หลักสูตรประกาศนียบัตรวชิ าชีพครู คณะศกึ ษาศาสตร์และศิลปะศาสตร์ วทิ ยาลัยบณั ฑิตเอเซีย นวัตกรรมทางการศกึ ษา คามรู้เบือ้ งต้นเก่ียวกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ และเทคโนโลยี สารสนเทศเพ่ือการเรียนรู้ รายงานนีเ้ ป็ นส่วนหน่ึงของรายวชิ านวัตกรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศการศกึ ษา จัดทาโดย นาเสนอ ด.ร. กฤษฎนั ธ์ พงษ์บริบรู ณ์ นางสาวสพุ ิชชา ปักสงั คะเณย์ ห้อง 6 เลขท่ี 24
รายงาน นวัตกรรมสารสนเทศและเทคโนโลยี เร่อื ง ความรู้ทัว่ ไปสารสนเทศกบั คอมพิวเตอร์ จดั ทาโดย นางสาวสุพชิ ชา ปกั สังคะเณย์ เสนอ ด.ร.กฤษฎาพันธ์ พงษ์บริบูรณ์ หลกั สตู รปกาศนยี บัตรวิชาชีพ คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยบัณเอเซีย
คานา รายงานเร่ือง “ความรู้ทั่วไปสารสนเทศกับคอมพิวเตอร์” ฉบับน้ี เป็นส่วนหนึ่งของนวัตกรรม สารสนเทศและเทคโนโลยี รหัสวิชา สาขาวิชาศึกษาศาสตร์บัณฑิต หลักสูตรปกาศนียบัตรวิชาชีพ คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บัณฑติ เอเชีย มีจุดประสงค์เพอ่ื ศึกษาหาความรู้จากการศึกษาเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่อื นามาใชใ้ นการเรียนการสอน สามารถบอกความหมาย หรือรู้ข้อมูลทั่วไปของสารสนเทศ และประโยชน์ จากการศกึ ษาได้ ข้าพเจ้าหวงั เป็นอย่างยิง่ วา่ เนื้อหาในรายงานฉบับน้ที ีไ่ ด้เรียบเรียงมาจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ผู้สนใจเป็น อยา่ งดี หากมีส่งิ ใดในรายงานฉบบั นี้ต้องปรับปรุง ขา้ พเจา้ ขอน้อมรับในขอ้ ชีแ้ นะ และจะนาไปแก้ไขหรือ พั ฒ น า ใ ห้ ถู ก ต้ อ ง ส ม บู ร ณ์ ต่ อ ไ ป นางสาวสพุ ิชชา ปักสงั คะเณย์ ผูจ้ ัดทา
สารบัญ หนา้ เรื่อง 1 3 บทที่ 1 3 1. ประวตั ิทีม่ าท่ีมาและความสาคญั 5 1.1ความหมายของนวตั กรรมการศึกษาและเทคโนโลยีทางการศกึ ษา 6 1.2ความหมายของนวัตกรรมการศกึ ษา 7 1.3ความหมายของเทคโนโลยี 7 1.4เป้าหมายของเทคโนโลยีการศกึ ษา 8 1.5แนวคดิ พืน้ ฐานของนวตั กรรมทางการศกึ ษา 8 1.6นวัตกรรมทางการศึกษาท่สี าคัญของไทยในปจั จุบัน (2546) 9 1.7ประเภทของนวัตกรรมทางการศกึ ษา 10 1.8การจาแนกตามลักษณะของนวตั กรรม 11 1.9 การจาแนกตามจุดเน้นของนวัตกรรม 11 1.10ลักษณะของนวัตกรรม 12 1.11กระบวนการสรา้ งและพฒั นานวตั กรรมทางการศกึ ษา 12 1.12นวตั กรรมแบง่ ออกเปน็ 3 ระยะ 13 1.13นวตั กรรมทางการศกึ ษาท่ีสาคัญของไทยในปัจจบุ นั 13 1.14ประเภทของการใช้นวัตกรรมการศกึ ษาในประเทศไทย 13 1.15 นวัตกรรมทางดา้ นหลักสตู ร 14 1.16นวตั กรรมการเรยี นการสอน 14 1.17นวตั กรรมสือ่ การสอน 14 1.18นวตั กรรมทางดา้ นการประเมินผล 15 1.19 นวัตกรรมการบริหารจดั การ 18 1.20นวตั กรรมทางการศึกษาตา่ งๆ ท่ีกลา่ วถงึ กันมากในปจั จุบัน 19 1.21- E-learning 19 1.22ลกั ษณะสาคญั ของ e-Learning (Feature of e-Learning) 1.23ขอ้ ได้เปรยี บ และข้อจากดั ของ e-Learning (advantage of e-Learning) 1.24ข้อจากัด
สารบญั (ต่อ) เรื่องบทที่1 หน้า 1.25 ระดบั ของส่อื สาหรบั e-Learning (Level of media for e-Learning) 20 1.26ระดบั ของการนา e-Learning ไปใช้ในการเรยี นการสอน 21 1.27 m-Learning 23 1.28การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนซ่งึ สามารถจัดเปน็ ประเภทของอปุ กรณ์คอมพวิ เตอร์ 23 แบบพกพาได้ 3 กลมุ่ ใหญ่ หรอื จะเรียกว่า 3Ps 1.29 เครอื่ งเล่น MP3 23 กระบวนการเรียนรูแ้ บบ M – Learning 24 1.30 ประโยชนแ์ ละขอ้ จากดั ของ M – Learning 24 1.31ข้อดขี อง M – Learning 24 1.32ขอ้ ดอ้ ยของ M – Learning 25 1.33 บทบาทของ M-Learning 25 1.34 ผลกระทบต่อการศึกษา และการเรยี นการสอน 26 1.35 สรปุ บทบาทของ M-Learning กบั การศกึ ษา 26 1.36 การเปล่ียนแปลงเทคโนโลยกี ารศกึ ษา 26 1.37การเปลย่ี นแปลงของเทคโนโลยที ี่มีผลต่อสถานศึกษา 27 1.38แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงท่ีสาคัญที่เกิดจากเทคโนโลยี 29 1.39ปญั หาและอปุ สรรคในการใช้นวตั กรรมและเทคโนโลยที างการศึกษา 29 1.40 สภาพปัจจุบนั และปญั หาการใชเ้ ทคโนโลยกี ารศึกษาในประเทศไทย 30 1.41ปญั หาท่พี บในการใชน้ วตั กรรมการศกึ ษา 31 1.42ปญั หา อุปสรรค การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารของสถานศกึ ษา 31 1.43 คอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ เทอรเ์ นต็ 33 1.44ระบบการสืบคน้ ผ่านเครือข่ายเพื่อการเรยี นรู้ 33 1.45ระบบเครอื ขา่ ยในโรงเรียน คืออะไร 34. 1.46 ประโยชน์ของการใช้ระบบเครือขา่ ย ( LAN ) ในโรงเรยี น 35 1.47 การสืบค้น และรับสง่ ข้อมูล แฟม้ ข้อมูล และสารสนเทศเพ่ือใช้ในการจดั การเรยี นรู้ 36 1.48 ประโยชนข์ องการรบั -สง่ ข้อมูลทางจดหมายอเิ ล็กทรอนกิ ส์ 37 1.49 เวบ็ ไซต์ที่ให้บริการฟรอี ีเมล
สารบญั (ต่อ) หนา้ เรือ่ งบทที่ 2 ความรู้เบอื้ งตน้ ของสารสนเทศ 38 39 2.1ววิ ฒั นาการของสารสนเทศ 41 2.2พ้นื ฐานเกย่ี วกบั คอมพวิ เตอร์ 42 2.3ระบบสารสนเทศในปัจจุบันและอนาคต 43 2.4ววิ ัฒนาการของสารสนเทศ 43 2.5สาเหตุทีท่ าให้เกิดสารสนเทศ 44 2.6ความหมายของคาวา่ ข้อมูล 45 2.7ชนดิ ของขอ้ มูล (Types of Data) 46 2.8กรรมวิธีการจัดการขอ้ มูล(Datamanipulation) (ใหม้ ีคณุ ค่าเปน็ สารสนเทศ) 47 2.9ความหมายของสารสนเทศ (Information) 48 2.10หลักเกณฑก์ ารประเมนิ ผลลัพธ์ หรือผลผลิต (Criterias to Evaluated Outputs) 50 2.11คณุ ลักษณะของสารสนเทศท่ดี ี (Characteristics of Information) 52 2.12คุณภาพของสารสนเทศ (Quality of Information/Information Quality) 52 2.13ความสาคัญของสารสนเทศ 53 2.14บทบาทของสารสนเทศ (Role of Information) 56 2.15องคป์ ระกอบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 56 2.16ความสาคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 57 2.17ปจั จยั ท่ีทาให้เกดิ ความลม้ เหลวในการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ 58 2.18ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศ 62 2.19เทคโนโลยสี ารสนเทศกับการใช้ชีวิตในสงั คมปัจจบุ ัน 2.20ประโยชนข์ องระบบสารสนเทศ
สารบัญ(ตอ่ ) หน้า 62 บทที่ 3 คอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ -เทอร์เนต็ กบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 68 3.1 เทคโนโลยีและสารสนเทศเพอื่ การเรียนรู้ 75 3.2ส่ือเพ่ือการเรยี นรู้ 80 3.4หลัการออกแบบนวัตกรรมและสอ่ื เพ่อื การเรียนรู้ 90 3.5การเรยี นรู้ แหล่งเรยี นรู้ เครอื ข่ายการเรยี นรู้ 96 3.6การจัดการเรียนรู้บนเครอื ข่ายอินเทอรเ์ นต็ 97 3.7ระบบการสืบค้นผ่านเครือข่ายเพื่อการเรยี นรู้ 97 3.8การสืบค้น และรับส่งข้อมลู แฟ้มข้อมูล 109 3.9สารสนเทศเพื่อใช้ในการจดั การเรียนรู้ 114 3.10การวเิ คราะหป์ ัญหาทเี่ กิดจากการใชน้ วัตกรรม ข้อสอบท้ายบทเรียน บรรณานุกรรม
1 บทท่ี 1 1. ประวัตคิ วามเปน็ มาและความสาคัญ นวัตกรรมมีความสาคัญต่อการศึกษาหลายประการ เนื่องจากในโลกยุคโลกาภิวัตน์โลกมีการ เปลี่ยนแปลงในทุกด้านอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างย่ิงความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ การศึกษาจึงจาเป็นต้องมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากระบบการศึกษาท่ีมีอยู่เดิม เพ่ือให้ทันสมัยต่อการ เปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี และสภาพสังคมทีเ่ ปลยี่ นแปลงไป อกี ทัง้ เพ่ือแก้ไขปัญหาทางด้านศึกษาบางอย่าง ที่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ อีกท้ังการเปล่ียนแปลงทางด้านการศึกษาจึงจาเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับ นวัตกรรมการศึกษาที่จะนามาใช้เพ่ือแก้ไขปัญหาทางการศึกษาในบางเรื่อง เช่น ปัญหาท่ีเกี่ยวเน่ืองกัน จานวนผู้เรียนท่มี ากขน้ึ การพฒั นาหลกั สตู รให้ทนั สมยั การผลิตและพฒั นาส่ือใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อตอบสนองการ เรียนร้ขู องมนุษย์ให้เพ่มิ มากข้นึ ด้วยระยะเวลาที่สนั้ ลง การใชน้ วตั กรรมมาประยุกตใ์ นระบบการบริหารจัดการ ด้านการศกึ ษาจงึ มสี ว่ นชว่ ยใหก้ ารใชท้ รัพยากรการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เกิดการเรียนรู้ด้วย ตนเอง นวัตกรรมการศึกษาเกิดขึน้ ตามสาเหตใุ หมๆ่ ดงั ต่อไปนี้ 1. การเพ่มิ ปริมาณของผู้เรยี นในระดับช้นั ประถมศกึ ษาและมัธยมศึกษาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทาให้นัก เทคโน โลยีการ ศึก ษาต้องหานวั ตกร ร มใหม่ๆ มาใช้ เพ่ื อให้สามาร ถสอ น นัก เรียน ได้มาก ข้ึน 2. การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็ว การเรียนการสอนจึงต้องตอบสนองการเรียน การสอนแบบใหม่ๆ ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้เร็วและเรียนรู้ได้มากในเวลาจากัดนั ก เทคโนโลยี การศึกษาจงึ ต้องคน้ หานวัตกรรมมาประยกุ ต์ใช้เพ่ือวัตถุประสงคน์ ี้ 3. การเรียนรู้ของผู้เรียนมีแนวโน้มในการเรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น ตามแนวปรัชญาสมัยใหม่ท่ียึด ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง นวัตกรรมการศึกษาสามารถช่วยตอบสนองการเรียนรู้ตามอัตภาพ ตามความสามารถ ของแต่ละคน 4. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีโทรคมนาคมท่ีส่วนผลักดันให้มีการใช้ นวัตกรรมการศกึ ษาเพ่ิมมากข้ึน 1.1 ความหมายของนวตั กรรมการศกึ ษาและเทคโนโลยที างการศึกษา “นวัตกรรม” หมายถงึ ความคิด การปฏิบตั ิ หรอื สิ่งประดิษฐใ์ หม่ๆทยี่ งั ไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการ พฒั นาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยูแ่ ล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดีย่ิงขึ้น เม่ือนานวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การ ทางานน้ั นไ ด้ผลดีมีปร ะสิ ทธิ ภาพ และประ สิทธิ ผลสูง กว่ าเดิมท้ั งยังช่ วย ปร ะ หยัดเวลาและ แรง งานไ ด้ด้ ว ย “นวตั กรรม” (Innovation) มีรากศัพท์มาจาก innovare ในภาษาลาติน แปลว่า ทาส่ิงใหม่ข้ึนมา ความหมาย ของนวัตกรรมในเชิงเศรษฐศาสตร์คือ การนาแนวความคิดใหม่หรือการใช้ประโยชน์จากส่ิงที่มีอยู่แล้วมาใช้ใน รปู แบบใหม่ เพื่อทาให้เกิดประโยชนท์ างเศรษฐกจิ หรือก็คือ ”การทาในสิ่งท่ีแตกต่างจากคนอ่ืน โดยอาศัยการ
2 เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (Change) ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส (Opportunity) และถ่ายทอดไปสู่ แนวความคิดใหม่ที่ทาให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม” แนวความคิดนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงต้น ศตวรรษที่ 20 โดยจะเห็นได้จากแนวคิดของนักเศรษฐอุตสาหกรรม เช่น ผลงานของ Joseph Schumpeter ใน The Theory of Economic Development,1934 โดยจะเน้นไปที่การสร้างสรรค์ การวิจัยและพัฒนา ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันจะนาไปสู่การได้มาซ่ึง นวัตกรรมทางเทคโนโลยี ( Technological Innovation) เพอ่ื ประโยชน์ในเชิงพาณชิ ยเ์ ปน็ หลัก นวตั กรรมยงั หมายถงึ ความสามารถในการเรียนรู้และนาไป ปฎบิ ตั ิใหเ้ กดิ ผลไดจ้ ริงอกี ดว้ ย (พนั ธ์อุ าจ ชยั รัตน์ , Xaap.com) คาว่า “นวัตกรรม” เป็นคาท่ีค่อนข้างจะใหม่ในวงการศึกษาของไทย คานี้ เป็นศัพท์บัญญัติของ คณะกรรมการพจิ ารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มาจากภาษาอังกฤษว่า Innovation มาจาก คากรยิ าว่า innovate แปลวา่ ทาใหม่ เปล่ยี นแปลงให้เกิดส่ิงใหม่ ในภาษาไทยเดิมใช้คาว่า “นวกรรม” ต่อมา พบว่าคาน้มี ีความหมายคลาดเคลอ่ื น จงึ เปล่ยี นมาใชค้ าว่า นวัตกรรม (อ่านว่า นะ วัด ตะ กา) หมายถึงการนา สิ่งใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงเพ่ิมเติมจากวิธีการที่ทาอยู่เดิม เพ่ือให้ใช้ได้ผลดียิ่งข้ึน ดังนั้นไม่ว่าวงการหรือ กจิ การใด ๆ ก็ตาม เมอื่ มกี ารนาเอาความเปลีย่ นแปลงใหม่ๆ เข้ามาใชเ้ พอื่ ปรบั ปรงุ งานให้ดขี ้ึนกว่าเดิมก็เรียกได้ ว่าเป็นนวัตกรรมของวงการน้ันๆ เช่นในวงการศึกษานาเอามาใช้ ก็เรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation) สาหรับผู้ที่กระทา หรือนาความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ มาใช้นี้ เรียกว่าเป็น “นวัตกร” (Innovator) (boonpan edt01.htm) ทอมสั ฮวิ ช์ (Thomas Hughes) ได้ให้ความหมายของ “นวัตกรรม” ว่า เป็นการนาวิธีการใหม่ ๆ มา ปฏบิ ัติหลังจากไดผ้ า่ นการทดลองหรือได้รับการพฒั นามาเปน็ ขนั้ ๆ แล้ว เรม่ิ ตั้งแต่การคิดค้น (Invention) การ พัฒนา (Development) ซง่ึ อาจจะเป็นไปในรูปของ โครงการทดลองปฏบิ ตั กิ อ่ น (Pilot Project) แล้วจึงนาไป ปฏิบัติจรงิ ซึ่งมีความแตกตา่ งไปจากการปฏบิ ัตเิ ดมิ ที่เคยปฏิบัติมา (boonpan edt01.htm) มอร์ตัน (Morton,J.A.) ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ว่าเป็นการทาให้ใหม่ขึ้นอีกครั้ง(Renewal) ซึ่ง หมายถึง การปรับปรุงสิ่งเก่าและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงาน หรือองค์การน้ัน ๆ นวัตกรรม ไม่ใช่การขจัดหรือล้มล้างส่ิงเก่าให้หมดไป แต่เป็นการ ปรับปรุงเสริมแต่งและพัฒนา (boonpan edt01.htm) ไชยยศ เรอื งสวุ รรณ (2521 : 14) ไดใ้ หค้ วามหมาย “นวัตกรรม” ไวว้ า่ หมายถงึ วิธีการปฎิบัติใหม่ๆ ที่ แปลกไปจากเดมิ โดยอาจจะไดม้ าจากการคิดคน้ พบวิธกี ารใหม่ๆ ข้ึนมาหรือมีการปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสม และส่ิงท้งั หลายเหล่าน้ีได้รับการทดลอง พฒั นาจนเป็นท่ีเช่ือถือได้แล้วว่าได้ผลดีในทางปฎิบัติ ทาให้ระบบก้าว ไปสจู่ ุดหมายปลายทางไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพขึน้ จรญู วงศส์ ายัณห์ (2520 : 37) ได้กล่าวถึงความหมายของ “นวัตกรรม” ไว้ว่า “แม้ในภาษาอังกฤษ เอง ความหมายก็ต่างกันเป็น 2 ระดับ โดยทั่วไป นวัตกรรม หมายถึง ความพยายามใด ๆ จะเป็นผลสาเร็จ หรือไม่ มากน้อยเพียงใดก็ตามท่ีเป็นไปเพื่อจะนาส่ิงใหม่ ๆ เข้ามาเปล่ียนแปลงวิธีการท่ีทาอยู่เดิมแล้ว กับอีก ระดบั หนึ่งซง่ึ วงการวิทยาศาสตรแ์ หง่ พฤติกรรม ไดพ้ ยายามศึกษาถึงท่ีมา ลักษณะ กรรมวิธี และผลกระทบที่มี
3 อยู่ต่อกลุ่มคนท่ีเกี่ยวข้อง คาว่า นวัตกรรม มักจะหมายถึง ส่ิงที่ได้นาความเปลี่ยนแปลงใหม่เข้ามาใช้ได้ ผลสาเรจ็ และแผ่กวา้ งออกไป จนกลายเป็นการปฏบิ ัติอยา่ งธรรมดาสามญั (บุญเกอ้ื ควรหาเวช , 2543) ความหมายของนวตั กรรมการศกึ ษา “นวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation )” หมายถึง นวัตกรรมท่ีจะช่วยให้การศึกษา และ การเรยี นการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งข้ึน ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกดิ แรงจูงใจในการเรยี นด้วยนวัตกรรมการศึกษา และประหยดั เวลาในการเรียนได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีการใช้ นวัตกรรมการศึกษามากมายหลายอย่าง ซึ่งมีทั้งนวัตกรรมท่ีใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว และประเภทท่ีกาลัง เผยแพร่ เช่น การเรียนการสอนที่ใชค้ อมพวิ เตอร์ช่วยสอน (Computer Aids Instruction) การใช้แผ่นวิดีทัศน์ เชิงโตต้ อบ (Interactive Video) สื่อหลายมิติ ( Hypermedia ) และอินเทอร์เน็ต [Internet] เหล่าน้ี เป็นต้น (วารสารออนไลน์ บรรณปัญญา.htm) “นวัตกรรมทางการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถึง การนาเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ใน รูปของความคิดหรือการกระทา รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษา เพ่ือมุ่งหวังท่ีจะ เปล่ยี นแปลงส่ิงทีม่ อี ย่เู ดิมให้ระบบการจดั การศกึ ษามีประสิทธภิ าพยิ่งขนึ้ ทาให้ผูเ้ รยี นสามารถเกิดการเรียนรู้ได้ อยา่ งรวดเรว็ เกิดแรงจูงใจในการเรียน และช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ ชว่ ยสอน การใชว้ ดี ทิ ศั นเ์ ชงิ โต้ตอบ(Interactive Video) สื่อหลายมติ ิ (Hypermedia) และอินเตอร์เน็ต เหล่านี้ เป็นตน้
4 1.3 ความหมายของเทคโนโลยี ความเจริญในด้านต่างๆ ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าทดลอง ประดษิ ฐ์คิดคน้ สงิ่ ตา่ งๆ โดยอาศยั ความรทู้ างวิทยาศาสตร์ เมื่อศึกษาค้นพบและทดลองใช้ได้ผลแล้ว ก็นาออก เผยแพรใ่ ชใ้ นกิจการด้านต่างๆ สง่ ผลใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงพัฒนาคุณภาพ และประสิทธิภาพในกิจการต่างๆ เหล่าน้ัน และวิชาการท่ีว่าด้วยการนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มาใช้ในกิจการด้านต่างๆ จึงเรียกกันว่า “วทิ ยาศาสตรป์ ระยกุ ต์” หรอื นิยมเรียกกนั ท่วั ไปวา่ “เทคโนโลยี” (boonpan edt01.htm) เทคโนโลยี หมายถึงการใช้เคร่อื งมือให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในการแก้ปัญหา ผู้ที่นาเอาเทคโนโลยี มาใช้ เรยี กว่านกั เทคโนโลยี (Technologist) (boonpan edt01.htm) เทคโนโลยีทางการศึกษา (Educational Technology) ตามรูปศัพท์ เทคโน (วิธีการ) + โลยี(วิทยา) หมายถึง ศาสตร์ท่ีว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนาวิธีการ มาปรับปรุงประสิทธิภาพของ การศึกษาให้สูงข้นึ เทคโนโลยีทางการศึกษาครอบคลุมองค์ประกอบ 3 ประการ คือ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ (boonpan edt01.htm) สภาเทคโนโลยีทางการศึกษานานาชาติได้ให้คาจากัดความของ เทคโนโลยีทางการศึกษา ว่าเป็นการ พัฒนาและประยุกต์ระบบเทคนิคและอุปกรณ์ ให้สามารถนามาใช้ในสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม เพ่ือสร้าง เสรมิ กระบวนการเรยี นร้ขู องคนให้ดยี ่งิ ข้นึ (boonpan edt01.htm) ดร.เปรือ่ ง กุมุท ไดก้ ล่าวถงึ ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษาว่า เป็นการขยายขอบข่ายของการใช้ ส่อื การสอน ให้กว้างขวางข้ึนทั้งในด้านบุคคล วัสดุเครื่องมือ สถานท่ี และกิจกรรมต่างๆในกระบวนการเรียน การสอน (boonpan edt01.htm) Edgar Dale กล่าวว่า เทคโนโลยีทางการศึกษา ไม่ใช่เคร่ืองมือ แต่เป็นแผนการหรือวิธีการทางาน
5 อย่างเป็นระบบ ให้บรรลผุ ลตามแผนการ (boonpan edt01.htm) นอกจากนเ้ี ทคโนโลยที างการศกึ ษา เป็นการขยายแนวคิดเกี่ยวกับโสตทัศนศึกษา ให้กว้างขวางย่ิงข้ึน ทัง้ นี้ เน่ืองจากโสตทศั นศึกษาหมายถึง การศึกษาเก่ียวกับการใช้ตาดูหฟู งั ดังนั้นอุปกรณใ์ นสมยั กอ่ นมกั เน้นการ ใช้ประสาทสัมผัส ด้านการฟังและการดูเป็นหลัก จึงใช้คาว่าโสตทัศนอุปกรณ์ เทคโนโลยีทางการศึกษา มี ความหมายทกี่ ว้างกวา่ ซงึ่ อาจจะพิจารณาจาก ความคิดรวบยอดของเทคโนโลยไี ดเ้ ปน็ 2 ประการ คือ 1. ความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์กายภาพ ตามความคิดรวบยอดนี้ เทคโนโลยีทางการศึกษา หมายถึง การประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพ ในรูปของสิ่งประดิษฐ์ เช่น เคร่ืองฉายภาพยนตร์ โทรทัศน์ ฯลฯ มาใช้สาหรับการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ การใช้เครื่องมือเหล่าน้ี มักคานึงถึงเฉพาะการควบคุมให้ เคร่ืองทางาน มกั ไม่คานึงถึงจิตวทิ ยาการเรียนรู้ โดยเฉพาะเร่อื งความแตกต่างระหว่างบุคคล และการเลือกส่ือ ให้ตรงกับเน้ือหาวิชา ความหมายของเทคโนโลยีทางการศึกษา ตามความคิดรวบยอดน้ี ทาให้บทบาทของ เทคโนโลยที างการศกึ ษาแคบลงไป คือมีเพียงวัสดุ และอปุ กรณเ์ ท่านั้น ไม่รวมวิธีการ หรือปฏิกิริยาสัมพันธ์อื่น ๆ เขา้ ไปด้วย ซ่ึงตามความหมายนี้กค็ อื “โสตทัศนศึกษา” นนั่ เอง 2. ความคดิ รวบยอดทางพฤตกิ รรมศาสตร์ เป็นการนาวิธีการทางจิตวิทยา มนุษยวิทยา กระบวนการ กลมุ่ ภาษา การส่อื ความหมาย การบรหิ าร เครอื่ งยนต์กลไก การรบั รู้มาใช้ควบคกู่ บั ผลิตกรรมทางวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรม เพอื่ ให้ผูเ้ รยี น เปลี่ยนพฤตกิ รรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งข้ึนมิใช่เพียงการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์เท่านั้น แต่รวมถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย มิใช่วัสดุ หรืออุปกรณ์ แต่เพียงอย่างเดียว (boonpan edt01.htm) 1.4 เป้าหมายของเทคโนโลยกี ารศกึ ษา การขยายพิสัยของทรพั ยากรของการเรยี นรู้ กล่าวคอื แหล่งทรัพยากรการเรยี นรู้ มิไดห้ มายถงึ แตเ่ พียง ตารา ครู และอุปกรณ์การสอน ท่โี รงเรียนมีอย่เู ทา่ นน้ั แนวคดิ ทางเทคโนโลยีทางการศกึ ษา ตอ้ งการให้ผู้เรียนมี โอกาสเรียนจากแหล่งความรู้ท่ีกว้างขวางออกไปอีก แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ครอบคลุมถึงเร่ืองต่างๆ เช่น 1. คนเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่สาคัญซ่ึงได้แก่ ครู และวิทยากรอื่น ซ่ึงอยู่นอกโรงเรียน เช่น เกษตรกร ตารวจ บรุ ษุ ไปรษณยี ์ เป็นตน้ 2. วัสดุและเคร่ืองมือ ได้แก่ โสตทัศนวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ เคร่ือง วดิ ีโอเทป ของจริงของจาลองส่ิงพิมพ์ รวมไปถงึ การใชส้ ่อื มวลชนตา่ งๆ 3. เทคนิค-วิธีการ แต่เดิมนั้นการเรียนการสอนส่วนมากใช้วิธีให้ครูเป็นคนบอกเน้ือหาแก่ผู้เรียน ปัจจุบันน้ัน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองได้มากที่สุด ครูเป็นเพียง ผู้วางแผนแนะแนวทาง เทา่ นัน้ 4. สถานที่ อันได้แก่ โรงเรียน ห้องปฏิบัติการทดลอง โรงฝึกงาน ไร่นา ฟาร์ม ที่ทาการรัฐบาล ภูเขา แม่นา้ ทะเล หรือสถานทีใ่ ด ๆ ทช่ี ว่ ยเพม่ิ ประสบการณ์ท่ีดแี ก่ผ้เู รียนได้
6 การเน้นการเรียนรู้แบบเอกัตบุคคล ถึงแม้นักเรียนจะล้นช้ันและกระจัดกระจาย ยากแก่การจัด การศกึ ษาตามความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ นักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้พยายามคิดหาวิธีนาเอาระบบ การเรียนแบบตัวต่อตัวมาใช้แตแ่ ทนท่จี ะใชค้ รสู อนนกั เรียนทลี ะคน เขาก็คิด ‘แบบเรียนโปรแกรม’ ซ่ึงทาหน้าที่ สอน ซ่ึงเหมือนกับครูมาสอน นักเรียนจะเรียนด้วยตนเอง จากแบบเรียนด้วยตนเองในรูปแบบเรียนเป็นเล่ม หรือเครื่องสอนหรือส่ือประสมหลายๆ อยา่ ง จะเรียนช้าหรือเร็วก็ทาได้ตามความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน การใช้วิธีวิเคราะห์ระบบในการศึกษา การใช้วิธีระบบ ในการปฏิบัติหรือแก้ปัญหา เป็นวิธีการท่ีเป็น วิทยาศาสตร์ ทเี่ ช่อื ถอื ไดว้ ่าจะสามารถแกป้ ัญหา หรอื ช่วยใหง้ านบรรลุเป้าหมายได้ เน่ืองจากกระบวนการของ วิธีระบบ เป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบของงานหรือของระบบ อยา่ งมีเหตุผล หาทางให้สว่ นต่าง ๆ ของระบบ ทางาน ประสานสมั พนั ธก์ นั อย่างมีประสทิ ธภิ าพ การพัฒนาเครอ่ื งมือ-วสั ดอุ ุปกรณท์ างการศึกษา วัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ ท่ีใช้ในการศึกษา หรือการ เรียนการสอนปัจจบุ ันจะตอ้ งมกี ารพฒั นา ใหม้ ีศักยภาพ หรอื ขดี ความสามารถในการทางานใหส้ ูงย่งิ ขึ้นไปอกี 1.5 แนวคดิ พ้ืนฐานของนวตั กรรมทางการศกึ ษา ปัจจัยสาคัญท่ีมีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวิธีการศึกษา ได้แก่แนวความคิดพื้นฐานทางการศึกษาท่ี เปลี่ยนแปลงไป อันมผี ลทาใหเ้ กิดนวตั กรรมการศึกษาท่ีสาคัญๆ พอจะสรุปได4้ ประการ คอื 1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) การจัดการศึกษาของไทยได้ให้ความสาคัญ ในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาไว้อย่างชัดเจนซ่ึงจะเห็นได้จากแผนการศึกษาของชาติ ให้มุ่งจัด การศึกษาตามความถนดั ความสนใจ และความสามารถ ของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ตัวอย่างท่ีเห็นได้ชัดเจนได้แก่ การจัดระบบหอ้ งเรียนโดยใชอ้ ายุเป็นเกณฑ์บา้ ง ใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์บ้าง นวัตกรรมท่ีเกิดข้ึนเพื่อสนอง แนวความคดิ พน้ื ฐานน้ี เช่น การเรยี นแบบไม่แบ่งช้นั (Non-Graded School) แบบเรียนสาเร็จรปู (Programmed Text Book) เครือ่ งสอน (Teaching Machine) การสอนเป็นคณะ (TeamTeaching) การจัดโรงเรียนในโรงเรยี น (School within School) เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (Computer Assisted Instruction) 2. ความพร้อม (Readiness) เดิมทีเดียวเช่ือกันว่า เด็กจะเริ่มเรียนได้ก็ต้องมีความพร้อมซึ่งเป็น พัฒนาการตามธรรมชาติ แตใ่ นปัจจุบนั การวิจยั ทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ ชใี้ ห้เห็นว่าความพร้อมในการเรียน เป็นส่ิงที่สร้างขึ้นได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรียน ให้พอเหมาะกับระดับความสามารถของเด็กแต่ละคน วิชาท่ี เคยเชื่อกันว่ายาก และไม่เหมาะสมสาหรับเด็กเล็กก็สามารถนามาให้ศึกษาได้ นวัตกรรมที่ตอบสนอง แนวความคิดพ้นื ฐานนี้ไดแ้ ก่ ศูนยก์ ารเรียน การจดั โรงเรียนในโรงเรียน นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพ้ืนฐาน ด้านนี้ เชน่
7 ศนู ยก์ ารเรียน (Learning Center) การจดั โรงเรยี นในโรงเรยี น (School within School) การปรับปรงุ การสอนสามชน้ั (Instructional Development in 3 Phases) 3. การใช้เวลาเพ่ือการศึกษา แต่เดิมมาการจัดเวลาเพ่ือการสอน หรือตารางสอนมักจะจัดโดยอาศัย ความสะดวกเป็นเกณฑ์ เชน่ ถือหนว่ ยเวลาเปน็ ชัว่ โมง เท่ากันทุกวิชา ทุกวนั นอกจากนนั้ กย็ ังจัดเวลาเรยี นเอาไว้ แนน่ อนเปน็ ภาคเรียน เป็นปี ในปัจจุบันได้มีความคิดในการจัดเป็นหน่วยเวลาสอนให้สัมพันธ์กับลักษณะของ แต่ละวิชาซงึ่ จะใชเ้ วลาไมเ่ ท่ากนั บางวิชาอาจใช้ช่วงส้ันๆ แต่สอนบ่อยคร้ัง การเรียนก็ไม่จากัดอยู่แต่เฉพาะใน โรงเรยี นเท่านนั้ นวัตกรรมทสี่ นองแนวความคิดพืน้ ฐานด้านนี้ เชน่ การจัดตารางสอนแบบยดื หยนุ่ (Flexible Scheduling) มหาวิทยาลัยเปิด (Open University) แบบเรยี นสาเร็จรปู (Programmed Text Book) การเรียนทางไปรษณยี ์ 4. ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปล่ียนแปลงของสังคม ทาให้มีส่ิง ต่างๆ ที่คนจะต้องเรียนรู้เพ่ิมข้ึนมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอจึง จาเปน็ ตอ้ งแสวงหาวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในด้านปัจจัยเก่ียวกับตัวผู้เรียน และปัจจัยภายนอก นวัตกรรมในด้านน้ที ี่เกดิ ขึน้ เชน่ มหาวทิ ยาลัยเปิด การเรยี นทางวทิ ยุ การเรยี นทางโทรทศั น์ การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสาเร็จรูป ชดุ การเรยี น 1.6นวัตกรรมทางการศกึ ษาท่สี าคัญของไทยในปัจจุบนั (2546) นวตั กรรม เป็นความคิดหรือการกระทาใหม่ๆ ซึ่งนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวงการจะมีการ คิดและทาส่งิ ใหม่อย่เู สมอ ดงั นนั้ นวตั กรรมจึงเปน็ ส่ิงท่ีเกิดข้ึนใหม่ได้เร่ือยๆ ส่ิงใดที่คิดและทามานานแล้ว ก็ถือ ว่าหมดความเป็นนวัตกรรมไป โดยจะมีสิ่งใหม่มาแทนในวงการศึกษาปัจจุบัน มีส่ิงที่เรียกว่านวัตกรรมทาง การศึกษา หรือนวัตกรรมการเรียนการสอน อยู่เป็นจานวนมาก บางอย่างเกิดขึ้นใหม่ บางอย่างมีการใช้มา หลายสิบปแี ล้ว แตก่ ย็ ังคงถือว่าเป็น นวตั กรรม เนือ่ งจากนวัตกรรมเหลา่ นน้ั ยังไมแ่ พร่หลายเป็นท่ีรู้จักท่ัวไป ใน วงการศึกษา 1.7 ประเภทของนวตั กรรมทางการศกึ ษา นวัตกรรมท่ีนามาใช้ท้ังที่ผ่านมาแล้ว และท่ีจะมีในอนาคตมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้ นวัตกรรมในด้านตา่ งๆ ซ่งึ จะขอแนะนานวตั กรรมการศึกษา 5 ประเภทดังนี้ 1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับ
8 สภาพแวดล้อมในท้องถ่ิน และตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้น เน่ืองจากหลักสูตรจะต้องมีการ เปล่ยี นแปลงอยเู่ สมอ เพ่อื ให้สอดคล้องกบั ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และของโลก นวัตกรรมทางด้านหลักสูตรได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรบูรณาการ หลักสูตรรายบุคคล หลักสูตร กิจกรรมและประสบการณ์ และหลกั สตู รท้องถนิ่ 2. นวตั กรรมการเรยี นการสอน เป็นการใช้วธิ รี ะบบในการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธีสอนแบบใหม่ๆ ท่ีสามารถตอบสนองการเรียนรายบุคคล การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบมีส่วนร่วม การ เรียนรู้แบบแก้ปัญหา การพัฒนาวิธีสอนจาเป็นต้องอาศัยวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาจัดการและ สนบั สนนุ การเรียนการสอน 3. นวัตกรรมสอื่ การสอน เนอ่ื งจากมคี วามกา้ วหน้าของเทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่าย และเทคโนโลยีโทรคมนาคม ทาให้นกั การศกึ ษาพยายามนาศกั ยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการผลิตสื่อ การเรียนการสอนใหม่ๆ จานวนมากมาย ท้งั การเรียนดว้ ยตนเอง การเรียนเป็นกลุ่ม และการเรยี นแบบมวลชน ตลอดจนสอื่ ทีใ่ ช้เพ่อื สนับสนนุ การฝึกอบรมผา่ นเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ 4. นวัตกรรมทางด้านการประเมนิ ผล เป็นนวตั กรรมทใี่ ชเ้ ปน็ เครือ่ งมือเพ่ือการวดั ผลและประเมนิ ผลได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และทาได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน ด้วยการ ประยุกตใ์ ช้โปรแกรมคอมพิวเตอรม์ าสนับสนุนการวัดผล ประเมนิ ผลของสถานศึกษา ครู อาจารย์ 5. นวัตกรรมการบริหารจัดการ เป็นการใช้นวัตกรรมท่ีเก่ียวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการ บรหิ ารจดั การ เพ่อื การตดั สินใจของผบู้ ริหารการศึกษา ใหม้ คี วามรวดเรว็ ทนั เหตุการณ์ ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ของโลก นวัตกรรมการศึกษาที่นามาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการจัดก ารฐานข้อมูลใน หนว่ ยงานสถานศึกษา (https://www.l3nr.org/posts/224964) 1.8 การจาแนกตามลกั ษณะของนวัตกรรม 1. เทคนิควธิ ีการ วธิ กี ารจัดกจิ กรรมพฒั นา การจัดกิจกรรมสาหรับผู้เรียน เช่น การจัดบรรยากาศใน ห้องเรยี นให้เหมาะสมกบั ผเู้ รยี น และเหมาะกบั วธิ ีการสอนของครู 2. สอ่ื การเรยี นรู้ ส่อื การเรียนรเู้ ปน็ ตวั กลาง หรือเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ สื่อ การเรียนรแู้ บง่ ออกเป็น 2 ประเภท ดงั นี้ 2.1 สอื่ ประเภทวัสดุ สอื่ การเรยี นรู้ที่มีลักษณะเก็บความรู้ หรือถ่ายทอดความรู้ โดยใช้ภาพ เสียง ตัวอกั ษร ในรูปแบบตา่ งๆ แบง่ เป็น 2 ประเภทคือ 2.1.1วสั ดทุ ่ีเสนอความร้จู ากตัวสอื่ 2.1.2 วัสดุที่ตอ้ งอาศัยสอ่ื ประเภทเคร่อื งกลเป็นตัวนาเสนอความรู้ 2.2 สื่อประเภทเครื่องมือหรือโสตทัศนูปกรณ์ เป็นสื่อที่เป็นตัวกลางหรือตัวผ่านของความรู้ ท่ี ถ่ายทอดไปยงั ผูร้ ับ เช่น เคร่ืองช่วยสอน เคร่อื งฉาย คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน ฯลฯ 1.9การจาแนกตามจดุ เนน้ ของนวตั กรรม 1. นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผลผลิต เป็นนวัตกรรมท่ีเป็นวัสดุ อุปกรณ์ หรือเคร่ืองมือท่ีช้ใน
9 การจดั การเรียนรู้ เช่น วีดิทศั น์ ซีดี สไลด์ ฯลฯ 2. นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นเทคนิค วิธีการ หรือกระบวณการในการจัดการเรียนรู้ เช่น โครงงาน ผงั มโนทศั น์ บทบาทสมมตุ ิ ฯลฯ 3. นวัตกรรมท่ีเนน้ ทงั้ ผลผลิตและเทคนิคกระบวณการ เช่น ระบบการผลิตและสร้างสื่อการ เรียนรู้ กระบวณการทีส่ ามารถใหน้ กั เรียนเรยี นร้ดู ้วยตวั เองอย่างมปี ระสิทธิภาพ 1.10 ลกั ษณะของนวตั กรรม ลกั ษณะของนวัตกรรม คือ เป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยทามาก่อนเลย อีกท้ังยังเป็นส่ิงใหม่ที่เคยทา มาแลว้ ในอดีตแต่ไดม้ กี ารรือ้ ฟน้ื ข้ึน มาใหม่ รวมถึงส่ิงใหม่ที่มีการพัฒนามาจากของเก่าท่ีมีอยู่เดิม ลักษณะของ นวัตกรรม แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท 1. นวัตกรรมใหม่อย่างสิ้นเชิง (Radical Innovation) หมายถึง ขบวนการเสนอส่ิงใหม่ท่ีใหม่อย่าง แทจ้ ริง สู่สังคม โดยการเปลี่ยนแปลงค่านิยม (value), ความเช่ือ (belief ) เดิม ตลอดจนระบบคุณค่า(value system)ของสงั คม อย่างส้ินเชงิ ตัวอย่างเช่นอนิ เตอรเ์ น็ท (Internet) จัดว่าเป็นนวัตกรรมหนึ่งในยุคโลกข้อมูล ข่าวสาร การนาเสนอระบบอินเตอร์เน็ท ทาให้คา่ นยิ มเดมิ ที่เช่ือว่า โลกข้อมูลข่าวสารจากัดอยู่ ในวงเฉพาะทั้ง ในด้านเวลา และ สถานที่นน้ั เปล่ียนไป อินเตอร์เน็ทเปิดโอกาส ให้ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลไร้ขีดจากัด ท้ังในด้านของเวลา และระยะทาง การเปลีย่ นแปลงในครั้งนี้ ทาใหร้ ะบบคุณค่าของข้อมูลข่าวสาร เปล่ียนแปลง ไป บางคนเชื่อว่า อินเตอร์เน็ทจะเข้ามาแทนที่ระบบการส่งข้อมูลข่าวสารในระบบเดิม อย่างสิ้นเชิงในไม่ช้า อาทิเชน่ ระบบไปรษณยี ์ 2. นวัตกรรม ท่ีมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เป็นขบวนการการค้นพบ (discover) หรือ คิดค้นสิ่งใหม่ (invent)โดยการประยุกต์ ใช้แนวคิดใหม่ (new idea) หรือ ความรู้ใหม่ (new knowledge) ท่ีมีลักษณะ ต่อเน่ืองไม่ส้ินสุด โดยการประยุกต์ใช้ แนวคิดใหม่ หรือความรู้ใหม่ ของมนุษย์ และการค้นค้น เทคนิค (technique) หรอื เทคโนโลยี (technology) ใหม่ นวตั กรรมทม่ี ลี ักษณะค่อยเป็นค่อยไป จงึ มีลักษณะของการ สะสมการเรียนรู้ (cumulative learning) อย่ใู นบรบิ ท ของสงั คมหนึง่ ในปัจจบุ นั สงั คมไดเ้ ปลย่ี นแปลงไปอย่าง มาก เพราะผลของขบวนการโลกาภิวัตน์ ทาใหส้ งั คมมีลักษณะไร้ขอบเขต (borderless) เปน็ สงั คมของชาวโลก ทมี่ ีความหลากหลายทางดา้ นสงั คมวัฒนธรรมและการเมือง ส่งผลให้นวัตกรรม มีแนวโน้มท่ีจะเป็น ขบวนการ ค้นพบใหม่อยา่ งตอ่ เน่อื งในระดับนานาชาติ มากกว่า ที่จะเปน็ นวตั กรรมใหม่โดยสิ้นเชิง สาหรบั สงั คมหนึ่ง ๆ 1.11 กระบวนการสรา้ งและพฒั นานวัตกรรมทางการศกึ ษา กระบวนการสรา้ งและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา มี 5 ข้นั ตอน ขัน้ ตอนที่ 1 การศึกษาเอกสารแนวคดิ หลกั การ เป็นข้ันตอนของการสารวจวา่ ในทางวชิ าการมีพัฒนาเรื่องน้ีไวว้ า่ อยา่ งไร มีใครทเี่ คยประสบปัญหาการ พฒั นาการเรียนรู้หรือการบริหารสถานศกึ ษาเชน่ เดยี วกันน้ีมากอ่ น และคนท่หี าปัญหาเช่นเดียวกันนี้มีแนวทาง ในการแก้ไขปัญหาน้ีในห้องเรียนของตนเองอย่างไร เพ่ือให้ได้แนวคิดและแนวทางที่จะนามาแก้ปัญหาของ ตนเองตอ่ ไป
10 1.1 การแลกเปลีย่ นเรียนรแู้ ละการแสวงหาแนวคิดและหลกั การ 1.2 การศกึ ษาเอกสารงานวจิ ัยและประสบการของผู้เก่ยี วขอ้ ง ขัน้ ตอนท่ี 2 การเลอื กและการวางแผนสรา้ งนวตั กรรม โดยพจิ ารณาเลอื กจากลักษณะของนวัตกรรมการเรยี นรทู้ ด่ี ี ดงั นี้ 1. เปน็ นวัตกรรมการเรียนรทู้ ตี่ รงกับความต้องการและความจาเปน็ 2. มคี วามหนา้ เชื่อถอื และเป็นไปไดส้ งู ท่จี ะสามารถแก้ปญั หา และพัฒนาการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น 3. เป็นนวัตกรรมทม่ี ีแนวคิดหรือหลกั การทางวิชาการรองรบั จนน่าเช่ือถือ 4. สามารถนาไปใชใ้ นห้องเรียนไดจ้ รงิ ใชไ้ ด้งา่ ย สะดวกตอ่ การใชแ้ ละการพฒั นานวตั กรรม 5. มีผลการพิสูจน์เชิงประจักษ์ว่าได้ใช้ในสถานการณ์จริงแล้วสามารถแก้ปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพ การจัดการเรียนร้ไู ดอ้ ย่างน่าเพง่ิ พอใจ ขน้ั ตอนท่ี 3 สร้างและพฒั นานวตั กรรม จากแผนการสรา้ งนวตั กรรม ครตู อ้ งศกึ ษาถึงรายละเอยี ดของนวัตกรรมที่จะสร้างและดาเนินการตาม ข้นั ตอน เช่น การสร้างนวตั กรรมทเ่ี ปน็ ชดุ การเรียนรู้ ครูอาจดาเนินการสร้างตามขน้ั ตอนต่อไปน้ี เช่น - วเิ คราะหจ์ ุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ - กาหนดและออกแบบชุดการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง - ออกแบบสือ่ เสรมิ - ลงมือทา - ตรวจสอบคณุ ภาพครั้งแรกโดยผ้เู ชยี่ วชาญ - ทดลองใช้ระยะส้นั เพ่ือปรบั ปรุงเนือ้ หาสาระ - นาไปใชเ้ พือ่ แก้ปัญหาหรอื การพฒั นาการเรยี นรู้ ขนั้ ตอนที่ 4 การหาประสิทธภิ าพของนวัตกรรม ข้ันตอนนี้เป็นขั้นตอนท่ีพิสูจน์ว่านวัตกรรมที่สร้างข้ันน้ันเม่ือนาไปใช้จะได้ผลตามท่ีต้องการหรือไม่ สามารถแก้ปัญหาในช้ันเรียนหรือพัฒนาผู้เรียนได้จริงหรือไม่การประสิทธิภาพของนวัตกรรมมีหลายวิธี เช่น 1. การตรวจสอบโดยผ้เู ช่ยี วชาญ 2. การบรรยายคุณภาพ 3. การคานวณคา่ ร้อยละของผเู้ รียน 4. การหาประสิทธฺ ิภาพของนวตั กรรม 5. การประเมนิ สือ่ มลั ตมิ เี ดยี ขั้นตอนท่ี 5 ปรบั ปรุงนวัตกรรม หลังจากท่ีหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมที่สร้างขั้น ไม่ว่าจะโดยวิธีการใดก็ตามควรนาความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะเล่านั้นมาปรับปรุงนวัตกรรมให้มีคุณภาพเหมาะสมที่จะนาไปใช้ในห้องเรียนได้มากข้ึน
11 โดยเฉพาะค่าหาประสิทธภิ าพโดยการให้ผเู้ ชี่ยวชาญช่วยตรวจและการบรรยายคุณภาพก่อนการทดลองใช้และ หลังการทดลองใชก้ ับผู้เรยี นกลุม่ เล็กจะทาให้ได้ข้อมูลท่ีชัดเจนและเป็นรายละเอียดที่จะปรับปรุงนวัตกรรมได้ ง่ายข้นึ 1.12 นวตั กรรมแบง่ ออกเป็น 3 ระยะ คอื ระยะที่ 1 มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือเป็นการปรุงแต่งของเก่าให้เหมาะสมกับกาลสมัย ระยะที่ 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทาอยู่ในลักษณะของ โครงการทดลองปฏิบตั ิก่อน (Pilot Project) ระยะท่ี 3 การนาเอาไปปฏิบัตใิ นสถานการณ์ทวั่ ไป ซึ่งจัดวา่ เปน็ นวัตกรรมขนั้ สมบูรณ์ 1.13 นวตั กรรมทางการศกึ ษาทีส่ าคัญของไทยในปจั จุบัน นวตั กรรม เปน็ ความคิดหรือการกระทาใหม่ๆ ซึ่งนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละวงการจะมีการ คิดและทาส่ิงใหม่อยู่เสมอ ดังนน้ั นวัตกรรมจึงเป็นสิ่งท่ีเกิดขึ้นใหม่ได้เรื่อยๆ สิ่งใดท่ีคิดและทามานานแล้วก็ถือ ว่าหมดความเป็นนวัตกรรมไป โดยจะมีส่ิงใหม่มาแทน ในวงการศึกษาปัจจุบัน มีส่ิงที่เรียกว่า นวัตกรรมทาง การศึกษา หรือ นวัตกรรมการเรยี นการสอน อย่เู ปน็ จานวนมาก บางอย่างเกิดข้ึนใหม่ บางอย่างมีการใช้มา หลายสบิ ปีแล้ว แต่กย็ ังคงถือว่าเป็นนวตั กรรม เนื่องจากนวัตกรรมเหลา่ นัน้ ยังไมแ่ พรห่ ลายเป็นท่รี ู้จกั ทั่วไปในวง การศึกษา 1.14 ประเภทของการใชน้ วตั กรรมการศึกษาในประเทศไทย ประเภทของนวัตกรรมการศึกษาพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้มีบทบัญญัติที่ เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรมการศึกษาไว้หลายมาตรา มาตราท่ีสาคัญ คือ มาตรา 67 รัฐ ต้องส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาการผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมท้ังการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้เกิดการใช้ที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับ กระบวนการเรียนร้ขู องคนไทยและในมาตรา 22 \"การจัดการศกึ ษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถ เรยี นรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาตนเองได้และถือว่า ผู้เรียนมคี วามสาคญั ทีส่ ดุ กระบวนการจัดการศึกษาตอ้ งสง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเต็ม ตามศักยภาพ\" การดาเนินการปฏิรูปการศึกษาให้สาเร็จได้ตามท่ีระบุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ดงั กล่าว จาเป็นต้องทาการศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการศึกษาใหม่ๆ ท่ีจะเข้ามาช่วยแก้ไข ปัญหาทางการศึกษาทงั้ ในรปู แบบของการศึกษาวิจัย การทดลองและการประเมินผลนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี ท่ีนามาใช้ว่ามีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด นวัตกรรมที่นามาใช้ทั้งท่ีผ่านมาแล้วและที่จะมีในอนาคตมี หลายประเภทขน้ึ อยกู่ ับการประยกุ ต์ใชน้ วตั กรรมในดา้ นตา่ งๆ ในที่น้ีจะขอกล่าวคือ นวัตกรรม 5 ประเภท คือ 1.15 นวัตกรรมทางด้านหลักสตู ร นวตั กรรมทางดา้ นหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับ
12 สภาพแวดล้อมในท้องถ่ินและตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากข้ึน เน่ืองจากหลักสูตรจะต้องมีการ เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพ่ือให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และของโลก นอกจากน้กี ารพัฒนาหลกั สตู รยงั มีความจาเป็นที่จะต้องอยู่บนฐานของแนวคิดทฤษฎีและปรัชญา ทางการจัดการสัมมนาอีกด้วย การพัฒนาหลักสูตรตามหลักการและวิธีการดังกล่าวต้องอาศัยแนวคิดและ วิธีการใหม่ๆ ท่ีเป็นนวัตกรรมการศึกษาเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้เป็นไปในทิศทางท่ีต้องการ นวัตกรรม ทางดา้ นหลักสูตรในประเทศไทย ไดแ้ ก่ การพฒั นาหลกั สูตรดงั ต่อไปน้ี 1.หลักสูตรบูรณาการ เป็นการบูรณาการส่วนประกอบของหลักสูตรเข้าด้วยกันทางด้าน วิทยาการในสาขาตา่ งๆ การศกึ ษาทางดา้ นจริยธรรมและสังคม โดยมุ่งให้ผู้เรียนเป็นคนดีสามารถใช้ประโยชน์ จากองค์ความรูใ้ นสาขาต่างๆ ให้สอดคลอ้ งกับสภาพสังคมอย่างมจี ริยธรรม 2.หลักสูตรรายบุคคล เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อการศึกษาตามอัตภาพ เพ่ือ ตอบสนองแนวความคิดในการจัดการศกึ ษารายบคุ คล ซึ่งจะต้องออกแบบระบบเพื่อรองรับความก้าวหน้าของ เทคโนโลยีดา้ นตา่ งๆ 3.หลกั สตู รกิจกรรมและประสบการณ์ เป็นหลักสตู รที่มุ่งเน้น กระบวนการในการจัดกิจกรรม และประสบการณ์ให้กับผู้เรียนเพ่ือนาไปสู่ความสาเร็จ เช่น กิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในบทเรียน ประสบการณ์การเรยี นรจู้ ากการสบื คน้ ด้วยตนเอง เป็นตน้ 4.หลักสูตรท้องถิ่น เป็นการพัฒนาหลักสูตรที่ต้องการกระจายการบริหารจัดการออกสู่ ท้องถน่ิ เพื่อใหส้ อดคล้องกบั ศลิ ปวัฒนธรรมส่งิ แวดลอ้ มและความเป็นอยู่ของประชาชนท่ีมีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น แทนที่หลกั สูตรในแบบเดิมทใ่ี ชว้ ธิ กี ารรวมศนู ยก์ ารพัฒนาอยูใ่ นสว่ นกลาง 116.นวัตกรรมการเรยี นการสอน เปน็ การใชว้ ิธรี ะบบในการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธีสอนแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนอง การเรยี นรายบคุ คล การสอนแบบผเู้ รียนเปน็ ศูนยก์ ลาง การเรยี นแบบมีส่วนร่วม การเรยี นร้แู บบแก้ปัญหา การ พัฒนาวิธีสอนจาเป็นต้องอาศัยวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาจัดการและสนับสนุนการเรียนการสอน ตวั อยา่ งนวัตกรรมทใ่ี ช้ในการเรียนการสอน ไดแ้ ก่ การสอนแบบศนู ย์การเรียน การใชก้ ระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ การสอนแบบเรยี นรรู้ ว่ มกัน และการเรยี นผ่านเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์และอินเทอรเ์ น็ต การวิจัยในชั้นเรียน ฯลฯ 1.17นวตั กรรมสอ่ื การสอน เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและ เทคโนโลยี โทรคมนาคม ทาให้นักการศึกษาพยายามนาศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการผลิตสื่อการ เรียนการสอนใหม่ๆ จานวนมากมาย ท้ังการเรียนด้วยตนเองการเรียนเป็นกลุ่มและการเรียนแบบมวลชน ตลอดจนสื่อท่ใี ช้เพ่ือสนับสนุนการฝึกอบรม ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตัวอย่าง นวัตกรรมส่ือการสอน ได้แก่ - คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน (CAI) - มัลตมิ เี ดยี (Multimedia) - การประชมุ ทางไกล (Teleconference)
13 - ชุดการสอน (Instructional Module) - วดี ีทัศนแ์ บบมปี ฏสิ ัมพันธ์ (Interactive Video) 1.18นวตั กรรมทางดา้ นการประเมินผล เป็นนวตั กรรมท่ีใช้เปน็ เครอ่ื งมอื เพอื่ การวัดผลและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและทา ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ รวมไปถงึ การวจิ ยั ทางการศึกษา การวิจัยสถาบัน ด้วยการประยกุ ต์ใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์มา สนับสนุนการวดั ผล ประเมนิ ผลของสถานศกึ ษา ครู อาจารย์ ตัวอย่าง นวตั กรรมทางดา้ นการประเมินผล ได้แก่ - การพัฒนาคลงั ข้อสอบ - การลงทะเบยี นผา่ นทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และอินเตอรเ์ นต็ - การใช้บัตรสมาร์ทการด์ เพอ่ื การใช้บรกิ ารของสถาบนั ศกึ ษา - การใชค้ อมพิวเตอรใ์ นการตดั เกรด - ฯลฯ 1.19นวตั กรรมการบรหิ ารจัดการ เป็นการใช้นวัตกรรมที่เก่ียวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพ่ือการ ตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษาให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก นวัตกรรม การศึกษาท่ีนามาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบกา รจัดการฐานข้อมูลในหน่วยงานสถานศึกษา เช่น ฐานข้อมูล นักเรียน นักศึกษา ฐานข้อมูล คณะอาจารย์และบุคลากร ในสถานศึกษา ด้านการเงิน บัญชี พสั ดุ และครภุ ัณฑ์ ฐานข้อมูลเหล่านต้ี อ้ งการออกระบบท่ีสมบูรณม์ คี วามปลอดภัยของขอ้ มลู สูง นอกจากน้ียังมีความเก่ียวข้องกับสารสนเทศภายนอกหน่วยงาน เช่น ระเบียบปฏิบัติ กฎหมาย พระราชบญั ญตั ิ ท่ีเกย่ี วกับการจัดการศึกษา ซึง่ จะต้องมกี ารอบรม เก็บรกั ษาและออกแบบระบบการสืบค้นที่ดี พอซ่งึ ผูบ้ ริหารสามารถสบื ค้นข้อมูลมาใช้งานได้ทันทตี ลอดเวลาการใชน้ วัตกรรมแต่ละด้านอาจมีการผสมผสาน ท่ีซ้อนทับกนั ในบางเร่ือง ซึ่งจาเปน็ ตอ้ งมกี ารพฒั นารว่ มกันไปพรอ้ มๆ กันหลายด้าน การพัฒนาฐานข้อมูลอาจ ตอ้ งทาเปน็ กลมุ่ เพื่อใหส้ ามารถนามาใช้รว่ มกันไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ
14 1.20 นวตั กรรมทางการศึกษาตา่ งๆ ทีก่ ลา่ วถึงกันมากในปัจจุบัน 1.21 E-learning ความหมายของ e-Learning คอื การเรยี นทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Learning รูปแบบการเรียนการ สอน ซ่ึงใช้การถ่ายทอดเน้ือหา(delivery methods) ผ่านทางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณ ดาวเทียม และใช้รูปแบบการนาเสนอเนื้อหาสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ ซ่ึงอาจอยู่ในรูปแบบการเรียนที่เรา คุ้นเคยกันมาพอสมควร เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(Computer-Assisted Instruction) การสอนบนเว็บ (Web-Based Instruction) การเรยี นออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรืออาจ อยูใ่ นลักษณะที่ยังไม่ค่อยเป็นท่ีแพร่หลายนัก เช่น การเรียนจากวิดีทัศน์ตามอัธยาศัย (Video On-Demand) เปน็ ตน้ อยา่ งไรกด็ ี ในปัจจุบนั เมอื่ กลา่ วถงึ e-Learning คนส่วนใหญจ่ ะหมายเฉพาะถึง การเรียนเน้ือหาหรือ สารสนเทศซ่ึงออกแบบมาสาหรับการสอนหรือการอบรม ซ่ึงใช้เทคโนโลยีของเว็บ (Web Technology) ใน การถ่ายทอดเน้ือหา และเทคโนโลยีระบบการบรหิ ารจัดการการเรียนรู้ (Learning Management System)ใน การบรหิ ารจดั การการเรียนรูข้ องผู้เรียนและงานสอนด้านต่างๆ โดยผู้เรียนที่เรียนจาก e-Learning น้ีสามารถ ศึกษาเน้ือหาในลักษณะออนไลน์ นอกจากน้ี เน้ือหาสารสนเทศของ e-Learning จะถูกนาเสนอโดยอาศัย เทคโนโลยีมลั ติมีเดยี (Multimedia Technology) และเทคโนโลยีเชิงโต้ตอบ (Interactive Technology)จาก ความหมายที่คนส่วนใหญน่ ยิ าม e-Learning นั้น จาเปน็ ตอ้ งทาความเข้าใจใหช้ ดั เจนว่า e-Learningไม่ใช่เพียง แค่การสอนในลักษณะเดมิ ๆ และนาเอกสารการสอนมาแปลงให้อยู่ในรูปดิจิตัล และนาไปวางไว้บนเว็บ หรือ ระบบบรหิ ารจดั การการเรยี นรเู้ ทา่ นนั้ แต่ครอบคลุมถึง กระบวนการในการเรียนการสอน หรือการอบรมที่ใช้ เคร่อื งมอื ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือใหเ้ กดิ ความยืดหยุ่นทางการเรียนรู้ (flexible learning) สนับสนุน การเรียนรู้ในลักษณะท่ีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (learner-centered) และการเรียนในลักษณะตลอดชีวิต (life- long learning) ซึ่งอาศัยการเปล่ียนแปลงด้านกระบวนทัศน์ (paradigm shift) ของทั้งกระบวนการในการ เรียนการสอนด้วย นอกจากน้ี e-Learning ไม่จาเป็นต้องเป็นการเรียนทางไกลเสมอ คณาจารย์สามารถ นาไปใชใ้ นลักษณะการผสมผสาน (blended) กบั การสอนในช้นั เรียนได้ 1.22 ลกั ษณะสาคญั ของ e-Learning (Feature of e-Learning) ลกั ษณะสาคัญของ e-Learning ท่ีดี ควรจะประกอบไปด้วยลกั ษณะสาคัญ 4 ประการ ดังนี้ 1. ทุกเวลาทุกสถานท่ี (Anywhere, Anytime) หมายถึง e-Learning ควรต้องช่วยขยายโอกาสใน การเขา้ ถงึ เน้อื หาการเรยี นรขู้ องผูเ้ รยี นไดจ้ ริง ในทีน่ หี้ มายรวมถึง การที่ผู้เรียนสามารถเรียกดูเน้ือหาตามความ สะดวกของผ้เู รยี น เช่น ผูเ้ รยี นมกี ารเข้าถงึ เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ท่เี ช่อื มต่อกับเครอื ข่ายได้อย่างยดื หยุ่น
15 2. มัลติมเี ดีย (Multimedia) หมายถงึ e-Learning ควรตอ้ งมีการนาเสนอเนอ้ื หาโดยใช้ประโยชน์จาก สื่อประสมเพ่ือช่วยในการประมวลผลสารสนเทศของผู้เรียนเพ่ือให้เกิดความคงทนในการจดจาและ/หรือการ เรยี นร้ไู ดด้ ขี นึ้ 3. การเช่ือมโยง (Non-linear) หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการนาเสนอเนื้อหาในลักษณะท่ีไม่ เปน็ เชิงเส้นตรง กล่าวคือ ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเน้ือหาตามความต้องการ โดย e-Learning จะต้องจัดหาการ เช่อื มโยงทย่ี ดื หยุน่ แก่ผู้เรียน นอกจากนี้ยังหมายถึงการออกแบบให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามจังหวะ(pace) การเรียนของตนเองด้วย เช่น ผ้เู รียนทเ่ี รียนช้าสามารถเลือกเนอ้ื หาที่ต้องการเรียนซ้าได้บ่อยคร้ังผู้เรียนที่เรียน ดีสามารถเลือกทจี่ ะขา้ มไปเรียนในเน้ือหาท่ตี ้องการไดโ้ ดยสะดวก 4. การโต้ตอบ (Interaction) หมายถึง e-Learning ควรต้องมีการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนโต้ตอบ(มี ปฏิสมั พันธ)์ กบั เนอื้ หา หรือกับผูอ้ ืน่ ได้ กล่าวคือ 1) e-Learning ควรต้องมีการออกแบบกิจกรรมซึ่งผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับเน้ือหา (InteractiveActivities) รวมทั้งมกี ารจัดเตรียมแบบฝึกหัดและแบบทดสอบให้ผู้เรียนสามารถตรวจสอบความ เข้าใจด้วยตนเองได้ 2) e-Learning ควรต้องมกี ารจดั หาเครือ่ งมือในการให้ช่องทางแก่ผู้เรียนในการติดต่อส่ือสาร (Collaboration Tools) เพื่อการปรึกษา อภิปราย ซักถาม แสดงความคิดเห็นกับผู้สอน วิทยากรผู้เช่ียวชาญ หรอื เพ่ือน ๆ ร่วมช้ันเรียนโดยในส่วนของการโต้ตอบนี้ จะต้องคานึงถึงการให้ผลป้อนกลับที่ทันต่อเหตุการณ์ (ImmediateResponse) ซึ่งอาจหมายถงึ การทผ่ี ูส้ อนต้องเข้ามาตอบคาถามหรือให้คาปรึกษาแก่ผู้เรียนอย่าง สม่าเสมอและทันเหตุการณ์ รวมถึง การที่ e-Learning ควรต้องมีการออกแบบให้มีการทดสอบ การวัดผล และการประเมนิ ผล ซงึ่ สามารถให้ผลป้อนกลบั โดยทนั ทีแกผ่ เู้ รยี น ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะของแบบทดสอบก่อน เรยี น (pre-test) หรอื แบบทดสอบหลังเรียน (posttest) ก็ตาม 1. เนอ้ื หา (Content) เนือ้ หาเปน็ องคป์ ระกอบสาคัญที่สุดสาหรับ e-Learning คุณภาพของการเรียนการสอน ของ e-Learningและการท่ีผู้เรียนจะบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนในลักษณะน้ีหรือไม่อย่างไร สิ่งสาคัญท่ีสุดก็
16 คอื เนอื้ หาการเรียนซ่ึงผู้สอนได้จัดหาให้แก่ผู้เรียน ซ่ึงผู้เรียนมีหน้าท่ีในการใช้เวลาส่วนใหญ่ศึกษาเนื้อหาด้วย ตนเอง เพ่ือทาการปรับเปล่ียน (convert) เนื้อหาสารสนเทศที่ผู้สอนเตรียมไว้ให้เกิดเป็นความรู้ โดยผ่านการ คดิ ค้น วเิ คราะหอ์ ย่างมีหลักการและเหตุผลดว้ ยตวั ของผู้เรยี นเอง คาว่า “เนือ้ หา” ในองค์ประกอบแรกของ e- Learning น้ี ไมไ่ ด้จากัดเฉพาะส่ือการสอน และ/หรือ คอรส์ แวร์ เทา่ นนั้ แตย่ ังหมายถึงส่วนประกอบสาคัญอื่น ๆ ท่ี e-Learning จาเป็นจะตอ้ งมีเพอ่ื ให้เนอื้ หามคี วามสมบูรณ์ เชน่ คาแนะนาการเรียน ประกาศสาคัญต่าง ๆ ผลปอ้ นกลับของผู้สอน เป็นต้น 2. ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ (Learning Management System) องค์ประกอบท่ีสาคัญมากเช่นกัน สาหรับ e-Learning ไดแ้ ก่ ระบบบรหิ ารจัดการการเรยี นรู้ ซึ่งเปน็ เสมอื นระบบท่รี วบรวมเครื่องมือซ่ึงออกแบบ ไว้เพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการจัดการกับการเรียนการสอนออนไลน์นั่นเอง ซ่ึงผู้ใช้ในท่ีน้ี แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ผู้สอน (instructors) ผู้เรียน (students) ผู้ช่วยสอน(course manager) และผู้ท่ีจะเข้ามาช่วย ผู้สอนในการบริหารจัดการด้านเทคนิคต่าง ๆ (network administrator)ซึ่งเคร่ืองมือและระดับของสิทธิใน การเขา้ ใช้ท่ีจัดหาไว้ให้กจ็ ะมีความแตกต่างกันไปตามแต่การใช้งานของแต่ละกลุ่ม ตามปรกติแล้ว เคร่ืองมือท่ี ระบบบรหิ ารจัดการการเรียนรู้ต้องจัดหาไว้ให้กับผู้ใช้ ได้แก่ พ้ืนท่ีและเครื่องมือสาหรับการช่วยผู้เรียนในการ เตรียมเนื้อหาบทเรียน พ้นื ท่ีและเครือ่ งมอื สาหรบั การทาแบบทดสอบ แบบสอบถาม การจัดการกับแฟ้มข้อมูล ต่าง ๆ นอกจากน้รี ะบบบริหารจัดการการเรียนรทู้ ี่สมบรู ณจ์ ะจดั หาเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารไว้สาหรับผู้ใช้ ระบบไม่ว่าจะเป็นในลักษณะของ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เว็บบอร์ด(Web Board) หรือ แช็ท (Chat) บางระบบกย็ ังจัดหาองค์ประกอบพเิ ศษอ่ืน ๆ เพ่ืออานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้อีกมากมาย เช่น การ จัดให้ผู้ใช้สามารถเข้าดูคะแนนการทดสอบ ดูสถิติการเข้าใช้งานในระบบ การอนุญาตให้ผู้ใช้สร้างตารางการ เรยี น ปฏทิ นิ การเรยี น เปน็ ตน้
17 3. โหมดการติดต่อสื่อสาร (Modes of Communication) องค์ประกอบสาคัญของ e-Learning ที่ขาดไม่ได้ อีกประการหนึ่ง ก็คือ การจัดให้ผู้เรียนสามารถติดต่อส่ือสารกับผู้สอน วิทยากร ผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ รวมทั้ง ผู้เรียนด้วยกัน ในลักษณะท่ีหลากหลาย และสะดวกต่อผู้ใช้ กล่าวคือ มีเคร่ืองมือที่จัดหาไว้ให้ผู้เรียนใช้ได้ มากกวา่ 1 รูปแบบ รวมท้งั เครอื่ งมอื น้ันจะตอ้ งมคี วามสะดวกในการใช้งาน (user-friendly) ด้วย ซ่ึงเครื่องมือ ท่ี e-Learning ควรจัดหาให้ผเู้ รยี น ไดแ้ ก่ 3.1 การประชุมทางคอมพิวเตอร์ ในที่น้ีหมายถึง การประชุมทางคอมพิวเตอร์ท้ังในลักษณะของการ ติดต่อส่ือสารแบบตา่ งเวลา(Asynchronous) เช่น การแลกเปล่ยี นขอ้ ความผ่านทางกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ท่ีรู้จักกันในชื่อของเว็บบอร์ด (Web Board) เป็นต้น หรือในลักษณะของการติดต่อส่ือสารแบบเวลา เดียวกัน(Synchronous) เช่น การสนทนาออนไลน์ หรือที่คุ้นเคยกันดีในชื่อของ แช็ท (Chat) และ ICQ หรือ ในบางระบบ อาจจัดให้มีการถ่ายทอดสัญญาณภาพและเสียงสด (Live Broadcast / Videoconference) ผ่านทางเว็บ เป็นต้น ในการนาไปใช้ดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ผู้สอนสามารถเปิดสัมมนาในหัวข้อที่ เก่ียวข้องกับเน้ือหาในคอร์ส ซ่ึงอาจอยู่ในรูปของการบรรยาย การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ การเปิดอภิปราย ออนไลน์ เป็นต้น 3.2 ไปรษณียอ์ เิ ล็กทรอนกิ ส์ (e-mail) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นองค์ประกอบสาคัญเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถ ติดต่อส่ือสารกับผู้สอนหรือผู้เรียนอื่น ๆ ในลักษณะรายบุคคล การส่งงานและผลป้อนกลับให้ผู้เรียน ผู้สอน สามารถให้คาแนะนาปรึกษาแก่ผู้เรียนเป็นรายบุคคล ท้ังนี้เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการ เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนอย่างต่อเน่ือง ท้ังนี้ผู้สอนสามารถใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ในการให้ความคิดเห็น และผลป้อนกลบั ท่ีทันตอ่ เหตุการณ์ 4. แบบฝกึ หดั /แบบทดสอบ องค์ประกอบสุดท้ายของ e-Learning แต่ไม่ได้มีความสาคัญน้อยท่ีสุดแต่อย่างใด ได้แก่ การจัดให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการโต้ตอบกับเนื้อหาในรูปแบบของการทาแบบฝึกหัด และแบบทดสอบ ความรู้ 4.1 การจดั ให้มแี บบฝึกหดั สาหรับผเู้ รียน เนือ้ หาท่นี าเสนอจาเป็นตอ้ งมกี ารจัดหาแบบฝึกหัดสาหรับผู้เรียนเพ่ือ ตรวจสอบความเขา้ ใจไว้ดว้ ยเสมอ ทง้ั นี้เพราะ e-Learning เป็นระบบการเรียนการสอนซึ่งเน้นการเรียนรู้ด้วย
18 ตนเองของผเู้ รยี นเป็นสาคญั ดงั นั้นผูเ้ รียนจงึ จาเปน็ อย่างยิ่งทจ่ี ะต้องมีแบบฝึกหดั เพอ่ื การตรวจสอบว่าตนเข้าใจ และรอบรใู้ นเรื่องท่ศี กึ ษาด้วยตนเองมาแลว้ เป็นอย่างดีหรอื ไม่ อย่างไร การทาแบบฝึกหัดจะทาให้ผู้เรียนทราบ ไดว้ ่าตนนัน้ พรอ้ มสาหรบั การทดสอบ การประเมินผลแลว้ หรือไม่ 4.2 การจัดให้มีแบบทดสอบผู้เรียน แบบทดสอบสามารถอยู่ในรูปของแบบทดสอบก่อนเรียน ระหว่างเรียน หรือหลงั เรียนก็ได้ สาหรับ e-Learning แล้ว ระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ทาให้ผู้สอนสามารถสนับสนุนการ ออกข้อสอบของผสู้ อนไดห้ ลากหลายลักษณะ กล่าวคอื ผสู้ อนสามารถออกแบบการประเมินผลในลักษณะของ อัตนัย ปรนัย ถูกผิด การจับคู่ ฯลฯ นอกจากน้ียังทาให้ผู้สอนมีความสะดวกสบายในการสอบเพราะผู้สอน สามารถท่ีจะจัดทาข้อสอบในลักษณะคลังข้อสอบไว้เพ่ือเลือกในการนากลับมาใช้ หรือปรับปรุงแก้ไขใหม่ได้ อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ในการคานวณและตัดเกรด ระบบ e-Learning ยังสามารถช่วยให้การประเมินผล ผู้เรียนเปน็ ไปไดอ้ ยา่ งสะดวก เน่อื งจากระบบบริหารจดั การการเรียนรู้ จะช่วยทาให้การคิดคะแนนผู้เรียน การ ตัดเกรดผู้เรียนเป็นเร่ืองง่ายขึ้นเพราะระบบจะอนุญาตให้ผู้สอนเลือกได้ว่าต้องการที่จะประเมินผลผู้เรียนใน ลักษณะใด เชน่ องิ กลมุ่ องิ เกณฑ์ หรอื ใช้สถติ ิในการคิดคานวณในลักษณะใด เช่น การใช้ค่าเฉล่ีย ค่า T-Score เป็นตน้ นอกจากน้ยี ังสามารถที่จะแสดงผลในรูปของกราฟได้อีกด้วย 1.23 ขอ้ ได้เปรยี บ และข้อจากัดของ e-Learning (advantage of e-Learning) ประโยชน์ที่ได้รบั จากการนา e-Learning ไปใชใ้ นการเรียนการสอนมี ดังนี้ 1. e-Learning ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน เพราะการ ถา่ ยทอดเนื้อหาผ่านทางมัลติมีเดียสามารถทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าการเรียนจากสื่อข้อความเพียง อย่างเดียว หรือจากการสอนภายในห้องเรียนของผู้สอนซึ่งเน้นการบรรยายในลักษณะ Chalk and Talk แต่ เพียงอย่างเดยี วโดยไมใ่ ช้สือ่ ใด ๆ ซึ่งเม่ือเปรียบเทียบกับ e-Learning ที่ได้รับการออกแบบและผลิตมาอย่างมี ระบบ e-Learning สามารถช่วยทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ในเวลาที่เร็วกว่า นอกจากน้ียงั เป็นการสนับสนุนให้เกิดการเรยี นรู้ที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางได้เป็นอย่างดี เพราะผู้สอนจะสามารถ ใช้ e-Learning ในการจดั การเรยี นการสอนท่ลี ดการบรรยาย (lecture)ได้ และสามารถใช้ e-Learning ในการ จัดการเรียนการสอนท่ีเน้นให้ผู้เรียนได้เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ( autonomous learning) ได้ดียง่ิ ขนึ้ 2. e-Learning ช่วยทาให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าพฤติกรรมการเรียนของผู้เรียนได้ อย่างละเอียดและตลอดเวลา เน่ืองจาก e-Learning มีการจัดหาเคร่ืองมือท่ีสามารถทาให้ผู้สอนติดตามการ เรียนของผเู้ รียนได้ 3. e-Learning ช่วยทาให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนของตนเองได้ เนื่องจากการนาเอา เทคโนโลยี Hypermedia มาประยุกต์ใช้ ซึ่งมีลักษณะการเชื่อมโยงข้อมูลไม่ว่าจะเป็นในรูปของข้อความ ภาพนิ่ง เสียงกราฟิก วิดีโอ ภาพเคล่ือนไหว ท่ีเก่ียวเนื่องกันเข้าไว้ด้วยกันในลักษณะที่ไม่เป็นเชิงเส้น ( Non- Linear) ทาให้ Hypermedia สามารถนาเสนอเน้ือหาในรูปแบบใยแมงมุมได้ ดังนั้นผู้เรียนจึงสามารถเข้าถึง ข้อมลู ใดกอ่ นหรือหลงั กไ็ ด้ โดยไม่ตอ้ งเรียงตามลาดับ และเกิดความสะดวกในการเข้าถงึ ของผูเ้ รียนอกี ดว้ ย 4. e-Learning ช่วยทาให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามจังหวะของตน (Self-paced Learning)
19 เน่ืองจากการนาเสนอเนอื้ หาในรูปแบบของ Hypermedia เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนรู้ของ ตนในด้านของลาดับการเรียนได้ (Sequence) ตามพื้นฐานความรู้ ความถนัด และความสนใจของตน นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถ ทดสอบทักษะตนเองก่อนเรียนได้ทาให้สามารถช้ีชัดจุดอ่อนของตน และเลือก เน้ือหาใหเ้ ข้ากบั รปู แบบการเรยี นของตวั เอง เช่นการเลอื กเรยี นเนอ้ื หาเฉพาะบางสว่ นท่ีตอ้ งการทบทวนได้ โดย ไม่ตอ้ งเรยี นในส่วนทีเ่ ข้าใจแล้ว ซ่งึ ถอื ว่าผูเ้ รียนได้รับอิสระในการควบคุมการเรยี นของตนเอง จึงทาให้ผู้เรียนได้ เรยี นรตู้ ามจังหวะของตนเอง 5. e-Learning ช่วยทาใหเ้ กดิ ปฏิสมั พันธ์ระหว่างผ้เู รยี นกบั ครผู สู้ อน และกับเพื่อน ๆ ได้ เน่ืองจาก e- Learning มีเครื่องมือต่าง ๆ มากมาย เช่น Chat Room, Web Board, E-mail เป็นต้น ที่เอื้อต่อการโต้ตอบ (Interaction) ที่หลากหลาย และไม่จากัดว่าจะต้องอยู่ในสถาบันการศึกษาเดียวกัน (Global Choice) นอกจากนน้ั e-Learning ทีอ่ อกแบบมาเปน็ อย่างดจี ะเออื้ ใหเ้ กิดปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างผู้เรียนกับเนื้อหาได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ เชน่ การออกแบบเนอื้ หาในลักษณะเกม หรอื การจาลอง เปน็ ต้น 1.24 ข้อจากดั 1. ผสู้ อนทน่ี า e-Learning ไปใช้ในลักษณะของส่ือเสริม โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการสอน เลย กลา่ วคอื ผู้สอนยังคงใช้แต่วธิ ีการบรรยายในทุกเนื้อหา และส่ังให้ผู้เรียนไปทบทวนจาก e-Learning หาก e-Learning ไมไ่ ด้ออกแบบใหจ้ ูงใจผเู้ รียนแลว้ ผ้เู รยี นคงใชอ้ ย่พู กั เดียวก็เลกิ ไปเพราะไม่มีแรงจูงใจใด ๆ ในการ ใช้ e-Learning กจ็ ะกลายเป็นการลงทนุ ท่ไี มค่ มุ้ ค่าแต่อย่างใด 2. ผู้สอนจะต้องเปล่ียนบทบาทจากการเป็นผู้ให้ (impart) เน้ือหาแก่ผู้เรียน มาเป็น (facilitator) ผ้ชู ว่ ยเหลือและให้คาแนะนาต่าง ๆ แก่ผู้เรียน พร้อมไปกับการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง จาก e-Learning ทัง้ นี้ หมายรวมถงึ การที่ผู้สอนควรมีความพร้อมทางด้านทักษะคอมพิวเตอร์และรับผิดชอบ ตอ่ การสอนมคี วามใส่ใจกับผ้เู รยี นโดยไม่ทิ้งผู้เรยี น 3. การลงทุนในดา้ นของ e-Learning ต้องครอบคลุมถึงการจัดการให้ผู้สอนและผู้เรียนสามารถเข้าถึง เนื้อหาและการติดต่อส่ือสารออนไลน์ได้สะดวก สาหรับ e-Learning แล้ว ผู้สอนหรือผู้เรียนท่ีใช้รูปแบบการ เรียนในลักษณะน้ีจะต้องมีสิ่งอานวยความสะดวก (facilities) ต่าง ๆ ในการเรียนที่พร้อมเพรียงและมี ประสิทธิภาพ เช่น ผู้สอนและผู้เรียนสามารถติดต่อส่ือสารกับผู้อ่ืนได้ และสามารถเรียกดูเน้ือหาโดยเฉพาะ อยา่ งยง่ิ ในลกั ษณะมัลติมีเดีย ได้อย่างครบถ้วน ด้วยความเร็วพอสมควร เพราะหากปราศจากข้อได้เปรียบใน การติดต่อสื่อสารและการเข้าถึงเนื้อหาได้สะดวก รวมทั้งข้อได้เปรียบส่ืออื่น ๆ ในลักษณะในการนาเสนอ เนื้อหา เชน่ มัลติมเี ดยี แลว้ นั้นผู้เรียนและผสู้ อนกอ็ าจไมเ่ ห็นความจาเปน็ ใด ๆ ทตี่ ้องใช้ e-Learning 1.25 ระดบั ของส่อื สาหรบั e-Learning (Level of media for e-Learning) สาหรบั e-Learning แลว้ การถา่ ยทอดเนอ้ื หาสามารถแบง่ ได้เป็น 3 ลกั ษณะดว้ ยกนั กล่าวคอื 1. ระดบั เน้นข้อความออนไลน์ (Text Online) หมายถงึ เนอ้ื หาของ e-Learning ในระดับน้ีจะอยู่ใน รูปของข้อความเป็นหลัก e-Learning ในลักษณะน้ีจะเหมือนกับการสอนบนเว็บ (WBI) ซึ่งเน้นเน้ือหาที่เป็น
20 ขอ้ ความ ตัวอักษรเป็นหลัก ซึ่งมีข้อดี ก็คือการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิตเนื้อหาและการบริหาร จดั การการเรยี นรู้ 2. ระดบั รายวชิ าออนไลน์เชงิ โต้ตอบและประหยัด (Low Cost Interactive Online Course)หมายถึง เนื้อหา ของ e-Learning ในระดับน้ีจะอยู่ในรูปของตัวอักษร ภาพ เสียง และวิดีทัศน์ ที่ผลิตข้ึนมาอย่างง่าย ๆ ประกอบการเรียนการสอน e-Learning ในระดับหน่ึงและสองนี้ ควรจะต้องมีการพัฒนา LMS ท่ีดี เพื่อช่วย ผู้ใชใ้ นการสรา้ งและปรบั เนือ้ หาใหท้ ันสมยั ได้อย่างสะดวกด้วยตนเอง 3. ระดับรายวิชาออนไลน์คุณภาพสูง (High Quality Online Course) หมายถึง เนื้อหาของ e- Learning ในระดับนี้จะอยู่ในรูปของมัลติมีเดียท่ีมีลักษณะมืออาชีพ กล่าวคือ การผลิตต้องใช้ทีมงานในการ ผลิตที่ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญเน้อื หา (content experts) ผ้เู ชี่ยวชาญการออกแบบการสอน (instructional designers) และ ผเู้ ชย่ี วชาญการผลิตมัลตมิ เี ดยี (multimedia experts) 1.26 ระดบั ของการนา e-Learning ไปใชใ้ นการเรียนการสอน การนา e-Learning ไปใชใ้ นการเรยี นการสอน สามารถทาได้ 3 ระดบั ดังนี้ 1. ใช้ e-Learning เป็นสื่อเสริม (Supplementary) หมายถึงการนา e-Learning ไปใช้ใน ลักษณะสื่อเสริม กล่าวคือ นอกจากเน้ือหาท่ีปรากฏในลักษณะ e-Learning แล้ว ผู้เรียนยังสามารถศึกษา เนื้อหาเดียวกันนี้ในลักษณะอ่ืน ๆ เช่น จากเอกสาร(ชีท) ประกอบการสอน จากวิดีทัศน์ (Videotape) ฯลฯ
21 การใช้ e-Learning ในลักษณะน้ีเท่ากับว่าผู้สอนเพียงต้องการใช้ e-Learning เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสาหรับ ผเู้ รยี นในการเข้าถงึ เนอื้ หาเพอื่ ใหป้ ระสบการณ์พิเศษเพ่มิ เตมิ แก่ผเู้ รยี นเทา่ นน้ั 2. ใช้ e-Learning เป็นสื่อเติม (Complementary) หมายถึงการนา e-Learning ไปใช้ในลักษณะเพิม่ เตมิ จากวธิ กี ารสอนในลกั ษณะอ่นื ๆ เช่น นอกจากการบรรยายในห้องเรียนแล้ว ผู้สอนยัง ออกแบบเนื้อหาให้ผู้เรียนเข้าไปศึกษาเน้ือหาเพ่ิมเติมจาก e-Learning โดยเนื้อหาท่ีผู้เรียนเรียนจาก e- Learning ผู้สอนไม่จาเปน็ ต้องสอนซา้ อีก แต่สามารถใช้เวลาในชั้นเรียนในการอธิบายในเนื้อหาท่ีเข้าใจได้ยาก คอ่ นขา้ งซบั ซ้อน หรือเปน็ คาถามท่ีมีความเข้าใจผิดบ่อย ๆ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เวลาในการทากิจกรรมท่ี เน้นใหผ้ ู้เรียนได้เกดิ การคดิ วเิ คราะห์แทนได้ ในความคิดของผเู้ ขยี นแล้วในมหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ของเรา เมื่อได้ มีการลงทนุ ในการนา e-Learning ไปใช้กบั การเรยี นการสอนแล้วอย่างน้อยควรตัง้ วัตถปุ ระสงค์ในลักษณะของ สื่อเติม (Complementary) มากกว่าแค่เพียงเป็นสื่อเสริม(Supplementary) เพ่ือให้เกิดความคุ้มทุน นอกจากน้ีอาจยังไม่เหมาะสมที่จะใช้ในลักษณะแทนท่ีผู้สอน (Replacement) ตัวอย่างการใช้ในลักษณะสื่อ เตมิ เชน่ ผสู้ อนมอบหมายให้ผู้เรียนศึกษาเน้ือหาด้วยตนเองจาก e-Learning ในวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์ หน่ึงก่อนหรือหลังการเข้าช้ันเรียน รวมทั้ง ให้กาหนดกิจกรรมท่ีทดสอบความเข้าใจของผู้เรียนในเนื้อหา ดังกล่าวใน session การเรียนตามปรกติ เป็นต้น ทั้งน้ีเพ่ือให้เหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียนของเรา ซ่ึงยัง ต้องการคาแนะนาจากครูผู้สอน รวมท้ังการที่ผู้เรียนส่วนใหญ่ยังขาดการปลูกฝังให้มีความใฝ่รู้โดยธรรมชาติ 3. ใช้ e-Learning เป็นส่ือหลัก (Comprehensive Replacement) หมายถึงการนา e-Learning ไปใช้ใน ลกั ษณะแทนทกี่ ารบรรยายในหอ้ งเรียน ผู้เรียนจะตอ้ งศึกษาเน้ือหาท้ังหมดออนไลน์ และโต้ตอบกับเพ่ือนและ ผูเ้ รยี นอน่ื ๆ ในชน้ั เรียนผ่านทางเคร่ืองมือตดิ ต่อสือ่ สารต่าง ๆ ที่ e- Learning จัดเตรียมไว้ ในปัจจุบันแนวคิด เกี่ยวกับการนา e-Learning ไปใช้ในต่างประเทศจะอยู่ในลักษณะlearning through technology ซึ่ง หมายถึง การเรยี นรูโ้ ดยมุ่งเน้นการเรียนในลักษณะมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ผู้สอน ผู้เรียน และ ผู้เชย่ี วชาญอนื่ ๆ (Collaborative Learning) โดยอาศัยเทคโนโลยีในการนาเสนอเน้ือหา และกิจกรรมต่าง ๆ ซ่ึงต้องการการโต้ตอบผ่านเครื่องมือส่ือสารตลอด โดยไม่เน้นทางด้านของการเรียนรู้รายบุคคลผ่านสื่อ (courseware) มากนัก ในขณะท่ีในประเทศไทยการใช้ e-Learning ในลักษณะสื่อหลักเช่นเดียวกับ ต่างประเทศนนั้ จะอย่ใู นวงจากัด แตก่ ารใช้ส่วนใหญ่จะยังคงเป็นในลักษณะของ learning with technology ซง่ึ หมายถึง การใช้ e-Learning เปน็ เสมอื นเครือ่ งมือทางเลือกเพื่อใหผ้ เู้ รียนเกิดความกระตือรือร้น สนุกสนาน พรอ้ มไปกับการเรียนรใู้ นช้นั เรยี น 1.27 m-Learning m-Learningหรือ Mobile-Learning หลักการก็คือทาให้ผู้เรียนสามารถท่ีจะนาเอาบทเรียน มาวางไว้บนมอื ถอื และเรียกดูได้ตลอดเวลาทกุ ที่ พรอ้ มทง้ั สามารถทจ่ี ะรบั สง่ ขอ้ มลู ได้เมอ่ื จาเป็นและมีสัญญาณ จากเครือข่ายโทรคมนาคม นอกจากนัน้ จะตอ้ งสามารถทางานไดท้ ้ังสองทาง เปล่ียนแปลงบทเรียนส่งการบ้าน หรอื วิเคราะห์คะแนนจาก แบบฝึกหัดได้เช่นกัน การเรียนแบบผสมผสาน (Blended learning) การเรียนการ สอนทอี่ าศัยสื่อหลายๆชนิดผสมผสานกัน ตั้งแต่ด้านเทคโนโลยี กิจกรรมการเรียนการ สอน และเหตุการณ์ที่ เหมาะสมเพือ่ สร้างรูปแบบการเรยี นการสอนที่เหมาะสมสาหรับ กลุ่มเป้าหมาย Global learning บทเรียนใน
22 รปู แบบของการผสมผสานระหว่างวิดีโอ เสียง ภาพเคล่ือนไหว ทาให้ น่าสนใจและง่ายต่อการทาความเข้าใจ เป็นสื่อการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับความต้องการและวิถีชีวิต ระบบ Online Learning เป็นการเรียนรู้ด้วย ตนเองผ่านเทคโนโลยี Internet ซ่ึงจะนาเสนอ บทเรียน ในรูปแบบของการผสมผสานระหว่างวิดีโอ เสียง ภาพเคล่ือนไหว และตัวอักษร ทาให้ บทเรียน มคี วามน่าสนใจ และง่าย ตอ่ การทาความเข้าใจ เน่ืองจากผู้เรียน Online Learning สามารถเรียนรู้ทุกเรื่องราวได้ทุกที่ทุกเวลา จึงทาให้ Online Learning เป็นสื่อการเรียนรู้ ออนไลน์ สมบูรณ์แบบที่สอดคล้องกับ ความต้องการและวิถีชีวิต Mentored learning บทบาทของผู้สอนใน E-Learning จะเปลี่ยนไปเป็นผู้ให้คาแนะนา (Guide) เป็นผู้ฝึก (Coach) เป็นผู้อานวยความสะดวก (Facilitator) และเป็นพี่เลี้ยง (Mentor) ต่อกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ในขณะที่บทบาทของผู้เรียนจะ เปลี่ยนแปลง ความหมายของ M – Learning คือ การให้คาจากัดความของ Mobile Learning สามารถแยก พจิ ารณาได้เปน็ 2 ส่วน จากราก ศัพทท์ ี่นามาประกอบกัน คือ 1. Mobile (Devices) หมายถอื อปุ กรณค์ อมพวิ เตอร์ หรือ โทรศพั ทม์ ือถอื และเคร่ืองเล่น หรือแสดง ภาพท่ีพกพาตดิ ตัวไปได้ 2. Learning หมายถึงการเรียนรู้ เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเน่ืองมาจากบุคคลปะทะกับ ส่งิ แวดลอ้ มจงึ เกิดประสบการณ์ การเรียนรู้เกิดขึ้นไดเ้ มื่อมีการแสวงหาความรู้ การพัฒนาความรู้ ความสามารถ ของบุคคลให้มีประสิทธิภาพดีข้ึน รวมไปถึงกระบวนการสร้างความเข้าใจ และ ถ่ายทอดประสบการณ์ที่เป็น ประโยชนต์ อ่ บุคคล เมื่อพิจารณาจากความหมายของคาท้ังสองแล้วจะพบว่า Learning นั่นคือแก่นของM - learning เพราะเป็นการใช้เทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ ซึ่งก็คล้ายกับ E – Learning ท่ีเป็นการใช้ เครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตเพื่อให้เกดิ การเรียนรู้ นอกจากนมี้ ผี ู้ใช้คานิยามของ M - Learning ดังตอ่ ไปน้ี ริว (Ryu, 2007) หัวหน้าศูนย์โมบายคอมพิวต้ิง (Centre for Mobile Computing) ท่ี มหาวทิ ยาลัยแมสซ่ี เมืองโอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ ระบุว่า M- learning คือกิจกรรมการเรียนรู้ ท่ีเกิดขึ้น เมื่อผู้เรยี นอยรู่ ะหว่างการเดินทาง ณ ทใ่ี ดกต็ าม และเม่อื ใดก็ตาม เก็ดส์ (Geddes, 2006) ก็ให้ความหมายว่า M- learning คือการได้มาซึ่งความรู้และทักษะผ่านทาง เทคโนโลยขี องเคร่อื งประเภทพกพา ณ ที่ใดก็ตาม และเมื่อใดก็ตาม ซ่ึงส่งผลเกิดการ เปล่ียนแปลงพฤติกรรม วัตสัน และไวท์(Watson & White, 2006) ผู้เขียนรายงานเรื่อง M- learning ในการศึกษา (mLearning in Education) เน้นว่า M- learning หมายถงึ การรวมกันของ 2 P คือ เป็นการเรียนจาก เครื่อง ส่วนตัว (Personal) และเป็นการเรียนจากเคร่ืองท่ีพกพาได้ (Portable) การที่เรียนแบบส่วนตัว น้ันผู้เรียน สามารถเลือกเรยี นในหัวข้อที่ตอ้ งการ และการทีเ่ รียนจากเครือ่ งท่ีพกพาได้นั้นก่อให้เกิด โอกาสของการเรียนรู้ ได้ ซ่ึงเครื่องแบบ Personal Digital Assistant (PDA) และโทรศัพท์มือถือนั้น เป็นเคร่ืองท่ีใช้สาหรับ M- learning มากท่สี ุด
23 1.28 การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนซง่ึ สามารถจัดเป็นประเภทของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาได้ 3 กลุ่มใหญ่ หรือจะเรยี กว่า 3Ps 1. PDAs (Personal Digital Assistant) คอื คอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กหรือขนาด ประมาณฝ่า มือ ที่รู้จักกันท่ัวไปได้แก่ Pocket PC กับ Palm เคร่ืองมือส่ือสารในกลุ่มนี้ยังรวมถึง PDA Phone ซึ่งเป็น เครื่อง PDA ท่มี โี ทรศัพทใ์ นตัว สามารถใชง้ านการควบคุมดว้ ย Stylus เหมือนกบั PDA ทกุ ประการ นอกจากนี้ ยังหมายรวมถงึ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กอนื่ ๆ เช่น lap top, Note book และ Tablet PC อกี ดว้ ย 2. Smart Phones คอื โทรศัพท์มือถือ ท่บี รรจเุ อาหน้าท่ขี อง PDA เข้าไปด้วยเพียงแต่ไม่มี Stylus แต่ สามารถลงโปรแกรมเพิ่มเติมเหมือนกับ PDA และ PDA phone ได้ ข้อดีของอุปกรณ์กลุ่ม น้ีคือมีขนาดเล็ก พกพาสะดวกประหยัดไฟ และราคาไม่แพงมากนัก คาว่าโทรศัพท์มือถือ ตรงกับ ภาษาอังกฤษ ว่า hand phone ซ่ึงใช้คาน้ีแพร่หลายใน Asia Pacific ส่วนในอเมริกา นิยมเรียกว่า Cell Phone ซึ่งย่อมาจาก Cellular telephone สว่ นประเทศอ่นื ๆ นยิ มเรยี กว่า Mobile Phone 3. IPod, เครอ่ื งเล่น MP3 จากคา่ ยอ่นื ๆ และเครื่องที่มีลักษณะการทางานท่ีคล้ายกัน คือ เคร่ืองเสียง แบบพกพก iPod คอื ชอื่ รุน่ ของสนิ คา้ หมวดหนึง่ ของบริษทั Apple Computer, Inc ผู้ผลติ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ แมคอินทอช iPod และเครื่องเล่น MP3 นับเป็นเคร่ืองเสียงแบบพกพาที่สามารถ รับข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ ด้วยการต่อสาย USB หรือ รับด้วยสัญญาณ Blue tooth สาหรับรุ่นใหม่ๆ มีฮาร์ดดิสก์จุได้ถึง 60 GB. และมี ชอ่ ง Video out และมเี กมส์ใหเ้ ลือกเล่นได้อกี ด้วย 1.29 เคร่อื งเลน่ MP3 สาหรับพฒั นาการของ m-Learning เป็นพัฒนาการนวตั กรรมการเรยี นการสอนมาจากนวัตกรรมการ เรียนการสอนทางไกล หรือ d-Learning (Distance Learning) และการจัดการเรียนการสอนแบบ e- Learning (Electronic Learning) ดงั ภาพประกอบตอ่ ไปนี้ M - Learning นนั้ เกดิ ขนึ้ ได้โดยไรข้ อ้ จากัด ดา้ นเวลา และสถานที่ เพียงแค่ผู้เรียนมีความ พร้อมและ
24 เคร่ืองมอื อกี ทั้งเครอื ขา่ ยมเี นอื้ หาท่ตี อ้ งการ จงึ จะเกิดการเรียนรู้ข้ึน และจะได้ผลการ เรียนรู้ท่ีปรารถนา หาก ขาดเนือ้ หาในการเรียนรู้ วธิ ีการนน้ั จะกลายเป็นเพียงการสื่อสาร กบั เครือข่าย ไร้สายนั่นเอง กระบวนการเรยี นรแู้ บบ M – Learning กระบวนการเรียนรู้แบบ M – Learning มดี ้วยกนั ทัง้ หมด 5 ขน้ั ตอน ดังนี้ ขน้ั ที่ 1 ผเู้ รยี นมคี วามพรอ้ ม และเครอื่ งมอื ขั้นท่ี 2 เชอื่ มต่อเขา้ สู่เครือข่าย และพบเนื้อหาการเรยี นทตี่ ้องการ ขน้ั ท่ี 3 หากพบเนือ้ หาจะไปยงั ขนั้ ที่ 4 แตถ่ ้าไมพ่ บจะกลับเขา้ สู่ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 4 ดาเนินการเรยี นรู้ ซึง่ ไมจ่ าเปน็ ที่จะตอ้ งอย่ใู นเครือข่าย ขนั้ ท่ี 5 ได้ผลการเรียนร้ตู ามวตั ถุประสงค์ 1.30 ประโยชนแ์ ละข้อจากดั ของ M – Learning เกด็ ส์ (Geddes, 2006) ไดท้ าการศกึ ษาประโยชนข์ อง M - Learning และสรุปว่าประโยชน์ท่ี ชัดเจน อย่างยงิ่ นั้นสามารถจัดได้เปน็ 4 หมวด คือ 1. การเขา้ ถงึ ข้อมูล (Access) ไดท้ กุ ที่ ทุกเวลา 2. สร้างสภาพแวดล้อมเพ่ือการเรียนรู้ (Context) เพราะ M - Learning ช่วยให้การเรียนรู้จาก สถานทใ่ี ดก็ตามท่มี ีความตอ้ งการเรียนรู้ ยกตวั อย่างเชน่ การสอื่ สารกับแหลง่ ข้อมูล และผู้สอนใน การเรียนจาก สิ่งตา่ งๆ เช่น ในพิพิธภัณฑท์ ี่ผเู้ รียนแตล่ ะคนมีเครื่องมือสือ่ สารติดต่อกับวทิ ยากรหรอื ผสู้ อนได้ตลอดเวลา 3. การร่วมมือ (Collaboration) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และเพื่อนร่วมช้ันเรียนได้ทุกท่ี ทุก เวลา 4. ทาให้ผู้เรยี นสนใจมากขนึ้ (Appeal) โดยเฉพาะในกลมุ่ วัยรุ่น เช่น นักศึกษาที่ไม่ค่อย สนใจเรียนใน ห้องเรยี น แตอ่ ยากจะเรยี นดว้ ยตนเองมากขึน้ ดว้ ย M - Learning 1.31ข้อดีของ M – Learning 1. มคี วามเปน็ สว่ นตัว และอิสระทจ่ี ะเลือกเรยี นรู้ และรบั รู้ 2. ไม่มขี ้อจากัดด้านเวลา สถานที่ เพ่ิมความเปน็ ไปได้ในการเรียนรู้ 3. มีแรงจงู ใจต่อการเรยี นรมู้ ากขนึ้ 4. สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ไดจ้ ริง 5. ด้วยเทคโนโลยีของ M - Learning ทาให้เปลี่ยนสภาพการเรียนจากที่ยึดผู้สอนเป็น ศนู ยก์ ลาง ไปสู่การมีปฏสิ มั พันธโ์ ดยตรงกบั ผู้เรยี น จึงเป็นการส่งเสริมให้มีการส่ือสารกับเพ่ือนและ ผู้สอนมาก ข้นึ 6. สามารถรับข้อมูลที่ไม่มีการระบุชื่อได้ ซ่ึงทาให้ผู้เรียนท่ีไม่มั่นใจกล้าแสดงออก มากข้ึน 1.32 ข้อด้อยของ M – Learning 1. ขนาดของความจุ Memory และขนาดหน้าจอที่จากัดอาจจะเป็นอุปสรรคสาหรับการอ่าน ข้อมูล แปน้ กดตัวอักษรไม่สะดวกรวดเร็วเท่ากับคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์แบบต้ังโต๊ะ อีกท้ังเคร่ืองยัง ขาดมาตรฐาน ท่ี
25 ตอ้ งคานงึ ถงึ เม่อื ออกแบบสอ่ื เช่น ขนาดหน้าจอ แบบของหน้าจอ ที่บางรุ่นเป็น แนวตั้ง บางรุ่นเป็นแนวนอน 2. การเช่ือมต่อกบั เครอื ขา่ ย ยังมรี าคาท่คี อ่ นขา้ งแพง และคุณภาพอาจจะยงั ไมน่ า่ พอใจนกั 3. ซอฟต์แวรท์ ่ีมอี ยูใ่ นทอ้ งตลาดทวั่ ไป ไมส่ ามารถใช้ได้กบั เคร่ืองโทรศพั ท์แบบพกพาได้ 4. ราคาเครื่องใหมร่ ุ่นทดี่ ี ยังแพงอยู่ อีกทง้ั อาจจะถูกขโมยไดง้ ่าย 5. ความแข็งแรงของเคร่ืองยังเทียบไมไ่ ดก้ ับคอมพิวเตอร์ต้งั โตะ๊ 6. อัพเกรดยาก และเครอ่ื งบางรุ่นกม็ ีศักยภาพจากดั 7. การพัฒนาด้านเทคโนโลยอี ย่างต่อเน่ือง ส่งผลใหข้ าดมาตรฐานของการผลิตสื่อเพ่ือ M - Learning 1.33 บทบาทของ M-Learning M-Learning นั้นมีแนวโน้มท่ีจะเป็นช่องทางใหม่ที่จะกระจายความรู้ สู่ชุมชนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และจะเป็นทางเลือกใหม่ ที่ส่งเสริมให้การเรียนรู้ตลอดชีวิตบรรลุวัตถุประสงค์ได้ดี อีกด้วย เหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนประเด็นนี้ก็คือ มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือท่ัวโลกกว่า 3.3 พันล้านคน ใน ปี ค.ศ. 2007 เพิ่มขึน้ อย่างรวดเร็วเมื่อเทยี บกับจานวนผใู้ ช้ในปี 2006 ซ่ึงมอี ยูป่ ระมาณ 2 พันล้านคน จานวนผู้ลงทะเบียนใช้ โทรศัพท์มือถือมากกว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตท่ัวโลกเกือบ 3 เท่า เพราะในปี ค.ศ. 2008 น้ัน จานวนของผู้ใช้ อินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 1.3 พันล้านคน ซ่ึงเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากปี ค.ศ. 2007 ท่ีมีอยู่ประมาณ 1.1 พันล้านคน เท่าน้ัน จากการเป็นเจ้าของเคร่ืองโทรศัพท์มือถือที่มากกว่าผู้ใช้ อินเทอร์เน็ตเป็นหลายเท่าน้ีเองที่ทาให้ M- Learning เป็นส่ิงท่ีน่าสนใจของนักการศึกษา เพราะอย่าง น้อย M-Learning ก็เป็นไปได้เพราะคนเรานั้นมี เคร่อื งมือ หรือเคร่ืองคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว เทคโนโลยีของการรับส่งข้อมูลผ่านระบบไร้สายก็มีการพัฒนามาก ขน้ึ อยูแ่ ล้ว ดังนนั้ การเรยี นรู้แบบ M-Learning จงึ มโี อกาสเป็นไปไดส้ ูง และเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษา อีกแขนงหนึ่ง M-Learning กาลังก้าวเข้ามาเป็นการเรียนรู้คู่กับสังคมอย่างแท้จริง เนื่องจากความเป็นอิสระ ของเครือข่ายไร้สาย ท่ีสามารถเข้าถึงได้ทุกท่ี ทุกเวลา อีกท้ังจานวนเคร่ืองคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่ ใช้เป็น เคร่อื งมือนน้ั มจี านวนเพ่มิ ข้ึนเรอื่ ยๆ จึงเปน็ การเรยี นร้อู กี ทางเลอื กหนงึ่ ของการนาเทคโนโลยี มาใช้เป็นช่องทาง ในการให้ผู้คนไดเ้ ขา้ ถึงความรู้ ทกุ ท่ีทุกเวลาอย่างแท้จรงิ เพราะหากเทยี บกบั การ ใช้เครื่องพีซี ก็ยังไม่ถือว่าเป็น ทกุ ท่ีทกุ เวลาอย่างแท้จรงิ เพราะยังตอ้ งใช้เครือ่ งคอมพวิ เตอรท์ บี่ ้าน หรอื ทีท่ างานเช่ือมตอ่ อินเทอร์เน็ต เพื่อเข้า สรู่ ะบบเครอื ขา่ ย แต่ในปจั จบุ ัน เทคโนโลยีก็ได้ยอ่ โลก ของเครือข่ายให้อยู่ในมือของผู้บริโภคแล้ว และสามารถ เข้าส่แู หลง่ การเรียนรู้ได้เมอ่ื ต้องการอยา่ ง แทจ้ ริงทุกเวลาและสถานที่ และหากเทียบราคาเคร่ืองคอมพิวเตอร์ PC และ อุปกรณส์ าหรบั เชื่อมต่อ ไรส้ ายทก่ี ลา่ วไปขา้ งต้น ราคาก็ไมไ่ ดแ้ ตกตา่ งกนั มากนัก นบั ว่าเป็นเทคโนโลยี ทีพ่ ัฒนาขึน้ มาได้ดี ทีเดียว และในอนาคตข้างหน้า คาดว่าการเรียนรู้แบบ M-Learning จะแพร่หลายมากข้ึน ยิง่ กวา่ ใน ปจั จุบัน 1.34 ผลกระทบตอ่ การศึกษา และการเรยี นการสอน ปจั จุบันไดม้ ีการพัฒนาประสทิ ธิภาพของโทรศัพทเ์ คลอื่ นท่ี เพ่อื รองรบั การบรกิ ารทางด้าน ต่าง ๆ เพ่ิม มากข้นึ รวมถงึ ทางด้านการศกึ ษาของไทย เนือ่ งจากโทรศพั ท์มือถอื ในปจั จุบนั มีขนาด เล็ก น้าหนักเบา สะดวก ต่อการพกพาติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลา จนกระท่ังเกิดการพัฒนา โปรแกรมการเรียนการสอนผ่าน
26 โทรศัพท์มือถือ M-Learning (Mobile Learning) ซึ่งเป็นการเรียน การสอนหรือบทเรียนสาเร็จรูป (Instructional package) ท่ีนาเสนอผ่านโทรศัพท์มือถือหรือ คอมพิวเตอร์แบบพกพา โดยอาศัยเทคโนโลยี เครือข่ายไร้สาย (Wireless Communication Network) ท่ีสามารถต่อเช่ือมจากเครือข่ายแม่ข่าย (Network Server) ผ่ายจุดต่อแบบไร้สาย (Wireless access point) แบบเวลาจริง (real time) อีกท้ังยังสามารถ ปฏสิ ัมพันธ์กับโทรศัพทม์ ือถอื หรอื คอมพิวเตอร์ แบบพกพาเครื่องอน่ื โดยใช้เทคโนโลยีดิจติ อล เช่น Bluetooth เพ่อื สนบั สนุนการทางานรว่ มกัน ดังน้นั เม่อื มอี ุปกรณ์ท่สี ะดวกต่อการเรียนการสอนเช่นนี้แล้ว จะช่วยส่งผล ให้การศกึ ษา เป็นไปไดโ้ ดยงา่ ย เพราะผเู้ รยี นสามารถท่ีจะเขา้ ถึงความรอู้ ยา่ งงา่ ยดายมากข้ึน ในปัจจุบันน้ันเป็น ยุค ทีว่ ยั รุน่ วยั เรยี น ให้ความสนใจกับเทคโนโลยมี าก โดยเฉพาะโทรศพั ทม์ ือถือ น้อยคนมากท่ีจะไม่มี มือถือไว้ ใช้ ดังนัน้ M-learning จึงเหมาะทจี่ ะนามาใช้กับการศึกษาในสมัยปัจจุบันมากท่ีสุด เพ่ือเป็น การเสริมความรู้ ให้กับผูเ้ รยี นอย่างทว่ั ถงึ 1.35 สรุปบทบาทของ M-Learning กบั การศกึ ษา โดยสรุปแล้ว M-Learning เข้ามามีบทบาทตอ่ การศึกษาโดยชว่ ยเข้ามาสง่ เสริมให้การศึกษา เป็นไปได้ ง่ายข้ึนและทั่วถึง ทาให้ผู้ศึกษาสามารถเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา M-Learning เป็นเทคโนโลยีที่ เหมาะสาหรับการนามาพัฒนาควบคู่ไปกับการศึกษาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาด้าน การศึกษาต่างๆที่เกิดข้ึนใน ปัจจุบัน และบทบาทของ M-learning ต่อการศึกษาในอนาคตจะย่ิงมีมาก ข้ึน เพราะได้มีการพัฒนาอยู่ ตลอดเวลา และดว้ ยการพัฒนาน้นั จะทาใหส้ ามารถลดข้อด้อยและเพ่ิม ข้อดีของ M-learning ได้มากข้ึน และ จะย่งิ เปน็ ประโยชน์ตอ่ การศกึ ษามากย่งิ ขึน้ ไป
27 1.37 การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการศึกษา ปัจจัยท่ีมผี ลตอ่ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี นอกจากเป็นปจั จัยที่มีผลในทางบวก อันเป็นปัจจัยใน การสรา้ งความเจรญิ เติบโตให้สังคมแล้ว อีกด้านหนึ่งการเปล่ียนแปลงทางเทคโนโลยีท่ีเกิดข้ึน ยังมีผลกระทบ ต่อสังคมในทางลบท่ีเปน็ ลูกโซ่ตามมาดว้ ย ดังตวั อยา่ งต่อไปน้คี ือ ผลกระทบต่อชมุ ชน การเปลย่ี นแปลงทางเทคโนโลยีด้านต่างๆ ท่ีเกิดขึ้น ส่งผลให้มนุษย์มีส่วนร่วมใน สังคมลดน้อยลง ความรสู้ กึ วา่ เป็นส่วนหนง่ึ ของชุมชน มีความสัมพนั ธ์กับเพ่ือนบ้านหายไป เพราะมนุษย์ทุกคน สามารถพ่งึ ตนเองได้ ผลกระทบต่อเศรษฐกจิ การเปล่ยี นแปลงทางเทคโนโลยีทาให้เกิดเทคโนโลยีท่ีใช้แรงงานคนน้อยลง ผู้ ท่ีมที นุ มากอาจนาเทคโนโลยีใหม่มาใช้งานท้ังหมดเป็นธุรกิจขนาดใหญ่มากข้ึน ทาให้ธุรกิจขนาดเล็กหดลงแต่ ในทางตรงกันข้ามการทแี่ ตล่ ะคนสามารถเปน็ เจ้าของเทคโนโลยีท่ีมีขนาดเล็กอาจจะทาให้เขากลายเป็นนายทุน อิสระ หรอื รวมตัวเปน็ สหกรณเ์ จ้าของเทคโนโลยรี ่วมกนั และอาจทาใหเ้ กดิ องค์กรทางธุรกิจใหม่ ๆ ได้ ผลกระทบด้านจิตวิทยา ความเจริญทางเทคโนโลยีท่ีเพิ่มขึ้นในเครื่องมือส่ือสารทาให้มนุษย์มีการ ติดตอ่ สอื่ สารผ่านทางจออิเล็กทรอนิกส์เท่านน้ั จงึ ทาให้ความสัมพันธ์ของมนุษยต์ อ้ งแบง่ แยกเปน็ ความสัมพันธ์ อนั แท้จริงโดยการสอ่ื สารกันตวั ต่อตัวทบ่ี า้ นกับความสัมพันธ์ผ่านจออิเลก็ ทรอนิกสซ์ ึ่งมผี ลให้ความรู้สึกนึกคิดใน ความเปน็ มนุษย์เปลย่ี นไป ผลกระทบทางดา้ นสง่ิ แวดล้อม การเปลีย่ นแปลงทางเทคโนโลยีบางตัวมีผล กระทบต่อสภาพแวดล้อม ดว้ ย นอกจากนี้การสร้างเทคโนโลยีการผลิตมากข้ึน มีผลทาให้มีการขุดค้นพลังงานธรรมชาติมาใช้ได้มากข้ึน และเร็วขึ้น เป็นการทาลายทรัพยากรธรรมชาติในทางอ้อมและการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเพ่ิมข้ึน โดย ปราศจากทศิ ทางการดูแลท่ีเหมาะสมจะทาให้ส่ิงแวดล้อม อาทิ แม่น้า พ้ืนดิน อากาศ เกิดมลภาวะมากยิ่งข้ึน
28 ผลกระทบทางดา้ นการศกึ ษา นวตั กรรมทางการศึกษามีลักษณะตามธรรมชาติที่เป็นส่ิงใหม่ ดังน้ันใน ความใหมจ่ งึ อาจทาใหท้ ้งั ครู และผู้ท่ีเก่ียวข้อง เช่นนักเทคโนโลยีทางการศึกษา ผู้บริหารการศึกษา อาจต้ังข้อ สงสยั และไมแ่ น่ใจวา่ จะมคี วามพร้อมท่ีจะนามาใชเ้ มอ่ื ใด และเมือ่ ใช้แลว้ จะทาให้เกดิ ผลสาเร็จมากน้อยอย่างไร แต่นวตั กรรมก็ยังมีเสนห่ ใ์ นการดึงดูดความสนใจ เกดิ การต่ืนตัว อยากรอู้ ยากเหน็ ตามธรรมชาตขิ องมนุษย์ หรือ อาจเกิดผลในเชงิ ตรงขา้ ม คอื กลัวและไม่กล้าเขา้ มาสัมผัสสิ่งใหม่ เพราะเกิดความไม่แน่ใจว่าจะทาให้เกิดความ เสียหาย หรือใช้เป็นหรือไม่ ครูในฐานะผู้ใช้นวัตกรรมโดยตรงจึงต้องมีความตื่นตัวและหมั่นติดตาม ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ ให้ทันตามความก้าวหน้า และเลือกนวัตกรรมและเทคโนโลยีท่ี สอดคล้องกบั สถานภาพและสงิ่ แวดลอ้ มของตนเอง การหม่ันศึกษา และติดตามความรู้วิทยาการใหม่ ๆ ให้ทัน จะช่วยทาให้การตัดสินใจนานวัตกรรมมาใช้เพ่ือการศึกษา สามารถทาได้อย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพและลด การเสยี่ งและความสนั้ เปลอื งงบประมาณและเวลาได้มากที่สุด สุดท้ายจะต้องมีกระบวนการในการตรวจสอบ การใชน้ วัตกรรมนนั้ ๆ วา่ มีความเหมาะสม มขี ้อบกพร่องและแนวทางปรบั ปรุงแก้ไขอยา่ งไร ท้ังโดยการสังเกต การใช้แบบทดสอบเพ่ือตรวจวัดการเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมของผู้เรยี นอยู่เสมอ ก็จะทาใหเ้ ราเชอ่ื แน่ได้ว่าการใช้ นวัตกรรมนั้นมปี ระสิทธิภาพสงู สดุ 1.37 การเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยที ี่มผี ลต่อสถานศึกษา สถานศึกษาในยุคปัจจุบันมี การเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก อิทธิพลของความ เจรญิ กา้ วหน้าทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ทาให้สภาพแวดลอ้ มทางการเรียนและสถานการณ์ของการเรียน การสอนแตกต่างไปจากเดิม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อการบริหารและการ จัดการ สภาพแวดล้อม ทางการเรียนซ่ึงจาเป็นต้องเปล่ียนแปลงตามไปด้วย สภาพแวดล้อมทางการเรียนใน สถานศึกษาปัจจบุ ันถกู กาหนดด้วยเทคโนโลยีที่ไดม้ ี การพิจารณานาเข้ามาใช้ การนาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทาให้ เกิดการเปลีย่ นแปลงที่มีผลต่อสถานศกึ ษาอยา่ ง น้อย 3 ประการ ไดแ้ ก่ 1. เทคโนโลยเี ปลีย่ นแปลงวถิ ีชวี ิต (Technology alters orientation.) สถานศึกษา สภาพของผู้เรียน
29 และผู้สอนได้รับอิทธิพลจากเทคโนโลยีมีลักษณะของการใช้ชีวิตในฐานะผู้เรียน และผู้สอนเปล่ียนไป วิถีชีวิต ของทงั้ ผเู้ รียนและผู้สอนผูกพันและขน้ึ อย่กู ับเทคโนโลยมี ากขนึ้ เชน่ วันนี้ไฟดบั งดจา่ ยกระแสไฟฟ้า นักเรียนไม่ สามารถทนน่ังในห้องเรียนที่ร้อนอบอ้าวได้ เช่นเดียวกับครูที่ไม่สามารถทาการสอนได้ เพราะเครื่องฉายภาพ จากคอมพิวเตอร์ไมท่ างาน ส่ือตา่ งๆ ทีผ่ ูส้ อนเตรียมมาไม่สามารถนามาใช้ได้ และมีการเรียนการสอนภาคนอก เวลาซง่ึ มกั จะสอนในเวลากลางคืนคงไม่มกี ารจดุ เทียน หรอื จดุ ตะเกียงเพ่ือการเรียนการสอน ส่ิงเหล่านี้แสดงให้ เห็นถึงวิถีชีวิตของการเป็นผู้เรียนและการเป็นผู้สอนใน สถานศึกษาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และผูกพันกับ เทคโนโลยีมากข้ึนจนบางทา่ นอาจคิดว่าเทคโนโลยีมีอิทธิพลในการ กาหนดวิถีชีวิตไม่เพียงการเปล่ียนแปลงวิถี ชวี ิตเท่าน้นั 2. เทคโนโลยีเปล่ียนแปลงวิธีการ (Technology alters techniques.) วิธีการเรียนการสอนใน สถานศึกษาปัจจุบันมีหลายรูปแบบหลายลักษณะ และในจานวนรูปแบบต่างๆ ของการเรียนเหล่าน้ัน จาเป็นต้องพ่ึงพาเทคโนโลยี เช่น การเรียนการสอนทางไกลแบบสองทาง การเรียนด้วยส่ือโทรทัศน์ผ่าน ดาวเทียม หรอื รูปแบบของการเรียนการสอนท่ีไมจ่ าเป็นต้องมีช้ันเรียนให้ผู้เรียนเรียน ได้ด้วยตนเองจากแหล่ง วิทยบริการที่มีอยู่หรือจากชุดการเรียนที่ทาข้ึนสาหรับ ผู้เรียนลักษณะนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้เทคนิควิธีการ เรยี นการสอน การประเมินผล ยังเปลย่ี นแปลงไปจากเดิมท่ีมีครูเป็นศูนย์กลาง กลายเป็นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ของการเรยี นมากข้ึน 3. เทคโนโลยีเปลย่ี นแปลงสถานการณ์ของการเรียน (Technology alters situations of learning.) การเปล่ียนแปลงสถานการณ์ของการเรียนในสถานศกึ ษา เป็นสภาพใหม่ท่ีเกิดขน้ึ พร้อมๆ กับนาเทคโนโลยีใหม่ เขา้ มาใช้ สถานการณ์ของการเรยี นการสอนในสภาพของสิง่ แวดลอ้ มในสถานศึกษาที่เต็มไปด้วย เทคโนโลยีเพ่ือ ช่วยการเรยี นร้จู ะมบี รรยากาศของการเรียน เง่อื นไขในการเรยี น ท่แี ตกต่างจากเดิม ผู้เรียนสามารถเลือกเรียน ในสถานการณแ์ ละเงือ่ นไขท่ีตนเองตอ้ งการไดม้ ากขน้ึ สถานการณ์ท่ที าให้เกิดการเรียนรู้ไม่จาเป็นต้องสร้างข้ึน ดว้ ยครผู ้สู อน เทา่ นน้ั อยา่ งแตก่ ่อน แต่เทคโนโลยีสามารถจะสร้างสถานการณ์ของการเรียนให้เกิดขึ้นได้และมี ความหลากหลายอกี ดว้ ย จากผลของการเปลี่ยนแปลงโดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวกาหนดดัง กล่าวข้างต้น ทาให้สภาพแวดล้อม ทางการเรียนในสถานศึกษาต้องมีการวางแผนและจัดการกับ เทคโนโลยีที่เป็นตัวกาหนดน้ันอย่างมี ประสิทธภิ าพและใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพ สูงสุด เพ่ือเป็นแนวทางที่จะนาไปสู่การจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ท่ี สถานศึกษาทุกแห่งตอ้ งการใหเ้ กดิ ขน้ึ 1.38 แนวโน้มการเปลยี่ นแปลงทีส่ าคญั ทเี่ กดิ จากเทคโนโลยี บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคโลกาภิวัตน์ จอห์น ไนซ์บิตต์ ผู้พยากรณ์สังคมได้เขียนหนังสือเร่ือง Megatrends 2000 โดยกล่าวถึงแนวโน้มการเปล่ียนแปลงใหม่ทางสังคมโลกว่า เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้ การกระจายข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีลักษณะการกระจายแบบทุกทิศทาง และมีระบบ ตอบสนองอย่างรวดเร็ว และยังสื่อสารแบบสองทิศทาง ด้วยเหตุน้ีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้าน เศรษฐกจิ การเมอื งและสังคมจึงแตกต่างจากในอดีตมาก ดังจะเห็นได้จากวิกฤตการณ์ทางด้านเศรษฐกิจจาก ประเทศหน่ึงมีผลกระทบต่อประเทศอ่ืน ๆ อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ผลของความก้าวหน้าทางด้าน
30 เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้เกิดแนวโน้มการเปล่ียนแปลงที่สาคัญหลายด้าน แนวโน้มท่ีสาคัญที่เกิดจาก เทคโนโลยีท่สี าคญั และเป็นท่ีกล่าวถึงกันมาก มีหลายประการ เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้สงั คมเปลี่ยนมาเปน็ สังคมสารสนเทศ ซ่ึงในอดตี สังคมโลกได้เปลย่ี นแปลง มาแล้วสองครง้ั คร้ังแรกจากสังคมความเป็นอยแู่ บบเร่รอ่ นมาเปน็ สังคมเกษตรทีร่ ู้จักกบั การเพาะปลูก และสรา้ งผลติ ผลทางการเกษตร ทาให้มกี ารสรา้ งบ้านเรือนเปน็ หลักแหล่ง ตอ่ มามีความจาเป็นต้อง ผลิตสินค้าใหไ้ ดป้ รมิ าณมากและต้นทนุ ถูก จงึ ตอ้ งหันมาผลติ แบบอตุ สาหกรรม ทาใหส้ ภาพความ เปน็ อยขู่ องมนษุ ยเ์ ปลย่ี นแปลงมาเป็นสังคมเมอื ง มีการรวมกล่มุ อยู่อาศยั เป็นเมือง มอี ุตสาหกรรมเปน็ ฐานการผลิต จนมาถงึ ปัจจบุ ันซ่ึงกาลังเปล่ียนแปลงเข้าสสู่ งั คมสารสนเทศ โดยคอมพิวเตอร์และ ระบบสือ่ สารมีบทบาทมากขึน้ มกี ารใช้เครอื ข่าย เช่น อนิ เทอร์เน็ตเช่ือมโยงการทางานต่าง ๆ เกดิ คา ใหมว่ า่ “ไซเบอรส์ เปซ (Cyberspace)” มีการดาเนนิ กิจกรรมต่าง ๆ ใน ไซเบอร์สเปซ เชน่ การพูดคุย การซ้ือสนิ คา้ และบรกิ าร การทางานผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทาให้เกดิ สภาพเสมือนจรงิ มากมาย อาทิ หอ้ งสมดุ เสมอื นจริง ห้องเรียนเสมือนจรงิ ทที่ างานเสมือนจรงิ เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีแบบสนุ ทรียสัมผสั และตอบสนองตามความตอ้ งการ ซง่ึ แตเ่ ดมิ การใช้เทคโนโลยีเป็นแบบบงั คับ เช่น การดูโทรทัศน์ วทิ ยุ เมือ่ เปิดเครอื่ งรบั โทรทัศน์ จะไม่สามารถ เลอื กตามความต้องการได้ ถา้ สถานีสง่ สัญญาณใดมากจ็ ะต้องชม หากไม่พอใจกท็ าได้เพียงเลอื กสถานี ใหม่ แนวโนม้ จากน้ไี ปจะมกี ารเปล่ียนแปลงในลักษณะทเี่ รยี กว่า on demand เช่น เม่ือต้องการชม ภาพยนตร์เรือ่ งใดก็สามารถเลอื กชมและดูไดต้ ้งั แต่ตน้ รายการ หากจะศกึ ษาหรือเรียนรกู้ ม็ ี education on demand คอื สามารถเลือกเรยี นตามต้องการได้ การตอบสนองตามความต้องการ เป็นหนทางทีเ่ ป็นไปได้เพราะเทคโนโลยมี ีพฒั นาการที่ก้าวหน้าจนสามารถนาระบบส่ือสารมา ตอบสนองตามความตอ้ งการของมนุษย์ได้ เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้เกิดสภาพทางการทางานแบบทุกสถานทแ่ี ละทกุ เวลา โดยการโตต้ อบผา่ น ระบบเครือข่าย อาทิ วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ ระบบประชมุ บนเครอื ขา่ ย ระบบ Tele-education ระบบ การค้าบนเครือขา่ ย (E-commerce) ลักษณะของการดาเนนิ กิจกรรมเหล่านท้ี าใหข้ ยายขอบเขตการ ทางานไปทกุ หนทุกแห่งและดาเนินการไดต้ ลอด 24 ชั่วโมง เห็นได้จากตัวอยา่ งทม่ี มี านานแล้ว เชน่ ระบบเอทเี อม็ ทาใหก้ ารเบกิ จา่ ยได้เกอื บตลอดเวลา และกระจายไปใกล้ตวั ผ้รู บั บริการมากข้ึน แต่ด้วย เทคโนโลยที ก่ี ้าวหนา้ ยง่ิ ขึ้น การบริการจะกระจายมากยงิ่ ขึน้ จนถงึ ทบ่ี า้ น ในอนาคตสังคมการทางาน จะกระจายจนงานบางงานอาจนงั่ ทาท่บี า้ นหรือทีใ่ ดกไ็ ด้ และเวลาใดก็ได้ เทคโนโลยีสารสนเทศทาใหร้ ะบบเศรษฐกจิ เปล่ียนจากระบบแหง่ ชาตไิ ปเป็นเศรษฐกิจโลก ความเก่ียว โยงของเครือขา่ ยสารสนเทศทาใหเ้ กิดสงั คมโลกาภิวัตน์ ระบบเศรษฐกิจซง่ึ แตเ่ ดิมมีขอบเขตจากัด ภายในประเทศ ก็กระจายเปน็ เศรษฐกจิ โลก ทว่ั โลกจะมกี ระแสการหมุนเวียนแลกเปลย่ี นสินค้าบริการ อยา่ งกว้างขวางและรวดเรว็ เทคโนโลยสี ารสนเทศมีสว่ นเอ้อื อานวยใหก้ ารดาเนินการมขี อบเขต กวา้ งขวางมากยิ่งขนึ้ ระบบเศรษฐกจิ ของโลกจงึ ผูกพนั กบั ทกุ ประเทศ และเช่อื มโยงกนั แนบแน่นขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศทาใหอ้ งคก์ รมลี กั ษณะผกู พัน หน่วยงานภายในเป็นแบบเครือขา่ ยมากข้นึ แต่ เดิมการจดั องค์กรมีการวางเป็นลาดับข้ัน มสี ายการบังคบั บัญชาจากบนลงล่าง แตเ่ ม่ือการสือ่ สารแบบ สองทางและการกระจายขา่ วสารดีขึน้ มีการใช้เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ในองคก์ รผูกพันกนั เป็นกลมุ่ งาน มกี ารเพ่มิ คุณค่าขององคก์ รด้วยเทคโนโลยสี ารสนเทศ การจัดโครงสรา้ งขององค์กรจึงปรับเปล่ยี นจาก เดิม และมีแนวโน้มทจ่ี ะสร้างองค์กรเปน็ เครอื ขา่ ยท่ีมลี ักษณะการบงั คบั บัญชาแบบแนวราบมากข้ึน
31 หน่วยธุรกิจจะมขี นาดเล็กลง และเชอื่ มโยงกันกับหนว่ ยธรุ กิจอนื่ เป็นเครือข่าย สถานะภาพขององค์กร จึงต้องแปรเปล่ยี นไปตามกระแสของเทคโนโลยี เพราะการดาเนนิ ธุรกิจตอ้ งใช้ระบบสอื่ สารที่มคี วาม รวดเร็ว ก่อใหเ้ กิดการแลกเปลีย่ นข้อมลู ไดง้ ่ายและรวดเร็ว เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดาเนนิ การระยะยาวขนึ้ อีกท้ังยงั ทาใหก้ ารตดั สินใจ หรอื เลอื กทางเลือกได้ละเอยี ดขน้ึ แตเ่ ดิมการตดั สินปญั หาอาจมีหนทางใหเ้ ลอื กได้นอ้ ย เชน่ มคี าตอบ เดยี ว ใช่และไม่ใช่ แตด่ ้วยข้อมลู ข่าวสารทส่ี นับสนุนการตดั สนิ ใจ ทาให้วถิ ีความคิดในการตัดสินปญั หา เปล่ยี นไป ผตู้ ัดสนิ ใจมีทางเลือกได้มากข้ึน มีความละเอียดออ่ นในการตดั สนิ ปญั หาไดด้ ขี นึ้ เทคโนโลยีสารสนเทศ ในปัจจบุ นั ทาใหก้ ารเข้าถงึ ข้อมลู ขา่ วสารทว่ั โลกทาได้สะดวกมากขึ้น ดงั จะเห็น ได้จากการรบั ชมขา่ วสาร รายการโทรทัศน์ท่ีส่งกระจายผา่ นดาวเทยี มของประเทศต่าง ๆ ได้ท่วั โลก สามารถรบั รู้ข่าวสารได้ทันทที ่ีใชเ้ ครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการสื่อสารระหวา่ งกนั และติดตอ่ กับคนได้ทั่ว โลก จงึ เป็นทแ่ี น่ชัดว่าแนวโน้มการเปล่ยี นแปลงทางวฒั นธรรม เศรษฐกิจ สงั คม และการเมอื งจึงมี ลักษณะเปน็ สังคมโลกมากข้ึน 1.39 ปญั หาอปุ สรรคในการแกไ้ ขปัญหา เอาทซ์ อรส์ Outsource (การแบ่งงานบางส่วนออกไปทาท่อี ่นื )โทมัส ฟรีดแมน นกั หนงั สอื พิมพ์ชาวอเมรกิ นั ผูเ้ ขยี นหนงั สือเร่อื ง “ใครวา่ โลกกลม (The World is Flat)” ได้กล่าวถึงการแบนราบลงของสนามแขง่ ขันทุก แหง่ บนโลก สาเหตุหนงึ่ ท่ีทาให้ประเทศกาลงั พฒั นา บรษิ ัทขนาดเลก็ หรอื กลมุ่ บคุ คล/องคก์ รบางกลุ่มสามารถ เขา้ รว่ มแขง่ ขนั ในสมรภูมิทางเศรษฐกิจได้นัน้ เปน็ ผลมาจากการพัฒนาเทคโนโลยสี ารสนเทศทกี่ า้ วหน้าข้นึ ดัง ตัวอย่างต่อไปนี้ การจ้างงานบางอยา่ งถกู แบง่ งานไปยังท่อี นื่ มคี วามตา่ งทางดา้ นเวลา เชน่ อเมริกากับอินเดียซึง่ อยคู่ น ละซกี โลก เวลาต่างกัน 12 ชัว่ โมง ทอ่ี เมริกาเป็นกลางคืนแตอ่ ินเดยี ยงั เป็นกลางวนั ทาใหง้ านบางอย่าง สามารถส่งจากอเมริกาในตอนกลางคืนผา่ นระบบอนิ เตอรเ์ น็ตไปให้ชาวอินเดยี ช่วยจัดการให้ อาทิ โรงพยาบาลบางแหง่ สง่ ไฟลภ์ าพสแกน CAT หรือ MRI ของคนไข้ผา่ นอนิ เตอร์เน็ตไปใหห้ มอชาว อนิ เดยี ชว่ ยวินิจฉัย บรษิ ัทบางแหง่ อัดไฟล์เสยี งบนั ทึกการประชุมส่งไปยงั อนิ เดยี ให้ช่วยถอดบนั ทึกการ ประชุมและสรปุ รายงานเพือ่ ส่งกลบั มาในตอนเช้า ประสิทธภิ าพของการส่งขอ้ มลู ผา่ นอนิ เตอร์เนต็ ที่สามารถสง่ ข้อมลู แบบมัลตมิ ีเดยี ท้งั ขอ้ ความ ภาพ เสียง ภาพเคลอื่ นไหวไดอ้ ย่างรวดเรว็ ผ่านเคเบล้ิ ใยแกว้ นาแสง ทาใหก้ ารแบ่งงานไปยงั ท่ีอืน่ มคี วาม สะดวกมากขึ้น อาทิ ในปี 2005 มีแบบฟอร์มเสียภาษีของอเมริกาจานวนกว่า 400,000 รายการถูก สแกนสง่ ไปยงั อนิ เดยี ให้นกั บัญชชี าวอนิ เดยี เปน็ ผจู้ ัดทาและมแี นวโน้มจะเพิม่ มากขน้ึ ทกุ ปี ธุรกิจ E- tutoring ผา่ นอนิ เตอรเ์ น็ต โดยในตอนเย็นเด็กนักเรียนชาวอเมริกันจะใช้อนิ เตอรเ์ น็ตในการตวิ เนือ้ หา ในการเรยี น การทาการบา้ น รายงานโดยครผู ู้สอนน้ันเป็นชาวอินเดีย หรือธรุ กจิ การตอบรับโทรศพั ท์ เช่น การแจง้ เตือนชาระเงิน การจองต๋วั เครอ่ื งบิน ร้านอาหารหรอื โรงแรม การชักชวนทาบตั รเครดิต เปน็ ต้น ธรุ กิจเหล่านม้ี ีบริษัทอยู่ทีอ่ นิ เดียทงั้ ส้ิน ซึ่งชาวอเมริกันจานวนมากอาจจะยังไม่ทราบวา่ เม่อื ใช้ โทรศพั ท์ตดิ ตอ่ งานดงั กลา่ วนน้ั เป็นการโทรผา่ นเครอื ขา่ ยอินเตอร์เน็ตซึ่งเสียค่าใชจ้ า่ ยน้อยมาก โดย โอเปอเรเตอร์ทร่ี บั สายอยทู่ ปี่ ระเทศอนิ เดีย การแบ่งงานไปยงั ประเทศท่ีมีค่าแรงถกู กว่า เชน่ ท่ีเมอื งบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย ทร่ี บั แบง่ งานด้าน ซอฟตแ์ วรจ์ ากอเมริกา โดยบรษิ ทั ซอฟตแ์ วร์หลายแห่งในเมอื งซิลิกอนแวลเลย์ท่อี เมริกา ได้จ้างวิศวกร คอมพวิ เตอรจ์ ากอนิ เดยี ในการพฒั นาซอฟตแ์ วร์ หรือทีเ่ มอื งตา้ เหลียน ประเทศจีนซ่งึ มีชาวจนี จานวน
32 มากทีส่ ามารถสอื่ สารภาษาญี่ปุ่นได้ และรบั แบง่ งานหลายอยา่ งจากญปี่ ุน่ ผ่านทางอินเตอร์เนต็ เช่น ออกแบบซอฟตแ์ วร์ ออกแบบอาคารดว้ ยคอมพวิ เตอร์ งานดา้ นกฎหมาย เปน็ ตน้ โดยที่คิดค่าแรงถกู กว่าท่ีญ่ีปนุ่ มาก สงั คมออนไลน์ ซอฟตแ์ วรท์ ่พี ัฒนาข้ึนโดยชมุ ชนออนไลน์ อาทิ Linux, Apache, FireFox ลว้ นแลว้ แตเ่ ปน็ ซอฟตแ์ วร์ ท่นี กั คอมพิวเตอร์อสิ ระทว่ั โลกช่วยกันพฒั นาขึน้ มาโดยคาดหวังว่าจะเปน็ ซอฟต์แวร์รหัสเปิด (Open source) ท่ีทกุ คนสามารถมีส่วนรว่ มในการปรับปรุงโปรแกรม ดาวน์โหลดไปใช้ไดฟ้ รแี ละมี ประสทิ ธภิ าพ ผลทเี่ กิดขึ้นคือซอฟต์แวร์รหัสเปดิ เหลา่ นไ้ี ด้รับการตอบสนองจากบรรดาผู้ใชง้ านจานวน มากท่ัวโลก ซ่งึ เป็นอกี หนง่ึ ทางเลือกท่ผี ู้บรโิ ภคไม่จาเป็นต้องไปซอื้ หาซอฟต์แวรเ์ ชิงพาณชิ ยซ์ ึ่งอาจมี ราคาสูงมาใช้ นอกจากน้ธี รุ กจิ บางประเภทก็เคยใช้ซอฟต์แวรท์ พ่ี ัฒนาขนึ้ โดยชุมชนออนไลน์มาพัฒนา ธรุ กจิ ของตนเองได้ ดงั เช่นในปี ค.ศ.2000 ธรุ กจิ เหมืองทองคาของแคนาดา ชื่อวา่ โกล์คอร์ปองิ ค์ ได้ ออกประกาศชวนนกั ธรณวี ทิ ยาทัว่ โลกรว่ มแขง่ ขันออกแบบซอฟตแ์ วร์เพือ่ คน้ หาแหลง่ แร่ทองคาที่ เหมืองเรดเลกในแคนาดา โดยมรี างวัลรวมมูลค่ากว่า 575,000 ดอลล่าหส์ หรฐั โดยบรษิ ทั ได้มีการ เปดิ เผยข้อมูลเก่ียวกับเหมืองทั้งหมดผา่ นทางเวบ็ ไซต์ ซ่งึ มนี กั วทิ ยาศาสตร์ นักธรณวี ิทยากว่า 1,400 คน จาก 50 ประเทศเข้ามาดาวนโ์ หลดข้อมูลและแข่งขนั กันสร้างซอฟต์แวรใ์ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู แหล่งแร่และจาลองภาพเสมือนจรงิ ผลที่ไดร้ บั คอื บริษัทมผี ลผลิตทองคาเพิ่มขึ้นเกอื บสิบเท่า และถือ ไดว้ า่ เป็นนวัตกรรมใหมข่ องวงการเหมอื งแร่ การอพั โหลด (Upload) ท่ที าให้คุณทุกคนกลายเปน็ บคุ คลสาคญั ซึ่งโทมสั ฟรดี แมน เคยแสดงความ คดิ เหน็ เกี่ยวกับเรื่องนี้วา่ สมยั กอ่ นสงั คมออนไลนส์ ว่ นมากคือการดาวน์โหลดหรอื บริโภคขอ้ มูล ขา่ วสารเพียงอยา่ งเดยี ว แต่ในปัจจบุ ันผู้บริโภคกาลังเปลย่ี นเปน็ ผู้ผลติ ขอ้ มลู ข่าวสารและอพั โหลดสู่ ระบบเครือขา่ ยเพิม่ มากขน้ึ ดังจะเห็นไดจ้ าก นิตยสาร TIME ซึง่ เปน็ นิตยสารทีม่ กี ารมอบตาแหน่ง “Person of the Year” หรือ ”บคุ คลแห่งปี” ให้กับบคุ คล หรอื กลุ่มบุคคลทกี่ อ่ ให้เกิดผลกระทบใน เชิงข่าวและวิถีชีวติ ของคนหม่มู ากสูงทส่ี ุด แต่นติ ยสาร TIME ไดม้ อบตาแหน่งน้ีประจาปี 2006 ให้กับ
33 “คุณ (YOU)” ความหมายคือคุณทกุ คนที่เขา้ สสู่ ังคมออนไลนล์ ว้ นแลว้ แต่เป็นบคุ คลท่มี ีส่วนสาคญั ใน การสร้างสรรคส์ ังคมออนไลนข์ ึน้ มา ผา่ นทางส่ือออนไลนต์ ่างๆ ดงั ตวั อยา่ งน้ี - เว็บบลอ็ ก (Web Blog) หรอื ท่ีเรียกส้นั ๆ วา่ บล็อก ซง่ึ เปรียบเสมอื นหนงั สือพมิ พ์หรอื วารสาร ส่วนตัวท่ีผลิตดว้ ยตวั คุณเอง โดยคุณสามารถอัพโหลดคอลมั นห์ รอื จดหมายข่าวเข้าไปในเวบ็ ไซต์ เพือ่ ใหค้ นทัว่ โลกได้เย่ยี มชมและแสดงความคิดเห็น โดยการทาข่าว อาจใช้เพียงเคร่อื งเลน่ MP3 ใน การบนั ทกึ เสียงหรอื ใช้กล้องดจิ ิตอลที่อยู่ในโทรศพั ท์มือถือในการบันทึกภาพกส็ ามารถทาข่าวสาร เผยแพร่เองไดโ้ ดยไม่จาเปน็ ตอ้ งมพี ้ืนฐานดา้ นการทาข่าว อาทิ บล็อกสถานการณอ์ ิรกั ท่จี ดั ทาโดย ทหารอเมรกิ นั ในสมรภมู ิ บลอ็ กท่ีตดิ ตามผลงานและงานวจิ ารณ์ดนตรีของเด็กมธั ยม บล็อกของเพื่อน หรือคนใกลช้ ิด เปน็ ตน้ ปจั จุบันมกี ารประมาณการกันว่ามบี ลอ็ กอยู่ 24 ลา้ นบลอ็ กและกาลังเพิม่ ขึน้ วันละกว่า 70,000 บลอ็ ก และจะเพ่มิ เป็นสองเท่าทุกๆ ห้าเดอื น - คลิปวีดิโอออนไลน์ เช่น เวบ็ ไซต์ Metacafe.com หรอื YouTube.com ท่เี ปิดโอกาสให้บุคคล ทว่ั ไปไดน้ าคลปิ วีดีโอส้ันๆ อพั โหลดเข้ามาเก็บไว้ในเวบ็ ไซต์เพื่อเผยแพรใ่ หค้ นทวั่ โลกไดช้ ม ปัจจุบนั พบวา่ มเี วบ็ YouTube มีอัตราการเจริญโตอย่างรวดเร็ว โดยมผี ้เู ข้ามาเย่ยี มชมเว็บไซต์ กวา่ 100 ล้าน ครงั้ ตอ่ วัน ในแต่ละเดือนมีผอู้ ัพโหลดวิดโี อขน้ึ เวบ็ กวา่ 65,000 เรอ่ื ง สมาชกิ เพม่ิ ขนึ้ เดอื นละ 20 ล้าน คน ซึ่งคลิปวีดิโอที่อพั โหลดเข้ามาน้นั มมี ากมายหลายประเภท อาทิ การแสดงโชว์ผาดโผน การเล่น ดนตรีในแนวใหม่ ภาพเหตกุ ารณ์จรงิ จากอุบัตเิ หตุหรือภยั ธรรมชาติ วิดโี องานเทศกาศต่างๆ รวมไปถงึ ตวั อย่างภาพยนตรแ์ ละรายการโทรทัศน์ เป็นตน้ นอกจากนย้ี ังสามารถแสดงความคิดเห็นและรว่ ม โหวตให้คะแนนคลิปยอดนยิ ม ทาให้คนบางคนท่อี ยใู่ นคลิปวดี โิ อกลายเป็นดาราดังภายในชว่ั ข้ามคนื ก็ มี - สารานุกรมเสรอี อนไลน์ เช่น วิกพิ เี ดีย (Wikipedia.org) เป็นสารานุกรมท่รี ว่ มกนั สรา้ งขน้ึ โดยผ้อู ่าน มีคนหลายๆ คนรว่ มกันปรับปรุงวิกพิ ีเดยี อยา่ งสม่าเสมอ โดยบทความจะสมบูรณย์ ิ่งขน้ึ ทุกๆ การแก้ไข ผูท้ ีเ่ ข้ามาอ่านสามารถเพ่มิ เตมิ เนอ้ื หาท่ีเปน็ ประโยชน์ลงไปได้หรอื แก้ไขบทความทม่ี เี นื้อหาผดิ พลาด หรือคลาดเคลื่อนได้ ทาใหว้ กิ ิพเี ดยี เป็นสารานุกรมทถ่ี ือได้ว่าสร้างปรบั ปรุงแก้ไขและตรวจสอบโดย สังคมออนไลน์ และไดร้ ับการยอมรบั จากนักวชิ าการและสอ่ื มวลชน เนื่องจากเนอื้ หาเปิดเสรใี ห้ สามารถนาไปใชไ้ ด้ รวมถงึ เปิดเสรที ่ีให้ทุกคนแกไ้ ข ปจั จบุ ัน วกิ ิพเี ดยี มีทง้ั หมด 250 ภาษา รวมทุก ภาษามบี ทความมากกวา่ 6,000,000 บทความ และปัจจุบัน (พ.ค.2550)วิกิพเี ดยี ไทยมบี ทความกว่า 22,000 บทความ การแบ่งทรพั ยากรใช้ร่วมกนั เช่น โครงการ SETI@home หรือ Search for Extra-Terrestrial Intelligence at home เปน็ โครงการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ ที่ใชเ้ ครือ่ งคอมพวิ เตอร์สว่ นบคุ คลท่ี เชอื่ มต่อกับอนิ เทอร์เนต็ ในการค้นหาสญั ญาณจากตา่ งดาว ดาเนนิ การโดยมหาวทิ ยาลยั แคลิฟอร์เนีย เบริ ์กลีย์ เร่ิมเผยแพร่สูส่ าธารณะเมือ่ วนั ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 โดยในระยะแรกเป็นโปรแกรม สกรนี เซฟเวอร์ จะทางานเมอ่ื เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ไม่มีการใชง้ านอ่ืน ปัจจุบัน SETI@home ได้รับการ สนบั สนุนจากผใู้ ช้ท่วั ไป มีจานวนผู้รว่ มโครงการถึง 5.2 ล้านคน ได้รบั การบนั ทึกใน กนิ เนสบุค๊ (Guinness Book of World Records) ว่าเป็นโครงการ distributed computing ทใี่ หญท่ ี่สดุ ใน ปัจจุบัน ดว้ ยจานวนผ้ใู ชท้ ยี่ งั ทาการอย่ใู นปัจจุบนั ประมาณ 3 แสนเครอื่ ง (5 ธ.ค. 49) โครงการน้ี สามารถประมวลผลได้ 257 TeraFLOPS เปรยี บเทยี บกบั Blue Gene ซูเปอรค์ อมพิวเตอรท์ ่ีเร็วทีส่ ุด ในโลกของ ไอบเี อม็ สามารถคานวณได้ 280 TFLOPS
34 ปญั ญาประดษิ ฐ์ (Artificial Intelligence, AI) เครอ่ื งจกั รที่สามารถทางานไดเ้ หมือนคน เชน่ หุ่นยนต์ (Robot) ซ่ึงเปน็ เคร่ืองจักรกลชนิดหนง่ึ มี ลักษณะโครงสร้างและรปู ร่างแตกต่างกนั หนุ่ ยนตใ์ นแตล่ ะประเภทจะมีหนา้ ท่ีการทางานในดา้ นต่าง ๆ ตามการควบคมุ โดยตรงของมนษุ ย์ โดยทวั่ ไปห่นุ ยนต์ถกู สรา้ งข้นึ เพอ่ื สาหรับงานท่มี คี วามยากลาบาก เชน่ งานสารวจในพื้นทีบ่ รเิ วณทเี่ ส่ียงอันตรายหรอื งานสารวจดวงจนั ทร์ ดาวเคราะหท์ ไี่ ม่มีสง่ิ มีชวี ิต ปจั จุบันเทคโนโลยขี องห่นุ ยนต์เจรญิ กา้ วหนา้ อย่างรวดเร็ว เริ่มเข้ามามบี ทบาทกบั ชวี ิตของมนุษย์ใน ด้านตา่ ง ๆ เชน่ ด้านอุตสาหกรรมการผลิต หุ่นยนต์ท่ใี ช้ในทางการแพทย์ หนุ่ ยนต์สาหรบั งานสารวจ ใตท้ ะเล หนุ่ ยนต์ทใ่ี ช้งานในอวกาศ หรอื แมแ้ ตห่ นุ่ ยนต์ที่ถูกสร้างขึน้ เพื่อเปน็ เครื่องเล่นของมนษุ ย์ จนกระทง่ั ในปัจจบุ ันนีไ้ ดม้ กี ารพฒั นาให้หุน่ ยนตน์ น้ั มีลักษณะที่คล้ายมนุษย์ เพือ่ ให้อาศัยอยู่รว่ มกันกบั มนุษย์ ใหไ้ ดใ้ นชีวิตประจาวนั การทางานตา่ งๆ เลียนแบบพฤตกิ รรมของคน เชน่ การมองเห็น การได้ยิน การคดิ การใช้เหตผุ ลและ ตัดสินใจ เปน็ ต้น ตวั อยา่ ง AI ท่มี ีชื่อเสียงมากที่สดุ อันหนึง่ ไดแ้ ก่ ดีพ บลู ทู (Deep Blue II) ซเู ปอร์ คอมพิวเตอรข์ องบรษิ ทั IBM ท่ีสามารถเอาชนะนายแกร่ี คาสปารอฟ แชมปโ์ ลกหมากรุกเมอ่ื ปี ค.ศ. 1997 โดยซเู ปอรค์ อมพิวเตอร์ของ IBM เครอ่ื งนี้ สามารถประเมินแนวทางทเี่ ปน็ ไปไดน้ ับพนั วธิ ี ซงึ่ สิง่ ประดิษฐ์นแ้ี สดงใหเ้ ห็นว่าในอนาคตอันใกลร้ ะบบคอมพวิ เตอรจ์ ะมีความเฉลยี วฉลาดและสามารถ ตอบสนองได้เหมือนกับมนษุ ย์มากข้ึน เทคโนโลยภี มู ิสารสนเทศ ระบบระบุพิกดั บนพน้ื โลก (Global Positioning System, GPS) คือเครื่องมอื ท่ีทางานโดยการรบั สญั ญาณจากดาวเทยี มอย่างน้อย 4 เพื่อระบพุ กิ ัดตาแหนง่ บนพน้ื โลก ปัจจุบันน้ไี ดม้ ีการใชง้ าน GPS ในรปู แบบของการกาหนดพกิ ดั ของสถานทีต่ ่าง ๆ การสารวจ การนาทาง การทาแผนท่ี การเดนิ ปา่
35 การเดนิ เรือ รวมถึงการคน้ หาสถานทสี่ าคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการขนสง่ มีการนา GPS ไปใช้ เปน็ ระบบตดิ ตามรถยนต์ เพอื่ ควบคมุ ดูแลตลอดจนบนั ทึกเส้นทาง ลกั ษณะการขบั รถ และการควบคุม เคร่อื งมืออปุ กรณใ์ นรถ เช่น อุณหภูมิ ตู้แช่สนิ ค้า ทาให้สามารถบริหารจัดการการขนส่งไดอ้ ย่างมี ประสิทธิภาพ เทคโนโลยีดาวเทียมสารวจระยะไกล (Remote Sensing) โดยเฉพาะดาวเทยี มรายละเอียดสูงซงึ่ สามารถมองเหน็ รายละเอียดของพื้นโลกได้ชดั เจน ปจั จุบันข้อมูลภาพถ่ายดาวเทยี มเหลา่ นี้สามารถ สืบคน้ ไดฟ้ รีผา่ นทางอนิ เตอร์เนต็ เช่น โปรแกรม Google Earth เปน็ โปรแกรมท่สี ามารถเรยี กใช้ผ่าน ทาง Internet เป็นโปรแกรมท่ีทาใหม้ องเห็นภาพถา่ ยจากดาวเทียมแสดงถงึ ภูมิประเทศตลอดจน รายละเอยี ดของเมืองหรอื พืน้ ที่ตา่ งๆ หลายที่ท่วั โลกได้อย่างชัดเจน สามารถนามาใช้ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ อยา่ งมากมายทงั้ ในดา้ นทอ่ งเท่ียว การเรียนการสอนภมู ิศาสตร์ การวางแผนการใชท้ ่ดี นิ ของท้ังภาครฐั และเอกชน พรอ้ มท้ังการประยุกต์ทางธรุ กจิ ต่างๆ ระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ (Geographic Information System, GIS) คือ การนาระบบ คอมพวิ เตอรม์ าใช้ในการรวบรวม จดั เกบ็ จัดการและวเิ คราะห์ขอ้ มลู ทางภมู ิศาสตร์ ซึ่งจะเปน็ ประโยชนใ์ นงานด้านวิเคราะหข์ อ้ มูลไดห้ ลากหลาย เชน่ การเปลยี่ นแปลงของการใชพ้ นื้ ท่ี การแพร่ ขยายของโรคระบาด การเคลอ่ื นย้ายถิน่ ฐาน การบกุ รุกทาลายป่าไม้ เปน็ ต้น สามารถนาไปประยุกตใ์ ช้ ไดใ้ นสาขาต่าง ๆ เช่น การเกษตร ป่าไม้ ธรณวี ิทยา อุทกศาสตร์ สิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์ภัยพบิ ัติ การวางผังเมือง เปน็ ต้ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้การกระจายข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่ รวดเร็ว ทุกทิศทาง และมีระบบตอบสนอง ด้วยเหตุน้ีผลกระทบต่อการเปล่ียนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมอื ง และสงั คม ผลของความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทาให้เกิดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ สาคัญหลายดา้ น แนวโนม้ ท่ีสาคญั ที่เกดิ จากเทคโนโลยีท่สี าคญั และเปน็ ทก่ี ล่าวถงึ กันมาก ดงั นี้ 1) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้สังคมเปล่ียนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ สภาพ ของสังคมโลกได้เปล่ียนแปลงมาแล้วสองครั้ง จากสังคมความเป็นอยู่แบบเร่ร่อนมาเป็นสังคมเกษตรท่ีมีการ เพาะปลกู และสรา้ งผลิตผลทางการเกษตร ทาให้มีการสร้างบ้านเรือนเป็นหลักแหล่ง ต่อมามีความจาเป็นต้อง ผลิตสินค้าให้ได้ปริมาณมากและต้นทุนถูก จึงต้องหันมาผลิตแบบอุตสาหกรรม ทาให้สภาพความเป็นอยู่ของ มนุษยเ์ ปลย่ี นแปลงมาเป็นสงั คมเมอื ง มีการรวมกลุ่มอยูอ่ าศัยเป็นเมือง มีอุตสาหกรรมเป็นฐานการผลิต สังคม อุตสาหกรรมได้ดาเนินการมาจนถึงปัจจุบัน และเข้าสู่สังคมสารสนเทศ การดาเนินธุรกิจใช้สารสนเทศอย่าง กว้างขวาง เกิดคาใหม่ว่า ไซเบอร์สเปซ มีการดาเนินกิจกรรมต่างๆ เช่น การพูดคุยผ่านอินเทอร์เน็ต การซ้ือ สนิ คา้ และบรกิ าร ฯลฯ 2) เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีแบบตอบสนองตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน เช่น การ ดโู ทรทศั น์ วิทยุ เมือ่ เราเปิดเครื่องรบั โทรทัศนห์ รือวิทยุ เราไมส่ ามารถเลือกตามความตอ้ งการได้ หากไม่พอใจก็ ทาไดเ้ พยี งเลอื กสถานีใหม่ แนวโน้มจากน้ีไปจะมีการเปล่ียนแปลงในลักษณะที่เรียกว่า on demand เราจะมี โทรทัศน์และวิทยุแบบเลือกดู เลือกฟังได้ตามความต้องการ หากระบบการศึกษาจะมีระบบ education on demand คือสามารถเลือกเรียนตามต้องการได้ การตอบสนองตามความต้องการ เป็นหนทางที่เป็นไปได้ เพราะเทคโนโลยีมพี ัฒนาการทก่ี ้าวหน้าจนสามารถนาระบบส่ือสารมาตอบสนองตามความต้องการของมนุษย์
36 3) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้เกิดสภาพการทางานแบบทุกสถานที่ และทุกเวลา เมื่อการสื่อสาร ก้าวหน้าและแพร่หลายขึ้น การโต้ตอบผ่านเครือข่ายทาให้มีปฏิสัมพันธ์ได้ เกิดระบบการประชุมทางวีดิทัศน์ ระบบประชมุ บนเครือข่าย ระบบโทรศึกษา ระบบการคา้ บนเครอื ขา่ ย ลักษณะของการดาเนินงานเหลา่ น้ี ทาให้ ผูใ้ ชข้ ยายขอบเขตการดาเนนิ กจิ กรรมไปทุกหนทุกแห่งตลอด 24 ช่วั โมง เราจะเห็นจากตัวอย่างท่ีมีมานานแล้ว เชน่ ระบบเอทีเอ็ม ทาให้การเบิกจ่ายได้เกือบตลอดเวลา และกระจายไปใกล้ตัวผู้รับบริการมากขึ้น และด้วย เทคโนโลยีทก่ี ้าวหน้าขนึ้ การบริการจะกระจายมากยิ่งขึ้นจนถึงท่ีบ้าน ในอนาคตสังคมการทางานจะกระจาย จนงานบางงานอาจน่งั ทาท่ีบา้ นหรอื ทใี่ ดก็ได้ และเวลาใดกไ็ ด้ 4) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้ระบบเศรษฐกิจเปล่ียนจากระบบท้องถิ่นไปเป็นเศรษฐกิจโลก ระบบ เศรษฐกิจซ่ึงแต่เดิมมีขอบเขตจากัดภายในประเทศ ก็กระจายเป็นเศรษฐกิจโลก ทั่วโลกจะมีกระแสการ หมนุ เวียนแลกเปลย่ี นสนิ คา้ บรกิ ารอย่างกวา้ งขวางและรวดเรว็ เทคโนโลยีสารสนเทศมีส่วนเอื้ออานวยให้การ ดาเนนิ การมขี อบเขตกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศในโลกเชื่อมโยงและมีผลกระทบต่อ กนั 5) เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้องคก์ รมีลักษณะผกู พนั หน่วยงานภายในเป็นแบบเครือข่ายมากขึ้น แต่ เดิมการจัดองค์กรมกี ารวางเปน็ ลาดบั ขน้ั มีสายการบงั คับบญั ชาจากบนลงล่าง แต่เม่ือการส่ือสารแบบสองทาง และการกระจายขา่ วสารดขี น้ึ มกี ารใช้เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ในองค์กรผูกพันกันเป็นกลุ่มงาน มีการเพ่ิมคุณค่า ขององค์กรด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดโครงสร้างขององค์กรจึงปรับเปลี่ยนจากเดิม และมีแนวโน้มที่จะ สรา้ งองคก์ รเป็นเครอื ข่ายท่มี ลี ักษณะการบังคับบญั ชาแบบแนวราบมากข้ึน หน่วยธุรกิจจะมีขนาดเล็กลง และ เชื่อมโยงกันกบั หนว่ ยธุรกิจอ่นื เปน็ เครือข่าย โครงสรา้ งขององคก์ รจงึ เปล่ยี นแปลงไปตามกระแสของเทคโนโลยี 6) เทคโนโลยีสารสนเทศ ก่อให้เกิดการวางแผนการดาเนินการระยะยาวข้ึน อีกทั้งยังทาให้วิถีการ ตัดสินใจรอบคอบมากข้ึน แต่เดิมการตัดสินปัญหาอาจมีหนทางให้เลือกได้น้อย เช่น มีคาตอบเดียว ใช่ และ ไม่ใช่ แต่ด้วยขอ้ มูลขา่ วสารทีส่ นบั สนุนการตัดสินใจ ทาให้วิถีความคิดในการตัดสินปัญหาเปล่ียนไป ผู้ตัดสินใจ มีทางเลอื กไดม้ ากและมีความรอบครอบในการตัดสินปัญหาไดด้ ขี ึ้น 7) เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีเดียวที่มีบทบาทท่ีสาคัญในทุกวงการ ดังน้ันจึงมีผลต่อการ เปลีย่ นแปลงทางสังคม วฒั นธรรม ศีลธรรม การศึกษาเศรษฐกิจและการเมืองได้อย่างมาก ลองนึกดูว่าขณะนี้ เราสามารถชมข่าว ชมรายการทีวี ท่ีส่งกระจายผ่านดาวเทียมของประเทศต่างๆ ได้ทั่วโลก เราสามารถรับรู้ ข่าวสารได้ทนั ที เราใช้เครอื ข่ายอินเทอร์เน็ตในการส่ือสารระหว่างกัน และติดต่อกับคนได้ทั่วโลก จึงเป็นท่ีแน่ ชดั ว่าแนวโน้มการเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจึงมีลักษณะเป็นสังคมโลกมาก ขึ้น 1.40 ปญั หาและอปุ สรรคในการใชน้ วัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศกึ ษา สภาพปัจจบุ นั และปัญหาการใช้เทคโนโลยกี ารศึกษาในประเทศไทย จากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการจงึ ทาให้กระบวนการจัดการศึกษาต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย อย่างตอ่ เนื่อง ดังน้ันเทคโนโลยีการศึกษาไม่ว่าจะเป็นสื่อวัสดุอุปกรณ์ประเภทต่างๆรวมท้ังเทคนิควิธีการและ
37 แหลง่ สนบั สนนุ การเรยี นรู้ต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเช่นกัน คอมพิวเตอร์ ได้เข้ามามีอิทธิพลและมีบทบาท ต่อการจดั การศกึ ษาอย่างเดน่ ชัดมากยง่ิ ขึน้ และดเู หมอื นว่าจะเปน็ ส่อื ทน่ี า่ สนใจและเป็นส่ือทีต่ อ้ งการของหลาย ฝ่ายที่เก่ียวข้องกับการจัดการศึกษาทุกๆระดับ ท้ังน้ีสังคมคาดหวังว่าส่ือยุคใหม่หรือนวัตกรรมทางการสอนท่ี แปลกใหมแ่ ละมีความหลากหลายเหล่านั้นจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลทางการเรียนรู้และ การจัดการศึกษาโดยรวมในที่สุด หากมองย้อนหลังสักหน่อย จะพบว่าเราเริ่มจาก การไม่มี อยากมี แล้วได้มี ติดตามด้วยใช้ไม่ค่อยเป็น แล้วก็ใช้เป็นกันมากข้ึน แต่ได้ประโยชน์ มีแก่นสารสาระหรือไม่เป็นเร่ืองน่าคิด ส่วนมากจะเขา้ ลกั ษณะใช้เป็น แต่ไม่ค่อยได้ประโยชน์ ดูที่กลุ่มเยาวชนก็แล้วกันว่าเขากาลังทาอะไรกันอยู่กับ อินเตอร์เน็ต เสียเวลาและทรัพยากรไปเท่าไร และได้อะไรตอบแทนกลับมา ส่วนมากจะเข้าข่ายไร้สาระ มากกว่า 1.41 ปัญหาทพี่ บในการใช้นวัตกรรมการศึกษา 1. ปัญหาด้านบุคลากร บุคลากรขาดความรู้ความเข้าใจในการผลิตส่ือประกอบการจัด กจิ กรรม บคุ ลากรขาดประสบการณ์ในการใช้สอื่ นวตั กรรมทางการศกึ ษา ไม่เข้าใจและรู้จักวิธีการใช้นวัตกรรม ทที่ างโรงเรยี นจัดทาขนึ้ ขาดความชานาญในการใช้นวัตกรรม ขาดสื่อประกอบการเรียน บุคลากรส่วนใหญ่ให้ ความร่วมมือในการใช้นวัตกรรม แต่ขาดความต่อเน่ืองแนวทางแก้ไข คือ สร้างความตระหนัก ความ รับผดิ ชอบในสว่ นท่ียังบกพร่องทางนวตั กรรมของบคุ ลากร สง่ เสริมใหเ้ ข้ารว่ มการอบรมสัมมนา สง่ เสริมให้เกิด การศึกษาด้วยตนเอง เพ่ือใหค้ วามรู้และประสบการณ์ในการใช้สือ่ นวตั กรรมทางการศึกษาทีม่ ากขึ้น 2. ปัญหาด้านวัสดุ อุปกรณ์ และงบประมาณ เก่ียวกับนวัตกรรม คือ ขาดงบประมาณในการพัฒนา นวตั กรรม ขาดวัสดุ – อปุ กรณแ์ ละงบประมาณทีจ่ ะพัฒนาสอื่ นวัตกรรม การจัดหา การใช้ การดูแลรักษาและ ขาดงบจดั หาสือ่ ทนั สมัย แนวทางการแกไ้ ข เพิม่ งบประมาณให้เพียงพอ ให้หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องจัดหา งบประมาณสนบั สนุน สานกั งานเขตพื้นที่ต้องช่วยดูแลและให้ความช่วยเหลือจัดสรรงบประมาณได้ เพ่ือใช้ใน การพัฒนานวัตกรรมให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น และระดมทรัพยากรท่ีมีในท้องถิ่น มาช่วยสนับสนุน 3. ปญั หาด้านสภาพแวดล้อม และสถานท่ีการใชน้ วตั กรรม สภาพแวดลอ้ มโดยท่วั ไปยังไม่เหมาะสมกับการใช้ ส่อื เนอ่ื งจากความยงุ่ ยากและไมค่ ลอ่ งตวั มสี ถานที่ไม่เป็นสัดส่วน ไม่มีห้องที่ใช้เพ่ือเก็บรักษาส่ือ นวัตกรรม เป็นการเฉพาะ ทาให้การดูแลทาได้ยากและขาดการพัฒนาทตี่ ่อเนอ่ื ง แนวทางการแก้ไข คือ ใช้ส่ือนวัตกรรม ตามความเหมาะสมของเน้ือหาวชิ าตามความยากง่ายของเนื้อหา จดั ทาห้องส่ือเคล่ือนที่ แบ่งส่ือไปตามห้องให้ ครูรบั ผดิ ชอบ ควรจดั หาหอ้ งเพอื่ การนเี้ ปน็ การเฉพาะ 4. ปัญหาด้านสภาพการเรียนการสอน เด็กมีความแตกต่างกันด้านสติปัญญา และด้านร่างกาย ปัญหา ครอบครัวแตกแยก เด็กอาศัยอยู่กับญาติ มีเนื้อหาวิชาท่ีมากและสาระ การเรียนการสอนแต่ละคร้ังไม่ ตอ่ เนื่อง นักเรียนบางคนไม่สบายใจในกิจกรรม และทาไมจ่ รงิ จังจงึ มผี ลตอ่ การจัดกิจกรรม นักเรียนต้องเข้าคิว รอนานกับนวัตกรรมบางชนดิ และสภาพการเรียนการสอน ครูยังยึดวิธีการสอนแบบเดิม คือ บรรยายหน้า ช้ันเรียน แตสว่ นใหญ่มแี นวโน้มในการพฒั นาทดี่ ีขึ้น ครูยงั ไม่มกี ารนาส่ือนวัตกรรมมาใช้ในการจัดการเรียนการ สอนอยา่ งต่อเน่ือง แนวทางการแก้ไข คือ จัดกลุ่มให้เพ่ือนช่วยเพ่ือน คอยกากับแนะนาช่วยเหลือ จัดครูเข้า
38 สอนตามประสบการณ์ความถนัด ควรจัดอบรมเพื่อให้ความรู้ จัดทานวัตกรรมที่มีโอกาสเป็นไปได้ และสร้าง การมีสว่ นรว่ มจากชุมชน สอนเพ่ิมเติมนอกเวลา และจัดการสอนแบบรวมชั้น โดยใช้กระบวนการเรียนการ สอนตามช่วงช้ัน 5. ปญั หาดา้ นการวัดผลและประเมินผล คือ บุคลากรขาดความรู้ในการท่ีจะนาส่ือนวัตกรรมมาใช้ใน การวดั ผลและประเมินผล นักเรียนท่ีไม่ค่อยสนใจหรือไม่ชอบกิจกรรมก็จะมีผลต่อการจัดผลประเมินผล ขาด นวตั กรรมส่ือคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต การวัดประเมินผล ครูส่วนใหญ่ยังใช้วิธีการทาแบบทดสอบ แบบ ปรนัย แนวทางการแก้ไข จดั ทาแบบสอบถามสุ่มเป็นรายบคุ คล เพศชาย หญิง เน้นนักเรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง และสรา้ งองคค์ วามรดู้ ้วยตนเอง จัดแบบทดสอบที่หลากหลาย ทั้งแบบปรนัย และอัตนัย และประเมินผลตาม สภาพจริง ประเมนิ ผลงานจากแฟ้มสะสมงาน 1.42 ปญั หา อปุ สรรค การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารของสถานศกึ ษา 1. ดา้ นการกระจายโครงสร้างพ้ืนฐานเพือ่ การศึกษา มีสถานศึกษาจานวนหนึ่งท่ีโทรศัพท์ยังเข้าไม่ถึง และคอมพิวเตอรย์ งั ไมม่ ีหรือมแี ต่ไม่เพียงพอตอ่ ความต้องการ และท่ีมีอยู่ก็ขาดการบารุงรักษา รวมทั้งไม่อยู่ใน สภาพทใี่ ช้การได้ แสดงให้เห็นวา่ โครงสร้างพื้นฐานเพือ่ การศึกษาโดยเฉพาะคู่สายโทรศัพทย์ ังมีบรกิ ารไม่ทั่วถึง อาจจะเป็นไปได้วา่ สถานศึกษาเหล่าน้ีอยู่ในท้องถ่ินท่ีห่างไกล ดังน้ันสถานศึกษาต้องรีบดาเนินการเพราะเป็น พนื้ ฐานทจี่ าไปสู่ระบบอนิ เทอร์เนต็ 2. ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ พัฒนาการเรียนรู้ ครูใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เพื่อพัฒนาทกั ษะวชิ าชพี ครนู อ้ ยมาก และคอมพวิ เตอรม์ ีจานวนไม่พอกับความต้องการที่ครูจะใช้ แสดงให้เห็น ว่าครูยงั ตอ้ งไดร้ ับการพฒั นาด้านการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ อกี เปน็ จานวนมาก และสถานศึกษาก็ต้องจัดหา คอมพวิ เตอรใ์ หเ้ พียงพอต่อความต้องการของครู
39 3. ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารเพื่อพัฒนาการบริหารจัดการและให้บริการทางการศึกษา สถานศึกษายังขาดรูปแบบระบบสารสนเทศ ผู้บริหารให้มีความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารในระดับเบ้ืองต้น แสดงให้เห็นว่าสถานศึกษายังไม่มีระบบข้อมูลสารสนเทศที่เป็นรูปธรรมที่ ชัดเจน ผู้บริหารต้องได้รับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารเสนเทศและการส่ือสารเพื่อให้เกิดความ ตระหนักและเห็นความสาคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารที่จะนามาพั ฒนาการบริหาร จดั การและการบริการทางการศกึ ษา 4. ด้านการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาตนเองของครูด้านการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศยังขาดความตอ่ เน่อื ง บางคนใน 3 ปีท่ีผ่านมายังไม่เคยไปเข้ารับการฝึกอบรมด้านการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารเลย แสดงใหเ้ หน็ ว่า ครไู ดร้ ับการพัฒนาด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสารยงั ไม่ทว่ั ถงึ เพราะมคี รูอีกจานวนหน่ึงทใี่ นรอบ 3 ปที ่ีผ่านมายังไม่เคยได้รับการอบรมด้านการใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารเลย 1.43 ระบบการสบื คน้ ผา่ นเครือขา่ ยเพื่อการเรยี นรู้ ยคุ ปจั จุบันระบบเครือข่ายมีบทบาทและความสาคัญเพ่ิมมากขึ้น ซึ่งเกิดจากความต้องการและความ จาเป็นในการติดต่อสื่อสาร การแสวงหาความรู้ให้ทันเหตุการณ์ตลอดเวลา จึงก่อให้เกิดความต้องการที่จะ เช่ือมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกับเพ่ือเพิ่มขีดความสามารถของระบบให้สูงขึ้น เพิ่มการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดตน้ ทนุ ระบบโดยรวมลง มีการแบ่งใช้งานอุปกรณ์และข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนสามารถทางานร่วมกันได้ สิง่ สาคัญท่ีทาให้ระบบขอ้ มูลมขี ีดความสามารถเพิ่มข้นึ คอื การโอนยา้ ยขอ้ มูลระหวา่ งกัน และการเชื่อมต่อหรือ การสือ่ สาร การโอนย้ายข้อมูล หมายถึง การนาข้อมูลมาแบ่งกันใช้งาน หรือการนาข้อมูลไปใช้ประมวลผลใน
40 ลักษณะแบ่งกันใช้ การเชื่อมต่อคอมพวิ เตอรเ์ ปน็ เครือขา่ ยจงึ เปน็ การเพ่ิมประสิทธิภาพการใช้งานให้กว้างขวาง และมากข้ึน แม้กระท้ังการใช้งานในหน่วยงานหย่อย ระบบเครือข่ายก็เป็นส่ิงท่ีทุกคนต้องใช้เป็น และให้ ความสาคญั เปน็ อย่างย่ิง การท่ีระบบเครือข่ายมีบทบาทและความสาคัญเพิ่มขึ้น เพราะไมโครคอมพิวเตอร์ ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์เหล่าน้ันถึงกับเพ่ือเพิ่มขีด ความสามารถของระบบให้สูงข้ึน เพ่ิมการใช้งานด้านต่าง ๆ และลดต้นทุนระบบโดยรวมลง มีการแบ่งใช้งาน อุปกรณ์และข้อมูลต่าง ๆ ตลอดจนสามารถทางานร่วมกันได้ ส่ิงสาคัญท่ีทาให้ระบบข้อมูลมีขีดความสามารถ เพ่ิมขนึ้ คอื การโอนย้ายขอ้ มูลระหวา่ งกัน และการเชอื่ มตอ่ หรอื การสื่อสาร การโอนย้ายข้อมูลหมายถึงการนา ขอ้ มูลมาแบง่ กันใชง้ าน หรอื การนาขอ้ มูลไปใชป้ ระมวลผลในลักษณะแบ่งกันใช้ทรัพยากร เช่น แบ่งกันใช้ซีพียู แบง่ กนั ใช้ฮารด์ ดิสก์ แบง่ กนั ใช้โปรแกรม และแบ่งกันใชอ้ ุปกรณอ์ ื่น ๆ ทม่ี ีราคาแพงหรือไม่สามารถจัดหาให้ทุก คนได้ การเช่ือมต่อคอมพวิ เตอรเ์ ป็นเครือข่ายจึงเปน็ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้กว้างขวางและมากข้ึน จากเดิม การเช่ือมต่อในความหมายของระบบเครือข่ายท้องถ่ิน ไม่ได้จากัดอยู่ท่ีการเช่ือมต่อระหว่างเครื่อง ไมโครคอมพวิ เตอร์ แตย่ งั รวมไปถงึ การเช่ือมต่ออปุ กรณ์รอบข้าง เทคโนโลยที ีก่ า้ วหนา้ ทาใหก้ ารทางานเฉพาะมี ขอบเขตกว้างขวางยิ่งข้ึน มีการใช้เคร่ืองบริการแฟ้มข้อมูลเป็นที่เก็บรวบรวมแฟ้มข้อมูลต่างๆ มีการทา ฐานข้อมลู กลาง มีหน่วยจัดการระบบสือ่ สารหน่วยบริการใช้เคร่ืองพิมพ์ หน่วยบริการการใช้ซีดี หน่วยบริการ ปลายทาง และอปุ กรณป์ ระกอบสาหรบั ตอ่ เข้าในระบบเครือข่ายเพอ่ื จะทางานเฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหน่ึง ในรูป เป็นตัวอย่างเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ท่ีจดั กลุม่ เช่อื มโยงเป็นระบบ 1.44 การสืบคน้ และรับสง่ ข้อมูล แฟม้ ขอ้ มลู และสารสนเทศเพอ่ื ใช้ในการจดั การเรียนรู้ การรบั -ส่งขอ้ มลู บนเครอื ข่ายอนิ เตอร์เน็ต การรบั -ส่งขอ้ มลู บนเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต โดยใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) หรอื ที่นิยมเรยี กกนั วา่ อีเมล (E-Mail) หมายถงึ การสอ่ื สารหรือการส่งข้อความจากคอมพวิ เตอร์เครอื่ งหน่ึงผ่าน ไปเข้าเคร่ืองคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งโดยส่งผ่านทางระบบเครือข่าย (Network) ผู้ส่งจะต้องมีเลขท่ีอยู่ (E- mail Address) ของผู้รบั และผรู้ ับสามารถเปิดคอมพิวเตอร์เรียกข่าวสารนั้นออกมาดูเมื่อใดก็ได้ โดยท่ัวไปจัด ว่าเปน็ งานส่วนหนง่ึ ของสานักงานอัตโนมัติ (Office Automatic) ซึ่งปจั จุบนั ไดร้ ับความนยิ มเป็นอย่างมาก ประโยชนข์ องการรับ-สง่ ข้อมลู ทางจดหมายอเิ ลก็ ทรอนิกส์ การรับ-ส่งข้อมูลทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ถือว่าเป็นส่วนสาคัญในการสื่อสารบนเครือข่าย อนิ เทอร์เนต็ ท่ีนิยมใช้มากที่สดุ เพราะมีประโยชน์มากมาย ดังน้ี 1. ทาใหก้ ารตดิ ตอ่ สื่อสารท่วั โลกเป็นไปอยา่ งรวดเรว็ ระยะทางไม่เป็นอุปสรรคสาหรับอีเมลในทุกแห่ง ท่ัวโลกที่มีเครือข่ายคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อถึงกันได้ สามารถเข้าไปสถานท่ีเหล่านั้นได้ทุกที่ ทาให้ผู้คนทั่วโลก ตดิ ต่อถึงกันได้ทนั ที ผู้รับสามารถจะรับข่าวสารจากอีเมลได้ทันทีท่ีผู้ส่งจดหมายส่งข้อมูลผ่านทางคอมพิวเตอร์ เสร็จส้ิน 2. สามารถส่งจดหมายถึงผู้รับท่ีต้องการได้ทุกเวลา แม้ผู้รับจะไม่ได้อยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ตาม จดหมายจะถกู เก็บไว้ในตู้จดหมายของคอมพวิ เตอรแ์ ละเป็นส่วนตัว จนกวา่ เจ้าของจดหมายท่ีมีรหัสผ่านจะเปิด
41 ต้จู ดหมายของตนเองอา่ น 3. สามารถส่งจดหมายถงึ ผรู้ บั หลายๆคนได้ในเวลาเดียวกัน โดยไม่ต้องเสียเวลาส่งให้ทีละคน กรณีน้ี จะใช้กับจดหมายท่ีเป็นข้อความเดียวกัน เช่น หนังสือเวียนแจ้งข่าวให้สมาชิกในกลุ่มทราบหรือเป็นการนัด หมายระหวา่ งสมาชกิ ในกลุ่ม เปน็ ต้น 4. ช่วยประหยดั เวลาในการเดนิ ทางไปส่งจดหมายทตี่ ไู้ ปรษณยี ์หรอื ท่ีทาการไปรษณีย์ ทาให้ประหยัด ค่าใชจ้ า่ ยในการส่ง เนื่องจากไม่ต้องคานึงถึงปริมาณน้าหนักและระยะทางของจดหมายเหมือนกับการส่งทาง ไปรษณยี ์ธรรมดา 5. ผรู้ บั จดหมายสามารถเรียกอ่านจดหมายได้ทุกเวลาตามสะดวก ซึ่งจะทาให้ทราบว่าในตู้จดหมาย ของผูร้ ับมีจดหมายกฉี่ บบั มีจดหมายที่อ่านแล้วหรือยังไมไ่ ด้เรียกอา่ นก่ฉี บบั เม่อื อ่านจดหมายฉบับใดแล้ว หาก ตอ้ งการลบทิง้ กส็ ามารถเกบ็ ข้อความไว้ในรปู ของแฟ้มข้อมลู ได้ หรือจะพิมพอ์ อกมาลงกระดาษก็ได้เชน่ กัน 6. สามารถถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล (Transferring Flies) แนบไปกับจดหมายถึงผู้รับได้ ทาให้การ แลกเปลี่ยนข่าวสารเป็นไปได้โดยสะดวก รวดเร็ว ทันเวลาและทันเหตุการณ์ จากความสาคัญของอี เมลที่ สามารถอานวยประโยชน์ให้กับผู้ใช้อย่างคุ้มค่าน้ี ทาให้ในปัจจุบันอีเมลกลายเป็นส่วนหน่ึงของสานักงานทุก แห่งท่วั โลก ท่ที าให้สมาชกิ ในชุมชนโลกสามารถตดิ ตอ่ กันผ่านทางคอมพิวเตอร์ได้ในทกุ ที่ทุกเวลา เวบ็ ไซตท์ ี่ใหบ้ รกิ ารฟรอี ีเมล การรับ-ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์มีบริการที่ให้ใช้บริการได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เว็บไซต์ที่ ใหบ้ ริการนมี้ ีจานวนมาก ตวั อย่างเช่น 1. www.sabuyjai.com 2. www.narakmai.com 3. www.hotmail.com 4. www.yahoo.com 5. www.gmail.com 1.45 ระบบเครือขา่ ยในโรงเรยี น คืออะไร
42 ระบบเครือข่าย หมายถงึ การเชื่อตอ่ เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เคร่อื งข้นึ ไปเขา้ ดว้ ยกันด้วยสายเคเบิล หรือสื่อ อน่ื ๆ เพอ่ื ทาให้คอมพวิ เตอร์สามารถรับส่งขอ้ มูลแก่กนั ได้ โดยแบง่ ตามลกั ษณะการติดต้ัง ดงั น้ี 1. เครือข่าย ท้องถน่ิ (Local Area Network : Lan) เปน็ เครือข่ายระยะใกล้ ใชบ้ รเิ วณเฉพาะท่ี เช่น ภายในอาคารเดียวกัน หรือภายในบริเวณเดียวกัน ระบบ LAN จะช่วยให้มีการติดต่อกันได้สะดวก ช่วยลดต้นทุน ช่วยเพ่ิม ประสทิ ธิภาพในการใช้งานอุปกรณฮ์ าร์ดแวรร์ ว่ มกัน และใช้ข้อมลู ร่วมกนั ไดอ้ ย่างค้มุ ค่า 2. เครือข่าย ระดับเมือง (Metropolitan Area Network : Man) เป็นเครือข่ายขนาดกลางใช้ภายในเมืองหรือจังหวัด ตัวอยา่ งเช่น เคเบิลทีวี 3 . เ ค รื อ ข่ า ย ระดบั ประเทศ (Wide Area Network : Wan) เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ ติดต้ังใช้งานบริเวณกว้างมีสถานีหรือ จุดเชอื่ มมากมาย และใชส้ อ่ื กลางหลายชนดิ เชน่ ไมโครเวฟ ดาวเทียม 4. เครือข่าย ระหวา่ งประเทศ (International Network) เป็นเครือข่ายที่ใช้ติดต่อระหว่างประเทศ โดยใช้สายเคเบิล หรือ ดาวเทียม ระบบ เครือข่ายท้องถิ่น ( Local Area Network หรือ LAN ) เป็นเครือข่ายระยะใกล้ เช่น ภายในโรงเรียน มหาวิทยาลยั สานักงาน เป็นตน้ ซึง่ เป็นการช่วยใหต้ ดิ ต่อกนั ไดส้ ะดวก ชว่ ยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพใน การทางานและทักษะการใชอ้ ปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ไม่ได้จากดั อย่ทู ีก่ ารเชื่อมต่อระหว่างเคร่ืองคอมพิวเตอร์ แต่ยังรวม ไปถงึ การเชอ่ื มต่ออุปกรณ์รอบข้าง เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทาให้การทางานเฉพาะมีขอบเขตกว้างขวางย่ิงขึ้น มี การใช้เครื่องบริการแฟ้มข้อมูลเป็นที่เก็บรวบรวมแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ มีการทาฐานข้อมูลกลาง มีหน่วยจัดการ ระบบสือ่ สารหนว่ ยบรกิ ารใชเ้ ครือ่ งพิมพ์ หน่วยบรกิ ารการใช้ซดี ี หน่วยบรกิ ารปลายทาง และอุปกรณ์ประกอบ สาหรับต่อเข้าในระบบเครือข่ายระยะใกล้ท้องถ่ิน เพ่ือจะทางานเฉพาะเจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่ง ในรูป เป็น ตวั อย่างเครอื ข่ายคอมพิวเตอรท์ จี่ ัดกลุม่ เชอ่ื มโยงเป็นระบบ ประโยชนข์ องการใช้ระบบเครือขา่ ย ( LAN ) ในโรงเรียน - การตดิ ตอ่ สือ่ สาร การถ่ายโอน สบื คน้ ข้อมูลกระทาไดโ้ ดยงา่ ย สะดวก - ประหยัดเวลา ประหยดั แรงงาน - สามารถใชอ้ ุปกรณต์ ่าง ๆ รว่ มกนั ได้ หากมไี มเ่ พียงพอกับความตอ้ งการ - เปน็ ส่ือในการจัดกระบวนการเรียนการสอน โดยใชส้ ่อื CAI หรือบทเรียนสาเร็จรูป - การสืบคน้ ข้อมลู จากระบบเครือขา่ ยขนาดใหญ่ โดยผา่ นระบบ LAN องคก์ รสถานศกึ ษาสมยั ใหมจ่ าเปน็ ตอ้ งมกี ารปรบั ตวั เองให้ทนั สมัย ทนั เหตุการณ์ แม้กระท้ังระบบการ จัดการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการเรียนรู้ การสืบค้นเอกสาร หรือการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ท่ีผ่านการ ประมวลผลเรยี บรอ้ ยแล้ว ซ่ึงอาจเป็นการจัดอันดับคุณภาพของตนเองให้ได้มาตรฐานมาท่ี สมศ.กาหนด ตาม นโยบายต้นสังกัด หรือตามวิสัยทัศน์ของโรงเรียน ซึ่งถือเป็นการประกันคุณภาพการศึกษา และสร้างความ ม่ันใจใหก้ ับผ้ปู กครองและผ้ทู ่มี ีส่วนได้เสยี ในดา้ นการจัดกระบวนการเรยี นรู้ ผู้เรยี นสามารถเรยี นรผู้ ่านเครอื ข่าย โดยครูไมจ่ าเปน็ ตอ้ งเป็นผู้แสดง บทบาทเพียงคนเดยี ว ในหน่ึงหอ้ งงเรียนนกั เรียนสามารถสบื คน้ ข้อมูล หรือเรียนร่วมกันหลาย ๆ วิชา เพียงแต่
43 มเี คร่อื งควบคมุ ที่เรยี กวา่ Server ผ่านระบบเครือข่ายระยะใกล้ ท่ีเรียนกว่า LAN ประกอบไปด้วย Hub เป็น สื่อต่างได้การเข่งขัน การใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศในองค์กรจึงเป็นหนทางหนึ่งท่ีจะทาให้ธุรกิจคงอยู่ได้ โดยเฉพาะในปจั จุบนั โครงสรา้ ง ระบบธรุ กิจมีแนวโน้มของการเปิดเสรี และเปิดกว้างเพ่ือแข่งขันกันได้ท่ัวโลก จากวิกฤตกิ ารณท์ างด้าน เศรษฐกจิ ของประเทศไทยท่ผี ่านมา ทาใหบ้ ริษัทดาเนินการทางธุรกจิ ส่วนใหญ่ประสบ ปัญหา สถานศึกษาต้องสร้างจิตสานึกร่วมหลายๆ อย่างโดยเฉพาะผู้เรียน ครู ถึงความจาเป็นในการนาเอา เทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ในสถานศกึ ษา ในขณะเดียวกันต้องสร้างค่านิยมและความซ่ือสัตย์ต่อตนเอง ความ ตรงต่อเวลา ความประหยดั และเน้นในเร่ืองประสิทธภิ าพของการเรียนการสอน ตวั บุคคลเปน็ หลกั ก่อน จากน้ัน เน้นการทางานเป็นแบบเวิรก์ กรฟุ๊ เพื่อสนบั สนนุ งานภายในทมี หรอื งานภายนอกแผนก เพ่ือคุณภาพ และการ ทางานร่วมกนั จากนั้น กา้ วเข้าสูก่ ารรวมกลมุ่ งานย่อยเป็นงานหรือแต่ละกลุ่มสาระ และขยายระบบเครือข่าย จากส่วนกลางสู่ห้องเรียน ห้องพิเศษต่าง ๆโดยการสร้างการทางานร่วมกันเพื่อวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน โดยเฉพาะการจัดการข้อมลู ข่าวสาร และการจัดระบบการเรยี นการสอน ปัจจุบันการจัดเก็บข้อมูลหรือการติดต่อสื่อสารจะใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์เป็นส่วนใหญ่ การจัด กระบวนการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพและทันสมัย ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างอิสระ เรียนรู้ อย่างมีความสุขโดยยึดเด็กเป็นสาคัญ ครูผู้สอนสามารถให้ส่ือต่าง ๆ ในการจัดกิจกรรม หรือใช้บทเรียน สาเร็จรูป ท้ังยังเป็นส่ือท่ีเร้าความสนใจ ประหยัดเวลา ประหยัดทรัพยากร ประหยัดงบประมาณ และยังมี ประสิทธภิ าพสงู ดว้ ย ทาใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ กน่ กั เรยี นและครผู สู้ อน ดังน้ี - นักเรยี นรู้ผ่านระบบเครอื ข่าย แม้วา่ จะไมม่ รี ะบบเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ ในโรงเรียน - สร้างความมัน่ ใจแก่ผเู้ รยี น และฝึกทกั ษะการเรยี นรโู้ ดยยดึ นกั เรยี นเป็นสาคญั - มคี วามรอบรู้ สามารถใช้ระบบเครือขา่ ยเปน็ - ฝกึ ทักษะการสบื คน้ ข้อมลู และรจู้ กั การประมวลผลข้อมลู - สาหรบั ครทู ี่มีงานอ่ืน ๆ มาก สามารถให้นักเรียนเรียนรู้โดยใช้สื่อ CAI ค้นคว้าข้อมูลต่าง ๆ โดยผ่าน ระบบ LAN ใชอ้ ปุ กรณต์ า่ ง ๆ รว่ มกัน เช่น Printer เป็นต้น - ครูมเี วลาในการผลติ ส่ือ เตรียมการสอน เตรียมกิจกรรมเสรมิ เปน็ ตน้ จะเห็นวา่ การใช้ระบบเครือขา่ ยในโรงเรยี นเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แก้ปัญหาต่าง ๆ ในโรงเรียนประถมศึกษา แสดงถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สร้างแรงใจและความภาคภูมิใจแก่ ผู้เรียน ครูผู้สอน ผู้ปกครอง และผู้ที่มี เกย่ี วข้องกับสถานศึกษา และยังเป็นการแสดงถึงศักยภาพและประสิทธิภาพการทางาน การประกันคุณภาพ และได้มาตรฐานตามตอ้ งการ เป็นตวั อยา่ งทด่ี ีและเป็นแหลง่ ศกึ ษาคน้ คว้าทที่ ันสมัยทนั เหตกุ ารณ์ ตลอดจนเป็น การประหยัดเวลา ประหยดั งบประมาณ ใชท้ รัพยากรอย่างคุ้มคา่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127