145 สาํ หรบั หนว ยวัดทเ่ี ปนกิโลกรัมใชอักษรยอ วา “กก.” สว นกรัมใชอ กั ษรยอ วา “ก.” แตคําวา “ขีด”นั้นเปนชื่อที่นิยมเรียกกันในทองตลาด ในทางราชการนิยมอานเปน “กรมั ” ซึ่งเราสามารถเปรียบเทียบหนวยนาํ้ หนักตาง ๆ ไดโดยอาศัยหนว ยนํา้ หนกั ทีก่ ําหนดไวข างตน มาชว ยคิดเปรียบเทียบอยางงาย ๆโจทยป ญหา โจทยปญหาจะเปนเรื่องเกี่ยวของกับน้ําหนัก ราคา และการเปรียบเทียบน้ําหนักของสิ่งของตาง ๆโดยใชวธิ ี บวก ลบ คณู หาร ปนกนั ดงั ตวั อยา งตอไปน้ีตวั อยาง ยอดรกั หนกั 65 กิโลกรัม ยอดชายหนัก 58 กิโลกรมั ใครหนักกวา กันเทาไรวธิ ีทํา ยอดรกั หนกั 65 - กโิ ลกรมั ยอดชายหนกั 58 กโิ ลกรมั ดงั นน้ั ยอดรกั หนกั กวา 7 กโิ ลกรมั ตอบ 7 กโิ ลกรมัตวั อยาง นายชุมพลสงถั่วเหลืองไปขาย 2 เมตรกิ ตนั 480 กโิ ลกรมั 500 กรมั ครงั้ หลงั สง ไปอีก 3 เมตริกตัน 930 กิโลกรมั 750 กรัม นายชุมพลสงถั่วเหลืองไปขายทั้งหมดเทาไรวธิ ที าํ เมตรกิ ตนั กโิ ลกรมั กรัม ครั้งแรกสง ถัว่ เหลอื งไปขาย 2 480 500 ครง้ั หลงั สงไปขายอีก 3 930 750 5 1,410 1,250 หรือ = 6 411 250 ตอบ 6 เมตรกิ ตนั 411 กิโลกรมั 250 กรมัวิธคี ิด ใหบ วกจากหนว ยยอ ยมาหาหนว ยใหญ ดงั น้ี 1. นําจาํ นวนน้าํ หนักที่เปนกรมั มาบวกกันคือ 500 + 750 ได 1,250 ทําเปน กโิ ลกรัมได 1 กโิ ลกรมั 250 กรัม ทด 1 กิโลกรัมขน้ึ ไป ใส 250 ไวท กี่ รัม 2. นาํ จาํ นวนนาํ้ หนักที่เปนกิโลกรมั มาบวกกันคือ 480 + 930 เปน 1,410 บวกอีก 1 กโิ ลกรมั ทีท่ ดขึน้ มาเปน 1,411 กิโลกรัม ทําเปนเมตริกตันได 1 เมตรกิ ตัน 411 กิโลกรมั ทด 1 เมตรกิ ตนั ข้ึนไป 3. นาํ จาํ นวนนาํ้ หนกั ท่ีเปน เมตริกตนั บวกกนั คอื 2 + 3 แลว บวกอกี 1 ที่ทดขึ้นมาเปน 6 เมตรกิ ตนั
1462.2 การตวง การตวง คือ การวัดปริมาณหรือความจุของสิ่งของตาง ๆ โดยใชเครื่องตวงชนิดตางๆ ซึ่งผใู ชตอ งเลอื กใหเหมาะสมกับส่งิ ทีจ่ ะตวง 2.2.1 ชนดิ ของเคร่ืองตวง เครื่องตวง แบงออกเปน 2 ชนิด คือ 1) เครื่องตวงท่ไี มเปน มาตรฐาน เปนเครือ่ งตวงทแี่ ตละคนกําหนดขึ้นใชเองตามความตองการที่จะใชงาน เชน ถังนาํ้ ขนั แกวน้ํา ชอ น การใชเคร่ืองตวงทเ่ี ปนมาตรฐาน อาจทาํ ใหผ ูอืน่ เขา ใจไมตรงกนั จงึไมนิยมนํามาใชตวงสิ่งของตาง ๆ ภาพเครื่องตวงที่ไมเปนมาตรฐาน 2) เครื่องตวงมาตรฐาน เปนเครื่องตวงซึ่งทางราชการยอมรับวาหนวยที่ใชในการตวงนั้นมีความจเุ ทา กันทกุ เคร่ือง เชน ถัง ลติ ร ถว ยตวง ชอ นตวง ภาพเครื่องตวงมาตรฐาน
147 2.2.2 วิธกี ารตวง มีหลายวธิ ีข้นึ อยูก บั ลักษณะของส่งิ ที่จะตวง ดังนี้ 1) วิธกี ารตวงของเหลว เชน นา้ํ นํ้ามัน ใหใสข องเหลวเต็มเครื่องตวงพอดี ไมล น หรอืไมขาด 2) วิธกี ารตวงของละเอยี ด เชน แปง นาํ้ ตาลทราย ขา วสาร เกลอื ตวงใหเสมอปากเครื่องตวง ใสข องละเอยี ดใหพ นู ใชไมปาดใหเสมอขอบเครื่องตวง ไดละเอียดที่ตองการตวงตามตองการ 3) วธิ กี ารตวงของหยาบ เชน ถา น แหว กระจบั ใหใ สข องท่จี ะตวงจนพูนขอบเคร่ืองตวงเนื่องจากของหยาบจะกายกันในเครื่องตวงทําใหมีชองวางภายในจึงตองตวงใหพูนชดเชยชองวาง
1482.2.3 หนว ยการตวง หนว ยการตวงจะตองใชตามหนวยของมาตรฐานการตวง ซึ่งมี 2 ลกั ษณะคือ 1) หนวยตวงมาตรฐานสากล หนวยตวงที่นิยมใชในการตวงสิ่งตาง ๆ มีหลายระบบ เชนระบบองั กฤษเปน ออนซ แกลลอน ระบบไทยเปน เกวียน ถงั ลติ ร ระบบเมตรกิ เปนลติ ร มิลลลิ ติ รหรือลูกบาศกเซนติเมตร แตระบบที่นิยมใชกันทั่วโลก และทางราชการถือเปนระบบตวงมาตรฐาน คือ ระบบเมตรกิ ซง่ึ ใช “ลติ ร” เปน หนวยมาตรฐาน 2) หนว ยตวงมาตรฐานท่ีนยิ มใชก นั ทว่ั ไป ในชวี ติ ประจาํ วนั ของคนไทย ไดแ ก มิลลิลติ รลติ ร ถัง เกวียน ถวยตวง ชอนโตะ และชอ นชา โดยมกี ารเปรยี บเทียบหนว ยตา ง ๆ ไวดังนี้ 1,000 มลิ ลลิ ิตร (มล.) = 1 ลติ ร (ล.) 20 ลติ ร = 1 ถัง 100 ถัง = 1 เกวียน 1 ถว ยตวง = 8 ออนซ หรือ 16 ชอ นโตะ 1 ชอ นโตะ = 3 ชอ นชา 1 มลิ ลิลติ ร = 1 ลูกบาศกเซนติเมตร (ลบ.ซม.)หมายเหตุ อักษรในวงเล็บเปนตัวยอของแตละหนวย เราสามารถเปรียบเทียบหนวยตาง ๆ ของการตวงได โดยอาศยั หนว ยตวงทกี่ าํ หนดไวข างตน มาชว ยคิดเปรียบเทียบอยางงา ย ๆ ดงั นี้ตวั อยาง 3 ชอนชา = 1 ชอนโตะ 6 ชอนชา = 2 ชอนโตะ 16 ชอ นโตะ = 1 ถว ยตวง 1,000 มลิ ลิลติ ร = 1 ลติ ร 4,000 มิลลลิ ติ ร = 4 ลติ ร 7,500 มลิ ลิลติ ร = 7 ลติ รครง่ึ หรือ = 7 ลติ ร 500 มลิ ลลิ ติ ร 20 ลติ ร = 1 ถัง 50 ลติ ร = 2 ถงั ครงึ่ หรือ 2 ถงั 10 ลติ ร 75 ลติ ร = 3 ถัง 15 ลติ ร 200 ลติ ร = 2 เกวียน 650 ถงั = 6 เกวยี นคร่งึ หรือ 6 เกวยี น 50 ถัง 3,000 ลูกบาศกเซนติเมตร = 3 ลติ ร 600 ลูกบาศกเซนติเมตร = 600 มิลลลิ ิตร
149โจทยป ญหาตวั อยาง นายสมโชคขายขาวได 11 เกวยี น 80 ถัง นายสมชัยขายขา วได 16 เกวยี น 15 ถัง นายสมโชค ขายขาวไดนอยกวานายสมชัยเทาไรวธิ ที ํา เกวียน ถงั เกวียน ถัง นายสมชัยขายขาวได 16 15 15 115 - นายสมโชคขายขาวได 11 80 11 80 ดังนั้น นายสมโชคขายขาวไดนอยกวานายสมชัย 4 35 ตอบ 4 เกวยี น 35 ถังตัวอยาง นํ้าปลา 30 ลติ ร นํามาบรรจใุ สขวดขนาด 100 มลิ ลลิ ิตร จะไดกี่ขวดวธิ ที ํา 1 ลติ ร = 1,000 มิลลิลิตร 30 ลติ ร = 1,000 × 30 มิลลิลติ ร ดงั นั้น นํา้ ปลา 30 ลติ ร = 30,000 มิลลิลติ ร นํามาบรรจใุ สข วด = 100 มลิ ลลิ ิตร จะไดน้ําปลา = 30,000 ÷ 100 = 30,000 ÷ (10 × 10) = (30,000 ÷ 10) ÷ 10 = 3,000 ÷ 10 ตอบ 300 ขวด = 300 ขวดขอ สังเกต ตวั หารเปน 100 แยกเปน 10 × 10 แลว นาํ 10 ไปหารทีละตวั เม่ือตวั ตั้งลงทายดว ย 0 ตวั หาร เปน 10 ใหตัดศนู ยท่ีทายตวั ตั้งออกได 1 ตัว ก็จะเปน ผลหาร น่ันคือ ถาตัวหารเปน 100 ไป หารตัวต้ังทลี่ งทายดว ย 0 หลายตวั ใหตดั 0 ทายตัวตั้งออก 2 ตวั ท่เี หลือ คือ ผลหารการตวง 1. การตวง เปนการวัดปริมาณหรือความจุของสิ่งของตาง ๆ โดยใชเครื่องตวง เครื่องตวงที่ยอมรบั กนั วา เปน เคร่ืองตวงมาตรฐาน ไดแ ก ลติ ร ถงั ถว ยตวง และชอ นตวง และหนว ยตวงมาตรฐานคอื ลติ ร นอกจากน้ยี งั มหี นวยตวงตา ง ๆ ที่นิยมใชก ันในบานเรา คือ มิลลลิ ติ ร ถัง เกวยี น ชอ นโตะชอ นชา ถว ยตวง 2. วธิ กี ารตวง ถา ตวงของเหลว ใหใสเตม็ เคร่ืองตวงพอดี ถาเปนของละเอียด ใหตวงเสมอปากเครื่องตวง แตถาเปนของหยาบใหตวงพูนขอบเครื่องตวง
150แบบฝกหดั ที่ 5ก. จงเขียนเครื่องหมาย > , < หรอื = ลงใน ถกู ตอง (1) ขาวสาร 20 ลติ ร ขาวสาร 1 ถงั (2) น้ํา 1 ลติ ร น้ํา 1 แกว (3) น้ําตาลทราย 1 ถว ยตวง น้ําตาลทราย 1 ลิตร (4) ขาวสารครง่ึ ถงั ขาวสาร 15 ลติ ร (5) ถ่ัว 4 ถงั ถวั่ 40 ลติ ร (6) น้ํา 4,000 มิลลิลิตร นมสด 4 ลติ ร (7) ถว่ั เขยี ว 3 เกวียน ถ่ัวลิสง 250 ถัง (8) ขา วโพด 1,800 มิลลิลติ ร ขา วโพด 2 ถังข. จงคาดคะเนสิ่งของตอไปนี้ดวยสายตา แลวใชเครื่องตวงมาตรฐานตวงจริงแลวบันทึกลงในตารางขอ ชือ่ สง่ิ ของ คาดคะเนได ตวงไดจ รงิ ผิดพลาด1 นํา้ 1 กระปอง 5 ลติ ร 6 ลติ ร 1 ลติ ร2 ขาวสาร 1 ขัน3 กรวด 1 กระปอง4 นํา้ 1 แกว5 ขาวเปลือก 1 ถัง6 ทราย 1 ถุง7 แกลบ 1 กะละมัง8 ข้ีเลื่อย 1 กระปองนมหมายเหตุ ขัน กระปอ ง แกว ถัง ถงุ กะละมงั เหยอื ก อาจจะเลก็ หรอื ใหญก ไ็ ด เครอ่ื งตวง ไมจ าํ เปน ตองใช ลิตร อาจเปนเคร่ืองตวงมาตรฐานอยา งอ่ืนก็ได
151ค. ใหน ักศึกษาตอบคาํ ถามตอไปน้ี โดยไมตองแสดงวิธที าํ (1) นํา้ มนั พชื 2 ลิตร เทใสขวดที่มีความจุใบละ 500 มิลลิลติ ร ไดก ใ่ี บ (2) ซอ้ื เกลอื มา 1 ถัง แบง ใสถงุ ถงุ ละ 2 ลติ ร ไดก ี่ถุง (3) หมอใหปาสีรับประทานยาธาตุวันละ 3 คร้งั ครัง้ ละ 1 ชอ นโตะ ในเวลา 5 วัน ปาสตี อ ง รับประทานยากี่ชอนโตะ (4) ถว่ั เขียว 4 ลิตร ราคา 20 บาท ถาซอื้ ทั้งถังจะตองจายเงินทั้งหมดเทาไร (5) ซ้อื ถั่วลสิ งเปลือกมา 3 ถัง ราคาถังละ 60 บาท แลวตมขายลิตรละ 4 บาท จะไดกําไรหรือ ขาดทุนเทาไร (6) ซ้ือน้าํ มันมา 8 ลิตร ราคา 32 บาท น้ํามันราคาลิตรละเทาไร (7) ขวดใบหนง่ึ มนี ํ้าอัดลมอยเู ต็ม 1 ลติ รพอดี เทนาํ้ อัดลมใสแ กว ขนาดเทา กนั ได 3 แกว เมอื่ เตม็ แลว ยังเหลืออยใู นขวดอกี 100 มิลลิลิตร แกวแตละใบจุน้ําอัดลมเทา ใดง. ใหนกั ศึกษาแสดงวิธที าํ (1) นํ้าตาลทรายถุงหนง่ึ มีความจุ 2 ลติ ร 200 มลิ ลิลิตร ถาซ้ือนาํ้ ตาล 5 ถงุ ซงึ่ มคี วามจเุ ทา ๆ กนั มีความจุรวมท้ังสน้ิ เทาไร (2) โองน้ําใบหนึ่งใชถังซึ่งมีความจุ 15 ลติ ร ตักนํ้าใส 20 ครัง้ จึงเตม็ โอง พอดี โองใบนี้จุนํา้ ก่ีลิตร (3) ยานาํ้ บรรจขุ วด ขวดละ 400 มิลลิลิตร ยาน้าํ 9 ขวด มีปริมาณเทาไร (4) ตองการใชขาวสาร 6 ถงั แตมีอยูแลว 3 ถัง 7 ลิตร ตองซอ้ื มาเพม่ิ อีกเทา ไรจงึ จะครบตาม ตอ งการ (5) ถาขาวสารราคาถังละ 70 บาท ซื้อเปนลิตรราคาลิตรละ 4 บาท ตองการซื้อขาว 1 ถัง ควรซอ้ื เปนลิตรหรือถังจงึ จะถกู กวา และถกู กวา กนั เทาไร (6) ขาวเปลือก 1 เกวยี น สีเปนขาวสารได 55 ถงั ชาวนาผหู นึ่งนาํ ขา วเปลอื กไปสี 8 เกวยี น จะไดขา วสารทั้งหมดกี่ถัง
152เรื่องท่ี 3 การหาพ้นื ท่ี 3.1 การหาพ้นื ที่และความยาวรอบรูปเรขาคณิตสองมิติ 1) การหาพื้นที่จากการนับตาราง วัดพน้ื ท่ีเปนตารางหนว ย โดยใชรปู ส่เี หลี่ยมจตั ุรสั ที่มีความยาวดา นละ 1 หนวย จะมพี น้ื ท่ี 1 ตารางหนว ย ดงั น้ี ก 1 หนว ย ข 1 ซม. 1 หนว ย 1 ซม. รูปส่เี หลย่ี ม ก ยาวดา นละ 1 หนว ย จะมพี น้ื ที่ 1 ตารางหนวย รูปสเี่ หลี่ยม ข ยาวดานละ 1 เซนติเมตร จะมีพนื้ ที่ 1x1 =1 ตารางเซนตเิ มตรตวั อยาง สว นทแี่ รเงามีพ้ืนท่ีเทาไรตอบ นับตารางสวนที่แรเงามพี ื้นที่ 16 ตารางหนวย
153ตัวอยาง จงหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม กขจ และส่เี หล่ียมผืนผา กขคง โดยการนบั ตาราง งจ ค 34 2 ห นวย 31 24ก 4 หนว ย ขตอบ พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม กขคง = 8 ตารางหนวย พืน้ ทขี่ องรูปสามเหลีย่ ม กขจ = 4 ตารางหนวย จะเห็นวารูปสี่เหลี่ยมผืนผา กขคง มีความยาวของฐานหรือความยาวดานยาว 4 หนวยและมีความสูงหรือความกวางเปน 2 หนวย มีพน้ื ที่เทา กับ 4 หนว ย × 2หนว ย = 8 ตารางหนว ย สตู ร พนื้ ทร่ี ูปสีเ่ หลยี่ มผนื ผา = ความยาวของดานยาว × ความยาวของดานกวางข. จงหาพืน้ ทข่ี องรปู สี่เหล่ียมตอไปนี้โดยใชส ูตร 2 เมตร(1) (2) 2 เมตร 1.5 เมตร2 เมตร
1543.2 โจทยป ญหาของการหาพนื้ ท่ีของรปู เรขาคณิต ในการแกปญ หาเกีย่ วกบั การหาพ้นื ทีข่ องรปู เรขาคณติ มีสูตรที่นําไปใชประจํา เชน พนื้ ท่สี เ่ี หลย่ี มจัตุรัส = ดา น x ดา น พน้ื ท่สี ่เี หลย่ี มผนื ผา = กวาง x ยาว รปู ท่ีสีเ่ หล่ียมดานขนาน = ความยาวของฐาน x ความสูง รปู ส่เี หลี่ยมคางหมู = 1 x สงู x ผลบวกของความยาวดานคูขนาน 2ตวั อยา ง พ้นื ทรี่ ูปสามเหล่ียม = 1 x ฐาน x สงู 2 ท่ดี นิ รปู สีเ่ หลี่ยมผนื ผามีความกวา ง 6 เมตร ยาว 12 เมตร ทด่ี ินน้ีจะมพี ้ืนท่ีเทาไหร วธิ ีทํา สตู ร พท. ส่เี หลย่ี มผนื ผา = กวาง x ยาว = 6 ม. x 12 ม. = 72 ตร.ม. ดังนน้ั พื้นที่ดนิ แปลงน้มี พี นื้ ที่ 72 ตารางเมตร ตอบ 72 ตารางเมตรหมายเหตุ ในชีวิตจริงบางครั้งคําวาตารางเมตรมักจะใชตัวยอ เปน ม. 2แบบฝกหัดท่ี 61. จงหาพ้นื ท่ขี องรปู สเ่ี หลีย่ ม ตอ ไปนี้ 1.1 รูปสเ่ี หลีย่ มจตั ุรัส ทม่ี ดี านกวา งดา นละ 7 ซม. 1.2 รปู สีเ่ หลยี่ มผืนผา ท่มี ีดานยาวยาว 5 ซม. และมดี า นกวา งยาว 3 ซม 1.3 รูปส่ีเหล่ยี มดา นขนาน ที่มีดานฐานยาว 10 เมตร และสงู 5 เมตร2. จงหาพื้นท่ขี องรูปสามเหล่ียม ตอ ไปน้ี 2.1 รูปสามเหล่ยี ม ที่มฐี านยาว 10 เมตร และสูง 5 เมตร 2.2 รูปสามเหล่ียม ทมี่ ฐี านยาว 6 ซม. และสูง 5 ซม. 2.3 รปู สามเหลี่ยม ที่มฐี านยาว 10 ซม. และสูง 8 ซม.3. กระดาษสีเ่ หล่ยี มจัตุรสั 1 แผน มีความยาวดานละ 10 นวิ้ นาํ มาตัดเปน รูปสเ่ี หล่ยี มที่มีฐานยาว 5 นว้ิ สูง 8 น้วิ ไดก่ีรปู4. หอ งเรยี นกวา ง 5 เมตร ยาว 12.5 เมตร ตองใชพรมขนาดกวาง 2.5 เมตร และยาวเทาไรจึงจะปูไดเต็มหองพอดี5. นายคณิตตองการทําแปลงปลกู ผกั เปนรูปส่เี หล่ยี มผนื ผา มีดานยาว 10 หลา และดา นกวา ง 2 หลา 2 ฟตุ นายคณิตจะตองใชพนื้ ท่กี ่ีตารางฟุต
155เร่อื งท่ี 4 ปรมิ าตรและความจุ 4.1 การหาปรมิ าตรและความจขุ องทรงส่เี หลย่ี มมมุ ฉากและการแกป ญหา 1.1 ปริมาตร คือ ความจุของทรงสามมิติ การวัดปริมาตรของทรงสามมิติ ใชหนวยวัดที่เรียกวาลกู บาศกห นว ย 1.2 ความจุ คอื ปรมิ าตรภายในของภาชนะนั้น ๆ 1 หนว ย ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก มีความกวาง ความยาว และความสูง 1 หนวย 1 หนว ยเทา กนั เรยี กวา 1 ลกู บาศกห นว ย1 หนว ย เราอาจใชสูตรหาปริมาตร ดังนี้สูตร ปริมาตรทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก = กวาง × ยาว × สูง หรอื = พ้นื ท่ีฐาน × สงู จากรูป ปริมาตร = 1 × 1 × 1 = 1 ลูกบาศกหนว ย (ถาหนวยเปนเมตรก็จะมีปริมาตรหนวยเปนลูกบาศกเมตร)ตัวอยาง(1) ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก กวาง 3 เมตร ยาว 4 เมตร สงู 2 เมตร มีปริมาตรเทาไร วธิ ีทาํ ปริมาตร = กวาง × ยาว × สงู = 3×4×2 = 24 ลูกบาศกเมตร(2) กลองนมกวาง 3 น้ิว ยาว 5 นิ้ว สูง 6 น้วิ มีปรมิ าตรเทาไร วิธีทาํ ปริมาตร = กวาง × ยาว × สงู = 3×5×6 = 90 ลูกบาศกเมตร
156แบบฝก หัดที่ 7จงหาคําตอบตอไปนี้โดยการแสดงวิธีทํา1. สระน้ําทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากกวาง 10 เมตร ยาว 15 เมตร ลกึ 1.5 เมตร สระน้ํานีม้ คี วามจุเทาใด2. ตัดไมทําลูกบาศก โดยมีความยาวดานหนึ่งของขอบเปน 10 ซม. ลูกบาศกนี้มีปริมาตรเทาใด3. เหล็กเสนกลมมีปริมาตร 500 ลกู บาศกเ ซนตเิ มตร ตัดแบง เปน 5 ทอ นเทา ๆ กัน แตล ะทอ นจะมปี ริมาตรเทาใด4. จงหาความจุของโกดังเก็บของ ซึ่งมีเนื้อที่วางของไดตามยาว 7 เมตร กวาง 5 เมตร สูง 4 เมตร5. เสาเหลย่ี มตนหนึ่งมหี นา ตัดเปน รปู สเี่ หลย่ี มจตั ุรัสกวาง 20 เซนตเิ มตร สงู 3 เมตร เสาตนน้มี ปี รมิ าตรเทาใด4.2 ความสมั พันธร ะหวางหนว ยของปรมิ าตรหรอื หนว ยของความจุความจุ คือ ปริมาตรภายในของภาชนะท่ีบรรจสุ ่ิงของไดเ ตม็ พอดี ซึง่ ถา ทราบวาสิ่งที่จะนําไปบรรจุในภาชนะนน้ั มีปริมาตรที่ตวงไดเทาใดก็จะทราบความจุของภาชนะนั้นได โดยใชมาตราเปรียบเทียบดังนี้1 ลติ ร = 1000 มิลลลิ ติ ร1 มิลลิลติ ร = 1 ลูกบาศกเซนติเมตร1,000,000 ลูกบาศกเซนติเมตร = 1 ลูกบาศกเมตร1 ถว ยตวง = 240 มลิ ลิลิตร1 ชอนโตะ = 15 มิลลิลติ ร1 ถงั = 20 ลติ ร1 ถัง = 15 กโิ ลกรมั1 เกวียน = 100 ถัง1 เกวียน = 200 ลติ รตวั อยา ง ถงั น้าํ ทรงส่เี หลย่ี มมมุ ฉากใบหนึ่งวัดดา นในไดยาว 40 ซม. ดา นกวา ง 20 ซม. สูง 30 ซม. ใสน้าํ จนเตม็ ถังพอดี ถงั นา้ํ ใบน้ีจุ น้ํากี่ลิตรวิธีทํา ปริมาตรของสี่เหลี่ยมมุมฉาก = กวาง x ยาว x สูง = 20 x 40 x 30 = 24000 ลบ.ซม.แตน้ํา 1 ลบ.ซม. = 1 มิลลลิ ิตรนาํ้ 24000 ลบซม. = 24000 มิลลลิ ติ รแตน า้ํ 1000 มลิ ลิลิตร = 1 ลติ รนั่นคือถังนา้ํ บรรจนุ ํา้ ได = 24000 = 24 ลติ รตอบ 24 ลติ ร 1000
157แบบฝกหัดที่ 8 1. น้ําตาลทราย 2000 มิลลิลิตร มีความจุกับถวยตวงขนาด 500 มิลลิลติ ร กีถ่ ว ย 2. เหยอื กใบหน่ึงบรรจุนํ้าได 3 ลิตร คิดเปน ความจุไดกม่ี ลิ ลิลติ ร 3. กระปองใสน ้าํ ใบหนงึ่ ใสน้ําไดเ ต็มพอดจี ํานวน 10 ลติ ร อยากทราบวาภายในกระปองใบน้ี มีปริมาตรกี่ลูกบาศกเมตร 4. ถังใบหนึ่งบรรจุขาวสารได 5 ถัง อยากทราบวาภายในถังใบนี้มีปริมาตรกี่ลูกบาศกเ ซนติเมตร
158เรอ่ื งท่ี 5 ทิศ และแผนผัง 5.1 ชอ่ื และทศิ ทางของทิศท้ัง 8 ทิศหลักมีสีท่ ิศ ไดแก ทิศเหนือ ทิศใต ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศที่ดวงอาทิตยขึ้นเรียกวา ทิศตะวันออก และทิศที่ดวงอาทิตยตก เรียกวาทิศตะวันตก ถาเรายืนหันหนาไปทางทิศตะวันออกทางซายมือจะเปนทิศเหนือ ทางขวามือจะเปนทิศใต เหนือตะวนั ตก ตะวนั ออก ใต นอกจากทิศหลักสีท่ ิศแลว ยังมีอีกสี่ทิศที่ไมใชทิศหลักและมีชื่อเรียกเฉพาะคือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงใต ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศตะวันตกเฉียงใต นั่นคือทิศทั้ง 8น่นั เอง ดงั ภาพขา งลางตะวนั ตกเฉยี งเหนือ เหนือ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื (พายัพ) (อดุ ร) (อสี าน) ตะวนั ตก ใต ตะวนั ออก (ประจมิ ) (ทักษิณ) (บรู พา) ตะวนั ตกเฉยี งใต ตะวันออกเฉียงใต (หรดี) (อาคเนย)
159 5.2 การอานเขียนแผนผงั แผนผัง คือ รปู ยอสวนหรือขยายสว นทแี่ สดงขนาดและทิศทางทถี่ กู ตอง และเขยี นบอกดว ยวา แผนผังน้ันแสดงอะไร ใชมาตราสว นอยา งไร และจะเขียนลกู ศรชท้ี ศิ เหนือ N กํากับไวตามความเหมาะสมทุกครั้งตัวอยา ง แผนผังแสดงการเดินทางจากบานไปโรงเรียนของ นายวิจติ ร โรงเรยี น N 7 เซนติเมตร 5 เซนติเมตร 2 เซนติเมตรบา นวจิ ติ ร บา นแกว ตา มาตราสวน 1 ซม. : 100 เมตรจากแผนผังเราจะทราบขอมูลหลายอยาง คือ มาตราสวน 1 ซม. : 100 ม.1. บานวิจิตรอยูทางทิศตะวันตกของบานแกวตา2. บานแกวตาอยูทางทิศใตของโรงเรียนและอยูมุมถนน3. โรงเรียนอยูทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบา นวจิ ิตรา4. บานวิจติ รอยหู า งจากโรงเรยี น ตามแผนผงั 7 เซนติเมตร เปนระยะทางจริง 700 เมตร(มาตราสวน 1 ซม. : 100 เมตร)5. บานแกว ตาอยหู างจากบานวิจติ ร ตามแผนผัง 2 เซนติเมตร เปนระยะทางจริง 200 เมตร6. บานแกว ตาอยหู า งจากโรงเรยี น ตามแผนผงั 5 เซนติเมตร เปนระยะทางจริง 500 เมตร
160 ในการเขียนแผนผัง จะตองทราบขนาดของจริงกอ น แลวคิดวาจะตองการรปู ขนาดใดแลว จึงคํานวณวามาตราสวนควรเปนเทาใด จึงจะคิดคํานวณไดงายและสะดวก แลวจึงเขียนรูปใหถูกตองทั้งขนาดและตาํ แหนง ตวั อยาง จงเขียนแผนผังหองทํางานหองหนึ่งมีความยาว 8 เมตร กวาง 6 เมตร กําหนดความยาว1 เซนตเิ มตรแทนความยาว 1 เมตร และวางโตะอยูกลางหอง ซึ่งมีขนาดกวาง 1 เมตร ยาว 1 เมตร 8 ซม. 1 ซม. 6 ซม. มาตราสวน 1 ซม. : 1 ม.แบบฝกหัดท่ี 9ก. จงอานแผนผังแปลงดอกไม และแปลงผักของไรสุขใจ แลวตอบคําถามน มาตราสวน 1 ซม. : 9 เมตร (1) ทด่ี ินไรสุขใจนีเ้ ปนรูปอะไร (2) แปลงผักอยูทางทิศใดของที่ดิน ดานกวางของแปลงผักกวางกี่เมตร (3) แปลงดอกไมด า นทย่ี าวท่ีสดุ มีความยาวกี่เมตร (4) แนวรมิ ทด่ี ินดา นทศิ ตะวันตกปลกู ผกั หรอื ดอกไม (5) ดานกวางของที่ดินไรสุขใจกวางเทาใด
161ข. จงอา นแผนผงั ตอไปนี้แลวตอบคาํ ถาม ลูกเสือหมูหนึง่ ออกเดนิ ทางไกลจากโรงเรยี นไปยงั คายพักแรมช่ัวคราวที่เชงิ เขา โดยมแี ผนผงั การเดนิ ทาง ดงั น้ี มาตราสวน 1 ซม. : 100,000ใหน ักศกึ ษาอานแผนผงั แลวตอบคําถาม (1) ลูกเสือเดินทางไปทางทิศใด เปนระยะทางเทาใดจึงถึงวัด (2) คา ยพักแรมเชงิ เขาอยูหางจากโรงเรียนกี่กิโลเมตรค. จงอานแผนผังและตอบคําถาม มาตราสวน 1 ซม. : 500 ม. (1) ออกจากบานไปยังทิศใดบาง จึงจะถึงรานขายดอกไมและตองเดินทางเปนระยะทางเทาใด (2) รานขายดอกไมอยูทางทิศใดของโรงเรียนและอยูหางจากโรงเรียนเปนระยะทางเทาใด (3) รา นขายเครื่องด่ืมอยูท างทิศใดของรานขายดอกไม ถาเดินทางจากรานขายดอกไมไป โรงเรียน จะเปนระยะทางใกล หรือไกลกวาจากรานดอกไมไปยังรานขายเครื่องดื่มเปนระยะทางเทาใด
162ง. จงเขียนแผนผังอยางคราว ๆ แสดงเสนทางจากบานไปวัดที่อยูใกลบานของทาน
163เรอ่ื งที่ 6 เงนิ 6.1 การเขยี นและการอา นจาํ นวนเงนิ เงินเปนสื่อกลางในการซื้อขายและแลกเปลี่ยน ประเทศไทยใชเงินบาทเปน หนว ยของเงนิ ตรา ดังน้ี 1 บาท = 100 สตางค หรือ 1 บาท = 4 สลึง 1 สลึง = 25 สตางคเงนิ ตราทีท่ าํ ขึน้ เชน นี้ แบง ออกเปน 2 ลักษณะ ดงั นี้1) เงินท่ีใชเ ปนเหรียญที่นิยมใช ไดแ ก เหรยี ญ 1 สลงึ หรอื 25 สตางค เหรยี ญ 2 สลงึ หรอื 50 สตางค เหรยี ญ 1 บาท เหรยี ญ 2 บาท เหรยี ญ 5 บาท เหรยี ญ 10 บาท2) เงนิ ท่ีใชเ ปนธนบตั รท่ีนยิ มใช ไดแ ก ธนบัตรใบละ สิบบาท ธนบตั รใบละ ย่ีสบิ บาท ธนบัตรใบละ หาสบิ บาท ธนบัตรใบละ หนง่ึ รอยบาท ธนบัตรใบละ หา รอยบาท ธนบัตรใบละ หนง่ึ พนั บาท การอา นและการเขียนเงนิ ตราของไทย 5 สตางค เขียน .05 บาท อา นวา หาสตางค 25 สตางค เขียน .25 บาท อา นวา ยีส่ ิบหา สตางค หรอื ภาษาพดู ใช หนึ่งสลึง 50 สตางค เขยี น .50 บาท อา นวา หาสิบสตางค หรือภาษาพูดใช สองสลงึ 75 สตางค เขียน .75 บาท อานวา เจด็ สบิ หาสตางค หรือภาษาพูดใช สามสลงึ 1 บาท กับ 25 สตางค เขียน 1.25 บาท อา นวา หน่ึงบาทยีส่ ิบหาสตางค หรือ ภาษาพูด ใชหนึ่งบาทหนง่ึ สลงึ หรือ หาสลงึ
164 2 บาท กับ 50 สตางค เขียน 2.50 บาท อา นวา สองบาทหาสิบสตางค หรือ สองบาท หาสบิ หรือในภาษาพูดใชส ิบสลงึ 15 บาท กับ 65 สตางค เขยี น 15.65 บาท อานวา สิบหาบาทหกสิบหาสตางค ในการเขียน ใชจุดคั่น ระหวางจํานวนเงินบาท กับ สตางค 6.2 การเปรยี บเทยี บจาํ นวนเงนิ และการแลกเปล่ียนเงินตรา การเปรียบเทียบคาของเงิน เงินเหรียญและธนบัตรมีคาแตกตางตั้งแตนอยไปหามาก คือ25 สต. 50 สต. 1 บาท 2 บาท 5 บาท 10 บาท สวนธนบัตรเรียงจากนอยไปหามากคือ 20 บาท 50 บาท100 บาท และ 1000 บาท การแลกเปลี่ยนเงินทั้งเงินเหรียญ และธนบัตร เราสามารถนํามาแลกเปลี่ยนได เชน เหรียญหา บาท จะแลกเปนเหรียญหนึง่ บาท ได 5 เหรยี ญ เหรยี ญสิบบาท จะแลกเปนเหรียญหนึ่งบาท ได 10 เหรยี ญหรือ เปน เหรยี ญหา บาทได 2 เหรียญ สวนธนบตั รก็เชน กันอาจแลกเปล่ยี นเปนเงนิ เหรียญหรือธนบตั รดวยกนั ก็ได เชน ธนบัตรใบละหาสิบบาท อาจแลกไดเปนธนบัตรใบละยสี่ บิ บาท 2 ใบ และเหรยี ญหา บาทได 2 เหรยี ญ เปนตนตัวอยา ง มีธนบัตรใบละหา รอยบาท 3 ใบ ใบละหนึ่งรอ ยบาท 9 ใบ ใบละหา สบิ บาท 5 ใบวธิ ที าํ ใบละยี่สบิ บาท 10 ใบ และใบละสบิ บาท 20 ใบ รวมทั้งหมดมีเงินกี่บาท ธนบัตรใบละหา รอยบาท 3 ใบ เปนเงนิ 500 × 3 = 1,500 บาท ธนบตั รใบละหนง่ึ รอยบาท 9 ใบ เปน เงนิ 100 × 9 = 900 บาท ธนบัตรใบละหา สบิ บาท 5 ใบ เปนเงิน 50 × 5 = 250 บาท ธนบตั รใบละยสี่ ิบบาท 10 ใบ เปน เงิน 20 × 10 = 200 บาท ธนบัตรใบละสิบบาท 20 ใบ เปน เงิน 10 × 20 = 200 บาท รวมทั้งหมดมีเงิน 1,500 + 900 + 250 + 200 + 200 บาท = 3,050 บาท ตอบ 3,050 บาท 6.3 โจทยปญหาในชวี ิตประจาํ วนั การแลกเปลี่ยนเงินตราในการใชจายจะมีคอนขางสูง เพราะราคาสินคาไมตรงกับชนิดของเงิน เชนซื้อของราคา 37 บาทเราใหธนบัตรใบละหน่งึ รอ ยบาท รานคาจะทอนมาใหเรา 63 บาท ซึง่ จะมีทงั้ธนบตั รและเหรยี ญ
165ตัวอยา ง มุกดามีธนบัตรหารอยบาท 1 ใบ นาํ ไปจายตลาดดงั นี้ ซือ้ เน้ือหมู 2 กิโลกรมั 108 บาท ซ้ือเนอ้ื ไก 3 กิโลกรมั 94.50 บาท ซื้อน้ําตาลทราย 2 กโิ ลกรมั 25.50 บาท ซื้อน้ําปลา 3 ขวด ราคา 55.50 บาท ดงั้ นั้นจะเหลอื เงินกบ่ี าทวธิ ที ํา ซอ้ื เน้ือหมู ซอื้ เนื้อไก 108.00 + บาท 94.50 บาท คดิ เปนเงนิ 202.50 + บาท ซื้อนาํ้ ตาลทราย 25.50 บาท คดิ เปนเงิน 228.00 + บาท ซ้อื นํา้ ปลา 55.50 บาท รวมเปนเงินซื้อของทั้งหมด 283.50 บาท มุกดามีเงิน 500.00 - บาท ซื้อของทั้งหมด 283.50 บาท ดงั นน้ั เหลอื ตอบ 216 บาท 50 สตางค 216.50 บาท ขอสงั เกต สําหรับการบวกหรอื ลบจํานวนเงินซ่ึงอยใู นรูปจดุ ทศนยิ ม ตวั บวกและตัวตงั้ จะตอ งต้ังใหจุดทศนิยมตรงกัน แลวจึงบวกหรือลบตามธรรมดา และผลบวกจะตองมีจุดทศนิยมตรงกับจํานวนที่มาบวกหรอื ลบกนั ดว ยตัวอยา ง เมตตาขายปลาชอนได 7 กิโลกรมั ๆ ละ 63 บาท 75 สตางค จะไดเงินทั้งหมดเทาไรวธิ ที ํา เมตตาขายปลาชอน 1 กโิ ลกรมั ราคา ขายได 63.75 × บาท 7 กโิ ลกรมั ดังนนั้ จะไดเงินท้ังหมด 446.25 บาท ตอบ 446 บาท 25 สตางค ขอสงั เกต การคูณจาํ นวนเงินทเี่ ปน จุดทศนิยม ทําเชน เดยี วกบั การคูณจํานวนเต็ม แตผ ลคูณตอ งมีจํานวนเลขหลังจุดทศนิยมเทากับผลบวกของจํานวนจุดทศนิยมของตัวตั้งและตัวคูณ เชน จากตัวอยางที่ 3 ตวัตั้งมีจํานวนทศนิยม 2 ตวั แตตัวคณู ไมม จี ดุ ทศนิยม ผลคณู จงึ มีทศนิยม 2 ตัวเทา นน้ัตัวอยาง นายทองใบซื้อถานมา 5 เขง คิดเปนเงิน 233 บาท 75 สตางค อยากทราบวาถานราคาเขงละเทาไรวิธีทาํ คาถานทั้งหมด 233.75 บาท นายทองใบซื้อถานมา 5 เขง ดังน้นั ถานราคาเขงละ 5 )233.75 บาท ตอบ 46 บาท 75 สตางค 46.75 บาท
166 ขอสงั เกต การหารจํานวนเงินที่เปนจุดทศนิยม ทําเชนเดียวกับการหารจํานวนเต็มแตผลหารตองใสจดุ ทศนยิ มใหต รงกับตวั ตัง้สรปุ เงนิ 1. เงิน เปนสื่อกลางในการซื้อขายและแลกเปลี่ยนสิ่งของ ในปจจุบันประเทศไทย ใช “บาท” เปนหนว ยของเงนิ ตรา และแบงบาทออกเปนเงินยอย เรียกวา “สตางค” 2. การเขยี นจาํ นวนเลขแสดงจาํ นวนเงนิ บาทและสตางค โดยใชจ ดุ คน่ั ใหใ สจ ดุ คน่ั ระหวา งจาํ นวนเงินบาทและจํานวนสตางค เชน 19 บาท 45 สตางค เขียนเปน 19.45 บาท สว นวธิ อี า นใหอ า นช่ือจาํ นวนเงินเตม็ คือ 19 บาท 45 สตางค 3. การบวกหรือลบจํานวนเงินที่เปนจุดทศนิยม ตองตั้งจุดใหตรงกันแลวทําการบวกหรือลบเหมือนจาํ นวนเลขทว่ั ไป 4. การคูณจํานวนเงินที่เปน จุดทศนยิ ม ทาํ เชน เดยี วกับจํานวนเต็ม แตผ ลคณู ตอ งมีจาํ นวนตําแหนงทศนิยมเทากับผลบวกของตัวต้งั และตัวคูณ 5. การหารจํานวนเงนิ ท่ีเปนจุดทศนิยม ทาํ เชนเดยี วกบั การหารจํานวนเตม็ แตผลหารตองใสจ ุดทศนยิ มใหต รงกบั ตัวต้ังแบบฝกหัดที่ 10จงแสดงวธิ ีทาํ (1) จา ยเงนิ ใหล ูกคนโต 18.50 บาท คนที่สอง 16.50 บาท คนที่สาม 15 บาท คนสุดทอง 12.50 บาท คิดเปนเงินทตี่ องจา ยใหลกู ท้งั หมดเทาไร (2) แมคาขายของไดธนบัตรใบละหา สิบบาท 1 ใบ ๆ ละยสี่ ิบบาท 4 ใบ ๆ ละสิบบาท 7 ใบ เหรยี ญ 5 บาท 8 อัน และเหรียญบาท 9 อัน แมคาขายของไดเงินเทาไร (3) ซอ้ื หมวกใบละ 25 บาท 2 ใบ ปากกา 1 ดาม 65 บาท รองเทาผาใบหนึ่งคู 135 บาท ใหธนบตั ร ใบละหารอ ยบาท จะไดรับเงินทอนเทาไร (4) ซือ้ เสอื้ 8 ตวั ๆ ละ 35 บาท 50 สตางค ถาแมคาลดให 10 บาท จะตองจายเงินเทาไร (5) ซ้ือละมุดมา 1 เขง 24 กโิ ลกรัม เปน เงิน 384 บาท ขายไปกิโลกรัมละ 21 บาท จะไดกําไร ทั้งหมดเทาไร
167 6.4 การอานและบนั ทกึ รายรับ - รายจา ย บรษิ ัท หางหนุ สว น รานคา หรอื องคการคาตาง ๆ จะตอ งทําบญั ชี 5 ประเภท ตามพระราชบญั ญตั ิการบญั ชี คอื บญั ชีเงินสด บัญชลี กู หนแี้ ละเจาหนี้ บัญชีรายวันซือ้ และบัญชรี ายวันขาย บัญชีสนิ ทรัพย และบญั ชีแยกประเภทรายได - รายจาย การทําบัญชี นอกจากจะชว ยใหเ จาหนาที่ผูต รวจสอบบัญชีเก่ยี วกบั การภาษี ไดรับความสะดวกแลวยังชวยทางหางรานไดทราบฐานะการคาที่แทจริงของตนไดดวย บุคคลที่มีงานในชีวิตประจําวันหลายอยางโดยเฉพาะเกี่ยวกับรายรับ – รายจาย ก็มักจะมีการบันทึกรายรับ – รายจายประจําวันของตนเองไวเพื่อชวยความจําวาไดจา ยอะไรบาง เพ่ือสะดวกในการคนหาเมื่อตองการทราบในภายหลัง เชน บนั ทึกรายรบั – รายจาย ของนายชุมพล บันทึกรายจายของนายชุมพล ตงั้ แตว ันท่ี 1 มถิ นุ ายน 2553 ถงึ 7 มถิ นุ ายน 2553วนั เดือน ป รายการ รายรบั รายจาย คงเหลือ1 มิ.ย. 53 500 แมใ หเ งิน 500 - 3002 มิ.ย. 53 2503 มิ.ย. 53 ซื้อเส้อื 1 ตวั - 200 3004 มิ.ย. 53 2755 มิ.ย. 53 ซือ้ หนงั สือ - 50 1256 มิ.ย. 53 2007 มิ.ย. 53 รับจางพับถงุ ไดเ งนิ 50 - 75 ซ้ือขนม - 25 ซอ้ื กางเกง - 150 ขายดอกไมไดเงิน 75 - ซอ้ื รองเทา - 125 บญั ชเี งนิ สด เปนบัญชที บี่ ันทึกวา ในวนั หน่ึง ๆ รับเงนิ เทา ใดจากใครและจา ยเงนิ เทา ใดเรอ่ื งอะไรแกใคร รปู บญั ชีแบงเปน 2 ดาน คือ “รายการรบั ” นยิ มเขยี นวา “ลกู หน้ี” อยูด า นซายมอื รายการจายนยิ มเขียนวา “เจา หน้ี” อยูดานขวามือ ตัวอยางบัญชีเงินสด (งบยอดบัญชใี น 3 วนั )
ลกู หน้ี ตวั อ บญั ชเี งนิ สด (งบยวนั เดือน ป รายการรบั หนา จาํ นวนเงนิ1 ต.ค. 45 ยอดยกมา บญั ชี บาท สต.2 ต.ค. 45 ขายหนงั สือเรยี น 1,500 -3 ต.ค. 45 ขายเครื่องเขียน 2,510 - ขายสมุดแบบฝกหัด 2,325 - ขายหนังสอื เรียน 3,100 - ขายสมุดแบบฝกหัด 2,140 - ขายหนงั สือเรยี น 2,215 - การขายเครื่องแบบลูกเสือ 3,000 - 1,200 - รวม 17,990 -ขอสังเกต 1. คําวา “ยอดยกมา” หมายถึง ยกยอดที่เหลือจากวนั กอนวนั ที่ 1 ต 2. คําวา “ยอดเหลือยกไป” หมายถึง ยกยอดที่เหลือจากงบบัญชีไปล 3. ในชองงบรายจาย จะเห็นวา 17,990 = 8,945 + 9,045 ยอดรายรับทั้งหมด = ยอดรายจายทั้งหมด + ยอดเหลอื ยกไป 4. ยอดเหลือยกไปหาไดจาก รายรับ – รายจาย
อยาง 176ยอดบัญชีในเวลา 3 วนั ) เจา หน้ีวนั เดือน ป รายการจาย หนา จาํ นวนเงนิ บญั ชี บาท สต.1 ต.ค. 45 ซอื้ ของเขาราน 6,000 - จายคาน้ําประปา 130 -2 ต.ค. 45 จายคา ไฟฟา 250 - จายคาโทรศัพท 315 -3 ต.ค. 45 จายคารถบรรทุกของ 100 - ซ้ือของเขา รา น 2,150 - รวม 8,945 - ยอดเหลือยกไป 9,045 - 17,990 -ต.ค. 48 มาเขียนเปนรายรับของวันที่ 1 ต.ค. 45ลงบัญชีวันตอไป
177แบบฝกหดั ที่ 11ก. จงพิจารณารายการตอไปนี้ รายการใดตองลงบัญชีดานรายการรับ (ลกู หน้ี) รายการใด ตองลงบัญชีดานรายการจาย (เจา หน้ี)(1) ซอื้ สินคา เขารา น 1,500 บาท(2) ชาํ ระดอกเบย้ี เงินกู 300 บาท(3) คาจางซอมแซมบาน 500 บาท(4) เงินเหลือจากงบบัญชีครั้งกอน 1,250 บาท(5) คารถบรรทุกสินคา 120 บาท(6) ขายสินคาสง 2,000 บาท(7) ขายหนังสอื เรยี น 3,000 บาท(8) ขายรองเทานักเรียน 450 บาท(9) คาเชาบาน 500 บาท(10) ขายพนั ธุพ ชื 1,200 บาท(11) ขายอาหาร 1,800 บาท(12) คาน้ําประปา 160 บาท(13) คาไฟฟา 230 บาท(14) รับคาจางทําอาหาร 1,350 บาท(15) คาจางคนครัว 800 บาทข. จงทําบัญชีเงินสดของรานอาหารอรอย ดังมีรายการตอไปนี้วันที่ 1 พฤษภาคม 2553 เงนิ ยอดเหลอื ยกมา 2,335 บาท ขายอาหาร 3,500 บาท ซื้ออาหารสด 1,200 บาท เสียคาน้ําประปา 115 บาท จายเงินเดือนคนครัว 800 บาทวนั ที่ 2 พฤษภาคม 2553 ขายอาหารไดเงนิ 4,115 บาท ซื้ออาหารสด 1,500 บาท ซื้อขาวสาร 200 บาท เสยี คาไฟฟา 318 บาท เสียคารถขนของ 130 บาทวนั ที่ 3 พฤษภาคม 2553 รับเงนิ คาจัดงานเลยี้ งนอกสถานท่ี 4,200 บาท เสียคารถบรรทุกของ 200 บาทค. จงทําบัญชีเงินสดของรานขายเครื่องเขียนแบบเรียน “ปญ ญา” ดงั มรี ายการตอ ไปนี้วันที่ 6 เมษายน 2553 เงินคงเหลือยกมา 2,500 บาท ซือ้ ของเขาราน 3,400 บาท ขายหนงั สอื เรยี น 3,000 บาท ขายเครื่องเขียน 4,000 บาท
178วันท่ี 7 เมษายน 2553 ขายหนงั สอื เรียน 5,200 บาท ขายเครื่องแบบลูกเสือ 2,100 บาท ขายรองเทานักเรยี น 1,500 บาท จายคาน้ําประปา 165 บาท จายคา ไฟฟา 135 บาทวันท่ี 8 เมษายน 2553 จายคารถบรรทุกของ 215 บาท ขายหนังสอื เรยี น 2,420 บาท รบั เงินจากลูกคา 1,200 บาทสรปุ การบันทึกรายรับ – รายจาย- การบันทึกรายรับ – รายจายประจําวัน เปนรูปบัญชีเงินสด- รูปบัญชีเงินสดแบง เปนสองดา น ดา นซายมอื เปน รายการรบั หรือ ลกู หน้ี ดานขวามือเปนรายการจาย หรือ เจาหนี้- เวลางบบัญชีรวมรายการรับทั้งหมด และรวมรายการจายทั้งหมดรายรบั – รายจาย = ยอดเหลือยกไป (ในรายการจาย)- ยอดเหลอื ยกไป เปนยอดรายการรับ ในการทําบัญชีวันตอไปรายจาย – ยอดเหลือยกไป = รายรบัเรือ่ งที่ 7 อุณหภูมิอณุ หภูมิ หมายถึง ปรมิ าณความรอ นหรือเย็นของสง่ิ ใดสงิ่ หนึ่ง โดยมีหนว ยการวัดเปน องศา7.1 หนวยการวดั อุณหภมู ิระบบตาง ๆ1) ระบบมาตรฐานสากล (ระบบ SI) หนว ยการวัดเปน เคลวนิ สัญลักษณ ํK2) ระบบที่อนุโลมใช หนว ยการวัดเปน องศาเซลเซยี ส สัญลกั ษณ ํC หนว ยการวัดเปน องศาฟาเรนไฮต สญั ลกั ษณ ํF หนวยการวัดเปนองศาโรเมอร สัญลักษณ ํR
179 เครอื่ งมือวดั อุณหภูมิ หมายเหตุ อณุ หภมู ิปกติของรา งกายมนษุ ยป ระมาณ 37 ํC หรอื 98.6 ํF 7.2 การเปล่ยี นหนวยการวดั อุณหภูมิ เราสามารถเปล่ยี นหนว ยการวดั อุณหภมู ิเปน ระบบตาง ๆ ไดด งั น้ี องศาเซลเซยี ส องศาฟาเรนไฮต องศาเคลวินจดุ เดือด 100 ํC 212 ํF 371 ํK 0 ํC 32 ํF 273 ํKจุดเยือกแข็ง 37 ํC 98.6 ํF 101 ํKอุณหภูมิรา งกาย (ปกติ) 25 Cํ 77 ํF 68.2 ํKอุณหภมู ขิ องหอง จะเหน็ วา ระหวา งจุดเยอื กแข็งถงึ จดุ เดือด องศาเซลเซยี สมี 1 ชวง องศาฟาเรนไฮตมี 18 ชวง(212 – 32 = 180) ดงั นน้ั 1 ชวงองศาเซลเซียส เทากับ 1.8 ชวงขององศาฟาเรนไฮตตวั อยาง ถา วดั อุณหภมู ิหอ งได 34 องศาเซลเซียส (30°C) จะเทากับกี่องศาฟาเรนไฮตวิธีทาํ 1 ชวงขององศาเซลเซียส = 1.8 ชวงขององศาฟาเรนไฮต 30 ชวงขององศาเซลเซียส = 1.8 × 30 ชวงขององศาฟาเรนไฮต = 54 คิดเปนอุณหภูมิในระบบองศาฟาเรนไฮตไดเทากับ 32 + 5 = 86 °F (เนื่องจากระบบฟาเรนไฮตมีจุดเยือกแข็งที่ 32°F ตรงกับ 0°C ของระบบเซสเซียสแบบฝกหดั ท่ี 12 1. ใหน กั ศกึ ษานาํ ปรอทวัดไข อมไวใ ตล นิ้ ประมาณ 3 นาที แลวอานอณุ หภูมิเปนองศาเซลเซียส และองศาฟาเรนไฮต 2. ใหว เิ คราะหผลจากการวัดอุณหภูมขิ องรา งกายวาปกติหรือผิดปกตหิ รอื ไม
180เร่ืองท่ี 8 เวลา 5.1 การบอกและเขียนเวลาจากหนา ปด นาฬิกา 1) สว นประกอบของนาฬกิ า สวนประกอบของนาฬิกา คือ 1.1 หนาปด บนหนาปดแบงออกเปน 12 ชองใหญ ซงึ่ มีตวั เลขกํากบั ไวต ั้งแต 1 ถึง 12 แทน12 ชั่วโมง และในระหวางตัวเลขจะแบงเปน 5 ชองเล็ก แตละชองเล็กแทนเวลา 1 นาทใี นระหวา งตวั เลขมี5 นาที 1.2 นาฬิกา เข็มสั้นบอกเวลาเปนชั่วโมง เข็มยาวบอกเวลาเปนนาที เข็มยาวหมุนไป 1 รอบ หรือ12 ชองใหญ นับเปนเวลา 60 นาที เขม็ สน้ั จะหมนุ ไป 1 ชองใหญ หรอื 1 ชว งตวั เลข นบั เปน เวลา 1 ชั่วโมงดงั นน้ั 1 ชัว่ โมง จึงมี 60 นาที2) การบอกเวลาหรอื การอานเวลา การอา นเวลามที ั้งภาษาราชการ และภาษาพื้นบา น ซ่งึ จะยกตัวอยา งใหดู ดังน้ีเวลากอนเที่ยงวัน เวลาหลงั เทย่ี งวันเวลา ภาษา ภาษา ภาษา ภาษาราชการ พนื้ บา น ราชการ พ้นื บาน7 นาฬกิ า 7 โมงเชา 19 นาฬกิ า 1 ทมุ0 นาฬกิ า เทย่ี งคืน 12 นาฬกิ า เท่ียง25 นาที 25 นาที 25 นาที 25 นาที
181 10 นาฬกิ า 10 โมงเชา 22 นาฬกิ า 4 ทุม 45 นาที 45 นาที 45 นาที 45 นาที 12 นาฬกิ า เทีย่ งวนั 24 นาฬกิ า เทยี่ งคนื 3) การเขียนและอา นเวลาโดยใชจ ดุ การเขียนเวลาโดยใชจุด นิยมเขียนคลาย ๆ กับจุดทศนิยมของเงิน แตตางกันที่จุดทศนิยมของบาทคิดจาก 100 สตางค สวนจุดทศนิยมของเวลาคิดจาก 60 นาที เลขซึง่ อยดู า นซายของจดุ แทนจาํ นวนชวั่ โมง เลขซ่งึ อยดู า นขวาของจดุ แทนจาํ นวนนาที และตอ งนอยกวา 60 ถาเปน 60 ขนึ้ ไป จะตอ งทด 60 ขึ้นไปเปน 1 ช่ัวโมง สวนการอานเวลาที่เขยี นโดยใชจุดจะอานเปนช่ือเต็มเหมือนในขอ 2 ดังตวั อยางตอไปนี้ ภาษาราชการ เวลา การเขยี น ภาษาพ้นื บาน9 นาฬิกา 30 นาที 09.30 น.5 นาฬิกาตรง เกา โมงครง่ึ 05.00 น.1 นาฬิกา 45 นาที ตหี า 01.45 น.13 นาฬิกาตรง ตีหน่งึ ส่ีสิบหา 13.00 น.7 นาฬิกา 5 นาที บา ยโมงตรง 07.05 น.16 นาฬิกา 25 นาที เจด็ โมงหานาที 16.25 น.24 นาฬิกาตรง บา ยส่ีโมงย่สี ิบหานาที 24.00 น.23 นาฬิกา 14 นาที เท่ียงคืน 23.14 น.18 นาฬิกาตรง หาทมุ สบิ สน่ี าที 18.00 น. หกโมงเยน็หมายเหตุ น. ยอ มาจาก นาฬกิ า
182แบบฝก หัดที่ 13จงเขยี นเวลาตอ ไปน้ีโดยใชจ ุด (1) 6 โมงเชา (2) 23 นาฬิกา 15 นาที (3) ตีหนึ่งคร่ึง (4) เทยี่ งคืน 5 นาที (5) บาย 2 โมง 45 นาที (6) 11 นาฬิกา 30 นาที (7) 10 นาฬิกา 40 นาที (8) 4 นาฬิกา 12 นาที8.2 การอานตารางเวลาและการบนั ทกึ เหตุการณห รือกจิ กรรมผูเรยี นดกู าํ หนดการเดินรถไฟขางลางนี้แลว ตอบคําถาม ตารางกําหนดการเดินรถไฟจากสถานีกรงุ เทพฯ ถงึ อุบลราชธานี ดว น เรว็ ธรรมดา สถานี 1 39 63กรุงเทพฯ ออก 21.00 18.45 15.25สระบรุ ี ถึง 23.00 20.48 17.47 ออก 23.01 20.49 17.48 01.46 23.28 21.01นครราชสมี า ถึง ออก 01.51 23.33 21.08 06.30 04.40 03.35อบุ ลราชธานี ถึง(1) รถเร็วออกจากกรุงเทพฯ เวลาเทาไร(2) รถดวนถึงอุบลราชธานีเวลาเทาไร(3) รถดว นหยดุ พกั ทส่ี ถานนี ครราชสมี านานกน่ี าที(4) รถเร็วจากสระบุรีถึงอุบลราชธานีใชเวลาวิ่งนานเทาไร(5) รถดวนจากกรุงเทพฯถึงอุบลราชธานีเร็วกวารถธรรมดาเทาไร(6) รถขบวนไหนถึงนครราชสีมาชาที่สุด(7) ระยะเวลาที่รถเร็ววิ่งจากสระบุรีถึงนครราชสีมาชาหรือเร็วกวารถดวนเทาไร
183แบบฝก หดั ท่ี 14 1. ใหผูเรียนฝกอานตารางรถขนสง ภายในจังหวัดของตนเอง 2. ใหผเู รยี นฝก ปฏิบตั บิ ันทกึ เหตกุ ารณในการมาเรยี นของตนเองใน 1 เดือน8.3 ความสมั พนั ธร ะหวา งหนวยเวลา ความสมั พนั ธข องเวลาตา ง ๆ หรืออาจเรยี กอกี อยา งวา “มาตราเวลา” ไดแก 60 วินาที เปน 1 นาที 60 นาที เปน 1 ชว่ั โมง 24 ชว่ั โมง เปน 1 วนั 7 วัน เปน 1 สปั ดาห 30 วนั เปน 1 เดือน 12 เดือน เปน 1 ป 52 สปั ดาห เปน 1 ป เราสามารถกระจายหรือทอนมาตราเวลาไดโดยงายเหมือนมาตรา ชั่ง ตวง วัด ที่ผานมาดังนี้ตวั อยา ง จงกระจาย 9 วนั 4 ชว่ั โมง 25 นาที ใหเ ปนนาทีวิธที ํา 1 วนั มี 9 × วัน 24 ชว่ั โมง 9 วนั มี 216 ชว่ั โมง กบั อีก 4 + ชว่ั โมง รวมเปน 220 × ชว่ั โมง 1 ชว่ั โมงมี 60 นาที 220 ชว่ั โมงมี 13,200 นาที กับอีก 25 + นาที รวมเปน 13,225 นาที ตอบ 13,225 นาที
184ตวั อยาง 2,349 นาที เทากับกี่วนั กชี่ วั่ โมง กีน่ าทีวธิ ีทํา 60 นาที เปน 1 ชัว่ โมง 2,349 นาที คิดเปนชั่วโมง 2,349 ÷ 60 ชวั่ โมง 39 ชั่วโมง 60 ) 2349 - 180 549 - 540 9 คดิ เปน 39 ชั่วโมง 9 นาที แต 24 ชว่ั โมง เปน 1 วนั 39 ชั่วโมงคิดเปนวัน 39 ÷ 24 วนั 1 24 ) 39 - 24 15 คดิ เปน 1 วัน 15 ชัว่ โมง ดงั นน้ั 2,349 นาทีเทากับ 1 วัน 15 ชั่วโมง 9 นาที ตอบ 1 วนั 15 ชั่วโมง 9 นาที
1858.4 การแกปญหาเกย่ี วกับเวลาตัวอยา งที่ 1 ฉนั เร่มิ ทาํ แบบฝก ทักษะเม่อื เวลา 19.30 น. ทําเสร็จเวลา 21.40 น. ฉันใชเวลานานเทาไรวิธีทาํตัวอยางที่ 2 นาฬกิ า นาทีวิธที าํ ฉนั ทาํ แบบฝกทักษะเสรจ็ เวลา 21 40 - เร่มิ ทําเวลา 19 30 ตอบ 2 ชั่วโมง 10 นาที 2 10 รถดวนออกจากเชียงใหมเวลา 16.50 น. ถึงกรุงเทพฯ เวลา 06.25 น. รวมเวลารถวิ่งเทาไร เชียงใหม 7.10 ชวั่ โมง 6.25 ชัว่ โมง กรุงเทพฯ 16.50 น. 24.00 น. 06.25 น. เวลา 16.50 น. ถงึ 24.00 น. เปน เวลา = 24.00 – 16.50 ชว่ั โมง = 7.10 ชั่วโมง จาก 24.00 น. ถึงเวลา 06.25 น. เปน เวลา = 6.25 ช่ัวโมง ดงั นนั้ จากเชยี งใหมถึงกรุงเทพฯ ใชเ วลา = 7.10 + 6.25 ชว่ั โมง ตอบ 13 ชั่วโมง 35 นาที = 13.35 ชัว่ โมงสรปุ เวลา 1. เวลาเปน สงิ่ ทกี่ ําหนดความยาวนานหรือายุของส่ิงตาง ๆ เวลาที่เปน ชว งยาว ไดแ ก ป เดอื นสปั ดาห และวัน สวนเวลาท่ีเปน ชวงสนั้ ไดแก ช่วั โมง นาที และวนิ าที 2. เครื่องวัดเวลาที่เปนมาตรฐาน คือ นาฬิกา รอบหนาปดนาฬิกาจะมีเพียง 12 ชั่วโมง เขม็ สั้นบอกเวลาเปนชั่วโมง เข็มยาวบอกเวลาเปนนาที 3. การเขียนเวลาเขียนไดทั้งแบบเต็มและแบบใชจุด สวนการอานเวลานั้นอานไดทั้งแบบภาษาราชการและภาษาพื้นบาน
186แบบฝก หัดท่ี 15ก. จงตอบคําถาม (1) เดือนทมี่ ี 30 วัน มีกเ่ี ดือน ชื่อเดือนอะไรบา ง (2) เดือนท่มี ี 31 วัน มกี ่เี ดือน ช่ือเดือนอะไรบาง (3) โดยทว่ั ไปใน 1 เดือน จะมีประมาณกีส่ ัปดาห (4) ป พ.ศ. 2554 นี้ มีทง้ั หมดกีว่ นั (5) วันฉัตรมงคล ป พ.ศ. 2554 ตรงกบั วนั ที่เทา ไร และชอ่ื วนั อะไรข. จงใชปฏิทินเดือน พฤษภาคม 2553 ตอบคําถามตอไปนี้ เดือนพฤษภาคม 2554 อา จ อ พ พฤ ศ ส 12 34567 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 (1) จากปฏิทินสัปดาหสุดทายของเดือนพฤษภาคม 2554 ตรงกบั วนั ที่เทาไร (2) วนั เสารสปั ดาหแ รกของเดอื นพฤษภาคม 2554 ตรงกบั วันท่เี ทาใด (3) ถา วันท่ี 1 ของเดือนเปนวันจนั ทร วนั จันทรถ ดั ไปจะเปนวนั ทเ่ี ทา ไร (4) วันส้นิ เดือนพฤษภาคม 2554 เปน วนั ท่ีเทา ใด ตรงกบั วันอะไร (5) เดือนพฤษภาคม 2554 มีวันที่เทาใดบางเปนวันศุกร
187เรอ่ื งที่ 9 การคาดคะเน 1. การคาดคะเนเกี่ยวกับความยาวพื้นที่ ปริมาตร ความจุ นาํ้ หนกั และเวลา ดช. คณิต ใชความกวางของฝามือการกาวเทา เขาสามารถใชไปคาดคะเนสิ่งของตางๆได ดงั ภาพ คณติ 9 ซม. 50 ซม. คณิตอาจคาดคะเนโดยการกาวเทาระยะที่จะวัด เชน สมมุติระยะทางความยาวของสนามหญา คณิตกา วได 20 กาว น่นั คอื สนามหญานี้ยาวประมาณ 1000 ซม. เทากับ 10 ม. เปน ตน ในทาํ นองเดียวกันฝามือก็อาจใชคาดคะเนความสูงของตูไดเชนเดียวกัน และเมื่อคาดคะเนของความยาวใหคณิตก็สามารถไปหาพื้นที่ของสนามไดเชนกันโดยนําผลการคาดคะเนดานความยาว x ดานความกวาง ครูใหผูเรียนทําการทดลองคาดคะเนในการหาความยาว พ้ืนท่ี ปริมาตร ความจุ นาํ้ หนกัและเวลาโดยการปฏบิ ตั ิจรงิ .
บทที่ 6 เรขาคณติสาระสําคญั 1. รปู ท่ีมเี สน ขอบ ซึง่ ลากจากจดุ เริม่ ตนแลวไมวกกลบั มาพบทจ่ี ุดเร่มิ ตนเรยี กวา รูปเปดและถา ลากจากจุดเร่ิมตน แลว วกกลบั มาพบท่จี ุดเริ่มตน เรียกวา รปู ปด 2. รปู สามเหลีย่ ม เปนรูปปดที่มสี ามดาน สามมุม แตละมุมเรียกวา มมุ ภายในของรปูสามเหลี่ยม 3. รูปส่ีเหล่ียม เปนรูปปดท่มี ีส่ีดาน สีม่ มุ แตล ะมมุ เรยี กวา มุมภายในของรปู ส่ีเหลยี่ ม 4. รูปบนระนาบท่มี จี ุดทุก ๆ จุดหางจากจุดคงทจ่ี ุดหนงึ่ เปนระยะเทา กนั เรยี กวา รปู วงกลมขอบของรูป เรียกวา เสนรอบรูปวงกลมหรือเสนรอบวง จุดคงที่ เรียกวา จุดศูนยกลาง ระยะทางจากจุดศนู ยก ลางไปยังเสน รอบวง เรียกวา รศั มีผลการเรียนรูท ค่ี าดหวงั 1. จําแนกชนิดของรูปเรขาคณิตหนึ่งมิติ สองมิติ และสามมิติได 2. เขาใจลักษณะของลูกบาศกและนําไปใชได 3. เขียนรูปเรขาคณิตหนึง่ มิติ สองมิติ และประดิษฐรปู เรขาคณิตสามมิตไิ ดขอบขา ยเน้ือหา เรื่องที่ 1 รปู เรขาคณิตหน่งึ มิติ เรื่องท่ี 2 รูปเรขาคณิตสองมิติ เรื่องที่ 3 รูปเรขาคณิตสามมิติ เร่ืองท่ี 4 บาศก เรื่องท่ี 5 การสรางรูปเรขาคณิต เร่ืองที่ 6 การประดิษฐรูปเรขาคณิตสามมิติ
189เร่อื งที่ 1 รปู เรขาคณิตหนง่ึ มิติรูปเรขาคณิตหนึง่ มิติ เชน จุด เสน ตรง รงั สี และมมุ1. จดุ ใชแสดงตาํ แหนง เพ่ือใหเ ขา ใจตรงกนั และนยิ มใชต ัวอกั ษรภาษาไทยหรือตัวอกั ษร ภาษาองั กฤษตัวพมิ พใหญ ตงั้ ช่ือจุด เชน .P . ก .A .ข .M2. เสนตรง ถาเขียนจุดตั้งแต 2 จุดขน้ึ ไปใหต ิดตอ กนั จะเกดิ เปนเสน ตรงหรอื เสน โคง การเรยี กช่ือเสน ตรง นยิ มเรยี กตามตัวอักษรสองตัว ซึ่งเปนชอื่ ของจุดสองจดุ ท่ีอยบู นเสน ตรงนน้ั MN เสน ตรง MN เขียนแทนดว ยสญั ลักษณ MN3. สว นของเสนตรง สว นของเสน ตรง เปน สวนหนึง่ ของเสน ตรงซงึ่ มีความยาวจาํ กัดและอยูระหวา งจุดสองจุดท่ีเรียกวา จดุ ปลาย ของสว นของเสนตรงนัน้ เชน ค ง สวนของเสนตรง คงแทนดว ยสญั ลักษณ คง อานวา สว นของเสน ตรง คง ดงั นั้น สวนของเสนตรง คือ สวนทเ่ี ราตอ งการเทานั้น4. รงั สี ลําแสงที่พุงจากกระบอกไฟฉาย ดังภาพขางบนนีจ้ ะเหน็ วา แสงออกจากจุดตง้ั ตน ท่ีหลอดไฟไปทางเดียวกันโดยไมยอนกลับ ความยาวของแสงกําหนดไมได ลักษณะเชนนี้เราเรยี กวา รงั สี
190 รงั สี เปน สวนหนึง่ ของเสนตรง ซ่ึงมจี ุดปลายจดุ เดยี ว รงั สี กข จะเริ่มตนจากจุด ก เชน ก ข5. มมุ เขยี นสัญลกั ษณแ ทนดว ย กข มมุ เกดิ จากรงั สี 2 เสน ที่มีจดุ ปลายเปน จดุ เดยี วกนั จะทาํ ใหเกิดมมุ ขึ้นดงั ภาพขางลาง ป พ ผ รังสี พป และ รังสี พผ มีจดุ ปลายรวมกัน หรือมีจดุ เร่มิ ตนท่ี จุด พ ทาํ ใหเกดิ มุม จุดปลายรว มกนั น้ันเรียกวา จุดยอดมมุ ซึ่งไดแก จุด พ รงั สหี รือสวนของเสนตรงแตละเสน เรยี กวา แขนของมุม ดังนนั้ แขนของมมุ ที่มี พ เปนจดุ ยอดมมุ จงึ ไดแ ก รงั สี พป และ รงั สี พผ6. การเรียกช่ือมุม การเรียกชื่อมุม เรียกตามตัวอักษร 3 ตัว คือ ก ก เปน ชอื่ จุดหนงึ่ บนแขนของมุม ข เปน ชอ่ื จดุ ยอดมมุ ข ดังน้ัน ค ค เปนชือ่ จดุ หนง่ึ บนแขนของมุมอีกขางหนึ่ง แทนดว ย กข∧ค อานวา มุม กขค หรือแทนดวย คข∧ก อานวา มุม คขก บางครง้ั เรียกช่ือมุมส้นั ๆ เฉพาะชอื่ จุดยอดมุม เชน ข∧อา นวา มมุ ข สัญลกั ษณท ่ีใชเ ขยี นแทนมุม ใช ∧ หรือ <ตวั อยา ง มมุ จฉช สามารถเขยี นสญั ลกั ษณไ ดเปน ∠ จฉช หรือ จ∧ฉช7. ชนดิ ของมมุ คือ มมุ ที่มีขนาด 90องศา ชนิดของมุมจําแนกตามขนาดของมุม ดังนี้ เขยี นสัญลกั ษณ แทนมุมฉากไวที่มุมฉาก เชน กข∧ค มีขนาด 90องศา ก 7.1 มุมฉาก ดังนั้น กข∧ค เปนมุมฉาก ขค
191 ค 7.2 มมุ แหลม คือ มมุ ทีม่ ีขนาดเลก็ กวา มุมฉาก หรือ เล็กกวา กข 90 องศา เชน มุม ค∧กข มีขนาด 80 องศา ดงั นน้ั ค∧กข เปนมมุ แหลมก 7.3 มุมปาน คือ มุมที่มีขนาดใหญกวามมุ ฉาก แตไมถ ึง ข 2 มุมฉาก เชน คก∧ข มีขนาด 120 องศา ดังนั้น ค∧กข เปนมุมปาน ค 7.4 มุมตรง คือ มุมที่มีขนาดเทากับ 2 มุมฉาก หรอื 180 องศา เชน จฉ∧ช มีขนาด 2 มุมฉาก จ ฉช ดงั นน้ั จ∧ฉช เปนมุมตรงด 7.5 มุมกลบั คอื มุมทม่ี ขี นาดใหญกวา 2 มุมฉาก แตไมถึง 4 มุมฉาก เชน ดต∧ถ มีขนาด 210 องศา ดังนั้น ตถ ด∧ตถ เปนมมุ กลบัแบบฝก หดั ที่ 1ขอ 1 1.1 จงเขยี นจุด 5 จุด พรอมทั้งตง้ั ชอื่ จุด 1.2 จงเขยี นช่อื และสัญลกั ษณข องสว นเสน ตรง เสนตรงและรังสตี อ ไปนี้ (ก) จช จ ช (ข) ม พ พ ม (ค) ร ท ทร
1922. จงวัดขนาดของมุมตอไปนี้ แลวบอกชนิดของมุมดวย (ก) ก ขคชอ่ื มมุ ..................................................เปน มมุ ...............................ขนาด..................................................องศา..................................(ข) ชอ่ื มุม..................................................เปนมุม............................... ขนาด..................................................องศา.................................. ง จช มุมตอไปนี้เปนมุมชนิดใด มีขนาดเทากันหรือไม (1) มมุ หนงั สอื เรยี นทง้ั ตอนบนและตอนลา ง (2) มุมไมบรรทัดทั้งสองขาง (3) มุมประตูทั้งตอนบนและตอนลาง จงบอกชื่อสิ่งของที่เปนสวนของระนาบมา 5 ช่ือ3. จงพับกระดาษหรือใชกระดาษลอกมุมใดมุมหนึ่งในแตละขอ เพื่อนําไปทาบกับอีกมุมหนึ่ง ดูวามุมคใู ดในขอ ใดบางทเี่ ทา กัน จงสรางมุมโดยวิธีพับกระดาษหรือใชกระดาษบางลอกตามแบบ ใหมีขนาดเทากับมุมในขอ 54. จงเขียนสญั ลกั ษณแสดงสวนของเสนตรงที่ขนานกัน กข คง จฉ ช่อื มมุ ..................................................เปนมุม............................... ขนาด..................................................องศา..................................
193แบบฝกหดั ท่ี 20 1. จงเขยี นสัญลกั ษณแสดงสว นของเสน ตรงทีข่ นานกัน 0 ก ข จ ช ง ฉ ซ 00 ค 0แบบฝก หดั ท่ี 3 1. ลากเสน ตรงผา นจดุ อ ใหขนานกบั บป •อ ป บ 2. ลากเสนตรงผานจดุ ช ใหขนานกบั จฉ จ •ช ฉ3. ลาก คง ตั้งฉากกับ กข ให คง // บป และยาวเทากับ บป ลาก ปง ป •ง ก บ คข ปง ขนานกับ กข หรือไม
194เรอ่ื งที่ 2 รปู เรขาคณติ สองมิติรปู เรขาคณติ สองมิติ เปนรูปปดบนระนาบ เชนรปู สามเหลี่ยม รปู ส่ีเหลย่ี มรูปหลายเหลี่ยมตาง ๆรูปวงกลม รปู วงรี1. ลักษณะและชนดิ ของรูปสามเหล่ยี มรปู สามเหล่ียม เปนรูปปดทป่ี ระกอบดว ยดา น 3 ดาน มมุ 3 มุม และมุมทั้ง 3 มมุ รวมกันจะได180 องศาเสมอ ดังภาพ คดา น 3 ดาน ไดแ ก กข , กค และ ขคมุม 3 มมุ ไดแก ค∧กข. ก∧คข และ ก∧ขค ค∧กข + ก∧คข + ก∧ขค = 180 °และสัญลักษณที่เขียนแทนรูปสามเหลี่ยม กขค คือ ∆ กขค ก ข1.1 รูปสามเหลี่ยมเมื่อแบงตามลักษณะของมุม มี 3 ชนิด คอื(1) รูปสามเหลี่ยมมุมฉาก คือ รูปสามเหลย่ี ม ค ที่มีมุมมุมหนึ่งเปนมุมฉาก (หรือ 90 องศา) ดงั ภาพ ∆ กขค เปนรูปสามเหล่ียมมุมฉาก ก ข เพราะมี ข∧กค เปนมุมฉาก(2) รูปสามเหลี่ยมมุมแหลม คือ รูปสามเหลี่ยม ที่มีมุมทุกมุมเปนมุมแหลม (หรอื มมุ ที่มี ช ขนาดเลก็ กวา 90 องศา) ดงั ภาพ ∆ จฉช เปนรูปสามเหลี่ยมมุมแหลม เพราะมี ฉจ∧ช เปนมุมแหลม ฉช∧จ เปนมุมแหลม จฉ∧ช เปนมุมแหลม จ ฉ(3) รูปสามเหลี่ยมมุมปาน คือ รปู สามเหลยี่ ม ถ ที่มีมุมหนึ่งมุมเปนมุมปาน (หรอื มขี นาด มากกวา 90 องศา) ดังภาพ ∆ ดตถ เปนรูปสามเหลี่ยมมุมปาน ด ต เพราะ ถ∧ดต เปนมุมปาน
195ตัวอยางท่ี 1 จากภาพตอไปน้ี รูปสามเหลีย่ มแตล ะชนิดเปนรปู สามเหล่ยี มอะไร เพราะเหตุใด ค 1. ∆ก∧ขค เปนรูปสามเหลี่ยมมุมปาน เพราะมี ข∧กค = 120° (มากกวามุมฉาก) ข ก120 ช 2. ∆ จ∧ฉช เปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก เพราะ จฉ∧ช = 90° (มุมฉาก) จ ฉ ด 3. ∆ด∧ตป เปนรูปสามเหลี่ยมมุมแหลม เพราะ ดต∧ป = 60° นอ ยกวา 90° 70 50 ตด∧ป = 70° นอยกวา 90° 60 ป ดป∧ต = 50° นอ ยกวา 90°ต1.2 รูปสามเหลี่ยมเมื่อแบงตามลักษณะของดานมี 3 ชนดิ คอื ก ข ค (1) รปู สามเหล่ยี มเหลี่ยมดา นเทา คอื รูปสามเหล่ียม จ ที่มีดานทั้งสามยาวเทากัน และมุมแตละมุม ช จะมีขนาด 60 องศา ฉ จากภาพ ∆กขค เปนรูปสามเหลี่ยมดานเทา เพราะ กข = ขค = กค ก∧= ข∧= ค∧ (2) รูปสามเหลี่ยมหนา จัว่ คือ รูปสามเหล่ยี ม ที่มดี า นเทากนั 2 ดา น เพราะ จช = ฉช เนื่องจากรูปสามเหลยี่ มหนา จั่ว มดี า นเทา กัน 2 ดาน จึงทําใหม มุ ทอ่ี ยตู รงขามกบั ดานคูท่ีเทา กนั มีขนาดเทา กันดวย จากภาพ จะเหน็ วา มุม จ ตรงขามกับ ฉช มมุ ฉ ตรงขามกับ จช ดงั นน้ั ∧จ = ฉ∧
น่นั คือ รปู สามเหลย่ี มหนา จวั่ จะมีดานเทา กัน 2 ดาน และมีมมุ เทา กนั 2 มมุ 196 ม(3) รูปสามเหลี่ยมดานไมเทา คือ รูปสามเหลี่ยม ปที่มีดานทั้งสามยาวไมเทากันจากภาพ ∆ บปม เปนรูปสามเหลี่ยมดานไมเทาเพราะ บป, ปม, และ บม ยาวไมเทากัน บตวั อยางท่ี 2 ∆กขค มี กข = 3 ซม. กค = 4 ซม. และ ขค = 3 ซม. อยากทราบวา ∆กขค เปนรูปสามเหลี่ยมอะไร ข 3 ซม. 3 ซม. เพราะวา กข = ขค = 3 ซม. ก ค ดงั นน้ั ∆ กขค เปน รูปสามเหล่ียมหนาจั่ว 4 ซม.ตัวอยา งที่ 3 จงหามุมภายในของรูปสามเหลี่ยมแตละรูปในตาราง รปู มุม 1 มุม 2 มุม 3∆ กขค 50 50 ∆กขค มี ∧3 = 80° ∆จฉช มี ∧2 = 60°∆ จฉช 60 60 ∆ตปม มี ∧3 = 70°∆ ตปม 30 801.3 สวนสูงและฐานของรูปสามเหลี่ยม เสนที่ลากจากจุดยอดของรูปสามเหลี่ยมไปตั้งฉากกับดานตรงขาม เรียกวา สวนสูง และดานตรงขามคือ ฐาน บ จากภาพ ใน ∆อบป บ ข ถา อป เปนฐานแลว คบ เปน สว นสงู ถา บป เปน ฐานแลว ขอ เปน สวนสูงอ ป ถา อบ เปนฐานแลว ปบ เปน สว นสงู ค
197ตวั อยางท่ี 4 จงหาสวนสูงของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก กขค ดังภาพที่กําหนดค วธิ คี ิด วธิ ีท่ี 1 ถา ให กข เปนฐาน ดงั น้นั สว นสงู คือ กค = 3 ซม.3 ซม. 4.5 ซม. วิธที ่ี 2 ถา ให กค เปน ฐาน ดังนนั้ สวนสงู คอื กข = 3.5 ซม.ก 3.5 ซม. ขตวั อยางท่ี 5 จงหาสวนสูงของ ∆จฉช จากภาพที่กําหนด ช วธิ คี ิด จากภาพ5 ซม. 5 ซม. เพราะวา ชด ต้ังฉากกบั จฉ กบั ที่จุด ด ด ดงั นน้ั ชด เปน สว นสงู ของ ∆จฉชจ 8 ซม. ฉ และ ชด = 3 ซม.ตัวอยา งท่ี 6 จากภาพ สวนสูงของรูปสามเหลี่ยมมุมปาน ดตม ซึ่งมี ตม เปนฐาน คือ เสนใด ด วิธีคดิ เพราะวา จุด ด เปน ยอดของ ∆ดตม ดว ตั้งฉากกับ สว นตอของ ตม ซ่ึงเปน ฐาน ดังนั้น ดว เปน ว สวนสูงของ ∆ดตม ม ตตัวอยา งที่ 7 จากภาพ รปู สามเหลย่ี มหนา จ่ัว กขค มี กข = กค = 4 ซม. และ กง ตง้ั ฉากกบั คข ท่จี ดุ ง จงวัดดคู า คง และ งข ยาวเทาไร ก วธิ ที าํ จากการวดั จะได คง = 2.5 ซม.4 ซม. 4 ซม. งข = 2.5 ซม. ง ดงั น้นั คง = งข = 2.5 ซม.ค 5 ซม. ข น่ันคอื สว นสูงของรปู สามเหลีย่ มหนาจวั่ จะตั้งฉากและแบงครึ่งฐาน
1982. ลักษณะและชนดิ ของรูปสี่เหลยี่ ม รูปสเ่ี หลีย่ มเปนรูปปด ประกอบดว ยดาน 4 ดา น และมมุ 4 มุม มุมภายในทั้ง 4 มุมรวมกันจะได 360 องศา และสญั ลกั ษณท ี่ใชเขยี นแทนรูปสเ่ี หลีย่ ม คอื งค กขจากภาพดาน 4 ดา น ไดแ ก กข, ขค, คง และ งกมุม 4 มมุ ไดแก งกข, กขค, ขคง และ คงก งกข + กขค + ขคง + คงก = 360 °สัญลกั ษณท เ่ี ขียนรูปสเี่ หลีย่ ม กขคง คือ กขคง2.1 รูปส่เี หล่ียมผืนผา รูปสี่เหลี่ยมที่มีมุมทุกมุมเปนมุมฉาก และมีดาน ตรงขามยาวเทา กนัเรยี กวา รปู สเ่ี หล่ียมผนื ผา ค จากภาพ กขคง กข∧ค = ข∧คง = ค∧งก = งก∧ข = 90 ° ง กข = คง ซึ่งเปนดานตรงขามกัน และ กง = ขค ซึ่งเปนดานตรงขามกัน ดงั นน้ั กขคง เปนรปู สเี่ หล่ยี มผนื ผากข 2.2 รปู สีเ่ หลีย่ มจตั ุรสั รูปส่เี หล่ยี มที่มีมุมทุกมุมเปนมุมฉาก และมีดานทั้งสี่ยาวเทากันเรียกวา รปู สเี่ หลย่ี มจตั ุรสั จากภาพ จฉชซ ซช ∧จ = ∧ฉ = ช∧= ซ∧ = 90 ° จฉ = ฉช = ชซ = ซจ = 3.5 ซม. ดงั น้ัน จฉชซ เปน รูปสีเ่ หลีย่ มจตั ุรัสจฉ
199 2.3 รปู สี่เหลยี่ มดานขนาน รูปส่ีเหล่ยี มทม่ี ีดา นตรงขา มขนานกนั และยาวเทา กัน เรียกวา รูปสี่เหล่ียมดานขนาน ล ร จากภาพ มยรล มย // รล และยาวเทากนั มล // ยร และยาวเทากัน ดงั นน้ั มยรล เปนรูปส่เี หลีย่ มดา นขนาน มย2.4 รูปสี่เหลี่ยมขนมเปยกปูน รูปสเี่ หล่ียมที่มดี านทง้ั สีย่ าวเทา กนั และมุมแตล ะมุมไมเปนมมุ ฉาก เรยี กวา รูปส่เี หลีย่ มขนมเปยกปนู จากภาพ ถทธน ธ ถท = ทธ = ธน = นถน มุม ถ∧, ท∧, ธ∧, น∧ ไมเปนมุมฉาก ดงั นน้ั ถทธน เปนรูปส่เี หล่ียมขนมเปยกปนู ถท 2.5 รูปส่เี หลี่ยมคางหมู รปู ส่ีเหล่ียมทมี่ ีดา นคหู น่ึงขนานกัน เรยี กวา รูปสีเ่ หลี่ยมคางหมูง ค จากภาพ กขคง กข // คง ดงั นน้ั กขคง เปนรูปสี่เหลี่ยมคางหมู กข
2002.6 รปู ส่ีเหล่ียมรปู วา ว รูปสีเ่ หลี่ยมที่มีดา นประชิดของมมุ หน่งึ เทา กนั และดานประชิดอกีคูหนึ่งของมุมที่อยูตรงขาม เสนทแยงมุมยาวไมเทากัน แตตัดกันเปนมุมฉาก เรียกวา รูปส่เี หลยี่ มรปู วาว ก จากภาพ กขคง ขง ดา น กข = กง ขค = คง ดงั นน้ั กขคง เปน รปู สีเ่ หลยี่ มรปู วา ว ค2.7 รปู สเี่ หลีย่ มดา นไมเทา รูปส่เี หล่ยี มท่ีมดี า นทัง้ สย่ี าวไมเทากัน เรียกวา รปู สีเ่ หล่ยี มดานไมเทา ค จากภาพ กขคง ง ส่ีเหล่ยี มรปู นี้มดี า นไมเทากัน้ ทั้งสี่ดา น กข3. เสนทแยงมุมและการตัดกันของเสนทแยงมุมง ค รปู ส่ีเหล่ียมใด ๆ จะมมี ุมตรงขาม 2 คู มุมตรงขามกันคูที่ 1 คือ ∧ก และ ∧ค มุมตรงขามกันคูที่ 2 คือ ง∧และ ข∧กข ช ซ มุมตรงขามคูที่ 1 คอื ช∧ กับ ฉ∧ ข มุมตรงขามคูที่ 2 คือ ∧จ กับ ซ∧ กขคง มีเสนทแยงมุม 2 เสน คือ กค และ ขง สวนของเสนตรงที่ลากเชื่อมจุดยอดตรงขามของ รูปสเ่ี หล่ยี ม เรียกวา เสนทแยงมมุ จฉ
201 จฉชซ เปนรปู สเ่ี หลีย่ มผนื ผา จากรปู จฉชซ จฉ และ ฉซ คอื เสน ทแยงมมุ ตดั กันทจ่ี ุด อ จอ และ อช ยาวเทา กัน เสน ทแยงมุมของรูป ผืนผาจะยาวเทากนั และ แบง ครึ่งซ่งึ กนั และกนั3. วงกลม วงกลมมีลักษณะเปน รปู ปด ดงั รูป และจุดท่ีอยูภ ายในวงกลม ซึ่งอยูห า งจากจดุ ตา ง ๆ บนวงกลมเทากันตลอดเรียกวา จุดศูนยกลาง ดังภาพ ก เปนจุดศูนยกลางภายในวงกลม ระยะจากจุดศูนยกลางไปยังจุดใด ๆ บนวงกลมเรียกวา รัศมี เราสามารถลากรัศมีไดหลายเสน กข เปนรัศมีของวงกลม และมจี ุด ก เปนจุดศูนยกลางคก ข จากภาพ สว นของเสน ตรงระหวางจดุ 2 จุด บนวงกลมทผ่ี า นจุดศนู ยกลาง เรียกวา เสน ผานศูนยกลาง ในรปู จุด ก เปนจุดศูนยกลาง กข และ กค เปนรัศมี ขค เปน เสน ผา นศูนยก ลาง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275