คำนำ หนงั สือโรคสัตวน์ ้ำเล่มน้ี จดั ทำข้ึนเพ่ือให้นกั ศึกษำ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์ สำขำวิชำ เพำะเล้ียงสัตวน์ ้ำ ใช้ประโยชน์ในกำรศึกษำ คน้ ควำ้ เพื่อหำควำมรู้เกี่ยวกบั โรคสัตวน์ ้ำ ซ่ึงสำมำรถ นำไปเป็นฐำนขอ้ มูลสำคญั ประกอบกำรเรียนรู้ในรำยวชิ ำชีพ รวมท้งั กำรฝึ กทกั ษะประสบกำรณ์วชิ ำชีพ และกำรประกอบอำชีพในอนำคต โดยไดร้ วบรวมองคค์ วำมรู้ทำงวชิ ำกำร ขอ้ มูลจำกแหล่งควำมรู้ต่ำงๆ ทุกรูปแบบ รวมท้งั กำรรวบรวมและแปลควำมจำกเอกสำรทำงวชิ ำกำรของต่ำงประเทศ ท้งั น้ี เพื่อให้ได้ เอกสำรวิชำกำรที่มีควำมถูกต้อง ทันสมัย และครอบคลุมเน้ือหำที่จำเป็ น และเกิดประโยชน์กับ กำรพฒั นำผูเ้ รียนทุกระดบั ช้นั มำกที่สุด หนงั สือเล่มน้ี ประกอบดว้ ยเน้ือหำสำระ 7 หน่วยกำรเรียนรู้ ได้แก่ กำรเกิดโรคในสัตว์น้ำ กำรตรวจวินิจฉัยโรคสัตว์น้ ำ โรคที่เกิดจำกแบคทีเรีย โรคเช้ือรำ โรคไวรัสในสตั วน์ ้ำ ปรสิตในสัตวน์ ้ำ และกำรใชย้ ำและสำรเคมีในกำรป้องกนั รักษำโรคสตั วน์ ้ำ อยำ่ งไรก็ตำม หำกหนังสือเล่มน้ี มีควำมบกพร่องหรือผิดพลำดประกำรใด ตอ้ งขออภยั ไว้ ณ โอกำสน้ี และหวงั เป็ นอย่ำงย่ิงว่ำจะถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผูเ้ รียนในสำขำวิชำ เพำะเล้ียงสตั วน์ ้ำ รวมท้งั ผสู้ นใจทว่ั ไปไดเ้ ป็นอยำ่ งดี กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
สำรบัญ หน้ำ หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 1 กำรเกดิ โรคในสัตว์นำ้ 1 กำรเกิดโรคในสตั วน์ ้ำ 2 รูปแบบกำรเกิดโรคในสัตวน์ ้ำ 9 ปัจจยั ในกำรเกิดโรคหรือกำรระบำดของโรคในสัตวน์ ้ำ 10 นิยำมศพั ทท์ ี่เกี่ยวขอ้ ง 11 14 หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี 2 กำรตรวจวนิ ิจฉัยโรคสัตว์นำ้ 14 เครื่องมือในกำรวนิ ิจฉยั โรคข้นั พ้นื ฐำน 14 กำรตรวจวนิ ิจฉยั โรคสัตวน์ ้ำ 26 เทคนิคในกำรตรวจสอบเช้ือโรค 29 กำรเก็บตวั อยำ่ งเพอื่ กำรศึกษำโรคสตั วน์ ้ำและกำรตรวจวนิ ิจฉยั โรค 35 35 หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 3 โรคทเี่ กดิ จำกแบคทเี รีย 36 ลกั ษณะทวั่ ไปของแบคทีเรีย 38 กำรจำแนกแบคทีเรีย 39 กลไกกำรติดเช้ือแบคทีเรียในตวั สัตวน์ ้ำ 40 ลกั ษณะทว่ั ไปของโรคติดเช้ือแบคทีเรีย 58 โรคแบคทีเรียที่สำคญั ในสตั วน์ ้ำ 58 60 หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี 4 โรคเชื้อรำ 66 ลกั ษณะทว่ั ไปของเช้ือรำ 66 โรคเช้ือรำในสัตวน์ ้ำ 69 69 หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 5 โรคไวรัสในสัตว์นำ้ 72 ลกั ษณะทวั่ ไปของไวรัส 87 กำรจำแนกชนิดของไวรัส 89 กำรเพ่มิ จำนวนของอนุภำคไวรัส โรคไวรัสในสัตวน์ ้ำ กำรวนิ ิจฉยั โรคไวรัสในกงุ้ วธิ ีกำรควบคุมและป้องกนั โรคไวรัสในกงุ้
หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 6 ปรสิตในสัตว์นำ้ หน้ำ โปรโตซวั หนอนตวั แบน 92 หนอนหวั หนำม 92 106 พยำธิเส้นดำ้ ย 112 114 หนอนตวั กลมที่ลำตวั เป็นปลอ้ ง 116 118 อำร์โธรโปดำ้ 125 กำรป้องกนั โรคปรสิตของสัตวน์ ้ำ 127 127 หน่วยกำรเรียนรู้ท่ี 7 กำรใช้ยำและสำรเคมใี นกำรป้องกนั รักษำโรคสัตว์นำ้ 135 ยำและสำรเคมี 145 กำรคำนวณปริมำณของยำและสำรเคมี บรรณำนุกรม
สำรบญั (ตำรำง) ตำรำงท่ี 2.1 รำยละเอียดของขอ้ มูลพ้นื ฐำนที่จำเป็นในกำรวนิ ิจฉยั โรคสตั วน์ ้ำ หน้ำ ตำรำงท่ี 2.2 ตวั อยำ่ งแบบฟอร์มบนั ทึกขอ้ มูลประกอบกำรกำรตรวจวนิ ิจฉยั โรคสตั วน์ ้ำ 16 ตำรำงท่ี 2.3 ควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งลกั ษณะอำกำรและสำเหตุหรือควำมผิดปกติที่เป็ นไปไดใ้ น 17 30 กำรเกิดโรคต่ำงๆ ของสตั วน์ ้ำ รวมท้งั วธิ ีกำรปฏิบตั ิในกำรตรวจสอบ/แกไ้ ข ตำรำงที่ 4.1 ผลของกำรติดเช้ือรำที่มีตอ่ ปริมำณอิออนในน้ำเลือด 61 ตำรำงที่ 7.1 ยำและสำรเคมีท่ีใชใ้ นกำรป้องกนั และรักษำโรคสตั วน์ ้ำ 139
สำรบญั (ภำพ) รูปที่ 1.1 ควำมสัมพนั ธ์ซ่ึงกนั และกนั ของปัจจยั หลกั 3 ประกำร ในกำรเกิดโรคของสตั วน์ ้ำ หน้ำ รูปท่ี 1.2 ไดอะแกรมแสดงกลไกกำรเกิดควำมเครียดในสัตวน์ ้ำ (Stress Mechanisms) 2 รูปท่ี 1.3 ไดอะแกรมกำรตอบสนองตอ่ ควำมเครียดที่เกิดข้ึนในตวั สัตวน์ ้ำ 4 รูปที่ 2.1 กำรขูดเมือกด้วยขอบสไลด์ท่ีบริเวณผิวตวั (ล่ำง) และนำมำแตะบนสไลด์ (บน) 6 20 เพ่ือตรวจสอบ รูปท่ี 2.2 กำรขลิบส่วนปลำยของครีบหำงเพือ่ นำมำตรวจสอบดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์ 21 รูปที่ 2.3 กำรเปิ ดแผน่ ปิ ดเหงือก (A) และขลิบส่วนปลำยของซี่เหงือก (B) เพอื่ นำมำ 21 ตรวจสอบดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์ 22 รูปท่ี 2.4 กำรใชไ้ ซริงกแ์ ละเขม็ เจำะผำ่ นบริเวณทำ้ ยของเหงือกเพ่อื นำเอำเน้ือเยอ่ื ไตตอนหนำ้ 22 มำตรวจสอบ 23 รูปท่ี 2.5 กำรใชไ้ ซริงกแ์ ละเขม็ ดูดตวั อยำ่ งเลือดปลำจำกบริเวณหวั ใจเพ่ือนำมำตรวจสอบ รูปที่ 2.6 กำรใชไ้ ซริงกแ์ ละเขม็ ดูดตวั อยำ่ งเลือดจำกเส้นเลือดบริเวณคอดหำง (ซำ้ ย) และ 23 24 ตำแหน่งของเส้นเลือด (ขวำ) 41 รูปที่ 2.7 กำรใชไ้ ซริงกแ์ ละเขม็ ดูดตวั อยำ่ งเลือดจำกบริเวณโคนขำเดินคูท่ ี่ 4 ในกงุ้ กุลำดำ 41 รูปที่ 2.8 ลกั ษณะและตำแหน่งอวยั วะภำยในตำ่ งๆ ของปลำ 42 รูปที่ 3.1 อำกำรเกล็ดต้งั ร่วมกบั กำรตกเลือดในปลำท่ีติดเช้ือ 45 รูปท่ี 3.2 อำกำรตกเลือดโดยทวั่ ไป ร่วมกบั กำรเขม้ ข้ึนของสีตวั และครีบ 45 รูปที่ 3.3 อำกำรบวมน้ำท่ีบริเวณช่องทอ้ ง และโคนครีบหู 47 รูปที่ 3.4 กำรเกิดแผลหลุมที่บริเวณผวิ ตวั (Ulceration) 48 รูปท่ี 3.5 กำรเกิดแผลหลุมร่วมกบั อำกำรตกเลือดทว่ั ลำตวั 48 รูปที่ 3.6 อำกำรเน้ือเยอื่ ตำยท่ีบริเวณซ่ีเหงือก 49 รูปท่ี 3.7 กำรถูกทำลำยของเมด็ สีบริเวณผวิ ตวั 50 รูปที่ 3.8-9 กำรถูกทำลำยของเมด็ สีที่เกิดข้ึนทว่ั ลำตวั รูปที่ 3.10 ลกั ษณะแผลตุ่มนูน (furuncle) และมีน้ำเลือด น้ำเหลืองขงั อยภู่ ำยใน 52 รูปที่ 3.11 อำกำรตกเลือดอยำ่ งรุนแรงที่บริเวณช่องทอ้ ง และช่องเปิ ดทวำรหนกั (anus) บวมยน่ื 52 ออกมำนอกลำตวั รูปที่ 3.12 กำรเช่ือมติดกนั ของปลำยซ่ีเหงือก (gill filament) รูปท่ี 3.13 อำกำรเปิ ดอำ้ ของกระพงุ้ แกม้ (operculum) ในปลำติดเช้ือ
รูปท่ี 3.14 อำกำรบวมน้ำอยำ่ งรุนแรงที่บริเวณช่องทอ้ ง หน้ำ รูปที่ 3.15 cyst หรือ granuloma สีขำว (ศรช้ี) ภำยในเน้ือเยอ่ื ไต 53 รูปที่ 3.16 แผลที่ขยำยเป็นวงกวำ้ งบริเวณครีบหูของปลำท่ีติดเช้ือและลกั ษณะของ 54 55 Edwardsiella tarda รูปท่ี 3.17 กำรเกิดแผลหลุมลึกสีแดงเขม้ ในปลำติดเช้ือ 56 รูปที่ 3.18 อำกำรตกเลือดบริเวณปำก ฐำนครีบต่ำงๆ และทวั่ ลำตวั 57 รูปท่ี 3.19 อำกำรอกั เสบบริเวณปำก และขำกรรไกร 57 รูปที่ 4.1 ไฮฟ่ี (hyphae) ที่เรียงต่อกนั เป็นไฮฟำ (hypha) และกลุ่มไมซีเลียม (Mycelium) ของ 58 เช้ือรำ 59 รูปที่ 4.2 ซูโอสปอร์แรงเจ้ียม (zoosporangium) (ศรช้ี) ท่ีบริเวณส่วนปลำยของไฮฟำ (hypha) 59 รูปท่ี 4.3 ลกั ษณะของโอโอสปอร์ (Oospore) 62 รูปที่ 4.4 – 5 กลุ่มเส้นใยสีขำวท่ีบริเวณตำ่ งๆ ของลำตวั สตั วน์ ้ำ 63 รูปที่ 4.6 กำรเกิดลกั ษณะเน้ือตำย และกำรอกั เสบในบริเวณท่ีติดเช้ือรำ 65 รูปท่ี 4.7 กำรเช่ือมติดกนั ของแกนเหงือก 65 รูปท่ี 4.8 กำรติดเช้ืออยำ่ งรุนแรง เกิดเป็นกอ้ นสีขำวบริเวณเหงือก 67 รูปท่ี 5.1 องคป์ ระกอบท่ีสำคญั ของโครงสร้ำงอนุภำคไวรัส 68 รูปที่ 5.2 อนุภำคไวรัสรูปทรงกระบอก (Rod - Shape) 68 รูปท่ี 5.3 อนุภำคไวรัสท่ีมีรูปร่ำงแบบทรงกลม (Spherical - Shape) 68 รูปที่ 5.4 อนุภำคไวรัสท่ีมีรูปทรงซบั ซอ้ น ไมส่ มมำตร (Complex Structure) 74 รูปที่ 5.5 อำกำรตกเลือดท่ีช่องทอ้ ง และกำรเปลี่ยนสีของครีบต่ำงๆ (ภำพล่ำง) 75 รูปท่ี 5.6 เซลลข์ นำดใหญ่ (Giant Cell) เปรียบเทียบกบั เซลลป์ กติ (Normal Cells) 75 รูปที่ 5.7 ลกั ษณะหูดขำวใส หรือสีชมพูทว่ั ลำตวั 79 รูปที่ 5.8 กงุ้ ที่แสดงอำกำร RDS สังเกตกำรเสียรูปร่ำงของกรี และหนวด 80 รูปที่ 5.9 ควำมแตกตำ่ งท่ีส่วนหวั และอก (cephalothorax) ระหวำ่ งกุง้ ปกติ (ขวำ) 81 และกงุ้ ป่ วย (ซำ้ ย) 81 รูปที่ 5.10 รูปร่ำงลกั ษณะของอนุภำคไวรัส YHV รูปท่ี 5.11 ลกั ษณะเมด็ เลือดกุง้ กุลำดำปกติ (ซำ้ ย) และ เมด็ เลือดของกงุ้ ติดเช้ือไวรัส YHV 81 ซ่ึงนิวเคลียสของเซลจะแตกออก (ขวำ) 83 รูปที่ 5.12 ตอ่ มน้ำเหลืองกงุ้ กุลำดำปกติ (ซำ้ ย) และต่อมน้ำเหลืองกุง้ กุลำดำท่ีติดเช้ือไวรัส YHV ซ่ึงเซลจะตำยและแตกกระจำย (ขวำ) รูปท่ี 5.13 จุดขำวจำนวนมำกที่บริเวณใตเ้ ปลือกหวั ของกุง้ ป่ วย
รูปท่ี 5.14 รูปร่ำงลกั ษณะของอนุภำคไวรัส WSV หน้ำ รูปท่ี 5.15 นิวเคลียสท่ีขยำยขนำดใหญ่ข้ึน และลกั ษณะอินคลูชน่ั บอด้ี (inclusion bodies) รูปที่ 5.16 ส่วนของแพนหำงสีแดงจดั ของกงุ้ ป่ วย (กุง้ ตวั บน) 83 รูปท่ี 5.17 รูปร่ำงลกั ษณะของอนุภำคไวรัส TSV 84 รูปท่ี 5.18 ข้นั ตอนโดยสรุปของเทคนิคพีซีอำร์ (PCR) หรือ ปฏิกิริยำลูกโซ่โพลีเมอเรส 85 รูปที่ 6.1 รูปร่ำง ลกั ษณะของ Chilodonella cyprinid 86 รูปที่ 6.2 ลกั ษณะอำกำรของปลำท่ีเกิดจำก Chilodonella cyprinid 88 รูปที่ 6.3 ลกั ษณะของเซลล์ และนิวเคลียสรูปเกือกมำ้ ของ Ichthyophthirius multifilis 93 รูปท่ี 6.4 จุดสีขำว ที่เกิดจำก Ichthyophthirius multifilis เกำะท่ีบริเวณส่วนตำ่ งๆ ของปลำ 94 รูปท่ี 6.5 กลุ่ม (colony) ของ Zoothamnium penaei ที่บริเวณรยำงคท์ อ้ งของกุง้ 95 รูปท่ี 6.6 กลุ่ม (colony) ของ Zoothamnium penaei ที่บริเวณเปลือกหวั (carapace) ของกุง้ 96 รูปที่ 6.7 อำกำรเกลด็ หลุดเป็ นหยอ่ มๆ ร่วมกบั กำรตกเลือดในปลำที่มี Zoothamnium sp 96 97 เกำะตำมลำตวั 97 รูปที่ 6.8 ลกั ษณะตวั เซลล์ และโคโลนี (colony) ของ Epistylis sp รูปที่ 6.9 อำกำรเกลด็ หลุดและตกเลือด ในปลำที่มี Epistylis sp เกำะตำมลำตวั 98 รูปท่ี 6.10 โครงสร้ำง และอวยั วะช่วยในกำรยดึ เกำะ (denticulate ring) ของ Trichodina sp 98 รูปท่ี 6.11 ลกั ษณะตวั เซลล์ ซิเลีย และอวยั วะช่วยในกำรยดึ เกำะ (denticulate ring) 99 99 ของ Trichodina sp รูปท่ี 6.12 รูปร่ำง ลกั ษณะของ Oodinium ocellatum ที่พบอยใู่ นเมือกของสัตวน์ ้ำ 101 รูปที่ 6.13 ลกั ษณะอำกำรของปลำที่มี Oodinium ocellatum เกำะท้งั บริเวณลำตวั และเหงือก 101 รูปที่ 6.14 รูปร่ำง ลกั ษณะของ Trypanosoma sp ท่ีพบอยใู่ นเลือดของสัตวน์ ้ำ 102 รูปที่ 6.15 รูปร่ำงลกั ษณะของ Gyrodactylus sp และโอพสี แฮพเตอร์” (Opishaptor ) 107 ซ่ึงใชย้ ดึ เกำะท่ีบริเวณผวิ ตวั ปลำ 108 รูปที่ 6.16 Dactylogyrus sp จำนวนมำกเกำะอยทู่ ี่บริเวณซี่เหงือก 110 รูปท่ี 6.17 ลกั ษณะของ Zenga sp และร่องดูดโบเธรียท่ีใชย้ ดึ เกำะกบั ผนงั ลำไส้ 112 รูปท่ี 6.18 ลกั ษณะทว่ั ไปของหนอนหวั หนำม 113 รูปที่ 6.19 หนอนหวั หนำมจำนวนมำกฝังส่วนหวั ในผนงั กระเพำะอำหำรของปลำทะเล 115 รูปท่ี 6.20 ลกั ษณะทว่ั ไปของพยำธิเส้นดำ้ ย 116 รูปที่ 6.21 ลกั ษณะทวั่ ไปของปลิง (leech) 117 รูปที่ 6.22 กำรใชซ้ คั เกอร์ดำ้ นทำ้ ยตวั (posterior sucker) และปำกดูด (oral sucker) ในกำรเกำะติดและดูดเลือดจำกตวั ปลำ
รูปท่ี 6.23 ลกั ษณะรูปร่ำง และโครงสร้ำงต่ำงๆ ของ Argulus sp หน้ำ รูปท่ี 6.24 -25 Argulus sp จำนวนหน่ึง เกำะท่ีผวิ ตวั ปลำ รูปที่ 6.26 ลกั ษณะรูปร่ำงโดยทวั่ ไปของโคพพี อด 118 รูปท่ี 6.27 Ergasilus sp จำนวนมำก เกำะอยทู่ ่ีบริเวณซ่ีเหงือก 119 รูปท่ี 6.28 ลกั ษณะทวั่ ไป และส่วนหวั ที่แตกต่ำงกนั ของหนอนสมอชนิดต่ำงๆ 121 รูปท่ี 6.29 รูปร่ำงลกั ษณะของหนอนสมอ 122 รูปที่ 6.30- 31 บริเวณผิวตวั ปลำที่หนอนสมอฝังส่วนหวั ลงไปทำใหเ้ กิดเป็นรอยแผลร่วมกบั 123 อำกำรตกเลือด 124 124
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การเกดิ โรคในสัตว์นา้ สัตวน์ ้ำจดั เป็ นแหล่งอำหำรโปรตีนที่ได้รับควำมนิยมสูงในปัจจุบนั เน่ืองจำกรำคำต่ำ และ ส่งผลดีต่อสุขภำพของผูบ้ ริโภค ดว้ ยเหตุน้ีเอง ทำให้ผลผลิตสัตวน์ ้ำที่ไดร้ ับจำกธรรมชำติ ลดนอ้ ยลง อย่ำงต่อเน่ือง กำรเพำะเล้ียงสัตว์น้ ำเพ่ือทดแทนผลผลิตในธรรมชำติ จึงได้ขยำยตัวเพิ่มข้ึน อยำ่ งรวดเร็ว อยำ่ งไรกต็ ำม กำรเพำะเล้ียงสัตวน์ ้ำไม่วำ่ จะในรูปแบบกำรเล้ียงแบบหนำแน่น (intensive culture) หรือ กำรเล้ียงแบบควำมหนำแน่นต่ำ (extensive culture) ลว้ นมีผลทำใหส้ ัตวน์ ้ำมีสภำพกำร ดำรงชีวิตที่แตกต่ำงไปจำกสภำพธรรมชำติ ท้งั ในแง่ของควำมหนำแน่น อำหำรที่ได้รับ และกำร เปลี่ยนแปลงของคุณสมบตั ิน้ำ ดงั น้นั สัตวน์ ้ำในบ่อเพำะเล้ียง จึงมกั เกิดปัญหำในเรื่องของโรค พยำธิ ต่ำงๆ เนื่องจำกสัตวน์ ้ำไม่สำมำรถจะเลือกสถำนที่ท่ีเหมำะสมที่สุดต่อกำรดำรงชีพ เลือกกินอำหำรได้ ตำมตอ้ งกำร หรืออพยพไปยงั แหล่งน้ำท่ีมีสภำพดีกวำ่ เพื่อกำรมีชีวติ รอดไดน้ น่ั เอง กำรศึกษำโรคสัตว์น้ ำในอดีตท่ีผ่ำนมำ ส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปในส่วนของโรคท่ีเกิด เนื่องมำจำกปรสิต (parasitic diseases) ต่ำงๆ โดยมีกำรศึกษำทำงอนุกรมวิธำนของโรคพยำธิกัน มำกกวำ่ ที่จะศึกษำในเร่ืองของเช้ือโรค ไม่ว่ำจะเป็ นแบคทีเรีย หรือไวรัส เน่ืองจำกควำมขำดแคลน เครื่องมือที่ทนั สมยั และมีประสิทธิภำพสูง แต่ในปัจจุบนั กำรศึกษำเร่ืองของโรคสัตวน์ ้ำ มีกำรพฒั นำ และประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคนิคท่ีทนั สมยั และนำเทคโนโลยีมำใชใ้ นกำรศึกษำกนั อยำ่ งกวำ้ งขวำง ท้งั น้ีเพรำะ กำรพัฒนำและกำรขยำยตัวของกำรเพำะเล้ียงสัตว์น้ ำ รวมท้ังกำรพัฒนำทำงด้ำนเทคโนโลยี อุตสำหกรรมต่ำงๆ มีผลโดยตรงต่อกำรเกิดโรคในสัตวน์ ้ำ ซ่ึงเป็ นปัจจยั จำกดั ท่ีสำคญั ต่อผลผลิตของ กำรเพำะเล้ียงสัตวน์ ้ำ ดงั น้นั จึงมีควำมจำเป็นอยำ่ งยง่ิ ที่จะตอ้ งไดร้ ับกำรแกไ้ ขอยำ่ งมีประสิทธิภำพ อย่ำงไรก็ตำม กำรศึกษำโรคสัตวน์ ้ำ มีควำมแตกต่ำงจำกกำรศึกษำโรคในสัตว์บก ท้งั น้ี เนื่องจำกสภำพกำรเล้ียงและสิ่งแวดลอ้ มที่แตกต่ำงกนั อีกท้งั กำรเกิดโรคในสัตวน์ ้ำจะสังเกตพบได้ ค่อนข้ำงยำกในระยะเร่ิมแรก จะสำมำรถวินิจฉัยได้อย่ำงชัดเจน ก็ต่อเม่ือมีอำกำรรุนแรงยำกต่อ กำรแก้ไข ดังน้ัน ผูเ้ ล้ียงจำเป็ นตอ้ งทรำบรำยละเอียดต่ำงๆ เกี่ยวกับกำรเล้ียง เช่น ลกั ษณะอำกำร คุณภำพน้ำ อำหำร ฯลฯ เพื่อเป็ นขอ้ มูลในกำรที่จะนำมำพิจำรณำ จดั กำรแกไ้ ขไดอ้ ยำ่ งถูกตอ้ ง และมี ประสิทธิภำพ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
1. การเกดิ โรคในสัตว์นา้ 2 โดยทวั่ ไป สภำพกำรดำรงชีวิตของสัตวน์ ้ำ จะมีปัจจยั สำคญั อยำ่ งหน่ึงในกำรกำหนดสุขภำพ ของสัตว์น้ ำ คือ น้ ำ ซ่ึงเป็ นสภำพแวดล้อมรอบตัวสัตว์น้ ำ นั่นก็คือ คุณสมบัติต่ำงๆ ของน้ ำ ท้งั คุณสมบตั ิทำงเคมี และคุณสมบตั ิทำงกำยภำพ อยำ่ งไรก็ตำม สำเหตุในกำรเกิดโรคของสัตวน์ ้ำ ไม่ไดเ้ กิดข้ึนเน่ืองมำจำกสำเหตุใดเพียงสำเหตุเดียว แต่มกั จะเป็ นผลมำจำกควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งกนั และกนั ขององคป์ ระกอบหลกั 3 ประกำร ดงั น้ี 1) สภำพแวดล้อม (environment) หมำยถึง คุณสมบตั ิน้ำทำงเคมีภำพ กำยภำพ และ ชีวภำพ ซ่ึงจะรวมถึงมลภำวะ (pollutants) ต่ำงๆ ในแหล่งน้ำดว้ ย 2) ตวั สัตวน์ ้ำ (host) หมำยถึง ตวั ของสัตวน์ ้ำซ่ึงอำจจะอยูใ่ นสภำพท่ีแขง็ แรงเป็ นปกติ หรือเกิดควำมออ่ นแอเน่ืองจำกสำเหตุใดๆ ก็ตำม 3) เช้ือโรค (pathogens) หมำยถึง ตวั ต้นเหตุที่ก่อให้เกิดโรค เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ปรสิตชนิดตำ่ งๆ 1 ตวั สัตว์นา้ (Host) 1+3 1+2 3 สภาพแวดล้อม 11++22++33 2 เชื้อโรค (Environment) 2+3 (Pathogen) รูปท่ี 1.1 ความสัมพนั ธ์ซึ่งกนั และกันของปัจจยั หลกั 3 ประการ ในการเกดิ โรคของสัตว์นา้ ทมี่ า : กจิ การ ศุภมาตย์และคณะ (2539) จำกรูปท่ี 1.1 ในสภำพปกติ องค์ประกอบท้ัง 3 ประกำรจะอยู่ในลักษณะที่สมดุลซ่ึงกัน และกัน น่ันคือ ในสภำพสิ่งแวดล้อมที่ดี คุณภำพน้ ำจะมีควำมเหมำะสมกับกำรดำรงชีวิตของ สัตวน์ ้ำ และตวั สัตวน์ ้ำเองก็อยูใ่ นสภำวะท่ีแข็งแรงเป็ นปกติ เช้ือโรคต่ำงๆ ที่มีอยู่ ไม่วำ่ จะอยู่ในน้ำ หรือภำยในตวั สัตวน์ ้ำ ก็ไม่สำมำรถท่ีจะก่อให้เกิดโรคแก่สัตวน์ ้ำน้นั ๆ ได้ ต่อเม่ือมีองคป์ ระกอบใด องคป์ ระกอบหน่ึงเสียสมดุลไป โอกำสในกำรเกิดโรคก็จะมีข้ึนไดท้ นั ที กล่ำวคือ เม่ือสัตวน์ ้ำอ่อนแอลง ซ่ึงอำจเน่ืองมำจำกสภำพแวดลอ้ ม (คุณภำพน้ำ) ท่ีเสื่อมโทรม หรือเกิดควำมผดิ ปกติอยำ่ งใดอยำ่ งหน่ึง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
3 ข้ึนในตวั สัตวน์ ้ำ เช่น ควำมผิดปกติทำงพนั ธุกรรม (genetic disorder) ควำมผิดปกติอนั เนื่องมำจำก อำหำร (nutritional disorder) เป็ นตน้ จะส่งผลให้ภูมิตำ้ นทำนภำยในร่ำงกำยลดน้อยลง เช้ือโรคท่ีมี อยู่ในน้ำก็สำมำรถเข้ำสู่ตวั สัตวน์ ้ำได้ และมีปริมำณเพิ่มมำกข้ึนจนเพียงพอท่ีจะก่อให้เกิดโรคได้ ในท่ีสุด ท้งั น้ี ปัจจยั สำคญั ที่ทำให้สัตวน์ ้ำมีภูมิตำ้ นทำนภำยในตวั ลดลง คือ ความเครียด (stress) ควำมเครียด โดยทว่ั ไปแลว้ หมำยถึง กำรตอบสนองทำงสรีรวิทยำของร่ำงกำยสัตวน์ ้ำ ในกำรพยำยำม ที่จะทำให้ขบวนกำรต่ำงๆ ที่เกิดข้ึนเพ่ือกำรดำรงชีวิต ซ่ึงมีควำมผิดปกติไปเนื่องมำจำกผลของกำร เปลี่ยนแปลงทำงเคมี และกำยภำพของสิ่งแวดลอ้ มรอบตวั ใหก้ ลบั คืนสู่สภำพปกติ 1.1 ความเครียด และการเกดิ โรคในสัตว์นา้ ขบวนกำรในกำรดำรงชีวิตต่ำงๆ ที่เกิดข้ึนภำยในร่ำงกำยของสัตว์น้ ำ ไม่ว่ำจะเป็ น ขบวนกำรเมตำโบลิซึม ขบวนกำรทำงชีวเคมี หรือขบวนกำรทำงกำยภำพอ่ืนๆ จะมีพ้ืนฐำนท่ี คลำ้ ยคลึงกนั กบั สตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนมท้งั หลำย สัตวน์ ้ำจะมีโอกำสในกำรติดเช้ือโรคต่ำงๆ ไดเ้ หมือนกบั สัตวเ์ ลือดอุ่นทุกชนิด เช่น ไวรัส แบคทีเรีย รำ ปรสิต รวมท้งั ปัญหำอื่นๆ ท่ีไม่ไดเ้ กิดจำกกำรติดเช้ือ อย่ำงไรก็ตำม ควำมเครียดของสัตวน์ ้ำ ถือเป็ นปัจจยั หลกั ในกำรนำมำพิจำรณำถึงสำเหตุของกำรเกิด โรค และควำมเครียดจะมีผลกระทบต่อสัตวน์ ้ำมำกน้อยแค่ไหนน้นั จะข้ึนอยู่กบั ระดบั ควำมรุนแรง ของควำมเครียด และช่วงระยะเวลำท่ีเกิดควำมเครียด รวมท้งั สภำพทำงร่ำงกำยของตวั สตั วน์ ้ำเอง ในท่ีน้ี สรุปไดว้ ำ่ ความเครียด คือลกั ษณะอำกำรท่ีผิดไปจำกปกติ ซ่ึงเกิดข้ึนเนื่องจำก กำรเปลี่ยนแปลงของสภำพแวดลอ้ ม หรือเกิดจำกองค์ประกอบอ่ืน ท่ีทำให้เกิดกำรตอบสนองของตวั สัตวน์ ้ำ โดยท่ีองค์ประกอบเหล่ำน้ัน จะไปรบกวนสภำพปกติทำให้กำรดำรงชีวิตเปล่ียนแปลงไป ปัจจยั หลกั ที่ก่อให้เกิดควำมเครียด (stressor) สำหรับสัตวน์ ้ำส่วนใหญ่ก็คือ คุณสมบตั ิต่ำงๆ ของน้ำ นนั่ เอง 1.1.1 กลไกของการเกดิ ความเครียดภายในตัวสัตว์นา้ สัตว์น้ ำจะรับรู้ควำมเปล่ียนแปลงของสภำพแวดล้อม ซ่ึงเป็ นต้นเหตุแห่ง ควำมเครียดต่ำงๆ ได้จำกอวยั วะรับสัมผสั เช่นจำกส่วนของประสำทตำ กำรดมกลิ่น เหงือก และ ประสำทรับควำมรู้สึกบริเวณเส้นขำ้ งตวั (lateral line) จำกน้นั จะส่งควำมรู้สึกผำ่ นเขำ้ สู่สมองส่วนหนำ้ และส่งสัญญำณประสำทไปยงั ส่วนของสมองที่เรียกว่ำ ไฮโปธำลำมัส (hypothalamus) ให้หล่ัง ฮอร์โมนชนิดหน่ึงซ่ึงจะไปมีผลต่อต่อมใต้สมอง (pituitary gland) ให้หล่ังฮอร์โมนอีกชนิดหน่ึง ออกมำ คือ อดรีโนคอร์ติโคโทรฟิ น (ACTH = adrenocorticothrophic hormone) ซ่ึงจะถูกปล่อยออก --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
4 สู่กระแสเลือดไปมีผลตอ่ อวยั วะเป้ำหมำย คือ เน้ือเยอื่ บริเวณไตส่วนหนำ้ และจะส่งผลใหเ้ น้ือเยอ่ื ส่วนน้ี หลงั่ ฮอร์โมนอีก 2 กลุ่ม ออกมำ ซ่ึงเรียกรวมกนั วำ่ ฮอร์โมนความเครียด (stress hormone) ต้นเหตุแห่งความเครียด อวยั วะรับความรู้สึก (Stressors) (Stimulus Receptors) สภาพแวดล้อม ได้แก่ ไฮโปธาลามสั - อุณหภูมิ (Hypothalamus) - คณุ ภาพนา้ - เชื้อโรค ต่อมใต้สมอง ฯลฯ (Pituitary Gland) Catecholamine เนื้อเยื่อในไตส่วนหน้า (Interrenal Tissue) ฮอร์โมนความเครียด (Stress Hormone) Corticosteroid hormone รูปที่ 1.2 ไดอะแกรมแสดงกลไกการเกดิ ความเครียดในสัตว์นา้ (Stress Mechanisms) ทม่ี า : Gratzek (1980) --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
5 ฮอร์โมนความเครียด (stress hormone) ประกอบดว้ ยฮอร์โมน 2 กลุ่ม ดงั น้ี 1) Catecholamine ได้แก่ ฮอร์โมน epinephrine และ nor – epinephrine ซ่ึงเป็ นฮอร์โมนท่ีทำให้ตวั สัตวน์ ้ำมีควำมต่ืนตวั พร้อมที่จะต่อสู้กบั สภำวะท่ีเกิดข้ึน หรือหนีออกจำก สภำพแวดลอ้ มน้นั ๆ 2) Corticosteroid hormone ไดแ้ ก่ ฮอร์โมน cortisol และ cortisone ซ่ึงเป็ น ฮอร์โมนที่มีผลกระทบโดยตรงตอ่ ระบบทำงสรีรวทิ ยำ และระบบภูมิคุม้ กนั ภำยในตวั สตั วน์ ้ำ ผลของฮอร์โมนควำมเครียด จะทำใหต้ วั สัตวน์ ้ำมีกำรเปลี่ยนแปลงท้งั ทำงกำยภำพ ชีวเคมี และสรีรวิทยำ ซ่ึงระยะของกำรเกิดควำมเครียดในตวั สัตวน์ ้ำ สำมำรถแบ่งได้เป็ น 2 ระยะ ดงั น้ี 1) ผลในระยะแรก (primary effect) เป็ นควำมเครียดที่เกิดข้ึนทนั ที หลงั จำก ท่ีสัตวน์ ้ำไดร้ ับกำรกระตุน้ จำกสิ่งเร้ำ (stimuli) ส่ิงที่ตรวจพบไดท้ นั ทีในกระแสเลือด คือ ปริมำณของ ฮอร์โมนควำมเครียด (stress hormone) ท้งั 2 กลุ่ม คือ corticosteroid hormone และ catecholamine ท่ีเพิ่มสูงข้ึน 2) ผลในระยะท่ีสอง (secondary effect) ห ลังจำกที่ มีกำรหลั่ง cortisol และ catecholamine เขำ้ สู่กระแสเลือด จะทำใหเ้ กิดกำรเปลี่ยนแปลงทำงสรีรวิทยำหลำยอยำ่ งภำยใน ร่ำงกำย เช่น ปริมำณน้ำตำลในเลือด (blood glucose) สูงข้ึน อตั รำกำรเตน้ ของหวั ใจเพ่ิมข้ึน ปริมำณ ไกลโคเจนในตบั ลดลง เป็นตน้ ข้นั ตอนตำ่ งๆ เหล่ำน้ี จะประกอบไปดว้ ยกำรเปล่ียนแปลงหลำยประกำรที่เกิดข้ึน ภำยในร่ำงกำย และส่วนใหญ่จะมีควำมคลำ้ ยคลึงกนั ไม่วำ่ จะเป็นควำมเครียดท่ีเกิดข้ึนเน่ืองจำกสำเหตุ ใดก็ตำม กำรปรับตวั ของสัตวน์ ้ำเพื่อตอบสนองต่อควำมเครียดท่ีเกิดข้ึนในข้นั สุดทำ้ ย จะสำมำรถเป็ น ไปได้ 2 ลกั ษณะ คือ อยใู่ นสภำพปกติ (Healthy) หรือกำรเกิดโรค (Diseases) ดงั ไดอะแกรม --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
6 ความเครียด (Stress) การปรับตัว (Adaptation) การฟื้ นตัว (Recovery) ภาวะอ่อนแอ (Exhaustion) สุขภาพดี (Healthy) การเกดิ โรค (Diseases) รูปที่ 1.3 ไดอะแกรมการตอบสนองต่อความเครียดทเี่ กดิ ขนึ้ ในตวั สัตว์นา้ ทม่ี า : Post (1987) จำกไดอะแกรม สำมำรถอธิบำยไดว้ ำ่ เม่ือสัตวน์ ้ำเกิดควำมเครียด ร่ำงกำยจะมีกำร ตอบสนองโดยทนั ที ทำใหเ้ กิดกำรปรับตวั ใหเ้ ขำ้ กบั สภำพแวดลอ้ มท่ีเปลี่ยนแปลงไป ในกรณีที่ปรับตวั ได้สำเร็จ สัตวน์ ้ำก็จะกลบั คืนสู่สภำพปกติ และมีสุขภำพดี ในกรณีท่ีปรับตวั ไม่สำเร็จก็จะทำให้ อ่อนแอและเกิดโรคข้ึนได้ 1.1.2 การปรับตัวเพ่ือให้อย่ไู ด้ในสภาพแวดล้อมใหม่ (acclimation) กำรปรับตวั ของสัตว์เพ่ือให้สำมำรถมีชีวิตอยู่ไดใ้ นสิ่งแวดลอ้ มใหม่ (acclimation) มีควำมสำคญั มำกในกำรทำควำมเขำ้ ใจในเรื่องของสุขภำพสัตวน์ ้ำ เพรำะวำ่ จะสำมำรถนำมำอธิบำย ได้ว่ำเหตุใดสัตวน์ ้ำ จึงมีอำกำรป่ วยภำยใตส้ ภำพแวดลอ้ มเฉพำะที่สร้ำงข้ึน แต่ในบำงเวลำภำยใต้ สภำพแวดลอ้ มเดียวกนั สตั วน์ ้ำกลบั มีชีวติ อยไู่ ดอ้ ยำ่ งมีสุขภำพดี กำรลดลงของค่ำ pH อย่ำงช้ำๆ ในถังเล้ียงสัตวน์ ้ำ ต้ังแต่ pH 7.0 ไปเป็ น 5.5 ในเวลำ 2 – 3 เดือน น้ัน ถือว่ำเป็ นเรื่องปกติ แต่ถำ้ เรำปรับค่ำ pH ของน้ำดงั กล่ำวให้ข้ึนมำเป็ น 7.0 อยำ่ งรวดเร็ว อำจทำใหส้ ัตวน์ ้ำจำนวนมำกในถงั ตำยได้ แมว้ ำ่ pH 5.5 จดั วำ่ เป็ นค่ำที่ไมเ่ หมะสม คือจะ ก่อใหเ้ กิดควำมเครียด และเป็นผลร้ำยต่อสุขภำพ แต่สตั วน์ ้ำส่วนใหญ่สำมำรถที่จะทนอยไู่ ดเ้ ป็ นอยำ่ งดี --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
7 ถ้ำสิ่งแวดล้อมมีกำรเปล่ียนแปลงไปอย่ำงช้ำๆ ในขณะเดียวกันถึงแมว้ ่ำ pH 7.0 จะเป็ นค่ำปกติ ที่เหมำะสมในกำรเล้ียงสัตวน์ ้ำทว่ั ๆ ไป แต่กำรปรับข้ึนมำอยำ่ งรวดเร็วก็อำจเป็นอนั ตรำยต่อสตั วน์ ้ำได้ สภำพท่ีมีค่ำ pH ต่ำเป็ นเวลำนำนๆ น้ัน สภำพแวดล้อมจะค่อยๆ เส่ือมลงไป เรื่อยๆ และจะเกิดผลทำงออ้ มต่อสัตวน์ ้ำ คือเกิดควำมเครียดซ่ึงจะทำให้เกิดผลกระทบต่ำงๆ ได้แก่ ไม่สำมำรถแพร่พนั ธุ์ได้ อตั รำกำรเจริญเติบโตชำ้ ลง มีควำมผิดปกติอื่นๆ เกิดข้ึน หรือ จะอยใู่ นสภำพ ที่ง่ำยต่อกำรติดเช้ือ อนั เน่ืองจำกกำรป้องกนั ตนเองของสัตวน์ ้ำดอ้ ยประสิทธิภำพลง ความสัมพนั ธ์ระหว่างความเครียดทเ่ี กดิ จากสภาพแวดล้อมกบั สุขภาพของสัตว์นา้ ระดบั ความเครียดทเี่ พ่มิ ขนึ้ สตั วน์ ้ำสุขภำพดี ไม่สำมำรถแพร่พนั ธุไ์ ด้ มีโอกำสติดเช้ือง่ำย ตำย เจริญเติบโตชำ้ ทมี่ า : Noga (1996) 1.1.3 ผลของความเครียดต่อระบบทางสรีรวทิ ยาในสัตว์นา้ ผลของควำมเครียดในสตั วน์ ้ำ จะมีส่วนทำใหภ้ ูมิตำ้ นทำนของสัตวน์ ้ำที่มีต่อเช้ือโรค ต่ำงๆ ลดลง ทำให้เกิดโรคไดง้ ่ำยข้ึน ซ่ึงสืบเน่ืองมำจำกกำรเปลี่ยนแปลงทำงสรีรวทิ ยำหลำยประกำร ภำยในร่ำงกำยหลังจำกเกิดควำมเครียด ผลในระยะแรก (primary effect) จะทำให้ปลำมีกำรหล่ัง ฮอร์โมน catecholamine และ cortecosteroid hormone ซ่ึงฮอร์โมนตวั หลังน้ีจะมีผลอย่ำงชัดเจน ตอ่ ระบบ 2 ระบบ คือ 1) ผลต่อระบบทางสรีรวทิ ยา - ปริมำณน้ำตำลในกระแสเลือดเพิม่ สูงข้ึน - มีกำรเปลี่ยนแปลงอิออนต่ำงๆ ในเลือด ทำให้เสียสมดุลในเลือด เช่น มีกำรขบั ออกของโปแตสเซียมอิออน (K+) เพม่ิ มำกข้ึน - ปริมำณไกลโคเจนในตบั ลดลง 2) ผลต่อระบบภูมคิ ุ้มกนั คือ - จำนวนเซลล์เม็ดเลือด (plasma cell) ลดลง มีผลทำให้ปริมำณแอนติบอดี (Antibodies) ลด นอ้ ยลง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
8 - ลดจำนวนของเมด็ เลือดขำว ท้งั ชนิด lymphocyte และ leucocyte - ลดควำมสำมำรถของเม็ดเลือดขำวชนิด macrophage ในกำรท่ีจะกิน หรือ ทำลำยเซลลแ์ บคทีเรีย - Cortisol มีผลทำให้กำรปล่อยเอ็นไซมอ์ อกมำยอ่ ยเซลล์แบคทีเรียทำไดย้ ำก ยง่ิ ข้ึน นอกจำกน้ีผลของ cortisol ยงั ทำใหเ้ กิดกำรอกั เสบ (inflammation) มำกข้ึนดว้ ย ผลของควำมเครียด ยงั ทำให้มีกำรเปล่ียนแปลงอย่ำงอ่ืนอีกหลำยประกำร เช่น อตั รำกำรเจริญเติบโตลดนอ้ ยลง อตั รำกำรแลกเน้ือสูง อตั รำกำรตำยสูง เป็ นตน้ สำหรับในแง่ของกำร เปลี่ยนแปลงทำงเน้ือเยื่อ ผลของควำมเครียดแบบเฉียบพลนั และเร้ือรัง จะทำให้เซลล์ของเน้ือเยื่อไต มีลกั ษณะบวมโต และเสื่อมสลำยไปได้ สำเหตุของควำมเครียดในสัตว์น้ำมีหลำยประกำร สำมำรถสรุปรวมเป็ นหัวขอ้ ใหญ่ๆ ได้ 2 ประกำร คือ 1) Biotic factor เป็ นควำมเครียดที่เกิดจำกกำรกระทำของสิ่งมีชีวิต นน่ั คือ โปรโตซัว แบคทีเรีย เช้ือรำ และไวรัส เช่น ควำมเครียดของลูกปลำวยั อ่อนซ่ึงเกิดจำกกำรติดเช้ือ พยำธิภำยนอกจะทำให้ปลำหยุดกินอำหำร ผลก็คือ ลูกปลำจะแสดงอำกำรขำดอำหำร (malnutrition) ผลที่เกิดข้ึนร่วมกนั ของกำรเกิดพยำธิภำยนอกและกำรอดอำหำรจะทำให้ปลำอ่อนแอเพ่ิมมำกข้ึน กำรเกิดโรคติดเช้ือแบคทีเรียก็เป็ นไปไดง้ ่ำยข้ึนดว้ ย 2) Abiotic factor ควำมเครียดที่เกิดจำกส่ิงที่ไมม่ ีชีวติ ไดแ้ ก่ - กำรจบั ลำเลียงและขนส่ง - กำรเล้ียงที่หนำแน่น - กำรใชย้ ำและสำรเคมี - กำรไดร้ ับอำหำรที่ไม่เหมำะสม - คุณสมบตั ิของน้ำ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
9 2. รูปแบบของการเกดิ โรคในสัตว์นา้ (Types of Infection) รูปแบบของกำรเกิดโรค หรือกำรติดเช้ือในสตั วน์ ้ำ สำมำรถแบง่ แยกไดต้ ำมหลกั เกณฑท์ ่ีใชใ้ น กำรพจิ ำรณำ ดงั น้ี 1) ลาดบั ของการตดิ เชื้อ กำรเกิดโรคหรือกำรติดเช้ือสำมำรถเป็นไดท้ ้งั กำรติดเช้ือในลำดบั แรก (First Infection) และกำรติดเช้ือในลำดบั ที่สอง (Secondary Infection) ซ่ึงเป็นกำรเกิดโรคภำยหลงั จำกกำรติดเช้ือในคร้ัง ท่ีหน่ึง 2) ตาแหน่งของการเกดิ โรค กำรเกิดโรคในสัตว์น้ำ อำจแบ่งได้ตำมตำแหน่งของกำรเกิดโรค เป็ นกำรติดเช้ือ ภำยนอก (External Infection) กำรติดเช้ือภำยใน (Internal Infection) และกำรติดเช้ือภำยในระบบ ลำเลียงเลือด (Systemic (Septicemia) Infection) 3) ประเภทของเชื้อโรค เช้ือสำเหตุท่ีทำใหเ้ กิดโรคในสัตวน์ ้ำ มีหลำกหลำยกลุ่ม ไดแ้ ก่ โรคท่ีเกิดจำกโปรโตซวั (Protozoa Infection) โรคท่ีเกิดจำกเช้ือรำ (Fungal Infection) โรคท่ีเกิดจำกเช้ือแบคทีเรีย (Bacterial Infection) โรคที่เกิดจำกเช้ือไวรัส (Viral Infection) และโรคท่ีเกิดจำกกำรขำดสำรอำหำร (Malnutrition Disease) เป็นตน้ 4) ลกั ษณะของการตดิ เชื้อ - กำรติดเช้ือลกั ษณะเฉียบพลนั (Acute Infection) เป็ นกำรเกิดโรคท่ีแสดงอำกำร อยำ่ งรวดเร็ว และมีอตั รำกำรตำยสูง ภำยใน 1 – 2 วนั โดยที่แสดงอำกำรภำยนอกใหเ้ ห็นนอ้ ยมำก - กำรติดเช้ือลกั ษณะเร้ือรัง (Chronic Infection) เป็นกำรเกิดโรคท่ีแสดงอำกำรแบบ เร้ือรัง มีระยะเวลำนำน อตั รำกำรตำยค่อนขำ้ งต่ำ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
10 3. ปัจจยั ในการเกดิ โรคหรือการระบาดของโรคในสัตว์นา้ 3.1 แหล่งของเชื้อโรค (sources of infection) แหล่งของเช้ือโรคที่สำมำรถเป็ นตน้ เหตุให้ เกิดกำรระบำดของโรค ไดแ้ ก่ ตวั ปลำท่ีติดเช้ืออยแู่ ลว้ ไข่ปลำที่ไดร้ ับเช้ือจำกพ่อ – แม่ กำรปนเป้ื อน ท่ีมำจำกอำหำรและกำรจดั กำร แหล่งน้ำ เป็นตน้ 3.2 การถ่ายทอด (mode of transmission) ลักษณะกำรถ่ำยทอดของโรค สำมำรถเป็ น ปัจจยั ที่ทำใหเ้ กิดกำรแพร่ระบำดของโรคได้ เช่น - สภำพแวดล้อมท่ีสัตวน์ ้ำอำศยั อยู่ ในที่น้ี คือ น้ำซ่ึงเป็ นตวั กลำงสำคัญในกำรแพร่ กระจำยของเช้ือโรค - ลกั ษณะกำรเล้ียงแบบหนำแน่น ทำใหโ้ อกำสในกำรเกิดโรคสูงข้ึน - โฮสทต์ วั กลำง (intermediate host) เป็นตวั กำรสำคญั ในกำรแพร่กระจำยของโรค เช่น หอย - พำหะนำโรคต่ำงๆ เช่น ปลิง สำมำรถถ่ำยทอดโรคจำกสัตวน์ ้ำตวั หน่ึงไปยงั อีกตวั หน่ึงได้ เช่น เช้ือไวรัส แบคทีเรีย และปรสิตในเลือด (blood parasite) เป็นตน้ 3.3 การเข้าสู่ตัวสัตว์นา้ (routes of infection) เป็นช่องทำงที่เช้ือโรคสำมำรถเขำ้ สู่ตวั ปลำได้ ซ่ึงเหงือก และผวิ หนงั จะเป็นส่วนที่บอบบำงท่ีสุดที่เช้ือโรคสำมำรถผำ่ นเขำ้ ไปไดโ้ ดยง่ำย โดยเฉพำะ อยำ่ งยง่ิ เมื่อมีรอยเปิ ด เกิดข้ึนเน่ืองมำจำกสำเหตุต่ำงๆ 3.4 ความรุนแรงของเชื้อโรค (virulence) เป็ นควำมรุนแรงของตวั เช้ือสำเหตุท่ีก่อให้เกิดโรค ซ่ึงจะข้ึนอยกู่ บั ชนิดของเช้ือ และสำยพนั ธุ์ โดยทว่ั ไปจะแบง่ ออกเป็น - เช้ือที่มีควำมรุ นแรงสู ง (high virulence) ซ่ึ งจะทำให้สัตว์น้ ำมีอัตรำกำรตำยสู ง ในระยะเวลำส้ัน - เช้ือที่มีควำมรุนแรงปำนกลำง (medium virulence) มีควำมรุนแรงในระดบั ปำนกลำง อตั รำกำรตำยไม่สูงมำกนกั - เช้ือที่มีควำมรุนแรงต่ำ (low virulence) หรือเทียบไดก้ บั ลกั ษณะของพำหะนำเช้ือ 3.5 ความต้านทานโรคของตัวสัตว์นา้ ซ่ึง เป็นภูมิตำ้ นทำนเฉพำะตวั ของสัตวน์ ้ำ โดยจะข้ึนอยู่ กบั ชนิด อำยุ เพศ ฤดูกำล และพนั ธุกรรม --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
11 นิยามศัพท์ทเ่ี กย่ี วข้อง ลาดับที่ คาศัพท์ ความหมาย 1 Diseases 2 Microorganisms โรค : สภำพท่ีเกิดควำมผดิ ปกติในกำรทำงำนของระบบ 3 Host ตำ่ งๆ ท้งั ระบบโครงสร้ำง อวยั วะ รวมท้งั ระบบอ่ืนๆ 4 Parasite ของส่ิงมีชีวติ ซ่ึงมีขอ้ บ่งช้ีจำกอำกำร หรือควำมผดิ ปกติ ที่สำมำรถมองเห็นได้ 5 Pathogens 6 Infection จุลนิ ทรีย์ : ส่ิงมีชีวติ ท่ีมีขนำดเลก็ มำกไมส่ ำมำรถ มองเห็นไดด้ ว้ ยตำเปล่ำ มีท้งั ชนิดที่ก่อใหเ้ กิดโทษและ เกิดประโยชนต์ ่อส่ิงมีชีวติ อ่ืน เจ้าบ้าน : ส่ิงมีชีวติ ที่มีส่ิงมีชีวติ ชนิดอื่นเขำ้ มำอำศยั หรือ ใชป้ ระโยชน์จำกร่ำงกำยของตนเองไมว่ ำ่ จะเป็ นกำร อำศยั อยภู่ ำยนอกหรือภำยในตวั และก่อใหเ้ กิดโทษต่อ ส่ิงมีชีวติ น้นั ปรสิต : ส่ิงมีชีวติ ท่ีดำรงชีวิตดว้ ยกำรอำศยั อยกู่ บั ส่ิงมีชีวติ อื่น และก่อให้เกิดโทษหรือก่อกวนกำร ดำรงชีวิตของส่ิงมีชีวติ น้นั ท้งั น้ี สำมำรถแบ่งไดเ้ ป็ น - Internal parasites : ปรสิตภำยใน ซ่ึงจะพบอำศยั อยใู่ นช่องทอ้ ง อวยั วะภำยใน ระบบเลือด - External parasites : ปรสิตภำยนอก อำศยั อยภู่ ำยนอก เช่น ผวิ ตวั รยำงค์ เหงือก เป็นตน้ เชื้อโรค : ส่ิงมีชีวติ ท่ีมีขนำดเล็กมำกไม่สำมำรถมองเห็น ไดด้ ว้ ยตำเปล่ำ เม่ือเขำ้ ไปอยใู่ นร่ำงกำยของ ส่ิงมีชีวติ อื่นแลว้ จะก่อใหเ้ กิดโรคตำ่ งๆ ข้ึน การติดเชื้อ : กำรที่เช้ือโรคเขำ้ สู่ตวั สตั วน์ ้ำ และเคล่ือน ตวั ไปตำมส่วนตำ่ งๆ ของร่ำงกำยจนถึงอวยั วะเป้ำหมำย และแพร่พนั ธุ์เพมิ่ จำนวนมำกข้ึนจนทำใหเ้ กิดกำร เปล่ียนแปลงทำงเน้ือเยอื่ ของอวยั วะน้นั ๆ และจะแสดง อำกำรของโรคออกมำในที่สุด --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
ลาดับท่ี คาศัพท์ 12 7 Transmission ความหมาย 8 Acute infection 9 Chronic infection ทศิ ทางการแพร่ของเชื้อโรค : ทิศทำงในกำรที่เช้ือโรค 10 Clinical sign (Symptom) แพร่ผำ่ นจำกส่ิงมีชีวติ หน่ึงไปยงั อีกส่ิงมีชีวติ หน่ึง ซ่ึง 11 Pathogenesis แบง่ ไดเ้ ป็น 12 Septicemia - Horizontal transmission : กำรแพร่ในแนวรำบ โดยผำ่ นทำงน้ำเขำ้ สู่สิ่งมีชีวติ อื่นท่ีอยใู่ นบริเวณ ใกลเ้ คียงกนั เช่น สตั วน์ ้ำในบ่อเดียวกนั - Vertical transmission : กำรแพร่ผำ่ นในแนวด่ิง โดยผำ่ นทำง น้ำคดั หลงั่ สำรพนั ธุกรรมจำกพอ่ แม่พนั ธุ์ไปสู่รุ่นลูก การเกดิ โรคแบบเฉียบพลนั : เม่ือเกิดโรคสัตวน์ ้ำจะมี อำกำรป่ วยอยำ่ งเฉียบพลนั รวดเร็ว อตั รำกำรตำยสูง ภำยใน 2 – 4 วนั โดยไมแ่ สดงอำกำรภำยนอกใหเ้ ห็น การเกดิ โรคแบบเรื้อรัง : เม่ือเกิดโรคสัตวน์ ้ำจะมีอำกำร ป่ วยอยำ่ งเร้ือรัง ใชร้ ะยะเวลำนำน มกั ไม่มีอำกำรรุนแรง แต่รักษำไมห่ ำยขำด ส่งผลกระทบต่อกำรเจริญเติบโต และอำจเกิดโรคแทรกซอ้ นได้ ลกั ษณะอาการของโรค : ลกั ษณะภำยนอก กำร เคลื่อนไหว หรือกำรแสดงออกใดๆ ท่ีบ่งบอกควำม ผดิ ปกติของร่ำงกำย กำรวำ่ ยน้ำตวั หมุน กำรหำยใจเร็ว กวำ่ ปกติ สีตวั เปล่ียน รอยแผล จ้ำเลือด เป็ นตน้ พยาธิสภาพ : ลกั ษณะควำมผดิ ปกติท่ีเกิดข้ึนกบั เน้ือเยอ่ื ท่ีเป็นองคป์ ระกอบของอวยั วะตำ่ งๆ และโนม้ นำทำให้ สัตวน์ ้ำแสดงอำกำรในลกั ษณะตำ่ งๆ ออกมำ การตดิ เชื้อในเลือด : ลกั ษณะหน่ึงของกำรติดเช้ือ ซ่ึงมี ผลในกำรยอ่ ยสลำยเมด็ เลือดและสร้ำงสำรพิษในเลือด ทำใหผ้ นงั เส้นเลือดฝอยเปรำะบำงแตกง่ำย เลือดจึง ออกมำคงั่ ตำมเน้ือเยอื่ สัตวน์ ้ำจะมีลกั ษณะจุดหรือจ้ำ แดงอยทู่ ว่ั ไป เรียกกนั ทว่ั ไปวำ่ “กำรตกเลือด” --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
ลาดบั ท่ี คาศัพท์ 13 13 Inflammation ความหมาย 14 Lesion 15 Diagnosis การอกั เสบ : เป็นผลท่ีเกิดจำกกำรตอ่ สู้กบั เช้ือโรคหรือ 16 Treatment สิ่งแปลกปลอมที่เขำ้ ไปในร่ำงกำยของเมด็ เลือดขำว ซ่ึง 17 Disinfectants กำรอกั เสบจะแสดงออกในหลำยลกั ษณะ เช่น กำรบวม 18 Antiseptic ปวด หรือมีป้ื นสีแดงที่เน้ือเยือ่ บริเวณน้นั ๆ หำกเกิด ติดต่อกนั เป็ นเวลำนำน เน้ือเยื่อบริเวณจะถูกทำลำย 19 Antibiotic วกิ ารของโรค : สภำพที่ผิดปกติของอวยั วะต่ำงๆ 20 Prophylaxis ท่ีเกิดข้ึนเนื่องมำจำกกำรเกิดโรค หรือกำรบำดเจบ็ เช่น เน้ืองอก จ้ำเลือด ตุม่ ฝี แผลหลุม ฯลฯ การวนิ ิจฉัยโรค : กระบวนกำรหรือข้นั ตอนในกำรไดม้ ำ ซ่ึงขอ้ มูลท่ีจะทำใหส้ ำมำรถบง่ ช้ีชนิดและสำเหตุของโรค น้นั ๆ เพื่อผลในกำรรักษำ ป้องกนั และควบคุมโรคได้ การรักษาโรค : วธิ ีกำรต่ำงๆ ท่ีกระทำกบั สัตวน์ ้ำเพื่อให้ หำยจำกกำรป่ วยดว้ ยโรคตำ่ งๆ สารฆ่าเชื้อ : สำรเคมีท่ีใชใ้ นกำรทำลำยเช้ือโรคต่ำงๆ ส่วนใหญ่จะออกฤทธ์ิอยำ่ งรุนแรง และใชไ้ ดใ้ นวงกวำ้ ง นิยมใชก้ บั กำรฆำ่ เช้ือวสั ดุอุปกรณ์ตำ่ งๆ สารฆ่าเชื้อ : สำรเคมีที่ใชใ้ นกำรทำลำยเช้ือโรคตำ่ งๆ ส่วนใหญ่จะออกฤทธ์ิไมร่ ุนแรง เป็นเพยี งกำรยบั ย้งั กำร เจริญของเช้ือโรคเท่ำน้นั นิยมใชก้ บั กำรฆ่ำเช้ือในบอ่ เล้ียงท่ีมีสัตวน์ ้ำอยู่ ยาต้านจุลชีพ : ยำที่ออกฤทธ์ิตอ่ ตำ้ นกำรเจริญเติบโต หรือทำลำยเช้ือโรค ส่วนใหญจ่ ะสกดั ไดจ้ ำกส่ิงมีชีวติ ช้นั ต่ำ เช่นรำ แบคทีเรีย นิยมใชใ้ นกำรรักษำโรค การป้องกนั โรค : กำรดำเนินกำรเพอ่ื ป้องกนั กำรเกิดโรค ในขณะที่สตั วน์ ้ำยงั อยใู่ นสภำพปกติ เช่น กำรใช้ สำรเคมี กำรใหว้ คั ซีน เป็นตน้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การตรวจวนิ ิจฉัยโรคสัตว์นา้ 1. เครื่องมือในการวนิ ิจฉัยโรคข้นั พืน้ ฐาน เคร่ืองมือ/อุปกณ์พ้ืนฐำนที่จำเป็ นตอ้ งใชใ้ นกำรตรวจวนิ ิจฉยั โรคสัตวน์ ้ำ ซ่ึงเป็ นองคป์ ระกอบ ท่ีสำคญั ของคลินิกสัตวน์ ้ำ ประกอบด้วย กล้องจุลทรรศน์ (microscope) กำลงั ขยำยสูง ซ่ึงมีขนำด กำลงั ขยำยของเลนส์วตั ถุ (objective lens) 4x, 10 x, 40 x และ 100 x (ซ่ึงจะให้ภำพขยำยสุดทำ้ ยที่มี ขนำด 40 เท่ำ 100 เท่ำ 400 เท่ำ และ 1000 เท่ำ ตำมลำดบั ) เคร่ืองมือผ่ำตดั ชุดพ้ืนฐำน (มีดผ่ำตดั ปำกคีบ และกรรไกร) ถุงมือยำง แผน่ สไลด์ และ แผน่ ปิ ดสไลด์ (cover slip) นอกจำกน้ียงั มีเคร่ืองมือ/ อุปกรณ์ประกอบอื่นๆ ที่จำเป็ น ชุดตรวจสอบคุณภำพน้ำ ยำฆ่ำเช้ือ (disinfectant / antiseptic) ยำชำ (anesthetic), ภำชนะ/ถงั พลำสติกขนำดต่ำงๆ ถุงพลำสติก สวงิ หวั ทรำย เป็นตน้ 2. การตรวจวนิ ิจฉัยโรคสัตว์นา้ (Clinical Work – Up) กำรตรวจวินิจฉัยโรคสัตวน์ ้ำโดยทวั่ ไป จะมีวิธีกำรแตกต่ำงกันไปในแต่ละห้องปฏิบตั ิกำร และชนิดของสัตวน์ ้ำ ในกำรตรวจวนิ ิจฉยั โรคสัตวน์ ้ำ จำเป็ นตอ้ งทรำบขอ้ มูลประกอบท่ีสำคญั อีกสอง ประกำร นอกเหนือจำกกำรสังเกตจำกพฤติกรรมของสัตวน์ ้ำ หรือลกั ษณะผิดปกติที่แสดงให้เห็นจำก ภำยนอก ไดแ้ ก่ ขอ้ มูลกำรเล้ียงท่ีไดจ้ ำกผเู้ พำะเล้ียงสัตวน์ ้ำ และขอ้ มูลที่ไดจ้ ำกกำรวเิ ครำะห์คุณภำพ น้ำตวั อยำ่ ง 2.1 ข้อมูล และประวตั ิในการเลยี้ ง ซ่ึงเป็ นขอ้ มูลที่มีควำมสำคญั ในกำรนำมำประกอบกำรตรวจ วินิจฉัยโรค ท้ังน้ี ผูต้ รวจสอบจำเป็ นต้องสอบถำมรำยละเอียดต่ำงๆ ให้มำกท่ีสุดเท่ำที่จะทำได้ ผู้เล้ียงสัตว์น้ ำ จะเป็ นผู้ที่ให้ข้อมูลเหล่ำน้ีได้เป็ นอย่ำงดี ตัวอย่ำงของข้อมูลพ้ืนฐำนที่จะนำมำ ประกอบกำรตรวจวนิ ิจฉยั โรค เช่น ประวตั ิของบ่อเล้ียง หรือกระชงั อำยกุ ำรใชง้ ำนของบ่อ ประวตั ิ ของกำรเกิดโรคในอดีต หรือในช่วงเวลำท่ีผ่ำนมำ คุณภำพน้ ำ และคุณภำพดินภำยในบ่อมีกำร เปล่ียนแปลงไปอย่ำงไร หรือมีขอ้ มูลในกำรตรวจสอบค่ำเหล่ำน้ีอยำ่ งไร กำรเปลี่ยนแปลงของสภำพ น้ำที่ใชเ้ ล้ียงสัตวน์ ้ำ เช่น สี กล่ิน ปริมำณแพลงตอนพืชท่ีมำกหรือนอ้ ยผดิ ปกติ พฤติกรรมของสัตวน์ ้ำ เช่น กำรวำ่ ยน้ำ กำรตอบสนองต่อกำรให้อำหำร อตั รำกำรกินอำหำร หรือลกั ษณะอำกำรที่แสดงให้ เห็นภำยนอก เช่น กำรกร่อน แหว่ง ของรยำงค์ กำรตกเลือดตำมบริเวณต่ำงๆ ของลำตวั ตลอดจน --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
15 อตั รำกำรตำยที่เกิดข้ึน ประวตั ิกำรใชย้ ำและสำรเคมีในกำรเล้ียงท่ีผำ่ นมำ ขอ้ มูลต่ำงๆ เหล่ำน้ีสำมำรถ นำมำประกอบกำรตรวจวนิ ิจฉยั ในข้นั ตอนต่อไปไดเ้ ป็นอยำ่ งดี 2.2 ข้อมูลการวเิ คราะห์คุณภาพน้า ตวั อยำ่ งน้ำควรจะรีบนำมำวดั ค่ำพำรำมิเตอร์หลกั ในทนั ที เน่ืองจำกอำจมีกำรเปลี่ยนแปลงไดใ้ นระยะเวลำส้ันๆ หลงั จำกกำรเก็บตวั อยำ่ ง หำกจำเป็ นตอ้ งรอเวลำ ภำยใน 1 ชั่วโมง ก็ควรจะเก็บตวั อย่ำงไวใ้ นตู้เย็น อย่ำงไรก็ตำม ควรจะดำเนินกำรตรวจวดั ค่ำ แอมโมเนีย, ไนไตรท์ และ pH ภำยในเวลำ 24 ชว่ั โมง และจะตอ้ งทำให้ตวั อยำ่ งมีอุณหภูมิเท่ำกบั อุณหภูมิหอ้ งก่อนที่จะทำกำรตรวจวดั คำ่ ต่ำงๆ ในกำรสุ่มตวั อยำ่ งน้ำน้นั เนื่องจำกตวั อยำ่ งน้ำจะมีค่ำพำรำมิเตอร์ที่ผนั แปรตำมระบบกำรเล้ียง และบริเวณท่ีแตกต่ำงกนั ภำยในบ่อ ดังน้ันจึงควรวดั ค่ำพำรำมิเตอร์ของน้ำท่ีบริเวณต่ำงๆ เพื่อให้ ค่ำเฉลี่ยที่ไดส้ ำมำรถเป็ นตวั แทนของน้ำท้งั บ่อ เช่น ควรจะวดั ค่ำ Ph และแอมโมเนีย ท้งั ในบริเวณ ทำงน้ำเขำ้ (influent) ทำงน้ำออก (effluent) เป็ นต้น ในกำรสุ่มตวั อย่ำงน้ำสำหรับวดั ค่ำปริมำณ ออกซิเจนที่ละลำยในน้ำ (DO) และอุณหภูมิ ก็ควรเก็บตวั อยำ่ งในระดบั ควำมลึกท่ีต่ำงกนั ท้งั บริเวณ ผวิ น้ำ และพ้นื กน้ บอ่ น้ำในบริเวณท่ีต่ำงกนั จะใหค้ ำ่ คุณภำพน้ำท่ีแตกต่ำงกนั อยำ่ งชดั เจน ในท่ีน้ี ได้แสดงข้อมูลพ้ืนฐำนที่จำเป็ นในกำรวินิจฉัยโรคสัตวน์ ้ำ พร้อมท้งั อธิบำยเหตุผล ประกอบ ดงั ตำรำงท่ี 2.1 --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
16 ตารางท่ี 2.1 รำยละเอียดของขอ้ มูลพ้นื ฐำนท่ีจำเป็นในกำรวนิ ิจฉยั โรคสตั วน์ ้ำ ข้อมูลทจี่ าเป็ นต้องตรวจสอบ เหตุผล 1 ขนำดของบ่อ/ถงั ขนำดและจำนวน ทรำบอตั รำควำมหนำแน่นของสัตวน์ ้ำ ซ่ึงจะมีผลต่อ ของสตั วน์ ้ำ กำรจดั กำรคุณภำพน้ำในบอ่ /ถงั 2 กำรใช้ยำ/สำรเคมี/วสั ดุปูน ในช่วง 4 อำจเป็ นตวั บ่งช้ีสำเหตุของกำรติดเช้ือ หรือควำมเป็ น สัปดำห์ท่ีผำ่ นมำ พษิ ท่ีสัมพนั ธ์กบั กำรเกิดโรคได้ 3 พฤติกรรมของสัตว์น้ ำในช่วง 2 – 3 อำจเป็ นกำรบ่งบอกสำเหตุของควำมผิดปกติได้ สปั ดำห์/วนั ที่ผำ่ นมำ เช่นเกิดจำกกำรเปลี่ยนแปลงคุณภำพน้ำ หรือ ปรสิต เป็ นตน้ 4 สัดส่วนของสัตวน์ ้ำในบ่อท่ีพบควำม หำกพบปลำผิดปกติเป็ นจำนวนมำก และภำยใน ผดิ ปกติ และช่วงเวลำท่ีเกิด ช่วงเวลำส้ัน (acute problem) มักมีสำเหตุมำจำก คุณสมบตั ิน้ำ สำรพษิ โดยเฉพำะในกรณีที่ไมพ่ บ อำกำรใดอนั เน่ืองมำจำกเช้ือโรคชนิดใดชนิดหน่ึง 5 ควำมผดิ ปกติของสตั วน์ ้ำเกิดข้ึน อำจบ่งช้ีสำเหตุได้ว่ำเกิดจำก ปรสิต แบคทีเรีย หรือ เป็นระยะเวลำนำน 2 – 3 สปั ดำห์ ปัญหำคุณภำพน้ำที่บริเวณพ้ืนกน้ บ่อ (chronic problem) 6 คุ ณ ส ม บัติ น้ ำใน ข ณ ะ น้ัน ไ ด้แ ก่ อำจบ่งช้ีคุณสมบตั ิน้ำ หรือสำรพิษในน้ำที่เป็ นปัญหำ แอมโมเนีย ไนไตรท์ ควำมเป็ นกรด หลกั ได้ เป็ นด่ำง (pH) ควำมกระด้ำง รวมท้ัง ขอ้ มูลที่ผำ่ นมำ (ถำ้ มี) 7 ปริมำณไนเตรท ฟอสเฟต และปริมำณ อำจบง่ ช้ีสภำพพ้ืนบอ่ ท่ีขำดกำรจดั กำร สำรอินทรียท์ ่ีละลำยอยใู่ นน้ำ 8 ตรวจสอบผิวตัว ครีบต่ำงๆ นัยน์ตำ เพ่ือตรวจหำรอยแผล ป้ื นแดงท่ีผิวหนงั กำรกุด กร่อน ปำก ลำตวั และเหงือก ของครีบ ปรสิตภำยนอก (external parasites) สีและ สภำพของเหงือก รวมท้ังอำกำรของโรคอื่นๆ ท่ี สำมำรถมองเห็นได้ 9 ตรวจสอบเมือก และซ่ีเหงือก ผ่ำน ตรวจหำปรสิ ตภำยนอก และสภำพผิดปกติของ กลอ้ งจุลทรรศน์ ซี่เหงือก 10 ตรวจสอบสิ่งขบั ถ่ำย ตรวจหำปรสิตภำยใน (internal parasites) ทมี่ า : “FishDoc Health Work Up” WWW.Fishdoc.co.uk --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
17 ตารางที่ 2.2 ตวั อยำ่ งแบบฟอร์มบนั ทึกขอ้ มูลประกอบกำรกำรตรวจวนิ ิจฉยั โรคสัตวน์ ้ำ รายการข้อมูลทตี่ รวจสอบ บันทกึ ขนำดของบ่อ/ถงั ……………………………………………………….. ……………………………………………………….. กำรใชย้ ำ/สำรเคมี/วสั ดุปูน ในช่วง 4 ………………………………………………………… สปั ดำห์ที่ผำ่ นมำ ………………………………………………………… ………………………………………………………… พฤติกรรมของสตั วน์ ้ำ ………………………………………………………… กำรแลกเปล่ียนกำ๊ ซ ………………………………………………………… กำรกินอำหำร ………………………………………………………… จำนวนของสัตวน์ ้ำท่ีพบควำมผดิ ปกติ ………………………………………………………… ระยะเวลำที่เกิด ………………………………………………………… ………………………………………………………… คุณสมบตั ิน้ำ ………………………………………………………… ควำมเป็นกรดเป็ นด่ำง (pH) ………………………………………………………… แอมโมเนีย (NH3) ………………………………………………………… ไนไตรท์ (NO2) ………………………………………………………… ควำมกระดำ้ ง (Hardness) ………………………………………………………… กำรตรวจสอบภำยนอก ………………………………………………………… ผวิ ตวั (รอยแผล แผลหลุม จ้ำเลือด บวมน้ำ) ………………………………………………………… ครีบตำ่ งๆ (กร่อน ตกเลือด) ………………………………………………………… เมือก (ปรสิตภำยนอก) ………………………………………………………… การวนิ ิจฉัย ………………………………………………………… ………………………………………………………… ………………………………………………………… วธิ ีการรักษา ………………………………………………………… ………………………………………………………… ………………………………………………………… ทมี่ า : “FishDoc Health Work Up” WWW.Fishdoc.co.uk --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
18 ข้นั ตอนพ้ืนฐำนที่ควรจะปฏิบตั ิในกำรตรวจวินิจฉยั และรักษำโรคสัตวน์ ้ำ สำมำรถอธิบำยได้ ในลกั ษณะของแผนผงั ดงั ตอ่ ไปน้ี ข้นั ตอนต่างๆ ในการตรวจวนิ ิจฉัยและรักษาโรคสัตว์นา้ ผู้เลยี้ งสัตว์นา้ ตวั อย่างนา้ สัตว์นา้ (ใส่ถังให้อากาศ) บอกความเป็ นมา วดั ค่า ตรวจหา • ออกซิเจน • ออกซิเจน (วดั จากบ่อ) • พฤตกิ รรมทผ่ี ดิ ปกติ • อณุ หภูมิ • อุณหภูมิ (วดั จากบ่อ) • ลกั ษณะภายนอกทผ่ี ดิ ปกติ • ข้อมูลอ่ืนๆ เพมิ่ เตมิ • แอมโมเนยี • ไนไตรท์ การตรวจสอบภายใน • pH • ความกระด้าง • ทดสอบเลือด • ความเคม็ • วเิ คราะห์เนื้อเยื่อจากผวิ หนัง, เหงือก • ตรวจดูสิ่งขบั ถ่าย (fecal smear) การจาแนกเชื้อ • ปรสิตทเี่ ป็ นสัตว์เซลล์เดยี ว(protozoan parasites) • ปรสิตทเ่ี ป็ นสัตว์หลายเซลล์ (metazoan parasites) • แบคทเี รียทบี่ ริเวณเหงือก, ผวิ หนงั • ราทบ่ี ริเวณเหงือก, ผวิ หนัง การทาให้สัตว์นา้ ตาย การชันสูตรสัตว์นา้ การเพาะเชื้อ การบ่งชี้สาเหตุ • ไต และบริเวณอื่นๆ ทม่ี กี ารตดิ เชื้อแบคทเี รีย • Metazoan parasites เข้าสู่ระบบของร่างกาย • Protozoan parasites • การตดิ เชื้อรา • การตดิ เชื้อภายนอกทไ่ี ม่ทราบสาเหตุ • การตดิ เชื้อภายใน --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
19 การวนิ ิจฉัยข้างต้นเพียงพอต่อการอธิบายสาเหตุของโรคและการตายได้หรือไม่ เพยี งพอ ไม่เพยี งพอ การวนิ ิจฉัยทน่ี อกเหนือกฎเกณฑ์ • การวนิ จิ ฉัยจากสมมตุ ฐิ านท้งั หมด • การทดสอบเฉพาะ การบ่งชี้สาเหตุ • การตดิ เชื้อไวรัส • อาหารไม่เพยี งพอ • การเกดิ สารพษิ ต่างๆ • บาดแผลต่างๆ • สาหร่ายทเ่ี ป็ นพษิ ลาดับของปัญหาทเี่ กดิ • ถึงแก่ชีวติ • เป็นสำเหตุโนม้ นำ • ทำกำรรักษำได้ การรักษา / ติดตามอย่างใกล้ชิด กำรรักษำในระยะส้ัน (short – term therapy) - กำรใชย้ ำ กำรรักษำในระยะยำว (Long – term therapy) - กำรจดั กำร ทม่ี า : Noga (1996) --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
20 2.3 การตรวจวนิ ิจฉัยโรคเบือ้ งต้น 1) การตรวจสอบภายนอก สำมำรถกระทำได้โดยกำรสังเกตลกั ษณะภำยนอกต่ำงๆ ตวั สัตวน์ ้ำจำเป็ นต้องทำให้เคล่ือนไหวน้อยลงหรือหยุดกำรเคลื่อนไหว ซ่ึงอำจใช้ยำสลบเข้ำช่วย ในกรณีสัตวน์ ้ำท่ีมีขนำดใหญ่ หรือใชว้ ิธีลดอุณหภูมิให้ต่ำลงในสัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั เช่น กุง้ ปู กำรตรวจสอบภำยนอกดงั กล่ำวอำจจะตรวจในขณะที่ตวั สตั วย์ งั มีชีวติ อยหู่ รือตำยใหม่ๆ กำรใชน้ ้ำหล่อ ตวั อยำ่ งไวข้ ณะทำกำรตรวจสอบ จะทำใหก้ ำรตรวจสอบกระทำไดน้ ำนข้ึน และไม่เป็ นอนั ตรำยกบั ตวั สตั ว์ นอกจำกน้ียงั ทำใหก้ ำรตรวจสอบในข้นั ตอนต่อไป คือกำรตรวจพยำธิภำยนอก สำมำรถตรวจได้ ถูกตอ้ งมำกยงิ่ ข้ึนดีกวำ่ ตวั อยำ่ งที่ปล่อยทิ้งใหแ้ หง้ ในอำกำศ 2) การตรวจสอบเลือด กำรเก็บตวั อยำ่ งเลือดในกำรตรวจสอบเพ่ือตรวจวินิจฉยั โรค สัตวน์ ้ำ จะทำให้สำมำรถตรวจวินิจฉัยโรคไดล้ ะเอียดข้ึน เทคนิคกำรเก็บตวั อย่ำงเลือดในสัตวน์ ้ำจะ แตกต่ำงกนั ออกไป ซ่ึงจะข้ึนอยู่กบั ชนิดของสัตวน์ ้ำ เช่น ในกุง้ , ปลำ และหอย จะมีข้นั ตอนและ วธิ ีกำรท่ีแตกตำ่ งกนั ไป 2.4 การตรวจสอบตัวอย่างสัตว์นา้ สำมำรถแบง่ ไดเ้ ป็น 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี 1) การตรวจตัวอย่างสัตว์นา้ ทย่ี งั มชี ีวติ อยู่ (biopsy techniques) การตรวจสอบเมือกปกคลุมลาตัว (mucus smear) กำรตรวจสอบเมือกที่ปก คลุมลำตวั สัตวน์ ้ำ เป็ นวธิ ีกำรท่ีค่อนขำ้ งง่ำยและกระทำไดอ้ ยำ่ งรวดเร็ว โดยใช้ขอบสไลดข์ ดู เบำๆ บน ผิวลำตวั บริเวณท่ีนำมำตรวจสอบมกั จะเป็ นส่วนของเมือกท่ีผิวตวั , ครีบต่ำงๆ หรือบริเวณแผล ใน สัตวน์ ้ำชนิดอ่ืนๆ เช่น กุง้ ปู ท่ีมีผิวเปลือกนอกแข็ง กำรขูดอำจจะใช้ใบมีดช่วย แล้วนำมำแตะบน สไลด์ แลว้ ใช้น้ำเกลือ 0.85 เปอร์เซ็นต์ หยดแล้วปิ ดทบั ดว้ ยแผ่นปิ ดสไลด์ จำกน้ันนำมำตรวจสอบ ดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์ รูปที่ 2.1 การขูดเมือกด้วยขอบสไลด์ทบี่ ริเวณผวิ ตวั (ล่าง) และนามาแตะบนสไลด์ (บน) เพ่ือตรวจสอบ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
21 การตรวจสอบครีบและเหงือก (fin and gill biopsy) เน้ือเย่ือบริเวณครีบ และเหงือก จะเป็ นอีกส่วนหน่ึงที่สำมำรถนำมำตรวจสอบได้ และเป็ นบริเวณที่ปรสิตภำยนอก รวมท้งั เช้ือแบคทีเรีย เช้ือรำ เขำ้ ทำลำยไดง้ ่ำย โดยทวั่ ไปกำรนำเน้ือเยอ่ื ส่วนน้ีมำตรวจสอบจะใชก้ รรไกรปลำย แหลมขนำดเล็กขลิบส่วนปลำยของครีบหรือเหงือก แลว้ นำชิ้นส่วนที่ไดม้ ำวำงบนสไลด์ปิ ดทบั ดว้ ย น้ำเกลือ 0.85 เปอร์เซ็นต์ และแผน่ ปิ ดสไลด์ ก่อนที่จะตรวจสอบดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์ รูปท่ี 2.2 การขลบิ ส่วนปลายของครีบหางเพ่ือนามาตรวจสอบด้วยกล้องจลุ ทรรศน์ รูปท่ี 2.3 การเปิ ดแผ่นปิ ดเหงือก (A) และขลบิ ส่วนปลายของซ่ีเหงือก (B) เพื่อนามาตรวจสอบด้วยกล้องจลุ ทรรศน์ การตรวจสอบเนื้อเยื่อไต (kidney biopsy) กำรเก็บตวั อย่ำงเน้ือเย่ือไตของ ปลำสำมำรถทำได้ในขณะท่ีปลำยงั มีชีวิตอยู่โดยไม่ตอ้ งฆ่ำปลำ โดยกำรใช้ไซริงก์ และเข็มเจำะผ่ำน บริเวณทำ้ ยของเหงือกเขำ้ สู่แกนกระดูกสันหลงั ตอนตน้ ๆ ซ่ึงจะเป็ นตำแหน่งของไตตอนหนำ้ กำรเก็บ ตวั อย่ำงดงั กล่ำว สำมำรถนำมำศึกษำกำรติดเช้ือจำกแบคทีเรีย โดยกำรเก็บเน้ือเยื่อไตมำเพื่อทำกำร เพำะเล้ียงได้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
22 รูปที่ 2.4 การใช้ไซริงก์และเข็มเจาะผ่านบริเวณท้ายของเหงือกเพ่ือนาเอาเนื้อเยื่อไตตอนหน้ามาตรวจสอบ การตรวจสอบเลือด (Blood examination) กำรเก็บตวั อยำ่ งเลือดจำกสัตวน์ ้ำ มำตรวจสอบ สำมำรถทำไดโ้ ดยใชไ้ ซริงก์ และเขม็ ดูดเอำเลือดจำกบริเวณท่ีเหมะสม ไดแ้ ก่กำรดูดเลือด จำกหวั ใจ (cardiac puncture) บริเวณระหว่ำงครีบอก เก็บจำกเส้นเลือดท่ีบริเวณคอดหำง (severance of caudal peduncle) หรือบริเวณโคนขำเดินในกุง้ เป็นตน้ รูปที่ 2.5 การใช้ไซริงก์และเข็มดดู ตวั อย่างเลือดปลาจากบริเวณหัวใจเพ่ือนามาตรวจสอบ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
23 รูปที่ 2.6 การใช้ไซริงก์และเขม็ ดดู ตวั อย่างเลือดจากเส้นเลือดบริเวณคอดหาง (ซ้าย) และตาแหน่งของเส้นเลือด (ขวา) รูปที่ 2.7 การใช้ไซริงก์และเข็มดูดตวั อย่างเลือดจากบริเวณโคนขาเดนิ คู่ที่ 4 ในก้งุ กลุ าดา 2) การตรวจสอบตัวอย่างทตี่ ายแล้ว (postmortem examination) กำรตรวจสอบตวั อยำ่ งท่ีตำยแลว้ และจำเป็ นตอ้ งมีกำรตรวจสอบหำสำเหตุของโรค น้ันจะต้องดำเนินกำรอย่ำงรีบด่วน ตัวอย่ำงจะต้องมีควำมช้ืนอยู่เสมอ หรืออำจจะแช่บนน้ำแข็ง ในกำรตรวจสอบจำเป็นตอ้ งกระทำอยำ่ งละเอียดเพื่อหำสำเหตุกำรตำยท่ีแทจ้ ริงของสัตวน์ ้ำ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
24 การตรวจสอบภายนอก (external examination) กำรตรวจสอบภำยนอกต่ำงๆ ไดแ้ ก่ ลกั ษณะรูปร่ำง สีลำตวั กำรเปล่ียนแปลงของกลำ้ มเน้ือ กำรคดงอของลำตวั ฯลฯ จะทำให้ สำมำรถทรำบอำกำรของสัตวน์ ้ำที่ป่ วยได้ กำรตรวจสอบอวยั วะแต่ละส่วนก็มีควำมจำเป็ นต่อกำร วินิจฉัยโรคเช่นเดียวกนั ไดแ้ ก่ กำรตรวจสอบครีบ ซ่ึงในปลำแต่ละชนิดจะมีควำมแตกต่ำงกนั ไป โดยตอ้ งสังเกตกำรกร่อน/แหวง่ กำรตกเลือด หรือกำรเชื่อมติดกนั ของครีบ รวมท้งั กำรเกำะของปรสิต ภำยนอกชนิดต่ำงๆ กำรตรวจสอบผิวลาตัว โดยกำรขูดเมือกท่ีผิวลำตวั ในบริเวณต่ำงๆ แลว้ นำมำ ตรวจสอบดูดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์ ก็จะทำให้รู้วำ่ มีกำรติดเช้ือชนิดใดบำ้ ง กำรขดู เมือกผิวลำตวั ควรที่จะ ทำให้เกลด็ และผวิ หนงั ติดมำดว้ ย เพอ่ื สำมำรถดูกำรติดเช้ือใตผ้ วิ หนงั ไดด้ ว้ ย กำรตรวจจำกผิวลำตวั ตอ้ ง กระทำทนั ทีหลงั จำกสัตวน์ ้ำตำย เพรำะปรสิตบำงชนิดจะผละออกจำกตวั สัตวน์ ้ำหลงั จำกที่ตำยแลว้ นอกจำกน้ี กำรตรวจอวยั วะอ่ืนๆ ไดแ้ ก่ ลูกนยั น์ตำ รูจมูก ช่องปำก และช่องเปิ ดทวำรหนกั โดยกำร สังเกตดูลักษณะผิดปกติต่ำงๆ เช่น กำรตกเลือด มีน้ำเหลือง หรือกำรเกำะของปรสิตชนิดต่ำงๆ เป็ นตน้ การตรวจสอบภายใน (internal examination) กำรตรวจสอบภำยใน ทำให้ ทรำบวำ่ ตวั อยำ่ งท่ีตรวจสอบมีควำมผิดปกติอย่ำงไรบำ้ ง ในส่วนของอวยั วะภำยใน ซ่ึงสำมำรถทำได้ โดยกำรใช้กรรไกรตดั เปิ ดส่วนของช่องทอ้ งออก สิ่งที่ควรสังเกต คือ ลักษณะสี และปริมำณของ ของเหลวในช่องทอ้ ง ซ่ึงถ้ำมีสีแดงหรือมีลกั ษณะเป็ นน้ำเลือดก็แสดงว่ำมีควำมผิดปกติเกิดข้ึน เช่น กำรบวมพองของอวยั วะ กำรมีจุดตกเลือดหรือลกั ษณะฝี , มีหนองในส่วนของอวยั วะ กำรมีกล่ินและ แก๊สท่ีเกิดข้ึน กำรมีลักษณะตุ่มขำว หรือซีสต์ตำมเน้ือเย่ือ ซ่ึงส่ิงเหล่ำน้ีสำมำรถบ่งช้ีได้คร่ำวๆ ถึงสำเหตุของโรคหรือควำมผดิ ปกติที่เกิดข้ึน รูปท่ี 2.8 ลกั ษณะและตาแหน่งอวยั วะภายในต่างๆ ของปลา --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
25 2.5 เทคนิคการตรวจสอบตวั อย่างโดยใช้ภาพ (imaging techniques) 1) การฉายรังสีเอกซ์ (X - radiograph) เป็ นวิธีกำรท่ีง่ำยและประหยดั รวมท้งั ผลที่ ได้ค่อนข้ำงชัดเจน กำรนำสัตวน์ ้ำไปฉำยรังสีเอกซ์จำเป็ นต้องมีตู้ขงั พิเศษท่ีทำให้ตวั สัตว์น้ำอยู่ใน ระนำบเดียว หรือทำให้สลบเสียก่อนจะนำไปวำงบนแท่นฉำยรังสี ควำมเข้มของแสงท่ีส่องผ่ำน จำเป็ นตอ้ งปรับระดบั ให้เหมำะสมกบั ขนำดและควำมหนำของตวั สัตวน์ ้ำ กำรฉำยรังสีเอกซ์กบั ปลำ นิยมตรวจสอบในปลำที่ทดลองเกี่ยวกบั กำรขำดวติ ำมินซี แร่ธำตุ และโรคท่ีเกิดจำกเช้ือ ไวรัส 2) อัลตราซาวด์ (ultrasound) กำรใช้เทคนิคของอัลตรำซำวด์มีประโยชน์มำก ในกำรตรวจสอบตวั ปลำ เทคนิคดงั กล่ำวจะใชค้ ลื่นเสียงที่มีควำมถี่สูงปล่อยผำ่ นออกไปกระทบกบั ส่วน ตำ่ งๆ ของเน้ือเยือ่ ร่ำงกำยและมีระบบตรวจรับกำรสะทอ้ นของคล่ืนเสียง ซ่ึงจะแปลงเป็ นสัญญำณภำพ ได้ วิธีกำรดงั กล่ำวค่อนขำ้ งจะปลอดภยั ต่อส่ิงมีชีวิต รวมท้งั สำมำรถตรวจสอบได้ขณะท่ีมีชีวิตอยู่ กำรตรวจสอบตวั อยำ่ งโดยใชเ้ ทคนิคน้ีส่วนใหญ่จะทำกำรสลบปลำก่อน หรือใชผ้ ำ้ เปี ยกหุม้ ตวั ปลำไว้ ขณะทำกำรตรวจสอบ 3) Xeroradiograph เป็ นเทคนิคคล้ำยกบั กำรฉำยรังสีเอกซ์ แต่ผลที่ได้จะมีควำม คมชัดกว่ำ เทคนิคน้ีจะตอ้ งใช้ฟิ ล์มและกระดำษพิเศษในกำรอดั รูป เป็ นเทคนิคท่ีไม่ยุ่งยำกเพียงแต่ จะตอ้ งมีอุปกรณ์ประกอบตำ่ งๆ ในกำรอดั ภำพเพ่ิมเติมมำกข้ึน 4) Computed tomography scan เป็ นเทคนิคที่ค่อนข้ำงจะมีรำคำแพงสำหรับ กำรดดั แปลงหรือประยุกต์ใช้กับปลำหรือสัตว์น้ำอ่ืนๆ โดยทั่วไปจะใช้กบั พ่อแม่พันธุ์ หรือปลำ สวยงำมที่มีรำคำแพง กำรใช้เทคนิคน้ีในปลำจะต้องทำกำรสลบปลำเสี ยก่อนโดยใช้ยำสลบ ในระหว่ำงข้ันตอนกำรทำจำเป็ นต้องให้มีน้ำผ่ำนเหงือกปลำอยู่ตลอดเวลำเพื่อช่วยให้ออกซิเจน มีเพียงพอกบั กำรหำยใจ กำรไหลของน้ำดงั กล่ำวจะไม่มีผลต่อกำรตรวจแต่อยำ่ งใด ขอ้ ดีของกำรใช้ เทคนิคน้ีในกำรตรวจสอบอวยั วะภำยในของปลำ คือภำพที่ไดจ้ ะไม่มีกำรรบกวนของเส้นภำยในระดบั ต่ำงๆ รวมท้งั ให้ภำพท่ีคมชัด และสำมำรถแยกภำพเน้ือเย่ือต่ำงๆ ออกจำกกนั ไดด้ ี ซ่ึงจะข้ึนอยู่กบั ระดบั ควำมเขม้ ของอิเลคตรอนที่ปรำกฏบนระบบตรวจจบั ส่วนขอ้ เสียของเทคนิคน้ีก็คือ เม่ือตอ้ งกำร สแกนเน้ือเยื่อที่อยูใ่ กลช้ ิดกนั จะทำให้ภำพท่ีไดไ้ ม่คมชดั รวมท้งั ในบำงคร้ังอำจจะเกิดควำมผิดพลำด ในระบบสร้ำงภำพของคอมพิวเตอร์ได้ อีกลกั ษณะหน่ึงของกำรตรวจสอบที่ให้ผลไม่ดี คือ กำรสแกน รอยต่อที่อยู่บริเวณกระดูกและเน้ือเยื่ออ่อนทำให้ภำพท่ีได้ไม่ชัดเจน โดยสรุปแล้วกำรใช้เทคนิคน้ี ในปลำยงั ไมแ่ พร่หลำย เน่ืองจำกมีรำคำแพงและยงุ่ ยำกในทำงปฏิบตั ิ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
26 5) magnetic resonance imaging เป็ นภำพท่ีได้จำกกำรพัฒนำเทคนิค nuclear magnetic resonance (NMR) สำมำรถท่ีจะนำมำประยุกตใ์ ชใ้ นกำรตรวจสอบตวั อยำ่ งปลำได้ กำรใช้ เทคนิคน้ีจำเป็ นตอ้ งทำกำรสลบปลำ และนำตวั ปลำข้ึนจำกน้ำ หรือไม่ก็ใชภ้ ำชนะท่ีบรรจุตวั ปลำโดยมี ปริมำณน้ำน้อยๆ ควำมไวของกำรตรวจสอบโดยใช้เทคนิคน้ีจะข้ึนอยู่กบั ควำมเค็มของน้ำ ในกำร ตรวจสอบปลำทะเลจะพบวำ่ ควำมเคม็ ของน้ำทำใหค้ ล่ืนรบกวนมำกกวำ่ ในปลำน้ำจืด 3. เทคนิคในการตรวจสอบเชื้อโรค 3.1 เทคนิคในการตรวจสอบเชื้อแบคทเี รียและเชื้อรา กำรตรวจสอบเช้ือแบคทีเรียและเช้ือรำในสัตว์น้ ำ โดยท่ัวไปแล้วสัตว์น้ ำที่นำมำ ตรวจสอบจะยงั มีชีวิตอยู่ หรืออำจตำยใหม่ๆ ซ่ึงจะให้ผลกำรตรวจสอบท่ีถูกตอ้ งมำกกว่ำสัตว์น้ำ ท่ีตำยนำนแลว้ กำรแยกเช้ือแบคทีเรียจำกผวิ ลำตวั ปลำ หรือเหงือกสำมำรถกระทำไดโ้ ดยใชห้ ่วงเข่ียเช้ือ (loop) ท่ีผำ่ นกำรฆ่ำเช้ือแลว้ สัมผสั ในส่วนของอวยั วะท่ีตอ้ งกำรทดสอบ แลว้ นำมำขยำยบนอำหำร เล้ียงเช้ือหรือเกลี่ยบนสไลด์ ยอ้ มสีเพ่ือตรวจสอบชนิดของแบคทีเรีย ในกรณีท่ีตอ้ งกำรตรวจสอบ อวยั วะภำยใน จำเป็ นตอ้ งสลบปลำหรือทำให้ปลำเคล่ือนไหวนอ้ ยลง ทำควำมสะอำดบริเวณผวิ หนงั ท่ี จะเปิ ด โดยใช้แอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ เช็ดให้สะอำด แล้วเปิ ดช่องท้องออก กำรเล้ียงเช้ือ แบคทีเรียจำกส่วนของตบั ไต และอวยั วะภำยในกท็ ำไดโ้ ดยวธิ ีเดียวกนั ในส่วนของเช้ือรำน้นั กำรตรวจสอบจำกลกั ษณะอำกำรภำยนอกของสัตวน์ ้ำ หรือกำร ตรวจสอบโครงสร้ำงและลกั ษณะของเช้ือรำบนสไลด์ก็สำมำรถบอกได้ ในกรณีที่ตอ้ งกำรเล้ียงเช้ือรำ จำเป็นตอ้ งมีอำหำรพเิ ศษท่ีใชเ้ ล้ียงเช้ือรำโดยเฉพำะ คือ potato dextrose agar (PDA) 3.2 เทคนิคในการตรวจสอบเชื้อไวรัส ในกรณีท่ีสงสัยว่ำกำรติดเช้ือน่ำจะเป็ นโรคท่ีเกิดจำกเช้ือไวรัสน้นั จำเป็ นจะตอ้ งมีกำร ตรวจสอบท่ีชดั เจน และเฉพำะเจำะจง ซ่ึงเทคนิคในกำรตรวจสอบเช้ือไวรัสในสัตวน์ ้ำ ส่วนใหญ่ก็จะ มีวธิ ีกำรและข้นั ตอนท่ีคลำ้ ยคลึงกนั กบั กำรตรวจสอบในสตั วช์ ้นั สูง ไดแ้ ก่ 1) การตรวจสอบจากลักษณะอาการและพฤติกรรม (clinical sign and behavior) ของสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หรือปลำท่ีมีกำรติดเช้ือไวรัส จะมีอำกำรที่ค่อนขำ้ งจำเพำะเจำะจงและชัดเจน สำหรับโรคไวรัสแต่ละชนิด เช่น โรค lymphocystis ในปลำก็จะมีอำกำรเด่นชดั คือ มีตุ่มนูนลกั ษณะ คลำ้ ยหูดบริเวณผวิ ลำตวั ครีบ โรคไวรัสท่ีพบในปลำเก๋ำ และปละกะพงขำวก็จะทำใหป้ ลำมีอำกำรตวั ดำ วำ่ ยน้ำเสียสมดุล ถุงลมโป่ งพอง โรคหวั เหลืองในกุง้ กุลำดำก็จะพบวำ่ ส่วนหัวของกุง้ จะมีสีเหลือง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
27 ตวั ซีด และตำยอยำ่ งรวดเร็ว โรคตวั แดงดวงขำวในกุง้ กุลำดำก็จะทำให้กุง้ มีลกั ษณะตวั แดง มีจุดขำว ตำมเปลือก และตำยอย่ำงรวดเร็วเช่นเดียวกนั อยำ่ งไรก็ตำม ลกั ษณะอำกำรของโรคจะเป็ นเพียงตวั บ่งช้ีในเบ้ืองตน้ วำ่ โรคที่เกิดข้ึนน่ำจะเกิดเน่ืองจำกไวรัส และเป็ นไวรัสในกลุ่มใด จำเป็ นตอ้ งมีกำร ตรวจสอบเพมิ่ เติมเพ่ือยนื ยนั ใหแ้ น่ชดั ถึงสำเหตุท่ีแทจ้ ริง 2) การตรวจสอบพยาธิสภาพของเนื้อเยื่อ (histopathology) เทคนิคกำรศึกษำทำงดำ้ น เน้ือเย่ือจะตอ้ งมีกำรเก็บตวั อย่ำงเน้ือเย่ือท่ียงั มีชีวิตอยู่ เช่น เหงือก ผิวหนัง และอวยั วะภำยในต่ำงๆ โดยนำมำแช่ในน้ำยำซ่ึงมีอยู่หลำยชนิด เช่น ฟอร์มำลิน บฟั เฟอร์ 10 เปอร์เซ็นต์ Bouin’s fixative และ Davidson’s fixative เป็ นตน้ เพื่อที่จะทำให้เน้ือเยอ่ื มีกำรแขง็ ตวั และคงสภำพ ระยะเวลำที่ใช้ใน กำรแช่น้ำยำประมำณ 24 – 72 ชว่ั โมง ข้ึนอยูก่ บั ขนำดของชิ้นเน้ือ หลงั จำกน้นั นำมำผำ่ นข้นั ตอนกำร ดูดน้ำออกโดยกำรใชแ้ อลกอฮอลท์ ่ีมีควำมเขม้ ขน้ แตกต่ำงกนั และผำ่ นเขำ้ สู่พำรำฟิ น กำรเตรียมเน้ือเย่ือ อำจจะใช้เครื่องมืออตั โนมตั ิท่ีเรียกวำ่ tissue processor ในกำรเตรียมก็ได้ ตวั อยำ่ งที่เตรียมเสร็จแลว้ จำกข้นั ตอนน้ีจะฝังอยใู่ นข้ีผ้ึง (paraffin wax) ซ่ึงตอ้ งนำไปตดั ใหม้ ีควำมบำง 3 – 5 ไมครอน โดยใช้ เครื่องตดั แบบหมุนที่เรียกว่ำ rotary microtome หรือ แบบเลื่อน (sliding microtome) เน้ือเย่ือที่ได้ จะเป็ นชิ้นบำงๆ แลว้ นำมำผำ่ นข้นั ตอนกำรยอ้ มสี โดยทวั่ ไปจะยอ้ มดว้ ยสี haematoxylin และ eosin (H&E staining) ซ่ึงจะทำให้นิวเคลียสของเซลล์เน้ือเย่อื จะติดสีม่วงน้ำเงิน และในส่วนของ cytoplasm จะติดสีแดงชมพู กำรศึกษำทำงพยำธิสภำพของเน้ือเย่ือ สำมำรถบอกไดช้ ดั เจนวำ่ โรคที่เกิดข้ึนน่ำจะ เกิดเน่ืองจำกเช้ือไวรัสชนิดใด เนื่องจำกโรคไวรัสแต่ละชนิดจะทำให้กำรเปล่ียนแปลงทำงพยำธิสภำพ ของเน้ือเยอ่ื ที่แตกตำ่ งกนั ไป เช่น โรค IHNV ก็จะทำให้มีกำรตำยของเน้ือเยอ่ื (necrosis) อยำ่ งชดั เจน ท่ีส่วนของ ไต และมำ้ ม โรค IPNV ก็จะทำให้เกิดกำรตำยของเน้ือเย่ือส่วนใหญ่ที่บริเวณตบั อ่อน เป็ นต้น ในกุ้งกุลำดำท่ีเป็ นโรคหัวเหลือง (YHV) นอกจำกจะทำให้เกิดกำรตำยของเซลล์แล้วยงั มี ลกั ษณะเด่นท่ีตรวจพบได้ คือ จะมี อินคลูชน่ั บอด้ี (inclusion bodies) ติดสีเขม้ กระจำยอยู่ทวั่ ไปใน ไซโตพลำสซึม ในกุง้ กุลำดำท่ีเป็ นโรคไวรัสตวั แดงดวงขำว (WSSV) ก็จะก่อให้เกิดกำรเปล่ียนแปลง ทำงพยำธิสภำพที่เด่นชัด คือ กำรเพิ่มขนำดของนิวเคลียส (hypertrophic nuclei) บริเวณเย่ือบุผิว ใตเ้ ปลือก เน้ือเยอื่ เก่ียวพนั เหงือก และอวยั วะต่ำงๆ (รำยละเอียดในหน่วยกำรเรียนรู้ท่ี 5 โรคไวรัส ในสัตวน์ ้ำ) อยำ่ งไรก็ตำมกำรใชเ้ ทคนิคตรวจสอบพยำธิสภำพของเน้ือเยอ่ื สำมำรถกระทำไดใ้ นระยะ ท่ีมีกำรติดเช้ือคอ่ นขำ้ งเด่นชดั สำหรับกำรติดเช้ือในระยะแรกอำจจะตรวจสอบไม่ไดผ้ ล 3) การทดสอบโดยชีววิธี (bioassay) กำรตรวจสอบโดยวิธีน้ี สำมำรถบ่งช้ีได้ว่ำ สำเหตุกำรตำยของสัตวน์ ้ำเกิดจำกไวรัสกลุ่มใด โดยกำรนำตวั อย่ำงสัตวน์ ้ำที่สงสัยมำแยกเอำอวยั วะ ส่วนที่ตอ้ งกำรมำบด และกรองผำ่ นกระดำษกรองที่มีรูขนำดเล็ก โดยทวั่ ไปมีเส้นผำ่ ศูนยก์ ลำงของรู ประมำณ 0.22 – 0.45 ไมครอน แล้วนำส่วนของเหลวที่กรองได้มำฉีดกลับสู่ตัวสัตว์น้ำชนิดเดิม --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
28 ที่ยงั มีชีวิตอยู่และเป็ นสัตว์น้ำท่ีแข็งแรงปกติ จำกน้ันสังเกตอำกำรและอตั รำกำรตำยที่เกิดข้ึนหลงั กำรฉีด ซ่ึงโดยทวั่ ไปแลว้ จะตอ้ งนำสัตวน์ ้ำที่ตำยจำกกำรฉีดคร้ังแรกมำผ่ำนข้นั ตอนดงั กล่ำว 2 – 3 คร้ัง จึงจะสำมำรถสรุปไดว้ ำ่ สำเหตุน่ำจะเกิดเน่ืองมำจำกเช้ือไวรัส 4) การตรวจสอบผ่านกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอน (electron microscope) เป็ น เทคนิคท่ีช่วยในกำรตรวจสอบกำรติดเช้ือไวรัสไดเ้ ช่นเดียวกนั โดยกำรนำตวั อยำ่ งที่ตอ้ งกำรตรวจสอบ คือ ชิ้นส่วนของอวยั วะต่ำงๆ ของกุง้ ปลำ หรือสัตวน์ ้ำอ่ืนๆ เช่น ซี่เหงือก ตบั ไต และอวยั วะส่วน อื่นๆ จำกตวั อย่ำงสัตวน์ ้ำที่ยงั มีชีวิตอยู่ นำมำแช่ในน้ำยำที่ใช้กนั ทว่ั ไปกบั กำรตรวจสอบผ่ำนกลอ้ ง จุลทรรศน์อิเลคตรอน เช่น กลูตำรำลดีไฮด์ 2.5 เปอร์เซ็นต์ ในคำโคดิเลท บฟั เฟอร์ หรือ กลูตำรำล- ดีไฮด์ 6.25 เปอร์เซ็นต์ ใน ซอเรนเซ่น บฟั เฟอร์ และ pH ของสำรละลำยเหล่ำน้ีจะตอ้ งควบคุมให้ อยู่ในช่วง 7.4 – 7.6 ซ่ึงเป็ นช่วง pH ที่ใกล้เคียงกบั เซลล์ในสิ่งมีชีวิตท่ัวไป กำรแช่ตวั อย่ำงจะใช้ อุณหภูมิต่ำ (4 – 6 องศำเซลเซียส) โดยใชแ้ ช่ตูเ้ ยน็ เป็ นเวลำ 2 – 24 ชว่ั โมง ซ่ึงจะข้ึนอยกู่ บั ขนำดของ ชิ้นเน้ือ โดยทวั่ ไปแลว้ ขนำดของตวั อยำ่ งท่ีนำมำดองจะมีขนำด 1 – 1.5 ลูกบำศก์มิลลิเมตร ซ่ึงเป็ น ขนำดที่จะทำใหน้ ้ำยำซึมแพร่กระจำยเขำ้ สู่ชิ้นเน้ือไดด้ ีในระยะเวลำท่ีกำหนด หลงั จำกผำ่ นข้นั ตอนกำร แช่น้ำยำแลว้ ก็ทำกำรลำ้ งชิ้นเน้ือ 2 – 3 คร้ัง โดยใชส้ ำรละลำยบฟั เฟอร์ชนิดเดียวกนั ข้นั ตอนต่อไปของเทคนิคจุลทรรศน์อิเลคตรอน คือ กำรตรึงเน้ือเย่ือ โดยนำ ตวั อยำ่ งมำแช่ในสำรละลำย 1 เปอร์เซ็นต์ OsO4 เป็ นเวลำ 1 ชว่ั โมง ข้นั ตอนน้ีจะทำใหเ้ น้ือเยอ่ื แขง็ ตวั มำกข้ึน หลังจำกน้ันก็จะผ่ำนกำรดึงน้ ำออกจำกเน้ือเย่ือ (dehydration) โดยใช้แอลกอฮอล์ หรือ อะซิโตน และผ่ำนข้นั ตอนของ infiltration และ embedding โดยใช้พลำสติกสังเครำะห์ หลงั จำก ท่ีพลำสติกสังเครำะห์แข็งตวั (polymerization) แลว้ กท็ ำกำรตดั โดยใชเ้ คร่ือง ultra microtome โดยตดั ใหช้ ิ้นเน้ือมีควำมบำง 0.5 – 1.0 ไมครอน เพอ่ื นำมำส่องดูดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์อิเลคตรอน กำรใช้เทคนิคน้ี จะทำให้สำมำรถมองเห็นโครงสร้ำงของอนุภำคไวรัสไดช้ ดั เจน โดยท่ีกำลงั ขยำยของกลอ้ งจุลทรรศน์อิเลคตรอนสำมำรถขยำยไดต้ ้งั แต่ 2,000 – 500,000 เท่ำ ข้ึนอยกู่ บั กำลงั เร่งของอนุภำคอิเลคตรอนท่ีใช้ แต่โดยทว่ั ไปแล้วกำรส่องดูอนุภำคไวรัสจะใช้กำลังขยำยอยู่ ในช่วง 20,000 – 80,000 เท่ำ ขอ้ ดีของเทคนิคน้ี คือกำรมองเห็นภำพและลกั ษณะโครงสร้ำงของไวรัส ที่ชัดเจน และสำมำรถศึกษำกำรเขำ้ ทำลำยเซลล์ของเช้ือไวรัส รวมท้งั กำรศึกษำลกั ษณะทำงพยำธิ สภำพของเซลล์ไดด้ ว้ ย ส่วนขอ้ เสีย คือมีขอ้ จำกดั ของจำนวนตวั อยำ่ ง เนื่องจำกตวั อย่ำงท่ีใชม้ ีขนำด เล็กมำก และในกรณีที่กำรติดเช้ืออยใู่ นระดบั ต่ำๆ กำรตรวจสอบกจ็ ะทำไดค้ อ่ นขำ้ งยำก --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
29 4. การเกบ็ ตัวอย่างเพ่ือการศึกษาโรคสัตว์นา้ และการตรวจวนิ ิจฉัยโรค กำรตรวจสอบหำสำเหตุของกำรเกิดโรคในปลำควรจะกระทำอยำ่ งรีบด่วนหลงั จำกปลำตำย หรือหลังจำกที่เก็บตวั อย่ำงปลำข้ึนมำจำกแหล่งน้ำใหม่ๆ ในกรณีที่ไม่สำมำรถตรวจสอบได้ทันที ก็ควรเก็บตวั อยำ่ งปลำไวใ้ นที่ท่ีมีอุณหภูมิต่ำ กำรเปล่ียนแปลงต่ำงๆ จะเกิดข้ึนอย่ำงรวดเร็วหลงั จำก ปลำตำย ไม่วำ่ จะเป็ นกำรเปล่ียนแปลงเก่ียวกบั เน้ือเยอ่ื ภำยในตวั ปลำ ชนิดและปริมำณของปรสิตต่ำงๆ ก็เปล่ียนไปได้อย่ำงรวดเร็วเช่นกัน กำรจดบันทึกรำยละเอียดเป็ นส่ิ งจำเป็ นท่ีจะต้องกระทำ เริ่มต้งั แต่ ชนิดของปลำ ขนำด เพศ อำยุ และแหล่งท่ีมำ ในกรณีท่ีเป็ นปลำเล้ียงจะตอ้ งสอบถำม ถึงรำยละเอียดเกี่ยวกบั กำรเล้ียงและกำรจดั กำรภำยในบ่อด้วย เช่น ระยะเวลำที่ปลำเร่ิมแสดงอำกำร อัตรำกำรตำย อำหำรที่ใช้เล้ียงมีคุณภำพอย่ำงไร รวมไปถึงสภำพน้ ำ และแหล่งน้ ำท่ีนำมำใช้ เล้ียงปลำ มีกำรใชย้ ำหรือสำรเคมีอยำ่ งไรบำ้ ง เพื่อนำมำประกอบกำรวนิ ิจฉยั โรคในข้นั ต่อไป บนั ทึก ชนิดและปริมำณของปรสิตและบริเวณท่ีพบบนตวั ปลำ สังเกตอำกำรและสภำพของตวั ปลำ ปลำที่ใกล้ จะเน่ำหรือตำยแล้วเป็ นเวลำนำนไม่เหมำะสมกับกำรตรวจสอบ เพรำะส่ิงท่ีตรวจพบไม่สำมำรถ นำมำสรุปถึงสำเหตุที่ทำใหป้ ลำตำยได้ โดยทวั่ ไปแลว้ กำรเก็บตวั อยำ่ งสัตวน์ ้ำควรจะพิจำรณำถึงสิ่งตำ่ งๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี คือ 4.1 การเลือกตัวอย่างท่ีเหมาะสม กำรคัดเลือกตัวอย่ำงเป็ นจุดสำคญั ในกำรตรวจสอบ วินิจฉยั โรคได้ว่ำจะถูกตอ้ งมำกน้อยเพียงไร ตวั อย่ำงควรจะเป็ นตวั ที่แสดงอำกำรเด่นชดั ถำ้ ในกรณี ท่ีกำรเกิดโรคไม่รุนแรงจะตอ้ งสุ่มตวั อยำ่ งใหม้ ีปริมำณพอเหมำะไม่นอ้ ยเกินไป 4.2 การเกบ็ รักษาและขนส่งตัวอย่าง ตวั อยำ่ งที่ยงั มีชีวติ อยจู่ ะเป็นตวั อยำ่ งที่เหมำะสมที่สุดใน กำรศึกษำและวนิ ิจฉยั โรค ถำ้ ไม่มีตวั อยำ่ งที่มีชีวติ กค็ วรเป็ นตวั อยำ่ งท่ีเพิง่ ตำยใหม่ๆ และแช่น้ำแขง็ เพ่ือ รักษำสภำพใหใ้ กลเ้ คียงสภำพจริงมำกที่สุด และรีบส่งเขำ้ หอ้ งปฏิบตั ิกำร 4.3 การเก็บตัวอย่างในน้ายา น้ำยำท่ีใช้แช่ตัวอย่ำงเพ่ือรักษำสภำพ เช่น ฟอร์มำลิน 10 เปอร์เซ็นต์ Bouin’s fixative หรือ Davidson’s fixative ซ่ึงมีประโยชน์ในกำรเก็บรักษำตัวอย่ำง เพ่ือศึกษำทำงเน้ือเยอ่ื วทิ ยำ อยำ่ งไรก็ตำม กำรตรวจวนิ ิจฉยั โรคสัตวน์ ้ำโดยทว่ั ไปน้นั ไม่สำมำรถสรุปผลไดอ้ ย่ำงชดั เจน ถูกตอ้ ง ในหลำยกรณี ซ่ึงอำจเนื่องมำจำกลกั ษณะอำกำรที่คลำ้ ยคลึงกนั กำรติดเช้ือสำเหตุไดม้ ำกกวำ่ 1 ชนิด กำรปนเป้ื อนของเช้ือโรคอ่ืนๆ หรือควำมบกพร่องในข้นั ตอนของกำรตรวจสอบ เป็ นตน้ ในท่ีน้ี ไดส้ รุปควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งลกั ษณะอำกำรของสัตวน์ ้ำกบั สำเหตุ หรือควำมผิดปกติที่สำมำรถ เป็นไปไดใ้ นกำรเกิดโรคตำ่ งๆ ดงั แสดงรำยละเอียดในตำรำงที่ 2.3 --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
30 ตารางท่ี 2.3 ควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งลกั ษณะอำกำรและสำเหตุหรือควำมผิดปกติท่ีเป็ นไปไดใ้ นกำรเกิด โรคตำ่ งๆ ของสัตวน์ ้ำ รวมท้งั วธิ ีกำรปฏิบตั ิในกำรตรวจสอบ/แกไ้ ข ลกั ษณะอาการของสัตว์นา้ สาเหตุ/การปฏบิ ตั ิ กำรตำยอยำ่ งเฉียบพลนั และจำนวน 1) การเป็ น พิ ษ เฉี ยบ พ ลัน ควรตรวจส อบ มำก โดยไมไ่ ดแ้ สดงอำกำรใดท่ีชดั เจน คุณสมบัติน้ำท่ีสำคญั ตรวจสอบหำปรสิตที่ก่อโรค สตั วน์ ้ำที่ยงั มีชีวติ อยจู่ ะลอยตวั ที่ผวิ น้ำ หรือ รุนแรงหรือกำรติดเช้ือแบคทีเรีย จำกสัตว์น้ ำที่ตำย อยทู่ ่ีพ้นื กน้ บอ่ เสียกำรทรงตวั และไมก่ ิน ใหม่ๆ หำกผลกำรตรวจสอบเป็นลบ ให้เปลี่ยนถ่ำยน้ำ อำหำร 75 % ข้ึนไป และนำน้ำตวั อยำ่ งไปตรวจหำสำรพษิ 2) ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้า (DO) ต่า วดั คำ่ DO ในเวลำเชำ้ มืดซ่ึงมีค่ำ DO ต่ำที่สุดในช่วงวนั 3) การติดเชื้อแบคทีเรีย ควรผ่ำซำกสัตวน์ ้ำ และ เล้ียงเช้ือแบคทีเรียจำกอวยั วะตัวอย่ำง เพ่ือบ่งช้ีเช้ือ สำเหตุ สัตวน์ ้ำพยำยำมถูไถลำตวั กบั ขอบบ่อ บ่งช้ีไดว้ ำ่ สัตวน์ ้ำมีอำกำรระคำยเคือง โดยอำจเกิดท่ี หรือวสั ดุแขง็ ในน้ำ และเมื่อสัตวน์ ้ำ บริเวณผวิ ตวั หรือเหงือกก็ได้ เคล่ือนไหวจะมองเห็นสีเงินวูบวำบซ่ึงเกิดสี 1) การเพม่ิ ขึน้ ของปริมาณแอมโมเนีย ไนไตรท์ ท่ีส่วนทอ้ ง นอกจำกน้ี สัตวน์ ้ำอำจแสดง หรือกำรเปลี่ยนแปลงอยำ่ งรวดเร็วของ pH ควร อำกำรกระโจนข้ึนผวิ น้ำดว้ ยกไ็ ด้ ตรวจวดั คุณภำพน้ำ 2) อาการระคายเคืองอาจเกดิ จากปรสิตภายนอก เช่น ปลิงใส เห็บระฆงั อิ๊ก ฯลฯ เกำะอยทู่ ี่บริเวณ ผวิ ตวั หรือซ่ีเหงือก ควรนำตวั อยำ่ งสตั วน์ ้ำมำตรวจสอบเมือกท่ีผิวตวั และซี่เหงือก สตั วน์ ้ำวำ่ ยน้ำเป็ นปกติ แต่มีอำกำร 1) ปริมาณออกซิเจนทล่ี ะลายในนา้ (DO) ต่า วดั ค่ำ หำยใจเร็วและแรง (สังเกตไดจ้ ำกกำรปิ ด DO ในเวลำเชำ้ มืดซ่ึงมีค่ำ DO ต่ำที่สุดในช่วงวนั เปิ ดของแผน่ ปิ ดเหงือก) 2) คุณภาพนา้ ไม่ดี ซ่ึงเป็นเหตุใหพ้ ้ืนที่ผวิ ในกำร แลกเปล่ียนกำ๊ ซลดลง กำรขบั เมือกออกมำมำกผดิ ปกติ หรือควำมเป็นพิษของ ไนไตรท์ ควรวดั คำ่ แอมโมเนีย ไนไตรท์ และ pH --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
31 ตารางท่ี 2.3 ควำมสมั พนั ธ์ระหวำ่ งลกั ษณะอำกำรและสำเหตุหรือควำมผดิ ปกติที่เป็นไปไดใ้ นกำรเกิด โรคตำ่ งๆ ของสตั วน์ ้ำ รวมท้งั วธิ ีกำรปฏิบตั ิในกำรตรวจสอบ/แกไ้ ข (ตอ่ ) ลกั ษณะอาการของสัตว์นา้ สาเหตุ/การปฏิบัติ 3) โรคเหงือก ซ่ึงอำจเป็ นในระยะเร่ิมตน้ หำกยงั มี อำกำรอยู่ ควรตรวจสอบปรสิตที่บริเวณซี่เหงือก หรือ ตรวจสอบแบคทีเรียท่ีก่อใหเ้ กิดโรคเหงือก 4) ปรสิตเกาะเหงือก ควรตรวจสอบเหงือก และ เมือกท่ีผวิ ตวั สตั วน์ ้ำแยกตวั ออกจำกกลุ่ม หำยใจ ลกั ษณะอำกำรเช่นน้ี เป็ นลกั ษณะอำกำรโดยทว่ั ไป ปกติ แต่ไมส่ นใจอำหำร และอำจพบ ที่สำมำรถเกิดข้ึนไดจ้ ำกหลำยสำเหตุ ดงั น้นั จำเป็ นตอ้ ง ลกั ษณะฝ้ำสีเทำท่ีบริเวณผวิ ตวั (ไม่พบ มีกำรตรวจสอบเพิม่ เติม ดงั น้ี อำกำรภำยนอกอื่นๆ) 1) สัตวน์ ้ำอำจมีปัญหำปรสิต จำเป็ นตอ้ งขูดเมือก และซ่ีเหงือกมำตรวจสอบ 2) อำจเกิดจำกปัญหำของปรสิตภายใน 3) การติดเชื้อแบคทีเรียในระยะเร่ิมตน้ ควรแยก สตั วน์ ้ำมำสังเกต/ตรวจสอบอำกำร ควรตรวจวดั คุณสมบตั ิน้ำที่สำคญั ท้งั หมด สัตวน์ ้ำส่วนหน่ึงมีอำกำรเฉื่อยชำ ไม่ อำกำรเฉื่อยชำ และไม่กินอำหำร เป็ นอำกำรที่พบ ค่อยเคล่ือนไหว ไม่กินอำหำรหรือกิน ได้ในโรคทัว่ ไป ดังน้ัน จำเป็ นต้องตรวจสอบข้อมูล นอ้ ยลงสตั วน์ ้ำมีอำกำรตื่นกลวั หลบตำมมุม เพ่มิ เติม และอำจพบครีบแยก หรือแหวง่ วนิ่ 1) คุณสมบัติน้า ตรวจวดั แอมโมเนีย ไนไตรท์ pH 2) ปริมำณสารอนิ ทรีย์ในน้ำมำกเกินไป 3) ปรสิตภายนอก 4) อำกำรเร่ิมตน้ ของโรคเหงือก ควรตรวจหำแผล กำรอกั เสบ หรือกำรเกิดแผลหลุม --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
32 ตารางท่ี 2.3 ควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งลกั ษณะอำกำรและสำเหตุหรือควำมผิดปกติที่เป็ นไปไดใ้ นกำรเกิด โรคตำ่ งๆ ของสตั วน์ ้ำ รวมท้งั วธิ ีกำรปฏิบตั ิในกำรตรวจสอบ/แกไ้ ข (ต่อ) ลกั ษณะอาการของสัตว์นา้ สาเหตุ/การปฏบิ ัติ ซ่ีเหงือกมีขนำดใหญ่ข้ึน ผวิ ตวั มีเมือก 1) ปรสิตภายนอก ตรวจสอบเมือก และซี่เหงือก มำก มีกลุ่มเมือกสีเทำ และอำจเกิดร่วมกบั 2) คุณภาพนา้ ควรตรวจวดั คุณสมบตั ิน้ำที่สำคญั อำกำรระคำยเคือง และวำ่ ยน้ำแฉลบไปมำ ท้งั หมด หำยใจแรง และ/หรือเฉื่อยชำ ไม่ เคล่ือนไหว 1) การบาดเจ็บ ท่ีเกิดข้ึนจำกกำรลำเลียง กำรยำ้ ย บ่อ กำรทำร้ำยกนั เอง ฯลฯ ซ่ึงมกั มีกำรอกั เสบเพียง สตั วน์ ้ำมีรอยจ้ำ หรือแผลหลุม ผวิ ตวั / เลก็ นอ้ ย สำมำรถหำยไดใ้ นไม่ก่ีวนั ครีบมีสีแดงหรือเกิดกำรอกั เสบ เกลด็ ต้งั มี อำกำรบวมเฉพำะบริเวณ 2) การระคายเคือง ท่ีบริเวณใดบริเวณหน่ึง เนื่องจำกกำรเกำะของปรสิต ควรตรวจสอบเมือก มีจ้ำสีแดง หรือรอยป้ื นสีขำวที่ผวิ ตวั 3) โรคแบคทเี รีย ครีบกร่อน แตกหรือแหวง่ วน่ิ ที่ส่วน 4) ปัญหำคุณสมบตั นิ า้ ปลำยเป็นสีขำว และครีบอำจมีสีออกแดง 5) ปริมำณสารอนิ ทรีย์มำกเกินไป ปรสิตภายนอกขนำดใหญ่ เช่น เห็บปลำ ปลิง หรือ หนอนสมอ ซ่ึงปรสิตเหล่ำน้ีสำมำรถมองเห็นไดด้ ว้ ย กำรตรวจสอบอยำ่ งใกลช้ ิด 1) การตดิ เชื้อแบคทเี รีย 2) ปรสิตภายนอก 3) ปัญหำคุณสมบตั ินา้ 4) การบาดเจ็บ 5) อตั ราความหนาแน่นสูงเกินไป 6) การติดเชื้อรา 7) โรคคอลมั นาริส --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
33 ตารางที่ 2.3 ควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งลกั ษณะอำกำรและสำเหตุหรือควำมผดิ ปกติท่ีเป็ นไปไดใ้ นกำรเกิด โรคต่ำงๆ ของสัตวน์ ้ำ รวมท้งั วธิ ีกำรปฏิบตั ิในกำรตรวจสอบ/แกไ้ ข (ตอ่ ) ลกั ษณะอาการของสัตว์นา้ สาเหตุ/การปฏบิ ตั ิ สัตวน์ ้ำมีอำกำรทอ้ งบวม (hydropsy) เกลด็ ต้งั พบจ้ำเลือดท่ีผวิ ตวั หรือครีบ และ 1) การตดิ เชื้อไวรัส อำจพบอำกำรตำโปนร่วมอยดู่ ว้ ย 2) การตดิ เชื้อแบคทเี รีย (ทอ้ งบวมเนื่องจำก ของเหลวในช่องทอ้ ง ลกั ษณะนุ่ม เหลว) กำรเปิ ดปิ ดของกระพุง้ แกม้ ถ่ี ซ่ึงแสดง 3) การเกิดเนื้องอก ซ่ึงมกั มีลกั ษณะไม่สมมำตร ถึงปัญหำในกำรแลกเปลี่ยนก๊ำซ เม่ือ และแขง็ กวำ่ กำรบวมเน่ืองจำกของเหลว ตรวจสอบเหงือก พบวำ่ มีเมือกมำก สี 4) โรคไต ซ่ึงสำมำรถตรวจสอบไดจ้ ำกกำรผำ่ เหงือกไม่สม่ำเสมอ และมีกำรตำยของ ซำกสัตวน์ ้ำที่ป่ วย เน้ือเยอื่ (necrosis) 5) ปรสิตภายใน 6) ความผดิ ปกตทิ างพนั ธุกรรม มีจุดขำวเลก็ ๆ บริเวณผวิ ตวั และครีบ 7) การอดุ ตนั ของลาไส้ มองดูเหมือนโรยดว้ ยเกลือป่ น และมกั 1) โรคแบคทเี รีย พบวำ่ สตั วน์ ้ำขบั เมือกออกมำมำก 2) โรคไวรัส 3) โรคเหงือกกร่อน มีรอยป้ื นสีขำว หรือมีปุยคลำ้ ยสำลีบน 4) ปรสิตเกาะเหงือก ผวิ ตวั หรือครีบ มกั พบร่วมกบั อำกำร อกั เสบท่ีผวิ ตวั โรคจุดขาว (White spot disease) สำมำรถยืนยนั ได้ กำรบวมที่บริเวณผวิ ตวั จำกกำรขดู ผวิ ตวั ตรวจสอบ 1) การติดเชื้อรา (Saprolegnia sp) 2) โรคคอลัมนาริส สำมำรถตรวจสอบหำเช้ือ สำเหตุ คือ Flexibacter sp 1) ตวั อ่อนของปรสิตในระยะเขำ้ เกรำะ (cyst) 2) การบาดเจ็บ 3) โรคแบคทเี รีย ซ่ึงมกั มีอำกำรร่วม คือ กำรอกั เสบ และเกลด็ ต้งั 4) การเกดิ เนื้องอกที่อวยั วะภำยใน --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
34 ตารางท่ี 2.3 ควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งลกั ษณะอำกำรและสำเหตุหรือควำมผดิ ปกติที่เป็ นไปไดใ้ นกำรเกิด โรคต่ำงๆ ของสัตวน์ ้ำ รวมท้งั วธิ ีกำรปฏิบตั ิในกำรตรวจสอบ/แกไ้ ข (ตอ่ ) ลกั ษณะอาการของสัตว์นา้ สาเหตุ/การปฏบิ ัติ อำกำรตำข่นุ มวั (cloudy eyes) 1) การบาดเจ็บ 2) การขาดสารอาหาร กระดูกคดงอ 3) คุณสมบตั ินา้ 4) โรคแบคทเี รีย เคลื่อนไหวผดิ ปกติ เสียกำรทรงตวั 1) ขาดสมดุลของธาตุอาหาร เฉ่ือยชำ น้ำหนกั ลด มีอำกำรแบบเร้ือรัง 2) ความผดิ ปกติทางพนั ธุกรรม และอำจพบวำ่ มีพยำธิโผล่ออกมำจำกช่อง 3) ความผดิ ปกตขิ องกล้ามเนื้อ ขบั ถ่ำย (anus) 4) การบาดเจ็บ 5) สารพษิ 1) โรคไวรัส หรือแบคทเี รียที่ก่อให้เกิดควำม ผดิ ปกติที่ถุงลม 2) โรคไต หรือลาไส้อดุ ตนั ปรสิตภายใน จำเป็ นตอ้ งตรวจสอบตวั อย่ำงเลือด เน้ือเยอ่ื และสิ่งขบั ถ่ำย ทมี่ า : “Clinical signs” WWW.Fishdoc.co.uk --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
หน่ว3ยการเรียนรู้ที่ 3 โรคท4เ่ี กดิ จากแบคทเี รีย โรคสัตวน์ ้ำท่ีเกิดเนื่องจำกกำรติดเช้ือแบคทีเรีย ส่วนใหญ่แลว้ เป็ นโรคท่ีก่อให้เกิดอำกำรแบบ เร้ือรัง แต่สำมำรถสร้ำงควำมเสียหำยอย่ำงมำกในอุตสำหกรรมกำรเพำะเล้ียงสัตวน์ ้ำ ไม่ว่ำจะเป็ น สัตวน์ ้ำจืด น้ำกร่อย รวมท้งั กำรเล้ียงกุ้งทะเล เพรำะกำรเกิดโรคติดเช้ือแบคทีเรีย สำมำรถเกิดข้ึนได้ ตลอดระยะเวลำของกำรเล้ียง กำรแพร่ระบำดเป็ นไปไดอ้ ยำ่ งรุนแรงและรวดเร็ว ทำให้มีอตั รำกำรตำย สูง โดยทว่ั ไปแล้ว กำรติดเช้ือแบคทีเรียมกั มีสำเหตุหลกั มำจำกควำมเครียดในตวั สัตวน์ ้ำ ซ่ึงเกิดข้ึน เนื่องจำกสภำพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลง (environmental stress) ซ่ึงจะส่งผลทำให้สัตว์น้ำอ่อนแอ และมีโอกำสติดเช้ือแบคทีเรียท่ีอยใู่ นน้ำไดอ้ ยำ่ งรวดเร็ว อยำ่ งไรก็ตำม เพื่อให้สำมำรถทำควำมเขำ้ ใจในรำยละเอียดของโรคสัตวน์ ้ำ ชนิดต่ำงๆ ที่เกิด จำกเช้ือแบคทีเรียไดอ้ ยำ่ งชดั เจน จึงไดน้ ำเสนอขอ้ มูลเบ้ืองตน้ ที่จำเป็นของแบคทีเรียไวพ้ อสงั เขป ดงั น้ี 1. ลกั ษณะทวั่ ไปของแบคทเี รีย 1.1 คุณสมบตั ิทวั่ ไป แบคทีเรียเป็นส่ิงมีชีวิตช้นั ต่ำ ท่ียงั ไม่สำมำรถจดั จำแนกเป็นพืชหรือสัตว์ ได้ แตถ่ ำ้ พจิ ำรณำถึงคุณสมบตั ิโดยทว่ั ไปแลว้ แบคทีเรียจะมีคุณสมบตั ิท่ีใกลเ้ คียงกบั พชื มำกกวำ่ สัตว์ ดงั น้ี 1) ควำมสำมำรถในกำรสังเครำะห์อำหำรได้เอง (Synthetic capacity) แบคทีเรีย สำมำรถสร้ำงอำหำรไดเ้ อง โดยในบำงกลุ่มอำจเป็ นกำรสังเครำะห์แสง (photosynthesis) หรือเป็ นกำร สงั เครำะห์ทำงเคมี (Chemosynthesis) 2) กำรนำอำหำรเข้ำสู่เซลล์ (Food penetration) กำรลำเลียงอำหำรเขำ้ สู่เซลล์ของ แบคทีเรียจะตอ้ งอยใู่ นรูปของสำรละลำยเช่นเดียวกบั พืช 3) กำรแบ่งเซลลต์ ำมแนวขวำง (Transverse binary fission) ซ่ึงเป็ นกำรแบ่งเซลล์ของ พชื ส่วนสตั วจ์ ะเป็นกำรแบง่ เซลลต์ ำมแนวยำว (Longitudinal binary fission) 4) กำรมีผนังเซลล์ (Cell wall) ซ่ึงจะแตกต่ำงเซลล์สัตว์ที่จะมีเยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
36 1.2 ลกั ษณะรูปร่าง โดยทว่ั ไปแลว้ รูปร่ำงของแบคทีเรียสำมำรถจำแนกไดด้ งั น้ี 1) ทรงกลม (coccus) เป็ นกลุ่มของแบคทีเรียรูปทรงกลม หรือทรงรี โดยที่กำรเรียง ตวั ของโคโลนี (colony) อำจแบ่งได้ 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ Staphylococcus ซ่ึงโคโลนีจะประกอบด้วย เซลล์ท่ีอยู่รวมกันเป็ นกลุ่มก้อนทรงกลม และ Streptococcus ที่กำรเรียงตัวของเซลล์จะเป็ นสำยโซ่ ต่อเน่ืองกนั ไป 2) ทรงกระบอก (bacillus) เป็ นกลุ่มของแบคทีเรียที่มีรูปร่ำงเป็ นท่อน หรือเป็ นแท่ง ทรงกระบอก ซ่ึงอำจเป็นทอ่ นส้นั หรือยำว แตกตำ่ งกนั ไปในแตล่ ะชนิด 3) สายเกลียว (spirillum) เป็ นกลุ่มของแบคทีเรียส่วนน้อย ซ่ึงจะมีรูปร่ำงเป็ นท่อน ทรงกระบอกท่ีหกั งอ เม่ือมำเรียงตวั กนั เป็นสำยยำว ทำใหม้ องเห็นผำ่ นกลอ้ งจุลทรรศนเ์ ป็นสำยเกลียว 2. การจาแนกแบคทเี รีย แบคทีเรียท่ีก่อให้เกิดโรคในสตั วน์ ้ำมีอยมู่ ำกมำยหลำยชนิด ซ่ึงจะแสดงอำกำร และระดบั ควำม รุนแรงของโรคท่ีแตกต่ำงกนั ไป โดยสำมำรถจำแนกกลุ่มของแบคทีเรีย ตำมกำรติดสีแกรม (Gram Staining) ออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ แบคทีเรียแกรมบวก (Gram Positive) และแบคทีเรียแกรมลบ (Gram Negative) 2.1 การย้อมสีแกรม (Gram Staining) โดยทว่ั ไปแลว้ กำรยอ้ มสี (staining) ซ่ึงมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษำลกั ษณะรูปร่ำง ของ เซลลแ์ ละกำรจำแนกชนิดของแบคทีเรียน้นั ทำได้ 2 วธิ ี 1) กำรยอ้ มสีอยำ่ งง่ำยเพื่อศึกษำรูปร่ำงของเซลล์ (simple staining) ซ่ึงจะเป็ นกำรใช้ สียอ้ มเพียงชนิดเดียวเท่ำน้นั ในกำรยอ้ มสีลกั ษณะน้ี นิวเคลียส (nucleus) และ ผนงั เซลล์ (cell wall) จะติดสียอ้ มอยำ่ งชดั เจน ไม่วำ่ จะเป็ นสีแดงของเมทธิล เรด (Methyl red), สีน้ำเงินของ เมทธิลีน บลู (Methylene blue) หรือสีม่วงของ คลิสตลั ไวโอเล็ต (crystal violet) 2) กำรยอ้ มสีเพื่อแยกควำมแตกต่ำงของแบคทีเรีย (Differential staining) ซ่ึงเป็ นกำร ใชส้ ียอ้ มสองชนิดข้ึนไป เพื่อนำคุณสมบตั ิกำรติดสียอ้ มท่ีแตกต่ำงกนั มำใชใ้ นกำรจำแนกประเภท และ ที่นิยมใชก้ นั มำกในกำรศึกษำโรคแบคทีเรียในสัตวน์ ้ำ คือกำรยอ้ มสีแกรม (gram staining) โดยสำมำรถ แยกกลุ่มของแบคทีเรียตำมกำรติดสีแกรมได้เป็ นสองกลุ่ม คือ แบคทีเรียแกรมบวก ซ่ึงเซลล์จะติด สีมว่ งของ คลิสตลั ไวโอเลต็ และแบคทีเรียแกรมลบ ซ่ึงจะติดสีแดงของซำฟรำนิน เรด (safranin red) --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
37 กลุ่มของแบคทีเรียท่ีพบวำ่ ก่อให้เกิดโรคในสัตวน์ ้ำที่สำคญั โดยแบ่งกลุ่มตำมกำรติดสีแกรม ไดแ้ ก่ 2.1.1 แบคทเี รียแกรมบวก เป็ นแบคทีเรียกลุ่มท่ีติดสียอ้ มแกรมบวก ซ่ึงส่วนใหญ่แลว้ จะก่อให้เกิดโรคที่มี ควำมรุนแรงน้อยกว่ำกลุ่มท่ีติดสีแกรมลบ และมักจะแสดงอำกำรของโรคแบบเร้ือรัง (Chronic Infection) ประกอบดว้ ย 1) Renibacterium Salmoninarum เซลล์ของแบคทีเรียชนิดน้ี มีรูปร่ำงแบบ ทรงกระบอก (Bacillus) กำรเพำะเล้ียงเช้ือ ตอ้ งกำรกำรบ่มเช้ือนำน 1 สัปดำห์ หรือมำกกวำ่ กำรเจริญ จะใหโ้ คโลนีเป็นสีขำวค่อนไปทำงเหลืองครีม 2) Streptococcus และ Nocardia แบคที เรี ยกลุ่มแรก มีลักษณ ะเซลล์ของ Streptococcus ซ่ึงจะเป็ นเซลล์กลมต่อกนั เป็ นสำยส้ันๆ แต่สำหรับ Nocardia เซลล์จะเป็ นแท่งต่อกนั เป็นกิ่งกำ้ น 3) Mycobacteria แบคทีเรียในกลุ่มน้ี สำมำรถก่อให้เกิดโรคได้มำกมำย โดยเฉพำะปลำสวยงำมในเขตร้อน กำรวินิจฉยั โรค Mycobacteriosis ในสัตวน์ ้ำ น้นั จะเป็ นกำรสังเกต กำรเปล่ียนแปลงทำงพยำธิสภำพของเน้ือเย่ือมำกกว่ำกำรทดสอบแบคทีเรียทั่วไป เน่ืองจำกกำร เพำะเล้ียงเช้ือ ใช้เวลำนำนและตอ้ งกำรอำหำรท่ีเฉพำะเจำะจง ตวั อยำ่ งแบคทีเรียท่ีพบมำกในกลุ่มน้ี ไดแ้ ก่ Mycobacteria fortuitum แล ะ Mycobacteria marinum ซ่ึ งเป็ น แบ ค ที เรี ยที่ ท ำ อนั ตรำยต่อปลำน้ำจืด และปลำทะเล ตำมลำดบั แบคทีเรียจะเจริญให้เห็นเป็ นโคโลนีภำยใน 5 – 10 วนั ที่อุณหภูมิ 2 องศำเซลเซียส สำมำรถยอ้ มติดสี acid – fast (Acid – fast Staining) 2.1.2 แบคทเี รียแกรมลบ แบคทีเรียแกรมลบ เป็ นกลุ่มที่ก่อให้เกิดโรคที่มีควำมรุนแรงมำกกว่ำแบคทีเรีย แกรมบวก ถึงแมว้ ่ำจะก่อให้เกิดโรคที่เน่ืองมำจำกแบคทีเรียทำอนั ตรำยกบั ระบบเลือด (Septicemia) ท่ีเหมือนกนั กต็ ำม แบคทีเรียแกรมลบที่พบมำกในสตั วน์ ้ำ ไดแ้ ก่ 1) Myxobacteria เป็ นกลุ่มของแบคทีเรียติดสีแกรมลบ ที่มีจำนวนสมำชิก อยมู่ ำกมำย หลำยชนิด มีกำรเคลื่อนท่ีแบบคืบคลำนบนอำหำรวนุ้ สำมำรถเจริญไดง้ ่ำยบนอำหำรเล้ียง เช้ือที่มีปริมำณธำตุอำหำรต่ำ (low nutrient media) และให้โคโลนีแบนบำงสีส้มหรือเหลือง ขอบของ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
38 โคโลนีจะหยกั คลำ้ ยนิ้วย่ืนออกไป รูปร่ำงของเช้ือเป็ นแท่งยำว (Bacillus) ขนำด 0.5 – 0.8 x 2 – 10 ไมโครเมตร หรือบำงชนิดท่ียำวมำกๆ มีขนำดถึง 100 ไมโครเมตร ตวั อยำ่ ง เช่น Flexibacter columnaris และ Cytophaga psychrophila แบคทีเรียท้ังสอง ชนิดน้ีเป็ นเช้ือสำเหตุท่ีก่อใหเ้ กิดโรคท่ีสำคญั ในสัตวน์ ้ำ โดยแสดงอำกำรที่คลำ้ ยคลึงกนั คือ มีอำกำรตก เลือด และมีแผลลกั ษณะสีเหลืองหรือสีส้มทวั่ ลำตวั ซ่ึงเป็ นผลเนื่องมำจำกรงควตั ถุมีสีที่แบคทีเรียกลุ่ม น้ีสร้ำงข้ึนมำ 2) Aeromonas, Vibrio, Pseudomonas, Flavobacterium, Edwardsiella, Yersinia และ Pasturella ซ่ึงเป็ นกลุ่มของแบคทีเรียท่ีก่อให้เกิดโรคในสัตวน์ ้ำมำกท่ีสุด โดยท่ีควำม รุนแรงของโรค เป็นไปไดต้ ้งั แต่ชนิดเฉียบพลนั (Acute) ไปจนถึงชนิดเร้ือรัง (Chronic) แบคทีเรียทุกชนิดในกลุ่มน้ีสำมำรถเจริญเติบโตบนอำหำรเล้ียงเช้ือธรรมดำ (low nutrient media) ได้ ให้โคโลนีส่วนใหญ่จะเป็ นสีขำว ขำวครีม หรือน้ำตำลอ่อน บำงชนิดให้สี เหลืองส้ม เช่น สกุล Flavobacterium ส่วน สกุล Pseudomonas จะให้โคโลนีสีเหลืองเขียว และ สำมำรถเรืองแสงไดภ้ ำยใตแ้ สงอลั ตรำไวโอเลต็ ในขณะที่สกลุ Aeromonas จะใหส้ ีน้ำตำล 3) Hemophilus piscium เป็ นแบคทีเรียชนิดท่ีมีควำมเฉพำะเจำะจงในกำร ก่อให้เกิดโรคแผลหลุม (ulcer disease) แบคทีเรียชนิดน้ี สำมำรถเจริญเติบโตได้ดี และรวดเร็วใน อำหำรเล้ียงเช้ือพิเศษ Mueller Hinton medium โดยให้โคโลนีสีครีม มีลกั ษณะเซลล์เป็ นแท่งส้ันๆ ขนำด 0.5 ไมครอน x 1 – 3 ไมครอน และไมส่ ำมำรถเคลื่อนที่ได้ 3. กลไกการติดเชื้อแบคทเี รียในตวั สัตว์นา้ กำรติดเช้ือแบคทีเรียของสัตวน์ ้ำ หมำยถึงกำรแสดงอำกำรของกำรเกิดโรค (Clinical Signs) ในตวั สัตวน์ ้ำ ไม่ว่ำจะเป็ นรูปแบบชนิดเฉียบพลัน (Acute form) หรือชนิดเร้ือรัง (Chronic form) ก็ตำม กำรติดเช้ือจะเกิดข้ึนได้ จำเป็นตอ้ งผำ่ นกลไกหรือข้นั ตอนดงั ต่อไปน้ี 3.1 การเข้าสู่ตัวสัตว์นา้ (route of infection) เส้นทำงท่ีเช้ือสำมำรถเขำ้ สู่ตวั สัตวน์ ้ำไดม้ ี 3 ทำง คือ - ผวิ หนงั (Skin) - เน้ือเยอ่ื เหงือก (gill membrane) - ช่องปำก และทำงเดินอำหำร (gastrointestinal tract) --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
39 อย่ำงไรก็ตำม สัตวน์ ้ำจะมีกลไกในกำรป้องกนั ตวั เองอยู่ตลอดเวลำ เช่น กำรขบั เมือก มำห่ อหุ้มตัว ซ่ึ งเมื อกจะมีน้ ำย่อยโป รตีน (proteolytic enzyme) และ แอน ติบ อด้ี (antibody) ท่ีไม่เฉพำะเจำะจงคอยดกั จบั สิ่งแปลกปลอม แตใ่ นกรณีที่มีช่องเปิ ด หรือเกิดบำดแผล อนั เนื่องมำจำก กำรติดเช้ือรำ หรือปรสิต มำก่อนกจ็ ะทำใหเ้ กิดแบคทีเรียเขำ้ สู่ตวั ปลำไดง้ ่ำยข้ึน 3.2 การเคล่ือนย้าย (migration) ของเช้ือแบคทีเรียเขำ้ สู่ระบบต่ำงๆ ของร่ำงกำย อำจเป็ น กำรเคล่ือนท่ีท่ีเกิดจำกเซลล์แบคทีเรียเองโดยใช้แฟลกเจลลำ (Flagella) หรือแพร่กระจำยโดยระบบ หมุนเวยี นเลือดไปยงั อวยั วะเป้ำหมำยตำ่ งๆ ทวั่ ร่ำงกำย 3.3 การเพ่ิมจานวนเซลล์ (cell proliferation) เช้ือแบคทีเรียเมื่อเข้ำสู่ตัวสัตว์น้ำและ เคล่ือนยำ้ ยไปยงั อวยั วะเป้ำหมำยแลว้ ก็จะมีกำรแบ่งเซลลเ์ พ่ิมจำนวนมำกข้ึน ในกรณีท่ีสตั วน์ ้ำออ่ นแอ กำรเพิ่มจำนวนเช้ือแบคทีเรียกจ็ ะเป็นไปไดอ้ ยำ่ งรวดเร็วมำกข้ึน 4. ลกั ษณะอาการทว่ั ไปของโรคตดิ เชื้อแบคทเี รีย กำรเกิดโรคติดเช้ือแบคทีเรียในสัตวน์ ้ำ โดยเฉพำะอยำ่ งย่ิงท่ีพบในปลำ โดยทว่ั ไป จะมีอำกำร โดยรวมท่ีเด่นชดั และบ่งช้ีไดว้ ำ่ มีกำรติดเช้ือเกิดข้ึน ดงั น้ี 1) กินอาหารลดลง 2) สีตัวเปล่ยี นแปลงไป จากปกติ อำจเป็ นได้ท้ังดำคล้ำมำกข้ึน หรือสีตัวซีดลง 3) การเกิดแผลท่ัวลำตัว 4) การตกเลือด ตำมบริเวณส่วนต่ำงๆ ของร่ำงกำย 5) การบวมน้า ซ่ึงพบได้ท่ีบริเวณช่องทอ้ ง โคนครีบ ใตล้ ูกตำ ฯลฯ อย่ำงไรก็ตำม กำรเกิดโรคติดเช้ือแบคทีเรียในสัตว์น้ำบำงชนิด อำจจะมีลักษณะเด่นพิเศษ เฉพำะตวั ท้งั น้ี จะข้ึนอยกู่ บั ชนิดของเช้ือสำเหตุ 4.1 การตกเลือด คือลกั ษณะอำกำรที่เกิดจ้ำเลือดตำมบริเวณต่ำงๆ ในสัตวน์ ้ำ ซ่ึงอำจเกิดข้ึน ไดจ้ ำกหลำกหลำยสำเหตุ ดงั น้ี 1. กำรบำดเจบ็ จำกกำรกระแทก กำรจบั และลำเลียงขนส่ง 2. พษิ ของสำรเคมีบำงชนิด 3. กำรติดเช้ือแบคทีเรีย 4. กำรติดเช้ือไวรัส 5. กำรขำดสำรอำหำร เช่น กำรขำดวติ ำมินซีซ่ึงจะทำใหผ้ นงั เส้นเลือดเปรำะแตกง่ำย ผลของกำรตกเลือดทำให้เกิดลักษณะโลหิตจำง มีกำรไหลออกของเลือดเป็ นระยะ เวลำนำน มีกำรลดจำนวนของปริมำณเมด็ เลือดจำกสภำพปกติ ซ่ึงส่งผลใหส้ ัตวน์ ้ำอ่อนแอลง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
40 4.2 การบวมน้า คือ ลกั ษณะอำกำรที่มีของเหลวปริมำณมำกเกินปกติ สะสมอยูใ่ นช่องวำ่ ง ระหว่ำงเซลล์หรือในช่องทอ้ ง ซ่ึงเกิดข้ึนเน่ืองมำจำกกำรเสียสมดุลในเส้นเลือด ทำให้มีกำรปล่อย ของเหลวหรือซีร่ัมออกมำ สำมำรถตรวจสอบอำกำรได้ ดงั น้ี 1) บวมในช่องท้อง (ascites) เน่ืองจำกมีของเหลวในช่องทอ้ ง ทำใหเ้ กิดอำกำรบวม 2) การบวมท่ัวตัว (hydrops) จะมีของเหลวในเน้ือเย่ือเก่ียวพนั ใตผ้ ิวหนงั ทำให้เกิด อำกำรบวมทวั่ ตวั อำจเรียกวำ่ “dropsy” พบมำกในปลำทอง 3) ตาโปน (exopthalmus) เนื่องจำกมีของเหลวอยู่หลังกระบอกตำหรือเรียกว่ำ popeye อำจเกิดเน่ืองจำกกำรติดเช้ือแบคทีเรีย หรือกำรใช้ยำหรือใช้สำรเคมีชนิดใดชนิดหน่ึงมำก เกินไป เช่น มำลำไคท์ กรีน (Malachite green) 4) เกล็ดต้ัง เกล็ดพอง (lepidorthosis) เนื่องจำก มีของเหลวอยู่ในช่องว่ำงใตเ้ กล็ด (scale pocket) ทำใหเ้ กิดอำกำรเกล็ดต้งั อำจเกิดจำกกำรติดเช้ือติดเช้ือแบคทีเรีย หรือเน่ืองมำจำกปรสิต ตวั ใดตวั หน่ึง เช่น เห็บระฆงั (Trichodina sp) ก็ได้ 5. โรคแบคทเี รียทสี่ าคญั ในสัตว์นา้ 5.1 ฮีโมราจิก เซปติซีเมีย (haemorrhagic septicemia) เป็ นลกั ษณะของโรคที่แสดงอำกำร เด่นชัด คือ เกิดบำดแผลมีลกั ษณะสีแดง (hemorrhage) นอกจำกน้ียงั มีลักษณะบวมบริเวณช่องท้อง มีลกั ษณะบำดแผลเป็ นป้ื นแดง หรือเกิดกำรตกเลือดบริเวณปำก เช้ือแบคทีเรียท่ีเป็ นสำเหตุของโรค สำมำรถแบง่ ออกเป็น 3 กลุ่มดงั น้ี 1) Aeromonas hydrophila พบมำกท้งั ในสัตวน์ ้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำทะเล ทำให้ เกิดโรคที่เรียกวำ่ Motile Aeromonas Septicemia (MAS) กำรสูญเสียผลผลิตของกำรเพำะเล้ียงสัตวน์ ้ำ ที่เกิดข้ึนเนื่องจำกเช้ือสำเหตุชนิดน้ีมี เปอร์เซ็นตส์ ูงมำก โดยเฉพำะในปลำน้ำจืด เช่น ปลำดุก กลุ่มปลำสวยงำม เป็นตน้ ลกั ษณะของเชื้อสาเหตุ ลักษณะของเช้ือเป็ นแท่งส้ัน (Bacillus) ติดสีแกรมลบ สำมำรถเคล่ือนท่ีได้โดยใช้ แฟลกเจลลำ เจริญไดง้ ่ำยบนอำหำรเล้ียงเช้ือหลำยชนิด ใหโ้ คโลนีสีเหลืองภำยในเวลำ 18 – 24 ชว่ั โมง ที่อุณหภูมิ 350 เซลเซียส เจริญไดด้ ีท้งั ในสภำพที่มีอำกำศ และไม่มีอำกำศ ลักษณะอาการ สัตว์น้ำหรือปลำท่ีเป็ นโรคติดเช้ือ เน่ืองจำก Aeromonas hydrophila จะมีลกั ษณะเฉพำะของโรค คือจะมีกำรสะสมของเหลวจนทอ้ งบวมน้ำ จนกระทง่ั เกล็ดปลำต้งั พอง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วิทยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
41 จึงให้ชื่อลกั ษณะอำกำรเหล่ำน้ีว่ำ “dropsy” ลกั ษณะภำยนอกของปลำที่เป็ นโรค จะพบว่ำตำมครีบ ผิวตวั และช่องทอ้ งบวมน้ำ ตำโปน เกล็ดต้งั พอง สีผิวตวั เปลี่ยนไปในทำงเขม้ ข้ึน ว่ำยน้ำเสียกำร ทรงตวั ส่วนลกั ษณะภำยใน เม่ือเปิ ดช่องทอ้ งจะมีน้ำขุ่นสีเลือด ตบั ซีดจำง ไตบวม และพบอำกำร ตกเลือดท่ีอวยั วะภำยในทว่ั ไป รูปท่ี 3.1 อาการเกลด็ ต้งั ร่วมกบั การตกเลือดในปลาทต่ี ดิ เชื้อ รูปท่ี 3.2 อาการตกเลือดโดยทว่ั ไป ร่วมกบั การเข้มขนึ้ ของสีตวั และครีบ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โรคสตั วน์ ้ำ กฤษณี วงศว์ ฒุ ิวฒั น์ วทิ ยำลยั ประมงติณสูลำนนท์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160