Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

P.4

Published by janvisitk022532, 2019-05-14 03:03:23

Description: P.4

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรียนรู้ “รายวชิ าเพิ่มเติม การป้องกนั การทุจรติ ” ระดบั ประถมศกึ ษาชน้ั ปีท่ี 4 ชดุ หลกั สูตรตา้ นทจุ รติ ศึกษา (Anti - Corruption Education) สานักงานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ ร่วมกบั สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2561

ก คานา ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ได้กาหนดยุทธศาสตร์ที่ 1 สร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต อันมีกลยุทธ์ว่าด้วยเรื่องของการปรับฐานความคิดทุก ช่วงวัยต้ังแต่ปฐมวัยให้สามารถแยกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ส่งเสริมให้มีระบบ และกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมเพ่ือต้านทุจริต ประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเครื่องมือ ต้านทุจริต เสริมพลังการมีส่วนร่วมของชุมชน (Community) และบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อต่อต้านการทุจริต คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) จึงได้มีคาสั่งแต่งต้ัง คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริต ข้ึน เพอื่ ศึกษา วิเคราะห์ และรวบรวมข้อมูล กาหนดแนวทางและขอบเขตในการจัดทาหลักสูตร ยกร่างและจัดทา เน้ือหาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ พิจารณาให้ความเห็นเพิ่มเติม กาหนดแผนหรือ แนวทางการนาหลักสูตรไปใช้ในหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง และดาเนินการอื่น ตามท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการ ทุจริตได้ร่วมกันสร้างหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา : Anti-Corruption Education ประกอบด้วย ๕ หลักสูตร ดงั น้ี ๑. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพ่ิมเติม การป้องกันการทุจริต) ๒. หลักสูตรอุดมศึกษา (วัย ใส ใจสะอาด “Youngster with good heart”) ๓. หลักสูตรตามแนวทางรับราชการ กลุ่มทหารและตารวจ ๔. หลักสูตรสรา้ งวทิ ยากรผูน้ าการเปลยี่ นแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต และ ๕. หลักสูตรโค้ชเพ่ือการรู้คิด ต้านทุจรติ หลักสตู รดังกล่าวไดผ้ า่ นกระบวนการนาไปทดลองใช้ เพื่อปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ สาหรับการใช้ ในกลุ่มเป้าหมายต่อไป นอกจากน้ี คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการ เรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริตยังได้คัดเลือกส่ือการเรียนรู้ จากแหล่งต่าง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อประกอบการเรียนการสอนต่อไป สานักงาน ป.ป.ช. หวังเป็นอย่างย่ิงว่าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา : Anti-Corruption Education จะ สร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะให้แก่ผู้เรียนหรือผู้ผ่านการอบรมในเร่ือง การคิดแยกแยะระหว่าง ผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ความอายและความไม่ทนต่อการทุจริต STRONG : จิตพอเพียง ตา้ นทุจรติ และพลเมอื งกบั ความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คม เพื่อร่วมกันปอ้ งกันหรือตอ่ ต้านการทุจริต มิให้มีการทุจริต เกิดข้ึนในสงั คมไทย รว่ มสร้างสังคมไทยทไี่ มท่ นตอ่ การทจุ ริตต่อไป พลตารวจเอก (วัชรพล ประสารราชกิจ) ประธานกรรมการ ป.ป.ช. 14 มีนาคม ๒๕๖๑

สารบญั หน้า โครงสรา้ งรายวิชา 1 หน่วยท่ี 1 การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม 2 หนว่ ยท่ี 2 ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต 39 หนว่ ยที่ 3 STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการทุจรติ 80 หนว่ ยที่ 4 พลเมืองกบั ความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม 116 ภาคผนวก 135 คาส่ังแต่งต้ังคณะอนกุ รรมการจัดทาหลกั สูตรหรอื ชุดการเรียนร้แู ละ 136 สื่อประกอบการเรยี นรู้ ด้านการปอ้ งกันการทุจริต สานกั งาน ป.ป.ช. รายชือ่ คณะทางานจดั ทาหลกั สตู รหรือชุดการเรียนรแู้ ละส่ือประกอบการเรียนรู้ 139 ดา้ นการปอ้ งกนั การทุจริต กลุ่มการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน รายช่ือคณะบรรณาธิการกจิ หลกั สูตรหรอื ชุดการเรยี นรแู้ ละสอื่ ประกอบการเรียนรู้ 142 ดา้ นการป้องกนั การทจุ ริต กลุ่มการศึกษาขน้ั พื้นฐาน รายชือ่ คณะผู้ประสานงานการจดั ทาหลักสตู รหรือชุดการเรียนรแู้ ละสอ่ื ประกอบการเรียนรู้ 144 ดา้ นการป้องกันการทจุ รติ กลุ่มการศึกษาขน้ั พื้นฐาน สานกั งาน ป.ป.ช.

โครงสร้างรายวชิ า ระดบั ประถมศกึ ษาชั้นปีที่ 4 ลาดับ หนว่ ยการเรียนรู้ เร่อื ง รวมช่ัวโมง 14 1. การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ - การคดิ แยกแยะ 10 สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม - ระบบคดิ ฐาน 2 6 - ระบบคดิ ฐาน 10 10 40 - ความแตกต่างระหวา่ งจริยธรรมและ การทุจริต - ประโยชน์สว่ นตนและประโยชน์ สว่ นรวม 2. ความละอายและความไมท่ นต่อการ - การทาการบา้ น ทจุ รติ - การทาเวร - การสอบ - การแต่งกาย - กจิ กรรมนักเรียน (ภายใน รร.) - การเข้าแถว 3. STRONG / จติ พอเพยี งต่อต้านการ - การดารงชีวิตตามหลกั ปรัชญาของ ทจุ รติ เศรษฐกจิ พอเพยี ง - ความโปร่งใส - ความตืน่ รู้ / ความรู้ - ตา้ นทุจริต - มงุ่ ไปข้างหน้า - ความเอื้ออาทร 4. พลเมืองกับความรับผดิ ชอบต่อสงั คม - เรอื่ งการเคารพสิทธิหนา้ ที่ตอ่ ตนเอง และผอู้ นื่ ที่มีต่อครอบครวั - ระเบยี บ กฎ กติกา กฎหมาย - ความรับผิดชอบ (ต่อชุมชน) - ความเป็นพลเมือง รวม

-2- หนว่ ยที่ ๑ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตน และผลประโยชน์สว่ นรวม

-3- แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ ๑ ชือ่ หน่วย การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๑ เร่อื ง การคิดแยกแยะ เวลา ๓ ช่ัวโมง ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ มีความรคู้ วามเขา้ ใจเก่ยี วกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม ๑.๒ สามารถคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชน์สว่ นรวมได้ ๒. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๒.๑ นกั เรยี นสามารถอธบิ ายความหมายของผลประโยชน์สว่ นตนได้ ๒.๒ นกั เรียนสามารถอธิบายความหมายของผลประโยชน์สว่ นรวมได้ ๒.๓ นกั เรยี นสามารถคดิ แยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ ประโยชน์ส่วนตน หมายถึง การท่ีบุคคลทั่วไปในสถานะเอกชนหรือเจ้าหน้าท่ี ของรัฐได้ทากิจกรรม หรือได้กระทาการต่าง เพ่ือประโยชน์ส่วนตน ครอบครัว ญาติ เพ่ือน หรือ ของกลุ่มในสังคมท่ีมีความสัมพันธ์ กันในรูปแบบต่าง เช่น การประกอบอาชีพ การทาธุรกิจ การค้า การลงทุน เพื่อหาประโยชน์ในทางการเงิน หรือในทางทรัพยส์ นิ ตา่ ง เปน็ ตน้ ประโยชน์ส่วนรวม หมายถึง การท่ีบุคคลใด ในสถานะท่ีเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ผู้ดารงตาแหนง ทาง การเมือง ขาราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือเจาหนาที่ของรัฐในหน่วยงานของรัฐ) ไดกระทาการใด ตาม หน้าที่ หรือไดปฏิบัติหน้าท่ีอ่ืนเป็นการดาเนินการ อีกส่วนหนึ่งที่แยกออกมาจากการดาเนินการตามหน้าที่ใน สถานะของเอกชน การกระทาการใด ตามหนาท่ีหรือการปฏิบัติหนาท่ีของเจาหนาท่ีของรัฐจึงมีวัตถุประสงค์ หรือมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม หรือการรักษาประโยชน สวนรวมที่เป็นประโยชน์ของรัฐ การทา หน้าที่ของเจาหนาที่ของรัฐจึงมีความเกี่ยวข้องเช่ือมโยงกับอานาจหน้าที่ตามกฎหมายและจะมีรูปแบบของ ความสัมพันธ์หรือมีการกระทาในลักษณะต่าง กันท่ีเหมือนหรือคล้ายกับการกระทาของบุคคลในสถานะ เอกชน เพียงแตก่ ารกระทาในสถานะทเี่ ป็นเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐกับการกระทาในสถานะเอกชน จะมีความแตกต่าง กันที่วัตถุประสงค์ ๓.๒ ทกั ษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทเ่ี กิด) ๑) ความสามารถในการเขียน ๒) ความสามารถในวิเคราะห์แยกแยะ ๓.๓ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๑) ใฝเ่ รียนรู้ ๒) มงุ่ ม่ันในการทางาน ๓) ซ่ือสตั ยส์ จุ ริต ๔) มวี ินยั

-4- ๔. กจิ กรรมในการเรียนรู้ ๔.๑ ข้นั ตอนการเรยี นรู้ ๑) ชว่ั โมงที่ ๑ ๑. ครูถามนกั เรียนวา่ อะไรบา้ งท่เี ป็นของส่วนตวั แลว้ ให้นักเรียนช่วยกนั บอก ๒. ครถู ามนักเรยี นว่าอะไรบา้ งท่ีเป็นของสว่ นรวม แล้วให้นักเรียนช่วยกนั บอก ๓. ครูอธิบายสิ่งของท่ีเป็นของส่วนรวม นักเรียนไม่ควรนามาเป็นของส่วนตัว แต่จาเป็น ต้อง ช่วยกันดแู ลรกั ษา เพราะของส่วนรวมนนั้ มีประโยชน์ตอ่ ตวั นกั เรียนและคนอนื่ ด้วย และนักเรียนก็เป็นเจ้าของ รว่ มกบั คนอืน่ ด้วยเชน่ กัน ๔. ครใู หน้ กั เรยี นชม วดี ีทัศน์ เรอ่ื ง นิทานเปล่ียนสี ๕. ครสู นทนากับนักเรียนเก่ียวกับ วีดีทัศน์ เร่ืองนิทานเปลี่ยนสี ถึงพฤติกรรมต่าง ท่ีเกิดข้ึนกับ ตวั ละครแตล่ ะตวั แลว้ สรุป ๒) ชวั่ โมงที่ ๒ ๑. ครูถามนกั เรียนเกีย่ วกับพฤตกิ รรมใดท่เี ป็นผลประโยชนส์ ว่ นตน แลว้ ให้นกั เรยี นชว่ ยกนั บอก ๒. ครถู ามนกั เรียนเกีย่ วกบั พฤตกิ รรมใดที่เป็นผลประโยชน์สว่ นรวม แลว้ ใหน้ ักเรยี นชว่ ยกันบอก ๓. ครอู ธบิ ายความหมายผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ๔. นักเรยี นและครูรว่ มกนั สนทนาเกีย่ วกบั พฤติกรรมใดเป็นผลประโยชนส์ ว่ นตน กบั พฤติกรรม ใดเป็นผลประโยชน์ส่วนรวม ๕. นกั เรียนสรปุ ความรู้โดยการทาใบงานเรื่อง ความหมายประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์ ส่วนรวม ๖. ครใู หน้ ักเรียนแบ่งกลุ่มแล้วแจกบัตรคาผลประโยชน์ส่วนตน กับผลประโยชน์ส่วนรวมให้แต่ ละกลุ่มโดยบัตรคาในแต่ละกลุ่มจะมีสีไม่เหมือนกัน ครูแบ่งคร่ึงกระดาน ด้านหนึ่งเป็นผลประโยชน์ส่วนตน อีกด้านเป็นผลประโยชน์ส่วนรวม ครูให้เวลาเด็ก 5 นาทีในการนาบัตรคามาติดให้ถูกต้อง กลุ่มไหนติดได้ ถกู ตอ้ งมากทีส่ ุดชนะ ๗. เมอื่ หมดเวลาให้นบั จานวนคา และประกาศกลุ่มท่ผี ชู้ นะ ๘. นกั เรยี นสรุปความรูโ้ ดยการทาแผนผงั ความคดิ เรือ่ ง ผลประโยชนส์ ว่ นตน กบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม และนาไปติดปา้ ยนิเทศ ๔.๒ สอื่ การเรียนรู้ / แหล่งเรยี นรู้ ๑) บัตรคา ๒) วดี ีทศั น์ เร่ือง นทิ านเปล่ียนสี ๕. การประเมนิ ผลการเรียนรู้ ๕.๑ วิธกี ารประเมนิ ๑) สังเกตการตอบคาถาม ๒) ตรวจผลงาน ๕.๒ เครือ่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ ๑) แบบสังเกตการตอบคาถาม ๒) แบบประเมินผลงาน ๕.๓ เกณฑ์การตัดสนิ ผ่านการประเมินร้อยละ ๘๐

-5- 6. บันทึกหลังการจดั การเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ.......................................ครูผู้สอน (.........................................)

-6- ใบงาน เรื่อง ความหมายผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชนส์ ่วนรวม ช่ือ.........................................................................................................ชั้น............ ..............เลขท.ี่ ................. ประโยชนส์ ว่ นตนหมายถึง............................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ....................................................................................... ................................................................................. ตวั อย่างพฤตกิ รรมทีเ่ ปน็ ผลประโยชนส์ ว่ นตน เชน่ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ประโยชน์สว่ นรวมหมายถงึ .......................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................... ....................................................................................... ................................................................................. ............................................................................................................................. ........................................... ตัวอยา่ งพฤติกรรมทเ่ี ป็นผลประโยชนส์ ่วนรวม เช่น ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ...........................................

-7- ใบงาน เรื่อง แยกแยะผลประโยชนส์ ่วนตน กับผลประโยชน์ส่วนรวม ชื่อ.........................................................................................................ชั้น............ ..............เลขที.่ ................. ประโยชน์ สว่ นตน ประโยชน์ สว่ นรวม

-8- บัตรคา ผลประโยชนส์ ่วนตน เดนิ ขายพวงมาลยั บนถนน ขับรถยอ้ นศร ทงิ้ ขยะบนพืน้ แซงคิว จอดรถข้างทางบนถนน ตดิ ปา้ ยโฆษณาขา้ งถนน หลวงเพอื่ ซื้อของ ขับมอเตอร์ไซตบ์ นทางเทา้ ขายของบน กรอกน้าทีโ่ รงเรยี น ผลนปาระรโทถยชรานางส์ ช่วเนทกร้าวามรไป ไปใชท้ บ่ี ้าน ใชส้ ว่ นตวั ทิ้งขยะลงถัง ไม่จอดรถในทีห่ ้ามจอด ไมจ่ อดรถซ้ือสนิ คา้ ข้างทาง ผลประโยชนส์ ่วนรวม ขายสนิ คา้ ในสถานทที่ ี่ เข้าควิ ราชการก้าหนด เบี่ยงรถเข้าขา้ งทางเพ่ือให้ รถพยาบาลไปก่อน

-9- คาชแ้ี จง แบบสังเกตการตอบคาถาม ทาเครือ่ งหมาย  ลงในชอ่ งระดบั คะแนนพฤติกรรมท่นี ักเรียนปฏบิ ตั ิดังนี้ ระดับ 3 หมายถึง แสดงพฤติกรรมใหเ้ หน็ มาก ระดบั 2 หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมให้เหน็ ปานกลาง ระดับ 1 หมายถึง แสดงพฤตกิ รรมให้เห็นน้อย พฤตกิ รรม/ การ ระดบั คะแนน สนใจและตงั้ ใจ ตอบคาถามได้ ตอบคาถาม รวม ประ ฟังคาถาม ตรงประเดน็ อยา่ งสม่าเสมอ คะ ลาดับ แนน เมิน หมายเหตุ ท่ี 321 321 ผล ชื่อ-สกลุ 321 ผา่ น ไม่ ผ่าน 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. เกณฑ์การประเมนิ คะแนนตั้งแต่ 4 – 9 ผา่ น 8 - 9 = ดี 6 - 7 = ปานกลาง 4 - 5 = พอใช้ คะแนนต่ากวา่ 4 ไมผ่ า่ น

- 10 - คาช้แี จง แบบประเมินผลงาน เรื่อง ผลประโยชน์ส่วนตนกบั ผลประโยชน์สว่ นรวม ทาเคร่ืองหมาย  ลงในชอ่ งระดบั คะแนนพฤติกรรมท่นี ักเรยี นปฏิบัตดิ งั นี้ ระดบั 3 หมายถึง แสดงพฤติกรรมใหเ้ ห็นมาก ระดับ 2 หมายถึง แสดงพฤติกรรมให้เหน็ ปานกลาง ระดับ 1 หมายถงึ แสดงพฤติกรรมให้เห็นน้อย การ หวั ขอ้ ประเมนิ ความถูกต้อง ความ ความคดิ รวม ประ ลาดับ 321 เรียบรอ้ ย สร้างสรรค์ คะ แนน เมนิ หมายเหตุ ท่ี ระดับคะแนน 321 321 ผล ชื่อ-สกลุ ผา่ น ไม่ 1. ผา่ น 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. เกณฑ์การประเมนิ คะแนนต้ังแต่ 4 – 9 ผ่าน 8 - 9 = ดี 6 - 7 = ปานกลาง 4 - 5 = พอใช้ คะแนนต่ากวา่ 4 ไมผ่ ่าน

- 11 - แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยที่ ๑ ชอื่ หน่วยการคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ เร่ือง ระบบคิดฐาน ๒ เวลา ๓ ชวั่ โมง ๑. ผลการเรยี นรู้ ๑.๑ มีความรคู้ วามเข้าใจเกย่ี วกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชน์สว่ นรวม ๑.๒ สามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวมได้ ๒. จุดประสงค์การเรยี นรู้ ๒.๑ นักเรียนสามารถแยกผลประโยชนส์ ่วนตนออกจากผลประโยชนส์ ว่ นรวมได้ ๒.๒ นักเรยี นสามารถตระหนักถงึ ผลประโยชน์สาธารณะมากอ่ นผลประโยชนส์ ่วนตน ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ “การปฏิบัติงานแบบใชระบบคิดฐาน ๒ (Digital)” คือ การท่ีเจาหนาที่ของรัฐ มีระบบการคิดที่ สามารถแยกเรื่องตาแหน่งหน้าท่ีกับเร่ืองส่วนบุคคลออกจากกันได้อย่างชัดเจนว่าส่ิงไหนถูกส่ิงไหนผิด สิ่ง ไหนทาไดสงิ่ ไหนทาไมไดส่ิงไหนคือประโยชนสวนบคุ คลส่ิงไหน คือประโยชนสวนรวม ไมนามาปะปนกัน ไม นาบคุ ลากรหรือทรพั ย์สนิ ของราชการมาใช้เพอ่ื ประโยชนสวนบคคลไมเ่ บียดบังราชการ เห็นแก่ ประโยชน์ สวนรวมหรือของหน่วยงานเหนือกว่าประโยชน์ของส่วนบุคคล เครือญาติและพวก พ อง ไมแสวงหา ประโยชน์จากตาแหน่งหน้าที่ราชการ ไมรับทรัพย์สินหรือประโยชนอื่นใดจากการปฏิบัติหน้าท่ี กรณีเกิด การขดั กันระหว่าง ประโยชนสวนบุคคลและประโยชนสวนรวม ก็จะยึดประโยชนสวนรวมเปน็ หลัก ๓.๒ ทักษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทเี่ กิด) ๑) ความสามารถในการเขียน ๒) ความสามารถในวเิ คราะห์แยกแยะ สรปุ ๓.๓ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ๑) ใฝเ่ รยี นรู้ ๒) มงุ่ ม่นั ในการทางาน ๔. กิจกรรมในการเรยี นรู้ ๔.๑ ขนั้ ตอนการเรียนรู้ ๑) ช่ัวโมงที่ ๑ ๑. ครูนาขา่ ว “ข่าวแกไ้ มจ่ บสแ่ี ยกกล้วยแขกทารถตดิ ผิดกฎหมาย” เลา่ ให้นักเรยี นฟงั ๒. ครซู กั ถามนกั เรยี นวา่ นักเรยี นไดอ้ ะไรบ้างจากการฟังข่าว เม่ือนักเรียนชว่ ยกันตอบเสรจ็ แลว้ ครูถามนกั เรยี นวา่ รสู้ ึกอยา่ งไรต่อขา่ ว ๓. ให้นกั เรยี นแบ่งกลุ่มเป็น ๕ กลุ่ม หรือตามความเหมาะสม ช่วยกันระดมสมองในประเด็น ตอ่ ไปน้ี ๓.๑ นกั เรียนคดิ วา่ สาเหตทุ ี่ทาใหเ้ กิดปญั หานี้ขน้ึ คืออะไร ๓.๒ นักเรยี นคิดว่าตนเองมีสว่ นรว่ มหรอื เคยมีสว่ นทาใหเ้ กดิ เหตกุ ารณ์ในภาพหรือไม่ อย่างไร ๓.๓ นักเรียนคดิ วา่ ปัญหาทีเ่ กิดข้ึนจะแกไ้ ขได้อย่างไรโดยบันทึกลงในใบงานที่ ๑ เรอ่ื ง ข่าวแก้ไม่จบส่แี ยกกล้วยแขกทารถติดผดิ กฎหมาย

- 12 - ๔. ใหแ้ ต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมานาเสนอหนา้ ชั้นเรียน และเปดิ โอกาสใหค้ นอนื่ แสดงความ คิดเห็นต่อประเดน็ ด้วย ๕. ครูเชอ่ื มโยงขา่ วแกไ้ ม่จบส่ีแยกกล้วยแขกทารถตดิ ผิดกฎหมาย วา่ คนส่วนน้อยที่เหน็ แก่ ประโยชนส์ ว่ นตนทาให้เกดิ ปัญหาอะไรตามมาบ้าง เชน่ รถติด อาจเกิดอุบตั ิเหตุ ๒) ชวั่ โมงท่ี ๒ ๑. ครูใหน้ กั เรียนดกู รณีศกึ ษาท่ี ๑ โดยครอู า่ นให้นักเรียนฟังจนจบ แลว้ ถามนกั เรียนใน ประเด็นต่อไปนี้ ๑.๑ ถา้ นกั เรียนออกไปเลน่ กับเพ่ือนจะเกิดอะไรข้ึน ๑.๒ ถ้านักเรียนอยากออกไปเลน่ กับเพื่อนจะบอกคณุ แมว่ า่ อยา่ งไร ๑.๓ ถ้านักเรยี นไม่ไปเลน่ กบั เพอ่ื นจะบอกเพื่อนวา่ อยา่ งไรเพ่อื ไม่ใหเ้ พื่อนเสียนา้ ใจ หรือไม่มาชวนเราเลน่ อีหก ๒. ครแู ละนักเรียนร่วมกนั สนทนาเรอื่ งกรณีศึกษาที่ ๑ ถึงคาตอบต่าง ๓. นักเรียนสรุปความรูล้ งในใบงานท่ี ๒ เรอ่ื ง นา่ เช่อื ถือ ๓) ชั่วโมงท่ี ๓ ๑. นกั เรียนศกึ ษาใบความรู้ เรื่อง ระบบคดิ ฐาน ๒ (Digital) ๒. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั สรุป ระบบคดิ ฐาน ๒ (Digital) ๓. ให้นกั เรียนยกตวั อยา่ งหรือพฤติกรรมที่ควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติ เช่น เปิดไฟ หอ้ งเรยี นท้ิงไว้ นักเรียนคดิ ว่าควรปฏบิ ัตหิ รอื ไม่ เพราะเหตุใด ๔. ให้นกั เรยี นทาใบงานท่ี ๓ เรื่อง ระบบคิดฐานสอง (Digital) ๕. นาผลงานนกั เรยี นไปตดิ ป้ายนิเทศ ๔.๒ สอ่ื การเรียนรู้ / แหล่งเรียนรู้ ๑) ข่าวแก้ไม่จบส่แี ยกกล้วยแขกทารถตดิ ผดิ กฎหมาย ๒) ใบงานที่ ๑ เรอื่ ง ขา่ วแก้ไมจ่ บส่ีแยกกลว้ ยแขกทารถตดิ ผิดกฎหมาย ๓) ใบงานที่ ๒ เร่ือง น่าเชอื่ ถือ ๔) ใบงานท่ี ๓ เรอ่ื ง ระบบคดิ ฐาน ๒ (Digital) ๕. การประเมินผลการเรยี นรู้ ๕.๑ วิธกี ารประเมนิ ๑) สังเกตตอบคาถาม ๒) ตรวจช้นิ งาน ๕.๒ เคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการประเมิน ๑) แบบสังเกตตอบคาถาม ๒) แบบประเมินผลงาน ๕.๓ เกณฑก์ ารตัดสนิ ผ่านการประเมินร้อยละ ๘๐

- 13 - ๖. บนั ทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ.......................................ครูผู้สอน (.........................................)

- 14 - ใบความรทู้ ่ี ๑ “ กรณีศึกษาที่ ๑ นักเรียนสัญญากับคุณแม่ว่าทุก วันจะทาการบ้านใหเ้ สรจ็ ก่อนจะ ดูทีวีหรือ ออกไปเล่นกับเพ่ือน แต่วันน้ีนักเรียนยังทาไม่เสร็จ เพื่อน มาท่ีบ้านหลายคนมาชวนไปเล่นที่บ้านเพื่อน และยังบอกว่าถ้าไม่ไป ตอนนีจ้ ะอดเล่น นกั เรียนจะทาอย่างไร”

- 15 - ใบงานท่ี ๑ เร่ือง ขา่ วแกไ้ ม่จบสแ่ี ยกกล้วยแขกทารถตดิ ผดิ กฎหมาย กลุ่มท.ี่ ........... สมาชิกกลุ่ม ๑............................................................................................................ ๒............................................................................................................ ๓............................................................................................................ ๔............................................................................................................ ๕............................................................................................................ ๖............................................................................................................ ๗........................................................................................................ .... ๘............................................................................................................ ๙............................................................................................................ ๑๐........................................................................................................... ประเดน็ การวเิ คราะห์ ๑. นกั เรยี นคิดว่าสาเหตุท่ที าให้เกดิ ปัญหานีข้ ้ึนคอื อะไร ........................................................................................................ ................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ....................................................................................... ................................................................................. ............................................................................................................................. ........................................... ๒. นักเรียนคิดวา่ ตนเองมีส่วนร่วมหรือเคยมีส่วนทาใหเ้ กิดเหตุการณใ์ นภาพหรือไมอ่ ย่างไร ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................ ................................ .................................................................................................. ...................................................................... ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ๓. นกั เรยี นคดิ ว่าปัญหาทีเ่ กิดขึ้นจะแกไ้ ขได้อย่างไร .................................................................................................................................................................... .... ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ...........................................

- 16 - ใบงานท่ี ๒ เรื่อง น่าเชอ่ื ถือ ชือ่ .........................................................................................................ชัน้ ............ ..............เลขที่.................. กรณีศกึ ษาที่ ๒ เพอ่ื นสนิทของนกั เรยี นมาปรึกษาว่า อ่านหนังสือสอบไม่ทันจึงตั้งใจที่จะแอบลอกคาตอบตอน ทาข้อสอบ เพื่อไม่ให้ครูทราบ จึงขอร้องให้เพ่ือนนักเรียนสัญญาและรักษาสัญญาว่าจะไม่บอกให้ครู ทราบ นกั เรียนจะทาอยา่ งไร ๑. หากนกั เรยี นใหส้ ัญญาจะเกิดอะไรขน้ึ บ้าง ลองคิดในหลายๆมุม .......................................................................................... .............................................................................. ....................................................................................... ................................................................................. ............................................................................................................................. ........................................... ๒. หากนักเรยี นใหส้ ัญญา จะส่งผลดีต่อเพ่อื นหรือไม่ ............................................................................................................................. ........................................... ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ๓. หากนักเรียนไมใ่ หส้ ัญญา เพื่อนของนกั เรียนจะโกรธหรือไม่ นักเรียนคดิ วา่ จะมีวธิ พี ูดกับเพื่อน อย่างไร ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... .............................................................................................................................................. .......................... ๔. ถา้ นกั เรยี นเป็นเพ่อื นท่ีดี จะมคี าแนะนาเพื่อนคนน้ีอยา่ งไรบ้าง ........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ...........................................

- 17 - ใบงานที่ ๓ เร่ือง ระบบคดิ ฐาน ๒ (Digital) ช่ือ.........................................................................................................ชั้น............ ..............เลขท่.ี ................. คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนเขยี น  หน้าพฤตกิ รรมการปฏิบัติท่ีเหมาะสม และเขียน  หนา้ พฤติกรรมการ ปฏบิ ตั ิท่ไี ม่เหมาะสม _______๑.) เด็กชายเกง่ เดินขา้ มถนนตรงทางม้าลาย _______๒.) เด็กหญิงแพร เปดิ นา้ ทิ้งไว้ _______๓.) นายพล จอดรถขวางประตเู ข้าออกบา้ นคนอื่น _______๔.) นางวิภา เทขยะลงในแม่น้าลาคลอง _______๕.) เด็กชายก้อง ช่วยเพ่ือนทาความสะอาดห้องเรียน _______๖.) นางพร เด็ดดอกไม้สวนสาธารณะมาปกั แจกันท่บี า้ นตนเอง _______๗.) นายแกว้ ช่วยขุดลอกคลองในชุมชน _______๘.) เด็กหญิงพลอย ช่วยเกบ็ ขยะในห้องเรยี น _______๙.) มูลนิธปิ อเต๊กตึ๊ง ช่วยเกบ็ ศพตามสถานทีเ่ กิดเหตุ _______๑๐.) นายชชั วาล ขบั รถชนคนแล้วหนี

- 18 - แบบประเมินพฤติกรรมการทางานกลมุ่ กลุ่ม .......................................................................................................... สมาชิกในกลุ่ม 1. ...................................................................... 2. ...................................................................... 3. ...................................................................... 4. ...................................................................... 5. ...................................................................... 6. ...................................................................... 7. ...................................................................... 8. ...................................................................... 9. ...................................................................... 10. ...................................................................... คาชี้แจง : ใหน้ ักเรียนทาเครือ่ งหมาย  ในชอ่ งทต่ี รงกบั ความเป็นจริง พฤตกิ รรมทีส่ ังเกต คะแนน 1 32 1. มสี ่วนรว่ มในการแสดงความคดิ เหน็ 2. มีความกระตอื รือรน้ ในการทางาน 3. รบั ผิดชอบในงานทีไ่ ด้รบั มอบหมาย 4. มขี น้ั ตอนในการทางานอยา่ งเป็นระบบ 5. ใช้เวลาในการทางานอย่างเหมาะสม รวม เกณฑก์ ารให้คะแนน พฤติกรรมที่ทาเป็นประจา ให้ 3 คะแนน พฤตกิ รรมทที่ าเป็นบางคร้ัง ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมท่ีทานอ้ ยครง้ั ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารให้คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ 13-15 ดี 8-12 ปานกลาง 5-7 ปรับปรุง

- 19 - แบบประเมนิ ผลงาน เรือ่ ง ข่าวแก้ไมจ่ บส่แี ยกกล้วยแขกทารถตดิ ผดิ กฎหมาย คาชแ้ี จง ทาเครือ่ งหมาย  ลงในชอ่ งระดับคะแนนพฤติกรรมทนี่ ักเรียนปฏบิ ตั ดิ งั น้ี ระดบั 3 หมายถึง แสดงพฤตกิ รรมใหเ้ หน็ มาก ระดบั 2 หมายถึง แสดงพฤตกิ รรมให้เห็นปานกลาง ระดับ 1 หมายถึง แสดงพฤติกรรมให้เห็นนอ้ ย การ หวั ขอ้ ประเมนิ ความถกู ตอ้ ง ความ ความคิด รวม ประ ลาดบั 321 เรยี บรอ้ ย สรา้ งสรรค์ คะ แนน เมนิ หมายเหตุ ที่ ระดับคะแนน 321 321 ผล ชื่อ-สกุล ผา่ น ไม่ 1. ผา่ น 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. เกณฑ์การประเมนิ คะแนนตั้งแต่ 4 – 9 ผ่าน 8 - 9 = ดี 6 - 7 = ปานกลาง 4 - 5 = พอใช้ คะแนนต่ากว่า 4 ไมผ่ า่ น

- 20 - แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยท่ี ๑ ชอ่ื หน่วย การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม ช้นั ประถมศึกษาปีที่ ๔ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๓ เร่ือง ระบบคิดฐาน ๑๐ เวลา ๓ ชวั่ โมง ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ มีความรูค้ วามเข้าใจเก่ยี วกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ๑.๒ สามารถคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๒. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ๒.๑ นกั เรยี นสามารถแยกผลประโยชน์ส่วนตนออกจากผลประโยชนส์ ว่ นรวมได้ ๒.๒ นักเรียนเกิดตระหนกั ถึงผลประโยชน์สาธารณะมาก่อนผลประโยชนส์ ว่ นตน ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ การปฏิบัติงานแบบใช้ระบบคิดฐาน ๑๐ (Analog) คือ การท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐยังมีระบบการคิดท่ีนา ประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์สว่ นรวมมาปะปนกันไปหมด แยกแยะไมอ่ อกว่าส่ิงไหนคือประโยชน์สว่ นตน ส่ิงไหน คือประโยชน์ส่วนรวม นาสิ่งของราชการมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน เบียดบังราชการ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เหนือกว่าประโยชน์ส่วนรวมหรือของหน่วยงาน จะคอยแสวงหาประโยชน์จากตาแหน่งหน้าที่ราชการเพ่ือตนเอง เครือญาติ หรือพวกพ้อง กรณีเกิดการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมจะยึดประโยชน์ส่วน ตนเปน็ หลัก ๓.๒ ทกั ษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทีเ่ กดิ ) ๑) ความสามารถในการเขยี น ๒) ความสามารถในวิเคราะห์แยกแยะ สรปุ ๓.๓ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ๑) ใฝเ่ รยี นรู้ ๒) มุ่งม่ันในการทางาน ๓) ซื่อสัตยส์ จุ ริต ๔) มีวินัย ๔. กิจกรรมในการเรยี นรู้ ๔.๑ ข้ันตอนการเรยี นรู้ ๑) ช่วั โมงท่ี ๑ ๑. ครมู อบหมายให้นักเรียน 1 กลมุ่ รับบทบาทเป็นผดู้ าเนนิ รายการ “หอ้ งเรียนสีขาว” ตอน “นมโรงเรียน” โดยใหบ้ ทไปฝึกซ้อมลว่ งหน้า 1 สัปดาห์ ๒. ครเู กรนิ่ นาถึงเร่อื งประโยชนข์ องการดม่ื นม ๓. ครใู ห้นักเรยี นกลุ่มที่ไดร้ ับมอบหมายออกมาแสดงหนา้ ชั้นเรยี นตามบทท่ีมอบให้ ๔. หลังจบรายการ ให้ตั้งคาถามกับนักเรียนในประเด็นต่อไปนี้ ๔.๑ นกั เรยี นรู้สึกอยา่ งไรต่อรายการทีเ่ พง่ิ รบั ชมจบไป

- 21 - ๔.๒ ปัญหาทเ่ี กดิ ขึ้นกบั เร่ือง “นมโรงเรียน” มีอะไรบา้ ง ๔.๓ ปัญหาเร่อื งนมโรงเรียนมีสาเหตุมาจากอะไร ๔.๔ ถา้ นักเรยี นอยใู่ นโรงเรียนที่ประสบปญั หาดังกล่าว นกั เรยี นจะรูส้ กึ อย่างไร ๔.๕ นักเรียนคิดวา่ ถ้าผูใ้ หญ่เห็นประโยชน์ส่วนตนมากกวา่ ส่วนรวม และปญั หานไ้ี มไ่ ดร้ ับการ แก้ไข จะเกิดอะไรข้ึนบา้ งในอนาคต ๕. ครสู รุปคาตอบของนักเรียน และเช่ือมโยงวา่ ปัญหาของประเทศชาติมากมายที่เกดิ จากการ ทุจรติ คอรร์ ัปช่นั ของผ้ทู ี่เห็นแกป่ ระโยชน์ส่วนตน มากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ๒) ชั่วโมงท่ี ๒ ๑. ครูให้นักเรียนศึกษาใบความรู้ เรอ่ื ง ตัวอย่างคิดแบบระบบฐาน ๑๐ ๒. ครแู ละนักเรยี นร่วมกันสนทนา เกี่ยวกับระบบคดิ ฐาน ๑๐ ท่ไี ดศ้ ึกษาจากใบความรู้ ๓. ครูใหน้ ักเรยี นแบง่ กลุ่ม ๕ กลมุ่ ช่วยกันระดมความคิด แล้วทาใบงาน เร่ือง ระบบคิดฐาน ๑๐ ๔. ให้แตล่ ะกล่มุ สง่ ตวั แทนมานาเสนอหน้าชัน้ เรยี น ละเปิดโอกาสให้คนอนื่ แสดงความคิดเห็นร่วม ด้วย ๓) ชว่ั โมงที่ ๓ ๑. ใหน้ กั เรียนแบ่งกลมุ่ เป็น ๕ กลุ่ม ใหแ้ ต่ละกลุม่ แตง่ เนอ้ื เร่ือง และแสดงบทบาทสมมติ เก่ยี วกับ ระบบคดิ ฐาน ๑๐ ในแตล่ ะอาชีพต่าง ดงั นี้ กลุ่มที่ ๑ ครู กล่มุ ที่ ๒ ทหาร กลมุ่ ที่ ๓ ตารวจ กลมุ่ ที่ ๔ พยาบาล กลมุ่ ที่ ๕ คนขับแท็กซ่ี ๒. ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายการแสดงบทบาทสมมติของแตล่ ะกลุ่ม ในระบบคดิ ฐาน ๑๐ ๔.๒ ส่อื การเรียนรู้ / แหล่งเรียนรู้ ๑) บทสนทนาสาหรบั รายการห้องเรียนสีขาว ๒) ใบความรู้ ระบบคิดฐาน ๑๐ และระบบคิดฐาน ๒ ๓) ใบความรู้ ตัวอยา่ งคดิ ฐาน ๑๐ สานกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสุข ๕. การประเมินผลการเรียนรู้ ๕.๑ วธิ กี ารประเมนิ สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่ ๕.๒ เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการประเมิน แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่ ๕.๓ เกณฑ์การตัดสิน ผ่านการประเมินร้อยละ ๘๐

- 22 - ๖. บนั ทึกหลังการจดั การเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ.......................................ครผู สู้ อน (.........................................)

- 23 - บทสนทนาสาหรับรายการ “หอ้ งเรยี นสีขาว” ตอน “นมโรงเรยี น” ผดู้ าเนินรายการ 1 : สวัสดคี ่ะทา่ นผู้ชม วนั นี้รายการหอ้ งเรยี นสีขาวมาพบกบั ทกุ ทา่ นอีกคร้งั แล้ว นะคะ วนั นี้มีเหตกุ ารณ์ที่ไม่ควรเกดิ ขนึ้ ในโรงเรียนอีกแล้ว ผ้ดู าเนนิ รายการ ๒ : เหตกุ ารณด์ ังกล่าวไดเ้ กดิ ข้นึ หลายคร้งั แล้ว และส่งผลกระทบกับโรงเรยี น ระดบั ก่อนประถมศึกษาและประถมศกึ ษาทวั่ ประเทศนะคะ ผดู้ าเนินรายการ 1 : นนั่ คอื ปญั หาเรอ่ื ง “นมโรงเรียน” ค่ะ นมโรงเรยี นเปน็ โครงการทเ่ี กดิ ขึ้น เพื่อพฒั นาร่างกายของนักเรียนใหม้ ีสุขภาพสมบรู ณ์แข็งแรง มีน้าหนักและ ส่วนสงู ตามวยั อีกด้วย ผู้ดาเนินรายการ ๒ : และยังเปน็ การปลกู ฝงั นสิ ัยการดื่มนมให้แก่เดก็ ๆ อีกด้วยนะคะ ดูๆแล้วเปน็ โครงการท่ีมีประโยชน์มากค่ะ แล้วเกดิ อะไรขนึ้ เหรอคะ ถงึ ได้กลายเป็น ปญั หาขึน้ มาได้ ผู้ดาเนินรายการ 1 : ก็มผี ใู้ หญบ่ างคนสิคะ เหน็ แก่ประโยชน์ของตนเองมากกว่าสว่ นรวมใช้ ผลติ ภัณฑ์คณุ ภาพต่า เชน่ นาหางนมมาผสมนา้ มาบรรจถุ ุงให้นักเรียนดืม่ ซงึ่ เป็นนมท่ไี มม่ คี ณุ ภาพ นอกจากนี้การขนสง่ ทีไ่ มไ่ ด้มาตรฐาน เช่น ไมม่ กี าร รกั ษาคณุ ภูมิทด่ี พี อ ทาให้นกั เรยี นตอ้ งดื่มนมบูดๆ ผู้ดาเนนิ รายการ ๒ : เหตกุ ารณ์ที่วา่ น้ีเกดิ ข้ึนท่ีโรงเรียนประจาจงั หวดั แหง่ หนึ่งค่ะ หลังด่ืมนมเข้าไป เด็กๆ กม็ ีอาการเวยี นศีรษะ อาเจียน จนตอ้ งเขา้ โรงพยาบาล โชคดีตอนน้ีเดก็ ทุกคนอยู่ในภาวะปลอดภัยแล้วค่ะ ผู้ดาเนนิ รายการ 1 : เปน็ เหตุการณ์ที่ควรไดร้ ับการแก้ไขด่วนนะคะ เพราะเปน็ เรอ่ื งท่ีมีผลต่อ ร่างกายและสมองของเด็ก และท่สี าคญั คะ่ เดก็ ในวันนคี้ ือผูใ้ หญ่ในวันหน้า เดก็ จึงควรได้รบั การพฒั นาอย่างเตม็ ที่ เพราะจะเป็นกาลังสาคญั ในการ พัฒนาประเทศ ผดู้ าเนนิ รายการ ๒ : หวงั ว่าเรือ่ งราวเหลา่ น้ี จะทาให้ผ้ใู หญ่บางคนได้ฉุกคดิ ถงึ ความสาคญั ของ ประโยชนเ์ พื่อส่วนรวมมากขึ้นนะคะ และขอใหก้ ารทุจรติ คอรปั ชนั หมดไป จากประเทศของเราเสยี ที ผู้ดาเนนิ รายการ 1 : แล้วพบกันใหม่กบั เรอ่ื งราวที่เราจะนามาฝากในครั้งต่อไปนะคะ สาหรับวันน้ี เราสองคนต้องลาไปก่อน ผดู้ าเนินรายการ 1-๒ : สวัสดีคะ่ /สวัสดีครบั

- 24 - ใบความรู้ เรอ่ื ง ระบบคดิ ฐาน ๑๐ และ ระบบคดิ ฐาน ๒ Analog Digital ระบบคิดฐานสิบ ระบบคิดฐานสอง ใชน้ ้าประปาหลวง ไม่ใชน้ ้าประปาหลวง ลา้ งรถส่วนตัว ลา้ งรถสว่ นตวั นารถยนตห์ ลวงมาใช้ใน ไม่นารถยนต์หลวงมาใชใ้ น ธรุ ะส่วนตัว ธุระสว่ นตวั นาอุปกรณ์ไฟฟ้าส่วนตัวมา ไม่นาอุปกรณ์ไฟฟา้ สว่ นตัว ชารต์ ทที่ างาน มาชารต์ ทท่ี างาน นาวสั ดคุ รภุ ัณฑห์ ลวงไป ไม่นาวสั ดุครภุ ัณฑ์หลวงไป ใช้ส่วนตวั ใชส้ ว่ นตัว ใชโ้ ทรศัพทห์ ลวงในเรอ่ื ง ไม่ใช้โทรศพั ทห์ ลวงในเร่อื ง ส่วนตัว ส่วนตัว รับของขวญั จากผู้มา ไม่รับของขวัญจากผูม้ าติดต่อ ติดตอ่ ราชการ ราชการ

- 25 - ใบความรู้ ตวั อยา่ งคดิ แบบระบบฐาน ๑๐ สานกั งานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตอน “คนหลวงใชเ้ งินหลวง” นางวันดี ตาแหน่งเจ้าพนักงานสาธารณสุขปฏิบัติงาน ได้รับแต่งต้ังให้เป็นกรรมการเก็บรักษาเงิน และเป็นเจา้ หน้าท่ีการเงินรับผิดชอบงานการเงินและบัญชี และมีอานาจลงนามในใบถอนเงินร่วมกับเจ้าหน้าท่ีราย อื่น นางวันดีได้ถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของสถานีอนามัย นาไปใช้จ่ายในเร่ืองส่วนตัว จานวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาได้นาเงินดังกล่าวมาคืนให้กับทางราชการแล้ว และพบว่ามีการเบิกจ่ายเงินโดยไม่มีเอกสาร หลักฐาน ประกอบการจ่ายเงินจานวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท นางวันดีให้การรับสารภาพว่าตนได้จัดทาเอกสารหลักฐาน ประกอบการเบิกจ่ายเท็จข้ึนมาใหม่เพ่ือให้มีจานวนเงินคงเหลืออยู่จริงตามรายงานงบเดือนส่งให้สานักงาน สาธารณสุขอาเภอเพื่อประกอบการจัดทาบัญชีเกณฑค์ งคา้ ง พฤติการณ์ของนางวันดี ดังกล่าว เป็นการกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานปฏิบัติหรือละเว้นการ ปฏิบัติหน้าท่ีราชการโดยทุจริต ตามมาตรา 85(1) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ลงโทษไล่ออกจากราชการ ตอน “ยกั ยอกยา” นายยา ตาแหน่งเภสัชกรปฏิบัติการ ได้ยักยอกยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีฟรีดรีน ที่ตนดาเนินการ สง่ั ซอื้ จากบริษัทยาของเอกชน รวมจานวน 200,000 เม็ด โดยยาดังกล่าวจานวน 50,000เม็ด ได้มีการสั่งซ้ือใน นามของโรงพยาบาลและนาเข้าคลังยาของโรงพยาบาลตามระบบ ส่วนอีกจานวน 150,000 เม็ดนั้น ได้ส่ังซ้ือใน นามของโรงพยาบาลแตน่ ายาเข้าร้าน และจา่ ยเงินเอง โดยการสั่งซ้ือยาได้ทาการปลอมลายมือช่ือของผู้อานวยการ โรงพยาบาลเพือ่ ใช้เป็นหลักฐานในการส่ังซ้อื ยาและไดน้ ายาดงั กล่าวไปขายให้แกบ่ ุคคลภายนอก พฤติการณ์ของนายยาดังกล่าว เป็นการกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่ราชการโดยมิชอบเพ่ือให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้หน่ึงผู้ใด หรือ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าท่ีราชการโดยทุจริต ตามมาตรา 85(1) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ลงโทษ ไลอ่ อกจากราชการ

- 26 - กลุม่ ท.่ี ........... ใบงาน สมาชิกกลุ่ม เร่ือง ระบบคดิ ฐาน ๑๐ ๑............................................................................................................ ๒............................................................................................................ ๓............................................................................................................ ๔............................................................................................................ ๕............................................................................................................ ๖............................................................................................................ ๗............................................................................................................ ๘........................................................................................................... . ๙............................................................................................................ ๑๐........................................................................................................... ประเดน็ การวิเคราะห์ ตอน “คนหลวงใชเ้ งินหลวง” ๑. เพราะเหตผุ ลใดคนจงึ คดิ ทจุ ริต ............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ........................................... ๒. ถ้าเป็นนกั เรยี นจะคดิ เช่นนั้นหรอื ไม่ เพราะเหตุใด ................................................................................................................................................................... ..... ............................................................................................................................. ........................................... ๓. การทุจริตจะส่งผลต่อชาติบ้านเมอื งอยา่ งไร ............................................................................................................................. ........................................... ................................................................................................................................ ........................................

- 27 - แบบประเมินพฤติกรรมการทางานกลมุ่ กลุ่ม .......................................................................................................... สมาชกิ ในกลมุ่ 1. ...................................................... 2. ........................................................ 3. ................................................... 4. ........................................................ 5. ..................................................... 6. ........................................................ 7. ...................................................... 8. ....................................................... 9. .......................................................10....................................................... คาช้ีแจง : ให้นักเรียนทาเครอ่ื งหมาย  ในช่องท่ตี รงกบั ความเปน็ จรงิ พฤติกรรมทสี่ ังเกต คะแนน 321 1. มีส่วนรว่ มในการแสดงความคดิ เห็น 2. มคี วามกระตอื รอื รน้ ในการทางาน 3. รบั ผิดชอบในงานท่ไี ดร้ บั มอบหมาย 4. มีขัน้ ตอนในการทางานอยา่ งเปน็ ระบบ 5. ใช้เวลาในการทางานอยา่ งเหมาะสม รวม เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมทที่ าเปน็ ประจา ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมท่ีทาเปน็ บางครงั้ ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมที่ทาน้อยครัง้ ให้ 1 คะแนน เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ 13-15 ดี 8-12 ปานกลาง 5-7 ปรับปรงุ

- 28 - แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยท่ี ๑ ชือ่ หน่วย การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ ๔ เรอื่ ง ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและการทจุ ริต เวลา ๓ ช่วั โมง ๑. ผลการเรียนรู้ นักเรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจเกีย่ วกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน กบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ๒. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ๒.๑ นกั เรยี นสามารถบอกความหมายของจริยธรรมได้ ๒.๒ นกั เรียนสามารถบอกความหมายของการทจุ รติ ได้ ๒.๓ นกั เรยี นสามารถบอกความแตกตา่ งระหว่างจริยธรรมและการทุจริตได้ ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ ความแตกต่างระหว่างจรยิ ธรรมและการทุจรติ ๓.๒ ทักษะ/กระบวนการ (สมรรถนะที่เกิด) ๑) ความสามารถในการส่ือสาร ๒) ความสามารถในการคิด ๓) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ ๓.๓ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ๑) ซ่ือสัตย์สจุ ริต ๔. กจิ กรรมการเรียนรู้ ๔.๑ ขน้ั ตอนการเรียนรู้ ๑) ชวั่ โมงที่ ๑ ๑. ครใู ห้นกั เรยี นชมวีดีทัศน์ เรอื่ ง “อาหารหมดอายุ ” ๒. ครูให้นกั เรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น ๕ กลุ่ม หรือตามความเหมาะสม แล้วให้นักเรียนต้ังคาถามจาก การชมวีดีทัศน์ โดยครูกาหนดคาถามให้ใช้คาว่า “ทาไม” “เพราะเหตุใด” “ผลเป็นอย่างไร” เช่น ทาไมแม่ค้าจึง นาอาหารหมดอายุมาให้นกั เรยี นรับประทาน เป็นต้น ๓. ครูให้นักเรียนศึกษาใบความรู้ เร่ือง “การทุจริต” จากนั้นครูอธิบายความหมายของการทุจริต เพม่ิ เติม ๒) ชว่ั โมงที่ ๒ ๑. ครใู ห้นักเรียนยกตัวอยา่ งของเหตกุ ารณ์หรอื การกระทาที่แสดงถึงการทจุ รติ ต่าง ในสังคมไทย ๒. ครูให้นักเรียนศึกษาใบความรู้ เรื่อง จริยธรรม จากนั้นครูอธิบายความหมายของจริยธรรม เพ่ิมเติม ๓. ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างของเหตุการณ์หรือการกระทาท่ีแสดงถึงจริยธรรมต่าง ในสังคมไทย เช่น การขับรถผิดกฎจราจร เป็นตน้

- 29 - ๔. ครูให้นักเรียนเขียนแยกการกระทาที่แสดงให้เห็นถึงการมีจริยธรรมและการกระทาที่แสดงให้ เหน็ ถงึ การทจุ ริต ลงในใบงาน เรือ่ ง ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและการทุจรติ ๕. ครูและนักเรยี นรว่ มกันสรปุ ความแตกต่างระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทจุ รติ ดังนี้ จริยธรรม หมายถึง แนวทางซ่ึงเป็นกฎเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติในส่ิงท่ีถูกต้องดีงาม และ เป็นลักษณะที่สังคมต้องการเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมส่วนรวม บุคคลที่มีจริยธรรมอยู่ในตนเอง ย่อมเปน็ ที่ยอมรบั นับถอื ของคนในสังคมและสามารถดาเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข เป็นคนที่มีคุณภาพและเป็นท่ี ยอมรบั ของสงั คมสว่ นรวม การทุจริต หมายถึง การคดโกง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต การกระทาท่ีผิดกฎหมาย เพ่ือให้เกิดความ ไดเ้ ปรยี บในการแข่งขนั การใช้อานาจหน้าที่ในทางทีผ่ ดิ เพื่อแสวงหาประโยชน์หรือให้ได้รับส่ิงตอบแทน การให้หรือ การรบั สินบน การกาหนดนโยบายท่เี อ้ือประโยชนแ์ ก่ตนหรอื พวกพ้องรวมถึงการทจุ รติ เชงิ นโยบาย ความแตกตา่ งระหว่างจริยธรรมและการทุจริต คือ จริยธรรมเป็นแนวทางซ่ึงเป็นกฎเกณฑ์ในการ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิในส่งิ ที่ถูกต้องดีงาม ส่วนการทจุ รติ คือ การคดโกง ไมซ่ ่อื สตั ยส์ จุ รติ การกระทาทีผ่ ดิ กฎหมาย ๓) ชัว่ โมงท่ี ๓ ๑. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั สนทนาความหมายของจรยิ ธรรมและการทุจรติ รว่ มกนั ๒. แบ่งกลมุ่ นกั เรียนออกเปน็ ๕ กล่มุ หรอื ตามความเหมาะสม แล้วให้นักเรียนช่วยกันเขียนคาขวัญ รณรงคต์ ่อต้านการทุจรติ ๓. ครูนาตัวอยา่ งคาขวัญติดบนกระดาน และให้นักเรียนอา่ นคาขวัญพรอ้ ม กนั ๓.๑ ทุจรติ คดิ โกงชาติ จะพินาศทั้งราษฎร์รัฐ ๓.๒ เชิดชู ซ่อื สัตย์ รว่ มกาจัดคนโกงกิน ๓.๓ รกั ชาตริ ักศกั ด์ศิ รี หยุดเสียที คอรร์ ัปชน่ั ๔. ให้นักเรยี นนาเสนอผลงานหนา้ ชนั้ เรยี น ๕. ให้นักเรียนร่วมกนั นาผลงานคาขวญั รณรงคต์ อ่ ต้านการทจุ รติ ไปเดนิ รณรงค์ภายในโรงเรยี น ๔.๒ สือ่ การเรียนรู้ ๑) วีดีทศั น์ เร่อื ง อาหารหมดอายุ ๒) ใบความรู้ เรอื่ ง การทุจริต ๓) ใบความรู้ เรื่อง จรยิ ธรรม ๔) ใบงาน เร่อื ง ความแตกตา่ งระหว่างจรยิ ธรรมและการทุจริต ๕) ตวั อย่างคาขวญั ๕) การประเมินผลการเรียนรู้ ๕.๑ วิธีการประเมิน ๑) ตรวจผลงานการทาใบงาน เร่ือง ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและการทุจรติ ๒) สังเกตพฤติกรรมซอ่ื สัตย์สจุ ริต ๓) ตรวจผลงานการเขยี นคาขวญั ๕.๒ เครือ่ งมอื ทีใ่ ช้ในการประเมิน ๑) แบบใหค้ ะแนนการตรวจผลงานใบงาน เร่ือง ความแตกตา่ งระหวา่ งจริยธรรมและการทุจริต

- 30 - ๒) แบบสังเกตพฤตกิ รรมซ่อื สตั ยส์ ุจรติ ๓) แบบประเมินการเขียนคาขวัญ ๕.๓ เกณฑ์การตดั สนิ นักเรยี นผ่านเกณฑ์การประเมนิ รอ้ ยละ ๘๐ ขน้ึ ไป ๖. บนั ทึกหลังการจัดการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ .......................................ครูผสู้ อน (.........................................)

- 31 - ใบความรู้ เรอื่ ง การทจุ ริต การทจุ ริต ปัญหาการทุจริต เป็นปัญหาท่ีสาคัญท้ังของประเทศไทยและประเทศอ่ืน ทั่วโลก ปัญหาการทุจริตจะทา ใหเ้ กิดความเสอื่ มในด้านต่าง เกิดข้ึน ทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง นับวันปัญหาดังกล่าวจะรุนแรงมากข้ึน และมี รูปแบบการทุจรติ ทซี่ บั ซ้อน ยากแก่การตรวจสอบมากขึ้น จากเดิมที่กระทาเพียงสองฝ่าย ปัจจุบันการทุจริตจะกระทา กันหลายฝา่ ย ท้งั ผดู้ ารงตาแหน่งทางการเมอื ง เจ้าหนา้ ที่ของรัฐ และเอกชน โดยประกอบด้วยสองส่วนใหญ่ คือ ผู้ให้ ผลประโยชนก์ บั ผรู้ บั ผลประโยชน์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายน้ีจะมีผลประโยชน์ร่วมกัน ตราบใดที่ผลประโยชน์สมเหตุสมผลต่อ กัน ก็จะนาไปสู่ปัญหาการทุจริตได้ บางครั้งผู้ที่รับผลประโยชน์ก็เป็นผู้ให้ประโยชน์ได้เช่นกัน โดยผู้รับผลประโยชน์ และผูใ้ ห้ผลประโยชน์ คือ ๑. ผู้รับผลประโยชน์ จะเป็นเจ้าหน้าทขี่ องรฐั ซึ่งมีอานาจ หน้าท่ีในการกระทา การดาเนินการต่าง และ รับประโยชน์จะเป็นไปในรูปแบบต่าง เช่น การจัดซ้ือจัดจ้าง การเรียกรับประโยชน์โดยตรง การกาหนดระเบียบ หรอื คุณสมบตั ทิ ีเ่ ออื้ ต่อตนเองและพวกพ้อง ๒. ผู้ให้ผลประโยชน์ เช่น ภาคเอกชน โดยการเสนอผลตอบแทนในรูปแบบต่าง เช่น เงิน สิทธิพิเศษ อ่ืน เพื่อจูงใจให้นักการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทาการหรือไม่กระทาการอย่างใดอย่างหนึ่งในตาแหน่งหน้าที่ ซ่ึงการกระทาดังกล่าวเป็นการกระทาที่ฝ่าฝนื ต่อระเบยี บหรือผดิ กฎหมาย เป็นตน้ ทจุ ริต หมายถึงอะไร คาวา่ ทุจริต มีการให้ความหมายได้มากมาย หลากหลาย ข้ึนอยู่กับว่าจะมีการให้ความหมายดังกล่าวไว้ว่า อย่างไร โดยทค่ี าว่าทุจริตนั้น จะมีการให้ความหมายโดยหน่วยงานของรัฐ หรือการให้ความหมายโดยกฎหมายซ่ึงไม่ว่า จะเป็นการให้ความหมายจากแหล่งใด เนื้อหาสาคัญของคาว่าทุจริตก็ยังคงมีความหมายที่สอดคล้องกันอยู่ นั่นคือ การ ทจุ ริตเปน็ ส่งิ ทไ่ี มด่ ี มกี ารแสวหาหรือเอาผลประโยชน์ของส่วนรวม มาเป็นของส่วนตัว ท้ัง ที่ตนเองไม่ได้มีสิทธิใน สง่ิ น้นั การยดึ ถือ เอามาดังกล่าวจงึ ถือเป็นสิง่ ทผ่ี ิด ทงั้ ในแง่ของกฎหมายและศลี ธรรม ดังน้ัน การทุจริต หมายถึง การคดโกง ไม่ซ่ือสัตย์สุจริต การกระทาที่ผิดกฎหมาย เพ่ือให้เกิดความ ได้เปรยี บในการแขง่ ขัน การใชอ้ านาจหน้าทใ่ี นทางที่ผิดเพื่อแสวงหาประโยชน์หรือให้ได้รับสิ่งตอบแทน การให้หรือ การรบั สินบน การกาหนดนโยบายท่ีเอื้อประโยชนแ์ กต่ นหรอื พวกพ้องรวมถึงการทจุ รติ เชงิ นโยบาย

- 32 - ใบความรู้ เรอ่ื ง จรยิ ธรรม ความดีงามทางสังคม ถือเป็นกฎเกณฑ์แห่งความประพฤติ หรือหลักความจริงที่เป็นแนวทางแห่งความ ประพฤติปฏิบัติให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุข การศึกษาเร่ืองจริยธรรม จึงเป็นหน่ึงในวิชาปรัชญาท่ี ศึกษาเก่ยี วกับความดีงามทางสังคมมนุษย์ ความหมายของ จริยธรรม จริยธรรม หมายถึง ส่ิงที่ทาได้ในทางวินัยจนเกิดความเคยชินมีพลังใจ มีความตั้งใจแน่วแน่จึงต้องอาศัย ปัญญา และปัญญาอาจเกิดจากความศรัทธาเช่ือถือผู้อื่น ในทางพุทธศาสนาสอนว่า จริยธรรมคือการนาความรู้ ความจริงหรอื กฎธรรมชาตมิ าใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชน์ตอ่ การดาเนนิ ชวี ิตท่ีดีงาม (พระราชวรมุน)ี พจนานกุ รมไทยฉบบั ราชบณั ฑติ สถาน (๒๕๔๖ ) ใหค้ วามหมายของจริยธรรมไว้ว่า หมายถึง ธรรมที่เป็น ข้อประพฤตปิ ฏบิ ัติ โคลเบิร์ก (Kohlberg ๑๙๗๒ : ๒๑๒) กล่าวถึงจริยธรรมว่า จริยธรรมเป็นความรู้สึกผิดชอบช่ัวดี เป็น กฎเกณฑ์และมาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติในสังคมซึ่งบุคคลพัฒนาข้ึนจนกระท่ังมีพฤติกรรมเป็นของตนเอง โดยสังคมจะเปน็ ตัวตดั สินผลของการกระทา นัน้ ว่าเปน็ การกระทา ทถ่ี ูกหรอื ผดิ จากความหมายทก่ี ลา่ วมา สรุปไดว้ า่ จริยธรรม หมายถึงแนวทางซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติใน สิ่งที่ถูกต้องดีงาม และเป็นลักษณะที่สังคมต้องการเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมส่วนรวม บุคคลท่ีมี จริยธรรมอยูใ่ นตนเอง ย่อมเป็นทยี่ อมรับนับถือของคนในสงั คมและสามารถดาเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข เป็นคน ทม่ี คี ุณภาพและเป็นทยี่ อมรับของสงั คมส่วนรวม

- 33 - ใบงาน เรอ่ื ง ความแตกตา่ งระหว่างจรยิ ธรรมและการทจุ ริต ชื่อ......................................................................................................ช้ัน..........................เลขที.่ ................. คาชี้แจง ใหน้ กั เรียนแยกข้อความออกเปน็ ๒ กล่มุ คือ กลมุ่ จริยธรรม และ การทจุ ริต แล้วเขยี นลงในตาราง ให้ถกู ต้อง ๑. นายสวุ ัฒน์นารถหลวงไปจานาและเบิกค่าน้ามันเทจ็ ๒. นายสมพงษ์ไม่รบั ของขวญั จากผู้มาตดิ ต่อราชการ ๓. เดก็ ชายกลา้ ลอกข้อสอบเพ่ือน ๔. นางวิภานารถหลวงไปใชง้ านแต่งงานลูก ๕. ผู้อานวยการไมร่ บั ฝากนักเรยี นท่จี ะมาเข้าเรียน ๖. เด็กหญงิ แพรไม่รับเงนิ จากเพ่ือนที่ว่าจ้างให้ทารายงาน ๗. นางพรนภาไม่รบั เงนิ จากผู้มาหาเสยี งเลือกต้ัง ๘. นางพมิ เอาโทรศพั ท์หลวงมาโทรติดต่อธรุ ะสว่ นตวั การกระทาที่แสดงใหเ้ ห็นวา่ การกระทาท่ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ “บุคคลนน้ั เปน็ ผ้มู จี ริยธรรม” “บคุ คลนน้ั เป็นผูท้ ุจรติ ” ๑. ๑. ๒. ๒. ๓. ๓. ๔. ๔.

- 34 - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม เรอ่ื ง ซอ่ื สตั ย์ สุจริต คาชแี้ จง การบันทึกใหท้ าเครอ่ื งหมาย  ลงในชอ่ งทตี่ รงกบั พฤตกิ รรมทเ่ี กดิ ข้นึ จรงิ รายการ รูจ้ กั แยกแยะ สรุปผล เลขที่ ช่อื - สกลุ พดู ไม่ลกั ตรงไป ทาตวั ประโยชน์ การประเมนิ ความ ขโมย ตรงมา นา่ เชือ่ ถือ สว่ นตน จริง กบั ประโยชน์ ผ่าน ไม่ผา่ น สว่ นรวม เกณฑ์การประเมนิ ผ่านตั้งแต่ ๓ รายการ ถอื วา่ ผ่าน ผ่าน ๒ รายการ ถือวา่ ไม่ผ่าน ลงชื่อ ผปู้ ระเมิน ( ) ///

- 35 - แผนการจัดการเรยี นรู้ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ หนว่ ยท่ี 1 ชอ่ื หนว่ ย การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม เวลา ๒ ช่วั โมง แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๕ เรอ่ื ง ประโยชน์สว่ นตนกับประโยชน์ส่วนรวม ๑. ผลการเรยี นรู้ นกั เรยี นมีความรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน กับผลประโยชนส์ ่วนรวม ๒. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 2.1 นักเรียนสามารถบอกความหมายของผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ 2.2 นักเรยี นสามารถบอกการกระทาท่ีเปน็ ผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั การกระทาทเ่ี ป็นผลประโยชน์สว่ นรวมได้ ๓. สาระการเรยี นรู้ 3.1 ความรู้ ประโยชนส์ ว่ นตน หมายถึง การทบ่ี คุ คลทว่ั ไปในสถานะเอกชนหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ทากิจกรรมหรือได้ กระทาการตา่ ง เพอื่ ประโยชนส์ ว่ นตน ครอบครวั ญาติ เพือ่ นหรือของกลมุ่ ในสงั คม ประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ หมายถึง การท่ีบุคคลใด ในสถานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้กระทาการใด ตามหน้าท่ีหรือได้ปฏิบัติหน้าท่ี อันเป็นการดาเนินการในอีกส่วนหนึ่ง ท่ีแยกออกมาจากการ ดาเนนิ การตามหนา้ ทใ่ี นสถานะของเอกชน 3.2 ทักษะ/กระบวนการ (สมรรถนะที่เกดิ ) 1) ความสามารถในการส่อื สาร 2) ความสามารถในการคดิ 3.3 คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1) ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ๔. กิจกรรมการเรียนรู้ 4.1 ขัน้ ตอนการเรยี นรู้ ๑) ชั่วโมงท่ี ๑ ๑. ครูให้นักเรียนดูภาพเก่ียวกับสาธารณะสมบัติ เช่น สวนสาธารณะ รถไฟสาธารณะ ห้องสมุด เป็น ตน้ ๒. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันสนทนาเกี่ยวกบั ภาพ ดงั น้ี ๒.๑ ภาพนีเ้ กี่ยวกับอะไร ๒.๒ ภาพน้มี กี ิจกรรมอะไรบา้ ง ๒.๓ สงิ่ ของในภาพนี้อะไรทเ่ี ปน็ ของสว่ นตัว ๒.๔ สงิ่ ของในภาพนอี้ ะไรทเ่ี ป็นของสว่ นรวม ๓. ครสู รุปความหมายของคาว่า “ผลประโยชนส์ ว่ นตน” กบั “ผลประโยชนส์ ่วนรวม” ๔. ครูซักถามนักเรียนเกย่ี วกบั สง่ิ ของสว่ นรวม ดงั น้ี

- 36 - ๔.๑ สิ่งของท่เี ปน็ ของสว่ นรวมมีประโยชน์อย่างไร ๔.๒ ใครเป็นผู้ไดร้ บั ประโยชนจ์ ากสิ่งของสว่ นรวมนน้ั ๔.๓ ใครเป็นผดู้ ูแลรกั ษาสงิ่ ของสว่ นรวม ๔.๔ มีวธิ ีการดูแลรกั ษาสง่ิ ของสว่ นรวมอย่างไร ๕. ครซู ักถามนกั เรียนเก่ียวกับสงิ่ ของสว่ นตน ดังน้ี ๕.๑ ส่งิ ของทีเ่ ปน็ ของสว่ นตนมีประโยชนอ์ ย่างไร ๕.๒ ใครเปน็ ผ้ไู ดร้ ับประโยชน์จากสิ่งของสว่ นตนน้นั ๕.๓ ใครเปน็ ผดู้ ูแลรักษาส่งิ ของส่วนตน ๕.๔ มีวิธีการดูแลรกั ษาสง่ิ ของส่วนตนอยา่ งไร ๒) ชั่วโมงที่ ๒ ๑. ครูใหน้ ักเรียนทาใบงาน เรื่อง ผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๒. ให้นักเรยี นนาเสนอผลงานหนา้ ช้นั เรยี น ๓. นกั เรยี นนาผลงานไปตดิ ทป่ี ้ายประชาสัมพันธข์ องโรงเรยี น 4.2 สอ่ื การเรียนรู้ 1) รูปภาพเก่ียวกับสาธารณะสมบตั ิ เชน่ สวนสาธารณะ เป็นตน้ ๒) ใบงาน เรอื่ ง ผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๕. การประเมินผลการเรียนรู้ ๕.๑ วธิ กี ารประเมนิ ๑) ตรวจผลงานการทาใบงาน เร่อื ง ผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ๒) สังเกตพฤติกรรม ซื่อสตั ย์ สุจริต ๕.๒ เครอื่ งมือทใี่ ช้ในการประเมนิ ๑) แบบให้คะแนนการตรวจผลงานใบงาน ๒) แบบสังเกตพฤติกรรม ซือ่ สัตย์สุจริต ๕.3 เกณฑก์ ารตดั สิน นกั เรยี นผา่ นเกณฑ์การประเมนิ รอ้ ยละ ๘๐ ข้ึนไป ๖.บนั ทกึ หลงั การจดั การเรียนรู้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงชื่อ ................................................ ครูผสู้ อน (...........................................................)

- 37 - ใบงาน เร่ือง ผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ชือ่ .....................................................................................................ช้ัน................ ..........เลขที.่ ................. คาชี้แจง ให้นกั เรียนวาดภาพระบายสี เกยี่ วกับสิ่งของทเ่ี ปน็ ของส่วนตนและสง่ิ ของที่เป็นขอสว่ นรวมอยา่ งละ ๓ - ๕ ภาพ วสl สง่ิ ของท่เี ปน็ ของส่วนตน สิง่ ของท่ีเปน็ ของส่วนรวม

- 38 - แบบสังเกตพฤติกรรม เรอื่ ง ซอื่ สัตย์ สจุ รติ คาชีแ้ จง การบันทึกใหท้ าเครอื่ งหมาย  ลงในช่องทีต่ รงกับพฤตกิ รรมทเี่ กิดข้ึนจรงิ รายการ รจู้ กั แยกแยะ สรปุ ผล เลขที่ ชือ่ - สกลุ พดู ไม่ลัก ตรงไป ทาตัว ประโยชน์ การประเมิน ความ ขโมย ตรงมา นา่ เชอ่ื ถือ สว่ นตน จริง กบั ประโยชน์ ผ่าน ไม่ผ่าน สว่ นรวม เกณฑก์ ารประเมิน ผู้ประเมิน ปฏบิ ตั ติ ้ังแต่ ๓ รายการขึ้นไป ถือวา่ ผ่าน ปฏบิ ตั ิ ๑ - ๒ รายการ ถือวา่ ไม่ผ่าน ) /// ลงชือ่ (

- 39 - หนว่ ยท่ี ๒ ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ

- 40 - แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยท่ี ๒ ชอ่ื หน่วย ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ ช้นั ประถมศึกษาปีที่ ๔ เวลา ๑ ชั่วโมง แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๑ เรอ่ื ง การทาการบ้าน ๑. ผลการเรียนรู้ ๑.๑ มคี วามรูค้ วามเข้าใจ เกี่ยวกบั ความไมท่ นและความละอายตอ่ การทุจริต ๑.๒ ปฏิบัติตนเป็นผไู้ มท่ นและละอายต่อการทจุ ริตทกุ รปู แบบ ๒. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๒.๑ นกั เรียนสามารถเรียนรู้และมคี วามเข้าใจเกยี่ วกับความไม่ทนและความละอายตอ่ การทจุ ริต ๒.๒ นักเรยี นสามารถปฏิบัตติ นเป็นผู้ไม่ทนและละอายต่อการทจุ ริตทุกรปู แบบ ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ การทาการบ้านถือว่าเป็นการฝึกฝนและการทบทวนบทเรียนท่ีได้เรียนมา แต่ถ้าหากลอกการบ้านถือว่า เป็นการกระทาท่ีไม่ถูกต้องเป็นการกระทาที่ทุจริต ท่ีก่อให้เกิดผลเสียต่อตนเองและผู้อื่นนอกจากน้ียังเป็นการ ประพฤตไิ มต่ รงตามความเป็นจริงทัง้ ต่อตนเองและผอู้ ่ืนด้วยกาย วาจา และใจ ๓.๒ ทักษะ / กระบวนการ ๑) ทกั ษะกระบวนการคิด ๒) ความสามรถในการใช้ทักษะชีวติ ๓.๓ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ / ค่านิยม ๑) ซื่อสตั ยส์ ุจริต ๒) ใฝเ่ รยี นรู้ ๓) มงุ่ ม่นั ในการทางาน ๔. กิจกรรมการเรยี นรู้ ๔.๑ ขนั้ การเรียนรู้ ๑) ให้นักเรยี นดูภาพ ๒ ภาพ เกีย่ วกับ การลอกการบ้าน กับ การทาการบ้านด้วยตนเอง ๒) ให้นักเรียนคิดวิเคราะหต์ ามหัวข้อดังต่อไปนี้ โดยทาลงในใบงาน เร่ือง เด็กดี มีความสจุ ริตที่ครเู ตรียมให้ ๒.๑ การลอกการบา้ นเปน็ สง่ิ ทค่ี วรทาหรือไม่ ๒.๒ การทาการบา้ นดว้ ยตนเองนน้ั มีผลดีอยา่ งไรบ้าง ๓) ครใู ห้นกั เรยี นสง่ ตัวแทนออกมานาเสนอการวเิ คราะหข์ องตนเองหนา้ ช้นั เรียนต่อการกระทาที่ไม่ถูกตอ้ ง ๔.๒ ส่อื การเรียนรู้ ๑) รปู ภาพ เกย่ี วกับ การลอกการบ้าน กับ การทาการบ้านดว้ ยตนเอง ๒) ใบงาน

- 41 - ๕. การประเมินผลการเรยี นรู้ ๕.๑ วิธีการประเมนิ ๑) สังเกตพฤติกรรมในการทางานเปน็ รายบคุ คล ๒) ประเมินผลงานนกั เรยี น ๕.๒ เคร่ืองมือในการประเมิน ๑) แบบประเมินผลงานนักเรียน ๒) แบบตรวจผลงานนกั เรียน ๕.๓ เกณฑ์การตดั สิน ๑) เกณฑ์การประเมินพฤติกรรมรายบคุ คล ๑. การให้คะแนน  ให้ ๑ คะแนน ๒. การสรุปผลการประเมนิ ให้เปน็ ระดบั คุณภาพ ๔, ๓, ๒, ๑ กาหนดเกณฑไ์ ดต้ ามความเหมาะสมหรือ อาจใชเ้ กณฑด์ งั น้ี ๙–๑๐ คะแนน = ๔ (ดมี าก) ๗–๘ คะแนน = ๓ (ดี) ๕–๖ คะแนน = ๒ (พอใช)้ ๐–๔ คะแนน = ๑ (ควรปรับปรงุ ) ๒) เกณฑ์การให้คะแนนผลงาน ประเด็นทป่ี ระเมนิ คะแนน ๔๓๒๑ ๑. ผลงานตรงกบั จุดประสงค์ท่ี ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคล้อง ผลงานไม่ กาหนด จุดประสงคท์ ุก กบั จดุ ประสงค์ กับจุดประสงค์ สอดคล้องกับ ประเดน็ เปน็ สว่ นใหญ่ บางประเด็น จุดประสงค์ ๒. ผลงานมีความถูกต้องสมบูรณ์ เนอื้ หาสาระของ เนอื้ หาสาระของ เนอื้ หาสาระของ เนื้อหาสาระของ ผลงานถูกต้อง ผลงานถกู ต้องเป็น ผลงานถูกต้องเปน็ ผลงานไม่ถูกตอ้ ง ครบถ้วน สว่ นใหญ่ บางประเด็น เป็นส่วนใหญ่ ๓. ผลงานมคี วามคดิ สร้างสรรค์ ผลงานแสดงออก ผลงานมแี นวคิด ผลงานมาความ ผลงานไม่แสดง ถึงความคดิ แปลกใหมแ่ ตย่ ังไม่ น่าสนใจ แต่ยงั ไม่ แนวคดิ ใหม่ สรา้ งสรรค์แปลก เป็นระบบ มแี นวคิดแปลก ใหม่และเปน็ ใหม่ ระบบ ๔. ผลงานมีความเปน็ ระเบียบ ผลงานมีความเป็น ผลงานสว่ นใหญม่ ี ผลงานมคี วามเป็น ผลงานส่วนใหญ่ ระเบยี บแสดงออก ความเป็นระเบยี บ ระเบียบแต่มี ไม่เปน็ ระเบยี บ ถงึ ความประณตี แต่ยังมี ข้อบกพร่อง และมีข้อบกพร่อง ข้อบกพร่อง บางสว่ น ๓) เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ นกั เรียนไดค้ ะแนน ๑๓ คะแนนข้นึ ไปรอ้ ยละ ๘๐ ถือว่าผ่าน

- 42 - ๖. บันทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ลงชอื่ .................................................ครูผู้สอน (.................................................)

- 43 - แบบประเมินผลงานนกั เรียน ชอ่ื .....................................................................................................................ชน้ั ..........................เลขท่.ี ................. หนว่ ยการเรยี นร้ทู .่ี ........กจิ กรรม............................................................. คาช้แี จง ให้ผ้ปู ระเมินใส่เครื่องหมาย  ลงในช่องท่ตี รงกับระดับคะแนน ประเด็นทป่ี ระเมนิ ผู้ประเมนิ ๑. ตรงจุดประสงค์ท่ีกาหนด ตนเอง เพอื่ น ครู ๒. มคี วามถกู ต้อง ๓. มคี วามคิดสร้างสรรค์ ๑๒๓๔๑๒๓๔๑๒๓๔ ๔. มีความเป็นระเบียบ รวม รวมทกุ รายเฉกลา่ียร ลงชื่อผูป้ ระเมิน................................................(ตนเอง) ลงชอ่ื ผูป้ ระเมิน................................................(เพอ่ื น) ลงช่อื ผู้ประเมนิ ................................................(ครู)

- 44 - เกณฑ์การให้คะแนนผลงาน ประเดน็ ที่ประเมิน คะแนน ๑. ผลงานตรงกับจุดประสงค์ที่ กาหนด ๔๓๒๑ ๒. ผลงานมคี วามถกู ต้องสมบูรณ์ ผลงานสอดคล้อง ผลงานสอดคลอ้ ง ผลงานสอดคล้อง ผลงานไม่ ๓. ผลงานมีความคิดสร้างสรรค์ จดุ ประสงคท์ ุก กบั จดุ ประสงค์ กับจดุ ประสงค์ สอดคลอ้ งกบั ๔. ผลงานมีความเปน็ ระเบยี บ ประเด็น เป็นสว่ นใหญ่ บางประเด็น จุดประสงค์ เน้ือหาสาระของ เนอ้ื หาสาระของ เนอ้ื หาสาระของ เน้ือหาสาระของ ผลงานถูกต้อง ผลงานถกู ต้องเปน็ ผลงานถกู ต้องเปน็ ผลงานไมถ่ ูกต้อง ครบถว้ น ส่วนใหญ่ บางประเดน็ เปน็ สว่ นใหญ่ ผลงานแสดงออก ผลงานมแี นวคดิ ผลงานมาความ ผลงานไมแ่ สดง ถงึ ความคดิ แปลกใหมแ่ ตย่ งั ไม่ นา่ สนใจ แตย่ ังไม่ แนวคิดใหม่ สร้างสรรค์แปลก เปน็ ระบบ มีแนวคดิ แปลก ใหม่และเป็น ใหม่ ระบบ ผลงานมีความเปน็ ผลงานสว่ นใหญ่มี ผลงานมคี วามเปน็ ผลงานส่วนใหญ่ ระเบียบแสดงออก ความเป็นระเบียบ ระเบยี บแต่มี ไมเ่ ป็นระเบยี บ ถงึ ความประณีต แต่ยังมี ขอ้ บกพร่อง และมขี ้อบกพร่อง ข้อบกพร่อง บางสว่ น เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพ นกั เรียนได้คะแนน ๑๓ คะแนนขนึ้ ไปร้อยละ ๘๐ ถือว่าผ่าน

- 45 - แบบประเมนิ พฤติกรรมในการทางานเปน็ รายบคุ คล ผลงาน/กจิ กรรมที่ ........ เรอ่ื ง ............................................................................................ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ ................................................................................................................ คาช้ีแจง สงั เกตพฤตกิ รรมในการปฏิบตั ิกิจกรรมของนักเรียน แลว้ เขยี นเครื่องหมาย  ลงในชอ่ งรายการ พฤติกรรมท่นี ักเรยี นปฏบิ ัติ เลข รายการพฤตกิ รรม ระดับ ท่ี คุณภาพ สนใจในการทางาน ๔๓๒๑ ตอบคาถามตรงประเด็น ช่อื – เสนอความ ิคดเห็น สกลุ ัรบฟังความ ิคดเ ็หนของผู้อื่น ให้ความช่วยเหลือผู้อื่น ุ่มง ั่มนทางานใ ้หสาเร็จ ประเมินและปรับป ุรงงาน ้ดวยความ เ ็ตมใจ เคารพ ้ขอตกลงของกลุ่ม ทาตามหน้า ่ที ี่ทได้รับมอบหมาย พอใจกับความสาเร็จของงาน รวมคะแนน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ เกณฑ์การประเมนิ ๑. การใหค้ ะแนน  ให้ ๑ คะแนน ๒. การสรปุ ผลการประเมินใหเ้ ปน็ ระดับคุณภาพ ๔, ๓, ๒, ๑ กาหนดเกณฑ์ไดต้ ามความ เหมาะสมหรืออาจใชเ้ กณฑ์ดงั น้ี ๙–๑๐ คะแนน = ๔ (ดมี าก) ๗–๘ คะแนน = ๓ (ด)ี ๕–๖ คะแนน = ๒ (พอใช)้ ๐–๔ คะแนน = ๑ (ควรปรับปรุง)

- 46 - ใบงาน เดก็ ดี มคี วามสจุ รติ คาช้ีแจง : ให้นักเรียนวเิ คราะหป์ ระเดน็ ดังต่อไปน้ี ๑. การลอกการบา้ นเป็นส่งิ ท่ีควรทาหรอื ไม่ ...................................................................................................................... ........................................................... ...................................................................................................................... ........................................................... ...................................................................................................................... ........................................................... ...................................................................................................................... .๒....ก..า.ร..ท.า..ก.า..ร.บ..้า.น..ด..้ว.ย..ต.น..เ.อ..ง.น..น้ั ..ม.ีผ..ล..ด.อี..ย..า่ .ง.ไ.ร..บ.า้..ง.... ...................................................................................................................... ........................................................... ...................................................................................................................... ........................................................... ...................................................................................................................... ........................................................... ...................................................................................................................... ........................................................... ...................................................................................................................... ...........................................................

- 47 - แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี ๒ ช่ือหน่วย ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ เวลา ๑ ชัว่ โมง แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๒ เรือ่ ง การทาเวร ๑. ผลการเรยี นรู้ ๑.๑ มีความรคู้ วามเข้าใจ เก่ียวกับการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตน กบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ๑.๒ มีความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกับพลเมืองและมีความรับผิดชอบต่อสังคม ๑.๓ สามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตน กับผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๑.๔ ปฏบิ ตั ิตนตามหน้าท่ีพลเมอื งและมีความรบั ผิดชอบต่อสังคม ๒. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๒.๑ นักเรียนมีความร้คู วามเข้าใจ เกี่ยวกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน กบั ผลประโยชน์ สว่ นรวม ๒.๒ นักเรยี นมีความรู้ ความเข้าใจเกยี่ วกับพลเมืองและมีความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม ๒.๓ นกั เรยี นสามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตน กับผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๒.๔ นักเรียนสามารถปฏิบตั ติ นตามหนา้ ท่ีพลเมืองและมคี วามรบั ผิดชอบต่อสังคม ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ การอย่รู ่วมกันในสังคม จาเป็นอย่างยง่ิ ที่เราต้องรู้จักมีความรบั ผดิ ชอบรูห้ น้าที่ของตนเอง แยกแยะระหว่าง ผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม มคี วามรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม รกั ษาสมบตั ิสว่ นตนและส่วนรวม หน้าที่ของพลเมือง หมายถึง ผู้ท่ีปฏิบัติหน้าท่ีพลเมืองได้ครบถ้วน ทั้งกิจท่ีต้องทา และกิจท่ีควรทา ซึ่งเป็น ส่ิงที่กาหนดให้ทา หรือห้ามมิให้กระทา ถ้าทาก็จะก่อให้เกิดผลดี เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว หรือสังคม ส่วนรวมแลว้ แตก่ รณี ถ้าไม่ทาหรอื ไมล่ ะเว้นการกระทาตามทกี่ าหนดจะได้รับผลเสียโดยตรง คือ ได้รับโทษ หรือถูก บังคบั เช่น ปรบั จา คกุ หรือประหารชวี ติ เป็นตน้ โดยทวั่ ไปสิง่ ที่ระบุกิจที่ต้องทา ได้แก่ กฎหมาย เป็นต้น ๓.๒ ทกั ษะ / กระบวนการ ๑) ความสามารถในการแกป้ ัญหา ๒) ความสามรถในการใช้ทักษะชีวิต ๓.๓ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ / ค่านยิ ม ๑) มวี นิ ยั ๒) มีจิตสารธารณะ ๓) ม่งุ มนั่ ในการทางาน ๔. กิจกรรมการเรยี นรู้ ๔.๑ ขน้ั การเรียนรู้ ๑) ใหน้ กั เรยี นดคู ลิป เรื่อง หวั หนา้ หอ้ ง ๒) ให้นักเรยี นคิดวเิ คราะห์ตามหัวข้อดังต่อไปนี้ โดยทาลงในใบงานทีค่ รูเตรยี มให้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook