แบบเรียนวรรณคดีวจิ กั ษอเิ ลก็ ทรอนกิ ส ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ ๑ พระไชยสุริยากาพยเรอื่ ง จัดทาํ โดย ครูปยะพงษ งนั ลาโสม กลมุ สาระการเรยี นรภู าษาไทย โรงเรยี นนวมนิ ทราชินทู ศิ เตรียมอดุ มศกึ ษานอ มเกลา
คํานาํ แบบเรยี นวรรณคดวี จิ กั ษอ ิเล็กทรอนิกส ชั้นมัธยมศึกษา ปที่ ๑ เร่ือง กาพยเรื่องพระไชยสุริยาชุดน้ี จัดทําข้ึนเพื่อใช ประกอบการจัดการเรียนรูในรายวิชาพ้ืนฐาน กลุมสาระการ เรียนรูภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีวัตถุประสงคเพ่ือใหนักเรียนไดศึกษา วรรณคดีที่กําหนดในประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ อันจะ นําไปสูการพัฒนาสมรรถนะสําคัญของผูเรียนดานการคิดรวมท้ัง เกิดความซาบซ้ึงและตระหนักรูคุณคาของวรรณคดีไทย ใน ฐานะท่ีเปนมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ผูเรียนสามารถเขาถึง ไดงายและพกพาสะดวก เหมาะสาํ หรับการเรียนในยคุ ปจ จบุ นั เนื้อหาในเลมนอกจากจะประกอบดวยเนื้อหาของ วรรณคดีแลว ยังมีแบบฝกหัดและแบบทดสอบทายบทที่ สอดคลองกับตัวช้วี ัดในหลักสตู รไวเพือ่ ทบทวนความรูอีกดวย ผจู ดั ทําหวงั เปน อยา งย่ิงวาแบบเรียนอิเล็กทรอนิกสชุดน้ี จะมีประโยชนแกการจัดการเรียนรูในยุคปจจุบัน หากมี ขอเสนอแนะเพ่ือการปรับปรุงแบบเรียนประการใด ผูจัดทําขอ นอมรับไวดวยความขอบคุณและจะนําไปพัฒนาคุณภาพของ แบบเรยี นชุดน้ีตอ ไป ปย ะพงษ งันลาโสม แบบเรียนวรรณคดวี จิ กั ษอเิ ลก็ ทรอนิกส เรอื่ ง กาพยเ ร่อื งพระไชยสรุ ิยา (ครูแวน)
สารบัญ หนา สมบัติวรรณคดีของไทย ๑ ๑ ความหมายของวรรณคดี ๑ องคประกอบของวรรณคดี ๓ คุณคา ของวรรณคดี ๑๙ ๑๙ กาพยเร่อื งพระไชยสุริยา ๒๑ ๒๔ ประวัตคิ วามเปน มา ๓๐ ประวตั ิผูแ ตง ๕๕ ลักษณะคําประพันธ ๖๕ เน้อื เรอื่ ง ๖๖ คําอธิบายศัพทแ ละขอความ ๖๗ เร่ืองยอ ๘๒ แนวคดิ ของเร่อื ง บทวเิ คราะห คุณคาท่ีไดร บั จากเร่ือง แบบเรยี นวรรณคดวี จิ กั ษอเิ ล็กทรอนกิ ส เรอื่ ง กาพยเรื่องพระไชยสุริยา (ครูแวน )
สารบญั หนา ๙๑ แหลง เรยี นรเู พม่ิ เติม ๙๒ กิจกรรมสะทอ นคดิ ๙๓ แบบฝกหัดทายบท ๙๔ แบบทดสอบ บรรณานกุ รม ๑๐๑ ภาคผนวก ๑๐๒ ประวตั ผิ ูจ ดั ทํา ๑๐๓ แบบเรียนวรรณคดวี จิ กั ษอิเลก็ ทรอนิกส เรื่อง กาพยเร่อื งพระไชยสรุ ิยา (ครูแวน)
กาพยเ รอื่ งพระไชยสรุ ยิ า สุนทรภู แบบเรยี นวรรณคดีวจิ ักษอ ิเล็กทรอนิกส เรอื่ ง กาพยเ ร่อื งพระไชยสรุ ิยา (ครแู วน)
บทนาํ สมบตั วิ รรณคดขี องไทย “วรรณคดี” คือ งานประพันธซึ่งไดรับการยกยองวา แตงดีมีคุณคาที่จะประเทืองปญญาแกผูอาน นอกจากคําวา “วรรณคดี” ยังมีอีกคําหนึ่งที่ใชเรียกงานประพันธคือคําวา “วรรณกรรม” ซ่ึงมีความหมายครอบคลุมงานประพันธทุก ประเภท กลา วคอื หมายถึงงานประพันธท่ัวไป โดยมิไดมีขอจํากัด วา จะตองไดรับการยกยองวาแตงดีดังเชนวรรณคดี ดังน้ันจึง กลา วไดว า วรรณกรรมมีความหมายกวา งกวา วรรณคดี การอานวรรณคดีและวรรณกรรมนอกจากผูอาน จะตองจับใจความหรือสาระสําคัญของเรื่องแลว ผูอานควร พิจารณาองคประกอบตาง ๆ ของวรรณคดีและวรรณกรรม ดังตอ ไปน้ี ๑. รูปแบบ หมายถึง ลกั ษณะตา ง ๆ ท่ปี ระกอบขึ้นเปนวรรณคดี ซ่ึงอาจจาํ แนกได ๒ ประเภท ดังนี้ ๑.๑ จําแนกตามลักษณะการถายทอด มี ๒ ประเภท คือ ๑) วรรณคดแี ละวรรณกรรมทถี่ ายทอดดว ยวธิ ีการ ๑บอกเลาและจดจําสืบตอกนั มา เชน นทิ านพ้นื บาน เพลงพนื้ บา น แบบเรียนวรรณคดวี จิ ักษอเิ ลก็ ทรอนกิ ส เร่อื ง กาพยเ รื่องพระไชยสุริยา (ครแู วน)
๒) วรรณคดีและวรรณกรรมท่ีถายทอดดวยวิธีการจด บันทึกเปนตัวอักษร เชน วรรณคดีในราชสํานัก วรรณคดีที่ใช ประกอบประเพณหี รอื พิธีกรรมทางศาสนา ๑.๒ จําแนกตามลักษณะคําประพันธ มี ๒ ประเภท คอื ๑) รอ ยแกว หมายถึง เรือ่ งท่ีแตง ขึ้นเปน ความเรยี ง ๒) รอ ยกรอง หมายถึง เร่อื งท่แี ตง ดว ยคาํ ประพนั ธทม่ี ี ลักษณะบังคับหรือฉันทลักษณ เชน กาพย กลอน โคลง ราย ฉันท ๒. เนื้อหา หมายถึง เร่ืองราวหรอื เนื้อหาในวรรณคดหี รือ วรรณกรรม แบง เปน ๒ ประเภท ดงั นี้ ๒.๑ บันเทิงคดี หมายถึง เร่ืองราวท่ีเปนเรื่องเลา สมมุติหรือมีความเปนจริงอยูบาง มุงใหความบันเทิงและความ เพลิดเพลินเปนสําคัญ โดยบางคร้ังอาจแทรกความรูความคิดเห็น ในเรอ่ื งตาง ๆ ไวด ว ย ๒.๒ สารคดี หมายถึง เรื่องราวท่ีมุงใหความรูความ คิดเห็น โดยมีเน้ือหาสาระที่เปนความจริงเปนสวนสําคัญ และมุง ใหความเพลิดเพลินรองลงมา ๒ แบบเรียนวรรณคดวี จิ ักษอ ิเล็กทรอนกิ ส เรือ่ ง กาพยเร่อื งพระไชยสุริยา (ครแู วน)
๓. กลวิธีการประพันธ หมายถึง การเลือกใชถอยคําใหเกิดความ ไพเราะงดงาม ซง่ึ แสดงถงึ ความสามารถในการประพันธ และชวย สือ่ ความหมายใหเกิดความชัดเจนมากย่งิ ข้ึน นอกจากการพิจารณาองคประกอบตาง ๆ ดังที่กลาว มา ผูอานควรพิจารณาคุณคาของวรรณคดีหรือวรรณกรรมดวย เพ่ือใหเห็นความสําคัญและเกิดความซาบซึ้งในวรรณคดีหรือ วรรณกรรมเรื่องน้ันมากย่ิงข้ึน คุณคาของวรรณคดีหรือ วรรณกรรมอาจแบง ได ๔ ดาน ดงั นี้ ๑. คณุ คา ดานวรรณศิลป คําวา “วรรณศิลป” หมายถึง ศิลปะในการเลือกสรร ถอยคําใหเกิดความไพเราะงดงาม ทั้งน้ี เพื่อใหผูอานไดรับรสของ เสียง สัมผัสไดถึงอารมณและความรูสึกของกวีหรือตัวละครใน เร่ือง เชน นางนวลจบั นางนวลนอน เหมอื นพ่ีแนบนวลสมรจนิ ตะหรา จากพรากจบั จากจํานรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี แขกเตา จบั เตารางรอ ง เหมอื นรา งหอ งมาหยารัศมี นกแกว จับแกวพาที เหมือนแกวพี่ทงั้ สามส่ังความมา ๓(อิเหนา: พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลานภาลยั ) แบบเรียนวรรณคดวี จิ ักษอ เิ ล็กทรอนกิ ส เรื่อง กาพยเ ร่อื งพระไชยสรุ ิยา (ครูแวน)
เมื่อพิจารณาคําประพันธขางตนจะพบวา มีการ เลือกใชถอยคําใหเกิดเสียงสัมผัส เชนคําวา จาก จับ จํานรรจา ขณะเดียวกันมีการเลนคํา คือ การใชคําเดียวกันแตคนละ ความหมาย เชน นกแกวจบั แกว พาที เหมือนแกวพท่ี ัง้ สามส่งั ความมา จะเห็นไดวากวีใชคําวา “แกว” ถึง ๓ คํา คําแรก หมายถึง นกชนิดหน่ึง คําท่ีสองหมายถึง ช่ือของตนไม และคํา สุดทายหมายถึง นางอันเปนที่รัก คําประพันธขางตนจึงมีการใช ถอยคําใหเกิดความไพเราะงดงามขณะเดียวกันก็สื่อถึงอารมณ ของตัวละครท่มี ีความโศกเศรา เมอ่ื ตอ งจากนางผเู ปนท่ีรัก วรรณศิลปใ นวรรณคดไี ทย วรรณศิลปในวรรณคดีไทยเปนเคร่ืองสะทอนใหเห็น วางานประพันธแตละเร่ืองจะตองเลือกสรรคําประพันธให เหมาะสมกับผลงาน เพื่อส่ือความหมายและถอยคําท่ีไพเราะ สละสลวยอันเปนลักษณะเฉพาะของภาษากวีและทําใหผูอานเกิด ความสะเทือนอารมณก ลวิธใี นการพิจารณาวรรณศิลปในวรรณคดี ไทย ดงั น้ี ๔ แบบเรียนวรรณคดีวจิ กั ษอิเลก็ ทรอนิกส เร่อื ง กาพยเรอื่ งพระไชยสุริยา (ครูแวน)
๑. รสวรรณคดไี ทย รสวรรณคดีเปนส่ิงท่ีสัมผัสไดดวยตาและหู เปนรสที่บง บอกถึงสภาวะของอารมณ ถาวรรณคดีเรื่องใดสามารถโนมนาวใจ ผูอานใหเกิดความเพลิดเพลินและเกิดอารมณฝายสูง วรรณคดีเรื่อง นั้นก็มีคุณคาทางวรรณศิลปและรสวรรณคดียอมถายทอดผานภาษา จากผูแตง สูผูอาน ดังนนั้ ภาษากับวรรณคดจี งึ แยกกันไมไ ด รสวรรณคดไี ทยแบง ออกไดเ ปน ๔ รส ดังนี้ ๑) เสาวรจนี เปนบทท่ีชมความงาม ไมวาจะเปนความ งามของตัวละครหรือความงามของสถานท่ี เชน ความงามของนาง ศกุนตลา ดผู ิวสนิ วลละอองออน ๕ ซอนดดู าํ ไปหมดสิน้ สองเนตรงามกวามฤคิน นางนี้เปน ปน โลกา งามโอษฐดงั ใบไมออน งามกรดังลายเลขา งามรปู เลอสรรขวัญฟา งามยิง่ บปุ ผาเบง บาน (ศกุนตลา: พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลาเจา อยหู ัว) แบบเรียนวรรณคดีวจิ กั ษอ เิ ลก็ ทรอนกิ ส เรื่อง กาพยเร่ืองพระไชยสุรยิ า (ครแู วน )
๒) นารีปราโมทย เปนบททีแ่ สดงความรกั ใครหรือพูดจาโอ โลมใหอีกฝายเกิดความปฏิพัทธ เชน บทแสดงความรักท่ีทาวชัยเสนมี ตอ นางมัทนา ผลิ นิ้ พจ่ี ะมีหลาย ก็ทกุ ล้นิ จะรุมกลา ว แสดงรกั ณ โฉมฉาย, และทกุ ล้ินจะเปรยปราย ประกาศถอ ยปะฏญิ ญา พะจวี าจะรักยดื บจางจดื สเิ นหา, สบถใหล ะตอหนา พระจนั ทรแ จม ณ เวหน. (มัทนะพาธา: พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลาเจา อยหู วั ) ๓) พิโรธวาทงั เปน บทแสดงความโกรธ ตัดพอ เหนบ็ แนม เสยี ดสี หรอื แสดงถงึ ความเคยี ดแคน เชน ตวั นางเปนไทแตใ จทาส ไมรกั ชาตริ สหวานมาพานขม ดัง่ สุกรฟอนฝา แตอาจม หอนนยิ มรกั รสสุคนธาร น้ําใจนางเหมือนอยา งชลาลยั เสียดายทรงแสนวไิ ลแตใจพาล ไมเ ลอื กไหลหวยหนองคลองละหาน สุกแดงดงั่ แสงปท มราช ประมาณเหมือนหนึง่ ผลอุทุมพร ขางในลวนกมิ ชิ าติเบยี นบอน ๖(กากีกลอนสุภาพ: เจา พระยาพระคลงั (หน)) แบบเรยี นวรรณคดวี จิ ักษอ ิเลก็ ทรอนิกส เร่ือง กาพยเร่อื งพระไชยสรุ ิยา (ครแู วน)
๔) สลั ลาปง คพิสัย เปนบททแี่ สดงการครํา่ ครวญ โศกเศรา เชน แลว วา อนจิ จาความรกั พ่งึ ประจกั ษดง่ั สายนํ้าไหล ตัง้ แตจ ะเช่ยี วเปนเกลียวไป ทไ่ี หนเลยจะไหลคนื มา สตรใี ดในพภิ พจบแดน ไมม ใี ครไดแ คนเหมือนอกขา ดวยใฝร ักใหเกินพกั ตรา จะมีแตเ วทนาเปนเนืองนิตย (อิเหนา: พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หลานภาลยั ) ๓.๒ การใชภ าพพจน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๕๔ ไดใหความหมายของ “ภาพพจน” วา ถอยคําท่ีเปน สํานวนโวหารทําใหนึกเปนภาพ ถอยคําท่ีเรียบเรียงอยางมีชั้นเชิง เปนโวหาร มีเจตนาใหมีประสิทธิผลตอความคิด ความเขาใจ ให จินตนาการและถายทอดอารมณไดอยางกวางขวางลึกซ้ึงมากกวา การบอกอยางตรงไปตรงมา กลวิธีในการนําเสนอภาพพจนที่ผูแตงนิยมใชในการ ประพนั ธ มีดงั นี้ ๗ แบบเรยี นวรรณคดวี จิ กั ษอิเล็กทรอนิกส เรือ่ ง กาพยเ ร่อื งพระไชยสรุ ิยา (ครูแวน )
๑) การใชความเปรียบวาส่ิงหน่ึงเหมือนกับส่ิงหนึ่ง เรียกวา “อุปมา” โดยมีคําเปรียบปรากฏอยูในขอความ คําเปรียบ เหลาน้ี ไดแกคําวา เหมือน เสมือน คลาย ราวกับ เฉก เชน ดุจ ประดจุ ดงั ดัง่ เพียง เพ้ียง ปาน ปนู ฯลฯ ดังตัวอยาง พระนิพพานปานประหน่ึงศีรษะขาด ดว ยไรญาติยากแคน ถึงแสนเข็ญ ทง้ั โรคซาํ้ กรรมซัดวิบตั ิเปน ไมเลง็ เหน็ ทีซ่ ง่ึ จะพึง่ พา (นิราศภูเขาทอง: สุนทรภู) ออ นหวานมานมติ รลน เหลอื หลาย หยาบบมเี กลอกราย เกล่ือนใกล ดจุ ดวงศศิฉาย ดาวดาษ ประดบั นา สุรยิ ะสอ งดาราไร เพ่อื รอนแรงแสง (โคลงโลกนติ ิ: สมเดจ็ พระเจา บรมวงศเธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร) แบบเรยี นวรรณคดีวจิ ักษอเิ ล็กทรอนกิ ส เรอ่ื ง กาพยเ ร่ืองพระไชยสรุ ยิ า (ครูแวน ) ๘
๒) การเปรียบวาส่ิงหน่ึงเปนอีกสิ่งหนึ่ง เรียกวา “อุปลักษณ” เปนภาพพจนที่นําสิ่งที่แตกตางกัน แตมีลักษณะรวม กันมาเปรียบเทียบกัน โดยใชคําเชื่อมวา \"เปน คือ หรือไมปรากฏ คําเช่ือมก็ได ดังตัวอยางตอไปนี้ท่ีเปรียบผูชายเปนขาวเปลือกและ เปรียบผูหญิงเปน ขา วสาร ชายขา วเปลือกหญงิ ขา วสารโบราณวา นํ้าพง่ึ เรือเสอื พ่งึ ปา อชั ฌาสยั เรากจ็ ิตคดิ ดูเลา เขากใ็ จ รักกันไวดีกวา ชังระวงั การ (อศิ รญาณภาษิต: หมอ มเจา อศิ รญาณ) สารสยามภาคพรอ ม กลกานท นี้ฤๅ คือคูมาลาสวรรค ชอชอ ย เบญญาพศิ าลแสดง เดิมเกียรติ พระฤๅ คือคไู หมแสรง รอ ย ก่ึงกลาง (ลลิ ิตยวนพา ย: ไมปรากฏนามผแู ตง ) ๙ แบบเรียนวรรณคดวี จิ กั ษอิเล็กทรอนิกส เร่ือง กาพยเรื่องพระไชยสรุ ิยา (ครแู วน )
๓) การสมมติใหส่ิงตาง ๆ มีกิริยาอาการหรือ ความรสู ึกเหมือนมนุษย เรียกวา “บุคคลวัตหรือบุคลาธิษฐาน” เปนการสมมติใหสิ่งไมมีชีวิต พืช สัตว มีความคิดและการ แสดงออกเหมือนมนุษย ดังตัวอยางตอไปนี้ที่กวีกลาววาสัตว ทั้งหลายในมหาสมุทรก็พลอยแสดงความโศกเศราเสียใจไปดวย เมือ่ ถงึ วันทก่ี วีตอ งจากนางอันเปน ท่ีรกั แสนสัตวนาเนกถวน แสนสนิ ธุ ทุกขบ นั ดาลไฟฟอน ชว ยเศรา วันเจียรสุดาพินท พักเตรศ แสนสุเมรุมวนเขา ดั่งลาญ (โคลงทวาทศมาส: พระเยาวราช) สัตภณั ฑบ รรพตทง้ั หลาย ออ นเอยี งเพียงปลาย ประนอมประนมชยั (บทพากยเอราวณั : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลยั ) กวีเปรียบเทียบวาภูเขาท้ังหลายตางคอมศีรษะลงเพื่อ แสดงความเคารพ เม่ือเหน็ ขบวนเสด็จขององคอมรนิ ทร ๑๐ แบบเรียนวรรณคดวี จิ ักษอิเล็กทรอนิกส เร่อื ง กาพยเร่ืองพระไชยสุริยา (ครแู วน )
๔) การใชคําเลียนเสียงธรรมชาติ เรียกวา “สัทพจน” คือ การใชถอยคําเพื่อเลียนเสียงของธรรมชาติ เชน เสียงสัตวรอง เสียงคนรอ ง เสยี งดนตรี เชน ระวังตวั กลวั ครูหนูเอย ไมเ รยี วเจยี วเหวย กเู คยเข็ดหลาบขวาบเขวียว (พระไชยสรุ ิยา: สุนทรภ)ู คาํ วา “ขวาบเขวียว” เปนคําเลียนเสียงของไมเรียวยาม ท่แี หวกอากาศมากระทบผิวหนงั ๓.๓ การสรรคาํ การสรรคํา คือ การเลือกใชคําใหส่ือความคิด ความ เขา ใจ ความรูสึก และอารมณไดอยางงดงาม โดยคํานึงถึงความงาม ดา นเสยี งของถอ ยคําเปนสาํ คญั กลวิธีในการเลือกสรรคาํ มดี งั น้ี ๑) การเลน เสยี ง เปน การสรรคําทท่ี ําใหเกิดทว งทํานอง ที่ไพเราะ ไมวา จะเปนการเลนเสยี งสระ การเลน เสียงพยญั ชนะ และการเลน เสียงวรรณยุกต ๑๑ แบบเรยี นวรรณคดวี จิ กั ษอ ิเล็กทรอนิกส เร่ือง กาพยเรือ่ งพระไชยสุริยา (ครูแวน )
๑.๑) การเลนเสียงสระ เปนการใชคําที่มีเสียงสระ ตรงกัน ถามีตัวสะกดก็ตองเปนตัวสะกดในมาตราเดียวกัน สวน วรรณยกุ ตจ ะตางรปู หรือตา งเสียงกันกไ็ ด เชน ดหู นูสรู งู ู งูสุดสูห นูสูงู หนงู ูสูดอู ยู รปู งูทูหนมู ูทู พรูพรู ดูงขู ฝู ดู ฝู สดุ สู หนสู รู งู งู ู งูอยู งสู ูหนหู นสู ู รปู ถมู ทู ู หนรู ูงงู ูรู (กาพยหอ โคลงประพาสธารทองแดง: เจาฟา ธรรมธิเบศร) ๑.๒) การเลนเสียงพยัญชนะ เปนการใชคําที่มี พยัญชนะตนเสียงเดียวกัน อาจเปนตัวอักษรที่เปนพยัญชนะรูป เดียวกัน หรือพยัญชนะท่ีมีเสียงสูงตํ่าเขาคูกัน หรือพยัญชนะควบ ชดุ เดียวกนั ก็ได เชน ฝูงลิงไตกิ่งลางลิงไขว ลางลิงแลน ไลก นั วนุ วงิ่ ลางลิงชงิ คา งข้ึนลางลงิ กาหลงลงกง่ิ กาหลงลง เพกากาเกาะทกุ กา นกงิ่ กรรณิการก าชงิ กนั ชมหลง มัดกากากวนลวนกาดง กาฝากกาลงทาํ รังกา ๑๒(ขนุ ชา งขุนแผน: พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลานภาลัย) แบบเรยี นวรรณคดวี จิ ักษอเิ ลก็ ทรอนกิ ส เรือ่ ง กาพยเ รือ่ งพระไชยสรุ ยิ า (ครูแวน)
๑.๓) การเลนเสียงวรรณยุกต เสียงวรรณยุกตเปน ขอกําหนดที่บังคับใชในการแตงคําประพันธบางประเภท เชน ฉันท หรือกลบท การเลนเสียงวรรณยุกตเปนการไลระดับเสียงเปนชุด ซ่ึง ทาํ ใหเกดิ เสยี งทไี่ พเราะชวนฟงเปน อยา งยิง่ เชน เสนาสสู สู ู ศรแผลง ยิงคา ยทลายเมอื งแยง แยงแยง รกุ รน รนรนแรง ฤทธิร์ ีบ ลวงลวงลว งวงั แวง รวบเรา เอามา (โคลงอกั ษรสามหม:ู พระศรมี โหสถ) ๒) การเลนคํา เปนความไพเราะของบทประพันธท่ีเกิด จากการเลือกใชถอยคําเปนพิเศษ การเลนคําแบงออกเปนการซ้ําคํา และการหลากคาํ ๒.๑) การซํ้าคํา เปนการกลาวซ้ํา ๆ ในคําเดิมเพื่อเพิ่ม นํา้ หนักของคําและย้าํ ใหค วามหมายชดั เจนขนึ้ เชน เหลือบเหน็ สตรวี ิไลลักษณ พิศพักตรผ อ งเพยี งแขไข งามโอษฐง ามแกม งามจุไร งามนยั นงามเนตรงามกร งามถันงามกรรณงามขนง งามองคย ่ิงเทพอปั สร งามจรติ กิริยางามงอน งามเอวงามออ นท้งั กายา ๑๓(รามเกียรติ์: พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา จฬุ าโลกมหาราช) แบบเรียนวรรณคดวี จิ ักษอ เิ ลก็ ทรอนิกส เร่อื ง กาพยเรอ่ื งพระไชยสรุ ยิ า (ครแู วน)
๒.๒) การหลากคํา เปนการใชคําท่ีมีความหมายเหมือนกัน หรอื “คาํ ไวพจน” ในบทประพันธเ ดียวกนั ตวั อยางเชน ❀ พระเจาแผน ดิน ใช บดินทร ภบู าล ภบู ดินทร ราเชนทร ❀ ดวงอาทิตย ใช ตะวัน สุริยา สุริยะ ระพี ไถง ทินกร ❀ ดวงจนั ทร ใช รัชนีกร แข บุหลัน นิศากร ศศิธร โสม ❀ ปา ใช ไพร ไพรสณั ฑ พง ดง อารัญ พนา เถอ่ื น พนัส ❀ ขาศกึ ใช ไพรี ดสั กร ริปู ปจนกึ อริ ปรปก ษ ปจ จามติ ร ❀ เมอื ง ใช บรุ ี ธานี นคร พารา ปรุ ะ กรงุ นคเรศ บรุ ินทร ❀ ดอกไม ใช บุปผา บษุ บา โกสมุ มาลี ผกา สคุ ันธชาติ ❀ ภูเขา ใช ครี ี สิงขร บรรพต ไศล ศิขรนิ ทร พนม ภูผา ❀ ทอ งฟา ใช นภา เวหา อมั พร ทฆิ ัมพร คคั นานต โพยม ❀ แผน ดนิ ใช ภมู ิ ธรณี ปฐพี ธาตรี ธรา ภวู ดล พิภพ หลา ❀ ชา ง ใช ไอยรา ดาํ รี กญุ ชร สาร คช หัตถี กรนิ ทร หัสดี ❀ มา ใช อาชา อาชาไนย พาชี สินธพ อัศวะ มโนมยั แสะ การเขาใจความหมายและแนวทางของการวิจักษวรรณคดี ตลอดจนศิลปะในการแตง และการใชถอยคําสํานวนอันเปนหัวใจของ วรรณคดีดังกลาวไปขางตน ผูเรียนสามารถนําความรูเหลาน้ีมาใชเปน พื้นฐานในการวิจารณและประเมินคาวรรณคดี เพ่ือใหสามารถอาน วรรณคดที ่นี ํามาศกึ ษาไดอ ยางเขาใจและไดอรรถรสมากย่ิงขึ้น ๑๔ แบบเรียนวรรณคดีวจิ ักษอิเลก็ ทรอนกิ ส เร่อื ง กาพยเรอ่ื งพระไชยสุรยิ า (ครแู วน )
๒. คณุ คาดา นแนวคดิ คําวา “แนวคิด” หมายถึง สารหรือความคิด สําคัญท่ีผูเขียนตองการ จะสื่อสารมายังผูอาน ซึ่งโดยสวน ใหญแลวมักเปนความคิดท่ีแสดงกฎเกณฑตามธรรมชาติและ ความจริงของโลก วรรณคดีที่ดีจะตองไมเสนอแนวคิดอยาง ตรงไปตรงมา ผูอานจะตองพิจารณาและขบคิด ท้ังในดาน พฤติกรรมของตัวละครและเหตุการณตาง ๆ ในเรื่องทั้งหมด เพ่ือประมวลสรุปเปนแนวคิดสําคัญ เชน เร่ืองรามเกียรต์ิ ปรากฏแนวคิดของเร่ือง คือ ธรรมะยอมชนะอธรรม เห็นได จากเนือ้ เรอื่ งท่ีพระรามซึ่งเปนมนุษยสามารถสังหารทศกัณฐผู เปน พญายักษทลี่ กั พานางสีดาไป วรรณคดีที่มีเนื้อเรื่องขนาดยาวอาจมีสาระสําคัญ หรือแนวคิดของเร่ืองท้ังแนวคิดหลักและแนวคิดรอง แนวคิด หลัก หมายถึง การพิจารณาสารของเน้ือเรื่องโดยรวม และ แนวคิดรอง หมายถึง การพิจารณาสารของเนื้อเรื่องเฉพาะ ตอนใดตอนหนึ่ง เปน แนวคดิ ทปี่ ระกอบเขากับแนวคดิ หลกั แบบเรยี นวรรณคดีวจิ ักษอ เิ ลก็ ทรอนิกส เรอ่ื ง กาพยเ รอ่ื งพระไชยสุริยา (ครูแวน ) ๑๕
๓. คณุ คา ดานเนอื้ หา เนื้อหาในวรรณคดีคือ เร่ืองราว สาระ ขอคิดท่ี ปรากฏในวรรณคดี ซ่ึงมาจากเนื้อเรื่อง ตัวละคร เหตุการณ ตาง ๆ เน้ือหาท่ีเกิดประโยชนตอผูอานในดานความรูความคิด การปฏิบตั ิทด่ี งี ามจึงเปนวรรณคดที ่มี คี ุณคา ถงึ บางพูดพูดดีเปนศรศี ักดิ์ มคี นรักรสถอยอรอ ยจติ แมนพดู ช่วั ตวั ตายทําลายมติ ร จะชอบผิดในมนษุ ยเ พราะพูดจา (นิราศภูเขาทอง: สนุ ทรภู) คําประพันธขางตนมีเนื้อหาแสดงความสําคัญของ การพูดวาการพูดเปนปจจัยสําคัญท่ีจะทําให มนุษยประสบ ความสําเร็จหรือลมเหลว เนื้อหาของคําประพันธบทน้ีจึงมี คณุ คา เพราะใหคติในการดาํ เนนิ ชีวติ แกผอู าน แบบเรยี นวรรณคดีวจิ ักษอ ิเลก็ ทรอนกิ ส เรื่อง กาพยเ รอื่ งพระไชยสุรยิ า (ครแู วน) ๑๖
๔. คุณคาดานสงั คม หมายถึง การพิจารณาส่ิงที่สะทอนจากวรรณคดีและ วรรณกรรม ซึ่งกวีนิยมแทรกไวในเร่ือง เพื่อเสริมเนื้อความใหมี ความชดั เจนและสมจรงิ มากย่งิ ขึ้น นอกจากนี้ ยงั แสดงถงึ ความรอบ รูของกวีในเร่ืองราวหรือเหตุการณตาง ๆ ท่ีปรากฏอยูในสังคม เชน ประเพณี พิธีกรรม ความเช่ือ การดําเนินชีวิต และคานิยม มี วรรณคดีหลายเรื่องท่ีปรากฏคุณคาดานสังคม ซึ่งแสดงถึง ความสามารถ ความรอบรูของกวี เสริมความรูและประสบการณแก ผูอานไดเปนอยางดี ตัวอยางคุณคาดานสังคมที่ปรากฏในวรรณคดี เชน เสภาเรื่อง ขุนชาง-ขุนแผน ที่กลาวถึงวิถีชีวิตของชาวบานใน สมยั โบราณ ถึงฤกษงามยามปลอดคลอดงายดาย ลกู น้ันเปนชายรองแวแ ว พี่ปานาอามาดแู ล ลางแชแลวก็สง ใหแ มนม ทาขมนิ้ แลว ใสก ระดง รอ น ใสเบาะใหนอนเอาผาหม ปูยาตายายสบายชม เรือนผมนา รกั ดังฝกบวั เอาขนึ้ ใสอแู ลว แกวงไกว แมเขานอนไฟใหร อ นทว่ั เดือนหนงึ่ ออกไฟไมหมองมัว ขมนิ้ แปงแตง ตวั นา เอน็ ดู (เสภาเร่ือง ขนุ ชาง-ขุนแผน) ๑๗ แบบเรยี นวรรณคดีวจิ ักษอ ิเล็กทรอนกิ ส เรือ่ ง กาพยเ รือ่ งพระไชยสรุ ยิ า (ครูแวน)
เมื่อพิจารณาคําประพันธขางตนจะเห็นวา กวี กลาวถึงประเพณีการเกิดของชาวบานในสมัยโบราณ เริ่ม จากมีญาติพ่ีนองมาคอยชวยดูแลในการคลอด ลูกท่ีคลอด อ อ ก ม าก็ จ ะ ไ ด รั บกา ร ดู แ ลเ อ าใ จ ใ สเป น อ ย าง ดี ขณะเดียวกันผูเปนแมก็เขาไปนอนอยูไฟตามความเช่ือ ทางการแพทยสมัยกอน นักเรียนควรนําหลักการอานวรรณคดีและ วรรณกรรมน้ีไปศึกษาวรรณคดีและวรรณกรรม เพ่ือให เกิดความเขาใจ ซาบซึ้ง และตระหนักในคุณคาของมรดก ทางปญ ญาทถ่ี ายทอดมาจากบรรพชนไทย แบบเรยี นวรรณคดวี จิ ักษอเิ ลก็ ทรอนิกส เรื่อง กาพยเร่อื งพระไชยสรุ ยิ า (ครูแวน ) ๑๘
ประวตั ิความเปน มา กาพยเร่ืองพระไชยสุริยาเปนวรรณกรรมท่ีสุนทรภูแตง ข้ึน โดยมีความยาวประมาณ ๑ เลมสมุดไทย ในแตละตอนจะแตง เปนบทอา นตามมาตราตวั สะกด เรียงลําดับตั้งแต แม ก กา แลวตาม ดวย แมกน แมกง แมกก แมกด แมกบ แมกม และจบลงท่ีแมเกย กาพยเรื่องพระไชยสุริยาน้ีสามารถใชเปนตัวอยางในการอานคํา เทียบหลังจากเรียนผันอักษรไดแลว ดังนั้น ถานํากาพยเร่ืองพระไชย สุริยาไปใชในการสอนอาน ก็จะทําใหเด็ก ๆ สนุกสนานเพลิดเพลิน ไมเบื่อหนาย เพราะไดรูเรื่องนิทานเรื่องพระไชยสุริยาไปดวย และ ปรากฏวากาพยเร่ืองพระไชยสุริยาไดรับการยกยองวาเปนบท ประพันธที่ไพเราะ อานเขาใจงาย มีคติสอนใจ และใชสอนศิษยได เปนผลดี ภายหลังจึงมีผูนํากาพยเรื่องพระไชยสุริยาของสุนทรภูไปใช สอนศิษยโ ดยท่วั กัน จนเปนท่ีนิยมอยางกวางขวาง สําหรับระยะเวลา ท่ีแตงกาพยเรื่องพระไชยสุริยาน้ัน นักวรรณคดีและผูศึกษาประวัติ สนุ ทรภตู างก็ใหค าํ สันนิษฐานที่แตกตางกันออกไป ดงั น้ี สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงเลาวาพระยาธรรมปรีชา(บุญ) ซึ่งเคยบวชอยูท่ีวัดเทพธิดาราม เลาใหพระองคฟงวา สุนทรภูแตงกาพยเรื่องพระไชยสุริยาเมื่อคร้ัง บวชอยูทีว่ ัดเทพธดิ าราม แบบเรียนวรรณคดีวจิ กั ษอิเลก็ ทรอนกิ ส เร่อื ง กาพยเร่อื งพระไชยสรุ ิยา (ครแู วน)
ราว พ.ศ. ๒๓๘๓-๒๓๘๕ มีนักวิชาการทานหนึ่งกลาววา สุนทรภูแตงกาพยเร่ืองพระไชยสุริยาเมื่อแรกบวชและจํา พรรษาอยูที่วัดในจังหวัดเพชรบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๘ หรือไม กแ็ ตงขน้ึ เมือ่ ไปสอนหนังสือที่เพชรบรุ ใี นคร้งั หลัง จะเห็นไดวานักวรรณคดีสองทานนี้ มีความเห็น ตางกันในเร่ืองของปและสถานท่ีท่ีแตง แตขอสันนิษฐานที่ ตรงกันก็คือ สุนทรภูแตงกาพยเรื่องพระไชยสุริยาในขณะท่ี บวชเปน พระภิกษุ แบบเรยี นวรรณคดวี จิ ักษอ เิ ล็กทรอนิกส เร่ือง กาพยเรอื่ งพระไชยสุริยา (ครแู วน ) ๒๐
ประวตั ผิ ูแตง “สุนทรภู” ช่ือนี้มาจากราชทินนามของทาน คือ “สุนทรโวหาร” กับนามเดิมวา “ภู” รวมกันเปนสุนทรภู ทานเกิด เม่ือวันท่ี ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๙ ตรงกับรัชกาลของ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟาจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) สําหรับประวัติบิดามารดาของสุนทรภูน้ัน นักวิชาการ ดา นวรรณคดมี ีความเหน็ ท่ีแตกตางกัน บางก็เชื่อวาบิดาของสุนทร ภูเปนชาวบานกรํ่า อําเภอแกลง จังหวัดระยอง บางก็เชื่อวาบิดา ของสุนทรภูเปนชาวเพชรบุรี สวนมารดานั้นสันนิษฐานวาอพยพ มาจากกรุงศรีอยุธยา ครั้งเสียกรุงแกพมาใน พ.ศ. ๒๓๑๐ แลวมา ต้ังรกรากที่กรุงธนบุรี กาลตอมาบิดามารดาของสุนทรภูไดแยก ทางกัน มารดาของสุนทรภูมีสามีใหมและมีลูกสาว ๒ คนช่ือ ฉิม ๒๑กับนมิ่ แบบเรยี นวรรณคดีวจิ กั ษอ ิเลก็ ทรอนกิ ส เรอื่ ง กาพยเร่อื งพระไชยสุริยา (ครูแวน)
สวนบิดาของสุนทรภูนั้นไปบวชอยูท่ีเมืองแกลง จังหวัดระยอง แลวหลังจากน้ันมารดาของสุนทรภูไดรับราชการเปนนางพระนม ในพระองคเ จาจงกล พระธิดาของกรมพระราชวงั หลัง สนุ ทรภูจ ึง ไดถวายตัวเปน ขาในกรมพระราชวงั หลงั ต้งั แตยงั เดก็ เม่ือถึงวัยเรียนสุนทรภูไดเรียนหนังสือท่ีวัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) จนมีความรูพอที่จะทํามาหากินได ก็ไปเปน เสมียนนายระวาง กรมพระคลังสวน ทําไดไมนานก็ออกมาอยู พระราชวังหลังตามเดิม ในขณะที่กลับมาอยูพระราชวังหลังนี้ สุนทรภูแอบคบหากับนางในคนหน่ึงชื่อแมจัน ทําใหสุนทรภู ตองโทษจองจํา คร้ันกรมพระราชวังหลังทิวงคต สุนทรภูก็พน โทษ เมื่อพนโทษแลวจึงเดินทางไปหาบิดาท่ีเมืองแกลง เม่ือกลับ จากเมืองแกลงแลวก็เขารับราชการเปนมหาดเล็กของพระองค เจาปฐมวงศ พระโอรสในกรมพระราชวังหลัง ตอมาเจาครอก ทองอยูพระอัครชายาในกรมพระราชวังหลังไดเปนธุระสูขอแม จันใหกับสุนทรภู กาลตอมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา นภาลัยไดเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเปนรัชกาลท่ี ๒ แหงราชวงศ จักรี ในรัชกาลน้ีสุนทรภูมีบุญวาสนามาก ไดเปนกวีท่ีปรึกษารับ ใชใกลชิด และยังไดเปนพระอาจารยถวายพระอักษรเจาฟา อาภรณพ ระราชโอรสในรชั กาลท่ี ๒ กบั เจา ฟา กณุ ฑลทพิ ยวดี แบบเรยี นวรรณคดวี จิ กั ษอ เิ ล็กทรอนิกส เร่ือง กาพยเ ร่ืองพระไชยสุริยา (ครูแวน ) ๒๒
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลานภาลัย สวรรคต ชีวิตของสุนทรภูก็ตกตํ่าและไมไดรับราชการ สุนทรภู จึงออกบวช ในระหวางนี้เจาฟากุณฑลทิพยวดี ไดนําเจาฟาชาย กลางและเจาฟาชายปว พระอนุชาในเจาฟาอาภรณมาฝากฝงให เปนลูกศิษยข องสนุ ทรภู นอกจากนี้ สุนทรภูไดรับอุปการะจากพระราชวงศ องคตาง ๆ ไดแก กรมหม่ืนอัปสรสุดาเทพ พระองคเจาลักขณา นุคุณ สมเด็จเจาฟากรมขุนอิศเรศรังสรรค (พระบาทสมเด็จ พระปนเกลาเจาอยูหัว) ครั้นเขาสูแผนดินของพระบาทสมเด็จ พระจอมเกลาเจาอยูหัว ชีวิตของสุนทรภูก็กลับมาสูความสุขอีก คร้ัง เพราะไดรับการโปรดเกลาฯ ใหเปนเจากรมอาลักษณ ฝาย พระราชวงั บวร ตาํ แหนงพระสุนทรโวหาร ซง่ึ ทานอยูในตําแหนง น้ีได ๕ ปก็ถึงแกกรรมในป พ.ศ. ๒๓๙๘ แลวในวาระครบ ๒๐๐ ปชาตกาลของสุนทรภู เม่ือ พ.ศ. ๒๕๒๙ องคการศึกษาวิทยาศาสตรและวัฒนธรรมแหง สหประชาชาติ (UNESCO) ไดประกาศยกยองเกียรติคุณสุนทรภู ใหเ ปน ผมู ผี ลงานดเี ดน ทางดานวัฒนธรรมระดบั โลก แบบเรียนวรรณคดีวจิ ักษอเิ ล็กทรอนกิ ส เร่อื ง กาพยเ ร่ืองพระไชยสรุ ิยา (ครูแวน) ๒๓
ลกั ษณะคาํ ประพนั ธ สุนทรภูแตงกาพยเร่ืองพระไชยสุริยา โดยใชคําประพันธ ประเภทกาพย ซึ่งมีอยูดวยกัน ๓ ชนิด คือ กาพยยานี ๑๑ กาพยฉบัง ๑๖ และกาพยสรุ างคนางค ๒๘ ซง่ึ มีรายละเอยี ดดังตอไปน้ี กาพยย านี ๑๑ แผนผัง กฎ : ๑. วรรคหนามี ๕ คํา วรรคหลังมี ๖ คํา รวม ๒ วรรค เปน หนึ่งบาท นับ ๒ บาทเปนหน่ึงบท รวมเปน ๒๒ คํา แตงอยางนอยตอง หน่ึงบท (๔ วรรค) เสมอ จะแตงนอยกวาน้ันไมได ในวรรคหนึ่ง ๆ จะใช คาํ เกนิ กวา กาํ หนดบางกไ็ ด แตต องเปน คาํ ท่ปี ระกอบดวยสระเสยี งส้ัน ๒. ใหคําสุดทายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับคําท่ี ๓ ของวรรคท่ี ๒ (บางทีเลื่อนมาสัมผัสกับคําท่ี ๑ ของวรรคท่ี ๒ บางก็ได) และใหคํา สุดทายของวรรคท่ี ๒ สัมผัสกับคําที่ ๕ ของวรรคที่ ๓ ถาแตงบทตอไป อีกตองใหคําสุดทายของบทตนสัมผัสกับคําสุดทายของวรรคท่ี ๒ ของ ๒๔บทตอ ไปคลา ยกับสมั ผัสของกลอนดังกลาวแลว แบบเรียนวรรณคดวี จิ กั ษอเิ ลก็ ทรอนิกส เร่ือง กาพยเร่ืองพระไชยสุรยิ า (ครูแวน)
หรือจะแตงใหบาทที่สองสัมผัสกันเหมือนบาทที่ ๑ ก็ได คือใหคําที่ ๕ ของวรรคที่ ๓ สัมผัสกับคําท่ี ๓ ของวรรคที่ ๔ ซ่ึงโบราณนิยมใชคําที่ ๕ ของวรรคที่ ๓ สัมผัสกบั คําท่ี ๑ ของวรรคท่ี ๔ กม็ ี ๓. ถอยคําที่ใชในวรรคเดียวกัน นิยมใหมีสัมผัสในเหมือน กลอนจงึ จะไพเราะ ถอ ยคาํ ในระหวา งวรรคจะใชย ตั ิภงั คก็ได แตจะใช ยตั ภิ งั คใ นระหวา งบาทหรือบทไมไ ด ๔. คําสุดทายของบทหามใชคําตายหรือคําที่มีรูป วรรณยกุ ต ๕. กาพยชนิดน้ีมีชื่อเรียกหลายอยาง คือ กาพยยานีบาง กาพยยานีลํานําบาง กาพย ๑๑ บาง เหตุท่ีเรียกกาพยยานีนั้นเขาใจ วาเปนกาพยที่แปลงมาจากคําฉันทบาลีใน “รตนสูตร” ซ่ึงขึ้นตนดวย คาํ วา “ยานี” จงึ เรยี กชอื่ ตามคาํ ขึ้นตนนัน้ ๖. กาพยยานีมักนิยมแตงเปนบทสวด บทเหเรือ บท พากยโขน และบทสรภัญญะที่ใชในบทละคร นิยมแตงเกี่ยวกับตอนท่ี เปน พรรณนาโวหาร ตอนชมสิ่งตาง ๆ หรือตอนทโี่ ศกเศราคร่ําครวญ ตัวอยา งกาพยย านจี าํ นวน ๒ บท กาพยย านีลํานํา สิบเอด็ คาํ จาํ อยา คลาย ๒๕ วรรคหนา หา คําหมาย วรรคหลังหกยกแสดง ครุลหุน้ัน ไมส ําคัญอยาระแวง สัมผัสตอ งจดั แจง ใหถูกตอ งตามวธิ ี แบบเรียนวรรณคดวี จิ ักษอ เิ ล็กทรอนิกส เรื่อง กาพยเรอ่ื งพระไชยสุรยิ า (ครูแวน )
กาพยฉ บงั ๑๖ แผนผัง กฎ : ๑. บทหน่ึงของกาพยฉบังมีอยู ๓ วรรค วรรคที่ ๑ กับวรรค ที่ ๓ มีวรรคละ ๖ คาํ วรรคท่ี ๒ มี ๔ คาํ รวมเปน ๑๖ คํา ๒. ใหคําสุดทายของวรรคแรกสัมผัสกับคําสุดทายของวรรค ที่ ๒ ของวรรคที่ ๒ ถาจะแตงบทตอ ๆ ไปอีกตองใหคําสุดทายของบท ตน สัมผัสกับคาํ สุดทา ยของวรรคท่ี ๒ ของบทตอ ไป ๓. ความไพเราะของกาพยฉบังอยูที่การใชคําและเสียงของ คํา ใหมีสัมผัสสระและอักษร คําทุกคําควรเลือกใหไดลักษณะ “เสียงดี ความเดน” ๔. ลักษณะดพี ิเศษของกาพยฉ บังอีกอยางหน่ึงคอื ก. ใหค าํ ที่ ๑ และคําที่ ๒ ของวรรคที่ ๓ เปนคาํ ตาย ข. ให ๒ คําหลังของวรรคตนกบั ๒ คาํ ตนของวรรคท่ี ๒ เลน อกั ษรกัน ค. ใหคําท่ี ๒ ของวรรคที่ ๓ เลนอักษรหรือสัมผัสอักษรกับ คาํ สดุ ทา ยของวรรคที่ ๒ เชน ๒๖ แบบเรียนวรรณคดวี จิ กั ษอิเลก็ ทรอนิกส เรอ่ื ง กาพยเรื่องพระไชยสรุ ิยา (ครูแวน)
ลมโชยชวนชนื่ ร่ืนรมย รน่ื รสคาํ คม ขอดแคะเขี่ยกรรณหรรษา หม สขุ ทกุ ขโศกสรา งซา สรา งส้นิ วิญญาณ เพราะยอดเยาวลักษณรว มสม ๕. ถอยคําในระหวางวรรคจะใชยัติภังคก็ได แตจะใช ยตั ภิ งั คใ นระหวา งบทไมไ ด ๖. ในวรรคหน่ึง ๆ จะใชคําเกินกวากําหนดบางก็ได แตตองเปนคําลหุและตองไมยาวเกินไปจนขัดกับจังหวะและ ทํานองอา น ๗. กาพยฉบังนิยมแตงเกี่ยวกับตอนที่เปนพรรณนา โวหาร เปนบทสวด และบทพากยโขนดว ย ตัวอยา งกาพยฉบงั จาํ นวน ๓ บท ฉบังสิบหกคาํ ควร ถอยคาํ สํานวน พงึ เลือกใหเ พราะเหมาะกัน วรรคหน่ึงพึงสรร วรรคหนาวรรคหลงั รําพัน แตง เสนาะเพราะเพลนิ ใสว รรคละหกคาํ เทอญ วรรคสองตองส่ีคาํ เชิญ ใครไดส ดบั จบั ใจ แบบเรยี นวรรณคดีวจิ กั ษอิเล็กทรอนิกส เรื่อง กาพยเ ร่ืองพระไชยสุริยา (ครูแวน) ๒๗
กาพยส ุรางคนางค ๒๘ แผนผงั หรอื กฎ : ๑. บทหนึ่งมี ๗ กลอนหรือ ๗ วรรค วรรคหน่ึงมี ๔ คํา รวม เปน ๒๘ คาํ ๒. คําสัมผัสใหดูตามแผนผัง ถาจะแตงบทตอไปอีกตองให คําสดุ ทา ยของบทตน สัมผัสกบั คาํ สุดทายของวรรคท่ี ๓ ของบทตอ ไป ๓. จะเพม่ิ สมั ผัสใหค าํ ท่ี ๔ วรรคที่ ๔ สัมผัสกับคําท่ี ๒ วรรค ที่ ๕ ก็ได จะทําใหไ พเราะข้ึนอีกดว ย ๔. การเขียนแผนผังสามารถเขียนไดทั้งแบบแนวต้ังและ ๒๘แนวนอน แบบเรียนวรรณคดีวจิ กั ษอ เิ ล็กทรอนิกส เรื่อง กาพยเรือ่ งพระไชยสรุ ยิ า (ครแู วน)
ตวั อยา งกาพยสรุ างคนางคจ ํานวน ๒ บท กําหนดบทวาง สุรางคนางค บทหนึ่งเจด็ วรรค ย่ีสิบแปดคํา วรรคหน่ึงสีค่ ํา เปนหลกั พงึ จาํ จําตองกาํ หนด แนะนาํ วธิ ี คาํ ทายวรรคสาม หากแตง หลายบท สมั ผัสกนั ดี บญั ญัตจิ ดั มี ตองตามวถิ ี ทายบทตน แล หรือ สรุ างคนางค กาํ หนดบทวาง ย่สี ิบแปดคํา บทหนึ่งเจด็ วรรค เปนหลกั พึงจํา วรรคหนึง่ สคี่ าํ แนะนาํ วธิ ี หากแตง หลายบท จาํ ตอ งกาํ หนด บญั ญตั จิ ดั มี คาํ ทา ยวรรคสาม ตองตามวิถี สมั ผสั กันดี ทายบทตนแล แบบเรียนวรรณคดีวจิ ักษอเิ ลก็ ทรอนกิ ส เรอ่ื ง กาพยเ ร่ืองพระไชยสรุ ิยา (ครูแวน) ๒๙
เนื้อเร่ือง ยานี ๑๑ พระศรีไตรสรณา เทวดาในราศี ๏ สาธุสะจะขอไหว เขา มาตอ ก กา มี พอ แมแ ลครบู า ดมี ดิ ีอยาตรีชา ๏ ขาเจา เอา ก ข แกไ ขในเทาน้ี แบบเรยี นวรรณคดีวจิ ักษอ ิเล็กทรอนิกส เร่อื ง กาพยเร่ืองพระไชยสุรยิ า (ครูแวน) ๓๐
๏ จะราํ่ คาํ ตอไป พอลอ ใจกมุ ารา ธรณมี รี าชา เจา พาราสาวะถี มีสุดามเหสี ๏ ช่ือพระไชยสุริยา อยูบรุ ไี มมีภัย ช่อื วา สมุ าลี มีกิริยาอชั ฌาศรัย ไดอ าศัยในพารา ๏ ขาเฝา เหลาเสนา ชาวบุรกี ็ปรดี า พอ คามาแตไ กล ไดข า วปลาแลสาลี ๏ ไพรฟาประชาชี ทาํ ไรขา วไถนา แบบเรยี นวรรณคดวี จิ กั ษอิเลก็ ทรอนกิ ส เร่อื ง กาพยเ รอ่ื งพระไชยสุริยา (ครูแวน ) ๓๑
๏ อยมู าหมขู า เฝา ก็หาเยาวนารี ท่หี นาตาดีดี ทาํ มโหรที ีเ่ คหา ๏ คาํ่ เชาเฝาสีซอ เขา แตหอลอ กามา หาไดใ หภริยา โลโภพาใหบ าใจ ๏ ไมจ ําคาํ พระเจา เหไปเขาภาษาไสย ถือดมี ีขา ไท ฉอแตไพรใ สขอื่ คา ๏ คดที ่มี คี ู คอื ไกหมเู จาสุภา ใครเอาขา วปลามา ใหส ภุ าก็วา ดี ๏ ทแ่ี พแ กชนะ ๓๒ไมถือพระประเวณี ข้ฉี อกไ็ ดดี ไลด าตีมอี าญา แบบเรียนวรรณคดีวจิ กั ษอเิ ลก็ ทรอนกิ ส เรือ่ ง กาพยเ รื่องพระไชยสรุ ยิ า (ครูแวน)
๏ ทซี่ ื่อถอื พระเจา วา โงเ งา เตาปูปลา ผูเฒาเหลาเมธา วาใบบา สาระยํา เหลาก็ละพระสธรรม ๏ ภิกษุสมณะ ไปเรร า่ํ ทําเฉโก คาถาวาลาํ นํา ศรี ษะไมใจโยโส ขาขอโมทนาไป ๏ ไมจาํ คาํ ผใู หญ ใครไมมีปรานใี คร ทด่ี ีมอี ะโข ท่ใี ครไดใสเ อาพอ ทาํ ดุดื้อไมซ ื้อขอ ๏ พาราสาวะถี อะไรลอ กเ็ อาไป ดุดื้อถอื แตใ จ ๏ ผูทม่ี ฝี ม ือ ไลควาผา ท่ีคอ แบบเรียนวรรณคดวี จิ ักษอ ิเลก็ ทรอนกิ ส เรอ่ื ง กาพยเ รือ่ งพระไชยสรุ ิยา (ครูแวน ) ๓๓
๏ ขาเฝา เหลา เสนา มไิ ดวาหมขู าไท ถอื น้ําร่าํ เขาไป แตน า้ํ ใจไมนําพา ไพรฟาเศราเปลาอรุ า ๏ หาไดใ ครหาเอา ไลต ดี า ไมป รานี ผทู ม่ี อี าญา แบบเรียนวรรณคดวี จิ ักษอ ิเล็กทรอนกิ ส เรื่อง กาพยเร่อื งพระไชยสุริยา (ครแู วน) ๓๔
๏ ผีปามากระทํา มรณกรรมชาวบรุ ี นํ้าปาเขา ธานี กไ็ มมที ่อี าศัย หนีไปหาพาราไกล ๏ ขา เฝา เหลาเสนา ไมมใี ครในธานี ชบี าลาลไ้ี ป แบบเรยี นวรรณคดีวจิ ักษอเิ ลก็ ทรอนิกส เรอ่ื ง กาพยเ รอื่ งพระไชยสรุ ิยา (ครแู วน ) ๓๕
ฉบัง ๑๖ พาพระมเหสี นารีที่เยาว ๏ พระไชยสรุ ยิ าภูมี เสนีเสนา มาทีใ่ นลําสําเภา วายุพยุเพลา คํา่ เชาเปลา ใจ ๏ ขา วปลาหาไปไมเ บา ราชานารี ก็เอาไปในเภตรา ๏ เถาแกช าวแมแ ซมา ก็มาในลาํ สาํ เภา ๏ ตีมา ลอ ชอ ใบใสเ สา สาํ เภากใ็ ชใ บไป ๏ เภตรามาในนํา้ ไหล ทีใ่ นมหาวารี ๏ พสธุ าอาศัยไมมี อยทู ีพ่ ระแกลแลดู แบบเรียนวรรณคดีวจิ ักษอเิ ลก็ ทรอนิกส เร่อื ง กาพยเ รอ่ื งพระไชยสรุ ิยา (ครูแวน) ๓๖
๏ ปลากะโหโลมาราหู เหราปลาทู มีอยใู นน้ําคลํา่ ไป วายพุ าคลาไคล เปลาใจนัยนา ๏ ราชาวา เหวห ฤทยั มาในทะเลเอกา ๏ แลไปไมป ะพสุธา โพลเพลเ วลาราตรี แบบเรียนวรรณคดวี จิ ักษอ เิ ลก็ ทรอนิกส เรอ่ื ง กาพยเ ร่ืองพระไชยสุรยิ า (ครแู วน ) ๓๗
๏ ราชาวาแกเ สนี ใครรูค ดี วารีนเี้ ทา ใดนา ๏ ขาเฝา เลาแกร าชา วา พระมหา วารีน้ีไซรใหญโต ๏ ไหลมาแตใ นคอโค แผไ ปใหญโ ต มโหฬารลํา้ นํา้ ไหล ๏ บาลีมไิ ดแ กไข ขาพเจาเขาใจ ผูใหญผูเฒา เลา มา ๏ วามพี ญาสกุณา ใหญโตมโหฬาร กายาเทา เขาคีรี ๏ ชอ่ื วา พญาสําภาที ใครรคู ดี วารีนี้โตเทา ใด ๏ โยโสโผผาถาไป พอพระสรุ ิใส จะใกลโ พลเ พลเ วลา ๏ แลไปไมป ะพสุธา ยอ ทอ รอรา ชวี าก็จะประลัย ๏ พอปลามาในน้ําไหล สกณุ าถาไป อาศยั ทศ่ี ีรษะปลา ๏ ชะแงแ ลไปไกลตา จําของอ ปลา วา ขอษมาอภยั ๓๘ แบบเรียนวรรณคดวี จิ กั ษอ เิ ล็กทรอนกิ ส เรือ่ ง กาพยเร่ืองพระไชยสุริยา (ครูแวน )
๏ วารีทเี่ ราจะไป ใกลหรือวา ไกล ขาไหวจ ะขอมรคา มิไดไปมา ลาปลาจรลี ๏ ปลาวา ขาเจาเยาวภา อาศัยอยตู อธรณี ๏ สกณุ าอาลัยชวี ี สทู ภี่ ูผาอาศยั แบบเรยี นวรรณคดีวจิ ักษอเิ ลก็ ทรอนิกส เรอื่ ง กาพยเรอื่ งพระไชยสรุ ิยา (ครแู วน) ๓๙
๏ ขาเฝา เลา แกภ วู ไนย พระเจา เขาใจ ฤทัยวาเหวเ อกา พายุใหญม า ทะลปุ รไุ ป ๏ จาํ ไปในทะเลเวรา เจากรรมซํ้าเอา เภตรากเ็ หเซไป ๏ สมอกเ็ กาเสาใบ น้าํ ไหลเขาลําสําเภา ๏ ผนี ้ําซํา้ ไตใ บเสา สําเภาระยําคว่าํ ไป แบบเรียนวรรณคดีวจิ ักษอ เิ ลก็ ทรอนิกส เรื่อง กาพยเรือ่ งพระไชยสุริยา (ครูแวน ) ๔๐
๏ ราชาควา มอื อรไท เอาผาสไบ ตอ ไวไ มไ กลกายา นํ้าเขา หูตา มีกรรมจาํ ใจ ๏ เถา แกชาวแมเสนา เขา ไปไสยา จระเขเ หราครา ไป ๏ ราชานารีรํา่ ไร จําไปพอปะพสุธา ๏ มีไมไทรใหญใ บหนา เวลาพอคํา่ ราํ ไร แบบเรยี นวรรณคดวี จิ กั ษอ เิ ลก็ ทรอนิกส เรื่อง กาพยเ รอ่ื งพระไชยสรุ ยิ า (ครแู วน) ๔๑
สุรางคนางค ๒๘ ก กา วา ปน ๏ ข้ึนใหมใ น กน ๔๒ เอน็ ดภู ูธร ระคนกันไป มณฑลตนไทร มานอนในไพร แทนไพชยนตสถาน วันทาสามี ๏ สว นสมุ าลี เฝา อยูดูแล เทวอี ยูงาน ใหพ ระภูบาล เหมือนแตก อ นกาล สาํ ราญวญิ ญา เข็นใจไมข อน ๏ พระชวนนวลนอน ภธู รสอนมนต เหมอื นหมอนแมนา เย็นค่าํ รํา่ วา ใหบ นภาวนา กันปาภยั พาล มีดารากร ๏ วนั นั้นจันทร เหน็ ส้นิ ดนิ ฟา เปน บรวิ าร มาลีคลีบ่ าน ในปา ทา ธาร ใบกา นอรชร ชื่นชะผกา ๏ เย็นฉํา่ นํา้ ฟา สารพันจันทนอนิ วายุพาขจร แตนตอ คลอรอ น ร่ืนกลิน่ เกสร วาวอ นเวียนระวัน แบบเรยี นวรรณคดีวจิ ักษอเิ ล็กทรอนิกส เรอื่ ง กาพยเร่อื งพระไชยสรุ ยิ า (ครูแวน )
กระเวนไพรไกเ ถือ่ น ๏ จันทราคลาเคลอ่ื น ๔๓ ปเู จาเขาเขนิ เตอื นเพอ่ื นขานขัน สนิ ธุพลุ น่ั กเู กรนิ่ หากนั ครื้นคร่ันหวน่ั ไหว ไกลพระนคร ๏ พระฟน ตน่ื นอน เชา ตรสู ุริยน สะทอ นถอนทยั มีกรรมจาํ ไป ขึ้นพนเมรไุ กร ในปาอารญั แบบเรยี นวรรณคดีวจิ กั ษอเิ ล็กทรอนิกส เร่อื ง กาพยเ รอื่ งพระไชยสรุ ิยา (ครูแวน )
ฉบัง ๑๖ ๏ ขึ้นกงจงจําสําคัญ ท้งั กนปนกัน รําพนั ม่งิ ไมในดง ตลงิ ปลิงปรงิ ประยงค หลนเกล่อื นเถ่ือนทาง ๏ ไกรกรา งยางยูงสูงระหง คนั ทรงสงกลนิ่ ฝน ฝาง ๏ มะมวงพลวงพลองชองนาง กินพลางเดินพลางหวา งเนิน แบบเรยี นวรรณคดีวจิ ักษอ เิ ลก็ ทรอนกิ ส เรอื่ ง กาพยเร่ืองพระไชยสุริยา (ครแู วน ) ๔๔
๏ เห็นกวางยางเยอื้ งชาํ เลอื งเดนิ เหมอื นอยา งนางเชญิ พระแสงสําอางขางเคยี ง เรงิ รองกอ งเสยี ง ฟงเสียงเพยี งเพลง ๏ เขาสงู ฝงู หงสล งเรียง เพยี งฆอ งกลองระฆัง สําเนียงนาฟงวังเวง พญาลอคลอเคยี ง เพลนิ ฟงวงั เวง ๏ กลางไพรไกขนั บรรเลง คางแข็งแรงเรงิ ซอเจงจาํ เรียงเวียงวงั องึ คะนึงผงึ โผง ๏ ยูงทองรองกะโตง โหงดงั แตรสังขก งั สดาลขานเสียง ๏ กะลงิ กะลางนางนวลนอนเรยี ง แอนเอย้ี งอโี กงโทงเทง ๏ คอ นทองเสยี งรองปอ งเปง อเี กงเริงรอ งลองเชงิ ๏ ฝงู ละม่งั ฝง ดนิ กนิ เพลิง ยนื เบิ่งบง้ึ หนา ตาโพลง ๏ ปาสูงยูงยางชางโขลง โยงกันเลน นาํ้ คลํา่ ไป แบบเรยี นวรรณคดวี จิ กั ษอเิ ล็กทรอนกิ ส เรอ่ื ง กาพยเ รือ่ งพระไชยสุริยา (ครแู วน ) ๔๕
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109