Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยแบบฝึกทักษะการจัดการเรียนรู้รูปแบบโครงงาน

วิจัยแบบฝึกทักษะการจัดการเรียนรู้รูปแบบโครงงาน

Published by สุดโปรด หล่อเฟี้ยว, 2022-06-09 04:54:54

Description: วิจัยแบบฝึกทักษะการจัดการเรียนรู้รูปแบบโครงงาน

Keywords: วิจัยแบบฝึกทักษะการจัดการเรียนรู้รูปแบบโครงงาน

Search

Read the Text Version

งานวิจัย แบบฝกึ ทกั ษะการเรยี นรู้เร่อื งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น นางสาวณัชชา สุพรรณ์เศษ กศน.ตาบลเขาชนกัน ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภอแม่วงก์ สงั กัดสานักงาน กศน.จงั หวดั นครสวรรค์ สานกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ

ก ชอ่ื งาน รายงานผลแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ผู้รายงาน ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษาตอนต้น นางสาวณชั ชา สุพรรณเ์ ศษ ครูกศน.ตาบลเขาชนกนั บทคัดย่อ การศึกษาครั้งน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพ่ือพัฒนาแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาตอนตน้ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กาหนด คอื 80/80 (2) เพ่อื เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของผ้เู รยี นท่ีเรยี นดว้ ยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น และ(3) เพื่อศึกษา ความสามารถในการทาโครงงานของนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ีนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จานวน 15 คน ปีการศกึ ษา 2563 ของกศน.ตาบลเขาชนกัน โดยการเลือก แบบเจาะจง เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษาครั้ง น้ีได้แก่ (1) แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ัน มัธยมศึกษาตอนต้น (2) แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และ (3) แบบประเมินความสามารถใน การทาโครงงาน สถิติที่ใช้ในการศึกษาครั้งน้ีได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบ่ียงเบนมาตรฐาน ค่าความเช่ือมัน่ และทดสอบคา่ t แบบ Dependen.. ผลการศึกษาพบว่า (1) แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ท่ีกาหนดคือ 80/80 คือมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 83.121/ 82.48 (2) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน โครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ของผู้เรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึก ทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น ปรากฎว่าผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของผู้เรยี นหลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียน อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ (3) ความสามารถในการทาโครงงานของนักศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น หลังแบบฝึกทักษะ การเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น พบว่า ความสามารถท้ัง 3 ด้าน ซ่ึงประกอบไปด้วยการวางแผนการทางาน กระบวนการทางาน และด้าน ผลงานและการนาเสนอ มีคา่ เฉลี่ยอยใู่ นระดบั สงู

ข กติ ตกิ รรมประกาศ การศึกษาในเร่ือง แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชนั้ มธั ยมศึกษาตอนต้น นีส้ าเรจ็ ลุลว่ งไปได้ดว้ ยดี เนือ่ งดว้ ยความอนุเคราะห์ ของ ครูทิวา นาคทิม ตาแหน่ง ครูคศ.1 โรงเรียนวัดสันติธรรม ครูสุรีรัตน์ หน่อคา ตาแหน่ง ครูกศน.ตาบล กศน.อาเภอ แม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ นางนภสร ก๊กพิทักษ์ ตาแหน่งผู้อานวยการ กศน. อาเภอลาดยาว รักษาการในตาแหน่งผู้อานวยการกศน.อาเภอแม่วงก์ นายภาณุ วงษ์ถาวรเรือง ตาแหน่งรอง ผู้อานวยการสานักงานกศน.จังหวัดนครสวรรค์ ผศ.ณัฏฐวุฒิ ทรัพย์อุปถัมภ์ ตาแหน่งผู้ช่วย ศาสตราจารย์ สานกั งานคณะบดี คณะมนุษย์ศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฎราไพพรรณี จงั หวัดจันทบุรี และ ดร.วรมน วีตะเสวีระ ตาแหน่ง ศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์ชานาญการ พิเศษ สานักงานศึกษาธิการจังหวัดนครสวรรค์ ที่ให้คาแนะนาปรึกษาในการตรวจสอบดูแลในการ พฒั นาแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษา ตอนตน้ ขอขอบพระคณุ ครู-อาจารยท์ ุกทา่ นท่ปี ระสิทธป์ิ ระสาทวชิ าความร้ใู หศ้ ิษย์ขอขอบพระคุณทุก ๆ ทา่ นทมี่ ีส่วนเกี่ยวข้องกับการทาวิจยั ในครัง้ น้ี นางสาวณชั ชา สุพรรณเ์ ศษ ครู กศน.ตาบล

ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ..................................................................................................................... ............. ก กติ ติกรรมประกาศ.................................................................................................................. ข สารบญั .................................................................................................................................... ค บทท่ี 1 บทนา......................................................................................................................... ... 1 ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา................................................................... 1 วตั ถุประสงค์ของการศึกษา....................................................................................... 3 สมมติฐานการศึกษา................................................................................................. 3 ขอบเขตของการศึกษา.............................................................................................. 3 นยิ ามศพั ท์เฉพาะ...................................................................................................... 5 ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะได้รับจากการศึกษา................................................................. 5 2 เอกสารและงานวิจยั ทเี่ ก่ียวข้อง..................................................................................... 6 เอกสารทเ่ี ก่ยี วข้องกับแนวคดิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย..... 7 เอกสารทเี่ ก่ียวข้องกบั การจัดการเรียนรแู้ บบใช้โครงงาน....................................... 17 เอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การใช้แบบฝึกทกั ษะ............................................................ 27 เอกสารเก่ียวกบั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น.................................................................. 29 เอกสารงานวิจยั ท่ีเกีย่ วข้อง....................................................................................... 32 3 วิธดี าเนินการศกึ ษา........................................................................................................ 35 ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง....................................................................................... 35 ระยะเวลาในการศึกษา.............................................................................................. 35 เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการศึกษา........................................................................................ 35 แบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น....................................................................... 40 แบบประเมินความสมารถในการทาโครงงาน........................................................... 41 วธิ ีดาเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ............................................................. 42 สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล................................................................................ 43

ง สารบญั (ตอ่ ) บทท่ี หนา้ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล................................................................................................... 46 ลาดบั ข้นั ในการนาเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ........................................................ 46 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล............................................................................................... 47 5 สรุปผล อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ........................................................................ 54 สรุปผลการทดลอง................................................................................................... 55 อภปิ รายผล............................................................................................................... 56 ขอ้ เสนอแนะ............................................................................................................ 59 บรรณานุกรม...................................................................................................................... 60 ภาคผนวก........................................................................................................................... 66 ภาคผนวก ก รายชือ่ ผเู้ ชยี วชาญ ภาคผนวก ข - ตวั อยา่ งแบบฝึกทกั ษะการเรยี นรู้เรอื่ งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น - การหาประสิทธิภาพแบบฝกึ ทักษะการเรยี นรูเ้ ร่ืองโครงงาน (Project Based Leaning : PBL) ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ คะแนนของ นักศึกษาทาแบบฝึกหัดท้ายบท จานวน 5 เรื่อง (E1) - คะแนนหลงั เรยี นของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น แบบฝกึ ทักษะการเรยี นรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมธั ยมศึกษาตอนตน้ (E2) - เปรยี บเทยี บคะแนนก่อนเรียนและหลังเรยี นของแบบทดสอบ ผลสมั ฤทธิ์แบบฝกึ ทักษะการเรียนรเู้ รอื่ งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาตอนตน้ - แบบประเมินความสามารถในการทาโครงงาน - ค่าความสามารถในการทาโครงงานสาหรับนกั ศึกษาชั้นมธั ยมศกึ ษา ตอนต้น - การประเมนิ คา่ ดัชนีความสอดคล้องแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์แบบฝกึ ทกั ษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ของผเู้ ช่ียวชาญ 5 ท่าน

จ สารบญั (ตอ่ ) ภาคผนวก ข - คา่ ความยากง่าย (p) และคา่ อานาจจา แนก (r) ของแบบทดสอบ ผลสมั ฤทธ์ิแบบฝกึ ทกั ษะการเรยี นรู้เร่อื งโครงงาน (Project – Based Leaning : PBL) ระดับช้นั มัธยมศึกษาตอนต้น - คา่ ความยากง่าย (p) และค่าอานาจจา แนก (r) ของแบบทดสอบ ผลสัมฤทธ์ิแบบฝกึ ทักษะการเรยี นรเู้ รื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ช้นั มัธยมศึกษาตอนตน้ - การประเมนิ คา่ ดชั นคี วามสอดคล้องแบบประเมินความสามารถในการ ทาโครงงาน (Project – Based Leaning : PBL) สาหรบั นกั เรยี นชั้น มธั ยมศึกษาตอนต้น - แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นแบบฝกึ ทกั ษะการเรยี นรเู้ รอื่ ง โครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมธั ยมศึกษา ตอนต้น

บทท่ี 1 บทนำ ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของปญั หำ พระราชบญั ญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 22 กว่าถงึ แนวทางการจัดการศึกษาว่า ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญ ทสี่ ุด กระบวนการจัดการศกึ ษาต้องสง่ เสริมใหผ้ ู้เรยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ และในแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 ได้กาหนด วิสัยทัศน์ (Vision) ไว้ว่า “คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดารงชีวิต ย่างเป็นสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21” การพัฒนาดังกล่าวมุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในศตวรรษท่ี 21 เพื่อให้ ได้ท้ังความรแู้ ละทกั ษะทีจ่ าเปน็ ต้องใชใ้ นการดารงชีวติ การประกอบอาชีพ และการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมของประเทศท่ามกลางกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงทักษะสาคัญจาเป็นในโลกศตวรรษท่ี 21 (สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา, 2560: 16,78) ครูผู้สอนจึงต้องปรับวิธีการจัดการเรียนรู้ และผู้เรียนต้องเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ ของตนเอง โดย ครูและผู้เรียนมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเรียนรู้และส่ือการเรียนรู้ในชีวิตประจาวันโดยไม่จากัดขอบเขต สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองทุกที่ ทุกเวลาตามความสนใจ ความพร้อม และความสามารถของผู้เรียน (Richardson,2016) นอกจากน้ี การจัดการเรียนรู้ควรเน้นการนาความรู้ และสามารถถ่ายโยงความรู้ ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นบรบิ ทอืน่ ๆ ได้ซึ่งกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง (active learning) จะช่วยให้ผู้เรียนนาตนเองและฝึกฝนทักษะของตน การเรียนรู้จึงมีความหมายเช่ือมโยงกับ บริบท ภายนอกท่ีเป็นปัจจุบันและอนาคตช่วยเพิ่มพูนทักษะซ่ึงเป็นฐานของ ทักษะอ่ืน ๆ ขยาย ประสบการณ์ และพัฒนาความเข้าใจสิ่งท่ีทาให้ลุ่มลึกข้ึน (Winthrop and McGivney, 2015) กระบวนการในการ เรยี นรแู้ ละสรา้ งสรรค์ส่งิ ใหมผ่ เู้ รียนถามคาถาม ค้นหาคาตอบและลงข้อสรุป ซึ่งทาให้เกิดการสร้างสรรค์ สิง่ ใหมใ่ นเชงิ ความคดิ หรอื การได้ช้ินงาน จากการเปลีย่ นแปลงระบบเศรษฐกิจ สังคม และสถานการณ์สังคมส่งผล ให้ทุกประเทศทั่วโลก กาหนดทิศทางการผลิตและพัฒนากาลังคนของประเทศตนให้มีทักษะและ สมรรถนะระดับสูง มี ความสามารถเฉพาะทางมากขึ้น ส่วนความต้องการกาลังแรงงานท่ีไร้ฝีมือ และ มีทักษะต่าจะถูกแทนท่ี ดว้ ยหนุ่ ยนตแ์ ละเทคโนโลยใี หม่ ๆ มากข้ึน การจัดการศกึ ษาในปัจจุบันจึงต้องปรับเปล่ียนให้ตอบสนองกับทิศทางการผลิตและ การพัฒนา กาลงั คนดงั กล่าว โดยมุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนเพ่ือให้ผู้เรียนมีทักษะในศตวรรษ ท่ี ๒๑ เพ่ือให้ได้ ทั้งความรู้และทักษะท่ีจาเป็นต้องใช้ในการดารงชีวิต การประกอบอาชีพ และ การพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมของประเทศทา่ มกลางกระแสแหง่ การเปลย่ี นแปลง ทักษะสาคัญจาเป็นในโลกศตวรรษท่ี ๒๑ ประกอบด้วยทักษะที่เรียกตามคาย่อว่า 3Rs + 8Cs 3Rs ประกอบด้วย \" อ่านออก (Reading) \" เขียนได้ (Writing) “คิดเลขเป็น (Arithmetics)” 8Cs ประกอบด้วย “ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving)” “ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)” “ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross – Cultural Understa)” “ทักษะดา้ นความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา (Collaboration Teamwork and Leadership)” “ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ (Communications,

Information and Media Literacy)” “ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ส่ือสาร (Computing and ICT Literacy)” “ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning Skills)” “ความมีเมตตา กรุณา วินัย คุณธรรม จริยธรรม (Compassion)” (สานักงาน เลขาธิการสภาการศกึ ษา, 2560: 1๖,78) ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร งานวิจัย และตารา พบว่า มีวิธีการสอนหลากหลายวิธีที่ช่วยพัฒนา ทักษะสาคัญจาเป็นในโลกศตวรรษท่ี ๒๑ และการแก้ปัญหา การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) เป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมสร้างทักษะสาคัญจาเป็นในโลกศตวรรษท่ี ๒๑ และการ จัดการเรียนรู้แบบโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) เป็นการจัดการเรียนรู้ตามความสนใจ ของผู้เรียน การออกแบบโครงงานท่ีดีจะกระตุ้นผู้เรียนให้มี การค้นคว้าอย่างกระตือรือร้นและใช้ทักษะ การ คิดข้ันสูง เพราะกิจกรรมในการเรียนการสอนแบบ โครงงานจะช่วยเพ่ิมระดับความสามารถของ ผู้เรยี น Buck Institute for Education (2018) เป็นสถาบันท่ีมุ่งเน้นการส่งเสริมการจัดการเรียน รู้ แบบโครงงานได้เสนอแนะองคป์ ระกอบสาคัญของการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานท่ีมีประสิทธิภาพ ดังน้ี มีความมุ่งหมายท่ีจะสอนเนื้อหาสาระท่ีสาคัญเป้าหมายของการเรียนรู้ของผู้เรียน คือ ให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้แนวคิดหลักท่ีตรงตามมาตรฐานการเรียนรู้ของสาระการเรียนรู้วิชาต่าง ๆ พัฒนาทักษะศตวรรษ ที่ 21 โดยเน้นการคิดวิพากษ์การแก้ปัญหา ความร่วมมือร่วมใจ และการสื่อสารในรูปแบบท่ี หลากหลาย ในการตอบคาถามนา (Driving Question)และสร้างสรรคง์ านทม่ี ีคุณภาพสงู ผู้เรียนต้อง ลง มือทา มากกว่าการท่องจาขอ้ มูล ผู้เรียนต้องใช้ทักษะการคิดข้ันสูงและเรียนรู้การทางานร่วมกัน เป็นทีม ในขณะท่ีทา การสื่อสาร ผู้เรียนต้องรับฟังผู้อื่นและถ่ายทอดความคิดของผู้เรียนให้ผู้อื่นเข้าใจ ได้อย่าง ชัดเจน อีกทั้งผู้เรียนยังต้องสามารถอ่านข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้รวมทั้งสามารถเขียน หรือ อธิบายผ่านวิธีการที่หลากหลายได้อย่างชัดเจนและทาการนาเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องใช้ การ สบื เสาะหาความรเู้ ปน็ กระบวนการในการเรียนรู้และสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ผู้เรียนถามคาถาม ค้นหา คาตอบ และลงข้อสรุป ซึ่งทา ให้เกิดการสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ในเชิงความคิดหรือการได้ชิ้นงาน เป็นการ เรียนรู้ท่ี ดาเนินการภายใต้คาถามนา ซึ่งเป็นคาถามปลายเปิด และเป็นตัวกาหนดขอบเขตประเด็นข้อ โต้แย้ง ความท้าทายหรอื ปญั หาท่ีสาคัญ เพื่อทาให้งานและการเรียนรู้ของผู้เรียนมีจุดมุ่งหมายและลุ่ม ลึก สร้าง ความตระหนักถึงความจาเป็นท่ีจะต้องมีความรู้เนื้อหาและทักษะท่ีจาเป็น ในการจัด ประสบการณ์การ เรียนรู้แบบโครงงานมีการจัดลาดับของกระบวนการเรียนรู้ที่ต่างจาก การเรียนรู้แบบ ด้ังเดิม น้ันคือใน หน่วยการเรียนรู้ทั่วไปที่มีการทาโครงงานเพ่ิมเข้ามาท้ายหน่วยจะเร่ิมจากการนา เสนอความรู้และ แนวคิดให้แก่ผู้เรียนก่อน จากน้ันจึงให้โอกาสผู้เรียนนาความรู้ไปประยุกต์ใช้แต่ในทาง กลับกัน การจัด ประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงงานนั้นจะเร่ิมต้นด้วยการเห็นผลิตผลหรือการนา เสนอผลงาน ปลายทาง ซึ่งจะทา ให้ผู้เรียนตระหนักถึงความจาเป็นท่ีจะต้องเรียนรู้และทา ความเข้าใจ ข้อมูลและ แนวคิดต่างๆท่ีเกี่ยวข้องเพื่อนามาใช้ในการทา โครงงานให้ได้ผลผลิตหรือผลงานตาม เป้าหมายท่ี ต้องการ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นและเลือกผู้เรียนจะได้เรียนรู้ที่จะทางานด้วยตนเอง และแสดงความรับผิดชอบเมื่อตนเองเลือกศึกษาส่ิงท่ีสนใจ การท่ีผู้เรียนได้มีโอกาส เลือกส่ิงท่ีต้องการ ศึกษาและแสดงออกถึงส่ิงท่ีได้เรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการเพิ่มการมีส่วนร่วมในการ เรียนรู้ของผู้เรียน มี กระบวนการทบทวนและสะท้อนกลับผู้เรียน ได้เรียนรู้ที่จะให้และรับการ เสนอแนะและความคิดเห็น เพอ่ื พฒั นาคุณภาพของผลงานท่ีไดส้ รา้ งสรรค์ข้ึนมาและมคี า ถามท่ีเปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้ทบทวนความ คิดถึงสิ่งท่ีได้เรียนรู้ว่ามีอะไรบ้างและมีกระบวนการเรียนรู้อย่างไร ผู้ชมสาธารณะเข้ามามีส่วนร่วม

ผู้เรียนนา เสนองานท่ีได้ศึกษาให้แก่ผู้อ่ืนนอกเหนือไปจากเพ่ือนร่วม ช้ันและผู้สอนท้ัง การนาเสนอโดย ตัวบุคคล หรือผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งกระบวนการน้ีเป็นการส่งเสริม กระตุ้นให้ผู้เรียนพยายามทางานออกมา อย่างมคี ุณภาพและทาโครงงานให้มคี วามถูกต้องนา่ เชือ่ ถือ เพมิ่ ขึ้น ด้วยเหตุผลและความสาคัญดังกล่าวข้างต้น แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงาน Project - Based Leaning (PBL) จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียน เรียนรู้เรื่องใดเรื่องหน่ึงตามความ สนใจของผู้เรียนอย่างลุ่มลึก โดยผ่านกระบวนการหลักคือ กระบวนการแก้ปัญหา ของนักศึกษา กศน. ตาบลเขาชนกัน ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอแม่วงก์ สานักงานกศน. จงั หวดั นครสวรรค์ วัตถุประสงค์ของกำรศกึ ษำ 1. เพื่อพฒั นาแบบฝึกทักษะการจัดการเรยี นรู้แบบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้นั มัธยมศึกษาตอนต้น ใหม้ ีประสิทธภิ าพตามเกณฑท์ ่ีกาหนดคือ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของผู้เรยี นทีเ่ รียนดว้ ยแบบฝกึ ทกั ษะการจัดการ เรียนรู้แบบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมธั ยมศึกษาตอนตน้ 3.เพ่ือศึกษาความสามารถในการทาโครงงานของนักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ สมมติฐำนกำรศกึ ษำ 1. แบบฝกึ ทกั ษะแบบฝึกทักษะการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้นั มธั ยมศึกษาตอนตน้ มีประสทิ ธิภาพตามเกณฑท์ ี่กาหนดคอื 80/80 2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาตอนตน้ หลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียน 3. ความสามารถในการทาโครงงานของนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาตอนตน้ ขอบเขตของกำรศึกษำ การวิจัยครงั้ น้ีผวู้ จิ ัยมงุ่ ศึกษาการพฒั นากระบวนการแบบฝึกทกั ษะการจัดการเรยี นรูแ้ บบ โครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษาตอนต้นสร้างเทคโนโลยไี ปใช้ แก้ปญั หาไดต้ รงบริบทของชมุ ชน 1. ขอบเขตดา้ นประชากร ประชากรที่ใชใ้ นการศึกษาครั้งนี้นกั ศึกษาระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ จานวน ๑๕ คน ปีการศกึ ษา 256๓ ของกศน.ตาบลเขาชนกัน โดยการเลอื ก แบบเจาะจง

2. ขอบเขตดา้ นเนื้อหา 2.1. การจดั การเรียนรูแ้ บบใช้การเรยี นรู้เร่อื งแบบฝึกทกั ษะการจดั การเรยี นรู้แบบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาตอนต้น 2.1.1. การระบุปัญหา (Problem Identification) 2.1.2. การรวบรวมขอ้ มูลทเ่ี กย่ี วข้องกบั โครงงาน (Related Information Search) 2.1.3. การออกแบบโครงงาน (Project Design) 2.1.4. การปฏบิ ัตกิ ารทดสอบและปรับปรงุ โครงงาน (Testing,andDesignImprovement) 2.1.5. การนาเสนอผลโครงงาน (Presentation) 2.1.6. การประเมินผลโครงงาน (Evaluation) 2.๑.๗ หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕ (ปรับปรุง ๒๕๕๕) 3. ตวั แปรท่ีศึกษา 3.1 ตัวแปรต้นไดแ้ ก่ 3.1.1 แบบฝกึ ทกั ษะการจัดการเรยี นร้แู บบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาตอนต้น 3.2 ตวั แปรตามไดแ้ ก่ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผเู้ รยี นทเี่ รียนดว้ ยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 2.ความสามารถในการทาโครงงานของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาตอนต้น เมื่อ ไดเ้ รียนรเู้ ร่อื งแบบฝกึ ทักษะการจัดการเรยี นรแู้ บบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาตอนตน้ กรอบแนวคิดในการศึกษา จากกรอบแนวคดิ การวจิ ัย (conceptual framework) เร่ือง แบบฝึกทักษะการจัดการ เรยี นรแู้ บบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อพฒั นา แบบฝึกทกั ษะการจัดการเรยี นรแู้ บบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษา ตอนต้น ให้มีประสิทธภิ าพตามเกณฑท์ ่ีกาหนดคือ 80/80 เพื่อเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น ของผู้เรยี นที่เรียนด้วยแบบฝกึ ทักษะการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลเขาชนกัน กศน.อาเภอแม่วงก์ จงั หวดั นครสวรรค์ แบบฝึกทกั ษะการจัดการเรยี นรแู้ บบ ๑.ประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ที่กาหนดคอื 80/80 โครงงาน (Project - Based Leaning : ๒.ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นของผู้เรยี น PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ๓.ความสามารถในการทาโครงงาน ภาพี่ ๑ กรอบแนวคิดในการศกึ ษา

๔. ระยะเวลาการศกึ ษา ใชเ้ วลาในการศกึ ษากับกลมุ่ ตัวอย่าง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ - ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔ ๕. เน้ือหา เน้ือหาที่ใช้ในสร้างแบบฝึกทักษะคร้ังนี้ คือเนื้อหาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กาหนดมาตรฐาน สาระการเรียนรู้แกนกลาง มัธยมศกึ ษาตอนตน้ ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับ 1. พัฒนาแบบฝึกทักษะการจัดการเรยี นรูแ้ บบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาตอนต้น ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ท่ีกาหนดคือ 80/80 2.เปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนทเ่ี รยี นด้วยแบบฝกึ ทักษะการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาตอนตน้ 3.เทคโนโลยีท่ีได้จากการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) ไปใช้ แก้ปญั หาไดต้ รงบริบทของชุมชน นิยำมมศัพทเ์ ฉพำะ เพ่ือให้เกดิ ความเขา้ ใจตรงกัน ผวู้ ิจัยไดน้ ิยามความหมายของคาตา่ ง ๆ ไวด้ งั น้ี 1. แบบฝึกทกั ษะการจดั การเรยี นรแู้ บบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนต้น หมายถึง การจัดสภาพการเรียนการสอน โดยให้ นักเรียนเลือกสร้างโครงงานแบบ อิสระ ครูเป็นผู้เช่ือมโยงความรู้มาสู่นักเรียนและนักเรียนเป็น ผู้ลงมือ ปฏิบัติ วางแผน อธิบายข้ันตอน การทาโครงงาน การออกแบบและนาเสนอผลงาน ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบฝึกทักษะการจัดการ เรยี นรแู้ บบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาตอนตน้ มดี งั ต่อไปน้ี 2. แบบฝกึ ทักษะการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ัน มัธยมศึกษาตอนต้น หมายถึง เอกสารท่ีแสดงแนวการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงาน ประกอบด้วย มาตรฐานและตัวช้ีวัด จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ สมรรถนะผู้เรียน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ กิจกรรมการเรียนรู้ ส่ือการสอน แหล่งการเรียนรู้ และ วิธีการประเมินโดยกิจกรรมการเรียนรู้ ใชข้ น้ั ตอนการจดั การเรียนรูแ้ บบโครงงาน 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนเฉล่ียความรู้และเข้าใจของ นักศึกษาท่ีเกิด จากการเรียนรแู้ บบโครงงาน ซงึ่ ประเมินโดยใชแ้ บบทดสอบ วดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น ทีผ่ วู้ ิจยั สรา้ งขน้ึ 4. แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง เครื่องมือที่ใช้สาหรับ การวัดผลสัมฤทธิ์ของ การเรียนตามวัตถุประสงค์การจดั การเรียนร้แู บบโครงงานทก่ี าหนดไว้ 5. ความสามารถในการทาโครงงาน หมายถงึ พฤติกรรมของนักเรียนที่แสดงออกใน การปฏิบัติ กิจกรรมการจัดการเรยี นรู้แบบโครงงานในด้านของการวางแผนการทางาน กระบวนการทางาน ผลงาน และการนาเสนอ ซ่ึงวดั จากแบบประเมนิ ความสามารถในการทาโครงงานที่ผ้วู ิจยั สรา้ งขึ้น 6. แบบประเมินความสามารถในการทาโครงงาน หมายถึง เคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมิน ความสามารถในการทาโครงงานและช้ินงานของนักศึกษาหลังการเรียนรู้จากการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน โดยใช้คาถามในการประเมนิ ความสามารถในการทาโครงงานที่ผูว้ ิจัยสร้างขึน้ ๗.เทคโนโลยี หมายถึง ผลการท่ีได้จากการผลิตโครงการของนักศึกษาที่สามารถนาไปใช้แห้ ปญั หาในชมุ ชน

6 บทที่ 2 เอกสาร และงานวจิ ัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้า รวบรวมเอกสาร แนวคิด และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดงั ต่อไปน้ี 1 แนวคดิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั 1.1 ทฤษฎีการเรยี นรผู้ ้ใู หญแ่ ละแนวคดิ การเรียนรูด้ ว้ ยการชน้ี าํ ตนเอง 1.2 กระบวนการเรยี นรู้เพ่อื การสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ตลอดชวี ิต 1.3 หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง 2555) 2 การจดั การเรยี นร้แู บบใช้โครงงาน Project - Based Leaning (PBL) 2.1. ประวัติความเป็นมาของการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน Project - Based Leaning (PBL) 2.2. ความหมายของโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) 2.3. ข้ันตอนกระบวนการการการจดั การเรียนร้แู บบใช้โครงงาน Project - Based Leaning (PBL) 2.4. บทบาทผสู้ อนและผู้เรยี นของการการจัดการเรยี นรู้แบบใช้โครงงาน Project - Based Leaning (PBL) 2.5. คุณคา่ ของการการจดั การเรยี นรแู้ บบใชโ้ ครงงาน Project - Based Leaning (PBL) 2.6. ข้อจํากดั ของการเรียนรู้แบบโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) 2.7. ขอ้ แตกตา่ งของการสอนทว่ั ไปกับการจดั การเรยี นรู้แบบโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) 2.8. ประเภทของโครงงานโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) 2.9. การประเมินผลการเรยี นรู้แบบโครงงาน 2.10. งานวิจัยทเ่ี กยี่ วข้องกับการจดั การเรียนรแู้ บบโครงงาน Project - Based Leaning (PBL) 3 เอกสารท่ีเกีย่ วขอ้ งกับการใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะ 2.1 ความหมายของแบบฝึกทกั ษะ 2.2 ลักษณะของแบบฝึกทกั ษะ 2.3 ประโยชนข์ องแบบฝึกทักษะ 4. เอกสารเกี่ยวกบั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 3.2 ลักษณะของผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน 3.3 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น 3.4 ประโยชน์ของการวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5. เอกสารงานวจิ ัยท่ีเกยี่ วขอ้ ง

7 1 แนวคิดการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั 1.1 ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ผูใ้ หญแ่ ละแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการชน้ี ําตนเอง ทฤษฎีการเรียนรู้ผู้ใหญ่และแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนําตนเอง (ปิยะ ศักดิ์เจริญ Piya Sakcharoen, B.A., M.A., Ph.D ๒๕๕๘) ทฤษฎีการเรียนรู้ผู้ใหญ่ หรือ Andragogy นั้นมีการ ศึกษาค้นคว้ากันมานานตั้งแต่ต้นศตวรรษท่ี 20 โดยมีงานวิจัย ท้ังในด้านวิทยาศาสตร์และด้านศิลป ศาสตรท์ ่ีออกมาสนับสนุน แนวคิดที่ว่าผู้ใหญ่สามารถเรียนรู้ได้ในรูปแบบที่ต่างจากเด็ก (ศิรภัสสรศ์ วงศ์ ทองดี, 2556) โดย มัลคอล์ม โนลส์ (Malcolm Knowles) นักวิชาการด้านการศึกษาผู้ใหญ่เป็นผู้ใช้คํา วา่ Andragogy ในความหมายของศาสตร์ด้านการศึกษาผู้ใหญ่ ที่แตกต่างจากเด็ก ซึ่งต่อมาก็เป็นท่ีนิยม และใช้กนั ท่ัวไป โดย Andragogy น้นั เปน็ แนวคิดหรือความเช่อื เบื้องตน้ สําหรับ การจัดการเรียนรู้ให้กับ ผู้ใหญ่ โดยอาจกล่าวได้ว่าก่อนจัดการ เรียนรู้ให้กับผู้ใหญ่ นักการศึกษาจําเป็นต้องศึกษาแนวคิด เบ้ืองต้นของ Andragogy เสียก่อน (สุวัฒน์ วัฒนวงศ์, 2555 และสุจิตรา ธนานันท์, 2555) นอกจาก ทฤษฎีการเรียนรู้ผู้ใหญ่ ที่นักการศึกษาผู้ใหญ่ต้องทราบแล้ว ยังมีแนวคิดด้านการเรียนรู้ ด้วยการช้ีนํา ตนเอง (Self-Directed Learning: SDL) ที่จําเป็น สําหรับการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้ใหญ่ โดยทั้งทฤษฎี การเรียนรู้ ผู้ใหญ่ (Andragogy) และแนวคิดด้านการเรียนรู้ด้วยการช้ีนํา ตนเอง ได้พัฒนาข้ึนโดย มัล คอลม์ โนลส์ (Malcolm Knowles) นกั วิชาการด้านการศกึ ษาผู้ใหญ่ในอเมริกา จึงทําให้ท้ังสอง แนวคิด มักถูกหยิบยกข้ึนมาพูดถึงอยู่เสมอในการจัดการศึกษา สําหรับผู้เรียนวัยผู้ใหญ่ โดยแนวคิดท้ังสอง สนับสนนุ การเรยี นรู้ ให้เกดิ ขนึ้ ในตวั ผเู้ รยี นวัยผูใ้ หญ่ รวมท้ังแนวคิดทัง้ สองยัง มสี ่วนสําคญั ในการส่งเสริม การเรยี นรู้ตลอดชวี ติ ในเวลาตอ่ มา (อาชญั ญา รัตนอุบล, 2551) กระบวนการเรียนร้ขู องมนุษยจ์ ึงเกดิ ขนึ้ ตลอดเวลาอย่าง ตอ่ เนื่อง (อมราภรณ์ หมีปาน, 2552) การสง่ เสรมิ ให้มนุษย์ ไดเ้ รียนร้ไู ม่วา่ จะเปน็ การจัดการศึกษาหรือกิจกรรมเรียนรู้ โดยตรง หรือจัด ส่งิ แวดลอ้ มใหเ้ อื้อต่อการเรยี นรู้ นบั ว่ามคี วาม สําคญั ยงิ่ ทง้ั นเี้ พราะสภาพสงั คมได้แปรเปลี่ยนไปอยู่เสมอ การดาํ รงชีวติ และการเรยี นรู้ของมนุษย์จึงจําเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทฤษฎีการ เรียนรู้ผู้ใหญ่และแนวคิด การเรียนรู้ด้วยการช้ีนําตนเอง มีบทบาทสําคัญในการส่งเสริม ให้บุคคล สามารถเรียนรู้ได้ในบริบทแวดล้อมที่สร้างขึ้นเพื่อ อํานวยความสะดวกให้กับผู้เรียนวัยผู้ใหญ่ได้เกิดการ เรียนรู้ นักการศึกษา และนักจัดกิจกรรมการเรียนรู้จําเป็นต้องเข้าใจใน แนวคิด และหลักการเรียนรู้ ดังกลา่ วเพอื่ นํามาประยุกตใ์ ช้ให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ และสภาพแวดล้อมของตัวผู้เรียน ท้ังนี้เพ่ือให้ การเรียนรู้ได้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงกับตัวผู้เรียนเอง โดยบทบาทผู้สอนเป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น นักศึกษา พยาบาลจําเปน็ ต้องมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา หรือจําเป็น ต้องเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะ งานดา้ นพยาบาลมคี วาม เปล่ยี นแปลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ซึ่งนักศึกษาพยาบาล ต้องกลายมาเป็น พยาบาลวิชาชีพในอนาคต จําเป็นต้องมีการ เรียนรู้อย่างต่อเน่ืองไปตลอดชีวิต เพื่อพัฒนาตนเองอย่าง สม่าํ เสมอให้เทา่ ทันกับความก้าวหนา้ และเปล่ียนแปลงของ สังคม การจดั การเรยี นรู้โดยอาศยั รูปแบบของการเรียนรู้ดว้ ยการ ชน้ี าํ ตนเอง สําหรับการจัดการเรียนรู้ด้วยการช้ีนําตนเองน้ันมี อยู่หลายแบบด้วยกัน โดย Griffin (1983) ไดเ้ สนอรปู แบบการ เรียนร้ดู ว้ ยการช้นี ําตนเองไว้ดังนี้ 1. รูปแบบการเรยี นแบบใชส้ ัญญาการเรียนรู้ (Learning Contract) 2. รูปแบบการใชโ้ ครงการเรียนรู้ (Learning Project) 3. รูปแบบการใช้บทเรียนสําเร็จรปู (Individualized Program Instruction) 4. รปู แบบทีไ่ มใ่ ช่การจดั การเรียนการสอนทัว่ ไป (NonTraditional Institutional)

8 5. รูปแบบการเรยี นรู้ประสบการณใ์ นชวี ิต (Experiential Learning) สําหรบั รูปแบบการเรยี นรู้ด้วยการชี้นําตนเอง จะให้ ความสําคัญกับโครงการการเรียน ท่ีใช้สัญญาการเรียนรู้ (Leaming Contract) เป็นหลัก โดยบทบาทครูจะเป็นเพียงเป็น ผู้อํานวยความ สะดวก และมีสภาพการเรียนรู้แบบเปิด ซ่ึงจัด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เน้นสภาพการ เรียนรู้ แบบรายบุคคล (อาชัญญา รตั นอบุ ล, 2551) 1.2 กระบวนการเรียนรเู้ พ่อื การสง่ เสริมการเรยี นรตู้ ลอดชีวิต ศักรินทร์ ชนประชา (2562) การศึกษาตลอดชีวิตเป็นคําที่เก่ียวข้องกับคําอื่นท่ีมีใช้กัน อยู่หลายคํา หลายวาระและหลายแง่มุมต่างๆ กัน อาทิ เช่น การศึกษาผู้ใหญ่ (Adult Education) การศึกษาต่อเน่ือง (Continuing Education) การศึกษา ทางไกล (Distance Education) การศึกษา ส่วนขยาย/การศึกษาเพ่ือบริการชุมชน (Extension Education) การศึกษาท่ีไม่เป็นทางการ/การศึกษา ตามอัธยาศัย (Informal Education) การศึกษานอกระบบ/การศึกษา นอกโรงเรียน (Non formal Education) การศึกษาประชาชน (Popular Education) การศึกษาผู้ใหญ่แบบ เสรี (Liberal Adult Education) และการจัดการศึกษาให้ตลอดชีวิต (Recurrent Education) เป็นต้น คําเหล่านี้บางคํามี ความหมายที่ใกล้เคียงกัน หรือตรงกันแต่ใช้คําเรียกต่างกันไปในแต่ละประเทศหรือแต่ละ องค์กรที่ รบั ผดิ ชอบ นอกจากคําตา่ งๆ ทีม่ คี วามหมายและคําจํากัดความท่ีใกล้เคียงและเกี่ยวข้องกันแล้วยัง มีคําว่า “การ เรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning)” ที่คนส่วนใหญ่มักจะใช้แทนคําว่า “การศึกษา ตลอดชีวิต Lifelong Education” สุมาลี สังข์ศรี (2544 : 16) ได้ให้คําอธิบายในเรื่องนี้ไว้ว่า จาก การศึกษานิยามและแนวคิดของ นักการศึกษาท่ีใช้คําว่า Lifelong Education และ Lifelong Leaming พบว่ามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ต้องการ ให้บุคคลได้เรียนรู้ตลอดชีวิตของเขา เรียนรู้อย่า เหมาะสมเพอ่ื จะไดพ้ ัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของตนเองเพียงแต่อาจมี จุดเน้นต่างกัน กล่าวคือ นักการศึกษาที่ ใช้ Lifelong Education อาจจะมองในแง่ของการที่จะให้แนวทาง มองใน แง่ของผู้จัดว่าจะจัดเตรียม กระบวนการจัดประสบการณ์อย่างไรจึงจะให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม ตลอดชีวิตของเขา สว่ นนกั การศึกษาที่ใช้คําว่า Lifelong Learning อาจมงุ่ เน้นมาท่ีตัวผู้เรียนโดยละการจัด การศึกษาไว้ใน ฐานที่เข้าใจ จะเน้นในส่วนของผู้เรียนว่า หลังจากมีผู้จัดการศึกษาให้แล้วผู้เรียนจะเรียนรู้ด้วยตนเอง อย่างไรและเกดิ การเรยี นรตู้ ลอดชีวิตหรอื ไม่หรือในลักษณะใด ซึ่งก็คือเป้าหมายปลายทางเดียวกันน่ันเอง ซึง่ พอ สรปุ ได้วา่ 1. การศกึ ษาตลอดชวี ิต (Lifelong Education) และการเรียนรู้ตลอดชวี ติ (Lifelong Learning) นนั้ มี ความหมายใกลเ้ คยี งกนั 2. การเรียนรู้ (Learning) น้ันเน้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนโดยผ่าน กระบวนการที่ หลากหลาย ซ่ึงการเรียนรู้ดังกล่าวเป็นไปได้ทั้งบวกและลบ ส่วนการศึกษา (Education) น้ันเปน็ กระบวนการท่ี ทาํ ใหบ้ ุคคลเกิดการเปล่ียนแปลงในลักษณะท่เี หมาะสมกบั ทงั้ ตวั บุคคลและสังคม นอกจากนี้แล้วยังมีผู้ให้ความหมายของคําว่า “การศึกษาตลอดชีวิต” ไว้หลายท่าน บุคคลที่สําคัญที่มีการ อ้างอิงอย่างแพร่หลายและถือว่าเป็นบุคคลสําคัญของประเทศไทยท่ีเกี่ยวข้องกับ การศึกษาตลอดชีวิต คือ โกวิท วรพิพัฒน์, 2523 (อ้างถึงใน จรูญศรี มาดิลกโกวิท และคณะ, 2553 : 34-35) ท่ีจําแนกการศึกษาออกเป็น 2 ระบบ คือ ในระบบโรงเรียนกับนอกระบบโรงเรียน และได้ให้

9 ความหมายของ การศึกษาตลอดชีวิต หมายถึง การศึกษา นอกระบบโรงเรียน ที่ต่อยอดมาจากระบบ แรก โดยมีท้ังท่ีเรียนรู้ในบริบทท่ีเป็นห้องเรียนแบบเป็นทางการ และ แบบไม่เป็นทางการหรือไม่มี รูปแบบตายตวั แนน่ อน เช่น การอ่านหนังสอื ในหอ้ งสมุดหรอื ตามที่อ่าน หนังสือพิมพ์ประจําหมู่บ้าน เป็น ตน้ ทั้งน้ี โกวทิ วรพิพัฒน์ มองวา่ การศกึ ษาตลอดชีวติ ท่ถี กู มองวา่ เป็น แนวความคิดใหม่นี้ เดิมมนุษย์เอง มีการศกึ ษาหาความร้ตู ามความจําเปน็ ในแต่ละช่วงวัยอยู่แล้ว หากแต่ใน ปัจจุบันท่ีการเปลี่ยนแปลงทาง สังคม เศรษฐกจิ และการเมอื งเปน็ ไปอยา่ งรวดเรว็ การศึกษาตลอดชีวิตดงั กลา่ ว จงึ ไดร้ บั ความสําคัญและกล่าวถึงมากข้ึน เพื่อให้มนุษย์สนองตอบและปรับตัวให้ทันต่อ การเปลยี่ นแปลงดงั กล่าว ดว้ ยการศึกษาหาความรเู้ พ่ิมเติมในรูปแบบต่างๆ ผสมผสานกนั อยา่ งตอ่ เนอื่ ง กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2553 : 2) พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพ่ิมเติม(ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2553 ในมาตรา 4 ได้ให้ความหมายของการศึกษาตลอดชีวิต หมายความว่า การศึกษาท่ีเกิดข้ึนจากการผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และ การศกึ ษาตามอัธยาศัย เพอื่ ให้สามารถพฒั นาคุณภาพชีวติ ไดอ้ ยา่ งตอ่ เน่ืองตลอดชวี ติ สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (2556 : 2) การศึกษาที่เกิดขึ้นจาก การผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยเพ่ือให้สามารถ พัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิตการศึกษาท่ีเกิดข้ึนอย่าง ตอ่ เนือ่ งตั้งแต่เกดิ จนตาย พฒั นาคนให้ ได้เรียนรู้ในรูปแบบต่างๆตามความสามารถของ ตนเอง เพ่ือก้าว ทันการเปลย่ี นแปลงของโลก สามารถทาํ งาน และอยรู่ ่วมกันในสงั คม ดุษณี คํามี (2557 : 18)การศึกษาตลอดชีวิต เป็นกระบวนการ ศึกษาท่ีมีผลต่อการ เรียนรู้ของบุคคล ใน รูปแบบของการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และ การศึกษาตามอัธยาศัย ท่เี กดิ ขึน้ ตลอดชีวิต ของ บุคคลต้งั แต่ เกดิ จนตายเพอ่ื ม่งุ ให้บุคคลได้พัฒนาตนให้ทันต่อการ เปลี่ยนแปลง และพัฒนาต่อเนื่องไปให้เต็ม ศักยภาพ โดยบุคคล น้ันจะต้องมีแรงจูงใจที่จะศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง และ เรียนร้อู ย่างตอ่ เนือ่ ง อาชญั ญา รัตนอุบล. (2557: 6) การศกึ ษาตลอดชีวติ เป็นกระบวนการเรียนรู้ของบุคคล ในทุกชว่ งวัย เป็นการเรยี นรจู้ ากวิถีชีวิตของตนเอง และใช้ทรัพยากรที่สนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ตาม ความตอ้ งการของ ตนเอง เพื่อนาํ ไปสูป่ ระสบการณอ์ ยา่ งมคี ณุ คา่ โดยการเขา้ รว่ มหรอื ไม่เข้าร่วมกิจกรรม การเรียนรู้ก็ได้ เป็นการ สนับสนุนบุคคลเรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนรู้จากกันและกัน และเรียนรู้จากคนอื่น ในสังคมเป็นการเปิดโอกาสให้ บุคคลสามารถพัฒนาความสนใจ ความต้องการและความสามารถของ ตนเองให้สมบรู ณ์ตามความต้องการของ ตนเองเป็นสําคัญนอกจากน้ียังมีแง่มุมของการศึกษาตลอดชีวิต ในส่วนของความหมายทนี่ า่ สนใจ ดังน้ี Dave (1973 : 14) ได้ให้ความหมายของการศึกษาตลอดชีวิตไว้ว่า มีคําที่มี ความสัมพันธ์กัน 3 คํา คือ ชีวิต (Lief) ตลอดชีวิต (Lifelong) และการศึกษา (Education) โดย ความหมายของแต่ละคําจะช่วยให้รวม ความหมายและขอบเขตของการศึกษาตลอดชีวิต คําว่า ชีวิต และ การศึกษา นั้นค่อนข้างที่จะมีความหมาย ซับซ้อนและหลายแนวทางตามแต่ละสังคม แต่ละ ประเทศและแต่ละช่วงเวลาที่มีความแตกต่างกัน โดยสรุป การศึกษาตลอดชีวิตเป็นการศึกษาที่เกิดข้ึน เมอื่ ชวี ิตเร่ิมต้นและสิ้นสดุ ลงเม่ือชีวิตสิ้นสุดลง ครอบคลุมถึงการศึกษา และกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งหมดที่

10 เกิดขึ้นในทุกช่วงของชีวิต เป็นกระบวนการทางการศึกษาที่อาศัยความต่อเนื่อง และการเช่ือมโยงกัน ระหวา่ งความร้เู ดมิ ของบุคคลและความรใู้ หม่ที่ได้รับมาดังนั้นจงึ เปน็ มติ ิการเรียนรู้ท่ีมี ระยะเวลายาวนาน Cropley และ Dave (1978 : 20) มองว่าการศึกษาตลอดชีวิตมี 2 มิติคือ มิติใน แนวต้ังหรือการศึกษา ตั้งแต่เกิดจนสิ้นชีวิต ท้ังน้ีการศึกษาหลังจากบุคคลสําเร็จการศึกษาจาก สถาบันการศึกษาในชว่ งต้นของชวี ติ แล้ว ยอ่ มเปน็ ช่วงทยี่ าวนานกว่าโดยเปรียบเทียบ และในแนวนอนท่ี สะท้อนการผสมผสานของการเรียนรู้ผ่าน การศึกษาในรูปแบบต่างๆ อาทิ การศึกษาในระบบ และ การศึกษาตามอัธยาศยั เป็นตน้ สว่ นมติ ใิ นแนวนอนน้นั แนวนอนน้ันเปน็ การมองวา่ การศึกษากับชีวิตเป็นส่ิงท่ีต้องเช่ือมโยงกัน การศึกษาและ การเรียนรู้ ควรที่จะต้อง ประสานกันในหลายๆ ส่วน ท้ังในโรงเรียนและแหล่งการเรียนรู้ โดยมีท้ัง การศึกษาในระบบ นอกระบบ และ ตามอัธยาศัย ซึ่งแหล่งการเรียนรู้ควรจะเป็นลักษณะของเครือข่าย ในชุมชนท่ีมีความสัมพันธก์ บั ชีวติ จริง จากคาํ จาํ กัดความและความหมาย การศึกษาตลอดชีวิต จากท่ีเป็นมุมมองในภาพรวม ของกระบวนการ เรียนรู้ที่จําเป็นของบุคคลทุกช่วง ทุกวัย ต่อเน่ืองตลอดชีวิต ได้มีการพัฒนาคําจํากัด ความและความหมายให้ชัดเจน มากข้ึนในแง่มุมของ การศึกษาตลอดชีวิตนั้นเป็นกระบวนการท่ีเกิดข้ึน โดยการสนับสนนุ จากหลายๆ ฝ่าย อย่าง ต่อเนื่องเพื่อให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทั้งในเร่ืองของ ความรู้ ทักษะ เจตคติ ที่เหมาะสมในสังคม ชุมชน ท่ี ตนดํารงอยู่ โดยสรุป การศึกษาตลอดชีวิต (Lifelong Education) น้ัน ในแง่ของ ความหมาย เป็นการการจัด กระบวนการทางการศึกษาเพื่อให้ บุคคลเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในรูปแบบของการผสมผสานการศึกษาในระบบ โรงเรียน (Formal Education) การศึกษานอกระบบโรงเรียน (Non-Formal Education) และการศึกษาตาม อัธยาศัย (Informal Education) โดยมุ่งให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง พัฒนาบุคคลให้สามารถ พัฒนาตนเอง และปรับตนเองให้ก้าวทันความเปล่ยี นแปลงของสังคมโลกอยา่ งรอบดา้ น น่นั เอง แนวคดิ การศกึ ษาตลอดชีวิต การศึกษาตลอดชีวิตนั้นเป็นการบูรณาการศาสตร์ต่างๆ ทางด้านการศึกษาเข้าไว้ ด้วยกัน เนน้ มิตขิ อง การพัฒนาตั้งแต่เกิดจนตาย ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มโดยมีความมุ่งหมายที่ สําคัญคือ เพ่ือให้บุคคลได้ เรียนรู้ทุกส่ิงทุกอย่างท่ีเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมเพื่อนําไปสู่การ พัฒนาตนเองให้เท่าทันกับการ เปลี่ยนแปลงในสังคมโลก อาชัญญา รัตนอุบล. (2557 :1) แนวคิดเร่ือง การศึกษาตลอดชีวิตไม่ใช่แนวคิดใหม่ มี การกล่าวถึงความสําคัญและความจําเป็นของการศึกษาตลอด ชีวิตมานานแล้ว แนวคิดในแต่ละยุคสมัยจะเน้น ในเรื่องของการพัฒนาคนต้ังแต่เกิดจนตาย ส่งเสริมให้ บุคคลได้เรียนรู้ตามศักยภาพของตนตามบริบทของสังคม วัฒนธรรมในแต่ละยุค สําหรับประเทศไทย แนวคิดการจัดการศึกษา (Conceptual Design) ในแผนการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 กระทรวงศึกษาธิการ. (2560 : จ-ฉ) ได้นําแนวคิดของการศึกษาตลอดชีวิตมาเป็น หลักสําคัญในการจัด การศึกษาของชาติเพื่อสนองต่อการเปล่ียนแปลงของสังคมโลก ในศตวรรษท่ี 21 คือ หลักการจัดการ ศกึ ษาเพือ่ ปวงชน (Education for ALL) โดยกําหนดวสิ ยั ทัศน์ (Vision) “คนไทยทุกคนได้รับ การศึกษา และเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างเป็นสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาและเศรษฐกิจ พอเพียง และการเปล่ียนแปลงของโลกในศตวรรษท่ี 21” ใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือสําคัญในการสร้าง คน สร้างสงั คม เป็นกลไกหลกั ในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ และเห็นถึงความสําคัญของการศึกษาตลอด ชีวิต สําหรับประชาชนในทุกช่วงวัย เป็นส่ิงที่มีความจําเป็นอย่างยิ่งและจะถูกขับเคล่ือนอย่างเป็ น

11 รูปธรรมและเป็น ระบบต่อเน่ือง นอกจากน้ันแล้วมีนักวิชาการหลายท่านได้รวบรวมแนวคิดต่างๆ ท่ี เกย่ี วข้องกบั การศึกษาตลอด ชีวิต อาทิ สุวธิ ดิ า จรงุ เกียรติกลุ (2554 : 224-236) ปจั จุบันทุกประเทศท่ัว โลกมีการศึกษาตลอดชีวิตเป็น กรอบความคิดหลักในการจัดการศึกษาและถือเอาการศึกษาตลอดชีวิต เป็นปรัชญาสําหรับการจัดการศึกษา ของสังคมโลกในศตวรรษท่ี 21 ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การศึกษาตลอดชีวิตครอบคลุมมิติท่ี หลากหลายท้ังมิติด้านปรัชญา ระบบการศึกษา ทางเลือกใหม่ทาง การศกึ ษา พัฒนาทรพั ยากรมนุษย์ใหม้ สี มดลุ ภาพแห่งการเรียนรู้ที่เหมาะสม คือ การเรียนเพ่ือรู้ (Learning to Know) การเรียน เพอ่ื ปฏิบัตจิ รงิ (Learning to Do) การเรียนรู้เพือ่ ชวี ติ (Learning to Be) และการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน (Learning to Live Together) นันทภา ปัญญารัตน์ (2556 : 26) ตลอดช่วง 60 กว่าปีที่ผ่านมาได้มีการเผยแพร่เร่ือง ของการศึกษา ตลอดชีวิตไปสู่ท่ัวโลก ในการประชุมระหว่างชาติว่าด้วยการศึกษาผู้ใหญ่ ( World Conference on Adult Education) ที่จัดโดย Unesco ท่ีกรุงมอนตรีอัล ประเทศแคนาดา ค.ศ.1960 ท่ีกรุงโตเกียว ประเทศญ่ีปุ่น ค.ศ.1972 และท่ีกรุงไนโรบี ค.ศ.1986 ได้มีการกล่าวถึงและพัฒนาแนวคิด การศกึ ษาตลอดชีวิตโดยมี สาระสาํ คัญดังนี้ 1. มนุษย์แสวงหาความรู้ และพฒั นาตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะมนุษย์ เราเรียนรู้จาก ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสังคมทุกขณะ เช่น จากการทํามาหากิน การเล่น การพักผ่อน การเข้าร่วม พธิ ีกรรม และการ สมาคม เป็นตน้ 2. การศึกษาท่ีแท้จริงไม่ได้จํากัดแต่เพียงในโรงเรียนแต่ครอบคลุมถึง การศึกษานอก โรงเรียน การศึกษาตามอัธยาศัย การศกึ ษาเกิดไดต้ ามโอกาสจึงไม่มวี นั ส้นิ สุด 3. การศึกษาตลอดชีวิตเปิดโอกาสให้คนท่ัวไปได้รับการศึกษาเพราะ สามารถเลือก เรยี นตามรูปแบบ ที่ตนต้องการ ยืดหยุ่นได้ตามโอกาสทุกคนสามารถเรียนรู้ได้จากทุกแห่งตามโอกาสจะ อํานวย ฉะน้ัน มนุษย์จึงมี โอกาสท่ีจะพัฒนาชีวิตให้สมบูรณ์ย่ิงข้ึน โดยการศึกษาอย่างไม่มีจุดจบไป ตลอดชวี ิต อาชญั ญา รตั นอุบล (2557: 1) การศึกษาตลอดชีวิตเป็นการบูรณาการศาสตร์ต่างๆ ไว้ ด้วยกัน การศกึ ษาตลอดชีวิตได้เนน้ มิตขิ องการพัฒนาตง้ั แตเ่ กิดจนตาย ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม โดยมีความมุ่ง หมายท่ีสําคัญ คือ เพ่ือให้บุคคลได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและ สังคมเพื่อนําไปสู่การ พัฒนาตนเองให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม อย่างไรก็ตามการศึกษา ตลอดชีวติ มีแนวคดิ หลักทเี่ นน้ การสง่ เสรมิ ใหบ้ คุ คลได้เรียนตามศกั ยภาพและพัฒนาศักยภาพของตนเอง ท้ังนเ้ี ป็นการตอบสนองความตอ้ งการ ในการเรียนรขู้ องบุคคลเป็นหลัก นอกจากแนวคิดท่ีน่าสนใจดังกล่าวแล้ว องค์กร UNESCO (1993 อ้างถึงใน ศรีสว่าง เลี้ยววาริน, 2555 : 8) ได้มีการจัดทํารายงานที่ชื่อว่า Learning-A Treasure Within รายงานฉบับนี้ได้ ยืนยันในหลักการ ของการศึกษาตลอดชีวิตและสังคมแห่งการเรียนรู้ รวมถึงได้ขยายความว่า การศึกษา ตลอดชีวติ น้ันมี ความหมายมากกว่าการยกระดบั การศึกษาให้สงู ขึน้ หรือการให้การศึกษาเสริม หรือการ ฝึกอบรมอาชีพ การศึกษาเป็นเรื่องของบุคคลท่ีจะเรียนรู้ เพื่อตอบสนองความปรารถนาท่ีจะมีความรู้ และพฒั นาตนให้มี ความสามารถมากขึน้ องค์การเพ่ือความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD

12 : Organization for Economic Cooperation and Development) ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศใน โซนยุโรป รวมถึง สหรฐั อเมรกิ า ญี่ปนุ่ ออสเตรเลีย และแคนาดา ได้ให้การยอมรับในหลักการการศึกษา ตลอดชีวิตว่า เป็นยุทธศาสตร์ที่ ตอบสนองความจําเป็นที่จะพัฒนาขีดความสามารถของบุคคล ครอบครัว ชุมชน ท่ีจะต้องกระทําอย่างต่อเน่ือง การจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตต้ังแต่วัยเด็กก่อนเข้าไป เรียนจนถึงวัยชรา เป็นปัจจัยสําคัญท่ีจะทําให้มีงานทํา เกิด การพัฒนาด้านเศรษฐกิจความสามัคคีกลม เกลียวในสังคม การศึกษาตลอดชีวิตน้ัน บุคคลอาจไม่ต้องเรียนใน โรงเรียน แต่อาจเรียนในท่ีทํางาน และในที่ต่างๆ เช่น ครอบครัว ชุมชนและอ่ืนๆ Coombs (1978 อ้างถึงใน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2544 : 256-257) พบว่า รูปแบบการศึกษาในระบบโรงเรียนของ ประเทศด้อยพัฒนา และประเทศกาํ ลงั พฒั นา ไม่สามารถให้บริการแก่ประชาชน ได้อย่างท่ัวถึงทําให้เกิด วิกฤตการณ์ ทางการศึกษา (Educational Crisis) เพราะประชาชนท่ีมีฐานะดีเท่านั้นที่มีโอกาสได้รับ การศึกษา ส่วนคน ยากจนขาดโอกาสในการศึกษา แม้รัฐบาลจะทุ่มเทงบประมาณการศึกษาสูงมากก็ ตาม แตก่ ารศกึ ษาไม่สามารถ ช่วยพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของประชาชนได้มากนัก โดยเฉพาะผู้อยู่ในท้องถ่ิน หา่ งไกล รัฐบาลย่ิงพัฒนาคนรวย กลับรวยยง่ิ ข้ึน คนจนกลบั จนลง จึงทําให้มีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูป การศึกษา นักปฏิรูปการศึกษาหลายท่าน ได้เสนองานวิชาการที่สําคัญเก่ียวกับการปฏิรูประบบ การศกึ ษาเพ่ือนําไปสกู่ ารศกึ ษาตลอดชวี ติ อาทิ Paulo Freire ชาวบราซิล เขียนเร่ือง \"การศึกษาของผู้ที่ ถูกกดข่ี\" (Pedagogy of the Oppressed) van เlich เขียนเร่ือง \"โรงเรียนตายแล้ว\" (Deschooling Society) เขาเหล่านี้เสนอว่า ควรจะปฏิรูประบบการศึกษาในโรงเรียน มาเป็น การศึกษานอกโรงเรียน และสง่ เสรมิ ใหท้ กุ คนสามารถเรียนรู้ตลอดชีวิต ท้ังน้ีเน่ืองจากความเจริญก้าวหน้าทาง วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ทําให้รูปแบบ การดํารงชีวิตของมนุษย์เปล่ียนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคม อุตสาหกรรม ท่ไี ดม้ กี ารนาํ เทคโนโลยี เคร่ืองจักร เครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ทุน แรงงาน ทําให้เป็นสาเหตุ หนึ่ง ของวิกฤตการณ์ตลาดแรงงาน มนุษย์เราจึงต้องแสวงหาความรู้ใหม่ๆ เพ่ือท่ีจะได้ก้าวทันโลกท่ี เปลย่ี นแปลง การเรียนร้ขู องคนเราจึงไม่หยุดเพียงท่ีโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย แต่เราสามารถเรียนรู้ได้ ตลอดเวลา มนุษย์ เรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต นั่นคือการรวมเอาการศึกษาในระบบ โรงเรียน (Formal Education) นอกระบบโรงเรียน (Non-formal Education) เข้าด้วยกัน คนเรา สามารถเลอื กศกึ ษาได้ในชว่ งเวลาต่างๆ ของ ชวี ติ ตามความเหมาะสม การศกึ ษาและการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ ทุกแห่งไม่ว่าจะในครอบครัว วัด ชุมชน สถาบันการศึกษา สถานประกอบการ และแหล่งวิชาต่างๆ การศึกษาและการเรยี นรตู้ ลอดชวี ิตกลายเป็นความ จําเปน็ ของมนุษยป์ จั จุบัน สําหรับประเทศไทย ได้กลา่ วถงึ การศึกษาตลอดชวี ิต ไว้ในแผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2520 เป็น ฉบบั แรก โดยกล่าวว่า “รัฐพึงจัดและสนับสนุนการศึกษานอกโรงเรียนในลักษณะต่างๆ เพ่ือ เปิดโอกาสให้ บุคคลได้รับการศึกษาตลอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างย่ิงเพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่ไม่มีโอกาสศึกษา ในระบบโรงเรียนเป็น อันดับแรก” และ “การศึกษาตามนัยแห่งแผนการศึกษาน้ี เป็นสิ่งที่ต้องทํา ต่อเนอื่ งกนั ตลอดชวี ติ ท้ังในระบบ โรงเรียนและการศึกษานอกโรงเรียน” และล่าสุดเม่ือมีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ได้มีการระบุเก่ียวกับการศึกษาตลอด ชีวิตได้อย่างชัดเจนใน มาตรา 8 หมวด 1 บทท่ัวไป ความมุ่งหมายและหลักการพระราชบัญญัติฉบับน้ีมี เจตนารมณ์ท่ีต้องการเน้นว่าการจัดการศึกษาต้อง เป็นไปเพ่ือพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ ทั้ง ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มี จรยิ ธรรมและวัฒนธรรมในการดํารงชวี ติ สามารถอย่รู ่วมกับ ผู้อ่นื ไดอ้ ย่างมีความสุข การจัดการศึกษา ให้ ยึดหลกั ดังน้ี

13 1) เป็นการศกึ ษาตลอดชวี ติ สําหรบั ประชาชน 2) ให้สงั คมมสี ว่ นร่วมในการจัดการศึกษา 3) การพฒั นาสาระและกระบวนการเรยี นรใู้ หเ้ ปน็ ไปอย่างต่อเนื่อง 1.3 หลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง 2555) สาํ นกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั สํานักงานปลัด กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงศึกษาธิการ คมู่ ือดาํ เนินการหลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดับ การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรบั ปรุง พุทธศกั ราช 2555 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช 2550 มาตรา 49 กําหนดว่า บุคคลย่อมมีสิทธิ เสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ และมาตรา 80 ได้กําหนดเป็นนโยบายด้านการศึกษาว่า ต้องดําเนินการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน การจัดการ ศึกษาในทุกระดับและทุกรูปแบบ ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม จัดให้มี แผนการศึกษาแห่งชาติ กฎหมายเพื่อพัฒนาการศึกษาของชาติ ซ่ึงกฎหมายเพื่อพัฒนาการศึกษาของ ชาติ กําหนดให้มีการส่งเสริมการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย และ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพ่ิมเติม(ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 15 กําหนดนิยามการศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาท่ีมีความยืดหยุ่นในการกําหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลา ของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซ่ึงเป็นเง่ือนสําคัญของการสําเร็จ การศึกษา โดยเน้ือหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความ ต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ดังน้ันการพัฒนาหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จึงเป็นการพัฒนาหลักสูตรที่มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหา และความต้องการของบุคคลท่ีอยู่นอกโรงเรียน ซ่ึงเป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์จากการทํางานและ การประกอบอาชีพ โดยกําหนดสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ การวัดและ ประเมินผล ให้ความสําคัญกับการพัฒนากลุ่มเป้าหมายด้านจิตใจ ให้มีคุณธรรม ควบคู่ไปกับการ พัฒนาการเรียนรู้ สร้างภูมิคุ้มกัน สามารถจัดการกับองค์ความรู้ ท้ังภูมิปัญญาท้องถ่ิน และเทคโนโลยี เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวอยู่ในสังคมท่ีมีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา สร้างภูมิคุ้มกันตามแนว ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงรวมทั้งคํานึงถึงธรรมชาติการเรียนรู้ของผู้เรียน ท่ีอยู่นอกระบบโรงเรียน และสอดคลอ้ งกับสภาพ เศรษฐกิจ สงั คม การเมือง การปกครอง ความเจริญก้าวหนา้ ของเทคโนโลยีและ การส่อื สาร หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ยึดปรัชญา “คิด เป็น” มาใช้ในการจัดการศึกษา ปรัชญา”คิดเป็น” อยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่า ความต้องการของแต่ละ บุคคลไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนมีจุดรวมของความต้องการท่ีเหมือนกัน คือ ทุกคนต้องการความสุข คนเราจะมีความสุขเมื่อตัวเรา ความรู้ทางวิชาการ สังคมและส่ิงแวดล้อม ผสมกลมกลืนกันได้ก็จะมี ความสุข โดยคิดแบบพอเพียง พอประมาณ ไม่มากไม่น้อย เป็นทางสายกลาง สามารถอธิบายได้ด้วย เหตผุ ล กระบวนการเรียนรู้ ตามปรัชญา “คิดเป็น” มีผู้เรียนสําคัญที่สุด โดยครูจะเป็นเพียงผู้จัดโอกาส กระตุ้นให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์ ปัญหาหรือความต้องการ มีการเรียนรู้จากข้อมูลจริงและตัดสินใจบน

14 ฐานข้อมูลที่เพียงพอและเช่ือถือได้ คือ ข้อมูลตนเอง วิชาการ ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม ถ้าหาก สามารถทําให้ปัญหาหายไป กระบวนการก็ยุติลง ถ้ายังไม่พอใจแสดงว่ายังมีปัญหาอยู่ ก็จะเร่ิม กระบวนการพิจารณาทางเลอื กใหมอ่ ีกคร้งั กระบวนการนก้ี จ็ ะยตุ ลิ งเม่ือบคุ คลพอใจและมีความสขุ หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐานพทุ ธศักราช 2551กําหนดหลักการไว้ดังนี้ 1. เปน็ หลักสตู รท่มี ีโครงสรา้ งยืดหยนุ่ ด้านสาระการเรยี นรู้ เวลาเรียน และการจัดการ เรียนร้โู ดยเน้นการบูรณาการเนือ้ หาให้สอดคลอ้ งกับวถิ ีชวี ิต ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล และชมุ ชน สงั คม 2. ส่งเสรมิ ใหม้ กี ารเทยี บโอนผลการเรียนจากการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอธั ยาศัย 3. สง่ เสริมให้ผ้เู รียน ไดพ้ ัฒนาและเรียนรู้อย่างตอ่ เนื่องตลอดชวี ิต โดยตระหนกั ว่า ผเู้ รียนมคี วามสาํ คัญ สามารถพฒั นาตนเองได้ตามธรรมชาติและเต็มศกั ยภาพ 4.ส่งเสริมใหภ้ าคีเครอื ข่ายมสี ่วนร่วมในการจัดการศึกษา หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่ง พัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม มีสติปัญญา มีคุณภาพชีวิตท่ีดี มีศักยภาพในการประกอบอาชีพ และการเรยี นรูอ้ ย่างต่อเนอ่ื ง ซ่งึ เปน็ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงคท์ ีต่ ้องการ จึงกาํ หนดจุดหมายดังตอ่ ไปนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมทดี่ ีงามและสามารถอย่รู ่วมกนั ในสงั คมอย่างสนั ตสิ ขุ 2.มีความรพู้ นื้ ฐานสาํ หรบั การดํารงชวี ติ และการเรียนรู้ตอ่ เนือ่ ง 3.มีความสามารถในการประกอบสัมมาอาชีพให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัด และตามทนั ความเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง 4. มีทักษะการดําเนินชีวิตที่ดี และสามารถจัดการกับชีวิต ชุมชน สังคมได้อย่างมี ความสุขตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 5. มคี วามเขา้ ใจประวตั ิศาสตร์ชาตไิ ทย ภมู ิใจในความเป็นไทย โดยเฉพาะภาษา ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี กีฬา ภูมิปัญญาไทย ความเป็นพลเมืองดี ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของศาสนา ยึด มน่ั ในวถิ ชี ีวิตและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมุข 6. มจี ติ สาํ นกึ ในการอนุรักษ์ และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม 7. เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ มีทักษะในการแสวงหาความรู้ สามารถเข้าถึงแหล่ง เรียนรแู้ ละบรู ณาการความรมู้ าใชใ้ นการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน สงั คมและประเทศชาติ ประชาชนท่ัวไปทไี่ ม่อยใู่ นระบบโรงเรียน เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปตามหลักการ จุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้ ท่ี กําหนดไว้ให้สถานศึกษาและภาคีเครือข่ายมีแนวปฏิบัติในการจัดทําหลักสูตรสถานศึกษา จึงได้กําหนด โครงสรา้ งของหลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 ไว้ดังนี้ 1. ระดับการศึกษา ระดับการศึกษา แบง่ ออกเป็นออกเป็น 3 ระดับ ดังน้ีคือ 1.1 ระดบั ประถมศึกษา 1.2 ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ 1.3 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย 2.สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูป้ ระกอบดว้ ย 5 สาระ ดังน้ี

15 1. สาระทักษะการเรยี นรู้ เป็นสาระเกย่ี วกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง การใช้แหล่งเรียนรู้ การจดั การความรู้ การคิดเป็นและการวิจยั อย่างงา่ ย 2. สาระความรพู้ น้ื ฐาน เป็นสาระเกีย่ วกับภาษาและการส่ือสาร คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 3. สาระการประกอบอาชีพ เป็นสาระเก่ียวกบั การมองเหน็ ชอ่ งทางและการตัดสินใจ ประกอบอาชีพ ทักษะในอาชีพ การจดั การอาชีพอยา่ งมีคุณธรรมและการพฒั นาอาชีพใหม้ ่ันคง 4. สาระทักษะการดาํ เนนิ ชีวิต เป็นสาระเกยี่ วกับปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง สุขภาพ อนามยั และความปลอดภัยในการดําเนนิ ชวี ติ ศิลปะและสุนทรียภาพ 5. สาระการพัฒนาสังคม เป็นสาระทเี่ กี่ยวกับภูมศิ าสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี หน้าท่ีพลเมือง และการพัฒนาตนเอง ครอบครวั ชุมชน สังคม 3.กิจกรรมพฒั นาคณุ ภาพชีวติ กจิ กรรมพัฒนาคุณภาพชีวติ เป็นกิจกรรมท่ีจัดขึน้ เพ่อื ให้ผ้เู รยี นพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม 4. มาตรฐานการเรียนรู้ หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 กาํ หนด มาตรฐานการเรียนรู้ ตามสาระการเรียนรู้ทั้ง 5 สาระ ทเ่ี ป็นข้อกาํ หนดคุณภาพของผูเ้ รยี น ดังน้ี 1. มาตรฐานการเรยี นรู้การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน เปน็ มาตรฐาน การเรยี นรู้ในแต่ละสาระการเรยี นรู้เมอ่ื ผู้เรยี นเรียนจบหลักสตู ร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. มาตรฐานการเรยี นรู้ระดบั เป็นมาตรฐานการเรยี นรู้ในแต่ละสาระการเรียนรู้ เม่อื ผูเ้ รยี นเรยี นจบในแตล่ ะระดับ ตามหลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 5. เวลาเรยี น ในแตล่ ะระดบั ใช้เวลาเรยี น 4 ภาคเรียน ยกเวน้ กรณที ่ีมกี ารเทียบโอนผลการเรียน ทง้ั นี้ ผู้เรยี นต้องลงทะเบียนเรียนในสถานศกึ ษาอย่างน้อย 1 ภาคเรยี น 6. หนว่ ยกิต ใชเ้ วลาเรียน 40 ช่ัวโมง มีคา่ เทา่ กบั 1 หน่วยกิต 7.โครงสร้างหลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ที่ สาระการเรียนรู้ จำนวนหนว่ ยกติ ประถมศึกษา มธั ยมศึกษาตอนตน้ มัธยมศกึ ษาตอนปลาย วิชาบังคับ วิชาเลอื ก วิชาบงั คบั วชิ าเลือก วชิ าบงั คบั วชิ าเลอื ก 1 ทกั ษะการเรยี นรู้ 5 5 5 2 ความร้พู ืน้ ฐาน 12 16 20 3 การประกอบอาชีพ 8 8 8 4 ทักษะการดาํ เนนิ ชีวิต 5 5 5 5 การพัฒนาสังคม 6 6 6 รวม 36 12 40 16 44 32 48 นก. 56 นก. 76 นก. กจิ กรรมพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ 200 ชม. 200 ชม. 200 ชม.

16 หมายเหตุ วิชาเลอื กในแต่ละระดบั สถานศึกษาตอ้ งจดั ให้กับผ้เู รียน เรยี นรู้จากการทาํ โครงงาน จํานวน อยา่ งน้อย 3 หนว่ ยกติ ภาพท่ี 1 โครงสร้างหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ประกอบดว้ ย 1) สาระการเรยี นรู้ 5 สาระคือ ทักษะการเรยี นรู้ ความรู้พื้นฐาน การประกอบอาชพี ทกั ษะการดําเนินชีวิต และการพฒั นาสงั คม 2) จาํ นวนหนว่ ยกติ ในแต่ละระดบั ดงั นี้ 2.1) ระดับประถมศกึ ษา ไมน่ ้อยกวา่ 48 หนว่ ยกิต แบ่งเป็นวชิ าบงั คบั 36 หน่วยกิต และวิชาเลือกไมน่ ้อยกวา่ 12 หนว่ ยกติ 2.2) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่น้อยกวา่ 56 หนว่ ยกิต แบ่งเปน็ วชิ าบังคับ 40 หนว่ ยกิต และวชิ าเลือกไม่น้อยกวา่ 16 หน่วยกติ 2.3) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ไมน่ อ้ ยกวา่ 76 หนว่ ยกติ แบ่งเปน็ วิชาบังคับ 44 หนว่ ยกติ และวิชาเลือกไม่น้อยกว่า 32 หน่วยกติ 3) ผู้เรียนตอ้ งทํากิจกรรมพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ระดบั ละไมน่ อ้ ยกวา่ 100 ชว่ั โมง 1. สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ตามหลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 ประกอบดว้ ยสาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ ดงั นี้ 1) สาระทักษะการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 มาตรฐาน มาตรฐานท่ี 1.1 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะและเจตคติที่ดีตอ่ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง มาตรฐานที่ 1.2 มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติท่ีดีต่อการใชแ้ หล่งเรยี นรู้ มาตรฐานท่ี 1.3 มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติท่ีดีต่อการจัดการความรู้ มาตรฐานท่ี 1.4 มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติท่ีดีตอ่ การคิดเป็น มาตรฐานที่ 1.5 มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติท่ีดตี ่อการวิจยั อย่างง่าย 2)สาระความรู้พืน้ ฐาน ประกอบด้วย 2 มาตรฐาน ดงั นี้ มาตรฐานที่ 2.1 มคี วามรู้ ความเข้าใจ และทักษะพ้นื ฐานเก่ียวกับภาษาและการสื่อสาร มาตรฐานที่ 2.2 มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะพน้ื ฐานเกยี่ วกับคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3) สาระการประกอบอาชพี ประกอบดว้ ย 4 มาตรฐาน ดังนี้ มาตรฐานที่ 3.1 มีความรู้ ความเขา้ ใจ และเจตคติที่ดใี นงานอาชีพ มองเห็นชอ่ งทาง และตดั สนิ ใจประกอบอาชีพได้ตามความต้องการ และศักยภาพของตนเอง มาตรฐานที่ 3.2 มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะในอาชีพทต่ี ัดสนิ ใจเลือก มาตรฐานที่ 3.3 มีความรู้ ความเข้าใจ ในการจัดการอาชีพอย่างมีคณุ ธรรม มาตรฐานท่ี 3.4 มคี วามรู้ ความเข้าใจ ในการพัฒนาอาชีพใหม้ ีความมัน่ คง 4) สาระทักษะการดําเนนิ ชีวติ ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน ดังน้ี มาตรฐานท่ี 4.1 มคี วามรู้ ความเข้าใจ เจตคตทิ ่ดี ีเก่ยี วกบั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง และสามารถประยุกตใ์ ช้ในการดาํ เนินชวี ิตได้อย่างเหมาะสม

17 มาตรฐานท่ี 4.2 มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติที่ดีเกยี่ วกับการดแู ล ส่งเสริม สุขภาพอนามยั และความปลอดภัยในการดาํ เนินชวี ิต มาตรฐานท่ี 4.3 มีความรู้ ความเขา้ ใจ และเจตคติท่ีดีเก่ยี วกับศิลปะและสนุ ทรียภาพ 5) สาระการพัฒนาสังคม ประกอบดว้ ย 4 มาตรฐาน ดงั นี้ มาตรฐานที่ 5.1 มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ และตระหนักถงึ ความสาํ คญั เก่ยี วกบั ภมู ศิ าสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนาํ มาปรับใช้ในการ ดํารงชวี ติ มาตรฐานท่ี 5.2 มคี วามรู้ ความเข้าใจ เหน็ คุณคา่ และสืบทอดศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี เพ่ือการอยูร่ ่วมกันอยา่ งสันติสุข มาตรฐานที่ 5.3 ปฏบิ ตั ิตนเป็นพลเมืองดีตามวถิ ีประชาธิปไตย มีจติ สาธารณะ เพือ่ ความสงบสขุ ของสังคม มาตรฐานที่ 5.4 มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ เหน็ ความสําคัญของหลักการพัฒนา และ สามารถพฒั นาตนเอง ครอบครัว ชุมชน/สังคม 2 การจดั การเรยี นรแู้ บบใชโ้ ครงงาน Project - Based Leaning (PBL) 2.1. ประวตั ิความเป็นมาของการจดั การเรียนรแู้ บบใช้โครงงาน Project - Based Leaning (PBL) การจดั การเรียนการสอนแบบโครงงาน ได้เริ่มในประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงศตวรรษที่ 19 – 20 เป็นความคิดริเร่ิมของ William Heard Kilpatrick นักการศึกษาอเมริกันซึ่งพัฒนามาจาก แนวคิดของ John Dewey ที่สนับสนุนให้สร้างประสบการณ์ทางการศึกษาเพ่ือช่วยให้เด็กเกิดความ ตระหนักในชุมชน นํามาประยุกต์สอนเด็กถึงวิธีการใช้โครงงานท่ีเก่ียวกับประสบการณ์จริงให้เป็น รากฐานสําคัญของการศึกษามากกว่าการเตรียมเด็กเพ่ืออนาคต ในช่วงปีค.ศ. 1934 Lucy Sprague Mitchellนักการศึกษาจาก The Bank Street College Of Education นครนิวยอร์ก ออกศึกษา ส่ิงแวดล้อมและสอนครูให้รู้จักวิธีการใช้โครงงาน ซึ่งเป็นวิธีสอนที่พัฒนาโดยวิทยาลัยการศึกษาแบงก์ สตรีทมีส่วนคล้ายคลึงอย่างมากกับการสอนแบบโครงงาน ผลการทดลองใช้พบว่า เด็กเรียนรู้ได้ดีจาก การวางแผนทํางานร่วมกันได้ตัดสินใจและเรียนรู้ในสิ่งที่ต้องการเรียน ผลการเรียนรู้ส่งเสริมศักยภาพ ของเด็กทุกด้าน ต่อมาในปีค.ศ.1945 หลังสงครามโลกคร้ังท่ี 2 ใน Villa Cella ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ อยหู่ า่ งจากตวั เมอื ง Reggio Emilia 2-3 ไมล์แม่บ้านกลุ่มหน่ึงร่วมมือกับ Malaguzzi นักการศึกษา และ กลุ่มผู้ปกครองจัดการศึกษาให้เหมาะกับ เด็กที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางบ้านเรือนปรักหักพังเพราะผลจาก สงครามโลก และทําการศึกษาค้นคว้าทฤษฎี บทความ งานวิจัย ข้อคิดเห็นจากศาสตร์สาขาต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องกับการศึกษา ทดลองปฏิบัติแล้ววิเคราะห์สะท้อนผลการปฏิบัติทําการปรับปรุงจนได้แนวคิด และการปฏิบัติในการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรสู้ าํ หรบั เดก็ ปฐมวยั และประสบผลสําเร็จจนเป็นท่ีรู้จักใน กลุม่ ยโุ รป อเมรกิ าเหนอื และอเมริกา ต้ังแต่ปี ค.ศ.1980 Reggio Emilia ได้กลายเป็นช่ือของแนวคิดใน การจัดการศึกษาสําหรับเด็กปฐมวัย และ การเรียนรู้อย่างลุ่มลึกจากงานของโครงงาน(Projects) เป็น กิจกรรมการสอนท่ีโดดเด่นในโรงเรียนตามแนวคิด Reggio Emilia การจัดประสบการณ์แบบโครงงาน ไดร้ ับการพัฒนารูปแบบใหช้ ัดเจนข้ึนโดย Katz ชาวอเมรกิ า และ Chardชาวแคนาดา ท่ไี ดไ้ ปศึกษาดูงาน การเรียนการสอน Project Approach จากโรงเรียนก่อนประถมศึกษาในเมือง Reggio Emilia ซ่ึงอยู่ ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีและทั้งสองก็ได้พิมพ์เผยแพร่หนังสือชื่อว่า Engaging Children , s

18 Mind : The Project Approach ซึ่งหนังสือเล่มน้ีได้เป็นแนวทางในการจัดประสบการณ์แบบโครงงาน ในระยะต่อมา (บุบผา เรืองรอง, 2543) 2.2 ความหมายของโครงงาน การปฏิรูปการเรียนรู้เป็นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา ครูเป็นหัวใจ ของการปฏิรูป การเรียนรู้ท่ีทําให้นักเรียนพัฒนากระบวนการเรียนรู้ อันเป็นทักษะ สําคัญที่ช่วยให้นักเรียนค้นคว้าและ สร้างความรู้ด้วยตนเอง ด้วยการมีทักษะ การคิดและทักษะทางสังคม อันเป็นทักษะสําคัญของการใช้ กระบวนการเรียนรู้ ในปจั จุบนั การจดั การศกึ ษาและการเรียนการสอนใหค้ วามสําคัญกับ กระบวนการใน การเสาะแสวงหาความรู้ด้วยตัวของนักเรียนเองมากข้ึน ดังเช่น พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 มาตรา 24 (5) ส่งเสริมสนับสนุน ให้ผู้สอนจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม ส่ือการเรียนและอํานวย ความสะดวกเพ่ือให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมท้ังสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหน่ึง ของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งน้ีผู้สอนและนักเรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากส่ือการเรียนการสอนและ แหลง่ วทิ ยาการประเภทต่างๆ การสอนที่ใช้การวิจัยเป็นฐาน เป็นการสอนท่ีสนับสนุนและสอดคล้องกับ แนวทางการกําหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่กล่าวถึงข้างต้น การสอนท่ีใช้ โครงงานเปน็ ฐาน มีความหมาย 2 แนว แนวที่ 1 คอื การสอนใหน้ ักเรียนดําเนินการเสาะแสวงหาความรู้ ทต่ี นมีความสงสัยใครร่ โู้ ดยอาศัยกระบวนการวิจัย แนวที่ 2 คือการศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้จากรายงาน โครงงานท่ีผ้อู ่นื ได้กระทาํ ไว้ Edutopia (2018 ) กล่าวเกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วยโครงงานว่าหมายถึง การเรียนรู้ด้วยโครงงาน เป็นการเรียนรู้ที่จรวิสัย (dynamic) เป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนศึกษาปัญหาที่เกิดข้ึนจริงและที่ท้าทายใน ขณะเดยี วกนั ช่วยพฒั นาทักษะท่ีเกี่ยวข้องกันหลายอย่างในขณะที่ร่วมมือกันทํางานเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ท้ังน้ี เพราะการเรยี นรดู้ ้วยโครงงานเปน็ การเรยี นรู้ท่ีเตม็ ไปด้วยการเรียนรู้การใช้งาน และการมีส่วนร่วมก็เป็น แรงบันดาลใจใหผ้ เู้ รียนได้เรียนรู้ลึกในวิชาที่กําลังศึกษาอยู่ การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าผู้เรียนมีแนวโน้ม ท่ีจะ คงไวซ้ ง่ึ งความรู้ที่ได้ผ่านวิธีการนี้ทั้งมากขึ้นและรวดเร็วกว่าผ่านการเรียนรู้ท่ีใช้ตําราเรียนเป็นศูนย์กลาง แบบดั้งเดิม นอกจากน้ีผู้เรียนพัฒนาความเช่ือม่ัน และการกํากับตนเองจากการทํางานท้ังเป็นทีม และ เป็นอิสระ ในกระบวนการของการดําเนินโครงงานให้สําเร็จนั้นผู้เรียนยังได้พัฒนาทักษะในการวิจัย พัฒนาการสื่อสารที่ดีกับเพื่อนและผู้ใหญ่ และมักทําให้เก่ียวข้องกับชุมชนส่งผลให้ชุมชนมีมุมมองใน ทางบวกกับงานที่ผู้เรียนทําการประเมินผู้เรียนอยู่บนพ้ืนฐานของโครงงานที่ผู้เรียนทํามากกว่าการ เปรียบเทียบด้วยเกณฑ์แคบ ๆ ด้วยการสอบ การเขียนบรรยายและการทํารายงาน การประเมินผลการ ทํางานบนพ้ืนฐานของโครงงานมักจะมีความหมายกับผู้เรียน ผู้เรียนจะมองเห็นการเช่ือมโยงส่ิงท่ีเรียน กับชีวิตจริง และอาจจะเป็นแรงบันดาลใจในการประกอบอาชีพหรือมีส่วนร่วมในการเคล่ือนไหวท่ี เก่ยี วข้องกับโครงงานท่ผี เู้ รยี นพัฒนา KM CHIL (2558) กล่าวถึงการเรียนรดู้ ้วยโครงงานเปน็ การจัดการเรยี นรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ รูปแบบหนึ่งท่ีเป็นการให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงในลักษณะของการศึกษาสํารวจค้นคว้าทดลอง ประดิษฐ์คิดค้น โดยครูเปล่ียนบทบาทจากการเป็นผู้ให้ความรู้ (teacher) เป็นผู้อํานวยความสะดวก (facilitator) หรือผใู้ หค้ าํ แนะนํา (guide) ทําหน้าที่ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนทํางานเป็นทีม กระตนุ้ แนะนาํ และให้คาํ ปรึกษา เพอื่ ใหโ้ ครงงานสําเรจ็ ลุลว่ ง ทิศนา แขมมณี (2548: 138) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานเป็นการจัด สภาพการณข์ องการเรียนการสอน โดยให้ผเู้ รียนได้ร่วมกันเลอื กทาํ โครงงานที่ตนสนใจโดยร่วมกันสํารวจ

19 สังเกต และกําหนดเรื่องท่ีตนสนใจ วางแผนการทําโครงงานร่วมกัน ศึกษาหาข้อมูลที่จําเป็นและลงมือ ปฏิบัติงานตามแผนท่ีวางเอาไว้ จนได้ข้อค้นพบหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่แล้ว เขียนรายงานเสนอเก็บข้อมูล แล้วนําผลงานและประสบการณ์ท้ังหมดมาอภิปราย แลกเปล่ียนความรู้ และสรุปผลการเรียนรู้ท่ีได้จาก ประสบการณท์ ี่ไดร้ ับทงั้ หมด 2.3 ข้นั ตอนกระบวนการการการจดั การเรียนรู้แบบใชโ้ ครงงาน Project - Based Leaning (PBL) Buck Institute for Education (2018) เป็นสถาบนั ที่มงุ่ เน้นการส่งเสริมการจดั การเรยี นรู้ แบบโครงงานไดเ้ สนอแนะการจัดการเรยี นรู้แบบโครงงานท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพ ดังน้ี 1. การดําเนินการภายใต้คําถามนําซ่ึงเป็นคําถามปลายเปิด และเป็นตัวกําหนด ขอบเขตประเด็นข้อโต้แย้ง ความท้าทายหรือปัญหาท่ีสําคัญ เพ่ือทําให้งานและการเรียนรู้ของผู้เรียนมี จดุ มงุ่ หมายและลุ่มลึก 2. สร้างความตระหนักถึงความจําเป็นท่ีจะต้องมีความรู้เน้ือหาและทักษะที่จําเป็น ใน การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบโครงงานมกี ารจัดลําดับของกระบวนการเรยี นรู้ที่ต่างจาก การเรียนรู้ แบบดั้งเดิม น้ันคือในหน่วยการเรียนรู้ทั่วไปที่มีการทําโครงงานเพิ่มเข้ามาท้ายหน่วยจะเร่ิมจากการ นําเสนอความรู้และแนวคิดให้แก่ผู้เรียนก่อน จากนั้นจึงให้โอกาสผู้เรียนนําความรู้ไปประยุกต์ใช้แต่ ในทางกลับกัน การจัดประสบการณ์การเรียนรู้เเบบโครงงานน้ันจะเริ่มต้นด้วยการเห็นผลิตผลหรือการ นําเสนอผลงานปลายทาง ซ่ึงจะทําให้ผู้เรียนตระหนักถึงความจําเป็นที่จะต้องเรียนรู้และทําความเข้าใจ ขอ้ มลู และแนวคดิ ต่างๆที่เกี่ยวข้องเพ่ือนาํ มาใช้ในการทําโครงงานให้ได้ผลผลิตหรือผลงานตามเป้าหมาย ท่ตี ้องการ 3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เเสดงความคิดเห็นและเลือกผู้เรียนจะได้เรียนรู้ที่จะทํางาน ด้วยตนเองและเเสดงความรับผิดชอบเม่ือตนเองเลือกศึกษาส่ิงท่ีสนใจการท่ีผู้เรียนได้มีโอกาสเลือกสิ่งที่ ต้องการศึกษาและแสดงออกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการเพิ่มการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของ ผเู้ รยี น 4. การทบทวนและสะท้อนกลับ ผู้เรียน ได้เรียนรู้ท่ีจะให้และรับการเสนอแนะและ ความคิดเห็นเพื่อพัฒนาคุณภาพของผลงานท่ีได้สร้างสรรค์ข้ึนมาและมีคําถามที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ ทบทวนความคดิ ถงึ ส่ิงทไ่ี ด้เรียนร้วู า่ มีอะไรบ้างและมีกระบวนการเรียนรู้อยา่ งไร 2.4. บทบาทผ้สู อนและผเู้ รยี นของการจดั การเรยี นรูแ้ บบโครงงาน ภทั รภร ผลิตากลุ (2560) ได้สรุปบทบาทของครผู ้สู อนการสอนแบบโครงงานไวด้ งั นี้ 1. ครูควรศึกษาการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดโครงงานเป็นฐานให้ถ่องแท้ ข้อดีและ ขอ้ จํากัด ตลอดจนการวเิ คราะหว์ ิธกี ารเรียนรู้ของผูเ้ รยี น 39 2. วัยของผู้เรียนเน่ืองจากช่วงอายุและระดับช้ันที่แตกต่างกันส่งผลต่อทักษะการคิด และความสามารถในการทาํ งานของผเู้ รยี น 3. การปรึกษาหารือกับครูท่านอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องในหลักสูตรช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถบูรณาการเน้อื หารายวิชาตา่ ง ๆ เขา้ ด้วยกนั และสง่ ผลให้การทาํ โครงงานมปี ระสิทธภิ าพมากข้ึน 4. การการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงาน Project - Based Leaning (PBL) มีความ สอดคลอ้ งกบั กระบวนการวจิ ยั ดงั นน้ั ครผู สู้ อน ควรศกึ ษากระบวนการในการทาวิจยั ควบคู่ไปด้วย

20 ครูแหง่ ศตวรรษท่ี 21 มคี วามแตกต่างจากครูในศตวรรษที่ผ่านมา คือครูแห่งศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดเนื้อหาให้แก่นักเรียนอีกต่อไปแล้วและทักษะที่ครูควรมีคือความสามารถในการ จัดการเก่ียวกับแหล่งเรียนรู้ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเคร่ืองมือ และบทบาทของครูในการ จัดการเรยี นร้ทู ่ยี ดึ โครงงานเป็นฐาน มีความสําคัญต่อการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 โดยมีองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ มีความรู้ อํานวย ความสะดวก จดั บริบทการเรยี นรู้และประเมนิ มรี ายละเอียดดงั แสดงใน ภาพ ดงั น้ี บทบาทครูในการจัดการเรยี นร้ทู ี่ยดึ โครงงานเป็นฐาน (Project-based learning) Know Facilitator Context Assessment มคี วามรู้ อานวยความสะดวก จัดบรบิ ทการเรียนรู้ ประเมิน ทดสอบความร้เู ดมิ โคช้ เครื่องมือการเรยี นรู้ หลากหลายวธิ ี ข้อมลู พน้ื ฐาน คอยแนะนา แหล่งเรยี นรู้ ขอ้ มูลเสริม สถานท่ี ตามสภาพจรงิ ข้อมูลเสรมิ สอนเนอื้ หาเพ่ิมเติม ความกา้ วหนา้ ของนักเรยี น ภาพท2่ี .25 บคุณทบคา่าทขคอรงูใกนากราจรัดจกัดากราเรรเยี รนยี รน้แูรบทู้ บีย่ ึดโคโครรงงงงาานนเปน็ ฐาน (Project-based leaning) ชยั วัฒน์สุทธริ ตั น์(2553 : 119) กล่าวถงึ ประโยชนข์ องการการจัดการเรียนรแู้ บบใช้ โครงงาน Project - Based Leaning (PBL) 4 ประการดงั ตอ่ ไปน้ี 1. เปน็ การสง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นฝกึ ทกั ษะในการปฏิบตั งิ าน 2. ทาํ ให้ผู้เรยี นรจู้ กั วธิ ีการทํางานอย่างมีระบบและแผนงานทีด่ ี 3. ผู้เรียนมโี อกาสได้ฝึกฝนกระบวนการในการคน้ หาความรู้ 4. ผู้เรยี นเกดิ ความคิดสรา้ งสรรคแ์ ละสามารถนาํ ไปใช้ประโยชน์ในชวี ิตจรงิ ในแงข่ อง วิธกี าร ทํางานอย่างเปน็ ระบบและผลผลิตทไี่ ดจ้ ากโครงงาน บบุ ผา เรืองรอง (2556) กล่าวว่า การจดั การสอนแบบโครงงานเปน็ ท่ีสนใจของนกั การศึกษา จงึ ได้นาํ ไปใชแ้ ละวิจัยสรุปถงึ ประโยชนท์ ีม่ ีต่อเดก็ ดังน้ี - เดก็ จะเหน็ คุณคา่ ของตนเอง เป็นแนวทางใหเ้ ดก็ พึง่ พาตนเองได้ - สง่ เสรมิ ใหเ้ ด็กมโี อกาสทจี่ ะประยุกตใ์ ชท้ ักษะที่มอี ยู่ - เด็กเกิดแรงจูงใจภายในและความสามารถทเ่ี กิดจากตวั เด็กเองในงานและกิจกรรมทที่ าํ - เดก็ รจู้ กั ตัดสนิ ใจวา่ ควรทาํ อะไรและผใู้ หญ่ยอมรับในความต้องการของเดก็

21 - เดก็ สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีความสุข สนุกสนานเพราะเด็กไดเ้ รียนในสง่ิ ท่ี ตนเอง สนใจรูจ้ ักประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ - สง่ เสริมให้เดก็ มวี ธิ กี ารทํางานอยา่ งมีแบบแผน - สามารถนํารูปแบบการสืบค้นความรูไ้ ปใช้ไดใ้ นชวี ติ จรงิ - สร้างความสมั พนั ธร์ ะหว่างโรงเรยี นและครอบครัวเนื่องจากการสอนแบบโครงงาน พ่อแม่ผปู้ กครองจะต้องร่วมมือกับครสู นับสนนุ การเรยี นรูข้ องเด็กทุกรปู แบบ วุทธศิ ักดิ์ โภชนุกลู (2554) กลา่ วถึงประโยชน์ของการจัดการเรยี นรแู้ บบโครงงานว่า - โครงงานเป็นกจิ กรรมการเรียนร้ทู เ่ี ชือ่ มโยงกบั บริบทจรงิ สามารถนําไปประยุกต์ใชใ้ น ชวี ิตประจาํ วัน - การใหผ้ ู้เรยี นทําโครงงานเป็นการเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ ขา้ สกู่ ระบวนการสืบสอบ (process of inquiry) ซึง่ เป็นการใชก้ ระบวนการคดิ ข้ันสูง - การจัดการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐานช่วยให้ผู้เรยี นไดผ้ ลติ งานทเ่ี ป็นรปู ธรรม ออกมา - การแสดงผลงานต่อสาธารณชนสามารถสร้างแรงจูงใจในการเรยี นรู้และการทํางาน ให้แกผ่ ้เู รยี นได้ - การให้ผู้เรยี นทาํ โครงงานสามารถช่วยดึงศักยภาพต่าง ๆ ท่มี อี ยู่ในตวั ของผู้เรยี น ออกมาใช้ ประโยชน์ 2.6. ข้อจากัดของการเรยี นรแู้ บบโครงงาน การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานมปี ระโยชน์ตอ่ ผ้เู รียนมาก แต่อย่างไรกด็ ีมี นักวิชาการ ได้ให้ข้อเสนอแนะถึงข้อจํากัดการเรยี นรู้แบบโครงงานไวห้ ลายประการดังนี้ ทศิ นา แขมมณี (2551) ไดก้ ล่าวข้อจาํ กดั ของการเรียนแบบโครงงานวา่ 1. เสยี เวลามากและเสียค่าใชจ้ ่ายสูง 2. ประสบการณใ์ นชวี ิตจรงิ หลายอย่างไม่สามารถจะวางแผนและทํากจิ กรรมได้ 3. ถา้ ครูไม่มีความรเู้ พยี งพอการสอนจะประสบความล้มเหลว 4. อาจทาํ ใหน้ ักเรยี นไดร้ บั ความรู้ท่เี ปน็ หลกั วชิ าไม่เพยี งพอ มหาวิทยาลัยศรีปทุม (2554) ได้กล่าวถึงข้อจํากัดของการสอนแบบ Projectbased Learningถงึ แมก้ ารสอนแบบโครงงาน เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีมีประโยชน์ต่อผู้เรียนมาก อย่างไร ก็ดีสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้ให้ข้อเสนอแนะการสอนแบบดังกล่าวจําเป็นต้องใช้ ระยะ เวลานาน โดยระยะเวลาของโครงงานข้ึนกบั ความก้าวหน้าของโครงงาน ปกติใช้เวลาหลาย สัปดาห์ และ ในบางโครงงานใช้เวลาเปน็ เดอื น 2.7 ประเภทของโครงงาน พิมพนั ธ์ เดชะคปุ ต์(2553) โครงงานทีใ่ ชเ้ กณฑ์ของผลท่ีได้รับแบ่งประเภท 3 สามารถ แบ่ง โครงงานเป็น 3 ประเภท คือ 1.โครงงานสาํ รวจ 2.โครงการทดลอง 3.โครงงานประดิษฐ์ 1. โครงงานสํารวจ โครงงานสํารวจเป็นการสํารวจความรู้ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ หรือ สภาพทเี่ ปน็ อยู่ในปจั จบุ ัน (What it is) โครงงานประเภทนี้เปน็ โครงงานที่มี วัตถุประสงค์เพื่อสํารวจและ

22 รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหน่ึง แล้วนําข้อมูลท่ีได้จากการสํารวจนั้นมาจําแนกเป็นหมวดหมู่ และนําเสนอแบบต่างๆ อย่างมีแบบแผนเพ่ือให้เห็นถึงลักษณะหรือความสัมพันธ์ของเรื่องดังกล่าวได้ ชัดเจนยิ่งข้ึน การปฏิบัติตามโครงงานน้ีนักเรียนจะต้องไปศึกษารวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ เช่น สอบถาม สัมภาษณ์ สํารวจโดยใช้เคร่ืองมือ เช่น แบบสังเกต แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึก ฯลฯ ในการ รวบรวมข้อมลู ทีต่ อ้ งการศึกษา 2. โครงงานทดลอง โครงงานประเภทน้ีเป็นโครงงานที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือการศึกษา เรื่องใดเรื่องหนึ่งว่าจะเกิด อะไรหรือจะมีอะไรเกิดข้ึน (What it will be) เมื่อ มีการทดลองส่ิงท่ีจัด กระทําข้ึนคือ ตัวแปรต้น เพ่ือ ศึกษาว่าจะมีผลต่อตัวแปร ท่ีต้องการศึกษาคือตัวแปรตามอย่างไร ด้วยมี การควบคุมตวั แปรอ่นื ๆ คอื ตวั แปร ควบคุมทีอ่ าจมีผลต่อตัวแปรตาม 3. โครงงานประดิษฐ์ โครงงานประเภทน้ีเป็นโครงงานท่ีมีวัตถุประสงค์คือ การนํา ความรู้มีทฤษฎีหลักการหรือแนวคิดมาประยุกต์ใช้ โดยการประดิษฐ์เป็นเคร่ืองมือ และเครื่องใช้ต่างๆ เพ่ือประโยชน์ใน การเรียน การทํางาน หรือการใช้สอยอื่นๆ มี การประดิษฐ์คิดค้นตามโครงงานนี้อาจ เป็นการประดิษฐ์ข้ึนมาใหม่ โดยที่ยังไม่มีใครทํา หรืออาจเป็นการปรับปรุงเปล่ียนแปลงและดัดแปลง ของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่าท่ีเป็นอยู่รวมท้ังการสร้างแบบจําลองต่างๆ โครงงาน ประเภทนีม้ ีการทดลอง เพอ่ื ปรับปรงุ แก้ไขเปน็ ระยะจึงเรยี กวา่ โครงงานทดลองเชิงพัฒนา ตารางที่ 1 การเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง การทําโครงงานสํารวจ โครงงาน ทดลอง และโครงงานประดิษฐ์ ความเหมือน โครงงานสารวจ ความแตกต่าง โครงงานประดิษฐ์ โครงงานทดลอง 1. ใช้วธิ กี ารทาง 1. หาคําตอบท่ีมีอยู่ 1. สร้าง/ประดิษฐ์ / วิทยาศาสตร์ โดยให้ แลว้ (What it is) 1. ยังไมม่ ีคําตอบที่ พฒั นาชน้ิ งานใหม่ นักเรยี นทาํ เอง ชดั เจน/ถกู ต้อง(What พรอ้ มดว้ ยวธิ ีการ ใหม่ it will be) สตู รใหม่ 2. ได้องค์ความรู้ ใหม่ 2 ตอ้ งมีการทดลองเชงิ ชน้ิ งาน 2. ใชว้ ธิ กี ารหาข้อมลู 2. ตอ้ งมีการตรวจสอบ พัฒนาเปน็ ระยะ ๆ และ ต้องบนั ทึกข้อมลู 3. ปัญหาเร่มิ จาก การ หลากหลาย เช่น สังเกต คําตอบ โดยมีตัวแปร เป็น ระยะ ๆ ดว้ ย คดิ / สงั เคราะห์ การ 3. เก็บข้อมูลดว้ ยการ รเิ ริ่ม สอบถาม สัมภาษณ์ ต้น/ตวั แปรจดั กระทาํ สาํ รวจ และทดลองเป็น ระยะ ๆ จนกวา่ จะได้ สบื คน้ เอกสารเป็นต้น สิ่งประดิษฐ์ใหม่ เปน็ การ ทดลองเชงิ พฒั นา 3. ต้องมกี ารวเิ คราะห์ 3. เกบ็ ข้อมลู ดว้ ยการ ขอ้ มูล และอาจใช้ ทดลองและวิธรี วบรวม ตัวเลข ประกอบการ ขอ้ มูลตา่ งๆ วิเคราะห์ ประกอบการทดลอง 2. โครงงานท่ีใชร้ ะดบั ความคิดของนักเรียนเอง หรอื ระดับการใหค้ ําปรึกษาของครูเป็น เกณฑ์ใน การจาํ แนกได้เปน็ 3 ประเภท คอื 2.1 Guided project 2.2 Less-guided project

23 2.3 Unguided project Guided project เปน็ โครงงานประเภทนกั เรียนใช้ความคิดในระดบั น้อยๆ หรอื ครใู ห้ คาํ ปรึกษามาก โดยครเู ป็นผรู้ วบรวมขอ้ มูลเพ่ือตอบปญั หา ดังแผนผงั ตอ่ ไปน้ี 1. กาํ หนดปัญหาและ 2. กาํ หนดวธิ ี 2.9. การประเมนิ ผลการเรยี นรแู้ บบโครงงาน การประเมนิ ผลการทาํ โครงงาน เป็นแนวทางการประเมินผลการปฏบิ ตั โิ ครงงานของ ผเู้ รียน ผู้วจิ ยั ได้ศึกษาดงั นี้ พิมพนั ธ์ เดชะคปุ ต์ และคณะ (2553) กล่าววา่ ในการตัดสินคุณค่าเร่ืองหนึ่งเรื่องใดน้ัน การ วัดหรือประเมินสง่ิ นั้นอยา่ งดีอย่างรอบคอบเป็นสิ่งจําเป็น การประเมินผลเป็นบทบาทสําคัญของครู ครูควรมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการเรียนรู้ (learning) การเรียนการสอน (instruction) การ ประเมนิ การเรียนรู้(assessment) และการประเมินผล(evaluation) อย่างชัดเจนซึ่งคําดังกล่าว ข้างต้น มีความสัมพันธ์กัน ครูมีบทบาทสําคัญในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ใน ขณะเดียวกันการประเมินผลก็ใช้เป็นการตัดสินการเรียนรู้ทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เพื่อเป็น นักเรียนระบุปัญหาตามความสนใจ นักเรียนออกแบบการรวบรวม ข้อมูลเพ่ือหาคําตอบด้วยตนเอง นักเรียนใช้เคร่ืองมือในการ เก็บรวบรวมข้อมูล ทักษะการวัด ทักษะการ แปลผลข้อมูล ทักษะการ สรุปผล ทักษะการสังเกต ทักษะการบันทึกผล การตัดสินให้ระดับคะแนน ดังนั้นคําสําคัญต่อไปนี้คือ การเรียนการสอนการเรยี นรู้ การประเมนิ การ เรยี นรูแ้ ละการประเมินผล จงึ มคี วามสัมพันธ์ที่ยากต่อการ แยกจากกันอยา่ งเด็ดขาด คาํ สําคัญทั้ง 4 ประการ รายละเอยี ดดังน้ี ตารางท่ี 2 การเรยี นการสอน การเรยี นรู้ การประเมนิ การเรียนรแู้ ละการประเมนิ ผล คําสาํ คัญ ความหมาย 1. การเรยี นการสอน (instruction) การเกิดการเรยี นรดู้ ว้ ยทั้งกระบวนการเรียนของ นักเรยี นและกระบวนการสอนของครูร่วมกัน 2. การเรยี นรู้ (learning) การมีความรู้ ความสามารถ ทักษะและความ ประพฤติชอบของนักเรยี น ซ่ึงเป็นการเปลี่ยน พฤติกรรมนกั เรยี น โดยใชก้ ระบวนการเรียนรูท้ ี่มี ครู เปน็ ผู้จดั ประสบการณเ์ รียนร้ใู ห้ 3. การประเมนิ การเรียนรู้ (assessment) การรวบรวมข้อมูลทง้ั เชิงปริมาณ และคุณภาพ จาก กระบวนการทาํ งาน การปฏบิ ัตงิ าน และ ผลผลิตทไี่ ด้ จากกระบวนการเรยี นรู้เพือ่ การศึกษา 4. การประเมินผล(evaluation) การตัดสนิ คณุ คา่ ส่ิงใดส่งิ หนึ่งจากข้อมูลท้ังเชิง ปรมิ าณ และคณุ ภาพทไ่ี ดจ้ ากการวัดสิง่ ที่ตอ้ งการ ประเมิน

24 การประเมินการเรียนรู้ (assessment) สิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจไม่จําเป็นต้องตัดสินคุณค่าหรือ ประเมินผล (evaluation) แต่การประเมินผลหรือตัดสินคุณค่าสิ่งใดส่ิงหน่ึงจําเป็นต้องมีการประเมิน การเรียนรู้ดังน้ันข้อมูลท่ีได้จากการประเมินการเรียนรู้น้ันจึงมีความสําคัญถ้าการประเมินการเรียนรู้มี คุณภาพก็ทําให้การประเมินผลมีคุณภาพ ถ้าการประเมินการเรียนรู้ผิดพลาด การตัดสินผลก็ผิดพลาด หรืออาจกล่าวว่า การตัดสินผลท่ีมีความเที่ยงตรงน้ัน ได้มาจากการประเมินการเรียนรู้ที่มีความถูกต้อง และสมบูรณ์ ในการวางแผนดาํ เนนิ การ และจดั การประเมนิ การเรียนรู้อย่างมีความหมาย ผู้ประเมินต้อง มคี วามรแู้ ละเขา้ ใจในประเด็นต่อไปน้ี 1. พฤติกรรมหรือการปฏิบัติการของนักเรียนทตี่ ้องประเมินมีอะไรบ้าง 2. กระบวนการหรือวิธีการประเมินมีอะไรบ้าง 3. เป้าหมายของการประเมนิ การเรียนร้คู ืออะไร 4. จุดเน้นทีต่ อ้ งการประเมนิ การเรยี นรู้คืออะไร 5. ผูม้ ีหน้าท่ีประเมนิ การเรยี นร้มู ใี ครบา้ ง ในการประเมินการเรียนรู้ เป็นการประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจริง (authentic assessment) มีการประเมินอะไรบ้าง การประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจริงน้ัน เป็นการประเมินใน เร่อื งต่อไปนี้ 1. ผลการเรยี นด้านวชิ าการ คอื ความรู้ ความเขา้ ใจในสาระ 2.การใช้เหตผุ ล คอื การใชก้ ระบวนการแก้ปญั หา การใชว้ ธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์การใช้ กระบวนการสร้างความรู้ 3. ทักษะและสมรรถนะ เช่น ทักษะการนําเสนอ ทักษะการเขียน ทักษะการทํางาน เป็นทีม ทักษะการวิจัย ทักษะการจัดระบบ และวิเคราะห์ข้อมูล ทักษะการใช้เทคโนโลยี ทักษะการ ทํางานด้วย ความอดทนและฟนั ฝ่าอุปสรรค ทักษะการแก้ปัญหาความขัดแยง้ เปน็ ตน้ 4. เจตคติเช่น การพัฒนาเจตคติต่อการเรียน การรักเรียน ความเป็นพลเมืองดีใฝ่รู้ใฝ่ เรียน เป็นนักอ่านอัตมโนทศั นค์ วามรกั ธรรมชาติ 5. นิสัยการทํางาน เช่น การทํางานได้สําเร็จตรงตามเวลา ใช้เวลาอย่างมีค่าความ รบั ผดิ ชอบ ความอดทนเพ่อื ใหไ้ ดง้ านที่มคี ุณภาพ การทํางานอย่างต่อเนือ่ ง วิธีการประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจริง วิธีที่ใช้ประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจริงอาจ ใชว้ ิธี ต่อไปนี้ 1. การอภิปรายตามวตั ถปุ ระสงค์ 2. แบบทดสอบมาตรฐาน 3. แบบทดสอบท่พี ัฒนาโดยครู 4. การเขยี นบนั ทึกผลการเรียนรู้ 5. การนาํ เสนอดว้ ยวาจา 6. โครงงาน 7. การปฏิบัตทิ ดลอง 8. แฟ้มสะสมงาน/ผลงาน (portfolios) 9. การสังเกต 10. การบันทึก 11. การสร้างสถานการณ์จําลอง

25 12. แบบสอบถาม 13. แบบสมั ภาษณ์ 14. บนั ทึกการเรียนรู้ หรือการเขียนอนทุ ิน 15. การประเมนิ โดยตัวผู้เรียนเอง 16. การประเมินโดยเพ่ือน 17. การประชมุ ของผปู้ กครอง จุดเน้นของการประเมินการเรยี นรตู้ ามสภาพจรงิ ในการประเมนิ การเรียนรตู้ ามสภาพ จรงิ ต้องพิจารณา ประเมนิ อะไร แล้วจึงเลอื กวัตถปุ ระสงค์ของการประเมินใหส้ อดคล้องกัน การประเมนิ การเรียนรูม้ ีจดุ เน้นดงั นี้ 1.การประเมนิ ผลเพ่อื วินจิ ฉัยขอ้ บกพร่อง (diagnostic assessme) 2. การประเมินการเรียนรู้ระหว่างเรยี น (formative assessment) 3. การประเมินการเรียนรหู้ ลงั เรยี น (summative assessment) ในการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง หรืออาจกล่าวว่า คือ การจัดการ เรียนรู้ตาม สภาพจริง (authentic learning) เป็นการเรียนรู้ที่เน้น กระบวนการเรียนรู้ การทํางาน ปฏิบัติงาน และผลผลิต ดังน้ันการวัดและประเมินผล จึงต้องเป็นการประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจริง คือ เป็น การรวบรวมข้อมูล เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จากกระบวนการเรียนรู้ การทํางาน การ ปฏิบัติงาน และ ผลผลิตที่ได้จากกระบวนการเรียนรู้ในสภาพท่ีสอดคล้องกับชีวิตจริง โดยใช้เร่ืองราว เหตุการณ์ สภาพจริง หรือคล้ายจริงเป็นส่ิงเร้าให้นักเรียนตอบสนอง แล้วนําข้อมูล สู่การตีค่า ประเมิน การเรียนรู้ ตามสภาพจริง เป็นกระบวนการควบคู่ไปกับ กระบวนการเรียนการสอนท่ีเน้นนักเรียนเป็น ศูนย์กลาง หรือการเรียนรู้ตามสภาพ หรือกล่าวโดยสรุป การเรียนรู้ตามสภาพจริง นักเรียนต้องใช้ กระบวนการ (process) การปฏิบัติกิจกรรม (performance) ปฏิบัติงาน (task) เพ่ือผลผลิตใหม่ (product) ดังน้ัน การประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจริง จึงเป็นการประเมินกระบวนการ การปฏิบัติ รวมท้ังผลผลิตท่ี อาจเปน็ ความรู้ และประดิษฐห์ รือชน้ิ งานใหมด่ ว้ ย สุกัญญา งามบรรจง (2559 4.) กลยุทธ์ทางการประเมินผลสู่การพัฒนาทักษะการ เรียนรู้ใน ศตวรรษที่21 ในส่วนนี้จะอธิบายถึงเคร่ืองมือประเมินและกลยุทธ์ทางการประเมิน 6 อย่างท่ี ส่งผลต่อ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการเรียนรู้ท่ีจะช่วยให้ครูสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ให้กับ นักเรียนใน ช้ันได้อย่างมีประสิทธิผลอันได้แก่ 1) เกณฑ์การประเมิน (rubric) 2) การประเมินการ ปฏิบัติงาน (performance based assessments) 3 ) การ ประเมินจากแฟ้มสะสมผลงาน (portfolios assessment) การประเมินตนเอง (student self-assessment) 5) การประเมินเพ่ือน ประเมนิ เพอื่ น (peer-assessment) 6) การใหข้ ้อมลู ป้อนกลับแก่นกั เรยี น (student response) 1. เกณฑ์การประเมิน (rubric) เกณฑก์ ารประเมินเป็นท้ังเครื่องมือการวัดความรู้ความสามารถของผู้เรียนและกลยุทธ์ ทางการประเมินผลการเรียนรู้เกณฑ์การประเมินเป็นเคร่ืองมือที่เหมาะสมท่ีครูจะนํามาใช้เพ่ือวัดทักษะ หรือสมรรถนะทแี่ บบทดสอบมาตรฐานไม่สามารถวัดได้เนือ่ งจากแบบทดสอบมาตรฐานเป็น เคร่ืองมือวัด ประเมินผลการเรียนร้ใู นดา้ นองค์ความรู/้ ความคิดรวบยอดท่ีมีช่วงระยะเวลาแน่นอน เกณฑ์การประเมิน ไม่เหมือนกับแบบตรวจสอบรายการที่ไว้ใช้เพื่อประเมินภาคปฏิบัติแต่เกณฑ์การ ประเมินคือกลุ่มของ เกณฑ์ท่ปี ระมาณค่าได้อย่างชัดเจนและอธิบายคุณภาพการปฏิบัติงานอย่าง ต่อเน่ืองเช่ือมโยงเป็นลําดับ คุณภาพอีกท้ังเกณฑ์การประเมินไม่ได้มีประโยชน์แค่การประเมินผลการ ทํางานเท่านั้นแต่ยังเป็น

26 เครื่องมือที่สามารถเพ่ิมกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนให้สูงข้ึนตั้งแต่เริ่มจน เสร็จสิ้นกระบวนการด้วย การสื่อสารสิ่งที่ผู้สอนคาดหวังให้เกิดขึ้นกับการทํางานที่กําหนดให้การให้ ข้อมูลป้อนกลับท่ีเน้นไปที่ โครงการในกระบวนการทํางานรวมท้ังเป็นการส่งเสริมการกํากับติตตามการ เรียนรู้ด้วยตนเองของ ผ้เู รยี นการประเมนิ ตนเอง 2. การประเมินการปฏิบัตงิ าน (performance based assessments) เป็นกระบวนการท่ที าํ ให้ความสามารถทกั ษะและการปฏิบัติงานของผู้เรียนท่ีมีผ่านการ ปฏบิ ัติงานหรอื ชิน้ งานดว้ ยการรวบรวมขอ้ มูลท่เี กยี่ วข้องกบั กระบวนการทํางานและผลผลิตท่ีได้จาก การ ปฏิบัติงานโดยการวัด 5 ลักษณะสําคัญอาทิการปฏิบัติงานโดยการเขียนการระบุช่ือและภาระ กระบวนการปฏบิ ัติการสร้างสถานการณ์จําลองการกําหนดงานหรือการทดสอบจากสถานการณ์จริง ซึ่ง ลกั ษณะของการประเมินการปฏิบัติงานต้องกําหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินไว้อย่างชัดเจน วิธีการ ทาํ งานทีจ่ ะนาํ มาพจิ ารณาเพื่อการประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติงานและคุณภาพความสําเร็จ ของงานที่ คาดหวังด้วยการกําหนดเกณฑ์การให้คะแนนท่ีชัดเจนซ่ึงอาจเปีนการประเมินรายบุคคล กลุ่มหรือ ประเมินตนเองก็ได้ 3. การประเมนิ ตนเอง (student self-assessment) การประเมินตนเองใช้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองมากกว่าใช้เพ่ือให้ผลการเรียน เป้าหมาย ของการประเมินตนเองเพื่อให้นักเรียนระบุจุดเด่นและจุดที่ควรพัฒนาและเพ่ือการปรับปรุง การทาํ งาน ใหเ้ ปน็ ไปตามเกณฑ์ที่กําหนดไวใ้ ห้ไดก้ ารประเมนิ ตนเองเกดิ ข้นึ เพ่ือนักเรยี นตัดสินใจปรับปรุง การ ทํางานจึงเป็นเครื่องมือเพื่อใช้สนับสนุนการเรียนแบบSelf-regulationช่วยให้ผู้เรียนได้สะท้อน ความกา้ วหนา้ ในการทํางานของนกั เรียน 4. การประเมินเพื่อนประเมินเพอ่ื น (peer-assessment) การประเมินเพื่อนประเมินเพ่ือน คล้ายมากกับการประเมินตนเองคือเป็นการประเมิน เพอ่ื พฒั นาการเรียนรู้ทีใ่ ห้นกั เรยี นมีบทบาทใน การประเมนิ การเรียนรู้แนวคิดการประเมินเพื่อนประเมิน เพ่ือนจึงเป็นกระบวนการเพื่อให้ผู้เรียน พิจารณาและให้ข้อมูลป้อนกลับแก่นักเรียนคนอ่ืนในเรื่อง คณุ ภาพการทํางานและคณุ ค่าของงานการ ประเมินเพ่ือนประเมินเพ่ือนใช้ได้ทั้งการประเมินผลผลิตการ นําเสนอโครงงานและทักษะจึงไม่ใช่การ ประเมินเพ่ือการให้ผลการเรียนเป้าหมายหลักของการประเมิน เพื่อนประเมินเพื่อนคือเพื่อให้ข้อมูล ป้อนกลับแก่ผู้เรียนโดยข้อมูลป้อนกลับที่เพื่อนให้อาจไม่ลึกซึ้งใน ประเด็นความรู้ท่ีให้แต่งานวิจัย มากมายสนับสนุนว่าการประเมินเพื่อนประเมินเพื่อนสามารถปรับปรุง การเรยี นร้ขู องผู้เรียนได้จรงิ การ ประเมินชนิดนีจ้ ึงใช้รว่ มกบั ประเมินจากครู 5. การใหข้ ้อมูลป้อนกลับแก่นักเรียน (Student response) กิจกรรมการวดั และประเมินผลในชั้นเรียนสามารถนํามาใช้เพื่อปรับปรุงการเรียนรู้ของ ผู้เรียน ไดโ้ ดยผสู้ อนจะดาํ เนนิ การจัดหาข้อมลู สารสนเทศใหก้ ับผูเ้ รยี น และใชข้ ้อมลู นั้นเสมอื นเป็นการให้ คําแนะนํา จากครูผู้สอนให้แก่ผู้เรียน นอกจากนั้น การวัดประเมินการเรียนรู้จะกลายเป็นการวัดและ ประเมินผลเพ่ือการปรับปรุงการเรียนรู้ เม่อื ครใู ช้หลกั ฐานทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เพื่อ การ ปรบั ปรงุ กจิ กรรมการเรียนรใู้ หต้ รงกับความต้องการในการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อย่างแท้จริง ระหว่างการ จัดกิจกรรมการเรยี นรผู้ ู้สอนจําเป็นต้อง สังเกต และทําให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน อีกท้ัง ผู้สอน สามารถใชก้ ารตงั้ คําถาม การสังเกตและการพูดคุยกบั นักเรียน ทาํ ให้ครสู ามารถพฒั นา วิธีการตรวจสอบ ความเขา้ ใจในการเรียนรู้ไดอ้ ย่างรวดเร็ว

27 3. เอกสารทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับการใช้แบบฝึกทักษะ 3.1 ความหมายของแบบฝึกทกั ษะ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2543) กล่าวว่าแบบฝึกปฏิบัติหมายถึง สิ่งท่ีนักเรียนจะต้องใช้ ควบค่ไู ปกบั การเรียนมลี ักษณะเป็นแบบฝกึ ครอบคลมุ กิจกรรมการเรียนที่ผเู้ รยี นพึงกระทาจะแยกเป็นแต่ละหนว่ ยหรอื รวมเป็นเล่มกไ็ ด้ เตอื นใจ ตรีเนตร (2544:5) กล่าวว่า แบบฝึกเป็นส่ือประกอบการเรียนการสอนซ่ึงช่วย ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้จากการปฏิบัติด้วยตนเอง ได้ฝึกทักษะเพ่ิมเติมจากเนื้อหาจนได้รับความชํานาญ และให้ผูเ้ รยี นสามารถนาํ ไปใช้ในชวี ิตประจาํ วนั ไดโ้ ดยมีครูเป็นผู้แนะนํา สาวติ รีสวุ รรณ (2551:35) สรปุ ไว้ว่าแบบฝึกเป็นสื่อชนิดหนึ่งท่ีครูสร้างขึ้นจากบทเรียน ที่ได้สอนไปแล้ว ใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการเรียนรู้ด้วย การปฏิบตั สิ ร้างความเข้าใจ เสริมทักษะให้ผู้เรียน เพ่ือให้เกิดความชํานาญ เกิดทักษะบางอย่างและเป็น การทบทวนเนอื้ หาต่าง ๆ ทเ่ี รยี นไปแลว้ ใหส้ ามารถจดจาํ เน้ือหาต่าง ๆ ได้แมน่ ยาํ มากขึ้น สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะหมายถึงส่ือการสอนเทคนิคการสอนชนิดหนึ่งที่ครูสร้างขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการฝึกทักษะให้แก่ผู้เรียน ควรมีกิจกรรมหลาย ๆ รูปแบบ เพื่อให้นักเรียนได้ฝึก ปฏบิ ตั ิจนเกดิ ความชํานาญและแม่นยํา ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ผู้วิจัยจึงสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะ การเรียนรู้คําศัพท์ภาษาอังกฤษของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพื่อแก้ปัญหาและเป็นแนวทางในการ ปรบั ปรุง พฒั นา การเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษใหม้ ีประสทิ ธิภาพย่ิงข้ึน 3.2 ลักษณะของแบบฝกึ ทักษะ ในการสร้างแบบฝึกทักษะมีองค์ประกอบหลายประการ ซ่ึงได้มีนักการศึกษาหลาย ท่าน ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับลักษณะของแบบฝึกที่ดี ไว้ดังน้ี กุศยา แสงเดช (2545) ได้กล่าวแนะนํา ผู้สรา้ งแบบฝกึ ให้ยดึ ลกั ษณะแบบฝกึ ทด่ี ีดงั นี้ 1. แบบฝึกท่ีดีควรความชัดเจนท้ังคําสั่งและวิธีทําคําสั่งหรือตัวอย่างแสดงวิธีทําท่ีใช้ ไม่ควรยากเกินไป เพราะจะทําความเข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายและเหมาะสมกับ ผู้ใช้ เพ่ือนักเรียน สามารถเรียนดว้ ยตนเองได้ 2. แบบฝึกท่ีดีควรมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดหมายของการฝึก ลงทุน น้อย ใช้ไดน้ าน ทนั สมยั 3. ภาษาและภาพท่ีใช้ในแบบฝกึ เหมาะกับวยั และพ้ืนฐานความรขู้ องผ้เู รียน 4. แบบฝกึ ทดี่ ีควรแยกฝกึ เป็นเรื่อง ๆ แต่ละเรือ่ งไมค่ วรยาวเกินไป แต่ควรมี กิจกรรม หลายแบบเพอื่ เรา้ ความสนใจ และไม่เบ่ือในการทาํ และฝกึ ทักษะใดทกั ษะหนึ่งจนชํานาญ 5. แบบฝกึ ทด่ี คี วรมที ั้งแบบกาํ หนดคําตอบในแบบและให้ตอบโดยเสรี การเลือกใช้คํา ข้อความ รปู ภาพในแบบฝึก ควรเป็นส่ิงที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความสนใจของ นักเรียน ก่อให้เกิด ความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซ่ึงตรงกับหลักการเรียนรู้ว่านักเรียนจะ เรียนได้เร็ว ในการกระทําท่ี ทําใหเ้ กดิ ความพงึ พอใจ

28 6. แบบฝึกทด่ี คี วรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จักค้นคว้า รวบรวมส่ิง ทพ่ี บเหน็ บอ่ ย ๆ หรือท่ตี ัวเองเคยใช้ จะทําให้ผเู้ รียนเขา้ ใจเรื่องนั้น ๆ มากย่ิงขนึ้ และ ร้จู กั นาความรู้ไปใช้ ในชวี ติ ประจําวนั ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง มหี ลกั เกณฑ์และมองเหน็ วา่ สิ่งทไ่ี ด้ฝึกนัน้ มี ความหมายต่อเขาตลอดไป 7. แบบฝึกที่ดีควรตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนมี ความ แตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญา และ ประสบการณ์ เป็นต้น ฉะนั้น การทําแบบฝึกแต่ละเร่ืองควรจัดทําให้มากพอและมีทุกระดับ ตั้งแต่ ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าท้ังนักเรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน จะได้ เลือกทําได้ตาม ความสามารถ ทัง้ น้เี พื่อใหน้ กั เรียนทุกคนได้ประสบความสาํ เรจ็ ในการทําแบบฝกึ 8. แบบฝึกท่จี ัดทาํ เปน็ รูปเล่ม นกั เรียนสามารถเก็บรักษาไว้เป็นแนวทางเพ่ือ ทบทวน ดว้ ยตนเองตอ่ ไป 9. การท่ีนักเรียนได้ทําแบบฝึก ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของ นกั เรยี นไดช้ ดั เจน ซึง่ จะชว่ ยให้ครูดาํ เนนิ การปรับปรุงแกไ้ ขปัญหาน้นั ๆ ได้ทนั ท่วงที 10. แบบฝึกท่ีจดั ขนึ้ นอกจากมีในหนังสือเรียนแล้วจะช่วยให้นักเรียนได้ ฝึกฝนอย่าง เตม็ ท่ี 11. แบบฝึกที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้ว จะช่วยให้ครูประหยัดแรงงานและเวลา ใน การที่จะต้องเตรียมแบบฝึกอยู่เสมอ ในด้านผู้เรียนไม่ต้องเสียเวลาในการลอกแบบฝึกจาก ตําราเรียน หรือกระดานดาํ ทําใหม้ เี วลาและโอกาสได้ฝกึ ฝนทักษะตา่ ง ๆ ไดม้ ากข้ึน 12. แบบฝึกช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะการพิมพ์เป็นรูปเล่มที่แน่นอน ลงทุนต่ํา แทนที่จะใช้พิมพ์ลงกระดาษทุกครั้งไป นอกจากน้ียังมีประโยชน์ในการท่ีผู้เรียน สามารถบันทึกและ มองเห็นความก้าวหน้าของตนได้อยา่ งมีระบบและมีระเบียบ สุพรรณี ไชยเทพ (2544) ได้กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกที่ดีไว้ดังน้ี 1. ต้องมีความ ชดั เจน ทง้ั คําชี้แจง คําส่ัง ง่ายต่อการเข้าใจ 2. ตรงกับจุดประสงค์ที่ต้องการวัด 3. มีภาษาและรูปภาพที่ ดึงดูดความสนใจของนักเรียนและเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน 4. แบบฝึกแต่ละเรื่องไม่ควรยาวมาก จนเกินไป 5. ควรมีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบทําให้นักเรียนไม่เบ่ือ 6. ควรตอบสนองความต้องการ และความสนใจของผู้เรียน สร้างความ สนุกสนานเพลิดเพลินขณะทําแบบฝึก 7. มีคําตอบท่ีชัดเจน 8. แบบฝึกท่ีดีสามารถประเมนิ ความกา้ วหน้า และความรขู้ องนกั เรียนได้ บุญนํา เกษี (2556) ได้กล่าวว่า ลักษณะของแบบฝึกท่ีดีควรสร้างเพ่ือฝึกทักษะ เฉพาะอยา่ ง คํานึงถึงความเหมาะสมกับวัย ความสามารถและพัฒนาการของผู้เรียน โดยใช้ ภาษาท่ีง่าย ชัดเจน มีกิจกรรมหลายรปู แบบเพือ่ เรา้ ความสนใจของผูเ้ รียน มภี าพประกอบฝึก ตามข้ันเรียงจากง่ายไป หายาก ใชเ้ วลาฝึกพอสมควรและมีการประเมินผลใชแ้ บบฝึก เพ่ือให้ผู้เรียนได้ประเมินความสามารถของ ตนเอง สรุปได้ว่า ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดีควรเป็นแบบฝึกสั้น ๆ ฝึกหลาย ๆ ครั้ง มีหลาย รูปแบบ การฝึกควรฝึกเฉพาะเรื่องเดียว และควรเป็นส่ิงท่ีนักเรียนพบเห็นอยู่แล้วคําช้ีแจงส้ัน ๆ ใช้เวลา เหมาะสม เป็นเรื่องท่ีท้าทายให้แสดงความสามารถ เม่ือผู้เรียนได้ฝึกแล้วก็สามารถพัฒนาตนเองได้ดี จึง จะนับวา่ เปน็ แบบฝึกท่ดี แี ละมปี ระโยชน์

29 3.3 ประโยชนข์ องแบบฝึกทักษะ ประโยชนข์ องแบบฝึก หากเป็นแบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพ จะช่วยทําให้นักเรียน ประสบผลสําเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี ทําให้ครูลดภาระการสอนลงและผู้เรียนสามารถพัฒนา ตนเองได้อย่างเต็มท่ี เพิ่มความมั่นใจในการเรียนได้เป็นอย่างดีหากได้มีการฝึกบ่อยครั้งจนชํานาญ และ ยังช่วยผู้เรียนท่ีมีปัญหาในการเรียนรู้จําเป็นต้องมีการสอนต่างจากกลุ่มปกติท่ัวไปด้วยการเสริมเพ่ิมเติม ใหเ้ ป็นพเิ ศษ ไพบูลย์ มูลดี (2546) กลา่ วถึงประโยชน์ของแบบฝกึ ทกั ษะไว้ดงั นี้ 1. ชว่ ยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรยี นไดด้ ีขึ้น 2. ชว่ ยให้ผูเ้ รียนจดจําเนอื้ หาในบทเรยี นและคาํ ศพั ท์ตา่ ง ๆ ไดค้ งทน 3. ทาํ ใหเ้ กิดความสนุกสนาน 4. ทาํ ใหผ้ ้เู รยี นทราบความก้าวหนา้ ของตนเอง 5. ผู้เรยี นสามารถทบทวนความรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง 6. แบบฝกึ ทกั ษะสามารถนํามาวัดผลการเรียนท่ีเรียนแล้ว 7. ช่วยใหค้ รทู ราบขอ้ บกพร่องของผ้เู รียนและนาํ ไปปรบั ปรงุ แก้ไขได้ทันทว่ งที ปาริชาติ สุพรรณกลาง (2550) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกเป็นสื่อการ เรียนท่ีช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และทักษะทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระครูผู้สอนซ่ึงประโยชน์ของแบบฝึก ทําใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจบทเรยี นไดม้ ากขนึ้ มคี วามเชื่อมั่นฝึกทํางานด้วยตนเอง ทําให้มีความรับผิดชอบ และ ทํา ให้ ครู ทร าบปัญห าแ ล ะข้อบกพ ร่ องของนั กเรี ย น ใน เ ร่ื องท่ีเรี ย น ทํา ให้ ส า มาร ถแก้ปั ญห าได้ทัน ที นอกจากนแ้ี บบฝกึ ยังเปิดโอกาสให้เด็กฝึกทักษะอย่างเต็มท่ี ทั้งยังช่วยให้คงอยู่ได้นาน และเป็นเคร่ืองมือ วดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนหลังจบบทเรยี นแต่ละคร้ังอกี ดว้ ย บุญนํา เกษี (2556) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกมีความสําคัญทําให้เกิด ทักษะความชํานาญ หากแต่ต้องการได้รับการฝึกหลาย ๆ ครั้ง หลายรูปแบบ เมื่อผู้เรียนได้รับการฝึก แล้ว อย่างน้อยผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้แน่นอน แบบฝึกมีประโยชน์ต่อครูผู้สอนในการแก้ปัญหา ของนกั เรยี นทมี่ ีปญั หามากได้ดี สรุปได้ว่า แบบฝึกมีประโยชน์เป็นเคร่ืองมือท่ีช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ สามารถท่ีจะทบทวน ด้วยตนเองและเหน็ ความกา้ วหน้าของตนเอง นอกจากน้ยี ังสามารถช่วยลดภาวะของครูผ้สู อนอกี ด้วย 4. เอกสารเก่ียวกับผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น 4.1 ความหมายของผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน ผลสมั ฤทธิ์ ตรงกบั คาํ วา่ “Achievement” แปลว่า ได้รับ หรือผลสําเร็จ นักการศึกษาได้ ใหค้ วามหมาย คําจาํ กัดความของคําว่า ผลสมั ฤทธ์ิ ไว้ดงั นี้ ทิศนา แขมมณี (2540 : 10) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Attained) การพัฒนาทักษะในการเรียน ซ่ึงอาจพิจารณาจากคะแนนสอบท่ีกําหนด ให้ คะแนนทไี่ ด้จากงานที่ครมู อบหมายให้ หรือท้ังสองอย่าง

30 ภพ เลาหไพบูลย์ (2542 : 239) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง พฤติกรรมท่ี แสดงออกถึงความสามารถในการกระทาํ สิ่งหนง่ึ ส่ิงใดได้ จากท่ไี มเ่ คยกระทํา หรือกระทําได้น้อยก่อนท่ีจะ มีการเรยี นการสอน ซง่ึ เปน็ พฤตกิ รรมท่ีมีการวัดผลได้ พัชระ งามชัด (2549 : 15 ได้ให้ความหมาย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ระดับ ความสามารถทางวชิ าการของบุคคลซงึ่ สามารถวดั ได้ โดยใช้แบบทดสอบมาตรฐาน สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง ความเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรม ความสําเร็จ ความสามารถของบุคคล ในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการ ตลอดจน ค่านยิ มความเหน็ ตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ข้ึนหลงั จากผา่ นกระบวนการเรยี นการสอน การฝกึ อบรมมาแล้ว 4.2 ลกั ษณะของผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน อุทุมพร จามรมาน (2550 : 3-4) ได้จําแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านสมอง ออกเปน็ 6 ประเภท ดงั นี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางดา้ นความจาํ เป็นส่ิงท่ีสาํ คัญทางการเรียน ความสามารถในการจํา สงิ่ ต่าง ๆ ได้เป็นตัวเสริมให้เกิดความรู้ความสามารถในการเรียน ความจําจึงเป็นผลสัมฤทธ์ิพื้นฐานก่อน การแสดงความสามารถในระดับท่ีสูงข้นึ 2. ผลสัมฤทธิ์ด้านความเข้าใจ เป็นการแสดงความสามารถในระดับสูงข้ึนกว่า ความจาํ 3. ผลสัมฤทธิ์ดา้ นการนาํ ไปใช้ คอื ความสามารถในการนาํ ความรู้ทไ่ี ด้เรยี นไปแล้วไป ใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้ ถือวา่ เปน็ การบรรลจุ ุดมุ่งหมายของการนําไปใช้ 4. ผลสัมฤทธ์ิด้านการวิเคราะห์ เป็นการแยกแยะเนื้อหาให้เป็นส่วนย่อยแล้วระบุ ความสมั พนั ธ์ของส่วนย่อยกบั ส่วนยอ่ ย ส่วนย่อยกบั ส่วนใหญ่ 5. ผลสัมฤทธิ์ด้านการสังเคราะห์ เป็นการนําสิ่งท่ีวิเคราะห์มาผสมผสานเป็นเรื่อง ใหม่ รปู แบบใหม่ สงิ่ ใหม่ 6. ผลสัมฤทธิ์ด้านการประเมิน ความสามารถในการประเมินเพ่ือให้ได้คุณค่า บางอย่าง ถอื ว่าเป็นข้นั สุดทา้ ยของการพัฒนาสังคมของนักเรียน สรุปได้ว่า ความสามารถในการเรียนวิชาต่าง ๆ การบรรลุจุดมุ่งหมายในด้านความจํา ความ เข้าใจ และการนําไปใช้ เป็นการแสดงความสามารถในระดับตํ่า ส่วนการบรรลุจุดมุ่งหมายในด้านการ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ และการประเมนิ เป็นการแสดงความสามารถในระดบั สงู 4.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2538 : 171) ได้กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบท่ีมุ่งวัดเน้ือหาวิชาท่ีเรียนผ่านมาแล้ว ว่านักเรียนมีความรู้ความสามารถ เพยี งใดแบ่งได้ 2 พวก คอื แบบทดสอบของครูและแบบทดสอบมาตรฐาน

31 สมนึก ภัททิยธนี (2544 : 78 - 82) ได้กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน หมายถึง แบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ท่ีผ่านมาแล้ว และไดแ้ บง่ ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนที่ครสู รา้ งขนึ้ เปน็ 6 ประเภท ดังนี้ 1. ขอ้ สอบแบบความเรยี งหรืออัตนยั (Subjective or Essay) เป็นขอ้ สอบท่ีมีเฉพาะ คําถาม แล้วให้นกั เรียนเขียนตอบอยา่ งเสรี เขยี นบรรยายตามความรแู้ ละข้อคิดเห็นของแตล่ ะคน 2. ข้อสอบแบบกา ถูก-ผิด (True-False Test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แต่ละตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงท่ีและมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ เหมือนกัน-ต่างกัน เป็นต้น 3. ข้อสอบแบบเติมคํา (Completion Test) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยค หรือขอ้ สอบทยี่ งั ไม่สมบูรณ์แล้วให้ผู้ตอบเติมคําหรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้เพื่อให้มี ใจความสมบรู ณ์และถกู ตอ้ ง 4. แบบทดสอบแบบตอบส้ัน ๆ (Short Answer Test) ข้อสอบประเภทน้ี คล้ายกับ ข้อสอบแบบเติมคํา แต่แตกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ เขียนเป็นประโยคคําถามที่สมบูรณ์แล้วให้ ผู้ตอบเขียนตอบ คําตอบท่ีต้องการจะสั้นและกะทัดรัดได้ใจความสมบูรณ์ ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบ ขอ้ สอบความเรียงหรืออัตนยั 5. ข้อสอบแบบจบั คู่ (Matching Test) เปน็ ข้อสอบเลือกตอบชนิดหน่ึงโดยมีคําหรือ ข้อความแยกออกจากกันเป็น 2 ชุด แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่า แต่ละข้อความในชุดหน่ึง(ตัวยืน)จะคู่กับ คาํ หรอื ขอ้ ความใดในอีกชุดหน่ึง (ตัวเลือก) ซ่ึงมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหน่ึง ตามที่ผู้ออกข้อสอบ กําหนดให้ 6. ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) ลักษณะทั่วไป คําถามแบบ เลือกตอบโดยทั่วไปจะประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนนําหรือคําถาม (Stem) กับตัวเลือก (Choice) ใน ตอนเลอื กนป้ี ระกอบดว้ ยตัวเลอื กทีเ่ ป็นคาํ ตอบถกู และตวั เลอื กท่ีเป็นตัวลวง ปกติจะมีคําถามที่กําหนดให้ นกั เรยี นพิจารณา แล้วหาตัวเลอื กทถ่ี ูกต้องมากท่สี ุดเพยี งตวั เลอื กเดียวจากตัวลวงอื่น ๆ และคําถามแบบ เลือกตอบทีด่ ี นิยมใช้ตวั เลอื กที่ใกลเ้ คยี งกนั ดูเผิน ๆ จะเห็นว่าทุกตัวเลือกถูกหมด แต่ความจริงมีนํ้าหนัก ถูกมากน้อยต่างกันการที่ครูผู้สอนจะเลือกออกข้อสอบประเภทใดน้ันต้องพิจารณาข้อดี ข้อจํากัดความ เหมาะสมของแบบทดสอบกบั เนือ้ หา หรือจุดประสงค์ในการเรียนรู้ บุญชม ศรีสะอาด (2545 : 53) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิเป็น 2 ประเภท คอื 1. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterion Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ สร้างขึ้นตามจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรือเกณฑ์สําหรับใช้ตัดสินว่า ผู้สอบมีความรู้ตาม เกณฑท์ ีก่ ําหนดไว้หรือไม่ การวดั ตรงตามจุดประสงคเ์ ปน็ หวั ใจสาํ คญั ของแบบทดสอบประเภทน้ี 2. แบบทดสอบอิงกลุ่ม (Norm Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบท่ีมุ่ง สร้างเพื่อวัดให้ครอบคลุมหลักสูตร จึงสร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจําแนก ผู้ตอบตามความเก่งอ่อนได้ดี เป็นหัวใจสําคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทน้ีการรายงานผลการ

32 สอบอาศัยคะแนนมาตรฐาน ซ่ึงเป็นคะแนนท่ีสามารถให้ความหมายแสดงถึงสถานภาพความสามารถ ของบคุ คลนน้ั เมือ่ เปรยี บเทยี บกบั บคุ คลอืน่ ๆ ท่ใี ช้เปน็ กลุ่มเปรียบเทียบ สรุปไดว้ ่า การจะเลือกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน มหี ลายแบบ ทั้งแบบเขียน และแบบเลือกตอบแต่ลักษณะของข้อสอบทด่ี ีนัน้ จะตอ้ งประกอบด้วยความเทีย่ งตรง ความเช่ือมั่น ความ เปน็ ปรนยั อาํ นาจจาํ แนกและความยาก 4.4 ประโยชน์ของการวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น สุรชยั ขวญั เมอื ง (2532 : 22) ไดก้ ลา่ วถึงประโยชน์ของการวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไว้ ดงั นี้ 1. ทําใหผ้ สู้ อนเหน็ เปา้ หมายปลายทางได้ชัดเจน หรือรู้พฤติกรรมปลายทางท่ีคาดได้ อยา่ งแนช่ ดั ย่งิ ข้ึน 2. ทําให้ผู้สอนสามารถประเมินได้ว่านักเรียนมีความสําเร็จในการเรียน คือ เข้าใกล้ เป้าหมายเข้าไปแลว้ เพียงใด 3. ทําใหผ้ ูส้ อนสามารถเห็นทศิ ทางในการพฒั นานักเรียนว่า ไปตรงตามแนวทางท่ีจะ ไปสู่เปา้ หมายเพยี งใด สรุปได้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสามารถทําให้ผู้สอนเห็นเป้าหมายปลายทาง ได้ชัดเจน หรือรู้พฤติกรรมปลายทางท่ีคาดได้อย่างแน่ชัดยิ่งข้ึน ผู้สอนสามารถประเมินได้ว่านักเรียนมี ความสําเรจ็ ในการเรียนหรือไม่มากน้อยเพียงใด แล้วนาํ ส่ิงทป่ี ระเมนิ มาแก้ไข้ปรบั ปรุงเพ่ือพัฒนานักเรียน ต่อไป 5. งานวจิ ยั ทเี่ ก่ยี วข้อง งานวจิ ัยทเ่ี กยี่ วข้องในประเทศ รัชฎา น่ิมทรัพย์ (2551) ศึกษาเรื่อง ผลการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แบบ โครงงานเพอ่ื พัฒนาการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณของผเู้ รยี นช่วงชั้นที่ 4 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรียนพาน พทิ ยาคมซ่ึงผลการวิจยั พบวา่ ผู้เรียนที่เรยี นวิทยาศาสตรต์ ามแผนการจัดการเรยี นการสอนแบบโครงงาน มีระดับการคิดอย่างมีวิจารณญาณสูงข้ึน โดยมีคะแนนเฉลี่ยการคิดอย่างมีวิจารณญาณหลังเรียนสูงกว่า กอ่ นเรยี น อยา่ งมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ 0.05 กฤษฎา คูหาเรือง (2553) ศกึ ษาเร่อื ง การเปรียบเทียบความสามารถในการแกไ้ ข ปัญหาและเจตคติตอ่ วชิ าการงานอาชีพเทคโนโลยขี องนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 ระหวา่ งการจดั การ เรียนรู้แบบโครงงาน และแบบวัฏจกั รการเรยี นรู้ ผลการวจิ ยั พบวา่ นักเรยี นท่ีเรยี นโดยใช้รปู แบบการ สอนแบบโครงงานมีความสามารถในการคิดแก้ปญั หาสงู ขึ้นและมีความสามารถในการคดิ แกป้ ัญหาหลัง เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี น อยา่ งมีนัยสาํ คญั ทางสถิติทีร่ ะดบั 0.01 ณัฐพร เลิศพิทยภูมิ (2549) ศึกษาผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานใน กลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาและพฤติกรรมในการ อนรุ ักษ์ส่ิงแวดลอ้ มของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นสาธิตในกรุงเทพมหานคร พบว่านักเรียนท่ี เรียนวิชาสังคมศึกษาโดยผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานมีคะแนนความสามารถในการ แกป้ ัญหาสงู ข้ึนหลังจากการทดลอง และมีคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาสูงกว่ากลุ่มท่ีเรียนแบบ

33 ปกติ รวมทงั้ มรี ะดบั การเกิดพฤตกิ รรมการอนรุ ักษ์สิง่ แวดลอ้ มสูงข้นึ หลังจากการทดลอง และมีระดับการ เกิดพฤติกรรมการอนุรกั ษส์ ่ิงแวดล้อมสูงกว่ากลุ่มทเ่ี รียนแบบปกติ สปุ รยี ์ บูรณะกนิษฐ (2556) ศกึ ษาผลของการใชเ้ ทคโนโลยีเสริมศักยภาพท่ีแตกต่างกัน ในการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานที่มีต่อความสามารถในการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาในการทํา โปรแกรมหุ่นยนต์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ของโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝา่ ยมัธยม ที่เรียนวิชาการโปรแกรมห่นุ ยนต์ พบว่า 1) นกั เรยี นท้งั สองกลุ่มที่เรียนด้วยการเสริมศักยภาพ แบบยืดหยุน่ และแบบคงทมี่ ีความสามารถในการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติท่ีระดับ .05 และนักเรียนท่ีเรียนด้วยการเสริมศักยภาพแบบยืดหยุ่นและแบบคงที่มี ความสามารถในการคิดวิเคราะห์แตกตา่ งกันอย่างไมม่ ีนัยสําคัญทาง สถิติท่ีระดับ .05 2) นักเรียนทั้งสอง กลมุ่ ที่เรยี นด้วยการเสรมิ ศักยภาพแบบยดื หยุ่นและแบบคงทม่ี ีความสามารถในการแกป้ ญั หาหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และนักเรียนที่เรียนด้วยการเสริมศักยภาพ แบบยืดหยุ่นและแบบคงที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดบั .05 เสาวลักษณ์ วรครบุรี (2559) ศึกษาโปรแกรมพัฒนาการเรียนรู้ท่ียึดโครงงานเป็นฐาน สําหรับห้องเรียนศตวรรษที่ 21 ในโรงเรียนประถมศึกษาขนาดใหญ่ สังกัดสํานักงานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน โรงเรียนบ้านนาก้านเหลือง สํานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 พบว่า โปรแกรมการเรียนรู้ท่ียึดโครงงานเป็นฐานสําหรับห้องเรียนศตวรรษท่ี 21 มีคะแนน บรรยากาศการเรียนการสอนของกลุ่มเป้าหมาย และพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน มีค่าเฉล่ียหลัง การทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีข้อเสนอแนะจากผลการถอด บทเรียนที่ควรคํานึงถึงในการนําโปรแกรมไปใช้คือให้นักเรียนวางแผนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบค รูต้อง ช่วยเหลือดูแลให้คําแนะนํานักเรียนอย่างใกล้ชิดทุกข้ันตอนเน้นการใช้คําถามกระตุ้นให้นักเรียนเกิด ความคิดสรา้ งสรรค์ และระยะเวลาในการจัดการเรยี นรู้ไมค่ วรนานเกินไป ดวงพร อ่มิ แสงจนั ทร์ (2555) การพฒั นาผลการเรียนรเู้ รื่องหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง กับการพัฒนาเศรษฐกจิ ของประเทศ และความสามารถในการแกป้ ัญหาตามขั้นตอนการจดั การเรยี นรู้ แบบโครงงาน ของนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรยี นโพธาวัฒนาเสนี พบวา่ 1) ผลการเรียนรู้ เร่ือง หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาเศรษฐกจิ ของประเทศของนักเรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาหลงั เรียนสูงกว่ากอ่ นเรียน อยา่ งมีนัยสําคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .05 2) พฤติกรรมความสามารถในการแกป้ ัญหา ตามข้ันตอนการจดั การเรยี นรู้แบบโครงงานของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 5 โดยภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง 3) ความสามารถในการทาํ โครงงานของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี5 โดยภาพรวมอยู่ใน ระดบั สงู งานวิจยั ท่เี กย่ี วข้องตา่ งประเทศ Barron (1998) ได้ทําวิจัยเรื่อง Doing with Understanding: Lessons from Researchon Problem and Project-Based Learning. โดยมีวิธีวิจัยคือใช้การสํารวจรายบุคคลและ ให้พวกเขาบรรยายว่ามีส่วนร่วมในโครงงานน้ันอย่างไร จากน้ันสรุปผลด้วยการอภิปราย ผลการวิจัย พบว่ากิจกรรมโครงงานมีผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างมาก ข้อค้นพบคือ กิจกรรมโครงงานมี จุดมุ่งหมายที่เหมาะสมสําหรับการเรียนรู้ท่ีนําไปสู่ความเข้าใจท่ีลึกซึ้ง เป็นรูปแบบการสอนท่ีจะสร้าง ความรู้ให้อยู่กับนักเรียนได้ยาวนาน ทั้งนี้เป็นการเร่ิมต้นกิจกรรมการเรียนรู้แบบแก้ปัญหาก่อนท่ีจะ

34 ดําเนินกจิ กรรมการเรียนการสอนขั้นตอ่ ไป ทําให้มีโอกาสหลากหลายในการประเมินผลด้วยตนเองพัฒนา ทกั ษะทางสังคมและความเปน็ ผนู้ ําได้ Binnie (2002) ศึกษาการใช้โครงงานในการสนับสนุนการคิดเชิงสถิติ พบว่าการใช้ โครงงานจะช่วยอย่างมาก ในการช่วยให้เกิดการเรียนรู้ของผู้เรียน ทําให้ผู้เรียนเกิดมีความกระตือรือร้น สนใจในภาระงาน ทําให้เกิดการคิดและการเรียนรู้สูงขึ้น การใช้ข้อมูลจริงจากการเก็บรวบรวมด้วย ตนเอง เป็นส่วนหน่ึงทเ่ี กดิ การกระตนุ้ ต่อการเรียนรู้ เพราะนักเรียนต้องการท่ีจะรู้และสรุปผลที่ แสดงถึง ความสามารถของตนเอง Wurdinger (2011) ศึกษาวิจัยเชิงสํารวจแบบออนไลน์เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะชีวิต ของนกั เรียนทใี่ ชก้ ารเรยี นรดู้ ว้ ยโครงงาน ผลการวจิ ยั พบว่าการเรียนรู้ด้วยโครงงานสามารถพัฒนาทักษะ การแกป้ ญั หาการคิดสร้างสรรค์และการจัดการเวลาของนักเรยี นให้สงู ข้นึ ได้ Thomas (2000) ที่ทําวิจัยเกี่ยวกับการสอน แบบโครงงานในช่วงปี ค.ศ.1990-2000 พบว่าการสอนแบบโครงงานช่วยเพิ่มทักษะกระบวนการด้านต่างๆ ของนักเรียนรวมทั้งความสามารถ ทางภาษาและผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น จากงานวิจัยข้างต้นจะเห็นได้ว่าการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้ แบบใช้โครงงาน Project - Based Leaning (PBL) น้ันเป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ส่งเสริม ทักษะสําคัญจําเป็นในโลกศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยทักษะที่เรียกตามคําย่อว่า 3Rs + 8Cs 3Rs ประกอบด้วย \" อ่านออก (Reading) \" เขียนได้ (WBiting) “คิดเลขเป็น (ARithmetics)” 8Cs ประกอบด้วย “ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving)” “ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)” “ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross – Cultural Understa)” “ทักษะด้านความรว่ มมือ การทาํ งานเป็นทีม และภาวะผู้นํา (Collaboration Teamwork and Leadership)” “ทักษะด้านการส่ือสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันส่ือ (Communications, Information and Media Literacy)” “ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร (Computing and ICT Literacy)” “ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning Skills)” “ความมีเมตตา กรุณา วินัย คุณธรรม จริยธรรม (Compassion)” (แผนการศึกษา ชาติ พ.ศ.2560 - 2579 19) ซึง่ ทกั ษะดงั กล่าวมีความสาํ คญั จําเป็นในโลกศตวรรษท่ี 21

35 บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนินกำรศกึ ษำ การศึกษาค้นคว้าคร้ังนี้ เพ่ือให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ ผู้ศึกษาจะกล่าวถึง วธิ ดี าเนนิ การซงึ่ จะกลา่ วในรายละเอียดเปน็ ลาดบั ดงั นี้ 1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง 2. ระยะเวลาในการศึกษา 3. เครื่องมือที่ใชใ้ นการศกึ ษา 4. การพฒั นาและหาประสทิ ธิภาพของเครอื่ งมอื ที่ใช้ในการศกึ ษา 5. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 6. การวิเคราะห์ขอ้ มลู 7. สถติ ทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล 1. ประชำกรและกลุม่ ตัวอย่ำง ประชากรทใ่ี ช้ในการศึกษาครั้งน้นี กั ศึกษาระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563 จานวน 30 คน ของกศน.ตาบลเขาชนกนั และกลุ่มตัวอยา่ ง จานวน 15 คน โดยการเลอื ก แบบเจาะจง 2. ระยะเวลำกำรศึกษำ ใช้เวลาในการศึกษากับกลุ่มตัวอย่าง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 1 พฤศจิกายน 2563 - 31 มีนาคม 2564 3. เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ้ นกำรศึกษำ 1. แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ัน มัธยมศึกษาตอนต้น ประกอบด้วย สาระสาคัญ ตัวชี้วัด ขอบข่ายเน้ือหา คุณลักษณะอันพึงประสงค์ กระบวนการจัดการเรียนรู้ สื่อการเรียนการสอน เกณฑ์การวัดผลประเมินผล แหล่งการเรียนรู้/สืบค้น ข้อมูลเพิ่มเติม บนั ทึกหลงั การเรียนรู้ จานวน ๕ เรอื่ ง 2. แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบแบบข้อสอบ ปรนัย จานวน 4 ตวั เลือก 50 ข้อ ใช้สาหรับทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรียน (Pretest-posttest) จานวน 1 ฉบับ 3. แบบประเมินความสามารถในการทาโครงงานของนักศึกษา ระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบ ฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น โดยใชค้ าถามในด้านของการวางแผนการทางาน กระบวนการทางาน ผลงาน และการนาเสนอ กำรสรำ้ งและตรวจสอบคณุ ภำพเครื่องมือ ผู้ศกึ ษาไดด้ าเนินการสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือทใี่ ช้ในการศึกษา รายละเอียด ดงั นี้ 1. แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้น มธั ยมศกึ ษาตอนต้น มีขนั้ ตอนกำรสร้ำงและตรวจสอบคุณภำพ ดังน้ี 1.1 ศึกษาเอกสาร ตารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการทาแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาตอนต้นและกระบวนการสอน

36 1.2 ศึกษาหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ปรับปรุง 2555) 1.3 กาหนดโครงสรา้ งของแบบฝึกทกั ษะการเรียนรเู้ ร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาตอนต้น มีหัวข้อต่าง ๆ ดงั นี้ ลาดบั เรอื่ ง สาระสาคญั ตวั ช้ีวดั ขอบข่ายเนอื้ หา เวลาเรียน ดังตารางท่ี 3 ตารางท่ี 3 โครงสรา้ งของแบบฝกึ ทกั ษะการเรียนรเู้ รอื่ งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เรอ่ื ง สำระสำคัญ ตวั ชี้วดั ขอบข่ำยเนื้อ เวลำเรยี น (ชม) 1.การกาหนด การที่จะเลือกเร่ืองหรือ นักศกึ ษาสามารถ ปัญหา/ประเดน็ ที่ การวิเคราะห์สภาพ 2 สนใจ หัวขอ้ ทีจ่ ะทาโครงงาน วเิ คราะหก์ าร ปญั หา หรือสิง่ ท่ี สนใจศกึ ษาภายใน วิทยาศาสตรน์ ้ัน กาหนดปญั หา/ กศน.ตาบล ใน ทอ้ งถ่นิ จนสามารถ จาเป็นต้องมีการสารวจ ประเดน็ ทส่ี นใจ เลือกเร่ืองท่ีจะ ทา โครงงาน ศกึ ษาและ วิเคราะห์ และเขียนเค้าโครง สภาพปัญหาตา่ ง ๆ ทัง้ โครงงาน ใน กศน. ตาบล ใน วทิ ยาศาสตร์ ทอ้ งถน่ิ ตามความสนใจ และระดับความรู้ของ นกั ศกึ ษา โดยมีการ ร่วมมือกันทางานอย่าง มรี ะเบยี บวินยั มีความ รบั ผิดชอบและใจกว้าง ยอมรบั ฟังความคิดเห็น ของผู้อืน่ 2.การรวบรวม ในการจัดทาโครงงาน นักศกึ ษาสามารถ การเลือกเอกสารท่ี 2 ขอ้ มลู ท่ีเกยี่ วข้อง วิทยาศาสตร์ ให้ ศกึ ษาเอกสาร และ เก่ยี วขอ้ งใน สามารถดาเนินงาน แหลง่ ข้อมลู อืน่ ๆท่ี การศึกษา คน้ คว้า วางแผนและมีคณุ ภาพ เกีย่ วข้องกับการ จะช่วยให้นักศึกษา นัน้ ยอ่ มขึน้ อยู่กับ การ จดั ทาโครงงาน ไดแ้ นวคิดท่ีจะ เลอื กเอกสารที่ วทิ ยาศาสตร์ ใน กาหนดขอบข่าย เก่ียวขอ้ งในการศกึ ษา เร่อื งท่ีนักเรียน ของเร่ืองทีจ่ ะศึกษา ค้นควา้ จะชว่ ยให้ สนใจเลือกทาได้ ค้นคว้าให้ นักศกึ ษาไดแ้ นวคิดทจี่ ะ เฉพาะเจาะจงมาก กาหนดขอบข่ายของ ขึน้ และได้ความรู้ เร่อื งที่ จะศกึ ษาคน้ ควา้ ในเรอื่ งทจ่ี ะ

ให้เฉพาะเจาะจงมาก ทาการศึกษา 37 ข้ึน และไดค้ วามรใู้ น เพ่ิมเติมมากขน้ึ จน 2 2 เร่อื งที่จะทาการศึกษา สามารถนามาใช้ใน เพ่ิมเติมมากขึ้น จน การทาโครงงาน สามารถ ออกแบบและ วิทยาศาสตร์ วางแผนดาเนินการ แหล่งขอ้ มลู ใน จัดทาโครงงาน การศึกษาคน้ คว้า วิทยาศาสตรไ์ ด้อย่าง เหมาะสม 3.การออกแบบ ในการจัดทาโครงงาน นักศึกษาสามารถ หลักการเขียนเคา้ และดาเนิน กจิ กรรมโครงงาน ให้เกิดประโยชนแ์ ละมี วางแผนและ โครงของโครงงาน 4.การออกแบบ คุณภาพนัน้ ย่อมขึน้ อยู่ ดาเนินงานเขยี นเค้า วทิ ยาศาสตร์ และดาเนนิ กจิ กรรมโครงงาน กบั การวางแผน และ โครงของโครงงาน ออกแบบ การ ในเรอื่ งที่นักเรยี น ดาเนินงาน ซึง่ หลกั การ สนใจเลอื กทาได้ ดังกล่าวเกิดจากการ เขียนเค้าโครงของ โครงงาน หากมีการ ออกแบบวางแผน ดาเนนิ งานทีด่ ี ย่อมทา ให้การดาเนินงาน โครงงานสาเร็จไดแ้ ละมี คณุ ภาพ ในการจดั ทาโครงงาน นกั ศึกษาสามารถ หลกั การเขียนเคา้ ให้เกดิ ประโยชนแ์ ละมี วางแผนและ โครงของโครงงาน คณุ ภาพนน้ั ย่อมขึน้ อยู่ ดาเนินงานเขียนเค้า วทิ ยาศาสตร์ กบั การวางแผน และ โครงของโครงงาน ออกแบบ การ ในเรอ่ื งที่นักเรยี น ดาเนินงาน ซ่ึงหลักการ สนใจเลือกทาได้ ดังกลา่ วเกิดจากการ เขียนเคา้ โครงของ โครงงาน หากมีการ ออกแบบวางแผน ดาเนนิ งานทดี่ ี ย่อมทา ให้การดาเนินงาน โครงงานสาเร็จได้และมี คณุ ภาพ

5.การนาเสนอ การแสดงผลงานเป็น นกั ศกึ ษาสามารถ การดาเนินการจดั 38 โครงงาน งานขั้นสดุ ทา้ ยและ ดาเนินการจัด นทิ รรศการและ สาคัญอีกประการหนงึ่ นิทรรศการและ หลกั การนาเสนอ 2 ของการทาโครงงาน นาเสนอผลงาน ผลงานโครงงาน เป็นการเสนอ ผลงานท่ี โครงงาน วิทยาศาสตร์ตาม 10 ไดศ้ ึกษาค้นคว้า ใหค้ น วิทยาศาสตรใ์ นเรือ่ ง แผนทว่ี างไว้ อืน่ ได้รบั รแู้ ละเข้าใจถงึ ที่ นกั เรยี นสนใจ ผลงาน การวางแผน เลือกทาได้ ออกแบบเพอื่ จัดแสดง ผลงานนน้ั มี รวมเวลา ความสาคญั เท่าๆกบั การทาโครงงาน การ แสดงผลงานน้นั อาจทา ได้ในรูปแบบต่างๆ กนั เช่น การแสดงในรูป นทิ รรศการ ซ่ึงมที งั้ การ จดั แสดงและการ อธบิ ายดว้ ยคาพูดหรอื ในรปู ของการจดั แสดง โดยไม่มีการอธบิ าย ประกอบ หรอื ในรูป ของการรายงานแบบ ปากเปลา่ ไมว่ ่าการ แสดงผลจะอยูใ่ น รปู แบบใดควรจัดให้ ครอบคลุม ประเดน็ ตา่ งๆ สาหรบั ในข้นั กิจกรรมการเรียนรู้ ผู้ศกึ ษากาหนดขนั้ ตอนการจดั การเรยี นรู้ 5 ขน้ั ตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.3.1 ขน้ั นาเข้าสู่บทเรียน ครูซักถามนักศึกษาเก่ียวกับประสบการณ์เดิม เป็นขั้นที่ ครู กระตุ้นให้นักศึกษาสนใจในเนื้อหาท่ีกาลังจะเรียน หรือทบทวนประสบการณ์เดิม หรือความรู้เดิม ท่ี เกย่ี วขอ้ ง 1.3.2 ข้ันทบทวนประสบการณ์เดิม ครูเช่ือมโยงส่ิงที่นักศึกษารู้แล้วกับสิ่งที่ นักศึกษา กาลงั เรยี นอยู่นามาผสานกัน ครยู อมรับในความคิดแปลกใหม่ของนักศึกษาและร่วมสารวจ ทดลอง หรือ การสรา้ งช้ินงาน

39 1.3.3 ข้ันสร้างสรรค์ช้ินงาน ครูให้นักศึกษาอธิบายแผนการทางานผ่านแผนผัง ความคิดเก่ียวกับงานท่ีนักศึกษาสนใจ จากน้ันนักศึกษาเริ่มลงมือปฏิบัติการสร้างงานด้วยการค้นหา ขอ้ มลู การทดลอง และการสร้างช้ินงาน เป็นต้น 1.3.4 ข้นั เสนอผลงาน/ แสดงความคดิ เหน็ นกั ศึกษาคดิ และพดู อธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่ ได้ กระทาลงไปแล้วให้เพ่ือน ๆ และครูรับรู้ ครูเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แลกเปล่ียนความคิดเห็นกัน และ กัน 1.3.5 ขน้ั สรุปและประเมินผล ครแู ละนกั ศกึ ษาร่วมกันสรุปกระบวนการเรียนรู้ท่ี ได้รับ ครูและนักศึกษาร่วมกันวิเคราะห์การนาเสนองานด้านองค์ประกอบของช้ินงานที่นักศึกษาได้ นาเสนอ และแลกเปล่ียนความคิดเห็นกัน ครใู หค้ าปรึกษาแกน่ ักศึกษาว่าควรแก้ไขชิ้นงานอยา่ งไรให้ ดขี น้ึ 1.4 นาแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนต้นเสนอต่อ ผู้เช่ียวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมแล้วปรับปรุงแก้ไขตาม คาแนะนา 1.5 นาแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ัน มัธยมศึกษาตอนต้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญดังมีรายช่ือใน ภาคผนวก จานวน 5 คน ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้าน เน้ือหา 2 คน ด้านการจัดการเรียนรู้ 2 คน และ ด้านการวัดและประเมินผล 1 คน เพ่ือตรวจสอบความ ถูกต้องด้านภาษาและความเที่ยงเชิงเนื้อหา (Content validity) เป็นผู้ประเมินความเหมาะสมของ แผนการจดั การเรยี นรู้โดยมีเกณฑ์การให้ คะแนนดงั นี้ (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2545, หน้า 102-103) คะแนน 4.50-5.00 หมายถึง มคี วามเหมาะสมในระดบั มากท่สี ุด คะแนน 3.50-4.49 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมในระดับมาก คะแนน 2.50-3.00 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดับปานกลาง คะแนน 1.50-2.49 หมายถึง มีความเหมาะสมในระดบั น้อย คะแนน 1.00-1.49 หมายถึง มคี วามเหมาะสมในระดับน้อยท่สี ุด 1.6 ผลการประเมินความสอดคล้องและความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่อง โครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโดยผู้เช่ียวชาญ 5 ท่าน พบว่า มีค่าเฉล่ียอยู่ระหว่าง 3.50-4.49 ค่าเฉลี่ยรวม 4.16 ซ่ึงถือว่า มีความสอดคล้องและมีความ เหมาะสมในระดบั มาก 1.7 นาแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนต้นที่ปรับปรุงแก้ไข ตามคาแนะนาของผู้เช่ียวชาญ ไปทดลองใช้ (Try out) กับกลุ่ม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จานวน 15 คน กศน.ตาบลแม่วงก์ กศน.อาเภอแม่วงก์ ซ่ึงมี ลักษณะ ใกล้เคียงกับกลุ่มตัวอย่างและไม่เคยเรียนมาก่อนเพ่ือตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ พบว่า ประสิทธิภาพ ของแผนการจัดการเรียนรู้มคี า่ E / E เท่ากบั 83.44/ 82.48 1.8 จัดพมิ พ์แผนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเพ่อื นาไปทดลองใช้กับกลมุ่ ตวั อยา่ ง

40 2. แบบทดสอบผลสัมฤทธท์ิ ำงกำรเรียน เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู เป็นแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน แบบฝึกทักษะ การเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโดยใช้การ จัดการเรียนรแู้ บบโครงงาน ซึ่งใชท้ ดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยเป็นข้อสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 50 ข้อ ใชท้ ดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน จานวน 1 ฉบบั มขี น้ั ตอน การสร้าง ดงั น้ี 2.1 หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง 2555) ของระดับมัธยมศึกษาตอนต้น การวัดและประเมินผลการเรียนรู้และเอกสารท่ี เก่ียวขอ้ งกบั วิธกี ารสรา้ ง แบบทดสอบปรนัย 2.2 วเิ คราะหเ์ น้อื หาสาระ ตวั ชีว้ ดั การเรียนร้เู พ่ือพิจารณาระดับ พฤติกรรมและทักษะ สัมพนั ธก์ ับเน้อื หา และกิจกรรมแล้วสร้างตารางวิเคราะห์ข้อสอบ (Test Blueprint) ที่วัดพฤติกรรมการ เรียนรู้ 5 ระดบั คือ วัดความรู้ ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ และการประเมนิ คา่ 2.3 สรา้ งแบบทดสอบผลสัมฤทธท์ิ างการจัดการเรียนรู้แบบฝึกทักษะการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น ที่เป็นข้อสอบปรนัย ชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 60 ข้อ ต้องการใช้จริง 50 ขอ้ 2.4 นาแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์แบบฝกึ ทักษะการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมธั ยมศึกษาตอนตน้ เสนอต่อผูเ้ ช่ียวชาญเพื่อตรวจสอบความถกู ต้อง และความเหมาะสมแลว้ ปรบั ปรงุ แก้ไข ทดสอบตามคาแนะนา และนาไปให้ผเู้ ช่ยี วชาญ จานวน 5 ท่าน ในขอ้ 1.5 ประเมินความสอดคลอ้ ง ระหวา่ งเน้ือหาของขอ้ สอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.5 นาแบบทดสอบท่ีได้รับการตรวจสอบจากผู้เช่ียวชาญมาประเมินมาหาค่าดัชนี ความสอดคล้อง (IOC) และคัดเลือกข้อสอบท่ีมีค่าดัชนีความสอดคล้องท่ีมีค่าตั้งแต่ .05 ข้ึนไป ผล การ ประเมินความสอดคล้องและความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยผู้เช่ียวชาญจานวน 5 ท่าน พบว่า มแี บบทดสอบปรนัยท่ีใช้ไดท้ ง้ั หมด 50 ข้อ มคี ่าดชั นี ความสอดคล้องเท่ากับ .60-1.00 และปรับตัวเลือก บางขอ้ เพอื่ ใหไ้ ดค้ าตอบไปในทิศทางเดยี วกนั 2.6 นาแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนต้นไปทดลองใช้ กับ (Try out) นักศึกษามัธยมศึกษา ตอนต้น จานวน ๑๕ คน ของกศน.ตาบลแม่วงก์ ศูนย์การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย อาเภอแม่วงก์ อาเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 ซ่ึงมีลักษณะ คล้ายคลึง กับกศน.ตาบลเขาชนกัน เป็นกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวกับท่ีทดลองใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้ เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อตรวจสอบ คุณภาพเครือ่ งมอื 2.7 นาผลการทดสอบของข้อสอบปรนัยท่ีได้ไปวิเคราะห์หาความยากง่ายและหาค่า อานาจจาแนกของแบบทดสอบเป็นรายข้อ คัดเลือกข้อสอบที่มีค่าความยากง่าย (n) อยู่ระหว่าง 0.20- 0.80 และค่าอานาจจาแนก (r) ตั้งแต่ 20 ขึ้นไป จานวน 50 ข้อ โดยต้องมีค่าความเช่ือม่ันของ แบบทดสอบท้งั ฉบับตง้ั แต่ 70 ขน้ึ ไป (พงศเ์ ทพ จริ ะโร, 2552, หน้า 18-19) และหาค่าความเช่ือม่ัน ของ แบบทดสอบท้ังฉบับโดยใช้สูตร KR-20 ผลการวิจัยพบว่า ค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.30-0.68

41 ค่าอานาจจาแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.25-0.59 และมาวิเคราะห์หาค่าความเช่ือมั่นของข้อสอบท้ังฉบับ พบว่า คา่ ความเชอื่ มัน่ ของแบบทดสอบท้ังฉบบั มีคา่ เท่ากับ 0.89 2.8 จัดพิมพ์แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีผ่านเกณฑ์แล้วเพื่อนาไปทดสอบ กับกลุ่มตวั อยา่ ง ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ต่อไป 3. แบบประเมินควำมสำมำรถในกำรทำโครงงำน แบบประเมินความสามารถในการทาโครงงานเป็นแบบสังเกตพฤติกรรมของนักศึกษา โดยการ วดั และประเมนิ ตามสภาพจรงิ ทใ่ี ช้การประเมินแบบรบู ริค (Rubric assessment) บรรยาย คณุ ภาพ ของงานท่ีแสดงความสามารถของนักศึกษาออกมาเปน็ มาตรวดั มขี ้นั ตอนการสร้างเครื่องมือ ดงั นี้ (ชยั รตั น์ ถอุ านาจ, 2547, หน้า 129) 3.1 ศึกษาแนวคิด เอกสารและงานวจิ ยั เกย่ี วกับการจัดการเรยี นรแู้ บบโครงงาน 3.2 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยเกี่ยวกับการวัดและประเมินผลตามสภาพจริงท่ีใช้ ในการประเมินแบบรูบริค (Rubric assessment) เพื่อนามาเป็นข้อมูลสร้างแบบประเมินความสามารถ ในการทาโครงงานของนกั ศึกษา 3.3 นาขอ้ มลู ทีไ่ ดจ้ ากการศกึ ษามาสร้างแบบประเมินความสามารถในการทา โครงงาน กาหนดประเด็นในการประเมิน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ความสามารถด้านการวางแผนการทางาน 2) ความสามารถดา้ นกระบวนการทางาน และ 3) ความสามารถด้านผลงานและการนาเสนอ 3.4 สร้างแบบสังเกตพฤติกรรมของนักศึกษา โดยวัดความสามารถในการทาแบบฝึก ทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นเป็น การวัดและประเมินผลตามสภาพจริงท่ีใช้การประเมินแบบรูบริค (Rubric assessment) บรรยาย คุณภาพของงานที่แสดงความสามารถของนักเรียนออกมาเป็นมาตรวัด ซ่ึง ผู้วิจัยปรับปรุงจากแบบ ประเมินผลการทาโครงงานของ ดวงพร อิ่มแสงจันทร์ (2554, หน้า 106) โดยกาหนดเกณฑ์การให้ คะแนนความสามารถการทาโครงงานใช้แบบมาตรประเมินค่า 3 ระดับ คือ 3 หมายถึง สูง, 2 หมายถึง ปานกลาง, 1 หมายถึง ต่า ใช้เกณฑก์ ารแปลความหมาย ดังน้ี ค่าเฉลี่ย 2.50-3.00 หมายถึง ความสามารถในการทาโครงงานอยู่ในระดับสูง ค่าเฉล่ีย 1.50-2.49 หมายถึง ความสามารถในการทาโครงงานอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉล่ีย 1.00-1.49 หมายถึง ความสามารถในการทาโครงงานอยู่ในระดบั ต่า 3.5 นาแบบประเมินความสามารถในการทาแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นท่ีสร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชียวชาญ เพื่อ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งเหมาะสมแลว้ ปรับปรงุ แก้ไขตามคาแนะนา 3.6 นาแบบประเมินความสามารถในการทาแบบฝึกทักษะการเรียนรเู้ รอ่ื งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาตอนต้น ไปใหผ้ ู้เชีย่ วชาญ จานวน 5 ท่าน ในขอ้ 1.5 ตรวจในส่วนของสานวนภาษาและความถกู ต้องของขอ้ คาถาม แลว้ นาไปปรบั ปรุง

42 3.7 นาแบบทดสอบทไี่ ดร้ ับการตรวจสอบจากผู้เชีย่ วชาญจานวน 5 ท่าน มาประเมนิ มาหาคา่ ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) และคัดเลือกข้อคาถามทมี่ ีค่าดัชนคี วามสอดคลอ้ งท่ีมีค่าตงั้ แต่ .05 ข้นึ ไป พบว่า มีแบบวัดความสามารถในการทาโครงงานทีใ่ ช้ได้ท้งั หมด 37 ข้อ มีค่าดัชนี ความสอดคลอ้ ง เท่ากบั .60-1.00 และปรบั ภาษารายการประเมนิ บางข้อ เน่อื งจากมีความซ้าซอ้ นกัน 3.8 นาแบบประเมินความสามารถในการทาแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น ที่ปรับปรุงแก้ไขตามคาแนะนา ของ ผู้เชี่ยวชาญ ไปทดลองใช้กับ (Try out) นักศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น จานวน 15 คน กศน.ตาบล แมว่ งก์ ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ภาคเรียน ท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 กลุ่มเดียวกับท่ีทดลองใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษาตอนตน้ ซงึ่ มีลกั ษณะใกลเ้ คยี งกับกล่มุ ตัวอย่าง 3.9 นาแบบประเมินความสามารถในการทาแบบฝึกทักษะการเรยี นรู้เรือ่ งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศกึ ษาตอนต้นทีป่ รบั ปรุงแล้วไปจัดพิมพ์ และ นาไปใชจ้ รงิ กบั กลุม่ ตัวอยา่ ง ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563 วิธีดำเนนิ กำรทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล รูปแบบของกำรทดลอง การวิจยั ในครง้ั น้เี ป็นการวจิ ัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) แบบหน่ึงกลุ่ม สอบ กอ่ น-สอบหลัง (One group pretest-posttest design) รูปแบบการทดลองเขยี นเป็นแผนภาพได้ ดงั น้ี (ชูศรี วงศ์รัตนะ และองอาจ นยั พฒั น์, 2551, หนา้ 42) กลุ่ม กอ่ น ทดลอง หลงั E T1 X T2 ความหมายของสญั ลกั ษณ์ท่ีใชใ้ นการทดลอง E หมายถงึ กลุ่มทดลอง T1 หมายถึง การทดสอบกอ่ นเรียน X หมายถงึ การจดั การเรยี นรแู้ บบโครงงาน T2 หมายถงึ การทดสอบหลังเรียน กำรดำเนนิ กำรทดลอง 1. ผู้ศกึ ษาได้อธิบายชแ้ี จงทาความเขา้ ใจและข้อตกลงกับนักเรยี นทเ่ี ป็นกลุ่มตัวอย่างใน เรอ่ื ง การเรยี น เวลาเรียน และวิธกี ารในแบบฝกึ ทักษะการเรียนรู้เรอ่ื งโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาตอนตน้ ซง่ึ เปน็ ไปตามข้ันตอนของ กระบวนการจริยธรรมวิจยั 2. ทาการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) โดยให้นกั เรยี นกลุ่มตัวอย่างทาแบบทดสอบวัดผล สมั ฤทธิท์ างการเรยี นแบบฝกึ ทักษะการเรยี นรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาตอนต้น เพือ่ นาคะแนนท่ีได้เปน็ คะแนนทดสอบก่อนเรยี น 3. ดาเนินการทดลองโดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาตอนต้น จานวน 5 เร่ือง ท่ีผู้ศึกษาสร้างข้ึนมาทาการสอน ใช้เวลา

43 ในการสอนทัง้ หมด 10 ช่ัวโมง เมอ่ื จบการจดั การเรียนรู้ตาม แบบฝึกทักษะการจดั การเรียนรู้ ครูประเมิน ความสามารถในการทาโครงงานของนกั เรยี นโดยใชแ้ บบประเมิน ความสามารถในการทาโครงงาน 4. เมื่อสิ้นสุดการจัดการเรยี นรู้แบบฝกึ ทักษะการจดั การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น ตามการทดลองแล้ว ผู้วิจัยทาการทดสอบ หลังเรียน (Post-test) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบฝึกทักษะการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ใช้เวลา 1 ช่ัวโมง แล้วบันทึกผลการ สอบไวเ้ ป็นคะแนนทดสอบหลังเรยี น 5. นาคะแนนที่เก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นแบบฝึกทักษะการจดั การเรียนรูแ้ บบโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น แบบประเมินความสามารถในการทาโครงงานมา วิเคราะหโ์ ดยใชว้ ิธกี ารทางสถิติ กำรวเิ ครำะหข์ ้อมลู 1. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเรียนรู้เรื่องโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/ 80 ด้วยโปรแกรม คอมพิวเตอร์สาเรจ็ รูป 2. เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการ เรียนรู้เร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โดยใช้สูตร t-test แบบ Dependent samples ดว้ ยโปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ าเร็จรปู 3. ศึกษาความสามารถในการทาโครงงานของนกั ศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น หลังจากการจัดการ เรยี นรู้แบบฝกึ ทกั ษะการเรียนร้เู ร่ืองโครงงาน (Project - Based Leaning : PBL) ระดับชั้นมัธยมศึกษา ตอนต้น โดยหาค่าเฉล่ยี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานด้วยโปรแกรม คอมพวิ เตอรส์ าเร็จรูป สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นกำรวเิ ครำะห์ข้อมลู 1. สถติ พิ ื้นฐำน ได้แก่ 1.1 ค่าเฉลี่ย (Mean) โดยใชส้ ตู รดงั น้ี (สมนกึ ภัททยิ ธนี, 2549, หน้า 238-239) เม่ือ แทน ค่าเฉลย่ี (๓) f แทน ความถ่ขี องคะแนนแต่ละตัว X แทน คะแนนแต่ละตัว N แทน จานวนทงั้ หมด 1.2. ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้สูตร ดงั นี้ (สมนกึ ภัททยิ ธนี, 2549, หน้า 251) เมอ่ื SD 3 แทน ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (4)

44 f แทน ค่าความถี่ของคะแนนแต่ละตัว x แทน ค่ากลางของแต่ละตวั N แทน จานวนคนท้ังหมด 2. สถิติท่ีใชใ้ นกำรตรวจสอบคณุ ภำพเคร่อื งมือ 2.1 หาคา่ ความสอดคลอ้ งระหว่างจดุ ประสงค์การเรียนร้กู ับแบบวัดแต่ละขอ้ ของแบบ วดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น แบบประเมินความสามารถในการทาโครงงาน โดยใชด้ ัชนี ความสอดคล้อง ระหว่างจดุ ประสงค์การเรยี นรู้กับแบบวดั แตล่ ะข้อ (IOC) (สมนึก ภทั ทยิ ธนี, 2549, หน้า 220) (5) เมือ่ IOC แทน คา่ ดชั นคี วามสอดคล้อง แทน ผลรวมของการพิจารณาของผู้เช่ยี วชาญ N แทน จานวนผ้เู ชีย่ วชาญ 2.2 หาค่าความยากง่าย (p) และค่าอานาจจาแนก (r) ของแบบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทาง การ เรียน แบบประเมนิ ความสามารถในการทาโครงงานเปน็ รายขอ้ และใช้เทคนิค 27% จากตาราง วิเคราะหข์ ้องสอบของจุง เตห์ ฟาน (สมนึก ภทั ทยิ ธนี, 2549, หนา้ 200-206) (๖) (๗) เม่ือ แทน สมั ประสทิ ธิข์ องความ เชื่อมน่ั ของแบบทดสอบทั้งฉบับ n แทน จานวนขอ้ ของแบบทดสอบ p แทน สัดสว่ นของผตู้ อบถกู ในแต่ละข้อ q แทน สดั สว่ นของผู้ตอบผดิ ในข้อหนึ่งๆ แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบบั N แทน จานวนผูเ้ รยี น 2.3 หาความเช่ือมั่นของแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบประเมิน ความสามารถในการทาโครงงาน โดยใช้สูตร KR-20 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson) คานวณไดจ้ ากสตู ร (สมนึก ภทั ทิยธนี, 2549, หนา้ 223) (8) เมอื่ = คา่ ความเชอื่ ม่นั ของเคร่ืองมือ K = จานวนขอ้ ของเคร่ืองมือ