ประกาศสำนักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษากระบ่ี เร่ือง ใหใ้ ช้กรอบหลกั สตู รระดบั ท้องถนิ่ สำนกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศึกษากระบี่ ----------------------------------------------- ด้วยกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดการศึกษาในยุค Thailand 4.0 โดยมีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมาย และกรอบทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็น คนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตท่ีดี และมีความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับโลก พร้อมท้ังปรับ กระบวนการพัฒนาหลักสูตร ให้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์ แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ซ่ึงมุ่งเน้นกระจายอำนาจทางการศึกษา ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และ สถานศึกษาได้มีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร ให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น ให้เป็นไปตามแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ จึงได้จัดทำกรอบหลักสูตรท้องถิ่น ให้เป็นไปตาม ที่กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานกำหนด เพ่ือใช้เป็นกรอบ ในการสร้างหลักสูตรสถานศึกษาที่สอดคล้องและสนองต่อความต้องการของท้องถิ่น ท้ังนี้ เพื่อปลูกฝังให้ ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับท้องถิ่น เกิดความรักความผูกพัน มีเจตคติที่ดี และภาคภูมิใจในถ่ิน กำเนิดของตน นำส่ิงดีงามท่ีมีในท้องถ่ินมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง สังคม และดำรงชีวิต อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข การดำเนินการจัดทำกรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่น สำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษากระบ่ี ครั้งนี้ โดยความร่วมมือจากตัวแทนฝ่ายต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ซ่ึงประกอบด้วย ๓ ขัน้ ตอน คอื ขน้ั ที่ ๑ ขน้ั ร่างกรอบหลักสตู ร ขัน้ ท่ี ๒ ขน้ั ประชาพิจารณ์ ข้ันที่ ๓ ขั้นขออนุมัตคิ วามเหน็ ชอบจากคณะกรรมการ ทั้งนี้ กรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่น สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษากระบ่ีได้รับ ความเห็นชอบจากคณะกรรมการ เม่ือวันที่ 18 เดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖5 เพื่อให้สถานศึกษาได้นำ กรอบหลักสูตรระดบั ท้องถิ่นไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรยี นการสอนต่อไป จึงประกาศให้ใช้กรอบหลักสูตรระดับท้องถ่ิน สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษากระบี่ ต้งั แต่บัดนเ้ี ป็นต้นไป ประกาศ ณ วนั ท่ี 18 เดอื น มนี าคม พุทธศักราช ๒๕๖5 (นายสพล ชูทอง) ผอู้ ำนวยการสำนกั งานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษากระบี่ สำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษากระบี่ ก
คำนำ ----------------------------------------------- ตามท่ีกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยกำหนดให้สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาจัดทำกรอบหลักสูตรระดับท้องถ่ิน ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษา ขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) และความต้องการของ ท้องถิน่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ได้จัดทำกรอบหลักสูตรระดับท้องถ่ิน โดยความร่วมมือจากตัวแทนฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามขั้นตอนเริ่มตั้งแต่ ข้ันร่างกรอบหลักสูตร ชัน้ ประชาพิจารณ์ และชนั้ ขออนมุ ัติความเหน็ ชอบจากคณะกรรมการเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษา กรอบหลักสูตรระดับท้องถ่ินเล่มน้ีประกอบด้วย ๕ ส่วน คือ บทนำ เป้าหมายและจุดเน้น สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น การประเมินคุณภาพผู้เรียนระดับท้องถ่ิน และการนำกรอบสาระการเรียนรู้ระดับ ท้องถ่ินสู่การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาเพ่ือให้โรงเรียนนำกรอบและแนวทางไปจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ตอ่ ไป กลมุ่ นเิ ทศตดิ ตามและประเมนิ ผลการจัดการศกึ ษา สำนักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบ่ี สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษากระบี่ ข
สารบัญ ----------------------------------------------- ประกาศ บทนำ หน้า คำนำ ความเป็นมา ก สารบญั วตั ถปุ ระสงค์ ข ส่วนท่ี ๑ ขั้นตอนการดำเนินงานจัดทำกรอบหลกั สูตรระดบั ทอ้ งถน่ิ ค องค์ประกอบสำคัญของกรอบหลักสูตรระดับทอ้ งถน่ิ 1 ส่วนท่ี 2 แผนผังการพฒั นากรอบหลกั สตู รระดับท้องถิ่น 1 เปา้ หมายและจดุ เน้น 4 สว่ นท่ี ๓ วิสยั ทัศน์ 5 ส่วนท่ี ๔ จุดหมาย 7 สว่ นท่ี ๕ เปา้ หมาย 9 จุดเน้นคุณภาพผู้เรยี น 10 คณุ ลกั ษณะของผ้เู รยี นตามสมรรถนะ 6 ดา้ น 10 นโยบายและจุดเนน้ สพป.กระบ่ี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 10 สาระการเรยี นรู้ท้องถิน่ 10 โครงสรา้ งกรอบหลักสูตรระดับทอ้ งถ่นิ สำนักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษากระบี่ ๑๑ การประเมนิ คณุ ภาพผเู้ รียนระดบั ทอ้ งถ่ิน 11 แนวทางในการวัดและประเมนิ ผลผ้เู รยี นตามกรอบหลักสตู รระดบั ทอ้ งถิ่น 11 การนำกรอบหลักสตู รระดบั ทอ้ งถิน่ สูก่ ารพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 14 บรรณานุกรม ๕๗ ภาคผนวก ๙๓ ๙๓ ภาคผนวก ๑ เอกสารหลกั สูตร/เอกสารเพิม่ เติม (ควิ อาร์โค้ด) ๑๐๐ ภาคผนวก ๒ อภธิ านศัพท์ ๑๐๒ ภาคผนวก ๓ คณะกรรมการจดั ทำหลักสตู รระดบั ท้องถน่ิ ๑๐๕ ๑๑๓ ๑๒๑ สำนักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ค
สว่ นที่ ๑ บทนำ กรอบหลกั สตู รระดับท้องถนิ่ โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษากระบ่ี ความเปน็ มา กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 โดยได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์ จุดหมาย สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพ่ือใช้เป็นทิศทางในการจัดทำหลักสูตร การเรียนการสอน ในแต่ละระดับ นอกจากน้ันได้กำหนดโครงสร้างเวลาเรียนพ้ืนฐานของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ในแต่ละ ชั้นปีไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน และเปิดโอกาสให้สถานศึกษาเพิ่มเติมเวลาเรียน ได้ตามความพร้อมและจุดเน้น อีกทั้งได้ปรับกระบวนการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เกณฑ์การจบ การศึกษาแต่ละระดับ และเอกสารแสดงหลักฐานทางการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ และมีความชัดเจนตอ่ การนำไปปฏิบตั ิ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จัดทำข้ึนสำหรับท้องถ่ินและ สถานศึกษาได้นำไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา และจัดการเรียนการสอนเพื่อ พัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานให้มีคุณภาพด้านความรู้ และทักษะที่จำเป็น สำหรับการดำรงชีวิตในสังคมท่ีมีการเปลี่ยนแปลง และแสวงหาความรู้เพ่ือพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ือง ตลอดชีวติ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดท่ีกำหนดไว้ จะช่วยทำให้หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องในทุกระดับ เห็นผลคาดหวัง ที่ต้องการในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนท่ีชัดเจนตลอดแนว ซึ่งจะสามารถ ช่วยให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องในระดับท้องถ่ินและสถานศึกษาร่วมกันพัฒนาหลักสูตรได้อย่างม่ันใจ ทำให้ การจัดทำหลักสูตรในระดับสถานศึกษามีคุณภาพและมีความเป็นเอกภาพย่ิงขึ้น อีกท้ังยังช่วยให้เกิด ความชัดเจนเร่ืองการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และช่วยแก้ปัญหาการเทียบโอนระหว่างสถานศึกษา ดังน้ันในการพัฒนาหลักสูตรในทุกระดับตั้งแต่ระดับชาติจนกระทั่งถึงสถานศึกษา จะต้องสะท้อนคุณภาพ ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน รวมท้ัง เป็นกรอบทิศทางในการจัดการศึกษาทุกรูปแบบ และครอบคลุมผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมายในระดับการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน การพัฒนาและใช้หลักสูตรจะประสบความสำเรจ็ ได้ จำเป็นต้องอาศัยการบริหารจัดการหลักสูตร ท่ีมีประสิทธิภาพ ทุกฝ่ายที่เก่ียวข้องต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนตรงกันเกี่ยวกับหลักสูตร รวมทั้งเข้าใจถึง บทบาทหน้าที่ของตนเอง และสามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตอ่ การพฒั นาคุณภาพผเู้ รียน
แนวทางการบริหารจัดการหลักสูตรตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 การบริหารจัดการหลักสูตรในยุคปัจจุบันซึ่งมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถ่ินและสถานศึกษา ให้มีส่วนร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ในการพัฒนาหลักสูตรของตนเอง ครอบคลุมหลายมิติ เกี่ยวข้องกับ บุคคลหลายฝ่ายในท้องถ่ิน และต้องอาศัยองค์ประกอบปัจจัยเก้ือหนุนต่างๆ มากมาย เพ่ือการปรับปรุง พัฒนาการเรียนการสอนให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูงสุด การกำหนดกรอบหลักสูตรท้องถิ่น เป็นสาระสำคัญประการหน่ึงที่จะช่วยให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษา ในโรงเรียน เห็นแนวทางในการดำเนินงานในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา การจัดการเรียนการสอน รวมทั้งการส่งเสริม และดูแลด้านคุณภาพสอดคล้องกับสภาพและความต้องการของชุมชนท้องถ่ิน โดยมีการกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและเกณฑ์ในการพัฒนาสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน และ สามารถตรวจสอบคุณภาพของผู้เรียนในระดับท้องถิ่น เพ่ือกำหนดกรอบทิศทางในการจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถอันเป็นพื้นฐานจำเป็นในท้องถ่ินและโลกปัจจุบัน กรอบเป้าหมาย จุดเน้น ท่ีกำหนดสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น ต้องมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพ้ืนฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้เร่ืองราวของ ชุมชน ท้องถิ่น ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมในชีวิตจริงของตน ทำให้เกิดความตระหนัก เห็นคุณค่า สำนึกรักผูกพัน กับท้องถิ่น มีความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษถิ่นฐานบ้านเกิด เป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน ตลอดจนสามารถ แก้ปัญหา พัฒนาชีวิต อาชีพ ครอบครัวและสังคมของตนเองได้ตามควรแก่ฐานะ และเป็นบุคคล ที่มีความรอบรู้เก่ียวกับท้องถ่ินในแง่มุมต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ อย่างชัดเจน ในกระบวนการจัดทำหรือพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เพื่อใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุเป้าหมาย ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด สำนักวิชาการและ มาตรฐานการศึกษาได้กำหนดให้หน่วยงานระดับท้องถ่ิน ซึ่งในท่ีนี้หมายถึงเขตพ้ืนที่การศึกษา หรือ หน่วยงานต้นสังกัดอ่ืนๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา ได้จัดทำกรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่นน้ันๆ ขึ้น เพื่อเป็นกรอบทิศทางให้สถานศึกษาได้นำไปประกอบการพิจารณา จัดทำหรือเพ่ิมเติมในส่วนที่จะสามารถ ตอบสนองต่อความต้องการของท้องถ่ิน ภายใต้บริบทของสถานศึกษาตามหลักการจัดการศึกษา โดยเน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ ในแนวการบริหารจัดการหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดให้หน่วยงานระดับท้องถิ่น ซ่ึงหมายถึงจังหวัด สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา และหรือองค์กร หน่วยงานอ่ืน ๆ ที่มีส่วนเก่ียวข้องกับการจัดการศึกษาข้ันพื้นฐาน ควรศึกษายุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ โดยรวม ยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัด และยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด ตลอดจนแผนพัฒนา การศึกษาของเขตพ้ืนที่การศึกษาควบคู่กับมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อพิจารณากำหนดกรอบเป้าหมายและจุดเน้นในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในวัยเรียน ให้มีความสัมพันธ์ สอดคล้องกัน เพ่ือเป็นมนุษย์ที่มีความสมดุล ท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็น พลเมอื งไทยและเป็นพลโลก สำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๒
ด้วยเหตุน้ีกรอบสาระการเรียนรู้ระดับท้องถิ่นจึงถือเป็นตัวจักรสำคัญในการตอบสนองนโยบาย พระราชบัญญัติทางการศึกษา กฎหมายและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ท่ีเก่ียวข้องกับ การจัดการศกึ ษา ดังน้ี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 81 ระบุไว้ว่ารัฐต้องจัดการศึกษา อบรม และสนับสนุนให้เอกชนจัดการศึกษาอบรม ให้เกิดความรู้คู่คุณธรรมจัดให้มีกฎหมายเก่ียวกับ การศึกษาแห่งชาติปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม สร้างเสริม ความรู้ และปลูกฝังจิตสำนึกท่ีถูกต้อง เกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในศิลปะวิทยาการต่างๆ เร่งรัดพัฒนา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพ่ือการพัฒนาประเทศ พัฒนาวิชาชีพครูและส่งเสริมภูมิปัญญาระดับท้องถ่ิน ศิลปะและวฒั นธรรมของชาติ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 7 ระบุว่า กระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสำนึกท่ีถูกต้อง เก่ียวกับการเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้รักษาและส่งเสริมสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจ ในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมและของประเทศชาติ รวมท้ังส่งเสริมศาสนา ศิลปวัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาระดับท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อันเป็นสากล ตลอดจนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพ่ึงตนเอง มีความคิดรเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ ใฝ่รู้ และเรยี นรู้ดว้ ยตนเองอยา่ งตอ่ เนือ่ ง มาตรา 27 ให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กำหนดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพ่ือความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ การดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ ตลอดจน เพื่อการศึกษาต่อ ให้สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานมีหน้าที่จัดทำสาระของหลักสูตรในส่วนที่เก่ียวกับสภาพปัญหา ในชุมชน และสังคมภูมิปัญญาระดับท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัว ชมุ ชน สงั คม และประเทศชาติ มาตรา 39 ให้กระทรวงกระจายอำนาจการบริหารและการจัดการศึกษา ทั้งด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล การบริหารงานท่ัวไป ไปยังคณะกรรมการและสำนักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษา และสถานศึกษาในเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาโดยตรง พระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 มาตรา 35 ระบุไว้ว่า สถานศึกษาที่จัดการศึกษาศึกษาข้ันพื้นฐานเฉพาะที่เป็นโรงเรียน มีฐานะเป็นนิติบุคคล และมาตรา 37 ให้มีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อทำหน้าที่ในการดำเนินการให้เป็นไปตามอำนาจหน้าท่ีของ คณะกรรมการฯ และให้มีอำนาจหน้าท่ีเกี่ยวกับการศึกษา ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายน้ี หรือกฎหมายอ่ืน และมอี ำนาจหน้าท่ี ดงั นี้ (1) อำนาจหน้าท่ีในการบริหารและจัดการศึกษาและพัฒนาสาระของหลักสูตรการศึกษา ใหส้ อดคลอ้ งกับหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน ของสำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน สำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษากระบี่ ๓
(2) อำนาจหน้าท่ีในการพัฒนางานด้านวิชาการและจัดให้มีระบบประกันคุณภาพภายใน สถานศึกษารว่ มกนั กับสถานศึกษา ด้วยเหตุน้ีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ ในฐานะหน่วยงานท่ีทำหน้าท่ีส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาการจัดการศึกษาของโรงเรียนในสังกัด มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาหลักสูตร ในส่วนที่ สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถ่ิน ได้วางแผนดำเนินงานวิชาการ กำหนดสาระ รายละเอียด ของหลักสูตรระดับสถานศึกษา และแนวการจัดสัดส่วนสาระการเรียนรู้ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของ สถานศึกษาให้สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สภาพเศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม และภมู ปิ ัญญาของท้องถ่ิน วัตถปุ ระสงค์ 1. เพื่อให้สถานศึกษา มีเป้าหมาย / จุดเน้นด้านคุณภาพของผู้เรียน และเห็นทิศทางในการพัฒนา การศกึ ษาในท้องถ่นิ ๒. เพ่ือให้สถานศึกษานำกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน ไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทำหลักสูตร สถานศกึ ษาที่เก่ียวข้องกบั ท้องถนิ่ ของโรงเรียน ๓. เพ่ือให้สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ และสถานศึกษามีแนวทาง ในการประเมินคุณภาพผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และ มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชีว้ ดั ฯ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560) สำนักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษากระบี่ ๔
ขั้นตอนการดำเนนิ งานจดั ทำกรอบหลกั สูตรระดับท้องถน่ิ การดำเนินงานจัดทำกรอบหลักสูตรระดับท้องถ่ินของสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา กระบี่ มีจุดประสงค์เพื่อให้สถานศึกษานำไปใช้จัดการเรียนการสอนและจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ เก่ียวกับท้องถิ่นของตนเอง ท้ังในด้านความสำคัญ ประวัติความเป็นมา สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพเศรษฐกิจ สังคม การดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ ศิลปะ วัฒนธรรมประเพณี ภูมิปัญญา ฯลฯ ตลอดจนสภาพปัญหาในชุมชนและสังคมนั้น ๆ อันจะทำให้ผู้เรียนเกิดความรัก ความผูกพัน มีความ ภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน ยินดีที่จะร่วมสืบสานพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาของท้องถิ่นนั้น มีแนวทาง การดำเนินงานท่สี ำคัญ ดังน้ี การดำเนนิ งานของส่วนกลาง กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหน่วยงาน ในส่วนกลาง มีภารกิจสำคัญในการจัดและส่งเสริมการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน โดยมีหน้าที่ในการจัดทำนโยบายและจัดทำ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งได้กำหนดจุดหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 เพ่ือให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับท้องถ่ินโดยกำหนด คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ให้ผู้เรียนรัก ประเทศชาติ รักท้องถ่ิน มุ่งทำประโยชน์ สร้างส่ิงดีงามให้สังคม มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ภาษาไทย ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี กีฬา ภูมิปัญญาไทย ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษา สถานศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องนำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ไปใชจ้ ัดการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐานใหบ้ รรลุ ตามจุดหมายและมาตรฐาน การเรยี นรูท้ ีก่ ำหนดไว้ การดำเนนิ งานระดับเขตพน้ื ที่การศึกษา 1. ดำเนินงานในรูปคณะกรรมการ องค์ประกอบของคณะกรรมการ ประกอบด้วยศึกษานิเทศก์ ครู ผู้บรหิ ารการศกึ ษา ผู้นำชุมชน ผู้ทรงคุณวฒุ ทิ ่ีมคี วามรู้ ประสบการณ์ หลากหลายสาขา 2. ศึกษา/วิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน คณะกรรมการจัดทำกรอบสาระการเรียนรู้ ท้องถิ่นได้ทำการศึกษา/วิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน ซึ่งครอบคลุมทั้งมาตรฐานการเรียนรู้และ ตวั ชี้วดั 3. ศึกษา/วิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศของท้องถ่ิน ศึกษาวิเคราะห์/สังเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศ ของท้องถ่ิน ครอบคลุมท้ังวิสัยทัศน์กลุ่มจังหวัด/จังหวัด ความสำคัญ ประวัติความเป็นมา สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ สภาพเศรษฐกิจ สังคม วิถีการดำรงชีวิต ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถ่ิน สภาพปัญหาในชุมชนและสงั คมนั้น ๆ 4. กำหนดกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน กำหนดกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถ่ินให้เหมาะสม ซึ่งมีความยืดหยุ่น สถานศึกษาสามารถนำไปกำหนดรายละเอียดของเน้ือหาองค์ความรู้ ที่เก่ียวกับท้องถิ่น ได้งา่ ยและสอดคล้องกบั จดุ เน้นของสถานศกึ ษา สำนักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๕
5. สอบถามและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณผู้เก่ียวข้อง เมื่อจัดทำกรอบสาระการเรียนรู้ ทอ้ งถิ่นเสร็จแลว้ นำไปรบั ฟงั ความคิดเหน็ จากบุคคลที่เกย่ี วขอ้ งในท้องถ่นิ 6. เผยแพรแ่ ละประชาสัมพันธก์ รอบสาระการเรยี นรู้ท้องถน่ิ 7. นิเทศ กำกับ ติดตามและประเมินผล สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาจะดำเนินการนิเทศ ติดตาม กำกับ และประเมนิ ผล การจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้เกย่ี วกับทอ้ งถ่นิ ของสถานศกึ ษา 8. วิจัยพัฒนากรอบหลักสูตรระดับท้องถ่ิน การวิจัยนำสาระการเรียนรู้เก่ียวกับท้องถ่ินสู่การเรียน การสอนในระดับสถานศึกษา รวมท้ังติดตามประเมินผลคุณภาพของผู้เรียนว่าเป็นไปตามมาตรฐาน การเรียนรู้หรือไม่ และนำผลการประเมินมาใช้ในการวางแผน ปรับปรุงและวิจัยพัฒนาคุณภาพการศึกษา ต่อไป กรอบสาระการเรียนรู้ระดับท้องถิ่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบ่ี จะได้มีการ ทบทวนและปรับปรุงพัฒนาทุกระยะ 3 – 5 ปีหรือตามระยะเวลาที่คณะกรรมการฯเห็นสมควรเพื่อให้มี ความทันสมัยเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมและสภาวะของสังคม วัฒนธรรมท่ีมีการเปลี่ยนแปลง อยตู่ ลอดเวลา การดำเนนิ งานของสถานศกึ ษา แนวทางการดำเนินงานของสถานศึกษา ดงั น้ี 1. แต่งต้ังคณะกรรมการ/ คณะทำงาน คณะกรรมการชุดนี้ควรประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา / ผู้บริหารส่วนราชการระดับท้องถ่ิน ครูผู้สอน ผู้แทนชุมชน ผู้ทรงคุณวุฒิท่ีมีความรู้และมีประสบการณ์ ปราชญช์ าวบ้าน 2. วเิ คราะห์ สังเคราะหข์ ้อมลู จากเอกสารและแหลง่ ข้อมลู ต่างๆ อาทิ หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด ฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) รวมท้ัง ศึกษาสภาพ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง บริบทสภาพ ปัญหา ความต้องการของท้องถ่ิน ชุมชน ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของผเู้ รยี นในพื้นท่ี เป็นตน้ 3. ดำเนินการจัดทำกรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่น ในการดำเนินการจัดทำกรอบหลักสูตร ระดับท้องถิ่นให้มีคุณภาพ จะต้องมีการวางแผนงานท่ีชัดเจนเพื่อให้เห็นภาพการทำงานตลอดแนว ดว้ ยกระบวนการทำงานแบบมสี ว่ นรว่ ม 4. รับฟังความคิดเห็นจากผู้เก่ียวข้อง อาทิ ผู้ทรงคุณวุฒิ ครูผู้สอน ผู้ปกครอง ปราชญ์ในชุมชน และหน่วยงานธุรกิจ ฯลฯ เพื่อนำข้อคิดเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ มาปรับปรุงกรอบหลักสูตรให้มีความเหมาะสม ชัดเจนย่ิงขน้ึ 5. เสนอคณะกรรมการระดับท้องถิ่น/คณะกรรมสถานศึกษาขัน้ พื้นฐาน เพอ่ื ให้ความเหน็ ชอบ สำนกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษากระบี่ ๖
องค์ประกอบสำคัญของกรอบหลักสูตรระดับท้องถ่ิน กรอบหลักสตู รระดับทอ้ งถ่ิน 1. เป้าหมาย/จุดเน้น ของเขตพ้ืนที่การศึกษา/ หน่วยงานระดับท้องถิ่น เป็นหน่วยงานสำคัญท่ีจะ ช่วยขับเคล่ือนการจัดการศึกษาของสถานศึกษาภายในเขต/ท้องถิ่น เพื่อให้สามารถพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุ คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลาง และผู้เรียนได้มีโอกาสเรียนรู้ในเร่ืองเกี่ยวกับ ชุมชน ท้องถ่ิน ในการจัดการศึกษาให้บรรลุผลดังกล่าว เขตพื้นที่การศึกษาอาจกำหนดเป้าหมาย/จุดเน้น ท่ีต้องการให้เด่นชัดเป็นการเฉพาะ เพ่ือให้สถานศึกษาได้เล็งเห็นทิศทางในการพัฒนาการศึกษาในท้องถ่ิน เช่น การพัฒนาด้านการคิดวิเคราะห์ เป็นต้น เป้าหมาย/จุดเน้นน้ันควรกำหนดเป็นคุณภาพท่ีต้องการให้ เกิดขน้ึ ในตัวผเู้ รียน มิควรกำหนดในสิง่ ที่ก่อใหเ้ กดิ ข้อจำกัดต่อการจดั การเรียนการสอนในระดบั สถานศึกษา 2. สาระการเรียนรู้ระดับท้องถ่ิน เป็นส่วนที่ให้ข้อมูลเก่ียวกับหัวข้อ/ประเด็นสำคัญที่ผู้เรียน ในท้องถ่ินควรเรียนรู้หรือได้รับการปลูกฝัง ในฐานะที่เป็นสมาชิกของชุมชนน้ัน เพื่อให้เกิดความรัก ความภาคภูมิใจ และต้องการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สภาพแวดล้อม ภูมิปัญญาท้องถ่ิน สภาพแวดล้อม ในท้องถิ่น การกำหนดสาระการเรียนรู้ระดับท้องถิ่นควรกำหนดในขอบเขตประเด็นสำคัญ พร้อมทั้ง มีคำอธิบายประกอบในแต่ละประเด็นพอสังเขป เพ่ือครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางในการจัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ในเรื่องเกี่ยวกับท้องถ่ิน เช่น ประวัติความเป็นมาของท้องถิ่น สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศเศรษฐกิจ สังคม วิถีชีวิต ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น สภาพปัญหา และเหตุการณ์สำคัญในชุมชนและ สังคมน้นั ๆ รวมทงั้ ขอ้ มลู แนวโนม้ การพัฒนาทอ้ งถิน่ เปน็ ตน้ การจัดทำสาระการเรียนรู้ระดับท้องถิ่นอาจได้จากการวิเคราะห์ รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของกลุ่มสาระการเรียนรู้ท้ัง 8 กลุ่มสาระตามหลักสูตร แกนกลาง ในส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับชุมชนและท้องถิ่น รวมทั้งข้อมูลจากการศึกษา สำรวจสภาพ ปัญหา การเปลี่ยนแปลงตา่ งๆท่ีเกิดข้ึนในสังคม/ชุมชน เพื่อนำมาสังเคราะห์จัดเป็นหมวดหมู่ เพื่อสถานศึกษาใช้เป็น แนวทางในการจดั การเรยี นร้ตู อ่ ไป การจัดทำหลักสูตรโดยเฉพาะในส่วนท่เี ก่ียวกับท้องถน่ิ นน้ั ส่งิ ที่ควรทำความเข้าใจใหต้ รงกันคือ - หลกั สตู รทใี่ ชใ้ นการจัดการเรียนการสอนในระดบั สถานศึกษาคอื “หลักสูตรสถานศึกษา” - สง่ิ ท่ีผู้เรียนต้องเรียนรเู้ กยี่ วกบั ท้องถน่ิ สามารถสอดแทรกเข้าไปในรายวชิ าพ้นื ฐานท้ัง 8 กลุม่ สาระ การเรียนรู้ได้ หรือหากสถานศึกษาเห็นว่ามีส่ิงสำคัญที่ต้องการจะเน้นและแยกสอนเป็นการเฉพาะ เช่น การสอนจักสาน เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ก็สามารถเปิดเป็นรายวิชาเพิ่มเติมได้ แต่ไม่ว่าจะเป็น ลักษณะใดก็อยู่ในหลักสูตรสถานศึกษาท้ังสิ้น มิใช่แยกเป็นหลักสูตรสถานศึกษาและหลักสูตรท้องถ่ินจากกัน เพราะการกระจายอำนาจให้โรงเรียนจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ก็เพ่ือให้สอดคล้องกับสภาพและ ความตอ้ งการของทอ้ งถน่ิ ซึ่งมีลักษณะแตกตา่ งกนั ไป สำนักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๗
3. กรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นท่ีเขตพ้ืนที่การศึกษา หรือหน่วยงานท่ีรับผิดชอบในระดับท้องถิ่น จัดทำน้ันเป็นกรอบแนวทางกว้างๆ ที่ระบุเป้าหมาย / จุดเน้นของท้องถ่ิน สาระการเรียนรู้หรือเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับท้องถิ่น และแนวทางการประเมินคุณภาพผู้เรียนในท้องถิ่น สถานศึกษาสามารถนำไปเป็นแนวทาง จัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้มีความรู้ความเข้าใจเร่ืองเหล่าน้ันในฐานะท่ีเป็นสมาชิกในสังคมนั้น ๆ ในเอกสารกรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น นำเสนอเป็นเพียงแนวทางและตัวอย่างของรายวิชาเพิ่มเติม เกย่ี วกับทอ้ งถิ่นได้ มิใช่ส่ิงทก่ี ำหนดใหโ้ รงเรยี นจัดการเรยี นการสอน ๔. การประเมินคุณภาพการศึกษาระดับท้องถิ่น การประเมินคุณภาพผู้เรียน และการรายงานผล การศึกษาระดับท้องถิ่น เป็นกลไกสำคัญในการควบคุมคุณภาพการศึกษา เพ่ือเป็นการตรวจสอบว่าคุณภาพ ผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางตลอดจนเป้าหมายและจุดเน้นซึ่งกำหนดคุณภาพผู้เรียนในพ้ืนที่น้ันบรรลุผล หรือไม่เพียงใด และมีอะไรจะต้องปรับปรุงพัฒนาต่อไป ดังนั้น ควรมีการระบุเก่ียวกับการประเมินคุณภาพ ผู้เรียนไว้ในกรอบหลักสูตระดับท้องถิ่น ให้โรงเรียนต่าง ๆ ได้รับทราบข้อมูลว่าเขตพื้นท่ีการศึกษาจะจัดการ ประเมินคุณภาพในกลุ่มสาระการเรียนรู้ใดบ้าง ระดับข้ันใดบ้าง และประเมินเมื่อไร ด้วยวิธีการใดหรือ เคร่ืองมืออะไร มีเกณฑ์การประเมินเป็นอย่างไร และโรงเรียนที่มีผลการประเมินไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดจะต้อง ดำเนินการอย่างไร เปน็ ต้น 5. การนำกรอบหลักสูตรท้องถ่ินไปพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เป็นข้ันตอนที่สำคัญยิ่งในการ พัฒนาหลักสูตร เพราะเป็นการนำเป้าหมายและจุดเน้นของหลักสูตร ซ่ึงจะต้องนำเนื้อหาวิชาและ ประสบการณ์การออกแบบการเรียนรู้ท่ีคัดสรรอย่างดีแล้วไปสู่ผู้เรียน เพราะฉะน้ัน สถานศึกษาต้องศึกษา จุดเน้นของท้องถิ่น ประเพณี วัฒนธรรม ทรัพยากร สังคม ส่ิงแวดล้อม และอาชีพที่มีความโดดเด่นใน ท้องถ่ิน มาจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา อีกท้ังในการนำหลักสูตรไปใช้จึงมีความสำคัญท่ีบุคคลผู้เก่ียวข้องใน การนำหลักสูตรไปใช้มีความจำเป็นท่ีจะต้องทำความเข้าใจกับวิธีการขั้นตอนต่างๆ เพ่ือให้มีความสามารถใน การนำหลักสูตรไปใชใ้ หเ้ กิดประสทิ ธภิ าพสูงสดุ สมความมงุ่ หมายทกุ ประการ สำนักงานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๘
แผนผงั การพัฒนากรอบหลกั สูตรระดบั ทอ้ งถ่ิน ศกึ ษา สบื ค้นข้อมูลทีเ่ ก่ียวข้อง หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน สภาพปัญหา/ความตอ้ งการของทอ้ งถนิ่ กรอบหลักสูตรระดับทอ้ งถิ่น เปา้ หมาย / สาระการ การประเมนิ จุดเนน้ เรยี นรู้ คุณภาพ ท้องถ่นิ ผเู้ รียน นาํ เสนอผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ ปรบั ปรุง/พฒั นา ให้ผู้เช่ยี วชาญตรวจสอบความถกู ตอ้ ง นําเสนอคณะกรรมการเขตพื้นทก่ี ารศึกษาเพ่อื ขอความเห็นชอบ สถานศกึ ษาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลกั สูตร นิเทศ ตดิ ตาม การใชห้ ลักสตู ร สรุปผลพัฒนากรอบหลักสูตรระดบั ทอ้ งถน่ิ สำนักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๙
สว่ นท่ี ๒ เป้าหมายและจุดเน้น สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษากระบ่ี ได้กำหนดวิสัยทัศน์ จุดหมาย เป้าหมายและ จุดเนน้ ในการจัดการศกึ ษาตามกรอบหลักสูตรระดับท้องถ่ิน ดังน้ี วสิ ยั ทัศน์ สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษากระบี่ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีความรู้ ความสามารถ ก้าวทันการเปล่ียนแปลงของโลก มีจิตสำนึก รักและภาคภูมิใจในท้องถิ่น ดำรงตนอยู่ในสังคม อย่างมคี วามสขุ จุดหมาย 1. มีวินัย มีความรับผิดชอบ ช่ือสัตย์ ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง ท้ังต่อตนเอง ต่อสังคม โดยเป็น พลเมอื งท่ดี ีของชุมชนและประเทศชาติ ๒. มีความรู้ความเข้าใจและดำเนินชีวิตตามขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของบรรพชน คนกระบ่ี 3. มีความสามารถทางวิชาการ มีทักษะทางภาษาส่ือสารได้หลายภาษา และคิดสร้างสรรค์ ก้าวทัน การเปลยี่ นแปลง 4. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถ่ินของจังหวัดกระบ่ี อนุรักษ์และ พัฒนาส่ิงแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์ สร้างสิ่งท่ีดีงามในชุมชนท้องถิ่น และอยู่ร่วมกันอย่างมี ความสุข ๕. มีทักษะชีวิต และทักษะการทำงาน สามารถสร้างอาชีพ มีรายได้ และสามารถแข่งขันระดับ นานาชาติ เป้าหมาย 1. นักเรียน มีวินัย มีความรับผิดชอบ ชื่อสัตย์ ใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง ทั้งต่อตนเอง ต่อสังคม โดยเป็นพลเมอื งท่ีดีของชมุ ชนและประเทศชาติ ๒. นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจและดำเนินชีวิตตามขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของบรรพชน คนกระบี่ 3. นักเรียนมีความสามารถทางวิชาการ มีทักษะทางภาษาส่ือสารได้หลายภาษา และคิดสร้างสรรค์ กา้ วทนั การเปล่ียนแปลง 4. นักเรียนมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นของจังหวัดกระบี่ อนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะท่ีมุ่งทำประโยชน์ สร้างส่ิงท่ีดีงามในชุมชนท้องถ่ิน และ อยู่ร่วมกนั อย่างมีความสุข สำนักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๑๐
๕. นักเรียนมีทักษะชีวิต และทักษะการทำงาน สามารถสร้างอาชีพ มีรายได้ และสามารถแข่งขัน ระดบั นานาชาติ จุดเน้นคุณภาพผ้เู รยี น ๑. นกั เรียนมีวนิ ัย มคี วามรับผดิ ชอบ ช่ือสัตย์ ใฝเ่ รียนรู้ อยูอ่ ย่างพอเพียง และมีจิตสาธารณะ 2. นกั เรียนมคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ กา้ วทันการเปลี่ยนแปลงของโลก 3. นกั เรียนมีทักษะในการส่ือสารได้หลายภาษา 4. นักเรียนรักและภูมิใจท้องถ่ิน อนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม สืบสานศิลปวัฒนธรรมและ ภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ 5. นักเรียนมีทักษะชีวิต และทักษะการทำงาน สามารถสร้างอาชีพ มีรายได้ และสามารถแข่งขัน ระดบั นานาชาติ คุณลกั ษณะของผเู้ รยี น ตามสมรรถนะ 6 ด้าน 1. การจดั การตนเอง 2. การคิดขั้นสูง 3. การสอื่ สาร 4. การรวมพลงั ทำงานเป็นทมี 5. การเป็นพลเมอื งทีเ่ ข้มแข็ง 6. การอยรู่ ว่ มกบั ธรรมชาติและวทิ ยาการอยา่ งยงั่ ยนื นโยบายและจดุ เน้นของสำนกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษากระบี่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษากระบ่ี มุ่งมั่นในการพัฒนาการศึกษาให้เป็น “สพป.กระบี่ วิถีใหม่ วิถีคุณภาพ” มุ่งเน้นความปลอดภัยในสถานศึกษา สร้างโอกาสและความเสมอภาค ทางการศึกษาให้กับประชากรวัยเรียนทุกคน พัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษ ที่ 21 บนพื้นฐานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และบริหารจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ จึงกำหนดนโยบายและจุดเน้น และทิศทางการพัฒนาการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กระบ่ี ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ดงั นี้ นโยบายของสำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบ่ี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 1. มิติดา้ นความปลอดภยั 1.1. ส่งเสริม พัฒนาหน่วยงานให้เป็นพ้ืนท่ีปลอดภัยจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ พร้อมเสริมสร้างระบบและกลไกในการดูแลความปลอดภัย สร้างภูมิคุ้มกัน การรู้เท่าทันสื่อ และเทคโนโลยี ในการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และวิถีอนาคต (Next Normal) ให้กับผู้เรียน ครูและบุคลากร ทางการศกึ ษา สำนกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๑๑
1.2 ส่งเสริมการจัดสภาพแวดล้อม แหล่งเรียนรู้ ท่ีเอ้ือต่อสุขภาวะท่ีดีเพื่อพัฒนาคุณภาพ ชวี ติ ท่เี ปน็ มติ รกบั สิง่ แวดลอ้ ม โดยยดึ หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. มติ ิด้านโอกาสและลดความเหล่ือมลำ้ ทางการศึกษา 2.1 สง่ เสริม สนับสนุน ให้เด็กปฐมวยั ทกุ คนเข้าสรู่ ะบบการศึกษา เพ่ือใหม้ ีพฒั นาการครบ ทุกด้าน โดยใช้มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ และช่วยเหลือเด็กปฐมวัยทุกคน ให้ได้รับการดูแล และส่งเสรมิ พฒั นาการจากสถานศึกษาระดบั ปฐมวัยใหม้ ีคุณภาพตามมาตรฐาน 2.2 ส่งเสริมให้ครูปฐมวัยจัดประสบการณ์สอน โดยเน้นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ผา่ นโครงงานบา้ นนักวทิ ยาศาสตร์น้อยประเทศไทย เพื่อใหเ้ ด็กปฐมวยั มที ักษะดา้ นวทิ ยาศาสตร์ 2.3 จัดการศึกษาให้ผู้เรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้รับโอกาสทางการศึกษา มีความ เสมอภาค และได้รบั การพฒั นาให้มีสมรรถนะสำหรับการศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพในอนาคต 2.4 ส่งเสริมให้เด็กพิการและเด็กด้อยโอกาสได้รับโอกาสทางการศึกษาท่ีมีคุณภาพ มีทักษะ ในการดำเนนิ ชีวิต พึง่ ตนเองไดอ้ ยา่ งมศี กั ดิ์ศรคี วามเป็นมนุษย์ 2.5 ส่งเสริม สนับสนุนให้สถานศึกษาดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เพื่อเป็น ฐานข้อมลู ในการสง่ เสรมิ และพัฒนาผู้เรียนไดเ้ ตม็ ตามศกั ยภาพ 2.6 ส่งเสริม สนับสนุนผู้มีความสามารถพิเศษด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ภาษา ดนตรี กฬี า ศลิ ปะ และพหปุ ัญญา ให้ได้รับโอกาสในการพฒั นาเต็มตามศักยภาพ 2.7 ส่งเสริม สนับสนุน ให้เด็กตกหล่นหรืออกกลางคัน กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา และได้รับ การศึกษาจนจบการศึกษาภาคบังคับ หรือระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน หรือส่งต่อ สอศ./กศน. เพ่ือให้มี ความรูพ้ ้ืนฐานอาชีพและเตรียมความพร้อมส่กู ารประกอบอาชพี 3. มิตดิ ้านคุณภาพ 3.1 พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่เน้นสมรรถนะให้เหมาะสมกับความต้องการของสังคมและ สอดคลอ้ งกบั ชวี ิตวิถใี หม่ (New Normal) และวิถีอนาคต (Next Normal) 3.2 จัดการเรียนรู้ในระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มุ่งเน้นการอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น ดว้ ยกระบวนการเรยี นการสอนแบบ Active Learning ให้ผเู้ รียนมีทักษะทจ่ี ำเป็นในศตวรรษที่ 21 3.3 ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ปลูกฝังความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ด้วยการเรยี นร้วู ิชาประวตั ศิ าสตร์ การเป็นพลเมอื งท่ีรู้สทิ ธแิ ละหน้าท่ี 3.4 ส่งเสริมครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีสมรรถนะทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ภาษาเพอ่ื การสื่อสาร และความสามารถในการจดั การเรียนรู้ Active Learning 4. มิติด้านประสิทธิภาพ 4.1 เพ่ิมประสิทธิภาพการบริหารจัดการศึกษา โดยการกระจายอำนาจและใช้พื้นที่เป็นฐาน ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามหลักธรรมาภิบาล โดยเร่งรัดการบริหารงบประมาณ ให้เปน็ ไปตามนโยบาย และความต้องการของโรงเรยี น สำนักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๑๒
4.2 สร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงานตามบทบาทหน้าท่ีของคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาและคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพื้นฐาน 4.3 จัดทำแผนพัฒนาความสามารถบุคลากร เพ่ือรองรับการเปล่ียนแปลงให้ทันต่อ ความตอ้ งการในอนาคต 4.4 พัฒนาโรงเรียนคุณภาพของชุมชน ระดับประถมศึกษา โรงเรียนขนาดเล็ก และโรงเรียน ทสี่ ามารถดำรงอยไู่ ด้อยา่ งมคี ณุ ภาพ (Stand Alone) ให้มคี ุณภาพอย่างย่ังยนื 4.5. เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ ช่วยในการจัดการศึกษาท่ีสอดรับกับ ชีวิตวิถใี หม่ (New Normal) และวิถอี นาคต (Next Normal) จุดเนน้ ของสำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ประจำปงี บประมาณ พ.ศ. 2565 1. สรา้ งเครอื ข่ายความร่วมมือในการดแู ลความปลอดภัยของนักเรยี น ครู และบุคลากรทางการ ศกึ ษา ร่วมกบั บคุ ลากรทางการแพทย์ หนว่ ยงานของกระทรวงสาธารณสขุ และองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ 2. พฒั นาสถานศึกษาใหเ้ ปน็ พืน้ ท่ปี ลอดภยั จากภัยคุกคามทุกรูปแบบ พรอ้ มเสริมสร้างระบบ และกลไกในการดูแลความปลอดภยั นกั เรยี น ดว้ ยระบบมาตรฐานความปลอดภยั กระทรวงศึกษาธิการ (MOE Safety Platform) 3. เรง่ แก้ปญั หาเดก็ ตกหล่น ออกกลางคัน ที่ไดร้ ับผลกระทบจากสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของ โรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 4. สรา้ งรปู แบบหรอื วิธกี ารเพื่อแก้ปญั หาการอ่าน การเขยี น และการคิดเลขเปน็ ในทกุ ระดบั ช้ัน 5. สง่ เสรมิ ด้านดนตรี กีฬา และอาชีพให้กบั นกั เรียนทุกระดบั ชน้ั (1 โรงเรียน : 1 ดนตรี 1 กีฬา และ 1 อาชีพ) 6. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ การจัดการเรียนการสอนและการนิเทศโดยใช้สื่อ เทคโนโลยีดจิ ทิ ลั ภายใตส้ ถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคตดิ เช้ือไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) 7. พัฒนาโรงเรียนคุณภาพ (ระดับประถมศึกษา) โดยใช้เครือข่ายเป็นฐาน เพ่ือยกระดับคุณภาพ การศึกษา 8. พัฒนาสถานศึกษาให้มีห้องเรียนคุณภาพ เพื่อพัฒนาการจัดเรียนการสอนให้มีคุณภาพและ มาตรฐาน 9. พัฒนาระบบนิเทศภายในสถานศึกษาให้เข้มแข็งโดยใช้รูปแบบการนิเทศท่ีหลากหลาย เพื่อเพิ่ม ประสทิ ธภิ าพการจดั การเรียนการสอน สำนักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๑๓
ส่วนท่ี 3 สาระการเรียนรู้ท้องถนิ่ องค์ความรทู้ ักษะสำคัญและคุณลกั ษณะในหลกั สูตรทอ้ งถนิ่ จงั หวดั กระบี่ แบง่ เป็น 18 เร่อื ง ดังน้ี 1. กระบ่ีเมืองนา่ อยู่ (สภาพทางกายภาพจังหวัดกระบี่) 2. ย้อนรอยเมืองกระบี่ (ประวัตศิ าสตรเ์ มอื งกระบี่) 3. การปกครองของกระบี่ (การปกครองของจงั หวัดกระบ)่ี 4. สังคมกระบบี่ ้านเรา (สังคมจังหวัดกระบ)่ี 5. รอ่ งรอยทางประวตั ิศาสตร์ (โบราณสถานโบราณวตั ถุ) 6. เชดิ ชถู ่ินแดนดินประเพณี (ประเพณีและงานเทศกาล) 7. เศรษฐกิจเนรมติ เมือง (เศรษฐกิจของจงั หวดั กระบแ่ี ละอาชพี ทสี่ ำคัญ) 8.วฒั นธรรมนำชีวติ (วัฒนธรรมของคนเมืองกระบ)ี่ 9. พลเมืองวรี ชนและบุคคลสำคัญ (ประชากรในจังหวดั กระบี)่ 10. สืบสานงานศิลป์ (ดนตรี นาฏศิลปแ์ ละการละเลน่ พน้ื บ้าน) 11. มนตเ์ สนห่ ์แห่งแดนใต้ (การทอ่ งเที่ยวและแหล่งทอ่ งเท่ยี วในจงั หวดั กระบี)่ 12. งามศลิ ปถ์ ่นิ กระบ่ี (ศลิ ปะเมอื งกระบ)่ี 13. วรรณกรรมท้องถนิ่ แดนดินเมอื งกระบี่ (ภาษาและวรรณกรรม) 14. สืบสานภูมปิ ญั ญา (ภมู ิปัญญาและเทคโนโลยีทอ้ งถิ่น) 15. ทรัพยใ์ นดินสินในนำ้ นามกระบ่ี (ทรัพยากรทส่ี ำคัญในจงั หวัดกระบ)่ี 16.ชอื่ บ้านฉันนัน้ นามโรงเรยี น(ประวตั คิ วามเปน็ มาของหมู่บา้ น ,ตำบล) 17. โครงงานฐานอาชีพ (อาชีพในชมุ ชน , สนิ ค้า ผลติ ภัณฑ์ OTOP) 18. โรคอบุ ัติใหมใ่ นจังหวัดกระบ่ี (COVID-19)(การดูแลรกั ษา/ปอ้ งกัน,ทำยารักษา , ทำเจลลา้ งมอื โดยใช้วัสดุ/พชื ในชมุ ชน) สำนกั งานเขตพื้นท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๑๔
สาระการเรยี นรู้ทอ้ งถ่นิ สาระการเรียนรู้ท้องถ่ินจังหวัดกระบี่ประกอบด้วย องค์ความรู้ทักษะ หรือกระบวนการเรียนรู้และ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ซ่ึงกำหนดให้ผู้เรียนทุกคนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทุกโรงเรียน ในจังหวัดกระบ่ี ได้จดั การเรยี นรูท้ ้องถนิ่ จังหวัดกระบต่ี ามศกั ยภาพของสถานศึกษา โดยแบง่ ตามเนอื้ หา สาระท่ีควรรู้ ดงั นี้ ประวัติความเปน็ มา กระบี่ เป็นจังหวัดหน่ึงทางภาคใต้ ตั้งอยู่ริมฝ่ังทะเลอันดามัน จากหลักฐานทางโบราณคดี สันนิษฐานได้ว่า บริเวณเมืองกระบี่เคยเป็นแหล่งชุมชนโบราณก่อนประวัติศาสตร์และต่อเนื่องมาจนถึงสมัย ประวัติศาสตร์ กล่าวกันว่าดินแดนน้ีแต่เดิมคือ เมืองบันไทยสมอ 1 ใน 12 เมืองนักษัตร ท่ีใช้ตราลิงเป็นตรา ประจำเมือง ขึ้นกับอาณาจักรนครศรีธรรมราช กระบี่เคยเป็นชุมชนโบราณก่อนประวัติศาสตร์ มีผู้ค้นพบ เครื่องมือยุคหินเป็นจำนวนมาก กระจัดกระจายท่ัวไป และยังพบภาพเขียนสีโบราณบนผนังถ้ำหลายแห่ง ในเขตจงั หวดั กระบี่ โดยเฉพาะบรเิ วณ อำเภอคลองท่อม และในประวตั ศิ าสตรเ์ มอื งนครศรธี รรมราช (อาณาจักรตามพรลิงค์) กระบ่ีเป็นเมืองหน่ึงใน 12 นักษัตร มีตราประจำเมืองเป็นรูปลิง (ปีวอก) จังหวัดกระบี่ ต้ังข้ึนสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในอดีตเป็นเพียงแขวงหนึ่งอยู่ในอำนาจปกครอง และบังคับบัญชาของเมืองนครศรีธรรมราช เรียกว่า “แขวงเมืองปกาสัย” พระยาผู้ครองเมือง นครศรีธรรมราชให้ปลัดเมืองฯ มาตั้งค่ายทำเพนียดจับช้างในท้องถ่ินท่ีตำบลปกาสัย และได้มีราษฎรจาก เมอื งนครศรธี รรมราช อพยพมาตัง้ หลักแหล่งทำมาหากินเพม่ิ มากข้ึน ความหมายจงั หวดั กระบ่ี มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่าชาวบ้านได้ขุดพบมีดดาบโบราณเล่มหนึ่ง จึงนำมามอบให้กับเจ้าเมือง กระบี่และต่อมาไม่นานก็ขุดพบมีดดาบโบราณเล่มหน่ึงรูปร่างคล้ายกับมีดดาบโบราณเล่มใหญ่ จึงนำมามอบ ให้กับเจ้าเมืองกระบี่เช่นกัน เจ้าเมืองกระบี่ เห็นว่าเป็นดาบโบราณสมควรเก็บไว้เป็นดาบคู่บ้านคู่เมือง เพื่อเป็นสิริมงคล แต่ขณะน้ันยังสร้างเมืองไม่เสร็จจึงได้นำดาบไปเก็บไว้ในถ้ำเขาขนาบน้ำหน้าเมืองโดยวาง ดาบหรือกระบี่ไขว้กัน ซึ่งลักษณะการวางดาบหรือกระบี่ไขว้เป็นสัญลักษณ์ของตราประจำจังหวัด คือรูป ดาบไขว้ด้านหลังมีภูเขาและทะเล โดยบ้านท่ีขุดพบดาบใหญ่โต ตั้งชื่อว่า “บ้านกระบี่ใหญ่” บ้านท่ีขุดพบ ดาบเล็กได้ต้ังชอ่ื วา่ “บา้ นกระบน่ี ้อย” แต่มีอีกตำนานหน่ึง สันนิษฐานว่า คำว่า “กระบี่” อาจเรียกชื่อพันธ์ุไม้ชนิดหน่ึงท่ีมีมากในท้องถิ่น คือต้น “หลุมพี” จึงเรียกชื่อท้องถิ่นว่าบ้านหลุมพี ต่อมามีชาวมลายูและชาวจีนที่เข้ามาค้าขายได้เรียกเพี้ยน เปน็ “บา้ น-กะ-ลู-บ”ี หรือ “คอโลบ”ี นาน ๆ เข้ากไ็ ด้ปรับเป็นสำเนียงไทยว่า “กระบ”่ี คำขวัญประจำจังหวดั : กระบเ่ี มอื งนา่ อยู่ ผู้คนน่ารกั คำขวัญการท่องเท่ียวประจำจังหวัดกระบ่ี : แหล่งถ่านหิน ถิ่นหอยเก่า เขาตระหง่า7น ธารสวย รวย เกาะ เพาะปลกู ปาลม์ งามหาดทราย ใตท้ ะเลสวยสด มรกตอนั ดามัน สวรรค์เกาะพพี ี สำนกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๑๕
สญั ลกั ษณป์ ระจำจงั หวดั ตราประจำจังหวดั รูปกระบี่ไขว้ เบ้ืองหลังมีภูเขาและทะเล กระบ่ีไขว้ หมายถึง อาวุธโบราณซึ่งมีผู้ค้นพบในท้องที่ จังหวัด จำนวน 2 เล่ม ภูเขา หมายถึง เขาพนมเบญจาซ่ึงเป็นภูเขาสูงสุดของกระบ่ี ซับซ้อนกันถึง 5 ยอด จึงเรียกว่า พนมเบญจา มีเมฆปกคลุมตลอดเวลา และก้ันเขตแดนกับจังหวัดอ่ืน ส่วนทะเล หมายถึง อาณาเขตอีกด้านหนึ่งของกระบ่ซี ่งึ ตดิ กับฝงั่ ทะเลอันดามนั หรอื มหาสมทุ รอินเดยี ระยะเวลาในการใช้ตรา : พ.ศ. 2483 - ปัจจบุ ัน ตน้ ไม้ประจำจังหวัด : ตน้ ทุ้งฟ้า (Alstonia macrophylla) ดอกไมป้ ระจำจังหวัด : ดอกท้งุ ฟ้า สตั ว์นำ้ ประจำจงั หวัด : หอยชักตีนหรอื หอยสงั ข์ตนี เดียว (Laevistrombus canarium) ทตี่ ั้ง จังหวัดกระบ่ีต้ังอยู่ริมฝ่ังทะเลอันดามัน อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร 814 กิโลเมตร ตามทางหลวง แผ่นดินหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) มีเนื้อที่ 4,708 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 2,942,820 ไร่ ประกอบด้วยภูเขา ท่ีดอน ท่ีราบ หมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 154 เกาะ อุดมไปด้วยป่าชายเลน ตัวเมืองกระบี่ มีแม่น้ำยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ไหลผ่านลงสู่ทะเลอันดามัน ท่ีตำบลปากน้ำ นอกจากนี้ยังมีคลองปกาสัย คลองกระบี่ใหญ่ และคลองกระบี่น้อย มีต้นกำเนิดจากยอดเขาที่สงู ทส่ี ดุ ในจังหวัดกระบี่ คือ เขาพนมเบญจา สภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิประเทศโดยท่ัวไปของจังหวัดกระบี่ ทางตอนเหนือประกอบด้วยเทือกเขายาวทอดตัวไป ในแนวเหนือใต้ สลับกับสภาพพ้ืนท่ีแบบลูกคล่ืนลอนลาด และลอนชัน มีท่ีราบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก บริเวณทางใต้ มีสภาพภูมิอากาศเป็นภูเขากระจัดกระจาย สลับกับพ้ืนท่ีแบบลูกคล่ืน ส่วนบริเวณทาง ตอนใต้สุดและตะวันตกเฉียงใต้ มีสภาพพื้นที่เป็นแบบลูกคลื่นลอนลาดจนถึงค่อนข้างเรียบ และมีภูเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ สลับกันไป บริเวณด้านตะวันตกมีลักษณะ เป็นชายฝั่งติดกับทะเลอันดามันยาวประมาณ 160 กิโลเมตร ประกอบด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่ประมาณ 130 เกาะ แต่เป็นเกาะท่ีมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 13 เกาะ เกาะที่สำคัญได้แก่ เกาะลันตา เป็นที่ตั้งของอำเภอเกาะลันตา และเกาะพีพี ซ่ึงอยู่ในเขตอำเภอ เมืองกระบี่ เป็นสถานท่ีท่องเท่ียวที่สวยงามติดอันดับของโลก บริเวณตัวเมืองมีแม่น้ำกระบ่ี ยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ไหลผ่านลงสู่ทะเลอันดามัน ที่ตำบลปากน้ำ นอกจากนี้ยังมีคลองปกาสัย คลองกระบ่ีใหญ่ และ คลองกระบีน่ ้อย ซึ่งมตี น้ กำเนิดมาจากเทอื กเขาพนมเบญจา เทอื กเขาทส่ี ูงท่ีสุดในจังหวัดกระบี่ สำนกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๑๖
ภมู ิอากาศ จังหวัดกระบ่ีมีลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบมรสุมในเขตร้อน (Monsoon Climate) มีฝนตกเฉลี่ย เกือบตลอดทั้งปี เน่ืองจากได้รับอิทธิพลท้ังลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิในฤดูต่าง ๆ ไม่แตกต่างกันมากนัก คืออยู่ระหว่าง 16.๙-37.3 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนตก เฉลี่ยปีละประมาณ 2,568.5 มิลลิเมตร ด้วยเหตุท่ีจังหวัดกระบี่ตั้งอยู่ทางฝ่ังตะวันตกของภาคใต้ซ่ึงได้รับ ลมมรสุมท้ังสองด้านคือมรสุมฝ่ังตะวันตกเฉียงใต้ซ่ึงจะได้รับลมอย่างเต็มท่ีเริ่มตั้งแต่เดือน พ.ค. – ก.ย. ทำให้ มีฝนตกหนักมากและมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซ่ึงเป็นช่วงฤดูหนาวของประเทศพัดผ่านน่านน้ำอ่าวไทย ได้คลายความหนาวเย็น แต่กับอุ้มน้ำเก็บไว้มาก เม่ือพัดเข้าฝ่ังและปะทะกับภูเขาฝั่งตะวันออกของภาคใต้ จึงทำให้ฝนตกทางฝ่ังตะวันออกมากกว่าฝ่ังตะวันตกและเป็นเหตุให้ฝนตกน้อยในจังหวัดกระบี่ เพราะอยู่ ด้านปลายลมคือ เร่ิมตั้งแต่เดือน ต.ค. - ม.ค. นอกจากน้ียังมีลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มในเดือน กุมภาพันธ์เม่ือลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือถอยไปจะมีลมระหว่างทิศใต้และทิศตะวันออกเฉียงใต้เข้ามา แทนท่ี ซ่ึงเกิดจากความกดอากาศสูงในทะเลจีนใต้เป็นลมร้อนและชื้นลมมรสุมน้ีพัดประจำอยู่ตลอด ๓ เดือน คือ เดือน ก.พ. - เม.ย. จึงทำให้ฝนตกน้อยกว่าระยะอ่ืน ๆ ของปี ฤดูกาลในจังหวัดกระบี่มีเพียง ๒ ฤดูคือ ฤดูร้อนซ่ึงเร่ิมตั้งแต่เดือน ม.ค. - เม.ย. เป็นช่วงท่ีลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออก เฉียงใต้พัดผ่านแต่มีฝนตกน้อย เนื่องจากภูเขาทางตอนกลางของภาคใต้ขวางก้ันอิทธิพลของลมเดือน มกราคม จึงเป็นช่วงปลายฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ จึงมีฝนตกบ้างเล็กน้อยในเดือน ก.พ. - เม.ย. เป็น ช่วงลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้พัดผ่านภาคใต้ทางชายฝ่ังตะวันออกอิทธิพลของลมเข้าถึงจังหวัดกระบ่ีน้อย มาก จึงเป็นช่วงท่ีร้อนและแห้งแล้งมากท่ีสุดของจังหวัดกระบ่ี ฤดูฝน เร่ิมตั้งแต่เดือน พ.ค. - ธ.ค. จะมีฝนตก สม่ำเสมอตั้งแต่เดือน พ.ค. - ต.ค. แต่เนื่องจากเป็นช่วงท่ีลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้พัดผ่านและ จังหวัดกระบ่ีอยู่ด้านรับลม ปริมาณน้ำฝนประมาณ 200-300 มิลลิเมตรต่อเดือน ในเดือน พ.ย. - ธ.ค. เป็นช่วงที่ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดผ่านอ่าวไทยและเข้าสู่ภาคใต้ทางชายฝั่งตะวันออก อิทธิพลของ ลมเข้ามาถึงจังหวัดกระบี่ได้ไม่มากนัก เน่ืองจากมีเทือกเขานครศรีธรรมราชและเขาพนมเบญจาขวางกั้น อิทธิพลของลมทำให้มปี รมิ าณฝนตกน้อย ปริมาณนำ้ ฝนในช่วงนป้ี ระมาณหนึ่ง 100 มิลลเิ มตรตอ่ เดือน หน่วยการปกครอง จังหวัดกระบ่ี แบ่งการปกครองออกเป็น 8 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองกระบ่ี อ.อ่าวลึก อ.ปลายพระยา อ.คลองท่อม อ.เกาะลันตา อ.ลำทับ อ.เหนือคลอง และ อ.เขาพนม รวม 51 ตำบล 383 หมู่บ้าน 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 เทศบาลเมือง 9 เทศบาลตำบล และ 51 องค์การบริหารส่วนตำบล มี 8 อำเภอ ดังนี้ 1. อำเภอเมืองกระบี่ 2. อำเภอเขาพนม 3. อำเภอเกาะลันตา 4. อำเภอคลองทอ่ ม 5. อำเภออา่ วลกึ 6. อำเภอปลายพระยา 7. อำเภอลำทบั 8. อำเภอเหนือคลอง เดิมประชาชนชาวกระบี่มีอาชีพทำการเกษตรท่ัวไป ทำประมง และค้าขาย และในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้มีการบุกเบิกปลูกปาล์มน้ำมันด้วยสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศท่ีเหมาะสมทำให้มีการขยายการปลูก ปาล์มน้ำมันอย่างต่อเน่ืองและเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัดในปัจจุบัน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๘ จังหวัด สำนักงานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๑๗
กระบ่ีเข้าสู่ยุคการเปล่ียนแปลงจากเดิมที่เป็นเมืองเล็ก ๆ สงบเงียบอยู่กับธรรมชาติและทำการเกษตร เร่ิมมี นักท่องเท่ียวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเยือนเพื่อชมแหล่งท่องเท่ียวทางทะเลที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ นักธุรกิจในจังหวัดเล็งเห็นศักยภาพของการท่องเที่ยวดังกล่าว จึงเร่ิมประกอบการท่องเท่ียว เช่น โรงแรม ที่พัก ร้าน อาหาร ร้านขายของท่ีระลึก เป็นต้น ขณะเดียวกันภาครัฐได้พัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐานและ สิง่ อำนวยความสะดวกควบคู่กนั ไปเพ่อื รองรบั การทอ่ งเที่ยว เช่น ท่าอากาศยาน ทา่ เทยี บเรอื ถนน เป็นตน้ เมื่อการท่องเท่ียวของจังหวัดกระบี่สามารถรองรับและให้บริการนักท่องเท่ียวได้ทั้งการบริการ ส่ิงอำนวย ความสะดวก และโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้นักท่องเท่ียวได้รับความสะดวกสบาย เกิดความประทับใจ จึงเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมากและมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี จนเป็นจังหวัดที่สามารถสร้างรายได้ ทางการท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศได้สูงเป็นลำดับท่ี ๕ รองจากกรุงเทพมหานคร ภูเก็ต ชลบุรี และเชียงใหม่ ขณะเดียวกัน ในภาคเกษตรกรรมการปลูกปาล์มน้ำมันท่ีเป็นพืชเศรษฐกิจหลักก็ขยายพื้นท่ีปลูกมาก เป็นลำดับต้นของประเทศและมีผลผลิตท่ีมีปริมาณและคุณภาพสูงท่ีสุดของประเทศ ส่งผลให้เกิด ภาคอุตสาหกรรมตามมา คือ อุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันโดยมีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ และลานเท ซึ่งดำเนินกิจการในแนวทางท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม ภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมมีการบูรณาการ ความร่วมมือในการผลิตและอุตสาหกรรมท่ีเน้นคุณภาพครบวงจรต้ังแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ บนพื้นฐาน ขององค์ความรู้และนวัตกรรม ส่งผลให้ผลผลิตปาล์มน้ำมันของจังหวัดมีคุณภาพ กลายเป็น \"เมืองแหล่ง ปาล์มน้ำมัน” ของประเทศ จังหวัดกระบี่ในปัจจุบันจึงมีการพัฒนาเศรษฐกิจอยู่บน ๒ ฐาน คือ การเกษตร ควบคกู่ บั การทอ่ งเทย่ี ว เศรษฐกิจท่ีสำคญั ของจงั หวดั กระบ่ี 1. ยางพารา เป็นพืชเศรษฐกิจท่ีสำคัญที่สุดของจังหวัดกระบ่ี เน้ือที่ปลูกยางพาราภายในจังหวัด รวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 700,000 ไร่ ยางพาราจะขึ้นได้ดีในดินเหนียวถึง ร่วนปนทราย ชอบสภาพอากาศ ชุ่มช้ืน ฝนตกสม่ำเสมอมีปริมาณน้ำฝนต่อปีประมาณ 2,000 – 2,500 มิลลิเมตร สามารถเจริญได้ดี ในท่ีราบจนถึงที่มีการลาดเท แหล่งท่ีปลูกมากที่สุดคือ อำเภอเมือง รองลงไปคือ อ่าวลึก เหนือคลอง เขาพนม เกาะลันตา ลำทบั และปลายพระยา 2.ปาล์มน้ำมัน ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจท่ีรองลงไปจากยางพารา เน้ือที่ปลูกภายในจังหวัด รวมแล้วไม่น้อยกว่า 400,000 ไร่ ปาล์มน้ำมันจะขึ้นดีในดินร่วนเหนียว ดินร่วน หรือร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดีมีปริมาณธาตุอาหารปานกลางถึงค่อนข้างสูง ปริมาณน้ำฝนไม่น้อยกว่า 2,000 มิลลิเมตร ต่อปีบริเวณที่ปลูกมากท่ีสุดได้แก่ อำเภออ่าวลึก รองลงไปคือ เขาพนม ปลายพระยา คลองท่อม อำเภอ เมือง เหนือคลอง ลำทับ และเกาะลันตา 3. มะพร้าว เป็นพืชสำคัญอีกชนิดหนึ่งแต่ว่าน้อยกว่ายางพาราและปาล์มน้ำมัน มีพื้นที่ไร่น้อยกว่า 50,000 ไร่ แหล่งท่ีปลูกมากท่ีสุด ได้แก่ อำเภอคลองท่อม รองลงมา คือ อำเภอเกาะลันตา อำเภอเมือง เหนือคลอง เขาพนมและลำทับ ส่วนใหญ่จะปลูกบริเวณท่ีราบชายฝั่งทะเล และปลูกผสมผสานไปกับ พืชชนดิ อื่น สำนักงานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๑๘
4. ข้าว กระบี่มีพ้ืนที่ปลูกข้าวน้อยมาก ปัจจุบันพ้ืนท่ีทำนาจะถูกเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น เช่น ปลูกบ้าน ทำโรงงาน ที่ปลูกกันมาแต่เดิมมักเป็นการปลูกกินมากกว่าขาย แหล่งที่ปลูกข้าวมาก ได้แก่ อำเภอเหนือคลอง รองลงมาคือ อำเภอปลายพระยา คลองท่อม อำเภอเมือง เกาะลันตา อ่าวลึก และลำทบั ประชากร จังหวัดกระบ่ี มีจำนวนประชากรทั้งส้ิน 471,639 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง 236,743 คน คิดเป็นรอ้ ยละ ๕๐.20 เพศชาย 234,896 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 49.80 ศาสนา ประชากรจังหวัดกระบ่ี นับถือศาสนาพุทธ คิดเป็นร้อยละ 60.37 ศาสนาอิสลาม คิดเป็นร้อยละ 39.40 ศาสนาคริสต์ คิดเป็นร้อยละ ๐.19 ศาสนาซิกข์ คิดเป็นร้อยละ ๐.03 ศาสนาอ่ืน ๆ คิดเป็นร้อยละ ๐.02 โดยมีวัด 81 แห่ง ท่ีพักสงฆ์ 33 แห่ง มัสยิด ๑๘6 แห่ง โบสถ์คริสตจักร ๘ แห่ง ศูนย์อบรม จรยิ ธรรมฯ 116 แหง่ และศนู ย์พระพทุ ธศาสนาฯ 6 แห่ง ประเพณแี ละวฒั นธรรม ๑. วันเหลืองกระบ่ีบาน ได้จัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในฐานะเป็นผู้ริเริ่ม ในการอนุรักษ์กล้วยไม้นารีเหลืองกระบ่ี มีจุดมุ่งหมายเพ่ือกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติ และเพ่ือส่งเสริมการท่องเท่ียว ภายในงานฯ จัดให้มีนิทรรศการ การประกวดกล้วยไม้รองเท้านารี เหลืองกระบี่และกล้วยไม้ ตระกูลต่าง ๆ การประกวดการจัดสวนหย่อมกล้วยไม้ การประกวดเสื้อบาติก ลายกล้วยไม้รองเท้านารีเหลืองกระบ่ี การออกร้านจำหน่ายกล้วยไม้พันธุ์ต่าง ๆ การจำหน่ายสินค้า ผลติ ภัณฑ์ชมุ ชนและท้องถิน่ 2. เทศกาลโต๊ะนาค “โต๊ะนาค” ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ิและเป็นท่ีเคารพบูชาของคนกระบ่ี เช่ือกันว่า โต๊ะนาคได้คอยปกป้องดูแลให้ทุกคนได้อยู่กันอย่างปลอดภัยและมี ความร่มเย็นเป็นสุข มีการสร้าง ท่ีสักการบูชาโต๊ะนาคท่ีสำนักสงฆ์บ้านคลองม่วง โดยชาวบ้านนิยมนำเครื่องสักการะมาถวายไม่ ว่าจะเป็น ไก่ต้ม ไข่ต้ม ดอกไม้ และที่ขาดไม่ได้คือประทัด “โต๊ะ” เป็นคำที่ชาวมุสลิมใช้เรียกผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทุกคน ใหค้ วามเคารพนบั ถอื “นาค” หมายถงึ พญานาค โดยชาวบ้านเช่ือว่าพ้ืนที่ละแวกนี้เป็นท่ี ของพญานาคตามตำนานเก่าแก่ที่เล่าสืบต่อกันมา โดยตำนานดังกล่าวเป็นต้นกำเนิดของชื่อสถานที่ต่างๆ ที่มีความเก่ียวข้องกับพญานาค ทั้งเขาหงอนนาค หนองทะเล และเขาแหลมหางนาค สิ่งท่ีน่าสนใจและสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนน่ันคือ “นำ้ ตานาค” เปน็ บอ่ น้ำเล็ก ๆ ทมี่ ีนำ้ ใสไหลตลอดปอี ย่บู นเขาหงอนนาค องค์การบริหารส่วนตำบลหนองทะเล ร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมหาดคลองม่วง-ทับแขก ร้านอาหาร ชาวบ้านใน ตำบลหนองทะเล สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ สมาคมโรงแรมจังหวัด กระบี่ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี และการท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย สำนักงานกระบี่ ได้กำหนดจัดงานเทศกาลโต๊ะนาค ประจำปี ๒๕๕๕ (Nongtalay Naga Festival 2012) ซึ่งเป็นกิจกรรม สำนกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษากระบี่ ๑๙
ส่งเสริมการท่องเท่ียวภายใต้แนวคิดการส่งเสริมเอกลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวท้องถ่ิน โดยคำว่า โต๊ะนาค นั้นมีท่ีมาจากเรื่องเล่าของพญานาคอันเป็นตำนานก่อกำเนิดของเขาหางนาคในตำบลหนองทะเล ซึ่งคำว่า “โต๊ะ” ในภาษาท้องถ่ินของมุสลิมหมายถึง ผู้อาวุโสที่ให้ความเคารพนับถือ “นาค” หมายถึง พญานาค นั่นเอง ภายในงานมีกิจกรรมการแข่งขันเดินเร็วพิชิตเขาหงอนนาค ซ่ึงถือเป็นกิจกรรมสำคัญของ การแข่งขันฟุตบอลชายหาด มวยทะเล ว่ายน้ำจับเป็ด วิ่งจับไก่ พายเรือคายัค ชักเย่อ เป็นต้น ส่วนกลางคืน จะเป็นกิจกรรมการแสดงบนเวที การออกบูธสาธิตและจำหน่ายอาหารของผู้ประกอบการโรงแรม และชาวบ้านในท้องถิ่น 3. เทศกาลกระบี่เบิกฟ้าอันดามัน จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน เป็นงานเปิดฤดูการท่องเที่ยง ของจังหวัด มีกิจกรรม งานรื่นเริง การแสดงทางวัฒนธรรม เช่น การแสดงลิเกป่า รำรองเง็ง การประกวด เทพี และการแข่งขันกีฬาทางน้ำเทศกาลกระบ่ีเบิกฟ้าอันดามัน จัดขึ้นตรงกับเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นงานเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวของจังหวัดกระบ่ี มีกิจกรรมรื่นเริงและการแสดงทางวัฒนธรรมมากมาย และการแข่งขันกีฬาทางน้ำหลายประเภท จังหวัดกระบี่ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนผนึกกำลัง จัดงาน “กระบี่เบิกฟ้าอันดามัน” ณ หาดนพรัตน์ธารา อ. เมือง จ.กระบี่ เพ่ือเปิดฤดูกาลท่องเท่ียวที่มาถึง รวมทั้งนำเสนอความพร้อมในการรองรับนักท่องเท่ียวและความหลากหลายของกิจกรรมทางการท่องเท่ียว ของจังหวัดกระบ่ีโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการต้อนรับนักท่องเท่ียว และประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเท่ียว ท้ังชาวไทยและชาวต่างชาติได้ทราบถึงการเปิดฤดูการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบ่ี และจังหวัดชายฝั่งทะเล อันดามัน ซึ่งเป็นการสร้างความประทับใจ และดึงดูดให้นักท่องเท่ียวได้เข้ามาเท่ียว อันจะเป็น การสร้างโอกาสและกระจายรายได้แก่ภาคธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม และการบริการอื่นๆ รวมท้ังส่งเสริม การตลาดเพอ่ื กลุ่มนกั ทอ่ งเทยี่ วภายในประเทศใหม้ าเยือนจงั หวัดกระบ่ใี หม้ ากขนึ้ 4. งานลานตา ลันตา เป็นงานที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวของ อ.เกาะลันตา ช่ืองาน เทศกาล ลานตา-ลันตา เทศกาลลานตาลันตา จัดขึ้นทุกปีในช่วงเดือนมีนาคม สถานที่จัดจะอยู่ท่ีชุมชนเก่าเกาะลันตา บ้านสังกาอู้ เพราะที่น่ีมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี บ้านเรือนที่น่ียังคงแบบบ้านจีนโบราณ ปลูกใกล้กันน้ัน จะเป็นชุมชนของชาวเล หรือ ชาวไทยใหม่ ซึ่งถือเป็นชุมชนแรกท่ีเข้ามาอาศัยในเกาะลันตา นักท่องเท่ียวจะได้ชมการรำรองเง็ง จากกลุ่มชาวเลหรือชาวไทยใหม่ ซ่ึงเป็นการรำที่ผสมผสานเข้าด้วยกัน กบั วัฒนธรรมยุโรปและเอเชีย โดยใช้ภาษามลายู เป็นภาษารอ้ ง ในงานลานตา ลันตา นอกจากการแสดงพ้ืนบ้านทางภาคใต้แล้ว ยังมีการแสดงบนเวที ซ่ึงจะเป็น การแสดงของวงดนตรีสากล, การเริงระบำแบบภาคกลาง และการดนตรีเร็กเก้ จากศิลปินคุณภาพ นอกจากน้ี นักท่องเที่ยวจะได้ฟังแนวดนตรีผสานจากเคร่ืองดนตรีตะวันตก และเคร่ืองดนตรีตะวันออก จากวงอัสลี มาลา ในส่วนอาหารและเคร่ืองดื่มสำหรับคนท่ีเข้ามาเที่ยวในงาน จะมีการออกร้านจาก ร้านค้า บาร์ และโรงแรมชื่อดังในเกาะ ในราคาถูก ซ่ึงจะมีการจัดร้านให้สอดคล้องกับแนวคิดของงาน คือ เป็นงานเพ่ือส่ือถึงวัฒนธรรมและประเพณีของคนเกาะลันตา และท่ีขาดไม่ได้และเป็นที่ช่ืนชอบของเด็กๆ สำนกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๒๐
เป็นอย่างมากคือ การแสดงละครใบ้, ละคนหุ่น, สอนวิชาวาดเขียน ให้เด็ก ๆ ในงานได้ชมตลอดตาม ถนนทางเดนิ อันได้ประดับประดาไปดว้ ยโคมไฟจนี หลากสีตามแนวถนนสายน้ี ภายใต้แนวคิดท่ีว่า “ร่วมกันย้อนรอยเมืองการค้าทางทะเลอันดามันในสมัยอดีตกาลของเกาะลันตา ซ่ึงเป็นยุคแห่งการใช้เรือสำเภาขนส่งสินค้า และเล่าเร่ืองความเป็นเมืองเก่าของเกาะลันตาในสมัยก่อน ท่ีเคย เป็นท่าจอดเรือและเป็นท่ีพักพิงยามขนถ่ายสินค้าเพื่อนำมาค้าขาย” อันเป็นที่มาของงานเทศกาล ลานตา ลันตา อำเภอเกาะลันตา จึงมีกำหนดจัดงานเป็นประจำทุกปี เพ่ือสื่อให้นักท่องเท่ียว รับรู้ถึงความเป็นมา ของคน 4 ชาติพันธ์ุ ท่ีเข้ามาอยู่ในเกาะลันตา ประกอบด้วย ชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม ชาวไทยเช้ือสาย จีน และชาวไทยใหม่หรือชาวเลอุรักลาโว้ย ซ่ึงมีความเป็นมาเม่ือประมาณ 500-600 ปี ท่ีผ่านมา ปัจจุบัน ยังคงอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยไม่มีความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง ของเกาะลนั ตา โดยคาดว่าทกุ ปจี ะมปี ระชาชนรวมไปถงึ นักท่องเที่ยวเขา้ รว่ มงานเป็นจำนวนมาก 5. งานรักอ่าวลึก มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น และอาศัยแนวคิดการดำเนินชีวิต แบบเศรษฐกิจพอเพียงบอกกล่าว เล่าเรื่องอ่าวลึกคึกคัก เที่ยวงานรักอ่าวลึก กล่าวถึงวัตถุประสงค์ เพ่ือส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประพฤติปฏิบัติ อันจะก่อให้เกิด ความผาสุกของประชาชนและความมั่นคงของบ้านเมือง โดยหลายภาคส่วน ของอำเภออ่าวลึก มาร่วมกิจกรรมเพื่อนำเสนอรูปแบบงานและกิจกรรมท่ีจะมีให้ชมในงานวันรักอ่าวลึก ท่ีสืบสาน วิถีชุมชน ที่อ่าวลึก ในเรื่องอาหารการกิน ชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละตำบล ไทยพุทธ มุสลิม ท่ีอยู่ด้วยกันมาอย่างร่มเย็น วิถีบก ท่ีเป็นชาวสวน ค้าขายและอาชีพอ่ืน ๆ นอกจากน้ีวิถีแบบชาวประมง หาปลาประมงพื้นบ้าน วิถีเศรษฐกิจพอเพียงท่ีเล้ียงชีพ การทำหัตถกรรมจักสาน ของใช้จากเตยปาหนัน ทำสวนครัวแบบเศรษฐกิจพอเพียง รวมไปถึงถิ่นฐานบ้านเรือนที่เป็นงานฝีมือคนในชุมชน เป็นเอกลักษณ์ อา่ วลึกจากอดตี จนถึงปัจจุบนั งานวนั นเ้ี ป็นวิธีการสบื สานให้ย่งั ยืน 6. ประเพณีลอยเรือชาวเล ในวันขึ้น ๑๓ ค่ำ ช่วงเช้า ชาวเลจะเดินทางไปบริเวณท่ีจะทำพิธี ผู้หญิงจะทำขนม ผู้ชายจะสร้างและซ่อมแซมท่ีพักชั่วคราว ช่วงเย็น ท้ังหญิงและชายจะไปรวมกัน ท่ีศาลบรรพบุรุษ เพื่อนำอาหารเครื่องเซ่นไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เป็นการบอกกล่าวให้มาร่วมพิธีลอยเรือ เช้าของวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ผู้ชายส่วนหนึ่งเดินทางไปตัดไม้ เพื่อนำไม้มาทำเรือ ผู้หญิงจะร้องรำทำเพลง ในขณะท่ีรอรับไม้บริเวณชายฝั่ง แล้วขบวนแห่จะแห่ไม้ ไปวนรอบศาลบรรพบุรุษเพ่ือนำกลับมาทำเรือ “ปลาจ๊ัก” คืนวันข้ึน ๑๔ ค่ำ มีพิธีฉลองเรือโดยมีการรำรอบเรือ เพ่ือถวายวิญญาณบรรพบุรุษโดยใช้ดนตรี และเพลงรำมะนาประกอบวงหน่ึง และอีกวงจะเป็นการรำวงแบบสมัยใหม่ มีดนตรีชาโดว์ประกอบ การร้องรำ โต๊ะหมอจะทำพิธีในช่วงเริ่มฉลองเรือและมีพิธีสาดน้ำตอนเที่ยงคืน (เลฮฺบาเลฮฺ) และทำพิธี อีกคร้ังในช่วงเช้าตรู่วันข้ึน ๑๕ ค่ำ ก่อนนำเรือไปลอยในทิศทางลม ซึ่งแน่ใจว่าเรือจะไม่ลอยกลับเข้าฝ่ัง หลังจากนั้น แยกย้ายกันนอนพักผ่อน บ่ายวันข้ึน ๑๕ ค่ำ ผู้ชายส่วนหน่ึงแยกย้ายไปตัดไม้และหาใบกะพ้อ เพื่อทำไม้กันผีสำหรับทำพิธีฉลองในเวลากลางคืน โดยมีพิธีกรรมเหมือนกับพิธีฉลองเรือทุกประการ สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๒๑
จนกระทั่งใกล้จะสว่างโต๊ะหมอจะทำพิธีเสกน้ำมนต์ทำนายโชคชะตา และสะเดาะเคราะห์ให้สมาชิก ทีเ่ ขา้ รว่ มพิธีกอ่ นจะอาบน้ำมนต์ และแยกย้ายกนั กลับบ้านโดยนำไม้กนั ผไี ปปกั บริเวณรอบหมู่บ้านดว้ ย ประเพณีลอยเรือเป็นประเพณีท่ีสืบทอดกันมาต้ังแต่ครั้งบรรพบุรุษอันเกี่ยวเนื่องกับตำนาน ความเช่ือความเป็นมาและวิถีชีวิตทุกอย่างของชาวเลอูรักลาโวย การจัดพิธีฉลองเรือก็เพื่อ การสะเดาะเคราะห์ ส่งวิญญาณกลับสู่บ้านเมืองเดิม และการส่งสัตว์ไปไถ่บาป เรือปลาจั๊กที่ทำข้ึนใน พิธีลอยเรือ ทำจากไม้ตีนเป็ดและ ไม้ระกำเป็นสัญลักษณ์ของ “ยาน” ที่จะนำวิญญาณของคนและสัตว์ ไปสู่อีกภพหน่ึง มีชิ้นไม้ระกำท่ีสลักเสลาอย่างสวยงามเป็นรูปลักษณ์ต่าง ๆ ประดับประดาอยู่ในเรือ รูปนก เกาะหัวเรอื หมายถึง “โตะ๊ บุหรง” บรรพบุรุษผู้ซึ่งสามารถห้ามลมห้ามฝน ลายฟันปลา หมายถึง “โต๊ะบิกง” บรรพบุรุษที่เป็นฉลาม ลายงูหมายถึง “โต๊ะอาโฆะเบอราไตย” บรรพบุรุษที่เป็นงู ฯลฯ ในเรือยังมี ตุ๊กตาไม้ระกำทำหน้าที่นำเคราะห์โศกโรคภัยของสมาชิกในแต่ละครอบครัวเดินทางไปกับเรือและเครื่องเซ่น ต่าง ๆ ท่ีจะให้วิญญาณบรรพบุรุษนำติดตัวไปยังถิ่นฐานเดิมที่เรียกว่า “ฆูนุงฌึไร” การร่ายรำแบบดั้งเดิม ผสมผสานกับบทเพลงเก่าแก่ และดนตรีรำมะนา เป็นส่วนประกอบที่เร้าใจและเป็นการรำถวายต่อ บรรพบุรุษ ทุกคนท่ีรำเชื่อว่าจะได้บุญโต๊ะหมอ ผู้นำทั้งทางโลกและทางธรรม เชื่อว่าเป็นผู้ที่สามารถส่ือสาร กับพระผู้เป็นเจ้าและวิญญาณบรรพบุรุษได้ ผู้ที่ผ่านพิธีลอยเรือถือว่าจะเป็นผู้ที่ผ่านทุกข์โศกโรคภัย ไปหมดแลว้ ชวี ติ ตอ่ ไปขา้ งหนา้ จะประสบแต่ความสุขและโชคดีในการทำมาหากนิ 7. ประเพณีแห่จาดสารทเดือนสิบ ประเพณีที่บรรพบุรุษไทย นำภูมิปัญญาท้องถ่ินมากำหนด เป็นแนวทางปฏิบัติ โดยผ่านกระบวนการทางศาสนา ประเพณีและวัฒนธรรมเพ่ือให้เกิดความสมัครสมาน สามัคคี เกิดความผูกพัน เชื่อมโยงคนในชุมชนให้เป็นกลุ่มชนเดี่ยวกันสังคมชาวไทยในภาคใต้ บรรพบุรุษ ได้เชื่อมโยงศาสนา ประเพณี และวัฒนธรรมเป็นแนวทางปฏิบัติไว้หลากหลาย และหน่ึงในประเพณีเหล่าน้ัน คือ ประเพณีแห่จาดสารทเดือนสิบ ซึ่งเป็นประเพณีท่ีส่งเสริมให้คนทำความดี มีศีลธรรม เกรงกลัว การกระทำผิด เชื่อถือว่าการกระทำท่ีผิดจารีต ประเพณีศีลธรรมเป็นบาปและอาจต้องได้รับผลบาป ตามวิถีกรรมท่ีกระทำไว้ นอกจากน้ี ยังเป็นการส่งเสริมให้คนเกิดความรักในบรรพบุรุษ ให้ระลึกถึง คุณความดี ท่ีบรรพบุรุษได้กระทำมาแก่ชนรุ่นหลัง ดังนั้นในเทศกาลน้ี คนไทยในภาคใต้ ไม่ว่าจะอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด ต่างก็พากันกลับมายังภูมิลำเนาของตนเอง เพ่ือร่วมประเพณีแห่จาดสารทเดือนสิบ เปน็ ประจำทกุ ปี 8. งานเดือนสิบ เป็นงานประเพณีที่เชื่อในเร่ืองบาปบุญคุณโทษ โดยเชื่อว่าบรรพชนท่ีล่วงลับ ไปแล้ว ถ้าทำกรรมชั่วไว้มากเมื่อตายก็จะตกนรกซึ่งเรียกว่า “เปรต” จะถูกปล่อยตัวจากนรก ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ เพ่ือมาขอส่วนบุญ และจะกลับไปนรกในวันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ ในเวลาดังกล่าวน้ีญาติพ่ีน้องก็จะร่วมกันทำบุญเพื่ออุทิศกุศลไปให้บรรพชน ซึ่งประกอบด้วยขนม ๕ อย่าง คือ ขนมพอง ขนมลา ขนมบ้า ขนมดีซำ และขนมไข่ปลา เพื่อเป็นเคร่ืองปัจจัยส่ีในแดนนรกภูมิ เปน็ ประเพณที แี่ สดงถึงความกตญั ญทู ่เี ก่ียวพันกบั ความเช่ือทางพทุ ธศาสนาอย่างเหนยี วแนน่ 9. ประเพณีไหว้แม่ย่านาง ช่วงเวลา ทำทุกเดือน หรือนาน ๆ ครั้งก็ได้ พวกที่ทำทุกเดือน จะทำตอน \"หยุดหงาย\" คือเวลาท่ีหยุดออกเรือและเดือนหงาย ลักษณะความเชื่อแม่ย่านาง หรือ สำนักงานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษากระบี่ ๒๒
แม่ย่านนาง เป็นคำศัพท์เฉพาะที่ใช้เรียกส่ิงศักด์ิสิทธิ์ ที่เชื่อกันว่าสถิตอยู่ประจำเรือแต่ละลำ ชาวเรือ ที่ออกเรือต้องบูชากราบไหว้ เพราะเช่ือว่า แม่ย่านางจะดลบันดาลให้ชาวประมงหรือผู้เป็นเจ้าของเรือ มีโชคลาภ หรือประสบความสำเร็จตามปรารถนา ได้ส่ิงที่เป็นสัญลักษณ์ บอกให้รู้ว่าเรือลำใดมีแม่ย่านาง ก็คือ ที่หัวเรือจะผูกด้วยด้ายขาว ด้ายแดงและผ้าแดง ก่อนออกเรือทุกครั้ง จะพูดกับแม่ย่านางว่า \"อย่าให้มันขัด อย่าให้มันข้อง ให้คล่อง ให้คล่อง ให้แคล้วทุกอย่าง ออกถึงได้พบปลาทันที ให้สมปรารถนา จะใหร้ างวัลแก่แมย่ า่ นาง\" ทำใหม้ ีโชคลาภ ประสบความสำเร็จสมปรารถนา 10. ประเพณีกินเจ เม่ือประมาณ 150 ปี มาแล้ว มีชาวจีนอพยพมาจากเมืองจีน โดยสารเรือใบ เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะมาอาศัยอยู่ในอำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบ่ี ชาวจีนส่วนใหญ่ จะมาจากสิงคโปร์และปีนัง เมื่อชาวจีนเข้ามาอาศัยอยู่รวมกันก็จับกลุ่มกัน จึงนำเอาวัฒนธรรมธรรมเนียม ประเพณีต่าง ๆ เข้ามาปฏิบัติในจังหวัดกระบี่ด้วย สำหรับประเพณีการกินเจของอำเภอเหนือคลอง จะมีชื่อเสียงกว่าท่ีอ่ืน ๆ ในจังหวัดกระบ่ี ประเพณีการกินเจหรือเทศกาลกินเจ ได้แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ และช่วงหลังสงครามโลกคร้ังที่ ๒ ผู้ที่ริเร่ิมก่อตั้งในช่วงแรกคือขุนชลาลัย ซึ่งให้นายอังก๋าว เอ่งฉ้วน เป็นผู้ดูแลกิจการ และกิจกรรมต่าง ๆ ในยุคแรก ๆ จะมีชาวจีนร่วมกินเจประมาณ 50 คน เมื่อเกิดสงครามโลกการกินก็หยุดชะงักไป และเร่ิมฟื้นฟูใหม่หลังสงครามโลกยุติ เนื่องมาจาก หลังสงครามโลกเกิดโรคระบาดข้ึนท่ีเหนือคลองคือ โรคไข้ทรพิษ (สมัยน้ันเรียกไข้ห่า) ทำให้มีผู้เสียชีวิต ประมาณ 480 คน ผู้ใหญ่ในตำบลจึงลงความเห็นว่า สมควรที่จะหันกลับมากินเจอีก เพื่อเป็นการสร้างบุญ สร้างกุศล ลด ละ เลิก บาปทั้งปวง ประเพณีกินเจจึงได้เริ่มข้ึนอีกครั้งภายใต้การนำของนายเทียนซ่ัง (นายเสถียร ผกามาศ) นายจ้ีฮวด สูก้ี นายต่องหวน เจียวก๊ก บุคคลเหล่านี้ได้ดำเนินการจัดการกิจกรรม ต่าง ๆ โดยได้ลงแรงและเป็นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่มีการเก็บเงินจากผู้ที่มากินเจใครจะมากินก็ได้ เปิดเป็น โรงทานให้กินอาหารเจได้ทุกคน ในระยะหลังจึงมีผู้บริจาคเงินและอาหารให้แม่ครัวปรุงเลี้ยงผู้คนชาวจีน ถือว่าการกินเจเป็นการทำบุญ จึงมีคนมากินเจเพิ่มข้ึนทุกปีผู้บริจาคทรัพย์ก็เพิ่มมากข้ึนตามกำลังศรัทธา ปัจจุบันศาลเจ้าจ้อซู้ก๋ง ได้เจริญรุ่งเรืองข้ึนมาก เพราะมีผู้ร่วมกินเจท้ังเช้ือสายจีนและเชื้อสายไทย คนจน คนรวย และทุกอาชีพ มีอาคารสถานที่เพ่ิมข้ึนมากมายภายใต้การดูแลของนายสวัสด์ิ อริยวงศ์ เป็นผู้จัดการ ทกุ อยา่ งทัง้ ดูแลศาลเจา้ และพธิ กี รรมทจ่ี ดั ในช่วงกินเจ 11. งาน Love LAMTHAP: รำลึกพระเศวต ณ บ้านไร่ตะวันหวาน ตำบลดินแดง อำเภอลำทับ จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนของทุกปีเพื่อให้ประชาชนชาวอำเภอลำทับ เยาวชนคนรุ่นหลังได้รำลึก ถึงความสำคัญและประวัติความเป็นมาของพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ เป็นพระยาช้างเผือกประจำรัชกาล พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นช้างสำคัญ ในตระกูลพรหมพงศ์ ตลอดจนได้เรียนรู้วิธีการคล้อง ในสมัยโบราณ เรียนรู้วิถีชีวิตของคนสมัยก่อน ท่ีเดินทางมาอาศัยในพื้นที่อำเภอลำทับ ร่วมกันสืบสานประเพณีวันลอยกระทง สร้างงาน สร้างรายได้ ส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชน ซึ่งหลังการเปิดงานปรากฏว่าได้สร้างความดีใจและความภาคภูมิใจให้กับ ชาวลำทับเปน็ อยา่ งมาก สำนกั งานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษากระบี่ ๒๓
๑๒. งานเจ้าแม่เขาพนม พิธีบวงสรวงศาลเจ้าแม่เขาพนม จัดขึ้นท่ีศาลเจ้าแม่เขาพนม ซึ่งอยู่ด้านหน้าท่ีว่าการอำเภอเขาพนม ถนนเหนือคลอง - ชัยบุรี ตำบลเขาพนม อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบ่ี โดยมติกรรมการศาลเจ้าแม่เขาพนม ซ่ึงมี นายศิริ บัวเกตุ ประธานสภาวัฒนธรรม อำเภอเขาพนม เป็นประธานกรรมการศาลเจ้าแม่เขาพนม กำหนดให้ทุกวันที่ 1 - 10 มีนาคม ของทุกปี จัดงานบวงสรวงศาลเจ้าแม่เขาพนม เพื่อให้ประชาชนในอำเภอเขาพนมร่วมกันถือศีลกินเจ สวดมนต์ขอพร จากเจ้าแม่เขาพนมให้คุ้มครอง ซ่ึงเป็นความเชื่อที่มีมาประมาณ 31 ปี ที่ผ่านมา สมัยนายอำเภอเขาพนม นายวีรชัย ศิริสันต์ เป็นนายอำเภอเขาพนม เริ่มให้มีการก่อสร้างศาลเจ้าแม่เขาพนม เพื่อให้ เป็นท่ีสักการบูชาเป็นที่ยึดเหน่ียวทางจิตใจแก่ประชาชนในอำเภอเขาพนม ตามความเช่ือ ความศักด์ิสิทธ์ิ ท่ีเล่าสืบต่อกันมา พิธีบวงสรวงศาลเจ้าแม่เขาพนมกำหนดจัดสรุปพอสังเขป ได้แก่ การถือศีลกินเจ สวดมนต์ พิธีบวงสรวงโดยพิธีพราหมณ์จากจังหวัดนครศรีธรรมราช วันท่ี 9 มีนาคม เวลา 14.00 น. ของทุกปี มีการอาบน้ำให้รูปปั้นเจ้าแม่เขาพนมก่อนทำพิธี บวงสรวง วันที่ 10 มีนาคม ของทุกปี จัดพิธีบวงสรวง ทงั้ พิธีพราหมณ์และพิธีพทุ ธศาสนา โดยนมิ นตพ์ ระสงฆ์ จำนวน 10 รูป ประกอบพธิ ี การละเลน่ พื้นบ้าน 1. ลิเกป่า หรือลิเกแขกแดงเป็นการละเล่นพ้ืนบ้านประเภทหน่ึงของภาคใต้ที่แพร่หลายในพ้ืนที่ ของจังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันตก เช่น ตรัง พังงา กระบ่ี เป็นต้น การแสดงประเภทนี้ เร่ิมมีมาสมัยใด ไม่ปรากฏหลักฐานท่ีแน่ชัด แต่กล่าวกันว่า เม่ือประมาณ พ.ศ. ๒๔๔๔ ตรงกับสมัยพระยาอิศราธิชัย เป็นเจ้าเมืองกระบี่ ได้ส่งเสริมให้มีการละเล่นลิเกป่ากันอย่างกว้างขวางในงานเทศกาล และงานอ่ืน ๆ จากน้ันจึงแพร่หลายไปสู่จังหวัดใกล้เคียง แหล่งท่ีมีคณ ะลิเกป่าในจังหวัดกระบ่ีในปัจจุบัน อยู่ในอำเภอเหนือคลอง และอำเภอเขาพนม การแสดงลิเกป่าคณะหน่ึงมีผู้แสดงและนักดนตรี ประมาณ ๑๐ - ๒๐ คน นักดนตรีทำหน้าท่ีเป็นลูกคู่ด้วย ลูกคู่บางคนอาจเป็นตัวแสดงด้วยในกรณีท่ีต้องใช้ ตัวแสดงมาก ตัวแสดงท่ีสำคัญมีแขกแดง ยายี เสนา และอาจมีตัวประกอบอื่น ๆ เช่น นายด่าน เจ้าเมือง ญาตพิ ่ีน้อง ฝ่ายยายี เป็นตน้ การแตง่ กายลเิ กป่ามีการแต่งกาย ดังนี้ - แขกแดง สวมกางเกงขายาว นุ่งผ้าโสร่งทับเพียงเข่า สวมเส้ือแขนยาว สวมเส้ือนอกทับอีกทีหน่ึง สวมหมวก ใส่หนวดหรือแต้มหนวด เครา บางครั้งก็มีสายสร้อยสวมด้วย เสริมจมูกให้โตแบบแขก สว่ นมากมกั ทำดว้ ยไมท้ าสีแดง - ยายี แต่งกายแบบผู้หญิงไทยมุสลิมภาคใต้หรือแต่งกายแบบผู้หญิงไทยทั่ว ๆ ไป แถบชายทะเล ตะวันตก คือ นุ่งโสรง่ ปาเต๊ะสตี ่าง ๆ สวมเสอ้ื แขนยาวบางครง้ั ก็มีผา้ คลมุ ผมดว้ ย - เสนา แต่งกายตามสะดวก เช่น สวมกางเกงนุ่งโสร่ง หรือนุ่งโจงกระเบน ไม่นิยมสวมเสื้อ บางคนอาจแต่งหนา้ ดว้ ยแป้งหรอื ฝุน่ สีตามทเ่ี ห็นว่าตลกขบขนั - ตัวแสดงอ่ืน ๆ แต่งกายตามสมัยนิยมเช่นกัน ถ้าแสดงเรื่องอ่ืน ๆ นอกเหนือไปจากชุดแขกแดง กแ็ ต่งกายตามความเหมาะสมของท้องเร่อื ง สำนักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษากระบี่ ๒๔
โรงลิเกป่า สมัยก่อนใช้แสดงบนพ้ืนดิน เช่น สนามหญ้า ลานวัด ลานบ้านเหมือนการแสดงมโนราห์ ปลูกโรงมีเฉพาะหลังคาทรงหมาแหงน ไม่มีฉาก มีเพียงม่านกั้น เพื่อแบ่งสัดส่วนสำหรับการแต่งกาย ของคณะลิเก ต่อมาในสมัยหลัง ลิเกป่าต้องไปแสดงในงานเทศกาลต่าง ๆ จึงมีการยกพื้นเป็นเวที ในปัจจุบันคณะลิเกป่าทุกคณะมักจะมีฉากสวยเหมือนลิเกประเภทอ่ืน ๆ หรือเหมือนฉากมโนราห์ที่แสดง กนั อยทู่ ่ัวไป โอกาสในการแสดงในสมัยแรก ๆ การแสดงลิเกป่าเป็นการแสดงเพื่อความสนุกสนานในหมู่บ้าน ต่อมาเมื่อมีคนนิยมมากข้ึนจึงรับการแสดงในงานอื่น ๆ โดยมีค่าการแสดงท่ีเรียกว่า “ค่าราดโรง” ลิเกป่า แสดงได้เกือบทุกโอกาส ส่วนมากเป็นงานรื่นเริง เช่น งานประจำปี งานวัด งานแต่งงาน บวชนาค ขึ้นบ้านใหม่ สว่ นใหญ่แลว้ ไม่นิยมแสดงในงานศพ 2. รองเง็งและเพลงตันหยง รองเง็ง เป็นการละเล่นของชาวบ้านประเภทผสมผสานระหว่าง ท่าเต้นกับบทร้อง การแสดงเหมือนกับรำวงทั่วไป กล่าวคือ มีการจัดต้ังคณะรองเง็งขึ้นเป็นคณะ คณะหน่ึง มีนางรำประมาณ ๔ – ๑๐ คน นางรำเหล่าน้ีจะถูกฝึกให้มีความชำนาญ ในจังหวะการเต้น แบบต่าง ๆ พร้อมกันนั้นก็จะต้องสามารถร้องเนื้อร้องได้ทุกทำนอง และต้องรู้ทั้งบทกลอนท่ีท่องกันมา อีกทั้งยังสามารถผูกกลอนสดข้ึนร้องโต้ตอบกับคู่รำได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ นางรำส่วนใหญ่ มักจะได้รับการฝึกหัดมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในสมัยโบราณคณะรองเง็งคณะหน่ึงมักจะเป็นคนในครอบครัว หรือเครือญาติเดียวกัน หรือไม่ก็คนในหมู่บ้านเดียวกัน เพราะสะดวกในการฝึกซ้อม และในการเรียกรวมตัว เม่ือมีผู้มาติดต่องานการแสดง หน่ึงในจำนวนนั้นจะมีนายโรงคนหน่ึงซึ่งมักจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีความรู้ เกีย่ วกับขนบธรรมเนยี มของรองเงง็ เปน็ อย่างดี และมักจะเป็นมอื ซอหรอื มือไวโอลนิ ประจำคณะด้วย ลักษณะการแสดงรองเง็งท่ีเหมือนกันกับรำวง คือ มีการแบ่งการเต้นเป็นรอบ ๆ หรือเป็นเพลง นางรำเมอ่ื รำเสรจ็ จะกลบั ไปน่ังยังทจี่ ดั เตรยี มไว้ให้ เม่อื เพลงใหมด่ ังขนึ้ นางรำกเ็ ต้นรำตอ่ จนจบเพลง โอกาสท่ีจะแสดง ในอดีตจะมีการแสดงรองเง็งหรือตันหยง จะแสดงตามเทศกาลวันสำคัญต่าง ๆ ปัจจุบันมักแสดงในงานร่ืนเริงหรืองานที่เป็นมงคลต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานบวช งานเทศกาล ของหมบู่ า้ น เปน็ ตน้ องค์ประกอบของการแสดงรองเง็ง เป็นศิลปะการแสดงหมู่ ผู้เต้นรองเง็ง ประกอบด้วยผู้เต้นท้ังชาย และหญิงเป็นคู่ จำนวนคู่ข้ึนอยู่กับความเหมาะสมของสถานที่ แต่ท่ีนิยมเต้นกันมักจะไม่ต่ำกว่า ๕ คู่ ชาย – หญิง ฝ่ายละ ๕ ชายหน่ึงแถวและหญิงหน่ึงแถว ยืนห่างกันพอสมควร เพื่อความงามของการแสดง หมู่ ผู้แสดงจะต้องรู้จักจังหวะเพลงและลีลาในการเต้น ท่าเต้น จะมีการเคล่ือนไหวท้ังมือและเท้า รวมท้ัง ลำตัวอย่างน่ิมนวล จุดเด่นของการเต้นอยู่ท่ีการเปล่ียนจังหวะช้าและเร็วของเพลงที่ใช้ ลีลาของผู้เต้น ก็จะเปล่ียนไป บางเพลงมีลีลาย่ัวเย้าอารมณ์ และมีการหลบหลีกหยอกล้อ เล่นหูเล่นตา บางเพลงมีการหมุน ตัวสลับกันบ้าง นอกจากน้ันความงามอีกอย่างหน่ึงของการเต้นรองเง็ง คือความพร้อมเพรียงในการเต้น และการกา้ วเท้าไปหนา้ และถอยหลังของทา่ เต้น 3. หนังตะลุง ศิลปะการเล่นเงา (Shadow Play) ท่ีสืบต่อกันมาช้านาน แม้ว่าปัจจุบัน การเล่นหนังตะลุง เส่ือมความนิยมของคนดูลงไป แต่ก็ยังมีการเล่นหนังตะลุงอยู่ตามงานเทศกาลต่าง ๆ สำนักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษากระบี่ ๒๕
ศิลปะการเล่นหนังตะลุง คือ การเล่าเร่ืองผสมผสานกับเงาของรูปหนังตะลุงผ่านผ้าขาวบางประกอบดนตรี อกี ทั้งแสดงให้เห็นการผสมผสานกบั วัฒนธรรมอินเดยี องค์ประกอบของหนังตะลงุ ๑. คณะหนังตะลุง ประกอบด้วยนายหนัง และลูกคู่ ประมาณ 9 – 12 คน สมัยก่อนมีผู้ช่วย นายหนังอีก 2 คน ทำหน้าท่ีจัดรูปหนัง คอยส่งรูปหนังให้นายหนัง และสามารถเล่นแทนนายหนัง ไดบ้ างตอน ๒. เคร่ืองดนตรี ได้แก่ โหม่ง ฉ่ิง กลอง ทับ ป่ี ปัจจุบันมีการใช้เครื่องดนตรีสากลเข้ามาเสริม ทำใหเ้ สยี เอกลกั ษณ์ของหนังตะลุงไป ๓. จอหนัง ทำด้วยผ้าขาวบางความยาว 8 – 9 ศอก ขอบริมด้วยผ้าสีแดงหรือน้ำเงิน มีเชอื กสำหรับผูกรายโดยรอบ ๔ . โรงหนัง ปลูกแบบยกพื้ นสูงประมาณ 2 เมตร กว้างประมาณ 3 เมตร มีหลังคา แบบเพิงหมาแหงน ไม่นิยมหันหน้าโรงหนังไปทางทิศตะวันตก ไม่ปลูกคล่อมตอ คันนา แอ่งน้ำ จอมปลวก ระหวา่ งตน้ ไมใ้ หญ่ หรอื เขตปา่ ช้า เพราะจะถอื ว่าไมเ่ ปน็ มงคล ๕. รูปหนัง ทำด้วยหนังสัตว์ เช่น หนังวัว หนังควาย หรืออ่ืน ๆ ฉลุระบายสีสวยงาม คณะหน่ึง มีรูปหนัง 100 – 300 ตัว ขนบนิยมการเล่นหนงั ตะลงุ ดังนี้ ๑. พิธีเบิกโรง จะนำอุปกรณ์การแสดงทั้งหมดขึ้นทางหน้าโรงหนัง ส่วนผู้แสดงข้ึนทางหลังโรงหนัง มีการตั้งเครื่อง และเบิกรูปหนังจัดให้เป็นระเบียบ เจ้าภาพจัดหมากพลู ธูปเทียนและอ่ืน ๆ ตามลักษณะ ของงาน ใหน้ ายหนังทำพธิ ีเบิกโรง ๒. การโหมโรง คือการบรรเลงดนตรีก่อนการแสดง นายหนังเป็นผู้ประเดิมในการโหมโรง โดยการตีกลองนำลูกคู่ ๓. การออกลิงหัวค่ำ หนังโบราณจะออกลิงหัวค่ำก่อนฤษี แต่ปัจจุบันไม่นิยม อาจมีบ้าง ในงานแก้บน ๔. ออกฤษี ฤษีเป็นตัวแทนครูหนัง เมื่อเชิดรูปออกมักปฏิบัติดังนี้ ตั้งนะโม 3 จบ ชุมนุมเทวดา ต้ังบทธรณสี าร ๕. ออกโคหรือพระอิศวร เป็นตัวแทนเทพเจ้าแห่งศิลปะการร่ายรำ แสดงถึงการรับเอาวัฒนธรรม อนิ เดียอย่างชดั เจน ๖. ออกรูปกาศ (รูปปรายหน้าบท) เป็นตัวแทนนายหนัง กล่าวไหว้ครู ส่ิงศักดิ์สิทธ์ิท้ังหลาย ตลอดจนเจ้าภาพและผูช้ ม ๗. บอกเรอ่ื ง มักจะใช้รปู นายขวญั เมอื ง บอกใหผ้ ชู้ มทราบว่าคนื นี้จะแสดงเร่ืองอะไร ๘ . ต้ังเมือง เป็ นการเปิ ดเร่ืองโดยการเอารูปเจ้าเมือง อันเป็ นเมืองสำคัญ ของเร่ือง แล้วดำเนินเรื่องต่อไปจนกระท่ังเลิก สำนักงานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษากระบี่ ๒๖
ศิลปินหนังตะลุง นายหนังตะลุงท่ีมีชื่อเสียงในจังหวัดกระบ่ี จากอดีตถึงปัจจุบันมีหลายท่าน เชน่ หนังกราย พฒั นจนั ทร์ หนังเย็น โคกยาง หนังขนั ปกาไส นายวริ ิ เน้อื นวล นายนอง พลเดช เป็นต้น 4. รำมโนราห์ เป็นศิลปะพื้นบ้านภาคใต้ที่มีการร้องและรำช้ันสูง มีท่ารำที่อ่อนช้อย สวยงาม บทร้องเป็นบทกลอนสดที่มีความหมายโดยผู้ขับร้องจะใช้ปฏิภาณไหวพริบ และความสามารถพิเศษ เฉพาะตัว มีการแต่งกายท่ีเป็นเอกลักษณ์ และมีเครื่องดนตรี ประกอบด้วย กลอง ทับคู่ ฉ่ิง โหม่ง ป่ีชวา และกรับ ส่วนประวัติความเป็นมาของมโนราห์ นักโบราณคดีไทยคาดการณ์กันว่าการร่ายรำประเภทนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะการแสดงอินเดียโบราณ เกิดข้ึนก่อนสมัยศรีวิชัย และเชื่อกันว่า มโนราห์ เกิดข้ึน ครั้งแรก ณ หวั เมืองพัทลงุ กอ่ นทจี่ ะแผข่ ยายไปยังหวั เมืองตา่ ง ๆ ของภาคใต้ มโนราห์หนูแขม ประดิษฐ์ศิลป์ เป็นมโนราห์ช้ันครูของจังหวัดกระบี่ มีช่ือเสียงโด่งดังมายาวนาน ขับร้องและรำมโนราห์ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ จวบจนปัจจุบัน (พ.ศ. 256๕) อายุ 8๒ ปี ก็ยังคงถ่ายทอด ศิลปะการแสดงมโนราห์ให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้สืบสาน มโนราห์หนูแขมได้กล่าวไว้ขณะที่มาแสดงรำมโนราห์ ในงานเมืองปกาสัย ณ ถนนคนเดิน จังหวัดกระบ่ี ซ่ึงจัดโดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดกระบี่ร่วมกับหอการค้า จังหวัดกระบ่ี เม่ือวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2564 ว่า “ ปัจจุบันยังถ่ายทอดให้กับลูกหลานรุ่นหลังได้รู้จักกับ มโนราห์ ถ้าเราไม่สืบทอดก็จะเลือนหายไปจากความทรงจำ เพราะว่ามโนราห์เป็นวัฒนธรรมของภาคใต้ วฒั นธรรมของมโนราห์ลำ้ ค่ามากจรงิ ๆ ค่ะ คงจะไมแ่ พ้ของภาคอนื่ ต้ังแตก่ ารแตง่ ตัวและการรำ ” อาหารพ้ืนบา้ น 1. หอยชักตีนลวก หอยชักตีนเป็นหอยทะเลชนิดหนึ่ง มีมากในแถบเมืองกระบี่ มีลักษณะพิเศษ คือ ตรงบริเวณปากกาบหอยมีต่ิงคล้ายเล็บย่ืนออกมา บางคนเรียกว่าตีนหอย เม่ือนำไปลวกสุก สามารถ ดงึ ตนี หอยน้อี อกมาพรอ้ มเนอ้ื หอยไดเ้ ลย จึงเปน็ ที่มาของชื่อหอยชักตีน 2. ขนมจนี ขนมจนี เมอื งกระบม่ี นี ำ้ แกงใหเ้ ลอื กหลายชนดิ เช่น น้ำยาปา่ นำ้ ยากะทิ น้ำพรกิ แกงไตปลา เป็นต้น 3. เคยนึ่ง นำเคยหมักหรือท่ีชาวบ้านเรียกกันว่า กุ้งส้ม ใส่ลงตีกับไข่ไก่หรือไข่เป็ด เติมหัวกะทิ ตะไคร้ซอย หอมแดงซอย พริกข้ีหนูสด ตีให้เข้ากัน แล้วนำไปนึ่งราว 15 นาที ก็จะได้เคยนึ่งท่ีมีกลิ่นหอม รสชาตเิ ข้ม ๆ มนั ๆ 4. กุ้งเสียบ คือกุ้งเสียบไม้นำไปรมควันหรือย่างด้วยไฟอ่อน ๆ สามารถเก็บไว้ได้นาน จดั เป็นการถนอมอาหารอยา่ งหน่ึงของคนกระบี่ 5. แกง เช่น แกงส้ม แกงกะทิ แกงเผ็ด แกงเลียง แกงค่ัว แกงพุงปลา ต้มส้ม คั่วกลิ้ง หมูผัดกะปิ ผัดสะตอใส่กะปิ แกงหมกู บั ลกู เหรยี ง เหด็ แครงปงิ้ แกงปา่ ฯลฯ 6. ยำ เช่น ยำสาหร่ายขอ้ ยำปลาเม็ง ฯลฯ 7. น้ำพริก เช่น น้ำพริกกะปิ น้ำพริกมุงมัง (น้ำพริกตะลิงปิง) น้ำพริกปลาทู น้ำพริกระกำ น้ำพริก มะขาม 8. อาหารเผา เช่น หอยเผา กุ้งเผา ปลาเผา ปลาหมกึ เผา ปเู ผา ฯลฯ สำนักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๒๗
9. โรตี ชาร้อน ชาที่คนใต้ดื่มกันจัดเป็นชาชั้นดีมีกล่ินหอม นิยมกินกับโรตีทอดร้อน ๆ ทาเนย ราดดว้ ยนมข้นหวานและน้ำตาลทราย 10. ขนม เช่น ขนมกรุบ ขนมไข่ปลา ขนมจาก ข้าวเกรียบว่าว ข้าวเหนียวกวน ขนมค่อม (ขนมสอดไส้) ขา้ วหลาม ข้าวเหนยี วนำ้ กะททิ ุเรยี น ฯลฯ ของดปี ระจำจังหวัดกระบ่ี 1. ผ้าบาติก เป็นสินค้าท่ีนักท่องเท่ียวนิยมซื้อเป็นของฝาก มักวาดเป็นภาพธรรมชาติท้องทะเล สีสันสดใส ทำเป็นหลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าคลุมเตียง ผ้าปูท่ีนอน ฯลฯ เลือกซ้ือได้ตาม ร้านขายของฝากในตัวเมอื ง 2. เสื่อปาหนัน ทำจากปาหนันหรือเตยทะเล มีลวดลายสีสันสวยงาม มีความทนทาน โดยเฉพาะสาดอ่อนหรือเสื่อสองช้ันแบบด้ังเดิม แหล่งสานอยู่ที่บ้านคลองหมาก ต. คลองขนาน อ. เหนือคลอง และบ้านคลองขนาน ต. คลองท่อมใต้ อ. คลองท่อม วางจำหน่ายตามร้านขายของฝาก ในตวั เมือง 3. กาละแม เป็นอาหารสำรองสำหรับนักเดินเรือโปรตุเกส นำเข้ามาในประเทศไทย สมัยพระนารายณ์มหาราช กาละแมเป็นอาหารที่ให้พลังงานเนื่องจากมีแป้ง กะทิ และน้ำตาล ประเทศไทยสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ใช้ขนมกาละแมเป็นอาหารว่างในการจัดงานต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานบวช ฯลฯ 4. กุ้งเสียบยำสมุนไพร กุ้งเสียบเป็นผลิตภัณฑ์ท่ีเกิดจากการถนอมอาหาร โดยการรมควัน เป็นภูมิปัญญาในการถนอมอาหารซึ่งทำมาต้ังแต่สมัยโบราณ สามารถเก็บอาหารได้นานเพ่ือใช้ ในการประกอบอาหาร ต่อมาไดแ้ ปรรูปเปน็ กุ้งเสียบยำสมุนไพร ซ่งึ เปน็ ท่ีนยิ มกนั มาก 5. เม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่ว มะม่วงหิมพานต์เป็นพืชชนิดหน่ึง นิยมนำเมล็ดมาค่ัวหรือเผา เพ่ือรับประทาน มีเทคนิคในการผลิต โดยการคั่วหรือเผาให้สุกแล้วนำมาเข้าเตาอบ ทำให้หอม กรอบ รสชาติดี เป็นทตี่ อ้ งการของลกู คา้ 6. ไวน์ จาก อ. คลองท่อม เนื่องจากผลไม้ทางภาคใต้มีมากมายหลากหลายชนิด ในบางปีผลผลิต ออกมามากทำให้ราคาตกต่ำ ทางกลุ่มเกษตรกรทำสวนคลองท่อมใต้ จึงได้เกิดแนวคิดในการสร้างมูลค่าเพ่ิม ให้กับผลผลิตโดยการนำมาแปรรูปเป็นไวน์ บริโภคและจำหน่ายภายในท้องถ่ิน เน่ืองจากมีรสชาติกลมกล่อม ทำให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) วางจำหน่ายท่ีศาลาอเนกประสงค์ ม. 8 ต. คลองท่อมใต้ อ. คลองทอ่ ม จ. กระบ่ี 7. หอยชักตีน ถือว่าเป็นอาหารท่ีขึ้นชื่อของจังหวัดกระบี่ โดยการนำหอยไปลวกในน้ำเดือด เพือ่ ให้สว่ นท่คี ล้ายเท้าของหอยโผลอ่ อกมา จม้ิ กับนำ้ จ้มิ รสแซบ ทำให้เป็นทช่ี น่ื ชอบของนกั ชมิ เป็นอยา่ งยิง่ 8. ส้มโชกุน ตามปกติส้มจะออกดอกเดือนมีนาคม - มิถุนายน ข้ึนอยู่กับสภาพภูมิอากาศในพื้นท่ี การพัฒนาจากระยะเข้ียวปลาถึงติดผล (fruit set) ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ต้ังแต่เริ่มติดผล จนถึงเก็บเกี่ยวได้ ใช้เวลาประมาณ 8 - 9 เดือน ส้มโชกุนเป็นส้มท่ีมีรสชาติหวานหอมและกรอบ เปลือกบางล่อน มีกล่ินหอม ไม่มีกากหรือมีกากน้อยมาก ชานส้มจะนิ่ม รสชาติเหมาะสำหรับบริโภค สำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษากระบี่ ๒๘
มากกว่าแปรรูป ปัจจุบันส้มโชกุนของบริษัทศรีเจริญ ซ่ึงคุณวิสันต์ สินธุนนท์ เป็นผู้ริเร่ิมทำการปลูก ในพื้นที่เขตอำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ ได้พัฒนาคุณภาพและปริมาณผลผลิตเป็นท่ียอมรับ ทงั้ ในกรุงเทพมหานครและต่างจงั หวดั ๙. กาแฟขี้ชะมด เชื่อกันว่ากาแฟขี้ชะมด เกิดจากการหมักหมมในทางเดินอาหารและกลไกการย่อย ของชะมดเป็นตัวท่ีช่วย ทำให้รสชาติของเมล็ดกาแฟจากข้ีชะมดน้ันดีกว่ากาแฟท่ัวไป อย่างเช่น กาแฟลำทับ จ. กระบ่ี กาแฟข้ีชะมด ผลิตกาแฟโรบัสต้า จากขี้ชะมด โดยนายพิศิษฐ์ เป็ดทอง ประธานวิสาหกิจชุมชน ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบบ้านดินแดง อธิบายถึงการผลิตกาแฟชะมดลำทับ ว่าทางศูนย์ฯ ได้เลี้ยงชะมดในโรงเรือน จำนวน 33 ตัว ปลูกกาแฟในพื้นท่ี 15 ไร่ นำเมล็ดกาแฟ มาเล้ียงชะมด เพิ่มมูลค่ากาแฟจากกิโลกรัมละ ๖๕ บาท ราคากิโลกรัมละ 18,000 บาท และถ้าเป็น กาแฟข้ีชะมดทีค่ ั่วเสร็จพรอ้ มชง จะราคาสงู ถงึ กโิ ลกรัมละ 20,000 บาท 1๐. กาแฟคลองท่อม หรือกาแฟกระบ่ี เป็นกาแฟที่ได้รับการยอมรับเร่ืองคุณภาพระดับหน่ึง เนื่องจากบริเวณพ้ืนท่ีปลูกมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ ตำแหน่งพ้ืนที่และสภาพอากาศเหมาะสม ผลผลิตเมล็ด กาแฟพันธุ์โรบัสต้าของ อ. คลองท่อม จ. กระบ่ี จึงกลายเป็นพืชเศรษฐกิจประจำท้องถิ่นชนิดหน่ึง โดย นางประไพ จันทรักษ์ เจ้าของสวนกาแฟพันธ์ุโรบัสต้า อ. คลองท่อม จ. กระบ่ี ได้คิดค้นสูตรจนได้ รสชาติถูกใจคอกาแฟ จากน้ันเริ่มชักชวนเพื่อนบ้านทำกาแฟคั่วบดฝากขายตามร้านต่าง ๆ จนสินค้า กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ปี พ.ศ. 2545 จึงรวบรวมแม่บ้านที่ว่างงาน จัดต้ังกลุ่มสตรีเทศบาลตำบลคลอง ท่อมใต้ขึ้น โดยนางประไพ จันทรักษ์ เป็นประธาน ด้วยเงินลงทุน 1 ล้านบาท ท่ีกู้จากกองทุนหมู่บ้าน สร้างอาคาร ซ้ือเครื่องจักร อุปกรณ์ ลงมือทำกันอย่างจริงจังจนเห็นผลเป็นรูปธรรมภายใต้แบรนด์ “คลองท่อม คอฟฟี่” ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 40 คน สร้างยอดขายได้กว่า 5 แสนบาท และเม่ือไม่กี่ปี ท่ีผ่านมาได้รับความอนุเคราะห์จากห้างเทสโก้ โลตัส สาขากระบ่ี ให้นำสินค้าไปวางจำหน่ายโดยไม่ต้อง เสียค่าใช้จ่าย ทำให้มีช่องทางกระจายสินค้าเพิ่มขึ้น จากร้านกาแฟเล็ก ๆ ท่ีขายในหมู่บ้าน ปัจจุบันคลอง ท่อม คอฟฟ่ี กระจายไปยังท้องถ่ินสู่จังหวัด โรงแรมท่ีพัก ห้างสรรพสินค้า มีให้เลือกทั้งกาแฟสดคั่วบด ช่ังเป็นกิโลขาย สูตรร้อนกิโลกรัมละ 350 บาท สูตรเย็นกิโลกรัมละ 300 บาท หรือแบบบรรจุซอง สำเร็จรูป กล่องละ 10 ซอง ราคา 80 บาท นอกจากความร่วมมือของสมาชิกในกลุ่มแล้ว ยังได้รับ การสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐ ท้ังสำนักงานเทศบาลตำบลคลองท่อมใต้ สาธารณสุขจังหวัด กรมการพัฒนา ชุมชน อุตสาหกรรมจังหวัด จัดอบรมให้ความรู้ ทำให้กลุ่มพัฒนาต่อเน่ืองท้ังกระบวนการผลิต คุณภาพสินค้า บรรจุภัณฑ์ จนได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ่านการรับรองจาก คณะกรรมการอาหารและยา และมาตรฐานสินคา้ OTOP 5 ดาวทกุ ปี สำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๒๙
การคมนาคม ๑. โดยรถยนต์สว่ นตวั จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร-สุราษฎร์ธานี-กระบ่ี ระยะทาง 946 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 ถึงชุมพร จากชุมพรใช้ทางหลวง หมายเลข 41 ผ่าน อ. หลังสวน อ. ไชยา จ. สุราษฎร์ธานี เข้า อ. บ้านนาเดิมใช้ทางหลวงหมายเลข 44 ถึง อ. อา่ วลกึ แล้ววกเข้าทางหลวงหมายเลข 4 อีกครง้ั หน่ึง ถงึ จ. กระบี่ ระยะทาง 783 กโิ ลเมตร 2. รถโดยสารประจำทาง มีรถโดยสารปรับอากาศของบริษัท ขนส่ง จำกัด และของเอกชน บริษัท ลิกไนท์ ทัวร์ สายกรุงเทพฯ- กระบ่ี ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี ทุกวัน วันละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 11-12 ชั่วโมง 3. เส้นทางรถไฟ จากสถานีรถไฟกรงุ เทพ (หวั ลำโพง) ลงได้ 3 สถานี คือ - สถานีรถไฟพุนพิน จ. สุราษฎร์ธานี แล้วเดินทางต่อโดยรถยนต์โดยสาร ไปยัง จ. กระบี่ ระยะทาง ประมาณ 160 กิโลเมตร - ชุมทางทุ่งสง จ. นครศรีธรรมราช แล้วเดินทางต่อโดยรถยนต์โดยสาร ไปยัง จ. กระบี่ ระยะทาง ประมาณ 150 กิโลเมตร - สถานีรถไฟตรัง จ. ตรัง แล้วเดินทางต่อโดยรถยนต์โดยสาร ไปยัง จ. กระบี่ ระยะทางประมาณ 138 กโิ ลเมตร 4. โดยเครื่องบนิ ปัจจุบันมีสายการบินภายในประเทศ คือ การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ ไทยแอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลออ้ นแอร์ ไทยเวียตเจ็ทแอร์ สถานท่ีสำคญั ๑. โบราณสถาน โบราณสถานในเขต จงั หวดั กระบ่ี 1. แหลง่ โบราณคดีหุบเขาขวาก-วัดถำ้ เสอื วิปัสสนา 2. แหล่งโบราณคดวี ดั ถ้ำเสอื วปิ ัสสนา หม่ทู ่ี 1 บ้านหน้าชงิ 3. แหลง่ โบราณคดถี ้ำหม่นื จนั ทร์ (หน้าหม้อ) 4. แหล่งโบราณคดเี พงิ หินอ่าวลูกธนู (อ่างกบู หรือหน้าชิง) หมู่ท่ี 1 บา้ นหน้าชิง 5. แหลง่ โบราณคดถี ้ำหมอเขยี ว หมทู่ ่ี 1 บ้านหนา้ ชงิ 6. แหลง่ โบราณคดถี ำ้ เสือ หมทู่ ่ี 1 บ้านหน้าชงิ 7. แหล่งโบราณคดีเขาหนา้ วงั หมี หมู่ท่ี 2 บ้านหนองขอน ตำบลทบั ปรกิ 8. แหลง่ โบราณคดเี ขานาไฟไหม้ (เขาหนา้ ววั ) หมทู่ ี่ 2 บา้ นหนองขอน 9. แหลง่ โบราณคดเี พงิ ผาโต๊ะชอ่ ง-เขาหน้าวังหมี หมู่ท่ี 3 บ้านหนองพดู 10. แหลง่ โบราณคดีถ้ำหน้าสงั เมียน หมู่ท่ี 3 บา้ นหนองพูด สำนักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๓๐
11. แหล่งโบราณคดถี ้ำหลังโรงเรยี นบ้านทบั ปริก หมทู่ ่ี 5 บา้ นทบั ปรกิ 12. แหลง่ โบราณคดถี ำ้ เกาะตอ้ หมทู่ ี่ 2 บา้ นอา่ วนาง 13. แหลง่ โบราณคดีถ้ำเกาะเขาสามหนว่ ย หมู่ท่ี 2 บ้านอ่าวนาง 14. ถ้ำไวกง้ิ (ถำ้ พญานาค) หมู่ที่ 7 บา้ นเกาะพีพี ตำบลไสไทย มี 15. แหลง่ โบราณคดวี ดั ไสไทย (ชา้ งส)ี หมทู่ ี่ 4 ตำบลเขาทอง 16. แหลง่ โบราณคดีเขาเขยี น หม่ทู ี่ 1 บ้านในสระ ตำบลปากน้ำ 17. วดั แกว้ โกรวาราม (อโุ บสถหลงั เก่า) เลขท่ี 82 ถ.อิศรา เขตเทศบาล 18. แหล่งโบราณคดถี ำ้ เขาพระ เขตเทศบาล 19. แหล่งโบราณคดเี พงิ ผาเขาขนาบนำ้ 20. แหล่งโบราณคดีถำ้ เขาลังตัง หมู่ท่ี 1 บา้ นลาว 21. แหลง่ โบราณคดีปาก (คลอง) ลาว หมู่ท่ี 1 บ้านลาว 22. แหล่งโบราณคดีห้วยปลายบางมัด หม่ทู ี่ 4 บ้านบางไทร ตำบลแหลมสัก 23. แหลง่ โบราณคดีเขาตบี นยุ้ หมทู่ ่ี 1 บ้านหนิ ขาว 24. แหลง่ ภาพเขียนสีเพิงผาถ้ำแหลมยอ หมู่ท่ี 2 บ้านอา่ วน้ำ 25. แหลง่ ภาพเขียนสีเขาเกาะยอ 1 (เขาเตยี บ 1) หมทู่ ่ี 2 บ้านอา่ วน้ำ 26. แหล่งภาพเขยี นสเี ขาเกาะยอ 2 (เขาเตยี บ 2) หมู่ท่ี 2 บ้านอ่าวน้ำ 27. แหลง่ ภาพเขยี นสเี ขาเกาะยอ 3 (เขาเตียบ 3) หมทู่ ่ี 2 บ้านอา่ วน้ำ 28. แหลง่ โบราณคดแี หลมชาวเล หม่ทู ่ี 3 บ้านแหลมสกั 29. แหล่งโบราณคดถี ำ้ ชาวเล หมู่ที่ 3 บา้ นแหลมสกั 30. แหล่งโบราณคดีแหลมไฟไหม้ หม่ทู ี่ 6 บา้ นในใส ตำบลอ่าวลกึ น้อย 31. แหล่งภาพเขียนสเี ขาชอ่ งลม 1 (ถำ้ สีปูเตะ๊ 1) หมู่ที่ 2 บ้านบากัน 32. แหลง่ ภาพเขียนสเี ขาช่องลม 2 (ถำ้ สปี ูเต๊ะ 2) หมู่ที่ 2 บ้านบากนั 33. แหล่งโบราณคดแี หลมท้ายแรด (กาโรส) หมูท่ ่ี 5 บา้ นควนโอ ตำบลบา้ นกลาง 34. แหล่งโบราณคดเี ขางาม 1 หมทู่ ่ี 1 บา้ นเขางาม 35. แหลง่ โบราณคดเี ขางาม 2 หมู่ที่ 1 บา้ นเขางาม 36. แหลง่ โบราณคดีเขาหวั กระทงิ หมทู่ ี่ 1 บา้ นเขางาม 37. แหลง่ โบราณคดเี ขาหนองตะเคียน หมทู่ ่ี 1 บา้ นเขางาม 38. แหลง่ โบราณคดีถำ้ ขนมโค หมู่ที่ 1 บา้ นเขางาม 39. แหล่งโบราณคดีเขากลม หมูท่ ่ี 2 บ้านเหนือคลอง 40. แหลง่ ภาพเขียนสเี ขาขาว 1(ถำ้ โนราห์) - เขาขาว หมูท่ ่ี 2 บา้ นเหนอื คลอง 41. แหล่งภาพเขียนสเี ขาขาว 2 (เพงิ ผาชา้ งนอก)-เขาขาว หมทู่ ่ี 2 บ้านเหนอื คลอง 42. แหลง่ ภาพเขียนสีเขาขาว 3 (ถำ้ ชา้ งนอก)-เขาขาว หมู่ท่ี 2 บา้ นเหนือคลอง 43. แหลง่ โบราณคดเี ขาปา่ ปก 1 หมทู่ ี่ 4 บา้ นท่งุ ตน้ ไพ สำนักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๓๑
44. แหล่งโบราณคดเี ขาป่าปก 2 หมู่ที่ 4 บา้ นทุ่งต้นไพ 45. แหลง่ โบราณคดีเขาธงลกู ลม 1 หมทู่ ี่ 4 บา้ นทงุ่ ต้นไพ 46. แหล่งโบราณคดีเขาธงลกู ลม 2 หมทู่ ี่ 4 บา้ นทุง่ ตน้ ไพ 47. แหล่งโบราณคดเี ขาธงลูกลม 3 หมู่ที่ 4 บา้ นทงุ่ ตน้ ไพ 48. แหลง่ โบราณคดีเขาธงลูกลม 4 หมทู่ ี่ 4 บ้านท่งุ ต้นไพ ตำบลอ่าวลกึ ใต้ 49. แหล่งโบราณคดวี ดั ถำ้ เสอื น้อย (วัดถ้ำทิพยป์ รดี าราม) หมู่ที่ 5 บา้ นถ้ำเสือ 50. แหลง่ โบราณคดถี ้ำเสือนอก (ถ้ำเทพนิมิต) หมู่ท่ี 5 บ้านถำ้ เสอื ตำบลอ่าวลึกเหนือ 51. แหลง่ โบราณคดีเขาหน้ามนั แดง 1 หมทู่ ี่ 6 บา้ นถ้ำเพชร 52. แหลง่ โบราณคดีเขาหน้ามนั แดง 2 หมทู่ ่ี 6 บา้ นถำ้ เพชร ตำบลคลองหนิ 53. แหล่งโบราณคดีเขาน้ยุ หมทู่ ี่ 2 บา้ นนบ 54. แหลง่ ภาพเขยี นสีถำ้ โต๊ะหลวง (เขาปา่ หมาก) หมู่ท่ี 2 บ้านนบ ท่ีมา : กองโบราณคดี กรมศิลปากร. แหล่งโบราณคดีประเทศไทย เล่ม ๕ (ภาคใต้). กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร , ๒๕๓๔. . โบราณคดีภาคใต้ อ่าวลึก อ่าวพังงา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย จาํ กดั , ๒๕๓๒. ๒. พระอารามหลวง 1. วัดแก้วโกรวาราม พระอารามหลวง ตั้งอยู่กลางเมืองจังหวัดกระบ่ี เป็นพระอาราม ห ล วงช้ั น ต รี แ ล ะ เป็ น วัด ป ระ จ ำจั งห วัด มี ค วาม ส ำคั ญ ท้ั งด้ าน ค วาม เป็ น ศู น ย์ ก ล างข อ ง พระพุทธศาสนา ศูนย์กลางการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี และแผนกปริยัติสามัญ ของคณะสงฆ์จังหวัดกระบ่ี 2. วัดมหาธาตุวชิรมงคล (วัดบางโทง) วัดมหาธาตุวชิรมงคล ต้ังอยู่ท่ีบ้านบางโทง ต. นาเหนือ อ. อ่าวลึก จ. กระบ่ี สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2483 ในที่ดินบริจาคของนายเปล้า ทองศิริ นายม่ัน เพ่งกิจ และนายน่วม ดำพันธ์ เดิมวัดแห่งน้ีชาวบ้านเรียกขานว่า “วัดบางโทง” ซ่ึงต้ังตามชื่อหมู่บ้าน ท่ีต้ัง วัดบางโทงได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันท่ี 13 กุมภาพันธ์ 2496 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 30 เมตร ยาว 70 เมตร ได้ทำพิธีผูกพัทธสีมา เม่ือวันท่ี 14 มีนาคม 2519 ในปี พ.ศ. 2545 เมื่อประชาชนและหน่วยงานจากหลากหลายภาคส่วนในจังหวัดกระบี่ ได้ร่วมกันจัดทำ “โครงการสร้าง พุทธสถานและพระมหาธาตุเจดีย์ เฉลิมพระเกียรติ ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ” ข้ึนท่ีวัดแห่งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซ่ึงขณะนั้นดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามวัดบางโทงให้ใหม่ เป็น “วัดมหาธาตุวชิรมงคล” พร้อมทั้งให้อัญเชิญ พระนามาภิไธยย่อ “ม.ว.ก.” ขึ้นประดิษฐานที่หน้าบันพระอุโบสถ ขณะท่ีพระพุทธปฏิมาประจำ พระชนมวาร ให้ใช้พระนามว่า “พระพุทธทักษิณชัยมงคล” “พระมหาธาตุเจดีย์” ท่ีได้รับอิทธิพลมาจาก มหาเจดีย์พุทธคยา สถานที่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในเมืองคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ตั้งตระหง่าน สำนกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๓๒
สูงโดดเด่นอยู่กลางวัดความสูง 95 เมตร ซึ่งถือเป็นเจดีย์ที่มีความสูงที่สุดในภาคใต้ บริเวณโดยรอบ องค์พระมหาธาตุเจดีย์มีทางเดินหรือระเบียงราย เป็นทางเดินล้อมรอบองค์เจดีย์ทั้ง 4 ด้าน โดยมีพระพุทธรูปต่าง ๆ ประดิษฐานอยู่เป็นจำนวนมากตามแนวทางเดิน เพื่อให้เหล่าพุทธศาสนิกชน ได้สักการบูชา ภายในพระมหาธาตุเจดีย์ จะมีพระพุทธรูปเป็นพระประธานองค์ใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางโดดเด่น เป็นสง่า ซึ่งเป็นท่ีเล่ือมใสศรัทธาของชาวบ้านและนักท่องเท่ียวที่เดินทางแวะเวียนชมพุทธสถานแห่งนี้ และ ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันงดงาม ที่บอกเล่าเรื่องราวเก่ียวกับพุทธประวัติ และตกแต่งด้วยลายกนก ลายไทยอย่างออ่ นช้อยวจิ ติ รตระการตา ๓. อุทยานแหง่ ชาติ 1. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา มีเนื้อท่ีประมาณ 152 ตารางกิโลเมตร ในอำเภอเกาะลันตา ประกอบด้วยเกาะต่าง ๆ ท่ีสำคัญ ได้แก่ เกาะลันตาใหญ่ เกาะลันตาน้อย เกาะตะเล็งเบ็ง และเกาะใกล้เคียง รวมไปถงึ หมูเ่ กาะหา้ หมู่เกาะรอก และเกาะไหง \"เกาะลันตาน้อย\" เป็นเกาะที่เป็นชุมชนของชาวเกาะลันตาในอดีตมาก่อน มีที่ว่าการอำเภอ มีโรงเรยี น วิถชี ีวติ แบบเกา่ ๆ บา้ นเรือนโบราณกย็ ังมใี หพ้ บเหน็ \"เกาะลันตาใหญ่\" มีรูปร่างยาวเรียวจากเหนือมาใต้ ศูนย์กลางธุรกิจของเกาะอยู่ที่บริเวณท่าเรือ ศาลาด่าน ซ่ึงมีทั้งบริการท่องเท่ียว ร้านอาหาร ธนาคาร ด้านตะวันตกเรียงรายไปด้วยชายหาดและ อ่าวท่ีสวยงามมากมาย ได้แก่ หาดคอกวาง หาดโละบารา อ่าวพระแอะ หาดคลองโขง หาดคลองนิน และมีถนนตัดจากท่าเรือตอนเหนือผ่านชายหาดต่าง ๆ ไปจนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา ซ่ึงอยู่ตอนใต้สุดของเกาะ บนเกาะลันตาใหญ่มีที่พักเอกชนเปิดให้บริการมากมาย ฤดูท่องเท่ียวอยู่ระหว่าง เดือน พ.ย. – พ.ค. 2. อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี แหล่งท่องเท่ียวเชิงนิเวศที่มีความน่าสนใจมากมาย ประกอบด้วยภูเขาหินปูน ป่าดิบ ป่าชายเลน ป่าพรุ ป่าชายหาด และเกาะต่าง ๆ รวมทั้งสังคมพืชน้ำ ใต้ท้องทะเล จึงสามารถทำกิจกรรมท่องเท่ียวได้หลากหลายตามความสนใจเฉพาะบุคคล โดยมีกิจกรรม ที่น่าสนใจ เช่น เดินเล่นชมน้ำตกธารโบกขรณี ซึ่งอยู่บริเวณที่ทำการอุทยาน มีลักษณะเป็นธารน้ำธรรมชาติ ไหลลงมายังแอ่งน้ำน้อยใหญ่ไล่ระดับกัน ทางด้านเหนือมีมณฑปพระพุทธบาทจำลองแกะสลักจากไม้ ซง่ึ ประดษิ ฐานอย่ใู กล้กบั ศาลาบูชาเจ้าพ่อโต๊ะยวน - โต๊ะชอ่ ง 3. อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา เป็นอุทยานทางบกแห่งเดียวของจังหวัดกระบ่ี มีเน้ือที่ 31,325 ไร่ ครอบคลุมพื้นท่ี อ. เมือง อ. อ่าวลึก และ อ. เขาพนม มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์ ประกอบด้วย เทือกเขาสูงสลับซับซ้อนในแนวเหนือจรดใต้ มียอดเขาพนมเบญจา สูง 1,397 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซ่ึงสูงที่สุดในกระบี่ มีทิวทัศน์ธรรมชาติสวยงามท้ังลำธาร น้ำตก ถ้ำ และมีสัตว์ป่านานาชนิด เช่น สมเสร็จ เลียงผา หมีควาย เสือปลา มีนกที่สามารถพบเห็นได้กว่า 218 ชนิด เช่น นกอินทรี นกเงือก นกหัวขวาน เป็นต้น ๔. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี ประกอบด้วยพื้นท่ีชายฝั่ง ได้แก่ บริเวณ อ่าวน้ำเมาและหมู่เกาะปอดะ เกาะหินแดงและหมู่เกาะพีพี รวมมีเน้ือท่ีประมาณ 389.96 ตร.กม. สำนกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๓๓
(243,725 ไร่) เป็นพ้ืนที่น้ำประมาณ 203,725 ไร่ อยู่ในท้องที่ ต. หนองทะเล ต. อ่าวนาง ต. ไสไทย และ ต. ปากน้ำ อ. เมืองกระบี่ จ. กระบ่ี บริเวณชายฝั่งทะเลประกอบด้วยภูเขาหินปูนสูงชั้น โดยเฉพาะ เขาหางนาค มีความสูงที่สุดประมาณ 498 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เทือกเขาเหล่าน้ี เรียงตัวตามยาว ไปตามแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือถึงทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทางด้านตะวันตกมีความลาดชัน มากกว่าตะวันออก สภาพชายหาดมีหลายลักษณะทั้งหาดทรายดินเลน และหาดหิน ได้แก่ หาดทับแขก หาดคลองแห้ง หาดนพรัตน์ธารา หาดอ่าวนาง หาดไผ่ปล้อง และหาดถ้ำพระนาง เป็นต้น บริเวณหมู่เกาะพีพี ส่วนใหญ่เป็นเกาะท่ีเป็นภูเขาหินและหน้าผาชันสูง มีต้นไม้ปกคลุมตามซอกหิน ไม้ที่ข้ึน เป็นไม้ขนาดเล็ก มีหาดทรายสำคัญได้แก่ หาดชาวเล หาดโละบาเถา หาดต้นไทร หาดโละกาลัม และหาดโละลานา สภาพภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติน้ีเป็นแบบร้อนช้ืน ได้รับอิทธิพลของลมมรสุม ตะวันตกเฉียงใต้เต็มท่ี ทำให้ในช่วงเดือน พ.ค. – ต.ค. มีลมชายฝ่ังค่อนข้างแรง มีการก่อตัวของเมฆ และฝนตกชุก เป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง ซ่ึงไม่เหมาะสมที่จะท่องเที่ยว ช่วงที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง เดือน ม.ค. - เม.ย. สถานที่ท่องเที่ยว 1. ทะเลแหวก แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติของ จ.กระบ่ี ท่ีถูกขนานนามให้เป็น Unseen Thailand ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก อันเน่ืองมาจากความมหัศจรรย์ของธรรมชาติในยามน้ำลดท่ีพัดพา เอาเม็ดทรายมาบรรจบกันไว้ ณ จุดน้ี จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ เรียกว่า “ทะเลแหวก” ข้ึนและเผย ให้เห็นส่วนของสันทรายขาวละเอียดทอดตัวเป็นแนวยาวเชื่อมต่อถึงกันได้ระหว่างเกาะ 3 เกาะ คือ เกาะไก่ เกาะหม้อ และเกาะทับ แนวสันทรายน้ีจะค่อย ๆ จมหายไปใต้ผืนน้ำเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาน้ำข้ึน ของแตล่ ะวนั 2. อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี ครอบคลุมพ้ืนที่ อ. อ่าวลึก และ อ. เมืองกระบ่ี มีพื้นที่ประมาณ 121 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยภูเขาหินปูน ป่าดิบ ป่าชายเลน และเกาะในทะเล เดิมอุทยานแห่งชาติ ธารโบกขรณี มีช่ือว่า \"ธารอโศก\" มีลักษณะเป็นป่าดงดิบและเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ต่อมา ในปี พ.ศ. 2496 พลโทบัญญัติ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ได้เข้ามาพักผ่อนซ่ึงเห็นว่าช่ือเดิมไม่เหมาะสม จึงได้เปลี่ยนช่ือมาเป็น \"ธารโบกขรณี \" ในปี พ.ศ. 2498 ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบ่ีในสมัยน้ัน เสนอเรื่องให้กรมป่าไม้ ตั้งข้ึนเป็นสวนรุกขชาติ ซึ่งกรมป่าไม้ได้รับหลักการและดำเนินการ จนในปี พ.ศ. 2528 สำนักงานป่าไม้ จังหวัดกระบี่ ได้เสนอเรื่องขอจัดตั้ง “ธารโบกขรณี” และพื้นท่ีใกล้เคียงเป็น อุทยานแห่งชาติ สังกัดกองอุทยานแห่งชาติ และโอนมาอยู่ในสังกัดส่วนอุทยานแห่งชาติทางทะเล พ.ศ. 2538 จนได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 115 ตอนที่ 67 ก ลงวันท่ี 30 กันยายน พ.ศ. 2541 3. ธารโบกขรณี ต้ังอยู่บริเวณท่ีทำการอุทยานฯ สภาพทั่วไปเป็นธารน้ำธรรมชาติไหลลงมายัง แอ่งน้ำน้อยใหญ่ซ่ึงอยู่ต่างระดับกัน รายรอบด้วยป่าไม้ร่มรื่น ด้านเหนือของธารโบกขรณี มีมณฑป พระพุทธบาทจำลองทแ่ี กะสลักจากไม้ ประดษิ ฐานอย่ใู กลก้ บั ศาลาบชู าเจ้าพอ่ โต๊ะยวน - โตะ๊ ช่อง สำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษากระบี่ ๓๔
4. ถ้ำลอดเหนือและถ้ำลอดใต้ ตั้งอยู่ห่างจากตัวอำเภออ่าวลึกไปตามถนนอ่าวลึก - แหลมสัก ประมาณ 2 กิโลเมตร แยกขวาไปยังท่าเรือบ่อท่อ แล้วลงเรือรับจ้างไปตามลำคลองท่าปรัง ผ่านป่าชายเลน ไปประมาณ 10 นาที ถ้ำลอดใต้เป็นอุโมงค์ใต้เขาหินปูน มีธารน้ำไหลผ่านอุโมงค์แคบ มีหินงอกและหินย้อย สวยงาม ส่วนถ้ำลอดเหนือเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่ มีแนวอุโมงค์คดเคี้ยวและยาวกว่าถ้ำลอด ใต้เรือสามารถแล่นผ่านได้ในช่วงนำ้ ลงเท่านนั้ 5. ถ้ำผีหัวโต หรือถ้ำหัวกะโหลก ตั้งอยู่ในเขต อ. อ่าวลึก ในเทือกเขาผีหัวโต ซึ่งมีลักษณะ เป็นเขาหินปูนล้อมรอบด้วยบึงและป่าโกงกาง น่ังเรือจากท่าเรือบ่อท่อไปประมาณ 10 นาที เลยทางแยกไป ถ้ำลอดใต้เล็กน้อย จากปากถ้ำมองเข้าไปจะเห็นทางแยกเป็น 2 ทาง ทางซ้ายมือจะตัดตรงไปยังด้านหลัง ของถ้ำท่ีเป็นโพรงใหญ่ มีแสงสว่างส่องเข้ามาถึงได้ ส่วนด้านขวามือเป็นทางท่ีจะตรงเข้าไปยังห้องโถง ของตัวถ้ำ แต่เดิมภายในถ้ำเคยพบหัวกะโหลกมนุษย์ซ่ึงมีขนาดโตกว่าปกติ จึงมีชื่อว่า “ถ้ำผีหัวโต” นอกจากนี้บนผนังถ้ำยังปรากฏภาพเขียนสีก่อนสมัยประวัติศาสตร์จำนวนมาก อาทิ รูปคน รูปสัตว์ ตลอดจนรูปอวัยวะต่าง ๆ และบนพ้ืนถ้ำมีเปลือกหอยทับถมกันอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ตามเพิงผา และผนังถ้ำบนเกาะน้อยใหญ่ในเขตป่าชายเลนตอนกลางอุทยาน แห่งชาติยังเป็นแหล่งภาพเขียนสี ก่อนประวัตศิ าสตร์ เชน่ ถำ้ ชาวเล แหลมท้ายแรด เกาะกาโรส แหลมไฟไหม้ 6. ถ้ำเพชร ต้ังอยู่หมู่ท่ี 2 ต. อ่าวลึกเหนือ อ. อ่าวลึก อยู่ห่างจากส่ีแยกตลาดอ่าวลึกเหนือ ประมาณ 3 กิโลเมตร บริเวณด้านหน้ามีพระพุทธรูปปูนประดิษฐานอยู่ และมีหินสะท้อนแสง ซ่ึงส่องประกายสวยงามราวกับเพชรตามผนังถ้ำ การไปเที่ยวชมถ้ำเพชร สามารถติดต่อขอคนนำทาง จากอุทยานแหง่ ชาติธารโบกขรณไี ด้ ท้ังนค้ี วรนำไฟฉายตดิ ตัวไปด้วย 7. ถ้ำพระ ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ต. อ่าวลึกใต้ อ. อ่าวลึก ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ 2 ก.ม. ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปใหญ่ 3 องค์ รอบฐานมีพระพุทธรูปไม้แกะสลักองค์เล็กตั้งอยู่โดยรอบ ฐานสร้าง ในสมัยใดไม่ปรากฏ แต่จากคำบอกเล่ากล่าวกันว่าสร้างพร้อมกับพระบรมธาตุเมืองนครฯ เนื่องจากผู้ศรัทธา ที่จะเดินทางเอาทรัพย์สินเงินทองไปร่วมสร้างองค์พระบรมธาตุเมืองนครฯ ได้ทราบข่าวการสร้าง องค์พระธาตุเสร็จสิ้นแล้ว จึงพร้อมใจกันสร้างพระพุทธรูป 3 องค์นี้ข้ึน พร้อมกับฝังทรัพย์สินเงินทอง ไว้อีกด้วย จากความเชื่อของชาวบ้านดังกล่าวก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะเส้นทางระหว่างอ่าวลึก - ปากลาว - ปากพนม ตลอดแมน่ ำ้ ตาปีน้ันเปน็ เสน้ ทางเดนิ ข้ามแหลมมลายมู าแต่โบราณเสน้ ทางหน่ึง 8. หมู่เกาะห้อง เป็นหมู่เกาะท่ีประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่หลายเกาะ เช่น เกาะเหลา หรือเกาะซากา เกาะเหลาเหรียม เกาะปากกะ เกาะเหลาลาดิง เป็นต้น โดยมีเกาะห้องหรือเกาะเหลาปิเละ เป็นเกาะทางตอนใต้ท่ีใหญ่ที่สุด ลักษณะโดยท่ัวไปเป็นเขาหินปูน มีแนวปะการังท้ังในระดับน้ำต้ืนและน้ำลึก เหมาะแกก่ ารดำนำ้ ตกปลา การไปเทีย่ วชมสามารถเชา่ เรือจากอ่าวนาง ใชเ้ วลาเดินทางประมาณ 1 ช่วั โมง 9. น้ำตกร้อน ตั้งอยู่บริเวณบ้านบางคราม - บ้านบางเตียว อยู่ห่างจาก อ. เมืองกระบี่ ตามถนน เพชรเกษม (กระบี่ - ตรัง) ประมาณ 45 กิโลเมตร จากนั้นแยกเข้าถนนสุขาภิบาล 2 ตรงที่ว่าการอำเภอ คลองท่อมไปอีก 12 กิโลเมตร เป็นน้ำพุร้อนแห่งหน่ึงในบรรดาน้ำพุร้อนอีกหลายแห่ง ท่ีกระจัดกระจาย อยู่ในบริเวณน้ี น้ำจะไม่ร้อนมาก มีอุณหภูมิประมาณ 40 - 50 องศาเซลเซียส เป็นน้ำร้อนที่ซึมขึ้นมาจาก สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๓๕
ผิวดิน ซ่ึงมีป่าละเมาะปกคลุมร่มร่ืน สายน้ำไหลไปรวมกันตามความลาดเอียงของพ้ืนท่ี บางช่วงมีควันกรุ่น และคราบหินปูนธรรมชาติพอกอยู่เป็นชั้นหนา ทำให้เกิดทัศนียภาพสวยงามแปลกตา โดยเฉพาะบริเวณ ท่ีธารน้ำร้อนไหลลงสู่คลองท่อม ลดระดับเกิดเป็นลักษณะคล้ายช้ันน้ำตกเล็ก ๆ น้ำตกร้อนนับเป็นหนึ่งใน แหลง่ ทอ่ งเทย่ี ว Unseen Thailand อกี แห่งหนง่ึ ของจังหวดั กระบี่ ตวั น้ำตกตง้ั อยู่ใน อ.คลองทอ่ ม จ.กระบ่ี 1๐. ท่าปอม คลองสองน้ำ “ท่าปอม” เป็นชื่อของคลองสายสั้นๆ ยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ใน ต. เขาคราม อ. เมือง จ. กระบ่ี มีต้นน้ำเป็นน้ำผุด บนเขาช่องพระแก้ว ปลายทางของคลองน้ีจะออกสู่ ทะเลอันดามัน ในยามท่ีน้ำทะเลลง น้ำจืดจากคลองจะไหลลงสู่ทะเล น้ำในคลองจะใสราวกับกระจก มีสีเขียวอมฟ้า ในยามท่ีน้ำทะเลขึ้น น้ำทะเลจะไหลเข้ามาในคลอง ทำให้คลองเป็นน้ำเค็ม และน้ำกร่อย น้ำจะขุ่น ปลาทะเลจะเข้ามาหาอาหารในคลอง และว่ายกลับออกไปอีกครั้งในตอนท่ีน้ำทะเล ลงจากการท่ีน้ำทะเลข้ึนและลง ทำให้ท่าปอมเป็นท้ังคลองน้ำจืดและคลองน้ำเค็ม จึงเป็นที่มาของคำว่า “ท่าปอม คลองสองน้ำ” ที่บริเวณต้นน้ำผุดจะเป็นระบบนิเวศน์แบบป่าพรุ – ป่าดิบชื้น และบริเวณที่ต่อกับ ทะเลจะเป็นป่าชายเลน ท่าปอม คลองสองน้ำ เป็นความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง ท่ีป่าพรุ ป่าดิบช้ืนกับป่าชายเลน อยู่ติดกันอย่างกลมกลืน มีความหลากหลายทางธรรมชาติเป็นอย่างมาก ถือว่า เป็นแหลง่ ศกึ ษาเชงิ นิเวศวทิ ยาได้เป็นอยา่ งดี 12. วัดถ้ำเสือ ตั้งอยู่ที่ ต. กระบี่น้อย อ.เมือง จ.กระบี่ ในปี พ.ศ. 2518 หลวงพ่อจำเนียร มีความประสงค์จะหาสถานที่ปฏิบัติธรรมใหม่ ก็เกิดนิมิตในมโนภาพว่าเป็นสถานท่ีท่ีมีภูเขาล้อมรอบ และถ้ำชื่อ “ถ้ำเสือ” ตลอดถึงถ้ำต่าง ๆ หลายถ้ำ ทันทีท่ีเกิดนิมิตเห็นก็เกิดความรู้สึกนึกรักสถานที่น้ันขึ้นมา จับใจเหมือนรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่น้ีมาก่อน หลวงพ่อได้ให้พระอาจารย์หีด ไปเสาะแสวงหาสถานท่ีจัดตั้ง สำนัก จนในที่สุดพระอาจารย์หีดได้พบสถานท่ีหลาย ๆ แห่งรวมถึงถ้ำเสือด้วย หลวงพ่อได้มีโอกาสไปดู สถานท่ีถ้ำตามท่ีพระอาจารย์หีดบอก ก็ตรงกับนิมิตท่ีหลวงพ่อเห็นจริง ๆ หลวงพ่อจำเนียรได้นำ คณะพระภิกษุ สามเณร 53 รูป และแม่ชี 56 ท่าน จากวัดสุคนธาวาส มาอยู่ ณ สถานที่แห่งน้ี อันมีนามว่า ถ้ำเสือ หรือในอดีตวัดมีชื่อว่า “สำนักสงฆ์หน้าชิง” ตามช่ือหมู่บ้าน เมื่อวันท่ี 25 มีนาคม พ.ศ. 2518 และได้เปลี่ยนเป็น “วัดถ้ำเสือ” เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2533 มาบุกเบิกเปิดเป็นสถานท่ีปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐานจนถึงปัจจุบัน ท่ีได้ช่ือว่า วัดถ้ำเสือ จากการสอบถามชาวบ้านได้ความว่า ในอดีตเคยมี เสือโคร่งจำนวนมากอาศัยอยู่บริเวณของถ้ำที่ต้ังอยู่หน้าเขาแก้ว ภายในถ้ำยังปรากฏหินธรรมชาติ เป็นรูปอุ้งเท้าเสืออีกด้วย สภาพโดยท่ัวไปของวัดถ้ำเสือมีลักษณะเป็นสวนป่า เป็นโพรงถ้ำ มีเพิงผา และแหล่งถ้ำธรรมชาติ เช่น ถ้ำคนธรรพ์ ถ้ำลอด ถ้ำช้างแก้ว ถ้ำลูกธนู ถ้ำงู ถ้ำเต่า ถ้ำมือเสือ ส่ิงสำคัญ ในวัดถ้ำเสือท่ีโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มากท่ีสุดคือพระธาตุเจดีย์ยอดเขาแก้ว พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ต้ังอยู่บน ยอดเขาแก้ว มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล ประมาณ 600 เมตร สามารถข้ึนไปสักการะได้ โดยมีบันได 1,237 ข้ัน บนยอดเขาสามารถมองเห็น ทิวทัศน์ของเมืองกระบี่ได้รอบทิศ ทั้งยังเป็น ท่ีประดิษฐานของรอยพระพุทธบาทจำลอง พระธาตุเจดีย์ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ พระธาตุเจดีย์ระฆังใหญ่ มีความสูง 90.90 เมตร ความกว้างของฐาน 58 เมตร สำนกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๓๖
13. สระมรกต Unseen in Thailand เป็นสระน้ำสวยใสที่ป่าเขานอจู้จ้ี ซึ่งเป็นป่าดินท่ีราบต่ำ ผืนสุดท้ายของเมืองไทย ตั้งอยู่ที่ อ. คลองท่อม จ. กระบ่ี มีสภาพเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ แบ่งเป็นป่าดิบชื้น และบางส่วนที่เป็นป่าพรุท่ีมีน้ำท่วมขังทั้งปีสามารถท่องเท่ียวได้สะดวกด้วยการเดินตามเส้นทางเดินศึกษา ธรรมชาติ ดูพรรณไม้ที่น่าสนใจ เช่น ต้นเตียว ต้นชิง ฯลฯ นอกจากนั้น ท่ีน่ียังเป็นแหล่งดูนกที่ดีท่ีสุด แห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยมีนกกว่า 300 ชนิด มีนกที่หายากและสูญพันธุ์ จากโลกนี้ไปแล้วเกือบ 100 ปี ซ่ึงกลับมาค้นพบท่ีน่ีคือ นกแต้วแร้วท้องดำ และเป็นแหล่งที่มีสระน้ำสวยใสหลายแห่ง อันเกิดมาจากธารน้ำอุ่นท่ีสำคัญคือ สระมรกต ท่ีมีน้ำใสเป็นสีเขียวอมฟ้า เปลี่ยนสีไปได้ตามวันเวลา และ สภาพแสง 14. สุสานหอย อยู่ในบริเวณชายทะเลบ้านแหลมโพธิ์ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพื้นท่ี อุทยานแห่งชาติ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 17 กิโลเมตร มีซากดึกดำบรรพ์ของหอยน้ำจืดชนิดต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นหอยขม มีขนาดยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ซากหอยเหล่าน้ีได้ทับถมกันจนกลายเป็น สุสานหอย โดยมีน้ำประสานธาตุปูนจับตัวให้กลายเป็นหินแข็งทับอยู่ช้ันหินลิกไนต์ และหินดินดาน นับเป็น สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ เม่ือแผ่นดินบริเวณน้ียกตัวข้ึนสูงซากหอยดึกดำบรรพ์เหล่านี้จึงปรากฏให้เห็น เป็นลานหนิ กว้างใหญย่ ่ืนลงไปในทะเล และเป็นหลักฐานทางโบราณคดที ส่ี ำคัญอีกแหง่ หน่ึงของโลก 15. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี ต้ังอยู่ในท้องที่ อ. เมือง จ. กระบี่ ครอบคลุม พ้ืนที่ส่วนใหญ่ในทะเลอันดามันด้านทิศตะวันตกของภาคใต้ เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลท่ีสวยงาม ตามธรรมชาติ รอบ ๆ เกาะมีปะการัง กัลปังหา ทิวทัศน์ใต้ทะเลที่งดงาม และเอกลักษณ์ทางธรรมชาติ คือ ภูเขาหินปูนที่มีหน้าผาเป็นช้ัน ๆ ถ้ำที่สวยงาม ตลอดจนชายหาดยาวสะอาด ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2520 ให้จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดท่ีรัฐบาลพัฒนาให้เป็นเมืองท่องเท่ียว มีทิวทัศน์ ธรรมชาติท่ีสวยงามหลายแห่งสมควรอนุรักษ์ไว้เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไป กองอุทยานแห่งชาติ จึงเสนอกรมป่าไม้ให้มีคำสั่งที่ 1261/2523 ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2523 ให้นายสันติ สีกุหลาบ นักวิชาการป่าไม้ 4 ไปทำการสำรวจพื้นที่เพ่ือจัดตั้งอุทยานแห่งชาติทางทะเลในท้องท่ีจังหวัดภูเก็ต และ จังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจากการรายงานการสำรวจปรากฏว่า พ้ืนท่ีบริเวณเกาะพีพีและหมู่เกาะใกล้เคียงระหว่าง จังหวัดภูเก็ตและกระบี่ มีความเหมาะสมท่ีจะจัดเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามหนังสือรายงาน ผลการสำรวจ ลงวันท่ี 11 กุมภาพันธ์ 2524 และป่าไม้เขตนครศรีธรรมราชได้มีหนังสือ ที่ กส.0709 (นศ)/269 ลงวันท่ี 19 มกราคม 2525 แจ้งว่า ป่าบริเวณหาดนพรัตน์ธาราและหมู่เกาะใกล้เคียงรวมถึง หมู่เกาะพีพีในท้องที่ อำเภอเมือง จังหวัดกระบ่ี มีทิวทัศน์และธรรมชาติสวยงาม เป็นอุทยานแห่งชาติ แห่งเดียวกัน ผลการสำรวจตามหนังสือรายงานลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2525 สรุปได้ว่า พ้ืนท่ีตามแหล่ง ต่าง ๆ มีความสวยงามเป็นพิเศษ มีลักษณะเด่นหลายแห่ง มีทิวทัศน์ทางทะเลสวยงามเป็นแหล่งท่องเที่ยว พกั ผอ่ นของประชาชน 16. อ่าวไร่เลย์ หาดไร่เลย์ ตั้งอยู่ใน ต. อ่าวนาง อ. เมือง จ. กระบ่ี เป็นหาดทรายสีขาวละเอียด ริมโตรกผา ซ่ึงหาดไร่เลย์เป็นท่ีรู้จักดี ในหมู่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะผู้ท่ีช่ืนชอบกิจกรรมปีนหน้าผา และ หาดไร่เลย์ แบ่งออกเป็น หาดไร่เลย์ตะวันออก (หาดน้ำเมา) และหาดไร่เลย์ตะวันตก ซ่ึงเป็นหาดที่ได้รับ สำนกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๓๗
ความนิยมเน่ืองจากน้ำทะเลใส หาดทรายสวย และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกด้วย โดยหาดไร่เลย์ตะวันออกและหาดไร่เลย์ตะวันตกมีโขดหินค่ันระหว่างหาดทั้งสอง บริเวณท่ีนิยมปีนผา คอื บรเิ วณไรเ่ ลย์ตะวนั ออก อ่าวตน้ ไทร และเขาแถวถำ้ พระนางใน 17. อ่าวนาง ต้ังอยู่ใน ต. อ่าวนาง อ. เมือง จ. กระบี่ รายล้อมไปด้วยเขาหินปูน ทอดตัวยาวไปกับ ผืนทรายขาวละเอียด และน้ำทะเลสีเขียวมรกต เป็นศูนย์กลางการท่องเท่ียวอีกจุดหน่ึงของจังหวัดกระบี่ ท่ีมีจุดเด่นสำคัญอยู่ท่ีถ้ำพระนาง งดงามด้วยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีมีหินงอกหินย้อย และเป็นสถานท่ี สำหรับผู้ท่ีชื่นชอบกิจกรรมปีนผาและกีฬา โดยเฉพาะบริเวณผาสูงชันที่จัดไว้สำหรับนักปีนหน้าผา อ่าวนาง เปน็ ส่วนหนง่ึ ของอทุ ยานแห่งชาติหาดนพรตั น์ธารา - หมเู่ กาะพีพี 18. เกาะพีพี ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี ถือเป็นเกาะที่มีชื่อเสียง ท่ีสุดในหมู่เกาะท้ังหมดของ จ.กระบ่ี ความงดงามของเกาะพีพีนั้นได้รับการยอมรับจากทั้งนักท่องเที่ยว ชาวไทย และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เกาะพีพีเคยได้รับเลือกให้เป็นสถานท่ีถ่ายทำหลักของภาพยนตร์ ระดับโลกหลาย ๆ เรื่อง จากคำบอกเล่า เกาะพีพี เดิมชาวทะเลเรียกหมู่เกาะนี้ว่า ปูเลาปิอาปิ คำว่า ปูเลา แปลว่า เกาะ คำว่า ปิอาปิ แปลว่า ต้นไม้ทะเลชนิดหนึ่งจำพวกแสม ต่อมาเรียกว่า ต้นปีปี ภายหลัง กลายเสียงเป็น พีพี หมู่เกาะพีพีประกอบด้วยเกาะ 6 เกาะ คือ เกาะพีพีดอน เกาะพีพีเล เกาะปิด๊ะนอก เกาะปิด๊ะใน เกาะยูง เกาะไม้ไผ่ เกาะพีพีอยู่ห่างจากชายฝ่ังกระบี่ ประมาณ 42 กิโลเมตร ลักษณะโดยท่ัวไปเป็นเว้ิงอ่าวรูปคร่ึงวงกลม เกาะพีพีอยู่ในวงล้อมของภูเขาหินปูนท่ีสูงชันจนเกือบเป็น ทะเลใน หรือท่ชี าวเกาะเรียกวา่ ปเิ ละ 19. เกาะลันตา เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดกระบ่ี เป็นเกาะขนาดใหญ่ มีรูปร่างเรียวยาว พ้ืนที่ 472 ตารางกิโลเมตร ชื่อ \"ลันตา\" สันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากคำว่า \"ลันตาส\" ซ่ึงเป็นภาษาชวา แปลว่า ที่ย่างปลา เพราะในอดีตเกาะใหญ่แห่งน้ีเป็นท่ีที่ชาวเรือชวา มักมาหยุดพักและย่างปลาเป็นอาหาร ต่อมาเกาะน้ีก็เปล่ียนฐานะมาเป็นเมืองท่าที่ชาวจีนและชาวอาหรับผู้แล่นเรือค้าขายในน่านน้ำภูเก็ต ปีนัง สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย แวะข้ึนมาพักและทำการค้าขาย จนในท่ีสุดก็กลายเป็นชุมชนมีผู้คนอาศัยต่อเน่ือง มายาวนานกว่าร้อยปี ประกอบด้วย เกาะลันตาใหญ่ และเกาะลันตาน้อย แหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่บน เกาะลันตาใหญ่ ขณะท่ีเกาะลันตาน้อยเป็นท่ีต้ังของท่ีว่าการอำเภอเกาะลันตา ด้วยระยะทางท่ีห่างไกลจาก แผ่นดิน เกาะลันตาจึงยังคงความสวยงามของหาดทรายและน้ำทะเลสะอาด อีกทั้งยังมีวิถีชีวิต ของชาวเกาะดั้งเดิมที่มีท้ังชาวไทยพุทธ ชาวไทยจีน ชาวไทยมุสลิม และชาวไทยใหม่ (ชาวเล) อาศัยอยู่ ร่วมกันอย่างสันติ ผสานกับความเจริญทางด้านหัวเกาะแถบท่าเรือและชายหาดฝ่ังตะวันตก ซ่ึงคึกคัก ด้วยนกั ทอ่ งเท่ียว การมาเยอื นเกาะลนั ตาจึงได้เท่ียวหลายบรรยากาศในคราวเดียวกนั 20. เกาะรอกใน เป็นที่ต้ังของหน่วยพิทักษ์ย่อยของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา เป็นเกาะที่มี ลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน ด้านทิศตะวันออกมีหาดทรายและแนวปะการังเป็นกลุ่ม ๆ ตามโขดหิน ด้านทิศเหนือของเกาะมีแหลมธงและอ่าวศาลเจ้า ผืนทรายท่ีเกาะรอกในละเอียดขาวเนียน น้ำทะเลใส สำนักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๓๘
เป็นสีเขียวจนมองเห็นปลาหลากสีสัน เป็นความบริสุทธิ์ของธรรมชาติท่ียังไม่มีใครเดินทางมาสัมผัสมากนัก บนเกาะยงั มีเส้นทางเดนิ ศึกษาธรรมชาตใิ หไ้ ด้เดนิ ออกกำลังกาย ดูพนั ธไุ์ มต้ า่ ง ๆ ไดอ้ ีกดว้ ย 21. เกาะรอกนอก ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้และทิศใต้ มีหาดทรายขาวละเอียด และแนวปะการังน้ำต้ืน ด้านท้ายเกาะมีหาดทะลุและอ่าวม่านไทร ส่วนการเดินทางไปเกาะรอกนิยมเช่าเรือ จากทา่ เรือปากเมง ใชเ้ วลาประมาณ 3 - 4 ชวั่ โมง หรอื ใช้บริการนำเที่ยวดว้ ยเรอื เรว็ จากเกาะลนั ตา 22. เกาะไหง ทางทิศตะวันออกของเกาะ ประกอบด้วยหาดทรายยาว และมีปะการังด้านหน้าหาด นับเป็นแหล่งดูปะการังน้ำตื้นที่สมบูรณ์แห่งหน่ึง การเดินทางสามารถเช่าเรือจากท่าเรือปากเมง 23. หินแดง เป็นหินโสโครกอยู่ฝ่ังด้านนอกของทะเลอันดามัน มีปะการังชนิดต่าง ๆ ที่สวยงาม เหมาะสำหรับการดำน้ำ เกาะห้า (ตุกนลิมา) ซึ่ง ตุกนลิมา แปลว่า กองหินห้าลูก เป็นกลุ่มเกาะ 5 เกาะ เกาะห้าใหญ่จะมีลักษณะของทุ่งหญ้าอยู่บนสันเกาะ มีเกาะรูปคล้ายใบเรือ เป็นเกาะท่ีมีน้ำลอดได้ และเม่ือข้ึนอยู่บนสันเกาะจะมีมุมทิวทัศน์ท่ีสวยงาม กลุ่มเกาะห้าเป็นจุดดำน้ำท่ีมีชื่อเสียงอีกเกาะหนึ่งของ เกาะลนั ตา สัตว์ที่นา่ สนใจ คอื กระเบนราหู 2๔. เกาะไผ่ หรือเกาะไม้ไผ่ เป็นเกาะเล็กกลางทะเล ต้ังอยู่ทางตอนเหนือของเกาะพีพีดอน ไม่ไกล จากเกาะยุงเท่าใดนัก เกาะไผ่ อยู่ในพ้ืนที่การดูแลของอุทยานแห่งชาตินพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี แต่บรรยากาศของเกาะไผ่จะต่างกับเกาะพีพีอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นเกาะท่ีเงียบสงบ มีน้ำทะเลใสมาก มีหาดทรายสวยงามเป็นเกาะที่มีแนวปะการังเหมาะสำหรับมาดำน้ำดูความสวยงามของโลกใต้ทะเล ช่วงเวลาเหมาะการเที่ยว คอื ชว่ งทไ่ี ม่มีลมมรสุม ประมาณเดือน พ.ย. - เม.ย. ของทุกปี 2๕. อ่าวมาหยาตั้งอยู่บนเกาะพีพีเล เกาะขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของหมู่เกาะพีพี อ่าวมาหยา เกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ จากการพังทลายของหน้าผาที่โอบล้อม แหว่งเป็นเว้ิงอ่าวขนาดเล็ก รูปพระจันทร์เส้ียวท่ีโอบล้อมด้วยเขาหินปูน อ่าวมาหยานับว่าเป็นสถานท่ีท่องเที่ยวท่ีเป็นไฮไลท์อีกจุดหน่ึง ของทะเลกระบี่ ท่ีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาพักผ่อน หาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลใสสีเขียวมรกต สัมผัสบรรยากาศและธรรมชาติแวดล้อมซึ่งปกคลุมไปด้วยพันธ์ุไม้ชายทะเล นักท่องเท่ียวชาวต่างชาติ ยกให้ “อา่ วมาหยา” เปน็ ทะเลไทยท่สี วยติดอนั ดบั โลก 2๖. ชุมชนบ้านเกาะกลาง อยู่บนเกาะกลางแม่น้ำกระบ่ี ท่ีล้อมด้วยป่าชายเลน ผู้คนที่นี่ใช้ชีวิต อย่างเรียบง่าย กับอาชีพเกษตรกรรมและหัตถกรรม การเดินทางมาที่บ้านเกาะกลางเราสามารถนั่งเรือ ข้ามฟากจากท่าเรือบริเวณลานปูดำ ข้ามไปยังชุมชนเกาะกลางได้ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ค่าเรือเหมา เที่ยวละ 100 บาท การเที่ยวชมวิถีชีวิตชุมชนบ้านเกาะกลาง มีท้ังกลุ่มการทำผ้าปาเต๊ะ ลวดลายสวยงาม สีสันสดใส กลุ่มการต่อเรือหัวโทงจำลอง เรือท่ีชาวบ้านใช้ทำประมง หาปลา และใช้ในการเดินทาง ลักษณะพิเศษคือมีหัวเรือที่ยาว เพื่อรับกับสภาพอากาศและคล่ืนลมทะเล นาข้าวสังข์หยด เป็นข้าวนาปี ท่ีปลูกกันปลี ะครัง้ มรี สชาติอร่อยกลมกล่อม เป็นข้าวท่ขี ้นึ ชอ่ื ของจังหวดั กระบ่ี 2๗. หมู่เกาะในอ่าวท่าเลน มีเกาะเล็ก ๆ มากมายอยู่ในเขตอำเภอเมืองกระบ่ี และเป็นแหล่ง ท่องเท่ียวอีกแห่งหน่ึงที่สำคัญไปจนจดเขตอำเภออ่าวลึก คือ เกาะเหลาบิเล๊ะ (เกาะหัก) เกาะเหลากา เกาะเหลาเหรียม เกาะเหลาลาดิง เกาะปากกะ เกาะสะยา(กายา) เกาะซากา เกาะเหลาบุโละ เกาะเมย สำนกั งานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษากระบี่ ๓๙
เกาะนอก (บงบง) เกาะยี (สิเหร่) เกาะเต็น (สุเด่น ) เกาะลุเด็น เกาะทะลุ เกาะแดง เกาะขุนฤทธิ์ เกาะใหญ่ เกาะทน เกาะปาลัย เกาะยากาอุตัง เกาะยามัน เกาะกวาง เกาะซ่าอา ๑ เกาะซาอา ๒ เกาะต้าหมัน เกาะทราย เกาะพง เกาะป่าไล้ เกาะผักเบ้ีย เกาะล่าด่ิง เกาะเหี้ยง เกาะเหลาหยี เกาะหัวเต่า เกาะฮันตู เกาะสิเหร่ เกาะส้าหนี และเกาะห้อง ลักษณะเด่นของหมู่เกาะในอ่าวท่าเลน ส่วนใหญ่จะเป็นเกาะหินปูน สูงชัน พื้นที่ราบและหาดทรายกระจายอยู่ท่ัวไปตามเกาะต่าง ๆ เหมาะสำหรับการเล่นน้ำ พายเรือแคนู และ ชมทัศนียภาพทางทะเล ๒๘. หมู่เกาะในทะเลเหนือคลอง เกาะบริเวณน้ี มีทั้งหมู่เกาะท่ีคนอาศัยอยู่และเป็นแหล่งท่องเท่ียว ได้ด้วย ประกอบด้วย เกาะจำ เกาะจำเล็ก เกาะช่องเภา เกาะตุหลัง เกาะนกคอม เกาะปากนุ้ยช่องตะเภา เกาะปลิง เกาะปาบ เกาะปู เกาะย่าหนัด เกาะศรีบอยา เกาะศรีลามา เกาะเขาหลัง เกาะเขาหลักน้อย เกาะเหลาเกา เกาะเหล็ก เกาะแดง เกาะโล๊ะล๊ะ เกาะไม้งาม เกาะคลองขนาน และเกาะฮ่ัง ชายหาดที่สำคัญ ได้แก่ หาดยาว หาดคลองเตาะ หาดเกาะจำ หาดเกาะปูและหาดเกาะศรีบอยา แหลมที่สำคัญ ได้แก่ แหลมหิน และแหลมกรวด ซึ่งหมู่เกาะในทะเลเหนือคลองเป็นแหล่งท่องเท่ียวท่ีมีสภาพชายหาดสะอาด สวยงาม ๒๙. หมู่เกาะในทะเลคลองท่อม อยู่ใน อ. คลองท่อม จะมีเกาะไม่มากนัก ประกอบด้วย เกาะมดคันน้อย เกาะลู่ดู เกาะสีราม่า และเกาะเหลากูหลง ชายหาดท่ีสำคัญ ได้แก่ ชายหาดบ้านบ่อม่วง ลักษณะเด่นของหมู่เกาะในทะเลคลองท่อม เป็นเกาะภูเขาหินปูนโดยเฉพาะเกาะเหลากูหลง จะเป็นท่ีอยู่ ของค้างคาวแม่ไก่จำนวนมาก สำหรับชายหาดเป็นท่าเทียบเรือประมงสามารถพักผ่อนได้แต่ไม่เหมาะ สำหรับการลงเลน่ น้ำ 3๐. น้ำตกโตนเตียว อยู่ในเขต ต. คลองท่อมเหนือ อ. คลองท่อม บริเวณเขานอจู้จี้อยู่กลางป่าลึก เป็นน้ำตก ๗ ชั้นไหลจากหน้าผาสูง แวดล้อมด้วยธรรมชาติร่มร่ืน การเดินทางต้องใช้วิธีการเดินเท้า อย่างเดียว อยูห่ ่างจากสระมรกตประมาณ ๒ กิโลเมตร 3๑. น้ำพุร้อนเค็ม หรือท่ีรู้จักกันในชื่อ บ่อน้ำพุร้อนเค็มคลองท่อม เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีช่ือเสียง ตั้งอยู่ท่ี ต. ห้วยน้ำขาว อ. คลองท่อม จ. กระบ่ี โดยบ่อน้ำพุร้อนเค็มน้ันอยู่ในบริเวณเขตป่าชายเลน คลองบางผึ้ง ประกอบไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนเค็มที่เรียงรายเล็กใหญ่ถัดกันไปถึง 14 บ่อ และแต่ละบ่อ นั้นสามารถวัดระดับความเค็มได้ถึง 10 ppm อุณหภูมิของน้ำในบ่อประมาณ 40 - 47 องศาเซลเซียส สำหรับความมหัศจรรย์ของบ่อน้ำพุร้อนเค็มนั้นอยู่ที่อุณหภูมิของน้ำในบ่อไม่ร้อนมากจนเกินไป น้ำมีลักษณะ ใสสะอาดสะท้อนกับท้องฟ้าเป็นสีมรกต ปัจจุบันได้มีนักท่องเที่ยวรวมทั้งคนในพ้ืนที่ต่างนิยมท่ีจะมาแช่น้ำ เพราะมีความเชื่อว่าสามารถรักษาโรค เช่น โรคเบาหวาน โรคปวดเม่ือยตามข้อกระดูก โรคไหลเวียนโลหิต โรคผดผืน่ คนั รวมท้งั มบี ่อโคลนอีก 1 บ่อ ซึง่ สามารถนำมาพอกหน้า พอกตวั รกั ษาสิว ฝา้ และโรคผิวหนัง 3๒. เขาขนาบน้ำ เป็นเขาสองลูก สูงประมาณ 100 เมตร ขนาบแม่น้ำกระบ่ีด้านหน้าตัวเมือง ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกระบ่ี สามารถไปเที่ยวชมได้โดยเช่าเรือหางยาวที่ท่าเรือเจ้าฟ้า ใช้เวลาเดินทาง เพียง 15 นาที นอกจากน่ังเรือชมเขาและป่าชายเลนท่ีมีความสมบูรณ์แล้ว ยังสามารถเดินขึ้นไปเที่ยวถ้ำได้ ภายในมีหินงอกหินย้อย และเป็นสถานท่ีที่เคยพบโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมากอีกด้วย แต่ปัจจุบัน สำนักงานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๔๐
ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว สันนิษฐานว่าอาจเป็นโครงกระดูกของกลุ่มคนที่อพยพมาต้ังหลักแหล่งแต่ล้มตายลง เน่ืองจากเกิดอุทกภัยอย่างฉับพลัน และสำหรับนักนิยมพายเรือแคนู บริเวณน้ีเหมาะที่จะพายเรือแคนู เพราะมีธรรมชาตทิ ่เี ขียวชอุ่มด้วยปา่ ชายเลนและน้ำนิ่ง 3๓. ท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์บ้านทุ่งหยีเพ็ง ต้ังอยู่ทางด้านฝ่ังตะวันออกของเกาะลันตาใหญ่ มีถนน ตัดเข้าไปยังศูนย์บริการท่องเท่ียวบ้านทุ่งหยีเพ็ง ซึ่งเป็นบริเวณป่าชายเลนท่ีอุดมไปด้วยสัตว์น้ำธรรมชาติ มากมาย อาทิ หอยตาแดง หอยแครง ปูดำ มีสะพานไม้เดินชมศึกษาธรรมชาติ และมีบริการพายเรือคายัก เรือหางยาวนำชมทัศนียภาพป่าชายเลน และแวะชมการเล้ียงปลาในกระชังของชาวบ้าน ในช่วงฤดู ท่องเทีย่ วมชี าวบา้ นมาจำหนา่ ยสินคา้ ทร่ี ะลกึ อาทิ ผ้ามดั ยอ้ ม ของทีร่ ะลึกจากกะลามะพรา้ ว การท่องเท่ยี วเชงิ อนรุ ักษ์ การท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์ หรือ Eco-Tourism นั้น โดยความหมายก็คือ การพัฒนาการท่องเท่ียว ที่ต้องใช้ทุนธรรมชาติอย่างมัธยัสถ์ให้มีความม่ันคง ยั่งยืน และในท้ายที่สุดจะต้องคืนทุนต่อสังคม ซึ่งหมายถึงการให้ท้องถิ่นได้มีโอกาสตั้งแต่เริ่มรับรู้ ตัดกระบวนการท่ีสมบูรณ์ในการพิจารณาทั้งในเร่ือง ทนุ ธรรมชาติและทนุ ทางสังคม ซงึ่ สง่ ผลต่อทุนทางเศรษฐกิจท่ดี ำรงอยู่ได้ การท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์เป็นแนวความคิดที่เกิดข้ึนโดยมีสาเหตุมาจากแนวโน้ม ๒ ประการ มาบรรจบกันคือ แนวโน้มเกี่ยวกับการอนุรักษ์และแนวโน้มเก่ียวกับความเปลี่ยนแปลงเร่ืองอุตสาหกรรม ท่องเท่ียว โดยมีสาระสำคัญ เรื่องแนวโน้มการอนุรักษ์เกิดจากการท่ีประชาชนเพิ่มขึ้น และ ภาวะทางเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ รวมถึงการทำกิจการหรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การตัดไม้ ทำลายป่า การทำเหมืองแร่ และการเกษตร ซ่ึงส่วนใหญ่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศจนทำให้ ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม และผลท่ีตามมาคือความไม่ยั่งยืนของการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำใหป้ ระเทศตา่ ง ๆ พยายามผสมผสานเร่อื งของการอนรุ ักษเ์ ขา้ กบั การพัฒนาเศรษฐกิจ ส่วนแนวโน้มเรื่องการท่องเท่ียวน้ัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการ ใช้เวลาว่างในการเดินทางท่องเที่ยว โดยต้องการท่องเที่ยวแบบผจญภัยเข้าไปมีส่วนร่วมและสัมผัส กับธรรมชาติอย่างแท้จริง นอกจากน้ียังอยากท่ีจะศึกษาหาความรู้เก่ียวกับสถานที่ท่ีไปเยือนตั้งแต่ ระบบนิเวศไปจนถึงชนิดพันธุ์พืช สัตว์ที่หายากหรือกำลังจะสูญพันธ์ุ และแนวโน้มเร่ืองการอนุรักษ์ เช่น การสูญเสียทรัพยากรป่าไม้ การลักลอบล่าสัตว์ป่า เป็นต้น จากแนวโน้มสองประการดังกล่าวมาบรรจบกัน ทำให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ หรือการท่องเท่ียวเพ่ือรักษาระบบนิเวศขึ้น ดังน้ันการท่องเที่ยว เชิงอนุรักษ์จึงมีความหมายมากกว่าการท่องเท่ียวแบบธรรมดา แต่จะหมายความรวมไปถึงการท่องเที่ยว ที่จะต้องมกี ารอนรุ ักษค์ วบคูไ่ ปด้วย การท่องเที่ยวเชิงอนุรกั ษม์ ีองคป์ ระกอบสำคญั ๓ประการได้แก่ องค์ประกอบที่ ๑ คือ การสร้างจิตสำนึกเก่ียวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถือว่าเป็นปัจจัยพ้ืนฐานสำคัญของแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ หากธรรมชาติ และระบบนิเวศได้รับผลกระทบจากการใช้ประโยชน์ในรูปแบบใดก็ตาม โอกาสที่ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม สำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๔๑
จะเส่ือมโทรมลงหรือถูกทำลายลงก็มีอยู่สูง การให้ความรู้ความเข้าใจหรือการสร้างจิตสำนึกแก่นักท่องเท่ียว จึงเป็นสงิ่ สำคัญ องค์ประกอบท่ี ๒ คือ ความพึงพอใจของนักท่องเท่ียว ซึ่งมีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบ แรกโดยตรง เพราะนักท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์มักเป็นกลุ่มนักท่องเท่ียวท่ีมีความปรารถนาหรือสนใจท่ีจะศึกษา เรียนรู้เก่ียวกับธรรมชาติในลักษณะต่าง ๆ และสภาพภูมิทัศน์ตามธรรมชาติ ตลอดจนเส้นทางธรรมชาติ ที่ยากลำบากและมคี วามท้าทายตอ่ การเดินทาง องค์ประกอบท่ี ๓ คือ การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถ่ิน เพราะการท่องเที่ยวมีบทบาท สำคัญอย่างย่ิงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนท้องถ่ินในระยะยาวมากกว่ากิจกรรมอ่ืน ๆ การเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในรูปแบบต่าง ๆ จะช่วยให้ชุมชนได้รับ ผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม รูปแบบของการมีส่วนร่วมของชุมชน ได้แก่ การลงทุนเก่ียวกับสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดเล็กที่ส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมต่ำ การเป็นมัคคุเทศก์ การนำสินค้าที่เป็นศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านมาขายแก่นักท่องเท่ียว และการจ้างงานในส่วนบริการอื่น ๆ เปน็ ตน้ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์มีความแตกต่างจากการท่องเท่ียวแบบเดิม กล่าวคือ การท่องเท่ียว เชิงอนุรักษ์จะมีขอบข่ายในการพิจารณาที่ลึกซ้ึง และให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์เป็นหลัก ซ่ึงสามารถระบุ วตั ถุประสงคไ์ ด้ ๔ ประการ คอื ๑. เพื่อพัฒนาจิตสำนึกและความเข้าใจของนักท่องเท่ียวในการทำคุณประโยชน์แก่ส่ิงแวดล้อม และเศรษฐกิจ ๒. เพ่ือเพ่ิมพูนประสบการณ์ท่ีมีคุณภาพหรือคุณค่าสูงให้แก่นักท่องเท่ียวหรือผู้มาเยือน แหล่งท่องเทย่ี ว ๓. เพื่อปรับปรุงคุณภาพชวี ติ ของชุมชนท่แี หลง่ ทอ่ งเทีย่ วต้งั อยู่ ๔. เพอื่ ดแู ลรกั ษาและคงไว้ซง่ึ คณุ ภาพสิง่ แวดล้อมของแหล่งทอ่ งเที่ยว นอกจากน้ียังมุ่งเน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เก่ียวข้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ท่ีน่าสนใจ ของชุมชนท้องถิ่นด้ังเดิมด้วย ซ่ึงในจังหวัดกระบี่มีแหล่งท่องเท่ียวเชิงอนุรักษ์ เช่น ชุมชนบ้านเกาะกลาง บ้านทุง่ หยเี พง็ คลองทา่ หิน หาดคลองลุ เขากาโรส ถ้ำผีหวั โต ฯลฯ ความหมายการอนุรักษส์ งิ่ แวดล้อม การอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม หมายถึง การเก็บรักษา สงวน ซ่อมแซม ปรับปรุง และใช้ประโยชน์ ตามความต้องการอย่างมีเหตุผลต่อส่ิงแวดล้อมเพื่อเอ้ืออำนวยให้เกิดคุณภาพสูงสุดในการสนองความเป็นอยู่ ของมนษุ ย์อยา่ งถาวรต่อไป เป้าหมาย การทจ่ี ะใหบ้ รรลุเปา้ หมาย คือ การทจ่ี ะทำให้มที รพั ยากรธรรมชาติไวใ้ ช้และอยคู่ ่กู ับโลกตลอดไปได้ นน้ั มีหลกั การอนรุ ักษ์ 3 ประการ คอื สำนักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๔๒
1. ใช้อย่างฉลาด การจะใช้ต้องพิจารณาให้รอบคอบถึงผลดี ผลเสีย ความขาดแคลนหรือ ความหายากในอนาคต อกี ท้งั พจิ ารณาหลักเศรษฐศาสตร์ถงึ ต้นทนุ และผลตอบแทนอย่างถถ่ี ว้ น 2. ประหยัด (เก็บ รักษา สงวน) ของที่หายาก หมายถึง ทรัพยากรใดที่มีน้อยหรือหายาก ควรเก็บ รกั ษาไว้มิให้สญู ไป บางคร้งั ถา้ มีของบางชนดิ ที่พอจะใชไ้ ด้ ตอ้ งใชอ้ ย่างประหยัด 3. ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมท่ีไม่ดีหรือเส่ือมโทรมให้ดีขึ้น (ซ่อมแซม ปรับปรุง) กล่าวคือ ทรัพยากรใดก็ตาม มีสภาพล่อแหลมต่อการสูญเปล่า หรือจะหมดไปถ้าดำเนินการไม่ถูกต้องตามหลักวิชา ควรหาทางปรับปรุง ใหอ้ ยูใ่ นลักษณะที่ดีข้นึ ปัญหาสงิ่ แวดล้อม 1. มนษุ ย์ตดั ไม้ทำลายป่ากันมากข้นึ 2. มนษุ ย์เผาเชื้อเพลิงตามบ้านเรอื น และตามโรงงานอตุ สาหกรรมมากข้นึ 3. มนุษย์ผลิตสารสังเคราะห์บางอย่างที่ไม่สลายตัวและสลายตัวยากมากขึ้น เช่น พลาสติก โฟม จึงทำให้เกิดขยะเหล่าน้ีมากข้ึน ส่วนสารบางอย่างที่เป็นก๊าซ เช่น ฟรีออน ซ่ึงใช้ช่วยในการฉีดสเปรย์ และ ใช้ในเคร่ืองทำความเย็นก็จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นในอากาศฟุ้งกระจายทั่วไป ซ่ึงจะไปทำลายโอโซนในชั้น บรรยากาศท่ีห่อหมุ้ โลกไว้ และมผี ลกระทบทำใหอ้ ุณหภมู ิของโลกสงู ข้ึน 4. มนุษย์สร้างผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ข้ึนใช้แทนวัตถุดิบท่ีได้จากธรรมชาติ เช่น ใช้ไฟเบอร์กลาสแทนไม้ ใช้ฟรีออนแทนแอมโมเนียเหลวในตู้เย็น และใช้ผงซักฟอกแทนสบู่ เป็นต้น เมื่อใช้แล้วมีส่ิงตกค้างเป็นมลพิษ อยใู่ นอากาศ ในนำ้ และในดิน ทำให้เกิดผลเสยี หายต่อพชื สัตว์ และมนุษย์ดว้ ยกันเองในทสี่ ดุ 5. มนุษย์สร้างอุปกรณ์เคร่ืองใช้ไฟฟ้าบางชนิดท่ีให้ความร้อน แสง เสียง ท่ีทำให้เกิดอันตราย ต่อมนุษยไ์ ด้มากขึน้ 6. มนุษย์สร้างยานพาหนะท่ีใช้ในการเดินทาง เช่น จักรยานยนต์ รถยนต์ และยานอวกาศ เพ่ือออกไปสำรวจอวกาศภายนอกโลกมากข้ึน ก๊าซที่เหลือจากการเผาไหม้ของเช้ือเพลิง ได้แก่ ออกไซด์ของ ไนโตรเจนและคารบ์ อนจะมีปริมาณเพม่ิ ข้นึ ในอากาศ วธิ กี ารอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม การอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมสามารถกระทำไดห้ ลายวิธี ทง้ั ทางตรงและทางออ้ ม ดังนี้ 1. การอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อมโดยทางตรง ซึง่ ปฏบิ ตั ไิ ดใ้ นระดับบคุ คล องคก์ ร และระดับประเทศท่สี ำคัญ คือ 1.1 การใชอ้ ยา่ งประหยัด คือ การใชเ้ ท่าทม่ี คี วามจำเปน็ เพื่อใหม้ ีทรพั ยากรไว้ใช้ไดน้ าน และเกิดประโยชน์อย่างคมุ้ ค่ามากที่สดุ 1.2 การนำกลับมาใช้ซ้ำอีก ส่ิงของบางอย่างเมื่อมีการใช้แล้วครั้งหน่ึงสามารถที่ จะนำมาใช้ซ้ำได้อีก เช่น ถุงพลาสติก กระดาษ เป็นต้น หรือสามารถที่จะนำมาใช้ได้ใหม่โดยผ่าน สำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๔๓
กระบวนการต่าง ๆ เช่น การนำกระดาษที่ใช้แล้วไปผ่านกระบวนการต่าง ๆ เพื่อทำเป็นกระดาษแข็ง เป็นตน้ ซึ่งเป็นการลดปริมาณการใช้ทรัพยากรและการทำลายส่งิ แวดล้อมได้ 1.3 การบูรณะซ่อมแซม ส่ิงของบางอย่างเม่ือใช้เป็นเวลานานอาจเกิดการชำรุดได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีการบรู ณะซ่อมแซม ทำให้สามารถยดื อายุการใช้งานตอ่ ไปไดอ้ ีก 1.4 การบำบัดและการฟ้ืนฟู เป็นวิธีการที่จะช่วยลดความเส่ือมโทรมของทรัพยากรด้วย การบำบัดก่อน เช่น การบำบัดน้ำเสียจากบ้านเรือนหรือโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ก่อนท่ีจะปล่อยลงสู่ แหล่งน้ำสาธารณะ ส่วนการฟ้ืนฟูเป็นการรื้อฟ้ืนธรรมชาติให้กลับสู่สภาพเดิม เช่น การปลูกป่าชายเลน เพอ่ื ฟนื้ ฟคู วามสมดุลของปา่ ชายเลนใหก้ ลับมาอุดมสมบรู ณ์ เปน็ ตน้ 1.5 การใช้สิ่งอื่นทดแทน เป็นวิธีการท่ีจะช่วยให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติน้อยลงและ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก การใช้ใบตองแทนโฟม การใช้พลังงานแสงแดดแทน แรเ่ ชื้อเพลิง การใชป้ ุ๋ยชวี ภาพแทนปยุ๋ เคมี เป็นต้น 1.6 การเฝ้าระวัง ดูแล และป้องกัน เป็นวิธีการที่จะไม่ให้ทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมถูกทำลาย เช่น การเฝ้าระวังการทิ้งขยะ ส่ิงปฏิกูลลงแม่น้ำ คูคลอง การจัดทำแนวป้องกันไฟป่า เปน็ ตน้ 2. การอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ มโดยทางอ้อม สามารถทำได้หลายวิธี ดังน้ี 2.1 การพัฒ นาคุณ ภาพประชาชน โดยสนับสนุนการศึกษาด้านการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องตามหลักวิชา ซ่ึงสามารถทำได้ทุกระดับอายุ ทั้งในระบบ โรงเรียนและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และนอกระบบโรงเรียนผ่านสื่อสารมวลชนต่าง ๆ เพอ่ื ใหป้ ระชาชน เกิดความตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นในการอนุรักษ์ เกิดความรักความหวงแหน และ ใหค้ วามรว่ มมืออย่างจริงจงั 2.2 การใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย การจัดต้ังกลุ่ม ชุมชน ชมรม สมาคม เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมต่าง ๆ ตลอดจนการให้ความร่วมมือท้ังทางด้านพลังกาย พลังใจ พลังความคิด ด้วยจิตสำนึกในการมีคุณค่าของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรที่มีต่อตัวเรา เช่น กลุ่มชมรมอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมของนักเรียน นักศึกษา ในโรงเรียนและ สถาบันการศึกษาต่าง ๆ มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย มูลนิธิสืบนาคะเสถียร มูลนธิ ิโลกสีเขยี ว เป็นต้น 2.3 ส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถ่ินได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ช่วยกันดูแลรักษา ให้คงสภาพเดิม ไม่ให้เกิดความเส่ือมโทรม เพ่ือประโยชน์ในการดำรงชีวิตในท้องถิ่นของตน การประสานงาน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และความตระหนักระหว่างหน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินกับ ประชาชน ให้มีบทบาทหน้าท่ีในการปกป้อง คุ้มครอง ฟ้ืนฟูการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ สงู สดุ 2.4 ส่งเสริมการศึกษาวิจัย ค้นหาวิธีการ และพัฒนาเทคโนโลยี มาใช้ในการจัดการ กับทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๔๔
มาจัดการวางแผนพัฒนา การพัฒนาอุปกรณ์เคร่ืองมือเครื่องใช้ให้มีการประหยัดพลังงานมากขึ้น การคน้ คว้าวิจยั วิธกี ารจดั การ การปรบั ปรงุ พฒั นาสงิ่ แวดล้อมให้มีประสิทธภิ าพและย่งั ยนื เปน็ ตน้ 2.5 การกำหนดนโยบายและวางแนวทางของรัฐบาล ในการอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อมท้ังในระยะสั้นและระยะยาว เพ่ือเป็นหลักการให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐท่ีเก่ียวข้อง ยึดถือและนำไปปฏิบัติ รวมทั้งการเผยแพร่ข่าวสารด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทง้ั ทางตรงและทางอ้อม ทรพั ยากรธรรมชาติ 1. ทรัพยากรป่าไม้ สภาพป่าไม้ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบช้ืนและป่าเบญจพรรณ แบ่งเป็นพื้นที่ป่า จำนวน 45 ป่า เน้ือท่ี 1,415,952 ไร่ แบ่งเป็น 5 ประเภท คือ ป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี และ ป่าไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า และป่าชายเลน สำหรับพ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์ในจังหวัดกระบ่ี ได้แก่ พื้นท่ีอุทยานแห่งชาติ (Natural Park ) จำนวน 4 แห่ง พื้นท่ีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า (Wildlife Sanctuary ) จำนวน 2 แห่ง และพ้ืนที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า (Non – Hunting Area ) จำนวน 1 แห่ง ในภาพรวมของจังหวัดกระบ่ีมีพื้นที่ ป่าไม้จากการสำรวจของกรมป่าไม้ ปี พ.ศ. 2549 ประมาณ 540,806.25 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 18.38 ของพ้ืนที่จังหวัด ปัญหาด้านป่าไม้ที่สำคัญ คือ การบุกรุกแผ้วถางป่าเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ป่าสงวน แห่งชาติ เขตพื้นท่ีอุทยานแห่งชาติซึ่งเป็นต้นน้ำ พื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกเฉลี่ยระหว่าง 2,000 – 2,500 ไร่ 2. ทรัพยากรน้ำ แหล่งน้ำดิบ (Surface Water) แหล่งน้ำตามธรรมชาติในจังหวัดกระบ่ี ประกอบด้วย ลำน้ำท่ีสำคัญในพื้นท่ีจังหวัดกระบี่ ได้แก่ ปากแม่น้ำกระบ่ี คลองสินปุน คลองกระบ่ีใหญ่ คลองกระบี่น้อย คลองท่อม คลองปกาสัย ปัญหาในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาพรวม คือ ขาดแคลนแหล่งกักเก็บน้ำ ปริมาณน้ำในฤดูแล้งมีปริมาณลดน้อยลง ป่าไม้และต้นน้ำถูกบุกรุกทำลาย การใช้แหลง่ น้ำบาดาลทำใหเ้ กิดการชะลา้ งหน้าดนิ จงั หวดั กระบีม่ ลี ักษณะภูมิประเทศแบง่ ออกได้เป็น 3 ลกั ษณะ คือ 1. บริเวณท่ีราบลุ่ม ได้แก่ พื้นท่ีทางตอนกลาง - ล่าง ทางด้านตะวันตกและช่วงตอนบน ของจงั หวดั กระบ่ี (ความสูงประมาณ 10 - 30 เมตร เหนอื ระดบั นำ้ ทะเลปานกลาง) 2. บริเวณเขาโดดหรือเนินเต้ีย ๆ เป็นพ้ืนท่ีซ่ึงกระจายตัวอยู่ทั่วไป (ความสูงประมาณ 50 - 100 เมตร เหนอื ระดบั นำ้ ทะเลปานกลาง) 3. บริเวณทิวเขาสูง ส่วนใหญ่จะวางตัวอยู่ในแนวเหนือ - ใต้ ยอดเขาสูงสุดสูงถึง 1,402 เมตร เหนอื ระดับนำ้ ทะเลปานกลางท่เี ขาพนม อำเภอเขาพนม โครงสร้างทางธรณีวิทยาท่ีเอ้ืออำนวยต่อคุณสมบัติในการเป็นแหล่งกักเก็บน้ำบาดาล อาทิ รอยเล่ือน รอยแตกร้าว และรอยคดโค้งของช้ันหิน ปรากฏอยู่ท่ัวไป ชั้นหินอุ้มน้ำที่เป็นหินปูนเป็นช้ันหินท่ีมี ศักยภาพสูงสุด กล่าวคือ สามารถให้ปริมาณน้ำได้ในเกณฑ์ 10 - 20 ลูกบาศก์เมตรต่อช่ัวโมง คุณภาพน้ำบาดาลในหน่วยหินอุ้มน้ำท่ีเป็นหินปูนส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดี มีปริมาณสารทั้งหมดท่ีละลายได้ มีค่าต่ำกว่า 500 มิลลิกรัมต่อลิตร ความกระด้างมีค่าต่ำกว่า 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ปริมาณเหล็กมีค่า สำนักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบี่ ๔๕
ต่ำกว่า 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตรและปริมาณฟลูออไรด์มีค่าต่ำกว่า 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ มาตรฐานแม้ว่าในพ้ืนท่ีที่รองรับด้วยช้ันหินอุ้มน้ำที่เป็นหินปูนหรือหินคาร์บอเนตจะมีปริมาณความกระด้าง ค่อนข้างสูง และมบี างพ้นื ท่ีมปี รมิ าณเหล็กคอ่ นข้างสูง 3. ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง จังหวัดกระบ่ีมีทรัพยากรทางทะเลที่สวยงามมาก มีชายฝั่ง ติดกับทะเลอันดามันยาวประมาณ 160 กิโลเมตร หมู่เกาะน้อยใหญ่ ประมาณ 154 เกาะ เกาะท่ีมี ความสวยงามเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติทางทะเล ได้แก่ หมู่เกาะพีพี เกาะห้อง เกาะศรีบอยา เกาะลันตา เกาะรอก เป็นต้น ป่ายชายเลนของจังหวัดกระบี่สำรวจเม่ือปี พ.ศ. 2550 มีเนื้อท่ีประมาณ 218,216 ไร่ ผลติ ภัณฑแ์ ละกจิ กรรมทเ่ี กิดจากภูมปิ ญั ญาทอ้ งถิน่ ๑. การถนอมอาหาร เชน่ ไขเ่ ค็ม ไข่ปลา ปลาแหง้ ไตปลา กะปิ ขา้ วหลาม ฯลฯ ๒. การทำขนม เชน่ ทองมว้ น ขา้ วเกรยี บ ขนมกาละแม ขนมกรบุ ฯลฯ ๓. การทำอาหาร เช่น น้ำพริกเผากุ้งเสียบ แกงส้ม แกงเลียง แกงไตปลา ขนมจีน เส้นก๋วยเต๋ียว ข้าวหลาม ฯลฯ ๔. เคร่อื งด่ืม เช่น ไวน์ผลไม้ ไวนส์ มนุ ไพร ฯลฯ ๕. การทำเคร่ืองแกง เช่น เครอื่ งแกงส้ม เครือ่ งแกงพริก ฯลฯ ๖. งานประดิษฐ์และงานช่าง เช่น ไม้กวาดดอกหญ้า ดอกไม้และเครื่องประดับจากเกล็ดปลา ส่ิงของเคร่ืองใช้จากก้านมะพร้าว ของใช้จากไม้มะพร้าว กระเป๋าจากกะลามะพร้าว เคร่ืองประดับจาก ใบยางพารา ผ้าบาติก ค้อมไก่ หมวกใบมะพร้าว รูปหนังตะลุง กระทงบายศรี ว่าวไทย การซ่อมวิทยุ โทรทัศน์ การตีเหล็ก มีดกรีดยาง เหล็กดัด ฝาไม้ไผ่ อิฐ อิฐบล็อก ตับจาก การจักสาน เข่ง เข่งปลาทู การผูกผา้ การแกะสลกั ผกั ผลไม้ การจดั แจกนั การประดับตกแตง่ ดอกไม้ในงานต่างๆ ฯลฯ ๗. การผลติ ผา้ เช่น ผ้าทอ ผ้าบาติก ฯลฯ ๘. การเกษตร เช่น การปลกู ลองกอง ปาล์ม สม้ โชกนุ ทเุ รียน ยางพารา ฯลฯ ๙. การเล้ียงปลา เช่น การเล้ียงปลาในกระชัง การเลี้ยงกวาง การเล้ียงไก่ การเลี้ยงหมู การเล้ียงโค การเล้ียงปลาดุก ฯลฯ ๑๐. การเสรมิ สวย เช่น การตดั ผม การแต่งหนา้ การทำเล็บ ฯลฯ ๑๑. การรักษาโรค เช่น การรักษาโรคแผนโบราณ การรักษาโรคแผนไทย การนวดแผนไทย การนวดแผนโบราณ ยาสมุนไพรรักษาโรคริดสีดวงทวาร ยาสมุนไพรรักษาโรคผิวหนัง ยาสมุนไพรรักษาโรค ปวดฟนั การรกั ษาพษิ จากงูกดั ฯลฯ ๑๒. ดนตรี เชน่ องั กะลุง ดนตรไี ทย เพลงนา ฯลฯ ๑๓. การแสดง เช่น มโนราห์ ลิเกป่า กลองยาว หนังตะลุง รองเง็ง รำกลองยาว อังกะลุง ดนตรีไทย เพลงบอก เพลงกล่อมเดก็ เพลงแหล่ ฯลฯ ๑๔. ยาปราบศตั รูพชื เช่น การใชส้ มนุ ไพรฆ่าแมลง ฯลฯ ๑๕. พธิ ีกร เช่น พธิ กี รทางศาสนา พิธีกรงานมงคล พธิ ีกรงานอวมงคล ฯลฯ สำนกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษากระบ่ี ๔๖
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129