หลักฐานที่ เป็ นลายลักษณ์ อักษร ท่ีพบในประเทศไทยแบ่ง ออกเป็นหลำยประเภท ทส่ี ำคญั คอื จารึก เป็นหลกั ฐำนประเภทลำยลกั ษณ์อกั ษรท่มี อี ำยุยำวนำนท่สี ุด หรอื เกำ่ ทส่ี ุดทพ่ี บในประเทศไทย เพรำะวสั ดุทใ่ี ชจ้ ำรกึ เป็นวสั ดุทม่ี คี วำมคงทน ถำวร เช่น ศลิ ำ แผน่ อฐิ แผน่ เงนิ แผน่ ทอง แผน่ ทองแดง ภำษำและตวั อกั ษรท่ี พบในจำรกึ โบรำณล้วนเป็นภำษำและตวั อกั ษรทต่ี ่ำงไปจำกปัจจบุ นั นอกจำกน้ี ภำษำและตวั อกั ษรทป่ี รำกฏอยใู่ นจำรกึ ของแต่ละยุคสมยั ยงั มรี ปู แบบท่ตี ำ่ งกนั ไปอกี ดว้ ย ปัจจบุ นั มกี ำรคน้ พบจำรกึ โบรำณในประเทศไทยมำกมำย อำจแบ่ง ออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ จำรกึ กลุ่มแรก มอี ำยุตงั้ แต่รำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๘ (คอื จำรกึ สมยั ทวำรวดี ศรวี ชิ ยั ลพบุรหี รอื เขมรในประเทศไทย) เป็นจำรกึ ทใ่ี ชภ้ ำษำบำลี ภำษำมอญโบรำณ ภำษำสนั สกฤต ภำษำขอม และภำษำทมฬิ ตวั อกั ษรท่ใี ช้ เขยี นมที งั้ ท่ีเป็นตวั อกั ษร ปัลลวะ ตวั อกั ษรหลงั ปัลลวะ ตวั อกั ษรมอญ และ อกั ษรขอม (เขมรโบรำณ) จำรึกกลุ่มท่ีสอง มีอำยุรำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ ลงมำ มีทัง้ ท่ีเป็ น จำรึกภำษำไทยท่ีใช้ตวั อกั ษรไทย จำรกึ ภำษำขอมใช้อกั ษรขอม และจำรกึ ภำษำมอญใช้ตวั อกั ษรมอญ สำหรบั จำรกึ ทเ่ี ป็นภำษำไทยเรมิ่ มขี น้ึ ครงั้ แรกใน สมยั สุโขทยั รำวพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ และมเี ร่อื ยลงมำจนถึงสมยั ล้ำนนำไทย สมัยอยุธยำ สมัยรตั นโกสินทร์ แต่ตัวอักษรไทยและภำษำไทยท่ีใช้จะมี พฒั นำกำรท่แี ตกต่ำงกนั ออกไปตำมยุคสมยั และตำมท้องถนิ่ จนสำมำรถแยก ออกได้เป็นอกั ษรไทยภำษำไทยสมยั สุโขทยั สมยั อยุธยำ หรอื เป็นตวั อกั ษร ธรรม อกั ษรฝักขำมและอกั ษรไทยน้อย สำหรบั จำรกึ ภำษำขอมท่ีเขียนด้วย ตวั อกั ษรขอมและจำรกึ ภำษำมอญท่เี ขยี นด้วยตวั อกั ษรมอญท่มี อี ำยุอยู่ในรุ่น หลงั น้ี กจ็ ะมพี ฒั นำกำรต่ำงไปจำกภำษำขอมอกั ษรขอมและภำษำมอญอกั ษร มอญทใ่ี ชใ้ นสมยั แรกๆ เช่นเดยี วกนั [๔๐]
เน้ือควำมทป่ี รำกฏอยู่ในจำรกึ ท่พี บในประเทศไทยส่วนใหญ่ มกั เป็น เร่อื งท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ศำสนำและกษตั รยิ ท์ ่ปี กครองบำ้ นเมอื ง นอกจำกน้ีจำรกึ ใน บำงสมยั ยงั มเี รอ่ื งเกย่ี วกบั กฎหมำยของบำ้ นเมอื งปรำกฏอยดู่ ว้ ย ภำพท่ี ๑๗ จำรกึ วดั เชยี งมนั่ จงั หวดั เชยี งใหม่ อกั ษรธรรมลำ้ นนำ ภำษำไทย พ.ศ. ๒๑๒๔ (ทม่ี ำ: ฐำนขอ้ มลู จำรกึ ในประเทศไทย ศนู ยม์ ำนุษวทิ ยำสริ นิ ธร (องคก์ ำรมหำชน)) [๔๑]
นกั ประวตั ิศำสตรถ์ อื วำ่ จำรกึ เป็นหลกั ฐำนประเภทลำยลกั ษณ์อกั ษร ท่สี ำคญั ท่นี ่ำเช่อื ถอื ท่ีสุด เพรำะเป็นหลกั ฐำนท่ที ำขน้ึ ในช่วงเวลำท่เี หตุกำรณ์ นนั้ เกดิ ขน้ึ จำรกึ ท่มี ศี กั รำชบอก วนั เดอื น ปีไวจ้ ะช่วยใหค้ วำมกระจำ่ งในเร่อื ง เวลำได้ดี จำรกึ ท่ีมีช่ือเสียงและรู้จกั กนั ทวั ่ ไป คือจำรกึ หลกั ท่ี ๑ ของพ่อขุน รำมคำแหงมหำรำช ซ่ึงเป็ นจำรึกสมยั สุโขทัยท่ีให้ข้อมูลเร่อื งรำวเก่ียวกับ ประวตั ศิ ำสตรส์ โุ ขทยั ทส่ี ำคญั ทส่ี ดุ อย่ำงไรก็ตำมถงึ แม้ว่ำจะเป็นหลกั ฐำนท่ีนักประวตั ศิ ำสตร์ให้ควำม เช่ือถือมำกท่ีสุด แต่จำรกึ ก็เป็นหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ประเภทลำยลกั ษณ์ อกั ษรทม่ี ขี อ้ จำกดั มำกเชน่ กนั คอื เน้ือหำในจำรกึ มกั เป็นเร่อื งรำวสนั้ ๆ ไม่มีรำยละเอียด เพรำะกำร จำรึกนั้นไม่ใช่วิธีกำรท่ีจะทำได้ง่ำยๆ พ้ืนท่ีในกำรจำรึกมีจำกัด จึงไม่มี รำยละเอยี ดมำกนกั ทำใหม้ ปี ัญหำในกำรทำควำมเขำ้ ใจเร่อื งรำวทจ่ี ำรกึ ไว้ จำรกึ ท่พี บสว่ นใหญ่มกั ทำขน้ึ โดยกษตั รยิ ห์ รอื บุคคลท่เี ป็นผนู้ ำในยคุ สมยั นนั้ ๆ เร่อื งรำวต่ำงๆ ทจ่ี ำรกึ ไวจ้ งึ น่ำจะมคี วำมถูกต้องแม่นยำ โดยเฉพำะ อย่ำงยิ่งในเร่อื งเวลำ ซ่ึงถือว่ำมีควำมถูกต้องมำกกว่ำเอกสำรประเภทอ่ืนๆ เพ รำะส่ว น ให ญ่ ม ัก จ ะจำรึก ข้ึน ใน ช่ วงเวล ำท่ีมีเห ตุ ก ำรณ์ นั้น เกิด ข้ึน ห รือ ใกล้เคียง แต่ต้องระมดั ระวงั ในกำรนำมำใช้ในกำรศึกษำทำงประวตั ิศำสตร์ เพรำะอำจจะเป็นหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรท์ ่ใี หข้ อ้ มลู เพยี งดำ้ นเดยี ว จำรกึ ท่ีพบในประเทศไทย โดยเฉพำะจำรกึ ท่ีมอี ำยุอยู่ในรุ่นแรกๆ มกั จะมีสภำพชำรุดแตกหกั ทำให้ข้อควำมบำงตอนไม่ชดั เจนหรอื ลบเลือน หำยไปเหลือแต่ขอ้ ควำมกระท่อนกระแท่น ทำให้กำรอ่ำนและกำรแปลควำม เป็นไปด้วยควำมยำกลำบำกหรอื บำงครงั้ อ่ำนและแปลไม่ได้ควำมเลย จำรกึ บำงหลักถึงแม้มีข้อควำมสำคัญท่ีอ่ำนและแปลได้แล้ว แต่มีปั ญหำเร่ือง แหล่งกำเนิดดัง้ เดิมของจำรึก ทำให้นำมำใช้ประโยชน์ ในกำรศึกษำ ประวตั ศิ ำสตรไ์ ดย้ ำกหรอื ทำไดไ้ มเ่ ตม็ ท่ี [๔๒]
กำรอ่ำนและกำรแปลควำมในจำรกึ โบรำณต้องใช้นักอ่ำนจำรึกท่ีมี ควำมรู้ควำมเช่ียวชำญเป็ นพิเศษ คือนอกจำกจะต้องมีควำมรู้ทำงด้ำน โบรำณคดีและประวตั ิศำสตร์ด้วย นักวชิ ำกำรท่ีเช่ียวชำญทำงด้ำนน้ีจริงๆ มนี ้อยมำกไมว่ ำ่ จะเป็นในอดตี หรอื ในปัจจบุ นั ดว้ ยขอ้ จำกดั ของจำรกึ ดงั กล่ำวขำ้ งตน้ ผศู้ กึ ษำประวตั ศิ ำสตรจ์ งึ ต้อง ระมดั ระวงั ในกำรใช้ขอ้ มลู จำกจำรกึ มำเป็นหลกั ฐำนอำ้ งองิ ควรพจิ ำรณำวำ่ ใคร เป็ นผู้อ่ำนและแปลควำมจำรึกนั้นๆ มีควำมเช่ียวชำญมำกน้อยเพียงไร กำรแปลควำมนัน้ มีกำรขยำยควำมไปมำกกว่ำส่งิ ท่ีจำรกึ กล่ำวถึงไว้หรอื ไม่ และเม่อื จะนำไปใช้ยงั ตอ้ งตรวจสอบวำ่ ควำมในจำรกึ นนั้ สมั พนั ธส์ อดคล้องกบั หลกั ฐำนอ่นื ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งดว้ ยหรอื ไมอ่ ยำ่ งไร จดหมายเหตุ เป็นเอกสำรโบรำณท่ีสำคญั ประเภทหน่ึงท่ีใช้เป็น หลักฐำนในกำรศึกษำประวตั ิศำสตร์ไทย จดหมำยเหตุในควำมหมำยเดิม หมำยถึงบนั ทึกข่ำวครำวหรอื บนั ทึกเหตุกำรณ์ต่ำงๆ ท่ีเกิดข้นึ ในเวลำนัน้ ๆ แต่ควำมหมำยของจดหมำยเหตุท่ีเข้ำใจกนั ในปัจจุบนั คือ เอกสำรรำชกำร ทุกประเภทท่ีไม่ได้ใช้ประโยชน์ในหน่วยงำนนัน้ ๆ แล้ว แต่ไดร้ บั กำรคดั เลอื ก วำ่ เป็นเอกสำรท่มี คี ณุ ค่ำสำหรบั ใชป้ ระโยชน์ในกำรอำ้ งอิงได้ และจะถูกนำไป เกบ็ รกั ษำไวท้ ห่ี อจดหมำยเหตแุ หง่ ชำติ สำหรบั จดหมำยเหตุทเ่ี ป็นบนั ทกึ เหตุกำรณ์ต่ำงๆ ในสมยั โบรำณนนั้ มกั จะบันทึกข้ึนในขณะท่ีเหตุกำรณ์ นั้นเกิดข้ึนและมักจะบอกเวลำลำดับ เหตุกำรณ์ท่ีเกิดข้นึ ไว้ด้วย เร่ืองรำวท่ีปรำกฏในจดหมำยเหตุจงึ ได้รบั ควำม น่ำเช่ือถือและจัดว่ำเป็ นเอกสำรชัน้ ต้นด้วย จดหมำยเหตุท่ีเป็ นบันทึก เหตุกำรณ์ต่ำงๆ ในสมัยโบรำณ มีหลำยลักษณะและหลำยประเภท เช่น จดหมำยเหตุของหลวง จดหมำยเหตุโหร จดหมำยเหตุชำวตำ่ งชำติ ซ่งึ มหี ลำย ชำติหลำยภำษำ ได้แก่ จีน กรกี ญ่ีปุ่น อำหรบั –เปอร์เชีย โปรตุเกส สเปน ฮอลนั ดำ องั กฤษ ฝรงั ่ เศส และสหรฐั อเมรกิ ำ [๔๓]
ในกำรนำจดหมำยเหตุมำใช้เป็ นหลักฐำนทำงประวตั ิศำสตร์นัน้ ถึงแม้ว่ำนักประวตั ิศำสตร์ให้ควำมเช่ือถือมำกท่ีสุดอย่ำงหน่ึง เพรำะมกั มี รำยละเอียดและมีควำมถูกต้องในเร่อื งเวลำ แต่ผู้ศึกษำจะต้องใช้ด้วยควำม ระมดั ระวงั รอบคอบ เพรำะอำจจะมขี อ้ คดิ เหน็ ของผบู้ นั ทกึ สอดแทรกลงไปดว้ ย โดยเฉพำะอย่ำงยิง่ ท่ีผู้บันทึกเป็นชำวต่ำงประเทศซ่ึงอำจจะบนั ทึกเร่อื งรำว ต่ำงๆ ดว้ ยแนวคดิ และมมุ มองทำงดำ้ นวฒั นธรรมต่ำงไปจำกควำมเป็นจรงิ กไ็ ด้ ตานาน เป็นหลกั ฐำนประเภทลำยลกั ษณ์อกั ษรทเ่ี กำ่ แก่อกี ประเภท หน่ึง ท่ีปรำกฏในรูปของเอกสำรโบรำณท่ีเรียกกันว่ำ ใบลำนและสมุดข่อย ตำนำนจงึ เป็นตวั อย่ำงของกำรบนั ทกึ แบบโบรำณท่เี ก่ำแก่ประเภทหน่ึง ภำษำ ท่ใี ช้เขยี นมีทงั้ ท่เี ป็นภำษำไทย ภำษำไทยเหนือ ภำษำลำว ภำษำเขมร และ ภำษำบำลี ตวั อกั ษรท่ีใช้เขยี น มที งั้ ท่เี ป็นตวั อกั ษรไทยเหนือ ตวั อกั ษรธรรม อกั ษรขอม หลกั ฐำนเกย่ี วกบั ตำนำนทพ่ี บในประเทศไทยอำจกล่ำวไดว้ ำ่ มกี ำร เขยี นตำนำนขน้ึ ตงั้ แต่รำวกลำงพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ และไดร้ บั ควำมนิยมมำก ในรำวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ – ๒๒ ตำนำนท่ีรู้จกั กนั ดี ได้แก่ ตำนำนสิงหนวตั ิกุมำร ตำนำนพ้ืนเมอื ง เชยี งใหม่ ตำนำนจำมเทววี งศ์ ตำนำนพระแกว้ มรกต และตำนำนพทุ ธสหิ งิ ค์ เน้ือหำท่ีปรำกฏในตำนำน มีลกั ษณะเป็นเร่อื งเล่ำ โดยไม่ทรำบว่ำ ใครเป็ นผู้เล่ำคนแรก ทรำบแต่ว่ำเล่ำสืบต่อๆ กันมำเป็ นเวลำนำน ต่อมำ ภำยหลงั จงึ มกี ำรจดบนั ทกึ เร่อื งเล่ำนนั้ ๆ เป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรไว้ ตำนำนท่พี บ ในประเทศไทยมกั เป็นเร่อื งเก่ยี วกบั ประวตั ิของบ้ำนเมอื งโบรำณ ประวตั ิของ ปูชนียวตั ถุและปูชนียสถำนท่มี ีควำมเช่ือในเร่อื งศำสนำเข้ำมำเก่ียวข้องดว้ ย เสมอ เน้ือเร่ืองท่ีบันทึกไว้มักจะมีควำมเช่ือในเร่ืองอิทธิฤทธิป์ ำฏิหำริย์ สอดแทรกอยดู่ ว้ ย นอกจำกน้ียงั มีงำนเขียนท่ีเขยี นข้นึ ในสมยั หลงั ๆ ท่มี ีเน้ือหำในเชิง ประวตั คิ วำมเป็นมำ กม็ กั จะใชค้ ำนำหน้ำเรอ่ื งวำ่ “ตำนำน” ไวด้ ว้ ย เช่น ตำนำน วงั หน้ำ ตำนำนพทุ ธเจดยี ส์ ยำม และตำนำนเรอื รบไทย เป็นตน้ [๔๔]
กำรใช้ตำนำนเป็นหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ ถึงแม้ว่ำตำนำนจะเป็น เรอ่ื งเลำ่ ทน่ี ่ำสนใจเพรำะมรี ำยละเอยี ดมำก แต่ตอ้ งใชด้ ว้ ยควำมระมดั ระวงั และ ตอ้ งสอบทำนกบั เอกสำรหรอื หลกั ฐำนอ่นื ๆ ดว้ ย โดยเฉพำะอยำ่ งยงิ่ ตำนำนท่ี เขยี นขน้ึ ในสมยั โบรำณจะมคี วำมคลำดเคล่อื นในเรอ่ื งเวลำมำก เพรำะเล่ำต่อๆ กนั มำนำน อำจมกี ำรดดั แปลงโดยผู้เล่ำเอง และอำจจะมกี ำรเสรมิ แต่งโดยผู้ บนั ทึก นอกจำกน้ีในกำรอธบิ ำยควำมบำงตอนยงั เต็มไปด้วยเร่อื งอิทธฤิ ทธิ ์ ปำฏหิ ำรยิ ท์ เ่ี ป็นเรอ่ื งเหลอื เช่อื ในปัจจบุ นั ด้วยข้อจำกัดในเร่ืองเวลำและเน้ือหำท่ีมีเร่อื งอิทธิฤทธิป์ ำฏิหำริย์ แทรกอยู่ด้วย นักประวตั ิศำสตร์ส่วนใหญ่จึงจดั ลำดบั ควำมน่ำเช่ือถือของ ตำนำนไว้เป็นหลกั ฐำนชนั้ รองท่มี คี วำมน่ำเช่อื ถอื น้อยกว่ำหลกั ฐำนประเภท จำรึกและจดหมำยเหตุ อย่ำงไรก็ตำมนักประวัติศำสตร์บำงท่ำนก็ให้ ควำมสำคญั กบั หลกั ฐำนประเภทตำนำนเป็นอย่ำงมำกในกำรศกึ ษำถงึ สภำพ ของสังคมและวัฒ นธรรมของบ้ำนเมืองโบรำณ ท่ีตำนำนกล่ำวถึงไว้ โดยค้นหำหลกั ฐำนประเภทอ่ืนๆ ท่ีมีควำมสัมพนั ธ์สอดคล้องกบั เร่อื งรำวท่ี ตำนำนกล่ำวถงึ ไวม้ ำตรวจสอบกนั พระราชพงศาวดาร เป็ นหลักฐำนประวตั ิศำสตร์ประเภทลำย ลักษณ์ อักษรท่ีมีควำมสำคัญมำกในกำรศึกษำประวัติศำสตร์ชำติไทย สมยั ก่อนๆ เน้ือหำในพระรำชพงศำวดำรจะเป็นเร่อื งท่ีเก่ียวกบั ประเทศชำติ เหตุกำรณ์บ้ำนเมอื งกษตั รยิ ์ผูเ้ ป็นประมุขและผู้สบื สนั ตติวงศ์ลงมำตำมลำดบั เอกสำรประเภทน้ีส่วนใหญ่ เป็ นเอกสำรทำงรำชกำรท่ีกษัตริย์โปรดให้ นักปรำชญ์ประจำรำชสำนักหรือพระเถระผู้ใหญ่ซ่ึงเป็ นผู้นำทำงศำสนำ ทำกำรรวบรวมเร่อื งรำวต่ำงๆ ท่มี อี ยู่ในเอกสำรโบรำณสำคญั ท่มี มี ำก่อน แล้ว นำมำประมวลเป็นเร่อื งรำวขน้ึ โดยอำจจะมกี ำรแต่งเร่อื งต่อเพมิ่ ขน้ึ ซง่ึ เรยี กวำ่ “เรยี บเรยี งขน้ึ หรอื แต่งขน้ึ ” หรอื อำจจะนำเอำหนงั สอื พระรำชพงศำวดำรทม่ี อี ยู่ แลว้ มำตรวจแกไ้ ขถอ้ ยคำหรอื แทรกควำมบำงตอนลงไป ซง่ึ เรยี กวำ่ “ชำระ” [๔๕]
พระรำชพงศำวดำรไทยท่ีมีอยู่ในปั จจุบัน ส่วนใหญ่มีเน้ือหำท่ี เก่ียวข้องกับบ้ำนเมืองในสมัยอยุธยำและสมัยรัตนโกสินทร์ พระรำช พงศำวดำรท่ีมีเน้ือหำเก่ียวกบั เร่อื งรำวในสมยั อยุธยำและเขียนข้ึนในสมัย อยธุ ยำ ไดแ้ ก่ พระราชพงศาวดารหมายเลข ๒๒๒, ๒ก/๑๐๔ และพระราช พงศาวดารหมายเลข ๒๒๓, ๒/ก ๑๒๕ ฉบบั แรกนำยไมเคลิ วคิ เคอร่ี เป็นผู้ คน้ พบต้นฉบบั จำกหอสมุดแห่งชำตเิ ม่อื พ.ศ. ๒๕๑๔ ส่วนฉบบั หลงั นำงสำว อุบลศรี อรรถพนั ธุ์ เป็นผคู้ ้นพบเม่อื พ.ศ. ๒๕๒๑ พระรำชพงศำวดำรทงั้ สอง เล่มน้ีเช่อื กนั วำ่ เดิมนนั้ คงจะเป็นเอกสำรเล่มเดยี วกนั ท่เี ขยี นข้นึ ในสมยั อยธุ ยำ ตอนต้น พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบบั เยเรเมียส ฟาน ฟลีต เขยี นขน้ึ รำวปี พ.ศ. ๒๑๘๓ โดย ฟำน ฟลตี หรอื วนั วลติ ซ่งึ เป็นผจู้ ดั กำรสถำนี กำรค้ำฮอลนั ดำท่ีตงั้ อยู่ท่ีกรุงศรอี ยุธยำในรชั กำลของพระเจ้ำปรำสำททอง พระราชพงศาวดารกรงุ เก่าฉบบั หลวงประเสริฐ เป็นพระรำชพงศำวดำรท่ี แต่งขน้ึ เม่อื ปี พ.ศ. ๒๒๒๓ โดยพระบรมรำชโองกำรของสมเดจ็ พระนำรำยณ์ มหำรำช พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยาฉบบั จาลอง จ.ศ. ๑๑๓๖ ซ่ึง สมเดจ็ พระเจำ้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพ ทรงสนั นิษฐำนวำ่ คง จะเขยี นขน้ึ ในรชั สมยั ของพระเจำ้ อยหู่ วั บรมโกศ สำหรบั พระรำชพงศำวดำรท่มี เี น้ือหำเกย่ี วกบั เรอ่ื งรำวในสมยั อยธุ ยำ และสมยั รตั นโกสนิ ทร์ตอนต้น ทเ่ี ขยี นหรอื ชำระขน้ึ ในสมยั ของพระบำทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้ำจุฬำโลกมหำรำช ไดแ้ ก่ พระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยธุ ยา ฉบับจักรพรรดิ พงศ์ (จาด) พระราชพงศาวดารฉบับหมอบรดั เลย์ พระราชพงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนุมาศ (เจิม) พระราชพงศาวดารฉบบั กรุงศรีอยุธยาจาลอง จ.ศ. ๑๑๔๕ พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จ พระพนรตั น์ พระราชพงศาวดารกรุงสยามหรือพระราชพงศาวดาร ฉบบั บริติชมิวเซียม และท่ชี ำระในรชั กำลของพระบำทสมเดจ็ พระจอมเกล้ำ เจำ้ อยหู่ วั ไดแ้ ก่ พระรำชพงศำวดำรฉบบั พระรำชหตั ถเลขำ [๔๖]
สำหรบั พระรำชพงศำวดำรท่ีมีเน้ือหำเก่ียวกับเร่ืองรำวในสมัย รัตนโกสินทร์ท่ีเขียนข้ึนหลังรัชกำลท่ี ๔ ลงมำ ท่ีสำคัญคือ พระราช พงศาวดารกรงุ รตั นโกสินทร์ รชั กาลที่ ๑ – ๔ เขยี นขน้ึ โดยเจำ้ พระยำทพิ ำ กรวงศ์ ตำมพระบรมรำชโองกำรของพระบำทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั รัชกำลท่ี ๕ และพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่ ๒ ซ่งึ สมเดจ็ พระเจำ้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพ ทรงชำระมำจำก พระรำชพงศำวดำรกรุงรตั นโกสนิ ทร์ รชั กำลท่ี ๒ ของเจ้ำพระยำทิพำกรวงศ์ อกี ต่อหน่ึง นอกจำกน้ียงั มพี งศำวดำรท้องถนิ่ และพงศำวดำรประเทศเพ่อื นบ้ำน ซ่งึ มำแต่งข้นึ ในสมยั รตั นโกสนิ ทรอ์ ีกหลำยเร่อื ง เช่น พงศำวดำรเมืองถลำง พงศำวดำรเมืองปั ตตำนี พงศำวดำรเมืองเชียงรุ้ง พงศำวดำรล้ำนช้ำง พงศำวดำรมอญ พมำ่ พงศำวดำรเขมร เป็นตน้ นกั ประวตั ศิ ำสตรใ์ ห้ควำมสำคญั กบั เอกสำรประเภทน้ีค่อนขำ้ งมำก แต่กำรจะนำมำใช้ต้องตรวจสอบด้วยควำมระมดั ระวงั เพรำะเป็นเอกสำรท่ี เขยี นข้นึ โดยคำสงั ่ และควำมต้องกำรของรำชสำนักซ่ึงอำจมจี ุดมุ่งหมำยทำง กำรเมืองแฝงอยู่ด้วย เน้ือหำก็มีขอบเขตจำกดั อยู่ท่ีกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับ พระมหำกษตั รยิ เ์ ท่ำนัน้ และเป็นเร่อื งรำวท่รี วบรวมมำจำกเอกสำรชนั้ ต้นท่ีมี มำก่อน มีกำรชำระควำม แต่งเตมิ ควำมบำงส่วนท่ีหำยไป กำรท่ีจะนำมำใช้ ประโยชน์ตอ้ งตรวจสอบกบั หลกั ฐำนอ่นื ๆ ควบคไู่ ปดว้ ย เอกสารราชการ เดิมเรียกว่า ใบบอก เป็นเอกสำรท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั กำรบรหิ ำรรำชกำรแผน่ ดนิ ดำ้ นกำรปกครองระหวำ่ งสว่ นกลำงกบั สว่ นภูมภิ ำค ในสมยั ก่อนยงั ไม่มกี ำรพมิ พ์ กจ็ ะใช้วธิ จี ำรลงบนใบลำนโดยเจำ้ หน้ำท่ซี ่งึ เรยี ก กนั ว่ำ “อำลกั ษณ์” ขอ้ ควำมท่จี ำรไวก้ เ็ ป็นพระบรมรำชโองกำรใหป้ ระชำชนรบั ไปถือปฏิบัติ และถูกคดั สำเนำส่งไปตำมหวั เมืองต่ำงๆ ซ่ึงเรยี กว่ำใบบอก ต่อมำเม่อื มีกำรพิมพ์เกิดข้ึนในเมืองไทย ก็ใช้วิธีพิมพ์แทน ทำให้มีเอกสำร รำชกำรเพม่ิ ขน้ึ มำกมำยหลำยประเภท ปัจจบุ นั สง่ิ พมิ พท์ ่ีทำงรำชกำรทำขน้ึ ถอื เป็นเอกสำรรำชกำรทงั้ สน้ิ [๔๗]
เอกสำรรำชกำรเป็ นหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ประเภทลำยลกั ษณ์ อกั ษรท่ีมมี ำกท่ีสุด ประโยชน์ท่ีได้จำกเอกสำรเหล่ำน้ีคอื ข้อเท็จจรงิ เก่ยี วกบั เร่อื งกระบวนกำรบรหิ ำรรำชกำรแผน่ ดนิ สภำพสงั คม ทศั นะควำมคดิ ของกลุ่ม ชนชนั้ ผู้นำของประเทศไทยแต่ละยคุ สมยั แต่ต้องใช้ดว้ ยควำมระมดั ระวงั และ ตรวจสอบข้อเท็จจรงิ กบั หลกั ฐำนท่ีเป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรประเภทอ่ืนๆ ด้วย เพรำะอำจมคี วำมลำเอยี งหรอื ไดข้ อ้ มลู เพยี งดำ้ นเดยี ว เอกสารกฎหมาย เป็นเอกสำรท่มี ปี ระโยชน์อยำ่ งมำกในกำรศกึ ษำ ประวตั ศิ ำสตรก์ ำรปกครอง และยงั รวมไปถงึ สภำพสงั คม วฒั นธรรมและจำรตี ประเพณีของบ้ำนเมืองในอดตี อีกด้วย เพรำะเอกสำรประเภทน้ีเป็นหนังสือ กฎหมำยท่ีใช้ในแต่ละยุคสมยั เอกสำรกฎหมำยท่ีรู้จกั กันดี คือ กฎหมาย มงั รายศาสตร์ ซ่งึ เป็นกฎหมำยท่เี กย่ี วขอ้ งกบั บำ้ นเมอื งสมยั ลำ้ นนำไทยทำง ภำคเหนือ กฎหมายตราสามดวง เป็นกฎหมำยท่เี ขยี นขน้ึ ในสมยั รชั กำลท่ี ๑ แห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ และใช้มำจนถงึ สมยั รชั กำลท่ี ๕ และถูกยกเลิก ไปเม่อื มกี ำรประมวลกฎหมำยใหม่ขน้ึ ใช้ แต่ผใู้ ช้เอกสำรประเภทน้ีได้ดตี ้องมี ควำมรทู้ ำงดำ้ นกฎหมำยและภำษำโบรำณทจ่ี ะตอ้ งนำมำใชใ้ นกำรตคี วำม บนั ทึกความทรงจา มีลกั ษณะคล้ำยกบั จดหมำยเหตุ แต่เป็นกำร บันทึกเร่ืองย้อนอดีตข้ึนไปเพ่ือระลึกถึงควำมหลงั หรอื เตือนควำมทรงจำ เอกสำรประเภทน้ีจะให้เกรด็ ควำมรูต้ ่ำงๆ ให้ขอ้ มลู บำงเร่อื งท่มี รี ำยละเอยี ดท่ี สะท้อนภำพอดตี ได้ค่อนข้ำงชดั เจน แต่ต้องระมดั ระวงั ว่ำเอกสำรประเภทน้ี อำจจะมกี ำรพูดถึงเร่อื งรำวในอดตี ท่ใี ชค้ วำมรสู้ กึ ส่วนตวั เขำ้ มำเก่ยี วข้องมำก เกนิ ไป อำจจะทำใหข้ อ้ เทจ็ จรงิ บำงเร่อื งบำงประกำรคลำดเคล่อื นไปได้ สำหรบั บนั ทกึ ควำมทรงจำท่มี ชี ่อื เสยี งรจู้ กั กนั ดีและนิยมนำมำใช้เป็นหลกั ฐำนสบื คน้ ในทำงประวตั ศิ ำสตร์ คอื พระนิ พนธค์ วามทรงจาของสมเดจ็ ฯ กรมพระยา ดารงราชานุภาพ ชีวประวัติ เป็ นเอกสำรท่ีเกิดข้ึนในสมัยรชั กำลท่ี ๖ ซ่ึงสมเด็จ พระเจำ้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพทรงพระดำรขิ น้ึ เป็นพระองค์ แรก พระองคท์ รงนิพนธช์ วี ประวตั บิ ุคคลไวม้ ำกมำยในโอกำสทเ่ี จำ้ ของประวตั ิ [๔๘]
ได้ตำยลงและให้พิมพ์ข้ึนเป็ นอนุสรณ์แจกในงำนศพซ่ึงถือปฏิบัติกันเป็ น ธรรมเนียมสบื ต่อมำจนทุกวนั น้ี โดยทวั ่ ไปเอกสำรประเภทน้ีมกั จะถูกมองขำ้ ม เพรำะถือว่ำเป็ นเร่ืองส่วนตัวมำก แต่ถ้ำพิจำรณำให้ดีก็อำจจะนำมำใช้ ประโยชน์ได้ในบำงเร่อื ง เช่น กำรลำดบั วงศ์ตระกูลของเจ้ำนำยสมยั ก่อนๆ หรอื ควำมสำคญั ของบคุ คลทเ่ี คยมบี ทบำทอยใู่ นบำ้ นเมอื งในอดตี จดหมายส่วนตวั โดยทวั ่ ไปถือเป็นเร่อื งส่วนตวั ท่ไี ม่เปิดเผย แต่มี จดหมำยส่วนตวั ของบุคคลสำคญั บำงคนทน่ี ำมำเปิดเผยและพมิ พเ์ ผยแพรแ่ ล้ว และนำมำใช้ประโยชน์ในกำรศึกษำทำงประวตั ิศำสตร์ได้เป็ นอย่ำงดี คือ พระราชนิ พนธ์ไกลบ้าน ซ่ึงเป็ นพระรำชหัตถเลขำของพระบำทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หวั พระรำชทำนมำยงั สมเด็จพระเจ้ำลูกเธอ เจ้ำฟ้ำ นพดลฯ เม่อื ครำวเสด็จประพำสยุโรปปี พ.ศ. ๒๔๔๙ สาสน์สมเดจ็ ซ่งึ เป็น ลำยพระหตั ถ์โต้ตอบระหว่ำงสมเด็จพระเจ้ำบรมวงศ์เธอ กรมพระยำดำรง รำชำนุภำพ หรือบนั ทึกความรู้ต่างๆ ซ่ึงเป็นลำยพระหตั ถ์และจดหมำย โต้ตอบระหว่ำงสมเดจ็ พระเจำ้ บรมวงศ์เธอ เจำ้ ฟ้ำกรมพระยำนรศิ รำนุวดั ตวิ งศ์ กบั พระยำอนุมำนรำชธน ตาราโบราณต่างๆ ซ่งึ มอี ยู่มำกมำยหลำยเร่อื ง เอกสำรประเภทน้ี ใช้เป็ นหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ท่ีให้ข้อมูลในเร่อื งควำมรู้ควำมสำมำรถและ เทคโนโลยสี มยั โบรำณได้ เช่น ตาราแพทยแ์ ผนโบราณ ตาราโหราศาสตร์ ตาราดาราศาสตร์ ตาราพระราชพิธี วรรณกรรม คอื งำนเขยี นประเภทรอ้ ยแกว้ และรอ้ ยกรอง งำนเขยี น ในรปู ของนวนิยำย เร่อื งสนั้ ถอื เป็นเอกสำรท่มี เี ร่อื งรำวท่สี ะท้อนใหเ้ หน็ สภำพ ของสงั คมและชีวิตควำมเป็ นอยู่ของสงั คมไทยสมยั ท่ีผู้เขียนได้พบได้เห็น แต่ต้องระมดั ระวงั ว่ำงำนเขยี นประเภทน้ีมกั จะเป็นจนิ ตนำกำรท่ผี ู้เขยี นผูแ้ ต่ง ไดร้ บั แรงบนั ดำลใจมำจำกสภำพแวดลอ้ มรอบตวั ดงั นนั้ ตอ้ งแยกแยะใหไ้ ดว้ ่ำ อะไรคอื จรงิ อะไรคือจนิ ตนำกำรของผู้แต่ง วรรณกรรมท่มี ชี ่อื เสยี งท่ีสะท้อน ภำพของสงั คมไทยสมยั โบรำณไดด้ ี คอื ขนุ ช้างขนุ แผน [๔๙]
นอกจำกน้ียงั มงี ำนวรรณกรรมท้องถ่ินอกี มำกมำยท่สี ะท้อนให้เห็น ถึงวิถีชีวิตของผู้คน สภำพสงั คม วฒั นธรรมประเพณีของผู้คนในท้องถิ่น ทน่ี ำมำใชป้ ระโยชน์ในกำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรท์ อ้ งถน่ิ ได้ หนังสือพิมพ์ นิ ตยสาร วารสาร ถือเป็ นหลกั ฐำนประเภทลำย ลกั ษณ์อกั ษรได้ เพรำะมีเน้ือหำหลำกหลำยท่ีเก่ียวกบั เหตุกำรณ์ต่ำงๆ และ ควำมเคล่ือนไหวท่ีเกิดข้ึนในบ้ำนเมือง แต่จะเช่ือถือได้มำกน้อยแค่ไหน ตอ้ งตรวจสอบกบั เอกสำรอ่นื ๆ ประกอบดว้ ย วิทยานิ พนธ์หรืองานวิจยั ทางประวตั ิศาสตร์ เป็นผลงำนทำง ประวัติศำสตร์ท่ีมีข้ึนอย่ำงมำกมำยหลังจำกท่ีมีกำรเรียนกำรสอนวิชำ ประวตั ิศำสตร์ในระดบั ปริญญำมหำบัณฑิต ผลงำนเหล่ำน้ีเป็นผลงำนทำง ประวตั ิศำสตรท์ ่ีได้มำจำกกำรวิเครำะห์ตีควำมหลกั ฐำนอย่ำงเป็นระบบด้วย วธิ กี ำรทำงประวตั ศิ ำสตรท์ ำใหเ้ กดิ แนวคดิ ขอ้ คดิ เหน็ ใหมห่ ลำกหลำยทต่ี ่ำงไป จำกกำรศึกษำประวตั ศิ ำสตรป์ ระเทศไทยในอดตี ผลงำนเหล่ำน้ีมปี ระโยชน์ท่ี นำมำใชใ้ นกำรศกึ ษำวจิ ยั ทำงประวตั ศิ ำสตรไ์ ดเ้ ช่นกนั การตรวจสอบและการประเมินคุณค่าความน่ าเช่ือถือของหลกั ฐาน ประวตั ิศาสตร์ การตรวจสอบหลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรท์ ่มี ี อยู่มำกมำยหลำยประเภทนัน้ ก่อนท่ีจะถูกนำมำใช้เป็นหลกั ฐำนอ้ำงอิงหรอื นำมำใช้เป็นข้อมูลในกำรศึกษำวจิ ยั เร่อื งหน่ึงเร่อื งใดนัน้ นักประวตั ิศำสตร์ จะตอ้ งทำกำรตรวจสอบหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรน์ นั้ ๆ ใหด้ วี ำ่ เป็นของแทด้ งั้ เดมิ หรอื เปลำ่ เพรำะเป็นเร่อื งทส่ี ำคญั มำก เพอ่ื ป้องกนั ไม่ใหเ้ กดิ ควำมสญู เปล่ำทำง ประวตั ศิ ำสตร์ หรอื ป้องกนั มใิ หเ้ กดิ ขอ้ ผดิ พลำดในกำรแสวงหำขอ้ เทจ็ จรงิ ทำง ประวัติศำสตร์ ถ้ำผู้ศึกษำประวัติศำสตร์ไม่ตรวจสอบให้ดีว่ำหลักฐำน ประวตั ิศำสตร์ท่ีนำมำใช้อ้ำงอิงเป็ นของแท้ดงั้ เดิมหรือมีอำยุร่วมสมัยกับ เหตกุ ำรณ์นนั้ จรงิ หรอื เปล่ำ ตอ่ มำภำยหลงั ถ้ำมกี ำรตรวจสอบไดว้ ำ่ หลกั ฐำนท่ผี ู้ ศึกษำใช้เป็ นพยำนหลักฐำนอ้ำงอิงเป็ นของปลอมหรือทำข้ึนภำยหลัง [๕๐]
เหตุกำรณ์นนั้ ๆ มำ จะมผี ลต่อกำรศกึ ษำประวตั ิศำสตรใ์ นเร่อื งนนั้ ๆ หรอื สมยั นนั้ ๆ อยำ่ งมำก เช่น ในกรณีทเ่ี คยเกดิ ขน้ึ กบั หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรท์ ส่ี ำคญั ท่สี ดุ ช้นิ หน่ึงในกำรศึกษำประวตั ิศำสตร์ไทย คือ จำรึกหลักท่ี ๑ หรือจำรึกพ่อขุน รำมคำแหง ซ่งึ เป็นจำรกึ ทพ่ี ระบำทสมเดจ็ พระจอมเกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั รชั กำลท่ี ๔ แห่งกรุงรตั นโกสนิ ทร์ ทรงคน้ พบท่เี มอื งสโุ ขทยั เก่ำ ตงั้ แต่ครงั้ ยงั ทรงผนวชอยู่ จำรึกหลกั น้ีเป็นหลกั ฐำนท่ีสำคญั ท่ีสุดอย่ำงหน่ึงในกำรศึกษำประวตั ิศำสตร์ สมัยสุโขทัยมำโดยตลอด จนกระทัง่ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๐ มีนักวิชำกำรชำว ต่ำงประเทศและนักวชิ ำกำรไทยบำงท่ำนไดแ้ สดงควำมคดิ เหน็ ว่ำ จำรกึ หลกั น้ี เป็นจำรกึ ทม่ี อี ำยหุ ลงั รชั กำลของพ่อขนุ รำมคำแหงลงมำหลำยรอ้ ยปี มใิ ช่จำรกึ ร่วมสมยั สุโขทยั หรอื พยำยำมท่ีจะช้ใี ห้เห็นว่ำจำรกึ หลกั ท่ี ๑ เป็นของปลอม นนั ่ เอง ทำให้เกิดข้อกงั ขำและมกี ำรโต้แยง้ ทำงวชิ ำกำรกนั ขน้ึ เพรำะถำ้ ควำม คดิ เหน็ ทว่ี ำ่ จำรกึ หลกั ท่ี ๑ มอี ำยหุ ลงั รชั กำลพ่อขนุ รำมคำแหงลงมำหลำยรอ้ ยมี ได้รบั กำรตรวจสอบว่ำถูกต้อง ประวตั ิศำสตร์สุโขทยั ต้องถูกเปล่ียนแปลง แต่ผู้เช่ยี วชำญทำงดำ้ นภำษำศำสตรแ์ ละจำรกึ ภำษำไทยหลำยท่ำนไดโ้ ต้แยง้ และแสดงขอ้ เทจ็ จรงิ ต่ำงๆ ท่ยี นื ยนั วำ่ จำรกึ หลกั ท่ี ๑ เป็นจำรกึ ของแทด้ งั้ เดมิ ทจ่ี ำรกึ ขน้ึ ในสมยั สโุ ขทยั กำรตรวจสอบประเมนิ หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรเ์ พ่อื หำควำมเป็นของ แท้ดงั้ เดิมของหลกั ฐำน อนั ท่ีจรงิ คือกำรทำควำมรู้จกั หลกั ฐำนนัน้ ๆ ให้มำก ทส่ี ุดว่ำหลกั ฐำนนนั้ ๆ คอื อะไร มอี ำยุเท่ำใด หรอื สรำ้ งขน้ึ เม่อื ใด หลกั ฐำนนนั้ มี ควำมหมำยว่ำอย่ำงไรและควำมหมำยนัน้ ๆ มีควำมสำคญั และน่ำเช่ือถือ เพยี งใด ซ่งึ หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรแ์ ต่ละประเภทจะมวี ธิ กี ำรหรอื กลวธิ ใี นกำร ตรวจสอบท่ตี ่ำงกนั สำหรบั หลกั ฐำนท่ไี ม่เป็นลำยลกั ษณ์อกั ษร ต้องใช้วธิ กี ำร หรอื กระบวนกำรทำงโบรำณคดที ่อี ำจจะตอ้ งใช้ศำสตรใ์ นสำขำอ่นื ๆ มำช่วยใน กำรตรวจสอบดว้ ย [๕๑]
ส่วนหลักฐำนท่ีเป็ นลำยลักษณ์อักษรก็มีวิธีกำรตรวจสอบและ ประเมนิ คณุ ค่ำของหลกั ฐำนท่นี ักประวตั ศิ ำสตร์เรยี กว่ำ กำรวพิ ำกษ์หลกั ฐำน ซง่ึ มวี ธิ กี ำร ๒ ขนั้ ตอนดงั น้ี การวิพากษ์หลกั ฐานภายนอก เป็นกำรตรวจสอบหำควำมเป็น ของแท้ของหลกั ฐำนเอกสำรหรอื ตรวจสอบว่ำเป็นเอกสำรฉบบั ดงั้ เดมิ หรอื ไม่ อยำ่ งไรโดยกำรตรวจสอบถงึ ลกั ษณะโดยทวั ่ ไปของหลกั ฐำนเอกสำรนนั้ ในเรอ่ื ง ต่ำงๆ ดงั น้ีคอื ใครเป็ นผู้แต่ง ต้องสืบค้นว่ำ ผู้แต่งเป็ นใคร มีฐำนะ อย่ำงไรในสงั คมนัน้ ๆ มีคุณสมบตั ิท่ีโดดเด่นในเร่อื งใดบ้ำง มีควำมสนใจใน เร่อื งทแ่ี ต่งขน้ึ อย่ำงไร เร่อื งท่แี ต่งขน้ึ ไดม้ ำจำกกำรรเู้ หน็ เหตุกำรณ์ดว้ ยตนเอง หรอื ฟังมำจำกคำบอกเล่ำอกี ต่อหน่ึง มคี วำมรทู้ วั ่ ไปหรอื มคี วำมสำมำรถในกำร เรยี นรเู้ หตกุ ำรณ์และถำ่ ยทอดเหตุกำรณ์ทแ่ี ตง่ ไวห้ รอื ไม่ เวลาที่เขียนหรือแต่งขึ้น ต้องตรวจสอบว่ำเขียนข้ึน ในทนั ทที ม่ี เี หตุกำรณ์นนั้ ๆ เกดิ ขน้ึ หรอื เขยี นขน้ึ ภำยหลงั นำนเทำ่ ใด ลกั ษณะการเขียน โดยตรวจสอบว่ำเอกสำรนัน้ ๆ เขยี น ข้ึนจำกควำมทรงจำ จำกกำรประชุมปรึกษำหำรือกัน เขียนข้ึนโดยกำร เรยี บเรยี งจำกทม่ี กี ำรตรวจสอบขอ้ เทจ็ จรงิ แลว้ หรอื เขยี นขน้ึ โดยกำรเรยี บเรยี ง จำกเอกสำรตน้ ฉบบั หลำยๆ ฉบบั มำประกอบกนั ความสัมพัน ธ์เก่ี ยวข้ องกับเอ กสารอื่ น ๆ ต้อง ตรวจสอบว่ำเอกสำรนนั้ ๆ เขยี นขน้ึ โดยมแี นวคดิ ทเ่ี ป็นของตนเองทงั้ หมด หรอื มีทงั้ ท่ีเป็นแนวคิดของตนเองและแนวคิดท่ีได้มำจำกเอกสำรอ่ืนๆ ถ้ำมีกำร นำมำจำกเอกสำรอ่นื ๆ ต้องพจิ ำรณำและสบื ค้นให้ได้วำ่ นำมำจำกเอกสำรใด เอกสำรนัน้ ๆ เช่อื ถือได้หรอื ไม่ กำรนำแนวคดิ มำจำกเอกสำรอ่ืนนัน้ ลอกมำ ทงั้ หมดหรอื นำเน้ือหำมำเรยี บเรยี งขน้ึ ใหม่ สง่ิ สำคญั ทเ่ี กย่ี วกบั เอกสำรดงั กลำ่ ว จะช่วยให้ผูศ้ ึกษำประวตั ิศำสตรป์ ระเมินไดว้ ่ำเอกสำรฉบบั นัน้ ๆ เป็นเอกสำร ฉบบั ดงั้ เดมิ หรอื ไม่ [๕๒]
การวิพากษ์หลกั ฐานภายใน หรอื อำจเรยี กว่ำกำรวพิ ำกษข์ อ้ เสนอ สนเทศคือกำรตรวจสอบท่ีเน้นกำรวิเครำะห์ในส่วนท่ีเป็ นเน้ือหำสำระของ เอกสำรนัน้ ๆ และนำเน้ือควำมในเอกสำรนัน้ ๆ ไปเปรยี บเทียบควำมในเร่อื ง เดยี วกนั ท่ีปรำกฏอยู่ในเอกสำรอ่ืนๆ เพ่อื ตรวจสอบว่ำควำมในเอกสำรนัน้ ๆ กล่ำวตรงตำมยุคสมยั และสอดคลอ้ งกบั หลกั ฐำนอ่นื ๆ ท่มี อี ำยรุ ่วมสมยั หรอื ไม่ ควำมในเอกสำรนั้นๆ มีจุดมุ่งหมำยอย่ำงไร ควำมในเอกสำรนั้นๆ มคี วำมหมำยท่แี ทจ้ รงิ อย่ำงไร มคี วำมหมำยตรงตำมตวั อกั ษรท่บี นั ทกึ ไวห้ รอื แฝงควำมหมำยหรอื นัยอ่ืนๆ แทรกไว้ด้วย แล้วจงึ นำข้อมูลท่ีได้มำจำกกำร ตรวจสอบมำพิจำรณำว่ำ ควำมในเอกสำรนัน้ น่ำเช่ือถือได้มำกน้อยเพียงใด มคี วำมถกู ตอ้ งและมคี ณุ คำ่ เพยี งใด การประเมินจดั ลาดบั ความสาคญั ของหลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ หลงั จำกท่ีมีกำรตรวจสอบได้ว่ำเป็นของแท้ดงั้ เดมิ หรือไม่แล้ว ก็ต้องทำกำร ประเมนิ คุณค่ำเพ่อื จดั ลำดบั ควำมน่ำเช่อื ถอื ของหลกั ฐำนนัน้ ๆ ว่ำควรจะจดั ไว้ ในกลุ่มหลกั ฐำนชัน้ ต้นหรือหลกั ฐำนชัน้ รองด้วย โดยทัว่ ไปมีกำรประเมิน จดั ลำดบั ควำมสำคญั ไวเ้ ป็น ๒ ประเภทคอื หลกั ฐานชนั้ ต้น ได้แก่ หลกั ฐำนทุกประเภทท่ีทำข้นึ ร่วมสมยั กบั เหตกุ ำรณ์นนั้ ๆ ไดแ้ ก่ หลกั ฐำนโบรำณคดปี ระเภทต่ำงๆ ทไ่ี ดก้ ล่ำวมำแลว้ ขำ้ งตน้ หลกั ฐำนประเภทลำยลกั ษณ์อกั ษรท่ีเป็นต้นฉบบั เดิม ผู้แต่ง เก่ียวข้องกับเหตุกำรณ์นัน้ ๆ โดยตรงหรือรู้เห็นเหตุกำรณ์ด้วยตนเอง เช่น จำรกึ จดหมำยเหตุ หนังสอื พิมพ์ กฎหมำย ประกำศทำงรำชกำร แผ่นดสิ ก์ ระบบอนิ เตอรเ์ น็ต ฯลฯ หลกั ฐำนประเภทบุคคลท่ีมสี ่วนร่วมอยู่ในเหตุกำรณ์หรอื เหน็ เหตุกำรณ์นนั้ ดว้ ยตนเอง หลกั ฐำนประเภทส่อื โสตทศั น์ต่ำงๆ ท่ีสร้ำงข้นึ หรอื ทำขน้ึ ใน เวลำทเ่ี หตุกำรณ์นนั้ ๆ เกดิ ขน้ึ [๕๓]
หลกั ฐานชนั้ รอง คอื บรรดำหลกั ฐำนทเ่ี ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรทไ่ี มไ่ ด้ เกดิ ขน้ึ ร่วมสมยั กบั เหตุกำรณ์นนั้ ๆ หรอื ผบู้ นั ทกึ ไมร่ เู้ หน็ เหตุกำรณ์ดว้ ยตนเอง แต่ทำกำรบนั ทกึ โดยรบั ทรำบเหตุกำรณ์มำจำกผู้อ่นื มไิ ด้มปี ระสบกำรณ์ดว้ ย ตนเอง หรอื เป็นเร่อื งท่ีแต่งข้นึ โดยอำศยั หลกั ฐำนชนั้ ต้นท่ีมมี ำก่อนหรอื จำก ขอ้ คดิ ของผอู้ ่นื ท่ไี ดศ้ กึ ษำไว้ ซง่ึ มกั จะมกี ำรสอดแทรกควำมคดิ เหน็ ของผเู้ ขยี น หรอื ผู้แต่งเพิ่มเติมลงไปด้วยได้แก่ ตำนำน พงศำวดำร วรรณกรรมต่ำงๆ บทควำมวชิ ำกำร วทิ ยำนิพนธ์ รำยงำนวจิ ยั เป็นตน้ ความสาคญั ของหลกั ฐานชนั้ ต้นและหลกั ฐานชนั้ รอง หลักฐานชัน้ ต้น เป็ นหลักฐำนท่ีนักประวัติศำสตร์ถือว่ำเป็ น หลักฐำนท่ีมีคุณค่ำในเร่ืองของควำมน่ำเช่ือถือมำกกว่ำหลักฐำนชัน้ รอง เพรำะเก่ียวข้องกบั เหตุกำรณ์นัน้ ๆ หรอื ใกล้ชิดกบั เหตุกำรณ์นัน้ ๆ มำกกว่ำ หลักฐำนชัน้ รอง แต่ก็มิได้หมำยควำมว่ำนักประวตั ิศำสตร์จะสำมำรถนำ หลกั ฐำนชนั้ ต้นมำใช้ประโยชน์ทนั ทไี ดท้ ุกเร่อื ง ยง่ิ ไปกว่ำนนั้ ต้องใช้ดว้ ยควำม ระมดั ระวงั เพรำะอำจจะไดข้ อ้ เทจ็ จรงิ ทผ่ี ดิ พลำดจำกหลกั ฐำนชนั้ ตน้ ได้ และถ้ำ ใช้ไม่เป็นหรอื ไม่มคี วำมรู้ควำมสำมำรถท่ีจะแสวงหำข้อเท็จจรงิ ท่ีแฝงอยู่ใน หลกั ฐำนนัน้ ๆ ไดก้ อ็ ำจจะนำมำใช้ประโยชน์ในกำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตร์ตำมท่ี ตอ้ งกำรไดน้ ้อยมำกหรอื อำจจะไมไ่ ดเ้ ลย หลักฐำนชัน้ ต้นท่ีไม่เป็ นลำยลักษณ์อักษร ได้แก่ หลักฐำนทำง โบรำณคดีประเภทต่ำงๆ ซ่ึงรวมถึงหลักฐำนทำงด้ำนศิลปกรรมด้วย ซ่ึงมี เร่อื งรำวของสงั คมมนุษย์ในอดีตแฝงอยู่มำกมำยหลำยเร่อื ง แต่ผู้ใช้ต้องมี ควำมรู้ควำมเช่ียวชำญทำงด้ำนโบรำณคดี ประวัติศำสตร์ศิลปะ จึงจะใช้ ประโยชน์จำกหลกั ฐำนเหล่ำน้ีไดโ้ ดยตรง หลกั ฐำนชนั้ ต้นท่ีเป็นลำยลกั ษณ์อกั ษร ผู้ใช้ต้องมคี วำมเช่ียวชำญ ทำงด้ำนภำษำโบรำณ วฒั นธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีโบรำณและ สภำพแวดล้อมอ่ืนๆ ท่ีเกิดข้ึนร่วมสมัยกับหลักฐำนนั้นๆ ด้วย จึงจะนำ หลกั ฐำนชนั้ ตน้ ทเ่ี ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรมำใชป้ ระโยชน์ได้ [๕๔]
หลกั ฐานชนั้ รอง เป็นหลกั ฐำนท่ีนักประวตั ิศำสตร์ให้ค่ำน้ำหนัก ควำมน่ำเช่อื ถอื น้อยกวำ่ หลกั ฐำนชนั้ ตน้ เน่ืองจำกเป็นสง่ิ ทท่ี ำขน้ึ ภำยหลงั หรอื ไดม้ ำจำกคำบอกเล่ำ หรอื จำกกำรศกึ ษำค้นควำ้ มำจำกหลกั ฐำนชนั้ ตน้ ดงั นัน้ อำจมกี ำรสอดแทรกแนวคดิ ควำมคดิ เห็น ของผู้ศกึ ษำลงไปด้วย ดงั นัน้ ผูใ้ ช้ ต้องมีควำมระมดั ระวงั ตรวจสอบให้ดีว่ำ อะไรคือข้อเท็จจรงิ อะไรคือควำม คดิ เหน็ ทถ่ี ูกเพม่ิ เตมิ ลงไป ผใู้ ชต้ อ้ งพจิ ำรณำตรวจสอบดว้ ยควำมระมดั ระวงั ยงิ่ อยำ่ งไรกต็ ำมถงึ แมว้ ำ่ โดยหลกั กำรทำงประวตั ศิ ำสตรท์ วั ่ ไปใหค้ วำม น่ำเช่อื ถอื หลกั ฐำนชนั้ รองน้อยกว่ำหลกั ฐำนชนั้ ตน้ แต่ในควำมเป็นจรงิ แลว้ จะ พบว่ำทงั้ หลกั ฐำนชนั้ ต้นและหลกั ฐำนชนั้ รองมคี วำมสำคญั ไม่ต่ำงกนั มำกนัก และยงั ต้องเก้ือหนุนซ่ึงกนั และกนั ด้วย ทงั้ น้ีข้นึ อยู่กับเร่อื งท่ีจะศึกษำและผู้ ศกึ ษำตอ้ งรจู้ กั ใชห้ ลกั ฐำนนนั้ ๆ อยำ่ งถกู วธิ ี จงึ จะเกดิ ประโยชน์อยำ่ งแทจ้ รงิ ลกั ษณะสาคญั ที่เก่ียวข้องกบั หลกั ฐานประวตั ิศาสตรท์ ี่นักประวตั ิศาสตร์ ต้องตรวจสอบหรอื ทาความรจู้ กั ให้มากท่ีสดุ อายุของหลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ ซ่ึงเป็นเร่อื งสำคญั มำก เพรำะ กำรใช้หลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์เพ่อื ศึกษำเหตุกำรณ์ในอดตี แต่ละยุคสมยั ต้อง คำนึงถงึ อำยขุ องหลกั ฐำนทน่ี ำมำใช้วำ่ อยใู่ นยคุ สมยั เดยี วกบั เหตุกำรณ์ท่กี ำลงั ศกึ ษำหรอื เปล่ำ เพรำะถ้ำนำหลกั ฐำนในสมยั หน่ึงมำศกึ ษำถงึ เหตุกำรณ์ในอีก สมยั หน่ึงกจ็ ะไดข้ อ้ สรปุ ทำงประวตั ศิ ำสตรท์ ่ผี ดิ พลำดหำ่ งไกลจำกควำมเป็นจรงิ ดงั นนั้ นักประวตั ศิ ำสตรต์ ้องพยำยำมตรวจสอบใหร้ วู้ ำ่ หลกั ฐำนนนั้ ๆ มีควำมใกล้ชิดกับเหตุกำรณ์ท่ีศึกษำมำกน้อยเพียงใด เพ่ือทำกำรประเมิน คุณค่ำควำมน่ำเช่ือก่อนและสำมำรถนำหลกั ฐำนนัน้ ๆ มำใช้ได้อย่ำงถูกต้อง และไดป้ ระโยชน์อย่ำงเต็มท่ี ถ้ำไม่สำมำรถตรวจสอบอำยุอำยุของหลกั ฐำน นัน้ ๆ ได้ ถงึ แม้ว่ำหลกั ฐำนนัน้ ๆ จะมเี ร่อื งรำวท่ีสำคญั มำกเพยี งใด หลกั ฐำน นนั้ กข็ ำดควำมน่ำเช่อื ถอื และนำมำใชป้ ระโยชน์ไดย้ ำก หรอื แทบจะใชไ้ มไ่ ดเ้ ลย กำรตรวจสอบหำอำยุของหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ ผู้ตรวจสอบต้องเป็นผู้ท่ีมี ควำมรู้ควำมเช่ียวชำญเฉพำะทำง ในกรณีท่ีเป็ นหลักฐำนประวตั ิศำสตร์ [๕๕]
ประเภทลำยลกั ษณ์อกั ษร อำจตรวจสอบไดจ้ ำกศกั รำชท่รี ะบุไว้ ศกั รำชท่มี กั พบในหลกั ฐำนทำงประวตั ศิ ำสตรใ์ นประเทศไทย ไดแ้ ก่ มหาศกั ราช หรือ ม.ศ. เป็นศกั รำชท่ีรบั มำจำกอินเดีย มักจะพบอยู่ในหลักฐำนประเภทลำยลักษณ์ อักษรท่ีมีอำยุอยู่ในสมัย ประวตั ศิ ำสตรต์ อนต้นๆ มำจนถงึ สมยั สุโขทยั ถำ้ จะคำนวณจำกมหำศกั รำชให้ เป็นพุทธศกั รำชตำมท่ใี ช้ในปัจจุบนั ใหบ้ วกมหำศกั รำชนัน้ ๆ ดว้ ยจำนวนเลข ๖๒๑ จุลศักราช เป็นศักรำชท่ีพบอยู่ในหลกั ฐำนลำยลกั ษณ์ อกั ษร ตงั้ แต่สมยั อยุธยำลงมำจนถึงสมยั รชั กำลท่ี ๕ แห่งกรุงรตั นโกสินทร์ ถำ้ จะคำนวณจำกจุลศกั รำชใหเ้ ป็นพุทธศกั รำช ให้บวกจุลศกั รำชดว้ ย จำนวน เลข ๑๑๘๑ พุทธศักราช เป็ นศักรำชท่ีพบในหลักฐำนลำยลักษณ์ อกั ษรตงั้ แตส่ มยั สโุ ขทยั ลงมำ แต่ศกั รำชทใ่ี ชใ้ นสมยั สโุ ขทยั นบั พทุ ธศกั รำชตำม คตลิ งั กำจงึ เรว็ กวำ่ พทุ ธศกั รำชของไทยทใ่ี ชอ้ ยู่ในปัจจบุ นั ๑ ปี รตั นโกสิ นทร์ศก เป็ นศักรำชท่ีนิยมใช้มำตัง้ แต่สมัย รัชกำลท่ี ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ถ้ำคำนวณรัตนโกสินทร์ศกให้เป็ น พทุ ธศกั รำชใหบ้ วกดว้ ยตวั เลข ๒๓๒๔ ในกรณีท่ีหลกั ฐำนไม่มีศกั รำชระบุไว้ ถ้ำเป็นหลกั ฐำนลำยลกั ษณ์ อักษรก็อำจพิจำรณำตรวจสอบและกำหนดอำยุหลักฐำนได้จำกรูปแบบ ตวั อักษรท่ีใช้เขียน จำกสำนวนโวหำรของเน้ือควำม และบุคคลท่ีเอกสำร กลำ่ วถงึ ถ้ำเป็ นหลกั ฐำนทำงโบรำณคดีหรือหลกั ฐำนทำงด้ำนศิลปกรรม กอ็ ำจตรวจสอบหำอำยุไดโ้ ดยวธิ กี ำรทำงโบรำณคดี เชน่ อำจตรวจสอบไดจ้ ำก เอกสำรท่มี กี ำรกล่ำวถึงหลกั ฐำนโบรำณคดนี ัน้ ๆ หรอื อำจกำหนดอำยุด้วยวธิ ี กำรศกึ ษำเปรยี บเทยี บจำกรูปแบบศลิ ปะ ววิ ฒั นำกำรของรปู แบบและลวดลำย ศลิ ปะทค่ี ลำ้ ยคลงึ กนั หรอื อำจกำหนดอำยหุ ลกั ฐำนดว้ ยวธิ ที ำงวทิ ยำศำสตร์ ซ่งึ มหี ลำยวธิ ี แต่ท่รี จู้ กั กนั ดแี ละนิยมกนั มำก คอื วธิ ที ่เี รยี กว่ำ Radiocarbon หรอื [๕๖]
คำร์บอน ๑๔ (Carbon-14) ซ่ึงจะใช้ได้กับหลักฐำนโบรำณคดีท่ีทำจำก อนิ ทรยี วตั ถเุ ท่ำนนั้ ท่ีมาของหลักฐานหรือแหล่งกาเนิ ดดัง้ เดิ มของหลักฐาน สถำนท่ีกำเนิดของหลกั ฐำนมสี ่วนสำคญั ยง่ิ ต่อกำรตรวจสอบประเมนิ คุณค่ำ และกำรวเิ ครำะหต์ คี วำมหลกั ฐำนนนั้ ๆ เพรำะแหล่งกำเนิดดงั้ เดมิ ของหลกั ฐำน จะช่วยตรวจสอบไดว้ ำ่ หลกั ฐำนนนั้ ๆ เป็นหลกั ฐำนทแ่ี ทจ้ รงิ หรอื ไม่ กำรรู้แหล่งกำเนิดดงั้ เดิมของหลักฐำนจะช่วยในกำรวินิจฉัยหำ แหล่งอำรยธรรมและประเดน็ อ่ืนๆ ทำงประวตั ิศำสตร์ได้ โดยเฉพำะอย่ำงยิ่ง หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรท์ ่เี ป็นหลกั ฐำนโบรำณคดี ถำ้ เป็นหลกั ฐำนท่ที รำบทม่ี ำ แน่ชดั หรอื คน้ พบอยู่ในตำแหน่งเดมิ เช่น หลกั ฐำนท่ไี ดม้ ำจำกกำรขุดค้นทำง โบรำณคดี จะเป็นหลกั ฐำนท่มี คี ุณค่ำในเร่อื งควำมน่ำเช่อื ถือมำกท่ีสุด แต่ถ้ำ เป็นหลกั ฐำนท่ีพบโดยบงั เอิญไม่ทรำบท่ีมำแน่นอน ถึงแม้จะเป็นหลกั ฐำน สำคญั ท่ใี หข้ อ้ เทจ็ จรงิ ทำงประวตั ศิ ำสตรไ์ ดด้ อี ยำ่ งไร แต่คณุ คำ่ ควำมน่ำเช่อื ถอื กจ็ ะลดลง ผ้สู ร้างหลกั ฐาน ผู้สรำ้ งหลกั ฐำนเป็นผทู้ ่มี สี ่วนสมั พนั ธโ์ ดยตรงกบั ควำมน่ำเช่อื ถอื ของหลกั ฐำนนนั้ ๆ ไม่วำ่ จะเป็นเรอ่ื งเกย่ี วกบั ควำมคดิ ทรรศนะ ควำมสำมำรถ ถ้ำเรำทรำบว่ำใครเป็นผู้สร้ำงหลกั ฐำน จะช่วยใหเ้ รำสำมำรถ ตดั สนิ ไดว้ ำ่ หลกั ฐำนนนั้ ๆ มคี วำมน่ำเช่อื ถอื มำกน้อยเพยี งใด และตดั สนิ ไดว้ ่ำ จะนำหลกั ฐำนนัน้ ๆ มำใช้ประโยชน์ในลกั ษณะใดได้บ้ำง นอกจำกน้ีหำกเรำ ทรำบวำ่ ผูส้ ร้ำงเป็นใคร อำจจะช่วยใหเ้ รำตรวจหำอำยุและสถำนท่กี ำเนิดและ จดุ มงุ่ หมำยหรอื วตั ถปุ ระสงคใ์ นกำรสรำ้ งไดอ้ กี ดว้ ย จุดมุ่งหมายหรือวตั ถปุ ระสงค์ในการสร้าง เป็นเร่อื งสำคญั ยง่ิ ท่ี ผใู้ ช้หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตร์นัน้ ต้องพยำยำมตรวจสอบหำข้อเทจ็ จรงิ ในเร่อื งน้ี เพรำะถำ้ ทรำบจุดมุง่ หมำยไดก้ จ็ ะนำมำช่วยในกำรประเมนิ ควำมน่ำเช่อื ถอื และ กำรสบื คน้ หำขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื ควำมหมำยทแ่ี ทจ้ รงิ ทม่ี อี ยใู่ นหลกั ฐำนนนั้ ได้ [๕๗]
รปู เดิมของหลกั ฐานนัน้ ๆ หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรส์ ว่ นใหญ่มกั จะ ไม่ได้อยู่ในสภำพเดิม อำจถูกเปล่ียนแปลงแก้ไขไปตำมสภำพแวดล้อมตำม กำลเวลำ เช่นหลกั ฐำนท่เี ป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรมกั จะเป็นสงิ่ ท่คี ดั ลอกมำ ชำระ มำหรือมีกำรต่อเติมข้ึนใหม่ นักประวตั ิศำสตร์ต้องตรวจสอบให้ทรำบว่ำ ขอ้ ควำมใดเป็นของเก่ำทค่ี ดั ลอกมำ ขอ้ ควำมใดทเ่ี พมิ่ เตมิ หรอื มกี ำรแกไ้ ข ส่วนหลักฐำนโบรำณคดีและหลกั ฐำนทำงด้ำนศิลปกรรมอำจถูก แก้ไขรูปลักษณ์เดิมไป เช่น หลักฐำนประเภทโบรำณสถำนอำจได้รบั กำร บูรณปฏิสงั ขรณ์มำหลำยยุคสมยั ผู้ศึกษำต้องทำควำมรู้จกั ให้ได้ว่ำเดิมนัน้ โบรำณสถำนมรี ูปลกั ษณ์อย่ำงไรและมีท่ีมำของแบบแผนศิลปกรรมอย่ำงไร มีกำรบูรณ ปฏิสังขรณ์ ก่ีครัง้ และกำรบูรณปฏิสังขรณ์ แต่ละครัง้ มีกำร เปล่ียนแปลงรูปลักษณ์ เดิมไปอย่ำงไรหรือไม่ จะช่วยทำให้เรำศึกษำ ประวตั ศิ ำสตรใ์ นประเดน็ ตำ่ งๆ ไดม้ ำกมำย [๕๘]
ภาคผนวก เรือ่ ง “การศึกษาทางประวตั ิศาสตร”์ วิธีการศึกษาทางประวตั ิศาสตร์ ประวตั ศิ ำสตรเ์ ป็นวชิ ำทว่ี ำ่ ดว้ ยเร่อื งรำวของมนุษยใ์ นอดตี ท่ผี ำ่ นพน้ ไปแล้ว ในสมัยก่อนๆ ท่ียังไม่มีกำรเรียนกำรสอนวิชำประวัติศำสตร์ใน สถำนศึกษำ ผู้ท่ีทำหน้ำท่ีประสำนเร่อื งรำวในอดตี ให้คนรุ่นหลงั ได้รบั รู้ หรือ ผเู้ ขยี นเอกสำรประวตั ศิ ำสตรไ์ ทยมกั จะเป็นผู้ทเ่ี กย่ี วขอ้ งอยู่ในรำชสำนัก หรอื คนทไ่ี ดร้ บั กำรยอมรบั จำกสงั คมนนั้ ๆ วำ่ เป็นผรู้ ู้ เช่น นกั บวชหรอื เป็นผนู้ ำทำง ศำสนำ ผู้รู้เหล่ำน้ีได้สร้ำงเร่อื งรำวในอดีตข้ึนและบนั ทึกไว้เป็นลำยลักษณ์ อกั ษรในรูปลกั ษณะต่ำงๆ เช่น ตำนำน พงศำวดำร เน้ือหำของประวตั ศิ ำสตรท์ ่ี เขียนข้ึนในสมยั ก่อนๆ มกั จะเน้นอยู่ท่ีเร่อื งรำวของศำสนำ กำรเกิดข้ึนของ บ้ำนเมอื ง กำรกำเนิดของปูชนียวตั ถุและปูชนียสถำนท่ีสำคญั ของบ้ำนเมือง เหตุกำรณ์สำคญั ของบ้ำนเมือง รวมทงั้ ประวตั ิควำมเป็นมำและวีรกรรมของ กษตั รยิ ห์ รอื วรี บุรุษ เน้ือหำของเร่อื งท่เี ขยี นหรอื บนั ทกึ ไว้ก็ได้มำจำกเร่อื งเล่ำ หรอื คดั ลอกมำจำกเอกสำรโบรำณท่หี ำได้เท่ำนัน้ กำรเรยี นรปู้ ระวตั ศิ ำสตรใ์ น สมยั กอ่ นๆ นนั้ เป็นไปในลกั ษณะทเ่ี รยี กวำ่ รบั รเู้ ท่ำนนั้ จนกระทงั ่ ต่อมำในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ตอนต้นรำวปลำยรชั กำลท่ี ๓ ลงมำจนถงึ รชั กำลท่ี ๕ กำรเรยี นรเู้ ก่ยี วกบั ประวตั ศิ ำสตรใ์ นประเทศไทยคอ่ ยๆ เปล่ียนแปลงจำกลกั ษณะท่ีรบั รูแ้ ต่เพียงอย่ำงเดยี ว มำเป็นกำรศึกษำเรยี นรู้ โดยมกี ำรตรวจสอบขอ้ มลู หลกั ฐำน มกี ำรตงั้ คำถำมและแสวงหำขอ้ เทจ็ จรงิ ทำง ประวตั ิศำสตร์ท่ีเคยรบั รู้มำ กำรเปล่ียนแปลงดงั กล่ำวเกิดข้ึนเน่ืองจำกใน ช่วงเวลำดังกล่ำวนัน้ ประเทศไทยมีกำรติดต่อกับประเทศทำงตะวนั ตก กวำ้ งขวำงมำกข้นึ อทิ ธพิ ลของแนวคดิ เชิงเหตุผลตำมปรชั ญำตะวนั ตกจงึ ได้ แพร่หลำยเข้ำมำ กำรศึกษำประวตั ิศำสตร์โดยกำรตงั้ คำถำมและแสวงหำ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทำใหก้ ำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรใ์ นประเทศไทยแพร่หลำยมำกขน้ึ กวำ่ [๕๙]
แต่ก่อน และในรชั สมยั ของพระบำทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั นนั้ ยงั ได้ กำหนดให้มีกำรเรียนกำรสอนวิชำประวตั ิศำสตร์ซ่ึงในเวลำนั้นเรียกว่ำ “พงศาวดาร” ขน้ึ ในสถำบนั กำรศึกษำของทำงกำรด้วย ผูท้ ่ีผลติ ผลงำนทำง ประวตั ิศำสตร์ท่ีสำคญั ในยุคนัน้ คือ สมเดจ็ พระเจ้ำบรมวงศ์เธอ กรมพระยำ ดำรงรำชำนุภำพ ผทู้ รงไดร้ บั กำรยกยอ่ งใหเ้ ป็นองคบ์ ดิ ำแหง่ ประวตั ศิ ำสตร์ไทย ควำมรู้เก่ียวกบั ควำมเป็นมำของประเทศไทยและคนไทยแพร่หลำยมำกข้นึ และสืบสำวได้ไกลออกไปกว่ำเดิมมำก ซ่ึงคนก่อนหน้ำนั้นข้ึนไปควำมรู้ เกย่ี วกบั ประวตั ศิ ำสตรไ์ ทยยอ้ นอดตี กลบั ไปไดแ้ คส่ มยั อยธุ ยำเทำ่ นนั้ ตอ่ มำตงั้ แต่รชั สมยั รชั กำลท่ี ๖ ลงมำจนถงึ ช่วงกำรเปลย่ี นแปลงกำร ปกครอง มีกำรต่นื ตวั ท่ีจะผลติ ผลงำนทำงประวตั ศิ ำสตร์ไทยออกมำมำกข้นึ มงี ำนเขยี นเก่ยี วกบั ประวตั ศิ ำสตร์ไทยเกดิ ขน้ึ มำกมำยหลำยเร่อื ง มที งั้ ท่เี ป็น งำนวชิ ำกำร มที งั้ ท่เี ป็นรปู นวนิยำย แต่งำนเขยี นประวตั ศิ ำสตรไ์ ทยในช่วงน้ีมี ลกั ษณะเด่นและเหน็ ไดช้ ดั เจนว่ำ ใช้ประวตั ศิ ำสตรเ์ ป็นเคร่อื งกระตุน้ ใหค้ นไทย สำนึกเร่อื งชำติ และปลูกฝังควำมรกั ชำตไิ ทย เน้ือหำของประวตั ศิ ำสตรไ์ ทยจงึ เน้นถงึ แต่เร่อื งควำมเจรญิ ร่งุ เรอื งและควำมยง่ิ ใหญ่ของชำตไิ ทยในอดตี ดงั นัน้ งำนเขยี นประวตั ศิ ำสตรใ์ นยคุ น้ีมลี กั ษณะเป็นกำรโฆษณำชวนเช่อื ขอ้ สรปุ ทำง ประวตั ศิ ำสตรค์ ลำดเคล่อื นจำกควำมเป็นจรงิ มำก จนกระทงั ่ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นตน้ มำ กำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรไ์ ทยได้ มีกำรเปล่ียนแปลงและพัฒนำออกไปจำกเดิมอย่ำงมำกมำย ผู้ศึกษำ ประวตั ิศำสตร์หนั มำใช้ข้อมูลหลักฐำนประวตั ิศำสตร์หลำกหลำยประเภท มำกข้ึนกว่ำแต่ก่อน มีกำรเปิ ดสอนวิชำประวัติศำสตร์เป็ นวิชำเอกใน ระดับอุดมศึกษำข้ึนหลำยแห่ง จำกเดิมท่ีมีกำรกำหนดหลักสูตรวิชำ ประวตั ิศำสตร์ข้ึนเพ่ือผลิตครูสอนวิชำประวตั ิศำสตร์โดยตรงท่ีคณะอกั ษร ศำสตร์ จุฬำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั เพยี งแห่งเดยี วตงั้ แต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ กม็ กี ำร เปิดสอนวชิ ำประวตั ิศำสตร์เป็นวิชำเอก ในมหำวิทยำลยั ธรรมศำสตร์เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ และต่อมำได้ขยำยวงกวำ้ งออกไปในมหำวทิ ยำลยั อ่นื ๆ และใน ระยะต่อมำไดข้ ยำยกำรสอนวชิ ำประวตั ศิ ำสตร์ให้สงู ขน้ึ ไปในระดบั ปรญิ ญำโท [๖๐]
ด้วย กำรเรยี นกำรสอนวชิ ำประวตั ิศำสตร์ในระดบั ปรญิ ญำในมหำวิทยำลัย ต่ำงๆ ทำใหเ้ กิดกำรต่ืนตวั ในกำรศึกษำค้นควำ้ และมกี ำรจดั สมั มนำวชิ ำกำร ทำงประวตั ศิ ำสตรข์ น้ึ อยำ่ งมำกมำย น อ กจำกน้ี ก ำรเรียน กำรส อ น ใน คณ ะโบ รำณ ค ดีเพ่ื อ ผ ลิต นักโบรำณคดซี ่งึ มขี น้ึ ตงั้ แต่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ นัน้ ทำให้มนี ักโบรำณคดอี อกไป ทำงำนขุดคน้ ขุดแต่งตำมแหล่งโบรำณคดที ่สี ำคญั เพม่ิ มำกขน้ึ กำรขุดคน้ ทำง โบรำณคดที ่มี มี ำกข้นึ ส่งผลใหม้ กี ำรคน้ พบขอ้ มูลหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรไ์ ทย สมยั โบรำณเพมิ่ มำกขน้ึ ตำมมำดว้ ย ท่ีสำคญั ยิ่งไปกว่ำนัน้ คอื มกี ำรส่งเสรมิ จำกทำงกำรให้นักวชิ ำกำร ชำวตะวนั ตกซ่งึ เป็นผูเ้ ช่ยี วชำญทำงด้ำนประวตั ิศำสตรเ์ ข้ำมำเป็นอำจำรยใ์ น มหำวิทยำลัย และมีกำรให้ทุนแก่นักเรียนไทยไปศึกษำต่อทำงด้ำน ประวตั ศิ ำสตรท์ ต่ี ่ำงประเทศทำใหม้ นี กั ประวตั ศิ ำสตรอ์ ำชพี เพม่ิ มำกขน้ึ และนัก ประวตั ิศำสตรอ์ ำชีพท่ีเกิดข้นึ ใหม่ก็จะนำเอำวธิ กี ำรศึกษำประวตั ศิ ำสตร์ตำม แนวคดิ ทฤษฎีทำงตะวนั ตกท่ตี นเองไดไ้ ปเล่ำเรยี นมำ ซ่งึ เรยี กกนั วำ่ วิธีการ ทางประวตั ิศาสตร์ มำใช้กนั อย่ำงแพร่หลำยและเป็นท่ยี อมรบั กนั มำจนทุก วนั น้ี เพรำะเช่อื ว่ำกำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรไ์ ทยดว้ ยวธิ กี ำรทำงประวตั ศิ ำสตร์ จะทำใหผ้ ศู้ กึ ษำประวตั ศิ ำสตรร์ จู้ กั มองประวตั ศิ ำสตรใ์ นมมุ มองทก่ี วำ้ งขน้ึ ทงั้ ใน ด้ำนเน้ือหำและกำรวิเครำะห์ และยังช่วยให้มองเห็นถึงป ระโยชน์ของ กำรศกึ ษำประวตั ิศำสตร์ไดช้ ดั เจนและเป็นรูปธรรมข้นึ มำกกว่ำในสมยั ก่อนๆ ผลงำนหรอื งำนเขยี นประวตั ศิ ำสตรใ์ หมๆ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสมยั หลงั ๆ จนถงึ ปัจจบุ นั จงึ มคี วำมแตกต่ำงจำกงำนเขยี นประวตั ศิ ำสตรใ์ นยุคสมยั ก่อนๆ อยำ่ งมำกมำย ทงั้ ในดำ้ นเน้ือหำ กำรวเิ ครำะห์ กำรใชห้ ลกั ฐำน และกำรนำเสนอขอ้ มลู สำหรบั กำรศกึ ษำประวตั ิศำสตรท์ ่เี รยี กวำ่ วธิ กี ำรทำงประวตั ศิ ำสตร์ นนั้ ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนต่ำงๆ ทส่ี ำคญั ตำมลำดบั ดงั น้ี ๑. การตงั้ คาถาม กำรตงั้ คำถำมทำงประวตั ศิ ำสตร์ คอื กำรกำหนด หวั ขอ้ กำรศกึ ษำหรอื กำรระบุปัญหำท่ชี ดั เจนว่ำ จะศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรใ์ นเร่อื ง [๖๑]
อะไร กำรตงั้ คำถำมจะเกิดข้ึนได้ก็ด้วยควำมอยำกรู้ อยำกเหน็ ของผู้ศึกษำ คำถำมทส่ี ำคญั ทำงประวตั ศิ ำสตร์ ไดแ้ ก่ ใคร หมำยถงึ บคุ คลทเ่ี กย่ี วขอ้ งในเหตุกำรณ์นนั้ ๆ อะไร หมำยถงึ สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ที่ไหน หมำยถงึ สถำนทเ่ี กดิ หรอื ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ นนั้ ๆ เมื่อไหร่ หมำยถงึ เวลำทส่ี งิ่ นนั้ ๆ เกดิ ขน้ึ ทาไม หมำยถึงเหตุท่ีทำให้สิ่งนั้นๆ เกิดข้ึนและผลท่ี ตำมมำจำกกำรเกดิ สงิ่ นัน้ ๆ ทำไมน้ีเป็นคำถำมท่สี ำคญั ท่สี ดุ และเป็นคำถำมท่ี เป็ นหวั ใจของกำรศึกษำประวตั ิศำสตร์ เพรำะเป็ นคำถำมท่ีทำให้เกิดกำร วพิ ำกษว์ จิ ำรณ์ และแสวงหำคำตอบดว้ ยเหตแุ ละผล คำถำมทงั้ หมดตอ้ งอยใู่ นกรอบเดยี วกนั และเรอ่ื งเดยี วกนั และกอ่ นท่ี จะตัง้ คำถำมได้ก็จะต้องมีพ้ืนควำมรู้ทำงประวตั ิศำสตร์มำก่อนด้วย ไม่ใช่ อยำกจะถำมอะไรกไ็ ด้ กำรตงั้ คำถำมท่ดี จี ะทำใหเ้ กดิ กำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตร์ ท่ีดเี พรำะกำรตงั้ คำถำมท่ีดีจะนำไปสู่กำรค้นคว้ำท่ีลึกและกว้ำงออกไป และ ท้ำทำยสติปัญญำในกำรแสวงหำคำตอบด้วยเหตุและผล นักประวตั ิศำสตร์ จะต้องมไี หวพรบิ และมวี จิ ำรณญำณทด่ี ใี นกำรวำงขอบเขตคำถำมใหเ้ หมำะสม ตำมควำมสำมำรถของตนเองในกำรแสวงหำคำตอบดว้ ย คำถำมทำงประวตั ศิ ำสตรไ์ ดม้ ำดว้ ยวธิ ใี ด คำถำมทำงประวตั ศิ ำสตร์ ไดม้ ำจำกกำรรบั รทู้ ม่ี ำจำกกำรเลำ่ เรยี นวชิ ำประวตั ศิ ำสตร์ จำกกำรอ่ำนคน้ ควำ้ เพ่ิมเติม จำกกำรสงั เกต และควำมอยำกรู้อยำกเห็น ควำมสนใจเพ่ิมเติม นอกเหนือไปจำกสง่ิ ทไ่ี ดร้ บั รมู้ ำ ๒. การค้นคว้าหาข้อมูลหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ หลงั จำกท่ี กำหนดเป้ ำหมำยอย่ำงชัดเจนว่ำจะศึกษำเร่ืองใดแล้ว ผู้ศึกษำก็จะต้อง ดำเนินกำรสืบค้นหลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์ทุกประเภทท่ีเก่ียวข้องกบั เร่ืองท่ี ศกึ ษำและพยำยำมรวบรวมใหม้ ำกทส่ี ุดเท่ำทจ่ี ะทำได้ ขนั้ ตอนน้ีเป็นขนั้ ตอนท่ี ต้องใช้เวลำและผู้ศึกษำต้องมคี วำมอดทน ขยนั หมนั ่ เพยี ร และกระตือรอื ร้น [๖๒]
เพ่อื ใหไ้ ด้หลกั ฐำนประวตั ิศำสตรท์ ่ีเก่ยี วขอ้ งกบั ประเดน็ ปัญหำท่ตี งั้ ไว้ให้มำก ทส่ี ุด เพรำะหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรไ์ มใ่ ช่สงิ่ ท่จี ะสรำ้ งขน้ึ มำใหมไ่ ด้ แต่เป็นสงิ่ ท่ี มีอยู่แล้วและกระจดั กระจำยอยู่ในท่ีต่ำงๆ เป็นสิ่งท่ีมีควำมหลำกหลำยและ ซบั ซอ้ น และไมม่ คี วำมสมบรู ณ์ในตวั เอง ๓. การวิเคราะหแ์ ละตีความหลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ เม่อื ผศู้ กึ ษำ ประวตั ศิ ำสตรค์ น้ ควำ้ หำหลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรม์ ำไดต้ ำมต้องกำร กต็ อ้ งนำมำ ต รวจ ส อ บ ห ำค วำม น่ ำเช่ือ ถือ แ ล ะจัด ลำดับ ค วำม ส ำคัญ ว่ำมีค วำม ส ำคัญ เก่ยี วขอ้ งกบั เร่อื งท่ศี กึ ษำมำกน้อยเพยี งไร และนำมำวเิ ครำะห์ตคี วำมเพ่อื หำ ข้อเท็จจรงิ หรอื ควำมเป็ นจรงิ ท่ีมีอยู่ในหลกั ฐำนนัน้ ๆ และเม่อื ได้ข้อเท็จจริง มำแล้ว ก็ต้องเลือกสรรว่ำข้อเท็จจริงใดจำกหลักฐำนใดมีควำมสัมพันธ์ สอดคลอ้ งกบั เป้ำหมำยหรอื คำถำมทก่ี ำหนดไวบ้ ำ้ ง ขอ้ เทจ็ จรงิ ใดจำกหลกั ฐำน ใดท่ไี ม่เก่ยี วขอ้ งก็ต้องแยกแยะออกไป ขอ้ เท็จจรงิ ใดจำกหลกั ฐำนใดสมั พนั ธ์ สอดคล้องกับเป้ำหมำยท่ีศึกษำก็นำมำใช้ประโยชน์อย่ำงเต็มท่ี ซ่ึงจะต้อง พจิ ำรณำดว้ ยควำมรอบคอบและมหี ลกั เกณฑ์ ๔. การสังเคราะห์ข้อมูล เป็ นขนั้ ตอนท่ีสำคญั มำก กำรศึกษำ ประวตั ศิ ำสตร์ตำมวธิ ที ำงประวตั ศิ ำสตร์ยงั ไม่จบส้นิ ลงถึงแม้จะมีกำรตคี วำม หลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์และได้ข้อเท็จจริงจำกหลักฐำนแต่ละประเภทแล้ว ขอ้ เทจ็ จรงิ ท่ไี ดม้ ำทงั้ หมดต้องถูกนำมำรวบรวมและเรยี บเรยี งใหเ้ ป็นเร่อื งรำว พร้อมคำอธิบำยท่ีช้ีให้เห็นว่ำ ข้อเท็จจริงต่ำงๆ ท่ีได้มำจำกหลกั ฐำนนัน้ ๆ มคี วำมสำคญั และมคี วำมสมั พนั ธส์ อดคล้องกนั อยำ่ งไร มเี หตุและผลต่อกนั และ กนั หรอื ไม่อย่ำงไร ซ่งึ เรยี กวำ่ กำรสงั เครำะห์ขอ้ มูล ในกำรสงั เครำะห์ข้อมูลน้ี ตอ้ งใชแ้ นวทำงจำกปัญหำหรอื คำถำมท่ตี งั้ ไวเ้ พ่อื ศกึ ษำเป็นหลกั เสมอ โดยเรม่ิ จำกคำถำมว่ำ อะไรเกิดข้ึน เกิดข้ึนท่ีไหน เกิดข้ึนเม่ือใด ทำไมจึงเกิดข้ึน เหตุกำรณ์ท่ีแท้จรงิ เป็นอย่ำงไร ผลของเหตุกำรณ์ท่เี กิดขน้ึ เหตุกำรณ์ท่เี กิดมี ควำมหมำยอยำ่ งไรตอ่ อดตี ปัจจบุ นั และหรอื อนำคตอยำ่ งไรหรอื ไม่ ๕. การนาเสนอผลการศึกษาทางประวตั ิศาสตร์ เป็นขนั้ ตอน สุดท้ำยของวธิ กี ำรทำงประวตั ิศำสตร์ เม่ือสงั เครำะห์ข้อเท็จจริงท่ีได้มำจำก [๖๓]
หลกั ฐำนประวตั ิศำสตร์จนเป็ นเร่อื งรำวทำงประวตั ิศำสตร์ หรือท่ีเรียกว่ำ ขอ้ สรุปทำงประวตั ศิ ำสตรใ์ นเร่อื งท่ตี งั้ เป้ำหมำยไวแ้ ลว้ กต็ อ้ งนำเสนอเผยแพร่ ใหผ้ อู้ ่นื ไดร้ บั รู้ ซง่ึ ถอื วำ่ เป็นกำรเพม่ิ พนู ควำมรใู้ หมใ่ หข้ ยำยออกไปในวงกวำ้ ง ในกำรนำเสนอนัน้ อำจเป็นไปในรูปของบทควำม หนังสอื รำยงำน ซ่ึงในกำรเขียนนำเสนอควำมรู้ท่ีได้จำกวิธีกำรศึกษำทำงประวัติศำสตร์ ต้องประกอบด้วยขอ้ มูลหลกั ฐำนท่ใี ช้ในกำรศกึ ษำ ต้องแสดงเหตุและผลท่ไี ด้ จำกกำรวเิ ครำะห์ตีควำมหลกั ฐำนนัน้ ๆ ว่ำสำมำรถตอบคำถำมท่ีผู้ศึกษำตงั้ ไว้หรือไม่ กำรเขียนนำเสนอน้ีต้องเรียบเรียงหัวข้อให้มีควำมสัมพันธ์ สอดคล้องกนั ตอ้ งมกี ำรอำ้ งองิ ถึงแหล่งขอ้ มลู หลกั ฐำนท่ไี ดม้ ำ เพรำะจะทำให้ ผลงำนทน่ี ำเสนอมคี วำมน่ำเช่อื ถอื มเี หตแุ ละผล นอกจำกน้ีภำษำทใ่ี ชเ้ ขยี นตอ้ ง สละสลวยและเขำ้ ใจงำ่ ยอกี ดว้ ย ความสาคญั และประโยชน์ของวิชาประวตั ิศาสตร์ เป็นปัญหำท่ีพูดกนั มำนำนว่ำ กำรสอนวชิ ำประวตั ศิ ำสตรม์ ปี ัญหำ มำกเน่ืองจำกนักเรยี นสว่ นใหญ่ไม่ชอบเรยี นวชิ ำประวตั ิศำสตร์ เน่ืองจำกมอง ไมเ่ หน็ หรอื ไม่เขำ้ ใจว่ำจะไดป้ ระโยชน์อะไรจำกกำรท่องจำเร่อื งต่ำงๆ ท่เี ขยี น ไวใ้ นหนังสอื จงึ ทำใหว้ ชิ ำประวตั ศิ ำสตรเ์ ป็นวชิ ำทน่ี ่ำเบ่อื มำกในโรงเรยี น ซง่ึ อนั ท่จี รงิ แล้วไม่ใช่แต่นักเรยี นเท่ำนัน้ คนโดยทวั ่ ไปก็เข้ำใจกนั ว่ำประวตั ิศำสตร์ เป็นวชิ ำท่ีไม่มีประโยชน์หรอื มีประโยชน์น้อยมำกหำกเทียบกบั ศำสตร์อ่ืนๆ เรำจะมำนงั ่ เสยี เวลำเรยี นรเู้ รอ่ื งของคนในอดตี ซง่ึ มนั จบสน้ิ ไปแลว้ ทำไม ดงั นัน้ เรำควรหนั มำทบทวนและมองหำควำมสำคญั และประโยชน์ ของวิชำประวตั ิศำสตร์เพ่ือสร้ำงควำมเข้ำใจว่ำ ทำไมจงึ ต้องมีกำรสอนวชิ ำ ประวตั ศิ ำสตรค์ วบคไู่ ปกบั ศำสตรอ์ ่นื ๆ ในโรงเรยี นดว้ ย ถำ้ เรำมองอย่ำงผวิ เผนิ โดยขำดกำรพจิ ำรณำใหถ้ ่องแท้แลว้ เรำกจ็ ะ มองไม่เหน็ ถึงควำมสำคญั ของกำรศึกษำประวตั ศิ ำสตร์ว่ำจะให้ประโยชน์แก่ สงั คมมนุษย์ในปัจจุบนั ได้อย่ำงไร โดยทัว่ ไปมกั คดิ กันว่ำประวตั ิศำสตร์คือ ประวตั ิบุคคลสำคญั ประวตั ิเหตุกำรณ์สำคญั ๆ ของบ้ำนเมือง ท่ีต้องจดจำ [๖๔]
วนั เดือน ปี พ.ศ. ทำให้วิชำประวตั ิศำสตร์เป็ นวิชำท่ีน่ำเบ่ือมำกอย่ำงท่ี นักเรยี นส่วนใหญ่รู้สกึ กนั มำจนทุกวนั น้ี แต่หำกค่อยๆ พจิ ำรณำให้ดี และไม่ เรียนรู้ประวตั ิศำสตร์ในลกั ษณะท่ีเรียกว่ำรบั รู้แต่เพียงอย่ำงเดียว แต่ต้อง แสวงหำควำมรู้ และพยำยำมสรำ้ งควำมรใู้ หมท่ ำงประวตั ศิ ำสตรข์ ้นึ มำ เรำจะ เหน็ วำ่ ประวตั ศิ ำสตรจ์ ะอำนวยประโยชน์ใหส้ งั คมมนุษยใ์ นปัจจุบนั อยำ่ งมำกไม่ แพ้ศำสตร์อ่ืนๆ ทงั้ ในด้ำนนำมธรรมและรูปธรรม ถ้ำรู้จกั ใช้ประโยชน์จำ ก ประวตั ศิ ำสตรไ์ ดถ้ ูกตอ้ ง ดงั น้ี ๑. ประวตั ิศำสตร์อำจให้ประสบกำรณ์ต่ำงๆ แก่สงั คมมนุษย์ใน ปัจจบุ นั ได้ เพรำะประวตั ศิ ำสตรเ์ ป็นศำสตรท์ ศ่ี กึ ษำถงึ เรอ่ื งรำวของสงั คมมนุษย์ ในอดีต ตงั้ แต่ภูมิหลงั ประวตั ิควำมเป็นมำ รวมไปถึงพฤติกรรมท่ีมนุษย์ใน อดตี ได้แสดงไวท้ งั้ ในรูปของควำมคิดและกำรกระทำด้วย ผลของกำรศึกษำ ประวตั ิศำสตรจ์ ะช่วยใหเ้ รำทรำบและเขำ้ ใจวำ่ มนุษยใ์ นอดตี ในแต่ละยุคสมยั มี วถิ ชี วี ติ ควำมเป็นอยอู่ ย่ำงไร มพี ฒั นำกำรและกำรเปลย่ี นแปลงในกำรดำรงชวี ติ มำอย่ำงไร มีกำรปรบั ตัวให้เข้ำกบั ส่ิงแวดล้อมต่ำงๆ อย่ำงไร เรำอำจจะใช้ ควำมรทู้ ำงดำ้ นประวตั ศิ ำสตรก์ งั กล่ำวมำเป็นแนวทำงในกำรแกไ้ ขปัญหำหรอื วเิ ครำะห์ปัญหำต่ำงๆ ท่ีเกิดข้นึ ในสงั คมมนุษย์สมยั ปัจจุบันได้ มีคำกล่ำวท่ี คุ้นเคยกันทัว่ ไป แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจหรือตระหนักถึงควำมหมำยท่ีแท้จริงกัน มำกนัก คือ คำว่ำ “บทเรยี นแห่งประวตั ิศำสตร์” คำกล่ำวน้ีมีควำมหมำยท่ี บ่งช้ีว่ำ ควำมรู้ทำงประวตั ิศำสตรอ์ ำจนำมำใช้เป็นแนวทำงส่วนหน่ึงในกำร แก้ปัญหำ ในกำรป้องกนั ทจ่ี ะไมใ่ หเ้ กดิ ปัญหำขน้ึ หรอื ในกำรวเิ ครำะหป์ ัญหำท่ี เกดิ ขน้ึ ในสงั คมมนุษยย์ คุ ปัจจบุ นั ได้ ๒. กำรศึกษำประวตั ิศำสตร์จะช่วยให้เรำรู้จกั ตัวเอง รู้จกั ควำม เป็ นมำของประเทศชำติ ช่วยให้เรำรู้ว่ำบรรพบุรุษของเรำมีควำมเป็ นมำ อย่ำงไร ทำอะไรไว้บ้ำง เม่อื ทำแล้วเกิดผลอย่ำงไรบ้ำง ผลจำกกำรกระทำใน อดตี ยงั สง่ ผลสบื ทอดมำจนถงึ ปัจจบุ นั หรอื ไมอ่ ยำ่ งไร ควำมรจู้ ำกประวตั ศิ ำสตร์ ดงั กลำ่ วจะเป็นประโยชน์ในกำรดำรงชวี ติ และกำรปรบั ตวั เขำ้ กบั สิ่งแวดล้อมใน [๖๕]
ปั จจุบันได้ เพ รำะสิ่งแวดล้อม ท่ีเป็ นอยู่ในปั จจุบัน ล้วนแต่เป็ นผลท่ี สบื เน่ืองมำจำกคนในอดตี ไดท้ ำไวท้ งั้ สน้ิ กำรศึกษำประวตั ิศำสตรป์ ระเทศเพ่อื นบ้ำนใกล้เคียงหรอื ประเทศ ต่ำงๆ ในโลกช่วยทำให้มนุษย์เกิดควำมรอบรู้ เกิดควำมคิดท่ีกว้ำงขวำง ช่วยให้เรำรูจ้ กั คนอ่นื ๆ ทงั้ ท่ีอยู่ใกล้รอบตวั เรำหรอื ไกลออกไป ช่วยทำให้เรำ เกดิ ควำมรคู้ วำมเขำ้ ใจวำ่ ทำไมสงั คมมนุษยใ์ นประเทศอ่นื ๆ จงึ มคี วำมคดิ และ กำรกระทำท่แี ตกต่ำงไปจำกสงั คมมนุษยใ์ นประเทศของเรำ กำรรจู้ กั และเขำ้ ใจ ถงึ ควำมรสู้ กึ นึกคดิ ของผคู้ นในสงั คมอ่นื ๆ ประเทศอ่นื ๆ มำกเท่ำใดกจ็ ะช่วยให้ กำรดำเนินกจิ กรรมระหว่ำงประเทศเป็นไปอยำ่ งมปี ระสทิ ธภิ ำพมำกยงิ่ ขน้ึ ๓. กำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรช์ ว่ ยสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ควำมรคู้ วำมเขำ้ ใจถงึ ควำมสำคญั ในมรดกทำงวฒั นธรรมท่ีบรรพบุรุษได้สรำ้ งไว้ เม่ือเกิดควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจกจ็ ะส่งผลให้เกดิ ควำมภำคภูมใิ จในชำตบิ ้ำนเมอื ง ทำให้เกิดควำม รกั ชำติบ้ำนเมือง ทำให้เกิดควำมสำนึกท่ีจะต้องช่วยกันอนุรักษ์มรดก วฒั นธรรมของชำตไิ ว้ ควำมภำคภูมใิ นในชำตบิ ำ้ นเมอื งควำมรกั ชำตบิ ำ้ นเมอื ง ทเ่ี กดิ ขน้ึ สำมำรถสรำ้ งควำมสมั พนั ธ์ สรำ้ งควำมเขำ้ ใจระหวำ่ งคนในชำตใิ หเ้ กดิ ควำมรกั ควำมสำมคั คีได้เป็นอย่ำงดี ประโยชน์ในข้อน้ีจะถูกใช้มำกในช่วงท่ี ต้องกำรปลุกสำนึกให้คนรกั ชำติ เป็นกำรนำประวตั ิศำสตร์มำใช้ประโยชน์ ในทำงกำรเมอื ง ยง่ิ ไปกว่ำนนั้ ในปัจจุบนั มรดกวฒั นธรรมของชำตถิ อื เป็นทรพั ยำกรท่ี สำคัญย่ิงอย่ำงหน่ึง กำรศึกษำประวัติศำสตร์ในด้ำนน้ีสำมำรถนำไปใช้ ประโยชน์ในกำรพฒั นำประเทศทำงดำ้ นเศรษฐกจิ ไดอ้ กี ดว้ ย ๔. กำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรจ์ ะช่วยพฒั นำศกั ยภำพของคนในชำตไิ ด้ ถ้ำมกี ำรเรยี นกำรสอนวชิ ำประวตั ิศำสตรอ์ ย่ำงถูกต้อง คอื ไม่สอนใหน้ ักเรยี น เรยี นวชิ ำประวตั ิศำสตรโ์ ดยกำรท่องจำหรอื โดยกำรรบั รู้แต่เพียงอย่ำงเดียว แต่ต้องสอนโดยเริ่มจำกใหน้ ักเรยี นรบั รวู้ ่ำมอี งค์ควำมรูใ้ นเร่อื งนัน้ ๆ อย่ำงไร ก่อน หลงั จำกนนั้ ต้องพยำยำมหรอื ฝึกหดั ใหน้ กั เรยี นสรำ้ งควำมรดู้ ว้ ย โดยกำร รจู้ กั ตงั้ คำถำม หำควำมรเู้ พมิ่ เตมิ เพ่อื แสวงหำคำตอบดว้ ยตนเอง กำรเรยี นวชิ ำ [๖๖]
ประวตั ิศำสตร์ก็จะช่วยเสริมสร้ำงควำมมีปัญญำให้เกิดข้ึนในแต่ละคนได้ กำรศกึ ษำประวตั ศิ ำสตรโ์ ดยกำรสรำ้ งควำมรใู้ หม่ ตอ้ งอำศยั ระเบยี บวธิ กี ำรทำง ประวตั ศิ ำสตรซ์ ่งึ จะช่วยให้รจู้ กั คดิ อย่ำงมหี ลกั เกณฑ์ คดิ อย่ำงมเี หตุและผลท่ี วำงอยู่บนพน้ื ฐำนของขอ้ เทจ็ จรงิ รจู้ กั กำรวนิ ิจฉัยอย่ำงละเอยี ดรอบคอบ รจู้ กั หำเหตุผลจำกขอ้ มลู หลกั ฐำนประวตั ศิ ำสตรต์ ำ่ งๆ ทม่ี อี ยู่ จะเหน็ ไดว้ ่ำประวตั ศิ ำสตรเ์ ป็นศำสตรท์ ่ใี ห้ประโยชน์แก่สงั คมมนุษย์ ในปัจจุบนั อย่ำงมำก แต่จะไดป้ ระโยชน์มำกน้อยแคไ่ หนขน้ึ อยกู่ บั วำ่ มนุษยใ์ น สงั คมนัน้ ๆ จะเรยี นรู้ประวตั ิศำสตร์อย่ำงไรและสำมำรถใช้ประโยชน์จำก ประวตั ศิ ำสตรไ์ ดถ้ ูกตอ้ งมำกน้อยเพยี งไร [๖๗]
เอกสารประกอบการเรียบเรยี ง กอตชลั ค์ หลยุ ส์ ๒๕๒๕. การเข้าใจประวตั ิศาสตร์ : มูลบทว่าด้วยระเบียบวิธี ประวัติ ศาสตร์. แปลจำก Understanding History: A Primer of Historical Method โดย ธติ ิมำ พิทกั ษ์ไพรวนั . กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นำพำณชิ คำร,์ อ.ี เอช ๒๕๒๕. ประวัติ ศาสตร์คืออะไร. แปลจำก What is History? โดย ชำตชิ ำย พณำนนท.์ พระนคร : อกั ษรเจรญิ ทศั น์ จนั ทรฉ์ ำย ภคั อธคิ ม (บรรณำธกิ ำร) ๒๕๓๑. ข้อมูลประวตั ิศาสตรใ์ นรอบทศวรรษ (พ.ศ. ๒๕๒๐ – ๒๕๓๐). สมำคมประวตั ิศำสตร์ในพระบรมรำชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนรำชสุดำฯ สยำมบรมรำชกุมำรี. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั ประชำชน จำกดั . ชำญวทิ ย์ เกษตรศริ ิ และสชุ ำติ สวสั ดศิ รี (บรรณำธกิ ำร) ๒๕๑๙ก. ประวตั ิศาสตรล์ ะนักประวตั ิศาสตรไ์ ทย. กรุงเทพฯ : ประพนั ธส์ ำสน์ . ๒๕๑๙ข. ปรชั ญาประวัติ ศาสตร์. พิมพ์ครงั้ ท่ี ๒. กรุงเทพฯ ซ ประพนั ธส์ ำสน์ . แดเนียส,์ โรเบอรต์ วี ๒๕๒๐. ศึกษาประวัติ ศาสตร์อย่างไรและทาไม. แปลจำก Studying History How and Why โดน ธิดำ สำระยำ. กรงุ เทพฯ : ดวงกมล. เตช บุนนำค ๒๕๒๗. วิธีการของประวตั ิศาสตร์ ปรชั ญาประวตั ิศาสตร์. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นำพำนิช จำกดั . [๖๘]
ถนอม อำนำมวฒั น์ และคณะ ๒๕๔๓. หนังสือเรียนสงั คมศึกษา ส ๐๒๘ ประวตั ิศาสตรก์ าร ตัง้ ถิ่นฐานในดินแดนประเทศไทย. (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๓๓). กรงุ เทพฯ : วฒั นำพำนิช. แถมสขุ นุ่มนนท์ ๒๕๓๑. หลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทย. นครปฐม : คณะอกั ษรศำสตร,์ มหำวทิ ยำลยั ศลิ ปำกร. นำฏวภิ ำ ชลติ ำนนท์ ๒๕๒๔. ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ นิ พ น ธ์ ไ ท ย . ก รุ ง เท พ ฯ : มหำวทิ ยำลยั ธรรมศำสตร.์ นิคม มสุ กิ ะคำมะ (บรรณำธกิ ำร) ๒๕๑๗. โบราณคดีเบอื้ งต้น. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปำกร. นิธิ เอยี วศรวี งศ์ ๒๕๒๓. กำรศึกษำประวตั ิศำสตร์ไทย : อดีตและอนำคต. รวม บทความประวตั ิศาสตร์ ๑ :___. ๒๕๒๕. หลักฐำนท ำงป ระวัติศำสต ร์. รวม บ ท ค วาม ท าง ประวตั ิศาสตร์ ๔ :___. ๒๕๒๗. ประวตั ศิ ำสตรแ์ ละกำรวจิ ยั ทำงประวตั ศิ ำสตร์ ใน ปรชั ญา ประวตั ิศาสตร.์ กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นำพำนิช. นิธิ เอยี วศรวี งศ์ และอำคม พฒั ยิ ะ ๒๕๒๕. หลกั ฐานประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : บรรณกจิ . นนั ทวรรณ (เหมนิ ทร)์ ภสู่ วำ่ ง ๒๕๔๗. พลิกปมู แผน่ ดินไทย. เชยี งใหม่ : โรงพมิ พม์ ง่ิ เมอื ง. [๖๙]
พรพริ มย์ เชยี งกลู และคณะ ๒๕๔๓. หนังสือเรียนประวัติศำสตร์ไทย รำยวิชำ ส ๐๒ ๘ ประวตั ิศาสตรก์ ารตงั้ ถ่ินฐานในดินแดนประเทศไทย. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั สำนกั พมิ พแ์ มค จำกดั . พรเพญ็ ฮนั ่ ตระกลู ๒๕๒๙. การศึกษาประวตั ิศาสตรไ์ ทย, หน่วยท่ี ๑ ในชุดวิชา สั ง ค ม ศึ ก ษ า ๕ . น น ท บุ รี : มหำวทิ ยำลยั สโุ ขทยั ธรรมำธริ ำช. พริ ยิ ะ ไกรฤกษ์ ๒๕๓๒. ประวตั ิศาสตรศ์ ิลปะและโบราณคดีในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ตง้ิ กรพุ๊ จำกดั . สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ และคณะ ๒๕๓๓. หนังสือค่มู ือครสู งั คมศึกษา รายวิชา ส ๐๒๑ หลกั ฐาน ประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ระดับมธั ยมศึกษา ตอนปลาย. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นำพำนิช. สรุ พล นำถะพนิ ธุ ๒๕๔๑. มรดกโลกบ้านเชียง. กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปำกร. หมอ่ มเจำ้ สภุ ทั รดศิ ดศิ กุล ๒๕๒๘. ศิลปะในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ : อมรนิ ทรก์ ำรพมิ พ.์ อุบลศรี อรรถพนั ธุ์ ๒๕๒๔. “กำรชำระพงศำวดำรในรชั สมยั พระบำทสมเดจ็ พระพุทธ ยอดฟ้ ำจุฬำโลก.” วิทยำนิพนธ์ปริญญำอักษรศำสตร์ มหำบัณฑิต ภำควิชำประวตั ิศำสตร์ บัณฑิตวิทยำลัย มหำวทิ ยำลยั ศลิ ปำกร. [๗๐]
[๗๑]
วฒั นธรรมสมยั ก่อนประวตั ิศาสตรใ์ นประเทศไทย โดย สุรพล นาถะพินธุ [๗๒]
ความนา กำรศึกษำค้นคว้ำเร่อื งรำวเก่ียวกบั มนุษย์ท่ีนักวิชำกำรทำกันมำ ตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปัจจุบนั ไดค้ วำมรชู้ ดั เจนว่ำมนุษยชำตทิ ป่ี รำกฏอยู่ทุกดนิ แดน ในโลกล้วนมปี ระวตั ิควำมเป็นมำท่ยี ำวนำนมำกและบรรพบุรุษรุน่ ต่ำงๆ ของ มนุษย์ในทุกดนิ แดนได้ท้ิงวตั ถุท่ีแสดงถึงวฒั นธรรมสมยั ต่ำงๆ เหล่ำนัน้ ไว้ มำกมำยและหลำกหลำยประเภท โบ รำ ณ วัต ถุ ท่ี แ ส ด ง ร่อ ง ร อ ย ข อ ง วัฒ น ธ ร รม ส ม ัย อ ดีต ดัง ก ล่ ำ ว รวมเรยี กได้ว่ำ “หลกั ฐำนทำงโบรำณคดี” ซ่ึงสำมำรถจะรวบรวมมำศึกษำ เพ่ือให้เกิดควำมรู้ควำมเข้ำใจเร่อื งรำวเก่ียวกบั วฒั นธรรม สงั คม ประชำกร และสง่ิ แวดล้อมสมยั อดีตได้ด้วยกระบวนกำรขุดค้นตำมหลกั วชิ ำกำรสำขำ โบรำณคดี กล่ำวโดยทัว่ ไปแล้ว หลักฐำนทำงโบรำณคดีของดินแดนต่ำงๆ สำมำรถแบ่งอำยุสมยั ไดห้ ลำกหลำยวธิ ี ทงั้ น้ี กำรแบ่งอย่ำงกวำ้ งๆ ก็คอื กำร แบง่ ออกเป็นหลกั ฐำนของวฒั นธรรม ๒ สมยั ใหญ่ๆ คอื สมยั ประวตั ศิ ำสตรแ์ ละ สมยั กอ่ นประวตั ศิ ำสตร์ ตำมนิยำมในลักษณะกว้ำงๆ นัน้ “สมัยก่อนประวัติ ศาสตร์” หมายถึง เวลาในสมยั อดีตช่วงที่มนุษยย์ งั ไม่ร้จู กั ทาการบนั ทึกเรื่องราว ต่ างๆ ไว้เป็ น ลายลักษณ์ อักษร ห รือยังไม่ มี การจดบัน ทึ กเป็ น “ภาษาเขียน” ชนิดที่คนปัจจบุ นั อ่านหรือถอดความหมายออกมาได้ จำกนิยำมดังกล่ำวน้ี อำจนำไปสู่กำรมองในแง่มุมห น่ึงได้ว่ำ สมยั ก่อนประวตั ิศำสตรน์ ัน้ สำมำรถหมำยถึงช่วงระยะเวลำตงั้ แต่เกดิ โลกข้นึ เม่อื ประมำณ ๔,๖๐๐ ล้ำนปีมำแล้ว ลงมำจนถงึ ระยะเวลำท่มี นุษยเ์ รมิ่ กำรจด บนั ทกึ เป็นลำยลกั ษณ์อกั ษร ซง่ึ นบั เป็นระยะเวลำทย่ี ำวนำนมำก อย่ำงไรก็ตำม เน่ืองจำกวชิ ำโบรำณคดเี น้นเร่อื งคนและวฒั นธรรม ของคน คำวำ่ “สมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตร์” ในสำขำวชิ ำน้ีจงึ ครอบคลุมระยะเวลำ เพยี งแค่ตงั้ แต่ช่วงท่เี กดิ บรรพบุรุษรนุ่ แรกของคนและวฒั นธรรมของคนขน้ึ ใน โลกมำจนถงึ ช่วงทค่ี นเรมิ่ จดบนั ทกึ เทำ่ นนั้ [๗๓]
ขอ้ มลู ทำงวชิ ำกำรเทำ่ ทพ่ี บจนถงึ ขณะน้ีบ่งชว้ี ่ำบรรพบุรษุ ของคนเรมิ่ ปรำกฏขน้ึ เม่อื รำว ๒ ลำ้ นปีมำแลว้ ดงั นนั้ จงึ กล่ำวไดอ้ ย่ำงกวำ้ งๆ ว่ำเร่อื งรำว ทน่ี ักโบรำณคดสี มยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรศ์ กึ ษำประกอบด้วยเร่ืองรำวตงั้ แต่รำว ๒ ล้ำนปี มำแล้วจนถึงระยะเริ่มต้นของสมัยประวตั ิศำสตร์ และเน่ื องจาก มนุษยใ์ นดินแดนต่างๆ เร่ิมทาการจดบนั ทึกในเวลาต่างๆ ไม่พร้อมกนั การสิ้ นสุดของสมัยก่อนประวัติ ศาสตร์หรือการเริ่มต้นของสมัย ประวตั ิศาสตรใ์ นดินแดนต่างๆ ของโลกจึงปรากฏขึน้ ณ เวลาต่างๆ กนั ข้อ มู ล ท ำ ง วิช ำก ำรโบ ร ำณ ค ดีเท่ ำ ท่ีค้น พ บ แ ล้ว ใน ข ณ ะน้ี ย ัง ช้ีว่ำ ดินแดนท่ีมีกำรเริ่มจดบันทึกเป็ นลำยลักษณ์อักษรท่ีเก่ำท่ีสุดในโลกคือ เมโสโปเตเมยี ซ่งึ อยใู่ นเขตประเทศอริ กั ในปัจจบุ นั ประชำกรในดนิ แดนน้ีไดท้ ำ กำรจดบนั ทึกเป็นลำยลกั ษณ์อกั ษรข้นึ ตงั้ แต่เม่อื ประมำณ ๕,๕๐๐ ปีมำแล้ว หลงั จำกนนั้ เลก็ น้อย คอื ในรำว ๕,๐๐๐ ปีมำแลว้ จงึ ปรำกฏขน้ึ ในอยี ปิ ต์ ต่อมำ ในรำว ๔,๕๐๐ ปี มำแล้ว จึงปรำกฏข้ึนในลุ่มแม่น้ำสินธุของเอเชียใต้ และ ปรำกฏขน้ึ ในแถบลุ่มแมน่ ้ำฮวงโหของจนี เม่อื รำว ๓,๘๐๐ – ๓,๕๐๐ ปีมำแลว้ ในกรณีของดินแดนที่เป็ นประเทศไทยในปัจจบุ นั นัน้ ได้มีการ ใช้หลกั ฐานทางอ้อมคือข้อความจารกึ ที่พบที่เมืองโบราณศรีเทพ จงั หวดั เพชรบูรณ์ และจารึกพบท่ีปราสาทเขาน้อย จงั หวดั สระแก้ว มาสรปุ โดย อนุโลมว่า สมยั ก่อนประวตั ิศาสตรข์ องดินแดนนี้สิ้นสุดลงเม่ือประมาณ พ.ศ. ๑๑๐๐ หรอื เมือ่ ราว ๑,๔๕๐ ปี มาแล้ว ตัวอย่างแหล่งโบราณ คดี สมัยก่ อน ประวัติ ศาสตร์ที่ สาคัญ ของ ประเทศไทย แหล่งโบราณคดีท่ีอาเภอแมท่ ะ จงั หวดั ลาปาง มรี ำยงำนว่ำได้พบเคร่อื งมือหินกะเทำะรุ่นเก่ำในเขตอำเภอแม่ทะ จงั หวดั ลำปำง โดยเป็นเคร่อื งมอื หนิ กะเทำะทำจำกหนิ กรวดแม่น้ำ พบอยู่ใน ชนั้ ของหินกรวดท่ีวำงตวั อยู่ใต้ชนั้ หินบะซอลท์ (Basalt) ซ่ึงกำหนดอำยุได้ [๗๔]
ระหวำ่ งประมำณ ๔๐๐,๐๐๐ – ๖๐๐,๐๐๐ หรอื อำจจะมอี ำยุระหว่ำง ๖๐๐,๐๐๐ ถงึ ๘๐๐,๐๐๐ ปีมำแลว้ กเ็ ป็นได้ (Pope et al. 1986) ภำพท่ี ๑ เครอ่ื งมอื หนิ กะเทำะประเภทแกนหนิ หรอื เครอ่ื งมอื ขดู สบั ทำจำกหนิ กรวดแมน่ ้ำ พบทอ่ี ำเภอแมท่ ะ จงั หวดั ลำปำง อน่ึง เม่ือเดือนตุลำคม พ.ศ. ๒๕๔๔ ได้มีรำยงำนเพิ่มข้ึนว่ำ นกั วชิ ำกำรไทยคอื คุณสมศกั ดิ ์ ประมำณกจิ และคณุ วฒั นำ ศภุ วนั ซง่ึ รว่ มงำน วจิ ยั กบั ผู้เช่ียวชำญจำกสำนักงำนพลงั งำนปรมำณูเพ่ือสนั ติ ได้พบช้ินส่วน กะโหลกศีรษะของบรรพบุรุษมนุษย์ชนิดโฮโมอีเรคตัส ซ่ึงอำจมีอำยุรำว ๕๐๐,๐๐๐ ปีมำแลว้ ในพน้ื ทเ่ี ขตอำเภอเกำะคำ จงั หวดั ลำปำงอกี ดว้ ย แหล่งโบราณคดีสบคา ใน พ.ศ. ๒๕๑๔ อำจำรย์วีรพันธุ์ มำไลยพันธุ์ (๒๕๑๕) ได้นำ นักศึกษำคณะโบรำณคดี มหำวิทยำลัยศิลปำกรไปทำกำรขุดค้นท่ีแหล่ง โบรำณคดสี บคำ ซ่งึ อยู่รมิ แม่น้ำโขงในเขตอำเภอเชยี งแสน จงั หวดั เชยี งรำย [๗๕]
และไดพ้ บเคร่อื งมอื หนิ กะเทำะทำจำกหนิ กรวดแมน่ ้ำจำนวนหน่ึง เทคนิคกำร ทำและรปู ลกั ษณ์ของเคร่อื งมอื หนิ กะเทำะเหล่ำน้ีเหมอื นกบั ของเคร่อื งมอื หนิ ท่ี จดั วำ่ เป็นของสมยั หนิ เก่ำในเอเชยี จงึ ทำใหเ้ กดิ ควำมเหน็ วำ่ เครอ่ื งมอื หนิ ทพ่ี บ ทเ่ี ชยี งแสนเหล่ำนนั้ เป็นของบรรพบุรษุ มนุษยท์ จ่ี ดั อยใู่ นยคุ หนิ เกำ่ ซง่ึ อำจมอี ำยุ นบั แสนปีมำแลว้ แหล่งโบราณคดีถา้ หลงั โรงเรยี น ตำมควำมเป็นจรงิ แล้ว แหล่งโบรำณคดนี ้ีเป็นเพงิ ผำบนภูเขำหนิ ปูน ลูกหน่ึงในเขตอำเภอเมือง จังหวัดกระบ่ี นักโบ รำณคดีช่ือ ดร.ดักลำส แอนเดอร์สนั (Dr. Douglas Anderson) ได้ขดุ คน้ แหล่งโบรำณคดนี ้ีและพบว่ำ มมี นุษยส์ มยั ก่อนประวตั ศิ ำสตร์ เข้ำมำพำนักอำศยั ท่ีเพงิ ผำแห่งน้ีหลำยสมยั (Anderson 1988) มนุษย์ในสมัยต่ำงๆ ท่ีถ้ำหลังโรงเรียนใช้เคร่ืองมือหิน ประเภทตำ่ งกนั ไป ดงั น้ี ภำพท่ี ๒ เพงิ ผำถ้ำหลงั โรงเรยี น อำเภอเมอื ง จงั หวดั กระบ่ี [๗๖]
๑. ในช่วงเวลำรำว ๓๗,๐๐๐ – ๒๗,๐๐๐ ปี มำแล้ว มีกำรใช้ เคร่อื งมอื หนิ กะเทำะ ทงั้ ประเภทเครอ่ื งมอื แกนหนิ และเคร่อื งมอื สะเกด็ หนิ ช่วงระยะเวลำรำว ๓๗,๐๐๐ – ๔๐,๐๐๐ ปีมำแลว้ นนั้ มคี วำมสำคญั ท่ี พิเศษในดำ้ นโบรำณคดเี พรำะเป็นช่วงระยะเวลำท่ีมหี ลกั ฐำนทำงโบรำณคดี บ่งชว้ี ำ่ มนุษยท์ ่มี ลี กั ษณะกำยภำพแบบมนุษยส์ มยั ปัจจุบนั ทุกประกำร ซ่งึ ทำง สำขำวชิ ำชวี วทิ ยำจดั เป็นมนุษยช์ นิด โฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ เรม่ิ ปรำกฏขน้ึ เดมิ นัน้ ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้เคยมกี ำรพบกะโหลกศีรษะของ โฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ ท่ีมีอำยุกว่ำ ๓๐,๐๐๐ ปี มำแล้วท่ีเฉพำะแหล่ง โบรำณคดถี ้ำนีอำห์ (Niah Cave) ซ่งึ อยบู่ นเกำะบอรเ์ นียวส่วนท่อี ยู่ในเขตกำร ปกครองของรฐั ซำรำวกั ประเทศมำเลเซียเท่ำนัน้ กำรพบร่องรอยวฒั นธรรม ของมนุษย์ท่ีมอี ำยุเกือบ ๔๐,๐๐๐ ปีมำแล้วทำงภำคใต้ของประเทศไทยจึง นับเป็นหลกั ฐำนทำงโบรำณคดสี ำคญั ท่นี อกจำกจะแสดงว่ำมมี นุษยเ์ ขำ้ มำอยู่ อำศยั ในเขตป่ำฝนเมอื งรอ้ นทำงภำคใตข้ องประเทศไทยตงั้ แต่เกอื บ ๔๐,๐๐๐ ปีมำแล้ว ยงั สนับสนุนหลกั ฐำนทำงโบรำณคดจี ำกถ้ำนีอำหท์ ่ีแสดงให้เหน็ ว่ำ มนุษยช์ นิด โฮโม เซเปียนส์ เซเปียนส์ กป็ รำกฏขน้ึ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ ในระยะเวลำไลเ่ ลย่ี กบั ดนิ แดนอ่นื ๆ ในทวปี เอเชยี และยโุ รป นอกจำกน้ียงั แสดง ให้เห็นว่ำประชำกรรุ่นแรกๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดังกล่ำวได้มี พัฒนำกำรทำงเทคโนโลยีกำรทำเคร่ืองมือหินกะเทำะด้วย โดยมีกำรทำ เคร่อื งมือหินกะเทำะประเภทเคร่อื งมือสะเก็ดหินเพ่ิมข้ึนจำกเคร่อื งมือหิน กะเทำะประเภทเคร่อื งมอื หนิ แบบเก่ำกวำ่ ๒. ในช่วงเวลำรำว ๙,๐๐๐ – ๗,๕๐๐ ปีมำแลว้ มกี ำรใช้เครอ่ื งมอื หนิ กะเทำะชนิดทเ่ี รยี กวำ่ “เคร่อื งมอื หนิ แบบฮวั บเิ นียน” (Hoabinhian) ๓. ในช่วงเวลำรำว ๖,๐๐๐ – ๔,๐๐๐ ปีมำแลว้ เรมิ่ มกี ำรใชเ้ คร่อื งมอื หนิ ขดั หรอื ขวำนหนิ ขดั นอกจำกน้ีกม็ กี ำรใชภ้ ำชนะดนิ เผำ [๗๗]
แหล่งโบราณคดีถา้ หมอเขียว แหล่งโบรำณคดนี ้ีเป็นเพงิ ผำบนภูเขำหนิ ปนู อกี ลูกหน่ึงในเขตอำเภอ เมอื ง จงั หวดั กระบ่ี ซง่ึ กอ็ ย่ไู มไ่ กลจำกแหลง่ โบรำณคดถี ้ำหลงั โรงเรยี น กำรขดุ ค้นท่ีแหล่งโบรำณคดีน้ีดำเนินกำรโดย ดร.สุรนิ ทร์ ภู่ขจร (Pookajorn 1994) และได้พบร่องรอยกำรพักอำศัยของคนหลำยช่วงระยะเวลำซ่ึงมีกำรใช้ เคร่อื งมอื หนิ ลกั ษณะต่ำงกนั ไป ดงั น้ี ๑. ในช่วงเวลำรำว ๒๕,๐๐๐ – ๒๖,๐๐๐ ปีมำแลว้ มกี ำรใช้เครอ่ื งมอื หินกะเทำะชนิดกะเทำะหน้ำเดียว (unifacial flaked stone tool) ซ่ึงทำจำก หนิ กรวดแมน่ ้ำ ๒. ในช่วงหลงั กวำ่ ๒๕,๐๐๐ ปีมำแล้ว มกี ำรใชเ้ คร่อื งมอื หนิ กะเทำะ ท่ีทำทงั้ จำกแกนหินกรวดแม่น้ำและจำกสะเก็ดหินช้ินใหญ่ แต่ดูจะมีกำรใช้ เครอ่ื งมอื หนิ กะเทำะขนำดเลก็ ประเภทเคร่อื งมอื สะเกด็ หนิ ในปรมิ ำณมำกกวำ่ เคร่อื งมอื หนิ ขนำดใหญ่ ๓. ในช่วงรำว ๑๑,๐๐๐ – ๘,๐๐๐ ปีมำแล้ว มกี ำรใช้เคร่อื งมือหิน กะเทำะหลำยชนิด ได้แก่ เคร่ืองมือหินกะเทำะหน้ำเดียวลักษณะคล้ำย เคร่อื งมอื หนิ แบบฮวั บิเนียนทำจำกหนิ กรวดแม่น้ำ เคร่อื งมอื หินกะเทำะสอง หน้ำทำจำกหนิ เชิรท์ (Chert) และหนิ แจสเปอร์ (Jasper) และเคร่อื งมอื สะเก็ด หนิ ๔. ในช่วงรำว ๗,๐๐๐ – ๔,๐๐๐ ปีมำแล้ว มเี คร่อื งมอื หนิ แบบใหม่ ปรำกฏขน้ึ ไดแ้ ก่ ขวำนหนิ กะเทำะ (Flaked adze) และขวำนหนิ ขดั แหล่งโบราณคดีถา้ ผีแมน (Spirit Cave) แหล่งโบรำณคดีน้ีอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน นักโบรำณคดีท่ีขุดค้นแหล่งโบรำณคดีน้ี คือ Dr. Chester Gorman (1970) ได้พบหลักฐำนว่ำมนุษย์ท่ีเข้ำมำพำนักอำศัยท่ีถ้ำน้ีในช่วงรำว ๑๑,๐๐๐ – ๑๒,๐๐๐ ปีมำแล้วนัน้ มกี ำรใช้เคร่อื งมือหินแบบฮวั บิเนียนทำจำกหนิ กรวด แมน่ ้ำ [๗๘]
ส่วนในชนั้ ท่ีอยู่อำศัยของคนก่อนประวตั ิศำสตร์สมยั หลงั ของถ้ำ ผแี มนซง่ึ กำหนดอำยุไดร้ ะหว่ำง ๖,๐๐๐ – ๙,๐๐๐ ปีมำแล้วนนั้ ได้พบช้นิ สว่ น ของเมล็ดพืชจำพวกพริกไทย น้ำเต้ำ ถัว่ และผกั บำงชนิด หลักฐำนทำง โบรำณคดปี ระเภทน้ีก่อให้เกดิ ข้อสนั นิษฐำนว่ำคนสมยั ก่อนประวตั ิศำสตรใ์ น ประเทศไทยอำจจะเรมิ่ ทดลองนำพชื บำงชนิดมำปลูกและควบคุมดูแลตงั้ แต่ ระยะเวลำดงั กล่ำวและพฤตกิ รรมน้ีอำจนำไปสูก่ ำรเรมิ่ ตน้ ทำกำรเกษตรกรรม ในดนิ แดนประเทศไทยในเวลำต่อมำอกี ไม่นำนนกั อยำ่ งไรกต็ ำมขอ้ สนั นิษฐำน น้ียงั ไมพ่ บหลกั ฐำนเพมิ่ เตมิ มำสนบั สนุนในขณะน้ี ภำพท่ี ๓ หลมุ ขดุ คน้ แหล่งโบรำณคดถี ้ำผี (ทม่ี ำ: Charles Higham, Early Mainland Southeast Asia : from the first humans to Angkor, p. 55) แหล่งโบราณคดีโนนนกทา แหล่งโบรำณคดีโนนนกทำ เป็ นเนินดินในเขตบ้ำนนำดี อำเภอ ภูเวยี ง จงั หวดั ขอนแก่น กำรขุดคน้ แหล่งโบรำณคดนี ้ีได้ทำมำแล้ว ๒ ครงั้ คอื ใน พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นครงั้ แรก และใน พ.ศ. ๒๕๑๑ เป็นครงั้ ทส่ี อง [๗๙]
ดร. ดอนน์ เบเยริ ด์ (Bayard 1977) กล่ำวว่ำกำรขุดคน้ ท่โี นนนกทำ ครงั้ แรกนั้นครอบคลุมพ้ืนท่ี ๑๕๐ ตำรำงเมตร ส่วนกำรขุดค้นครงั้ ท่ี ๒ ครอบคลุมพ้ืนท่ี ๑๙๐ ตำรำงเมตร เท่ำกับว่ำพ้ืนท่ีขุดค้นนัน้ มีเพียง ๓.๒ เปอรเ์ ซ็นต์ของพน้ื ท่แี หล่งซ่งึ มขี นำดรำว ๑๐,๖๓๐ ตำรำงเมตร แม้ว่ำจะเป็น กำรปฏิบตั ิงำนในพ้นื ท่เี ลก็ น้อยของแหล่งแต่ก็ไดพ้ บหลุมฝังศพคนไม่ต่ำกว่ำ ๒๐๕ หลมุ และพบภำชนะดนิ เผำทงั้ ทส่ี มบูรณ์และเกอื บสมบรู ณ์รวม ๘๐๐ ใบ ภำพท่ี ๔ หลมุ ขดุ คน้ ทำงโบรำณคดที โ่ี นนนกทำ จงั หวดั ขอนแกน่ ลักษณะชัน้ หลักฐำนทำงโบรำณคดีของโนนนกทำนัน้ มีควำม ซับซ้อนเน่ืองจำกกำรรบกวน แต่ผู้ขุดค้นก็สำมำรถใช้ลักษณะของภำชนะ ดนิ เผำและรูปแบบของกำรฝังศพเป็นเคร่อื งแบ่งลำดบั อำยุสมยั ของวฒั นธรรม สมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรท์ ่แี หล่งน้ีออกไดเ้ ป็น ๓ สมยั ใหญ่ๆ คอื สมยั ตน้ (Early Period) ส มั ย ก ล ำ ง (Middle Period) แ ล ะ ส มั ย ป ล ำ ย (Late Period) รำยละเอยี ดของวฒั นธรรมแตล่ ะสมยั ของแหลง่ โนนนกทำมดี งั น้ี [๘๐]
สมยั ต้น (Early Period) มอี ำยรุ ะหวำ่ ง ๕,๕๐๐ – ๔,๕๐๐ ปีมำแล้ว แบ่งออกไดเ้ ป็น ๓ ระยะยอ่ ยตำมลกั ษณะของรูปแบบกำรฝังศพ กำรใช้แกลบ ขำ้ วผสมในเน้ือดนิ ท่ใี ชท้ ำภำชนะดนิ เผำสมยั ต้น แสดงนยั วำ่ คนในสมยั เรม่ิ แรก ของโนนนกทำไดท้ ำกำรเพำะปลูกขำ้ วแล้ว นอกจำกน้ียงั น่ำจะมกี ำรเลย้ี งสตั ว์ บำงชนิด คือ ววั สุนัข และหมู อย่ำงไรก็ตำมชุมชนแรกเรมิ่ ของโนนนกทำ กย็ งั คงทำกำรล่ำสตั วป์ ่ำอยดู่ งั ไดพ้ บกระดูกกวำงและกระดกู สตั วป์ ่ำหลำยชนิด ภำชนะดนิ เผำของสมยั ต้นน้ีมหี ลำยแบบดว้ ยกนั สว่ นใหญ่เป็นภำชนะก้นกลม ตกแต่งดว้ ยลำยเชอื กทำบ นอกจำกน้ีก็มีภำชนะตกแต่งด้วยลำยขีดลักษณะวิจิตรซับซ้อน ขวำนหนิ ขดั เป็นเคร่อื งมอื ทย่ี งั มกี ำรใช้อยู่แต่กไ็ ดพ้ บเศษสำรดิ เลก็ น้อย และได้ พบหวั ขวำนโลหะซ่งึ อำจเป็นสำรดิ ๑ ช้นิ ในหลุมฝังศพหลุมหน่ึงของระยะท่ี ๓ ของสมยั ตน้ (Bayard 1977 : 63) สมัยกลาง (Middle Period) มีอำยุระหว่ำง ๔,๕๐๐ – ๑,๘๐๐ ปีมำแลว้ แบ่งออกไดเ้ ป็น ๘ ระยะย่อย และจดั เป็นสมยั ท่ปี รำกฏกำรใช้สำรดิ แล้วอย่ำงแพร่หลำย มภี ำชนะดนิ เผำแบบใหม่ๆ ปรำกฏเพ่ิมข้นึ เบ้ำหลอม โลหะและแม่พิมพ์หินทรำยท่ีพบแสดงให้เห็นว่ำมีกำรหล่อสำริดข้ึนเองท่ี โนนนกทำ แม้ว่ำลักษณะกำรดำรงชีวิตส่วนใหญ่ของสมัยกลำงจะยงั คง คล้ำยคลงึ กบั สมยั แรก แต่วตั ถุพเิ ศษท่พี บในหลุมฝังศพก็แสดงว่ำเร่ิมปรำกฏ ควำมแตกต่ำงของสมำชิกในสังคมแล้วค่อนข้ำงชัดเจน ทั้งน้ี อำจมี ควำมสมั พนั ธก์ บั กำรตดิ ต่อแลกเปลย่ี นทเ่ี พมิ่ มำกขน้ึ กเ็ ป็นได้ สมยั ปลาย (Late Period) มีอำยุคลุมตงั้ แต่รำว ๑,๐๐๐ ปีมำแล้ว เป็ นต้นมำ เริม่ ข้ึนหลงั จำกถูกท้ิงร้ำงไปชัว่ ระยะหน่ึง และแบ่งออกได้เป็ น ๖ สมยั ย่อย ในสมยั ปลำยของโนนนกทำน้ีมีกำรใช้เหลก็ ทำเคร่อื งมอื ใช้สอย และนิยมประเพณีกำรเผำศพแลว้ กำรกำหนดอำยุของลำดบั วฒั นธรรมสมยั ตำ่ งๆ ของแหล่งโบรำณคดี โนนนกทำนัน้ ยงั เป็ นปัญหำท่ีมีกำรถกเถียงกันอยู่ อย่ำงไรก็ตำมผู้ขุดค้น (Bayard 1977 : 64) เหน็ ว่ำมคี วำมเป็นไปได้มำกว่ำสมยั ต้นมอี ำยุอยู่ระหว่ำง [๘๑]
๓,๕๐๐ – ๒,๕๐๐ ปีก่อนครสิ ตกำล หรอื ประมำณ ๕,๕๐๐ – ๔,๕๐๐ ปีมำแลว้ สมยั กลำงมอี ำยุระหว่ำง ๒,๕๐๐ ปีก่อนครสิ ตกำล – ครสิ ต์ศกั รำช ๒๐๐ หรอื ประมำณ ๔,๕๐๐ – ๑,๗๐๐ ปี มำแล้ว และสมัยปลำยมีอำยุตัง้ แต่รำว ครสิ ตศ์ กั รำช ๑,๐๐๐ ลงมำ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง บ้ำนเชียง เป็ นหมู่บ้ำนแห่งหน่ึงในเขตอำเภอหนองหำน จงั หวดั อุดรธำนี นักโบรำณคดไี ดท้ ำกำรขุดค้นท่บี ้ำนเชยี งแล้วหลำยครงั้ ดว้ ยกนั และ ได้พบร่องรอยของหมู่บ้ำนเกษตรกรรมสมยั ก่อนประวตั ิศำสตร์ท่ีมีผู้คนอยู่ อำศยั หลำยสมยั ครอบคลมุ ระยะเวลำรวมนบั พนั ๆ ปี มีข้ อ มู ล ว่ ำ ร ำ ษ ฎ ร ช ำ ว บ้ ำ น เชีย ง บ ำ ง ท่ ำ น ไ ด้เร่ิม ให้ ค ว ำ ม ส น ใ จ เศษภำชนะดนิ เผำท่ีมกี ำรตกแต่งดว้ ยกำรเขยี นเป็นลำยสแี ดงซ่งึ มกั พบเสมอ เวลำขุดดนิ ในหมู่บ้ำนมำตงั้ แต่ประมำณ พ.ศ. ๒๕๐๐ จงึ มกี ำรเก็บรวบรวมไว้ และมีกำรนำไปมอบให้นำยพรมมี ศรสี ุนำครวั ครูใหญ่โรงเรียนบ้ำนเชียง (ประชำเชียงเชิด) เกบ็ รกั ษำและจดั แสดงให้คนชมท่ีโรงเรยี น อย่ำงไรก็ตำม ในช่วงเวลำน้ีเร่อื งรำวทำงโบรำณคดีของบ้ำนเชียงก็ยงั ไม่เป็นท่ีสนใจของ คนทวั ่ ไป ต่อมำใน พ.ศ. ๒๕๐๓ นำยเจรญิ พลเตชำ หวั หน้ำหน่วยศลิ ปำกร ท่ี ๗ ได้ไปสำรวจท่ีบ้ำนเชียงและได้รบั มอบโบรำณวตั ถุส่วนหน่ึงมำจำก อำจำรยพ์ รมมี ศรสี นุ ำครวั แต่เน่ืองจำกในช่วงเวลำนนั้ เร่อื งรำวทำงโบรำณคดี สมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตร์ในประเทศไทยยงั ไม่เป็นท่เี ขำ้ ใจและยงั ไม่เป็นท่สี นใจ กนั นกั จงึ มไิ ดม้ กี ำรคน้ ควำ้ ทำงโบรำณคดใี ดๆ เกดิ ขน้ึ จนกระทัง่ ใน พ.ศ. ๒๕๐๙ นำยสตีเฟน ยัง (Stephen Young) นักศึกษำวิชำสังคมศำสตร์จำกมหำวิทยำลัยฮำวำร์ด ซ่ึงเป็ นบุตรของ เอกอคั รรำชทูตสหรฐั อเมรกิ ำประจำประเทศไทยในขณะนัน้ ได้เดินทำงมำ ศกึ ษำเร่อื งรำวของหมู่บ้ำนและรำษฎรชำวบ้ำนเชยี ง เขำจงึ ไดม้ โี อกำสพบเหน็ เศษภำชนะดนิ เผำสมยั โบรำณกระจำยเกล่อื นอยู่ทวั ่ ไปตำมผิวดนิ ของหมบู่ ำ้ น [๘๒]
และได้เก็บตัวอย่ำงไปมอบให้ศำสตรำจำรย์ชิน อยู่ดี ผู้เช่ียวชำญด้ำน โบรำณคดสี มยั ก่อนประวตั ศิ ำสตร์ ประจำกองโบรำณคดี กรมศลิ ปำกรในสมยั นัน้ ศำสตรำจำรย์ชินได้ลงควำมเห็นว่ำ เป็ นเศษภำชนะดินเผำสมัยก่อน ประวตั ศิ ำสตรย์ คุ โลหะ ในปีถดั มำ คอื พ.ศ. ๒๕๑๐ กองโบรำณคดี กรมศลิ ปำกร โดยนำย วทิ ยำ อนิ ทโกศยั จงึ ดำเนินกำรขุดค้นทำงโบรำณคดีครงั้ แรกขน้ึ ท่บี ้ำนเชียง และได้พบหลกั ฐำนทำงโบรำณคดีประเภทต่ำงๆ จำนวนมำกมำย มที งั้ โครง กระดูกคน ภำชนะดนิ เผำทงั้ ชนิดลำยเขยี นสแี ดงและลำยอ่นื ๆ โบรำณวตั ถุท่ี ทำดว้ ยหนิ โบรำณวตั ถทุ ท่ี ำดว้ ยสำรดิ และโบรำณวตั ถทุ ท่ี ำดว้ ยเหลก็ ฯลฯ ภำชนะดนิ เผำลำยเขยี นสแี ดงท่ไี ดม้ ำจำกกำรขุดคน้ ท่ีบ้ำนเชียงนัน้ จดั เป็นโบรำณวตั ถุลกั ษณะเด่นมำกในช่วงเวลำนัน้ เพรำะเพ่ิงมกี ำรพบเป็น ครงั้ แรกในประเทศไทย จึงเป็ นวตั ถุท่ีได้รบั ควำมสนใจมำก ตวั อย่ำงเศษ ภำชนะดนิ เผำลำยเขยี นสแี ดงจำนวน ๓ ช้ินถูกส่งไปหำอำยุด้วยวธิ เี ทอร์โม ลูมเิ นสเซนส์ ท่ีมหำวทิ ยำลยั เพนซลิ เวเนีย ประเทศสหรฐั อเมรกิ ำ ซ่งึ ในเวลำ ต่อมำไดม้ รี ำยงำนผลกำรตรวจหำอำยุครงั้ น้ีว่ำเศษภำชนะดนิ เผำลำยเขยี นสี ของบ้ำนเชียงมอี ำยุระหวำ่ ง ๗,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ ปีมำแล้ว นอกจำกน้ี ตวั อย่ำง เศษภำชนะดนิ เผำทส่ี ง่ ไปหำอำยทุ ม่ี หำวทิ ยำลยั นำรำ ประเทศญ่ปี ่นุ กไ็ ดร้ บั ผล วำ่ มอี ำยรุ ำว ๖,๔๐๐ ปีมำแลว้ อนึ่ง การค้นคว้าและการวิเคราะห์เพ่ิมเติมในเวลาต่อมา ทาให้ ทราบว่าผลการหาอายุภาชนะดินเผาลายเขียนสีตามท่ีกล่าวข้างต้นนัน้ ไม่ถูกต้อง ตามความเป็ นจริงแล้วภาชนะดินเผาลายเขียนสีแดงที่ บ้านเชียงนัน้ มิได้มีอายเุ ก่าถึงราว ๗,๐๐๐ ปี มาแล้ว แต่มีอายุเพียงราว ๒,๓๐๐ – ๑,๘๐๐ ปี มาแล้วเท่านัน้ จำกกำรท่ีผลกำรหำอำยุในช่วงระยะเวลำนัน้ ระบุว่ำภำชนะดนิ เผำ ลำยเขยี นสขี องแหล่งโบรำณคดบี ำ้ นเชยี งมรี ำว ๗,๐๐๐ ปีมำแล้ว ทำใหเ้ กิดมี ควำมสนใจภำชนะดินเผำชนิดน้ีกนั อย่ำงมำก นักสะสมของเก่ำจำนวนมำก ทัง้ ท่ีเป็ นชำวไทยและชำวต่ำงประเทศ มีควำมต้องกำรโบรำณวัตถุจำก [๘๓]
บ้ำนเชียง ปรำกฏกำรณ์ท่เี กิดตำมมำก็คอื ควำมพยำยำมค้นหำหมู่บ้ำนอ่นื ๆ ท่เี ป็นแหล่งโบรำณคดแี ละกำรลกั ลอบขุดหำโบรำณวตั ถุกนั อย่ำงมำกมำยท่ี แหล่งโบรำณคดีบ้ำนเชียงและท่ีแหล่งโบรำณคดีอ่ืนๆ อีกนับร้อยแห่งใน ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โบรำณวตั ถุนำนำชนิดโดยเฉพำะ ภำชนะดนิ เผำและเคร่อื งสำรดิ ถูกรำษฎรทร่ี เู้ ท่ำไม่ถงึ กำรณ์ขุดขน้ึ มำขำยใหแ้ ก่ นกั สะสมของโบรำณและพอ่ คำ้ โบรำณวตั ถุ ภำพท่ี ๕ ภำชนะดนิ เผำเขยี นลำยสแี ดงบนพน้ื สนี วล พบทแ่ี หล่งโบรำณคดบี ำ้ นเชยี ง จงั หวดั อุดรธำนี ใน พ.ศ. ๒๕๑๕ กองโบรำณคดี กรมศลิ ปำกร โดยนำยพจน์ เกอ้ื กูล และนำยนิคม สุทธิรกั ษ์ ได้ดำเนินกำรขุดค้นทำงโบรำณคดีท่ีบ้ำนเชียงอีก ครงั้ หน่ึง โดยทำกำรขุดค้นท่ีบรเิ วณวดั โพธิศ์ รีในและบริเวณบ้ำนนำยพจน์ มนตรีพิทักษ์ ทัง้ น้ีพ้ืนท่ีขุดค้นในวดั โพธิศ์ รีในนัน้ ได้รบั กำรปรบั ปรุงเป็ น พพิ ธิ ภณั ฑก์ ลำงแจง้ ซง่ึ เปิดใหป้ ระชำชนเขำ้ ไปศกึ ษำอยตู่ ลอดมำจนถงึ ปัจจบุ นั [๘๔]
ทงั้ น้ี พระบำทสมเดจ็ พระเจำ้ อยู่หวั ภูมพิ ลอดุลยเดชและสมเดจ็ พระนำงเจ้ำฯ พระบรมรำชินีนำถ ได้เสดจ็ พระรำชดำเนินไปทอดพระเนตรกำรขุดคน้ ทบ่ี ้ำน เชยี งครงั้ น้ี เมอ่ื วนั ท่ี ๒๐ มนี ำคม ๒๕๑๕ เน่ืองจำกในช่วงระยะเวลำระหว่ำง พ.ศ. ๒๕๑๒ – ๒๕๑๕ น้ี กำรลกั ลอบขุดหำโบรำณวตั ถุเพ่อื ขำยใหแ้ ก่นักสะสมโบรำณวตั ถุส่วนบุคคล และขำยแก่พ่อคำ้ โบรำณวตั ถเุ กดิ ขน้ึ อยำ่ งแพรห่ ลำยมำก รฐั บำลคณะปฏวิ ตั ใิ น เวลำนัน้ จึงได้ออกประกำศคณะปฏิวตั ิฉบบั ท่ี ๑๘๙ ลงวนั ท่ี ๒๓ กรกฎำคม ๒๕๑๕ เพ่ือห้ำมขุดและลักลอบขุดแหล่งโบรำณคดี ในเขต ๙ ตำบลของ ๒ จัง ห วัด คื อ ต ำบ ล บ้ ำน เชี ย ง ต ำบ ล บ้ ำน ธ ำตุ ต ำบ ล ศ รีสุ ท โธ ตำบลบำ้ นชยั ตำบลออ้ มกอ ของจงั หวดั อุดรธำนี และตำบลม่วงไข่ ตำบลแวง และตำบลพนั นำ ของจงั หวดั สกลนคร กำรขุดค้นทำงโบรำณ คดีท่ีบ้ำนเชียงโดยนักโบรำณ คดีขอ งกอง โบรำณคดกี รมศิลปำกรทงั้ สองครงั้ นัน้ ได้พบโบรำณวตั ถุและหลกั ฐำนทำง โบรำณคดปี ระเภทต่ำงๆ เป็นจำนวนมำก ทงั้ น้ีมที งั้ เคร่อื งมอื ทท่ี ำดว้ ยหนิ และ ทำด้วยสำริด ศำสตรำจำรย์ชิน อยู่ดี (๒๕๑๕) ได้พิจำรณำหลักฐำนทำง โบรำณคดที พ่ี บในกำรขดุ คน้ ท่บี ำ้ นเชยี งและสรปุ ควำมเหน็ ไวใ้ นช่วงเวลำนนั้ ว่ำ หลกั ฐำนท่พี บเหล่ำนนั้ เป็นรอ่ งรอยของผคู้ นสมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรท์ ่สี ำมำรถ แบง่ ออกไดเ้ ป็น ๓ สมยั คอื สมยั หนิ ใหม่ สมยั สำรดิ และสมยั เหลก็ ในบรรดำหลกั ฐำนทำงโบรำณคดปี ระเภทตำ่ งๆ ท่พี บท่บี ำ้ นเชยี งนนั้ มบี ำงประเภททก่ี ระตุน้ ควำมสนใจของนักวชิ ำกำรโบรำณคดตี ่ำงประเทศเป็น อยำ่ งมำก หลกั ฐำนเหล่ำนนั้ คอื รอ่ งรอยของเมลด็ ขำ้ วและเคร่อื งสำรดิ ซง่ึ ขอ้ มลู เท่ำทท่ี ีอยใู่ นขณะนนั้ แมจ้ ะไม่คอ่ ยสมบูรณ์นัก แต่กบ็ ่งชว้ี ่ำขำ้ วและโลหะสำรดิ อำจปรำกฏข้ึนในประเทศไทยตัง้ แต่ระยะเวลำมำกกว่ำ ๒,๕๐๐ ปี มำแล้ว จงึ นับเป็นหลกั ฐำนท่ีสำมำรถจะใช้คดั ค้ำนกบั ควำมเหน็ เดิมท่ีกล่ำวกนั ไวว้ ่ำ ผู้คนในดินแดนเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้อันรวมถึงพ้ืนท่ีของประเทศไทย ดว้ ยนนั้ เรม่ิ ทำกำรเพำะปลกู ขำ้ วและเรม่ิ ใชโ้ ลหะทงั้ สำรดิ และเหลก็ พรอ้ มๆ กนั [๘๕]
เม่ือรำว ๒,๕๐๐ ปี มำแล้วน้ีเอง ผลกำรค้นคว้ำในเวลำต่อๆ มำก็ได้ยืนยัน ชดั เจนวำ่ ควำมเหน็ เดมิ นนั้ ไมถ่ ูกตอ้ ง ต่อมำในระหว่ำง พ.ศ. ๒๕๑๗ – ๒๕๑๘ กรมศิลปำกรและ พิพิธภัณ ฑ์ มหำวิท ยำลัย ของมหำวิท ยำลัยเพนซิลเวเนี ย ประเท ศ สหรฐั อเมรกิ ำ จึงได้ร่วมมือกนั จดั ทำโครงกำรวิจยั ทำงโบรำณคดี เรียกว่ำ โครงกำรโบรำณคดภี ำคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ทำกำรสำรวจแหลง่ โบรำณคดใี น จัง ห วัด ต่ ำ ง ๆ ข อ ง ภ ำ ค น้ี แ ล ะ ท ำ ก ำ ร ขุ ด ค้ น ท่ี แ ห ล่ ง โบ รำ ณ ค ดี บำงแหล่ง ท่ีสำคญั ได้แก่ แหล่งโบรำณคดีบ้ำนเชียง บ้ำนต้อง บ้ำนผกั ตบ ในจงั หวดั อุดรธำนี และแหลง่ โบรำณคดดี อนกลำง จงั หวดั ขอนแกน่ ภำพท่ี ๖ กำรขดุ คน้ ทแ่ี หล่งโบรำณคดบี ำ้ นเชยี ง โดยควำมรว่ มมอื ระหวำ่ งกรมศลิ ปำกรและพพิ ธิ ภณั ฑม์ หำวทิ ยำลยั ของมหำวทิ ยำลยั เพนซลิ เวเนยี ประเทศสหรฐั อเมรกิ ำ (ทม่ี ำ : http://isaanrecord.com/wp-content/uploads/2016/04/BC3- excavations-at-Ban-Chiang-in-1974-with-Thai-Archaeologist- e1461056559954-1024x576.jpg) [๘๖]
โครงกำรโบรำณคดีภำคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอำจำรย์พิสิฐ เจรญิ วงศ์ เป็นผู้อำนวยกำรโครงกำรฝ่ ำยไทย และมี ดร. เชสเตอร์ กอร์แมน (Chester Gorman) เป็นผอู้ ำนวยกำรฝ่ำยอเมรกิ นั ไดด้ ำเนินกำรขุดคน้ ท่บี ้ำน เชียงอย่ำงละเอยี ดโดยต่อเน่ืองกนั เป็นเวลำ ๒ ปี และเป็นกำรขุดค้นท่จี ดั เป็น กำรวิจัยแบบสหวิทยำกำร (multidisciplinary research) เพรำะได้รวมเอำ นักวิชำกำรจำกหลำยสำขำมำร่วมทำกำรศึกษำด้วย เช่น นักปฐพีวิทยำ นกั พฤกษศำสตร์ นกั สตั วศำสตร์ ฯลฯ นอกจำกน้ียงั มีนักศึกษำโบรำณคดีจำกหลำยประเทศมำฝึกงำน ขุดค้นด้วย เช่น นักศึกษำไทย ลำว กัมพูชำ เวียดนำม ฟิ ลิปปิ นส์ และ สหรฐั อเมรกิ ำ กำรขุดค้นครงั้ น้ีได้พบหลกั ฐำนทำงโบรำณประเภทท่ีสำคญั มำกมำย เร่อื งรำวเก่ยี วกบั วฒั นธรรมสมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรข์ องบ้ำนเชียงท่ี ทรำบกนั ในปัจจบุ นั นนั้ ลว้ นเป็นผลมำจำกกำรศกึ ษำวจิ ยั ของโครงกำรน้ี เดิม ดร. จอยซ์ ซี ไวท์ (Dr. Joyce C. White) ซ่ึงเป็นผู้ดูแลรกั ษำ และศึกษำข้อมูลเก่ียวกับบ้ำนชียงต่อหลังกำรส้ินชีวิตของ ดร. เชสเตอร์ กอรแ์ มน ไดเ้ สนอผลกำรศกึ ษำวำ่ กำรอยู่อำศยั สมยั ก่อนประวตั ศิ ำสตรค์ รงั้ แรก สุดท่ีบ้ำนเชียงนัน้ อำจเริ่มข้ึนเม่ือประมำณ ๕,๖๐๐ ปี มำแล้ว แต่ในการ บรรยายเร่ืองหลกั ฐานทางโบราณคดีของบ้านเชียงเมื่อเดือนมิถนุ ายม ๒๕๔๐ ดร. จอยซ์ ไวท์ ได้เสนอข้อมูลใหม่เกี่ยวกบั ผลการกาหนดอายุ อินทรียวตั ถทุ ่ีผสมอยู่ในภาชนะดินเผาสมยั แรกสุดของบ้านเชียงว่ามี อายุประมาณ ๔,๓๐๐ ปี มาแล้ว จึงนาไปสู่การเกิดข้อคิดเหน็ ใหม่ขึ้นมา ว่าการอยู่อาศัยสมัยก่อนประวตั ิ ศาสตร์ครงั้ แรกสุดท่ีบ้านเชียงนั้น อาจเกิดขึ้นเมื่อราว ๔,๓๐๐ ปี มาแล้ว ส่วนสมยั ก่อนประวตั ิศาสตรร์ ะยะ สุดท้ายท่ีบ้านเชียงมีอายุระหว่าง ๒,๓๐๐ – ๑,๘๐๐ ปี มาแล้ว อย่างไร กต็ าม เรื่องอายุสมยั ของการอยู่อาศยั แรกเริ่มที่บ้านเชียงนี้ยงั คงมีการ ถกเถียงกนั อยู่ ยงั ไม่เป็นท่ียตุ ิ [๘๗]
ภำพท่ี ๗ โครงกระดกู มนุษยพ์ บทแ่ี หลง่ โบรำณคดบี ำ้ นเชยี ง [๘๘]
ในขณ ะน้ี อำจกล่ำวอย่ำงกว้ำงๆ ได้ว่ำวัฒ นธรรมสมัยก่อน ประวตั ศิ ำสตรท์ บ่ี ำ้ นเชยี ง สำมำรถแบ่งออกไดเ้ ป็น ๓ ระยะใหญ่คอื ก. สมัยต้น (Early Period) อำจมีอำยุระหว่ำง ๔,๓๐๐ – ๓,๐๐๐ ปีมำแลว้ เป็นอยำ่ งน้อย ในช่วงสมัยต้นน้ี บ้ำนเชียงก็ได้เร่ิมเป็ นหมู่บ้ำนเกษตรกรรม ประชำกรมอี ำชีพหลกั คือกำรเพำะปลูกข้ำวและกำรเล้ยี งสตั ว์ (อย่ำงน้อยก็มี ววั และหม)ู ประเพณีกำรฝังศพของคนในสมยั น้ีมอี ยำ่ งน้อย ๓ แบบ คอื - วำงศพในลกั ษณะนอนงอเขำ่ - วำงศพในลกั ษณะนอนหงำยเหยยี ดยำว - บรรจุศพลงในภำชนะดนิ เผำขนำดใหญ่ก่อนแลว้ จงึ นำไปฝัง กำรฝัง ศพแบบน้ีใชก้ บั ศพเดก็ เทำ่ นนั้ ในกำรฝังศพของคนสมยั ก่อนประวตั ิศำสตรร์ ุ่นแรกท่ีบ้ำนเชียงนัน้ ส่วนใหญ่ มีกำรบรรจุภำชนะดินเผำลงไปในหลุมฝั งศพและมีกำรใช้ เครอ่ื งประดบั รำ่ งกำยตกแตง่ ใหผ้ ตู้ ำยดว้ ย ภำชนะดนิ เผำท่ฝี ังอยู่ในหลุมฝังศพของบ้ำนเชยี งสมยั ต้นนัน้ อำจมี กำรเปลย่ี นแปลงประเภทไปตำมชว่ งเวลำต่ำงๆ ดว้ ย ดงั น้ี - ในระยะแรกๆ ของสมยั ตน้ มภี ำชนะดนิ เผำประเภทเดน่ คอื ภำชนะ ดนิ เผำสดี ำ - เทำเขม้ มเี ชงิ หรอื ฐำนเตย้ี ๆ ลำตวั ภำชนะครง่ึ บน มกั ตกแต่งดว้ ย ลำยขดี เป็นเสน้ คดโคง้ แล้วตกแตง่ เพมิ่ ดว้ ยลวดลำยกดประทบั เป็นจุดหรอื เป็น เส้นสนั้ ๆ เติมในพ้นื ท่ีระหว่ำงลำยเส้นคดโคง้ ส่วนครง่ึ ล่ำงของตวั ภำชนะมกั ตกแต่งด้วยลำยเชือกทำบซ่ึงหมำยถึงลวดลำยท่ีเกิดจำกกำรกดประทบั ผิว ภำชนะดนิ เผำดว้ ยเสน้ เชอื กนนั ่ เอง [๘๙]
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372