51 การเสียบยอด การเสียบยอด คือ การเช่ือมประสานเน้ือเยอื่ ของตน้ พชื 2 ตน้ เขา้ ดว้ ยกนั เพอื่ ใหเ้ จริญเติบโตเป็นตน้ เดียวกนั โดยมีข้นั ตอนการปฏิบตั ิ ดงั น้ี 1. ตดั ยอดตน้ ตอใหส้ ูงจากพ้ืนดิน ประมาณ 10 เซนติเมตร แลว้ ผา่ กลางลาตน้ ของ ตน้ ตอใหล้ ึกประมาณ 3 - 4 เซนติเมตร 2. เฉือนยอดพนั ธุ์ดีเป็นรูปลิ่มยาวประมาณ 3 - 4 เซนติเมตร 3. เสียบยอดพนั ธุ์ดีลงในแผลของตน้ ตอ ใหร้ อยแผลตรงกนั แลว้ ใชเ้ ชือกมดั ดา้ นบน และล่างรอยแผลตน้ ตอใหแ้ น่น
52 4. คลุมตน้ ที่เสียบยอดแลว้ ดว้ ยถุงพลาสติก หรือนาไปเก็บไวใ้ นโรงอบพลาสติก 5. ประมาณ 5 - 7 สัปดาห์ รอยแผลจะประสานกนั ดี และนาออกมาพกั ไวใ้ นโรงเรือนเพ่ือรอการปลูกต่อไป
53 การตดั ชา การตดั ชา คือ การนาส่วนต่าง ๆ ของพชื พนั ธุ์ดี เช่น ใบ และ ราก มาตดั และปักชาในวสั ดุเพาะชา เพอ่ื ใหไ้ ดพ้ ืชตน้ ใหม่จากสวนที่นามาตดั ชา แตใ่ นท่ีน้ีจะขอแนะนาข้นั ตอนการตดั ชาก่ิงซ่ึงมีข้นั ตอน ดงั น้ี 1. ตดั โคนกิ่งใหช้ ิดขอ้ ยาวประมาณ 15 - 20 เซนติเมตร โดยตดั เฉียงเป็ นรูปปากฉลามและตดั ปลายบนใหเ้ หนือตาประมาณ 1 เซนติเมตร 2. ใชม้ ีดปลายแหลมกรีดบริเวณรอบโคนยาว 1 - 1.5 เซนติเมตร ประมาณ 2 - 3 รอย 3. ปักก่ิงชาลงในวสั ดุเพาะชา ลึกประมาณ 2.5 - 5 เซนติเมตร 4. นาเขา้ โรงอบพลาสติก หรือถุงพลาสติกขนาดใหญ่ 5. ประมาณ 25 - 30 วนั ก่ิงตดั ชาจะแตกยอดอ่อน พร้อมออกราก เม่ือมีจานวนมากพอจึงยา้ ยปลูกตอ่ ไป
54 กจิ กรรมใหน้ กั เรียนขยายพนั ธุ์พืชดว้ ยวธิ ีใดตามท่ีเรียนมากไ็ ดแ้ ลว้ บนั ทึกผลลงในตารางท่ีออกแบบไว้ แบบทดสอบคาชี้แจง ใหน้ กั เรียนเลือกคาตอบที่ถูกท่ีสุดเพยี งขอ้ เดียว1.ส่วนประกอบใดของดอกที่ทาใหเ้ กิดการสืบพนั ธุ์ ก. เกสรตวั ผู้ - เกสรตวั เมีย ข. เกสรตวั ผู้ - กลีบดอก ค. เกสรตวั เมีย - กลีบดอก ง. กลีบเล้ียง – กลีบดอก2. การสร้างอาหารของพชื ไมต่ อ้ งอาศยั ขอ้ ใด ก. กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ ข. กา๊ ซออกซิเจน ค. แสงแดด ง. น้า3. การแลกเปล่ียนก๊าซเกิดข้ึนที่ส่วนใดของตน้ ก. ราก ข. ใบ ค. ลาตน้ ง. ดอก4. ใบไมเ้ ปรียบไดก้ บั หอ้ งใดภายในบา้ น ก. หอ้ งนอน ข. หอ้ งน้า ค. หอ้ งครัว ง. หอ้ งนงั่ เล่น5. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ปัจจยั ในการเจริญเติบโตของพชื ก. น้า ข. อากาศ ค. แร่ธาตุ ง. วชั พชื
55เร่ืองที่ 4 สัตว์ สัตวแ์ ตล่ ะชนิดท่ีอาศยั อยตู่ ามธรรมชาติ มีลกั ษณะโครงสร้างภายนอก และภายในแตกตา่ งกนัทาใหเ้ ราสามารถจาแนกประเภทของสตั วอ์ อกเป็ น 2 พวกใหญ่ ๆ คือ 1. สตั วท์ ่ีมีกระดูกสันหลงั และสัตวท์ ่ีไม่มีกระดูกสันหลงั 2. สัตว์เป็ นส่ิงมีชีวิตเพราะเคลื่อนท่ีได้ กินอาหารได้ หายใจได้ ขยั ถ่ายได้ และสามารถขยายพนั ธุ์ออกลูกออกหลานได้ ทาให้สัตวม์ ีจานวนเพ่ิมมากข้ึนในโลกของเรามีสัตวจ์ านวนมากมายหลายชนิด สัตวแ์ ต่ละชนิดมีธรรมชาติ และมีการดารงชีวิตแตกต่างกนั ไป ข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะโครงสร้างภายนอกและลกั ษณะโครงสร้างภายในของสัตวน์ ้นัประเภทของสัตว์ แบ่งออกเป็ น 2 ประเภทคอื สัตวท์ ี่มีกระดูกสันหลงั เป็ นสัตวท์ ี่มีกระดูกต่อกนั เป็ นขอ้ ๆ กระดูกเหล่าน้ีทาหนา้ ท่ีเป็ นแกนของร่างกาย ตวั อยา่ งสัตวม์ ีกระดูกสันหลงั ปลา เป็ นสัตวน์ ้า อาศยั อยู่ท้งั ในน้าจืดและน้าเค็ม ปลามีรูปร่างเรียวยาว เพ่ือให้สะดวกในการเคลื่อนที่ในน้า ลาตวั ของปลามีเกล็ดหรือเมือกปกคลุม ปลายหายใจโดยใช้เหงือก ปลาส่วนใหญ่ออกลูกเป็ นไข่ เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลานิล ปลาตะเพียน ปลาทู เป็ นตน้ แต่ปลาบางชนิดออกลูกเป็ นตวัเช่น ปลาหางนกยูง ปลาเข็ม ปลาสอด ปลาฉลาม (บางพนั ธุ์) ครีบหาง และครีบขา้ งลาตวั ปลา ช่วยให้ปลาเคลื่อนที่ไปในแนวตา่ ง ๆ ได้ กบ อง่ึ อ่าง คางคก เขียด เป็นสตั ว์ คร่ึงน้าคร่ึงบก ตอนเป็นไข่อยใู่ นน้าต่อมาไข่เจริญเติบโตเป็ นตวั อ่อนที่เรียกวา่ “ลูกอ๊อด” ซ่ึงอาศยั อยใู่ นน้าและหายใจโดยใช้เหงือก ขณะลูกอ๊อดอยใู่ นน้าเคลื่อนท่ีโดยใชห้ างวา่ ยน้า เม่ือลูกอ๊อดเจริญเติบโตข้ึน ส่วนหางจะหายไป และมีขา 4 ขา เกิดข้ึน รูปร่างเหมือนตวั แม่โดยทว่ั ไป แตม่ ีขนาดเลก็ และข้ึนมาอาศยั บนบก สตั วค์ ร่ึงน้าคร่ึงบกเม่ือเติบโตเตม็ ที่แลว้ จะหายใจโดยใชป้ อดและผวิ หนงั จระเข้ เต่า งู จิ้งจก เป็ นสัตวเ์ ล้ือยคลานอาศยั อยู่บนบก มีหนังปกคลุมลาตวั เป็ นเกล็ดแข็งและแหง้ หายใจโดยใชป้ อด สัตวเ์ หล่าน้ีออกลูกเป็นไข่ ซ่ึงมีเปลือกแขง็ หรือเปลือกเหนียวน่ิมหุม้ นก เป็ ด ไก่ ห่าน เป็ นสัตวป์ ี ก อาศยั อยู่บนบก มีขา 2 ขา และมีปี ก 2 ปี ก เพ่ือใช้บิน ลาตวัปกคลุมดว้ ยขนท่ีมีกา้ นหายใจโดยใชป้ อด สตั วเ์ หล่าน้ีออกลูกเป็นไข่ ที่มีเปลือกแขง็ หุม้ มนุษย์ ลิง สุนัข ค้างคาว วาฬ โลมา เป็ นสัตวเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนม เพราะสัตวต์ วั เมียจะมีต่อมสร้างน้านม สาหรับเล้ียงลูก ลาตวั ปกคลุมดว้ ยขนท่ีเป็ นเส้น หายใจโดยใชป้ อด สัตวเ์ หล่าน้ีออกลูกเป็ นตวัลกั ษณะโครงกระดูกของลิง คลา้ ยโครงกระดูกของมนุษย์
56สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลงั เป็นสัตวไ์ มม่ ีกระดูกเป็นแกนของร่างกาย สตั วบ์ างชนิดจึงสร้างเปลือกแขง็ ข้ึนมาห่อหุ้มร่างกายเพ่ือป้ องกนั อนั ตราย ตวั อยา่ งสัตวไ์ ม่มีกระดูกสนั หลงั คือ พยาธิ เป็นสัตวไ์ ม่มีกระดูกสนั หลงั ที่มีลาตวั ยาวรูปร่าง กลม หรือ แบน พยาธิส่วนใหญ่จะอาศยัอยใู่ นร่างกายมนุษยห์ รือสัตวต์ า่ ง ๆ และดูดเลือดจากสัตวเ์ หล่าน้นั เป็นอาหาร กุ้ง ก้ัง ปู เป็ นสัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั ท่ีมีสารเป็ นเปลือกแข็งหุ้มลาตวั ลาตวั แบ่งเป็ น 2 ส่วนคือส่วนหัว และส่วนทอ้ ง ที่ส่วนหวั มีตา 1 คู่ มีขนาดใหญ่ท่ีส่วนทอ้ ง มีขาที่มีลกั ษณะต่อกนั เป็ นขอ้สาหรับใชเ้ ดิน วา่ ยน้า หรือช่วยในการกินอาหาร แมลง เป็ นสัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั ที่มีสารเป็ นเปลือกแข็งหุ้มลาตวั เช่นเดียวกบั พวกกุง้ ก้งั ปูแต่ลาตวั ของแมลงแบง่ เป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหวั ส่วนอก และส่วนทอ้ ง ที่ส่วนหวั มีตา 1 คู่ มีหนวดที่ส่วนอกมีขาตอ่ กนั เป็นขอ้ ๆ จานวน 3 คู่ (6 ขา) สาหรับ เดิน วง่ิ กระโดด หรือจบั อาหารกิน หอย จดั เป็นสัตวไ์ มม่ ีกระดูกสันหลงั ท่ีมีลาตวั อ่อนน่ิม มีสารจาพวกหินปูน เป็ นเปลือกแข็งหุ้มลาตวั หอยส่วนใหญ่อาศยั อยใู่ นน้า หอยที่ อาศยั อยใู่ นน้าจืด เช่นหอยกาบ หอยโข่ง หอยขม หอยที่อาศยัอยู่ในน้าเค็ม เช่นหอยแครง หอยแมลงภู่ หอยกะพง เป็ นต้นส่วนหอยบางชนิดอาศยั อยู่บนบก เช่นหอยทาก ปลาหมึกทะเล เป็ นสัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั ที่มีลาตวั อ่อนนุ่ม รูปร่างเรียวยาว ส่วนทา้ ยของลาตวั มีหนวดสาหรับว่ายน้า ในลาตวั ของหมึกทะเล อาจมีแผ่นแข็ง ๆ เรียกว่าลิ้นทะเล ทาหน้าที่เป็ นโครงสร้างของร่างกายหมึก สตั วใ์ นโลกแบ่งเป็ นสัตวม์ ีกระดูกสันหลงั และสัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั สัตวเ์ หล่าน้ีอาศยั อยใู่ นแหล่งท่ีอยอู่ าศยั แตกตา่ งกนั สัตวบ์ างชนิดอาศยั อยใู่ นน้า สัตวบ์ างชนิดอาศยั อยบู่ นบก สัตวบ์ างชนิดอาศยัอยไู่ ดท้ ้งั บนบกและในน้า สัตวเ์ หล่าน้ีเมื่อเกิดและมีชีวิตอยู่ในป่ าหรือในน้าอย่างอิสระตามธรรมชาติเราจดั เป็นสตั วป์ ่ า ส่วนสัตวบ์ า้ น หรือสัตวป์ ่ าที่คนนามาเล้ียงจนเช่ือง เราเรียกวา่ สตั วเ์ ล้ียงโครงสร้างและหน้าทขี่ องระบบต่าง ๆ ในร่างกายสัตว์สตั วต์ ่าง ๆ เป็นส่ิงมีชีวติ ท่ีอาศยั อยใู่ นแหล่งที่อยทู่ ่ีแตกตา่ งกนั และสัตวต์ า่ ง ๆ เหล่าน้ี บางชนิดมีเน้ือเย่ือหรืออวยั วะท่ียงั ไมม่ ีการพฒั นาใหเ้ ห็นไดช้ ดั เจน แตบ่ างชนิดกม็ ีการพฒั นาใหเ้ ห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจน มีความซบั ซอ้ นของโครงสร้างของร่างกายที่แตกตา่ งกนั ออกไป ซ่ึงมีผลทาใหร้ ะบบตา่ ง ๆ มีส่วนประกอบของโครงสร้างและหนา้ ท่ีการทางานท่ีแตกต่างกนั ออกไปดว้ ย
571. ระบบย่อยอาหารของสัตว์ 1.1 การย่อยอาหารในสัตว์มีกระดูกสันหลงั สตั วม์ ีกระดูกสันหลงั ทุกชนิด เช่น ปลา กบ กิ้งก่า แมว จะมีระบบทางเดินอาหารสมบูรณ์ซ่ึงทางเดินอาหารของสตั วม์ ีกระดูกสนั หลงั ประกอบดว้ ย ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไส้เลก็ ทวารหนกั รูปแสดงทางเดินอาหารของววั
581.2 การย่อยอาหารในสัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลงั 1.2.1 การย่อยอาหารในสัตว์ทไี่ ม่มกี ระดูกสันหลงั ทม่ี ีทางเดนิ อาหารไม่สมบูรณ์
59รูปแสดงระบบย่อยอาหารของสัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลงั ทมี่ ีทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์ตารางสรุปการย่อยอาหารในสัตว์ทไ่ี ม่มกี ระดูกสันหลงั ทมี่ ีทางเดนิ อาหารไม่สมบูรณ์ชนิดของสัตว์ ลกั ษณะทางเดินอาหารและการย่อยอาหาร1. ฟองน้า - ยงั ไม่มีทางเดินอาหาร แต่มีเซลลพ์ ิเศษอยผู่ นงั ดา้ นในของฟองน้า เรียกวา่ เซลลป์ ลอกคอ (Collar Cell) ทาหนา้ ท่ีจบั อาหาร แลว้2. ไฮดรา แมงกะพรุน ซีแอนนี สร้างแวควิ โอลอาหาร (Food Vacuole) เพ่อื ยอ่ ยอาหาร โมนี - มีทางเดินอาหารไมส่ มบูรณ์ มีปาก แตไ่ มม่ ีทวารหนกั อาหารจะ3. หนอนตวั แบน เช่น พลานาเรีย ผา่ นบริเวณปากเขา้ ไปในช่องลาตวั ท่ีเรียกวา่ ช่องแกสโตรวาสคิว พยาธิใบไม้ ลาร์ (Gastro vascular Cavity) ซ่ึงจะยอ่ ยอาหารท่ีบริเวณช่องน้ี และกากอาหารจะถูกขบั ออกทางเดิมคือ ปาก - มีทางเดินอาหารไมส่ มบรู ณ์ มีช่องเปิ ดทางเดียวคือปาก ซ่ึงอาหาร จะเขา้ ทางปาก และยอ่ ยในทางเดินอาหาร แลว้ ขบั กากอาหารออก ทางเดิมคือ ทางปาก
60 1.2.2 การย่อยอาหารในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลงั ทมี่ ีทางเดินอาหารสมบูรณ์ สรุปการย่อยอาหารในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลงั ทมี่ ีทางเดินอาหารสมบูรณ์ ชนิดของสัตว์ ลกั ษณะทางเดนิ อาหารและการย่อยอาหาร1. หนอนตวั กลม เช่น พยาธิ - เป็นพวกแรกที่มีทางเดินอาหารสมบรู ณ์ คือ มีช่องปากและไส้เดือน พยาธิเส้นดา้ ย ช่องทวารหนกั แยกออกจากกนั2. หนอนตวั กลมมีปล้อง เช่น - มีทางเดินอาหารสมบรู ณ์ และมีโครงสร้างทางเดินอาหารท่ีมีไส้เดือนดิน ปลิงน้าจืด และ ลกั ษณะเฉพาะแต่ละส่วนมากข้ึนแมลง 2. ระบบหมุนเวียนเลอื ดในสัตว์ ในสตั วช์ ้นั สูงมีระบบหมุนเวยี นเลือด ซ่ึงประกอบดว้ ยหวั ใจเป็นอวยั วะสาคญั ทาหนา้ ท่ีสูบฉีดเลือดไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และมีหลอดเลือดเป็นทางลาเลียงเลือดไปทวั่ ทุกเซลลข์ องร่างกาย แต่ในสตั วบ์ างชนิดใชช้ ่องวา่ งระหวา่ งอวยั วะเป็นทางผา่ นของเลือด ระบบหมุนเวยี นเลือดมี 2 แบบ ดงั น้ี 2.1 ระบบหมุนเวยี นเลอื ดแบบวงจรปิ ด (Closed Circulation System) ระบบน้ีเลือดจะไหลอยภู่ ายในหลอดเลือดตลอดเวลา โดยเลือดจะไหลออกจาหวั ใจไปตามหลอดเลือดชนิดต่าง ๆ แลว้ ไหลกลบั เขา้ สู่หวั ใจใหมเ่ ช่นน้ีเร่ือยไป พบในสตั วจ์ าพวกหนอนตวั กลมมีปลอ้ ง เช่น ไส้เดือนดิน ปลิงน้าจืดและสัตวม์ ีกระดูกสนั หลงั ทุกชนิด
61 รูปแสดงระบบหมุนเวยี นเลือดแบบปิ ด รูปแสดงระบบหมุนเวียนเลือดแบบวงจรปิ ดของสัตว์ชนิดต่าง ๆ 2.2 ระบบหมุนเวียนเลอื ดแบบวงจรเปิ ด (Open Circulation System) ระบบน้ีเลือดท่ีไหลออกจากหวั ใจจะไม่อยใู่ นหลอดเลือดตลอดเวลาเหมือนวงจรปิ ด โดยจะมีเลือดไหลเขา้ ไปในช่องวา่ งลาตวั และที่วา่ งระหวา่ งอวยั วะตา่ ง ๆ พบในสตั วจ์ าพวกแมลง กงุ้ ปู และหอย รูปแสดงระบบหมุนเวยี นเลอื ดแบบวงจรเปิ ด
623. ระบบหายใจในสัตว์ สัตวต์ ่าง ๆ จะแลกเปล่ียนก๊าซกบั สิ่งแวดลอ้ มโดยกระบวนการแพร่ (Diffusion) โดยสัตวแ์ ต่ละชนิดจะมีโครงสร้างที่ใชใ้ นการแลกเปล่ียนก๊าซที่เหมาะสมกบั การดารงชีวิตและส่ิงแวดลอ้ มตา่ งกนั รูปแสดงระบบหายใจของสัตวช์ นิดตา่ ง ๆ รูปแสดงระบบหายใจของสัตว์ชนิดต่าง ๆ
63ชนิดของสัตว์ โครงสร้างทใี่ ช้ในการแลกเปลีย่ นก๊าซ1. สัตวช์ ้นั ต่า เช่น ไฮดรา - ไมม่ ีอวยั วะในการหายใจโดยเฉพาะ การแลกเปล่ียนก๊าซใชเ้ ยอ่ื หุม้แมงกะพรุน ฟองน้า พลานาเรีย เซลลห์ รือผวิ หนงั ท่ีชุ่มช้ืน2. สตั วน์ ้าช้นั สูง เช่น ปลา กงุ้ ปู - มีเหงือก (Gill) ซ่ึงมีความแตกต่างกนั ในดา้ นความซบั ซอ้ น แตท่ าหมึก หอย ดาวทะเล หนา้ ที่เช่นเดียวกนั (ยกเวน้ สัตวค์ ร่ึงบกคร่ึงน้าในช่วงที่เป็ น ลูกออ๊ ดซ่ึงอาศยั อยใู่ นน้า จะหายใจดว้ ยเหงือก ต่อมาเมื่อโตเป็ น ตวั เตม็ วยั อยบู่ นบก จึงจะหายใจดว้ ยปอด)3. สตั วบ์ กช้นั ต่า เช่น ไส้เดือนดิน - มีผวิ หนงั ท่ีเปี ยกช้ืน และมีระบบหมุนเวยี นเลือดเร่งอตั ราการ แลกเปลี่ยนกา๊ ซ4. สตั วบ์ กช้นั สูง มี 3 ประเภท คือ4.1 แมงมุม - มีแผงปอดหรือลงั บก (Lung Book) มีลกั ษณะเป็นเส้น ๆ ยน่ื ออกมานอกผวิ ร่างกาย ทาใหส้ ูญเสียความช้ืนไดง้ ่าย4.2 แมลงต่าง ๆ - มีทอ่ ลม (Trachea) เป็นท่อท่ีติดต่อกบั ภายนอกร่างกายทางรูหายใจ และแตกแขนงแทรกไปยงั ทุกส่วนของร่างกาย4.3 สตั วม์ ีกระดูกสนั หลงั - มีปอด (Lung) มีลกั ษณะเป็นถุง และมีความสัมพนั ธ์กบั ระบบ หมุนเวยี นเลือด4. ระบบขบั ถ่ายในสัตว์ ในเซลลห์ รือในร่างกายของสัตวต์ ่าง ๆ จะมีปฏิกิริยาเคมีจานวนมากเกิดข้ึนตลอดเวลา และผลจากการเกิดปฏิกิริยาเคมีเหล่าน้ี จะทาใหเ้ กิดผลิตภณั ฑท์ ี่มีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวติ และของเสียที่ตอ้ งกาจดัออกดว้ ยการขบั ถ่าย สตั วแ์ ต่ละชนิดจะมีอวยั วะ และกระบวนการกาจดั ของเสียออกนอกร่างกายแตกต่างกนั ออกไป สัตวช์ ้ันต่าท่ีมีโครงสร้างง่าย ๆ เซลล์ที่ทาหน้าที่กาจดั ของเสียจะสัมผสั กบั สิ่งแวดล้อมโดยตรง ส่วนสัตวช์ ้นั สูงที่มีโครงสร้างซบั ซอ้ น การกาจดั ของเสียจะมีอวยั วะที่ทาหนา้ ท่ีเฉพาะ
64ระบบขบั ถ่ายของสัตวช์ นิดต่าง ๆ มีดงั ต่อไปน้ี รูปแสดงระบบขับถ่ายของสัตว์ชนิดต่าง ๆ ชนิดของสัตว์ โครงสร้างหรืออวยั วะขับถ่าย1. ฟองน้า - เยอ่ื หุม้ เซลลเ์ ป็นบริเวณท่ีมีการแพร่ของเสียออกจากเซลล์2. ไฮดรา แมงกะพรุน - ใชป้ าก โดยของเสียจะแพร่ไปสะสมในช่องลาตวั แลว้ ขบั ออกทาง3. พวกหนอนตวั แบน เช่น ปากและของเสียบางชนิดจะแพร่ทางผนงั ลาตวั พลานาเรีย พยาธิใบไม้ - ใชเ้ ฟลมเซลล์ (Flame Cell) ซ่ึงกระจายอยทู่ ้งั สองขา้ งตลอดความ4. พวกหนอนตวั กลมมีปลอ้ ง ยาวของลาตวั เป็ นตวั กรองของเสียออกทางท่อซ่ึงมีรูเปิ ดออกขา้ ง เช่น ไส้เดือนดิน ลาตวั - ใชเ้ นฟริเดียม (Nephridium) รับของเสียมาตามทอ่ และเปิ ดออกมา5. แมลง ทางท่อซ่ึงมีรูเปิ ดออกขา้ งลาตวั - ใชท้ ่อมลั พเิ กียน (Mulphigian Tubule) ซ่ึงเป็นท่อเล็ก ๆ จานวน6. สัตวม์ ีกระดูกสันหลงั มากอยรู่ ะหวา่ งกระเพาะกบั ลาไส้ ทาหนา้ ท่ีดูดซึมของเสียจาก เลือด และส่งต่อไปทางเดินอาหาร และขบั ออกนอกลาตวั ทาง ทวารหนกั ร่วมกบั กากอาหาร - ใชไ้ ต 2 ขา้ งพร้อมดว้ ยท่อไตและกระเพาะปัสสาวะเป็นอวยั วะ ขบั ถ่าย
655. ระบบประสาท ระบบประสาทเป็นระบบท่ีทาหนา้ ที่เก่ียวกบั การส่ังงาน การติดตอ่ เช่ือมโยงกบั ส่ิงแวดลอ้ มการรับคาสั่ง และการปรับระบบต่าง ๆ ในร่างกายใหท้ ากิจกรรมไดถ้ ูกตอ้ งเมื่ออยใู่ นสภาพแวดลอ้ มท่ีแตกตา่ งกนัระบบประสาทของสตั วช์ นิดต่าง ๆ มีดงั ต่อไปน้ี รูปแสดงระบบประสาทของสัตว์ชนิดต่าง ๆชนิดของสัตว์ ระบบประสาท1. ฟองน้า - ไม่มีระบบประสาท2. ไฮดรา แมงกะพรุน - เป็นพวกแรกท่ีมีเซลลป์ ระสาท โดยเซลลป์ ระสาทเชื่อมโยงกนั3. หนอนตวั แบน เช่น พลานาเรีย คลา้ ยร่างแห เรียกวา่ ร่างแหประสาท (Nerve Net) - เป็นพวกแรกท่ีมีระบบประสาทเป็นศูนยค์ วบคุมอยบู่ ริเวณหวั4. สตั วไ์ ม่มีกระดูกสันหลงั ช้นั สูง เช่น ไส้เดือนดิน แมลง หอย และมีเส้นประสาทแยกออกไป ซ่ึงจะมีระบบประสาทแบบ ข้นั บนั ได (Ladder Type System)5. สตั วม์ ีกระดูกสนั หลงั - มีปมประสาท (Nerve Ganglion) บริเวณส่วนหวั มากข้ึน และเรียง ต่อกนั เป็นวงแหวนรอบคอหอยหรือหลอดอาหาร ทาหนา้ ที่เป็น ศนู ยก์ ลางระบบประสาท และมีเส้นประสาททอดยาวตลอดลาตวั - มีสมองและไขสนั หลงั เป็นศนู ยค์ วบคุมการทางานของร่างกาย มีเซลลป์ ระสาทและเส้นประสาทอยทู่ ุกส่วนของร่างกาย
666. ระบบสืบพนั ธ์ุในสัตว์ 6.1 ประเภทของการสืบพันธ์ุของสัตว์ แบง่ ออกเป็ น 2 ประเภท ดงั น้ี 1. การสืบพนั ธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ (Asexual Reproduction) เป็นการสืบพนั ธุ์โดยการผลิตหน่วยส่ิงมีชีวติ จากหน่วยส่ิงมีชีวติ เดิมดว้ ยวธิ ีการตา่ ง ๆ ท่ีไมใ่ ช่จากการใชเ้ ซลลส์ ืบพนั ธุ์ ไดแ้ ก่ การแตกหน่อการงอกใหม่ การขาดออกเป็ นท่อน และพาร์ธีโนเจเนซิส 2. การสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศ (Sexual Reproduction) เป็ นการสืบพนั ธุ์ที่เกิดจากการผสมพนั ธุ์ระหวา่ งเซลลส์ ืบพนั ธุ์เพศผู้ และเซลลส์ ืบพนั ธุ์เพศเมีย เกิดเป็นส่ิงมีชีวติ ใหม่ ไดแ้ ก่ การสืบพนั ธุ์ของสัตว์ช้นั ต่าบางพวก และสัตวช์ ้นั สูงทุกชนิด สัตวบ์ างชนิดสามารถสืบพนั ธุ์ท้งั แบบอาศยั เพศ และแบบไม่อาศยั เพศ เช่น ไฮดรา การสืบพนั ธุ์แบบไม่อาศยั เพศของไฮดราจะใชว้ ธิ ีการแตกหน่อ 6.2 ชนิดของการสืบพนั ธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ มีหลายชนิดดงั น้ี 1. การแตกหน่อ (Budding) เป็นการสืบพนั ธุ์ท่ีหน่วยสิ่งมีชีวติ ใหมเ่ จริญออกมาภายนอกของตวัเดิมเรียกวา่ หน่อ (Bud) หน่อท่ีเกิดข้ึนน้ีจะเจริญจนกระทง่ั ไดเ้ ป็นส่ิงมีชีวติ ใหม่ ซ่ึงมีลกั ษณะเหมือนเดิมแต่มีขนาดเล็กวา่ ซ่ึงตอ่ มาจะหลุดออกจากตวั เดิม และเติบโตต่อไป หรืออาจจะติดอยกู่ บั ตวั เดิมก็ได้ สัตว์ท่ีมีการสืบพนั ธุ์ลกั ษณะน้ีไดแ้ ก่ ไฮดรา ฟองน้า ปะการัง รูปแสดงการแตกหน่อของไฮดรา 2. การงอกใหม่ (Regeneration) เป็นการสืบพนั ธุ์ที่มีการสร้างส่วนของร่างกายท่ีหลุดออกหรือสูญเสียไปใหเ้ ป็นส่ิงมีชีวติ ตวั ใหม่ ทาใหม้ ีจานวนสิ่งมีชีวติ เพิม่ มากข้ึน สตั วท์ ่ีมีการสืบพนั ธุ์ลกั ษณะน้ีไดแ้ ก่ พลานาเรีย ดาวทะเล ซีแอนนีโมนี ไส้เดือนดิน ปลิงน้าจืด
67 รูปแสดงการงอกใหมข่ องพลานาเรียและดาวทะเล 3. การขาดออกเป็ นท่อน (Fragmentation) เป็ นการสืบพนั ธุ์โดยการขาดออกเป็ นท่อน ๆ จากตวั เดิมแลว้ แต่ละทอ่ นจะเจริญเติบโตเป็นตวั ใหม่ได้ พบในพวกหนอนตวั แบน 4. พาร์ธีโนเจเนซีส (Parthenogenesis) เป็ นการสืบพนั ธุ์ของแมลงบางชนิด ซ่ึงตวั เมียสามารถผลิตไข่ที่ฟักเป็ นตวั ได้โดยไม่ตอ้ งมีการปฏิสนธิ ในสภาวะปรกติ ไข่จะฟักออกมาเป็ นตวั เมียเสมอแต่ในสภาพะที่ไม่เหมาะสมกบั การดารงชีวิต เช่น เกิดความแหง้ แลง้ หนาวเยน็ หรือขาดแคลนอาหารตวั เมียจะผลิตไข่ท่ีฟักออกมาเป็ นท้งั ตวั ผู้ และตวั เมีย จากน้นั ตวั ผูแ้ ละตวั เมียเหล่าน้ีจะผสมพนั ธุ์กนัแลว้ ตวั เมียจะออกไข่ท่ีมีความคงทนต่อสภาวะที่ไม่เหมาะสมดงั กล่าว แมลงท่ีมีการสืบพนั ธุ์ลกั ษณะน้ีได้แก่ ตก๊ั แตนกิ่งไม้ เพล้ีย ไรน้า ในพวกแมลงสังคม เช่น ผ้ึง มด ต่อ แตน ก็พบว่ามีการสืบพนั ธุ์ในลกั ษณะน้ีเหมือนกนั แต่ในสภาวะปรกติไข่ที่ฟักออกมาจะไดต้ วั ผเู้ สมอ 6.3 ชนิดของการสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศของสัตว์ มี 2 ชนิด ดงั น้ี 1. การสืบพนั ธ์ุของสัตว์ทม่ี ี 2 เพศในตวั เดียวกนั (Monoecious) โดยทว่ั ไปไม่สามารถผสมกนั ภายในตวั ตอ้ งผสมขา้ มตวั เนื่องจากไข่และอสุจิจะเจริญไม่พร้อมกนั เช่น ไฮดรา พลานาเรียไส้เดือนดิน รูปแสดงการสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศของไฮดราตวั อ่อนหลุดจากรังไข่ แลว้ เจริญเติบโตต่อไป
68 2. การสืบพนั ธ์ุของสัตว์ทมี่ ีเพศผู้และเพศเมยี แยกกนั อย่ตู ่างตวั กนั (Dioeciously) ในการสืบพนั ธุ์ของสัตวช์ นิดน้ีมีการปฏิสนธิ 2 แบบ คือ 2.1 การปฏิสนธิภายใน (Internal fertilization) คือ การผสมระหวา่ งตวั อสุจิกบั ไข่ท่ีอยภู่ ายในร่างกายของเพศเมีย สัตวท์ ่ีมีการปฏิสนธิแบบร้ี ไดแ้ ก่ สัตวท์ ่ีวางไข่บนบกทุกชนิด สตั วท์ ่ีเล้ียงลูกดว้ ยน้านม และปลาที่ออกลูกเป็นตวั เช่น ปลาเขม็ ปลาหางนกยงู ปลาฉลาม 2.2 การปฏิสนธิภายนอก (External fertilization) คือการผสมระหวา่ งตวั อสุจิกบั ไข่ที่อยู่ภายนอกร่างกายของสัตวเ์ พศเมีย การปฏิสนธิแบบน้ีตอ้ งอาศยั น้าเป็นตวั กลางใหต้ วั อสุจิเคลื่อนท่ีเขา้ ไปผสมไข่ได้ สตั วท์ ่ีมีการปฏิสนธิแบบน้ี ไดแ้ ก่ ปลาต่าง ๆ สัตวค์ ร่ึงบกคร่ึงน้า และสตั วท์ ่ีวางไขใ่ นน้าทุกชนิด7. ระบบโครงกระดูกและการเจริญเติบโตของสัตว์ 7.1 ประเภทของโครงกระดูกหรือโครงร่างแข็งของสัตว์ แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด คือ 1. โครงร่างแข็งทอ่ี ย่ภู ายนอกร่างกาย (Exoskeleton) พบไดใ้ นแมลง เปลือกกุง้ ปู หอย เกลด็และกระดองสัตวต์ ่าง ๆ มีหนา้ ที่ป้ องกนั อนั ตรายท่ีอาจเกิดข้ึนกบั อวยั วะท่ีอยภู่ ายใน รูปแสดงโครงร่างแขง็ ทอี่ ย่ภู ายนอกร่างกายของสัตว์ชนิดต่าง ๆ
69 2. โครงร่างแข็งทอี่ ย่ภู ายในร่างกาย (Endoskeleton) ไดแ้ ก่ โครงกระดูกของสัตวท์ ี่มีกระดูกสนั หลงั ท้งั หมด 7.2 การเจริญเติบโตของสัตว์ สตั วท์ ่ีมีโครงร่างหุม้ นอกร่างกาย และมีโครงร่างแขง้ อยภู่ ายในร่างกาย จะมีแบบแผนของการเจริญเติบโตแตกตา่ งกนั ดงั น้ี 1. การเจริญเตบิ โตของสัตว์ทีม่ ีโครงร่างแขง็ หุ้มนอกร่างกาย เช่น แมลง กงุ้ ปู มีการเจริญเติบโตไดย้ าก ดงั น้นั เมื่อเจริญวยั จะตอ้ งมีการสลดั เปลือกเก่าทิง้ ไปที่เรียกวา่ ลอกคราบ (Molting) เพอ่ื ใหผ้ วิร่างกายที่ออ่ นนิ่มเติบโตไดแ้ ลว้ จึงสร้างโครงแขง็ หรือเปลือกมาหุม้ ใหม่ และตอ่ ไปกจ็ ะเจริญดว้ ยการลอกคราบอีก เป็ นเช่นน้ีเรื่อย ๆ ไป ทาใหล้ กั ษณะเส้นกราฟการเจริญเติบโตเป็นรูปข้นั บนั ได ซ่ึงเส้นกราฟจะมีลกั ษณะเพมิ่ ข้ึนอยา่ งฉบั พลนั เป็นระยะที่สิ่งมีชีวติ มีการลอกคราบและเติบโตข้ึน สลบั กบัการเพมิ่ ข้ึนอยา่ งชา้ ๆ ในบางช่วง กราฟแสดงการเจริญเติบโตของมวลนา้
70 ส่วนหอยมีโครงร่างแขง็ หุม้ นอกร่างกายเหมือนกนั แต่ไม่ตอ้ งลอกคราบ มนั จะสร้างเปลือกเพมิ่ ข้ึนเรื่อย ๆ ตวั มนั ท่ีอยภู่ ายในกจ็ ะขยายใหญต่ ามไปดว้ ย สาหรับแมลง การเจริญเติบโตของแมลงแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 พวก ดงั น้ี ชนิดการเจริญเตบิ โตของแมลง ลกั ษณะการเจริญเติบโต1. ไมม่ ีเมตามอร์โฟซีส (Ametamorphosis) - ไมม่ ีการเปล่ียนแปลงรูปร่างในการเจริญเติบโต คือ ไข่ (egg) ตวั อ่อน (young) เหมือนตวั เตม็ วยั แต่เล็กกวา่ ตวั เตม็ วยั (adult) ตวั อยา่ งแมลง เช่น ตวั สองง่าม ตวั สามง่าม แมลงหางดีด วฏั จกั รชีวติ ของแมลงสองง่าม - มีการเปล่ียนแปลงรูปร่างเป็ นข้นั ๆ ในระหวา่ งการ2. มีเมตามอร์โฟซีส (Metamorphosis) เจริญเติบโต แมลงที่เจริญเติบโตลกั ษณะน้ี ไดแ้ ก่2.1 เมตามอร์โฟซีสแบบสมบรู ณ์ (Complete แมลงต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากขอ้ 1.Metamophosis) - มีการเปล่ียนแปลงรูปร่างครบ 4 ข้นั คือ ไข่ (egg) ตวั อ่อน (larva) ดกั แด้ (pupa) ตวั เตม็ วยั (adult) ตวั อยา่ งแมลง เช่น ผ้งึ ดว้ ง แมลงวนั มด ต่อ แตน ไหมวฏั จกั รชีวติ ของดว้ ง วฏั จกั รชีวติ ของแมลงวนั
71 ชนิดการเจริญเติบโตของแมลง ลกั ษณะการเจริญเตบิ โต2.2 เมตามอร์โฟซีสแบบไมส่ มบูรณ์ - มีการเปล่ียนแปลงรูปร่างเพียง 3 ข้นั คือ (Incomplete Metamorphosis) ไข่ (egg) ตวั อ่อนในน้า (naiad) ตวั เตม็ วยัตวั อยา่ งแมลง เช่น แมลงปอ ชีปะขาว จิง้ โจน้ ้า (adult)2.3 เมตามอร์โฟซีสแบบคอ่ ยเป็นค่อยไป วฏั จกั รชีวติ ของแมลงปอ (Gradual Metamorphosis) - มีการเปล่ียนแปลงรูปร่างทีละนอ้ ย โดยมีการตวั อยา่ งแมลง เช่น แมลงสาป จิ้งหรีด จกั จน่ั เปล่ียนแปลงรูปร่างเพยี ง 3 ข้นั คือ เรือด มวนตา่ ง ๆ ไข่ (egg) ตวั อ่อนบนบก (nymph) ตวั เตม็ วยั (adult)วฏั จกั รชีวติ ของแมลงสาป
72 2. การเจริญเตบิ โตของสัตว์ทมี่ ีโครงร่างแข็งอย่ภู ายในร่างกาย มีการเจริญเติบโตเช่นเดียวกบั คนโดยมีเส้นกราฟของการเจริญเติบโตเป็ นรูปตวั เอส (Growth Curve) เช่นเดียวกนั แต่ในสัตวค์ ร่ึงบกคร่ึงน้า เช่น กบ คางคก ในระหวา่ งการเจริญเติบโตจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างน้นั ก็คือสัตวพ์ วกน้ีจะมีเมตามอร์โฟซีส ซ่ึงจะแบ่งไดเ้ ป็ น 2 ช่วงชดั เจน คือ ช่วงท่ีดารงชีวิตอยใู่ นน้า และช่วงท่ีดารงชีวติ อยบู่ นบกซ่ึงมีลาดบั ข้นั การเจริญเติบโต คือ ไข่ ลูกออ๊ ด ตวั เตม็ วยั7.3 ความสัมพนั ธ์ของระบบต่าง ๆ ในร่างกายสัตว์ ระบบตา่ ง ๆ ในร่างกายของสัตวม์ ีความสัมพนั ธ์กนั ท้งั ทางตรงและทางออ้ ม ความสัมพนั ธ์ของระบบเหล่าน้ีทาใหส้ ตั วส์ ามารถดารงชีวติ อยไู่ ด้ แมว้ า่ จะอยใู่ นสภาพแวดลอ้ มท่ีแตกตา่ งกนั ตวั อยา่ งความสมั พนั ธ์ของระบบตา่ ง ๆ ในร่างกายสัตว์ ไดแ้ ก่ 1. การเคลื่อนที่ของสัตว์ เป็ นสมบตั ิที่สาคญั ท่ีทาให้สัตว์แตกต่างจากพืช โดยปรกติสัตวจ์ ะเคล่ือนท่ีเขา้ หาสิ่งที่มีประโยชน์หรือส่ิงที่ตอ้ งการในการดารงชีวิต เช่น อาหาร ท่ีอยู่อาศยั ท่ีเหมาะสมการผสมพนั ธ์ หรือการเล้ียงดูตวั อ่อน แต่จะเคล่ือนหนีจากส่ิงท่ีไม่ตอ้ งการหรือเป็ นอนั ตราย เช่น ศตั รูหรือผลู้ ่า การเคล่ือนท่ีของสตั วไ์ ม่วา่ วตั ถุประสงคใ์ ดก็ตาม ถา้ เป็ นสัตวท์ ี่ไม่มีกระดูกสันหลงั จะเคลื่อนที่ไดต้ อ้ งอาศยั การทางานร่วมกนั ของกลา้ มเน้ือและระบบประสาท ส่วนสัตวท์ ี่มีกระดูกสันหลงั จะเกิดจากการทางานร่วมกนั ของระบบกลา้ มเน้ือ ระบบโครงกระดูก และระบบประสาท
73 2. การเจริญเติบโตของสตั วต์ ้งั แต่ตวั ออ่ นจนเป็นตวั เตม็ วยั จะตอ้ งอาศยั ทุกระบบในร่างกาย และระบบต่าง ๆ เหล่าน้ีจะตอ้ งทางานประสานสัมพนั ธ์กนั จึงจะทาให้การเจริญเติบโตของสัตวเ์ ป็ นไปตามปรกติ เช่น - ระบบยอ่ ยอาหาร จะเป็ นระบบท่ีนาสารอาหารต่าง ๆ เขา้ สู่ร่างกาย เพื่อเป็ นวตั ถุดิบสาคญั ในการเจริญเติบโต - ระบบหายใจ นาก๊าซที่เซลล์ตอ้ งการเขา้ สู่ร่างกายและกาจดั ก๊าซที่เซลล์ไม่ตอ้ งการออกนอกร่างกาย นอกจากน้ียงั ทาหนา้ ที่สร้างพลงั งานใหแ้ ก่เซลล์ ทาใหเ้ ซลลส์ ามารถนาไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ - ระบบหมุนเวยี นเลือด นาสารต่าง ๆ ท่ีมีประโยชนไ์ ปยงั เซลลท์ วั่ ร่างกาย และนาสารที่เซลลไ์ ม่ตอ้ งการไปยงั อวยั วะขบั ถ่ายเพื่อกาจดั ออกนอกร่างกาย - ระบบขบั ถ่าย กาจดั ของเสียที่เซลลไ์ มต่ อ้ งการออกนอกร่างกาย - ระบบโครงกระดูก ถา้ เป็ นโครงร่างแข็งที่อยภู่ ายนอกร่างกาย จะช่วยป้ องกนั อนั ตรายภายในไม่ใหไ้ ดร้ ับอนั ตราย แตถ่ า้ เป็นโครงร่างแขง็ ที่อยภู่ ายใน จะช่วยในการเคล่ือนไหวหรือเคล่ือนท่ี - ระบบประสาท ทาหนา้ ท่ีควบคุมกลไกลการทางานของทุกระบบในร่างกาย เม่ือสัตวเ์ จริญเติบโตเป็ นตวั เตม็ วยั ก็พร้อมท่ีสะสืบพนั ธุ์เพื่อท่ีจะเพิ่มลูกหลาน ทาให้สัตวแ์ ต่ละชนิดสามารถดารงเผา่ พนั ธุ์ไวไ้ ด้การเจริญเตบิ โตของสัตว์( 1 ) การเจริญเตบิ โต ส่ิงมีชีวิตท้งั หลายที่เกิดข้ึนมาแลว้ ยอ่ มตอ้ งมีการเจริญเติบโต สัตวก์ ็เช่นเดียวกนั ยอ่ มจะมีการเจริญเติบโต ซ่ึงจะเป็ นกระบวนการในการเปล่ียนแปลงขนาดและรูปร่าง ซ่ึงเป็ นผลมาจากการเพิ่มจานวนเซลลด์ ว้ ยการแบง่ เซลล์ท่ีมีอยแู่ ลว้ รวมท้งั มีการขยายขนาดของเซลล์ดว้ ยการสร้างไซโทพลาสซึมทาใหเ้ ซลลม์ ีขนาดใหญ่โตข้ึน ในลาดบั ต่อมาเซลล์ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและหนา้ ที่ จนกระทงั่รวมกลุ่มประสานงานในหน้าท่ีจนเกิดเป็ นอวยั วะหลายๆ อวยั วะ อวยั วะต่างๆ เหล่าน้ีรวมตวั กนั เป็ นร่างกายของส่ิงมีชีวติ เพอื่ ดารงชีวติ อยใู่ นสภาพแวดลอ้ มต่อไป อย่างไรก็ตามในขณะที่สัตวก์ าลงั เจริญเติบโต สัตวบ์ างชนิดจะมีการเปล่ียนแปลงรูปร่างเป็ นระยะๆ จนกระทง่ั มีรูปร่างคลา้ ยพ่อแม่ในที่สุด แต่สัตวบ์ างชนิดจะมีรูปร่างเหมือนพอ่ แม่ต้งั แต่เกิดเลยเพียงแต่มีขนาดเล็กกวา่ พอ่ แม่เท่าน้นั การเจริญเติบโต เป็ นกระบวนการที่เก่ียวขอ้ งกบั การเปล่ียนแปลงตา่ งๆ ของส่ิงมีชีวิตทุกระดบั ท้งั ทางโครงสร้างและหนา้ ที่ กระบวนการต่างๆ ของการเจริญเติบโต แบ่งไดเ้ ป็นข้นั ตอนง่าย ๆ คือ
741. การเพม่ิ จานวนเซลล์ ในสิ่งมีชีวติ เซลลเ์ ดียว การแบง่ เซลลถ์ ือวา่ เป็นการสืบพนั ธุ์ เกิดชีวติ ใหมข่ ้ึน มี หลายแบบ เช่นการแบ่งแยกตวั เป็นส่วน ๆ การแตกหน่อ เป็นตน้ ในส่ิงมีชีวติ หลายเซลล์ การแบ่งเซลลเ์ ป็นการเพิ่มจานวนเซลลใ์ หม้ ากข้ึน เช่น การแบง่ เซลล์จากตวั อ่อนเป็นตวั เตม็ วยั สร้างเซลลใ์ หมเ่ พอื่ ทดแทนเซลลเ์ ก่า เช่น เซลลผ์ วิ หนงั2. การเพมิ่ ขนาดเซลล์ เป็นกระบวนการสะสมและสงั เคราะห์สารอินทรียภ์ ายโมเลกุลของเซลล์ ทาใหโ้ มเลกลุ มีขนาดใหญ่ข้ึน หรือมีการรวมกนั ระหวา่ งโมเลกุลกบั โมเลกลุ เป็นผลใหเ้ ซลลต์ อ้ งขยายขนาดตามไปดว้ ย จึงเกิดการเจริญเติบโตของส่ิงมีชีวติ เช่นงูจะมีการลอกคราบเมื่อมีขนาดตวั ใหญ่ข้ึน ถึงแมน้ มนั จะเป็ นงูยกั ษ์ แต่ช่วงชีวิตของมนั น่าสนใจไม่นอ้ ย อานาคอนดา้ จะผสมพนั ธุ์ดว้ ยการที่ตวั ผจู้ ะรัดตวั เมีย แลว้ ฉีดน้าเช้ือเขา้ ไป ตวั เมียจะต้งั ทอ้ งนานประมาณ 2 เดือน เม่ือคลอดลูกมนั จะคลอดลูกเป็นตวั ซ่ึงแปลกกวา่ งูทว่ั ไปซ่ึงคลอดลูกเป็นไข่ เม่ือลูกมนั ออกมาจะออกมาเยอะมากๆ ซ่ึงจะมีบางตวัที่ตาย และตวั ท่ีตายนนั่ แหละจะเป็นอาหารของแม่มนั แต่ถา้ แม่มนั งบั ตวั ท่ียงั ไม่ตายเขา้ ไป ลูกของมนั จะสบดั ตวั แลว้ แม่มนั จะรีบคายทนั ที แต่กวา่ ท่ีลูกมนั จะโตและรอดมาเป็ นตวั เต็มวยั ได้ มนั ก็ตอ้ งเจอศตั รูมากมาย ซ่ึงมีเพยี งไมถ่ ึง10%เทา่ น้นั ท่ีรอดมาได้ เม่ือมนั โตเตม็ วยั มนั ก็พร้อมท่ีจะผสมพนั ธุ์ทนั ทีและมีลูกต่อไป
753. การเปลย่ี นแปลงสภาพของเซลล์ เนื่องจากในระยะแรกเซลลอ์ าจจะทาหนา้ ท่ีอยา่ งหน่ึงแต่เมื่อมีการเปล่ียนแปลงหนา้ ท่ีการทางานจึงเกิดการเปล่ียนสภาพเซลลต์ ามไปดว้ ยเพื่อให้ไดเ้ ซลลท์ ี่สามารถทาหนา้ ท่ีท่ีต่างกนั การเปล่ียนสภาพเกิดท้งั ทางกายภาพและชีวเคมี ท้งั ในระดบั โมเลกุล ระดบั เซลล์ ระดบั เน้ือเยอ่ื ระดบั อวยั วะ และระดบัระบบอวยั วะ เซลลท์ ี่ไดใ้ หมจ่ ะมีหนา้ ตาตา่ งไปจากเซลลเ์ ดิม
76พฒั นาการทางร่างกายของมนุษย์4. การเกดิ รูปร่างทแ่ี น่นอน ส่ิงมีชีวติ จะมีการเปล่ียนแปลงรูปร่างตลอดเวลา ต้งั แต่แรกเกิดจนเป็นตวั เตม็ วยั เน่ืองจากมีการแบง่ เซลลห์ รือเพิ่มจานวนเซลล์ รูปร่างตอนโตอาจจะแตกตา่ งจากตอนแรกเกิดมากหรือไมเ่ หมือนกนั เลยเช่น กบ ผเี ส้ือ เป็นตน้ การเติบโตในส่ิงมีชีวติ ช้นั สูงจะหยุดเมื่อโตเตม็ วยั โดยการใชค้ วามสูงที่หยดุ เป็นเกณฑ์ ไมค่ านึงวา่ น้าหนกั จะเพ่มิ หรือลดลง รูปตวั สามง่าม .
77ปัจจัยทม่ี ีผลต่อการเจริญเติบโต 1. ศกั ยภาพของการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม การที่ส่ิงมีชีวติ จะมีการเติบโตเป็ นอยา่ งไรน้นั ข้ึนกบั พนั ธุกรรมเป็ นอนั ดบั แรก เพราะการเจริญเติบโตของตวั อ่อนจะมีข้นั ตอนเหมือนพ่อแม่แตอ่ ตั ราการเติบโตจะแตกต่างกนั ไดข้ ้ึนกบั สภาพแวดลอ้ มของสิ่งมีชีวติ ในขณะน้นั 2. ปัจจยั ทางส่ิงแวดลอ้ ม 2.1 ปัจจยั ทางชีวภาพ การเติบโตท่ีผดิ ปกติอาจเป็นผลมาจากส่ิงมีชีวติ ท่ีดารงชีวติ อยดู่ ว้ ยกนัเช่น ถา้ ร่างกายมีปรสิต เช่น พยาธิ แบคทีเรีย เกาะทาลายเน้ือเยือ่ หรือดูดสารอาหาร จะทาใหก้ ารเติบโตชา้ ผดิ ปกติหรือตายได้ 2.2 ปัจจยั ทางกายภาพ 2.2.1 ปัจจยั เกี่ยวกบั พลงั งาน ไดแ้ ก่ ความร้อน แสง เสียง เป็นตน้ 2.2.2 ปัจจยั เกี่ยวกบั สารเคมี สารเคมีที่มีผลต่อการเจริญเติบโต คือฮอร์โมนเน่ืองจากฮอร์โมนและสารที่เก่ียวขอ้ งฮอร์โมนจะควบคุมการทางานของระบบต่างๆ ในร่างกายใหเ้ ป็นปกติการขยายพนั ธ์ุสัตว์ ในปัจจุบนั ประชากรโลกไดเ้ พิ่มข้ึนเป็ นจานวนมาก ดงั น้นั ความตอ้ งการสัตวเ์ ป็ นอาหาร และเป็ นสินคา้ ของมนุษยม์ ีเพ่ิมมากข้ึน มนุษยจ์ ึงคิดคน้ หาวิธีการต่าง ๆ ท่ีจะช่วยในการขยายพนั ธุ์สัตวใ์ ห้มีปริมาณมากเพียงพอ รวมท้งั มีคุณภาพตามความตอ้ งการ ปัจจุบนั นกั วทิ ยาศาสตร์ไดน้ าวธิ ีการทางเทคโนโลยสี มยั ใหม่มาใชใ้ นการขยายพนั ธุ์ เพ่ือใหไ้ ด้ปริมาณของสตั วเ์ พิ่มมากข้ึนแทนที่จะใหส้ ตั วผ์ สมพนั ธุ์กนั เองตามธรรมชาติ โดยเทคโนโลยี สมยั ใหม่ที่ใหค้ วามสะดวกและไดผ้ ลดี รวมท้งั เป็นที่นิยมใชก้ นั อยา่ งแพร่หลายในขณะน้ีไดแ้ ก่ การผสมเทยี มและการถ่ายฝากตวั อ่อน ส่วน การทาโคลนนิ่ง เป็นเทคนิคขยายพนั ธุ์แบบใหม่ที่เพิ่งคิดคน้ ไดส้ าเร็จ เมื่อเดือนกมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2540
78 การผสมเทยี ม การผสมเทียม หมายถึง การทาใหเ้ กิดการปฏิสนธิระหวา่ งไขก่ บั อสุจิ ที่มนุษยเ์ ป็นผทู้ าใหเ้ กิดการปฏิสนธิ โดยนาน้าเช้ืออสุจิจากสตั วต์ วั ผทู้ ่ีเป็นพอ่ พนั ธุ์ไปผสมกบั ไข่ของสตั วต์ วั เมียท่ีเป็นแมพ่ นั ธุ์โดยท่ีสตั วไ์ ม่ตอ้ งมีการผสมพนั ธุ์กนั เองตามธรรมชาติ การผสมเทียมสามารถทาไดก้ บั สตั วท์ ้งั ที่มีการปฏิสนธิภายนอกร่างกายของสตั ว์ เช่น การผสมเทียมปลา และการปฏิสนธิภายในร่างกายของสัตว์ เช่น โค กระบือ สุกร แพะ แกะ การผสมเทยี มสัตว์ทมี่ ีการปฏสิ นธิภายในร่างกาย สัตวท์ ี่มีการปฏิสนธิในร่างกายของสตั ว์ ท่ีนิยมการผสมเทียม ไดแ้ ก่ โค กระบือ สุกร แพะ แกะมีข้นั ตอนปฏิบตั ิดงั น้ี 1. การรีดนา้ เชื้อ เป็นการรีดน้าเช้ืออสุจิจากสตั วพ์ อ่ พนั ธุ์ท่ีดี มีความแขง็ แรงสมบูรณ์ และมีอายุพอเหมาะ โดยใชเ้ ครื่องมือสาหรับรีดน้าเช้ือโดยเฉพาะ 2. การตรวจคุณภาพนา้ เชื้อ เป็นการตรวจสอบความสมบรู ณ์ของน้าเช้ือท่ีรีดไดว้ า่ มีปริมาณของตวั อสุจิมากพอแก่การผสมเทียม และมีความแขง็ แรงเพยี งพอแก่การนามาใชห้ รือไม่ 3. การเกบ็ รักษานา้ เชื้อ เป็นการเก็บรักษาน้าเช้ือก่อนที่จะนาไปใช้ โดยจะมีการเติมอาหารลงในน้าเช้ือเพอ่ื ให้ตวั อสุจิไดใ้ ชเ้ ป็ นอาหารตลอดช่วงท่ีเก็บรักษา และเป็นการช่วยใหป้ ริมาณน้าเช้ือมีมากข้ึนจะไดน้ าไปฉีดใหต้ วั เมียไดห้ ลาย ๆ ตวั หลงั จากน้นั จะนาน้าเช้ือที่เติมอาหารแลว้ ไปเก็บไวใ้ นอุณหภูมิต่าซ่ึงแบง่ ออกเป็ น 2 แบบ คือ 1. การเกบ็ น้าเช้ือสด เป็นการเกบ็ น้าเช้ือในสภาพของเหลวในที่อุณหภูมิ 4 - 5 องศาเซลเซียสจะช่วยใหน้ ้าเช้ือมีอายอุ ยไู่ ดป้ ระมาณหน่ึงเดือน แต่หากเก็บรักษาไวท้ ่ี อุณหภมู ิ 15- 20 องศาเซลเซียส จะเกบ็ รักษาไดป้ ระมาณ 4 - 5 วนั เท่าน้นั 2. การเก็บรักษาน้าเช้ือแบบแช่แขง็ เป็นการเก็บน้าเช้ือโดยแช่ไวใ้ นไนโตรเจนเหลวท่ีอุณหภูมิ ต่า - 196 องศาเซลเซียส จะทาใหน้ ้าเช้ืออยใู่ นสภาพของแขง็ วธิ ีการเก็บแบบน้ีจะช่วยให้สามารถเกบ็ ไวน้ านเป็ นปี
79 4. การฉีดเชื้อให้แม่พนั ธูุ ู์ เมื่อจะผสมเทียมจะนาเช้ือสด หรือน้าเช้ือแช่แขง็ ออกมาปรับสภาพใหอ้ ยใู่ นสภาพปกติ แลว้ ใชก้ ระบอกฉีดยาดูดน้าเช้ือท่ีเตรียมไวฉ้ ีดเขา้ ไปในมดลูกของแม่พนั ธุ์เพือ่ ใหเ้ กิดการปฏิสนธิ และต้งั ทอ้ งการผสมเทยี มสัตว์ทม่ี ีการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย การผสมเทียมในสัตวท์ ี่มีการปฏิสนธิภายนอก นิยมทากบั สตั วน์ ้าพวกปลา กุง้ และหอย สาหรับการผสมเทียมปลาน้นั ก่อนที่จะรีดน้าเช้ือและไข่จากปลาพ่อพนั ธุ์ และแม่พนั ธุ์มาผสมกนั จะตอ้ งมีการเตรียมพ่อพนั ธุ์และแม่พนั ธุ์ให้พร้อมท่ีจะผสมพนั ธุ์เสียก่อน โดยการฉีด \" ฮอร์โมน \" เพื่อกระตุน้ ให้พอ่ พนั ธุ์ผลิตน้าเช้ือท่ีสมบูรณ์ และกระตุน้ ใหไ้ ขข่ องแม่พนั ธุ์สุกเตม็ ที่ ซ่ึงฮอร์โมนท่ีใชเ้ ป็ นฮอร์โมนท่ีได้จากต่อมใตส้ มองของปลา หรืออาจจะใชฮ้ อร์โมนสังเคราะห์ก็ได้ การผสมเทียมปลาน้นั มีข้นั ตอนที่สาคญั ดงั น้ี 1. การรีดไข่จากแม่พนั ธ์ุ เป็ นการรีดไข่ออกจากทอ้ งของปลาที่เป็นแมพ่ นั ธุ์ ลงในภาชนะรองรับ โดยนิยมฉีดฮอร์โมนจากตอ่ มใตส้ มองของปลาชนิดเดียวกนั เขา้ ไปในตวั ปลาแม่พนั ธุ์ก่อนเพือ่เร่งไข่ใหส้ ุกเร็วข้ึน 2. การรีดนา้ เชื้อจากพ่อพนั ธูุ ู์ เป็นการรีดน้าเช้ือออกมาจากปลาตวั ผทู้ ่ีเป็นพอ่ พนั ธุ์ ใส่ลงในภาชนะท่ีมีไขป่ ลาท่ีรีดไวแ้ ลว้ 3. การคนนา้ เชื้อให้ผสมกบั ไขู่ เพือ่ ใหอ้ สุจิเขา้ ผสมกบั ไข่อยา่ งทวั่ ถึงมกั นิยมคนไข่ดว้ ยขนไก่อ่อน ๆ ใหท้ วั่ ภาชนะแลว้ ทิ้งไวส้ กั ครู่หน่ึงจึงถ่ายน้าทิง้ 4. นาไข่ปลาทผี่ สมแล้วไปฟัก เป็นการฟักไขท่ ่ีผสมแลว้ ใหเ้ ป็นลูกปลา โดยนาไขท่ ี่ผสมแลว้ ไปฟักในบอ่ หรือภาชนะท่ีเตรียมไว้ เพ่ือใหฟ้ ักเป็นตวั อ่อนของลูกปลาตอ่ ไปการถ่ายฝากตวั อ่อน การถ่ายฝากตวั อ่อน เป็ นวิธีการขยายพนั ธุ์แบบใหม่วิธีหน่ึง โดยมีหลกั การสาคญั คือ การนาตวั ออ่ นท่ีเกิดจากการปฏิสนธิระหวา่ งพอ่ พนั ธุ์ และแม่พนั ธุ์ออกมาจากมดลูกของแม่พนั ธุ์ แลว้ นาไปฝากใส่ใวใ้ นมดลูกของตวั เมียตวั อื่นท่ีเตรียมไวเ้ พื่อให้ต้งั ทอ้ งแทนแม่พนั ธุ์ ซ่ึงทาให้สามารถใชป้ ระโยชน์จากแมพ่ นั ธุ์ไดอ้ ยา่ งคุม้ ตา่ เพราะแม่พนั ธุ์มีหนา้ ท่ีเพยี งผลิตตวั ออ่ น โดยไม่ตอ้ งต้งั ทอ้ ง ซ่ึงวิธีการถ่ายฝากตวั อ่อนน้ีจะทาไดแ้ ตเ่ ฉพาะสัตวเ์ ล้ียงลูกดว้ ยน้านมท่ีออกลูกเป็นตวั และออกลูกคร้ังละ 1 ตวั และใชเ้ วลาต้งั ทอ้ งนาน
80 การทาโคลนน่ิง การทาโคลนนิ่ง เป็นเทคนิคการขยายพนั ธุ์ท่ีทาใหเ้ ซลลไ์ ข่ ซ่ึงผา่ นกรรมวธิ ีบางอยา่ งสามารถเจริญเป็ นตวั ออ่ นไดโ้ ดยที่ไมต่ อ้ งมีการปฏิสนธิตามธรรมชาติ โดยเซลลไ์ ขด่ งั กล่าว จะถูกนานิวเคลียสเก่าออก แลว้ ใส่นิวเคลียสใหม่ ซ่ึงเป็นของเซลลต์ น้ แบบจากสตั วต์ วั ท่ีมีลกั ษณะตามตอ้ งการเขา้ ไปแทนจากน้นั ก็กระตุน้ ใหเ้ ซลลไ์ ข่ท่ีมีนิวเคลียสใหม่แบ่งเซลลไ์ ดเ้ ป็นตวั อ่อน แลว้ จึงนาตวั อ่อนที่ไดไ้ ปฝากไว้ในมดลูกของแมฝ่ ากใหต้ ้งั ทอ้ ง และคลอดลูกแทนแม่ ซ่ึงเป็นเจา้ ของเซลลต์ น้ แบบ สัตวท์ ี่เกิดจากเทคนิคการทาโคลนน่ิงซ่ึงมีชื่อเสียงโด่งดงั ไปทว่ั โลกกค็ ือ \" แกะดอลลี \" ซ่ึงถือกาเนิดข้ึนเม่ือเดือน กมุ ภาพนั ธุ์ พ.ศ. 2540 ( ปัจจุบนั เสียชีวิตไปแลว้ ) โดยเซลลต์ น้ แบบของแกะดอลลีไดม้ าจากเซลลเ์ ตา้ นมของแกะหนา้ ขาว ข้นั ตอนการทาโคลนน่ิงแกะดอลลีเป็นดงั แผนภาพนอกจากแกะดอลลีแลว้ ยงั มีสัตวโ์ คลนน่ิงตวั อ่ืน ๆ ถือกาเนิดข้ึนมาเป็นระยะ ๆ เช่น* \" อิง \" โคโคลนนิ่งตวั แรกของไทย ซ่ึงใชเ้ ซลลใ์ บหูของโคพนั ธุ์แบรงกสั เพศเมียเป็นเซลลต์ น้ แบบ* \" ซีซี \" แมวโคลนน่ิงตวั แรกของโลก ( เซลลท์ ี่อยรู่ อบ ๆ เซลลไ์ ข่ ) เป็นเซลลต์ น้ แบบ
81 ใบงานเร่ืองสัตว์คาสั่ง จงตอบคาถามต่อไปนี้ พร้อมอธิบายมาพอเข้าใจ1. เราสามารถแยกประเภทของสัตว์ อยา่ งไรบา้ ง……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………2. ปัจจยั อะไรบา้ งท่ีมีผลต่อการเจริญเติบโตของส่ิงมีชีวติ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………3. สัตวม์ ีกระดูกสันหลงั แบ่งไดก้ ี่กลุ่ม ประกอบดว้ ยกลุ่มอะไรบา้ ง………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………4. จงยกตวั อยา่ งกลุ่มสัตวท์ ่ีไม่มีกระดูกสนั หลงั มา 5 กลุ่ม……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
82 บทท่ี 4 ระบบนิเวศสาระสาคัญ ความหมาย ความสัมพนั ธ์ของกลุ่มสิ่งมีชีวิต ความสัมพนั ธ์ของห่วงโซ่อาหาร ความสัมพนั ธ์ของส่ิงแวดลอ้ มในทอ้ งถิ่นกบั การดารงชีวติ ของสิ่งมีชีวติผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1. นกั เรียนสามารถอธิบายความสัมพนั ธ์ของกลุ่มสิ่งมีชีวติ ตา่ งๆกบั สภาพแวดลอ้ มได้ 2. นกั เรียนสามารถอธิบายความสัมพนั ธ์ของส่ิงมีชีวติ ในห่วงโซ่อาหารได้ 3. นกั เรียนสามารถอธิบายความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถ่ินกบั การดารงชีวติของสิ่งมีชีวติ ได้ขอบข่ายเนือ้ หา เรื่องที่ 1 ความเป็นอยขู่ องสิ่งมีชีวติ ในทอ้ งถิ่น เร่ืองที่ 2 ห่วงโซ่อาหาร เร่ืองที่ 3 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสภาพแวดลอ้ มกบั การดารงชีวิตของส่ิงมีชีวติ
83เรื่องที่ 1 ความเป็ นอยู่ของสิ่งมชี ีวติ ในท้องถิ่นระบบนิเวศ (Ecosystem) หมายถึง ความสมั พนั ธ์ของกลุ่มสิ่งมีชีวติ ในแหล่งที่อยู่ และมีความสัมพนั ธ์ซ่ึงกนั และกนั ระบบนิเวศท่ีใหญท่ ่ีสุดในโลกเรียกวา่ โลกของสิ่งมีชีวติระบบนิเวศจะประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบพ้ืนฐาน 2 อยา่ งคือ 1. องคป์ ระกอบท่ีไม่มีชีวติ (abiotic component) ไดแ้ ก่ สารประกอบอินทรีย์ และอนินทรีย์(abiotic substanc ) สารประกอบอินทรีย์ เช่น โปรตีน ไขมนั คาร์โบไฮเดรต วติ ามิน ส่วนสารประกอบอนินทรีย์ เช่น น้า คาร์บอนไดออกไซด์ ฯลฯ , สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ (abiotic environment) เช่นอุณหภมู ิ แสงสวา่ ง ความกดดนั 2. องคป์ ระกอบที่มีชีวติ (biotic components) ไดแ้ ก่ ผผู้ ลิต (producer) ผบู้ ริโภค ( consumer)และผยู้ อ่ ยสลาย(decomposer)ประเภทของระบบนิเวศ 1. ระบบนิเวศบนบก ไดแ้ ก่ ระบบนิเวศทะเลทราย ระบบนิเวศแบบทุง้ หญา้ ระบบนิเวศป่ าดิบช้ืน ระบบนิเวศแบบป่ าผลดั ใบเขตอบอุน่ ระบบนิเวศแบบป่ าสน ระบบนิเวศแบบทุนดรา 2. ระบบนิเวศในน้า ไดแ้ ก่ ระบบนิเวศแหล่งน้าจืด ระบบนิเวศแหล่งน้าเคม็ ระบบนิเวศแหล่งน้ากร่อยความสัมพนั ธ์ระหว่างสิ่งมีชีวติความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศ มี 2 แบบ คือ 1. ความสัมพนั ธ์ระหว่างส่ิงมีชีวติ ชนิดเดียวกนั ซ่ึงก่อใหเ้ กิดท้งั ผลดี และผลเสีย ผลดี คือ สร้างความเขม้ แขง็ และความปลอดภยั ในกลุ่ม ผลเสีย คือ แก่งแยง่ อาหาร แยง่ ชิงการเป็นจ่าฝงู 2. ความสัมพนั ธ์ระหว่างสิ่งมีชีวติ ต่างชนิดกนั การอยรู่ ่วมกนั ของสิ่งมีชีวติ ต้งั แต่ 2 ชนิดข้ึนไปในแหล่งที่อยเู่ ดียวกนั มีความสัมพนั ธ์หลายรูปแบบ ไดแ้ ก่
84 ภาวะได้ประโยชน์ร่วมกนั (protocoopera) ส่ิงมีชีวติ ท้งั 2 ฝ่ ายต่างไดป้ ระโยชนด์ ว้ ยกนัท้งั คู่ เช่น ผ้งึ กบั ดอกไม้ เพล้ียกบั มดดา นกเอ้ียงกบั ควาย ภาวะพง่ึ พากนั (mutualism) ส่ิงมีชีวติ ท้งั 2 ฝ่ ายไดป้ ระโยชน์ร่วมกนั แต่ตอ้ งอยรู่ ่วมกนัตลอดเวลา หากแยกกนั อยจู่ ะทาใหอ้ ีกฝ่ าย ไม่สามารถดารงชีวติ อยไู่ ด้ เช่น ไลเคน โพรโทซวั ในลาไส้ปลวก แบคทีเรียในปมรากพืชตระกลู ถวั่ ภาวะองิ อาศัย (commensalism) สิ่งมีชีวติ ฝ่ ายหน่ึงไดป้ ระโยชนอ์ ีกฝ่ ายหน่ึงไมไ่ ด้ และไมเ่ สียประโยชน์ แยกกนั อยไู่ ด้ เช่น เถาวลั ยเ์ กาะบนตน้ ไมใ้ หญ่ กลว้ ยไมก้ บั ตน้ สัก นกทารังบนตน้ ไม้เหาฉลามกบั ปลาฉลาม เพรียงท่ีเกาะบนตวั ของสัตว์ความสัมพนั ธ์ของสิ่งมชี ีวติ กบั สิ่งแวดล้อม แสงสว่าง แสงจากดวงอาทิตยเ์ ป็ นพลงั งานที่มีอิทธิพลต่อส่ิงมีชีวิตทุกชนิดบนโลก ปริมาณแสงในธรรมชาติแต่ละแห่งจะแตกต่างกนั ทาใหส้ ่ิงมีชีวิตในแต่ละแห่งแตกต่างกนั ไป พืชตอ้ งการแสงจากดวงอาทิตยม์ ากกว่าสัตว์ พืชใช้แสงเป็ นพลงั งานในกระบวนการสังเคราะห์แสงเพ่ือสร้างสารอาหาร สารอาหารสร้างข้ึนจะถ่ายทอด ไปยงั สัตวใ์ นห่วงโซ่อาหาร ความตอ้ งการแสงของส่ิงมีชีวิตจะมีความแตกต่างกนั พืชที่มีแสงสวา่ งส่องถึงจะมีความหนาแน่นมากกวา่ บริเวณท่ีมีแสงส่องถึงนอ้ ยพืชแต่ละชนิดตอ้ งการแสงในปริมาณแตกตา่ งกนั แสงมีอิทธิพลตอ่ การดารงชีวิตของสัตว์ สัตวบ์ างชนิดตอ้ งการแสงนอ้ ยมกั อาศยั อยใู่ นร่มเงาหรือในที่มืด เช่น ตวั อ่อนของแมลงในทะเลทรายซ่ึงมีแสงมากในเวลากลางวนั สัตวจ์ ะหลบซ่อนตวั และจะออกหากินในเวลากลางคืน ในทะเลลึกจะมีแสงสวา่ งนอ้ ยมากหรือไม่มีเลย สัตวจ์ ะมีอวยั วะท่ีทาหนา้ ท่ีกาเนิดแสงไดเ้ อง เป็นตน้
85 อุณหภูมิ ส่ิงมีชีวิตจะเลือกแหล่งท่ีอยู่อาศยั ที่มีอุณหภูมิเหมาะสมกบั ตวั เอง อุณหภูมิท่ีเหมาะสมประมาณ 10-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิบนพ้ืนดินจะมีการเปลี่ยนแปลงมากกวา่ ในน้า จึงทาให้สิ่งมีชีวิตบนพ้ืนดิน มีการปรับตวั ในหลายลกั ษณะ เช่น การอพยพหนีหนาวของนกนางแอ่นจากประเทศจีนมาหากินในประเทศไทย ในช่วงฤดูหนาว การจาศีลของกบเพ่ือหนีร้อนหรือหนีหนาว แร่ธาตุและก๊าซ พืช และสัตว์ นาแร่ธาตุและก๊าซต่าง ๆ ไปใช้ในการสร้างอาหาร และโครงสร้างของร่างกาย ความตอ้ งการแร่ธาตุ และก๊าซของส่ิงมีชีวิตจะมีความแตกต่างกนั ความเป็ นกรด-เบสของดินและน้า สิ่งมีชีวติ จะอาศยั อยใู่ นดิน และแหล่งน้าท่ีมีความเป็ นกรด-เบสของดิน และน้าท่ีเหมาะสม จึงจะสามารถเจริญเติบโตและดารงชีวติ อยไู่ ด้ ความเป็ นกรด-เบสของดินและน้าจะข้ึนอยกู่ บั ปริมาณของแร่ธาตุท่ีละลายปะปนอยู่กจิ กรรม ใหน้ กั เรียนออกไปสารวจระบบนิเวศ หรือส่ิงแวดลอ้ มภายในโรงเรียน หรือท่ีบา้ นพร้อมกบั วาดรูปสิ่งแวดลอ้ มน้นั วา่ มีองคป์ ระกอบอะไรบา้ ง และมีความสมั พนั ธ์กนั อยา่ งไร
86 แบบทดสอบจงเลอื กคาตอบทถ่ี ูกทส่ี ุดเพยี งข้อเดียว1. ขอ้ ใดเป็นสิ่งแวดลอ้ มท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึน ก. ป่ าไม้ ข. แม่น้า ค. วฒั นธรรม ง. พ้ืนดิน2. ขอ้ ใดกล่าวไดถ้ ูกตอ้ ง ก. สิ่งแวดลอ้ มคือส่ิงที่อยรู่ อบตวั เราที่ธรรมชาติสร้างข้ึน ข. สิ่งแวดลอ้ มคือสิ่งท่ีอยรู่ อบตวั เราท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึน ค. ส่ิงแวดลอ้ มคือส่ิงที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวติ ก็ได้ อากมองเห็นหรือไม่กไ็ ด้ ง. ถูกทุกขอ้3. ขอ้ ใดเป็นความสัมพนั ธ์ระหวา่ งส่ิงมีชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ก. นกเอ้ียงบนหลงั ควาย ข. การปรุงอาหารของพืช ค. กาฝากบนตน้ ไม้ ง. ปลวกกบั โปรโตซวั4. นกเอ้ียงบนหลงั ควายเป็นความสัมพนั ธ์กนั แบบใด ก. ไดป้ ระโยชน์ร่วมกนั ข. อิงอาศยั ค. พ่งึ พา ง. ยอ่ ยสลาย5. ขอ้ ใดเป็นความสมั พนั ธ์แบบอิงอาศยั ก. เถาวลั ยเ์ กาะบนตน้ ไมใ้ หญ่ ข. แบคทีเรียในปมรากพชื ตระกลู ถวั่ ค. เพล้ียกบั มดดา ง. ผ้งึ กบั ดอกไม้
87เร่ืองท่ี 2 ห่วงโซ่อาหาร (Food Chain)หมายถึง ความสัมพนั ธ์ของส่ิงมีชีวติ ในเรื่องของการกินต่อกนั เป็นทอด ๆ จาก ผผู้ ลิตสู่ผบู้ ริโภค ทาใหม้ ีการถ่ายทอดพลงั งานในอาหารต่อเนื่องเป็นลาดบั จากการกินต่อกนัตัวอย่าง เช่น ขา้ ว ตก๊ั แตน กบ เหยยี่ ว จากแผนภาพ จะสงั เกตเห็นวา่ การกินต่อกนั เป็นทอด ๆ ในห่วงโซ่อาหารน้ี เร่ิมตน้ ที่ ตน้ ขา้ วตามดว้ ยตกั๊ แตนมากินใบของตน้ ขา้ ว กบมากินตก๊ั แตน และ เหยย่ี วมากินกบ ซ่ึงจากลาดบั ข้นั ในการกินตอ่ กนั น้ี สามารถอธิบายไดว้ า่ ต้นข้าว นบั เป็นผผู้ ลิตในห่วงโซ่อาหารน้ี เนื่องจากตน้ ขา้ ว เป็นพืชซ่ึงสามารถสร้างอาหารได้เองโดยใชก้ ระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง ตกั๊ แตน นบั เป็นผบู้ ริโภคลาดบั ท่ี 1 เนื่องจาก ตก๊ั แตนเป็ นสตั วล์ าดบั แรกที่บริโภคขา้ วซ่ึงเป็นผผู้ ลิต
88 กบ นบั เป็นผบู้ ริโภคลาดบั ท่ี 2 เนื่องจาก กบจบั ตกั๊ แตนกินเป็นอาหาร หลงั จากท่ีตกั๊ แตนกินตน้ ขา้ วไปแลว้ เหย่ยี ว เป็นผบู้ ริโภคลาดบั สุดทา้ ย เน่ืองจาก เหยยี่ วจบั กบกินเป็ นอาหาร และในโซ่อาหารน้ีไม่มีสตั วอ์ ื่นมาจบั เหยย่ี วกินอีกทอดหน่ึง ในการเขียนโซ่อาหาร ใหเ้ ขียนโดยเริ่มจากผผู้ ลิต อยทู่ างดา้ นซา้ ย และตามดว้ ยผบู้ ริโภคลาดบั ท่ี1, ผบู้ ริโภคลาดบั ท่ี 2, ผบู้ ริโภคลาดบั ท่ี 3 ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงผบู้ ริโภคลาดบั สุดทา้ ย และเขียนลูกศรแทนการถ่ายทอดพลงั งานจากสิ่งมีชีวติ หน่ึงไปยงั อีก สิ่งมีชีวติ หน่ึง หรือเขียนให้หวั ลูกศรช้ีไปทางผลู้ ่าและปลายลูกศรหนั ไปทางเหยอ่ื นนั่ เอง
89 สายใยอาหาร (Food Web) หมายถึง ห่วงโซ่อาหารหลาย ๆ ห่วงโซ่ ที่มีความคาบเก่ียว หรือสัมพนั ธ์กนั นน่ั คือในธรรมชาติการกินต่อกนั เป็ นทอด ๆ ในโซ่อาหาร จะมีความซบั ซอ้ นกนั มากข้ึน คือ มีการกินกนั อยา่ งไม่เป็ นระเบียบตวั อย่าง เช่น แผนภาพสายใยอาหาร จากแผนภาพสายใยอาหารดา้ นบน จะสังเกตเห็นไดว้ ่า ตน้ ขา้ วที่เป็ นผผู้ ลิตในระบบนิเวศน้นัสามารถถูกสัตวห์ ลายประเภทบริโภคได้ คือ มีท้งั ววั ตกั๊ แตน ไก่ และ ผ้ึง และ สัตวท์ ี่เป็ นผบู้ ริโภคลาดบั ที่ 1 เหล่าน้นั ก็สามารถจะเป็ นเหย่ือของสัตวอ์ ื่น และยงั เป็ นผบู้ ริโภคสัตวอ์ ื่น ไดเ้ ช่นกนั อาทิเช่นไก่ สามารถจะบริโภคตกั๊ แตนได้ และในขณะเดียวกนั ไก่ก็มีโอกาสที่จะถูกงูบริโภคไดเ้ ช่นกนั
90การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนิเวศ ดวงอาทิตยเ์ ป็ นแหล่งพลงั งานสาหรับโลกของส่ิงมีชีวิต กลุ่มสิ่งมีชีวติ ท่ีเป็ นผูผ้ ลิตจะเปล่ียนพลงั งานแสงเป็นพลงั งานที่สะสมไวใ้ นโมเลกุลของสารอาหาร โดยกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงได้ผลผลิตเบ้ืองตน้ คือ กลูโคส ในกระบวนการน้ีมีแก๊สออกซิเจนปล่อยออกสู่บรรยากาศ พลงั งานในโมเลกุลของสารอาหารจะถ่ายทอดจากผูผ้ ลิตสู่ผูบ้ ริโภคลาดบั ต่างๆ จนถึงผูย้ ่อยสลายอินทรียส์ ารซ่ึงพลังงานจะมีค่าลดลงตามลาดบั เพราะส่วนหน่ึงถูกใช้ในการผลิตพลังงานให้แก่ร่างกายโดยกระบวนการหายใจ อีกส่วนหน่ึงสูญเสียไปในรูปของพลงั งานความร้อน ดงั น้นั ลาดบั การถ่ายทอดพลงั งานในโซ่อาหารจึงมีความยาวจากดั โดยปกติจะสิ้นสุดที่ผบู้ ริโภคลาดบั 4 - 5 เทา่ น้นั จากแผนภาพสายใยอาหาร ผทู้ ่ีไดร้ ับพลงั งานจากพืชเป็ นอนั ดบั แรก คือ กระต่าย หนู นกกินพืชตก๊ั แตน จดั เป็นผบู้ ริโภคอนั ดบั 1 ส่วน นกกินแมลง แมงมุม แมลงปี กแขง็ จะไดร้ ับการถ่ายทอดพลงั งานเป็นอนั ดบั ที่ 2 ส่วนเหยย่ี วจดั เป็นผบู้ ริโภคอนั ดบั ท่ี 3 เมื่อพิจารณาแบบแผนของการถ่ายทอดพลงั งานในโซ่อาหารหน่ึง ๆ สามารถเสนอไดใ้ นรูปพิรามิด ไดแ้ ก่ พิรามิดจานวนของสิ่งมีชีวิต (pyramit of numbur) ดงั แผนภาพ โดยทวั่ ไปสัดส่วนของจานวนสิ่งมีชีวิตจะมีลกั ษณะเป็ นรูปพิรามิดฐานกวา้ ง โดยผผู้ ลิตซ่ึงมีจานวนมากท่ีสุดอยู่ตรงตาแหน่งฐานพริ ามิด ผบู้ ริโภคลาดบั ต่าง ๆ ท่ีอยถู่ ดั ข้ึนไปตามลาดบั จะลดลง ตวั เลขที่อยใู่ นพิรามิดแต่ละช้นั แสดงจานวนส่ิงมีชีวิตในแหล่งท่ีอยู่ จะเห็นไดว้ า่ พ้ืนท่ี 1 ตารางเมตรของสระน้าจืดมีผผู้ ลิตอยจู่ านวนมากมาย ส่วนผบู้ ริโภคแต่ละลาดบั จะมีจานวนลดหลนั่ กนั ไป จนถึงผบู้ ริโภคลาดบั 3ซ่ึงเป็ นผบู้ ริโภคลาดบั สุดทา้ ย ในตวั อยา่ งพิรามิดจานวนตามแผนภาพน้ีมี 0.01 ตวั ต่อตารางเมตร การท่ีจานวนของสิ่งมีชีวิตท่ีนับได้ ไม่เป็ นจานวนเต็มเนื่องจากเราคานวณหาจานวนส่ิงมีชีวติ บริเวณผวิ ของสระน้าจืดในพ้ืนที่ 1 ตารางเมตรเท่าน้นั ซ่ึงตามความเป็ นจริงสระน้าจืดน้ี มีพ้ืนท่ีมากกว่า 1 ตารางเมตร เมื่อคานวณจานวนส่ิงมีชีวิตท่ีเป็ นผูบ้ ริโภคอนั ดบั 3 บนผิวของสระน้าจืดทุก ๆ 1 ตารางเมตร ซ่ึงมีจานวนนอ้ ย ผลลพั ธ์จึงไม่เป็นเลขจานวนเตม็ พิรามิดของจานวนส่ิงมีชีวิตอาจไม่จาเป็ นตอ้ งมีลกั ษณะของพิรามิดฐานกวา้ งเพียงอยา่ งเดียวระบบนิเวศสวนลาใยแห่งหน่ึงมีลาใย 200 ตน้ และบริเวณตน้ ลาใยเป็ นแหล่งที่อย่ขู องกลุ่มส่ิงมีชีวิตหลายชนิด ไดแ้ ก่ ผ้งึ แมลงวนั ทอง นก นกฮูก จะเห็นไดว้ า่ ผ้งึ และแมลงวนั ทองที่อาศยั กินน้าหวานจากดอกลาใยน้นั มีจานวนมากกวา่ ตน้ ลาใยหลายเท่า พิรามิดจานวนสิ่งมีชีวิตของระบบนิเวศน้ีจึงมีลกั ษณะดงั แผนภาพ
91 การเสนอขอ้ มูลในรูปของพิรามิดจานวน อาจทาให้เกิดความเขา้ ใจคลาดเคล่ือนได้ เพราะสิ่งมีชีวติ ไม่วา่ จะมีขนาดเล็กเพียงเซลล์เดียว เช่น สาหร่ายเซลลเ์ ดียว หรือสัตวห์ ลายเซลล์ และมีขนาดใหญ่ เช่น ไส้เดือนดินก็จะถูกนับเป็ นหน่ึงเท่ากนั หมด ท้งั ท่ีตามความเป็ นจริงแล้วปริมาณอาหารท่ีผบู้ ริโภคจะไดร้ ับจากสิ่งมีชีวติ ท้งั สองชนิดน้ีแตกตา่ งกนั มาก ดงั น้นั นกั นิเวศวทิ ยาจึงเสนอในรูปของพิรามิดมวลของส่ิงมีชีวิต (pyramit of mass) โดยการคาดคะเนมวลของน้าหนกั แห้งของส่ิงมีชีวติ แต่ละลาดบั แทนการนบั จานวน ท้งั น้ีเพ่ือใหข้ อ้ มูลมีความถูกตอ้ งตามความเป็นจริงมากข้ึน ดงั ตวั อยา่ งในภาพ จานวน หรือมวลของส่ิงมีชีวิตก็ยงั มีการเปล่ียนแปลงไปแต่ละช่วงเวลา และอตั ราการเจริญเติบโตของส่ิงมีชีวิตก็แตกต่างกนั เช่น ตน้ สัก แมว้ า่ จะมีมวลหรือปริมาณมากกว่าสาหร่ายเซลล์เดียวจานวนเป็ นลา้ นเซลล์ แต่สาหร่ายเซลล์เดียวเจริญเติบโตขยายพนั ธุ์ไดร้ วดเร็วในช่วงเวลา 1 ปี จะให้ผลผลิตที่เป็ นอาหารของผูบ้ ริโภคได้มากกว่าตน้ สักเสียอีก ดงั น้ันจึงมีการเสนอขอ้ มูลของพิรามิดพลงั งาน การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนิเวศมีความสาคญั มากเพราะไม่เพียงแต่สารอาหารเหล่าน้นั มีการถ่ายทอดแตส่ ารทุกชนิดท่ีปนเป้ื อนอยใู่ นระบบนิเวศ ท้งั ที่เป็นประโยชน์ และเป็นโทษจะถูกถ่ายทอดไปในโซ่อาหารดว้ ย ตวั อยา่ งเช่น การใชส้ ารเคมีกาจดั ศตั รูพืชพวกแมลง สารเคมีกาจดั เช้ือรา ท่ีรู้จกั กนั ดีคือ DDT ซ่ึงสารเคมีชนิดน้ีจะสลายตวั ยาก มีความคงตวั สูง ทาลายระบบประสาทแมลงไดด้ ี เนื่องจากมีโลหะหนักที่เป็ นพิษเจือปนอยู่ เช่น ปรอท ตะกว่ั หรืออาร์เซนิก สารดงั กล่าวจะตกคา้ งในผูผ้ ลิตและผบู้ ริโภคและถ่ายทอดไปตามลาดบั ในโซ่อาหารซ่ึงปริมาณDDT จะเพ่ิมความเขม้ ขน้ ขน้ เร่ือยๆ ในแตล่ ะลาดบั ของช้นั อาหาร เช่น เน้ือของนกกินปลา 1 กรัม จะมี DDT สะสมมากกวา่ เน้ือปลาที่มีน้าหนกัเทา่ กนั แหล่งชุมชนที่อยู่อาศยั ของแต่ละผูค้ น ในแต่ละแหล่งก็มีการถ่ายเทของเสียออกสู่ธรรมชาติและกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ เช่น ร้านอาหาร อู่ซ่อมรถ โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม และแหล่งเกษตรกรรม ทาใหม้ ีของเสียปล่อยออกสู่สิ่งแวดลอ้ ม และสะสมอยตู่ ามแหล่งน้า ดิน อากาศ ของเสียเหล่าน้ีจะถ่ายทอดไปสู่ผผู้ ลิต และผบู้ ริโภคลาดบั ต่าง ๆ รวมถึงกลบั มาสู่ตวั มนุษย์ ซ่ึงเป็ นส่วนหน่ึงในโซ่อาหาร ทาให้มีผลต่อสุขภาพ ของเสียบางอยา่ งยงั เป็ นท่ีมีพิษรุนแรง เช่น พวกโลหะหนกั ถา้ ร่างกายไดร้ ับสารน้นั ในปริมาณมากอาจเป็นอนั ตรายถึงชีวติ ได้
92 ในบางกรณีของเสีย หรือสารพษิ ท่ีสะสมอยใู่ นแหล่งตา่ ง ๆ อาจไม่ถ่ายทอดถึงมนุษย์ เพราะเป็ นอนั ตรายต่อผบู้ ริโภคในลาดบั ตน้ ๆ เสียก่อนแลว้ ทาใหโ้ ซ่อาหารถูกทาลาย แต่มนุษยก์ ็ไดร้ ีบผลกระทบเช่นกนั ท้งั ในแง่ท่ีขาดแคลนอาหาร และส่งผลถึงเศรษฐกิจดว้ ย ดงั น้นั จึงควรมีการป้ องกนั และการจดั การเก่ียวกบั การกาจดั ของเสียอยา่ งถูกตอ้ ง กจิ กรรมใหน้ กั เรียนออกไปสารวจ ระบบนิเวศ บริเวณโรงเรียนหรือบา้ น แลว้ เขียน สายใยอาหารดงั กล่าวและระบุดว้ ยวา่ อะไรเป็นผผู้ ลิต อะไรเป็ นผบู้ ริโภคลาดบั ที่เทา่ ใด
93 แบบทดสอบจงเลอื กคาตอบทถี่ ูกต้องทสี่ ุดเพยี งคาตอบเดยี วใหพ้ ิจารณาแผนผงั ต่อไปน้ีแลว้ ตอบคาถามขอ้ 1- 4พชื หนอน นก คน1. ขอ้ ใดเป็นผผู้ ลิต ข. หนอน ก. พชื ง. คน ค. นก2. ขอ้ ใดเป็นผบู้ ริโภค ข. หนอน นก คน ก. พืช ง. พชื หนอน นก ค. พืช หนอน นก คน3. ขอ้ ใดเป็นผบู้ ริโภคข้นั ที่ 1 ข. หนอน ก. พชื ง. คน ค. นก4. ขอ้ ใดเป็นผบู้ ริโภคข้นั สุดทา้ ย ข. หนอน ก. พชื ง. คน ค. นก
94เรื่องที่ 3 ความสัมพนั ธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมกบั การดารงชีวติ ของสิ่งมชี ีวติ ความหมายของการปรับตัว การปรับตวั (Adaptation) หมายถึง กระบวนการท่ีสิ่งมีชีวติ มีการเปล่ียนแปลงหรือปรับลกั ษณะ บางประการใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มท่ีอาศยั อยซู่ ่ึงลกั ษณะที่เปลี่ยนแปลงไป ดงั กล่าวจะอานวย ประโยชนแ์ ก่ชีวิตในแง่ของการอยรู่ อดและสามารถสืบพนั ธุ์ตอ่ ไปได้ ปัจจยั ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การอยรู่ อดของส่ิงมีชีวติ มีหลายประการ ไดแ้ ก่ การแสวงหาอาหาร การ สืบพนั ธุ์ การต่อสู้กบั ศตั รู และการหลบหลีกศตั รู หรือสิ่งแวดลอ้ ม สิ่งมชี ีวติ มกี ารปรับตัว ดังนี้ 1. การเกิดและการคงรูปร่าง ท่าทาง ลกั ษณะ หรือหนา้ ที่ ของสิ่งมีชีวติ ในประชากร ทาให้ เหมาะสมและสามารถดารงชีพอยไู่ ดใ้ นสภาวะแวดลอ้ มน้นั ๆการปรับตวั ชนิดน้ีเกิดจากการ คดั เลือกโดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวติ ที่แปรผนั ทาใหเ้ กิดความแตกต่างกนั ทางพนั ธุกรรม 2. ลกั ษณะทางสรีรวทิ ยา พฤติกรรมหรือสัณฐาน ซ่ึงควบคุมโดยพนั ธุกรรม เอ้ืออานวยให้ สิ่งมีชีวติ ชนิดน้นั ๆอยไู่ ดใ้ นสภาวะแวดลอ้ มอยา่ งเหมาะสมจนกระทงั่ สืบพนั ธุ์ได้ 3. เกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงชีวติ ของส่ิงมีชีวติ ชนิดใดชนิดหน่ึง เช่น การขาดออกซิเจนไป เล้ียงสมองทาใหค้ นลม้ ลง ทาใหเ้ ลือดส่งออกซิเจนไปเล้ียงสมองไดเ้ ร็วข้ึน นน่ั คือ การเป็นลม หรือนกบางชนิดมีการเปลี่ยนสีของขนนก หรือพฤติกรรมในบางฤดู เช่น ในช่วงสืบพนั ธุ์ของ นกยงู นกยงู ตวั ผจู้ ะราแพนอวดหางอนั สวยงามการปรับตวั ทางพนั ธุกรรมเป็ นผลที่เกิดจากการ คดั เลือกโดยธรรมชาติ ส่ิงมีชีวติ ทุกชนิดจาเป็นตอ้ งปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มไดจ้ ึงจะอยู่ รอด การปรับตวั น้นั เกิดไดท้ ้งั ในแง่ รูปร่าง สรีรวทิ ยาหรือพฤติกรรม หากการปรับตวั น้นั เหมาะสมและสามารถถ่ายทอดได้ พนั ธุกรรมแลว้ ทาใหเ้ กิดววิ ฒั นาการท้งั สิ้นการปรับตวั ของสิ่งมีชีวติ เป็ นผลของการคดั เลือก ตามธรรมชาติ ลกั ษณะที่ปรากฏจะอานวยประโยชน์แก่ส่ิงมีชีวติ ในแง่ของการอยรู่ อด และ สามารถสืบพนั ธุ์ได้ ลกั ษณะดงั กล่าวที่คงไวใ้ นสิ่งมีชีวติ น้ีถูกควบคุมโดยหน่วยพนั ธุกรรม ส่ิงมีชีวติ ที่ปรับตวั ไดด้ ีจะสามารถดารงชีวิตและแพร่พนั ธุ์ตอ่ ไปได้
95ดงั น้นั ส่ิงมีชีวติ จะมีการเปล่ียนแปลงร่างกายใหม้ ีความคลา้ ยคลึงกบั ธรรมชาติท่ีอาศยั อยทู่ ้งั น้ีเพอ่ื อาพรางศตั รูท่ีจะเขา้ มาทาร้าย และอาพรางเหยอื่ ท่ีหลงเขา้ ไปใกลต้ วั ซึงเหยอ่ื ของส่ิงมีชีวติแตล่ ะชนิด จะแตกต่างกนั เพื่อความสะดวกในการบริโภค ตามรูปภาพแสดงลกั ษณะปากของแมลงบางชนิดการปรับตวั ด้านต่างๆของส่ิงมชี ีวติส่ิงมีชีวติ ทุกชนิดจะมีการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มที่อาศยั อยเู่ สมอ ท้งั น้ีก็เพื่อความอยู่รอดและสามารถสืบพนั ธุ์ต่อไปได้ แตเ่ น่ืองจากสิ่งมีชีวิตในโลกมีมากมายหลายชนิด การปรับตวั ของส่ิงมีชีวติ แตล่ ะชนิดจึงมีลกั ษณะแตกต่างกนั ไป ซ่ึงจะพอสรุปไดด้ งั น้ีการปรับตวั ของจิง้ จก จิ้งจกจะปรับสีตามผนงั หรือเพดานท่ีมนั อาศยั อยู่ ถา้ เป็นตึกสีขาวจิง้ จกจะปรับตวั ใหม้ ีสีซีดเกือบขาว แตถ่ า้ อยตู่ ามบา้ นไม้ ก็จะปรับสีเป็นสีน้าตาลการปรับตวั ของนกเป็ดน้า นกเป็ดน้าที่อาศยั และหากินอยใู่ นน้าจะปรับขนเป็นมนั ขามีพงั ผดืระหวา่ งนิ้ว เพือ่ ใชใ้ นการวา่ ยน้าและสะดวกในการจบั ปลากินเป็นอาหารการปรับตวั ของสิ่งมีชีวติ ตา่ งๆเหล่าน้ี มีจุดประสงคเ์ พอ่ื อาพรางตวั ให้รอดพน้ จากการล่าของศตั รูหรืออาพรางเหยอื่ ที่หลงเขา้ มาใกลต้ วั และเพ่อื สะดวกในการหาอาหารกินสิ่งมีชีวติ บางชนิดจะมีการปรับตวั ทางดา้ นรูปร่าง ใหม้ ีลกั ษณะคลา้ ยคลึงกบั ธรรมชาติ ซ่ึงเป็นแหล่งที่อยอู่ าศยั เพื่ออาพรางศตั รูท่ีจะเขา้ มาทาร้าย เพ่ืออาพรางเหยอื่ ท่ีหลงเขา้ มาใกลต้ วัการปรับตวั ของต๊ักแตนท้งั 3 ชนิด มกี ารปรับลกั ษณะรูปร่างดังนี้1. ตกั๊ แตนกิ่งไม้ มีลาตวั สีน้าตาลและขายาวเกง้ กา้ ง เม่ือเกาะอยกู่ บั ท่ีน่ิงๆจะมีลกั ษณะคลา้ ยก่ิงไม้2. ตก๊ั แตนใบโศก มีลาตวั สีเขียวหรือสีน้าตาล เม่ือเกาะอยกู่ บั ที่น่ิงๆปี กจะประกบกนั ทาให้มองดูคลา้ ยใบไม้3. ตกั๊ แตนตาขา้ ว มีลาตวั สีเขียว ขาคู่หนา้ มีขนาดใหญ่ และปลายขาจะมีอวยั วะสาหรับจบั เหยอื่เมื่อเกาะอยกู่ บั ที่นิ่งๆปี กจะซอ้ นกนั คลุมลาตวั มองดูคลา้ ยใบไม้สิ่งมีชีวติ นอกจากจะปรับลกั ษณะรูปร่างใหก้ ลมกลืนกบั ส่ิงแวดลอ้ ม ท่ีอาศยั อยแู่ ลว้ บางชนิดเช่น แมลง ยงั ปรับลกั ษณะปากเพื่อความเหมาะสมต่ออาหารหรือเหยอื่ ที่กินอีกดว้ ยการปรับ
96ลกั ษณะปากของแมลงใหเ้ หมาะสมตอ่ เหยอื่ ท่ีกิน มีผลทาใหแ้ มลงแตล่ ะชนิดมีโครงสร้างทางสรีระแตกต่างกนั คือแมลงที่กดั กินใบไม้ จะปรับส่วนปากใหม้ ีลกั ษณะคลา้ ยกรรไกรหรือคีมเพื่อกดั กิน บดเค้ียวหรือแทะอาหารออกเป็นชิ้นเล็กๆ เช่น จิ้งหรีด ตกั๊ แตน แมลงสาบ มด เป็นตน้ ปากของแมลงกลุ่มน้ี เรียกวา่ ปากกดัแมลงที่กินอาหารเป็นของเหลว จะปรับส่วนปากใหม้ ีลกั ษณะแบนคลา้ ยใบพายริมฝีปากจะแผ่กวา้ งเพือ่ เลียและดูดซบั อาหาร ภายในมีท่อกลวงสาหรับเป็ นทางเปิ ดของทอ่ น้าลายช่วยในการยอ่ ยและเป็นทางเดินของอาหารสู่คอหอย แมลงกลุ่มน้ี เช่น แมลงวนั เหลือบ ผ้งึ เป็นตน้ ปากของแมลงกลุ่มน้ี เรียกวา่ ปากเลียและดูดแมลงที่ดูดน้าจากเหยอื่ จะปรับส่วนปากใหม้ ีลกั ษณะเป็นทอ่ ยาวๆคลา้ ยเขม็ ยนื่ ออกมาเพอื่ ใช้เจาะและดูดอาหารจาพวกน้าจากเหยอ่ื เช่น ยงุ เพล้ียอ่อน แมงดานา เป็ นตน้ ปากของแมลงกลุ่มน้ี เรียกวา่ ปากเจาะและดูดแมลงท่ีดูดกินน้าหวานจากดอกไม้ ปรับส่วนปากใหม้ ีลกั ษณะเป็นวงมว้ นเกบ็ ไดห้ ลงั จากดูดอาหารเสร็จแลว้ เช่น ผเี ส้ือ เป็นตน้ ปากของแมลงกลุ่มน้ีเรียกวา่ ปากดูดการปรับตวั ของสตั วเ์ พือ่ ความเหมาะสมตอ่ การกินอาหารของสัตว์ แตล่ ะชนิดทาใหส้ ตั วแ์ ตล่ ะชนิดมีโครงสร้างทางสรีระแตกตา่ งกนั เช่น แมลงท่ีกดั กินใบไมจ้ ะมีขากรรไกรเพื่อการบดเค้ียวแมลงที่กินอาหารเป็นของเหลวกจ็ ะปรับส่วนปากเป็นท่อสาหรับดูดซบั เป็ นตน้ การปรับตวัของสตั วเ์ ช่นน้ีทาใหส้ ตั วด์ ารงชีวติ อยใู่ นส่ิงแวดลอ้ มน้นั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และสามารถแพร่พนั ธุ์ตอ่ ไปได้การปรับตัวของพชืการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สิ่งแวดลอ้ ม นอกจากจะพบในสตั วแ์ ลว้ ยงั พบในพืชอีกดว้ ย การปรับตวัของพืชข้ึนอยกู่ บั สิ่งแวดลอ้ มที่อาศยั อยู่ เช่นผกั ตบชวา เป็นพชื น้า จะมีกา้ นใบท่ีพองออกเป็นกระเปาะ ภายในมีช่องวา่ งระหวา่ งเซลลม์ ากน้าหนกั เบา ทาให้ สามารถ ลอย ยเู่ หนือน้าได้
97 กจิ กรรม ใหน้ กั เรียนออกไปสารวจระบบนิเวศบริเวณในโรงเรียนหรือบา้ น วา่ มีสตั วช์ นิดใดบา้ งท่ีมีการปรับตวั เขา้ กบั ส่ิงแวดลอ้ มพร้อมท้งั อธิบายเหตุผล แบบทดสอบจงเลอื กคาตอบทถี่ ูกทสี่ ุดเพยี งข้อเดยี ว1. นกั เรียนคิดวา่ เหตุใดตน้ กระบองเพชรจึงมีใบเป็นหนาม ก. เพือ่ ใชใ้ นการปรุงอาหารไดม้ ากข้ึน ข. เพอ่ื ลดการคายน้าของพชื ค. ป้ องกนั การทาลายของศตั รูตามธรรมชาติ ง. เพราะกระบองเพชรมีการพลดั ใบบอ่ ย2. ขอ้ ใดเป็นผลกระทบท่ีเกิดจากสิ่งแวดลอ้ มท่ีมีต่อสิ่งมีชีวติ ก. ผกั บุง้ หรือผกั ตบชวามีลาตน้ ที่กลวง เพอ่ื สามารถลอยน้าได้ ข. สุนขั มีขนดา้ นหลงั มากกวา่ ดา้ นทอ้ งเพอ่ื ระบายความร้อนจากแสงแดด ค. สัตวต์ วั เล็กๆรักษาเผา่ พนั ธุ์ตนเองโดยการออกลูกคร้ังละมากๆ ง. ถูกทุกขอ้3. ส่ิงแวดลอ้ มมีผลต่อการดารงชีวติ อยา่ งไร ก. อาจทาใหส้ ่ิงมีชีวติ สูญพนั ธุ์ได้ ข. ทาใหส้ ิ่งมีชีวติ ตอ้ งมีการปรับตวั ค. ส่ิงมีชีวติ ตอ้ งพบกบั อุปสรรคตา่ งๆ ง. ถูกทุกขอ้4. ขอ้ ใดไมใ่ ชก้ ารปรับตวั เขา้ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ก. นกแกว้ มีขนสีเขียวสวยงาม ข. นกเพนกวนิ ไม่มีขนแตม่ ีผวิ หนงั ท่ีลื่น ค. หมีข้วั โลกมีขนที่ยาว ง. ตก๊ั แตนกิ่งไมม้ ีสีน้าตาลและขายาว5. หากนาหมีแพนดา้ มาเล้ียงในประเทศที่มีอากาศร้อน มนั จะตายเพราะ ก. อาหารเปลี่ยนไปจากเดิม ข. อากาศร้อนเกินไป ค. สภาพแวดลอ้ มเปล่ียนไปจากเดิม ง. ขาดสารอาหารท่ีจาเป็น
98 บทที่ 5 ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถ่นิสาระสาคัญ ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่งตา่ ง ๆ ที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ และมนุษยส์ ามารถนามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เช่น ดิน น้า อากาศ ป่ าไม้ ทุง่ หญา้ แร่ธาตุ ฯลฯ ความหมายของความสาคัญของทรัพยากรธรรมชาติ ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติผลกระทบของการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ ผลกระทบท่ีเกิดข้ึนกบั ชีวติ ความหมายและประเภทของส่ิงแวดล้อมในทอ้ งถ่ิน การป้ องกนั การเปลี่ยนแปลงของส่ิงแวดลอ้ ม และแก้ปัญหาส่ิงแวดล้อมในทอ้ งถิ่นผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1. นกั เรียนสามารถอธิบายกระบวนการเปลี่ยนแปลงแทนท่ีของส่ิงมีชีวติ ได้ 2. นกั เรียนสามารถอภิปรายการใชท้ รัพยากรธรรมชาติสภาพปัญหาส่ิงแวดลอ้ มได้ 3. นกั เรียนสามารถอธิบายสาเหตุของปัญหาวางแผนและลงมือปฏิบตั ิได้ 4. นกั เรียนสามารถอธิบายการป้ องกนั แกไ้ ข เฝ้ าระวงั อนุรักษ์ และ พฒั นาทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มได้ 5. นกั เรียนสามารถอธิบายปรากฏการณ์ของธรณีวทิ ยาท่ีมีผลต่อสิ่งมีชีวติ และส่ิงแวดลอ้ มได้ 6. นกั เรียนสามารถอธิบายปรากฏการณ์ สภาวะโลกร้อน สาเหตุและผลกระทบต่อชีวติ มนุษยไ์ ด้ขอบข่ายเนื้อหา เรื่องท่ี 1ทรัพยากรธรรมชาติ เร่ืองท่ี 2ส่ิงแวดลอ้ ม
99เรื่องท่ี 1 ทรัพยากรธรรมชาติความหมายของทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง ส่ิงตา่ ง ๆ ที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ และมนุษยส์ ามารถนามาใชป้ ระโยชน์ได้ เช่น ดิน น้า อากาศ ป่ าไม้ ทุง่ หญา้ แร่ธาตุ ฯลฯ สิ่งแวดล้อม หมายถึง ส่ิงต่าง ๆ ที่อยลู่ อ้ มรอบตวั เรา ท้งั ส่ิงท่ีมีชีวติ และไมม่ ีชีวติ รวมท้งั สิ่งท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ และส่ิงที่มนุษยส์ ร้างข้ึนมา จะเห็นไดว้ า่ ทรัพยากรธรรมชาติทุกประเภท เป็ นส่วนหน่ึงของสิ่งแวดลอ้ ม แตส่ ิ่งแวดลอ้ มทุกชนิดไม่ไดเ้ ป็นทรัพยากรธรรมชาติท้งั หมดความสาคญั ของทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติเป็ นปัจจยั สาคญั ในการดารงชีพของมนุษย์ และส่งผลต่อการพฒั นาประเทศให้เจริญกา้ วหนา้ ประเทศใดที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และมีส่ิงแวดลอ้ มที่ดี จะส่งผลใหป้ ระชาชนในประเทศน้นั มีคุณภาพชีวติ และความเป็นอยทู่ ่ีดีตามไปดว้ ย จากความสาคญั ของทรัพยากรธรรมชาติดงั กล่าวไดแ้ ยกความสาคญั ออกเป็น 3 ลกั ษณะ คือ 1. ความสาคัญทางด้านเศรษฐกจิ ประเทศใดที่มีทรัพยากรธรรมชาติท่ีอุดมสมบูรณ์จะทาให้เศรษฐกิจของประเทศน้นั ดีข้ึน และส่งผลตอ่ การพฒั นาประชากรใหม้ ีคุณภาพชีวติ ที่ดีข้ึน 2. ความสาคัญทางด้านสังคม ทรัพยากรธรรมชาติมีความสาคญั ตอ่ สังคม เพราะจะเป็นปัจจยัในการพฒั นาประเทศไดร้ วดเร็ว ทดั เทียมนานาอารยะประเทศ 3. ความสาคญั ทางด้านการเมอื ง ประเทศใดก็ตามที่มีทรัพยากรธรรมชาติท่ีอุดมสมบูรณ์จะส่งผลใหป้ ระเทศน้นั มีพลงั อานาจเป็ นท่ียอมรับของอารยประเทศ สามารถสร้างอานาจต่อรองในเวทีระดบั โลกได้จะเห็นไดจ้ ากในอดีตที่ผา่ นมาจะมีการล่าอาณานิคมใหเ้ ป็ นเมืองข้ึน เพื่อใหไ้ ดม้ าซ่ึงทรัพยากรธรรมชาติในประเทศน้นั ๆประเภทของทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็ น 2 ประเภท ดงั น้ี 1. ทรัพยากรทใ่ี ช้แล้วหมดไป คือ ทรัพยากรท่ีใชแ้ ลว้ เม่ือหมดไป ไม่สามารถเกิดข้ึนใหม่ได้หรือถา้ จะเกิดข้ึนใหม่ จะตอ้ งใชเ้ วลานานหลายลา้ นปี เพราะฉะน้นั เราควรจะช่วยกนั ประหยดั ใชใ้ ห้คุม้ ค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อใหส้ ามารถใชไ้ ดอ้ ยา่ งยาวนาน เช่น แร่ธาตุ กา๊ ซธรรมชาติ น้ามนัทรัพยากรท่ีใชไ้ มห่ มดสิ้น เช่น ดิน น้า อากาศ ป่ าไม้ สัตวป์ ่ า ฯลฯ ดนิ เป็ นทรัพยากรท่ีไม่หมดสิ้น แตเ่ สื่อมสลายไดง้ ่าย เราควรจะมีการรักษาคุณภาพของดินเพ่อื ใหเ้ กิดความสมบูรณ์ใหม้ ากท่ีสุด ไม่ควรใชส้ ารพิษเพ่ือการปลูกพชื มากเกินไป
100 นา้ เป็นทรัพยากรธรรมชาติท่ีไม่หมดสิ้น เพราะธรรมชาติจะนาน้ากลบั คืนมาใหม่ในรูปของน้าฝน การรักษาแหล่งน้าไวใ้ หม้ ีคุณภาพเพ่ือจะไดม้ ีน้าใชต้ ลอดเวลา ทรัพยากรธรรมชาติเป็ นสิ่งจาเป็ นแก่มนุษย์ เน่ืองจากสามารถนามาใช้ให้เกดิ ประโยชน์แก่ตวัมนุษย์ในด้านต่างๆ มากมาย การทมี่ นุษย์นาทรัพยากรไปใช้น้ันหากมีการใช้อย่างฟ่ ุมเฟื อย ไม่รู้คุณค่า ก็จะทาให้เกดิ ปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย โดยทว่ั ไป ทรัพยากรธรรมชาติจัดออกเป็ นประเภทต่างๆ ดงั นี้ทรัพยากรดนิ ดินเกิดจากการสลายและผพุ งั ของหินชนิดต่างๆ แลว้ คลุกเคลา้ ปะปนกบั อินทรียส์ ารชนิดต่างๆรวมท้งั น้าและอากาศ ลกั ษณะของดินที่แตกต่างกนั น้นั เนื่องจากองคป์ ระกอบท่ีแตกต่างกนั ไป ลกั ษณะของดินในประเทศไทย มีความแตกตา่ งกนั ไปตามพ้ืนท่ีที่พบดินน้นั ๆ คือ ๐ บริเวณที่ราบน้าท่วมถึงสองฝ่ังแม่น้า เป็ นบริเวณท่ีมีโคลนตะกอนถูกพดั มาทบั ถมกนั เป็ นจานวนมาก โดยมากมกั เป็ นดินตะกอนที่มีอายุนอ้ ย ลกั ษณะของดินเป็ นดินเหนียว เน้ือละเอียด เม่ือแห้งจะจบั ตวั กนั แน่น เช่น บริเวณพ้ืนดินสองฝั่งแม่น้าในจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา ปทุมธานี เป็นตน้ ๐ บริเวณท่ีราบลุ่มต่ามาก เป็ นบริเวณที่มีน้าท่วมขงั อยเู่ ป็ นประจามีซากพืชซากสัตวท์ บั ถมกนัเป็ นช้นั หนาจนเป็ นดินท่ีมีอินทรียว์ ตั ถุปะปนอยมู่ ากพบไดใ้ นบริเวณชายฝั่งจงั หวดั นราธิวาสบริเวณบึงบอระเพด็ จงั หวดั นครสวรรค์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239