วนั เดือน ปี ตวั ชีว้ ดั เนอ้ื หา 4. แรงและพลังงานเพอ่ื ชีวิต 4.1 แรงและการเคล่ือนที่ของ แรง 1. อธิบายความหมาย หน่วย 1. ความหมาย หนว่ ย และ ประเภทของแรง ผลทีเ่ กิดจาก แรง การกระทำของแรง ความดนั 2. ผลของแรงท่ีกระทำตอ่ ว แรงลอยตัว แรงดึงดูดของโลก ประโยชนข์ องแรง และแรงเสยี ดทาน 3. ความดัน 2. การนำแรงและการ 3.1 ความหมาย เคล่อื นท่ีของแรงไปใชป้ ระโยชน์ 3.2 ความดันของเหลว ในชีวติ ประจำวัน 3.3 ความดันอากาศ 3.4 แรงลอยตัว 4. แรงดึงดดู ของโลก ความ ประโยชนแ์ ละโทษของแรง 5. แรงเสยี ดทาน 5.1 ความหมาย ประโยช ของแรงเสียดทาน 5.2 การนำแรงเสยี ดทาน ชีวติ ประจำวนั
กิจกรรม หมายเหตุ(สื่อ) ขน้ั ที่ 1 กาํ หนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ 1.หนังสือเรยี น 1.ครกู ล่าวทกั ทายและนำเขา้ สบู่ ทเรยี น 2. ห้องสมดุ 2. ครูและผเู้ รยี นร่วมกันอธิบายเกี่ยวกบั เรอ่ื ง 3.อินเตอรเ์ น็ต ะประเภทของ 1. ความหมาย หนว่ ย และประเภทของแรง 4.กศน.ตาํ บล วตั ถแุ ละ 2. ผลของแรงทีก่ ระทำต่อวัตถแุ ละประโยชน์ 5.ผรู้ ู้ มหมาย งดงึ ดดู ของโลก ของแรง ชนแ์ ละโทษ นไปใช้ใน 3. ความดนั 4. แรงดึงดดู ของโลก ความหมาย ประโยชน์ และโทษของแรงดงึ ดดู ของโลก 5. แรงเสียดทาน ขั้นที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและกิจกรรมการเรยี นรู้ ผ้เู รยี นศึกษาจากใบความรู้ คลิปวิดโี อเสริมความรู้ และสือ่ ตา่ ง ๆ ขั้นท่ี 3 การปฎบิ ัติและการนาํ ไปใช้ ผเู้ รียนนำความร้ทู ่ีไดร้ บั มาปรับใช้ใน ชีวิตประจำวัน ขั้นท่ี 4 การประเมินผลและการเรยี นรู้ 1. เอกสารโครงงาน 2. ชิ้นงาน 3. ฟวิ เจอร์บอรด์ สำหรับนำเสนอ 4. การนำเสนอโครงงานหนา้ ชนั้ เรยี น
วนั เดือน ปี ตัวชวี้ ดั เนอื้ หา 4.2 พลังงานในชีวิตประจำวัน และการอนรุ ักษพ์ ลังงาน 1. อธิบายประเภทของ 1. พลงั งานและประเภทขอ พลังงานทเี่ กย่ี วข้องใน ในชวี ิตประจำวัน ชวี ติ ประจำวนั 2. พลงั งานไฟฟ้า 2. อธบิ ายวธิ ีการใช้ไฟฟ้าใน 2.1 แหลง่ กำเนดิ บ้าน และต่อวงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย 2.2 การเปลยี่ นรปู
องพลังงานท่ีใช้ กิจกรรม หมายเหตุ(ส่ือ) ข้นั ท่ี 1 กาํ หนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ 1.หนังสือเรียน 1.ครกู ลา่ วทกั ทายและนำเข้าสบู่ ทเรียน 2. ห้องสมดุ 2. ครแู ละผ้เู รียนรว่ มกันอธิบายเกี่ยวกบั เรือ่ ง 3.อินเตอร์เน็ต 4.กศน.ตาํ บล 1. พลังงานและประเภทของพลงั งานท่ีใชใ้ น 5.ผรู้ ู้ ชีวติ ประจำวนั 2. พลังงานไฟฟ้า 2.1 แหล่งกำเนิด 2.2 การเปล่ยี นรูป ขัน้ ท่ี 2 แสวงหาขอ้ มลู และกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนศึกษาจากใบความรู้ คลปิ วดิ ีโอเสริมความรู้ และสื่อต่าง ๆ ข้นั ท่ี 3 การปฎิบัตแิ ละการนาํ ไปใช้ ผเู้ รยี นนำความรทู้ ่ีไดร้ บั มาปรับใชใ้ น ชีวติ ประจำวนั ขน้ั ท่ี 4 การประเมินผลและการเรียนรู้ 1. เอกสารโครงงาน 2. ชิน้ งาน 3. ฟิวเจอร์บอร์ดสำหรบั นำเสนอ 4. การนำเสนอโครงงานหนา้ ชัน้ เรยี น
วนั เดือน ปี ตัวช้ีวัด เน้ือหา 5. ดาราศาสตรเ์ พื่อชีวติ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งดวง 1. การเกดิ กลางวนั กลางคนื อาทติ ย์ โลก และดวงจันทร์ 2. การเกิดขา้ งขนึ้ ขา้ งแรม 3. การเกดิ สุรยิ ุปราคา และ - อธบิ ายอิทธพิ ลของดวง 4. การเกิดฤดูกาล อาทิตย์และดวงจนั ทร์ท่ีมีผลต่อ 5. การเกิดลมบก ลมทะเล การเกิดปรากฏการณ์ทางดารา ศาสตรบ์ นโลกและการนำไปใช้ ประโยชนไ์ ด้
กิจกรรม หมายเหตุ(ส่ือ) ขน้ั ท่ี 1 กาํ หนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ 1.หนังสอื เรยี น 1.ครกู ล่าวทกั ทายและนำเข้าสู่บทเรียน 2. หอ้ งสมดุ 2. ครูและผู้เรียนรว่ มกันอธิบายเก่ียวกับเรือ่ ง 3.อนิ เตอร์เนต็ น 1. การเกิดกลางวันกลางคืน 4.กศน.ตําบล ม ะจันทรุปราคา 2. การเกดิ ข้างขน้ึ ข้างแรม 5.ผู้รู้ ล 3. การเกดิ สรุ ยิ ุปราคา และจนั ทรุปราคา 4. การเกดิ ฤดูกาล 5. การเกดิ ลมบก ลมทะเล ขัน้ ที่ 2 แสวงหาขอ้ มลู และกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนศึกษาจากใบความรู้ คลิปวดิ โี อเสรมิ ความรู้ และสอื่ ตา่ ง ๆ ขัน้ ที่ 3 การปฎิบตั ิและการนาํ ไปใช้ ผเู้ รยี นนำความรู้ท่ไี ด้รบั มาปรับใชใ้ น ชวี ิตประจำวนั ข้นั ที่ 4 การประเมินผลและการเรยี นรู้ 1. เอกสารโครงงาน 2. ชิ้นงาน 3. ฟวิ เจอร์บอรด์ สำหรบั นำเสนอ 4. การนำเสนอโครงงานหนา้ ชนั้ เรียน
ใบความรู้
ใบความร้คู ร้งั ท…ี่ ..…. วิชา…วิทยาศาสตร์.. รหัสวิชา …พว11001… ระดับประถมศึกษา เร่อื งวิทยาศาสตร์กบั เทคโนโลยี วทิ ยาศาสตร์ คือ วชิ าทีศ่ กึ ษาถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติ ทั้งในสภาพน่ิงหรอื สภาพทีม่ ีการเปล่ียนแปลง เทคโนโลยี คือ กระบวนการหรือวิธีการและเครื่องมือที่เกิดจากการประยุกต์ และผสมผสานความรู้ ทาง วิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์เหมาะสมกับเวลาและสถานที่วิทยาศาสตร์มี จุดมุ่งหมายในการแสวงหาความรู้อย่างเป็นระบบ โดยตั้งข้อสมมติฐานพิสูจน์สมมติฐานด้วยกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ ความรู้ หรอื ขอ้ เท็จจริงจากปรากฎการณ์นัน้ ๆ ถ้ามกี ารพสิ ูจนอ์ ีกกย็ ังคงใชข้ อ้ เทจ็ จรงิ เหมือนเดิม เทคโนโลยีเป็นวิทยาการที่เกิดจากการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่นๆ ในการแก้ปัญหา โดยมุ่งแสวงหากระบวนการหรือวิธีการ (Know How) โดยอาศัยเครื่องมือและความรู้ต่าง ๆ ผลของ กระบวนการเทคโนโลยีมี 2 ลักษณะ คอื 1. เคร่ืองมือ หรือฮาร์ดแวร์ หมายถงึ เทคโนโลยีในรปู ของอุปกรณ์ เคร่ืองมือต่าง ๆ เช่น เครื่องบำบัด นำ้ เสีย เคร่อื งปรับอากาศ เครอื่ งบิน เป็นตน้ 2.วิธีการหรอื เรียนกว่า ซอฟต์แวร์ หมายถึง เทคโนโลยีในรูปของวิธีการ กระบวนการ ความรู้ต่าง ๆ เชน่ วธิ ีจัดการระบบบรหิ ารองค์กร วิธีประเมินผลต่าง ๆ โปรแกรมคอมพวิ เตอร์เปน็ ตน้ ผู้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับปรากฎการณ์ธรรมชาติ คือ นักวิทยาศาสตร์ ความใฝ่รู้หรืออยากรู้ อยากเห็น ทำให้คนเป็นนักวิทยาศาสตร์ ความใฝ่ประดิษฐ์ทำให้คนเปน็ ช่างฝีมือ คนที่เรียนเทคโนโลยีจะต้องมี จิตวิญญาณสองส่วน คือ ใฝ่รู้ หรือ ใฝ่ศึกษาธรรมชาติ และใฝ่ทำหรือใฝ่ประดิษฐ์ บุคคลที่มีคุณลักษณะทั้ง 2 ประการ ไดแ้ ก่ โธมัส อลั วา เอดิสัน เป็นนกั ประดษิ ฐ์ ทีร่ วมความเปน็ นกั วิทยาศาสตรแ์ ละชา่ งฝมี ือในตวั เอง เมื่อประมาณ 4,500 ปี มาแล้ว ชาวอียิปต์โบราณสร้างพีระมิดด้วยเทคโนโลยีบางอย่างสำหรับขน หินแกรนิตขนาดใหญ่ขึ้นไปเรียงกันถึงยอดสูงประมาณ 164 ฟุต เทคโนโลยีเกิดจากการนำความรู้ทาง วทิ ยาศาสตร์ และการพฒั นาเคร่ืองมือของชา่ งฝมี ือ ทำให้ได้เครอื่ งจกั รกลทซ่ี บั ซอ้ น ประเทศไทยผลติ ช่างฝมี อื ในแตล่ ะปีจำนวนมาก แตข่ าดความรพู้ น้ื ฐานด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี ประเทศที่เจริญทางเทคโนโลยีจะทุ่มเททุนมหาศาลเพื่อพัฒนาและ ประยุกตว์ ิทยาศาสตร์เข้ากบั เทคโนโลยี ขณะน้ีประเทศไทยต้องพ่ึงพาหรือซื้อเทคโนโลยชี ั้นกลางหรือชั้นสูงจาก ตา่ งประเทศ เพราะเราประดิษฐเ์ ทคโนโลยีเหล่านนั้ ได้น้อยมาก วิทยาศาสตร์มีความสัมพันธ์กับเทคโนโลยี ในฐานะที่เป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญสำหรับเทคโนโลยีแต่ ไม่ใช่เฉพาะวทิ ยาศาสตร์ วชิ าอื่น ๆ กม็ คี วามสำคัญเชน่ เดียวกันวิทยาศาสตร์แตกตา่ งจากเทคโนโลยใี นเรื่องของ เปา้ หมาย (goal) และวิธีการ (methodlogies) แตท่ ้ังวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีเก่ียวข้องกนั อยา่ งใกล้ชิด
เทคโนโลยีสัมพันธ์กับความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตรใ์ นการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพ่ือแก้ปัญหาแต่ ขณะเดยี วกันวิทยาศาสตรต์ ้องอาศัยความร้ทู างเทคโนโลยีแสวงหาความรหู้ รือทฤษฎีใหม่ ๆ เทคโนโลยีจึงไม่ใช่ วทิ ยาศาสตรป์ ระยกุ ต์ แต่เป็นศาสตรอ์ ีกแขนงหน่ึง อาจสรุปความสมั พนั ธ์ของศาสตร์ทงั้ สอง ได้ดงั น้ี 1. เทคโนโลยเี กดิ จากการใช้ความรู้พนื้ ฐานทางวทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ ส่วนใหญ่ 2. การประยุกต์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในเทคโนโลยีนั้น มีจุดประสงค์เพื่อแก้ปัญหา ทาง เทคโนโลยี วิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่เราให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างมาก และต้องใช้วิชา เทคโนโลยีเพื่อเสริมการแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ ทั้ง 2 วิชามีความสัมพันธ์กันและเป็นการนำความรู้ วิทยาศาสตรไ์ ปสู่การปฏิบัติน่ันเอง วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีมคี วามสัมพนั ธ์กันอย่างใกล้ชดิ จงึ มักถกู เรยี กควบคู่กนั แต่วิธีการใช้ทงั้ สอง วิชาเพื่อใหไ้ ดค้ ำตอบนน้ั ไมเ่ หมือนกนั ทีเดียว และจุดประสงค์หรือเปา้ หมายตา่ งกัน วทิ ยาศาสตร์เริ่มจากคำถามเกยี่ วกบั สิ่งทส่ี ังเกตจากปรากฎการณธ์ รรมชาติ จากน้นั จงึ ใช้วิธกี ารสบื เสาะหาความรู้ ได้แก่ การสังเกต รวบรวมข้อมลู ทดลอง วเิ คราะห์ และสรปุ ผล ซ่ึงเป็น กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการหาคำตอบเพ่อื อธิบายปรากฎการณธ์ รรมชาตนิ น้ั คำตอบจากการคน้ หานั้น จะเปน็ กฎเกณฑท์ างทฤษฎี เทคโนโลยีเริ่มจากปัญหาหรือความต้องการของมนุษย์ แล้วใช้กระบวนการต่าง ๆ เพื่อหาวิธีการ แก้ไข ปัญหาหรือสนองความต้องการของมนุษย์ โดยใช้ทรัพยากร ทักษะ และความรู้ด้านต่าง ๆ สำหรับปรับปรุง พัฒนาผลติ ภณั ฑ์นัน้ ตามกระบวนการเทคโนโลยี ข้อแตกต่างของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวโดยสรุป คือ ทั้ง 2 วิชามีธรรมชาติและกิจกรรม แตกต่างกัน กล่าวคือ วิทยาศาสตร์มุ่งเน้นความเข้าใจเกี่ยวกับ ความจริงในธรรมชาติ (Facts and Phenomena of Nature ) สว่ นเทคโนโลยศี ึกษาสิ่งที่เกยี่ วข้องกบั ความต้องการ การแก้ปญั หา และคุณสมบัติ ของสง่ิ ของ (Artifacts) ทมี่ นุษยป์ ระดิษฐ์หรอื สร้างขนึ้ วทิ ยาศาสตรเ์ ก่ยี วขอ้ งกับการพยายามตอบคำถาม “What” ในขณะที่ เทคโนโลยีมุ่งแก้ปัญหาที่มาจากความต้องการจะตอบคำถาม “How” เราจะมีวิธี แกป้ ญั หาอยา่ งไร หรอื สรา้ งสงิ่ ทีเ่ กดิ จากการความต้องการอย่างไร กิจกรรมการเรียนรู้เทคโนโลยแี ละวทิ ยาศาสตร์แตกตา่ งกนั ดงั น้ี กจิ กรรมทางวทิ ยาศาสตร์ กจิ กรรมทางเทคโนโลยี - ติดตัง้ สมมติฐาน - คดิ ด้วยการใช้กระบวนการทางเทคโนโลยี - คำอธบิ าย ทำนาย ปรากฎการณธ์ รรมชาติ - ไดผ้ ลิตภัณฑ์ - คน้ พบกฎ หลักทฤษฎี - ลงมือปฏิบัติตามความคิดริเรมิ่ - วเิ คราะห์ขอ้ มลู - สังเคราะห์แนวคดิ - ค้นคว้าหาสาเหตขุ องปญั หา - แสวงหาแนวทางสูค่ ำตอบ - ค้นควา้ เพือ่ พิสูจนส์ มมติฐาน - คน้ คว้าเพื่อตอบสนองจุดประสงค์ - เรียนรู้เพอ่ื ทำความเข้าใจกบั สง่ิ ทเี่ ปน็ อยู่ - เรยี นรู้การประดิษฐส์ งิ่ ต่าง ๆ ได้อย่างไร
การวจิ ัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีพัฒนาจากการวจิ ัยอันจะเป็นกุญแจสำคัญ ตอ่ ความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยีดังแบบจำลองของเทคโนโลยี ดังน้ี การวจิ ยั ทางวิทยาศาสตร์ การวจิ ัยทางเทคโนโลยีการวจิ ยั พ้ืนฐาน -> การวิจยั ประยุกต์ พ ั ฒ น า ก า ร ร ะ บ บ เทคโนโลยี-> การพฒั นาเทคโนโลยที ่ีดกี ว่า การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นงานของนักวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัย โดยการลงทุนของรัฐบาล หรอื องค์กรท่ีไม่มุ่งหวังผลกำไร เช่น การวจิ ัยหาสายพันธุ์ของจุลินทรียส์ ำหรับป้องกันและกำจัดโรคพืชการวิจัย สายพันธุ์ข้าวต้านทานโรค เป็นต้น การวิจัยนี้ต้องใช้ระยะเวลานาน เมื่อประสบผลสำเร็จภาคเอกชนนำไป พัฒนาเป็นเทคโนโลยี โดยเป็นผู้ลงทุนหรือร่วมทุนกับรัฐบาล ขั้นตอนการพัฒนานี้ต้องใช้วิศวกรแทน นักวิทยาศาสตร์ เช่น หลังจากพบจุลินทรีย์ที่สามารถย่อยสลายคราบน้ำมันแล้ว ก็ถึงขั้นการผลิตนำร่องเพ่ือ ศึกษารูปแบบของผลิตภัณฑ์ท่ีใชส้ ะดวก เก็บไดน้ าน ตน้ ทุนต่ำ คณุ ภาพดี เพ่ือจำหนา่ ยต่อไป โดยควบคู่กับการ สำรวจความเป็นไปได้ทางการตลาด แล้วสร้างโรงงานผลิตซึ่งต้องใช้เครื่องจักรต่าง ๆ รวมทั้งการตรวจสอบ คุณภาพผลติ ภัณฑ์ และตอ้ งอาศัยความรู้พืน้ ฐานทางวิทยาศาสตรด์ ้วย แสดงวา่ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีเป็น ของคู่กัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น ๆเทคโนโลยีเป็นความรู้ สาขาหน่งึ ของมนุษย์ว่าดว้ ยการประยกุ ต์ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ทัง้ ความรู้ วสั ดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมอื พลงั งาน ทกั ษะ ต่าง ๆ ในการคิดแก้ปัญหา ออกแบบและสร้างสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสนองความต้อ งการของมนุษย์ ดังน้ัน กระบวนการเทคโนโลยจี ึงตอ้ งอาศัยความรู้จากสาขาวิชาอื่น ๆ มาสนับสนุนเช่น ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ช่วย อธิบายหลักทางวิทยาศาสตร์ของสิ่งต่าง ๆ ความรู้ทางศิลปะช่วยวาดภาพหรือเขียนโครงร่างของสิ่งที่คิด ประดิษฐ์ให้เห็นเป็นรูปธรรม หรือความรูส้ าขามนุษยช์ ่วยให้เขา้ ใจความต้องการวฒั นธรรมของสังคมมนุษย์ สิ่ง เหลา่ นช้ี ่วยสนบั สนนุ การทำงานทางเทคโนโลยี ความสมั พนั ธ์ของเทคโนโลยีกบั มนษุ ย์ศาสตร์ การทำงานตามกระบวนการทางเทคโนโลยีเร่ิมจากวเิ คราะห์ความต้องการของตน สื่อสารความตอ้ งการให้ผู้อ่ืน เข้าใจ และเสนอแนวทางแก้ปัญหา ซึ่งต้องอาศัยทักษะการพูด อ่านและเขียนลักษณะพฤติกรรมการเรียนรู้ เทคโนโลยีตอ้ งอาศัยทกั ษะทางภาษาซงึ่ เปน็ ศาสตรข์ องมนุษย์ศาสตรด์ ังน้ี 1. ทักษะการฟัง พูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางเทคโนโลยีกับคนอื่นๆ ใน การทำกิจกรรม 2. ทกั ษะการเขียน นำเสนอข้อมูลเชงิ สญั ลกั ษณ์ หรอื อธิบายแนวคิดของตน 3. ทกั ษะการสรุป กิจกรรมเทคโนโลยเี กี่ยวข้องกับการรา่ งโครงการและการอธบิ ายกระบวนการ ทำงานจน ไดช้ ิ้นงาน การเขยี นขอ้ สรปุ จงึ เป็นสงิ่ สำคัญของเทคโนโลยี
ความสัมพนั ธข์ องเทคโนโลยีกับสังคมศาสตร์ผ้เู รยี นตอ้ งเขา้ ใจประวตั ิความเป็นมาทง้ั อดีตจนถงึ ปัจจุบัน และเทคโนโลยใี นอนาคตช่วยสร้างสรรค์มนุษยชาติ จงึ ตอ้ งให้ผ้เู รียนตระหนักถึงหน้าท่ี และความรับผิดชอบใน ฐานะสมาชกิ ทด่ี ีของสงั คมโดยกจิ กรรมดงั นี้ - สำรวจบทบาทเทคโนโลยตี ่อสงั คม - การจดั การทรัพยากรธรรมชาติใหส้ นองความตอ้ งการได้อยา่ งฉลาด - เขา้ ใจขอ้ จำกัดของปัจจยั ต่าง ๆ ทางสงั คม ค่านิยม โครงสร้างสังคม โดยนำสง่ิ เหลา่ น้มี า ประกอบการตัดสนิ ใจในกจิ กรรมทางเทคโนโลยี - วจิ ยั ศึกษา วเิ คราะห์การใชเ้ ทคโนโลยีในสงั คม ส่งผลกระทบตอ่ สงั คมอยา่ งไรบา้ ง - การตระหนักถึงการใชท้ รพั ยากร สง่ิ แวดล้อมในธรรมชาติ และวฒั นธรรมทแ่ี ตกตา่ งกนั - วิจัยศกึ ษา วิเคราะหผ์ ลกระทบการใช้เทคโนโลยีต่อสังคม ---------------------------------------------------------------------------------------------- อา้ งองิ จาก : https://sites.google.com/site/thamondesign5 / home/thekhnoloyi-khux-xxa-ri/khwam- samphanth-thekhnoloyi-kab-withyasastr
ใบความรูค้ รง้ั ท…่ี ..…. วชิ า…วิทยาศาสตร์.. รหัสวชิ า …พว11001… ระดบั ประถมศกึ ษา เรอ่ื งสิง่ มชี ีวิต สิ่งมีชีวิต จะมคี ณุ ลักษณะ (properties) ที่ไม่พบในสงิ่ ไมม่ ีชีวติ อนั ไดแ้ กค่ วามสามารถในการใช้สสาร และพลงั งานเปน็ สำคญั ซึ่งได้รบั ถ่ายทอดจากบรรพบรุ ุษของส่ิงมชี ีวติ แรกเร่ิม อย่างไรก็ตามส่ิงมีชวี ติ เร่มิ แรหรือ บรรพบรุ ุษของสิ่งมีชวี ิตซึง่ ถือกำเนิดมาบนโลกกว่า 4 พันล้านปี เมื่อผา่ นการววิ ฒั นาการและการปรบั ตัวใหเ้ ขา้ กบั ส่ิงแวดล้อมในแตล่ ะชว่ งเวลา ก่อใหเ้ กดิ ความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชวี ิตเป็นจำนวนมากดังท่ี ปรากฏในปัจจบุ นั การกำเนดิ สิง่ มีชวี ิต มีหลายทฤษฎที ี่พยายามอธบิ ายการเกดิ ของสงิ่ มชี ีวิต เชน่ ทฤษฎี “spontaneous generation” ท่ี กลา่ ววา่ ส่ิงมีชวี ติ เกดิ ข้ึนได้ดว้ ยตวั เองจากสิ่งไมม่ ีชวี ติ เชน่ กบและแมลงเกิดจากดิน หรอื แมลงเกดิ จากเนอื้ เน่า อยา่ งไรกต็ ามปจั จบุ นั ทฤษฎีดังกลา่ วไดร้ ับการพสิ จู นแ์ ล้วว่าไมเ่ ป็นความจริง เป็นท่ที ราบในปัจจุบนั วา่ สงิ่ มีชวี ิต เกดิ จากสง่ิ มชี ีวติ ชนิดเดียวกนั เช่น สนุ ขั จะให้กำเนดิ สนุ ขั หนอนผีเส้อื เกิดจากผีเสือ้ และพัฒนาเปน็ ผเี สอื้ ใน ลำดับต่อมานักธรรมชาตวิ ทิ ยาชาวองั กฤษชือ่ ชาลส์ ดารว์ นิ (Charles Darwin) และ แอลเฟรด รัสเซล วอล แลนซ์ (Alfred Russel Wallance) ได้เสนอทฤษฎวี ิวฒั นาการของสิ่งมชี ีวติ บนโลก (theory of evolution by natural selection) ววิ ฒั นาการของสิ่งมชี วี ติ เกดิ จากการคัดเลือกตามธรรมชาติ ซ่ึงทฤษฏีดังกลา่ ว กลา่ ว วา่ ส่ิงมชี ีวิตหนึง่ ๆ ภายในชนดิ เดยี วกัน (สปีชสี ์ ; species) จะมคี วามแตกต่างกนั อย่บู า้ ง ซึ่งเราเรียกว่า แตกตา่ งภายในสง่ิ มีชวี ิตชนดิ เดยี วกนั นี้ว่า ความผันแปร (variations) โดยความผันแปรดังกลา่ ว จะเป็นผลให้ สิง่ มีชีวิตสามารถอย่รู อดในได้สภาวะแวดลอ้ ม ตวั อย่างเช่น เม่อื เกดิ สภาวะแห้งแล้ง แมลง สายพนั ธุ์ที่มี ความสามารถกนิ อาหารได้หลายชนิดทงั้ ใบพืชและหญา้ จะสามารถมีชีวิตรอดไดด้ ีกวา่ แมลง สายพันธุท์ ่ี สามารถกินหญ้าได้อยา่ งเดียว เม่ือสง่ิ มชี วี ติ สายพนั ธุ์หนึ่งสามารถมีชีวิตได้นาน ก็สามารถมีลกู หลานได้มากกว่า สิง่ มีชวี ิต สายพันธุ์อื่นทม่ี ีอายุสั้นและเมอื่ เวลาผา่ นไปส่ิงมชี ีวิต สายพนั ธุน์ นั้ จะมจี ำนวนมากข้ึนและเกดิ เป็นชนดิ ใหม่ (new species) แรกเร่ิมเดิมทีเม่ือโลกยังร้อน ส่ิงมชี ีวติ ไม่สามารถอาศยั บนโลกใบนไ้ี ด้ เมื่อเวลาผา่ นไปโลกเร่ิมเย็นตวั ลง อุณหภมู ิบนโลกจึงเหมาะทีจ่ ะเกิดสงิ่ มีชวี ิตขึน้ โดยทฤษฎีทย่ี อมรับเกี่ยวกับการเกิดสง่ิ มชี วี ิตเร่มิ แรก เกิด จากการทำปฏิกิริยากันของสารเคมีซงึ่ เกดิ ข้นึ ในทะเล หลังจากน้ันเกิดเป็นสารประกอบพวกโปรตีน กรดอะมโิ น และเอนไซม์ สะสมอยู่ในทะเลเป็นจำนวนมาก สำหรับสมมุตฐิ านดังกล่าวไดร้ ับการสนับสนุนโดยการทดลอง ของ สแตนลยี ์ มลิ เลอร์ (Stanley Miller) โดยมิลเลอร์ไดท้ ำการจำลองสภาวะซ่ึงเป็นระบบปิด หลงั จากนนั้ ได้ ใสก่ ๊าซมเี ทน (CH4) แอมโมเนีย (NH3) ไฮโดรเจน และน้ำ ซึ่งเชอ่ื ว่าสภาวะดังกล่าวเคยเกิดขน้ึ ในบรรยากาศ ของโลกในอดีต หลังจากนนั้ ใหค้ วามรอ้ นและทำให้เกิดประกายไฟข้ึน ภายในระบบทจ่ี ัดไว้ หลังจากเวลาผ่าน ไปหนง่ึ สปั ดาห์ มิลเลอร์พบวา่ ในชดุ การทดลองพบกรดอะมิโนและกรดอินทรยี ์เกิดขนึ้
สำหรับขน้ั ตอนต่อมาสารประกอบอินทรยี จ์ ะรวมตัวกันเปน็ โมเลกุลอินทรียสารขนาดใหญ่(macromolecules) และววิ ฒั นาการต่อไปจนเกิดเป็นโปรโตเซลล์ (protocell) ซ่งึ เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของเซลล์ มโี ครงสรา้ งของผนงั เป็น ไขมันและโปรตีน และเกิดการสนั ดาปภายในเซลลไ์ ด้ หลงั จากนน้ั โปรโตเซลล์ ซึ่งเช่อื วา่ มีอาร์เอน็ เอทำหนา้ ที่ เปน็ ทั้งสารพันธุกรรมและเอนไซม์ จะวิวฒั นาการกลายเปน็ เซลล์เรม่ิ แรกของสิ่งมชี ีวิตซึ่งมีความสามารถในการ เพิ่มจำนวนหรอื สืบพนั ธุ์ อาณาจักรของส่ิงมชี ีวติ สง่ิ มชี ีวิตในโลกน้ีมมี ากมายหลายชนิด ซง่ึ แต่ละชนิดจะมีความแตกตา่ งกนั จงึ จำเปน็ ทจี่ ะต้องมีการ จดั แบ่งหมวดหม่เู พ่ือความสะดวกในการศึกษา และการนำมาใช้ประโยชน์ วชิ าทีว่ ่าด้วยการจัดแบง่ หมวดหมู่ ของสิง่ มชี วี ติ เรียกวา่ อนกุ รมวิธาน (Taxonomy) นกั วทิ ยาศาสตร์ท่ไี ด้รับการยกย่องใหเ้ ป็นบดิ าแห่งวิชา อนุกรมวธิ าน คือ คาโรลัส ลนิ เนียส (Carolus Linnaeus) ชาวสวเี ดน ชอ่ื ของส่ิงมีชวี ติ มี 2 ชนดิ คือ 1.ชอ่ื สามัญ (common name) คอื ช่ือทเี่ รียกกันทว่ั ๆ ไป อาจเรียกตามลักษณะทางกาย ถิ่นกำเนดิ หรือสถานท่ีอยู่ก็ได้เช่น ปากกาทะเล หอยมุก เปน็ ต้น ซึ่งชื่อดังกล่าวอาจเรียกตา่ งกัน ในแต่ละท่ีทำใหเ้ กิดความ เขา้ ใจผิดได้ 2.ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ (scientific name) ลนิ เนียสเปน็ ผเู้ ริ่มใช้เปน็ คนแรก โดยส่งิ มีชวี ิตประกอบด้วยชอ่ื 2 ชอ่ื ชอื่ แรกเปน็ ช่ือ จนี สั ชอ่ื ที่2 เปน็ ช่ือ สปีชสี ์ เขียนดว้ ยภาษาลาติน ช่อื จีนสั ตวั แรกเขียนดว้ ยอกั ษรตวั ใหญ่ เสมอ ตวั แรกของสปชี สี ์เป็นช่อื ตวั เลก็ ธรรมดา ต้องเขียนให้ต่างจากอกั ษรอ่ืนเช่น ตวั เอน ตัวหนา หรอื ขีดเส้น ท้งั 2 ชือ่ ไมต่ ิดกันเรียกระบบนว้ี ่า การตง้ั ช่อื แบบบทวินาม (binomial nomenclature) ลักษณะทีใ่ ชใ้ นการจำแนกสงิ่ มชี วี ิต 1.ลักษณะภายนอกและโครงสร้างภายใน 2.แบบแผนการเจรญิ เติบโตและโครงสรา้ งระยะตัวอ่อน 3.ซากดึกดำบรรพ์ของสิง่ มีชีวิตทค่ี น้ พบ 4.โครงสร้างของเซลล์และออรแ์ กเนล 5.สรีระวิทยาและการสังเคราะห์สารเคมี 6.ลักษณะทางพันธุกรรมของสงิ่ มีชีวติ ลำดับขัน้ ในการจัดหมวดหม่สู ่ิงมชี ีวิต ลำดบั ขัน้ ของหมวดหมสู่ งิ่ มชี วี ิต (taxonomy category) มีการจดั ลำดับตง้ั แต่ใหญท่ สี่ ุด ถงึ เล็กที่สุด ดังน้ี 1.อาณาจักร (kingdom) 5.วงศ์ (family) 2.ไฟลมั (phylum) หรือดิวิชัน (division) 6.สกลุ (genus) 3.ชัน้ (class) 7.สปีชสี ์ (species) 4.อนั ดับ (order)
ใบความรคู้ รั้งท…่ี ..…. วชิ า…วิทยาศาสตร.์ . รหสั วิชา …พว11001… ระดับประถมศึกษา เร่ืองระบบนเิ วศ ระบบนิเวศ คือกลมุ่ อนิ ทรีย์ (พชื สัตวแ์ ละจุลนิ ทรีย)์ รว่ มกับองคป์ ระกอบอชวี นะของสง่ิ แวดล้อมของ พวกมนั (เชน่ อากาศ น้ำและดินอนินทรีย)์ ซ่ึงมีปฏสิ ัมพนั ธ์กนั เป็นระบบ ถือวา่ ส่วนประกอบชวี นะและ อชีวนะเชอื่ มกนั ผ่าน วฏั จักรสารอาหารและการถา่ ยทอดพลงั งาน ระบบนเิ วศนยิ ามเปน็ เครือข่ายปฏสิ มั พันธร์ ะหว่าง อนิ ทรยี ์ด้วยกันและระหว่างอินทรยี ์กับสงิ่ แวดล้อม ระบบนิเวศมีขนาดเท่าใดกไ็ ด้ แต่ปกติครอบคลุมพนื้ ที่เฉพาะ จำกดั แม้นักวทิ ยาศาสตรบ์ างสว่ นกล่าววา่ ท้ังโลกกเ็ ป็นระบบนิเวศหนึ่งดว้ ยพลงั งาน นำ้ ไนโตรเจนและดินอนิ นทรยี ์เปน็ อีกส่วนประกอบอชีวนะของระบบนเิ วศ พลงั งานซึง่ ถา่ ยทอดผ่านระบบนิเวศได้มาจากดวงอาทติ ย์ เปน็ หลัก โดยทั่วไปเข้าสรู่ ะบบผา่ นการสงั เคราะหด์ ้วยแสง ซ่งึ กระบวนการน้ียังจับคารบ์ อนจากบรรยากาศด้วย สตั ว์มีบทบาทสำคญั ในการเคลื่อนของสสารและพลงั งานผ่านระบบนเิ วศ โดยการกินพืชและสตั วอ์ ื่น นอกจากนี้ สตั ว์ยงั มอี ิทธิพลต่อปริมาณพืชและชีวมวลจลุ ินทรียท์ ีม่ อี ยู่ ตัวสลายสารอนิ ทรีย์ปลดปลอ่ ยคารบ์ อนกลบั สู่ บรรยากาศและเอื้อการเกิดวัฏจักรสารอาหารโดยการแปลงสารอาหารท่สี ะสมอยู่ในชีวมวลตายกลับสู่รูปที่ พรอ้ มถูกพชื และจลุ นิ ทรยี ์อ่ืนใช้ โดยการยอ่ ยสลายสารอนิ ทรยี ์ตาย ในธรรมชาติแลว้ มสี าร 60 ชนดิ ในจำนวน 96 ชนิด หมุนเวียนผา่ นเข้าไปในอนิ ทรีย์ ระบบนเิ วศมีท้ังปจั จัยภายนอกและภายในควบคุม ปัจจัยภายนอก เช่น ภูมิอากาศ วสั ดุกำเนดิ (parent material) ซง่ึ สรา้ งดนิ และภูมิลักษณ์ ควบคุมโครงสรา้ งโดยรวมของระบบนิเวศและวธิ ที สี่ ิ่งต่าง ๆ เกิด ในนัน้ แต่ปจั จัยดังกลา่ วไมไ่ ด้รบั อทิ ธิพลจากระบบนิเวศ ปัจจัยภายนอกอ่ืนรวมเวลาและชวี ชาติศกั ยะ (potential biota) ระบบนเิ วศเปน็ ส่งิ พลวตั คือ อยภู่ ายใต้การรบกวนเป็นระยะและอยู่ในกระบวนการฟนื้ ตัว จากการรบกวนในอดตี บางอย่าง ระบบนิเวศในส่ิงแวดล้อมคล้ายกันที่ต้งั อย่ใู นส่วนของโลกตา่ งกนั สามารถมี ลกั ษณะต่างกันมากเพราะมชี นดิ ต่างกนั การนำชนดิ ต่างถ่นิ เขา้ มาสามารถทำให้เกิดการเลื่อนอยา่ งสำคญั ใน การทำหน้าท่ีของระบบนเิ วศ ปัจจัยภายในไมเ่ พียงควบคุมกระบวนการของระบบนเิ วศ แตย่ งั ถกู ระบบนิเวศ ควบคุมและมกั อยภู่ ายใต้วงวนปอ้ นกลับ (feedback loop) เช่นกัน ขณะทท่ี รัพยากรป้อนเขา้ ปกติถูก กระบวนการภายนอก เช่น ภูมอิ ากาศและวัสดกุ ำเนิด ควบคมุ แตก่ ารมีทรัพยากรเหล่าน้ีในระบบนิเวศถูก ปจั จัยภายใน เช่น การผุสลายตวั การแข่งขนั รากหรือการเกิดร่ม ควบคมุ ปจั จยั ภายในอนื่ มกี ารรบกวน การสบื ทอด (succession) และประเภทของชนิดที่มี แม้มนุษย์อยู่ในและก่อให้เกิดผลภายในระบบนิเวศ แตผ่ ลลัพธ์ รวมใหญ่พอมอี ิทธพิ ลต่อปจั จัยภายนอกอย่างภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) เช่นเดยี วกับการรบกวนและการสืบทอด มีผลต่อการทำ หน้าท่ีของระบบนเิ วศ ระบบนเิ วศให้สนิ ค้าและบริหารต่าง ๆ ทมี่ นษุ ยต์ ้องการ หลกั การการจัดการระบบนิเวศ เสนอวา่ แทนท่ีจะจัดการชนดิ หนึง่ เพียงชนดิ เดียว ควรจดั การทรพั ยากรธรรมชาติท่รี ะดับระบบนิเวศด้วย การ จำแนกระบบนิเวศเป็นหนว่ ยเอกพนั ธท์ุ างระบบนเิ วศ (ecologically homogeneous unit) เป็นข้ันตอน สำคญั สกู่ ารจัดการระบบนิเวศอยา่ งสัมฤทธิ์ผล แต่ไมม่ ีวิธีทำวธิ ีใดวธิ หี นึง่ ท่ีตกลงกัน
ภยั คุกคามจากมนุษยท์ ีม่ ีต่อระบบนิเวศ ขณะทป่ี ระชากรมนษุ ยเ์ ติบโตขน้ึ เพื่อทำต้องการทรัพยากรทีก่ ำหนดในระบบนิเวศและผลกระทบของ รอยเทา้ ทางนเิ วศของมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาตสิ ามารถทำลายไดแ้ ละใช้ได้อย่างมากมายผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมจากการกระทำของมนษุ ยล์ ้วนเปน็ กระบวนการหรอื วสั ดุท่ไี ด้มาจากการกระทำของมนุษย์ จะสง่ ผล ให้คณุ ภาพของอากาศและนำ้ ถูกทำลายมากยิ่งข้นึ รวมถึงการทำการประมงทีม่ ากเกินไปทำให้ศัตรูพชื และโรค ระบาทจะขยายพนื้ ที่มากยง่ิ ข้ึนเกินการควบคมุ และการตดั ไม่ทำลายป่าจะก่อใหเ้ กิดน้ำท่วมรุนแรง จาก รายงานพบวา่ ประมาณ 40-50% ของโลกในสว่ นที่เป็นช้ันนำ้ แขง็ ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมากซ่ึงความเสื่อม โทรมน้ีลว้ นเกดิ จากการกระทำของมนษุ ย์ และอีก 66% เป็นการทำประมงมากเกินไปของมนษุ ย์ ในปัจจบุ ัน ปรมิ าณของกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซดเ์ พ่มิ ข้นึ กวา่ 30% ตงั้ แตม่ ีการทำอตุ สาหกรรมตา่ งๆและในชว่ ง 2000 ปที ี่ ผ่านมามสี ายพนั ธ์ุของนกกวา่ 25% ท่สี ญู พนั ธ์ไป ทำให้สังคมมีการตระหนักถงึ ผลกระทบมากยิ่งข้นึ จึง ก่อใหเ้ กดิ นเิ วศบริการทมี่ ีไมจ่ ำกัด อย่างไรก็ตามภัยคุกคามสว่ นใหญ่มกั เกดิ จากการกระทำของมนษุ ย์จึงจำเปน็ จะต้องพจิ ารณาถงึ ความยั่งยืนของระบบนเิ วศในระยะยาวและเพิ่มบทบาทในการเพม่ิ ที่อยู่อาศยั ของมนุษยเ์ พื่อ เป็นกฎในการกระทำการทางเศรษฐกิจ เพื่อเพมิ่ เหตุในการตัดสนิ ใจในการทำธรุ กจิ ซ่งึ มักจะขึน้ อยกู่ ับค่าใชจ้ ่าย ท่มี นษุ ย์ไดเ้ ลอื กใช้ เปน็ อีกหนึ่งความทา้ ทา้ ยของการกำหนดมูลคา่ ทางเศรษฐกิจให้กับธรรมชาตอิ ย่างต่อเน่ือง เชน่ ธนาคารความหลากหลายทางชีวภาพ เปน็ ต้น จะเปน็ ส่วนท่ชี ว่ ยใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงการเรยี นรู้อีก สาขาวชิ าหนงึ่ เพอื่ ชว่ ยในการจดั การสภาพแวดลอ้ ม ความรับผิดชอบตอ่ สงั คม โอกาสทางธรุ กจิ และรวมไปถงึ อนาคตของเราเอง
ใบงาน
ใบงานคร้ังที่ ......... วิชา...วทิ ยาศาตร.์ .. รหสั วชิ า ...พว11001... ระดบั ประถมศึกษา เรือ่ ง .....กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี..... ชอื่ -สกุล ................................................ รหสั นกั ศกึ ษา ..............................ตำบล................................... วันท่ี ...................... เดอื น ......................................... พ.ศ. ............................... คำชี้แจง ให้ผ้เู รยี นตอบคำถามตอ่ ไปนี้ใหถ้ ูกตอ้ ง 1. วิทยาศาสตร์ หมายถงึ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ .............................................................. ...................................................................................................... .......... ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ........................................................................................................................ ...................................................... .................................................................................................... .......................................................................... ......................................................................................................................................................... ..................... .............................................................................................................. ................................................................ .......................................................................................... ................................................................................... ............................................................................................................................................... ............................... .................................................................................................... .......................................................................... 3. กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ มกี ข่ี นั้ ตอน อะไรบา้ ง ....................................................................................................................................... ....................................... ................................................................................................................... ........................................................... ........................................................................................................................................................................ ...... ............................................................................................................................. ................................................. ......................................................................................................... .................................................................... 4. เทคโนโลยี หมายถงึ ...................................................................................................................................... ........................................ ........................................................................................... ................................................................................... ....................................................................... ...................................................................................................... . ............................................................................................................................. .................................................
5. อปุ กรณ์ในรปู ต่อไปนี้มชี ่ือวา่ อะไร มีไวเ้ พือ่ อะไร ชอ่ื .......................................................... มไี ว้ใชส้ ำหรับ................................................................................................ ............................................................................................ ......................... ..................................................................................................................... .................................................................................................... ................. ..................................................................................................................... ชอื่ .......................................................... มไี ว้ใช้สำหรับ................................................................................................ ..................................................................................................................... ..................................................................................................................... ..................................................................................................................... ..................................................................................................................... ชอ่ื .......................................................... มีไว้ใชส้ ำหรับ................................................................................................ ..................................................................................................................... ..................................................................................................................... ..................................................................................................................... .....................................................................................................................
เฉลยใบงานครงั้ ท่ี ......... วิชา...วิทยาศาตร์... รหัสวิชา ...พว11001... ระดบั ประถมศกึ ษา เรอื่ ง .....กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี .... คำช้ีแจง ให้ผูเ้ รียนตอบคำถามต่อไปนใ้ี หถ้ ูกต้อง 1. วทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ คำตอบ ความรู้เกย่ี วกับส่ิงตา่ ง ๆ ในธรรมชาติรอบตัวเรากับการศึกษาหาความร้เู รื่องราวหรือปรากฏ การร์ธรรมชาตอิ ย่างมรี ะบบ ขนั้ ตอน โดยใชก้ ระบวนการทักษะทางวิทยาศาสตร์ 2. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถงึ คำตอบ ขนั้ ตอนการเสาะหาความรู้อย่างมีเหตุมผี ล มีข้นั ตอนอย่างเป็นระบบ 3. กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ มีกข่ี ั้นตอน อะไรบ้าง คำตอบ มี 5 ขัน้ ตอน 1. การกำหนดปญั หาใหถ้ ูกต้อง 2. การต้งั สมสตุ ฐิ าน 3. การรวบรวมขอ้ มูล 4. การวเิ คราะห์ข้อมูล 5. การสรุปผล 4. เทคโนโลยี หมายถึง คำตอบ การนำความรู้ ทักษะด้านวิทยาศาสตรแ์ ละทรพั ยากรไปประยุกต์ใช้ โดยผ่านกระบวนการเพ่ือ แกป้ ญั หา สนองความต้องการหรือเพ่ิมความสามารถในการทำงานของมนุษย์ 5. อปุ กรณใ์ นรปู ต่อไปน้ีมีช่ือว่าอะไร มีวธิ ีการใชอ้ ยา่ งไร คำตอบ รูปที่ 1 ช่ือ ขวดรปู ชมพู่ วิธกี ารใช้ ใชช้ วั่ ตวงสารท่มี ีสถานะเปน็ สารละลาย รูปท่ี 2 ช่ือ บกิ เกอร์ วิธีการใช้ ใช้สำหรบั ต้มสารละลายทีม่ ปี รมิ าณมาก ๆ ใชส้ ำหรบั เตรียม สารละสายต่าง ๆ ใชส้ ำหรบั ตกตะกอนและใชร้ ะเหยของเหลวงทมี่ ฤี ทธิ์กรดน้อย รูปที่ 3 ช่ือ กลอ้ งจุลทศั น์ วธิ ีใช้ ใชส้ ำหรับมองวตั ถทุ ี่มีขนาดเลก็ เกนิ กว่าจะมองเห็นดว้ ยตาเปลา่
ใบงานครง้ั ท่ี ......... วชิ า...วิทยาศาสตร์... รหสั วชิ า ...พว11001... ระดบั ประถมศกึ ษา เร่อื ง .....สิง่ มีชวี ิต..... ชื่อ-สกลุ ................................................ รหัสนกั ศึกษา ..............................ตำบล................................... วนั ที่ ...................... เดอื น ......................................... พ.ศ. ................................. คำช้ีแจง ให้ผู้เรยี นตอบคำถามต่อไปนใ้ี หถ้ ูกตอ้ ง 1. การจัดกลุ่มสง่ิ มีชีวติ ใช้เกณฑ์อะไรในการจดั กลมุ่ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................. ....................................................................................................... .......... ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................................... ....................................................................................................... .................... 2. การขยายพนั ธพ์ุ ชื โดยไม่ใช่เพศ มอี ะไรบา้ ง ............................................................................................ .................................................................................. .................................................................................................................................................. ............................ ....................................................................................................... ....................................................................... .................................................................................. ............................................................................................ ........................................................................................................................................ ...................................... .......................................................................................... ................................................................................... 3.กระบวนการเจริญเตบิ โตของสัตว์ แบ่งได้เปน็ ก่ีขนั้ ตอนอะไรบา้ ง ....................................................................................................................................... ....................................... .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................. ............................................................................... .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................................................
เฉลย ใบงานครัง้ ที่ ....….. วิชา...วทิ ยาศาสตร์... รหัสวชิ า ...พว11001... ระดับประถมศกึ ษา เร่อื ง .....สิ่งมีชีวติ ..... คำชแี้ จง ให้ผ้เู รยี นตอบคำถามต่อไปนี้ใหถ้ ูกต้อง 1. การจดั กลมุ่ สิง่ มชี วี ิตใชเ้ กณฑอ์ ะไรในการจดั กลุม่ คำตอบ 1.การเปรียบเทียบลักษณะทเี่ ดน่ ชัดภายนอกและโครงสรา้ งภายใน 2.แบบแผนการเจริญเติบโตและโครงสร้างระยะตัวอ่อนถงึ ตัวเต็มวัย 3.แบง่ โดยการศึกษาจากซากดกึ ดำบรรพของส่ิงมีชวี ิตทค่ี น้ พบ 4.จัดกลมุ่ โดยโครงสร้างของเซลลท์ ี่มีความเหมือนหรือคลา้ ยกนั 5.โดยกระบวนการสังเคราะห์สารเคมแี ละสรีระวทิ ยาท่สี ิ่งมีชีวติ สรา้ งข้นึ มา 6.ลกั ษณะทางพันธกุ รรมของส่งิ มชี วี ติ 2. การขยายพนั ธุพ์ ชื โดยไม่ใช่เพศ มีอะไรบ้าง คำตอบ 1.การตอนก่ิง 5.การปักชำ 2.การทาบก่ิง 6.การแตกหน่อ 3.การตดิ ตา 7.การเพาะเลี้ยงเน้ือเย้ือ 4.การเสยี บยอด 3.กระบวนการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์ แบง่ ได้เปน็ กี่ขนั้ ตอนอะไรบ้าง คำตอบ แบ่งได้ 4 ข้นั ตอน 1. การเพ่ิมจำนวนเซลล์ 2. การเพิ่มขนาดเซลล์ 3. การเปลีย่ นแปลงสภาพของเซลล์ 4. การเกดิ รูปร่างที่แน่นอน
ใบงานครง้ั ท่ี ......... วิชา...วิทยาศาสตร.์ .. รหัสวชิ า ...พว11001... ระดบั ประถมศกึ ษา เรือ่ ง .....ระบบนิเวศ..... ช่ือ-สกุล ................................................ รหสั นักศึกษา ..............................ตำบล................................... วนั ท่ี ...................... เดอื น ......................................... พ.ศ. ............................... คำชแี้ จง ให้ผู้เรียนตอบคำถามต่อไปนใี้ ห้ถูกต้อง 1.ระบบนเิ วศ หมายถงึ .............................................................................................................................................................................. ...................................................................................................................... ........................................................ ............................................................................................................................. ................................................. 2. ระบบนเิ วศ แบง่ ได้เปน็ กปี่ ระเภท อะไรบ้าง พร้อมยกตัวอย่าง ............................................................................................................................................. ................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................................. ............................................ .............................................................................................................................................................................. 3.หว่ งโซ่อาหาร หมายถึง ............................................................................................. ................................................... .............................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. 4.สายใยอาการ หมายถึง ............................................................................................................... ............................................................... .................................................................................. ............................................................................................ ................................................................................................................................................ .............................. .................................................................................................... .......................................................................... 5.การปรบั ตวั หมายถงึ ............................................................................................................................................................... ............... ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................... ..........................
. เฉลย ใบงานคร้ังที่ ....….. วิชา...วทิ ยาศาสตร.์ .. รหัสวิชา ...พว11001... ระดบั ประถมศกึ ษา เรื่อง .....ระบบนิเวศ..... คำช้แี จง ให้ผ้เู รียนตอบคำถามต่อไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง 1.ระบบนเิ วศ หมายถงึ คำตอบ ความสมั พนั ธข์ องกลุม่ สง่ิ มีชีวิตในแหล่งทีอ่ ยู่และมคี วามสมั พนั ธ์ซ่ึงกนั และกัน 2. ระบบนิเวศ แบง่ ได้ออกเป็นกป่ี ระเภท อะไรบ้าง พร้อมยกตวั อย่าง คำตอบ แบ่งออกได้ 2 ประเภท คอื 1. ระบบนเิ วศบนบก ได้แก่ ระบบนเิ วศทะเลทราย ระบบนิเวศแบบท่งุ หญ้า ระบบนิเวศป่าดิบชื้น ระบบนิเวศแบบป่าผลดั ใบเขตอบอ่นุ ระบบนิเวศแบบป่าสน ระบบนเิ วศแบบทุนดรา 2. ระบบนเิ วศในนำ้ ได้แก่ ระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด ระบบนิเวศแหล่งน้ำเค็ม ระบบนเิ วศแหลง่ น้ำ กร่อย 3.ห่วงโซอ่ าหาร หมายถงึ คำตอบ ความสัมพนั ธข์ องสิง่ มชี วี ติ ในเร่ืองของการกนิ ต่อกันเปน็ ทอด ๆ จากผู้ผลิตสูผ่ ้บู ริโภค ทำให้มกี าร ถ่ายทอดพลงั งานในอาหารต่อเน่ืองเปน็ ลำดบั จากการกนิ ตอ่ กนั 4.สายใยอาการ หมายถงึ คำตอบ หว่ งโซ่อาหารหลาย ๆ หว่ งโซ่ ทีม่ ีความคาบเก่ียวหรอื สมั พนั ธก์ นั น่นั คือ ในธรรมชาติการกินต่อกัน เปน็ ทอด ๆ ในโซ่อาหารจะมีความซบั ซอ้ นกนั มากขึ้น คือ มีการกินกันอย่างไม่เป็นระเบยี บ 5.การปรบั ตัว หมายถงึ คำตอบ กระบวนการที่สิ่งมชี ีวติ มกี ารเปลยี่ นแปลงหรือปรับลักษณะบางประการใหเ้ ข้ากับสภาพแวดลอ้ มท่ี อาศยั อยู่ ซึ่งลักษณะทีเ่ ปลี่ยนแปลงไปดังกล่าวจะอำนวยประโยชน์แกช่ ีวติ ในแง่ของการอยูร่ อดสามารถสบื พันธุ์ ต่อไปได้
แผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ครั้งที่ ………
คำอธิบายรายวชิ า / ตารางวเิ คราะห์หลักสตู รรายวชิ า คำอธบิ ายรายวิชา เศรษฐกจิ พอเพียง สาระ การดำเนินชวี ิต ระดับประถมศึกษา จำนวน 1 หน่วยกติ มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ รู้ เข้าใจ ยอมรับ เห็นคุณค่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและสามารถประยุกตใ์ ช้ในครอบครัว และ มี ภูมคิ ้มุ กันในการดำเนินชีวิตของตนเองและครอบครัวอย่างมคี วามสุขสาระสำคัญ ศึกษาและฝึกทกั ษะเกย่ี วกับเรื่อง ดังน้ี คือ แนวคิด หลักการ ความหมาย ความสำคัญ แนวทางการดำเนินชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สำหรับ ตนเองและครอบครัว เพื่อให้เป็นคนมีเหตุผล พอประมาณ มีภูมิคุ้มกัน มีความรู้ และมีคุณธรรม จริยธรรมในการ ดำเนนิ ชีวิตของตนเองอยา่ งมคี วามสุข การจัดประสบการณก์ ารรูเ้ รยี นรู้ ศึกษาข้อมูลตนเอง ขอ้ มูลวชิ าการ ขอ้ มูลส่ิงแวดล้อม วิเคราะห์ สังเคราะห์ เชอ่ื มโยงเข้ากับความรู้และ ประสบการณ์ โดยศึกษาจากกรณีตัวอย่าง สภาพจริง สื่อทุกประเภท การอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่าง ผ้เู รียน และภมู ิปญั ญา น ามาทดลอง และฝึกปฏิบัติ ประเมินผลและวางแผนประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ การวดั และประเมินผล ประเมินความรู้ ความเข้าใจ ความคิดเห็น ชิ้นงาน ผลงาน โดย วิธีการทดสอบ สังเกต สัมภาษณ์ ตรวจสอบ ประเมินการปฏบิ ตั ิจรงิ และประเมนิ สภาพจรงิ
รายละเอยี ดคำอธบิ ายรายวชิ าเศรษฐกิจพอเพยี ง จำนวน 1 หน่วยกติ ระดับประถมศกึ ษา มาตรฐานการเรียนรรู้ ะดับ รู้ เขา้ ใจ ยอมรับ เห็นคุณค่าปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและสามารถประยกุ ต์ใชใ้ นครอบครัว และมี ภูมคิ ุ้มกันในการดำเนนิ ชวี ิตของตนเองและครอบครัวอย่างมีความสุข ท่ี หัวเร่อื ง ตัวชว้ี ัด เน้ือหา จำนวน 1 ความพอเพียง (ชัว่ โมง) รู้เขา้ ใจประวตั ิ ความเปน็ มา ประวัติ ความเปน็ มา ความหมาย ความหมาย แนวคิด หลักการ แนวคิด หลักการ ปรชั ญาของ 5 ปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพยี ง เศรษฐกจิ พอเพยี ง 2 ครอบครัวพอเพียง 1. อธบิ ายแนวทางในการนำปรัชญา 1. แนวทางในการนำปรัชญา ของ 35 ของเศรษฐกิจพอเพยี งไปประยกุ ต์ใช้ เศรษฐกจิ พอเพียงไป ประยุกต์ใชใ้ น ใน วิถีชีวติ ของตนเองครอบครวั วิถชี ีวติ ของตนเอง และครอบครวั 2. ปฏบิ ตั ิตนตามหลกั ปรชั ญาของ 2. การดำเนินชีวติ ตามปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกจิ พอเพยี ง 3. วิเคราะหส์ ภาพรายรบั รายจ่าย 3.รายรับ – รายจา่ ยของตนเอง ของ ครอบครวั ได้ และครอบครวั 4.วางแผนการจดั ทำบันทึกรายรับ 4.การวางแผนการใชจ้ ่ายของ ตน รายจ่ายของตนเองและครอบครัว องและครอบครัว อยา่ ง เป็นระบบ 5.อธิบายวธิ กี ารลดรายจ่ายและเพิ่ม 5. การลดรายจ่าย เพ่ิมรายได้ จาก รายไดข้ องครอบครัว กรณตี า่ ง ๆ เชน่ -การประหยัด อด ออม -การใชเ้ วลาว่างใหเ้ ปน็
ท่ี หวั เร่อื ง ตัวชี้วัด เน้ือหา จำนวน (ช่วั โมง) ประโยชน์ -การปฏิบตั ิตนเปน็ ผู้ผลิต และ ผ้บู รโิ ภค 6. ให้คำแนะนำ สมาชกิ ในครอบครัว 6.หลักในการใหค้ ำแนะนำ สมาชกิ เห็นคณุ คา่ และนำไปประยุกต์ใชก้ าร ในครอบครวั เห็นคุณค่า ของการ ดำเนนิ ชีวิตได้ นำเอาหลักเศรษฐกจิ พอเพยี งไปใช้ ใน การดำเนนิ ชีวติ
ตารางวิเคราะหเ์ น้ือหา หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับประถมศกึ ษา ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 สาระการดำเนนิ ชีวติ รายวิชาเศรษฐกจิ พอเพียง รหัส ทช 11011 จาํ นวน 1 หน่วยกิต กศน.อาํ เภอเมอื งกาญจนบรุ ี สํานักงาน กศน.จงั หวดั กาญจนบรุ ี มาตรฐานการเรยี นรู้ มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะและเหน็ คุณค่าเกี่ยวกับกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิง่ มีชีวติ ระบบนเิ วศ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม ในท้องถน่ิ สาร แรง พลงั งาน กระบวนการเปลยี่ นแปลงของ โลกและดาราศาสตร์ มีจิตวิทยาศาสตร์และนำความรู้ไปใช้ประโยชนใ์ นการดำเนนิ ชีวิต ท่ี ตวั ช้วี ดั เน้อื หา เน้อื หางา่ ย เน้อื หา เนอื้ หายาก หมาย ดว้ ยตนเอง ปานกลาง นาํ มาสอน เหตุ (พบกลุ่ม) เสริม (ส.ส) (กรต) 1 ร้เู ข้าใจประวตั ิ ความเปน็ มา ประวตั ิ ความเป็นมา ความหมาย แนวคิด ความหมาย แนวคดิ หลักการปรชั ญาของ หลกั การปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพยี ง เศรษฐกจิ พอเพียง 2 1. อธบิ ายแนวทางในการนำ 1. แนวทางในการนำปรัชญา ปรัชญาของเศรษฐกิจ ของเศรษฐกิจพอเพยี งไป พอเพียงไปประยุกต์ใชใ้ นวถิ ี ประยกุ ต์ใชใ้ นวิถชี วี ติ ของ ชีวิตของตนเองครอบครัว ตนเองและครอบครัว 2. ปฏิบตั ิตนตามหลัก 2. การดำเนนิ ชวี ติ ตาม ปรชั ญาของเศรษฐกจิ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พอเพียง 3. วิเคราะห์สภาพรายรับ 3. รายรบั – รายจ่ายของ รายจ่ายของรอบครวั ได้ ตนเองและครอบครวั 4.วางแผนการจัดทำบันทึก 4. การวางแผนการใช้จ่าย รายรับ รายจ่ายของตนเอง ของตนองและครอบครัว และครอบครวั อย่างเปน็ ระบบ
ท่ี ตัวช้ีวดั เน้อื หา เนื้อหางา่ ย เน้อื หา เน้ือหายาก หมาย ด้วยตนเอง ปานกลาง นาํ มาสอน เหตุ (พบกลุ่ม) เสริม (ส.ส) (กรต) 5.อธบิ ายวิธีการลดรายจา่ ย 5. การลดรายจา่ ย เพม่ิ และเพ่ิมรายได้ของ รายได้ จากกรณีต่าง ๆ เช่น ครอบครัว - การประหยัด อดออม - การใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ปน็ 6. ใหค้ ำแนะนำ สมาชกิ ใน ประโยชน์ ครอบครวั เห็นคุณคา่ และ 6. หลักในการให้คำแนะนำ นำไปประยุกต์ใชก้ ารดำเนนิ สมาชิกในครอบครวั เหน็ ชวี ติ ได้ คุณคา่ ของการนำเอาหลกั เศรษฐกจิ พอเพียงไปใช้ใน การดำเนินชีวิต
แผนการจดั การเรียนรู้รายวชิ า สาระการดำเนินชวี ิต ระดบั ประถมศึกษา จ หวั เรื่อง การดำเนนิ ชีวิตตาม คร้งั ท่ี วนั /เดือน/ปี หัวเร่ือง/ตัวชี้วัด เน้อื หาสาระการเร การดำเนินชีวิตตามปรัชญา เศรษฐกจิ พอเพียง 2. ปฏิบัตติ นตามหลักปรชั ญา 2. การดำเนินชีวติ ตาม ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ปรชั ญา เศรษฐกจิ พอ 4.วางแผนการจัดทำบนั ทึก 4.การวางแผนการใช้จ รายรบั รายจา่ ยของตนเอง ตนอง และครอบครวั และครอบครวั อยา่ งเปน็ เกี่ยวกับ การแผนการ ระบบ บันทกึ รายรบั รายจ่าย ตนเองและครอบครัว เปน็ ระบบ
ต รายวชิ า เศรษฐกิจพอเพียง รหัสวิชา ทช11001 การวัดและ จํานวน 1 หน่วยกิต ประเมนิ ผล มปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง -การสงั เกต รียนรู้ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ -การชกั ถาม -การมีส่วนรว่ ม ข้ันที่ 1 กาํ หนดสภาพปญั หา -หนงั สือเรยี น -การตรวจ ผลงาน การจดั กจิ กรรมการเรียนการ -ใบความรู้ -บันทกึ การ เรียนรู้ ม สอนแบบ ON SITE -ใบงาน อเพียง 1. ครแู ละผเู้ รียนสนทนา -อนิ เตอร์เน็ต จา่ ยของ แลกเปลี่ยนความรู้ เกี่ยวกับ -ห้องสมุด กศน. คน้ คว้า เร่อื งการดำเนินชวี ิตตาม ตาํ บล รจดั ทำ ปรชั ญา เศรษฐกิจพอเพียง -แหล่งเรียนร้ชู ุมชน ยของ และครูยกตัวอยา่ ง บุคคลท่ี -คลิปวีดีโอออนไลน์ อย่าง เปน็ แบบอย่างในการ ปฏบิ ตั ิ (Youtube) ตนตามหลักปรชั ญาของ เศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. ครแู ละผ้เู รียนสนทนา แลกเปลี่ยนความรู้ เก่ียวกับ การใชจ้ ่ายของตนเองและ ครอบครวั ในแตล่ ะวนั ครูและ ผเู้ รยี นร่วมกันอภิปราย
คร้งั ที่ วนั /เดอื น/ปี หวั เรื่อง/ตัวชี้วดั เนื้อหาสาระการเร
รยี นรู้ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ ส่อื /แหลง่ เรียนรู้ การวัดและ ประเมินผล เก่ยี วกับ สว่ นประกอบและ วางแผนการจดั ทำบนั ทึก รายรบั รายจา่ ย ของตนเอง และครอบครัว พร้อม ยกตวั อยา่ ง การจัดทำบันทึก รายรับ รายจ่าย การจดั กจิ กรรมการเรยี นการ สอนแบบ ON AIR - ครแู ละผูเ้ รยี นร่วมกันพูดคยุ และแสดง ความเหน็ เกีย่ วกับ บคุ คลทเี่ ปน็ แบบอย่างในการ ปฏบิ ัติตนตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกจิ พอเพียงในชุมชนของ ตนเอง ใหผ้ ูเ้ รียนไดแ้ สดง ความเห็น พรอ้ มใหค้ ำอธิบาย เมือ่ ผูเ้ รยี นแสดงความคดิ เหน็ จบ ครมู อบหมายให้ผูเ้ รียน ศกึ ษาเรยี นรูผ้ ่าน ETV ออนไลน์ www. etvthai.tv
คร้งั ที่ วนั /เดอื น/ปี หวั เรื่อง/ตัวชี้วดั เนื้อหาสาระการเร
รยี นรู้ การจดั กระบวนการเรียนรู้ สื่อ/แหลง่ เรยี นรู้ การวดั และ ประเมินผล การจดั กิจกรรมการเรียนการ สอนแบบ ON line 1. ครูพบกลมุ่ ผเู้ รียนผ่าน ชอ่ งทางออนไลน์ตา่ งๆ เช่น VDO CALL, GOOGLE MEET, ZOOM เป็นตน้ เพอ่ื ติดตามพูดคยุ กับผเู้ รียน การจัดกิจกรรมการเรยี นการ สอนแบบ ON Hand 1. ครูมอบหมายงานสำหรับ นกั ศกึ ษาท่ีไม่มาพบกลุ่มโดย จดั ทำใบงาน ใบความรู้ให้ ผูเ้ รียนมารบั ที่กศน.ตำบล และนำมาส่งในวนั ทีม่ าพบ กลมุ่ การจัดกจิ กรรมการเรยี นการ สอนแบบ ON Demand 1. ครมู อบหมายใบงาน และ ใบความรู้ผ่านชอ่ งทาง
คร้งั ที่ วนั /เดอื น/ปี หวั เรื่อง/ตัวชี้วดั เนื้อหาสาระการเร
รยี นรู้ การจัดกระบวนการเรยี นรู้ สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ การวดั และ ประเมินผล ห้องเรียนออนไลน์ Google classroom Website กศน. ตำบล เพอ่ื มอบหมายงานให้ ผู้เรียนทไี่ มส่ ะดวกมาพบกลมุ่ หรือเรยี นออนไลน์ได้ดาวนใ์ บ งานและใบความรเู้ พื่อศึกษา และส่งงาน ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาความรู้ - ครูแจกใบความรู้เร่ือง การ ใชจ้ า่ ยของตนเองและ ครอบครัว มาประยุกต์ใชใ้ น ชวี ติ ประจำวนั - ครูใหผ้ เู้ รยี นแบง่ กลุม่ เพือ่ ค้นควา้ เกย่ี วกับการแผนการ จัดทำบนั ทกึ รายรบั รายจา่ ย ของตนเองและครอบครวั อย่างเป็นระบบ จากใบ ความรู้ และสือ่ ตา่ งๆ แลว้ เขียนลงในกระดาษโฟชาร์ต
คร้งั ที่ วนั /เดอื น/ปี หวั เรื่อง/ตัวชี้วดั เนื้อหาสาระการเร
รยี นรู้ การจดั กระบวนการเรียนรู้ สือ่ /แหล่งเรียนรู้ การวัดและ ประเมินผล - ผู้เรียนแตล่ ะกลมุ่ นำเสนอ ตามหวั ข้อหนา้ ชนั้ เรียน เม่ือ แตล่ ะกลุ่มนำเสนอเสรจ็ แล้ว ไดม้ กี ารเปดิ โอกาสใหส้ มาชิก กล่มุ อื่นๆ แลกเปล่ยี นเรยี นรู้ แสดงความคิดเห็นรว่ มกนั โดย มคี รูเปน็ ท่ปี รึกษา - ครแู ละผเู้ รยี นร่วมกนั สรปุ เน้อื หาท่ีไดร้ ับลงในสมุด บันทกึ ขั้นท่ี 3 การปฏบิ ัตินาํ ไปใช้ - ผ้เู รยี นนำความรู้ทีไ่ ด้รบั จาก การสัมภาษณ์ บุคคลทเ่ี ปน็ แบบอยา่ งในการปฏิบัติตน ตาม หลักปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพียง มา ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดำรงชีวติ
คร้งั ที่ วนั /เดอื น/ปี หวั เรื่อง/ตัวชี้วดั เนื้อหาสาระการเร
รยี นรู้ การจดั กระบวนการเรียนรู้ สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ การวัดและ ประเมนิ ผล - ผู้เรียนจดบนั ทกึ และ สรุปผล เก็บรวบรวมไว้ใน แฟ้มสะสมงาน ขั้นที่ 4 การประเมินผลการ เรียนรู้ - ครูสังเกตพฤตกิ รรมการ เรยี นร้ขู องผเู้ รียน เชน่ ความ สนใจ การรว่ มแลกเปลย่ี น เรียนรู้ ความรบั ผิดชอบ เป็นตน้ - ครแู ละผเู้ รยี นร่วมกันสรุป องค์ความรู้จากการนำเสนอ ผลงานของผู้เรยี น - ผู้เรียนนำความรูท้ ่ีไดจ้ าก การสรุปองคค์ วามรู้ไปใชใ้ น การปรบั ปรุง แก้ไข้ ข้อบกพร่องของตนเอง - ครปู ระเมินผลการเรยี นรู้ ของผู้เรยี นจากผลงาน
คร้งั ที่ วนั /เดอื น/ปี หวั เรื่อง/ตัวชี้วดั เนื้อหาสาระการเร
รยี นรู้ การจดั กระบวนการเรยี นรู้ ส่อื /แหลง่ เรียนรู้ การวัดและ ประเมินผล มอบหมายงานทบทวนความรู้ ท่ีได้รับ
แผนการเรยี นร้ดู
ดว้ ยตนเอง(กรต.)
แผนการจัดการเรียน สาระการเรียนรู้ ทกั ษะการดำเนินชีวติ ระดบั ประถม ภาคเรยี นท หลกั สูตรการศึกษานอกระบบ ระดับกา วนั เดอื น ปี ตวั ชี้วดั เน้อื หา 1.ความพอเพียง 1.รเู ขาใจประวัติ ความเปนมา 1. แนวคิด หลกั การ ความหมาย ความหมายแนวคิดหลักการ 2. ความสำคญั ปรัชญาของเศรษฐกจิ ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง พอเพียง 2. อธบิ ายแนวทางในการนำ 3.รายรบั – รายจา่ ยของตนเองและ ปรชั ญา ของเศรษฐกจิ ครอบครวั พอเพียง 4.การวางแผนการจัดทำการวางแผน ไปประยุกตใ์ ช้ในวิถีชีวิตของ ใช้จา่ ยบันทกึ รายรับ –รายจา่ ยของต ตนเองครอบครัว และครอบครัว 3. ปฏบิ ัติตนตามหลกั ปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง 4. วเิ คราะห์สภาพรายรับ รายจา่ ยของครอบครัวได้
นรู้ดว้ ยตนเอง (กรต.) มศึกษา วชิ าเศรษฐกิจพอเพยี ง รหสั วิชา ทช11001 ท่ี 2/2564 ารศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 กจิ กรรม แหล่งเรยี นรู้ หมายเหตุ 1. ให้นักศกึ ษาแนวคิด หลกั การ -หนังสอื เรียน จ ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพียง -ห้องสมุด 2. ศึกษาคน้ ควา้ ข้อมูลจากแหล่ง เรียนรู้ -สือ่ อินเตอรเ์ น็ต ต่างๆ / หอ้ งสมดุ / อนิ เตอรเ์ น็ต เร่ือง -ใบความรู้/แผ่นพบั 2.1 แนวคิด หลกั การ ความหมาย -ภมู ปิ ญั ญา/ปราชญ์ นการ ของเศรษฐกิจพอเพียง ตนอง 2.2 ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2.3 ใหน้ กั ศกึ ษาศึกษาความสำคัญของ การทำรายรบั – รายจา่ ยของตนเองและ ครอบครัว
วนั เดือน ปี ตวั ช้วี ดั เน้อื หา
กิจกรรม แหล่งเรยี นรู้ หมายเหตุ 3. ให้นกั ศึกษาจดบนั ทึกเป็นรายงาน นำเสนอในการพบกล่มุ เกบ็ เข้าแฟ้ม สะสม
ใบความรู้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159