Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พิชชานันท์

พิชชานันท์

Published by นัยวนา สงเล้ก, 2022-08-11 12:37:01

Description: พิชชานันท์

Search

Read the Text Version

ปจั จัยท่ีมีความสมั พันธ์ต่อพฤติกรรมการดแู ลสขุ ภาพฟันเพื่อปอ้ งกันโรคฟันผุ ของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 อาเภอนบพติ า จงั หวัดนครศรธี รรมราช Factors Associated withDental Health Care Behaviors for Dental Caries Prevention of Grade 6 Students, Amphoe Nopphitum, Changwat Nakhon Si Thammarat พิชชานันท์ แสนสุข โครงการวจิ ยั เพื่อพฒั นางานสร้างเสรมิ สุขภาพช่องปากน้ีเปน็ ส่วนหนงึ่ ของการศึกษา ตามหลักสูตรปรญิ ญาสาธารณสุขศาสตรบณั ฑิต (ทนั ตสาธารณสขุ ) วิทยาลยั การสาธารณสขุ สิรินธร จังหวดั ตรงั พ.ศ. 2562

ปัจจยั ท่ีมีความสัมพันธ์ต่อพฤตกิ รรมการดแู ลสขุ ภาพฟนั เพ่ือป้องกันโรคฟันผุ ของนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 อาเภอนบพิตา จงั หวัดนครศรีธรรมราช Factors Associated with Dental Health Care Behaviors for Dental Caries Prevention of Grade 6 Students, Amphoe Nopphitum, Changwat Nakhon Si Thammarat พชิ ชานันท์ แสนสุข โครงการวิจัยเพื่อพัฒนางานสรา้ งเสรมิ สุขภาพช่องปากน้ีเปน็ ส่วนหน่ึงของการศึกษา ตามหลกั สตู รปรญิ ญาสาธารณสขุ ศาสตรบณั ฑิต (ทนั ตสาธารณสขุ ) วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรนิ ธร จังหวัดตรัง พ.ศ. 2562





ก หัวเร่อื ง ปจั จัยทมี่ คี วามสมั พนั ธ์ต่อพฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพฟันเพอ่ื ปอ้ งกนั โรคฟนั ผุ ของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 อาเภอนบพติ า จงั หวดั นครศรธี รรมราช ชอ่ื นกั ศกึ ษา นางสาวพชิ ชานันท์ แสนสขุ หลักสตู ร สาธารสขุ ศาสตรบัณฑิต (ทนั ตสาธารณสขุ ) สถาบนั วิทยาลัยการสาธารณสขุ สิรินธร จงั หวดั ตรงั สถาบนั สมทบมหาวิทยาลยั บรู พา ปี 2562 บทคัดยอ่ การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเชิงสารวจภาคตัดขวาง (Cross-sectional survey research)โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุ และ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่าง จานวน 182 คน ใช้ วิธีการสุม่ ตวั อยา่ งแบบหลายข้ันตอน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์โดย ใช้รอ้ ยละ คา่ เฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน สถิติไคสแควร์ (Chi-square) สถิติ Fisher’s exact test และสถิติ Spearman Rank Correlation Coefficient ผลการวิจยั พบว่า ความรเู้ กี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟัน ผุอยู่ในระดบั สงู (7.82±1.83) ทัศนคตเิ กีย่ วกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟัน ผุอยู่ในระดับสงู (3.60±0.58) การรบั รเู้ กี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟัน ผุ อยู่ในระดับสูง (3.96±0.51) การเข้าถึงสถานบริการด้านทันตกรรม อยู่ในระดับปานกลาง (3.34±0.62) การได้รบั ข้อมูลขา่ วสารเกย่ี วกบั โรคฟันผุ อยู่ในระดับปานกลาง (3.00±0.65) การ สนับสนุนทางสังคมด้านการป้องกันโรคฟันผุ อยู่ในระดับสูง (3.49±0.56) พฤติกรรมการดูแล สุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุในภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง (2.67±0.27) อายุผู้ปกครอง และการรับรู้เก่ียวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุ มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 การได้รับแรงสนับสนุนจาก สงั คมดา้ นการปอ้ งกนั ผุ และการเข้าถึงสถานบรกิ ารด้านทันตกรรม มคี วามสัมพันธก์ บั พฤตกิ รรม การดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 อาเภอนบพิตา

ข จังหวัดนครศรีธรรมราช อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 เพศ บุคคลท่ีอาศัยอยู่ด้วย จานวนสมาชิกในครอบครัวของนักเรียน อาชีพของผู้ปกครอง ระดับการศึกษาของผู้ปกครอง รายได้ครอบครวั เฉลีย่ ต่อเดอื น จานวนเงนิ ท่ีนกั เรียนไดม้ าโรงเรยี น ความร้เู กี่ยวกบั พฤตกิ รรมการ ดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุ และทัศนคติเก่ียวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อ ป้องกันโรคฟันผุ ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุของ นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 อาเภอนบพิตา จงั หวดั นครศรีธรรมราช ผลการวิจัยน้ี สามารถนาไปช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพช่องปาก 1 โรงเรียนควรมีการ ดาเนินการให้ความรู้เร่ืองทันตสุขศึกษา โดยการสอดแทรกในเนื้อหาบทเรียนเก่ียวกับการแปรง ฟัน การบริโภคอาหาร การตรวจสุขภาพช่องปากด้วยตนเอง การไปพบทันตบุคลากร ความ เข้าใจท่ีและการปฏิบัติตัวถูกต้องในการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุ ควรจัดกิจกรรมใน โรงเรียนโดยเป็นการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการป้องกันโรคฟันผุจากเสียงตามสายหน้าเสาธง สอ่ื ส่งิ พมิ พ์ เพม่ิ ข้ึน คาสาคัญ: ฟนั ผุ, การดูแลสุขภาพฟัน, พฤติกรรมปอ้ งกนั โรคฟนั , นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

ค กิตติกรรมประกาศ โครงการวิจัยเพื่อพัฒนางานสร้างเสริมสุขภาพช่องปากน้ี ประสบผลสาเร็จลุล่วงไป ด้วยดีโดยได้รับการดูแลให้คาปรึกษา และชี้แนะแนวทางในการศึกษาคร้ังนี้ด้วยดี จากผ้ทู รงคุณวุฒหิ ลายๆท่าน ผู้ศึกษาจงึ ขอขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณอาจารย์ กาญจนชญา ศิริโชติ ประธานกรรมการควบคุม โครงการวจิ ยั เพอ่ื พัฒนางานสร้างเสริมสุขภาพช่องปาก อาจารย์ ทพญ.ณัฐพจี นรเศรษฐตระกูล กรรมการควบคุมโครงการวิจัยเพื่อพัฒนางานส่งเสริมสุขภาพช่องปาก และอาจารย์กมลวรรณ สุกแดง กรรมการสอบโครงการวิจัยเพ่ือพัฒนางานส่งเสริมสุขภาพช่องปาก ที่ให้ข้อเสนอแนะที่ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสอบโครงการวิจัยเพ่ือพัฒนางานส่งเสริมสุขภาพช่องปาก และการ สอบรายงานการศึกษาโครงการวิจัยเพอ่ื พัฒนางานส่งเสริมสุขภาพช่องปากทาให้วิจัยฉบับนี้ให้มี ความสมบรู ณ์ยิง่ ขน้ึ และแก้ไขขอ้ บกพรอ่ งของรายงานวิจัยฉบบั นมี้ าโดยตลอด ขอขอบพระคุณความร่วมมือจากนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษา อาเภอนบพิตา จงั หวัดนครศรีธรรมราช ทง้ั 10 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรยี นบ้านในตลู โรงเรยี นวัดนาเหรง โรงเรยี น เคียงศิริ โรงเรียนบ้านขุนทะเล โรงเรียนวัดคงคา โรงเรียนบ้านนบ โรงเรียนวัดเปียน โรงเรียน บา้ นปากลง โรงเรยี นบา้ นพังหรนั โรงเรียนบ้านโรงเหลก็ ทา่ นผู้อานวยการ และคณุ ครผู ู้เก่ียวขอ้ ง ที่ให้ความรว่ มมอื ในการเขา้ ร่วมเก็บรวบรวมข้อมลู วิจัย ขอขอบพระคณุ ผ้รู ู้ นักวิชาการ ผู้วจิ ัย ผเู้ ขยี นตาราต่าง ๆ ท่ีผู้ศึกษาได้หยิบยกข้อมูล ท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษาเฉพาะทางด้านสาธารณสุขในครั้งน้ี มาอ้างอิง สนับสนุนการศึกษา เพื่อให้มีผลลพั ธ์ท่ีดีข้ึนขอขอบพระคณุ คณาจารย์ วทิ ยาลยั การสาธารณสุขสริ นิ ธร จงั หวัดตรงั ทุก ท่าน ผศู้ กึ ษาขอขอบพระคุณทกุ ท่านไว้ ณ โอกาสน้ี พิชชานันท์ แสนสุข 13 ธนั วาคม 2562

ง สารบัญ หนา้ บทคดั ยอ่ ............……………………………………………………….…………………………………………...... ก กิตติกรรมประกาศ……………………………………………………………………....................................... ค สารบญั ...................................................................................................................……….….... ง สารบัญตาราง.......................................................................................................................... ฉ สารบัญภาพ............................................................................................................…............... ฌ บทท่ี 1 บทนา......................................................................................................………..……... 1 1.1 ความเปน็ มาและความสาคญั ของประเดน็ ปญั หา.................................................. 1 1.2 วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย...................................................................................... 3 1.3 คาถามการวจิ ยั ..................................................................................................... 3 1.4 สมมตฐิ านการวจิ ัย........................................................................…….................. 4 1.5 ขอบเขตของการวิจัย…..…………………................................................................... 4 1.6 กรอบแนวคดิ ……………………………………………………………….........................……… 6 1.7 คานิยามศัพท์เฉพาะ............................................................................................. 7 1.8 ผลการวิจยั ทคี่ าดวา่ จะได้รบั .................................................................................. 8 บทท่ี 2 การทบทวนวรรณกรรม.............................................................................................. 9 2.1 ความรู้เก่ียวกบั โรคฟนั ผ.ุ ....................................................................................... 9 2.2 ปจั จยั ทมี่ คี วามเส่ยี งตอ่ การเกิดโรคฟนั ผ.ุ ............................................................... 12 2.3 พฤตกิ รรมการปอ้ งกนั โรคฟนั ผ.ุ ............................................................................. 14 2.4 แนวคดิ เก่ยี วกบั ทัศนคติ......................................................................................... 22 2.5 แบบแผนความเชอ่ื ดา้ นสุขภาพ (Health Belief Model).................................... 24 2.6 แนวคดิ PRECEDE FRAMEWORK....................................................................... 27 2.7 แนวคิดทฤษฏแี รงสนบั สนนุ ทางสังคม (Social Support Theory)..................... 31 2.8 งานวิจยั ทเ่ี กี่ยวข้อง............................................................................................... 34 บทท่ี 3 วิธดี าเนนิ การทางวจิ ยั ................................................................................................ 37 3.1 รปู แบบการวจิ ยั .................................................................................................... 37

จ สารบญั (ตอ่ ) หน้า 3.2 ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง................................................................................... 37 3.3 เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัย....................................................................................... 45 3.4 การตรวจสอบคณุ ภาพเคร่อื งมอื ............................................................................ 51 3.5 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล.....................................................……................................ 52 3.6 การวเิ คราะหข์ อ้ มูล.......................……................................................................... 53 3.7 การพทิ ักษ์สทิ ธกิ์ ลมุ่ ตวั อย่าง.....…………………………………….........................….…… 54 บทที่ 4 ผลการวิจยั ……………................................................................................................... 55 4.1 สัญลกั ษณท์ ่ีใช้ในการเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ................................................ 55 4.2 ขนั้ ตอนการวเิ คราะหข์ ้อมลู ................................................................................... 56 4.3 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล…........................................................................................ 57 บทท่ี 5 สรุปผลและอภปิ รายผล.............................................................................................. 80 5.1 สรปุ ผลการวิจยั ..................................................................................................... 80 5.2 อภิปรายผลการวิจัย.............................................................................................. 83 5.3 ข้อเสนอแนะจากการวิจัย...................................................................................... 88 บรรณานุกรม.......................................................................................................................... 90 ภาคผนวก................................................................................................................................ 98 ภาคผนวก ก ผู้ทรงคุณวฒุ ติ รวจสอบเครื่องมอื ........................................................... 99 ภาคผนวก ข แบบสอบถามการวิจัย...........................................................................1. 00 ภาคผนวก ค การตรวจสอบคุณภาพเครอื่ งมอื ………...................................................111 ภาคผนวก ง หนงั สอื รับรองจรยิ ธรรมการวจิ ัยในมนุษย์..............................................115 ประวตั ผิ ู้ศกึ ษา.........................................................................................................................116

ฉ สารบัญตาราง ตารางท่ี หนา้ 2.1 ปรมิ าณยาสฟี นั ผสมฟลอู อไรด์ทแ่ี นะนา.................................................................... 17 3.1 จานวนนกั เรยี นแบ่งตามเกณฑ์การแบง่ ขนาดโรงเรียน………………………………........ 39 3.2 ขนาดโรงเรยี นประถมศกึ ษา..................................................................................... 40 3.3 ขนาดประชากรของนกั เรยี นประถมศกึ ษาปที ี่ 6…………………………………………..… 41 4.1 จานวนและร้อยละขอ้ มูลท่วั ไปของกลมุ่ ตวั อย่างนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 อาเภอนบพติ า จงั หวดั นครศรีธรรมราช (n = 182)………………………………………… 57 4.2 จานวนและร้อยละความรู้เกีย่ วกบั พฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพฟนั เพือ่ ปอ้ งกนั โรค ฟนั ผุ ของกลุ่มตวั อยา่ งของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 อาเภอนบพติ า จังหวดั นครศรีธรรมราช (n =182)…........................................................................ 59 4.3 จานวนรอ้ ยละของกลุ่มตวั อยา่ งจาแนกตามระดบั ความรู้เกี่ยวกับพฤตกิ รรมการ ดูแลสุขภาพฟนั เพื่อปอ้ งกันโรคฟนั ผุ ของกลมุ่ ตวั อย่างของนักเรยี นชั้น ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 อาเภอนบพติ า จงั หวัดนครศรธี รรมราช (n =182).................... 60 4.4 ค่าเฉลี่ย สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน และการแปลผลระดับทัศนคตเิ ก่ียวกับพฤตกิ รรม การดูแลสขุ ภาพฟนั เพอ่ื ปอ้ งกนั โรคฟนั ผุ ของกลมุ่ ตวั อยา่ งของนกั เรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปีที่ 6 อาเภอนบพติ า จงั หวดั นครศรธี รรมราช (n = 182).................. 61 4.5 จานวนรอ้ ยละของกลมุ่ ตวั อย่างจาแนกตามระดับทัศนคตเิ กยี่ วกบั พฤตกิ รรมการ ดูแลสขุ ภาพฟันเพือ่ ปอ้ งกันโรคฟนั ผุจาแนกตามรายขอ้ (n = 182)......................... 62 4.6 ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 อาเภอนบพิตา จงั หวัดนครศรธี รรมราช (n = 182).................. 63 4.7 จานวนร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งจาแนกตามระดบั การรับรเู้ กีย่ วกบั พฤตกิ รรม การดูแลสุขภาพฟันเพอื่ ปอ้ งกนั โรคฟันผุ (n = 182)............................................... 64 4.8 เฉลี่ย สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน และการแปลผลระดบั การเข้าถึงสถานบริการด้าน ทันตกรรมของกลุ่มตัวอย่างของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 6 อาเภอนบพิตา จังหวดั นครศรธี รรมราช (n = 182)......................................................................... 65 4.9 จานวนและร้อยละของกลุ่มตัวอยา่ งจาแนกตามระดับการเขา้ ถึงสถานบริการ ดา้ นทันตกรรม (n = 182)....................................................................................... 66

ซ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หน้า 4.10 คา่ เฉลย่ี สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน และการแปลผลระดับการไดร้ บั ขอ้ มูลขา่ วสาร เกย่ี วกับโรคฟันผุ ของกลุ่มตวั อย่างของนกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 อาเภอนบพติ า จงั หวดั นครศรธี รรมราช (n = 182)...................................................................................... 67 4.11 จานวนและรอ้ ยละของกล่มุ ตัวอย่างจาแนกตามการได้รบั ข้อมลู ข่าวสารเกย่ี วกบั โรคฟนั ผุ (n = 182)…………………………………………………………………………………. 68 4.12 ค่าเฉลย่ี สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการแปลผลระดับการสนบั สนนุ ทางสังคม ด้านการปอ้ งกนั โรคฟันผุ ของกล่มุ ตวั อย่างของนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 อาเภอ นบพติ จงั หวดั นครศรีธรรมราช (n = 182)............................................................................. 69 4.13 จานวนและร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ งจาแนกตามการสนบั สนนุ ทางสงั คมด้านการ ปอ้ งกนั โรคฟนั ผุ (n = 182)..................................................................................... 70 4.14 คา่ เฉลย่ี ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน และการแปลผลระดบั พฤติกรรมด้านการดแู ล สุขภาพฟนั เพื่อป้องกนั โรคฟนั ผุ ของกลมุ่ ตวั อยา่ งของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปี ท่ี 6 อาเภอนบพติ า จงั หวดั นครศรีธรรมราช (n=182)............................................ 72 4.15 จานวน รอ้ ยละ ของระดบั พฤติกรรมดา้ นการดแู ลสุขภาพฟันเพ่อื ปอ้ งกนั โรคฟนั ผุ ของกลมุ่ ตวั อย่างของนกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 อาเภอนบพติ า จงั หวดั นครศรีธรรมราช (n = 182)..................................................................................... 74 4.16 ความสมั พันธร์ ะหวา่ ง เพศ อายุผู้ปกครอง จานวนสมาชกิ ในครอบครวั ของ นกั เรยี น อาชีพของผปู้ กครอง ระดบั การศึกษาของผปู้ กครอง จานวนเงินท่ี นักเรียนไดม้ า โรงเรียน (บาท/วนั ) ของกลมุ่ ตวั อย่างของนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษา ปที ่ี 6 อาเภอนบพติ า จงั หวดั นครศรีธรรมราช (n = 182)....................................... 75 4.17 ผลการวิเคราะหป์ จั จัยที่มคี วามสมั พนั ธต์ ่อพฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพฟันเพอ่ื ปอ้ ง โรคฟนั ผุของนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 อาเภอนบพติ า จงั หวดั นครศรีธรรมรา (n = 182)............................................................................................................... 78

ฌ สารบัญภาพ ภาพท่ี หนา้ 1.1 กรอบแนวคดิ การวิจยั …............................................................................................ 6 2.1 แปรงตดิ ดาว............................................................................................................ 16 2.2 วิธีการแปรงฟันดา้ นนอก และด้านใน……………………….………………………………….. 18 2.3 วธิ แี ปรงดา้ นบดเคยี้ ว และแปรงลนิ้ ...........................................................................18 2.4 วิธีการใชไ้ หมขดั ฟนั …………............………..................................................................19 2.5 ตรวจฟนั ดา้ นนอก………………….......……………........................................................…20 2.6 ตรวจฟันดา้ นใน........................................................................................................ 20 2.7 ตรวจฟนั ฟันล่าง……………………………….................................................................... 21 3.1 ขน้ั ตอนการสุ่มตวั อยา่ ง.............................................................................................43

บทท่ี 1 บทนา 1.1 ความเป็นมาและความสาคัญของประเด็นปญั หา การมีสุขภาพของฟันและช่องปากท่ีไม่ดีส่งผลกระทบในวงกว้าง ท้ังต่อสุขภาพ โดยทวั่ ไป คุณภาพชีวติ ครอบครัวและเศรษฐกจิ เช่น การมีฟันผทุ าให้เด็กไม่สามารถรับประทาน อาหารท่ีเหมาะสมซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กรับประทานอาหารเหลวรสหวาน อาการปวดฟัน เป็นอปุ สรรคต่อการนอนหลับ การเจรญิ เตบิ โต พฒั นาการด้านอน่ื ๆ ตลอดจนการเรียนรแู้ ละยงั มี ผลเสียถึงค่าใช้จ่าย กิจวัตรประจาวันและสภาพจิตใจ ความไม่ม่ันใจในตนเองเน่ืองจากมีฟันผุ หรือมีกลิ่นปาก (วีระศักด์ิ พุทธาศรี และคณะ 2552: 1) เด็กนักเรียนช่วงช้ันประถมศึกษาถือ เป็นกลุ่มวัยสาคัญในการส่งเสริมทันตสุขภาพเพื่อป้องกันการเกิดโรคฟันผุ โรคฟันผุเป็นโรค ที่เริ่มพบได้ตั้งแต่ช่วงวัยเริ่มต้นของชีวิตจนถึงวัยผู้ใหญ่ (สุธา เจียมมณีโชติชัย, วรภรณ์ จิระ พงษา และปยิ ะดา ประเสริฐสม 2551 :40) แสดงให้เห็นว่าโรคฟันผุจะส่งผลต่อสุขภาพองค์รวม ของนักเรียน ทั้งกาย ใจ และสังคม จากรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่า ค่าเฉลี่ย ผุ อุด ถอน (DMFT) ของเด็กอายุ 12 ปีจากทั่วโลก โดยภาพรวมค่าเฉล่ีย ผุ อุด ถอนระดับโลกอยู่ที่ ประมาณ 1.86 ซ่ีต่อคน (World Health Organization, 2015) ซ่ึงมีแนวโน้มการลุกลามของโรค ฟันผุสูงข้ึนเร่ือย ๆ สาหรับประเทศไทยนั้น จากการสารวจสภาวะทันตสุขภาพแห่งชาติ คร้ังที่ 8 พ.ศ.2560 พบว่าสภาวะโรคฟันผุในกลุ่มเด็กอายุ 12 ปี มีฟันแท้ผุ ร้อยละ 52.0 มีค่าเฉลี่ย ผุ อุด ถอน (DMFT) เท่ากบั 1.4 ซ่ีตอ่ คน ท้ังนี้ฟนั ทีผ่ ุสว่ นใหญ่ท่ไี ม่ได้รับการรกั ษาคิดเป็นรอ้ ยละ 31.5 จากผลการสารวจในพฤติกรรมการแปรงฟันของเด็กอายุ 12 ปี การแปรงฟันหลัง อาหารกลางวันพบว่า ร้อยละ 13.3 แปรงฟันหลังอาหารกลางวันที่โรงเรียนทุกวัน ร้อยละ 31.4 แปรงบางวัน และร้อยละ 55.3 ตอบว่าไม่เคยแปรงเลย สถานการณ์เช่นน้ีสะท้อนให้เห็นว่า กิจกรรมการแปรงฟันหลังอาหารกลางวันที่โรงเรียนมีเด็กเข้าร่วมกิจกรรมน้อยลง (สานัก ทนั ตสาธารณสขุ กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข, 2560: 23) จากผลการสารวจในเร่ืองพฤติกรรมการบริโภคขนมและเครื่องด่ืม พบว่าน้าอัดลม เป็นเครื่องด่ืมท่ีมผี ลเสียต่อสขุ ภาพช่องปากอยา่ งชดั เจน เนื่องจากส่วนประกอบหลักของน้าอัดลม

2 คือน้าตาลซึ่งเป็นสาเหตุที่ทาให้เกิดโรคฟันผุ นอกจากน้ี น้าอัดลมยังมีค่าความเป็นกรดสูง คือมี pH ประมาณ 2.7-3.0 ทาให้การด่มื นา้ อดั ลมจะมีผลทาให้เกิดฟันกร่อนได้ด้วย ปัจจุบันน้าอัดลม เป็นเครอื่ งด่ืมท่ีหางา่ ยและเป็นทน่ี ยิ มของเดก็ เป็นอย่างมาก ในเด็กกลุ่มอายุ 12 ปี ส่วนใหญ่ร้อย ละ 57.4 ด่ืมน้าอัดลม สัปดาห์ละ 1-3 วัน ร้อยละ 13.4 ด่ืมน้าอัดลมเป็นประจาทุกวัน ร้อยละ 18.9 ไมด่ ื่มนา้ อัดลมเลย เดก็ ท้งั ในเขตเมืองและชนบทมีพฤตกิ รรมการดื่มน้าอัดลมไม่แตกตา่ งกนั ส่วนพฤติกรรมการด่มื นา้ หวาน น้าผลไม้ ซึ่งมีส่วนประกอบหลักเป็นน้าตาล เด็กในภาคใต้มีร้อย ละการด่ืมเป็นประจาทุกวันมากที่สุดร้อยละ 16.0 โดยภาพรวมแลว้ สามารถสรุปได้ว่า น้าอัดลม น้าหวาน และน้าผลไม้เป็นเคร่ืองด่ืมท่ีอยู่ในชีวิตประจาวันของเด็ก นอกจากนั้น การกินลูกอม การบริโภคขนมถุงกรุบกรอบซึ่งมีส่วนผสมของแป้งและน้าตาลเป็นส่วนประกอบหลัก เป็นอีก พฤตกิ รรมหนึง่ ท่ที าใหเ้ กดิ ภาวะเส่ียงต่อการเกิดโรคฟันผุ จากการสารวจพบว่า ส่วนใหญ่จะเป็น แบบนานๆ ครง้ั หรือบางวนั ในขณะท่ีพฤติกรรมการบริโภคขนมกรุบกรอบกลับมีทิศทางเพิ่มข้ึน อย่างมาก โดยพบว่าร้อยละ 32.6 บริโภคขนมเหล่าน้ี อัตราส่วนการบริโภคขนมถุงกรุบกรอบ เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการด่ืมน้าอัดลมของเด็ก หากแต่พบว่า การบริโภคขนมชนิดนี้เป็น ประจามีอัตราส่วนมากกว่าการด่ืมน้าอัดลม (สานักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวง สาธารณสขุ , 2560: 23-24) จากการสารวจสภาวะทันตสุขภาพช่องปากเด็กอายุ 12 ปี ในระดับภาคใต้พบว่ามีฟัน แทผ้ ุ รอ้ ยละ 44.0 มคี า่ เฉลี่ย ฟันผุ อุด ถอน (DMFT) เท่ากับ 1.1 ซ่ีต่อคน (สานักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, 2560: 33-34) ซ่ึงตา่ กว่าเกณฑใ์ นระดับประเทศแต่ยังพบว่าเป็น ปัญหาในกลมุ่ เดก็ อายุ 12 ปี ทีม่ ฟี ันแท้ผุ จากการสารวจโรคฟันแท้ผุของเด็ก 12 ปี ใน 14 จังหวัดภาคใต้ พบว่าจังหวัด นครศรีธรรมราชมีร้อยละของฟันผุเท่ากับ 42.19 เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นในภาคใต้ พบว่าผลการ สารวจค่อนข้างสูง เป็นปัญหาสาคัญท่ีต้องศึกษาเพ่ือเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาโรคฟันผุใน จังหวัดนครศรีธรรมราช ข้อมูล ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562 จากข้อมูล HDC : ข้อมูล ทนั ตกรรม (บรกิ าร) ปี 2562 จากผลการสารวจโรคฟนั แท้ผุของสานักงานสาธารณสขุ จงั หวัดนครศรธี รรมราชในปี พ.ศ. 2561 พบวา่ เด็กอายุ 12 ปี ในอาเภอนบพิตามีค่าประสบการณ์การเกิดโรคฟันผุสูงสุดของ จงั หวัดนครศรธี รรมราช เทา่ กบั รอ้ ยละ 60.89 ซึง่ สูงกว่าเกณฑ์ในระดบั ประเทศและระดับภาคใต้ พบว่าเป็นปัญหาในกลุ่มเด็กอายุ 12/ปี ท่ีมีฟันแท้ผุ (สานักงานสาธารณสุข จังหวัด นครศรีธรรมราช, 2561)

3 จากปญั หาและข้อมูลข้างตน้ ทาให้ทราบถงึ พฤติกรรมต่างๆ ที่เป็นความเส่ียงกับการ เกดิ โรคฟันผุของเดก็ ชว่ งอายุ 12 ปี ซ่ึงเป็นประเด็นสาคัญที่มีความจาเป็นท่ีต้องศึกษา และยังไม่ พบการวิจยั ในประเด็นดังกล่าวข้างต้นในนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัด นครศรีธรรมราช ทาให้ผู้วิจัยมีความสนใจศึกษาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแล สุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัด นครศรีธรรมราช โดยนาแนวคิด PRECEDE FRAMEWORK มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี สาหรับการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้นาขั้นตอนท่ี 4 การวินิจฉัยด้านการศึกษา ( Education Diagnosis) มาเป็นแนวทางในการสร้างแบบสอบถามและสร้างกรอบแนวคิด และนาผลและ ปัญหาที่พบจากการศึกษาคร้ังนี้ เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและพัฒนาหรือเพ่ิมทักษะในการ ป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช แกห่ น่วยงานทีเ่ ก่ยี วขอ้ งและผู้สนใจเพือ่ ลดปญั หาทม่ี ีผลต่อสุขภาพช่องปากของนักเรียน 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจยั 1.2.1 เพื่อศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 อาเภอนบพติ า จงั หวดั นครศรีธรรมราช 1.2.2 เพ่อื ศึกษาปัจจยั ทีม่ ีความสมั พนั ธต์ ่อพฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกนั โรคฟันผุของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรธี รรมราช 1.3 คาถามของการวิจยั 1.3.1 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 6 อาเภอนบพิตา จังหวดั นครศรีธรรมราช เปน็ อยา่ งไร 1.3.2 ปัจจยั ใดท่ีมีความสัมพนั ธ์ตอ่ พฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพฟนั เพ่ือป้องกันโรคฟัน ผุของนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช 1.4 สมมติฐานการวจิ ยั 1.4.1 ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุผู้ปกครอง บุคคลที่อาศัยอยู่ด้วย จานวน สมาชิกในครอบครัวของนักเรียน อาชีพของผู้ปกครอง รายได้เฉล่ียของครอบครัว (ต่อเดือน) ระดบั การศกึ ษาของผูป้ กครอง จานวนเงนิ ท่ีนกั เรียนไดม้ าโรงเรียน (บาท/วนั ) มีความสัมพันธ์ต่อ

4 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอ นบพิตา จงั หวัดนครศรีธรรมราช 1.4.2 ปัจจยั นา ไดแ้ ก่ ความรู้เกย่ี วกบั พฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรค ฟันผุ ทัศนคติเก่ียวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุ การรับรู้เก่ียวกับ พฤตกิ รรมการดแู ลสขุ ภาพฟนั เพื่อปอ้ งกันโรคฟนั ผุ มคี วามสมั พนั ธ์ตอ่ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 อาเภอนบพิตา จังหวัด นครศรธี รรมราช 1.4.3 ปัจจัยเอื้อ ได้แก่ การเข้าถึงสถานบริการทันตกรรม มีความสัมพันธ์ต่อ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอ นบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช 1.4.4 ปจั จัยเสริม ได้แก่ การได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพฤติกรรมการป้องกันโรค ฟันผุ การได้รับแรงสนับสนุนจากสังคม มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อ ป้องกนั โรคฟนั ผุของนักเรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช 1.5 ขอบเขตของการวจิ ยั 1.5.1 ขอบเขตดา้ นประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง ประชากร คือ นักเรียนท่ีกาลังศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัด นครศรธี รรมราช ประจาปกี ารศึกษา 2562 จานวน 286 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนท่ีกาลังศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษาปีท่ี 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรธี รรมราช ปีการศึกษา 2562 จานวน 165 คน ซ่ึงได้จากการคานวณกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตร Krejcie & Morgan (1970 อ้างใน กรรณิกา เรืองเดช ชาวสวนศรีเจริญ, 2560: 148) ผู้วิจัยจึง เพ่มิ การเก็บข้อมลู อกี ร้อยละ 10 จงึ มีขนาดกลุ่มตัวอย่างจานวนท้ังส้นิ 182 คน 1.5.2 ขอบเขตด้านเนอ้ื หา เป็นการวิจัยเชิงสารวจภาคตัดขวาง (Cross-sectional survey research) ศึกษา เกี่ยวกับปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุของ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราชโดยใช้ PRECEDE FRAMEWORK และงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ฟนั เพือ่ ปอ้ งกันโรคฟนั ผขุ องนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 เพื่อนามาเป็นกรอบแนวคิด

5 1.5.3 ขอบเขตด้านตัวแปร 1.5.3.1 ตวั แปรอสิ ระ 1) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ บุคคลท่ีอาศัยอยู่ด้วย อาชีพของ ผูป้ กครอง รายไดเ้ ฉล่ยี ของครอบครัว (ต่อเดอื น) ระดบั การศกึ ษาของผูป้ กครอง 2) ปัจจยั นา ไดแ้ ก่ (1) ความร้เู กี่ยวกบั พฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพฟันเพอ่ื ปอ้ งกนั โรคฟันผุ (2) ทศั นคติเกีย่ วกับพฤติกรรมการดแู ลสขุ ภาพฟนั เพื่อป้องกนั โรคฟนั ผุ (3) การรับรเู้ ก่ียวกับพฤตกิ รรมการดูแลสุขภาพฟนั เพ่ือป้องกันโรคฟันผุ 3) ปัจจัยเอื้อ ไดแ้ ก่ (1) การเขา้ ถงึ สถานบริการด้านทันตกรรม 4) ปจั จยั เสริม ได้แก่ (1) การได้รับขอ้ มูลขา่ วสารเกย่ี วกบั การปอ้ งกนั โรคฟนั ผุ (2) การได้รบั แรงสนับสนุนจากสงั คมดา้ นการป้องกันโรคฟนั ผุ 1.5.3.2 ตัวแปรตาม พฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุของ นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 6 อาเภอนบพิตา จงั หวัดนครศรธี รรมราช 1) การแปรงฟัน 2) การตรวจสขุ ภาพชอ่ งปากด้วยตนเอง 3) การบรโิ ภคอาหาร 4) การไปพบทนั ตแพทยห์ รอื บคุ ลากรดา้ นทนั ตสาธารณสขุ 1.5.4 ขอบเขตดา้ นระยะเวลา ระยะเวลาเกบ็ รวบรวมข้อมลู อยู่ในช่วงเดอื นพฤศจิกายน-เดอื นธันวาคม พ.ศ. 2562

6 1.6 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ตัวแปรอสิ ระ ตัวแปรตาม (Dependent Variables) (Independent Variables) 1. ปจั จยั สว่ นบคุ คล พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ฟนั เพอื่ ป้องกนั โรคฟันผุ 1.1 เพศ 1.2 อายุผู้ปกครอง 1) การแปรงฟนั 1.3 บุคคลท่ีอาศยั อยู่ดว้ ย 2) การตรวจสุขภาพช่องปาก 1.4 จานวนสมาชิกในครอบครวั ของนักเรียน ดว้ ยตนเอง 1.5 อาชีพของผปู้ กครอง 3) การบรโิ ภคอาหาร 1.6 ระดับการศกึ ษาของผู้ปกครอง 4) การไปพบทันตแพทย์หรือ 1.7 รายไดค้ รอบครวั เฉลีย่ ต่อเดอื น บุคลากรดา้ นทันตสาธารณสขุ 1.8 จานวนเงินท่นี ักเรียนได้มาโรงเรยี น (บาท/วัน) 2. ปัจจัยนา 2.1 ความรู้เก่ียวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟัน เพ่ือป้องกนั โรคฟันผุ 2.2 ทัศนคติเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟัน เพื่อป้องกนั โรคฟนั ผุ 2.3 การรบั รู้เกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟัน เพ่อื ป้องกันโรคฟันผุ 3. ปัจจัยเอ้อื 3.1 การเขา้ ถึงสถานบริการด้านทนั ตกรรม 4. ปจั จยั เสรมิ 4.1 การไดร้ บั ขอ้ มลู ข่าวสารเก่ียวกบั การโรคฟันผุ 4.2 การไดร้ บั แรงสนบั สนนุ จากสังคม ภาพท1ี่ .1 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั

7 1.7 คานิยามศัพท์เฉพาะ 1.7.1 บคุ คลทอ่ี าศยั อยู่ดว้ ย หมายถึง บดิ ามารดา หรอื ผู้ท่รี บั ผิดชอบเล้ยี งดูและดูแล นักเรยี นท่ีกาลงั ศึกษาช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช 1.7.2 นักเรยี นระดบั ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช หมายถึง นักเรียนที่กาลังศึกษาช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2562 อาเภอนบพิตา จังหวดั นครศรธี รรมราช 1.7.3 อาชพี ของผูป้ กครอง หมายถึง อาชีพหลักของผู้ปกครองที่เป็นผู้ดูแลหลักของ นักเรยี นทีก่ าลงั ศกึ ษาชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 อาเภอนบพติ า จงั หวัดนครศรธี รรมราช 1.7.4 รายได้เฉล่ียของผู้ปกครอง (คนดูแลหลัก) หมายถึง รายได้ผู้ปกครองของ นักเรียนที่กาลังศกึ ษาช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 อาเภอนบพิตา จงั หวัดนครศรธี รรมราช 1.7.5 ระดับการศึกษาของผู้ปกครอง หมายถึง การศึกษาสูงสุดของผู้ปกครองของ นกั เรยี นทีก่ าลังศกึ ษาชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จงั หวัดนครศรีธรรมราช 1.7.6 พฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุ หมายถึง การป้องกันโรค ฟันผุของนักเรียนท่ีกาลังศึกษาช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช เช่น การแปรงฟัน การตรวจสุขภาพช่องปากด้วยตนเอง การบริโภคอาหาร การไปพบทันทันตแพทย์หรือ บคุ ลากรด้านทันตสาธารณสุข 1.7.7 ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุ หมายถึง นักเรียนท่ีกาลังศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช สามารถ อธิบาย และข้อมูลเกี่ยวกับโรคฟันผุ เนื้อหาเกี่ยวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกัน โรคฟนั ผุ ไดแ้ ก่ การแปรงฟัน การบริโภคอาหาร การตรวจสุขภาพช่องปากด้วยตนเอง และการ เขา้ พบทันตแพทยห์ รือบคุ ลากรดา้ นทนั ตสาธารณสขุ 1.7.8 ทัศนคติเก่ียวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุ หมายถึง ความเช่ือ ความรู้สึกนึกคิดของนักเรียนที่กาลังศึกษาช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช ท่มี ตี อ่ การดแู ลสขุ ภาพฟันเพอ่ื ปอ้ งกันโรคฟนั ผุ 1.7.9 การรบั รู้เก่ยี วกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุ หมายถึง ความรสู้ กึ ความเข้าใจความเชอื่ เกีย่ วกับประโยชน์ ความเสย่ี ง ในเรือ่ งพฤตกิ รรมการดแู ลสขุ ภาพ ฟนั เพ่ือปอ้ งกันโรคฟันผุของนักเรียนช้ันที่กาลังศึกษาประถมศึกษาปีท่ี 6 อาเภอนบพิตา จังหวัด นครศรธี รรมราช ทม่ี ตี ่อการดแู ลสุขภาพฟันเพื่อปอ้ งกนั โรคฟนั ผุ

8 1.7.10 การเข้าถึงสถานบริการด้านทันตกรรม หมายถึง นักเรียนท่ีกาลังศึกษาชั้น ประถมศกึ ษาปีที่ 6 อาเภอนบพติ า จงั หวัดนครศรธี รรมราช ได้รบั บรกิ ารดา้ นทนั ตกรรมเคลอ่ื นที่ จากทันตแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ทันตสาธารณสุข ผู้ปกครองพาไปพบทันตแพทย์ หรือเจ้าหน้าท่ี ทนั ตสาธารณสขุ 1.7.11 การได้รับข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกัน โรคฟันผุหมายถึง การที่นักเรียนท่ีกาลังศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัด นครศรีธรรมราช ได้รับความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคฟันผุจากส่ือต่างๆ เช่น วารสาร หนังสอื พมิ พ์ แผ่นพบั โทรทศั น์ เสียงตามสาย บอรด์ ความรู้ กิจกรรมหนา้ เสาธง มหกรรมรณรงค์ ครู บุคลากรทันตสาธารณสขุ เปน็ ตน้ 1.7.12 การได้รับแรงสนับสนุนจากสังคม หมายถึง การที่นักเรียนที่กาลังศึกษาชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับการกระตุ้นเตือน คาแนะนา การดูแลเอาใจใส่เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพช่องปาก จากบุคคลในครอบครัว เพื่อน ทันตบุคลากร และครู เป็นตน้ 1.8 ผลการวิจัยท่ีคาดว่าจะได้รับ 1.8.1 สามารถนาผลการวิจัยไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาเป็นโปรแกรมการ ส่งเสรมิ ทันตสขุ ศกึ ษา ให้นกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 อาเภอหรือจงั หวัดอ่ืนๆ 1.8.2 เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสาหรับเจ้าหน้าที่ทันตสาธารณสุขหรือบุคลากร นาผล การศึกษา ไปใช้ในการวางแผนปรับเปล่ียนพฤติกรรมทันตสุขภาพเพื่อแก้ไขปัญหาโรคฟันผุใน นกั เรยี นตอ่ ไป

บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้วิจัยได้ทาการ ทบทวนวรรณกรรม เพอ่ื นามาเปน็ แนวทางในการทาวิจัย ดงั ต่อไปนี้ 2.1 ความรู้เกยี่ วกับโรคฟนั ผุ 2.2 ปจั จยั ที่มีความเสย่ี งตอ่ การเกดิ โรคฟันผุ 2.3 พฤติกรรมการปอ้ งกันโรคฟนั ผุ 2.4 แนวคดิ เกี่ยวกับทัศนคติ 2.5 แบบแผนความเชอื่ ด้านสขุ ภาพ (Health Belief Model) 2.6 แนวคดิ PRECEDE FRAMEWORK 2.7 แนวคดิ ทฤษฏแี รงสนบั สนุนทางสงั คม (Social Support Theory) 2.8 งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง 2.1 ความร้เู ก่ยี วกบั โรคฟันผุ 2.1.1 ความหมายของโรคฟนั ผุ โรคฟนั ผุ หมายถงึ สภาวะทีฟ่ ันมีการสูญเสียเคลือบฟันและเนื้อฟัน ทาให้ผิวฟันเกิด เป็นหลุมหรือโพรง เรียกว่า รูผุของฟัน โรคฟันผุเป็นปัญหาท่ีพบมากในประชากรตั้งแต่วัยเด็ก และเป็นปัญหาสุขภาพสาคัญของประชากรกลุ่มวัยนี้ ฟันท่ีผุแล้วไม่อาจกลับคืนมาเป็นฟันปกติ แต่สามารถยบั ยั้งไมใ่ หก้ ารผุลุกลาม และบรู ณะใหใ้ ชง้ านได้ สาหรบั วยั ทางานและผู้สูงอายุ อัตรา ฟันผใุ หมจ่ ะน้อยลง ฟนั ท่ีผุส่วนใหญจ่ ะเป็นฟันท่ผี สุ ะสมมาก่อนหน้า และพบการผุบรเิ วณรากฟัน เพม่ิ ขนึ้ (เมธนิ ี คุปพิทยานนั ท์ และสพุ รรณี ศรวี ริ ิยกลุ , 2555: 10) 2.1.2 กระบวนการเกดิ โรคฟันผุ ข้ันตอนท่ี 1 เชื้อจลุ ินทรยี ์ + น้าตาล ทาให้เกดิ กรด + คราบจุลินทรีย์ ขัน้ ตอนที่ 2 คราบจุลนิ ทรีย์ + ฟนั ทาใหเ้ กดิ ฟันผุ

10 เชื้อจุลินทรีย์ที่ทาให้เกิดโรคฟันผุ ได้แก่ กลุ่ม Green Negative Streptococcus เชน่ Streptococcus mutan น้าตาล ได้จากน้าตาลท่ีผสมอยู่ในอาหารหรืออาหารประเภทแป้ง เป็นน้าตาลที่มี การย่อยสลายเป็นนา้ ตาลเชิงเดี่ยว เชน่ กลูโคส ซูโครส เป็นต้น เช้ือจุลนิ ทรีย์จะเปลยี่ นน้าตาลใหเ้ ปน็ กรดได้ในเวลาเพยี ง 5 นาที เทา่ นน้ั คราบจุลินทรีย์ (Plaque) มีลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ ใสและเหนียวเกิดจาก เช้อื จลุ ินทรีย์ทีเ่ กาะตดิ กบั ฟันได้รบั อาหารประเภทน้าตาล และมีการสะสมบนผิวฟันมากขึ้นและ มกี ารแบง่ เซลลเ์ พม่ิ จานวนขน้ึ เร่อื ย ๆ สะสมอยู่ทกุ ช่องของผวิ ฟัน ดา้ นประชิดของฟัน บริเวณคอ ฟันท่ตี ิดกบั เหงอื กซงึ่ เป็นสว่ นทที่ าความสะอาดยาก 2.1.3 ปจั จยั หลักทเี่ กยี่ วข้องกบั การเกิดโรคฟันผุ โรคฟันผเุ ปน็ โรคตดิ เชือ้ ท่ีไม่ได้เกิดครัง้ เดียวเหมอื น โรคติดเชอ้ื ทว่ั ไป แต่เป็น กระบวนการที่เกิดต่อเนื่องเป็นเวลานาน รูผุจะเกิดข้ึนในคนท่ีได้สัมผัสกับปัจจัย ที่เป็นสาเหตุ บอ่ ยๆ หรือเป็นระยะเวลานาน โอกาสท่ีจะเกดิ ฟันผุยากหรอื ง่ายในแต่ละบุคคลอาจพิจารณา ได้ จากลักษณะขององค์ประกอบ และสภาพแวดล้อมที่เก่ียวข้องได้ (สานักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย, 2555: 11) ดังน้ี 2.1.3.1 ฟันท่ีเหมาะสม (Susceptible teeth) ลักษณะโครงสร้างของฟัน สร้างข้ึนมาแข็งแรงสมบูรณ์ และมีฟลูออไรด์เป็นส่วนประกอบน้ัน จะมีลักษณะแข็ง เรียบ ทนทาน และมคี วามต้านทานต่อกรดได้ดี แต่ถ้าฟันท่ีสร้างขึ้นมาไม่แข็งแรง อ่อนยุ่ย ทาให้ฟันไม่ ทนทานตอ่ กรดและผุได้ง่าย ฟนั มลี ักษณะขรุขระ สามารถจะเป็นที่กักเก็บเศษอาหารและมีแผ่น คราบจุลินทรีย์เกาะติดได้ง่าย และฟันท่ีมีลักษณะซ้อนเก จะกาจัดแผ่นคราบจุลินทรีย์ออกได้ ลาบาก ทาใหฟ้ ันผเุ ร็วขึ้น 2.1.3.2 จุลินทรีย์ (Microorganisms) ท่ีมีอยู่ในช่องปากมีหลายชนิด แต่มี บางชนดิ เทา่ น้นั ที่มีสว่ นทาให้เกดิ ฟันผุ คอื Streptococci การทีเ่ ชอื้ จลุ นิ ทรียจ์ ะกอ่ ใหเ้ กดิ ฟนั ผไุ ด้ ตอ้ งมีจานวนมากพอ เชอ้ื เหลา่ นจี้ ะเพิ่มจานวนได้ต่อเมื่อได้รับอาหารจาพวกแป้งและน้าตาล ถ้า ไม่มีอาหารทีเ่ หมาะสมตอ่ การเจรญิ เตบิ โต ก็จะทาใหเ้ กิดฟนั ผุลดลง 2.1.3.3 สารอาหาร (Substrate) โดยเฉพาะแป้งและน้าตาล มีลักษณะอ่อน นิ่มและเหนียวติดฟันง่าย เป็นอาหารอย่างดีสาหรับจุลินทรีย์ท่ีใช้ในการเจริญเติบโตและเพิ่ม จานวน ถ้าเป็นอาหารที่มีรสหวานจัด เหนียวติดฟัน ความถี่บ่อย ก็จะยิ่งเพ่ิมกรดที่จะไปทาลาย เน้ือฟนั มากขึ้น

11 2.1.3.4 ระยะเวลาท่ีเหมาะสม (Time) การเกิดโรคฟันผุจะไม่เกิดข้ึน ทนั ทีทนั ใดหลังจากท่ีรบั ประทาน อาหารจาพวกแปง้ หรอื นา้ ตาล กรดทีเ่ กิดข้นึ น้นั จะสมั ผสั กับตัว หรอื ผวิ ฟันในระยะเวลาหน่ึงและการทาลายของฟนั จะค่อยเปน็ คอ่ ยไป ต้งั แตไ่ ม่สามารถมองเห็น ดว้ ยตาเปล่าจนสามารถมองเหน็ เป็นรู หรอื เปน็ โพรงขึน้ นน้ั จะใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับ ความเขม้ ขน้ ของสาเหตนุ นั้ (สจุ นิ ต์, 2535 อ้างถึงใน อาซีย๊ะ แวหะยีและคนอื่นๆ, 2560) นอกจากนป้ี ัจจยั เสรมิ อื่นๆ เช่น ระยะเวลา การไม่ได้รับฟลูออไรด์ ปริมาณและการ ไหลของน้าลายทนี่ อ้ ยลง พฤติกรรมการดแู ลสขุ ภาพชอ่ งปากที่ไม่ดี มีส่วนทาให้เกิดรอยโรคฟันผุ ไดเ้ ชน่ กัน ดังน้ันการดูแลอนามัยช่องปาก ได้แก่ การแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน จะช่วยลดการ เกาะติดและการสะสมของแผ่นคราบจุลินทรีย์ ทาให้การสะสมของเชื้อไม่ถึงจุดท่ีก่อให้เกิดโรค โดยปกติในชอ่ งปากมกี ารทาความสะอาดตามธรรมชาติจากการบดเคี้ยว การเคล่ือนไหวของลิ้น และแก้มร่วมกับการไหลของน้าลายท่ีสม่าเสมอ จะเป็นตัวซะล้างแบคทีเรียออกจากช่องปาก อินมูโนโกลบูลิน (Immunoglobulin) และเอนไซม์ (Enzyme) ในน้าลายจะช่วยกาจัดและ ทาลายแบคทีเรียได้บางสว่ น รวมทง้ั รักษาสมดุลของภาวะความเป็นกรด-ด่างด้วยคุณสมบัติของ การมีความจุบัปเฟอร์ (Buffer capacity) ของน้าลาย ทาให้ pH ในปากสงู ข้นึ (วรางคณา ชดิ ชว่ ง ชัย‚ 2558: 31) 2.1.4 ลักษณะอาการและการลกุ ลามของโรคฟันผุและการรกั ษา กระบวนการเกิดโรคฟันผุจะดาเนินไปอย่างช้าๆและมีขั้นตอน ซึ่งประกอบด้วย 4 องคป์ ระกอบหลกั หากขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง ก็จะไม่เกิดโรคฟันผุ (ภาวิณี ดวงศรี‚ 2552: 22) การผแุ บง่ ออกเป็น `4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การผุในชัน้ เคลอื บฟนั จะเห็นเคลอื บฟนั เป็นรอยขุ่นขาว ไม่มีรูผุ ผู้ป่วยยัง ไม่มีอาการใดๆ หากหยุดย้ังปัจจัยท่ีทาให้เกิดฟันผุ และเสริมการคืนกลับของแร่ธาตุท่ีผิวฟัน รอยโรคจะหยดุ และกลบั ไปมีลกั ษณะเหมือนเคลอื บฟันปกติ หรอื เป็นสขี าว หรือสีน้าตาล ระยะท่ี 2 การผุถึงชั้นเนื้อฟัน แต่ไม่ถึงโพรงประสาทฟัน เป็นระยะท่ีเห็นรอยโรค ชดั เจน เพราะเกิดหลุมหรือโพรงบนผิวฟันและเน้ือฟัน ซึ่งอาจเห็นได้โดยตรง หรือเป็นเงามืดใต้ เคลือบฟัน ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการ หรือมีอาการเสียวฟัน ปวดฟันบ้าง เป็นระยะท่ีต้องได้รับการ รกั ษาโดยวธิ ีอุดฟนั เพอ่ื ใหฟ้ นั ใช้งานได้ตามปกติ และหยุดการลุกลามของโรคฟนั ผุ ระยะท่ี 3 ฟันผุถึงช้ันโพรงประสาทฟัน ซ่ึงเป็นการผุลุกลามต่อจากระยะท่ี 2 ส่วน ใหญ่จะเหน็ เป็นรอยผุชัดเจน ผุกว้างและลึก จะเกิดอาการเจ็บปวด ทรมานมาก ซ่ึงรักษาได้โดย การรักษาคลองรากฟันหรอื ถอนฟัน

12 ระยะท่ี 4 การผุลุกลามถึงโพรงประสาทฟัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดฟันมาก เชื้อโรค อาจลุกลามเกิดฝีท่ีปลายรากฟัน รวมทั้งอาจลุกลามไปยังเน้ือเยื่อและอวัยวะข้างเคียง ทาให้ ใบหน้า ลาคอบวม เจ็บปวดมาก บางครัง้ อาจเปน็ อันตรายถึงชีวิต การรกั ษาเพ่ือเก็บฟันไว้ใช้งาน ต้องรักษารากฟัน และทาครอบฟัน ซึ่งยุ่งยาก เสียเวลา และมีค่าใช้จ่ายสูง หรือบางครั้งอาจทา ไมไ่ ด้ ต้องถอนฟนั ซ่ีนัน้ ทง้ิ 2.2 ปจั จัยท่ีมคี วามเส่ยี งตอ่ การเกดิ โรคฟนั ผุ โรคฟันผุไม่ใชโ่ รคท่ีเกดิ ขึ้นในครั้งเดยี ว แต่เปน็ โรคท่ีเกิดอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลานาน คนที่มคี วามเส่ยี งตอ่ การเกดิ โรคฟนั ผุอาจเปน็ คนท่ีฟนั ไดส้ ัมผัสกบั ปจั จยั สาเหตบุ อ่ ย หรอื ถ่กี ว่าคน อืน่ ซึ่งปัจจยั เส่ียง (ชุติมา ไตรรัตน์วรกุล, 2554: 15-16) ได้แก่ 2.2.1 เชื้อจลุ ินทรีย์ ในทารกจะพบเช้ือสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์ (Streptococcus mutans) ซึ่งเป็น สาเหตุของการเกิดโรคฟันผุ เชื้อจะถูกถ่ายทอดจากมารดา บดิ า หรือผู้ดูแลทารกไปสู่ทารก หาก ผู้ดแู ลทารกมีปรมิ าณเชื้อเช้ือสเตรป็ โตคอคคสั มวิ แทนส์ มากกจ็ ะถ่ายทอดไปสู่ทารกมาก Köhler และ Bratthall (Köhler และ Bratthall, 1978 อ้างถึงใน ชุติมา ไตรรัตน์ วรกุล, 2554: 15) กล่าวว่า เด็กอายุ 2-3 ปี ท่ีมีปริมาณเช้ือสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์มากจะมี ความเส่ียงสูงต่อการเกิดโรคฟันผุในฟันเด็กน้านม จากผลการศึกษาของ Ravald และ Birkhed (Ravald และ Birkhed, 1991 อ้างถึงใน ชุตมิ า ไตรรตั นว์ รกลุ , 2554: 15) พบว่า ในคนทมี่ ีอัตรา ผุสูงจะพบว่าสัมพันธ์กับปริมาณเช้ือโรคที่เป็นสาเหตุสูง ส่วนในคนท่ีมีอัตราผุต่าหรือไม่ผุเลยจะ พบปรมิ าณเชื้อน้อย 2.2.2 นา้ ลาย น้าลายทาหน้าท่ีสาคัญในการป้องกันการเกิดฟันผุ โดยช่วยชะล้างอาหาร ลดความ เป็นกรดในคราบจุลนิ ทรีย์ อัตราการหลัง่ ของนา้ ลายมีความสาคัญในกระบวนการชะล้าง ซึ่งการ เค้ียวจะช่วยกระตุ้นการสร้างน้าลายและทาให้การชะล้างของน้าลายเพ่ิมข้ึน Powell, Mancl และ Senft (Powell, Mancl และ Senft, 1991 อ้างถงึ ใน ชตุ ิมา ไตรรตั น์วรกลุ , 2554: 15-16) กล่าวว่า การไหลของน้าลายจะเพ่ิมในเด็กเล็กจนถึงอายุประมาณ 10 ปี จากนั้นการไหลของ น้าลายจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจนเป็นผู้ใหญ่ ในผู้สูงอายุพบว่ามีการไหลของน้าลายลดลง การไหล ของนา้ ลายไม่ไดเ้ กี่ยวขอ้ งกับอายโุ ดยตรง แต่อาจเกดิ จากผลขา้ งเคยี งของยาบางชนิดที่ทาให้การ ไหลของนา้ ลายลดลง ในกรณที ่ตี ่อมนา้ ลายทางานลดลงจะทาให้เกิดฟนั ผุเพมิ่ ขึ้น

13 2.2.3 พฤติกรรมการรบั ประทานอาหาร การรับประทานอาหารท่ีทาให้เกิดโรคฟันผุข้ึนกับหลายปัจจัย Bowen และคณะ (Bowen และคณะ, 1980 อ้างถึงใน ชุติมา ไตรรัตน์วรกุล, 2554: 16) ได้ทาการศึกษาใน สตั วท์ ดลอง พบว่าเม่อื กินแป้งและนา้ ตาลซูโครสรว่ มกันจะมีโอกาสทาให้เกิดโรคฟันผุสูงมาก ซึ่ง เป็นผลมาจากอัตราการชะล้างท่ชี า้ นอกจากปจั จัยภายในของอาหารแล้ว วธิ กี ารรบั ประทานอาหารยังเปน็ ปจั จยั หนงึ่ ทมี่ ี ผลต่อการเกิดโรคฟันผุมาก Newbrun (Newbrun, 1979 อ้างถึงใน ชุติมา ไตรรัตน์วรกุล, 2554: 16) กล่าวว่า ความถขี่ องการรับประทานจะทาให้เกดิ โรคฟันผุมากขน้ึ 2.3 พฤติกรรมการปอ้ งกันโรคฟนั ผุ ประกอบด้วยพฤติกรรมที่สาคัญ 3 ด้าน คือ พฤติกรรมการบริโภคอาหารตามชนิด รูปแบบ และแบบแผนท่ีมปี ระโยชนต์ อ่ สุขภาพ หลกี เลย่ี งการบริโภคอาหารท่ีเป็นโทษต่อสุขภาพ พฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปาก และพฤติกรรมการตรวจและเฝ้าระวังสุขภาพช่องปากของ ตนเอง พฤติกรรมเหลา่ นเ้ี ป็นเร่ืองของการปฏิบตั ใิ นกจิ วัตรประจาวนั ซึ่งจะต้องสร้างและปลูกฝัง ต้ังแต่เด็ก เพ่ือให้ปฏิบัติจนเกิดเป็นความเคยชิน และพัฒนาเป็นนิสัยถาวรเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ (สานักทนั ตสาธารณสขุ กรมอนามัย, 2555: 22) 2.3.1 พฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารทมี่ ปี ระโยชน์ตอ่ สุขภาพชอ่ งปาก ชนิดของอาหารท่ีมปี ระโยชน์ต่อสขุ ภาพชอ่ งปาก คือ อาหารท่ีมีประโยชน์ต่อ สุขภาพร่างกาย ทุกระบบ ส่วนอาหารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพช่องปากคือ อาหารจาพวกแป้ง และนา้ ตาล ซงึ่ อาจเปน็ อันตรายตอ่ สุขภาพทว่ั ไปด้วย การบรโิ ภคแปง้ และนา้ ตาลจานวนมากเปน็ ปัจจัยเสี่ยงของโรคอ้วน โรคเบาหวาน และเป็นสาเหตุท่ีทาให้เกิดโรคฟันผุ น้าตาลเป็นสารท่ี เช้อื จลุ นิ ทรียใ์ นช่องปากใชส้ รา้ งกรด และสรา้ งสารท่ีช่วยให้เช้ือจุลินทรีย์ยึดติดกับผิวฟัน น้าตาล ทท่ี าใหเ้ กดิ โรคฟนั ผไุ ดม้ ากท่สี ดุ คือนา้ ตาลซโู ครส หรอื นา้ ตาลทราย ส่วนน้าตาลกลูโคส มอลโตส ฟรุกโตสทาให้เกิดฟันผุรองลงมา และน้าตาลแลคโตสทาให้เกิดฟันผุน้อยท่ีสุด สาหรับอาหาร จาพวกแปง้ จะถกู เอนไซม์อะไมเลส (enzyme amylase) ในน้าลาย ย่อยสลายให้เป็นน้าตาลซ่ึง เชื้อจุลนิ ทรีย์นามาสรา้ งกรดได้ ความสมั พนั ธ์ระหว่างอาหารกับการเกิดโรคฟันผุ ไม่ใช่มีแต่เพียง ชนดิ ของอาหาร ยงั มีประเด็นอ่นื ๆ ท่ีตอ้ งพจิ ารณาร่วมดว้ ย ได้แก่ 2.3.1.1. ความถี่ในการบริโภค ลักษณะของอาหาร และระยะเวลาท่ีอาหาร ตกค้างในช่องปาก เมื่ออาหารเข้าสู่ช่องปาก อาหารบางส่วนจะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์

14 บางสว่ นถูกดดู ซมึ ผ่านเยอื่ บุช่องปาก บางส่วนถูกย่อยสลายโดยเอนไซม์ในน้าลาย และส่วนใหญ่ คลกุ เคล้าไปกับน้าลายและถูกกลืนลงไป อาหาร ในรูปแบบของแข็ง ของเหนียวข้น จะคงอยู่ใน ปากนานกวา่ อาหารทอ่ี ยู่ในรูปแบบของเหลว การรับประทาน จุบจิบ รับประทานอาหารเหนียว ติดฟนั เชน่ ตงั เม ทอฟฟี่ ผลไมก้ วน มะขามหวาน รวมทง้ั ขนมถงุ อาหาร เหลา่ นจี้ ะอยู่ในช่องปาก เปน็ เวลานาน จุลนิ ทรีย์จึงสร้างกรดได้อย่างต่อเน่ือง ส่งผลให้ผิวฟันสูญเสียแร่ธาตุ ไปมากกว่าท่ี คืนกลับสู่ผิวฟัน อาหารจาพวกแป้ง เช่น เบเกอรี่ต่าง ๆ ที่รวมตัวกับน้าลายเป็นก้อนเละๆ ขจัด ออกได้ยาก อาจก่อให้เกิดโรคฟนั ผไุ ดม้ ากกวา่ นา้ ตาล เพราะตกคา้ งในปากไดน้ านกว่า ดังนนั้ ขนม ทมี่ ี แป้งและน้าตาล เช่น ขนมปัง เบเกอรี่ คุกก้ี ขนมหวานจะทาใหเ้ กิดฟันผไุ ดม้ าก 2.3.1.2. ความสามารถของอาหารที่จะกระตุ้นการไหลของน้าลาย อาหาร จาพวกเนยแข็ง และ อาหารท่ีมีเส้นใยเช่น ผัก ผลไม้ท่ีต้องเคี้ยว สามารถกระตุ้นการหล่ังของ นา้ ลายได้มาก น้าลายจะช่วยชะล้าง ลดการตกค้างของเศษแป้งและน้าตาลในช่องปาก เจือจาง และสะเทินฤทธ์ิกรดที่เกิดข้ึน แร่ธาตุในน้าลาย สามารถช่วยป้องกันการละลายเกลือแร่ออกมา จากฟนั (demineralization) และชว่ ยในกระบวนการคืนกลับเกลือแร่สู่ฟนั (remineralization) 2.3.1.3 องค์ประกอบโดยรวมของอาหาร ดูท้ังม้ือว่ากินอะไรไปบ้าง ลาดับ อาหารที่กิน ดูผลรวมท่ีเกิดจากอาหารท้ังมื้อ อาหารจาพวกโปรตีนและไขมันจะขัดขวางการนา นา้ ตาลเข้าเซลล์ของจลุ นิ ทรยี ์ จึงไมเ่ กิดกรด หรอื ทาใหเ้ กิดกรดไดน้ อ้ ยลง นม และผลิตภัณฑ์จาก นม เช่น เนยแข็งมีแคลเซียมฟอสเฟต และเคซีน ซ่ึงมีฤทธ์ิเป็นด่าง จะช่วยส่งเสริมการคืนกลับ ของแรธ่ าตสุ ู่ผวิ ฟนั 2.3.1.4 ปัจจัยเฉพาะบุคคล เช่น ปริมาณ การไหล และระดับความเป็นกรด ด่างของน้าลาย การดูแลอนามัยช่องปาก การมีประวัติฟันผุ การกินยาบางอย่าง หรือมีโรค ประจาตัวบางอย่าง โดยท่ัวไปอาจกล่าวได้ว่า การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับการ เกิดโรคฟันผุ สิ่งที่อาจมีผลมากกว่าชนิดของอาหารคือ ความถ่ีในการบริโภค ลักษณะอาหาร และวิธีการกิน ข้อแนะนาการกนิ อาหารเพื่อลดความเส่ยี งตอ่ การเกดิ โรคฟนั ผุ 1) กนิ อาหารทสี่ มดลุ อดุ มไปด้วยธญั พืช ผกั ผลไม้ 2) กินอาหารท่ีมีองค์ประกอบหลากหลาย เช่น เพ่ิมผัก ผลไม้สด ใน มื้อ อาหาร ผลติ ภณั ฑ์จากนม อาจกนิ ในมือ้ อาหารหรือระหว่างม้ืออาหารกไ็ ด้ ส่วนอาหารที่ทาให้ ฟันผุและเคร่อื งด่มื รสหวาน เปร้ียว ให้กนิ ในมือ้ อาหาร 3) แปรงฟัน หรือบ้วนปาก หรือเคี้ยวหมากฝรั่งท่ีไม่มีน้าตาลหลังรับ ประทานอาหาร เพือ่ กระตุน้ การไหลของนา้ ลาย

15 4) การดื่มนมหลงั กนิ อาหาร จะชว่ ยสนบั สนนุ การคืนกลับของแร่ธาตุ สูผ่ วิ ฟนั เพราะนมอุดมไปด้วยแคลเซียม 5) เครือ่ งดม่ื รสหวาน ควรดม่ื รวดเดียวมากกวา่ จิบอมในปาก 6) ลาดับการกินก็มีผล เช่น กินน้าหวานก่อนเนยแข็งดีกว่ากินเนย แขง็ ก่อนกนิ น้าหวาน 7) ลดการกินจุบจิบ และไมด่ ่ืมน้าหวาน หรอื รับประทานอาหารก่อน เข้านอน 8) ไม่พาเด็กเข้านอนพร้อมให้ดูดขวดใส่นมหรือน้าผลไม้ (สานัก ทันตสาธารณสขุ กรมอนามยั , 2555: 22-23) 2.3.2 การดูแลอนามัยช่องปาก วิธีดูแลรักษาอนามัยช่องปากขั้นพื้นฐานที่บุคคลต้องปฏิบัติด้วยตนเองอย่าง สม่าเสมอเป็นประจาทกุ วันคอื การแปรงฟัน 2.3.2.1 การแปรงฟัน มีวัตถุประสงค์เพ่ือทาความสะอาดช่องปาก ขจัดเศษ อาหารตกคา้ ง กาจัดและควบคุมคราบจลุ ินทรีย์บนผวิ ฟัน ทาใหร้ ู้สึกปากสะอาดสดชืน่ การแปรง ฟันเป็นวิธีการป้องกันโรคฟันผุและโรคปริทันต์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะการแปรงฟันทาให้ปาก สะอาด ขจัดเศษอาหารไม่ให้ตกค้างในช่องปาก และช่วยลดจานวนเช้ือจุลินทรีย์ในช่องปาก รวมทัง้ ยาสีฟันสว่ นใหญม่ ฟี ลอู อไรด์ซ่งึ เป็นสารป้องกันฟนั ผุ รวมอยูด่ ้วย และเพือ่ ให้การแปรงฟัน เกิดประสิทธิผลด้านการป้องกันโรคปริทันต์ จึงต้องให้ความสาคัญกับการแปรงบริเวณคอฟัน เพราะคราบจลุ ินทรียใ์ นบริเวณดังกลา่ วเปน็ สาเหตทุ ที่ าใหเ้ กิดโรคเหงือกอักเสบ และโรคปริทันต์ อักเสบ การแปรงฟันที่มีประสทิ ธผิ ลในการป้องกันโรคฟนั ผแุ ละโรคปรทิ ันต์ จะต้องเป็นการแปรง ฟันที่มีคุณภาพ คือสามารถขจัดเศษอาหารท่ีตกค้างในช่องปาก และขจัดคราบจุลินทรีย์ที่เกาะ อยู่บนผิวฟันได้เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งต้องไม่ทาอันตรายต่อเหงือก และมีความสม่าเสมอในการ ปฏิบัติด้วย การแนะนาประชาชนให้สามารถแปรงฟันได้อย่างมีคุณภาพ ทีมสร้างเสริมสุขภาพ จะต้องมีความรู้มิติต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับพฤติกรรมการแปรงฟัน และคุณภาพของการแปรงฟัน ซึ่งมีอยหู่ ลายประการ ดงั นี้ 1) การเลือกใช้แปรงสีฟัน ควรเลือกใช้แปรงสีฟันที่ขนแปรงชนิดขนอ่อนนุ่ม หรือนุ่มพิเศษ ปลายขนแปรงมน ด้ามแปรงตรงหรือเอียงทามุมเล็กน้อย ขนาดของด้ามแปรงจับถนัดมื อ แข็งแรงไมเ่ ปราะหกั ง่าย ขนาดของหัวแปรงเหมาะกบั ชอ่ งปาก สามารถสอดแปรงเขา้ ถงึ ฟันไดท้ ่ัว

16 ทุกซ่ี และมีขนแปรงหนาแน่นจัดเป็นกระจุกเรียงกันเป็นแถวชิดกัน 3-4 แถว อาจพิจารณา เลอื กใช้แปรงสฟี ันที่แสดงมาตรฐานแปรงสีฟันท่ไี ด้รบั การตรวจ โดยกรมอนามัย ซึ่งใช้สัญลักษณ์ “แปรงติดดาว” และมีฉลากซึ่งระบุว่าเป็นแปรงใช้ในช่วงอายุใด (สานักทันตสาธารณสุข กรม อนามยั , 2555: 25) ดงั ภาพ ภาพที่ 2.1 แปรงตดิ ดาว ท่ีมา : สานกั ทนั ตสาธารณสขุ กรมอนามัย,2555: 25 2) ยาสฟี นั การใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ที่ความเข้มข้น 1,000 1,055 1,100 และ 1,250 สว่ นในล้านสว่ น สามารถลดฟันผุในชุดฟันผสม และฟันแท้ได้เฉลี่ยร้อยละ 23 (ร้อย ละ 19-27) โดยความเขม้ ขน้ ของฟลอู อไรด์ 1,500 สว่ น ในลา้ นส่วน จะส่งผลให้ประสิทธิภาพใน การป้องกันฟันผุเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6 เมื่อเปรียบเทียบกับ 1,000 ส่วนในล้านส่วน ในฟัน น้านมการใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ประมาณ 1,000 ส่วนในล้านส่วนสามารถลดฟันผุได้ ร้อยละ 31 สาหรับประสทิ ธิภาพในการลดฟันผุของยาสีฟันที่มีความเข้มข้นของฟลูออไรด์น้อยกว่า 600 สว่ นในลา้ นส่วน ยงั ไม่ชดั เจน ข้อบ่งชี้ แนะนาให้ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ในทุกกลุ่มอายุและทุก ระดบั ความเสี่ยงตอ่ การเกิดฟันผุ เพราะเปน็ การป้องกันฟันผุขนั้ พ้นื ฐาน (ทันตแพทย์สมาคมแห่ง ประเทศไทยฯ 2560: 1) (1) วิธใี ช้ยาสฟี นั ผสมฟลูออไรด์ - แปรงฟนั ดว้ ยยาสีฟนั ผสมฟลอู อไรดอ์ ย่างน้อยวนั ละ 2 ครง้ั คือ เชา้ และก่อนนอน - ผลข้างเคียง คือ การกลืนยาสีฟัน ซ่ึงจะส่งผลให้เด็กได้รับ ฟลอู อไรด์มากเกินไป เพ่มิ โอกาสการเกดิ ฟันตกกระ

17 - การใช้ยาสีฟันผสมฟลอู อไรด์ ในเด็กเลก็ ควรใชค้ วามระมดั ระวัง โดยเฉพาะช่วงก่อนอายุ 2 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เส่ียงมากที่สุดต่อการเกิดฟันตกกระของฟันหน้า แท้บน ส่วนการใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรดใ์ น เดก็ ทีส่ ามารถควบคมุ การกลนื ได้แลว้ ควรบว้ นน้าแต่ น้อยเพอ่ื ใหฟ้ ลูออไรดอ์ ยู่ในชอ่ งปากมากท่สี ดุ - ในกรณีทีเ่ ด็กเส่ียงต่อการเกดิ ฟันผสุ งู อาจพจิ ารณาใช้ยาสฟี ันที่ มีความเข้มข้นของฟลูออไรด์ มากกว่า 1,000 แต่ไม่เกิน 1,500 ส่วนในล้านส่วน โดยผู้ปกครอง เป็นผูแ้ ปรงฟนั ตารางที่ 2.1 ปริมาณยาสีฟนั ผสมฟลูออไรดท์ แ่ี นะนา ช่วงอายุ ปรมิ าณยาสีฟนั ผสม คาแนะนาเพมิ่ เตมิ ฟลูออไรด์ ฟันซีแ่ รกข้นึ – อายตุ า่ กวา่ 3 ผู้ปกครองแปรงให้และเช็ดฟอง ปี (1,000 ส่วนในล้านส่วน) ออก อายุ 3 – อายุตา่ กวา่ 6 ปี ผู้ปกครองบีบยาสีฟันให้และ แตะขนแปรงพอเปยี ก ชว่ ยแปรงฟัน อายุ 6 ปขี ้ึนไป ให้เด็กแปรงเอง และผู้ปกครอง เทา่ กบั ความกวา้ งของแปรง ตรวจซ้า เทา่ กับความยาวของแปรง ทมี่ า : ทนั ตแพทยส์ มาคมแหง่ ประเทศไทยฯ 2560: 2 3) วิธีการแปรงฟัน โดยฝกึ วธิ แี ปรงฟนั แบบ ขยับ-ปดั (Modified Bass Technique) ซึ่ง เป็นวิธีที่แนะนาสาหรับเด็กที่มีอายุมากกว่า 6 ปี และผู้ใหญ่ ในการฝึกเด็กนักเรียนให้แปรงฟัน ส่ิงที่ต้องให้ ความสาคัญ คือ การแปรงฟันอย่างมีคุณภาพ ซ่ึงหมายถึง แปรงได้สะอาด (คราบ จุลินทรีย์เหลือน้อยที่สุด) แปรงได้ท่ัวถึง (แปรงฟันทุกซี่ ทุกด้าน เน้นขอบเหงือก คอฟัน) แปรง นาน 2 นาทีเพ่ือใหฟ้ ลอู อไรด์ มผี ลในการปอ้ งกันฟันผุ และแปรงสม่าเสมอ (แปรงฟนั ทุกวนั อย่าง นอ้ ยวนั ละ 2 ครงั้ ) เมือ่ แปรงฟัน หลงั อาหารมื้อเย็นหรอื ก่อนนอนแลว้ ตอ้ งไม่รบั ประทานอะไรอีก ควรเลือกใชแ้ ปรงสีฟันที่มขี นแปรงนุ่มหรือ นุ่มพิเศษเพ่ือไม่ทาอันตรายต่อเหงือกและฟัน (แปรง

18 แล้วไม่ทาให้ลิ้นหรือเหงือกเป็นแผล และไม่ทาให้ ฟันสึก) วิธีแปรงฟันด้านในและด้านนอก ให้ วางขนแปรงเอียง 45 องศาตรงรอยต่อระหว่าง ขอบเหงือกและฟัน ขยับแปรงไปมาสั้นๆ ใน แนวนอน แล้วปัดขนแปรงไปทางปลายฟัน ให้แปรงทั้งฟันบน และฟันล่าง ทั้งด้านซ้ายและขวา ดังภาพ ภาพที่ 2.2 วธิ กี ารแปรงฟนั ดา้ นนอก และดา้ นใน ทีม่ า : สานกั ทนั ตสาธารณสขุ กรมอนามยั , 2555: 50 ภาพท่ี 2.3 วธิ แี ปรงดา้ นบดเค้ยี ว และแปรงลนิ้ ท่ีมา : สานกั ทนั ตสาธารณสขุ กรมอนามยั , 2555: 51 ขอ้ ควรระวังในการแปรงฟันแบบขยบั ปัด คือต้องใชแ้ ปรงขนนุ่ม และวางแปรงให้ขน แปรงเอยี ง ทามมุ กับตัวฟัน เพื่อให้ขนแปรงสามารถแทรกไป ทาความสะอาดบริเวณร่องเหงือก ได้ การวางขนแปรง ตั้งฉากกับซ่ีฟัน และถูไปมา นานๆ เข้าจะทาให้ คอฟันสึกและเหงือกร่นได้ (มักพบได้ตอนเป็นผู้ใหญ่) รวมท้ังหากขนแปรงแข็ง ก็จะทาให้คอฟันสึกมากขึ้น นอกจากฝึกให้ เด็กแปรงฟันหลงั อาหารกลางวนั ท่โี รงเรียนแลว้ ควรกาชับและมีระบบ ติดตามให้เด็กแปรงฟันท่ี บา้ นหลงั อาหารเย็น หรอื ก่อนนอนด้วย 2.3.2.2 ไหมขดั ฟนั ใชก้ าจดั คราบจลุ ินทรยี ท์ ีซ่ อกฟนั ดา้ นของฟันที่ชิดติดกัน จึงมี โอกาสเกดิ ฟันผุ และเหงือกบรเิ วณซอกฟนั เกิดการอักเสบได้งา่ ย การดูแลรักษาสุขภาพช่อง ปากใหด้ ีอยูเ่ สมอ ตอ้ งกาจดั คราบจุลินทรีย์บรเิ วณซอกฟันเป็นประจาทุกวัน โดยท่ัวไปแนะนาให้

19 ใชไ้ หมขัดฟันทาความสะอาดฟนั ในบรเิ วณนี้เป็นประจาอย่างน้อยวันละครั้งกอ่ นการแปรงฟัน ใช้ ระหว่างซี่ฟัน และถูกดึงให้โอบรอบตัวฟัน ขยับไป-มา ขึ้น-ลง ช่วยขูดคราบจุลินทรีย์และเศษ อาหารท่ีติดอยู่ตามซอกฟันออกมา ไหมขัดฟันส่วนใหญ่มีสีขาว มีการแต่งกลิ่น และมีท้ังชนิดท่ี เคลอื บและ ไม่เคลือบขี้ผ้งึ การใช้ไหมขดั ฟนั ถา้ ทาไมถ่ กู วธิ ีอาจทาใหเ้ กดิ อันตรายตอ่ เหงอื กได้ จึง ต้องฝึกวิธีใช้ให้ถูกต้อง การใช้ในคร้ังแรกๆ ควรเลือกไหมขัดฟันชนิดเคลือบข้ีผ้ึง เพราะจะใช้ได้ งา่ ยกวา่ 1) วธิ ีใชไ้ หมขัดฟนั (1) ใชไ้ หมขดั ฟนั ยาวประมาณ 1 ฟุต ผูกปลาย 2 ข้างเข้าดว้ ยกนั ให้ เป็นวงกลม ใชน้ ว้ิ หวั แมม่ ือและน้วิ ชด้ี ึงเสน้ ใยใหต้ งึ (2) ค่อย ๆ ถเู ส้นใยไปมาให้ผ่านจุดสัมผสั ของฟัน 2 ซ่ี ทีต่ ้องการทา ความสะอาด หา้ มใชแ้ รงกดผ่านจุดสมั ผัสโดยตรง เพราะอาจยงั้ มอื ไม่อยู่และเสน้ ใยบาดเหงือกได้ เม่อื ผา่ นจุดสมั ผสั เขา้ ไปอยู่ระหวา่ งฟันสองซี่แล้ว ดงึ เสน้ ใยให้โอบแนบกับด้านข้าง ของฟันทลี ะซี่ (3) ขยับเส้นใย ขึ้น-ลง ไป-มา คล้ายเลื่อยเพื่อครูดเศษอาหารและ คราบจลุ ินทรยี ์ออก ทาแบบน้จี นครบทุกซอกฟัน และอย่าลืมใช้ไหมขัดฟันกับด้านท้ายของฟันซี่ ในสดุ ดว้ ย ภาพที่ 2.4 วธิ ีการใช้ไหมขดั ฟนั ท่ีมา : สานักทนั ตสาธารณสขุ กรมอนามยั , 2555: 27 2.3.3 การตรวจและเฝา้ ระวังสขุ ภาพชอ่ งปาก 2.3.3.1 การตรวจฟนั ด้วยตนเอง ฝกึ ให้เดก็ ตรวจฟนั ด้วยตนเองเพื่อให้ทราบว่าแปรงฟันสะอาดดี มีฟันผุ เหงือก อกั เสบหรือมสี ิ่งผิดปกตใิ นช่องปาก เม่ือตรวจพบปญั หาจะได้รีบแกไ้ ขไดท้ นั เวลา วธิ ตี รวจฟันดว้ ย ตนเองสามารถทาได้ ดงั น้ี

20 1) ตรวจฟนั หนา้ ใหย้ มิ้ กับกระจกในทา่ ยิงฟนั ขยบั ริมฝปี ากขึ้นให้ เหน็ ตวั ฟันและขอบเหงอื ก (ภาพ 1) สาหรบั ฟันหลังใชน้ ิ้วรง้ั มมุ ปากข้นึ -ลงใหเ้ หน็ ตวั ฟัน และขอบ เหงือก ของฟนั กรามซี่ในสดุ ตรวจท้งั ฟนั บนและฟนั ล่าง ท้ังดา้ นซ้ายและขวา ภาพท่ี 2.5 ตรวจฟันดา้ นนอก ที่มา : สานกั ทนั ตสาธารณสขุ กรมอนามยั , 2555: 52 2) ตรวจฟันด้านใน ฟันบนเงยหน้าอ้าปาก เอียงหน้าไปทางซ้ายและขวา (ภาพ 4, 5) ภาพท่ี 2.6 ตรวจฟนั ด้านใน ท่มี า : สานกั ทนั ตสาธารณสขุ กรมอนามัย, 2555: 52

21 3) ฟันลา่ งกม้ หน้าอา้ ปาก เอยี งหนา้ ไปทางซา้ ยและขวา (ภาพ 6, 7) ภาพที่ 2.7 ตรวจฟันฟนั ลา่ ง ท่ีมา : สานักทนั ตสาธารณสขุ กรมอนามยั , 2555: 52 2.3.3.2 การพบทนั ตบุคลากร (ปยิ ะวรรณ์ กาคา‚ 2557: 37) กรณที ่ีมีส่ิงผิดปกติในชอ่ งปาก ควรไปพบทนั ตบุคลากรเพอื่ รับการตรวจวินิจฉัยและ ขอคาปรกึ ษา โดยปกตจิ ะมีคาแนะนาให้ไปพบทันตบคุ ลากรทกุ ๆ 6 เดือน เพ่อื ตรวจหารอยโรค และส่ิง ผิดปกติในช่องปาก ความถี่ในการไปพบทันตบุคลากรขึ้นอยู่กับความเส่ียงต่อการเกิดโรค ในกลุ่มท่ีมี ความเสี่ยงสูงควรไปพบทันตบุคลากรทุกๆ 3 เดือน ในกลุ่มท่ีมีความเสี่ยงต่าควรไปพบทันตบุคลากร ทุกๆ 6 เดือน หรือ 1 ปี การดูแลทันตสุขภาพโดยเจ้าหน้าที่ทันตสาธารณสุขประกอบด้วยกิจกรรมท่ี สาคญั 4 ประการ คอื 1) การใหค้ วามรู้เรื่องทางทนั ตสขุ ศึกษาหรือทันตสขุ ภาพ 2) การสง่ เสริมทนั ตสุขภาพ 3) ทนั ตกรรมป้องกัน 4) การบาบดั รักษาและฟื้นฟู 2.4 แนวคิดเกี่ยวกบั ทัศนคติ ทัศนคติหรือเจตคติ (Attitude) มาจากรากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า (aptus) ซึ่งมี ความหมายว่าเหมาะเจาะ (Fitness) หรือการปรุงแต่ง (Adaptness) มีหลายท่านท่ีให้ ความหมายของคาว่า Attitude แตกต่างกัน ส่วนมากมีความเห็นพ้องว่าทัศนคติมีแนวโน้มท่ีจะ ก่อให้เกิดพฤติกรรม

22 ประภาเพ็ญ สุวรรณ (2520: 41) กล่าวว่า ความเชื่อ ความรู้สึกของบุคคลท่ีมีต่อส่ิง ตา่ ง ๆ เชน่ บคุ คล ส่ิงของ การกระทาสถานการณ์และอน่ื ๆ รวมทงั้ ท่าทที แ่ี สดงออกทบ่ี ่งบอกถึง สภาพจติ ใจทีม่ ตี อ่ ส่งิ ใดส่ิงหน่ึง บญุ ธรรม กจิ ปรดี าบริสทุ ธ์ิ (2524: 68) กลา่ วว่า ปฏิกิริยาท่ีแสดงออกของคนเราท่ีมี ต่อส่งิ เร้าต่าง ๆ เชน่ วัตถุ เหตุการณห์ รอื บุคคล สชุ า จนั ทร์เอม (2542: 97) กลา่ ววา่ นามธรรมท่ีเกดิ จากการเรียนรู้ประสบการณ์ใน ชีวติ ของบุคคล ทัศนคติมคี วามสาคัญต่อการตอบสนองทางสังคมของบุคคล คือ ทัศนคติจะเป็น ตัวกาหนดพฤติกรรม ทัศนคติเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพของบุคคล หรือบุคคลที่มีทัศนคติ สิ่งแวดลอ้ มตา่ ง ๆ ในลักษณะที่แตกตา่ งกนั ออกไป ประภาเพ็ญ สุวรรณ (2526: 18) กล่าวว่า ส่ิงส่งเสริม หักล้างแรงขับ (Drive) แรงจูงใจ (Motivation) ถ้าทัศนคติในการทางาน ทาให้เกิดการปฏิบัติงานของตนก้าวหน้า ถ้าทศั นคตไิ ม่ดตี ่อการปฏบิ ตั งิ านไมข่ วนขวายในการทางาน ขาดความรบั ผิดชอบกท็ าใหท้ างานไม่ ก้าวหน้า ทัศนคติ คือ ความคิดเหน็ ท่ถี ูกกระตนุ้ ด้วยอารมณ์ ซง่ึ จะทาใหบ้ ุคคลพร้อมทจ่ี ะทาสง่ิ ใดส่ิงหนึ่ง องค์ประกอบของทัศนคติมี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบทางพุทธปัญญา ความรู้ ความรู้สึก ในด้านการปฏิบัติ ทัศนคติมีบทบาทในการช่วยให้เราได้ปรับปรุงตนเองให้ แสดงออกถึงค่านินมต่าง ๆ ช่วยให้บุคคลเข้าใจโลก ประสบการณ์เดิมของบุคคลช่วยให้เกิด ทัศนคติ แตท่ ัศนคติไมไ่ ดเ้ ป็นองค์ประกอบเดียวทที่ าใหเ้ กิดการปฏิบัติ เพียงเป็นสาเหตุอย่างหน่ึง ที่ก่อใหเ้ กิดการปฏบิ ัติ ประภาเพ็ญ สวุ รรณ (2526: 21) สรปุ ได้วา่ ทศั นคติ คอื การรู้สึกชอบหรือไม่ชอบท่บี คุ คลมตี ่อสิง่ หนง่ึ สง่ิ ใด ซ่ึงเกดิ จาก ประสบการณ์ทไี่ ด้รับ และพรอ้ มทจ่ี ะแสดงออกมาเมื่อมสี ่ิงกระต้นุ และสภาพการณท์ ่ีเหมาะสม 2.4.1 กระบวนการเปลี่ยนแปลงของทศั นคติ อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท (2542: 44 อ้างถึงใน สุภาวดี เชื้อวงษ์, 2558: 23) ได้อธิบายถึงกระบวนการเปล่ียนแปลงของทัศนคติ มอี ยู่ 3 ระดับ ดังนี้ 2.4.3.1 การเปล่ียนความรู้สึก การเปลี่ยนมาจากประสบการณ์ความ ประทับใจ หรือสิ่งที่ทาใหเ้ กิดความสะเทือนใจ 2.4.3.2 การเปล่ียนพฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงวิธีการในการดาเนินชีวิตใน สงั คม ซง่ึ ไปมีผลต่อบคุ คลทาใหต้ ้องปรับพฤตกิ รรมเดิมเสียใหม่

23 2.4.3.3 การเปลย่ี นแปลงความคิดเห็นส่ิงท่ีจะทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จะ มาจากข้อมูลข่าวสารใหม่ซงึ่ อาจมาจากสือ่ มวลชน บคุ คลอื่น เป็นต้น นอกจากนี้องค์ประกอบในกระบวนการส่อื สาร เช่น ช่องทางในการสื่อสาร ลักษณะ ของข่าวสาร คุณสมบัติของผู้ส่งสารและผู้รับสาร มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติได้ นอกจากนี้ทัศนคติของบุคคลเมื่อเกิดข้ึนแล้วจะสามารถเปลี่ยนได้โดยตัวบุคคล สถานการณ์ ข่าวสาร การชวนเชื่อ สิ่งต่างๆ ที่ทาให้เกิดการยอมรับในส่ิงใหม่ๆ แต่จะต้องมีความสัมพันธ์กับ ค่านยิ มของบุคคลนัน้ สาหรับการศึกษาวิจัยในคร้ังน้ีผู้ศึกษามีการศึกษาทัศนคติ ซ่ึงจะนาไปสู่พฤติกรรม ดา้ นทันตสุขภาพ ถ้าปฏิบัติตามข้อกาหนดด้านทันตสุขภาพ อันจะส่งผลต่อการป้องกัน ควบคุม โรคในช่องปาก และนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราชจะได้ มสี ุขภาพชอ่ งปากที่ดีขนึ้ ต่อไป 2.5 แบบแผนความเช่ือด้านสุขภาพ (Health Belief Model) (Becker, M.H. and Maiman, L.A. ,1975 อ้างถงึ ใน วรพงศ์ แซค่ ู, 2557: 12) แนวคิดของทฤษฎีนี้เริ่มแรกสร้างข้ึนจากทฤษฎีเก่ียวกับ “อวกาศของชีวิต” (Life Space) ซ่ึงได้คิดขึ้นครั้งแรกโดยนักจิตวิทยา Kurt Lewin ซ่ึงมีสมมติฐานว่าบุคคลจะหันเห ตนเองไปสู่พ้นื ทที่ ่บี ุคคลใหค้ ่านยิ มเชิงบวกและขณะเดียวกนั จะหลีกเล่ียงจากพ้ืนที่ท่ีมีค่านิยมเชิง ลบ อธิบายได้ว่า บุคคลจะแสวงหาแนวทางเพ่อื จะปฏิบัตติ ามคาแนะนาเพ่อื การป้องกนั และฟ้นื ฟู สภาพตราบเท่าท่ีการปฏิบัติเพ่ือป้องกันโรคนั้นเป็นสิ่งท่ีมีค่าเชิงบวกมากกว่าความยากลาบากที่ จะเกิดขนึ้ จากการปฏิบตั ิตามคาแนะนาดังกลา่ วบุคคลจะตอ้ งมีความรสู้ กึ กลัวต่อโรคหรือรู้สึกว่า โรคคกุ คามตน และจะตอ้ งมคี วามร้สู กึ วา่ ตนเองมีพลังที่จะต่อตา้ นโรคได้ ซงึ่ มีรายละเอียด ดงั นี้ 2.5.1 การรับรู้โอกาสเส่ียงของการเป็นโรค (Perceived Susceptibility) ความเช่ือของบุคคลที่มีผลโดยตรงต่อการปฏิบัติตามคาแนะนาด้านสุขภาพทั้งใน ภาวะปกตแิ ละภาวะเจ็บปว่ ย แต่ละบคุ คลจะมคี วามเชือ่ ในระดับท่ีไม่เท่ากัน ดังนั้นบุคคลเหล่าน้ี จงึ หลีกเลี่ยงต่อการเป็นโรคดว้ ยการปฏบิ ตั ิตามเพอื่ ปอ้ งกันและรกั ษาสขุ ภาพท่ีแตกต่างกันจึงเป็น ความเช่ือของบุคคลต่อความถูกต้องของการวินิจฉัยโรคของแพทย์ การคาดคะเนถึงโอกาสของ การเกิดโรคซา้ หรอื การงา่ ยท่ีจะป่วยเปน็ โรคตา่ งๆ มรี ายงานการวิจยั หลายเรอ่ื งที่ใหก้ ารสนบั สนนุ ความเชื่อต่อโอกาสเส่ียงของการเป็นโรคว่ามีความสัมพันธ์ในท างบวกกับพฤติกรรมการปฏิบัติ

24 ตามคาแนะนาของเจ้าหน้าท่ี เช่น เมื่อบุคคลป่วยเป็นโรคใดโรคหน่ึงความรู้สึกของบุคคลท่ีว่า ตนเองจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนั้นๆ อีกจะมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการปฏิบัติพฤติกรรมเพื่อ ป้องกันโรคไมใ่ ห้เกิดกับตนเองอกี ตัวอย่างการรบั ร้ตู ่อโอกาสเสี่ยงของการเกดิ โรค เชน่ ผู้ป่วยมา พบแพทยด์ ว้ ยอาการเจ็บคอ แตแ่ พทย์กลบั วนิ ิจฉยั วา่ เป็นโรคหนู า้ หนวกเร้ือรัง ผู้ป่วยอาจไม่เช่ือ วา่ จะเปน็ เชน่ นั้น เพราะแพทย์อาจจบมาใหม่ อายุน้อยทาให้ขาดความเช่ือถือ เม่ือผู้ป่วยมีความ เชื่อว่าตนไม่ได้เป็นโรคหูน้าหนวกเร้ือรัง เพียงแต่เจ็บคอเท่านั้น ก็จะส่งผลต่อการปฏิบัติที่ แตกตา่ งกนั ถา้ ผปู้ ว่ ยรับรวู้ า่ การเจ็บคอนนั้ มสี าเหตุมาจากหนู า้ หนวกเรอ้ื รงั ผู้ป่วยก็จะปฏบิ ตั ิตาม คาแนะนาของแพทย์ เพ่ือปอ้ งกนั การเจบ็ คอ ผลการวิจยั ไดส้ นบั สนนุ ความเชอื่ ว่า ถ้าความเชื่อตา่ โอกาสเสี่ยงของการเป็นโรคจะมีความสัมพันธ์ทางบวก ต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตามคาแนะนา ของแพทย์ 2.5.2 การรับรู้ความรุนแรงของโรค (Perceived Severity) การประเมินการรบั รู้ความรนุ แรงของโรค ปัญหาสุขภาพ ผลกระทบจากการเกิดโรค ซ่งึ กอ่ ใหเ้ กิดความพิการ เสยี ชีวติ เชน่ ความยากลาบากในการรกั ษา ระยะเวลาในการรักษา โรค แทรกซ้อนท่ีเกิดข้ึน หรือผลกระทบท่ีมีต่อบทบาทของตนในสังคม ผู้ป่วยก็จะปฏิบัติตาม คาแนะนาของแพทย์ พยาบาล ถ้าผู้ป่วยรับรู้โอกาสการเกิดโรคซ้า แต่ถ้าผู้ป่วยไม่เชื่อว่าการ เจบ็ ปว่ ยน้นั จะก่อใหเ้ กิดอนั ตรายตอ่ รา่ งกาย หรอื มีผลกระทบตอ่ บทบาทของตนในสงั คม ผู้ปว่ ยก็ จะไม่ปฏบิ ตั ิตามคาแนะนาของเจ้าหน้าท่ี นอกจากน้ีถ้าผู้ป่วยมีความเชื่อต่อโรค และมีความวิตก กังวลในความรุนแรงของโรคอย่างมาก ผู้ป่วยอาจไม่สามารถทาตามคาแนะนาหรือปฏิบัติไม่ ถูกต้องตามคาแนะนาได้ 2.5.3 การรับรู้ถึงประโยชน์ของการรักษาและป้องกันโรค ( Perceived Benefits) การท่ีบุคคลแสวงหาวิธีการปฏิบัติให้หายจากโรค ป้องกันไม่ให้เกิดโรคโดยการ ปฏบิ ตั ินั้นตอ้ งมีความเชอ่ื วา่ เป็นการกระทาที่ดีมีประโยชน์ เหมาะสมท่ีจะทาให้หายจากเป็นโรค นั้น ๆ ดังน้ันการตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามคาแนะนา เช่น การไม่สะดวกในการรับบริการรักษา คา่ ใช้จ่าย หรอื เกดิ ความอาย เป็นต้น การตัดสินใจของผปู้ ่วยท่ีจะปฏบิ ัติตามคาแนะนาหรอื ไม่นัน้ ผู้ป่วยจะเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย ความคุ้มค่าและประโยชน์ที่ได้รับ โดยผู้ป่วยจะเลือกส่ิงท่ีเป็น ผลดีมากกวา่ ผลเสยี

25 2.5.4 การรบั รู้ตอ่ อปุ สรรค (Perceived Barriers) การคาดการณ์ล่วงหน้าของบุคคลต่อการปฏิบัติพฤติกรรมท่ีเก่ียวข้องกับสุขภาพ อนามัยของบุคคลในทางลบ ซ่ึงอาจได้แก่ค่าใช้จ่าย ผลท่ีเกดิ ขน้ึ จากการปฏิบัติกิจกรรมบางอย่าง เช่น การตรวจเลือด การตรวจพิเศษทาให้เกิดความไม่สุขสบาย การมารับบริการ พฤติกรรม อนามัยนั้นขัดกับอาชีพ การดาเนินชีวิตประจาวัน การรับรู้อุปสรรคเป็นปัจจัยสาคัญต่อ พฤติกรรมการป้องกันโรค พฤติกรรมของผู้ป่วยน้ีสามารถใช้ทานายพฤติกรรมการให้ความ รว่ มมอื ในการรักษาโรคได้ 2.5.5 สิ่งชกั นาให้เกดิ การปฏิบัติ (Cues to Action) สงิ่ ทม่ี ากระตนุ้ บุคคลให้เกดิ พฤตกิ รรมทีต่ ้องการออกมา เพ่ือให้แบบแผนความเช่ือมี ความสมบูรณ์นั้นจะต้องพิจารณาถึงสิ่งชักนาให้เกิดการปฏิบัติซึ่งมี 2 ด้าน คือ สิ่งชักนาภายใน (Internal Cues) ได้แก่ การรับรู้สภาวะของร่างกายตนเอง เช่น อาการของโรค การเจ็บป่วย ส่วนสง่ิ ชกั นาภายนอก (External Cues) ไดแ้ ก่ การใหข้ ่าวสารผ่านทางส่ือมวลชนหรือการเตือน จากบคุ คลทีเ่ ป็นที่รักหรอื นบั ถอื เช่น สามี ภรรยา บิดา มารดา เปน็ ต้น 2.5.6 ปจั จยั ร่วม (Modifying Factors) ปัจจัยพื้นฐานท่ีจะส่งผลไปถึงการรับรู้และการปฏิบัติ ไม่มีผลโดยตรงต่อพฤติกรรม สุขภาพ ได้แก่ ปัจจัยทางด้านสังคมจิตวิทยา เช่น บุคลิกภาพ สถานภาพทางสังคม กลุ่มเพ่ือน กลุ่มอ้างอิง มีความเก่ียวขอ้ งกับบรรทัดฐานทางสงั คม คา่ นยิ มทางวฒั นธรรมซ่ึงเปน็ พน้ื ฐานทาให้ เกดิ การปฏบิ ตั ิเพือ่ ปอ้ งกันโรคที่แตกตา่ งกนั ปจั จัยด้านประชากร เชน่ อายุ ระดบั การศกึ ษา เป็น ตน้ ปจั จัยโครงสรา้ งพ้ืนฐาน เชน่ ความรู้เรอ่ื งโรค ประสบการณ์เก่ยี วกับโรค เปน็ ต้น 2.5.7 แรงจงู ใจดา้ นสขุ ภาพ (Health Motivation) แรงจูงใจด้านสุขภาพ คือ ความรู้สึกอารมณ์ต่าง ๆ ของผู้ป่วยที่มีสาเหตุมาจากการ กระตุ้นของสิ่งเร้า ท่ีจะสนับสนุนหรือขัดขวางการปฏิบัติตามคาแนะนา ส่ิงเร้าน้ีอาจมาจาก ภายในตัวบุคคล เช่น ความสนใจในสุขภาพทั่วไป หรือเป็นส่ิงเร้าจากภายนอก เช่น ข่าวสาร เอกสารต่าง ๆ คาแนะนาของสมาชิกในครอบครัว เพ่ือนบ้าน เป็นต้น การประเมินทั่วไปด้าน แรงจงู ใจของผปู้ ว่ ย สามารถวดั ไดจ้ ากความตัง้ ใจปฏบิ ตั ติ ามคาแนะนาของเจา้ หนา้ ที่

26 2.6 แนวคิด PRECEDE FRAMEWORK (Green, L.W. and M.W. Kreuter, 1991 อ้างถึง ใน วรรณวิมล เมฆวมิ ล, 2555: 23-26) PRECEDE Model หรือ PRECEDE Framework ซึ่งเป็นคาย่อมาจาก Predisposing, Reinforcing, and Enabling Causes in Educational Diagnosis and Evaluation เป็น กระบวนการ วิเคราะห์เพ่ือการวางแผนการดาเนินงานสุขศึกษา โดยใช้รูปแบบท่ีพัฒนาขึ้นมาโดย Lawrence W. Green ที่มีแนวคิดว่า “พฤติกรรมบุคคลท่ีมีสาเหตุมาจากสหปัจจัย (Multiple Factors)” ดังน้ันจงึ จะตอ้ งมกี ารวเิ คราะห์ถงึ ปัจจยั สาคญั ๆ ที่มีผลต่อพฤติกรรมนั้น ๆ เพื่อนามาเป็น ข้อมูลในการวางแผนและกาหนดกลวิธีในการดาเนินงานสุขศึกษาเพื่อเปล่ียนแปลงพฤติกรรมต่อไป กระบวนการวิเคราะห์ใน PRECEDE Framework เป็นการวิเคราะห์แบบย้อนกลับ โดยเริ่มจาก Outcome ที่ต้องการหรืออีกนัยหนึ่ง คือ คุณภาพชีวิตของบุคคลที่พึงประสงค์แล้วพิจารณาถึง สาเหตุ หรือปัจจัยท่ีเก่ียวข้อง โดยเฉพาะสาเหตุท่ีเน่ืองมาจากพฤติกรรมของบุคคล (กองสุขศึกษา, 2542 อา้ งถึงใน วรรณวิมล เมฆวมิ ล, 2555: 23) การวเิ คราะห์ประกอบดว้ ยขั้นตอนต่าง ๆ 7 ขนั้ ตอน คอื ขั้นตอนท่ี 1 การวิเคราะห์ทางสังคม (Social Diagnosis) เป็นการพิจารณาและ วิเคราะห์ “คุณภาพชีวิต” ซึ่งถือว่าเป็นข้ันตอนแรกของการวิเคราะห์โดยการประเมินสิ่งที่เกี่ยวข้อง หรือตัวกาหนดคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เช่น ผู้ป่วย นักเรียน กลุ่มคนวัย ทางาน ผู้ใช้แรงงาน หรือผู้บริโภค ส่ิงท่ีประเมินได้จะเป็นเคร่ืองชี้วัดและเป็นตัวกาหนดระดับ คณุ ภาพชีวิตของประชาชนกลมุ่ น้ัน ข้ันตอนท่ี 2 การวิเคราะห์ทางระบาดวิทยา (Epidemiological Diagnosis) เป็นการ วิเคราะห์ว่ามีปัญหาสุขภาพที่สาคัญอะไรบ้าง ซึ่งปัญหาสุขภาพเหล่านี้จะเป็นส่วนหน่ึงของปัญหา สังคมหรอื ได้รบั ผลกระทบจากปัญหาสังคม ในขณะเดียวกันปัญหาสุขภาพก็มีผลกระทบต่อคุณภาพ ชีวิตเช่นกัน ข้อมูลทางระบาดวิทยาจะช้ีให้เห็นถึงการเจ็บป่วย การเกิดโรคและภาวะสุขภาพ ตลอดจน ปัจจัยต่าง ๆ ท่ีทาให้เกิดการเจ็บป่วย และการเกิดการกระจายของโรค การวิเคราะห์ทาง ระบาดวิทยาจะช่วยให้สามารถจัดเรียงลาดับความสาคัญของปัญหา เพื่อประโยชน์ในการวางแผน ดาเนนิ งานสุขศึกษาได้อยา่ งเหมาะสมต่อไป ขั้นตอนที่ 3 การวิเคราะห์ด้านพฤติกรรม (Behavioral Diagnosis) จากปัจจัยปัญหา ด้านสุขภาพอนามัยท่ีได้ในขั้นตอนท่ี 1 – 2 จะนามาวิเคราะห์ต่อเพื่อหาสาเหตุท่ีเก่ียวข้อง โดย แบ่งเป็นสาเหตุอันเนื่องมาจากพฤติกรรมของบุคคลและสาเหตุท่ีไม่เก่ียวข้องกับพฤติกรรม เช่น

27 สาเหตุจากพันธุกรรมหรือสภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น โดยกระบวนการสุขศึกษาจะให้ความสนใจ ประเดน็ ท่ีเป็นสาเหตอุ นั เนื่องมาจากพฤตกิ รรมของบคุ คลเป็นสาคัญ ข้ันตอนท่ี 4 การวิเคราะห์ทางการศึกษา (Educational Diagnosis) ในขั้นตอนน้ีเป็น การวิเคราะห์เพ่ือหาปัจจัยด้านต่าง ๆ ท่ีมีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพทั้งที่เป็นปัจจัยภายในตัวบุคคล และปัจจัยภายนอกตัวบุคคล เพื่อนามาเป็นข้อมูลในการวางแผนสุขศึกษา โดยในขั้นตอนน้ี จะแบ่ง ปัจจยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ งออกเปน็ 3 กลมุ่ ได้แก่ ปัจจยั นา ปจั จัยเออ้ื และปจั จัยเสรมิ ปจั จัยนา (Predisposing Factors) หมายถงึ ปจั จัยที่เปน็ พน้ื ฐานและก่อให้เกิดแรงจูงใจ ในการแสดงพฤติกรรมของบุคคล หรือในอีกด้านหนึ่งปัจจัยนี้จะเป็นความพอใจ (Preference) ของ บุคคล ซึ่งได้มาจากประสบการณ์ในการเรียนรู้ (Educational Experience) ซึ่งความพอใจนี้ อาจมี ผลในทางสนับสนุนหรือยับย้ังการแสดงพฤติกรรม ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับแต่ละบุคคล ปัจจัยซึ่งเป็น องคป์ ระกอบของปัจจยั โน้มนา้ ว ได้แก่ ความรู้เจตคตคิ วามเชือ่ คา่ นยิ ม การรบั รนู้ อกจากน้ยี ังรวมไป ถึงสถานภาพทางสังคม – เศรษฐกิจ (Socio – economic Status) และอายุ เพศ ระดับการศึกษา การนับถือศาสนา ขนาดของ ครอบครัว ซึ่งปัจจัยเหล่าน้ี จะมีผลต่อการวางแผนโครงการทางสุข ศกึ ษาด้วย ความรู้ เป็นปัจจัยนาที่สาคัญในการส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรม แต่การเพ่ิมความรู้ไม่ ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมเสมอไป ถึงแม้ความรู้จะมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม และ ความรู้เป็นสิ่งจาเป็น ที่จะก่อให้เกิดการแสดงพฤติกรรม แต่ความรู้อย่างเดียวไม่เพียง พอท่ีจะก่อใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมสขุ ภาพได้จะต้องมีปัจจยั อ่ืน ๆ ประกอบด้วย เจตคติ หมายถึง ความรู้สึกค่อนข้างจะคงท่ีของบุคคลที่มีต่อส่ิงต่าง ๆ เช่น บุคคล วัตถุ การกระทา ความคดิ ซึ่งความรู้สึกดงั กล่าวมที ง้ั ที่มผี ลดแี ละผลเสยี ในการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม การรบั รู้ หมายถงึ การที่ร่างกายรับส่ิงเร้าต่าง ๆ ทผ่ี า่ นมาทางประสาทสัมผัสส่วนใดส่วน หน่ึงแล้ว ตอบสนองเอาสิ่งเร้านั้นออกมาเป็นลักษณะของจิตท่ีเกิดขึ้น จากการผสมกันระหว่างพวก ประสาทสัมผัส ชนดิ ต่าง ๆ แล้วความคิดรว่ มกบั ประสบการณ์เดิมท่ีมีอยู่ การรับรู้เป็นตัวแปรทางจิต สงั คมท่ีเช่ือวา่ มผี ล กระต้นุ ต่อพฤติกรรมสขุ ภาพของบคุ คล ค่านิยม หมายถึง การให้ความสาคัญ ให้ความพอใจในส่ิงต่าง ๆ ซ่ึงบางครั้งค่านิยมของ บุคคล ชุมชน รวมท้ังลกั ษณะท่ีจะช่วยให้บคุ คลสามารถแสดงพฤติกรรมนั้น ๆ ได้ด้วย และสามารถท่ี จะใชแ้ หล่งทรัพยากรต่าง ๆ ซง่ึ มีสว่ นเก่ียวข้องกับราคา ระยะทาง เวลา นอกจากน้ัน ส่ิงท่ีสาคัญ คือ การหาได้ง่าย (Availability) และความสามารถเข้าถึงได้ (Accessibility) ของสิ่งท่ีจาเป็นในการแสดง พฤติกรรมหรือชว่ ย ให้การแสดงพฤตกิ รรมนั้นเปน็ ไปไดง้ ่ายขึน้

28 ปัจจัยเอื้อ (Enabling Factors) หมายถึง สิ่งท่ีเป็นทรัพยากรที่จาเป็นในการแสดง พฤตกิ รรมของ บุคคล ชมุ ชน รวมทั้งลักษณะที่จะช่วยให้บุคคลสามารถแสดงพฤติกรรมน้ัน ๆได้ด้วย และสามารถท่ีจะใช้แหล่งทรัพยากรต่าง ๆ ซ่ึงมีส่วนเก่ียวข้องกับราคา ระยะทาง เวลา นอกจากนั้น สิ่งที่สาคัญ คือ การหาได้ง่าย (Availability) และความสามารถเข้าถึงได้ (Accessibility) ของสิ่งท่ี จาเปน็ ในการแสดงพฤตกิ รรม หรือช่วยให้การแสดงพฤตกิ รรมนั้นเป็นไปได้งา่ ยขึน้ ปัจจัยเสริม (Reinforcing Factors) หมายถึง สิ่งที่บุคคลได้รับหรือคาดว่าจะได้รับจาก บุคคลอื่น อันเป็นผลจากการกระทาของตนส่ิงท่ีบุคคลจะได้รับอาจเป็นรางวัลที่เป็นสิ่งของ คาชมเชย การยอมรับ การลงโทษ การไม่ยอมรับการกระทานั้น ๆ หรืออาจเป็นกฎระเบียบท่ีบังคับควบคุมให้ บคุ คลนั้น ๆ ปฏิบัติตามก็ได้ซึ่งสิ่งเหล่าน้ีบุคคลจะได้รับจากบุคคลอื่นที่มีอิทธิพลต่อตนเอง เช่น ญาติ เพอ่ื น แพทย์ ผู้บงั คับบญั ชา เปน็ ตน้ และอทิ ธพิ ลของบคุ คลตา่ ง ๆ นีก้ จ็ ะแตกตา่ งกนั ไปตามพฤติกรรม ของบุคคล และสถานการณโ์ ดยอาจจะช่วยสนบั สนุนหรอื ยบั ยง้ั การแสดงพฤตกิ รรม น้นั ๆ ก็ได้ พฤติกรรมหรือการกระทาต่าง ๆ ของบุคคล เป็นผลมาจากอิทธิพลร่วมของปัจจัยทั้ง 3 ดังกล่าว มาแล้ว คือ ปัจจัยนา ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริมหรือปัจจัยสนับสนุนทางสังคม ดังน้ัน ใน การวางแผนการ เปล่ียนแปลงพฤติกรรมใด ๆ จึงจาเป็นต้องคานึงถึงอิทธิพลจากปัจจัยดังกล่าว ร่วมกันเสมอโดยไม่ควรนาปัจจัยใดปัจจัยหน่ึงมาพิจารณาโดยเฉพาะ จากปัจจัยทั้งสามดังกล่าว (Green et al., 1991) ได้นามาแสดงให้เห็นความสัมพันธ์เช่ือมโยง ระหว่างปัจจัยทั้งสามกับ พฤติกรรมที่เป็นปัญหาเฉพาะ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่าง สาเหตุของพฤติกรรม กับปัจจัยดังกล่าว โดยในการวิเคราะห์จะกาหนดว่าสาเหตุของพฤติกรรมควรเรียงลาดับตาม ความหมายดังตอ่ ไปนี้ 1. แรงจงู ใจที่ จะต้องกระทาใหไ้ ด้ 2. การดัดแปลงหรอื หาแหลง่ ทรพั ยากรท่ีสามารถทาใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมน้ันแล้ว 3. เปน็ ปฏิกิรยิ าตา่ ง ๆ ที่บคุ คลอ่ืนแสดงออกใหท้ ราบหลังเกิดพฤติกรรมน้ันแลว้ 4. ต้องมีการเสริมแรง และทาใหพ้ ฤติกรรมนนคงทนต่อไป 5. ในการเสรมิ แรงหรอื การลงโทษของพฤตกิ รรมนั้นอาจมผี ลกระทบถึงปัจจัยนา รวมท้ัง ปัจจัยอื่นดว้ ย ขั้นตอนท่ี 5 การเลือกกลยุทธ์ทางการศึกษา (Selection of Educational Strategies) เม่ือวเิ คราะห์หาปัจจยั ทม่ี ผี ลต่อพฤติกรรมได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการเลือกกลยุทธ์ และเทคนิค ในการดาเนินงานด้านสุขศึกษามาใช้ท้ังนี้ โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมและสอดคล้องกับผลการ วิเคราะหป์ จั จัยที่มผี ลตอ่ พฤตกิ รรมท้ัง 3 ดา้ น ข้างต้นด้วย เพ่ือก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

29 สุขภาพในที่สุด นอกจากนี้การกาหนดกลยุทธ์การดาเนินงานจะต้องคานึงถึงการผสมผสานหลาย เทคนิค หลายกลวิธดี ้านสขุ ศกึ ษาเขา้ ด้วยกนั เพอ่ื ให้เกดิ ประสิทธภิ าพสูงสดุ ขั้นตอนที่ 6 การวิเคราะห์ทางการบริหาร (Administrative Diagnosis) ในข้ันตอนนี้จะ เป็นการวิเคราะห์เพื่อประเมินถึงปัจจัยด้านการบริหารจัดการท่ีจะมีผลต่อการดาเนินงานโครงการท่ี ไดว้ างแผนไว้โดยปัจจัยดังกล่าวอาจจะมีผลท้ังทางบวก คือ ทาให้โครงการบรรลุเป้าหมาย หรือมีผล ตรงข้าม คือ กลายเป็นข้อจากัดของโครงการ ปัจจัยเหล่าน้ี ได้แก่ งบประมาณ ระยะเวลา ความ สมบูรณ์ของผู้ดาเนนิ การ ตลอดจนทรัพยากรอื่น ๆ ในองค์กร ดังน้ัน ในการวางแผน เพื่อดาเนินงาน สุขศึกษาใด ๆ จะต้องให้ความสาคัญกับขั้นตอนน้ีไม่น้อยไปกว่าในข้ันตอนอื่น ๆ จะต้องมีการ วิเคราะห์และพิจารณาให้ครอบคลุมทกุ ดา้ นเหมอื นกบั การวเิ คราะหห์ าปจั จัยทม่ี ีผลต่อพฤตกิ รรม ขั้นตอนท่ี 7 การประเมินผล (Evaluation) ขั้นตอนน้ีจะเป็นข้ันตอนที่ดาเนินการในทุก ขั้นตอน โดยท้ังน้ีต้องมีการกาหนด หลักเกณฑ์ในการประเมินผลและดัชนีชี้วัดไว้อย่างชัดเจน การ ประเมนิ ผลใน PRECEDE Framework จะประกอบไปด้วย การประเมินใน 3 ระดับ คือ การประเมิน โครงการหรือโปรแกรมสุขศึกษา การประเมินผลกระทบของโครงการหรือโปรแกรมที่มีผลต่อปัจจัย ท้ัง 3 ด้าน และท้ายสุด คือ การประเมินผลลัพธ์ของโครงการที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของบุคคล ซ่ึง การประเมินในขน้ั ตอนน้ีจะเป็นการดาเนนิ งานระยะยาว จากการศึกษาแนวคิด PRECEDE Framework ได้อธิบายเก่ียวกับสาเหตุของการ เกิดพฤติกรรม ซ่ึงเกิดจากหลายๆปัจจัย สาหรับการศึกษาคร้ังนี้ผู้วิจัยได้นาข้ันตอนท่ี 4 การ วินิจฉัยด้านการศึกษา (Education Diagnosis) ซ่ึงประกอบด้วย ปัจจัยนา (Predisposing factors) ปัจจัยเสริม (Reinforcing factors) และปัจจัยเอื้อ (Enabling factors) มาเป็น แนวทางในการสร้างแบบสอบถามและสร้างกรอบแนวคดิ เพอ่ื วินิจฉัยความสัมพันธข์ องปัจจัยนา ปจั จัยเออื้ และปจั จยั เสริมกับพฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราชของกลุ่มตัวอย่างเพ่ือเป็นการศึกษา ข้อมูลพ้ืนฐานท่ีจะนาไปวางแผนป้องกันพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุของ นกั เรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 อาเภอนบพติ า จังหวัดนครศรีธรรมราชในอนาคตตอ่ ไป 2.7 แนวคิดทฤษฎีแรงสนบั สนนุ ทางสงั คม (Social Support Theory) แนวคิดทฤษฎีแรงสนับสนุนทางสังคม มาจากทฤษฎีที่เป็นผลมาจากการศึกษา ทางดา้ นสังคมวทิ ยา ซ่ีงพบว่า “การตัดสินใจส่วนใหญ่ของคนน้ันจะขึ้นอยู่กับอิทธิพลของบุคคล

30 ผู้ซ่ึงมีความสาคัญและมีอานาจเหนือกว่าตัวเราอยู่ตลอดเวลา” การสนับสนุนทางสังคม มี บทบาทสาคัญย่ิงต่อการแสดงพฤติกรรมสุขภาพของบุคคล และชุมชน เน่ืองจากคนเราเกิด มาแล้ว ไม่ได้อยู่คนเดียวในสังคมต้องมีการติดต่อพบปะกับบุคคลอื่นอยู่เสมอบางคนอาจจะ ใกลช้ ิดกนั มาก บางคนอาจจะใกลช้ ิดกันน้อย การติดต่อกนั ทาให้รจู้ ักกัน เกิดความสมั พนั ธ์กันจน เป็นเครือข่ายทางสังคม เช่น พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน เพ่ือนร่วมงาน เพื่อนนักเรียน อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บา้ น ผู้นาชุมชน หรอื เจ้าหนา้ ทสี่ าธารณสุข ได้สอ่ื สารกนั ทาให้ เกิดการแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสาร สร้างความคุ้นเคย ทาให้มีการเกื้อหนุนซ่ึงกันและกัน ช่วยเหลือกัน บางคร้ังบุคคลหน่ึงอาจจะเป็นฝ่ายให้ความช่วยเหลือแต่ผู้อ่ืน แต่บางครั้งอาจจะ เป็นผู้รับการช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วยการสนับสนุนเก้ือกูลกัน ทาให้เกิดแรงสนับสนุนทางสังคม (จรยิ า ปัณฑวงั กูร 2549 : 121) การสนับสนุนทางสังคมสามารถสรุปความหมายในเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ซ่ึง บุญ เยีย่ ม ตระกลู วงษ์ (2528: 585) ไดก้ ลา่ วไว้ว่า แรงสนบั สนนุ ทางสังคม คอื สง่ิ ทผี่ รู้ บั แรงสนับสนุน ได้รับความช่วยเหลือด้านข้อมูลข่าวสาร สิ่งของ ด้านจิตใจ จากผู้ให้การสนับสนุน ซ่ึงอาจเป็น บุคคล กลุ่มบุคคล แล้วมีผลทาให้ผู้รับปฏิบัติไปในทางท่ีผู้รับต้องการ เช่น พ่อ แม่ สามีภรรยา ญาตพิ ี่น้อง เพื่อนเพือ่ นบ้าน หรอื เจา้ หนา้ ท่สี าธารณสขุ เปน็ ต้น Pender (1996 อ้างถึงใน สุปรียา ตันสกุล และคนอื่นๆ, 2548: 30-31) แบ่งชนิด ของแรงสนับสนนุ ทางสังคมออกเป็น 4 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. การยอมรับ (Affirmation) คือ การยอมรับช่วยให้บุคคลแต่ละคนเข้าใจภาวะ และศกั ยภาพทเี่ ปน็ จริงของตนเอง 2. การช่วยเหลือด้านทรัพยากร (Instrumental Aid) คือ การให้ความช่วยเหลือใน เรื่องงาน เช่น ช่วยเตรียมอาหาร ช่วยดูแลบุตร เพ่ือให้มารดามีเวลาในการทากิจกรรมเพื่อการ พักผ่อนหย่อนใจ 3. แรงสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร (Informational Support) คือ การช่วยเหลือ บุคคลให้เกดิ ความเข้าใจวา่ ควรทาอยา่ งไรจึงจะมปี ระสทิ ธภิ าพ และเกิดประโยชนต์ อ่ ตนเอง 4. แรงสนับสนุนทางด้านอารมณ์ (Emotional Support) คือ การให้ความ ช่วยเหลือสนบั สนนุ การมสี ว่ นร่วม ซึ่งอาจเป็นการช่วยในสภาวะซมึ เศร้า การจาแนกบุคคลท่ีเป็นแหล่งแรงสนับสนุนทางสังคมไว้ 2 กลุ่ม ตามลักษณะ ความสมั พนั ธ์ ได้แก่

31 1. กลมุ่ ทีม่ คี วามสัมพันธ์อย่างเปน็ ทางการ คือ บุคคลที่ให้การช่วยเหลือบุคคลอ่ืนๆ โดยเก่ียวข้องกับบทบาทการทางาน หรือวิชาชีพ ซึ่งจะมีลักษณะการช่วยเหลือที่เฉพาะเจาะจง ประเภทหนง่ึ เป็นสว่ นมาก เช่น ทันตแพทย์ พยาบาล/ทมี สุขภาพ เป็นตน้ 2. กลุ่มที่มีความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการ คือ บุคคลท่ีให้ความช่วยเหลือแก่ บุคคลอ่ืน โดยมีความสัมพันธ์กันตามธรรมชาติ ไม่เก่ียวข้องกับบทบาทการทางาน หรือวิชาชีพ ไดแ้ ก่ พอ่ แม่ สามภี รรยา ญาติพี่น้อง เพ่ือน หรอื เพอื่ นบา้ น House (1981 อ้างถึงใน สุปรียา ตันสกุล และคนอื่นๆ, 2548: 30) แบ่งประเภท ของแรงสนบั สนนุ ทางสังคมมี 4 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. แรงสนับสนุนด้านทรัพยากร (Instrumental Support) คือ การช่วยเหลือใน การให้เงิน การให้แรงงาน การให้เวลา การช่วยปรับปรุงส่ิงแวดล้อม การช่วยเหลือด้านส่ิงของ และการให้บริการด้วยแรงสนับสนุนทางสังคม เป็นปัจจัยภายนอกตัวบุคคลที่สามารถสนับสนุน ชักจูง เอ้อื อานวยใหบ้ คุ คลท่ีได้รับการสนับสนุนเกดิ การปฏิบัตติ ัว มีการปรับเปลย่ี นการปฏิบัตติ วั ตามคาแนะนา สนับสนุนของผู้ให้จึงน่าจะนามาประยุกต์ใช้ในงานสาธารณสุข โดยเฉพาะงาน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปฏิบัติตัวทางด้านสุขภาพของประชาชนได้เป็นอย่างดี ซึ่งปกติ สงั คมไทยมกี ารเกอ้ื กูลตอ่ กันมาเปน็ เวลานานแลว้ 2. แรงสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร (Informational Support) คือ การให้คา แนะนา ข้อชแี้ นะช้ีแนวทาง และการให้ขอ้ มูลท่ีสามารถนาไปใช้ในการแก้ปัญหาทีเ่ ผชญิ อยู่ได้ 3. แรงสนับสนุนด้านการประเมินคุณค่า (Appraisal Support) คือ การให้ข้อมูล เกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง ข้อมูลท่ีนาไปใช้ประเมินตนเองในการรับรอง การให้ข้อมูล ปอ้ นกลบั การเปรียบเทยี บกับสงั คม 4. แรงสนบั สนุนทางด้านอารมณ์ (Emotional Support) คือ การแสดงออกถึงการ ยกยอ่ ง เหน็ คณุ คา่ ความรกั ความไว้วางใจ ความหว่ งใย และการรับฟัง ความรสู้ ึกเหน็ อกเห็นใจ Weiss (1974 อ้างถึงใน สุปรียา ตันสกุล และคนอื่นๆ, 2548: 29-30) ได้แบ่งชนิด ของแรงสนับสนุนทางสังคมออกเป็น 6 ชนดิ ไดแ้ ก่ 1. การได้รับการช้ีแนะ คือ ได้รับความจริงใจในการช่วยเหลือทางอารมณ์ ช้ีแนะ ข้อมูลขา่ วสารจากบคุ คลทตี่ นศรัทธา เชอื่ มนั่ เมือ่ เกิดความเครยี ดเพอื่ ผอ่ นคลายภาวะตึงเครยี ดท่ี กาลังประสบอยู่

32 2. การสง่ เสริมใหร้ ถู้ ึงคุณค่าแห่งตน คือ บุคคลได้รับการยอมรับ ยกย่อง ชื่นชมจาก สถาบันครอบครัวและเพื่อนท่ีบุคคลนั้นสามารถแสดงบทบาททางสังคม อาจเป็นบทบาทใน ครอบครัว อาชีพ ถ้าขาดแรงสนบั สนนุ จะทาใหค้ วามเช่อื มนั่ ความร้สู ึกในคุณค่าของตนเองลดลง 3. การมีสว่ นร่วมหรอื เปน็ ส่วนหน่งึ ของสังคม คือ บุคคลมีโอกาสเข้าร่วมในกิจกรรม ของสงั คม มกี ารแบ่งปันแลกเปลีย่ นซง่ึ กันและกัน ในด้านความคิด กาลังทรัพย์ กาลังบุคคลตาม โอกาสอนั สมควร ทาให้เกิดความห่วงใยซง่ึ กนั และกัน 4. การได้มีโอกาสเลี้ยงดูผู้อื่น คือ บุคคลมีความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูช่วยเหลือ บคุ คลอนื่ ทาใหต้ ัวเองเกิดความรูส้ กึ วา่ เป็นที่ต้องการของบคุ คลอ่ืน ผอู้ นื่ พ่ึงพาได้ 5. ความเชื่อม่ันในความเป็นมิตรที่ดี คือ ความช่วยเหลือห่วงใยซ่ึงกันและกันอย่าง ต่อเนื่อง 6. ความผูกพัน รักใคร่สนิทสนม คือ ความสมั พันธ์ท่ีเกิดจากความใกลช้ ดิ ซง่ึ จะทาให้ บุคคลเกิดความรู้สึกว่าตนเป็นที่รัก ได้รับความเอาใจใส่ดูแลเกิดความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจ มัก ได้รบั จากบุคคลใกลช้ ดิ เช่น คสู่ มรส ญาตพิ นี่ ้อง สมาชิกในครอบครวั เดียวกนั แนวคิดเร่ืองแรงสนับสนุนทางสังคมที่กล่าวมา สรุปได้ว่า การใช้แรงสนับสนุนทาง สังคมมีความสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการดูแลตนเอง การไดร้ ับความช่วยเหลือสนับสนุนจากบุคคล ในสังคม เชน่ บุคคลในครอบครัว เพ่ือน ทันตบุคลากรอาจารย์ จะมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม การดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิตา จงั หวดั นครศรีธรรมราชเพ่อื ใช้เป็นข้อมูลพ้นื ฐานในการสง่ เสริมการดูแลสุขภาพช่องปากของนักเรียน ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 6 อาเภอนบพติ า จังหวัดนครศรธี รรมราช เพื่อให้มีสุขภาพชอ่ งปากท่ีดี 2.8 งานวิจัยท่เี กยี่ วขอ้ ง สายยา ถนอมเมฆ (2544) ได้ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อโรคฟันผุของนักเรียน ประถมศึกษาปีที่ 6 และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยนา ปัจจัยเอ้ือและปัจจัยเสริมกับโรค ฟันผุ ผู้วิจัยได้ส่งแบบสอบถามที่สร้างขึ้นเองให้นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 ท่ีมีฟันผุ โดยสุ่ม ตวั อยา่ ง จานวน 460 คน ในโรงเรยี นสังกัด หาความสัมพันธ์ด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบ เพยี ร์สัน และสถิติถดถอยพหคุ ูณแบบขั้นตอน ผลการวจิ ยั พบว่า 1. นักเรียนท่ีมีฟันผุส่วนใหญ่มีฟันผุ 2 ซี่ ต่อคน เร่ิมฟันแท้ผุซี่แรกเมื่ออายุ 10 ปี บิดามารดาจบการศกึ ษาระดบั ประถมศึกษาและมีอาชีพรับจ้าง รายไดค้ รอบครวั ตอ่ เดอื น 5,000- 10,000 บาท นักเรียนชอบรับประทานอาหารประเภทผลไม้ น้าอัดลมขนมกรุบกรอบ และ

33 ไอศกรีมมากทสี่ ุด ความถข่ี องการรบั ประทานอาหารว่างประเภทขนมกรุบกรอบขนมขบเคี้ยว 1 ห่อ/ซองต่อวัน ดื่มน้าอัดลม 1 ขวดต่อวัน ส่วนความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติทางทันตสุขภาพ ในระดับดี และความเชือ่ ตอ่ ทนั ตสุขภาพในระดับพอใช้ 2. ปัจจัยนา ที่มีความสัมพันธ์กับโรคฟันผุอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ไดแ้ ก่ อายทุ ีเ่ ริม่ ฟนั ผุ การศึกษาของบิดามารดา การปฏบิ ัตทิ างทันตสขุ ภาพ สว่ นความรู้เกี่ยวกับ ทันตสุขภาพ ทัศนคติต่อทันตสุขภาพ ความเชื่อต่อทันตสุขภาพ อายุ เพศบุคคลที่พักอาศัยอยู่ ด้วย จานวนพี่น้องในครอบครัว อาชีพบิดามารดา ความถี่ของการแปรงฟัน เวลาท่ีใช้ในการ แปรงฟัน ไม่มีความสัมพันธ์กับโรคฟันผุอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ่ีระดบั 0.05 3. ปัจจัยเอ้ือ ที่มีความสัมพันธ์กับโรคฟันผุอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ การเข้าถึงของแหล่งบริการอาหารว่างจากร้านค้าในโรงเรียน ความชอบของการ รับประทานอาหารประเภทน้าอัดลม ไอศกรีม ผลไม้ และขนมกรุบกรอบ ความถ่ีของการ รับประทานอาหารว่าง รายได้ของบิดามารดา การเข้าถึงของแหล่งบริการอุปกรณ์ทางทันต สุขภาพร้านค้าในห้างสรรพสินค้า การเข้าถึงของแหล่งข่าวสารความรู้ด้านทันตสุขภาพทาง โทรทศั นส์ ว่ นการเขา้ ถึงของบรกิ ารทางทันตสุขภาพ การสนับสนุนทางทันตสุขภาพของโรงเรียน ความพร้อมของการมีอุปกรณ์ในการปฏิบัติทางทันตสุขภาพ อานาจการซ้ืออาหารว่างของ นกั เรยี นความถขี่ องการดมื่ นา้ อดั ลม/นา้ หวาน ไม่มคี วามสัมพันธก์ บั โรคฟนั ผอุ ยา่ งมนี ยั สาคญั ทาง สถติ ิที่ระดับ 0.05 4. ปัจจัยเสริม ที่มีความสัมพันธ์กับโรคฟันผุอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ได้แก่ การปฏิบัติทางทันตสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวโดยมีพ่ีชายและน้องชายปฏิบัติการ แปรงฟันเปน็ บางวนั การกวดขัน/แนะนาทางทันตสุขภาพจากครูโดยครูไม่ตรวจสุขภาพฟันของ นักเรียน และแรงจูงใจในการรับประทานอาหารว่างประเภทขนมขบเค้ียวขนมกรุบกรอบ น้าอัดลมจากเพ่ือนและโฆษณา ส่วนกรณีมเี พือ่ นปฏบิ ตั ิทางทันตสุขภาพการกวดขัน/แนะนาทาง ทันตสขุ ภาพจากผู้ปกครอง ไมม่ ีความสมั พนั ธ์กับโรคฟนั ผุอย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั 0.05 ชมนาด ทับศรีนวล (2549) ได้ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแล สุขภาพช่องปากของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในเขตอาเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี โดย วตั ถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ ศึกษาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของ นักเรียนระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ ในเขตอาเภอเมอื ง จังหวดั เพชรบุรี จากกลุ่มตัวอย่าง 380 คน โดยการใช้แบบสอบถาม ผลวิจัยพบว่า พฤติกรรมการดูแลช่องปากของนักเรียนระดับ มัธยมศึกษาตอนตน้ ในเขตอาเภอเมอื งจงั หวดั เพชรบุรี อยู่ในระดบั ปานกลาง รอ้ ยละ 37.6 ปัจจัย

34 ทางชีวสังคม ได้แก่ ระดับการศึกษาของบิดามารดา รายได้เฉลี่ยของครอบครัวต่อเดือน มี ความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก อย่างมีนัยสาคัญต่อการดูแลสุขภาพช่อง ปาก ปัจจัยนา ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการดูแลสุขภาพช่องปาก ทัศนคติต่อการดูแล สุขภาพช่องปาก การรับรู้ถึงประโยชน์ของการดูแลสุขภาพช่องปากมีผลทางบวกต่อพฤติกรรม การดูแลสุขภาพช่องปาก ปัจจัยเอื้อ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่อง ปาก ปัจจัยเสรมิ ได้แกก่ ารรบั รขู้ ้อมลู ข่าวสารเกี่ยวกบั การดแู ลสุขภาพช่องปากและการได้รับแรง สนับสนุนจากสังคมในการดูแลสุขภาพช่องปาก มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการดูแลสุขภาพช่อง ปาก ตวั แปรท่ีร่วมกันทานายพฤติกรรมการดูแลช่องปากของนักเรียน ได้แก่ ทัศนคติท่ีมีต่อการ ดูแลสุขภาพช่องปาก การได้รับแรงสนับสนุนจากสังคมในการดูแลสุขภาพช่องปาก การรับรู้ ประโยชน์ของการดูแลสุขภาพช่องปาก การเข้าถึงบริการทันตกรรม สามารถทานายการดูแล สขุ ภาพช่องปากได้รอ้ ยละ 28.9 วิทยา โปธาสินธ์ิ (2549) ได้ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมสุขภาพช่องปากเด็ก นักเรียนประถมศึกษาช้ันปีที่ 4-6 ของอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เดือน กรกฎาคม 2549 จานวน 184 คน ใช้แบบสอบถามท่ีผู้วิจัยพัฒนาขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลโดย โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า พฤติกรรมสุขภาพช่องปากเด็กนักเรียน อยู่ในระดับดี รายได้ครอบครัว และการศึกษาของผู้ ปกครองไม่มคี วามสัมพนั ธก์ บั พฤตกิ รรมสขุ ภาพช่องปากโดยรวม (p > 0.05) การเปน็ แบบอย่าง ของผู้ปกครอง การได้รับการสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรม สุขภาพ ช่องปาก ปัจจัยการรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพมีความ สัมพันธ์ ทางบวกกับพฤติกรรมสุขภาพ และปัจจัยการเป็นแบบอย่างของผู้ปกครอง การได้รับการ สนับสนุนทางสังคม การศึกษาของผู้ปกครองและการรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรม ส่งเสริมสุขภาพได้ สามารถร่วมทานายพฤติกรรมสุขภาพช่องปากได้ ร้อยละ 51.8 อย่างมีนัย สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั 0.05 สุภัทชัย ยินดียุทธ (2552) ได้ศึกษาพฤติกรรมด้านทันตสุขภาพของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 6 ในเขตตาบลกระเสียว อาเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี จากนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 6 ทัง้ หมด 3 โรงเรยี น กลุ่มตัวอยา่ ง 121 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือใน การศึกษา ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนมีความรู้อยู่ในระดับปานกลางมากท่ีสุด ร้อยละ 45.50 ทัศนคติด้านทันตสุขภาพ พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 80.20 สาหรับ

35 พฤติกรรมด้านทันตสุขภาพ พบว่า นักเรียนมีระดับพฤติกรรมอยู่ในระดับปานกลางมากท่ีสุด รอ้ ยละ 66.10 ความสมั พนั ธ์ระหว่างความรู้กบั พฤติกรรมดา้ นทันตสขุ ภาพของนกั เรียน พบว่าไม่ มีความสัมพนั ธก์ นั โศจิรัตน์ วรรณทวี (2553) ได้ศึกษาเรื่องการศึกษาพฤติกรรมทันตสุขภาพของ นักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 สงั กดั สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษาศรสี ะเกษ เขต1 พบว่า ความรู้ ด้านทันตสุขภาพและเจตคติด้านทันตสุขภาพอยู่ในระดับสูง การเปรียบเทียบความ แตกต่างระหว่างข้อมูลทั่วไป กับความรู้ด้านทันตสุขภาพ เจตคติด้านทันตสุขภาพ และการ ปฏิบัติด้านทันตสุขภาพของนักเรียนมัธยมศึกษาพบว่าข้อมูลไม่แตกต่างกัน การวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ พบว่า อาชีพของผู้ปกครอง รายได้ของผู้ปกครอง มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติ ด้านทันตสุขภาพ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนเพศ ขนาดของโรงเรียนไม่มี ความสมั พันธก์ บั การปฏบิ ตั ิด้านทันตสุขภาพ นฤชิต ทองรุ่งเรืองชัยและพรรณี บัญชรหัตถกิจ (2556 อ้างถึงใน Mattila ML, Rautawa P, Sillanpaa M, Paunio P, 2545) ศึกษาถึงปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม การแปรงฟันในเด็กอายุ 1-5 ปี ของผู้ปกครองที่อาศัยอยู่ในเขต อาเภอโนนสัง จังหวัด หนองบัวลาภู เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (cross-sectional analytical study) ในผู้ปกครองของเด็กอายุ 1-5 ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตอาเภอโนนสัง จังหวัด หนองบัวลาภู กลุ่มตัวอย่างจานวน 300 ราย เก็บรวบรวม ข้อมูลโดยการสัมภาษณ์และตอบแบบสอบถาม วิเคราะห์ ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ กับพฤติกรรมการแปรง ฟันในเด็กของผู้ปกครอง ด้วย multiple logistic regression และนาเสนอค่าความสัมพันธ์ด้วย odds ratio และช่วง ความเชื่อมั่น 95% ผลการศึกษาพบว่า มีเพียงร้อยละ 32.00 ของผู้ปกครองมีพฤติกรรมการ แปรงฟนั ให้เด็กอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง อย่างสม่าเสมอ โดยทัศนคติด้านทันตสุขภาพ ทักษะการ แปรงฟันให้เด็ก การได้รับคาแนะนาด้านทันตสุขภาพจากครูผู้ดูแลเด็ก มีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมการแปรงฟันใหเ้ ดก็ ของผู้ปกครองอยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถิติ วรเมธ สุขพาสันติ และ มานพ คณะโต (2559) ได้ศึกษาการแปรงฟันหลังอาหาร กลางวันท่ีโรงเรียนของเด็กนักเรียนประถมศึกษาตอนปลาย ในจังหวัดหนองบัวลา ภู กลุ่ม ตัวอย่างเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย จานวน 758 คน ถูกสุ่มแบบมีระบบตาม ความน่าจะเป็นและแปรผันตามขนาดประชากร เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ใน ระหว่างเดือนมกราคม –กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ไคส แควร์ ผลการศกึ ษา พบวา่ ปจั จยั ท่ีมีความสมั พนั ธ์กบั การแปรงฟันหลงั อาหารกลางวนั ทโ่ี รงเรียน

36 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ (P≤0.05) คือ บุคคลท่ีอาศัยอยู่กับบิดามารดา ความพร้อม อุปกรณ์ทาความสะอาดฟนั และการรับข่าวสารเก่ยี วกับการดแู ลสขุ ภาพช่องปาก ณัฐวัฒน์ สุวคนธ์ และปราโมทย์ วงศ์สวัสดิ์ (2561) ได้ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 อาเภอ เมือง จังหวัดพิษณุโลก การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะส่วนบุคคล การรับรู้ โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคฟันผุ การรับรู้ความรุนแรงของโรคฟันผุ การรับรู้ประโยชน์ของการ ป้องกันโรคฟันผุ การรับรู้ความสามารถตนเองในการป้องกันโรคฟันผุ ปัจจัยเอ้ือ ปัจจัยเสริม และพฤติกรรมการดแู ลสขุ ภาพฟันเพ่ือปอ้ งกนั โรคฟันผุ ศึกษาปัจจัยท่ีมีผลต่อพฤติกรรมการการ ดูแลสุขภาพฟันเพื่อป้องกันโรคฟันผุ และศึกษาความสามารถของปัจจัยการรับรู้ ปัจจัยเอ้ือ ปัจจัยเสริม และคุณลักษณะส่วนบุคคล ในการพยากรณ์พฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพื่อ ป้องกันโรคฟันผุของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 อ.เมือง จ.พิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างจานวน 367 คน เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดว้ ยแบบสอบถาม ผลการวิจัยพบวา่ การรบั รู้ความสามารถตนเองใน การป้องกันโรคฟันผุ ปัจจัยเสริมต่อพฤติกรรมการป้องกันฟันผุ อายุของนักเรียน มีผลทางบวก ต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุ จานวนเงินที่ได้มาโรงเรียนมีผลต่อ พฤตกิ รรมการดูแลสขุ ภาพฟนั เพ่ือป้องกันโรคฟันผุ จากการศึกษางานวิจัยดังกล่าวจะเห็นได้ว่าปัญหาสุขภาพช่องปากในเด็กยังคงเป็น ปญั หา และสาเหตุเกิดมาจากพฤติกรรมที่การดูแลสุขภาพช่องปากได้แก่พฤติกรรมการทาความ สะอาดช่องปาก และพฤติกรรมการบริโภค ซ่ึงพฤติกรรมดังกล่าวมีอิทธิพลมาจากปัจจัยหลาย ด้านรวมท้งั ปจั จยั ทางสังคม ได้แก่ ส่ิงแวดลอ้ ม ครอบครัว ไม่ใชเ่ ฉพาะปัจจัยสว่ นบคุ คล อันได้แก่ ความร้หู รือทัศนคตเิ ท่าน้ัน

บทที่ 3 ระเบียบวธิ วี ิจัย การศึกษาปัจจยั ที่ความสมั พันธ์ตอ่ พฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพฟนั เพ่ือป้องกนั โรคฟัน ผุของนกั เรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 อาเภอนบพติ า จงั หวดั นครศรีธรรมราชโดยมีวิธีดาเนินการ วิจยั ดังน้ี 3.1 รูปแบบการวิจยั 3.2 ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง 3.3 เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการวิจัย 3.4 การตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมอื วิจัย 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.6 การวิเคราะห์ขอ้ มูล 3.7 การพทิ กั ษ์สิทธิ์กลุม่ ตัวอยา่ ง 3.8 แผนการดาเนินงานการวจิ ัย 3.1 รปู แบบการวจิ ยั การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยเชิงสารวจภาคตัดขวาง (Cross-sectional survey research) โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการดูแลสุขภาพฟันเพ่ือป้องกันโรคฟันผุของ นักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 อาเภอนบพติ า จงั หวดั นครศรีธรรมราช 3.2 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 3.2.1 ประชากร ประชากร คือ นักเรียนท่ีกาลังช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 อาเภอนบพิตา จังหวัดนครศรีธรรมราช ประจาปกี ารศึกษา 2562 จานวน 286 คน

38 3.2.2 กล่มุ ตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนที่กาลังศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษาปีที่ 6 อาเภอนบพิ ตา จังหวัดนครศรีธรรมราช ปีการศึกษา 2562 จานวน 165 คน ซึ่งได้จากการคานวณกลุ่ม ตัวอย่าง โดยใช้สูตร Krejcie & Morgan (1970 อ้างใน กรรณิกา เรืองเดช ชาวสวนศรีเจริญ, 2560: 148) ผูว้ จิ ัยจึงเพิ่มการเกบ็ ข้อมลู อีกร้อยละ 10 จึงมขี นาดกลุ่มตัวอย่างจานวนทั้งสิ้น 182 คน S = ขนาดของกลุ่มตวั อย่าง N = ขนาดของประชากร e = ระดบั ความคลาดเคล่อื นของการสุ่มตวั อย่างทย่ี อมรับได้ = คา่ ไคสแควร์ df เท่ากับ 1 และระดับความเช่ือม่ัน 95% (=3.841) p = สดั สว่ นของลักษณะท่ีสนใจในประชากร (ถ้าไม่ทราบใหก้ าหนด p = 0.5) แทนคา่ S = 3.841 ×286 ×0.5 ×0.5 (0.05)2×(286-1)+3.841 ×0.5 ×0.5 S = 164.18 ≈ 165 ดงั นน้ั กล่มุ ตวั อย่างท่ใี ช้ในการวิจัยคือ 165 คน ผู้วิจัยคานวณกลุ่มตัวอย่างเพิ่มอีก 10% เพื่อป้องกันกลุ่มตัวอย่างท่ีขาดหายไป (drop out) ดงั นนั้ เทา่ กบั 17 คน ดังนนั้ กลุม่ ตัวอย่างทใ่ี ช้ในการวิจยั ครงั้ นี้คือ 182 คน 3.2.3 วิธกี ารสมุ่ ตวั อยา่ ง เมอ่ื ได้ขนาดกลุม่ ตวั อย่างมาเรยี บร้อยแล้ว ผู้วจิ ยั ไดด้ าเนนิ การสมุ่ ตัวอย่างแบบหลาย ขนั้ ตอน (Multi-stage Sampling) ดงั น้ี 3.2.3.1 สุ่มกลุ่มตัวอย่างตามสัดส่วน (Proportional Stratified Random Sampling) โดยใช้สูตรคานวณขนาดตัวอย่างที่ทราบค่าประชากร เพื่อประมาณค่าสัดส่วนของ จา นวนกลมุ่ ตวั อยา่ งแตล่ ะตาบล โดยการใชส้ ตู รเทยี บบัญญัติไตรยางศ์ ซ่ึงได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง ใน การวิจยั ในครัง้ น้ี จานวน 182 คน ดังตอ่ ไปนี้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook