภ์ และครอบครวั เหน็ ถงึ ความสำ� คญั ของการเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแม่ มี ผลตอ่ การเตรยี มตัว ทำ� ให้ความส�ำเรจ็ ของการเลี้ยงลกู ดว้ ยนม แม่เพ่ิมข้ึน ให้ความรู้เร่ืองนมแม่ผ่านทางส่ือวิทยุท้องถ่ิน สื่อ เคเบลิ้ ทวี ใี นพนื้ ท่ี เลอื กประเดน็ ความสำ� คญั ของการเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแมท่ โ่ี ดนใจ เพอ่ื ใหค้ รอบครวั เหน็ ความสำ� คญั วา่ “การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแมไ่ มใ่ ชท่ างเลอื ก” แตเ่ ปน็ สงิ่ สำ� คญั ทที่ ารกควรไดร้ บั นมแมอ่ ยา่ งเดยี วอยา่ งนอ้ ย 6 เดอื น และควรใหน้ มแม่ต่อเนื่องตราบนานเท่านาน 4.ช่วยใหแ้ ม่เริ่มให้ลูกดูดนมภายในคร่งึ ชว่ั โมงแรกหลงั คลอด หากบุคลากรเขา้ ใจและใหค้ วามสำ� คญั ของ นมแม่ และช่วยให้ทารกได้ดูดนมแม่โดยเร็วทันทีหลังคลอด ในทารกท่ีคลอดทางช่องคลอด หากทารกปกติ พยาบาลจะน�ำทารกมาดูดนมแม่ทันทีหลังคลอด ส่วนมารดาที่ผ่าตัดคลอดให้รีบน�ำทารกมาคืนมารดาทันที ภายใน 1 ช่ัวโมงหลังมารดาตอบสนองลูกได้ และคอยช่วยเหลือมารดาให้เล้ียงลูกด้วยนมแม่ขณะท่ียังช่วย เหลอื ตนเองไมไ่ ด้ 5. สอนให้มารดารวู้ ธิ กี ารเลี้ยงลกู ด้วยนมแม่ และวธิ ที ำ� ใหน้ �้ำนมคงมีปรมิ าณเพยี งพอ แมว้ า่ มารดาและ ทารกแยกจากกนั บทบาทนเี้ ปน็ บทบาทสำ� คญั ของพยาบาลหลงั คลอด ควรมกี ารประเมนิ ทง้ั มารดาและทารก เพื่อวางแผนให้ความรู้และฝึกทักษะในการเล้ียงลูกด้วยนมแม่ให้เหมาะสมกับบริบทของมารดาแต่ละราย ประเมนิ ทารก เพราะบางรายมปี ญั หาลน้ิ ตดิ นอกจากนกี้ รณมี ารดาและทารกตอ้ งแยกจากกนั เพราะความเจบ็ ปว่ ย เรื่องความส�ำคัญของนมแมต่ ่อทารกทเ่ี จ็บปว่ ย วธิ เี กบ็ คลงั นมแม่ โดยบบี น้ำ� นมสง่ ทารกทกุ 2-3 ชว่ั โมง และส่งิ สำ� คญั คอื มารดามคี วามมน่ั ใจ สามารถให้นมแม่ไดถ้ กู วธิ ีก่อนจ�ำหนา่ ยออกจากโรงพยาบาล 6.อยา่ ใหน้ ้ำ� หรืออาหารอ่นื แก่ทารกนอกจากนมแมย่ กเวน้ มขี ้อบง่ ชท้ี างการแพทย์ โดยการใชห้ ลัก 3 ดดู การช่วยให้ทารกดูดเรว็ ภายในคร่งึ ช่วั โมงหลังคลอด ดดู บอ่ ยตามตอ้ งการ ช่วยมารดาใหม้ ีน้�ำนมเพยี งพอ แม่ มคี วามม่ันใจก่อนออกจากโรงพยาบาล 7.ใหม้ ารดาและทารกอยดู่ ว้ ยกนั ตลอด 24 ชว่ั โมง ทางโรงพยาบาลไดด้ ำ� เนนิ การใหม้ ารดาหลงั ผา่ ตดั และ ทารกอยู่ด้วยกันทันทีหลังผา่ ตดั ต้ังแตป่ ี พ.ศ. 2539 จนถงึ ปจั จุบนั มีการพัฒนางานการดแู ลทารกตวั เหลือง ดว้ ยเคร่ืองส่องไฟที่หอผูป้ ่วยหลงั คลอดตัง้ แตป่ ี พ.ศ. 2540 โดยกมุ ารแพทยก์ �ำหนดแนวทางการดูแลทารก ตัวเหลอื งใหเ้ ป็นแนวทางเดยี วกัน พัฒนาความรแู้ ละทกั ษะ ใหพ้ ยาบาลหลงั คลอดมีทกั ษะในการประเมินและ ดแู ลทารกตวั เหลอื ง กรณี พบทารกตวั เหลอื ง ดแู ลรกั ษาดว้ ยเครอื่ งสอ่ งไฟ (Photo therapy ) ทห่ี อหลงั คลอด กรณที ารกตอ้ งยา้ ยไปหอกมุ ารเวชกรรมเพอื่ รกั ษาดว้ ยเครอื่ ง Double Photo มเี ตยี งใหม้ ารดาไปนอนเฝา้ ทารก เพอ่ื เลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่ นอกจากนี้ กรณที แี่ มห่ รอื ลกู มปี ญั หารบั สง่ จากโรงพยาบาลตา่ งๆ ในเครอื ขา่ ย ใหส้ ง่ ทารก และมารดามาพรอ้ มกัน เพือ่ ใหอ้ ย่ดู ว้ ยกนั และได้รับนมแม่ต่อเนอ่ื ง 8. สนับสนุนให้ลูกดูดนมแม่ทุกคร้ังท่ีต้องการ โดยให้ความรู้แก่มารดาให้เข้าใจหลักการดังกล่าว โรงพยาบาลได้จดั ท�ำแผนการสอนใหค้ วามรู้เร่ืองนมแม่ควรครอบคลมุ ประเด็นสำ� คัญขอ้ น้ี และประเมนิ ความ เขา้ ใจของมารดาและครอบครวั กอ่ นจ�ำหน่ายออกจากโรงพยาบาล การประชมุ วชิ าการนมแม่แหง่ ชาติ คร้ังท่ี 6 121
9. อย่าให้ทารกดูดหวั นมหลอกหรอื หวั นมปลอม เพราะจะทำ� ใหท้ ารกสบั สน เน่ืองจากกลไกการดดู นมแมแ่ ละดดู นมจากขวดนมตา่ งกนั ทารกทจ่ี ำ� เปน็ ตอ้ งไดน้ มเสรมิ ทางโรงพยาบาล มนี โยบายใช้ Lact-Aid nursing ในการให้นมเสริมแก่ทารก นโยบายข้อน้ีหากขาดการควบคุมก�ำกับที่ดี จะมีการให้นมผงเสริม โดยทาง Lactaid nursing คลนิ กิ นมแมโ่ รงพยาบาลพระปกเกลา้ มกี ารชว่ ยเหลอื โดยการนวดกระตนุ้ ลานนม การประคบรอ้ นแบบสปา การทบทวนการใหน้ มแมท่ ถี่ กู วธิ ี เพอ่ื ใหม้ ารดามนี ำ้� นมมาเพยี งพอกอ่ นจำ� หนา่ ย กรณี มารดาไมม่ นั่ ใจ หรอื นำ�้ นมยงั มานอ้ ย ทางโรงพยาบาลจะไมจ่ ำ� หนา่ ยมารดาและทารกจนกวา่ จะแกป้ ญั หา สำ� เรจ็ มปี ญั หาในการเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่ มแี นวทางสง่ ตอ่ ใหม้ ารดาไปรบั บรกิ ารทค่ี ลนิ กิ นมแม่ และนดั ตดิ ตาม ดแู ลทกั ษะและความมน่ั ใจของมารดาอยา่ งตอ่ เนือ่ ง 10. สง่ เสรมิ ใหม้ กี ารจดั ตงั้ กลมุ่ สนบั สนนุ การเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแมแ่ ละสง่ ตอ่ แมไ่ ปรจู้ กั กบั กลมุ่ ดงั กลา่ ว เมือ่ ออกจากโรงพยาบาลหรอื คลนิ กิ คลนิ ิกนมแมข่ องโรงพยาบาลพระปกเกล้าไดว้ างระบบตดิ ตามรว่ มกับ กลุม่ สนับสนุนแมใ่ นชุมชน หรอื แม่อาสากลุ่มนมแมด่ ังน้ี กลยทุ ธใ์ นการสรา้ งสง่ เสรมิ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จากคลนิ ิกนมแมส่ ่ชู มุ ชนดังนี้ 1.การพฒั นาศกั ยภาพของคลนิ กิ นมแมใ่ หส้ ามารถชว่ ยเหลอื มารดาทม่ี ปี ญั หาในการเลยี้ งลกู ดว้ ยนม แม่ได้ส�ำเร็จ เพอื่ น�ำวชิ าการความรใู้ หม่ๆ นำ� มาพฒั นางาน มีการคดิ นวตั กรรมใหม่มาใชใ้ นการช่วยเหลือ มารดาหลงั คลอด เชน่ นวตั กรรมสปานมแม่ การพฒั นาการนวดเตา้ นม มาใชใ้ นการชว่ ยเหลอื แมท่ ม่ี ปี ญั หา ทอ่ นำ้� นมอดุ ตนั และการพัฒนาการกคู้ นื นำ�้ นมแม่ ด้วยการสปาและนวดเตา้ นม สามารถลดระยะเวลาการ กคู้ ืนนำ้� นมแม่ ลดความทกุ ขย์ ากของมารดา ทารก และครอบครวั 2.การดำ� เนนิ งานคลนิ กิ นมแมเ่ ชงิ รกุ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ มพี น้ื ทที่ ร่ี บั ผดิ ชอบดแู ล ตำ� บลตลาดและ ตำ� บลวดั ใหม่ นดั ตดิ ตามมารดาหลงั คลอดทม่ี ภี มู ลิ ำ� เนาในพน้ื ทท่ี รี่ บั ผดิ ชอบมาประเมนิ เรอ่ื งความรแู้ ละทกั ษะ เรอื่ งนมแมห่ ลงั จำ� หนา่ ยภายใน 2 สปั ดาห์ ในกลมุ่ เสย่ี งนดั ตดิ ตามมาทคี่ ลนิ กิ นมแมภ่ ายใน 7 วนั ประสาน งานกบั หอผปู้ ว่ ยหลงั คลอด 5 หนว่ ยงานใหเ้ ขา้ ใจแนวทางปฏบิ ตั ใิ หเ้ ปน็ แนวทางเดยี วกนั สว่ นมารดาทมี่ ี ภมู ลิ ำ� เนานอกพ้ืนที่ส่งต่อมารดาให้สถานบริการสาธารณสุขติดตามเย่ียมบ้านต่อเนื่อง โดยบันทึกในใบส่ง ต่อเย่ียมบ้านใช้สำ� หรบั การตดิ ตามเยย่ี มบา้ นมารดาและทารก (ใบม.ด.1) และตดิ ตามประเมนิ ผลลพั ธก์ าร ดำ� เนนิ งาน อตั ราการเลี้ยงลูกด้วยนมแมแ่ ตล่ ะพ้นื ที่ ปัญหาทพ่ี บ เพอ่ื นำ� มาพัฒนาระบบวางแผนจ�ำหน่าย ในโรงพยาบาลต่อไป 3.การสง่ ตอ่ ขอ้ มลู มารดาและทารกใหก้ บั สถานบรกิ ารสาธารณสขุ ในพนื้ ท่ี ใหม้ กี ารตดิ ตามเยยี่ มบา้ น มารดาและทารกภายใน 14 วนั หลงั คลอด และเยย่ี มบา้ นตอ่ เนอ่ื งเพอ่ื ตดิ ตามเรอื่ งนมแมแ่ ละอนามยั มารดา และทารก กรณพี บปญั หาทย่ี ากตอ่ การแกไ้ ขรบี สง่ ตอ่ คลนิ กิ นมแมใ่ นพน้ื ทห่ี รอื คลนิ กิ นมแมข่ องโรงพยาบาล พระปกเกลา้ 4. การสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มสนับสนุนการเล้ียงลูกด้วยนมแม่ในชุมชนให้เข้ามามีบทบาท ส�ำคัญในการส่งเสรมิ การเลย้ี งลกู ด้วยนมแม่ 4.1 แนวทางในการกอ่ ต้ังกลุ่มสนบั สนุนแม่ในชุมชน 122
4.1.1 พยาบาลอาสาช่วยแม่ในชุมชนเป็นเร่ืองยากท่ีจะให้ประชาชนท�ำ เราต้องอาสาท�ำให้ ประชาชนเหน็ กอ่ น พยาบาลทเี่ ปน็ แกนนำ� การสง่ เสรมิ นมแมข่ องโรงพยาบาล (มสิ นมแม)่ ท�ำหน้าท่ีเป็นพยาบาลอาสาช่วยเหลือแม่ที่มีปัญหานมแม่ในชุมชนหลังจ�ำหน่าย ออกจากโรงพยาบาล หากแมม่ ีปัญหาในการเล้ยี งลกู ด้วยนมแม่ ไม่สามารถให้นมแม่ ได้ ถือเป็นภาวะวิกฤติ ท่ีต้องรีบช่วยเหลือโดยการเปิดให้บริการสายด่วนนมแม่ 0898314673 ไอดไี ลน์ 0922486697 face book วาสนา งามการ นมแม่ e mail: [email protected] และเบอรค์ ลินกิ นมแม่ 039319666 ต่อ 3458 การใหบ้ รกิ ารจะช่วยลดปัญหาไดก้ อ่ นยากตอ่ การแกไ้ ข มีภาพและวดิ โิ อประกอบ ช่วย ให้เกิดความเข้าใจดีกว่าการให้ค�ำแนะน�ำผ่านทางโทรศัพท์อย่างเดียว แต่การส่งต้อง ระวงั เรอ่ื งการเปิดเผยความลับ และสทิ ธิ นอกจากนี้ เมื่อพบว่ามปี ัญหาซบั ซอ้ นตอ้ งรีบช่วยเหลอื นดั ใหบ้ รกิ ารในช่วง เชน่ มารดาทที่ อ่ นำ�้ นมอดุ ตนั เตา้ นมอกั เสบไมส่ ามารถระบายนมออกมาได้ การทพี่ ยาบาล อาสานมแมส่ ามารถเปดิ ชอ่ งทางชว่ ยเหลอื จะสามารถใหท้ ารกไดร้ บั นมแมต่ อ่ เนอื่ ง แมว้ า่ เปน็ เรอื่ งยากเนอ่ื งจากตอ้ งรบั ภาระครอบครวั ของตนเองในชว่ งนอกเวลางาน แตส่ ามารถ ประเมินความรีบด่วน ในการชว่ ยเหลือในแต่ละราย เท่าทส่ี ามารถดำ� เนินการได้ กรณที ี่พบมารดาไมม่ นั่ ใจ แต่รีบกลับบา้ นเพราะ มีขอ้ จ�ำกัด นดั ติดตามช่วยเหลอื จนส�ำเรจ็ และประสานขอ้ มลู กับพนื้ ทใี่ ห้ตดิ ตามดูแลตอ่ เนอ่ื ง โรงพยาบาลพระปกเกลา้ มีพยาบาลท่ีรับผิดชอบเรื่องนมแม่ประจ�ำหน่วยงานได้รวมตัวกันเป็นพยาบาลอาสา ชว่ ยเหลอื มารดาทม่ี ปี ญั หาในการเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแม่ บางรายใหค้ ำ� ปรกึ ษาทางโทรศพั ท์ และใหบ้ รกิ ารช่วยเหลือทบ่ี า้ น 4.1.2 การสร้างกลุ่มสนบั สนุนแมจ่ ากมารดาทปี่ ระสบความสำ� เร็จ ในการเลีย้ งลูกด้วยนมแม่ พยาบาลคลินิกนมแม่ มีโอกาสได้ให้บริการช่วยเหลือให้มารดากลับมาเลี้ยงลูกด้วย นมแมส่ ำ� เรจ็ ทำ� ใหเ้ กดิ ความศรทั ธาในการทำ� งาน ไดช้ กั ชวนใหม้ ารดามารว่ มมอื กนั เปน็ กลมุ่ สนบั สนนุ แมใ่ นชมุ ชนชว่ ยเหลอื มารดาหลงั คลอดในพน้ื ทต่ี อ่ ไป เชน่ ผบู้ รหิ ารโรงแรม เคพแี กรนด์ ทม่ี ปี ญั หานำ�้ นมแหง้ เพราะลกู ไดร้ บั นมขวดตงั้ แตอ่ ยโู่ รงพยาบาล หลงั จาก กู้คนื นมแม่ส�ำเรจ็ ได้ก่อตงั้ ชมรมนมแมโ่ รงแรมเคพีแกรนด์ เปน็ ต้น คณุ อภริ ดี ศิรวิ จิ ิตรกลุ ผ้กู อ่ ตง้ั ชมรมนมแม่ในพ้นื ท่ีโรงแรมเคพแี กรนด์ การประชุมวชิ าการนมแมแ่ หง่ ชาติ คร้งั ท่ี 6 123
4.1.3 การสรา้ งกลมุ่ สนบั สนนุ แมจ่ ากญาติ พน่ี อ้ ง เพอ่ื นๆ เมอื่ มบี คุ คลในครอบครวั คลอดบตุ ร ใชโ้ อกาสความใกล้ชิดใหค้ วามชว่ ยเหลอื ตดิ ตามให้ประสบความส�ำเร็จในการเลี้ยงลูก ดว้ ยนมแม่ และชักชวนให้เข้ามารวมตวั กนั เป็นกลุม่ สนับสนุนแมต่ อ่ ไป ครอบครวั ของ พยาบาลนมแมเ่ ปน็ ทหารเรอื ในพน้ื ทก่ี องพนั ทหารราบท่ี 2 คา่ ยตากสนิ ใหก้ ารสนบั สนนุ ชว่ ยเหลอื มารดาในพนื้ ทค่ี า่ ยตากสนิ ใหเ้ ลยี้ งลกู ดว้ ยนมแมส่ ำ� เรจ็ และรวมตวั เปน็ ชมรม นมแม่ในพน้ื ทคี่ า่ ยตากสนิ กอ่ ต้งั ส�ำเรจ็ ครงั้ แรกในปี 2546 4.1.4 การขยายเครือข่ายกลุ่มสนับสนุนแม่โดยขอความร่วมมือกับสถานบริการสาธารณสุข ในพนื้ ท่ี โดยออกดำ� เนนิ การเชงิ รกุ ใหข้ อ้ มลู แกผ่ บู้ รหิ ารของโรงพยาบาลสง่ เสรมิ สขุ ภาพ ตำ� บล องคก์ รบรหิ ารสว่ นทอ้ งถนิ่ อาสาสมคั รสาธารณสขุ ประจำ� หมบู่ า้ น และ ประชาชน ในพืน้ ทอี่ ำ� เภอเมอื ง จ.จนั ทบุรที �ำใหเ้ กดิ เครือข่ายกลุ่มสนับสนนุ แมใ่ นชมุ ชนเพมิ่ ข้ึน จากการดำ� เนนิ งานดงั กลา่ วทำ� ใหเ้ กดิ เครอื ขา่ ยกลมุ่ สนบั สนนุ ในชมุ ชนในเครอื ขา่ ย ของโรงพยาบาลพระปกเกลา้ จำ� นวน 15 ชมรม ไดแ้ ก่ ชมรมนมแมพ่ น้ื ทกี่ องพนั ทหารราบ ท่ี 2 คา่ ยตากสนิ พน้ื ทเี่ ทศบาลตำ� บลเกาะขวาง สตรอี าสาพฒั นานมแม่ เทศบาลเมอื ง เทศบาลเมอื งทา่ ชา้ ง อ.บ.ต.ทา่ ชา้ ง เทศบาลคลองนารายณ์ เทศบาลหนองบวั ตำ� บลพลวิ้ โรงแรมเคพีแกรนด์ ห้างโรบินสัน พื้นท่ีค่ายเนินวง ยุวทูตนมแม่วิทยาลัยพยาบาล พระปกเกลา้ ยวุ ทตู นมแมโ่ รงเรยี นศรยี านสุ รณ์ (ชน้ั มธั ยมทเี่ รยี นสายวทิ ยส์ าธารณสขุ ) และชมรมนมแม่ในบุคลากรโรงพยาบาลพระปกเกลา้ 5. กลยทุ ธใ์ นการสรา้ งความเขม้ แขง็ ใหก้ บั ชมรมนมแมใ่ หเ้ ขา้ มามบี ทบาทสำ� คญั ในการชว่ ยเหลอื และ แกไ้ ขปญั หาเรือ่ งนมแมแ่ ละอนามยั แม่และเด็กในพืน้ ทีม่ ีดังนี้ 5.1. การใหค้ วามรเู้ รอื่ งนมแมแ่ ละการดแู ลอนามยั มารดาและทารกอยา่ งตอ่ เนอ่ื งทกุ ปี โดยนำ� ความรู้ ท่ีจ�ำเป็น เรื่องท่ีเป็นปัญหาจากการด�ำเนินงานในรอบปีท่ีผ่านมา มาจัดอบรมให้ความรู้แก่ ชมรมนมแม่ โรงพยาบาลพระปกเกล้าได้จัดท�ำแผนของบประมาณในการด�ำเนินงานพัฒนา ชมรมอย่างต่อเนอ่ื ง 5.2. การฝกึ ทกั ษะพน้ื ฐาน ทกั ษะในการแกไ้ ขปญั หาทพ่ี บบอ่ ยในการเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแมเ่ พอ่ื ใหช้ มรม นมแมส่ ามารถนำ� ไปชว่ ยเหลอื มารดาในพน้ื ทไ่ี ด้ โดยประสานกบั ผดู้ แู ลหรอื แกนนำ� ชมรมนมแม่ ในพน้ื ทจี่ ดั เวลาแบง่ กลมุ่ ขนึ้ มาปฏบิ ตั งิ านชว่ ยเหลอื มารดาหลงั คลอดทโี่ รงพยาบาลพระปกเกลา้ ทคี่ ลินกิ นมแม่ ซ่งึ มีกจิ กรรมตอ่ เน่ืองทุกปี ทำ� ให้ชมรมนมแม่มีประสบการณ์เพิม่ ขน้ึ สามารถ ชว่ ยเหลอื มารดาทมี่ ปี ญั หานมแมเ่ บอ้ื งตน้ ได้ จากการดำ� เนนิ งานฝกึ อบรมอยา่ งตอ่ เนอ่ื งชมรม นมแมส่ ามารถทบทวนทกั ษะทจ่ี ำ� เปน็ เชน่ ทา่ อมุ้ การอมทถี่ กู วธิ ี การตรวจและแกไ้ ขหวั นมลานนม แกนนำ� ชมรมนมแมบ่ างพนื้ ทส่ี ามารถแกไ้ ขปญั หานมแมท่ ม่ี ปี ญั หานมคดั นำ้� นมนอ้ ยลง โดยการ ประคบร้อนแบบสปา รว่ มด้วย 5.3 การจัดกิจกรรมแลกเปล่ียนเรียนรู้ให้กับชมรม มีการพบปะแลกเปล่ียนประสบการณ์ทุก 1-3 เดือน เพือ่ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ในการท�ำงาน การพาไปศกึ ษาดูงานนอกพ้นื ที่ การ จดั กจิ กรรมนำ� เสนอผลงานประจำ� ปี การชนื่ ชมผลสำ� เรจ็ ในการดำ� เนนิ งานของชมรมฯ นอกจาก จะเพิม่ ประสบการณใ์ นการท�ำงาน ยงั เป็นการเพิม่ ก�ำลงั ใจในการท�ำงานใหก้ ับชมรมอกี ดว้ ย 5.4. การลงพน้ื ทช่ี ว่ ยเหลอื เมอ่ื เกดิ ปญั หาการทำ� งานในชมุ ชน โดยพยาบาลคลนิ กิ นมแม่ ทำ� ใหช้ มรม เกดิ ความมน่ั ใจและสามารถท�ำไดใ้ นคร้งั ต่อไป เป็นการจัดการความรทู้ ไ่ี ดผ้ ลดี 5.5. การผลกั ดนั ใหผ้ บู้ รหิ ารขององคก์ รบรหิ ารสว่ นทอ้ งถน่ิ เขา้ มาสนบั สนนุ การดำ� เนนิ งานของชมรม เพื่อให้เกิดความยั่งยืน พยาบาลคลินิกนมแม่ได้ด�ำเนินการเข้าพบผู้บริหารของโรงพยาบาล 124
สง่ เสรมิ สขุ ภาพตำ� บล และนายกเทศมนตรขี องแตล่ ะพน้ื ท่ี เพอ่ื ใหก้ ารสนบั สนนุ การดำ� เนนิ งาน ของชมรมอย่างต่อเน่ือง จนก�ำหนดเป็นงบประมาณในการสนับสนุนประจ�ำปีอย่างต่อเน่ือง ทำ� ใหช้ มรมมีงบประมาณในการด�ำเนนิ งาน ตดิ ตามเยย่ี มบ้าน การจัดกจิ กรรมเชิงรกุ ในชมุ ชน เช่นการเยี่ยมรณรงค์หญิงต้ังครรภ์มาฝากครรภ์เร็ว เยี่ยมบ้านหลังคลอดทุกเดือน การจัด กจิ กรรมเชดิ ชเู กยี รตมิ ารดาทใี่ หน้ มแมส่ ำ� เรจ็ 6 เดอื น รวมทง้ั กจิ กรรมสง่ เสรมิ พฒั นาเดก็ เปน็ ตน้ 5.6. การประชาสัมพันธ์การท�ำงานของชมรมผ่านส่ือทีวีท้องถ่ิน เพ่ือเป็นการชื่นชมให้คนดี ได้มี กำ� ลงั ใจในการทำ� งานตอ่ ไป เพราะการทำ� งานชว่ ยเหลอื เรอ่ื งนมแม่ เปน็ งานทตี่ อ้ งดแู ลตอ่ เนอื่ ง ชมรมนมแม่ เราไมส่ ามารถใชเ้ งนิ ซอื้ เวลาใหเ้ ขาเขา้ มาทำ� งานได้ แตก่ ารใหก้ ารยอมรบั และการ ใหส้ งั คมในพนื้ ทรี่ บั ทราบเกย่ี วกบั การทำ� งานของชมรมนบั วา่ มคี วามสำ� คญั ทำ� ใหช้ มรมนมแม่ ในพ้นื ทีย่ งั มกี ารดำ� เนนิ งานอยา่ งตอ่ เนอื่ ง 5.7. การดแู ลสวสั ดกิ าร ขวญั กำ� ลงั ใจ ชมรมนมแมค่ อื บคุ ลากรทมี่ คี วามสำ� คญั ควรรว่ มมอื กบั ผบู้ รหิ าร แตล่ ะพน้ื ที่ การเยย่ี มเมอ่ื ครอบครวั ชมรมเจบ็ ปว่ ย รว่ มงานสำ� คญั เปน็ การสรา้ งสายใยการทำ� งาน ระหว่างบุคลากรในโรงพยาบาลและชมรมนมแมใ่ นพื้นท่ี กลมุ่ สนบั สนนุ แมใ่ นชมุ ชน หรอื แมอ่ าสากลมุ่ นมแมข่ องโรงพยาบาลพระปกเกลา้ เกดิ ขนึ้ ครงั้ แรก ตลุ าคม 2546 ในพน้ื ทกี่ องพนั ทหารราบที่ 2 คา่ ยตากสนิ และขยายเครอื ขา่ ยมากถงึ 15 ชมรม จากการดำ� เนนิ งาน ในการพัฒนาชมรมนมแม่อย่างต่อเน่ือง วันน้ีโรงพยาบาลพระปกเกล้า เห็นผลลัพธ์ชัดเจนว่า การสร้าง ความเข้มแข็งให้กับชมรมนมแม่ให้เข้ามามีบทบาทส�ำคัญในการแก้ไขปัญหาเร่ืองนมแม่และอนามัยมารดา และทารกนนั้ เกดิ ขนึ้ ไดจ้ รงิ การดแู ลอนามยั มารดาและทารก การตดิ ตามเยย่ี มบา้ นมารดาและทารกหลงั คลอด มารดาที่เป็นเบาหวานขณะต้ังครรภ์ได้รับการดูแลให้มีการปฏิบัติตามแผนจ�ำหน่าย รณรงค์ให้ได้รับนมแม่ อย่างน้อย 2 ปี มีการส่งต่อประสานขอ้ มูลการดแู ลมารดาหลังคลอดระหวา่ งคลินิกนมแมก่ ับชมรมนมแม่ ในเครอื ขา่ ยเพอ่ื ชว่ ยเหลอื มารดาในพนื้ ทท่ี รี่ บั ผดิ ชอบเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแมส่ ำ� เรจ็ เปน็ การสง่ เสรมิ การเลยี้ งลกู ด้วยนมแมแ่ บบครบวงจรในจังหวัดจนั ทบุรี 6. การประสานงานผลกั ดนั เชิงนโยบาย โดยการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ปญั หาทพี่ บจากการปฏิบัติงาน สรุปรายงานให้กับผบู้ รหิ ารในโรงพยาบาล และองคก์ รบริหารสว่ นทอ้ งถ่นิ ทีเ่ ก่ียวขอ้ งรับทราบเพือ่ การพัฒนาต่อเน่อื ง โดยร่วมเป็นคณะกรรมการงาน อนามยั แมแ่ ละเดก็ จงั หวดั จนั ทบรุ ี และผลกั ดนั ใหม้ กี ารจดั ตงั้ คณะกรรมการอนามยั แมแ่ ละเดก็ ระดบั อำ� เภอ โดยให้ผ้อู ำ� นวยการทุก รพ.สต. 14 แห่ง เปน็ คณะกรรมการ ผแู้ ทนจากสาธารณสุขอำ� เภอเปน็ กรรมการ รวมทงั้ ตวั แทนจากชมรมนมแมเ่ ขา้ รว่ มเปน็ คณะกรรมการ มกี ารประชมุ ตดิ ตามงานทกุ 3 เดอื น โดยนำ� ปญั หา ทพ่ี บจากการดำ� เนนิ งาน มารว่ มกนั จดั ทำ� แผนพฒั นางานทเ่ี ปน็ ปญั หาในการสง่ เสรมิ การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่ และปัญหางานอนามัยในพ้นื ที่ต่อไป จากปัญหาการส่งเสรมิ การเล้ียงลกู ดว้ ยนมแมใ่ นประเทศไทย ทีย่ ังพบว่าอตั ราการเลยี้ งลกู ด้วยนมแม่ ยังต่�ำกวา่ เปา้ หมาย การท่ีจะใหก้ ารส่งเสรมิ การเลยี้ งลกู ด้วยนมแม่ให้สำ� เร็จ ตอ้ งเร่มิ จากการใหค้ วามรูแ้ ก่ มารดาและครอบครวั ใหเ้ หน็ ความสำ� คญั วา่ การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแมไ่ มใ่ ชท่ างเลอื ก การสง่ เสรมิ การเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแมใ่ นโรงพยาบาล ตอ้ งยดึ หลกั บนั ได 10 ขนั้ และควบคมุ กำ� กบั ใหน้ โยบายทป่ี ระกาศเปน็ จรงิ ตลอด จนการพัฒนาคลนิ กิ นมแม่ให้มศี ักยภาพ ใหส้ ามารถช่วยเหลือมารดาหลงั คลอด ในกลมุ่ มารดาหลงั คลอดท่ี มีปัญหาได้ส�ำเร็จ และใช้กลยุทธ์สร้างความเข้มแข็งให้กับชมรมนมแม่ให้เข้ามามีบทบาทส�ำคัญในการช่วย เหลอื และแกไ้ ขปญั หาเรอื่ งนมแมแ่ ละอนามยั แมแ่ ละเดก็ ในพนื้ ทร่ี ว่ มกบั องคก์ รบรหิ ารสว่ นทอ้ งถน่ิ แตล่ ะพน้ื ท่ี รวมท้ังการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรสาธารณสุขในเครือข่ายให้มีความรู้และทักษะในการช่วยเหลือแม่ รว่ มกบั การตดิ ตามขอ้ มลู ปญั หาและพฒั นารว่ มกนั อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง หากทกุ พนื้ ทไ่ี ดน้ ำ� แนวทางดงั กลา่ วไปขยาย ผล การเลย้ี งลูกด้วยนมแม่ในประเทศไทยคงประสบความส�ำเรจ็ เพ่มิ ข้ึน การประชุมวิชาการนมแม่แห่งชาติ คร้ังที่ 6 125
Workshop 3: From KMC to safe Baby wearing ประสบการณ์ตรงคณุ แม่ : การใช้เป้อมุ้ ลกู นาง พณี ภัทร์ รุจเิ กียรตขิ จร (คุณแมแ่ พท) วา่ ดว้ ยการใชเ้ ปอ้ มุ้ ลกู มปี ระโยชนก์ บั คณุ แมอ่ ยา่ งดฉิ นั มากๆ เลยคะ่ สามารถใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั ในการทำ� กิจกรรมในแตล่ ะวัน ซง่ึ ดิฉันนั้นมองวา่ จ�ำเป็นอยา่ งมาก เมอ่ื ลกู เรมิ่ คลอดออกมา ดฉิ นั อมุ้ ลกู ทกุ วนั นง่ั ใหน้ มเปน็ เวลานานๆ เรมิ่ รสู้ กึ ปวดแขนมาก พอเรมิ่ โตนำ้� หนกั กเ็ รม่ิ เพมิ่ ขน้ึ เรอ่ื ยๆ เวลาอมุ้ ออกไปไหนมาไหน รสู้ กึ ปวดแขนเปน็ อยา่ งมาก บางครง้ั ตอ้ งออกไปทำ� ธรุ ะตามที่ ตา่ งๆ กลวั วา่ จะไมป่ ลอดภยั ตอ่ ลกู นอ้ ย ดฉิ นั จงึ อยากไดเ้ ปส้ ะพายเดก็ จงึ บอกกบั สามวี า่ เราควรมเี ปไ้ วอ้ มุ้ ลกู เพอื่ ความสะดวกและความปลอดภยั ในการไปไหนมาไหนนะ เมอ่ื ซอื้ มากต็ กใจกบั ราคานดิ หนอ่ ย แตค่ มุ้ คา่ มากๆ ดฉิ นั เรมิ่ ใชเ้ ปค้ รง้ั แรก เมอ่ื นอ้ งโนเบลอายุ 2 เดอื น เปช้ น้ิ นส้ี ามารถตอบโจทยไ์ ดด้ ี มที บ่ี ลอ็ กคอ หอ่ ตวั มที ่ี คลมุ กนั แดด ซงึ่ ปลอดภยั ในการถกู กระแทกไดค้ ะ่ และตอนทฉ่ี นั ไดล้ องสะพายลกู กบั เปค้ รง้ั แรก กร็ สู้ กึ ไดท้ นั ที วา่ ลกู ตวั เบามาก คนขายบอกวา่ เปช้ นิ้ นี้ ไดถ้ กู ออกแบบมารองรบั นำ�้ หนกั ตวั ของลกู นำ้� หนกั ไดถ้ กู กระจายไปยงั สว่ นอ่นื ๆ จงึ ท�ำให้ไมร่ ูส้ ึกหนัก และทำ� ให้มือสองขา้ งของฉันเป็นอสิ ระ สามารถออกไปเดนิ ช้อปป้งิ ถือของ ขนึ้ รถไฟฟา้ ไปไหนมาไหนกบั ลกู ไดอ้ ยา่ งสบายใจ จากนนั้ กเ็ รมิ่ พาลกู ออกไปในทกุ ๆ ท่ี ทดี่ ฉิ นั อยากจะไป มนั ท�ำใหด้ ฉิ นั มคี วามสขุ กับลูกไดม้ ากขนึ้ การเลี้ยงลูกดว้ ยนมแม่ ไม่ได้เปน็ อปุ สรรคในการใชเ้ ปเ้ ลย ลกู สามารถดดู นมในขณะทอ่ี ยใู่ นเป้ได้ ดิฉนั มีความภูมิใจเป็นอย่างมาก ปจั จบุ นั โนเบลอายุ 2 ขวบแลว้ คะ่ นมแมล่ ว้ น ทกุ ทท่ี กุ เวลา ไมง่ อแง ดดู นมเสรจ็ กห็ ลบั อยบู่ นตวั แมต่ ลอด เลยี้ งงา่ ยมากๆ ลกู ไดร้ บั ความอบอนุ่ อยใู่ นออ้ มอกของแม่ ไดส้ มั ผสั อยตู่ ลอดเปน็ การฝกึ ประสาทสมั ผสั ในการจบั บบี มองหนา้ พดู คยุ สบตา สอ่ื สารกนั อยา่ งมคี วามสขุ สง่ ผลทำ� ใหเ้ ดก็ อารมณด์ ี ยมิ้ หวั เราะไปพรอ้ มกบั คณุ แม่ ดิฉนั เร่ิมพาลูกออกไปเทย่ี ว สมั ผัสกับธรรมชาติ เช่น การเดินป่า ชมน้�ำตก ไปกางเต็นท์นอนบนเขา ตามดอยต่างๆ ดทู ะเลหมอก ไปทะเล แม้การเดนิ ในห้างสรรพสินคา้ สะพายลกู ไป ไมต่ อ้ งกลวั ลูกหาย เดนิ ไปทำ� ของเสยี หาย หรือ ตกบันไดเลื่อน ฉนั พาลกู ไปท�ำงานดว้ ยกนั น้องโนเบลไปขายทุเรยี นกบั คุณแมต่ ้ังแต่ 2 เดอื น ชว่ ยคณุ พอ่ ทำ� งาน ดฉิ นั จดั ทใ่ี หล้ กู นอนในใตแ้ ผงทเุ รยี น โดยมแี ผน่ รองคลาน เปดิ พดั ลมแอร์ ในนนั้ มขี องเลน่ สมดุ นทิ าน และรปู ภาพ คำ� ศัพท์ต่างๆ สอนลกู เลน่ กับลกู ในบางชว่ ง เมอื่ เล่นเสรจ็ ลกู ขอดูดนมแม่ และนอนหลบั ในตอนกลางวนั เรามีเวลาอยู่ด้วยกัน ดฉิ ันสามารถช่วยงานสามไี ด้ ทำ� งานไปเล้ียงไป เหน่อื ยหน่อย แต่สนุกและมคี วามสุขคะ่ บางวนั แดด ร้อน ฝนตก เรากช็ ว่ ยกนั ท�ำ เพราะ ลกู คือ ก�ำลงั ใจทดี่ ีทส่ี ุดส�ำหรับครอบครัวคะ่ อยากเป็นกำ� ลงั ใจให้กับคุณแม่ทุกๆ ท่านค่ะ ใหต้ อ่ สู้ อดทนกับอปุ สรรค ปัญหาตา่ งๆ ดูแลและใสใ่ จ ลูกน้อยให้ได้รบั ความรกั ความอบอ่นุ อยู่เสมอ เพ่ือลกู จะได้มีพฒั นาการทีส่ มบรู ณ์ เตบิ โตอย่างแขง็ แรง ทงั้ สขุ ภาพกายและจิตใจ ดฉิ ันเชือ่ วา่ ...นค่ี ือสิ่งที่คณุ แมท่ กุ คนปรารถนาคะ่ 126
From kangaroo mother care to safe baby wearing พว. หทยั ทิพย์ โสมด�ำ สถาบันสขุ ภาพเดก็ แห่งชาตมิ หาราชินี การสัมผัสทารกผ่านการโอบกอดและการอุ้ม เป็นสิ่งที่ทารกทุกคนต้องการเพราะแสดงออกถึงความ รกั และความหว่ งใย โดยเฉพาะทารกทมี่ ภี าวะการเจบ็ ปว่ ยหรอื ทารกคลอดกอ่ นกำ� หนดทต่ี อ้ งแยกจากมารดา ควรไดร้ บั การโอบกอดและการอมุ้ มากขนึ้ เปน็ พเิ ศษ เนอ่ื งจากไมไ่ ดอ้ ยใู่ นมดลกู ทเ่ี หมาะสมนานเพยี งพอและ มภี มู คิ มุ้ กนั นอ้ ย วธิ กี ารโอบกอดแบบเนอื้ แนบเนอื้ และการอมุ้ มผี ลดมี ากกวา่ การใหท้ ารกนอนอยใู่ นตอู้ บเพยี ง อยา่ งเดียว สิง่ ทมี่ ารดา บิดาและสมาชิกในครอบครวั ท�ำจะส่งผลให้ภาวะการเจ็บปว่ ยและอาการตา่ ง ๆของ ทารกดีข้ึนตามล�ำดับและสามารถท�ำได้ตลอดเวลาจนกระทั้งกลับบ้าน อีกท้ังยังมีการพัฒนาการใช้ผ้าให้ สามารถโอบกอดและอมุ้ ทารกทำ� กจิ กรรมตา่ ง ๆร่วมกนั ไดเ้ พื่อให้ทุกคนรสู้ กึ ว่าการโอบกอดและการอุ้มเป็น สงิ่ ทพี่ งึ ปฏิบตั เิ ป็นกจิ ประจ�ำวันและสามารถใช้ชวี ติ ตามปกตไิ ด้ แนวโน้มการคลอดก่อนก�ำหนดท่ีเพิ่มข้ึน มีความสัมพันธ์กับอัตราการตายของทารกแรกเกิด ทารก คลอดกอ่ นกำ� หนดและทารกคลอดกอ่ นกำ� หนดนำ้� หนกั ตวั นอ้ ย จงึ เปน็ ภาระของระบบสขุ ภาพและสงั คมของ ทกุ ประเทศ ประเทศทม่ี สี ภาพทางเศรษฐกจิ สงั คมทด่ี จี ะสง่ ผลตอ่ การดำ� เนนิ ชวี ติ และโภชนาการการตงั้ ครรภ์ ที่ดี มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการดูแลทารกแรกเกิดท่ีทันสมัยมีความเช่ียวชาญสูง ในประเทศท่ีก�ำลัง พฒั นาจะมีอัตราของทารกคลอดกอ่ นก�ำหนดนำ้� หนักตัวนอ้ ยทีเ่ กิดจากการคลอดก่อนกำ� หนดและการเจรญิ เติบโตของทารกในครรภท์ ผี่ ดิ ปกติสงู ความขาดแคลนด้านเทคโนโลยีทางการแพทยท์ �ำใหเ้ กดิ ความทา้ ทาย ในการดแู ลทารกคลอดก่อนกำ� หนดและทารกคลอดก่อนก�ำหนดน้ำ� หนกั ตวั นอ้ ย ในปคี ศ.1978 Dr. Edgar Rey ไดม้ แี นวคิดท�ำ Kan- garoo Mother Care ในทารกคลอดกอ่ นก�ำหนดและทารก คลอดก่อนก�ำหนดน�้ำหนักตัวน้อย เพ่ือให้ความอบอุ่นกับ ร่างกายและวิธีการนี้ยังประสบความส�ำเร็จในการลดอัตรา การตายของทารกคลอดกอ่ นกำ� หนดและลดความเสย่ี งในการ ติดเช้อื ในโรงพยาบาล ปคี ศ.1979 Dr. Edgar Rey and Dr. Hector Martinez ได้มีการนำ� เสนอวธิ ีการท�ำ Kanga- roo Mother Care ครงั้ แรกท่ี Bogota ประเทศโคลมั เบยี ซึ่งเป็นวิธีการท่ีได้พัฒนามาเพ่ือเป็นทางเลือกในการดูแล ทารกคลอดกอ่ นทมี่ นี ำ�้ หนกั ตวั นอ้ ยแทนการใช้ incubator ที่ มรี าคาตน้ ทนุ สงู โดยปกติตอู้ บจะแยกทารกออกจากมารดา ในระหวา่ งทร่ี ับการดแู ล แตใ่ นทางตรงกันข้ามหากทารกไดม้ ี การทำ� Kangaroo Mother Care ในระหวา่ งท่รี ับการดแู ล การท�ำ Kangaroo Mother Care จะชว่ ยตอบสนองความ ต้องการของทารกในเรื่องความอบอุ่น การเล้ียงลูกด้วยนม แม่ การปอ้ งกนั จากการตดิ เชอื้ ความปลอดภยั และความรกั การประชุมวชิ าการนมแม่แหง่ ชาติ คร้งั ท่ี 6 127
การท�ำ Kangaroo Mother Care ขึ้นอยกู่ บั ความพร้อมของมารดาและทารกในแตล่ ะราย มารดาทกุ คนสามารถทำ� Kangaroo Mother Care ได้ โดยไมต่ อ้ งคำ� นงึ ถึง อายุ การศกึ ษา วัฒนธรรมและศาสนา เรม่ิ จากการอธบิ ายวธิ ีการท�ำ Kangaroo Mother Care กบั มารดาและครอบครวั อย่างละเอียด อธบิ ายถึง ข้อดแี ละเหตผุ ลของการทำ� เพ่ือให้มารดาและครอบครวั ไดม้ ีการตดั สนิ ใจและเต็มใจในการทำ� อย่างมขี ้อมลู และไม่มีข้อผูกมัด มีเวลาให้กับมารดาเตรียมพร้อมมาอยู่ในโรงพยาบาลเพ่ือที่จะได้มีเวลาเต็มที่ในการท�ำ Kangaroo Mother Care สว่ นของทารกเร่มิ ตน้ ได้ทันทีท่ีทารกอาการคงทแ่ี ล้ว อาจท�ำได้ทันทที ีเ่ กดิ หรือ ภายในไม่กช่ี ว่ั โมงวนั หลงั คลอด ควรท�ำอย่างคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป ทำ� ครั้งละไม่นอ้ ยกว่า 60 นาทแี ละเพิ่มระยะ เวลาขนึ้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งโดยสามารถทำ� ไดต้ อ่ เนอ่ื งตลอด 24 ชวั่ โมง (หยดุ ทำ� เฉพาะชว่ งเวลาสำ� หรบั การเปลย่ี น ผ้าอ้อม) และจะทำ� จนกว่าทารกอายคุ รรภ์ประมาณ 40 สปั ดาห์หรอื 2,500 กรมั การท�ำ Kangaroo Mother Care เรมิ่ ขึน้ ในโรงพยาบาลและสามารถด�ำเนนิ การต่อทบ่ี า้ นได้ องค์ประกอบหลกั คอื •อุ้มทารกสวมเฉพาะผ้าอ้อม เพ่ือมีการสัมผัสผิวหนังกันระหว่างทารกกับ มารดาหรือท่ีเรียกว่าการโอบกอดแบบเนื้อแนบเนื้อ ท่ีเลียนแบบแม่จิงโจ้ดูแลลูก แรกเกิด อาจเป็นบดิ าหรือสมาชิกคนอ่ืนในครอบครวั ท�ำแทนได้ •ทารกควรอยใู่ นตำ� แหนง่ ตงั้ ตรงบนทรวงอกทแ่ี ปลอื ยเปลา่ ของมารดา ตะแคง ศีรษะทารกไปข้างใดข้างหนึง่ แหงนหนา้ ขึ้นเลก็ นอ้ ยใตค้ างมารดา เพอ่ื ป้องกันการ อุดกนั้ ทางเดินหายใจ •จดั แขนขาและสะโพกทารกใหอ้ ยู่ในท่าคล้ายกบ •ห่อหุ้มรอบตัวทารกและผู้อุ้มด้วยการพันผ้าหรือสวมเสื้อหรือชุดของโรง พยาบาล ใหส้ ว่ นบนของผ้าอยู่ใต้หูทารก •สวมหมวกหรอื ผ้าคลุมศรี ษะ •เคลือ่ นย้ายทารกด้วยความนุ่มนวล ทารกควรสงบ โดยจบั ทารกไว้ดว้ ยมือ ขา้ งใดขา้ งหนง่ึ ทต่ี ำ� แหนง่ หลงั คอและดา้ นหลงั ใชน้ ว้ิ มอื ประคองศรี ษะเพอ่ื ไมใ่ หท้ ารก ลน่ื ลงและมืออีกข้างหน่งึ วางใต้ก้นของทารก ประโยชนข์ องการท�ำ Kangaroo Mother Care 1. ช่วยเพิม่ อัตราการเตน้ ของหัวใจทารกให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ 2. ชว่ ยทำ� ใหอ้ ัตราการหายใจของทารกคงท่ี 3. ช่วยควบคมุ อุณหภมู กิ ายของทารกให้เหมาะสม 4. ช่วยในการเพ่ิมน�้ำหนักตัวและการเจรญิ เติบโตของสมองทารก 5. ลดจำ� นวนวนั นอนโรงพยาบาล 6. ชว่ ยใหท้ ารกหลบั นานข้ึน 7. ช่วยลดความเจบ็ ปวดและความเครียดของทารก 8. ส่งเสรมิ ให้ทารกสามารถดูดนมแมจ่ ากเต้าไดเ้ รว็ ขน้ึ และเพม่ิ ความผกู พนั ระหว่างมารดากบั ทารก ตัวอยา่ งผ้าทำ� Kangaroo Mother Care แบบตา่ งๆ 128
Baby wearing คอื การใชผ้ า้ อมุ้ ทารกโดยมสี ว่ นของผา้ รองรบั นำ้� หนกั ตวั ของทารกจากรา่ งกายผอู้ มุ้ (Baby sling) ซ่งึ สามารถใช้ได้ตงั้ แตแ่ รกเกิดจนถึงวยั หดั เดนิ ทำ� ให้เด็กไดม้ กี ารใกล้ชิดกบั ผอู้ ุ้ม ขณะท่ผี ู้อุ้ม ทำ� กจิ กรรมประจำ� วนั ตา่ ง ๆ และยังช่วยในการสนับสนนุ การเล้ียงลูกด้วยนมแมอ่ ีกดว้ ย ประโยชนข์ องการทำ� Baby wearing 1. ทารกสงบขน้ึ จากการร้องไหล้ ดลง 2. ทารกแรกคลอดและทารกที่มีความต้องการพิเศษ เม่ือได้อยู่ติดกับมารดา จังหวะการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจและการเคลื่อนไหวของมารดาจะกระตุ้นการตอบสนองทางร่างกายของ ทารก ท�ำให้บิดามารดารู้สึกมั่นใจในการเล้ียงดูทารก การอุ้มท�ำให้บิดามารดาสามารถปรับตัว ให้เขา้ กบั ท่าทางและการแสดงออกของทารกได้ 3. ลดอุบตั กิ ารณ์ภาวะซึมเศร้าหลงั คลอด 4. ทารกไดอ้ ยใู่ กลช้ ดิ กบั ผคู้ น ทำ� ใหท้ ารกมเี วลาทจ่ี ะศกึ ษาการแสดงออกทางสหี นา้ ของผอู้ มุ้ สง่ เสรมิ ให้เรยี นรภู้ าษาได้เร็วขึ้น 5. ท�ำให้บิดามารดารู้สึกสะดวกสบายข้ึน เพราะจะสามารถดูแลทารกและเด็กท่ีมีอายุมากข้ึนไป พรอ้ มๆ กับการทำ� งานหนักๆได้โดยท่ีไม่ต้องหยุดพกั บอ่ ย ๆ สง่ิ สำ� คัญของ Baby wearing คือต�ำแหนง่ ในการอุม้ ท่ถี กู ต้อง เพือ่ ให้เกดิ ความปลอดภัย •Tight ควรรดั ผา้ ให้แน่น เพอ่ื ป้องกันการพลัดตก •In view อุ้มใหอ้ ยูใ่ นต�ำแหนง่ ท่สี ูง เพื่อสงั เกตการหายใจของทารก •Close enough to kiss อ้มุ ใหใ้ กลล้ ักษณะเหมือนพอท่จี ะหอมและจูบได้ •Keep chin off the chest จดั คางของทารกใหห้ ันออกนอกหนา้ อก •Supported back มกี ารประคองคอและหลงั ของทารก ในปัจจุบันมี Baby sling เกิดข้ึนหลากหลายรูปแบบ เพ่ือให้ง่ายในการอุ้มท�ำกิจกรรมต่างๆ และ สามารถเลือกใหเ้ หมาะกับรสนิยม ความตอ้ งการและงบประมาณได้ Baby sling ที่นิยมใชก้ นั ในปัจจุบนั 1. Wraps เปน็ การนำ� ผา้ ทม่ี คี วามยาวมากๆ มาพนั หอ่ หมุ้ ตวั เดก็ ในตำ� แหนง่ ทห่ี ลากหลายทง้ั ดา้ นหนา้ ดา้ นขา้ งสะโพกและดา้ นหลงั และมเี ทคนคิ ในการพนั ผา้ หลายรปู แบบ เชน่ Woven wrap, Stretchy wrap 2. Ring slings เปน็ รปู แบบทใี่ ชแ้ หวนโลหะหรอื ไนลอน 2 วงเยบ็ ตดิ กบั สว่ นของปลายผา้ ทม่ี คี วามยาว โดยปลายผา้ อกี ดา้ นทำ� เปน็ เกลยี วผา่ นวงแหวนเพอ่ื ปรบั ใหเ้ ขา้ กบั รา่ งกายผสู้ วม นำ�้ หนกั ของเดก็ จะ ยึดวงแหวนเอาไว้ สามารถใช้ได้ท้งั ด้านหน้า ด้านหลังและสะโพก เหมาะสมสำ� หรับทารกแรกเกิด และเดก็ วยั หดั เดิน 3. Pouch slings ลกั ษณะเปน็ ผา้ ทม่ี กี ารสวมคลา้ ยสายสะพาย คอื สวมจากไหลข่ า้ งหนงึ่ ไปยงั สะโพก อกี ขา้ งหน่ึง Pouch sling ไมส่ ามารถปรบั ขนาดได้ สามารถอุ้มได้ดา้ นหน้าและสะโพก Woven wrap Stretchy wrap Ring slings Pouch slings Wraps การประชุมวชิ าการนมแม่แห่งชาติ ครง้ั ที่ 6 129
4. Buckle carriers เปน็ Baby sling ทม่ี คี วามนยิ มมากทส่ี ดุ ในปจั จบุ นั หรอื ทเ่ี ราเรยี กกนั วา่ กระเปา๋ เปอ้ มุ้ ผลติ จากวสั ดทุ มี่ โี ครงสรา้ งแบบออ่ น สว่ นใหญม่ สี ายรดั ทเ่ี บาะและไหลเ่ พอื่ ความสบายในการ สวมใส่ สายรดั สามารถปรบั ใหพ้ อดกี บั ผอู้ มุ้ ได้ บางแบบยงั มแี ผน่ รองเสรมิ พเิ ศษสำ� หรบั ใชก้ บั ทารก ทน่ี ำ�้ หนักต่�ำกวา่ น้ำ� หนกั และขนาดของ Baby sling สามารถใช้ได้ทงั้ ดา้ นหนา้ และดา้ นหลัง 5. Asian-style baby carriers • Mei Tai เปน็ Baby sling ทม่ี แี บบมาจากประเทศจนี มลี กั ษณะเปน็ แผงผา้ สเ่ี หลยี่ ม ทมี่ สี ายรดั ดา้ นบนยาว ด้านล่างสัน้ โดยสายสน้ั จะผกู ท่รี อบเอว และ สายยาวจะหอ่ ผา่ นไหลข่ องผอู้ มุ้ และทบั เปน็ เกลยี วเพอื่ พนั มาผกู ใตด้ า้ นลา่ งของ เด็กหรือพันรอบเอวอีกรอบ สามารถใช้ได้ท้ังด้านหน้า ด้านหลัง เหมาะสม ส�ำหรบั เดก็ โตและเด็กวัยหัดเดนิ • Podaegi เปน็ Baby sling ที่มีแบบ มาจากประเทศเกาหลี มลี ักษณะเปน็ ผา้ สเ่ี หลยี่ มผนื ผา้ ทม่ี ขี นาดใหญแ่ ละยาวพนั รอบตวั ของผู้อุ้ม และมสี ายรัดด้านบนที่ ยาวเพ่ือพันรอบด้านล่างของเด็กและผูก ไวด้ า้ นตรงขา้ ม สามารถใชไ้ ดท้ งั้ ดา้ นหนา้ ด้านหลงั •Onbuhimo เปน็ Baby sling ทม่ี แี บบมาจากประเทศ ญี่ป่นุ มลี ักษณะเปน็ ผ้าสีเ่ หลยี่ มผืนผ้า ทมี่ สี ายรัดดา้ น บนยาว ด้านลา่ งมีหว่ งหรือวงแหวนเยบ็ ติดไวท้ ี่มุม นำ� สายรดั หอ่ ผา่ นไหลข่ องผอู้ มุ้ และทบั เปน็ เกลยี วสอดเขา้ ในห่วงหรือวงแหวนเพ่ือผกู 130
ความแตกต่าง Kangaroo Mother Care กับ Baby wearing Kangaroo Mother Care Baby wearing โอบกอดแบบเนื้อแนบเนือ้ บนทรวงอก อุ้มทารกโดยมีชิ้นสว่ นของผ้ารองรบั ทารกอย่ใู นท่าคล้ายกบ อุ้มทา่ vertical position,cradld hold, ท�ำในทารกคลอดก่อนก�ำหนด ทารกน�้ำหนักตวั น้อย kangroo,front hipและback carry ใชใ้ นเด็กทารกไปจนถึงวัยหัดเดิน เอกสารอ้างองิ 1. ศริ าภรณ์ สวสั ดิวร กรรณิการ์ บางสายนอ้ ย กสุ มุ า ชศู ิลป์และคณะ.เรียนรูน้ มแม่จากภาพ The Breastfeeding Atlas Thai Edition.กรงุ เทพ.ยูเนยี่ น ครเี อช่ัน;2555 2. ศิริลักษณ์ ถาวรวัฒนะ.การสนับสนุนทารกคลอดก่อนก�ำหนดให้ได้รับนมแม่ตามแนวทางการ สนบั สนุนนมแม่ในเดก็ ป่วย.สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชนิ ี.กรุงเทพ;2559 3. Kangaroo mother care:A practical guide.World Health Organization.France;2003 4. Kangaroo mother care training of trainers course.The Section of Neonatology De- partment of Pediatrics College of Medicine-Philippine General Hospital University of the Philippine Manila. Philippine;2008 5. Kangaroo mother care.Retrieved September 14,2017,from http://en.wikipedia.Org/ wiki/ Kangaroo mother care. 6. Baby sling.Retrieved September 2,2017,from http://en.wikipedia.Org/wiki/ Baby_sling. 7. Babywearing.Retrieved September 2,2017,from http://en.wikipedia.Org/wiki/ Baby- wearing. 8. Benefits of Babywearing. Retrieved September 2,2017,fromhttp://babywearinginter- national/org/what-is-babywearing/babywearing-resources/ benefits-of-babywearing-2. การประชุมวชิ าการนมแม่แห่งชาติ ครั้งที่ 6 131
Plenary 4: Social behavior change (Alive & Thrive) No water project : Vietnam experience Ms. Phan Hong Lihn องคก์ ร Alive and Thaive 132
การประชมุ วชิ าการนมแม่แหง่ ชาติ คร้งั ท่ี 6 133
134
การประชมุ วชิ าการนมแม่แหง่ ชาติ คร้งั ท่ี 6 135
The Starting of EF: จากน้ำ�นมแม่ สกู่ ระบวนการ พัฒนาทักษะ EF พรพไิ ล เลิศวิชา1 ฉัตรียา เลศิ วชิ า2 1นักวชิ าการอิสระ เมธีวิจยั อาวโุ ส สกว. (ส�ำนกั งานกองทนุ สนับสนุนการวจิ ัย) ผูเ้ ชี่ยวชาญดา้ นการจดั การ เรยี นรู้ Brain-based Learning 2MSc in Development Studies (with distinction) จาก London School of Economics Executive Functions หรอื ทักษะ EF คอื อะไร Executive Functions คอื กลุ่มทกั ษะของสมอง ทจ่ี �ำเปน็ ต่อการท�ำการงานตา่ งๆ ใหส้ ำ� เร็จ มกั เข้าใจ กนั ว่าอยู่ท่ีสมองสว่ นหนา้ ท�ำหน้าทเ่ี กยี่ วกับสมาธิ ความจ�ำ และความยดื หยนุ่ ในการคิด แตค่ วามจรงิ แลว้ ทักษะ EF นคี้ รอบคลมุ พื้นทีส่ มองหลายสว่ น ท่ที �ำงานเชื่อมโยงกัน ดงั จะไดก้ ลา่ วต่อไป ทักษะ EF อาจ แบ่งไดเ้ ป็น 3 กล่มุ ไดแ้ ก่ 1. ความจำ� ขณะคดิ (working memory) หมายถึงความสามารถท่ีจะน�ำข้อมลู มา “ออนไลน์” ไว้ใน สมองและจัดการกับข้อมลู น้ัน ทั้งในรูปแบบความจำ� ท่ีเป็นภาษา (verbal) และภาพหรอื ต�ำแหนง่ (visual-spatial) ความจ�ำขณะคิดน้ี สำ� หรับเดก็ แลว้ มันสำ� คญั ต่อการเรยี นและการใชช้ วี ิต เชน่ จำ� เปน็ ต่อการอา่ นและเชือ่ มเนื้อเร่ืองที่อ่านเข้าด้วยกัน การคำ� นวณในวิชาคณิตศาสตร์ การท�ำตาม คำ� สงั่ ทมี่ หี ลายขนั้ ตอน การใชเ้ หตผุ ลเปน็ ขน้ั ๆ และการคดิ สรา้ งสรรคด์ ว้ ย ผคู้ นจงึ ใหค้ วามสนใจกนั เปน็ พิเศษ วา่ จะพฒั นาการใช้ความจ�ำขณะคดิ ของเดก็ ไดอ้ ยา่ งไร 2. การยบั ยงั้ และควบคมุ ตวั เอง (inhibitory control) หมายถงึ ความสามารถในการโฟกสั สมาธไิ ปท่ี สิ่งใดส่ิงหนึ่ง โดยเจ้าของสมองสามารถยับยั้งข้อมูลภายนอก ที่ไม่เก่ียวข้องกับส่ิงท่ีท�ำอยู่ ไม่ให้ แทรกแซงเข้ามา และยับยง้ั การตอบสนองโดยอัตโนมตั ิ ที่อาจไมเ่ ป็นผลดตี อ่ งานทกี่ �ำลังทำ� (เช่น การตอบคำ� ถามโดยไมค่ ดิ กอ่ น การบนั ดาลโทสะ เปน็ ตน้ ) รวมไปถงึ ความสามารถของสมอง ในการ ยบั ยงั้ ความคดิ หรอื ความจำ� บางอยา่ งในสมองของตวั เอง ควบคมุ อารมณแ์ ละพฤตกิ รรมของตวั เอง ให้ทำ� ตามกฎเกณฑ์ และกาลเทศะอนั สมควร รจู้ ักอดทน รอคอย และไมท่ �ำ “ตามใจตวั เอง” 3. ความยืดหยุน่ ในการคดิ (cognitive flexibility) หมายถงึ ความสามารถของสมอง ทจี่ ะยืดหย่นุ ตัดสนิ ใจ ตอบสนองตอ่ สถานการณ์ตา่ งๆ ท่แี ปรเปลย่ี นไป สามารถรับความรู้ใหมท่ ่กี �ำลงั เรียนอยู่ นอกจากนี้ ยงั หมายถงึ ความสามารถทีจ่ ะเปลยี่ นมมุ มอง จากมุมมองหนึ่ง ไปส่มู ติ ิการมองแบบ อ่ืนๆได้ สามารถเปล่ยี นชดุ ข้อมลู ที่ก�ำลงั ใช้อยู่ในความจำ� ขณะคดิ ได้ สามารถรับรคู้ วามผดิ พลาด ของตวั เอง และคดิ วิธีแก้ปญั หาได้ ไปจนถงึ การคิดนอกกรอบได้ มีนกั วิชาการบางท่านท่ีเพม่ิ ทักษะกลมุ่ ท่ี 4 เข้ามาด้วย ได้แก่ 4. ทกั ษะ EF ระดบั สงู (higher-order EF) อนั ประกอบไปดว้ ย การใชเ้ หตผุ ล การแกป้ ญั หา การวางแผน ซ่ึงถือเป็นผลลัพธ์ของการท�ำงานประสานกัน ระหว่างความจ�ำขณะคิด การยับย้ังควบคุมตัวเอง และความยืดหย่นุ ในการคิดน่นั เอง 136
ทักษะท้ังส่ีกลุ่ม ดังกล่าวมาทง้ั หมดข้างตน้ น้ี มีความเช่ือมโยงกนั และท�ำงานประสานกัน สมองส่วน ทีเ่ กยี่ วข้องกับทกั ษะท้งั 4 นี้ ไดแ้ ก่ 1) ส่วนพรฟี รอนทัล (prefrontal) 2) ส่วน anterior cingulate 3) สมองกลบี ข้าง (parietal cortex) 4) ฮิปโปแคมปัส (hippocampus) และยังมีการเช่ือมโยงกับโครงสร้างสมองสว่ นท่ลี ึกลงไป ท่ีท�ำงาน ดา้ นอารมณ์ ทักษะ EF น้นั คอ่ ยๆ พัฒนาขึ้นตามอายุ EF ส�ำคญั อยา่ งไร EF เป็นทกั ษะสมองทกี่ ลา่ วถงึ กันมาก เนือ่ งจากมคี วามส�ำคญั อย่างมากต่อพฒั นาการของเดก็ ทุกคน การทปี่ ระเทศไทย กำ� ลังอยู่ในวิกฤตการศึกษาอยา่ งรนุ แรง พฒั นาการของเด็กทุกวยั จากการประเมนิ ของ ทกุ หนว่ ยงาน ไดพ้ บผลตรงกนั วา่ มพี ัฒนาการล่าช้า ไปจนถงึ อยใู่ นระดับทีน่ ่าวิตกยิง่ และดูเหมอื นวา่ ยัง มองไม่เห็นหนทางท่ีจะยกระดับให้ดีขึ้น ในระยะทศวรรษต่อไป ผู้คนจึงให้ความสนใจว่า บทบาทของการ พัฒนาทกั ษะ EF จะสามารถนำ� มาใชเ้ พ่อื ประโยชนใ์ นการพัฒนาเดก็ และนโยบายดา้ นการศกึ ษาหรอื ไม่ ความรเู้ กยี่ วกบั การทำ� งานของสมอง EF ไดก้ รยุ ทางไปสงู่ านวจิ ยั เปน็ จำ� นวนมาก และเรม่ิ มอี งคค์ วามรู้ จากงานวจิ ยั เป็นรูปธรรมยิ่งขน้ึ วา่ 1. ดา้ นการศึกษา : เดก็ ที่มี EF ดี จะสง่ ผลตอ่ ความพรอ้ มในการเข้าโรงเรยี น (school readiness) และมคี วามสามารถในด้านคณติ ศาสตร์และการอ่านสูงกว่า งานวิจัยพบว่า EF เป็นตวั แปรท�ำนาย (predictor) ความสำ� เรจ็ ในโรงเรยี นไดด้ กี วา่ IQ เสยี อกี มผี กู้ ลา่ ววา่ EF สำ� คญั ตอ่ การศกึ ษา เพราะ มนั คือทักษะในการเรียนรู้ (building blocks และ ‘the how of learning’) ทจี่ �ำเปน็ ในการเรียน เน้ือหา (‘the what of learning’) (CDC 2011) อย่างไรก็ตาม กม็ ีผู้แย้งวา่ EF นั้นจ�ำเปน็ สำ� หรับการเรยี นรูเ้ นือ้ หาหรือส่งิ ใหมเ่ ท่านัน้ แตใ่ น ระยะยาวแลว้ ไมจ่ ำ� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งใชส้ มองสว่ นหนา้ เพอื่ การควบคมุ แบบ top-down control ตลอด เวลา เพราะเม่อื สมองคนุ้ เคยกบั สง่ิ ทที่ ำ� แล้ว หน้าทนี่ ก้ี ค็ วรจะถกู ส่งลงไปยังสมองสว่ นลกึ ลงไป ที่ ผา่ นการววิ ฒั นาการมาเปน็ ระยะเวลานานกวา่ และทำ� ไดโ้ ดยรวดเรว็ และอตั โนมตั ิ (second nature) (Diamond 2013) ขอ้ ถกเถยี งนี้เราจำ� เปน็ ตอ้ งศึกษากันต่อไป 2. ดา้ นสงั คม : EF สง่ ผลตอ่ ปญั หาอาชญากรรม ความรนุ แรง การใชอ้ ารมณ์ มงี านวจิ ยั (Moffitt et al 2011) ทต่ี ิดตามเด็กจ�ำนวน 1,000 คนเป็นเวลา 32 ปี ได้พบว่าเดก็ ท่ีเรมิ่ จากมีความสามารถ ในการควบคมุ ตวั เองสงู มกั มแี นวโนม้ จะไมอ่ อกจากโรงเรยี นกลางคนั เมอื่ ถงึ วยั รนุ่ ไมเ่ ลอื กทำ� สง่ิ ทมี่ ี ความเสี่ยง และเมื่อโตข้ึนก็มีแนวโน้มจะเป็นพลเมืองที่เคารพกฎหมาย และมีความสุขในชีวิต มากกว่า แม้แต่ในกลมุ่ เดก็ ทมี่ ี IQ เพศ ชนชั้นทางสังคม สิ่งแวดล้อมในบ้าน และครอบครวั ท่ีคลา้ ยกัน งานวิจัยก็ยังคงพบว่า เด็กท่ีมคี วามสามารถในการควบคุมตวั เองสูงกว่า มีแนวโน้มจะไมก่ ลายเป็น ปญั หาของสงั คม 3. ดา้ นชวี ติ และการทำ� งาน : ในระยะยาว ทกั ษะ EF จะชว่ ยใหเ้ ดก็ พฒั นามาเปน็ นกั ทำ� งานทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ และประสบความสำ� เรจ็ ในการทำ� งาน มชี วี ติ ครอบครวั ทมี่ น่ั คงมากกวา่ เพราะความสามารถในการ ควบคุมตวั เองและจัดการปญั หาตา่ งๆได้ดี 4. ดา้ นสขุ ภาพ : มผี ลตอ่ สขุ ภาพของเดก็ ในระยะยาว ถา้ EF มปี ัญหา อาจจะเพมิ่ ความเสีย่ งทีจ่ ะ น�้ำหนกั เกิน ใช้สารเสพติด และไม่ปฏบิ ตั ติ ามการรกั ษาของแพทย์ 5. ดา้ นความผดิ ปกตทิ างจิต : EF มีความเกี่ยวขอ้ งกบั ความผดิ ปกตทิ างจติ ใจต่างๆ เชน่ การเสพติด ADHD conduct disorder โรคซมึ เศร้า โรคย�้ำคดิ ย้ำ� ทำ� เป็นตน้ การประชมุ วิชาการนมแมแ่ หง่ ชาติ ครั้งที่ 6 137
เราจะพัฒนาทักษะ EF ไดอ้ ย่างไร 1. เร่ิมตน้ ทีน่ �้ำนมแม่ จุดเร่มิ ตน้ ของ EF มีงานวิจัยจ�ำนวนมากท่ีชี้ให้เห็นว่า การเล้ียงลูกด้วยนมแม่ (breastfeeding) มีผลบวกต่อเด็ก หลายประการ ในดา้ นสตปิ ญั ญาและพฒั นาการพนื้ ฐานทว่ั ไปของสมอง รวมถงึ มผี ลระยะยาวตอ่ ความสำ� เรจ็ ในการเรยี นและฐานะทางเศรษฐกิจและสงั คม (Tawia, 2013) เดก็ ท่ีไดร้ ับนำ�้ นมจากแม่ จะมี IQ สูงกวา่ เดก็ ทีก่ ินนมผง เส้นรอบวงศีรษะ (head circumference) ซง่ึ มีความเช่ือมโยงกับสติปญั ญา มขี นาดใหญ่ กวา่ และสมองเนอื้ ขาวของเดก็ ทกี่ นิ นมแมม่ กี ารพฒั นารวดเรว็ กวา่ ซง่ึ สมองเนอ้ื ขาวนม้ี ผี ลตอ่ การสง่ สญั ญาณ ข้อมลู ในสมองและความเรว็ ของสมอง สำ� หรับเดก็ ท่ไี มไ่ ดก้ นิ นมแม่ พบว่าจะมีไอคิวต�่ำเด็กทีก่ ินนมแม่กวา่ ประมาณ 2-5 จุด และเสน้ รอบวง ศรี ษะเลก็ กวา่ การตรวจคลน่ื ไฟฟา้ สมองกไ็ ดพ้ บวา่ มพี ฒั นาการตอบสนองนอ้ ยกวา่ ซง่ึ ความแตกตา่ งนเ้ี หน็ ได้ต้ังแต่เดก็ อายไุ ด้ 3 เดือน นอกจากนี้ การเลี้ยงลกู ด้วยนมแม่ ยังพบว่ามคี วามเช่ือมโยงระยะยาว กับ ความสำ� เรจ็ ในโรงเรยี น การศกึ ษาในระดบั หลงั ปรญิ ญาตรี และมผี ลโยงไปถงึ การเปลย่ี นสถานภาพทางสงั คม (social mobility) อีกด้วย คำ� อธิบายกค็ ือ นมแมน่ ้นั มสี ว่ นประกอบของกรดไขมนั ชนิด DHA และ AA ท่ี จำ� เป็นตอ่ การสรา้ งเยือ่ หมุ้ เซลในระบบประสาทสว่ นกลาง และมีคอเรสเตอรอลสูง ชว่ ยในการสร้างไมอลิ นิ ซง่ึ เพิม่ ความเร็วในการสง่ สัญญาณในสมองของเดก็ และกรด DHA ยังมีความเชื่อมโยงกบั การเจริญเตบิ โต ของสมอง เส้นรอบวงศรี ษะ น�้ำหนกั ของสมอง และการสรา้ งซนี แนปส์ โดยที่นมชงไมส่ ามารถจะทดแทน ได้ (Michaelson et al. 2009) แต่นอกเหนือจากผลบวกตอ่ ระดับ IQ และพัฒนาการท่ัวไปของสมองแล้ว ปัจจบุ ันมงี านวิจยั ทีบ่ อก เราว่าน้ำ� นมแม่ ยังน่าจะสง่ ผลเชิงบวกต่อสมอง EF 4 ชอ่ งทางต่อไปน้ี 1. น้ำ� นมแม่มีผลต่อทกั ษะ EF แค่ไหน งานวจิ ัยพบวา่ เดก็ ที่ไดก้ นิ นมแมเ่ ปน็ ระยะเวลามากกวา่ 6 เดือน มผี ลทางบวกตอ่ executive function ทที่ ดสอบเมอ่ื เดก็ อายุ 4 ขวบ (Julvez et al. 2013) เดก็ ทถ่ี กู เลยี้ งดว้ ยนมแมจ่ ะมปี ญั หา พฤติกรรมน้อยกว่า และมีสมาธิดีกว่าเด็กอื่น ซึ่งผลบวกน้ีได้ถูกค้นพบซ้�ำในงานวิจัยอีกหลายช้ิน ในอังกฤษและสเปน แต่กย็ ังมีงานวจิ ัยบางชิ้นที่พบวา่ การเลยี้ งลูกดว้ ยนมแม่ไมม่ ีความเกยี่ วข้อง โดยตรงกบั Executive function เลย (Belfort et al. 2016) เมอ่ื ศกึ ษาในกลมุ่ เดก็ อายุ 7-12 ปี ซึ่งความแตกตา่ งนี้ มาจากจำ� นวนเด็กที่เขา้ รว่ มงานวิจยั นนั้ และลกั ษณะเฉพาะของกลุ่มตัวอยา่ ง เชน่ บางกลมุ่ กเ็ ปน็ เดก็ ทม่ี สี ขุ ภาพแขง็ แรงเทา่ นน้ั บางกลมุ่ อยใู่ นครอบครวั ทฐี่ านะคอ่ นขา้ งดี ซง่ึ เปน็ ไปไดว้ า่ สภาพแวดลอ้ มและการเลย้ี งดสู ำ� หรบั เดก็ กลมุ่ นี้ อาจมผี ลมากกวา่ นมแม่ จนสามารถกลบ ความแตกตา่ งทเ่ี กดิ จากการกนิ นมไปในทสี่ ดุ และอยา่ งไรกต็ าม งานวจิ ยั เหลา่ น้ี เพยี งแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความเชอื่ มโยง (correlation) เทา่ นนั้ แตก่ ย็ งั ไมไ่ ดอ้ ธบิ ายใหเ้ ราเขา้ ใจชดั วา่ นมแมท่ ำ� ใหเ้ ดก็ มี EF ที่ดีข้นึ ไดอ้ ยา่ งไร 2. นำ้� นมแมช่ ว่ ยกระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความเรว็ ของสมองสว่ นหนา้ (frontal lobe) ซง่ึ เปน็ สมองทท่ี ำ� หนา้ ท่ี เก่ยี วกบั ทักษะ EF จากการสแกนสมองไดแ้ สดงใหเ้ หน็ วา่ การกนิ นมแมช่ ว่ ยเขา้ ไปเพมิ่ สมองเนอื้ ขาว (white matter) โดยเฉพาะในบรเิ วณสมองสว่ นหนา้ (frontal lobe) สว่ น premotor และสมอง association area ทที่ ำ� หนา้ ทป่ี ระสานเชอื่ มโยงสญั ญาณจากสว่ นตา่ งๆในสมองเพอ่ื สรา้ งเปน็ “การรบั ร”ู้ ขนึ้ มา สมอง ส่วนหน้านี้มีบทบาทอย่างส�ำคัญต่อการท�ำงานในระดับสูงของสมอง (higher-order cognitive function) ซ่ึงก็รวมถงึ ทกั ษะ EF น่ันเอง การทส่ี มองเนอื้ ขาวเพม่ิ ข้ึน หมายถงึ การรับสง่ สญั ญาณ มคี วามรวดเรว็ และสอดคลอ้ งกนั ทำ� ใหเ้ จา้ ของสมองสามารถคดิ และทำ� งานยากๆ ไดด้ ขี น้ึ การสรา้ ง สมองเนือ้ ขาวนีเ้ ป็นผลโดยตรงจากกรดไขมัน DHA ในนมแมน่ น่ั เอง (Deoni et al. 2013) 3. น�้ำนมแม่ช่วยบรรเทาความรุนแรง ของภาวะความเครียดที่เป็นพิษ (toxic stress) ซึ่งเป็น อันตรายตอ่ สมอง EF 138
ปัจจุบันน้ี เด็กจ�ำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะความเครียดที่เป็นพิษ ซึ่งมีลักษณะรุนแรง เกิดข้ึน บอ่ ยคร้ัง และยาวนาน จากเหตกุ ารณต์ า่ งๆเชน่ การเข้าห้อง NICU ตั้งแต่แรกเกดิ ความยากจน การถูกท�ำร้าย การใช้ความรนุ แรงในครอบครัว การใช้สารเสพตดิ หรอื แมก้ ระท่ังพอ่ แม่แยกกันอยู่ หรอื หยา่ ร้าง ในสหรฐั อเมริกาคาดวา่ เด็กเกือบครงึ่ หน่ึง ตอ้ งเผชญิ กบั สถานการณเ์ ชน่ น้ีอยา่ งน้อย 1 ครงั้ ในชว่ ง 17 ปแี รกของชวี ติ ซงึ่ ความเครยี ดชนดิ นี้ เราถอื วา่ มผี ลเสยี ตอ่ การสรา้ งวงจรในสมอง ส่วนหน้า และสมองที่ท�ำหนา้ ทเ่ี ก่ียวกบั ทกั ษะ EF Hallowell et al. (2016) เสนอว่า การเลยี้ งลกู ด้วยนมแม่ จะสามารถบรรเทาความรุนแรงของ toxic stress นไี้ ด้ การทแ่ี มล่ กู ไดม้ สี มั ผสั แบบ skin-to-skin care ในระหวา่ งการใหน้ มนนั้ มผี ลดี ต่อแม่คอื ช่วยเพ่มิ ระดับของฮอรโ์ มนออกซโิ ทซนิ ซง่ึ ท�ำใหเ้ กดิ ความผกู พันระหวา่ งแมล่ ูก และช่วย กระตุ้นการผลิตน�ำ้ นม และลดความเสยี่ งทีแ่ มจ่ ะมอี าการซึมเศร้า นอนไม่หลบั และสามารถดูแล ลกู ไดด้ ีขน้ึ ส�ำหรับผลดีตอ่ ทารก ไดแ้ ก่ ชว่ ยในการควบคุมอณุ หภูมิของร่างกาย ระบบ ท�ำใหก้ าร ควบคุมระบบภูมิคมุ้ กันดขี ้นึ 3 เกดิ ความผูกพันกับแม่ เพม่ิ ระดบั คอร์ตซิ อล เดก็ จะสงบลง และการ ระบบการไหลเวียนเลือดมีความเสถียร ท้ังหมดน้ีท�ำให้พฤติกรรมของแม่เป็นไปในทางท่ีดีต่อ พัฒนาการของลูก ลดความเครียดทีเ่ กิดจาก toxic stress ท�ำให้สมองสามารถสรา้ งวงจรใหม่ๆ ในการเรียนรู้ ซึ่งรวมถึงการสร้างวงจรใหมๆ่ ในสมองสว่ นหน้า ซ่ึงท�ำหน้าทีเ่ กี่ยวกับ EF ดว้ ย 4. น้ำ� นมแม่อาจส่งผลทางอ้อมตอ่ EF ในแง่การพฒั นา IQ เราไดท้ ราบว่าน�้ำนมแมส่ ง่ ผลต่อระดับสติปัญญา IQ ถา้ เราสามารถเชอ่ื มโยงได้วา่ IQ กม็ ผี ลต่อ EF หรอื มคี วามเชอื่ มโยงกบั สมอง EF กน็ า่ จะสนบั สนนุ ความคดิ ทว่ี า่ นำ�้ นมแมช่ ว่ ยพฒั นา EF ไดจ้ รงิ ๆ งานวจิ ยั ในชว่ งแรกๆ เคยเชอ่ื กนั วา่ EF ไมไ่ ดม้ คี วามเกยี่ วขอ้ งกบั IQ เนอ่ื งจากผปู้ ว่ ยสมอง สว่ นหนา้ มผี ลทดสอบ IQ ปกติ ในขณะทค่ี นท่ี IQ ตา่ งกนั กไ็ มไ่ ดม้ ี EF ทตี่ า่ งกนั เลย แตง่ านวจิ ยั ชว่ งหลงั ไดต้ ัง้ ค�ำถามที่นา่ สนใจอยา่ งย่งิ วา่ จริงๆแล้ว IQ นนั้ น่าจะอยู่ที่สมองสว่ นเดียวกบั EF การสแกน สมองแสดงให้เห็นว่า การทดสอบเชาว์ปัญญานี้ก็มีส่วนกระตุ้นการท�ำงานของเครือข่ายในสมอง fronto-parietal ซ่งึ เปน็ ส่วนเดียวกับ EF น่นั เอง และเมือ่ มีการตดั สมองสว่ นหนา้ (lesion) กเ็ กิด ปัญหาต่อ EF และ IQ ไปดว้ ยพร้อมๆ กนั (Saggino et al. 2006) Saggino et al. (2006) เปน็ ผเู้ สนอแนวคดิ ใหม่ท่นี ่าสนใจว่า สติปัญญาและ EF อาจจะเป็น สองดา้ นของเหรยี ญเดียวกนั อยา่ งไรก็ตาม คงจะต้องมงี านวจิ ยั มากกวา่ นี้เพือ่ เชอ่ื มโยงการเล้ียง ลกู ด้วยนมแม่เขา้ กับ EF ผา่ นระดับสติปัญญาของเดก็ ใหล้ กึ ซง้ึ ย่งิ ข้ึน 2. ปจั จัยอนื่ ๆ ที่มผี ลต่อการพัฒนา EF เดก็ ทกุ คนเกดิ มาพรอ้ มกบั ศกั ยภาพทจ่ี ะพฒั นา EF แตป่ จั จยั ตา่ งๆ ในชวี ติ ของเดก็ จะเปน็ ตวั กำ� หนด วา่ EF นจี้ ะไดร้ บั การพฒั นาขนึ้ หรอื ไม่ เราไดท้ ราบแลว้ วา่ การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแมม่ สี ว่ นอยา่ งสำ� คญั ในขนั้ เรมิ่ ต้นของการพัฒนา EF และมีผลต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ในทางกลับกัน เมื่อสมองต้องประสบกับ ความเครยี ดทเี่ ปน็ พษิ (toxic stress) การถกู ทอดทงิ้ ความรนุ แรง หรอื สง่ิ แวดลอ้ มทม่ี คี วามสบั สนวนุ่ วาย และคาดเดาไม่ได้ (chaotic and unpredictable) EF จะมปี ัญหามาก เห็นไดจ้ ากการที่สมองสว่ นหนา้ prefrontal ทำ� งานประสทิ ธภิ าพลดลง และเมอ่ื ใช้แบบทดสอบ EF ก็พบวา่ เดก็ กลุม่ นม้ี ีความสามารถดอ้ ย 3 ระบบภูมคิ ุ้มกนั ท่ีกลา่ วถึงนีค้ ือ hypothalamic-pituitary-adrenal axis (HPA) ซึ่งเรมิ่ ทำ� งานเม่ือความเครยี ดสง่ ผลต่อ proinflam- matory cytokines กระตุน้ ใหเ้ กดิ การตอบสนองจากร่างกาย คือหวั ใจเตน้ แรงขึ้นและกลโู คสในเลือดเพ่ิมข้นึ ในขณะทรี่ า่ งกายจะผลติ คอร์ตซิ อลออกมาเพื่อลดการอักเสบ (inflammation) และถา้ เด็กไมไ่ ด้รับน้�ำนมจากแม่เลย อาจจะท�ำใหก้ ารควบคุมระบบน้มี ีปัญหา คอื คอรต์ ซิ อลหลง่ั ออกมามากหรอื นอ้ ยเกินไป ทำ� ใหเ้ กิดการติดเชื้อไดง้ ่าย หรอื มกี ารอกั เสบท้งั ๆที่ไม่มีการติดเช้ือ การประชมุ วชิ าการนมแม่แหง่ ชาติ ครงั้ ที่ 6 139
กว่าเด็กกลุ่มอ่ืนๆ สิ่งแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูงคือ สถานรับเลี้ยงเด็ก ชุมชนท่ียากจนและมีความรุนแรง หรอื การท่ีมารดาคลอดก่อนกำ� หนดหรอื ใช้แอลกอฮอลใ์ นระหว่างต้ังครรภ์ นั่นหมายความว่าเด็กท่ีเกิดมาแบบด้อยโอกาส ก็อาจจะต้องอยู่กับความด้อยโอกาสนั้นไปตลอดชีวิต เนอื่ งจากสง่ิ แวดลอ้ มนนั้ สรา้ งตราประทบั ไวใ้ นโครงสรา้ งสมองของเดก็ แลว้ นอกจากนี้ EF ยงั มคี วามสมั พนั ธ์ กบั ความเครยี ด ภาวะอารมณใ์ นแตล่ ะชว่ ง (mood) ความโดดเด่ียว การนอนหลับไมพ่ อ การเจบ็ ปว่ ยและ ติดเชอื้ รวมถงึ ความร้สู กึ เช่ือมนั่ ในตวั เอง ซึง่ ปัจจัยเหลา่ นี้มผี ลตอ่ การใช้ EF ในชีวติ ประจำ� วนั ดว้ ย อยา่ งไรก็ตาม แมว้ า่ เดก็ จะผ่านช่วงของวยั ทารกมาแลว้ และอาจจะไม่ไดร้ ับการเล้ียงดทู ีเ่ หมาะสม แต่ เรากท็ ราบวา่ สมองยงั สามารถเปลยี่ นแปลงได้ (neuroplasticity) และมคี วามพยายามทจ่ี ะหาวธิ แี ทรกแซง และแกป้ ัญหาน้ี (intervention programs) ทั้งในเด็กวัยก่อนเขา้ เรียนและเดก็ วัยเรยี น กิจกรรมทม่ี กี าร เสนอว่าอาจจะชว่ ยพฒั นา EF ได้โดยตรง ได้แก่ 1. หลกั สตู รทอี่ อกแบบใหช้ ว่ ยกระตนุ้ สมอง EF ในโรงเรยี น หรอื ในศนู ยเ์ ดก็ ปฐมวยั หลกั สตู รเหลา่ น้ี ทแ่ี ทจ้ รงิ แลว้ กค็ อื การพฒั นาครใู หม้ คี วามเขา้ ใจ ในการจดั การหอ้ งเรยี น (classroom management) ให้มีทกั ษะการโคช้ เด็กให้เกิดทกั ษะ EF แนะนำ� ครูให้มกี ารจดั เตรยี มสิง่ แวดล้อมและเครอื่ งมือท่ีจะ ใช้ในห้องเรยี น (environment & resources) และบางโปรแกรมกม็ เี ป้าหมายคือการบรู ณาการ การสอนกจิ กรรมทีกระตุ้นสมอง EF เข้าไปเป็นส่วนหนง่ึ ของวิชาหลกั ดว้ ย 2. กิจกรรมการเคล่ือนไหวออกก�ำลังกาย ท่ีมีองค์ประกอบของการพัฒนาทักษะทางปัญญา เช่น แอโรบิค เทควนั โด โยคะ และ การเลน่ กฬี าเปน็ ทมี 3. กิจกรรมฝกึ สมอง เชน่ การฝกึ สติ (mindfulness) การแสดงละคร และ การนง่ั สมาธิ 4. การเทรนทกั ษะ EF ผ่านโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ เชน่ โปรแกรม CogMed และ Learning RX เกมส์คอมพวิ เตอร์อืน่ ๆ ทใี่ ชอ้ ยู่ในตา่ งประเทศ 5. กจิ กรรมอน่ื ๆ ทคี่ าดกนั วา่ อาจจะชว่ ย EF แตย่ งั ไมม่ งี านวจิ ยั ชดั เจน ไดแ้ ก่ การเลน่ ดนตรเี ปน็ คณะ การเต้นและร�ำ กายกรรมเด็ก การเลยี้ งสัตว์ ศลิ ปะป้องกันตวั เป็นตน้ อย่างไรก็ตาม นกั วชิ าการหลายทา่ นกย็ อมรับตรงกนั วา่ การวจิ ยั เรอ่ื งผลลัพธ์จากการ “เทรน EF” ให้ เด็กโดยตรงนั้นยงั อยู่ในขน้ั “เตาะแตะ” (infancy) และยงั ต้องมีการวิจัยเพิม่ อกี มาก เพราะบางกจิ กรรมท่ี คาดว่าจะสง่ ผลต่อการพัฒนา EF กลับไมม่ ผี ลแตกต่างจากการเล้ียงเดก็ แบบธรรมดา (usual practice) เลย ในขณะที่บางกิจกรรมก็ได้ผลส�ำหรับเด็กบางกลุ่มเท่าน้ัน ในขณะนี้ จึงน่าจะยังไม่สามารถกล่าวแบบ เหมารวมไดว้ า่ มีเทคนคิ การสอน EF แนวไหน ทส่ี ามารถใช้กบั เดก็ ทุกคนไดอ้ ยา่ งแนน่ อน จากการรีววิ งาน วจิ ยั EF ทม่ี จี �ำนวนมากได้พบวา่ มีท้ังหมด 84 ช้นิ (Diamond & Ling, 2016) ท่ีมีความนา่ เชื่อถือพอ สมควร และให้ขอ้ สรุปดังตอ่ ไปนว้ี ่า 1. ความส�ำเร็จของการพัฒนา EF ขึ้นอยูก่ บั ระยะเวลาทใี่ ช้ในการฝึก ถ้ายง่ิ ฝกึ นานและเขม้ ข้นก็จะมี ผลมากข้ึน แต่ถ้าหากว่าครูน�ำเทคนิคบางอันไปใช้เป็นแบบ add-on โดยไม่ได้ท�ำเป็นระบบทั้ง หลกั สตู ร กพ็ บวา่ มีผลนอ้ ยและแคบมาก และเม่ือหยุดฝึก ผลลพั ธ์ก็จะลดลงไปเรอ่ื ยๆ 2. ผดู้ �ำเนนิ โครงการจะตอ้ งมีความทุ่มเท และชุมชนให้การสนับสนนุ ดังน้ันบางโครงการพัฒนา EF ส�ำเร็จมากในบางพืน้ ท่ี แตใ่ นบางพืน้ ทก่ี ไ็ มส่ ำ� เรจ็ เลยก็มี 3. การทำ� กจิ กรรมเทรน EF ใหเ้ ดก็ จะต้องมกี ารผลักดนั เดก็ ใหไ้ ปถงึ จดุ แห่งความท้าทาย หรือ ‘zone of proximal development’ ไม่ใชเ่ พยี งแคก่ ารฝึกทำ� กิจกรรมง่ายๆซำ�้ ๆ ซึง่ อาจจะท�ำใหเ้ บ่ือและ ไม่ไดป้ ระโยชน์ และอาจไมม่ ผี ลต่างกันกบั เดก็ กลุม่ ท่ีไมไ่ ด้ทำ� อะไรเลย หรอื ถกู เลีย้ งไปตามปกติ 4. กิจกรรม EF ควร จะตอ้ งมีความซบั ซอ้ น แปลกใหมแ่ ละหลากหลาย (complexity, novelty, diversity) จึงจะสามารถมพี ลงั ขับเคลือ่ นการเปลย่ี นแปลงของสมองจรงิ ๆ 5. เดก็ ท่ีมปี ัญหามากทีส่ ุดจะไดร้ ับประโยชน์มากทสี่ ุด โดยเฉพาะเด็กท่ีมอี าการ ADHD, หรือมาจาก สถานะทางเศรษฐกจิ และสังคม (SES) ทีต่ ่�ำกวา่ อย่างไรกต็ ามเดก็ ท่ไี อคิวตำ่� มากๆ อาจจะไม่ได ้ ประโยชนอ์ ะไรเลย เน่อื งจากการเทรนทักษะทางปัญญาและ EF นนั้ อาจจะหนักเกนิ ไปส�ำหรับเขา 140
6. การถ่ายโอน (transfer) ทักษะ EF ท่ไี ด้รับในการเทรน ไปใชใ้ นชีวติ ประจ�ำวนั ด้านอืน่ ๆ นน้ั มขี อ้ จำ� กดั มาก ส่วนใหญค่ ือเดก็ จะมีพฒั นาการท่ีดขี ึ้นในด้านที่ไดร้ ับการเทรนเท่านน้ั และการสอนแบบ บรู ณาการเขา้ ไป ในกจิ กรรมหลกั ของหอ้ งเรยี นอยา่ งเปน็ ระบบ จะชว่ ยใหเ้ ดก็ นำ� ไปใชง้ านไดม้ ากกวา่ 7. คอื เปน็ ทกั ษะทค่ี อ่ นขา้ งถาวรและนำ� ไปใชไ้ ดจ้ รงิ แตก่ ข็ น้ึ อยกู่ บั ปจั จยั ทงั้ 5 ขอ้ ทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ ขา้ ง ต้นนีด้ ้วย บรรณานุกรม Belfort, M. B., Rifas-Shiman, S. L., Kleinman, K. P., Bellinger, D. C., Harris, M. H., Taveras, E. M., ... & Oken, E. (2016). Infant Breastfeeding Duration and Mid-Childhood Executive Function, Behavior, and Social-Emotional De velopment. Journal of developmental and behavioral pediatrics: JDBP, 37(1), 43-52. Blair C., Raver C.C. (2014). Closing the Achievement Gap through Modification of Neurocognitive and Neuroendocrine Function: Results from a Cluster Randomized Controlled Trial of an Innovative Approach to the Education of Children in Kindergarten. PLoS ONE 9(11): e112393. doi:10.1371/journal.pone.0112393 [CDC] Center on the Developing Child at Harvard University (2011). Building the Brain’s “Air Traffic Control” System: How Early Experiences Shape the Development of Executive Function: Working Paper No. 11. Retrieved from http://www.developing child.harvard.edu Deoni, S. C., Dean, D. C., Piryatinsky, I., O’muircheartaigh, J., Waskiewicz, N., Lehman, K., ... & Dirks, H. (2013). Breastfeeding and early white matter development: a cross-sectional study. Neuroimage, 82, 77-86. Diamond A. (2013). Executive Functions. Annual Review of Psychology 64:135-168. Diamond, A., & Ling, D. S. (2016). Conclusions about interventions, programs, and approaches for improving exec utive functions that appear justified and those that, despite much hype, do not. Developmental cognitive neuroscience, 18, 34-48. Hallowell, S. G., Froh, E. B., & Spatz, D. L. (2017). Human milk and breastfeeding: An intervention to mitigate toxic stress. Nursing outlook, 65(1), 58-67. Hayatbakhsh MR, O’Callaghan MJ, Bor W, Williams GM, Najman JM. Association of breastfeeding and adolescents’ psychopathology: a large prospective study. Breastfeeding medicine : the official journal of the Academy of Breastfeeding Medicine. 2012; 7(6):480–486. Heikkila K, Sacker A, Kelly Y, Renfrew MJ, Quigley MA. Breast feeding and child behaviour in the Millennium Cohort Study. Arch Dis Child. 2011; 96(7):635–642. Julvez J, Ribas-Fito N, Forns M, Garcia-Esteban R, Torrent M, Sunyer J. Attention behaviour and hyperactivity at age 4 and duration of breast-feeding. Acta Paediatr. 2007; 96(6):842–847 Moffitt TE, Arseneault L, Belsky D, Dickson N, Hancox RJ, Harrington H, Houts R, Poulton R, Roberts BW, Ross S, Sears MR, Thomson WM, Caspi A. A gradient of childhood self-control predicts health, wealth, and public safety. Proc Natl Acad Sci U S A. 2011 Feb 15;108(7):2693-8. Pernille J Olesen, Helena Westerberg & Torkel Klingberg. (2004). Increased prefrontal and parietal activity after training of working memory. Nature Neuroscience. Volume 7(1): 75-79. Saggino, A., Perfetti, B., Spitoni, G., Galati, G. (2006). Fluid intelligence and executive functions: new perspectives. in Wesley, L.V. (Ed.) Intelligence: New Research. New York, NY: Nova Science Publishers, Inc. Tawia, S. (2013). Breastfeeding, brain structure and function, cognitive development and educational attainment. Breastfeeding Review, 21(3), 15. Zewelanji N. Serpell and Alena G. Esposito. (2016). Development of Executive Functions: Implications for Educational Policy and Practice. Policy Insights from the Behavioral and Brain Sciences Vol. 3(2) 203–210. การประชุมวชิ าการนมแม่แหง่ ชาติ ครั้งท่ี 6 141
กำ�หนดการ ประเภท oral การนำ�เสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรม เวลา 13.00 – 14.30 น. วันท่ี 9 พฤศจิกายน 2560 หอ้ ง Grand Ballroom ชน้ั 4 ประธาน : ผศ. ดร.พรรณรัตน์ แสงเพมิ่ ประธานร่วม : ผศ. พญ.อรพร ดำ�รงวงศ์ศิริ กรรมการร่วม 1. รศ. พญ.กสุ ุมา ชศู ลิ ป์ 2.พญ.อรภา สุธีโรจน์ตระกลู 3. พว. สุธดิ า ชาตวิ ฒุ ินันท์ Code/ ชอื่ ผนู้ �ำ เสนอ ชอ่ื เรอ่ื ง ประเภท เวลาบรรยาย ผลงาน นวัตกรรม O-001 ถรรศนา เจริญไว กระเพาะนอ้ ง กะ ช้อนตวง 13.00 – 13.15 น. คลินกิ นมแม่ ศูนย์ อนามยั ท่ี 12 ยะลา O-002 สุวรรณา อาจคงหาญ สารสนเทศแนะนำ� การใชย้ าในมารดาระยะการให้นมบุตร นวัตกรรม 13.15 – 13.30 น. มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั The Information Guide Dosing in Maternal Lactation พระนครศรอี ยุธยา O-003 ดวงพร ไมตรีจติ ต์ ทัศนคติต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของมารดาหลังคลอดโรง วจิ ยั 13.30 – 13.45 น. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พยาบาลระดับตติยภมู ิ Attitude Towards Exclusive Breastfeeding among Thai Mothers in a Tertiary Hospital O-004 ลมยั แสงเพง็ การศึกษาเปรียบเทียบผลส�ำเร็จของการเล้ียงลูกด้วยนมแม่ วิจยั 13.45 – 14.00 น. โรงพยาบาลมหาราช ระหวา่ งมารดาหวั นมสนั้ กบั หวั นมปกติ โรงพยาบาลมหาราช นครศรธี รรมราช นครศรธี รรมราช A Comparison Between Flat Nipple and Normol Nipple Mothers in Breastfeeding Success at Maharaj Nakhon Si Thammarat Hospital O-005 นลินี ยมศรีเคน การศกึ ษาผลของการใหน้ มนำ�้ เหลอื งในทารกแรกเกดิ นำ้� หนกั วจิ ยั 14.00 – 14.15 น. โรงพยาบาลมหาสารคาม นอ้ ยมาก (นำ้� หนกั 1,000 กรมั ถงึ 1,500 กรมั ) ตอ่ ภาวการณ์ ตดิ เช้ือในกระแสเลอื ดระยะท้าย Clinical outcomes of early oropharyngeal colostrum in VLBW in preventing late onset neonatal sep- sis(L-OS) 14.15 – 14.30 น. พิธมี อบประกาศนยี บตั ร 142
กำ�หนดการ ประเภท oral การนำ�เสนอผลงานวจิ ยั และนวัตกรรม เวลา 13.00 – 14.30 น. วันที่ 9 พฤศจกิ ายน 2560 หอ้ งเจา้ พระยา 1-4 ชนั้ 3 ประธาน : พญ.นิพรรณพร วรมงคล ประธานร่วม : รศ. ดร. พญ.ศริ นิ ชุ ชมโท กรรมการร่วม 1. ผศ. ดร.อุไรพร จิตตแ์ จง้ 2. ดร.เบญจมาส ทัศนะสภุ าพ 3. พว.พรรณเพญ็ พนู ลาภเดชา 4. นางสาวภูริศา เวชรักษ์ Code/ ชือ่ ผนู้ �ำ เสนอ ชือ่ เรือ่ ง ประเภท เวลาบรรยาย ผลงาน O-006 ประทมุ า ฤทธโ์ิ พธ์ิ โครงการบริการวิชาการการพัฒนารูปแบบการสนับสนุน โครงการ 13.00 – 13.15 น. คณะพยาบาลศาสตร์ การใหน้ มบตุ รและการบบี เกบ็ นำ�้ นมในทณั ฑสถานเขตภาคเหนอื วจิ ัย มหาวิทยาลยั นเรศวร ตอนล่าง วจิ ัย O-007 Academic service project of development of breast- 13.15 – 13.30 น. feeding support and milk storage at one prison in lower norther area O-008 13.30 – 13.45 น. พกิ ุล ทรัพยพ์ นั แสน ผลของรปู แบบการสนบั สนนุ การเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแมต่ ่ออัตรา คณะแพทยศาสตร์ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ภายในหกเดือนหลังคลอดของสตรีท่ี มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ท�ำงานนอกบ้าน Effects of breastfeeding support model on breast- feeding rates within six months among women em- ployed outside the home นพรตั น์ ละครเขต ผลของโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนในการเลยี้ งลกู สถาบันสุขภาพเด็กแห่ง ดว้ ยนมแมต่ อ่ ปรมิ าณนำ�้ นมแมท่ พ่ี อเพยี งและพฤติกรรมการ ชาติมหาราชินี ปฏบิ ตั ขิ องมารดาเพ่ือการคงอยู่ของนมแมส่ �ำหรบั ทารกหลัง ไดร้ บั การผ่าตัดชอ่ งท้อง The effects of promoting breast feeding self-efficacy program on sufficient of breast milk supply and main- tenance of lactation behavior in mothers of newborn after explore laparotomy O-009 จนั ทรสั ม์ สมศรี ผลการเสรมิ สรา้ งพลงั อำ� นาจตอ่ การเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแมใ่ น วจิ ยั 13.45 – 14.00 น. โรงพยาบาลศรสี ะเกษ มารดาคลอดกอ่ นกำ� หนด โครงการ O-010 The Effect of Empowerment for Breastfeeding in 14.00 – 14.15 น. Mother’s Preterm Labor 14.15 – 14.30 น. จตุพร เพ่มิ พรสกลุ การจัดรูปแบบการดูแลมารดาที่มีปัญหาการเล้ียงลูกด้วย โรงพยาบาลมหาราช นมแม่ที่ซับซอ้ นตามกรอบแนวคดิ Iceberg model นครศรธี รรมราช พิธมี อบประกาศนียบัตร การประชมุ วิชาการนมแมแ่ หง่ ชาติ ครงั้ ที่ 6 143
บทคัดยอ่ ผลงานวิจยั และนวัตกรรม การน�ำเสนอประเภทปากเปลา่ 144
กระเพาะน้อง กะ ชอ้ นตวง (Stomach & Spoon : S&S) ถรรศนา เจริญไว คลนิ ิกนมแม่ โรงพยาบาลสง่ เสริมสขุ ภาพ ศนู ยอ์ นามัยที่ 12 ยะลา บทน�ำ : จากการท�ำงานพบวา่ ขอ้ มลู สถิติของคลินกิ นมแม่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ในปี 2559 พบปัญหาน้�ำนมไม่ไหล หรือไหลน้อยท้ังในช่วงพักฟื้นอยู่โรงพยาบาลมีอัตราเฉลี่ยร้อยละ 42.5 และจาก สถติ คิ ลนิ กิ นมแม่ พบอตั ราการลม้ เลกิ เลย้ี งลกู ดว้ ยนมแมเ่ ฉลยี่ รอ้ ยละ 16.3 และขอ้ มลู จากแผนกสตู -ิ นรเี วช กรรม อัตราการเสริมนมผสมในช่วง 1-3 วนั แรกหลงั คลอดถงึ รอ้ ยละ 60 นอกจากนย้ี ังพบวา่ ปญั หาการ ดดู นมของทารกมีดว้ ยกนั 3 ลักษณะ คือ 1.ดดู ผิด 2.ดูดนอ้ ย และ 3.ดูดถกู วธิ ี ซึ่งการดูดนมทีถ่ กู ตอ้ งของ ทารกเปน็ ปจั จยั สำ� คญั ทสี่ ง่ ผล 2 ประการคอื ทง้ั ปรมิ าณสารอาหารทท่ี ารกจะไดร้ บั อยา่ งเพยี งพอ และอตั รา การไหลของนำ้� นม นวตั กรรม Stomach & Spoon อปุ กรณเ์ สรมิ ชว่ ยสอนแมใ่ หเ้ ขา้ ใจเรอ่ื งขนาดของกระเพาะ ทารกแรกเกิด เพอ่ื แมจ่ ะไดเ้ กิดความมนั่ ใจในการให้นมแม่ อกี ท้งั จะเกิดความมัน่ ใจว่าลกู น้อยจะได้รบั สาร อาหารเพยี งพอสำ� หรบั การเจรญิ เติบโตที่เหมาะสม วัตถุประสงค์ : 1.เพ่ือลดอัตราการเสริมนมผสมและลดอัตราการล้มเลิกการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ 2.มารดามีความรู้ ความเข้าใจในการรับอาหารของทารก 3.ระดับความเครียด วิตกกังวลในการรับสาร อาหารไมเ่ พยี งพอของมารดา วิธกี ารด�ำเนินงาน : 1.น�ำมาใชส้ อนการเลยี้ งลูกด้วยนมแม่ในหลักสูตรโรงเรยี นพ่อแม่ และการชว่ ย เหลอื ฝกึ ทักษะในคลินิกนมแม่ 2.ประเมินความรู้ก่อน-หลงั ใชอ้ ุปกรณ์ 3.เกบ็ รวบรวมข้อมูล และวเิ คราะห์ 4.ประเมนิ ความพงึ พอใจ 5.ประเมนิ ระดบั ความเครยี ด วติ กกงั วลในการรบั สารอาหารไมเ่ พยี งพอของมารดา ผลการด�ำเนนิ งาน : ผลการศกึ ษาทไี่ ดใ้ ชอ้ ปุ กรณ์ Stomach & Spoon พบวา่ อตั ราการเสรมิ นมผสม ในช่วง 1-3 วนั แรกหลังคลอดลดลงเหลือเพยี ง 22.4 จากเดมิ รอ้ ยละ 52.6 มารดาหลังคลอดทพ่ี ักฟืน้ อยู่ โรงพยาบาล ทม่ี ีปญั หาน้�ำนมไมไ่ หล หรอื ไหลนอ้ ย กอ่ นออกจากโรงพยาบาลมอี ัตราการไหลของน้ำ� นมดถี ึง ดีมาก และ 100% ทารกไดร้ ับน�้ำนมอยา่ งเพยี งพอ เมื่อแม่มนี �้ำนมไหลเพียงพอ แม่จะมรี ะดบั ความวิตก กังวลลดน้อยลง จากเดิมท่มี ีความเครยี ดมากถงึ 90% และอัตราทีจ่ ะล้มเลิกการเล้ียงลกู ด้วยนมแม่กล็ ดลง จากเดิม 16.3% ลดลงเหลือเพยี ง 5.2% สรุป : (1) ควรให้ครอบครัวของมารดาหลังคลอด มีส่วนร่วมและรับรู้ข้อมูลความจุของกระเพาะ ทารกเพอ่ื ชว่ ยในการเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่ (2) นำ� แนวคดิ ของอปุ กรณ์ Stomach & Spoon เปน็ ตวั ชว่ ยอธบิ าย ในการสอนหลกั สตู รโรงเรยี นพอ่ แม่ เรอื่ งการสง่ เสรมิ การเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแม่ โดยเนน้ ครอบครวั เปน็ ศนู ยก์ ลาง (3) ควรศึกษาการพฒั นารปู แบบการส่งเสริม การเล้ยี งลูกด้วยนมแม่โดยเน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลาง (4) ปรบั รูปแบบอุปกรณ์ Stomach & Spoon ใหส้ วยงาม และเข้าใจงา่ ยสะดวกในการใชง้ าน (5) เกดิ Link- Share-Learn ระหวางแผนกและบุคลากร เพอ่ื พฒั นางานประจาํ รวมกัน และพัฒนาผลงานตอ่ ไปอยา่ งไม่ ส้นิ สุด การประชุมวชิ าการนมแมแ่ ห่งชาติ ครง้ั ท่ี 6 145
สารสนเทศแนะนำ�การใช้ยา The Information Guide ในมารดาระยะการใหน้ มบุตร Dosing in Maternal Lactation. สุวรรณ อาจคงหาญ1 พิรุณ อาจคงหาญ2 1คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา, 2ฝ่ายเภสชั กรรมชุมชนและคุมครองผบู้ รโิ ภค โรงพยาบาลอู่ทอง บทน�ำ ในปัจจบุ ันการใช้ผลติ ภณั ฑย์ าสำ� หรบั มารดาในระยะการให้นมบตุ ร เป็นสงิ่ ที่หลีกเลี้ยงไดย้ าก แต่สามารถที่จะให้ยาได้หากมารดาท่ีให้นมบุตรทราบถึงกลุ่มยาตามความปลอดภัยต่อทารก ตามการแบ่ง ขององค์การอาหารและยา ซึ่งการพัฒนาสารสนเทศแนะน�ำการใช้ยาในมารดาระยะการให้นมบุตร น�ำเอา ทฤษฎที เ่ี กยี่ วขอ้ งมาประยกุ ตใ์ ช้ สำ� หรบั ฟงั กช์ น่ั ตา่ ง ๆ ในการชว่ ยคำ� นวณขนาดยา อนั ไดแ้ ก่ จดั กลมุ่ ยาตาม ความปลอดภยั ตอ่ ทารกในครรภ์ ตามการแบง่ ขององคก์ ารอาหารและยา ซงึ่ อาจจะทำ� ใหผ้ ใู้ ชแ้ อพพลเิ คชน่ั มี ความสะดวกสบาย และชว่ ยสง่ เสริมในเรอื่ งคณุ ภาพชีวิตอกี ด้วย วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื พฒั นาเวบ็ ไซตส์ ารสนเทศแนะนำ� การใชย้ าในมารดาระยะการใหน้ มบตุ ร และประเมนิ ความพึงพอใจผูง้ านตอ่ เวบ็ ไซต์สารสนเทศแนะน�ำการใช้ยาในมารดาระยะการให้นมบุตร วิธดี �ำเนินการวจิ ัย ข้ันตอนการพฒั นาระบบมอี ยดู่ ว้ ยกนั 5 ขน้ั ดว้ ยกนั คอื 1. รวมรวมขอ้ มลู โดยขน้ั ตอนการรวมรวมขอ้ มลู โดยเภสชั กรเปน็ ผรู้ วบรวมขอ้ มลู รวมไปถงึ ใชว้ ธิ กี ารอา่ น ศกึ ษาคน้ ควา้ และการคน้ หาขอ้ มูลจากอนิ เทอร์เน็ต 2. ออกแบบเวบ็ ไซต์ โดยการแบง่ สว่ นการใชง้ านของเวบ็ ไซต์ ตามหลกั การออกแบบเวบ็ ไซต์ และจดั รปู แบบ การจดั แบ่งพนื้ ทห่ี น้า Homepage 3. พฒั นาเวบ็ ไซต์ แนวทางหลกั การออกแบบเวบ็ ไซตส์ ารสนเทศแนะนำ� การใชย้ าในมารดาระยะการให้ นมบุตร โดยสามารถแบ่งออกเป็นข้ันตอนต่าง ๆ เพ่ือให้เหมาะสมกับผู้เร่ิมต้นใช้เป็นแนวทาง ในการสร้างและพัฒนาเว็บไซต์ 4. วัดผลความพึงพอใจ การวัดผลความพึงพอใจของผู้ใช้งานเว็บไซต์สารสนเทศแนะน�ำการใช้ยา ในมารดาระยะการให้นมบุตร เกบ็ จาก กลมุ่ ตวั อย่างผเู้ ข้าเยยี่ มชมเว็บไซตจ์ �ำนวน 20 คน โดย ใชแ้ บบสอบถามจากมาดารทใ่ี หน้ มบุตรท่ีมคี วามจำ� เปน็ ต้องใชย้ า สรปุ งานวจิ ยั นม้ี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ เปน็ สารสนเทศสำ� หรบั แนะนำ� การใชย้ าในมารดาระยะการใหน้ มบตุ ร เปน็ แหลง่ รวบรวมขอ้ มลู ในดา้ นตา่ ง ๆ ของมารดาระยะการใหน้ มบตุ ร รวมถงึ ศกึ ษาความพงึ พอใจของผเู้ ขา้ เยยี่ มชมเวบ็ ไซต์ จากศกึ ษาและพฒั นาเวบ็ ไซตส์ ารสนเทศแนะนำ� การใชย้ าในมารดาระยะการใหน้ มบตุ รแลว้ นัน้ และได้ท�ำการเก็บขอ้ มูลจากกล่มุ ตวั อย่างผเู้ ขา้ เยยี่ มชมเวบ็ ไซต์ โดยใชผ้ ตู้ อบแบบสอบถามมจี �ำนวนทั้ง ส้ิน 20 คน ระบุเป็นเพศหญิง รอ้ ยละ 100 โดยด้านข้อมูล ในเวบ็ ไซต์ ในสว่ นของข้อมูลถกู ต้อง ครบถว้ น อธิบายข้อมูลได้ชัดเจนได้ค่าเฉลี่ย 4.15 ข้อมูลท่ีน�ำเสนอเป็นประโยชน์ ตรงกับความต้องการได้ค่าเฉลี่ย 3.95 ความพึงพอใจโดยรวม ในส่วนของความพึงพอใจโดยรวมในการใช้บริการเว็บไซต์ได้ค่าเฉล่ีย 4.00 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างผู้เข้าเย่ียมชมเว็บไซต์สารสนเทศแนะน�ำการใช้ยาในมารดาระยะการให้นมบุตร ได้ค่าเฉล่ีย เปน็ 4.00 ซึ่งถือวา่ มคี วามพงึ พอใจอย่างมากตอ่ เว็บไซต์ 146
ทัศนคตติ ่อการเลยี้ งลูก ATTITUDE TOWARDS EX- ด้วยนมแมข่ องมารดา CLUSIVE BREASTFEEDING หลงั คลอด โรงพยาบาลระดับตตยิ ภมู ิ AMONG THAI MOTHERS IN A TERTIARY HOSPITAL Duangporn Maitreechit1 Anantaya Piasa2 Sirinuch Chomtho3 Santi Punnahitananda4 นมแม่เปน็ อาหารที่ดีทสี่ ุดสำ� หรับทารก โดยเฉพาะ 6 เดอื นแรก แตอ่ ตั ราการเล้ียงลกู ดว้ ยนมแม่ของ ประเทศไทย ยังต่ำ� กว่าเปา้ หมายมาก ทัศนคตทิ ด่ี ตี อ่ การเลีย้ งลกู ดว้ ยนมแม่นบั เป็นปัจจัยทีส่ ำ� คัญต่อความ สำ� เรจ็ ในการสง่ เสรมิ การเลีย้ งลูกด้วยนมแม่ การศึกษาเชงิ พรรณนาคร้งั น้ี มีวตั ถุประสงคเ์ พือ่ ศึกษาทศั นคติ ตอ่ การเลย้ี งลูกด้วยนมแมข่ องมารดาหลงั คลอดในโรงพยาบาลระดับตติยภมู ิ กลุ่มตัวอยา่ งคือมารดาหลงั ค ลอดบตุ รในโรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถนุ ายน พ.ศ. 2560 จำ� นวน 496 คน เกบ็ ขอ้ มูลโดยใช้แบบสอบถามทัศนคตกิ ารเล้ียงลกู ด้วยนมแมท่ ี่ทีมผ้วู ิจยั สรา้ งขน้ึ ผลการวิจยั พบว่ากลุ่มตวั อย่าง มอี ายุระหวา่ ง 26-34.5 ปี (อายเุ ฉลี่ย 31 ป)ี มีกลุ่มตวั อย่างเพยี ง 10 คน (ร้อยละ 2) ทเ่ี ลี้ยงลกู ด้วยนมแม่เพยี งอยา่ งเดียวจนครบ 6 เดอื น แต่มีกลุม่ ตวั อย่างอกี 146 คน (รอ้ ยละ 29.4 ) เลยี้ งบตุ รดว้ ยนมแมเ่ ปน็ หลกั แตเ่ พม่ิ นำ้� เปลา่ บางมอื้ คา่ เฉลย่ี ของคะแนนทศั นคติ โดยรวม เทา่ กบั 4.18±0.89 เมอ่ื จดั กลมุ่ พบวา่ กลมุ่ ตวั อยา่ งทม่ี ที ศั นคตใิ นการเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแมเ่ ชงิ บวก มจี ำ� นวน 405 คน (รอ้ ยละ 81.34) เชงิ ลบ 26 คน(รอ้ ยละ 5.31) และทศั นคตแิ บบกลาง 66 คน (รอ้ ยละ 13.36) เมอื่ วเิ คราะห์รายข้อพบวา่ ทศั นคติทก่ี ล่มุ ตัวอย่างมสี ัดส่วนในด้านลบมากทสี่ ดุ คอื การเลย้ี งบุตรดว้ ยนม ผสมสะดวกรวดเรว็ (ร้อยละ 20.68) ส่วนทัศนคติเกย่ี วกับความพอเพยี งของน�ำ้ นม ความเชื่อมั่นในการ เล้ยี งลูกดว้ ยนมแมไ่ ด้ครบ6 เดือน การเป็นอุปสรรคในการท�ำงาน และระยะเวลาการให้นมนานถึง 2 ปี กล่มุ ตัวอย่างมคี วามร้สู กึ ไมแ่ น่ใจ รอ้ ยละ 51.61, 23.47, 20.93 และ 17.1 ตามล�ำดบั มารดาหลงั ค ลอดมีทัศนคติเชิงบวกในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่ผลลัพธ์ของการเล้ียงลูกด้วยนมแม่ต�่ำกว่ามาตรฐาน วเิ คราะหข์ อ้ ค�ำถามพบวา่ ความรูส้ กึ วา่ น้�ำนมไมพ่ อ, ความเชื่อมนั่ ในการเลีย้ งลกู ด้วยนมแม่ได้ 6 เดือน, การใหน้ มแมเ่ ปน็ อปุ สรรในการทำ� งานนอกบา้ น และควรใหน้ มแมน่ านถงึ 2 ปี มารดาจะมคี วามรสู้ กึ ไมแ่ นใ่ จ ดังน้ันจึงควรนำ� ประเดน็ ปญั หาเหลา่ นีพ้ ัฒนาตอ่ ยอดเพื่อสง่ เสริมให้การเลยี้ งลูกด้วยนมแมส่ �ำเร็จต่อไป ค�ำส�ำคญั : ทัศนคต,ิ การเล้ียงลกู ด้วยนมแม่, มารดาหลงั คลอด Keywords : Attitude, Exclusive breastfeeding, postpartum mother 1 พยาบาลวชิ าชีพ โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์ 2 แพทย์ประจ�ำบา้ น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 3 รองศาสตราจารย์ ภาควชิ ากมุ ารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย\\ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ภาควิชากมุ ารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั การประชมุ วิชาการนมแม่แหง่ ชาติ ครงั้ ที่ 6 147
การศกึ ษาเปรยี บเทยี บผลสำ�เรจ็ A COMPARISON BETWEEN ของการเล้ียงลูกดว้ ยนมแม่ระหวา่ ง FLAT NIPPLE AND NORMOL มารดาหัวนมสั้นกับหัวนมปกติ NIPPLE MOTHERS IN BREASTFEEDING SUCCESS โรงพยาบาลมหาราชนครศรธี รรมราช AT MAHARAJ NAKHON SI THAMMARAT HOSPITAL ลมยั แสงเพ็ง1 ยวุ ดี วทิ ยพนั ธ2์ 1โรงพยาบาลมหาราชนครศรธี รรมราช, 2มหาวทิ ยาลัยวลยั ลักษณ์ บทน�ำ องคก์ ารอนามยั โลกไมแ่ นะนำ� ใหแ้ กไ้ ขหวั นมระยะตง้ั ครรภ์ เนอ่ื งจากเสยี่ งตอ่ การแทง้ บตุ ร คลอด ก่อนกำ� หนด และไม่สง่ ผลต่อความส�ำเรจ็ ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ไดป้ ฏบิ ตั ติ ามค�ำแนะนำ� ดังกลา่ วต้ังแตป่ พี .ศ.2557 เปน็ ต้นมา วตั ถปุ ระสงค์ เพอื่ ศกึ ษาเปรยี บเทยี บผลสำ� เรจ็ ของการเลย้ี งลกู ดว้ ยนมแม่ และการใหท้ ารกดดู นมแม่ อยา่ งมีประสิทธิภาพระหว่างมารดาหวั นมส้นั กับหวั นมปกติ รูปแบบการวิจัย การวิจยั เชิงพรรณนา วธิ ดี �ำเนนิ การวจิ ยั กลมุ่ ตวั อยา่ ง คอื คมู่ ารดาทารกสขุ ภาพดี ทารกเกดิ ครบกำ� หนด นำ้� หนกั แรกเกดิ ปกติ ท่ีรับรักษาในโรงพยาบาลมหาราชนครศรธี รรมราช จ�ำนวน 120 คู่ แบง่ เปน็ มารดาที่มีความยาว หัวนม 0.1- 0.7 เซนติเมตรจ�ำนวน 60 คู่ และมารดาทม่ี ีความยาวหวั นม>0.7 เซนติเมตรจ�ำนวน 60 คู่ เครอื่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั เปน็ แบบบนั ทกึ ขอ้ มลู สว่ นบคุ คลของมารดาและทารก และแบบบนั ทกึ การประเมนิ และชว่ ยเหลอื การเลยี้ งลกู ดว้ ยนมแม่ วเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยใช้ สถติ เิ ชงิ บรรยายและการทดสอบคา่ chi square และT-test ผลการวิจยั พบว่าการใหท้ ารกดดู นมแมอ่ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ แรกรับคา่ เฉล่ยี ของคะแนน Latch on ในมารดาหัวนมปกติ สงู กวา่ มารดาหวั นมส้ัน อยา่ งมีนัยสำ� คญั ทางสถิติ(p=.002) หลงั การช่วยจัดท่าให้นม สนบั สนนุ การดดู บอ่ ย และแกไ้ ขหวั นมในมารดาหวั นมสน้ั ทำ� ใหก้ อ่ นจำ� หนา่ ยทงั้ สองกลมุ่ คา่ เฉลยี่ ของคะแนน Latch on ไม่แตกต่างกัน และอตั ราการเลี้ยงลกู ด้วยนมแมอ่ ย่างเดยี วก่อนจำ� หน่ายของมารดาหัวนมปกติ สูงกวา่ มารดาหัวนมส้ันอยา่ งไมม่ ีนยั สำ� คัญทางสถติ ิ (p= .215) สรปุ การชว่ ยจดั ทา่ ใหน้ ม สนบั สนนุ การดดู บอ่ ย และแกไ้ ขหวั นมในมารดาหวั นมสนั้ ในหอผปู้ ว่ ยหลงั คลอด สง่ ผลต่อความส�ำเรจ็ ของการเลีย้ งลูกดว้ ยนมแมก่ อ่ นจ�ำหนา่ ย 148
การศกึ ษาผลของการให้นมน�ำ้ เหลืองใน Clinical outcomes of ทารกแรกเกิดน้ำ� หนักนอ้ ยมาก early oropharyngeal (น�้ำหนกั 1,000 กรมั ถงึ 1,500 กรัม) colostrum in VLBW ตอ่ ภาวการณต์ ดิ เชอ้ื ในกระแสเลอื ดระยะทา้ ย in preventing late onset neonatal sepsis (L-OS) นลินี ยมศรีเคน โรงพยาบาลมหาสารคาม บทน�ำ การตดิ เช้ือในกระแสเลือดระยะท้าย(Late onset neonatal sepsis; L-OS) และNecrotizing enterocolitis (NEC) เปน็ ปัญหาส�ำคญั มี morbidity และ mortality สงู โดยเฉพาะในทารกแรกเกิดก่อน กำ� หนดนำ้� หนักตัวน้อยมาก นมน�ำ้ เหลือง (colostrum) มีสารอาหารจ�ำเป็น การให้นมนำ้� เหลอื งในระยะ แรกหลังคลอดช่วยลดการติดเช้ือในทารกได้ วตั ถปุ ระสงค์ ศกึ ษาผลของการไดร้ บั นมนำ้� เหลอื งในระยะแรกหลงั คลอด ในทารกแรกเกดิ กอ่ นกำ� หนด น้ำ� หนกั ตัวน้อยมากกบั การเกดิ L-OS และ NEC วิธีการศึกษา Cohort study ประชากรกลุ่มตัวอย่างคือทารกแรกเกิดที่ได้รับนมน้�ำเหลืองตาม protocol คอื อยา่ งนอ้ ยครัง้ ละ 0.2 mL โดยวิธีหยอดใสก่ ระพุ้งแก้มทารก ตอ้ งไดร้ ับคร้งั แรกใน 24 ชัว่ โมง ไดร้ บั ครงั้ ตอ่ ไปห่างกนั ทุก 3 ชั่วโมง รวมแล้วให้ได้รบั อย่างน้อย 16 ครัง้ ภายใน 72 ชั่วโมงแรกของชวี ิต กลมุ่ ควบคมุ คือ ทารกไมไ่ ด้รบั นมแมต่ ามprotocol ผลการศึกษา จาก 1 กรกฎาคม 2559 ถงึ 30 มถิ นุ ายน 2560 มีทารกแรกเกิด 38 ราย มที ารก กลุม่ ควบคุม 14 ราย ทารกกลุม่ ตัวอย่าง 21 ราย น�ำ้ หนกั แรกเกิด 1000 -1470 กรมั น้ำ� หนกั แรกเกิด เฉลย่ี 1256.6 กรมั อายคุ รรภ์ 26 ถงึ 36 สัปดาห์ การศึกษาพบวา่ อตั ราการเกดิ การL-OSและการเกิด NEC ของกลุม่ ตัวอยา่ ง คอื ร้อยละ28.6และ 4.8ตามล�ำดับ ซึง่ น้อยกวา่ กลุ่มควบคุมคอื รอ้ ยละ 64.3 และ 28.6 อยา่ งมนี ยั ส�ำคัญทางสถิติ ไม่พบผลขา้ งเคียงจากการศกึ ษา สรปุ ผล การใหน้ มนำ้� เหลอื ง ในระยะแรกหลงั คลอด มปี ระโยชนม์ าก กบั ทารกแรกเกดิ ทกุ คน โดยเฉพาะ ทารกแรกเกดิ นำ�้ หนกั ตวั นอ้ ยมาก ซงึ่ มโี อกาสตดิ เชอื้ ในกระแสเลอื ดสงู ควรไดร้ บั นมนำ�้ เหลอื ง อยา่ งรวดเรว็ และเพียงพอ ควรมกี ารศึกษาต่อเน่ืองและศกึ ษาผลในระยะยาว การประชมุ วิชาการนมแม่แห่งชาติ ครัง้ ท่ี 6 149
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190