๔ เนื้อเร่ือง (ต่อ) สินทรัพย์ ยงิ่ ไซร้ ๏ ความรู้ดยู ง่ิ ลา้ กายอาต-มานา คดิ ค่าควรเมืองนับ เร่งรู้เรียนเอา เพราะเหตจุ กั อย่กู บั โจรจกั เบยี นบ่ได้ “ความรู้มีความสาคญั ทส่ี ุด และไม่มใี ครสามารถมาแย่งชิงไปได้”
๔ เนื้อเร่ือง (ต่อ) ๏ สนิมเหลก็ เกดิ แต่เน้ือ ในตน กนิ กดั เน้อื เหลก็ จน กร่อนขร้า บาปเกดิ แต่ตนคน เป็ นบาป บาปย่อมทาโทษซ้า ใส่ผ้บู าปเอง “หากเราคดิ ไม่ดคี วามคดิ น้ันจะกดั กร่อนจิตใจ ทาให้รู้สึกไม่สบายใจ”
๔ เนื้อเร่ือง (ต่อ) ๏ นกน้อยขนน้อยแต่ พอตัว รังแต่งจเุ มยี ผวั อย่ไู ด้ มักใหญ่ย่อมคนหวัว ไพเพดิ ทาแต่พอตวั ไซร้ อย่าให้คนหยนั “จะทาการสิ่งใด ให้คานึงถึงความเหมาะสมกบั ฐานะของตน”
๔ เนื้อเรื่อง (ต่อ) ๏ เห็นท่านมีอย่าเคลม้ิ ใจตาม เรายากหากใจงาม อย่าคร้าน อตุ ส่าห์พยายาม การกจิ เอาเยย่ี งอย่างเพอ่ื นบ้าน อย่าท้อทากนิ “ให้หมั่นอุตสาหะในการประกอบสัมมาอาชีพ อย่าใช้จ่ายฟ่ ุมเฟื อยตามแบบอย่างผู้อ่ืน”
๔ เนื้อเรื่อง (ต่อ) ๏ คนใดละพ่อทงั้ มารดา อันทพุ พลชรา- ภาพแล้ว ขับไล่ไป่ มีปรา- ณเี นตร คนดง่ั นี้ฤๅแคล้ว คลาดพ้นไภยนั “บุคคลใดละทงิ้ ไม่เลยี้ งดูบุพการี คนผู้น้ันย่อมไม่ประสบความสาเร็จในชีวติ ”
๔ เนื้อเรื่อง (ต่อ) ๏ คณุ แม่หนาหนักเพย้ี ง พสุธา คณุ บิดรดจุ อา- กาศกว้าง คณุ พพี่ ่างศิขรา คณุ พระอาจารย์อ้าง เมรุมาศ อาจสู้สาคร “พระคุณของบดิ า มารดา ญาตพิ น่ี ้อง และครูอาจารย์ยงิ่ ใหญ่มาก ควรสานึกและตอบแทนคุณ”
๔ เนื้อเรื่อง (ต่อ) ๏ ก้านบัวบอกลกึ ต้ืน ชลธาร มรรยาทส่อสันดาน ชาตเิ ช้ือ โฉดฉลาดเพราะคาขาน ควรทราบ หย่อมญ่าเหี่ยวแห้งเรื้อ บอกร้ายแสลงดนิ “การแสดงกริ ิยาท่าทาง หรือการพูดจา ย่อมบ่งบอกว่าบุคคลผู้น้ันเป็ นคนเช่นไร”
๔ เนื้อเร่ือง (ต่อ) กนิ เกลอื พวกพ้อง ๏ ถงึ จนทนสู้กดั สงวนศักด์ิ อย่าเทยี่ วแล่เนื้อเถอื จับเน้ือกนิ เอง อดอยากเยย่ี งอย่างเสือ โซกเ็ สาะใส่ท้อง “ควรรู้จกั พง่ึ พาตนเอง ไม่เบยี ดเบยี นขอความช่วยเหลือจากผู้อ่ืน”
๔ เนื้อเร่ือง (ต่อ) เขาหนัง อย่ไู ซร้ ๏ โคควายวายชีพได้ ขารร่าง เป็ นสิ่งเป็ นอนั ยงั แต่ร้ายกบั ดี คนเดด็ ดบั สูญสัง- เป็ นช่ือเป็ นเสียงได้ “เมื่อคนเราตายไป คงเหลือแต่ความดคี วามชั่วให้ได้กล่าวขานถึง”
๔ เนื้อเรื่อง (ต่อ) เหยยี บหยนั พลวกพล้ัง ๏ สูงสารส่ีเท้าย่าง ถงึ มาก กด็ ี บางคาบเชี่ยวไปพลนั พลาดถ้อยทางความ นักรู้ร่าเรียนธรรม์ กล่าวดงั่ น้าผลงั้ ผลัง้ “แม้มคี วามรู้ ความชานาญเพยี งใด หากประมาทกย็ ่อมพลาดพล้งั ได้”
๔ เนื้อเรื่อง (ต่อ) ๏ เพอื่ นกนิ สิ้นทรัพย์แล้ว แหนงหนี หาง่าย หลายหม่ืนมี มากได้ เพอื่ นตาย ถ่ายแทนชี- วาอาตม์ หายาก ฝากผไี ข้ ยากแท้จักหา “ควรระมดั ระวงั ในการเลือกคบเพื่อน เพราะเพื่อนทดี่ นี ้ันหายาก”
๔ เนื้อเรื่อง (ต่อ) ๏ อ่อนหวานมานมติ รล้น เหลอื หลาย หยาบบ่มเี กลอกราย เกลอื่ นใกล้ ดจุ ดวงศศิฉาย ดาวดาษ ประดบั นา สุริยะส่องดาราไร้ เพอื่ ร้อนแรงแสง “คนทพ่ี ูดจาไพเราะอ่อนหวาน ย่อมมแี ต่คนอยากพูดคุยและคบหาด้วย”
๕ บทวเิ คราะห์ โคลงโลกนิติเป็ นโคลงสุภาษิตท่ีมี จุดมุ่งหมายเพ่ือสอนให้ทุกคนในสังคมเป็ นคน ดี ปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสมในทุก โอกาส นอกจากนี้ยังมีศิลปะการประพันธ์ ท่ี ไพเราะ แสดงความเปรียบคมคาย จากบทที่ คัดมาให้ศึกษา สามารถวิเคราะห์คุณค่า โดย แบ่งเป็ น คุณค่าด้านเน้ือหา และ คุณค่า ด้านวรรณศิลป์ ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้
๑. คุณค่าด้านเนื้อหา โคลงโลกนิติ มีเนื้อหาที่สะท้อนให้เห็นความเช่ือ ค่านิยม จริยธรรม ของสังคมไทยท่ี ปฏิบัติสืบต่อมาช้านาน หากผู้อ่านพจิ ารณาให้ลึกซึ้ง จะทา ให้เข้าใจถงึ สัจธรรมของชีวิตมาก ยง่ิ ขนึ้ และสามารถนา ข้อคดิ ไปปรับใช้ในชีวติ ประจาวนั ได้ โดยแบ่งเป็ น ๑๐ ประเภท ดงั นี้ ๑. สอนให้ยดึ มัน่ ในความดี ๒. สอนให้มีไมตรีจติ ๓. สอนให้คดิ กตญั ญู ๔. สอนให้รู้รักษาความสัตย์ ๕. สอนให้หัดเลือกคบคน ๖. สอนให้สนใจการศึกษา ๗. สอนให้พงึ่ พาตนเอง ๘. สอนให้เป็ นผู้รู้จักประมาณตน ๙. สอนให้เป็ นคนต้งั ใจจริง ๑๐. สอนให้ละทงิ้ ความโอ้อวด
๑) สอนให้ยดึ ม่ันในความดี โคลงโลกนิติมีคาสอนเรื่องการยึดม่ันในศีลธรรมหรือความดี และเชื่อในเร่ืองกฎแห่ง กรรม คือ การทาดยี ่อมได้รับผลเป็ นความดี การทาชั่วย่อมได้รับผลเป็ นความชั่ว และความชั่ว น้ันย่อมกดั กร่อนจิตใจและให้ผลร้ายแก่คนทก่ี ระทาความช่ัว ดงั ตวั อย่างบทประพนั ธ์ ๏ สนมิ เหลก็ เกดิ แต่เนอ้ื ในตน กนิ กดั เนือ้ เหลก็ จน กร่อนขร้า บาปเกดิ แต่ตนคน เป็ นบาป บาปย่อมทาโทษซ้า ใส่ผ้บู าปเอง
๒) สอนให้มีไมตรีจิต โคลงโลกนิติสอนเรื่องการมไี มตรีจติ โดยกล่าวว่า แม้จะใช้เหลก็ ที่มีขนาดใหญ่เท่าลาตาล มัดตรึงไว้ก็ไม่แน่นหนาหรือจะใช้เวทมนตร์คาถานานเข้าก็เส่ือมหาย แต่หากผูกใจผู้คน ท้ังหลายด้วยไมตรีย่อมยง่ั ยืนอย่างไม่เส่ือมคลาย ดงั ตวั อย่างบทประพนั ธ์ ๏ ใครจักผกู โลกแม้ รัดรึง เหลก็ เท่าลาตาลตรึง ไป่ หม้ัน หายเสื่อม มนตร์ยาผกู นานหึง แน่นเท้าวนั ตาย ผกู เพอ่ื ไมตรีน้ัน
๓) สอนให้คดิ กตญั ญู โคลงโลกนิตมิ ีคาสอนเรื่องความกตัญญูและการรู้สานึกในพระคุณของบิดา มารดา ญาติ พน่ี ้อง และครูอาจารย์ โดยกล่าวเปรียบเทียบถงึ ส่ิงต่างๆ ดงั ตวั อย่างบทประพนั ธ์ ๏ คณุ แม่หนาหนักเพยี้ ง พสุธา คณุ บดิ รดุจอา- กาศกว้าง คณุ พพ่ี ่างศิขรา คณุ พระอาจารย์อ้าง เมรุมาศ อาจสู้สาคร
๔) สอนให้รู้รักษาความสัตย์ โคลงโลกนิติบทหนึ่งกล่าวถึงการรักษาความสัตย์ไว้ ว่าเป็ นส่ิงสาคัญมากที่สุ ด นอกเหนือจากการรักษาศักด์ิศรีและการแสวงหาความรู้ แม้จะต้องสละชีวิตก็อย่ายอมเสีย ความสัตย์เป็ นอนั ขาด ดงั ตวั อย่างบทประพนั ธ์ ๏ เสีย สินสงวนศักดไิ์ ว้ วงศ์หงส์ สิ่งรู้ เสีย ศักด์ิสู้ประสงค์ ความสัตย์ ไว้นา เสีย รู้เร่งดารง ชีพม้วยมรณา เสีย สัตย์อย่าเสียสู้
๕) สอนให้หัดเลือกคบคน โคลงโลกนิติสอนให้รู้จักการพิจารณาและไม่ประมาทในการเลือกคบคน โดย เปรียบเทียบว่ามหาสมุทร แม้จะลกึ เพยี งใด ยงั อาจใช้สายดงิ่ วดั ได้ หรือภูเขาจะสูงเพยี งใด ก็ยงั วดั ระยะความสูงได้ แต่จติ ใจของคนน้ันยากที่เข้าใจ ดงั ตวั อย่างบทประพนั ธ์ ๏ พระสมทุ รสุดลกึ ล้น คณนา สายดงิ่ ทง้ิ ทอดมา หยงั่ ได้ กาหนด เขาสูงอาจวดั วา ยากแท้หยง่ั ถงึ จติ มนุษย์น้ีไซร้
๖) สอนให้สนใจการศึกษา โคลงโลกนิติสอนให้เห็นความสาคญั ของการเรียน มคี วามขยนั หม่ันเพยี รในการศึกษา เน่ืองจากวิชาความรู้มีคุณค่าย่ิงกว่าทรัพย์สมบัติท้ังหลายและคงอยู่ตดิ ตัวไปจนตาย ไม่มีใคร มาแย่งชิงไปได้ ดงั ตวั อย่างบทประพนั ธ์ ๏ ความรู้ดูยงิ่ ลา้ สินทรัพย์ คดิ ค่าควรเมืองนับ ยง่ิ ไซร้ กายอาต-มานา เพราะเหตุจกั อย่กู บั เร่งรู้เรียนเอา โจรจักเบยี นบ่ได้
๗) สอนให้พง่ึ พาตนเอง โคลงโลกนิติได้สอนหลักธรรมที่ตรงกับพุทธศาสนสุภาษิตท่ีว่า อัตตาหิ อัตโนนาโถ หมายถงึ ตนเป็ นที่พงึ่ แห่งตน แม้เราจะตกอยู่ในภาวะอบั จน แต่กต็ ้องรู้จักนาพาตนเองให้ หลุดพ้นจากภาวะดังกล่าว โดยไม่เท่ียวไปเบียดเบียนหรือขอความช่วยเหลือผู้อื่น ดังตัวอย่าง บทประพนั ธ์ ๏ ถงึ จนทนสู้กดั กนิ เกลอื อย่าเทย่ี วแล่เน้อื เถอื พวกพ้อง อดอยากเยย่ี งอย่างเสือ สงวนศักดิ์ โซกเ็ สาะใส่ท้อง จบั เนอื้ กนิ เอง
๘) สอนให้เป็ นผู้รู้จกั ประมาณตน โคลงโลกนิติสอนให้เป็ นผู้รู้จักประเมินความสามารถและประมาณกาลังของตน ควร ดาเนินชีวิตด้วยความพอดี อันเป็ นวิถีทางที่สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนว พระราชดาริของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว ดงั ตวั อย่างบทประพนั ธ์ ๏ นกน้อยขนน้อยแต่ พอตัว รังแต่งจเุ มียผวั อย่ไู ด้ มกั ใหญ่ย่อมคนหววั ไพเพดิ ทาแต่พอตวั ไซร้ อย่าให้คนหยนั
๙) สอนให้เป็ นคนต้งั ใจจริง โคลงโลกนิติสอนให้มีความต้ังใจ โดยเฉพาะในเร่ืองการเรียนและการทางาน เพราะ หากละเลยหรือไม่เอาใจใส่ ในส่ิงท่ีทา ย่อมไม่มีวันที่จะเกิดความชานาญและประสบ- ความสาเร็จได้ ดงั ตัวอย่างบทประพนั ธ์ ๏ เจ็ดวนั เว้นดดี ซ้อม ดนตรี อักขระห้าวนั หนี เนนิ่ ช้า สามวนั จากนารี เป็ นอ่ืน วนั หน่ึงเว้นล้างหน้า อบั เศร้าศรีหมอง
๑๐) สอนให้ละทงิ้ ความโอ้อวด โคลงโลกนิติสอนถึงเร่ืองความโอ้อวดไว้ โดยกล่าวถึงกิริยาหรือธรรมชาติของสัตว์ เปรียบเทียบกบั มนุษย์ว่าเราควรมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ควรโอ้อวดสรรพคุณของตนเอง ดงั ตัวอย่างบทประพนั ธ์ ๏ นาคมี ีพษิ เพยี้ ง สุริโย เลอื้ ยบ่ทาเดโช แช่มช้า พษิ น้อยหยง่ิ โยโส แมลงป่ อง ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี
๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ โค ลงโลกนิ ติ สอนถึง เร่ื องควา มโอ้ อวดไว้ โดยกล่าโวคถลึงงกโิรลิยกานหิตริ ืเอปธ็ นรวรรมรชณาคตดิขทีอี่มงสีคัตวาวม์ เดปีเรดีย่นบในเทดีย้าบนกถับ้อมยคนาุษแยล์วะ่าสเราานคววนรโมวีคหวาารมทอี่เ่ขอ้านในจ้งอ่ามย ถแ่อตม่มตีคนวาไมมห่คมวารยโอล้กอึ วซดึ้งสแลระรมพีควุณาขมอไพงตเรนาเะอสงลดะงั สตลัววอยยเ่านงื่อบงทดป้วรยะกพวนัมี ธกี ์ลวิธีในการประพนั ธ์ ดงั นี้ ๑. การใช้ภาพพจน์ ๒. การใช้ภาษาสร้างจินตภาพ ๓. การเล่นเสียง ๔. การเล่นคา
๑) การใช้ภาพพจน์ โค ลงโลกนิ ติ สอนถึง เรื่ องควา มโอ้ อวดไว้ ถโเดป่อยรมีกยตบลนโ่าเทควไียถมลบึง่คงกกวโิรลบัริยโกสอานิ่ง้หอใิตวกริดมืลอ้ตสีธกวัรรารเรรพพมใ่ือชคช้ใคุณาหตว้เขหิขาอม็นองเงจตปสรนรัิงตเียอวกบง์ลเปโวดดิธรงั ยีีนตยเบัวีเ้ปปอเ็รทนยียี่ยกางบบาบรวกนท่าับปาสมส่ิรงน่ิงะหใุษพกนยนัลึ่ง์ว้ตธเ่าห์ัวเรทมา่ีผือคู้อนว่ารกนมับพีคสบวิ่งเาหหม็นนอห่อ่ึงนรซือน่ึงร้อู้จจมักะ มาใช้เป็ นคตเิ ตือนใจ ทาให้ผู้อ่านเกดิ ความเข้าใจมากขนึ้ ดงั ตวั อย่างบทประพนั ธ์ ๏ ผลเดอื่ เม่ือสุกไซร้ มพี รรณ ภายนอกแดงดูฉัน ชาดบ้าย ภายในย่อมแมลงวนั หนอนบ่อน นอกนั้นดูงาม ดุจดง่ั คนใจร้าย
๒) การใช้ภาษาสร้างจินตภาพ โคลงโลกนิติสอนถึงเร่ืองความโอ้อวดไว้ โดยกล่าวกถาึงรกใิรชิย้ภาาหษราือสธรร้ารงมจชินาตตภิขาอพงเสป็ัตนวศ์ ิลเปประียกบาเรทปียรบะกพับันมธน์ทุษี่พยบ์วม่าเารกาใคนวโรคมลีคงโวลากมนอ่ิตอนิ ทนา้อใมห้ ถเน่อื้อมคตวนามไมล่คกึ ซวรึ้งโแอล้อะวสดรส้ารงจรพินตคุนณาขกอางรตไดน้อเอยง่างดแงั จต่มัวชอัดยด่างงั บตทัวอปยร่าะงพบนั ทธป์ ระพนั ธ์ ๏ จระเข้คบั น่านน้า ไฉนหา ภกั ษ์เฮย รถใหญ่กว่ารัถยา ยากแท้ เสือใหญ่กว่าวนา ไฉนอยู่ ได้แฮ เรือเขอ่ื งคบั ชเลแล้ แล่นโล้ไปไฉน
๓) การเล่นเสียง โค ลงโลกนิ ติ สอนถึง เร่ื องควา มโอ้ อวดไว้ โดยกล่าวกถาึงรกเลิร่นิยาเสหียรงือเธป็รนรกมาชราใตช้ิสขัมองผสัสัตสวร์ ะเปหรรียือบสเัมทผียัสบอกักบษมรนใุษนยว์วร่ารเคราเดคียววรกมันีควชา่วมยอท่อานใหน้เอกมิด ถค่อวมามตไนพไเมรา่คะวมรโีลอลี ้อาวจดงั สหรวระพแคลุณะเขสอียงตขนองเอคงากดลงั มตกัวลอืนย่ากงนั บทดงปั ตรัวะอพยนั ่าธง์บทประพนั ธ์ ๏ สูงสารส่ีเท้าย่าง เหยยี บหยนั บางคาบเชี่ยวไปพลนั พลวกพลง้ั ถงึ มาก กด็ ี นักรู้ร่าเรียนธรรม์ พลาดถ้อยทางความ กล่าวดง่ั น้าผลง้ั ผลง้ั
๔) การเล่นคา โค ลงโลกนิ ติ สอนถึง เรื่ องควา มโอ้ อวดไว้ โดยกล่าวกถาึงรกเลิริ่ยนาคหาเรปือ็ นธกรลรวมธิ ชีกาาตริขใชอ้คงาสซัต้าว์เพเป่ือรชีย่วบยเดท้าียนบเสกีัยบงมแนลุษะเยน์ว้น่ายเรา้ าคคววารมมหีคมวาายมโอด่อยนกวนจี้อะม ซถ่อ้าคมาตในนตไมาแ่คหวนร่โงอต้อ้นวบดาสทรขรอพงคทุณุกบขอาทงตดนงั เตอัวงอดยงั่าตงบวั อทยป่ารงะบพทนัปธร์ะพนั ธ์ ๏ ห้าม เพลงิ ไว้อย่าให้ มคี วนั ส่องไซร้ ห้าม สุริยแสงจนั ทร์ คนื เล่า ห้าม อายใุ ห้หัน จง่ึ ห้ามนินทา ห้าม ดงั่ นี้ไว้ได้
สรุป โคลงโลกนิติ นอกจากจะได้รับการยอมรับว่าเป็ น หนังสือท่ีแต่งดีมีศิลปะการประพันธ์ท่ีโดดเด่น ท้ังในด้าน ถ้อยคาและสานวนภาษาทมี่ ีความไพเราะและอ่านเข้าใจง่ายแล้ว ยงั เป็ นวรรณคดที ที่ รงคุณค่าควรแก่การศึกษาและสามารถนา คาสอน ในเร่ืองต่างๆ ไปปรับใช้ในการดาเนินชีวติ ประจาวนั ในปัจจุบนั ได้เป็ นอย่างดี
๓หน่วยการเรียนรู้ท่ี สุภาษติ พระร่วง คนไทยใช้สุภาษิตเพ่ือส่ังสอนและแนะนาลูกหลาน ให้มีแนวทาง ในการปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เนื่องจากสุภาษิตเป็ นข้อความ ขนาดส้ัน จดจาได้ง่าย มีเนื้อหาสาระลึกซึ้งกินใจ จึงได้รับความนิยม แพร่หลายและมีการถ่ายทอดสืบต่อกนั มา
๑ ความเป็ นมา สุภาษติ พระร่วง เชื่อกนั มาแต่ เดมิ ว่าแต่งขนึ้ ในสมยั สุโขทยั แต่ ท้งั นีม้ ปี รากฏเป็ นหลกั ฐานว่าใน พ.ศ. ๒๓๗๙ รัชกาลที่ ๓ ได้ทรง สมุดไทยบนั ทกึ เร่ืองสุภาษติ พระร่วง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จารึก เรื่องสุภาษติ พระร่วงลงบนแผ่นศิลาประดบั ไว้บนฝาผนัง ภายในวดั พระเชตุพนวมิ ล มังคลาราม นอกจากจารึกเรื่องสุภาษิตพระร่วงที่วัดพระเชตุพนฯ แล้วยังพบเรื่อง บณั ฑติ พระร่วง พระนิพนธ์ในสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่ง เรื่องบณั ฑติ พระร่วงนีม้ ขี ้อความคล้ายคลงึ สุภาษติ พระร่วงมากและมเี นื้อเรื่องครบถ้วน กรมศิลปากรจึงใช้เป็ นเอกสารในการตรวจสอบชาระสุภาษิตพระร่วงจนเป็ นฉบับ สมบูรณ์
สุภาษติ พระร่วง ๖ สานวน ๑. ร่ายสุภาษติ พระร่วง ฉบับจารึกวดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม พระนิพนธ์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ๒. โคลงประดษิ ฐ์พระร่วง ฉบบั พระราชนิพนธ์ สมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ๓. ร่ายสุภาษิตพระร่วง ฉบับวดั เกาะ สานวนร่าย ๔. สุภาษิตพระร่วงคาโคลง ฉบบั พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัว ๕. ร่ายสุภาสิทตัง ฉบับวดั ลาด อาเภอเมือง จงั หวดั เพชรบุรี ๖. กาพย์สุภาษิตพระร่วง ฉบับวดั เกาะ สานวนกาพย์ ***สาหรับฉบับทนี่ ามาเป็ นแบบเรียนนี้ เป็ นสุภาษติ พระร่วงสานวนท่ี ๑
๒ ประวตั ิผู้แต่ง สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สุภาษติ พระร่วง ไม่ปรากฏนามผู้แต่งแน่นอนและพบหลายฉบบั สาหรับฉบับ ทน่ี ามาเป็ นแบบเรียนในหนังสือเล่มนีไ้ ด้รับการชาระโดยสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงเป็ นพระราชโอรส พระองค์ท่ี ๒๘ ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประสูติเม่ือวันเสาร์ท่ี ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๓๓ มีพระนามว่า พระองค์เจ้าวาสุกรี ทรงผนวชเป็ นภิกษุและ ประทับจาพรรษาท่ีวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จนตลอดพระชนมชีพ สิริรวม พระชนมายุได้ ๖๓ พรรษา
๓ ลกั ษณะคาประพนั ธ์ สุภาษิตพระร่วงแต่งด้วยคาประพันธ์ประเภทร่ายสุภาพ วรรคละ ๕-๘ คา ร่าย แต่ละวรรคมกี ารรับส่งสัมผสั อย่างสมา่ เสมอ โดยคาสุดท้ายของวรรคหน้าจะสัมผสั สระกบั คาในวรรคต่อไปแต่ไม่มีกาหนดตาแหน่งคารับสัมผัสท่ีตายตัวและจบด้วยโคลงสองสุภาพ ดงั ตัวอย่างต่อไปนี้ ร่ายสุภาพ ปางสมเดจ็ พระร่วงเจ้า เผ้าแผ่นภพสุโขทยั มลกั เห็นในอนาคต จึงผายพจน ประภาษเป็ นอนุสาสนกถา สอนคณานรชน….. โคลงสองสุภาพ แถลงเลศเหตุเลือกล้วน โดยอรรถอนั ถ่องถ้วน เลศิ อ้างทางธรรม แลนา ฯ
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง วรรณคดเี รื่องสุภาษติ พระร่วงเป็ น วรรณคดีคาสอนเรื่องสาคัญของไทย มี เนื้อหาสาระท่เี ป็ นประโยชน์ สามารถใช้เป็ น ข้อคิดหรือแนวทางในการดาเนินชีวิตได้ใน ทุกๆ ด้าน ดังจะยกตัวอย่างบทประพันธ์ แสดงให้เห็น ดงั นี้
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง (ต่อ) เมอ่ื น้อยให้เรียนวชิ า ให้หาสินเม่ือใหญ่ ทาอะไรให้เหมาะสมกับวยั จึงจะสาเร็จประโยชน์ และมีความ เจริญรุ่งเรือง
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง (ต่อ) หว่านพชื จกั เอาผล เลย้ี งคนจักกนิ แรง จะทาอะไรไม่ควรหวงั ผลประโยชน์
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง (ต่อ) น้าเชี่ยวอย่าขวางเรือ ทสี่ ุ้มเสือจงประหยดั ถ้าไปในทที่ อี่ นั ตราย ต้องระมัดระวงั ให้มาก
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง (ต่อ) ท่ไี ปจงมีเพอื่ น ทางแถวเถอ่ื นไคลคลา ไปไหนมาไหนควรมเี พ่ือนร่วมทางไปด้วย ยามอนั ตรายจะได้ช่วยเหลือกนั
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง (ต่อ) อย่าขอของรักมติ ร ชอบชิดมกั จางจาก ไม่ควรสร้างความลาบากใจให้กับเพื่อน เช่น การขอในส่ิงท่ี เพ่ือนรักและหวงโดยไม่เกรงใจอาจทาให้เสียเพื่อนไปได้
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง (ต่อ) อย่ายลเยีย่ งถ้วยแตกมิติด จงยลเย่ียงสัมฤทธิ์แตกมิเสีย เป็ นการสอนคนให้ทาตนแบบเคร่ืองสัมฤทธ์ิ ซึ่งเม่ือแตกหักแล้ว กน็ ามาหลอมใหม่ให้ดไี ด้ดงั เดมิ
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง (ต่อ) ยอครูยอต่อหน้า ยอข้าเม่ือแล้วกจิ ยอมติ รเมอ่ื ลบั หลงั ครูเป็ นผู้รู้ ย่อมไม่เหลงิ ต่อคายอ รู้จักชมข้าทาสเม่ืองานเสร็จเขาจะได้มีกาลงั ใจหายเหน่ือย กล่าวชมเพื่อนลบั หลงั เป็ นการชมอย่างจริงใจ ไม่เสแสร้ง
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง (ต่อ) เข้าออกอย่าวางใจ ระวงั ระไวหน้าหลงั ต้องรู้จกั ระมดั ระวงั ตวั ในการเดนิ ทางไปไหนมาไหน
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง (ต่อ) ข้างตนไว้อาวุธ เครื่องสรรพยทุ ธอย่าวางจิต ภยั อนั ตรายมไี ด้ทุกเมื่อ ควรรู้จกั ตระเตรียมตวั ป้องกนั เอาไว้ก่อน
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง (ต่อ) เจ้าเคยี ดอย่าเคียดตอบ นอบนบใจใสสุทธ์ิ เม่ือเจ้านายโกรธ อย่าโกรธตอบ ควรใจเยน็ และอ่อนน้อมถ่อมตน
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง (ต่อ) อย่าขุดคนด้วยปาก อย่าถากคนด้วยตา อย่าพูดจาทม่ิ แทงให้คนอื่นเสียหาย และอย่ามองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูก
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง (ต่อ) เผ่ากษตั ริย์เพลงิ งู อย่าดูถูกว่าน้อย อย่าดูถูกสิ่งต่างๆ เพราะส่ิงเหล่าน้ันอาจนาความเดือดร้อนมาสู่เราได้
คตสิ อนใจจากสุภาษติ พระร่วง (ต่อ) อย่ารักถา้ กว่าเรือน อย่ารักเดอื นกว่าตะวนั อย่าเห็นของมีประโยชน์น้อยดกี ว่าของมปี ระโยชน์มาก
๔ บทวเิ คราะห์ เน่ื องจากเนื้ อความของ สุ ภาษิต พระร่วง มีที่มาจากการรวบรวมคาสอน หรือสุภาษิตเก่าแก่ต้ังแต่สมัยโบราณเข้าไว้ ด้วยกัน จึงไม่มีการเรียงลาดับเนื้อความท่ี แน่นอน แต่สามารถสรุปได้ว่าคาสอนใน สุภาษิตพระร่วง แบ่งออกเป็ น ๒ ลักษณะ ได้แก่ คาสอนที่เป็ น ข้อห้าม และ คาสอนท่ี เป็ น คาแนะนา โดยสามารถนามาวเิ คราะห์ คุณค่าทางด้านเนื้อหาและด้านวรรณศิลป์ ได้ดงั นี้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192