1011.5 มมุ มองของรปู เรขาคณิตสามมิติ รูปเรขาคณิตที่พบเห็นในชีวิตประจําวันมีรูปรางและสิ่งที่มองเห็นจากการเปลี่ยนมุมมองแตละดานแตกตางกนั เชน รูปเรขาคณิต1.6 รูปเรขาคณิตสามมติ ิท่เี กิดจากการหมุนรูปเรขาคณติ สองมิติ 1) รปู สามเหล่ียมหนาจ่ัว ABC มแี กน EF เปนแกนสมมาตร ถา นาํ รูปสามเหลีย่ มหนาจวั่ABC หมุนรอบแกนสมมาตร EF จะเหน็ เปน รูปเรขาคณิตสามมิติ “กรวยกลม” 2) แผน กระดาษแข็งรูปวงกลม เปนรูปเรขาคณิตสองมิติ ถาใชเ สนผานศูนยกลาง yy′เปนแกนหมุนรูปเรขาคณิตสามมิติที่เกิดจากการหมุนจะเหน็ เปน ลักษณะ “ทรงกลม”
1023) กระดาษรูปสีเ่ หลีย่ มผืนผา เปน รูปเรขาคณิตท่ีมีแกนสมมาตรสองแกน จะเหน็ เปน ทรงกระบอกจะเหน็ เปน ทรงกระบอก1.7 การเขยี นภาพของรูปเรขาคณติ สามมติ ิ การเขียนภาพของรูปเรขาคณิตสามมิติอยางงายอาจใชขั้นตอนดังในตัวอยางตอไปน้ี 1. การเขียนภาพของทรงกระบอกขน้ั ท่ี 1 เขยี นวงรแี ทนหนา ตดั ทเ่ี ปนวงกลม และเขยี นสว นของเสน ตรงสองเสน แสดงสว นสงู ของทรงกระบอก ดังรูปขนั้ ท่ี 2 เขยี นวงรีทีม่ ีขนาดเทา กับวงรที ใ่ี ชใ นขั้นที่ 1 แทนวงกลมซึ่งเปนฐานของทรงกระบอกและเขียนเสน ประแทนเสนทกึ ตรงสวนทีถ่ ูกบัง
1032. การเขียนภาพของปริซึมขน้ั ที่ 1 เขียนทรงกระบอกตามวิธีการขางตนขั้นท่ี 2 กําหนดจุดบนวงรีดานบนเพื่อใชเปนจุดยอดของรูปสี่เหลี่ยมที่เปนฐานของปริซึมตามตองการแลว ลากสว นของเสน ตรงเช่ือมตอ จุดเหลา น้ันขน้ั ท่ี 3 เขียนสวนสงู ของปริซมึ จากจุดยอดของรปู เหลี่ยมทไี่ ดใ นข้ันท่ี 2 มาตั้งฉากกับวงรีดานลางขั้นท่ี 4 เขียนสว นของเสนตรงเชื่อมจุดบนวงรที ่ไี ดในข้ันที่ 3 และลบรอยสวนโคง ของวงรี จะไดรูปหลายเหล่ยี มทเ่ี ปน ฐานของปรซิ ึม แลวเขยี นเสนประแทนดานที่ถูกบงั 3. การเขียนภาพของทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากขนั้ ที่ 1 เขียนรูปส่ีเหลีย่ มมุมฉาก 1 รปูขน้ั ท่ี 2 เขยี นรปู ส่ีเหล่ยี มมุมฉากขนาดเทากนั กับรปู ในข้ันที่ 1 อีก 1 รปู ใหอยใู นลักษณะท่ีขนานกนัและเหลอ่ื มกันประมาณ 30 องศา ดงั รปู
104ขน้ั ท่ี 3 ลากสว นของเสนตรงเชื่อมตอจุดใหไดทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากข้นั ท่ี 4 เขยี นเสนประแทนดา นท่ถี กู บังสาํ หรับการเขยี นภาพของกรวย ทรงกลม และพีระมดิ ก็สามารถเขียนไดโ ดยใชวธิ กี ารเดยี วกนักับขางตนซ่งึ มีขน้ั ตอนดงั นี้4. การเขียนภาพของกรวย 5. การเขียนภาพของทรงกลม6. การเขยี นภาพของพรี ะมดิ ฐานหกเหลีย่ ม นอกจากจะใชวิธีการดังกลาวขางตนในการเขียนภาพของรูปเรขาคณิตสามมิติแลว อาจใชกระดาษทีม่ จี ดุ เหมอื นกระดานตะปู (Geoboard) หรือกระดาษจดุ ไอโซเมตรกิ (Isometric dot paper)ชว ยในการเขียนภาพน้ัน ๆกระดาษทม่ี จี ดุ เหมอื นกระดานตะปู กระดาษจดุ ไอโซเมตรกิ
105 การเขยี นภาพของรปู เรขาคณิตสองมติ บิ นกระดาษท่มี จี ดุ เหมือนกระดานตะปู ดงั ตวั อยา ง นอกจากนี้ยังนิยมเขียนภาพของรูปเรขาคณิตสามมิติบนกระดาษจุดไอโซเมตริก ภาพของรูปเรขาคณิตสามมิติท่ีเขียนอยูในลกั ษณะน้ีเรยี กวา ภาพแบบไอโซเมตริก การเขียนภาพแบบไอโซเมตริกบนกระดาษจุดไอโซเมตริกจะเขียนสวนของเสนตรงที่เปนดานกวาง ดานยาว ตามแนวของจุดซึ่งเอียงทํามุมขนาด 30 องศา กบั แนวนอนและเขยี นสวนของเสน ตรงท่ีเปนสวนสูง ตามแนวของจดุ ในแนวต้ัง ดงั ตวั อยา ง
1061. กําหนดมุมสี่เหลยี่ มมุมฉากดงั รปู แบบฝกหดั ที่ 1 ก. ส่ีเหลยี่ ม ABCD เปนรูปสเ่ี หลย่ี มชนิดใด ข. BDˆE มีขนาดกี่องศา ค. สเี่ หลยี่ ม BDEG เกิดจากการใชระนาบตัดทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากตามแนวใด ง. สามเหลี่ยม BDE เกีย่ วขอ งกับ สเ่ี หลี่ยม BDEG อยางไร2. จงเขียนรูปคลี่ของทรงสามมิติตอไปนี้
1073. จงเขียนรูปทรงสามมิติจากมุมมองภาพดานบน ภาพดานหนา ภาพดานขางที่กําหนดให
108เรื่องท่ี 2 การแปลงทางเรขาคณิต เปนคาํ ศพั ททีใ่ ชเรียกการดาํ เนนิ การใด ๆ ทางเรขาคณิต ทั้งในสองมิติและสามมิติ เชน การเลอ่ื นขนาน การหมุน การสะทอน 2.1 การเลอ่ื นขนาน ( Translation ) การเลื่อนขนานตองมีรูปตนแบบ ทิศทางและระยะทางที่ตองการเลื่อนรูป การเลื่อนขนานเปนการแปลงที่จับคูจุดแตละจุดของรูปตนแบบกับจุดแตละจุดของรูปที่ไดจากการเลื่อนรูปตนแบบไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งดวยระยะทางทกี่ ําหนด จดุ แตล ะจุดบนรูปทไ่ี ดจากการเลอื่ นขนานจะหางจากจดุ ที่สมนยักนั บนรูปตนแบบเปนระยะทางเทากนั การเล่ือนในลักษณะนเี้ รยี กอีกอยางหน่ึงวา “สไลด (slide)”ดังตัวอยางในภาพที่ 1 และภาพท่ี 2 ภาพท่ี 1 ภาพท่ี 2
109 2.2 การหมนุ (Rotation) การหมุนจะตองมีรูปตนแบบ จุดหมุนและขนาดของมุมที่ตองการในรูปนั้น การหมุนเปนการแปลงทจี่ บั คูจุดแตล ะจดุ ของรูปตนแบบกับจุดแตละจดุ ของรปู ทไ่ี ดจ ากการหมนุ โดยท่ีจดุ แตล ะจดุ บนรปูตน แบบเคล่อื นท่ีรอบจดุ หมุนดว ยขนาดของมมุ ทก่ี าํ หนด จุดหมนุ จะเปน จุดทีอ่ ยูนอกรูปหรอื บนรูปก็ไดการหมุนจะหมุนทวนเข็มนาฬิกาหรือตามเข็มนาฬิกาก็ได โดยท่ัวไปเมื่อไมระบไุ วการหมนุ รูปจะเปนการหมุนทวนเข็มนาฬิกา บางครั้งถาการหมุนตามเข็มนาฬิกา อาจใชส ญั ลักษณ -x๐ หรอื ถาการหมุนทวนเข็มนาฬิกา อาจใชสญั ลักษณ x๐ C B จากรปู เปนการหมุนรูปสามเหลี่ยม ABC ใน ลกั ษณะทวนเขม็ นาฬกิ า โดยมจี ดุ O เปนจุดหมนุB ซ่ึงจุดหมนุ เปนจดุ ที่อยูนอกรูปสามเหลี่ยม ABC รปู A′B′C′ เปนรูปที่ไดจากการหมุน 90๐ และ/ จะไดว า ขนาดของมุม AOA′ เทากับ 90๐ BOB′ เทากบั 90๐ COC′ เทากับ 90๐ AC A/ O 2.3 การสะทอ น ( Reflection ) การสะทอนตองมีรูปตนแบบที่ตองการสะทอนและเสนสะทอน (Reflection line หรือMior line) การสะทอนรูปขามเสนสะทอนเสมือนกับการพลิกรูปขามเสนสะทอนหรือการดูเงาสะทอนบนกระจกเงาทีว่ างบนเสนสะทอน การสะทอนเปนการแปลงทีม่ ีการจับคูก ันระหวางจุด แตละจุดบนรูปตนแบบกบั จดุ แตละจดุ บนรปู สะทอ น โดยท่ี 1. รูปที่เกิดจากการสะทอนมีขนาดและรูปรางเชนเดิม หรอื กลา ววารปู ทเ่ี กดิ จากการสะทอ นเทากันทกุ ประการกบั รูปเดมิ 2. เสน สะทอนจะแบงคร่ึงและตั้งฉากกบั สว นของเสนตรงที่เชื่อมระหวา งจุดแตละจดุ บนรปูตน แบบกับจุดแตล ะจุดบนรูปสะทอนที่สมนยั กัน นน่ั คือระยะระหวา งจุดตนแบบและเสน สะทอ นเทา กบัระยะระหวางจุดสะทอนและเสนสะทอน
110ตัวอยา ง จากรูป รูปสามเหลี่ยม A′B′C′เปนรูปสะทอนของรูปสามเหลีย่ ม ABC ขามเสนสะทอน mรูปสามเหลี่ยม ABC เทากันทุกประการกับรูปสามเหลี่ยม A′B′C′ สวนของเสนตรง AA′ตั้งฉากกับเสนสะทอ น m ที่จดุ P และระยะจากจุด A ถึงเสน m เทากับระยะจากเสน m ถึงจดุ A′ ( AP = PA′ )
111 แบบฝกหัดที่ 21. ใหเขียนภาพที่เกิดจากการเลื่อนขนานจากรูปตนแบบและทิศทางที่กําหนดใหก. ข. A C B D CA B 2. ใหเ ขยี นภาพการเลอ่ื นขนานโดยกาํ หนดภาพตนแบบ ทิศทางและระยะทางของการเลื่อนขนานเอง ก. ข.
112 แบบฝกหดั (ตอ)ขอ 3 ภาพ พกิ ัดของตาํ แหนง ทก่ี ําหนดให C′( , ) Y A(- C(- XB(- 0 A/(2,- B/(1,- C Y A′( , ) D B′( , ) C′( , ) C A D/(- B X 0A/(- C/(0,- B/(-
113 แบบฝกหดั ที่ 3คาํ ช้แี จง จงพิจารณารูปท่กี าํ หนดใหแ ลว - เขียนรูปสะทอ น - เขียนเสน สะทอ น - บอกจุดพิกัดของจุดยอดของมุมของรูปสามเหลี่ยมที่เกิดขึ้นจากการสะทอน - บอกจุดพิกัดบางจดุ บนเสนสะทอ นท่ไี ด
114 แบบฝกหัดท่ี 4 1. Y B C ใหเติมรปู สามเหล่ียม A′B′C′ ที่ เกิดจากการหมุนสามเหลี่ยม ABC 0 X เพยี งอยา งเดยี ว โดยหมนุ ทวนเขม็ นาฬกิ า 90๐ และใชจดุ (0 , 0) เปน จดุ หมุน2. Y Y ใหเตมิ รูปส่เี หลย่ี ม O′X′Y′Z ท่เี กิด X จากการหมนุ สี่เหล่ียม OXYZ Z X เพยี งอยา งเดยี ว โดยหมนุ ทวนเขม็ นาฬิกา 270๐ และใชจดุ (0 , 0) เปน จุดหมนุ
1153. Y B ใหเติมสวนของเสน ตรง A′B′ ท่ี เกดิ จากการหมุนสว นของเสนตรง AB เพยี งอยา งเดยี ว โดยหมุนตาม X เข็มนาฬิกา 90๐ และใชจ ดุ (-2, -2) 0 เปนจุดหมนุ (-2,-2)4. Y 0 B ใหเตมิ รูปสามเหลี่ยม A′B′C′ ท่ี C เกิดจากการหมุนสามเหลี่ยม ABC(-4 , -2) X เพยี งอยา งเดยี ว โดยหมนุ ทวนเขม็ นาฬกิ า 90๐ และใชจดุ (-4 , -2) เปน จดุ หมนุ
116เรื่องที่ 3 การออกแบบเพ่ือการสรางสรรคงานศิลปะโดยใชการแปลงทางคณติ ศาสตรแ ละ ทางเรขาคณิต ในชวี ติ ประจําวัน การออกแบบวัสดุ ครุภณั ฑตา ง ๆ เชน ลายพิมพผา จะเกีย่ วขอ งกบั รูปแบบทางเรขาคณิต ตวั อยา งเชน 1. การใชรูปสเ่ี หลีย่ ม 2. การใชร ูปส่ีเหล่ียมกบั สามเหลย่ี ม 3. การใชส เ่ี หล่ียมกับวงกลม
1174. การใชร ูปสเี่ หล่ยี ม สามเหลี่ยม และหกเหลี่ยมตัวอยา ง กิจกรรมที่รวมคณิตศาสตรกับศิลปะไดอยางสวยงาม โดยใชการแปลงทางเรขคณิต เชน การหมนุ การสะทอ น หรือการเลอ่ื นขนาน
1184. การออกแบบโดยใชก ารแปลงทางเรขาคณิต การออกแบบผลิตภัณฑและบรรจุภัณฑของสินคามีความจําเปนตองใหมีรูปแบบที่สวยงาม มีความพอเหมาะกบั ผลติ ภัณฑ เพ่อื ความประหยดั และการใชประโยชนใหเกิดสูงสุดดังตัวอยา งตอไปนี้ตัวอยา งที่ 1 ลูกบอลขนาดเสนผานศูนยกลาง 14 เซนติเมตร จะบรรจใุ นกลอ งทรงสเ่ี หลยี่ มไดพ อดี เมื่อใชก ลอ งมีความจุเทาใดและใชวัสดทุ ํากลอ งทม่ี ีพน้ื ผิวเทาใดวธิ ที าํ ลูกบอลมีขนาดเสนผานศูนยกลาง 14 เซนตเิ มตร กลองทรงสเี่ หลีย่ มตอ งมีขนาด เปน กลอ งลูกบาศก ยาวดา นละ 14 เซนตเิ มตร ปริมาตรของกลองลูกบาศก = (ความยาวดา น)3 = 14x14x14 ลูกบาศกเซนตเิ มตร = 2,744 ลูกบาศกเซนตเิ มตรพ้นื ท่ผี ิวกลอ งทรงลูกบาศก = 6 x พ้ืนท่ีผวิ ของกลอ งหนงึ่ ดา น = 6 x (14 x 14) = 1,176 ตารางเซนติเมตรตัวอยา งที่ 2 กระดาษรปู สีเ่ หลยี่ มผนื ผา กวา ง 10 เซนติเมตร ยาว 14 เซนติเมตร ถา ตัดมมุ ท้งั ส่อี อก เปนรปูสีเ่ หล่ยี มจตั ุรสั ยาวดานละ 2 เซนติเมตร จากนั้นพบั ตามรอยตดั ใหเ ปน รูปทรงสเ่ี หลีย่ ม จงหาวารปู ทรงนจี้ ะมีความจุเทาไรวธิ ีทาํ
119ฐานของกลองพับไดกวาง 10 – 2 – 2 = 6 เซนตเิ มตรฐานของกลองมีความยาว 14 – 2 – 2 = 10 เซนตเิ มตรมีความสูงของกลอง 2 เซนตเิ มตรความจุของกลอง = ความยาวดา นกวาง x ความยาวดานยาว x สว นสูง = 6 x10 x 2 = 120 ลูกบาศกเซนติเมตร
120 บทที่ 7 สถติ เิ บอื้ งตนสาระสําคัญ 1. ขอมลู สถิติ หมายถึง ตัวเลขหรือขอความทแี่ ทนขอเท็จจริงของลักษณะทีเ่ ราสนใจ 2. ระเบียบวิธีการทางสถิติ จะประกอบไปดวย การเก็บรวบรวมขอมูล การนําเสนอขอมูล การ วิเคราะหและการตีความของขอมูล 3. การเก็บรวบรวมขอมูล หมายถึง กระบวนการกระทําเพื่อจะใหไดขอมูลที่ตองการศึกษาภายใต ขอบเขตที่กําหนด 4. การนําเสนอขอมูลที่เก็บรวบรวมมา จะมี 2 แบบ คือ การนําเสนออยางเปนแบบแผนและการ นําเสนออยางไมเปน แบบแผน 5. การวัดแนวโนมเขาสูส วนกลาง เปนการหาคากลางดวยวิธีตาง ๆ กัน เพือ่ ใชเปนตัวแทนของ ขอมูลทั้งชุด คากลางที่นิยมใชม ี 3 วธิ ี คา เฉล่ียเลขคณิต คา มธั ยฐานและคา ฐานนิยมผลการเรียนรทู ีค่ าดหวัง 1. อธิบายขัน้ ตอนการวิเคราะหขอมูลเบือ้ งตน และสามารถนําผลการวิเคราะหขอมูลเบื้องตนไปใช ในการตดั สนิ ใจได 2. เลือกใชคากลางที่เหมาะสมกับขอมูลที่กําหนดและวัตถุประสงคที่ตองการได 3. นําเสนอขอมูลในรูปแบบตางๆรวมทั้งการอานและตีความหมายจากการนําเสนอขอมูลไดขอบขา ยเนือ้ หา เรือ่ งที่ 1 การวิเคราะหขอมูลเบื้องตน เรอ่ื งท่ี 2 การหาคากลางของขอมูลโดยใชคาเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐานและฐานนิยม เรอื่ งที่ 3 การนําเสนอขอมูล
121เรอ่ื งที่ 1 การวเิ คราะหข อ มลู เบ้อื งตนความหมาย คําวา “สถิต”ิ เปน เร่อื งทมี่ คี วามสําคัญและจําเปนอยางยงิ่ ตอ การตัดสนิ ใจหรือวางแผน ซึง่ แตเดิมเขาใจวา สถิติ หมายถึง ขอมูลหรือขาวสารที่เปนประโยชนตอการบริหารงานของภาครัฐ เชน การจัดเก็บภาษี การสํารวจผลผลิต ขอมูลที่เกี่ยวของกับประชากร จึงมีรากศัพทมาจากคําวา “State” แตปจ จบุ ันสถิติ มีความหมายอยู 2 ประการ คือ 1. ตัวเลขทีแ่ ทนขอเท็จจริงทีม่ ีการแปรเปลีย่ นไปตามปริมาณสิง่ ของทีว่ ัดเปนคาออกมา เชนสถิติเกี่ยวกับจํานวนนักเรียนในโรงเรียน จํานวนนักเรียนทีม่ าและขาดการเรียนในรอบเดือน ปริมาณนาํ้ ฝนในรอบป จาํ นวนอุบตั เิ หตกุ ารเดินทางในชว งปใ หมแ ละสงกรานต เปน ตน 2. สถิติในความหมายของวิชาหรือศาสตรทีต่ รงกับภาษาอังกฤษวา “Statistics” หมายถึงกระบวนการจัดกระทําของขอมูลตัง้ แตการเก็บรวบรวมขอมูล การวิเคราะหขอมูล การนําเสนอขอมูลและการตีความหรือแปลความหมายขอมูล เปนตน การศึกษาวิชาสถิติจะชวยใหผูเ รียนมีความรูค วามเขาใจในระเบียบวิธีสถิติทีเ่ ปนประโยชนในชีวิตประจําวัน ตั้งแตการวางแผน การเลือกใช และการปฏิบัติในการดําเนินงานตาง ๆ รวมทั้งการแกปญหาในเรื่องตาง ๆ ทั้งในวงการศึกษาวิทยาศาสตร การเกษตร การแพทย การทหาร ธุรกิจตาง ๆเปนตน กิจการตาง ๆ ตองอาศัยขอมูลสถิติและระเบียบสถิติตาง ๆ มาชวยจัดการ ทัง้ นีเ้ นือ่ งจากการตัดสินใจหรือการวางแผน และการแกปญหาอยางมีหลักเกณฑจะทําใหโอกาสทีจ่ ะตัดสินใจเกิดความผดิ พลาดนอยทส่ี ดุ ได นอกจากนี้หลักวิชาทางสถิติยังสามารถนําไปประยุกตใชกับการจัดเก็บรวบรวมขอมูล เพื่อความจําเปนทีต่ องนําไปใชงานในดานตางๆ โดยเฉพาะอยางยิ่งทําใหทราบขอมูล และทําความเขาใจกับขาวสารและรายงานขอมูลทางวิชาการตาง ๆ ทีน่ ําเสนอในรูปแบบของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ กราฟซึง่ ผูอ านหากมีความรูความเขาใจในเรือ่ งของสถิติเบื้องตนแลว จะทําใหผูอ านสามารถรูแ ละเขาใจในขอมูลและขาวสารไดเปนอยางดี 1.1 ชนิดของขอ มูล อาจแบงไดเ ปน ดังน้ี 1. ขอ มลู เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative data) เปนขอมูลท่ีแสดงถึง คุณสมบตั ิ สภาพ สถานะหรือความคดิ เหน็ เชน ความสวย ระดับการศึกษา เพศ อาชีพ เปนตน 2. ขอมูลเชิงปริมาณ (Qualitative data ) เปนขอมูลที่เปนตัวเลข เชน ขอมูลทีเ่ กิดจากการชัง่ ตวง หรือ คาของขอมูลที่นําปริมาณมาเปรียบเทียบกันได เชน ความยาว น้าํ หนัก สวนสูง สถิติของคนงานแยกตามเงนิ เดอื น เปน ตน
122 นอกจากนี้ยังมีขอมูลซึ่งสามารถแยกตามกาลเวลาและสภาพภมู ิศาสตรอกี ดว ย แหลงที่มาของขอมูล โดยปกตขิ อ มลู ท่ไี ดมาจะมาจากแหลง ตาง ๆ อยู 2 ประเภท คอื - ขอมูลปฐมภมู ิ ( Primary data ) หมายถึง ขอมลู ท่รี วบรวมมาจากผใู หห รอื แหลงที่เปน ขอมูลโดยตรง เชน การสํารวจนบั จํานวนพนกั งานในบรษิ ทั แหง หน่งึ - ขอ มูลทตุ ยิ ภูมิ ( Secondary data ) หมายถึง ขอมูลที่รวบรวมหรือเก็บมาจากแหลงขอมูลที่มกี ารรวบรวมไวแ ลว เชน การคัดลอกจาํ นวนสนิ คาสงออกทีก่ ารทาเรือไดร วบรวมไว 1.2 การเกบ็ รวบรวมขอมลู การเก็บรวบรวมขอมูลในทางสถิติจะมีวิธีการเก็บรวบรวมขอมูลได 3 วธิ ี ตามลักษณะของการปฏิบัติ กลาวคอื 1) วิธีการเก็บขอมูลจากการสํารวจ การเก็บรวบรวมขอมูลวิธีนี้เปนที่ใชกันอยางแพรหลาย โดยสามารถทําไดตัง้ แตการสํามะโน การสอบถาม / สัมภาษณจากแหลงขอมูลโดยตรงรวมทั้งการเก็บรวบรวมขอมลู ท่เี กิดเหตจุ ริง ๆ เชน การเขาไปสํารวจผูมีงานทําในตําบล หมูบาน การแจงนับนักทอ งเทย่ี วทเ่ี ขามาในจังหวดั หรืออาํ เภอ การสอบถามขอมูลคนไขที่นอนอยูในโรงพยาบาลเปน ตน วิธกี ารสํารวจนีส้ ามารถกระทาํ ไดห ลายกรณี เชน 1.1 การสอบถาม วธิ ีทนี่ ยิ ม คอื การสง แบบสาํ รวจหรอื แบบขอคาํ ถามที่เหมาะสม เขาใจงายใหผ ูอ านตอบ ผูตอบมอี สิ ระในการตอบ แลวกรอกขอมูลสงคืน วิธีการสอบถามอาจใชส ือ่ ทางไปรษณีย ทางโทรศพั ท เปน ตน วิธีน้ปี ระหยัดคาใชจาย 1.2 การสมั ภาษณ เปน วธิ ีการรวบรวมขอมูลทไี่ ดค าํ ตอบทนั ที ครบถวนเชอ่ื ถอื ไดด ี แตอาจเสียเวลาและคาใชจายคอนขางสูง การสัมภาษณทําไดทั้งเปนรายบุคคลและเปนกลุม 2) วิธีการเก็บขอมูลจากการสังเกต เปนวิธีการรวบรวมขอมูลโดยการบันทึกสิ่งที่พบเห็นจริงในขณะนัน้ ขอมูลจะเชื่อถือไดมากนอยอยูท ีผ่ ูร วบรวมขอมูล สามารถกระทําไดเปนชวง ๆและเวลาท่ีตอ เน่อื งกันได วธิ นี ใ้ี ชควบคูไปกับวิธอี ื่นๆ ไดด ว ย 3) วิธีการเก็บขอมูลจากการทดลอง เปนการเก็บรวบรวมขอมูลที่มีการทดลองหรือปฏิบัติอยูจ ริงในขณะนัน้ ขอดีทีท่ ําใหเราทราบขอมูล ขัน้ ตอน เหตุการณทีต่ อเนื่องทีถ่ ูกตองเชือ่ ถือไดบางครัง้ ตองใชเวลาเก็บขอมูลทีน่ านมาก ทั้งนี้ตองอาศัยความชํานาญของผูท ดลอง หรือผูถ ูกทดลองดวยจึงจะทาํ ใหไดขอ มลู ทีม่ ีความคลาดเคล่อื นนอ ยทสี่ ุด อนึ่ง การเก็บรวบรวมขอมูล ถาเราเลือกมาจากจํานวนหรือรายการของขอมูลที่ตองการเก็บมาทั้งหมดทุกหนวยจะเรียกวา “ประชากร” ( Population ) แตถาเราเลือกมาเปนบางหนวยและเปน ตัวแทนของประชากรน้นั ๆ เราจะเรยี กวา กลมุ ตวั อยา งหรือ “ ตวั อยาง” ( Sample )
123 1.3 การวิเคราะหข อ มูล การวิเคราะหขอมูล เปนการแยกขอมูลสถิติทีไ่ ดมาเปนตัวเลขหรือขอความจากการรวบรวมขอมูลใหเปนระเบียบพรอมทีจ่ ะนําไปใชประโยชนตามความตองการ ทัง้ นีร้ วมถึงการคํานวณหรือหาคาสถติ ใิ นรูปแบบตา ง ๆ ดวย มวี กี ารดาํ เนนิ งานดงั น้ี 1.3.1 การแจกแจงความถี่ ( Frequency distribution ) เปนวิธีการจัดขอมูลของสถิติที่มีอยู หรือเก็บรวบรวมมาจัดเปนกลุมเปนพวก เพือ่ ความสะดวกในการทีน่ ํามาวิเคราะห เชน การวิเคราะหคาเฉลีย่คาความแปรปรวนของขอมูล เปนตน การแจกแจงความถีจ่ ะกระทําก็ตอเมือ่ มีความประสงคจะวิเคราะหขอมูลทีม่ ีจํานวนมาก ๆ หรือขอมูลที่ซ้าํ ๆ กัน เพือ่ ชวยในการประหยัดเวลา และใหการสรุปผลของขอมูลมีความรัดกุมสะดวกตอการนําไปใชและอางอิง รวมทัง้ การนําไปใชประโยชนในดานอืน่ ๆ ตอไปดว ย สวนคําวา “ตัวแปร” ( Variable ) ในทางสถิติ หมายถึง ลักษณะบางสิ่งบางอยางที่เราสนใจจะศึกษาโดยลักษณะเหลานัน้ สามารถเปลี่ยนคาได ไมวาสิ่งนั้นจะเปนขอมูลเชิงปริมาณหรือคุณภาพ เชนอายุของนักศึกษาการศึกษาทางไกลทีว่ ัดออกมาเปนตัวเลขทีแ่ ตกตางกัน หากเปนเพศมีทัง้ เพศชายและหญิง เปนตน การแจกแจงความถี่แบงออกเปน 4 แบบคือ 1. การแจกแจงความถี่ทั่วไป 2. การแจกแจงความถี่สะสม 3. การแจกแจงความถี่สัมพัทธ 4. การแจกแจงความถี่สะสมสัมพัทธ1. การแจกแจงความถท่ี ั่วไป จัดแบบเปนตารางได 2 ลกั ษณะ 1) ตารางการแจกแจงความถีแ่ บบไมจัดเปนกลุม เปนการนําขอมูลมาเรียงลําดับจากนอยไปหามาก หรือมากไปหานอย แลวดูวาขอมูลในแตละตัวมีตัวซ้าํ อยูกี่จํานวน วิธีนีข้ อมูลแตละหนวย / ชั้นจะเทากันโดยตลอด และเหมาะกับการแจกแจงขอมูลที่ไมมากนักตวั อยางที่ 1 คะแนนการสอบวิชาคณิตศาสตรของนักศึกษา 25 คน คะแนนเตม็ 15 คะแนน มดี งั น้ี 12 9 10 14 6 13 11 7 9 10 7 5 8 6 11 4 10 2 12 8 10 15 9 4 7
124เมื่อนําขอมูลมานบั ซ้ํา โดยทําเปนตารางมรี อยขดี เปนความถี่ ไดด ังน้ีคะแนน รอยขดี ความถี่ 1 - 0 2 / 1 3 - 0 4 // 2 5 / 1 6 // 2 7 /// 3 8 // 2 9 /// 3 10 //// 4 11 // 2 12 // 2 13 / 1 14 / 1 15 / 1 รวม 25 หรืออาจนําเสนอเปนตารางเฉพาะคะแนนและความถี่ไดอกี ดงั นี้ รวมคะแนน ( x ) 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 25ความถี่ ( f ) 0 1 0 2 1 2 3 2 3 4 2 2 1 1 1 2) การแจกแจงความถ่ีแบบจัดเปนกลุม การแจกแจงความถ่ีแบบจัดเปนกลุมน้ีเรียกวาจัดเปนอันตรภาคชน้ั เปนการนําขอมูลมาจัดลําดับจากมากไปหานอย หรือนอยไปหามากเชนกัน โดยขอมูลแตละชั้นจะมีชวงชั้นที่เทากัน การแจกแจงแบบนี้เหมาะสําหรับจัดกระทํากับขอมูลที่มีจํานวนมากตัวอยางที่ 2 อายุของประชากรในหมูบานหนึ่งจํานวน 45 คน เปน ดงั น้ี 41 53 61 42 15 39 65 40 64 22 71 62 50 81 43 60 16 63 31 52 47 48 90 73 83 78 56 50 80 45 37 51 49 55 78 60 90 31 44 22 54 36 22 66 46
125เมื่อนําขอมูลมาทําเปนตารางแจกแจงความถี่แบบจัดเปนกลุม ไดดังนี้ 1. การแจกแจงความถี่ที่เปนอันตรภาคชนั้ มีคําเรียกความหมายของคําตาง ๆ ดังตอ ไปนี้ 1.1 อันตรภาคชั้น ( Class interval ) หมายถึง ขอมูลที่แบงออกเปนชวง ๆ เชน อันตรภาคชน้ั 11-20 , 21 -30 ,61–70 ,81-90 เปนตน 1.2. ขนาดของอันตรภาคชั้น หมายถึง ความกวาง 1 ชวงของขอมูลในแตละชัน้ จาก 11-20หรอื 61-70 จะมีคาเทากับ 10 1.3 จํานวนของอันตรภาคชัน้ หมายถึง จํานวนชวงชั้นทั้งหมดที่ไดแจกแจงไวในทีน่ ี้ มี 10ช้ัน 1.4 ความถี่ ( Frequency ) หมายถึง รอยขีดทีซ่ ้าํ กัน หรือจํานวนขอมูลทีซ่ ้าํ กันในอันตรภาคช้ันนัน้ ๆ เชน อนั ตรภาคชัน้ 41-50 มีความถี่เทากับ 11 หรือมีผูท ี่มอี ายใุ นชว ง 41-50 มอี ยู 11 คน 1.4 การแจกแจงความถสี่ ะสม ความถี่สะสม ( Commulative frequency ) หมายถึง ความถสี่ ะสมของอันตรภาคใด ท่เี กดิจากผลรวมของความถี่ของอันตรภาคนั้น ๆ กับความถี่ของอันตรภาคชั้นที่มีชวงคะแนนต่ํากวาทั้งหมด (หรือสูงกวาทั้งหมด )ตวั อยางที่ 3 ขอมูลสวนสูง (เซนติเมตร) ของพนักงานคนงานโรงงานแหงหนึ่ง จํานวน 40 คนมดี งั น้ี 142 145 160 174 146 154 152 157 185 158 164 148 154 166 154 175 144 138 174 168 152 160 141 148 152 145 148 154 178 156 166 164 130 158 162 159 180 136 135 172
126เม่อื นํามาแจกแจงความถไ่ี ดด ังน้ีหมายเหตุ ความถี่สะสมของอันตรภาคชั้นสุดทายจะเทากับผลรวมของความถี่ทั้งหมด ความหมายของคําที่เรยี กเพ่มิ เตมิ ท่คี วรรูส กึ ไดแ ก ขีดจํากดั ชัน้ และจุดกึง่ กลางชน้ั ดังความหมายและตัวอยางทจี่ ะกลาวถงึ ตอ ไป 1.5 การแจกแจงความถีส่ ัมพัทธ ความถ่สี ัมพัทธ ( Relative frequency ) หมายถงึ อตั ราสว นระหวา งความถี่ของอันตรภาคช้ันนั้นกบั ผลรวมของความถ่ีท้ังหมด ซึง่ สามารถแสดงในรูปจดุ ทศนิยม หรือรอยละก็ไดตวั อยางที่ 4 การแจกแจงความถี่สัมพัทธของสวนสูงนักศกึ ษาหมายเหตุ ผลรวมของความถี่สัมพัทธตองเทากับ 1 และคารอยละความถี่สัมพัทธตองเทากับ 100 ดว ย
127 1.6 การแจกแจงความถ่ีสะสมสัมพทั ธ ความถ่สี ะสมสมั พัทธ ( Relative commulative frequency ) ของอันตรภาคใด คืออัตราสวนระหวางความถี่สะสมของอันตรภาคชั้นนั้นกับผลรวมของความถี่ทั้งหมดตวั อยางที่ 5 การแจกแจงความถี่สะสมสัมพัทธของสวนสูงนักศึกษา 1.7 ขีดจํากัดชั้น ( Class limit ) หมายถึง ตวั เลขทีป่ รากฏอยใู นอนั ตรภาคชัน้ แบงเปน ขดี จาํ กดั บน และขดี จํากัดลา ง( ดูตารางในตัวอยา งท่ี 5 ประกอบ) 1.1 ขีดจํากัดบนหรือขอบบน ( Upper boundary ) คือ คากึง่ กลางระหวางคะแนนทีม่ ากทีส่ ุดในอันตรภาคชัน้ นัน้ กับคะแนนนอยทีส่ ุดของอันตรภาคชัน้ ทีต่ ิดกันในชวงคะแนนที่สูงกวา เชนอนั ตรภาคชนั้ 140 -149 ขอบบน = 149 +150 = 149.5 2 นน่ั คือ ขดี จาํ กดั บนของอันตรภาคขั้น 140 – 149 คอื 149.5 1.2 ขีดจํากัดลางหรือขอบลาง ( Lower boundary ) คือ คากึ่งกลางระหวางคะแนนที่นอยที่สุดในอันตรภาคชัน้ นัน้ กับคะแนนที่มากทีส่ ุดของอันตรภาคชั้นทีอ่ ยูติดกันในชวงคะแนนทีต่ ่าํกวา เชน ตวั อยา งอนั ตรภาคช้นั 140 – 149 ขอบลาง = 140 + 139 = 139.5 2 น่นั คอื ขดี จาํ กัดลา งของอันตรภาคขน้ั 140 – 149 คอื 139.5
128ตวั อยางท่ี 6 การแจกแจงความถี่ของสวนสูงนักศึกษาความสูง (ซม.) ความถี่ ความถี่สะสม ขดี จํากัดลาง ขดี จํากัดบน จุดกึ่งกลางชน้ั180 – 189 2 40 179.5 189.5 184.5 38 169.5 149.5 174.5170 – 179 5 33 159.5 169.5 * 164.5 159.5 ** 154.5160 – 169 8 25 149.5 149.5 * 144.5 139.5 134.5150 – 159 12 13 139.5140 – 149 9 4 129.5130 – 139 4รวม 40 1.8 จดุ ก่งึ กลางชนั้ ( Mid point ) เปนคาหรือคะแนนทีอ่ ยูระหวา งกลางของอันตรภาคช้ันน้ัน ๆ เชน อันตรภาคชัน้ 150 -159จดุ กึ่งกลางของอนั ตรภาคชัน้ ดังกลาว 150 +159 = 154.5 เปน ตน 2 นอกจากนี้ยังสามารถแสดงการแจกแจงความถี่ของขอมูลโดยใชฮสิ โทแกรม (Histogram )รูปหลายเหลี่ยมของความถี่ (Frequency polygon ) เสนโคงของความถี่ (Frequency curve )
129 แบบฝกหัดที่ 11. จงเขียนขอมูลสถิติที่เกี่ยวของกับบุคคลในครอบครัว เชน เพศ อายุ สถานภาพ อาชีพ2. จงยกตัวอยางขอมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณมาอยางละ 5 ชนดิ3. จงพจิ ารณาวาขอมลู ตอไปนีเ้ ปนขอมูลเชงิ คณุ ภาพ หรือขอ มูลเชิงปริมาณ- พนักงานในรงงานแหงหนึ่งถูกสอบถามถึงสุขภาพรางกายในขณะปฏิบัติงาน คุณภาพ ปริมาณเพราะวา ................................................................................................................- นกั ศึกษาจํานวนหน่ึงทีถ่ กู สอบถามถึงคาใชจายในการไปพบกลุมที่หองสมุด คุณภาพ ปริมาณเพราะวา ................................................................................................................4. ขอ มูลปฐมภูมิตางจากขอ มลู ทุตยิ ภมู ิอยางไร จงอธบิ ายและยกตวั อยา ง5. ขอ มูลตอไปน้ีควรใชว ธิ ใี ดในการรวบรวม (ตอบไดหลายคําตอบ)5.1 การใชเวลาวางของนักศึกษา5.2 รายไดของคนงานในสถานประกอบการ5.3 นาํ้ หนักของเด็กอายุ 3-6 ป ในหมูบา น5.4 ผลของการใชสื่อการเรียนการสอน 2 ชนิดทแ่ี ตกตา ง5.5 การระบาดของโรคที่เปนอันตรายตอมนุษย6. จงบอกขอดีขอเสียของการเก็บรวบรวมขอมูลโดยวิธีการสัมภาษณ7. ขอมูลการสํารวจอายุ ( ป ) ของคนงานจาํ นวน 50 คนในโรงงานอตุ สาหกรรมแหง หนง่ึ เปน ดงั น้ี27 35 21 49 24 29 22 37 32 4933 28 30 24 26 45 38 22 40 4620 31 18 27 25 42 21 30 25 2726 50 31 19 53 22 28 36 24 2321 29 37 32 38 31 36 28 27 41กําหนดความกวางของอันตรภาคชั้นเปน 81. จงสรางตารางแจกแจงความถี่2. จงหาขีดจํากดั ชั้นท่แี ทจ รงิ และจดุ กง่ึ กลางชัน้3. จงหาความถ่ีสะสม ความถ่ีสมั พัทธ และความถส่ี ะสมสัมพทั ธ4. จงหาพิสัยของขอมูลชุดนี้5. จงหาจํานวนคนงานทมี่ ีอายุตาํ่ กวา 45 ป
130เรอื่ งท่ี 2 การหาคากลางของขอมูล โดยใชค า เฉล่ียเลขคณิต มธั ยฐาน และฐานนยิ ม การหาคากลางของขอมูลที่เปนตัวแทนของขอมูลทัง้ หมดเพื่อความสะดวกในการสรุปเรื่องราวเกีย่ วกับขอมูลนั้นๆ จะชวยทําใหเกิดการวิเคราะหขอมูลถูกตองดีขึน้ การหาคากลางของขอมูลมีวิธีหาหลายวิธี แตละวิธีมีขอดีและขอเสีย และมีความเหมาะสมในการนําไปใชไมเหมือนกัน ขึ้นอยูก ับลักษณะขอมูลและวัตถุประสงคของผูใชขอ มลู น้นั ๆ คากลางของขอมูลทส่ี ําคัญ มี 3 ชนดิ คือ 1. คาเฉล่ียเลขคณติ (Arithmetic mean) 2. มัธยฐาน (Median) 3. ฐานนยิ ม (Mode) การหาคากลางของขอมลู ทําไดท้งั ขอมูลท่ไี มไดแจกแจงความถี่และขอมูลที่แจกแจงความถี่ 2.1. คาเฉลย่ี เลขคณิต (Arithmetic mean) คาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลไดจากการหารผลบวกของขอมูลทั้งหมดดวยจํานวนขอมูล แทนดว ยสัญลกั ษณ xการหาคาเฉล่ียเลขคณติ ของขอมลู ที่ไมแ จกแจงความถี่ ให x1 , x2 , x3 , …, xn เปน ขอมูล N คา หรอื x = ∑ x nตวั อยาง จากการสอบถามอายุของนกั เรยี นกลุมหนึง่ เปน ดงั นี้ 14 , 16 , 14 , 17 , 16 , 14 , 18 , 17 1) จงหาคาเฉลี่ยเลขคณิตของอายุนักเรียนกลุมนี้ 2) เมอ่ื 3 ปท่ีแลว คาเฉลย่ี เลขคณติ ของอายนุ ักเรียนกลมุ นเ้ี ปนเทา ใด1) วธิ ีทํา คา เฉลย่ี เลขคณิตของนักเรียนกลุมน้ี คอื 15.75 ป
1312) วิธีทาํ เมอ่ื 3 ปท แ่ี ลว 11 13 11 14 13 11 15 14 อายปุ จจบุ ัน 14 16 14 17 16 14 18 17 เมอ่ื 3 ปท แ่ี ลว คาเฉลีย่ เลขคณติ ของอายุของนกั เรยี นกลมุ น้ี คือ 12.75 ป การหาคา เฉล่ยี เลขคณติ ของขอ มลู ที่แจกแจงความถ่ี ถา f1 , f2 , f3 , … , fk เปนความถี่ของคาจากการสังเกต x1 , x2 , x3 ,…. , xkตวั อยาง จากตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบของนักเรียน 40 คน ดงั น้ี จงหาคาเฉลี่ยเลขคณิตคะแนน จาํ นวนนกั เรยี น (f) x fx11 – 20 7 15.5 108.521 – 30 6 25.5 153 8 35.5 28431 – 40 15 45.5 682.541 – 5051 - 60 4 55.5 222 ∑ f = N = 40 ∑ fx = 1450
132วิธีทาํ x = ∑ fx ∑x = 1450 40 = 36.25คา เฉล่ียเลขคณติ = 36.25สมบตั ิทีส่ าํ คญั ของคาเฉลี่ยเลขคณิต1. =2. = 0∑3.N มคี านอ ยทสี่ ุด เม่อื M = x หรอื N N −M )2 ( x i −M ) 2 ∑( x i −x ) 2 ≤ ∑( x ii=1 i=1 i=1เม่ือ M เปน จาํ นวนจรงิ ใดๆ4. x min 〈 x 〈 x min5. ถา yi = axi + b , I = 1, 2, 3, ……., N เมอื่ a , b เปนคาคงตัวใดๆแลว y =ax +bคาเฉล่ยี เลขคณติ รวม (Combined Mean) ถา เปน คา เฉล่ยี เลขคณิตของขอ มลู ชดุ ที่ 1 , 2 , … , k ตามลําดับ ถา N1 , N2 , … , Nk เปนจํานวนคาจากการสังเกตในขอมูลชุดที่ 1 , 2 ,… , k ตามลําดับ =
133ตัวอยาง ในการสอบวิชาสถิติของนักเรียนโรงเรียนปราณีวิทยา ปรากฏวานักเรียนชั้น ม.6/1 จํานวน 40คน ไดคาเฉลีย่ เลขคณิตของคะแนนสอบเทากับ 70 คะแนน นักเรียนชั้น ม.6/2 จํานวน 35 คน ไดคาเฉลีย่ เลขคณิตของคะแนนสอบเทากับ 68 คะแนน นักเรียนชัน้ ม.6/3 จํานวน 38 คน ไดคาเฉลีย่ เลขคณิตของคะแนนสอบเทากับ 72 คะแนน จงหาคาเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบของนักเรียนทัง้ 3 หองรวมกนั วิธีทํา x รวม = ∑ N x ∑N = ( 40 )( 70 ) + ( 35 ) + ( 68 ) + ( 38 )( 72 ) 40 + 35 + +38 = 70.05 2.2. มธั ยฐาน (Median) มัธยฐาน คือ คาทีม่ ตี ําแหนงอยูกงึ่ กลางของขอมลู ทง้ั หมด เมอื่ ไดเรียงขอ มูลตามลาํ ดบั ไมว า จากนอยไปมาก หรือจากมากไปนอย แทนดว ยสญั ลกั ษณ Mdการหามธั ยฐานของขอ มูลท่ีไมไดแจกแจงความถี่ หลักการคิด 1) เรยี งขอมูลท่ีมีอยูท้งั หมดจากนอยไปมาก หรือมากไปนอยกไ็ ด 2) ตาํ แหนง มธั ยฐาน คือ ตาํ แหนงก่งึ กลางขอ มลู ทั้งหมด ดงั นน้ั ตาํ แหนง ของมธั ยฐาน = N +1 2 เมอ่ื N คือ จํานวนขอมูลท้ังหมด3) มัธยฐาน คอื คาท่มี ีตาํ แหนง อยกู ง่ึ กลางของขอ มูลทัง้ หมดตัวอยาง กาํ หนดใหคาจากการสังเกตในขอมลู ชุดหนึง่ มีดังนี้5, 9, 16, 15, 2, 6, 1, 4, 3, 4, 12, 20, 14, 10, 9, 8, 6, 4, 5, 13 จงหามัธยฐานวิธีทํา เรยี งลาํ ดับขอมูล 1 , 2 , 3 , 4 , 4 , 4 , 5 , 5 , 6 , 6 , 8 , 9 , 9 , 10 , 12 , 13 , 14 , 15 , 16 , 20ตําแหนงมัธยฐาน = N +1 2 = 20 + 1 2 = 10.5คา มัธยฐานอยูร ะหวา งตําแหนงที่ 10 และ 11
134 คาของขอมูลตําแหนงที่ 10 คอื 6 และตาํ แหนง ท่ี 11 คอื 8 ดงั นน้ั คา มธั ยฐาน = 6 + 8 = 7 2การหามธั ยฐานของขอ มูลทีจ่ ดั เปน อันตรภาคช้ัน ขน้ั ตอนในการหามัธยฐานมีดังนี้ (1) สรางตารางความถี่สะสม (2) หาตาํ แหนง ของมธั ยฐาน คอื N เมอ่ื N เปนจํานวนของขอมูลทั้งหมด 2 (3) ถา N เทากับความถี่สะสมของอันตรภาคชั้นใด อันตรภาคชั้นนั้นเปนชั้น มัธยฐาน และ 2มีมัธยฐานเทากับขอบบน ของอันตรภาคช้ันน้ัน ถา N ไมเทาความถี่สะสมของอันตรภาคชั้นใดเลย 2อันตรภาคชั้นแรกที่มีความถี่สะสมมากกวา N เปนชั้นของมัธยฐาน และหามัธยฐานไดจากการเทียบ 2บญั ญัตไิ ตรยางค หรือใชส ตู รดังนี้ จากขอมูลทั้งหมด N จาํ นวน ตาํ แหนงของมธั ยฐานอยทู ่ี N 2 N −∑ f l 2 Md = Lo +i fm เม่ือ Lo คอื ขดี จํากดั ลางของอันตรภาคชั้นทมี่ ีมธั ยฐานอยู ∑ f l คือ ความถีส่ ะสมกอนถึงชน้ั ทีม่ มี ธั ยฐานอยขู องคะแนนต่ํากวา ท่ีอยูชน้ั ติดกัน fm คอื ความถี่ของช้นั ท่มี ีมัธยฐานอยู i คือ ความกวางของอันตรภาคชั้นที่มีมัธยฐานอยู N คือ จาํ นวนขอมูลทง้ั หมด
135 2.3 ฐานนยิ ม (Mode)การหาฐานนยิ มของขอมูลท่ีไมแ จกแจงความถ่ี ใชสัญลักษณ Mo คือคาของขอมูลทีม่ ีความถีส่ ูงสุด หรือคาทีม่ ีจํานวนซ้ํา ๆ กันมากทีส่ ุดแทนดวยสญั ลักษณ Mo หลกั การคดิ - ใหดูวาขอมูลใดในขอมูลทีม่ ีอยูท ัง้ หมด มีการซ้าํ กันมากที่สุด (ความถี่สูงสุด) ขอมูลนั้นเปน ฐานนิยมของขอมูลชุดนั้นหมายเหตุ - ฐานนยิ มอาจจะไมมี หรอื มีมากกวา 1 คา ก็ได
136สง่ิ ท่ีตอ งรู 1. ถาขอมูลแตละคาที่แตกตางกัน มีความถี่เทากันหมด เชน ขอมูลที่ประกอบดวย 2 , 7 , 9 ,11 , 13 จะพบวา แตละคา ของขอ มลู ท่แี ตกตางกนั จะมีความถเี่ ทากับ 1 เหมือนกันหมด ในท่ีน้แี สดงวาไมนิยมคาของขอมูลตัวใดตัวหนึ่งเปนพิเศษ ดังนนั้ เราถือวา ขอ มูลในลักษณะดังกลาวนี้ ไมมฐี านนยิ ม 2. ถาขอมูลแตล ะคา ที่แตกตางกัน มคี วามถ่สี งู สุดเทากัน 2 คา เชน ขอมลู ที่ประกอบดว ย2, 4, 4, 7, 7, 9, 8, 5 จะพบวา 4 และ 7 เปน ขอมลู ทม่ี คี วามถส่ี งู สดุ เทา กับ 2 เทากัน ในลักษณะเชน นี้ เราถือวา ขอมลู ดงั กลาวมีฐานนยิ ม 2 คา คอื 4 และ 7 3. จากขอ 1, 2, และตัวอยาง แสดงวา ฐานนิยมของขอมูล อาจจะมีหรือไมมกี ็ไดถ า มอี าจจะมีมากกวา 1 คาก็ไดการหาฐานนิยมของขอ มลู ที่มีการแจกแจงความถี่ กรณีขอ มลู ทม่ี ีการแจกแจงความถ่แี ลว การหาฐานนิยมจากขอมูลที่แจกแจงความถี่แลว อาจนําคาของจุดกึ่งกลางอันตรภาคชัน้ ของขอมูลที่มีความถี่มากที่สุดมาหาจุดกึ่งกลางชั้นที่หาคาได จะเปนฐานนิยมทันที แตคาที่ไดจะเปนคาโดยประมาณเทา นนั้ หากใหไ ดขอ มูลที่เปนจรงิ มากทีส่ ดุ ตอ งใชว ธิ กี ารคํานวณจากสตู ร Mo = Lo + d1 i + d2 d1 เม่อื Mo = ฐานนยิ มLo = ขดี จาํ กัดลางจริงของคะแนนที่มีฐานนิยมอยู d1 = ผลตางของความถี่ระหวางอัตรภาคชัน้ ที่มีความถี่สูงสุดกับความถี่ของชั้นทีม่ ีคะแนนต่าํ กวาที่อยูติดกนั d2 = ผลตางของความถีร่ ะหวางอัตรภาคชัน้ ทีม่ ีความถีส่ ูงสุดกับความถี่ของชั้นทีม่ ีคะแนนสูงกวาที่อยูต ดิ กนัi = ความกวางของอันตรภาคชั้นที่มีฐานนิยมอยู
137ตวั อยาง จากตารางคะแนนสอบวิชาวิทยาศาสตรของนักศึกษา 120 คน จงหาคาฐานนิยมจากสตู ร Mo = Lo + d1 i + d2 d1 Lo = 69.5 , d1 = 45 – 22 = 23 , d2 = 45 – 30 = 15 และ i = 79.5 – 69.5 = 10 จะได Mo = 69.5 + 10 23 = 75.55 23 + 15 ฐานนิยมของคะแนนสอบวิชาวิทยาศาสตร มีคาเปน 75.55ความสัมพันธร ะหวา งคาเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนยิ มนักสถิติพยายามหาความสัมพันธระหวา งคากลางทั้งสามฐานนยิ ม = ตัวกลางเลขคณิต – 3 (ตัวกลางเลขคณิต – มัธยฐาน ) หรอื Mo = (x − 3 x − Md ) ถาแสดงดวยเสนโคงความสัมพันธระหวางการแจกแจงความถี่คากลาง และการกระจายของขอ มลู ไดด ังน้ีขอมูลมีการแจกแจงเปนโคงปกติ ขอ มลู มีการแจกแจงเบข วา ขอ มลู มีการแจกแจงเบซาย
138 แบบฝก หัดที่ 21. จงหาคา เฉล่ียเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยมของน้ําหนักเดก็ 20 คน ซง่ึ มีนาํ้ หนักเปน กิโลกรัมดงั นี้ 32 60 54 48 60 52 46 35 60 38 44 48 49 54 47 48 44 48 60 322. รายไดพ เิ ศษตอเดือนของพนกั งานในโรงงานแหง หนง่ึ เปน ดงั น้ีรายได (บาท) ความถี่ (f)140 – 144 1145 – 149 2150 – 154 34155 – 159 25160 – 164 10165 - 169 5170 – 174 3จงหาคาเฉลยี่ เลขคณติ มธั ยฐาน ฐานนิยม
139เรอื่ งท่ี 3 การนําเสนอขอมลู สถติ ิ การนําเสนอขอมูลสถิติสามารถกระทําได 2 ลกั ษณะใหญ ๆ ดงั น้ี 3.1. การนําเสนออยางไมเปนแบบแผน ( Informal presentation ) เปนการนําเสนอขอมูลที่ไมจาํ เปนตองมกี ฎเกณฑอ ะไรมากนัก มกี ารนําเสนอในลักษณะนี้อยู 2 วิธี คือ การนําเสนอในรูปขอความหรือบทความและการนําเสนอในรูปขอความกึ่งตาราง ดังตัวอยาง ตัวอยาง การนําเสนอในรูปขอความ / บทความ จากการสํารวจการใชโทรศัพทผานดาวเทียมไทยคมทั่วประเทศในป 2546 พบวา มีอยูต ามหองสมุดประชาชนจํานวน 960 แหง มีอยูตามบานผูเ รียนจํานวน 540 แหง และมีอยูท ีศ่ ูนยการเรียนชุมชนอีก1,500 แหง รวมทั้งสิ้นมีโทรศัพทผานดาวเทียมท้ังหมด 3,020 แหงตวั อยาง การนําเสนอในรูปขอความกึ่งตารางจากการสํารวจสํามะโนประชากรที่วางงานตลอดทั่วประเทศในป 2543 ปรากฏวามีผูวางงานดังนี้ภาคกลาง 65,364 คนภาคเหนือ 32,413 คนภาคใต 23,537 คนภาคตะวนั ออก 12,547 คนภาคตะวนั ตก 9,064 คนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 132,541 คนรวมทั้งส้ิน 275,466 คน 3.2. การนําเสนออยางเปนแบบแผน ( Formal presentation ) เปนการนําเสนอขอมูลที่มีกฎเกณฑและตองปฏิบัติตามมาตรฐานทีก่ ําหนดไวเปนแบบแผน การนําเสนอวิธีการนีเ้ ปนลักษณะตาราง แผนภูมิ แผนภาพ และกราฟตา ง ๆ 3.2.1 การนําเสนอโดยใชตาราง เปนการนําขอมูลมาจัดเรียงใหอยูใ นรูปของแถวหรือหลัก ตามลักษณะที่สัมพันธกัน อยูในตําแหนงทีเ่ กีย่ วของกัน ทําใหสะดวกในการเปรียบเทียบ รวบรัดตอการนําเสนอ องคประกอบทัว่ ไปของตารางจะมีดังนี้
140 องคประกอบตารางสถิติ ตารางสถิติโดยทั่วไปประกอบดวย 1. หมายเลขตาราง (table number) ชื่อเรอื่ ง (title) หมายเหตุคํานาํ (prefatory note) หวั ขว้ั หวั สดมภ (Stub head) (Column head) ตัวขั้ว ตวั เรื่อง (stub entries) (body)หมายเหตุลาง (footnote)หมายเหตุแหลงที่มา ( source note) 1. หมายเลขตาราง เปน ตวั เลขทแ่ี สดงลาํ ดบั ทข่ี องตาราง ใชในกรณีท่ีมีตารางมากกวาหน่ึงตารางท่ีตองนาํ เสนอ 2. ชอื่ เร่ือง เปนขอความท่ีอยตู อจากหมายเลขตาราง ชอื่ เรอ่ื งท่ใี ช แสดงวา เปนเรื่องเกี่ยวกบั อะไร ทไ่ี หนเม่อื ไร 3. หมายเหตุคํานํา เปนขอความทีอ่ ยูใตชือ่ เรือ่ ง เปนสวนทีช่ วยใหรายละเอียดในตารางมีความชัดเจนยงิ่ ข้ึน 4. ตนขั้ว ประกอบดวย หวั ข้ัว และตนขั้ว ซง่ึ หัวขั้วจะอธิบายเก่ียวกับ ตัวขั้ว สวนตัวข้ัว จะแสดงขอมูลทอ่ี ยใู นแนวนอน 5. หัวเร่ือง ประกอบดว ย หัวสดมภ และตัวเรื่อง ซึ่งหัวสดมภใชอธิบายขอมูลแตละสดมภ ตามแนวต้ังตวั เรอ่ื ง ประกอบดวย ขอ มลู ทเ่ี ปนตัวเลขโดยสว นใหญ 6. หมายเหตแุ หลงที่มา บอกใหท ราบวา ขอมลู ในตารางมาจากท่ใี ด ชว ยใหผูอา นไดคน ควา เพมิ่ เตมิตัวอยาง ตารางแสดงจํานวนประชากรของประเทศไทยปตาง ๆ จําแนกตามเพศ ( สํานักงานสถิติแหงชาติ ) พ.ศ. จาํ นวนประชากร ชาย หญงิ รวม 2480 7,313,584 1,150,521 14,464,105 2490 8,722,155 8,720,534 17,442,689 2503 13,154,149 13,103,767 26,257,916 2513 17,123,862 17,273,512 34,397,374 2523 22,008,063 22,170,074 44,278,137
141 3.2.2 แผนภูมิรูปภาพ ( Pictogram) เปนแผนภูมิทีใ่ ชรูปภาพแทนตัวเลขของขอมูล เชนรูปภาพคน 1 คน แทนจาํ นวนคน 100 คน ถามีคน 550 คน จะมีรูปภาพคน 5 รูป และภาพคนทีไ่ มสมบูรณอีกครึง่รูปการนําเสนอขอมูลในรูปภาพทําใหดึงดูดความสนใจมากขึ้นตัวอยาง ตอ ไปน้ีเปนตวั อยา งแผนภมู ิรปู ภาพ ซ่งึ แสดงปรมิ าณทไี่ ทยสงสินคา ออกไปขายยังประเทศบรูไนระหวางป 2526-2531 = 100 ลานบาท 2526 250 2527 234 2528 360 2529 360 2530 450 2531 550 ทมี่ า : กรมศลุ กากร จากขอมูลขางตน แสดงวาในป 2526 ไทยสงสินคาไปขายยังประเทศบรูไน 250 ลานบาท ในป2531 สงสินคาไปขาย 550 ลานบาท เปน ตน 3.2.3 แผนภูมิรูปวงกลม คือ แผนภูมิที่แสดงใหเห็นถึงรายละเอียดสวนยอย ๆ ของขอมูลทีน่ ํามาเสนอ การนําเสนอขอมูลในลักษณะนีจ้ ะเสนอในรูปของวงกลมโดยคํานวณสวนยอย ๆ ของขอมูลที่จะแสดงทัง้ หมด หลังจากนั้นแบงพื้นที่ของรูปวงกลมทั้งหมดออกเปน 100 สวน หลังจากนั้นก็หาพืน้ ทีข่ องแตล ะสว นยอย ๆ ทีจ่ ะแสดง
142ตัวอยา ง แผนภูมิรูปวงกลมแสดงการเปรียบเทียบงบประมาณดานตาง ๆ ที่ใชในสถานศึกษา( ยกเวน เงินเดือน – คาจาง ) 3.2.4 แผนภมู ิแทง (Bar chart) การนําเสนอขอมูลโดยใชแผนภูมิแทง เปนการนําเสนอขอมูลโดยใชร ูปสีเ่ หลีย่ มผืนผา รูปสีเ่ หลีย่ มผืนผาอาจเรียงในแนวตั้ง หรือแนวนอนก็ได ซึง่ สีเ่ หลี่ยมผืนผาแตละรูปจะมีความกวางเทาๆกันทุกรูป สวนความยาวของสี่เหลี่ยมผืนผาขึ้นอยูกับขนาดของขอมูล นิยมเรียกรูปสี่เหล่ยี มผนื ผาในแตละรปู วา “แทง” (bar) ระยะหางระหวางแทงใหพองาม และเพือ่ ใหจําแนกลักษณะที่แตกตางกันของขอมูลในแตละแทงใหชัดเจน และสวยงามจึงไดมีการแรเงา หรือระบายสี และเขียนตัวเลขกาํ กบั ไวบ นตอนปลายของแตล ะแทง ดว ยกไ็ ด 3.2.4. 1 แผนภมู ิแทง เชิงเด่ยี ว (Simple bar chart)ตัวอยาง การเสนอขอ มลู โดยใชแ ผนภมู แิ ทง เชงิ เด่ียว แผนภูมิแสดงจาํ นวนท่ีอยูอาศัยเปดตัวใหมใ นเขตกทม. และปริมณฑล จาํ นวนท่อี ยอู าศัย
143 3.2.4.2แผนภูมิแทงเชิงซอน (Multiple bar chart) ขอมูลสถิติทีจ่ ะนําเสนอดวยแผนภูมิแทงตองเปนขอมูลประเภทเดียวกันและหนวยของตัวเลขเปนหนวยเดียวกันและควรใชเปรียบเทียบขอมูล 2 ชุดหรือมากกวา 2 ชดุ กไ็ ด ซงึ่ อาจเปน แผนภมู ใิ นแนวตั้งหรือแนวนอน ก็ไดสิ่งที่สําคญั ตองมีกุญแจ (Key) อธิบายวาแทงใดหมายถึงขอมูลชุดใดไวที่ดว ย ดตู ัวอยา งจากรปู ที่ 3 แผนภมู ิแทง แสดงสินทรัพย หนี้สินและทุนของสหกรณออมทรัพยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร 3.2.5 การนําเสนอขอมูลโดยใชกราฟเสน การนําเสนอขอมูลทม่ี ลี กั ษณะเปน กราฟเสนนน้ั ลักษณะของกราฟอาจจะเปนเสนตรงหรือไมก็ไดจุดสําคัญของการนําเสนอโดยใชกราฟเสนก็เพื่อจะใหผูอานมองเห็นแนวโนมการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของขอมูล เชนขอมูลทีเ่ กีย่ วกับเวลา ถาเรานําเสนอโดยใชกราฟเสน เราก็สามารถจะมองเห็นลักษณะของขอมูลในชวงเวลาตาง ๆ วามีการเปลีย่ นแปลงในลักษณะที่เพิม่ ขึน้ หรือลดลงมากนอยเพียงใด นอกจากนี้กราฟเสนยังทําใหเรามองเห็นความสัมพันธระหวางขอมูล(ถามีขอมูลหลาย ๆ ชุด) และสามารถนําไปใชในการคาดคะเน หรือพยากรณขอมูลนน้ั ไดอ กี ดว ย โดยทั่วไป การนําเสนอขอมูลโดยใชกราฟเสนก็จะมีลักษณะเชนเดียวกับตาราง กลาวคือ เราตองบอก หมายเลขภาพ ชื่อภาพ แหลงที่มาของขอมูล และทีส่ ําคัญตองบอกใหทราบวาแกนนอนและแกนตั้งใชแ ทนขอ มลู อะไรและมหี นว ยเปนอยางไร
( ลานบาท) 144 3.2.5.1 กราฟเชิงเดี่ยว คือ กราฟทีแ่ สดงลักษณะของขอมูลเพียงชุดเดียว เชน ขอมูลเกีย่ วกับปริมาณสินคาที่นําเขาจากประเทศสิงคโปร ขอมูลเกีย่ วกับปริมาณน้าํ ฝนประจําเดือนตาง ๆ ปพ.ศ. 2543 เปน ตนตัวอยาง ตารางแสดงปริมาณสินคาทนี่ ําเขาจากประเทศสิงคโปร ป ปริมาณสินคานําเขา (ลานบาท) 2526 14,623 2527 19,373 2528 18,746 2529 15,845 2530 26,030 2531 34,034 ทม่ี า : กรมศุลกากรจงเสนอขอ มูลดังกลาวโดยใชก ราฟเชิงเดย่ี ววิธที ํา จากขอมูลดังกลาวเราสามารถนํามาเขียนเปนกราฟเสนไดดังนี้ ปริมาณสินคาที่นําเขาจากประเทศสิงคโปร ปพ.ศ. 2526 – 2531 40000 35000 30000 25000 20000 15000 10000 5000 0 2526 2527 2528 2529 2530 2531 ปพ.ศ.
145 3.2.5.2 กราฟเชิงซอน กราฟเชิงซอนเปนการนําเสนอขอมูลในลักษณะเดียวกับแผนภูมิแทงเชิงซอน กลาวคือเปนการนําเสนอเพือ่ เปรียบเทียบใหเห็นถึงความแตกตางระหวางขอมูลตั้งแต 2 ชุดขึ้นไป เชนการเปรียบเทียบระหวา ง จํานวนอุบตั ิเหตุทางอากาศ กับจํานวนอุบัติเหตุทางเรือ จํานวนคนเกิดกับจาํ นวนคนตาย เปน ตนตัวอยางที่ 24 ตารางแสดงราคาขาวสาลี และราคาแปงขาวสาลีทีป่ ระเทศไทยสัง่ เขามาตัง้ แตป 2517 –2523ป ราคาขาวสาล(ี บาท/ตัน) ราคาแปงขาวสาล(ี บาท/ตนั )2517 4,501 5,811518 4,796 6,6952519 3,806 6,5212520 2,892 5,1422521 3,112 5,0102522 3,957 5,5382523 2,288 5,605ท่ีมา : วารสารเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงเทพ จํากัด ฉบับเดือนมิถุนายน 2515 ปท ่ี 14 เลม ท่ี 6วธิ ีทาํ จากขอมลู ดงั กลาวสามารถนํามาเขียนกราฟเสนไดดังนี้ กราฟแสดงราคาขาวสาลี และราคาแปง ขา วสาลีท่ีประเทศไทยส่ังเขา มาตัง้ แตป 2517 – 25238000 ขา วสาลี7000 แปง สาลี600050004000300020001000 02517 2519 2521 2523
146 แบบฝกหดั ท่ี 31. กาํ หนดใหว า จาํ นวนคนไข (คนไขใน) ของโรงพยาบาลอําเภอแหงหนึ่งในป 2545 และ 2546 ซงึ่ไดมากจากการสํารวจของโรงพยาบาลเปนดังนี้ พ.ศ. 2545 มีเพศชาย 4,571 คน หญิง 3,820 คน ป2546 มีเพศชาย 5,830 หญิง 4,259 คน จงนําเสนอขอมูลก. ในรูปบทความ……………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….ข. ในรูปบทความ / ขอความกึ่งตาราง……………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………………………….2. จากขอมูลที่นําเสนอในรูปตาราง รอยละของนักศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนตนของสถาบันการศึกษาแหง หนง่ึ ไดผลการเรยี นใน 4 วชิ าหลักในป 2546 มีดังน้ีหมวดวิชา รอ ยละของระดบั ผลการเรียน 4 3 2 10คณิตศาสตร 4.49 9.51 22.88 43.58 16.28ภาษาไทย 5.82 12.14 26.55 41.18 13.10 4.82 11.23 23.50 39.81 19.91วิทยาศาสตร 9.04 16.60 29.10 34.75 9.09สังคมศึกษารวม 84.55 13.67จากตารางจงตอบคําถามตอไปนี้1. หมวดวชิ าใดท่นี ักศึกษาไดร ะดบั ผลการเรียน 4 มากท่ีสุดและไดร ะดบั 0 นอยที่สุดและคิดเปน รอ ยละเทา ไร2. นกั ศกึ ษาสว นใหญไ ดร ะดับผลการเรยี นใด3. ระดบั ผลการเรียนที่นกั ศกึ ษาจํานวนมากทสี่ ุดไดรบั4. ระดบั ผลการเรยี นทนี่ กั ศกึ ษาจํานวนนอยทสี่ ุดไดร ับ5. กลาวโดยสรุปถึงผลการเรียนของสถาบันแหงนี้เปนอยางไร
1476. ตารางแสดงปริมาณผลิตยางพาราของประเภทตาง ๆ ในป พ.ศ. 2544 และป พ.ศ. 2545 ดงั น้ี ประเทศ ปรมิ าณการผลติ ( ลา นตนั ) ป 2544 ป 2545 มาเลเซยี อนิ โดนีเซยี 2.5 3.0 3.0 4.0 ไทย 2.0 3.5 เวยี ดนาม 1.5 2.0 1.0 1.5 ลาวจงเขียน1. แผนภูมแิ ทง แสดงการผลิตยางพาราของประเทศตาง ๆในป 25442. แผนภูมิแทงและการเปรียบเทียบการผลิตยางพาราของประเทศตาง ๆในป 2544 และในป 25453. แผนภมู วิ งกลมแสดงการเปรียบเทียบการผลิตยางพาราของประเทศตา ง ๆ ในป 25444. จงเขียนกราฟแสดงการเปรียบเทียบปริมาณสัตวน้ําจืดและสตั วน ้ําเค็มท่ีจบั ไดต้ังแต พ.ศ. 2540 ถงึ พ.ศ.2546 พ.ศ. ปรมิ าณทีจ่ บั ได ( พนั ตนั ) สตั วน ํา้ จดื สัตวน้ําเค็ม 2540 1,550 130 2541 1,529 141 2542 1,395 159 2543 2,068 161 2544 1,538 122 2545 1,352 147 2546 1,958 145
1483.3 สถิตกิ บั การตดั สนิ ใจ ในชีวิตประจําวันของแตละบุคคล จะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับการดําเนินชีวิตในแตละเรือ่ ง แตละเหตุการณอ ยูตลอดเวลา การเลือกหรือการตัดสินใจทีจ่ ะเลือกวิธีการตางๆ ยอมตองอาศัยความเชือ่ ความรูและประสบการณ สามัญสํานึก ขาวสาร ขอมูลตางๆ มาประกอบการเลือกหรือการตัดสินใจดังกลาวเพือ่ ใหสามารถดํารงชีวติ อยา งถกู ตอ ง และมีโอกาสผิดพลาดนอ ยท่สี ดุ ตัวอยางเชน การตดั สินใจทีเ่ กดิ จากการเลือกในสง่ิ ตาง ๆ ที่เกิดข้นึ จะเห็นไดวา การเลือกตัดสินใจจะทําเรือ่ งใดๆ จําเปนตองมีขอมูลในการตัดสินใจในการเลือกทําสิง่ นัน้ ๆ ใหดีทีส่ ุด ขอมูลที่มีอยูหรือหามาได หรือขอมูลทีว่ ิเคราะหเบือ้ งตนแลว ยังเรียกวา “ สารสนเทศหรอื ขาวสาร” (Information) จะชว ยใหก ารตดั สินใจดียิง่ ขึ้น หลักในการเลือกขอมลู มาใชประกอบการตัดสนิ ใจ จะตอ ง - เชอ่ื ถอื ได - ครบถวน - ทันสมัย ถาขอมูลที่มีอยูไมสามารถนํามาประกอบการตัดสินใจได อาจทําใหเปนสารสนเทศเสียกอน ซึ่งผูใ ชจะตองเลือกวิธีวิเคราะหขอมูลที่เหมาะสมกับคําตอบทีต่ องการไดรับเสียกอน นัน่ คือ วิธีวิเคราะหขอมูลและเปน ตวั กําหนดขอ มูลท่ีจาํ เปน ตอ งใช
149ตัวอยาง ขอมูลและสารสนเทศ ทุกวันนี้สถิติถูกนํามาใชประโยชนหลายๆดาน หลายสาขา และมีสวนเกีย่ วของกับชีวิตประจําวันของมนุษยมากขึ้น ทุกวงการ ทัง้ สวนที่เปนขอความ ตาราง รูปภาพ ปายประกาศ และเอกสารทางวิชาการตางๆ เปนตน โดยเฉพาะหนวยงานทีท่ ํางานดานนโยบายและการวางแผน จะตองใชสถิติทั้งขอมูล และสารสนเทศเพื่อจัดทํา นโยบาย วางแผนงาน เพือ่ ใชเปนเครือ่ งมือสนับสนุนในการตัดสินใจตางๆ ของหนว ยงานทง้ั ภาครัฐและเอกชน ในสวนของภาครัฐบาลตองอาศัยสถิติในการวัดภาพรวมทางดานเศรษฐกิจ เชน การหาผลิตภัณฑมวลรวมของประเทศ การบริโภค การออม การลงทุน ตลอดจนการวัดการเปลี่ยนแปลงคาของเงินเปนตนนอกจากนีย้ ังอาศัยวิธีการทางสถิติชวยอธิบายเกี่ยวกับทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร การทดสอบสมมติฐานตางๆโดยพยายามพยากรณและคาดคะเนแนวโนมภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ในดานธุรกิจการคาตัวเลขสถิติมีประโยชนเปนเครื่องมือชวยรักษาและปรับปรุงคุณภาพการผลิตใชเปนเครือ่ งมือในการคัดเลือกและยกฐานะของคนงาน หรือใชเปนเครื่องมือในการควบคุมเพือ่ ใหใชวัตถุดิบอยางประหยัด มีการคาดคะเนความตองการของลูกคาในอนาคต ซึ่งการตัดสินใจเกี่ยวกับการคาการขายตองอาศัยสถติ ิท้งั ส้ิน สําหรับในดานสังคมและการศึกษา ในวงการสาธารณสุขตองใชขอมูลสถิติเพือ่ การดูแลรักษาสุขภาพ การประมวลผล และคาดการณแนวโนมการระวังสุขภาพ ตองอาศัยขอมูลทางสถิติประกอบการตัดสินใจ สวนในดานการศึกษาสถิติจะชวยในการวางนโยบายและแผนการจัดการศึกษาทัง้ ในระดับชาติและระดับทองถิ่น นอกจากนีส้ ถิติยังชวยติดตาม วัดผลและประเมินผลการจัดการเรียนการสอนและการบรหิ ารจดั การอกี ดว ย
150 แบบฝกหดั ท่ี 41. การเลอื กขอ มลู มาใชประกอบการตัดสินใจตองอาศัยหลักการใดบาง2. ขอมูล ตางกบั สารสนเทศ อยางไร จงอธิบายพรอ มยกตวั อยา งประกอบดวย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252