และ มหาสมุทร และผลประโยชนข์ องชาติทางทะเล
สารบัญ บทที่ 1 : 2 6 ลักษณะภูมิศาสตรท์ างทะเล 10 • ลักษณะภมู ศิ าสตรท์ างทะเลของโลก 16 • ลักษณะภูมศิ าสตรท์ างทะเลของภมู ิภาคเอเชยี 20 • ลักษณะภมู ศิ าสตรท์ างทะเลของไทย 21 บทที่ 2 : เขตทางทะเล • ลักษณะเขตทางทะเล • ขอบเขตทางทะเลของไทย • อ�ำนาจอธปิ ไตย สทิ ธอิ ธปิ ไตย และเขตอ�ำนาจ ในเขตทางทะเลต่าง ๆ ของไทย
บทที่ 3 : 32 53 ประโยชน์จากทะเล 54 • กิจกรรมการใช้ประโยชน์ทางทะเล 65 • มูลค่าการใช้ประโยชน์จากทะเลของไทย 100 • ผลกระทบทเี่ กิดขนึ้ จากทะเล 104 110 บทที่ 4 : 128 กฎหมายและหน่วยงานทางทะเล 130 • กฎหมายทะเลระหว่างประเทศ • กฎหมายไทยท่ีเกี่ยวกับทะเล • องค์กรและหน่วยงานรบั ผิดชอบในการรกั ษา ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล • ความรว่ มมือระหว่างประเทศ บทที่ 5 : ทะเลต้องปกป้อง : หน้าทีข่ องคนไทย • การปกป้องดแู ลและใชป้ ระโยชน์จากทะเล • หน้าทใ่ี นการเปน็ เจ้าของทะเล
บทที่ 1 ลกั ษณะภมู ศิ าสตร์ ทางทะเล
2 ลกั ษณะพน้ื ทท่ี างทะเลและมหาสมทุ ร จะอยรู่ ะหวา่ งทวปี ตา่ ง ๆ ทเ่ี ปน็ แผน่ ดนิ ลกั ษณะภมู ศิ าสตร์ ซึ่งมนุษย์เราอยู่อาศัยกัน ในขณะ ทางทะเลของโลก เดียวกันก็หมายความว่า โลกเรามี มหาสมทุ รลอ้ มรอบทวปี ตา่ ง ๆ ไวด้ ว้ ย โลกทเี่ ราอาศยั อยนู่ ้ี มขี นาดกวา้ งใหญ่ เชน่ กนั ทงั้ น้ี ในสว่ นทอ่ี ยขู่ อบ ๆ ของ ประกอบด้วยแผน่ ดิน หรอื ที่เรยี กว่า “ทวีป” มหาสมุทรเรียกว่าทะเล บางส่วน และแผน่ น้ำ� หรอื ทเ่ี รยี กวา่ ทะเลหรอื มหาสมทุ ร เรยี กวา่ อ่าว (บางทเี ราใชค้ �ำวา่ ทะเล หากย้อนอดีตไปกว่า 4 พันล้านปีที่ผ่านมา แต่หมายถึงมหาสมทุ รก็มี) โลกเปน็ เพยี งกอ้ นหนิ หลอมเหลว รอ้ น และใหญ่ มีการปะทุของภูเขาไฟจ�ำนวนมาก และ ความลกึ เปน็ เมตร การระเบิดของดาวหางและอุ กกาบาต การระเบดิ ดงั กลา่ วนำ� ไปสกู่ ารผสมธาตตุ า่ ง ๆ 0 ในโลกและจากอวกาศ ก๊าซเหล่าน้ี ได้แก่ ออกซิเจน และไฮโดรเจน ซงึ่ ทำ� ให้น้�ำบนโลก 200 เพิ่มขึ้น ในช่วงแรกผิวโลกอยู่ในรูปของก๊าซ จนพนื้ ผวิ ของโลกเยน็ ตัวลงทอ่ี ุณหภมู ติ ่�ำกวา่ 4,000 100 องศาเซลเซียส ในเวลาน้ันเป็นเวลา 5,000 3.8 พนั ลา้ นปที ผ่ี า่ นมา น้ำ� ไดค้ วบแนน่ เปน็ ฝน และตกลงบนพ้นื ดิน น้�ำทส่ี ะสมในบรเิ วณทมี่ ี 10,000 ร่องลกึ ทร่ี าบลมุ่ คอ่ ย ๆ กลายเปน็ มหาสมทุ ร ซง่ึ เรยี กวา่ บาดาล มหาสมทุ รดงั้ เดมิ และเปน็ เวลาอกี นบั พนั ลา้ นปี น้ำ� ทสี่ ะสมแลว้ เออ่ ลน้ มากขึน้ จนก่อตัวขึ้นเปน็ มหาสมทุ รทขี่ ยายพน้ื ทอี่ อกไปอยา่ งกวา้ งขวาง เกือบ 3 ใน 4 ของพืน้ ผิวโลก พื้นผิวท่ีเป็นน้�ำ หรือเรียกว่า ทะเล และมหาสมทุ รนน้ั นบั เปน็ สว่ นของเปลอื กโลก ทมี่ ลี ักษณะคล้ายกับแอ่งและมนี ้�ำปกคลมุ อยู่ มเี น้ือที่ประมาณ รอ้ ยละ 71 ของเปลือกโลก ทั้งหมด ทั้งน้ี แผ่นพื้นน้�ำที่เป็นมหาสมุทรน้ี เป็นพื้นที่ท่ีเช่ือมต่อกันของน่านน้�ำต่าง ๆ ของโลก ประกอบด้วยผิวน้�ำขนาดใหญ่ ซ่ึ ง ค ร อ บ ค ลุ ม พ้ื น ท่ี ผิ ว โ ล ก ป ร ะ ม า ณ 361,132,000 ตารางกโิ ลเมตร (139,434,000 ตารางไมล)์ นบั เปน็ ปรมิ าตรน้ำ� รวม ประมาณ 1,332,000,000 ลกู บาศก์กิโลเมตร (320,000,000 ลกู บาศก์ไมล์)
3 ผิวหน้าของทะเลและมหาสมุทร จะเป็นระดับน้�ำทะเลซึ่งไม่ได้ แบนราบเหมือนแผน่ กระดาษ แต่จะโค้งนูนออกมา เหมอื นเป็นส่วนหน่ึง ของเปลือกโลก ระดับน้�ำทะเลและมหาสมุทรจะไม่คงที่ แต่จะมี การเปลย่ี นแปลงไปได้ เพราะน้ำ� เปน็ ของเหลวสามารถเปลย่ี นรปู ทรงไดง้ า่ ย โดยท่กี ารเปล่ียนแปลงของระดับน้�ำทะเล จะเปน็ การเปล่ียนเพียงชั่วครง้ั ช่ัวคราว ซึง่ อาจจะเกิดขึ้นเพราะมีน้�ำข้นึ น้�ำลง หรอื มฝี นตกมากผิดปกติ หรอื มีลมพัดมาเหนือน้�ำทะเล และจะท้งิ รอ่ งรอยของการเปลี่ยนแปลงให้ สงั เกตได้ตามขอบชายฝ่ งั ทง้ั น้ี ความลกึ โดยเฉลยี่ ของมหาสมทุ รประมาณ 3.7 กิโลเมตร (12,450 ฟุต หรือ 2.36 ไมล์) โดยด้านตะวันตกของ มหาสมทุ รแปซฟิ กิ ถอื กนั วา่ เปน็ ตอนทล่ี กึ ทสี่ ดุ ของทะเลและมหาสมทุ รทงั้ หมด ท่ีมีชือ่ เรยี กวา่ รอ่ งลึกบาดาลมาเรยี น่า (Mariana Trench) มีความลึกถึง 10.692 กิโลเมตร (35,640 ฟุต หรอื 6.75 ไมล์) แผน่ ดนิ ไหลท่ วีป ลาดทวีป พน้ื ท้อง มหาสมทุ ร ลาดทวีป
4 ผนื น้ำ� ของโลกเปน็ พนื้ แผน่ ตอ่ เนอ่ื งกนั โดยมกี ารเคลอ่ื นทขี่ องน้ำ� ไปรอบ ๆ โลก ทง้ั น้ี ผนื น้ำ� ของโลกแบง่ ออกเปน็ 5 มหาสมทุ ร ดงั น้ี 1. มหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific Ocean) เปน็ มหาสมทุ รทใ่ี หญท่ ส่ี ดุ คลมุ พนื้ ทจี่ ากมหาสมทุ รใต้ ส่มู หาสมุทรอารค์ ติก มหาสมุทรแปซิฟิกเปน็ พน้ื ท่ีเช่อื มต่อ ระหว่างออสเตรเลีย เอเชีย และอเมรกิ า โดยมหาสมุทร แปซฟิ กิ มาบรรจบมหาสมทุ รแอตแลนตกิ ณ บรเิ วณตอนใต้ ของทวปี อเมรกิ าใต้ที่แหลมฮอรน์ (Cape Horn) 2. (มAหtาlaสnมtทุicรOแอcตeaแลn)นตกิ มหาสมุทรแปซิฟกิ เปน็ มหาสมทุ รทใี่ หญเ่ ปน็ อนั ดบั สอง เปน็ มหาสมทุ รทมี่ พี นื้ ทตี่ อ่ จาก มหาสมทุ รใต้ โดยตงั้ อยรู่ ะหวา่ งทวปี อเมรกิ า แอฟรกิ า และยโุ รป ดา้ นเหนอื ตดิ กบั มหาสมทุ รอารก์ ตกิ มหาสมทุ รแอตแลนตกิ ประชดิ กบั มหาสมทุ รอนิ เดยี บรเิ วณตอนใต้ของทวีปแอฟรกิ าทแี่ หลมอะกะลัส (Cape Agulhas) 3. มหาสมทุ รอนิ เดยี (Indian Ocean) เปน็ มหาสมทุ รทใ่ี หญเ่ ปน็ อนั ดบั สาม ต้งั อยูท่ างเหนือมหาสมทุ รใต้ และขยายพ้นื ท่ขี ึ้นไปจนถึงประเทศอินเดีย คาบสมทุ รอาหรบั และเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยประกบท้ังสองด้านด้วยแอฟรกิ าตะวันตก และ ออสเตรเลยี ทางตะวนั ออก มหาสมทุ รอินเดยี บรรจบกับมหาสมทุ รแปซฟิ กิ ทางทิศตะวนั ออกบรเิ วณใกล้กับออสเตรเลีย
5 มหาสมทุ รอารก์ ตกิ มหาสมุทร แอตแลนตกิ มหาสมุทรใต้ มหาสมุทรอินเดีย 4. ม(SหoาuสtมhุทerรnใตO้ cean) 5. (มAหrาcสtiมcุทOรcอeาaรnก์ )ติก เป็นมหาสมุทรที่ใหญ่เป็น เปน็ มหาสมทุ รทเ่ี ลก็ ทส่ี ดุ ใน 5 มหาสมทุ ร อนั ดับสี่ ตัง้ อยรู่ อบแอนตารก์ ติกา เชอื่ มตอ่ กบั มหาสมทุ รแอตแลนตกิ ใกลเ้ กาะ ซึ่ ง อ ยู่ ใ ต้ ล ะ ติ จู ด ที่ 6 0 อ ง ศ า กรนี แลนด์และไอซ์แลนด์ และเช่ือมต่อกับ มหาสมุทรใต้บางส่วนจะปกคลุม มหาสมทุ รแปซฟิ กิ ทช่ี อ่ งแคบแบรงิ่ มหาสมทุ ร ด้วยน้�ำแข็ง ซึ่งมีขนาดขอบเขต อาร์กติกครอบคลุมท้ังข้ัวโลกเหนือ และ ข อ ง พ้ื น น้� ำ แข็ ง แ ต ก ต่ า ง กั น ไป ด้านตะวันตกประชิดกับทวีปอเมรกิ าเหนือ ตามฤดูกาล ในซีกตะวันออกประชิดสแกนดิเนเวียและ ไซบเี รยี มหาสมทุ รอารก์ ตกิ บางสว่ นจะปกคลมุ ด้วยน้�ำแข็งทะเล ซ่ึงมีขนาดขอบเขตของ พน้ื น้�ำแขง็ แตกต่างกันไปตามฤดูกาล
6 มหาสมทุ รอาร์กติก มหาสมทุ รอินเดยี ทลักางษทณะเะลภขูมอิศงภาสูมติภรา์ คเอเชยี เอเชีย เอเชยี เป็นภูมิภาคหรอื ทวปี ท่ใี หญท่ ส่ี ดุ ครอบคลุมพื้นท่ี 44,579,000 ตาราง กิโลเมตร (17,212,000 ตารางไมล์) ประมาณรอ้ ยละ 30 ของพืน้ ที่ทง้ั หมด ของโลก และคิดเป็นรอ้ ยละ 8.7 ของ พื้นดินผวิ โลกทัง้ หมด ทะเลแดง ประชากร ส่วนใหญ่จะอาศยั อยูใ่ นภาคตะวนั ออกและ ภาคเหนือของทวีป ประชากรรวมกันท้ังเอเชียราว 4.5 พนั ลา้ นคน นบั เปน็ ประชากรประมาณรอ้ ยละ 60 ของโลก และทเ่ี ป็นทต่ี ้ังของอารยธรรมแห่งแรก ๆ ของโลก ทม่ี า: https://upload.wikimedia.org/wikipedia/ ในอดีต ทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป และทวีปแอฟรกิ า commons/3/30/Eurasia_%28orthographic_projec- เป็นผืนแผ่นดินเดียวกันหรอื ทวีปเดียวกัน ต่อมาได้เกิดการ tion%29.svg แยกตัวออกเปน็ ทวีปต่าง ๆ ดังเช่นในปจั จบุ ัน โดยเฉพาะทวปี เอเชียกับทวีปยุโรปนับเป็นผืนแผ่นดินท่ีมีขนาดใหญ่ท่ีสุด ซง่ึ เราเรยี กผนื แผน่ ดนิ นว้ี า่ ยเู รเชยี (Eurasia) มลี กั ษณะแยกออก จากกันอย่างชัดเจนกว่าทวีปอ่ืน ๆ พ้ืนแผ่นดินของทวีปเอเชีย เป็นพ้ืนแผ่นดินท่ีอยู่คงที่ ในขณะท่ีแผ่นดินอ่ืน ๆ เป็นฝ่าย เคล่ือนที่ออกไปอยูใ่ นต�ำแหน่งทต่ี ้ังในปจั จุบนั ในทางบก ทวปี เอเชยี มขี อบเขตทป่ี ระชดิ ทง้ั แผน่ ดนิ ของ ทวปี ยุโรปและทวีปแอฟรกิ า ส่วนลักษณะภูมศิ าสตรท์ างทะเล ของทวีปเอเชียน้ัน มีมหาสมุทร ทะเล และช่องแคบส�ำคัญ ทีล่ ้อมรอบแผน่ ดินของทวปี ได้แก่
7 Nทิศเหนอื ติดต่อกับมหาสมุทรอารก์ ติก ดินแดน ท่ีอยู่เหนือที่สุดของทวีป (ไม่รวมเกาะ) คือ แหลมชิลยูสกิน (Cape Chelyuskin) Eทิศตะวันออก ติดต่อกับมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเล มหาสมุทรแปซฟิ กิ ต่าง ๆ ได้แก่ ทะเลเบรงิ (Bering Sea) ทะเลโอคอตสค์ (Sea of Okhotsk) ทะเลญี่ปุน่ (Sea of Japan) ทะเลเหลือง (Yellow Sea) ทะเลจีนตะวันออก (East China Sea) และทะเลจีนใต้ (South China Sea) Sทิศใต้ ติดต่อกับมหาสมุทรอินเดีย มที ะเลและ น่านน้�ำต่าง ๆ ได้แก่ อ่าวเบงกอล (Bay of Bengal) ทะเลอาหรบั (Arabian Sea) อ่าวเปอร์เซีย (Persian Gulf) และ อ่าวเอเดน (Gulf of Aden) Wทิศตะวันตก ติดต่อกับทะเลแดง (Red Sea) ซึ่งกั้นระหว่างทวีปเอเชียกับทวปี แอฟรกิ า (ทะเล เมดิเตอรเ์ รเนียนเป็นทะเลทก่ี ้ันอยู่ระหวา่ ง 3 ทวปี คือ เอเชยี ยุโรป และแอฟรกิ า) ทะเลอีเจียน (Aegean Sea) และทะเลด�ำ (Black Sea) กั้นระหว่างทวีปเอเชยี กับ ทวปี ยุโรป เทอื กเขาคอเคซัส (Cau - casus Mountains) แม่น้�ำยูรลั (Ural River) เทือกเขายูราล (Ural Mountains) บนชายฝ่ ังมหาสมุทรอารค์ ติกกับทะเลสาบ แคสเปยี น (Caspian Sea) (ทะเลภายในทใ่ี หญท่ สี่ ดุ ของโลก) จากทต่ี ง้ั ของทวปี เอเชยี จะเห็นได้ว่า มีดินแดนเกือบท้ังหมดอยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร ยกเว้นหมู่เกาะ ของประเทศอินโดนีเซยี ทม่ี บี างสว่ นอยู่เหนือเสน้ ศูนย์สตู ร และใต้เส้นศูนย์สูตร
8 ทะเลและมหาสมทุ รของทวปี เอเชียมีความกว้างใหญ่ ประกอบด้วย มหาสมุทรทางทิศตะวันออก คือ มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดียอยู่ทางตอนใต้ ส่วนทางเหนือ เป็นมหาสมุทรอารก์ ติก ในสว่ นทะเลมีอยู่จ�ำนวนมาก ได้แก่ ทะเลแบเรน็ ตส์ (Barents Sea) ทะเลคารา (Kara Sea) ทะเลชุคชี (Chukchi Sea) ทะเลแลปทฟิ (Laptev Sea) ทะเลไซบเี รยี ตะวนั ออก (East Siberian Sea) ทะเล เบรงิ่ (Bering Sea) ทะเลโอคอตสค์ (Sea of Okhotsk) ทะเลเหลือง (Yellow Sea) ทะเลญี่ปุน่ (Sea of Japan) ทะเลจีนตะวันออก (East China Sea) ทะเลจีนใต้ (South China Sea) ทะเลฟิลิปปิน (Philippine Sea) ทะเลเซเลบีส (Celebes Sea) ทะเลบันดา (Banda Sea) ทะเลชวา (Java Sea) ทะเลอันดามัน (Andaman Sea) ทะเลแลกคาดิฟ (Laccadive Sea) ทะเลแดง (Red Sea) ทะเลแกลิลี (Sea of Galilee) ทะเลอาหรบั (Arabian Sea) ทะเลด�ำ (Black Sea) และทะเลแคสเปยี น (Caspian Sea) ทะเลแบเรน็ ตส์ ทะเลคารา ทะเลแลปทิฟ ทะเลไซบีเรียตะวันออก ทะเลชุคชี โอคทอะเตลสค์ ทะเลเบริ่ง ทะเลด�ำ ทะเล ทะเลญีป่ นุ่ ทะเลแกลิลี แคสเปยี น ทะเลเหลอื ง ทะเลแดง ทะเลจีนตะวนั ออก ทะเลอาหรบั ทะเลฟิลปิ ปนิ แลกทคะเาลดฟิ อนั ทดะาเลมนั ทะเลจีนใต้ ทะเลเซเลบสี ช่องแคบมะละกา ทะเลชวา ทะเลบนั ดา ภาพที่ 3 ภมู ิภาคเอเชยี
9 ตำ� แหนง่ ทางภมู ศิ าสตรท์ างทะเล โ ด ย ผ่ า น ท า ง ช่ อ ง แ ค บ ม ะ ล ะ ก า ของทวีปเอเชียท่ีล้ อมรอบแผ่นดิ น และเกาะแก่งของทวีปอยู่น้ัน เอื้อต่อ (The Strait of Malacca) คลองสุเอซ การเป็นแหล่งทำ� มาหากิน แหล่งอาหาร และในยคุ ใหมย่ งั เปน็ แหลง่ พลงั งานอกี ดว้ ย (Suez Canal) โดยมีเมอื งท่าต่าง ๆ ทต่ี ้ังอยู่ ชาวเอเชียใช้ประโยชน์ทางภูมิศาสตร์ ทางทะเลในการเช่ือมโยงวัฒนธรรม ในเสน้ ทาง ได้แก่ สนิ คา้ และการไปมาหาสกู่ นั โดยใชท้ ะเล เป็นเส้นทางเดินเรือสายหลักที่เชื่อม - เจนไน (Chennai) - เอเดน (Aden) ภาคใตแ้ ละภาคตะวนั ออกของทวปี เอเชยี กับทวีปยุโรป ทวีปอเมรกิ าเหนือ และ - โคลัมโบ (Colombo) - สเุ อซ (Suez) ทวปี ออสเตรเลยี จากภาคใตข้ องทวปี เอเชยี มเี ส้นทางเดินเรอื ไปยังทวีปยุโรป - มุมไบ (Mumbai) - พอรต์ ซาอิด - การาจี (Karachi) (Port Said) ส่วนการติดต่อระหว่างภาคใต้ของ ทวปี เอเชยี กบั ทวปี อเมรกิ าเหนอื มเี มอื งทา่ สำ� คญั อาทิ สิงคโปร์ โฮจิมนิ ห์ ฮ่องกง และโยโกฮามา และชอ่ งแคบมะละกา ทน่ี ับเปน็ เส้นทางเดินเรอื ส� ำ คั ญ เช่ื อ ม ร ะ ห ว่ า ง ม ห า ส มุ ท ร อิ น เ ดี ย แ ล ะ มหาสมุทรแปซิฟิก ยบิ รอลตาร์ พอรต์ ซาอิด สเุ อซ การาจี เอเดน มมุ ไบ เจนไน โฮจิมินห์ ฮ่องกง ปานามา เคปทาวน์ โคลมั โบ โยโกฮามา สงิ คโปร์ เมื่อพิจารณาในมมุ มองจากลักษณะทางภมู ศิ าสตรท์ างทะเลของภูมภิ าคเอเชยี ท่ีมขี อบแผ่นดินเช่ือมต่อกับทะเลและมหาสมุทรท่ียาวและกว้างขวาง รวมท้งั มีแผ่นดิน และเกาะแก่งอยู่อย่างมากมาย ท�ำให้ชาวเอเชียรูจ้ ักและแสวงหาประโยชน์จากทะเล มาตั้งแต่อดีต ทั้งที่ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่ง การติดต่อค้าขาย และการประมง รวมถึงการเชอ่ื มความสมั พนั ธท์ างการเมอื งและการเผยแพรล่ ทั ธแิ ละศาสนาดว้ ย
10 ลกั ษณะภูมศิ าสตรท์ างทะเลของไทย ทะเลอนั ดามัน อา่ วไทย ชอ่ งแคบมะละกา
11 ประเทศไทย ประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก และเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างลองติจดู 97 องศาตะวันออก กับ 106 องศาตะวนั ออก และละติจูด 5 องศาเหนือ กับ 21 องศาเหนือ นับเปน็ รฐั ชายฝ่ งั (Coastal State) และรฐั ช่องแคบ (Strait State) ที่ตั้งอยู่ในคาบสมทุ รอินโดจีน โดยมชี ายฝ่ งั ทะเล แยกเปน็ 2 ด้าน คอื ด้านตะวันออก ได้แก่ อา่ วไทย สว่ นดา้ นตะวนั ตก ประกอบด้วยทะเลอันดามันและช่องแคบมะละกา ท�ำให้ประเทศไทย มีเสน้ ทางออกสู่ 2 มหาสมทุ ร คือ มหาสมทุ รแปซฟิ กิ และมหาสมทุ รอนิ เดยี ในส่วนพื้นที่ทางทะเล ซ่ึงอ�ำนาจ 1 = อธปิ ไตยและสทิ ธอิ ธปิ ไตยขยายต่อออกไป 1.852 จากอาณาเขตพื้นดินน้ัน ฝ่ ังทะเลด้าน อา่ วไทยมพี น้ื ทท่ี ไ่ี ทยอา้ งสทิ ธติ ามกฎหมาย ร ว ม ป ร ะ เท ศ ไท ย มี พื้ น ที่ ท า ง ท ะ เ ล ระหว่างประเทศ ประมาณ 202,676.204 ที่ไทยอ้างสิทธิตามกฎหมายระหว่าง ตารางกิโลเมตร ยาวประมาณ 2,128.84 ประเทศ ประมาณ 323,488.324 กิโลเมตร หรอื 1,149.48 ไมล์ทะเล สว่ นฝ่ ัง ตารางกโิ ลเมตร มชี ายฝ่ งั ยาว รวมทงั้ สน้ิ ตะวนั ตกหรอื ทเ่ี รยี กกนั วา่ ฝ่ งั อนั ดามนั มพี น้ื ท่ี 3,193.44 กิโลเมตร หรือ 1,724.32 ทไ่ี ทยอา้ งสทิ ธติ ามกฎหมายระหวา่ งประเทศ ไมลท์ ะเล ลกั ษณะพนื้ ทอ้ งทะเลอา่ วไทย ประมาณ 120,812.120 ตารางกิโลเมตร เป็นโคลนปนทราย มีความลึกเฉล่ีย ยาวประมาณ 1,064.6 กิโลเมตร หรือ ประมาณ 40 เมตร และ มีความลึก 574.84 ไมล์ทะเล สูงสุดประมาณ 80 เมตร ส่วนทะเล ด้ า น ต ะ วั น ต ก มี ลั ก ษ ณ ะ โ ด ย ท่ั ว ไป เปน็ ทรายและทรายปนโคลน ความลกึ น้ำ� เฉล่ียประมาณ 1,000 เมตร และมี ความลึกสูงสุดประมาณ 3,000 เมตร ทั้งนี้ พื้นท่ีทางทะเลท่ีไทยและประเทศ เพื่อนบ้านต่ างมีสิทธิตามกฎหมาย ระหวา่ งประเทศและอา้ งสทิ ธทิ บั ซอ้ นกนั จ ะ ต้ อ ง มี ก า ร เจ ร จ า ต ก ล ง แบ่ ง เข ต ทางทะเลกนั ตอ่ ไป
12 จากตำ� แหนง่ ทตี่ งั้ ทางภมู ศิ าสตร์ ถอื วา่ ประเทศไทย มีประเทศท่ีมีอาณาเขตติดกบั ตง้ั อยใู่ นพนื้ ทท่ี เ่ี ปน็ ทะเลปดิ หรอื กง่ึ ปดิ (Enclosed อา่ วไทยดา้ นนอก 3 ประเทศ คอื or Semi - Enclosed Sea) กลา่ วคอื ดา้ นอา่ วไทย กมั พชู า เวยี ดนาม และมาเลเซยี ถา้ วดั จากชายฝ่ งั ตะวนั ตกของอา่ วไทยทโี่ กตาบารู ท� ำ ให้ เ กิ ด พ้ื น ที่ เห ล่ื อ ม ทั บ ถงึ ปลายแหลมญวนหรอื แหลมกาเมา มคี วามกวา้ ง ไทย – กัมพูชา 34,034.065 ประมาณ 381 กโิ ลเมตร หรอื 206 ไมลท์ ะเล ตารางกิโลเมตร พน้ื ท่ชี ายฝงั่ ทะเลอา่ วไทย 202,676.204 ตร.กม. พน้ื ทชี่ ายฝง่ั ทะเลอนั ดามนั อาวไทย 120,812.12 ตร.กม. อันดามนั ชองแคบมะละกา ตอนเหนอื เกาะสุมาตรา ประเทศมาเลเซีย ด้านทะเลอันดามันมีความกว้างประมาณ 611 กิโลเมตร หรอื 330 ไมล์ทะเล วัดจาก ชายฝ่ ังด้านทะเลอันดามันถึงหมู่เกาะนิโคบารข์ องอินเดีย ประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อ กับทะเลด้านตะวนั ตกของประเทศไทย 4 ประเทศ คือเมียนมา อินเดีย อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย
13 พนื้ ทท่ี างทะเลของประเทศไทย แหลมพรหมเทพ มี ส่ ว น ที่ อ ยู่ ใน ช่ อ ง แ ค บ ม ะ ล ะ ก า ด้ า น ท่ี ติ ด กั บ ม ห า ส มุ ท ร อิ น เ ดี ย สตลู โดยขอบชอ่ งแคบทป่ี ระชดิ ขอบฝ่ งั ของ ประเทศไทยนับจากแหลมพรหมเทพ ชอ งแคบมะละกา จังหวัดภูเก็ต ไปจนถึงจังหวัดสตูล มีความยาวขอบฝ่ ังช่องแคบนับได้ ประมาณ 294 กิโลเมตร หรอื 158.9 ไมล์ทะเล รวมเป็นพื้นท่ีประมาณ 32,000 ตารางกิโลเมตร จากพ้ืนที่ ท า ง ท ะ เ ล ด้ า น ต ะ วั น ต ก ท้ั ง ห ม ด 120,812.12 ตารางกิโลเมตร ดังน้ัน ไทยจึงมีสถานะเป็นหน่ึงในรฐั เจ้าของช่องแคบมะละกา หรอื รฐั ชายฝ่ ัง ชอ่ งแคบมะละกา (The littoral states/coastal states of the Strait of Malacca) ดว้ ย แต่พ้ืนท่ีของช่องแคบมะละกาในบรเิ วณน้ี มคี วามกว้างมากกว่า 370 กิโลเมตร หรอื 200 ไมล์ทะเล ท�ำให้เส้นทางเดินเรือในช่องแคบมะละกาอยู่ในพื้นท่ีริมนอกของ เขตเศรษฐกจิ จำ� เพาะของไทย และการเดนิ เรอื ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งเขา้ มาในพนื้ ทที่ ะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่องที่เป็นพื้นที่อธิปไตยของไทย ซ่ึงท�ำให้ไทยไม่มีอ�ำนาจทางกฎหมาย ในการควบคุมการเดินเรือผ่านเข้าออกในช่องทางเดินเรือของช่องแคบมะละกา ในส่วนน้ี ยกเว้นการส�ำรวจ แสวงประโยชน์ และการอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตบนและใต้ท้องทะเล ตามเขตอ�ำนาจรัฐชายฝ่ ังเหนือเขต เศรษฐกจิ จำ� เพาะ สว่ นกจิ กรรมอนื่ นอกจากนี้ จะไมต่ กอยภู่ ายใตส้ ทิ ธอิ ธปิ ไตยของรฐั ชายฝ่ งั อาทิ การเดินเรอื ผ่าน หรอื การบนิ ผา่ น
บทที่ 2 เขตทางทะเล
16 ลกั ษณะเขตทางทะเล อนสุ ญั ญาสหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (1982 United Nations Convention on the Law of the Sea: 1982 UNCLOS) นับเปน็ อนุสญั ญาทปี่ ระมวลกฎหมาย จารตี ประเพณีทางทะเลเปน็ ลายลักษณ์อักษร พรอ้ มทง้ั กำ� หนดหลกั เกณฑใ์ หค้ รอบคลมุ กจิ กรรมทางทะเล ในทกุ ดา้ น อาทิ การใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรทางทะเล การอนรุ กั ษ์ และการจดั การทรพั ยากรในทะเล การคมุ้ ครองสง่ิ แวดลอ้ มทางทะเล การวจิ ยั และวทิ ยาศาสตรท์ างทะเล การระงบั ขอ้ พพิ าท 12 n.m. 12 n.m. 200 n.m. เขตเศรษฐกิจจำเพาะ เ สนฐาน Exclusive Economic Zone : EEZ Baseline ทะเลอาณาเชต ทะเลหลวง Territorial Sea High Seas เขตตอเ ่นือง Contiguous Zone เ สนเหนือ ้นำขณะน้ำข�้นสูง ุสด high - tide line low - water line เ สนแนว ้นำตลอดชาย ฝง Note: n.m.- nuatical miles (ไมลทะเล) Continental Continental Rise 1 n.m. = 1,852 metres Slope พ้น� ทองมหาสมทุ ร ลาดทวป� Deep Sea Bed รอ งลึกบาดาล
17 อนุสัญญาฯ ได้ก�ำหนดเขตทางทะเล (TทeะrเrลiอtoาrณialาเSขeตa) ท่ีกำ� หนดอำ� นาจ สทิ ธแิ ละหนา้ ทขี่ องรฐั ภาคี ไวด้ ังน้ี มพี น้ื ทไ่ี มเ่ กนิ 12 ไมลท์ ะเล หรอื ประมาณ นา่ นน�้ำภายใน 22 กิโลเมตร โดยวัดจากเสน้ ฐาน (Baselines) (Internal Waters) โดยรัฐชายฝ่ ังมีอ�ำนาจอธิปไตยเหนือทะเล อาณาเขต ซง่ึ หมายความรวมถงึ อำ� นาจอธปิ ไตย คือ น่านน้�ำทางด้านแผ่นดินหลัง ในหว้ งอากาศ (Airspace) เหนอื ทะเลอาณาเขต แ ล ะ อ� ำ น า จ อ ธิ ป ไ ต ย เห นื อ พ้ื น ดิ น ท้ อ ง ท ะ เ ล เส้นฐาน (Baselines) ซึ่งรัฐชายฝ่ ังมี (Seabed) และดนิ ใตผ้ วิ ดนิ (Subsoil) ของทะเล อ�ำนาจอธิปไตย (Sovereignty) เสมือน อาณาเขตดว้ ย แตใ่ หส้ ทิ ธใิ นการผา่ นโดยสจุ รติ อ�ำนาจอธปิ ไตยเหนือดินแดน (Territory) (Right of innocent passage) ของเรอื ตา่ งชาติ ทงั้ นี้ เสน้ ฐานแบง่ เปน็ เสน้ ฐานปกติ (Normal Baseline) คือ แนวน้�ำลดตลอดชายฝ่ ัง เขตตอ่ เนอ่ื ง ทะเล ตามท่ีรฐั ชายฝ่ ังกําหนดไว้ในแผนที่ (Contiguous Zone) ของตน ซ่ึงโดยอนุโลม คือ เส้นแนวน้�ำลึก ศูนย์เมตรที่อยู่ในแผนท่ีเดินเรอื ส่วนเส้น มีพื้นที่ไม่เกิน 24 ไมล์ทะเล หรือ ฐานตรง (Straight Baseline) กําหนดขึ้น ประมาณ 44 กิโลเมตร โดยวัดจากเส้นฐาน ในกรณีทชี่ ายฝ่ ังมีความเว้าแหวง่ มาก หรอื (Baselines) ซ่ึงใช้วัดความกว้างของทะเล มีเกาะเรียงรายใกล้ชิดไปกับแนวชายฝ่ ัง อาณาเขต ซึ่งรฐั ชายฝ่ ังอาจใช้สิทธิประกาศ จนไมส่ ามารถหาแนวน้ำ� ลดได้ ใหร้ ฐั ชายฝ่ งั เปน็ เขตตอ่ เนอื่ งเพอ่ื ดำ� เนนิ การควบคมุ ทจ่ี ำ� เปน็ สามารถก�ำหนดการเชอ่ื มตอ่ จดุ ทเี่ หมาะสม เพ่ือป้องกันการฝ่าฝืนกฎหมายและขอ้ บงั คบั บรเิ วณชายฝ่ งั เขา้ ดว้ ยกนั เปน็ เสน้ ฐานตรงได้ เกยี่ วกบั ศลุ กากร (Customs) การคลงั (Fiscal) การเขา้ เมอื ง (Immigration) หรอื การสขุ าภบิ าล (Sanitary)
18 เขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะ (Exclusive Economic Zone) คอื บรเิ วณทอ่ี ยเู่ ลยไปจากและประชดิ ไหลท่ วีป กับทะเลอาณาเขต โดยเขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะ (Continental Shelf) จะต้องไม่ขยายออกไปเกิน 200 ไมล์ทะเล หรอื ประมาณ 370 กิโลเมตร จากเส้นฐาน หมายถึง พน้ื ดนิ ทอ้ งทะเล (Seabed) ซ่ึ ง ใ ช้ วั ด ค ว า ม ก ว้ า ง ข อ ง ท ะ เ ล อ า ณ า เข ต โดยรฐั ชายฝ่ ัง มีสิทธิอธิปไตยเพ่ือความมุ่ง และดนิ ใตผ้ วิ ดนิ (Subsoil) ของบรเิ วณใตท้ ะเล ประสงค์ในการสำ� รวจ (Exploration) การแสวง ซึ่ ง ข ย า ย เ ล ย ท ะ เ ล อ า ณ า เ ข ต ข อ ง รั ฐ ประโยชน์ (Exploitation) การอนุรักษ์ ตลอดสว่ นตอ่ ออกไปตามธรรมชาติ (Natural (Conservation) และการจดั การ (management) Prolongation) ของดินแดนทางบกจนถึง ทรพั ยากรธรรมชาติ ทงั้ ทมี่ ชี วี ติ หรอื ไมม่ ชี วี ติ รมิ นอกของขอบทวปี (Continental Margin) ในน้ำ� เหนอื พน้ื ดนิ ทอ้ งทะเล (Water superjacent หรอื จนถึงระยะ 200 ไมล์ทะเล จากเส้นฐาน to the seabed) และในพื้นดินท้องทะเล ซึ่ ง ใ ช้ วั ด ค ว า ม ก ว้ า ง ข อ ง ท ะ เ ล อ า ณ า เข ต (Seabed) กับดินใต้ผิวดิน (Subsoil) ของ แตอ่ าจมบี างกรณที สี่ ามารถขยายเขตไหลท่ วปี พน้ื ดนิ ทอ้ งทะเลนนั้ และมสี ทิ ธอิ ธปิ ไตยในสว่ น ได้ถึง 350 ไมล์ทะเล หรอื ประมาณ 648 ทเ่ี กย่ี วกบั กจิ กรรมอน่ื ๆ เพอ่ื การแสวงประโยชน์ กโิ ลเมตร ทงั้ นี้ หลกั เกณฑเ์ ปน็ ไปตามกฎหมาย และการสำ� รวจทางเศรษฐกจิ แตร่ ฐั อนื่ มเี สรภี าพ กำ� หนด ในการเดินเรอื (Freedom of navigation) เสรภี าพในการบนิ ผา่ น (Freedom of overflight) การวางสายเคเบลิ และทอ่ ใตท้ ะเล (Freedom of the laying of submarine cables and pipelines) และยงั รวมไปถึงการใชป้ ระโยชน์ จากพนื้ ทไี่ หลท่ วปี (Continental Shelf) และ ทะเลหลวงหรอื น่านน้�ำสากล (High Seas)
19 ทะเลหลวงหรือนา่ นน�้ำสากล บริเวณพ้นื ท่ี (High Seas) (The Area) คือ ทกุ สว่ นของทะเลซึ่งไมไ่ ด้รวมอยู่ หมายถึง พ้ืนดินท้องทะเลและพื้น ในเขตเศรษฐกจิ จำ� เพาะ (Exclusive economic มหาสมทุ รและดนิ ใตผ้ วิ ดนิ ทอี่ ยพู่ น้ เขตอำ� นาจ zone) ในทะเลอาณาเขต (Territorial sea) ของรัฐ ดังนั้น รัฐใด ๆ จึงมิอาจอ้างหรือ หรอื ในน่านน้�ำภายใน (Internal waters) ใช้อ�ำนาจอธิปไตยหรอื สิทธิอธิปไตยเหนือ ของรฐั หรอื ในนา่ นน้ำ� หมเู่ กาะ (Archipelagic สว่ นใดสว่ นหนง่ึ ของบรเิ วณพน้ื ทแี่ ละทรพั ยากร waters) ของรฐั หมเู่ กาะ เสรภี าพแหง่ ทะเลหลวง ในบรเิ วณพนื้ ท่ี เพราะถือเป็นมรดกรว่ มของ ใชไ้ ดภ้ ายใตเ้ งอ่ื นไขทกี่ ำ� หนดไวโ้ ดยอนสุ ญั ญาฯ มนษุ ยชาติ โดยมอี งคก์ รทเี่ รยี กวา่ International และหลกั เกณฑอ์ น่ื ๆของกฎหมายระหวา่ งประเทศ Seabed Authority (ISA) ทำ� หน้าท่บี รหิ าร อาทิ เสรภี าพในการเดินเรอื (Freedom of จดั การทรพั ยากรในบรเิ วณพนื้ ทเี่ พอื่ ประโยชน์ navigation) เสรภี าพในการบนิ ผา่ น (Freedom รว่ มกนั ของรฐั ตา่ งๆสว่ นหว้ งน้ำ� และหว้ งอากาศ of overflight) เสรีภาพในการท�ำประมง ทีอ่ ยูเ่ หนือบรเิ วณพื้นท่ี รฐั ทกุ รฐั ยงั คงมสี ิทธิ (Freedom of fishing) โดยหน้าท่ีประการ เสรภี าพในระบอบทะเลหลวงดงั ระบแุ ลว้ ขา้ งตน้ สำ� คญั ของรฐั ตา่ ง ๆ ทท่ี ำ� การประมงในทะเลหลวง คือ ต้องร่วมมือกันเพื่อก�ำหนดมาตรการ ในการอนุรกั ษ์ และจัดการทรพั ยากรทมี่ ชี วี ติ ในท้องทะเล
20 ขอบเขตทางทะเลของไทย ลกั ษณะพน้ื ทที่ างทะเลของประเทศไทย ถกู ลอ้ มดว้ ยพน้ื ทท่ี างทะเล ของประเทศเพอ่ื นบา้ นทงั้ สองดา้ นและประชดิ กบั เขตเศรษฐกจิ จ�ำเพาะของ ประเทศเพื่อนบ้าน ดังน้ัน ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศในการแบ่ง เขตแดนทางทะเลระหวา่ งประเทศ ประเทศตา่ ง ๆ รอบอา่ วไทย และทะเลฝ่ งั ตะวันตก จึงไม่สามารถขยายเขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะออกไปได้เต็มท่ีถึง 200 ไมลท์ ะเล หรอื ประมาณ 370 กโิ ลเมตร แตม่ สี ว่ นทอ่ี า้ งสทิ ธทิ บั ซอ้ นกนั อยู่ ซง่ึ จะตอ้ งเจรจาตกลงกนั ประเทศไทยถกู ล้อมด้วยเขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะของประเทศเพอ่ื นบา้ น ด้านอ่าวไทยช้นั ใน จ�น ถกู ล้อมด้วย กัมพูชา เวยี ดนาม มาเลเซยี อนิ เดีย เมยี นมา เว�ยดนาม ลาว ด้านอ่าวไทยชน้ั นอก ถูกล้อมด้วย จีน ไทย อินโดนีเซยี และ ฟิลิปปินส์ กมั พช� า ดา้ นตะวนั ตกพน้ื ที่ ทะเลอนั ดามนั ฟ�ลปิ ปนส ตอนเหนอื ของ ชอ่ งแคบมะละกา อา วไทย ถูกล้อมด้วย อินโดนีเซีย และมาเลเซยี มาเลเซยี ด้านตอนบนของ ชอ งแคมมะละกา ทะเลอันดามัน ถูกล้อมด้วย อินเดีย อนิ โดนเี ซยี เมยี นมา
21 อำ� นาจอธปิ ไตยสทิ ธิอธิปไตยและ เขตอำ� นาจในเขตทางทะเลต่าง ๆ ของไทย ประเทศไทย มไิ ด้มอี �ำนาจอธปิ ไตย ดังน้ัน ในบางพ้นื ท่ปี ระเทศไทยจะมี อำ� นาจอธปิ ไตยอยา่ งสมบรู ณ์ ในขณะทบี่ าง เหนือเขตทางทะเลอย่างสมบูรณ์ในทกุ พนื้ ที่ พน้ื ทปี่ ระเทศไทยจะมเี พยี งสทิ ธอิ ธปิ ไตยหรอื เนื่องจากมีการก�ำหนดอ�ำนาจ สิทธิ และ สทิ ธบิ างประการในการใชป้ ระโยชน์ หน้าที่ของรฐั ชายฝ่ ังไว้ในแต่ละเขตทางทะเล ดงั ทกี่ ลา่ วไวข้ า้ งตน้ 7 เขต คอื นา่ นน้ำ� ภายใน ท ะ เ ล อ า ณ า เข ต เข ต ต่ อ เน่ื อ ง ไห ล่ ท วี ป เขตเศรษฐกิ จจ� ำเพาะ ทะเลหลวง และ บรเิ วณพ้นื ท่ี ซงึ่ เปน็ ไปตามหลักสากล โดยพื้นท่ีทางทะเลที่ประเทศไทยมีสิทธิใช้ประโยชน์ มีพ้ืนท่ีถึง 323,488.324 ตารางกิโลเมตร จากท่ีเขตทางทะเล ซ่ึงแปลจากค�ำภาษาอังกฤษว่า Maritime Zones นับเปน็ เขตต่าง ๆ ทางทะเลทป่ี ระเทศไทยไดป้ ระกาศไว้ เชน่ อา่ วประวตั ิศาสตร์ น่านน้�ำภายใน ทะเลอาณาเขต เสน้ ฐานตรง ไหลท่ วปี และเขตเศรษฐกจิ จำ� เพาะ เปน็ ตน้ ดงั มรี ายละเอยี ด ดงั นี้
22 น่านนำ้� ภายใน ( Internal Waters ) น่านน้�ำภายในเปน็ พน้ื ทท่ี างทะเล ทอี่ ยูห่ ลังเสน้ ฐานแหง่ ทะเลอาณาเขต เขา้ มาทางดา้ นแผน่ ดนิ รฐั ชายฝ่ งั มอี ำ� นาจอธปิ ไตย (Sovereignty) อยา่ งสมบรู ณ์ เชน่ เดียวกับอธปิ ไตยบนแผน่ ดินท่ีเปน็ อาณาเขตของตน ประเทศไทยได้ออกประกาศก�ำหนดเส้นฐานตรงและน่านน้�ำ ภายในของประเทศไทยไวช้ ดั แจง้ แลว้ หลายฉบบั นบั แตป่ ระกาศสำ� นกั นายกรฐั มนตรี เรอ่ื งเสน้ ฐานตรงและนา่ นน้ำ� ภายในของประเทศไทยฉบบั แรกเมอ่ื วนั ที่11มถิ นุ ายน พ.ศ. 2513 ในส่วนอ่าวประวัติศาสตรข์ องประเทศไทยทมี่ ีสถานะทางกฎหมาย เปน็ นา่ นน้ำ� ภายในเชน่ กนั นนั้ เปน็ พนื้ ทจ่ี ากการลากเสน้ ฐานตรงปดิ ปากอา่ วไทย ตอนบนหรอื ทเ่ี รยี กวา่ อา่ วตอนใน (จากจดุ ท่ี 1 ณ แหลมบา้ นชอ่ งแสมสานไปยงั จุดท่ี 2 ณ ฝ่ ังทะเลต�ำบลห้วยทรายเหนือ ตามประกาศส�ำนักนายกรฐั มนตรี เรอื่ ง อ่าวไทยตอนใน เมอ่ื 22 กันยายน พ.ศ. 2502)
23 ทะเลอาณาเขต ( Territorial Sea ) ทะเลอาณาเขตเปน็ พนื้ ทท่ี างทะเลทอ่ี ยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจอธปิ ไตย (Sovereignty) ของรฐั ชายฝ่ ังตามข้อ 2(1) ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (1982 UNCLOS) ซ่ึงระบุว่า “อธิปไตยของรัฐชายฝ่ ังขยายเลย อาณาเขตทางบกและน่านน้�ำภายในของตน ...” และข้อ 3 ของอนุสัญญาฯ ซง่ึ ระบุวา่ “รฐั ทกุ รฐั มสี ทิ ธกิ �ำหนดความกวา้ งของทะเลอาณาเขตของตนได้จนถึง ขอบเขตหนึ่งซ่ึงไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล โดยวัดจากเส้นฐานท่ีก�ำหนดข้ึนตาม อนุสัญญาน้ี” ซึ่งประเทศไทยได้ออกประกาศเม่ือวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2509 ก�ำหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตออกไป 12 ไมล์ทะเล โดยวดั จากเสน้ ฐาน ที่ใชว้ ัดความกว้างของทะเลอาณาเขตไวอ้ ยา่ งชัดแจ้งแล้ว อธปิ ไตยของไทยในทะเลอาณาเขต ขยายไปถงึ หว้ งอากาศเหนอื ทะเลอาณาเขต ตลอดจนพ้ืนดินท้องทะเลและดินใต้พื้นดินท้องทะเล (Seabed and Subsoil) แห่งทะเลอาณาเขตตามข้อ 2(2) ของอนุสัญญาฯ อย่างไรก็ดี การใช้อ�ำนาจ อธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขต จะต้องอยู่ภายใต้บังคับของอนุสัญญาฯ และ กฎหมายระหวา่ งประเทศ อาทิ การยอมให้เรอื ต่างชาติผา่ นโดยสจุ รติ (Innocent Passage) ในทะเลอาณาเขตตามข้อ 17 ของอนุสญั ญาฯ เขตตอ่ เนอ่ื ง ( Contiguous Zone ) เขตตอ่ เนอ่ื งเปน็ พนื้ ทท่ี างทะเลทต่ี อ่ ออกไปจากทะเลอาณาเขต โดยวดั จาก เสน้ ฐานทใ่ี ชว้ ดั ความกวา้ งของทะเลอาณาเขตออกไปไมเ่ กนิ 24 ไมลท์ ะเล ดงั นนั้ เขตตอ่ เนอ่ื งจงึ เปน็ พน้ื ทที่ างทะเลทม่ี คี วามกวา้ ง 12 ไมลท์ ะเล ทอี่ ยปู่ ระชดิ ตดิ กบั และถดั ออกไปจากทะเลอาณาเขต เขตตอ่ เนอื่ งพน้ จากทะเลอาณาเขตของไทยแลว้ จึงพน้ จากอ�ำนาจอธปิ ไตยของไทย แต่ไทยสามารถด�ำเนินการได้บางประการ ตามข้อ 33 ของอนุสัญญาฯ ได้แก่ ด�ำเนินการควบคุมท่ีจ�ำเป็นเพ่ือป้องกัน การฝ่าฝืนกฎหมายและข้อบังคับ 4 เรื่อง ได้แก่ (1) ศุลกากร (2) การคลัง (3) การเขา้ เมอื ง (4) การสขุ าภบิ าล และลงโทษการฝา่ ฝนื กฎหมายและขอ้ บงั คับ 4 เรอื่ งดังกล่าวทไี่ ด้กระทำ� ภายในอาณาเขตหรอื ทะเลอาณาเขตของไทย
24 เขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะ ( Executive Economic Zone ) เขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะเป็นพ้ืนที่ทางทะเลท่ีต่อออกไปจากทะเลอาณาเขต โดยวดั จากเสน้ ฐานทใี่ ชว้ ดั ความกวา้ งของทะเลอาณาเขตออกไปไมเ่ กนิ 200 ไมลท์ ะเล ดงั นนั้ เขตเศรษฐกจิ จำ� เพาะจงึ เปน็ พน้ื ทท่ี างทะเลทม่ี คี วามกวา้ งไมเ่ กนิ 188 ไมลท์ ะเล ซึ่งอยู่ประชิดติดกับและถัดออกไปจากทะเลอาณาเขต เขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะ พน้ จากทะเลอาณาเขตของไทยแล้ว จึงพน้ จากอ�ำนาจอธปิ ไตย (Sovereignty) ของไทย แต่ไทยมสี ทิ ธอิ ธปิ ไตย (Sovereign Rights) ตามขอ้ 56 ของอนุสญั ญาฯ กล่าวคือ สิทธิจ�ำเพาะแต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Rights) ในการส�ำรวจและ แสวงประโยชน์ อนุรกั ษ์และจัดการทรพั ยากรธรรมชาติท้ังท่ีมีชีวิตและไม่มีชีวิต ในน้�ำเหนือพนื้ ดินทอ้ งทะเล พ้นื ดินทอ้ งทะเล และใต้พืน้ ดินทอ้ งทะเลนั้น และใน กจิ กรรมอืน่ ๆ เพอื่ การแสวงประโยชน์และการสำ� รวจทางเศรษฐกจิ อาทิ การผลิต พลังงานจากน้�ำ กระแสน้�ำและลม นอกจากนี้ ไทยยงั มเี ขตอ�ำนาจ (Jurisdiction) เกี่ยวกับ (1) การสรา้ งและการใชเ้ กาะเทยี ม ส่งิ ติดต้ัง และสิง่ ก่อสรา้ งต่าง ๆ (2) การวิจัยวิทยาศาสตรท์ างทะเล (3) การคุ้มครองและการรกั ษาสิง่ แวดล้อมทางทะเล ไทยได้ออกประกาศเขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะของราชอาณาจกั รไทย เมอ่ื วนั ที่ 23 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2524 ก�ำหนดวา่ เขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะของราชอาณาจกั รไทย ได้แก่ บริเวณท่ีอยู่ถัดออกไปจากทะเลอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย มคี วามกวา้ ง 200 ไมลท์ ะเล วดั จากเสน้ ฐานทใ่ี ชว้ ดั ความกวา้ งของทะเลอาณาเขต และได้มีประกาศเขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับ ได้แก่ ประกาศ เขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะของราชอาณาจักรไทยด้านอ่าวไทย ส่วนที่ประชิดกับ เขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะของประเทศมาเลเซีย เม่ือวันท่ี 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 และประกาศเขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะของราชอาณาจักรไทย ด้านทะเลอันดามัน เมือ่ วันท่ี 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2531
25 สิทธิท่ีไทยในฐานะรฐั ชายฝ่ ัง มีอยู่ในเขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะ จึงมีขอบเขต จำ� กัดอยเู่ พยี งสทิ ธอิ ธปิ ไตยและเขตอ�ำนาจขา้ งต้น สว่ นเรอื่ งอ่นื ๆ นอกเหนือจากนี้ ขอ้ 58 ของอนุสัญญาฯ ก�ำหนดให้รฐั ชายฝ่ ังหรอื รฐั ไรฝ้ ่ งั ทะเล มเี สรภี าพ สิทธิ และหนา้ ทเี่ ชน่ เดยี วกบั ทก่ี ำ� หนดไวใ้ หใ้ นกรณที ะเลหลวง อาทิ เสรภี าพในการเดนิ เรอื เสรีภาพ ในการบินผ่าน และเสรีภาพทั้งการวางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล โดยรฐั อ่ืน ๆ ท่ีใช้เสรภี าพ สิทธิ และหน้าที่ดังกล่าวภายในเขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะ ของไทยจะต้องค�ำนึงถึงสทิ ธแิ ละหน้าท่ขี องไทย และจะต้องปฏิบตั ิตามกฎหมาย และข้อบังคับต่าง ๆ ของไทยท่ีตราขึ้น ตามสิทธิอธิปไตยและเขตอ�ำนาจข้างต้น ที่ไทยมีอยู่ในฐานะรฐั ชายฝ่ ัง รวมท้ังสิทธิอ่ืน ๆ ที่ไทยมีอยู่ตามกฎหมายระหว่าง ประเทศด้วย การประกาศก�ำหนดเขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะของไทยในอ่าวไทยออกไป 200 ไมลท์ ะเล จากเสน้ ฐานทใี่ ชว้ ดั ความกวา้ งของทะเลอาณาเขต มพี นื้ ทบี่ างสว่ น ที่เป็นการอ้างสิทธิทับซ้อนกับเขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะที่ประเทศเพ่ือนบ้านก�ำหนด ได้แก่ กัมพูชา และมาเลเซีย ซึ่งประกาศก�ำหนดเขตเศรษฐกิจจ�ำเพาะของตน ออกไป 200 ไมล์ทะเล เช่นกัน และยังไม่มีการจัดท�ำความตกลงแบ่งเขต เศรษฐกิจจ�ำเพาะระหว่างกัน รวมทั้งในระหว่างท่ียังไม่มีความตกลงแบ่งเขต ก็ยังไม่มีการจัดท�ำข้อตกลงช่ัวคราวซึ่งมีลักษณะท่ีปฏิบัติได้ด้วยเจตนารมณ์ แห่งความเข้าใจและรว่ มมือกันตามข้อ 74 วรรค 1 และวรรค 3 ของอนุสัญญาฯ แต่อยา่ งใด
26 ไหลท่ วปี (Continental Shelf) ไหล่ทวีปของรฐั ชายฝ่ งั ได้แก่ พื้นดินท้องทะเลและดินใต้พื้นดินท้องทะเล สว่ นทท่ี อดยาวเลยทะเลอาณาเขตของรฐั ตลอดสว่ นต่อออกไปตามธรรมชาติของ ดินแดนทางบกของตนจนถงึ รมิ นอกของขอบทวปี หรอื จนถึงระยะ 200 ไมลท์ ะเล จากเส้นฐาน ซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตในกรณีท่ีริมนอกของ ขอบทวีปขยายไปไม่ถึง 200 ไมล์ทะเล ส�ำหรบั ส่วนท่ีทอดยาวออกไปเกินกว่า 200 ไมล์ทะเล อนุสัญญาฯ ได้ระบุวิธีก�ำหนดขอบเขตไหล่ทวีปไว้ในกรณีต่าง ๆ โดยละเอียด ไทยได้ออกประกาศก�ำหนดเขตไหล่ทวีปของไทยด้านอ่าวไทย เม่ือวันท่ี 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ซึ่งก�ำหนดเขตไหล่ทวีปของไทยตามแผนท่ีและพิกัด ภูมิศาสตรท์ ่แี นบทา้ ยประกาศดังกล่าว ไทยมสี ทิ ธอิ ธปิ ไตย (Sovereign Rights) ในไหล่ทวปี ซึ่งเปน็ สิทธจิ �ำเพาะ แต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Rights) ในการส�ำรวจและแสวงประโยชน์จาก ทรพั ยากรธรรมชาติของไหล่ทวีป ได้แก่ แรแ่ ละทรพั ยากรไม่มีชีวิตอย่างอ่ืนของ พื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดิน รวมท้ังอินทรยี ภาพมีชีวิตซ่ึงจัดอยู่ในประเภท อยู่ติดกับท่ี ซึ่งหากไทยไม่ด�ำเนินการส�ำรวจหรอื แสวงประโยชน์จากทรพั ยากร ธรรมชาติของไหล่ทวีป รฐั อ่ืน ๆ ก็ไม่สามารถส�ำรวจหรอื แสวงประโยชน์จาก ทรพั ยากรธรรมชาตขิ องไหลท่ วปี ได้ หากไมไ่ ดร้ บั ความยนิ ยอมโดยชดั แจง้ จากไทย อย่างไรก็ดี รัฐอ่ืน ๆ ยังคงมีเสรีภาพในการเดินเรือในห้วงน้�ำเหนือไหล่ทวีป หรอื บนิ ผา่ นในหว้ งอากาศเหนือไหล่ทวปี และมสี ทิ ธวิ างสายเคเบลิ และทอ่ ใตท้ ะเล บนไหล่ทวีป ซ่ึงไทยมีสิทธิในการก�ำหนดเงื่อนไขส�ำหรับสายเคเบิลหรือท่อท่ี วางเข้ามาในดินแดนหรอื ทะเลอาณาเขตหรอื เขตอ�ำนาจรฐั ของไทยและก�ำหนด เส้นทางสำ� หรบั การวางท่อนั้นได้
27 • ด้านทะเลอา่ วไทย ไทยอ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนกับประเทศเพ่ือนบ้าน ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งยังไม่มีการจัดท�ำความตกลงแบ่งเขต ไหล่ทวีประหว่างกันตามข้อ 83 วรรค 1 ของอนุสญั ญาฯ โดยในส่วนท่ีไทยอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกับมาเลเซียมีการจัดท�ำ ข้อตกลงซ่ึงมีลักษณะช่ัวคราวตามนัยข้อ 83 วรรค 3 ของอนุสัญญาฯ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียเกี่ยวกับการจัดตั้ง องค์กรรว่ มเพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในพ้ืนดินใต้ทะเลในบริเวณท่ี ก�ำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทย ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 (Memorandum of Understanding between the Kingdom of Thailand and Malaysia on the Establishment of the Joint Authority for the Exploitation of the Resources of the Seabed in a Defined Area of the Continental Shelf of the Two Countries in the Gulf of Thailand, 21 February 1979) เพ่อื ส�ำรวจและแสวงประโยชน์จากทรพั ยากรธรรมชาติ ของไหล่ทวปี ในพ้ืนทพ่ี ัฒนารว่ ม (Joint Development Area: JDA) รว่ มกัน • ด้านทะเลอนั ดามนั ได้ทำ� ความตกลง (1) ความตกลงระหวา่ งรฐั บาลแหง่ ราชอาณาจักรไทยกับรฐั บาลแหง่ สาธารณรฐั อินโดนีเซีย วา่ ด้วยการแบง่ ก้นทะเลระหว่างประเทศทง้ั สองในทะเลอันดามนั (2) ความตกลงระหว่างรฐั บาลแห่งราชอาณาจักรไทย รฐั บาลแห่งสาธารณรฐั อินโดนีเซีย และรฐั บาลแห่งมาเลเซยี วา่ ด้วยการแบ่งเขตไหล่ทวีปในตอนเหนือ ของช่องแคบมะละกา (3) ความตกลงระหวา่ งรฐั บาลแหง่ ราชอาณาจกั รไทย รฐั บาลแหง่ สาธารณรฐั อนิ เดยี และรฐั บาลแห่งสาธารณรฐั อินโดนีเซีย เกี่ยวกับการก�ำหนดจุดรว่ มสามฝ่าย และการแบ่งเขตที่เก่ียวข้องกับประเทศทั้งสามในทะเลอันดามนั (4) ความตกลงระหวา่ งรฐั บาลแหง่ ราชอาณาจกั รไทยกบั รฐั บาลแหง่ สาธารณรฐั อินเดีย วา่ ด้วยการแบง่ เขตก้นทะเลระหว่างประเทศทง้ั สองในทะเลอันดามัน (5) ความตกลงระหวา่ งรฐั บาลแหง่ ราชอาณาจกั รไทยกบั รฐั บาลแหง่ สาธารณรฐั แห่งสหภาพเมยี นมา วา่ ด้วยการแบ่งเขตทางทะเล ซ่งึ ในส่วนทีอ่ ้างสิทธทิ บั ซ้อน กับเมยี นมายงั ไม่แล้วเสรจ็
28 ทะเลหลวง (High Seas) ทะเลท้ังหมดที่ไม่ได้รวมอยู่ในน่านน้�ำภายใน (หรอื น่านน้�ำหมู่เกาะของรฐั หมเู่ กาะ) ทะเลอาณาเขตและเขตเศรษฐกจิ จำ� เพาะของรฐั ใดรฐั หนึ่ง ในทะเลหลวงน้ี รฐั ทง้ั ปวงมีเสรภี าพ ในการเดินเรอื เสรภี าพในการบินผา่ น การวางสายเคเบิลและ ท่อใต้ทะเล การสร้างเกาะเทียมและสิ่งติดต้ังต่าง ๆ การประมง การวิจัยทาง วทิ ยาศาสตร์ ภายใต้เง่ือนไขข้อบังคับทีก่ �ำหนดไว้ในอนุสญั ญาฯ และใชเ้ พอื่ ความ มุง่ ประสงค์ในทางสนั ติตามทีร่ ะบุในข้อ 86 – 88 ของอนุสัญญาฯ ไทยจึงมสี ิทธิ เสรภี าพขา้ งต้นในทะเลหลวง นอกจากน้ี ไทยมีพนั ธกรณที จี่ ะ ต้องคุ้มครองและรักษาส่ิงแวดล้อมทางทะเล รวมท้ังอนุรักษ์ทรัพยากรมีชีวิต ในทะเลหลวงด้วยตามทกี่ �ำหนดในอนุสัญญาฯ อนึ่ง เพื่อประโยชน์ในด้านการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยากร มชี วี ติ อยา่ งยง่ั ยนื ในเขตทะเลหลวง ตามเจตนารมณข์ องอนสุ ญั ญาฯ รฐั ชายฝ่ งั ตา่ ง ๆ ได้รว่ มกันจัดตั้งองค์กรขึ้นมาเพ่ือท�ำหน้าท่ีบรหิ ารจัดการการประมงในเขตพ้ืนท่ี ทะเลหลวงที่อยูใ่ กล้กับรฐั ตน อาทิ SIOFA (Southern Indian Ocean Fisheries Agreement) IOTC (Indian Ocean Tuna Commission) WCPFC (The Western and Central Pacific Fisheries Commission) และ IATTC (Inter-American Tropical Tuna Commission) ดังน้ัน สิทธใิ นการใชป้ ระโยชน์อยา่ งเสรที ี่มอี ยูเ่ ดิม ตามอนุสัญญาฯ จึงได้ถกู จ�ำกัดลง บริเวณพ้ืนท่ี ( The Area ) บรเิ วณพนื้ ที่ คือ พ้นื ดินทอ้ งทะเล พน้ื มหาสมุทร และใต้ดินน้ัน (seabed and ocean floor and subsoil thereof) สว่ นทีอ่ ยูพ่ น้ จากเขตอ�ำนาจของรฐั (National Jurisdiction) ดังน้ัน รฐั ใด ๆ จึงมิอาจอ้างหรอื ใช้อ�ำนาจอธิปไตยหรอื สิทธิอธิปไตย เหนอื สว่ นใดสว่ นหนงึ่ ของบรเิ วณพนื้ ทแ่ี ละทรพั ยากรในบรเิ วณพน้ื ที่ เพราะถอื เปน็ มรดกรว่ มของมนุษยชาติ โดยมีองค์กรท่ีเรยี กว่า International Seabed Au t h o rity ( ISA) ท� ำหน้ าท่ีบริหา รจั ดการทรัพ ยากรในบริเวณพื้นที่ เพอ่ื ประโยชน์รว่ มกันของรฐั ตา่ ง ๆ สว่ นหว้ งน้�ำและหว้ งอากาศทอี่ ยเู่ หนือบรเิ วณ พ้นื ที่ รฐั ทุกรฐั ยังคงมสี ิทธิ เสรภี าพในระบอบทะเลหลวง ดังระบุแล้วขา้ งต้น
ทะเลหลวงท่วั โลก 29 ทะเลหลวงท่วั โลก
บทที่ 3 ประโยชน์ จากทะเล
32 กิจกรรมการใช้ประโยชนท์ างทะเล ทะเลไทย ถอื เปน็ แหลง่ ทรพั ยากรทม่ี คี วามอุดมสมบูรณ์อยา่ งยง่ิ ทงั้ ทรพั ยากร ที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ด้ วยความอุ ดมสมบูรณ์ นี้ เอง ท�ำให้ทะเลไทยเป็นท้ัง แหล่งอาหารทสี่ ำ� คัญของคนไทยและคนทว่ั โลก เพราะมากด้วยคณุ ภาพและปรมิ าณ อีกท้ังยังเป็นแหล่งท่องเท่ียวท่ีมีความสวยงามระดับโลก ท�ำให้เป็นหนึ่งในจุดหมาย ท่ีนักท่องเท่ียวท่ัวโลก หมายตาจะมาสัมผัสความงดงามของทะเลไทย โดยทะเล ทง้ั ฝ่ งั อา่ วไทยและฝ่ งั อนั ดามนั เปน็ ทเี่ ลอื่ งลอื ในหมนู่ กั ทอ่ งเทยี่ วเสมอมา จงึ ไมแ่ ปลกนกั ที่ภาพนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจ�ำนวนมากกับทะเลไทยกลายเป็นเร่ืองท่ีคุ้นตา รวมถึงสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างมหาศาล นอกจากนี้ ประเทศไทยมีจุดแข็ง โดยเปน็ ฐานการผลติ สนิ คา้ อตุ สาหกรรมและสนิ คา้ เกษตรรายใหญข่ องโลก จากสภาพ ที่ต้ังของประเทศไทยซึ่งมีแผ่นดินติดกับท้ังทะเลอันดามัน ช่องแคบมะละกา และ อา่ วไทย ซง่ึ เปน็ เสน้ ทางเดนิ เรอื ทส่ี ำ� คญั ระหวา่ งมหาสมทุ รอนิ เดยี และมหาสมทุ รแปซฟิ กิ จึงเป็นพ้ืนที่ซึ่งมีความส�ำคัญทางภูมิรฐั ศาสตร์ จากการส�ำรวจพบว่า ใต้ท้องทะเล บรเิ วณอา่ วไทยมแี หลง่ ปโิ ตรเลยี มกระจายอยทู่ วั่ ไปทส่ี ามารถจะนำ� มาใชใ้ นเชงิ พาณชิ ย์ และเป็นแหล่งพลังงานของประเทศได้
33
34 ประเทศไทยใช้ประโยชน์จากการด�ำเนินกิจกรรมทางทะเล ดังน้ี 1. ด้านการประมง ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ของ ภาคประมงปี 2561 มมี ลู คา่ 108,789 ล้านบาท เนื่องจากการมนี โยบายสำ� คญั ในการแกไ้ ข ปัญหาการท�ำประมงทะเลอย่างต่อเน่ือง ซึ่งส่งผลบวก ท้ังด้านการเพาะเล้ียงสัตว์น้�ำและ การทำ� ประมง แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม ยงั คงมปี จั จยั ลบทอ่ี าจกระทบตอ่ ภาวะเศรษฐกจิ การประมง อาทิ ราคาน้�ำมันตลาดโลกท่ีมีความผันผวน และปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ของประเทศคู่ค้า
35
36 การประมงทะเล แบง่ ออกเปน็ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1.1 การประมงชายฝ่ งั (Inshore Fisheries) หรอื ประมงพื้นบา้ น (Artisanal Fisheries) การท�ำประมงด้วยการจับและเล้ียง เปน็ จำ� นวนมาก โดยจำ� หนา่ ยทง้ั ในรปู ของสด สั ต ว์ น้� ำ ใน แห ล่ ง น้� ำ ก ร่อ ย แ ล ะ น้� ำ เ ค็ ม ต า ม และแปรรูปเปน็ ผลิตภัณฑ์อย่างอ่ืน บรเิ วณพน้ื ทชี่ ายฝ่ งั ทะเลปากแมน่ ้ำ� การประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้�ำชายฝ่ ัง ได้มี เพอื่ ยงั ชพี หาอาหาร สรา้ งรายได้ และกอ่ ใหเ้ กดิ การพัฒนาเทคโนโลยีการเล้ียงอย่างต่อเนื่อง การสรา้ งงานในทอ้ งถน่ิ โดยใชเ้ รอื หรอื เครอื่ งมอื เพ่ือทดแทนสั ต ว์ น้� ำ ท ะ เ ล ท่ี ไ ด้ จ า ก ก า ร จั บ ประมงขนาดเล็ก อาทิ เรือพื้นบ้าน แหหรือ ซงึ่ มแี นวโนม้ ลดลง แตย่ งั คงมคี วามตอ้ งการสงู เบ็ดแบบง่าย ๆ ปัจจุบันเรือส่วนใหญ่จะติด ชนิดสัตว์น้�ำท่ีเพาะเล้ียงกันอย่างแพรห่ ลาย เครอ่ื งยนตเ์ ขา้ ไปด้วย รวมถงึ การใชป้ ระโยชน์ ได้แก่ กุ้งทะเล ปลาน้�ำกรอ่ ย และหอยทะเล จากพนื้ ทช่ี ายทะเลทม่ี นี ้ำ� ทว่ มถงึ บรเิ วณทด่ี อน โดยจังหวดั ทม่ี กี ารเพาะเลี้ยงชายฝ่ งั มากทส่ี ดุ ชายน้�ำ และปา่ ชายเลน ตลอดจนย่านน้�ำต้ืน 5 อนั ดบั ไดแ้ ก่จงั หวดั สมทุ รปราการสมทุ รสาคร ชายฝ่ ังเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตวน์ ้�ำ ซึง่ ปัจจบุ ัน จันทบุรี สุราษฏรธ์ านี และสมุทรสงคราม สตั วน์ ้�ำชายฝ่ งั รายไดใ้ หแ้ กป่ ระเทศ
37 1.2 การประมงพาณิชย์ (Commercial Fisheries) ไม่ใช่การประมงเพ่ือยังชีพ แต่เป็น “ประมงนอกนา่ นน้ำ� ” (Overseas Fisheries) ก า ร ป ร ะ ม ง ใน เข ต ท ะ เ ล เพื่ อ แ ส ว ง ห า ก� ำ ไร นอกจากจะจบั สตั วน์ ้ำ� แลว้ ยงั อาจมกี ารแปรรปู ส่วนใหญ่ธุรกิจประมงแบบนี้ จะผูกพันกับ สัตว์น้�ำแบบครบวงจรด้วย เพื่อเตรยี มส่ง เรอื ประมงที่จับปลาโดยใช้เรอื และเครอ่ื งมือ ผลผลิ ตสู่ตลาดหรือส่งไปจ� ำหน่ ายยัง ประมงขนาดกลางหรอื ใหญ่ มอี ปุ กรณท์ ที่ นั สมยั ต่างประเทศ เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพในการจั บสัตว์น้� ำ ผลประโยชนข์ องทรพั ยากรประมงทะเล และจะใช้เวลาท�ำการประมงหลายวัน อาทิ ( ร ว ม ถึ ง ก า ร ผ ลิ ต สั ต ว์ น้� ำ แ ล ะ พื ช น้� ำ ) อวนลาก อวนลอ้ ม เบด็ ราวทะเลลกึ หรอื อวนลอย ชว่ ยเสรมิ สรา้ งความอยดู่ กี นิ ดขี องประชาชน โดยทั่วไปเจ้าของเรอื จะเป็นผู้ด�ำเนินการเอง โ ด ย เ ฉ พ า ะ ป ร ะ ช า ก ร ที่ อ า ศั ย ใ น บ ริ เว ณ สตั วน์ ้�ำทไ่ี ด้จะขายทง้ั ในทอ้ งถ่ินหรอื ตลาดค้า ชายฝ่ ังทะเลทั้งด้านอ่าวไทยและอันดามัน สตั วน์ ้ำ� ทอ่ี ยใู่ นภาคกลาง อาทิ กรงุ เทพมหานคร ผ ล ผ ลิ ต ข อ ง ก า ร ป ร ะ ม ง ท ะ เ ล เห ล่ า นี้ สมทุ รสาคร และสมทุ รสงคราม ประมงพาณชิ ย์ มีผลกระทบทางบวกที่มีนั ยส�ำคั ญต่ อ ประกอบด้วย “ประมงน้�ำลึก” (Deep Sea ความมั่นคงทางอาหาร ซ่ึงแน่นอนว่า Fisheries) หรอื “ประมงนอกฝ่ งั ” (Offshore เป็นก า ร เ ส ริม สร้างความแข็งแกร่งต่อ Fisheries) คอื การจบั ปลาในระยะหา่ งจากฝ่ งั ความมั่นคงของประเทศตั้งแต่โบราณกาล แต่ไมเ่ กินระยะ 200 ไมล์ทะเลจากชายฝ่ ัง เรามคี ำ� พดู งา่ ย ๆ วา่ “กนิ ขา้ วกบั ปลา” เพราะ ซ่ึงส่วนใหญ่จะท�ำในเขตน่านน้�ำไทย และ ปลาให้โปรตีนท่ีมีคุณภาพสูง ย่อยง่าย “ประมงสากล” หรือ “ประมงไกลบ้าน” มี ไข มั น อ่ิ ม ตั ว ท่ี ไ ม่ เป็ น อั น ต ร า ย ต่ อ ชี วิ ต (Distant Water Fisheries) คือ การจับปลา มีเกลือแรแ่ ละสารต่อต้านอนุมลู อิสระ อาทิ ในน่านน้�ำอืน่ อาทิ เขตทะเลของรฐั ชายฝ่ งั อืน่ ไอโอดีน โอเมก้า 3, 6 และ 9 ถึงแม้ว่า และมหาสมุทรท่ีอยู่เป็นระยะทางไกลจาก คุณภาพอาจจะด้อยกว่าปลาในเขตอบอุ่น ทา่ เรอื ของประเทศนน้ั ๆ หรอื อกี นยั หนง่ึ เรยี กวา่ และเขตหนาว
38 GDP ภาคประมง ปี 2548 - 2561 ล้านบาท 120,000 109,013 109,977 100,000 102,323 101,374 106,091 98,579 96,778 80,000 60,000 40,000 20,000 0 2548 2549 2550 2551 2552 2553 2554
39 113,060 114,112 109,954 109,910 108,789 102,740 103,025 2555 2556 2557 2558r 2559r 2560p 2561p1
40 2. ด้านการขนสง่ และพาณิชยนาวี พระราชบญั ญัติส่งเสรมิ การพาณิชยนาวี พ.ศ. 2521 ได้ให้ความหมายเก่ียวกับพาณิชยนาวี ไวใ้ นมาตรา 4 ดังน้ี 2.1 การพาณิชยน์ าวี หมายความวา่ “การขนสง่ ทางทะเล การประกนั ภยั ทางทะเล การเดนิ เรอื กจิ การอเู่ รอื และกิจการทา่ เรอื และหมายความรวมถึงกิจการอยา่ งอื่นทเี่ กี่ยวเน่ืองโดยตรงหรอื เปน็ สว่ น ประกอบกับกิจการดังกล่าวตามที่ก�ำหนดในกฎกระทรวง” จากค�ำจ�ำกัดความดังกล่าว จะเห็นได้ว่า กิจการพาณิชยนาวี เป็นกิจการท่ีเก่ียวข้องกับกิจกรรมมากมาย ท้ังที่เกิดขึ้น ในทะเลและบนฝ่ ัง 2.2 การขนสง่ ทางทะเล หมายความวา่ “การขนสง่ ของหรอื คนโดยสาร โดยเรอื จากประเทศไทย ไปยังต่างประเทศ หรอื จากตา่ งประเทศมายงั ประเทศไทย หรอื จากทห่ี นึ่ง ไปยงั อกี ทหี่ นงึ่ นอกราชอาณาจกั ร และใหห้ มายความรวมถงึ การขนสง่ ของ หรอื คนโดยสารทางทะเลชายฝ่ งั ในราชอาณาจกั ร โดยเรอื ทม่ี ขี นาดตัง้ แต่ 250 ตันกรอสขึน้ ไปด้วย” ซ่งึ การขนส่งทางทะเลประกอบด้วย
1 ทา่ เรอื 41 หมายความว่า สถานทส่ี ําหรบั 2 เรอื ให้บริการแก่เรือ ในการจอด เทียบ บรรทุก หรอื ขนถ่ายของ หมายความว่า เรอื เดินทะเลทใ่ี ชใ้ น ประกอบด้วย ท่าเรือสินค้า การขนส่งทางทะเล ประกอบด้วย ท่าเรอื ประมง ท่าเรอื โดยสาร เรอื คา้ ระหวา่ งประเทศ หมายถงึ เรอื และทา่ เรอื ท่องเที่ยว ทขี่ นสง่ สนิ คา้ น�ำเข้าและส่งออกของ ประเทศ และเรอื คา้ ชายฝ่ งั หมายถงึ เรอื ทข่ี นสง่ สนิ ค้าในประเทศ 3 สินค้า ประกอบด้วยสินค้าที่ขนส่งโดยเรอื ค้า ระหว่างประเทศหรอื สินค้าน�ำเข้าและ สินค้าส่งออก และสินค้าที่ขนส่งโดย เรอื ค้าชายฝ่ งั หรอื สินค้าในประเทศ จากรายงานสถิติการขนส่งสินค้าทางน้�ำบรเิ วณเมืองท่าชายทะเล ปี พ.ศ. 2559 ปงี บประมาณ 2560 ของกรมเจา้ ทา่ พบวา่ จาํ นวนเรอื ทที่ าํ การ ขนส่งสินค้า ที่มีการแจ้งเข้า - ออก ตามด่านศุลกากรบริเวณเมืองท่า ชายทะเล ในปี 2559 มจี ํานวนทง้ั ส้ิน 161,281 เทย่ี วลํา โดยแยกเป็นเรอื ค้า ตา่ งประเทศ 92,531 เทยี่ วลาํ และเปน็ เรอื คา้ ชายฝ่ งั ทง้ั หมด 68,750 เทย่ี วลาํ ในสว่ นปรมิ าณสินค้าที่ทำ� การขนส่งบรเิ วณเมืองท่าชายทะเล ทม่ี กี ารแจ้ง เข้า - ออก มีปริมาณรวมทั้งส้ิน ประมาณ 262,788,945.902 ตัน เป็นเรอื ค้าต่างประเทศ ประมาณ 211,894,489.738 ตัน เรอื ค้าชายฝ่ ัง ประมาณ 50,894,456.164 ตัน โดยสินค้าที่มกี ารขนสง่ มากทส่ี ุด ได้แก่ ปิโตรเลียม
42 3. ด้านการทอ่ งเท่ียวและนันทนาการทางทะเล ด้วยความอุดมสมบูรณ์และความสวยงามของทะเลไทยและพน้ื ทบ่ี รเิ วณชายฝ่ ัง ท�ำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งท่องเท่ียวท่ีมีชื่อเสียงท่ีสุดแห่งหนึ่งของชายฝ่ ังทะเล ทั้งด้านอ่าวไทยในทะเลจีนใต้ และชายฝ่ ังทะเลอันดามันในมหาสมุทรอินเดีย โดยถูกน�ำมาพัฒนาทางการท่องเท่ียวของไทยได้อย่างต่อเน่ือง สามารถสรา้ งรายได้ จากนักท่องเท่ียวไทยและต่างชาติได้เป็นจ�ำนวนมาก ก่อให้เกิดการหมุนเวียนเงินตรา ภายในประเทศ และสรา้ งอาชีพแก่ประชาชนในพื้นที่ ในปี พ.ศ. 2559 มีผู้เยี่ยมเยียน ใน 23 จงั หวดั ชายฝ่ งั ทะเล ประมาณ 153 ลา้ นคน นำ� รายไดเ้ ขา้ ประเทศ 1.83 ลา้ นลา้ นบาท จากการส�ำรวจพบว่า แหล่งท่องเท่ียวทางทะเลท่ีชาวต่างชาตินิยม เช่น หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบ่ี เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎรธ์ านี และหาดพัทยา จังหวัดชลบุรี เป็นต้น โดยมีกิจกรรมการท่องเทยี่ วทางทะเลทสี่ ำ� คัญ ได้แก่
43 3.1กิจกรรมดำ� น�้ำดปู ะการัง เป็นการท่องเที่ยวท่ีให้นักท่องเท่ียว ไดร้ บั อทิ ธพิ ลลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ไดล้ งไปสมั ผสั กบั โลกใตท้ ะเล ทมี่ คี วามสวยงาม จากประเทศจีน ท�ำให้มีฤดูการท่องเที่ยว ตระการตา จุดด�ำน้�ำมีหลายแห่งในทะเล ต้ั ง แ ต่ ป ล า ย เ ดื อ น เ ม ษ า ย น ถึ ง เ ดื อ น แถบภาคตะวันออก เป็นศูนย์รวมคนรัก พฤศจิกายน และฝ่ ังอันดามันได้รับลม ธรรมชาตทิ างทะเล สามารถพบปะแลกเปลยี่ น มรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใตจ้ ากมหาสมทุ รอนิ เดยี ประสบการณ์ ใหม่ ๆ ใต้ ท้องทะเล และ ท� ำ ใ ห้ มีฤดูการท่องเที่ยวตั้งแต่เดือน สนุกเพลดิ เพลนิ กับกิจกรรมด�ำน้�ำ พบฝงู ปลา พฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน ดังนั้ น มากมายหลากหลายชนิดใต้ทอ้ งทะเลสคี ราม เม่ือรวมทะเลไทยท้ังสองฝ่ ังเข้าด้วยกัน น้�ำทะเลใส ท่อี ุดมสมบูรณ์ จงึ กลา่ วไดว้ า่ ทะเลของประเทศไทยสามารถ แหล่งด�ำน้�ำของประเทศไทยกระจาย ทอ่ งเทยี่ วได้ตลอดท้งั ปี โดยผลัดกันฝ่ ังละ อ อ ก ไป ท้ั ง 2 ฝ่ ั ง ท ะ เ ล โ ด ย ฝ่ ั ง อ่ า ว ไท ย 6 เดือน
44 3.2 กจิ กรรมการแข่งขันกีฬาทางทะเล ประเทศไทยมกี ารจดั การแขง่ ขนั กฬี าทางทะเลทห่ี ลากหลาย ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ซ่ึงมีการแข่งขันทะเล ทัง้ ด้านอ่าวไทยและด้านอันดามัน อาทิ 3.2.1 การแข่งขนั ตกปลา 3.2.2 การแลน่ เรอื ใบ - เรอื ยอชท์ ประเทศไทยเป็นจุดหมายหน่ึง จงั หวดั ภเู กต็ เปน็ ศนู ยก์ ลางการทอ่ งเทยี่ ว ซ่ึงได้รบั ความนิยมในหมู่นักท่องเท่ียว ในทะเลอันดามนั มกี ิจกรรมท่องเทีย่ วทางทะเล ผชู้ นื่ ชอบการตกปลา นกั ทอ่ งเทยี่ วเหลา่ นี้ หลากหลาย หนึ่งในกิจกรรมท่ีได้รบั ความนิยม มีทั้งกลุ่มที่ตกปลาเป็นสันทนาการและ จากทงั้ ชาวไทยและตา่ งประเทศ คอื การเลน่ เรอื ใบ มาเพ่ือร่วมการแข่งกีฬาตกปลาแบบ และท่องเท่ียวทางทะเลด้วยเรอื ยอชท์ เพ่ือชม จรงิ จงั ทง้ั นี้ กเ็ พราะทะเลไทยเตม็ ไปดว้ ย ความงามของท้องทะเลไทยและเกาะแก่งต่าง ๆ ป ล า ห ล า ย ช นิ ด ที่ อ ยู่ ใ น ท� ำ เนี ย บ ของ รอบเกาะภเู กต็ และบรเิ วณจงั หวดั พงั งา มกี ารจดั สมาคมนกั ตกปลานานาชาติ เชน่ ปลาเกา๋ การแข่งขันท่ีมีชื่อเสียงระดับโลกหลายรายการ ปลาช่อนทะเล ปลาโฉมงาม ปลาสาก อาทิ การแขง่ ขนั เรอื ใบนานาชาตชิ งิ ถว้ ยพระราชทาน เปน็ ตน้ แมว้ า่ กฬี าตกปลาจะไมเ่ คยถกู จดั หรอื ภูเก็ต คิง คัพ รกี ัตตา ท่ีมีผู้เข้ารว่ มการ ให้แข่งขันในโอลิมปิคและเอเชียนเกมส์ แข่งขันจากหลายประเทศทั่วโลก นอกจากน้ี แต่เราก็ได้พบเห็นการแข่งขันตกปลา ยงั สามารถทอ่ งเทยี่ วเมอื งพทั ยา โดยการนงั่ เรอื ยอรช์ อยู่ท่ัวไปต้ั งแต่ ระดั บท้องถ่ินจนถึ ง ชมความงามของทอ้ งทะเลได้อีกด้วย ระดับนานาชาติ
45 Formula1 3.2.4 การแข่งขนั เรือเรว็ Formula1 สมาคมกีฬาเรอื เรว็ แห่งประเทศไทย รว่ มกบั ภาคเอกชนจดั การแขง่ ขนั เรอื เรว็ ครง้ั แรก 3.2.3 การแขง่ ขันเจต็ สกี ในรายการ “World Formula1 Powerboat Thailand Grand Prix 1992” ณ ฐานทัพเรอื ประเทศไทยมกี ารจดั การแขง่ ขนั เจต็ สกี สัตหีบ จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นหน่ึงในสนาม เปน็ ประจำ� ทกุ ปี สว่ นใหญจ่ ะจดั ขนึ้ ทเี่ มอื งพทั ยา การแข่งขันเก็บคะแนนชิงแชมป์โลก ภายใต้ จงั หวดั ชลบรุ ี อาทิ การแขง่ ขนั เจต็ สกโี ปรทวั ร์ การควบคมุ ของสหพันธเ์ รอื เรว็ นานาชาติ ชงิ แชมปป์ ระเทศไทย และการแขง่ ขนั เจ็ตสกี เวลิ ดค์ พั ซง่ึ ในปี 2560 นกั กฬี าเจต็ สกขี องไทย สามารถคว้ารางวลั แชมปโ์ ลกได้ถึง 7 คน
46 3.3 กิจกรรมพกั ผอ่ นและการชมทิวทศั นช์ ายหาด ซงึ่ มลี กั ษณะแตกตา่ งกนั ตามสภาพภมู ปิ ระเทศ และสภาพแวดลอ้ มทวั่ ไป เชน่ หาดทราย อาจมีทรายละเอียด หรอื ทรายหยาบ สีเม็ดทรายที่ต่างกันไป โดยประเทศไทยมีชายหาด สวยงาม มีช่ือเสียง เป็นสถานที่พักผ่อนและชมทิวทัศน์ชายหาดของนักท่องเที่ยวท้ังชาวไทย และชาวต่างชาติในหลายจังหวดั อาทิ ประจวบคีรขี นั ธ์ ตราด กระบี่ ภเู ก็ต และพังงา 3.4 กจิ กรรมทางทะเลอ่นื ๆ กรงุ เทพมหานคร ฉะเชิงเทรา สมุทรสาคร ชลบุร� เป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยว สมุทรสงคราม สมทุ รปราการ ท้ังชาวไทยและชาวต่างชาตินิยม ระยอง สามารถพบได้ท้ังทะเลฝ่ ังอันดามัน เพชรบุร� พทั ยา จันทบรุ � และฝ่ ังอ่าวไทย อาทิ บานาน่าโบ๊ท พาราเซลลงิ่ ฟลายบอรด์ และสวนน้ำ� ประจวบครี ข� นั ธ อาวไทย ตราด นันทนาการ เกาะชาง ชุมพร แหลง ดำนำ้ ท่ีสำคญั ในประเทศไทย สถานที่ทองเที่ยวทางทะเลทส่ี ำคัญ หมเู กาะชุมพร ของประเทศไทย เกาะเตา ระนอง หมูเ กาะ เกาะสมุย อา งทอง หมเู กาะสุร�นทร สรุ าษฎรธานี หมเู กาะสิมิลัน พังงา ภเู ก็ต กระบ่ี นครศรธ� รรมราช หมูเ กาะ ตรงั พทั ลงุ หมูเ กาะราชา พ�พ� ชองแคบมะละกา สตลู สงขลา ปตตานี ยะลา นราธวิ าส
47 4. ด้านพลังงาน แหล่งปิโตรเลียม ปิโตรเลียมเป็นสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอนท่ีเกิดจากซากส่ิงมีชีวิตท้ังพืชและ สัตว์ ที่สะสมทบั ถมปนอยู่กับตะกอนดินทง้ั บนบกและ ในทะเล โดยจะถูกแบคทีเรยี และเช้ือราเปลี่ยนสภาพ เป็นอินทรยี วัตถุ เมื่อเวลาผ่านไปบรเิ วณดังกล่าวจะ ค่อย ๆ ทรุดตัวหรือจมลงภายใต้ผิวโลกลึกมากขึ้น แ ล ะ จ า ก แร ง ก ด ท่ี เพ่ิ ม ม า ก ขึ้ น จ า ก น้� ำ ห นั ก ข อ ง ช้ั น ตะกอนท่ีทับถมอยู่ด้านบน ตลอดจนอุณหภมู ทิ ่สี ูงข้ึน มีผลท�ำให้อินทรียวัตถุแปรสภาพและสลายตัวเป็น สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนที่เรยี กว่า ปิโตรเลียม ซง่ึ ปโิ ตรเลยี มแบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คือ 1. นำ้� มันดบิ (Crude Oil) ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่ได้จากน้�ำมันดิบ อาทิ ก๊าซปิโตรเลียมเหลวหรอื ก๊าซหุงต้ม น้ำ� มนั เชอื้ เพลงิ รถยนต์ (เบนซนิ และดเี ซล) น้ำ� มนั เชอื้ เพลงิ เครอื่ งบนิ น้ำ� มนั กา๊ ด น้�ำมันเตา และยางมะตอย 2. กา๊ ซธรรมชาติ (Natural Gas) ซง่ึ มผี ลิตภัณฑ์ทไ่ี ด้จากก๊าซธรรมชาติ อาทิ ก๊าซสำ� หรบั รถยนต์ (NGV และ LPG) เชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า อุตสาหกรรมถนอมอาหาร และ อุตสาหกรรมน้�ำอัดลมและเบียร์ 3. ก๊าซธรรมชาติเหลว (Condensate) ซง่ึ มีผลิตภัณฑ์ทไี่ ด้จากก๊าซธรรมชาติเหลว อาทิ เช้อื เพลิงในการผลิตกระแส ไฟฟ้า เชอ้ื เพลิงสำ� หรบั ยานยนต์ (NGV) และเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม ประเทศไทยเรม่ิ การเจาะส�ำรวจและผลิตปิโตรเลียมในบรเิ วณอ่าวไทยครง้ั แรกในปี พ.ศ. 2511 ซงึ่ แหลง่ ปโิ ตรเลยี มแหง่ แรกของอา่ วไทย คอื แหลง่ เอราวณั ทงั้ น้ี การจดั หาปโิ ตรเลยี ม ของประเทศไทยในปี 2559 โดยข้อมูลจากกรมเช้ือเพลิงธรรมชาติ มีการจัดหาจากแหล่ง ภายในประเทศ รวมท้ังสิ้น 0.879 ล้านบารเ์ รล เทียบเท่าน้�ำมันดิบต่อวัน เม่ือเปรยี บเทียบกับ ปี 2558 เพิ่มขนึ้ รอ้ ยละ 0.5 แบ่งเป็น การจัดหาในรูปน้�ำมนั ดิบ รอ้ ยละ 19 (163,680 บารเ์ รล ต่อวัน) ก๊าซธรรมชาติเหลว รอ้ ยละ 11 (97,185 บารเ์ รลต่อวนั ) และ ก๊าซธรรมชาติ รอ้ ยละ 70 (3,544 ล้านลกู บาศก์ฟตุ ต่อวัน) โดยรวมคิดเป็น รอ้ ยละ 43 ของการจัดหาปิโตรเลียมท้งั หมด ส่วนที่เหลือ รอ้ ยละ 57 ต้องน�ำเขา้ จากต่างประเทศ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147