Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการทำวิจัยอย่างง่ายสำหรับครู กศน.

คู่มือการทำวิจัยอย่างง่ายสำหรับครู กศน.

Published by Bunchana Lomsiriudom, 2020-09-15 22:08:21

Description: คู่มือการทำวิจัยอย่างง่ายสำหรับครู กศน.

Keywords: การทำวิจัย,ครู กศน.

Search

Read the Text Version

. คมู่ ือการทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. สถาบนั พฒั นาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ภาคเหนือ สานกั งานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัย สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร กระทรวงศึกษาธิการ

สืบเน่ืองจาก การจัดอบรมหลักสูตรการวิจัยอย่างง่ายสาหรับครู กศน. โดยจัดการเรียนรู้ ด้วยบทเรียนออนไลน์ ในปีงบประมาณ 2557 และผลจากการทาวิจัย เร่ืองแนวทางการพัฒนาผู้เรียน โดยการวิจยั อย่างง่ายของครู กศน. ในปงี บประมาณ 2558 พบว่า ครู กศน. มีความร้เู ก่ียวกับการวิจัยอย่างง่าย อยู่แล้ว แต่มีบางเรื่องท่ียังไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติ การจัดทาเอกสารคู่มือที่ให้ความรู้และนาไปสู่การปฏิบัติได้ จึงเป็นเรื่องท่ีสาคัญและจาเป็น อีกท้ังเป็นความต้องการของครูผู้ปฏิบัติ ที่จะได้ศึกษาทบทวน เพ่ือเพ่ิมพูน ความรูแ้ ละใช้เปน็ แนวทางในการนาความร้ไู ปปฏิบัตอิ ยา่ งจรงิ จัง เป็นรปู ธรรมมากขึ้น สถาบัน กศน.ภาคเหนือ เห็นความสาคัญเกี่ยวกับการวิจัยอย่างง่าย และมุ่งพัฒนาครู กศน.ให้มี ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ในการทาวิจยั อยา่ งงา่ ย เพ่ือให้สามารถนาความรู้และประสบการณ์ไปใช้ ในการพัฒนาตนเองและพัฒนางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจัดทาคู่มือการทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน.ข้ึน โดยเขยี นเนอ้ื หาเกี่ยวกับกระบวนการทาวิจัยอยา่ งง่ายไว้อยา่ งละเอียด พร้อมตัวอย่างรายงานการวจิ ัยอยา่ งง่าย ให้ศึกษาและนาไปปฏิบตั ไิ ด้ ขอขอบคุณ ผู้มีส่วนเก่ียวข้องทุกท่าน ที่ได้ร่วมกันจัดทาคู่มือการทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. เล่มน้ีให้สาเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ได้ด้วยดี และหวังว่าเอกสารเล่มน้ี จะเป็นประโยชน์ต่อครู กศน.และ ผ้สู นใจศึกษาเพอื่ พฒั นาความรูแ้ ละนาไปใช้อย่างมปี ระสิทธิภาพตามความต้องการต่อไป สถาบนั กศน.ภาคเหนือ กนั ยายน 2559 คู่มือการทาวจิ ยั อย่างงา่ ยของครู กศน. ก

ค่มู ือการทาวจิ ยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. ข

คานา หน้า สารบญั คาแนะนาการใช้คมู่ ือการทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. ก โครงสร้างค่มู ือการทาวิจัยอย่างงา่ ยของครู กศน. ค แบบทดสอบกอ่ นเรียน จ ตอนท่ี 1 วจิ ัยอยา่ งง่าย งา่ ยจรงิ หรือ ฉ ซ เรอ่ื งท่ี 1 ปัญหาที่พบในการจัดการเรียนรูข้ องครู กศน. 1 เรอื่ งที่ 2 ความสาคัญและประโยชน์ของการวิจัยอยา่ งง่าย 2 เรอ่ื งท่ี 3 สภาพปญั หาจากการทาวจิ ัยอย่างงา่ ยของครู กศน.ที่ผ่านมา 4 กิจกรรมที่ 1 7 ตอนที่ 2 การวจิ ัยอย่างงา่ ยตามบริบทของ กศน. 10 เรื่องท่ี 1 ความหมายของการวจิ ยั อยา่ งง่ายตามบรบิ ทของ กศน. 11 เรอ่ื งที่ 2 องคป์ ระกอบ สาระสาคญั และรปู แบบโดยรวมของการวจิ ยั อยา่ งงา่ ย 12 กจิ กรรมที่ 2 13 ตอนที่ 3 กระบวนการทาวิจัยอยา่ งง่าย 17 เรอ่ื งท่ี 1 การกาหนดและวิเคราะห์ปัญหา และการสรา้ งกรอบความคดิ 19 การวิจัยอยา่ งง่าย 20 เร่ืองที่ 2 การต้ังช่ือเรื่อง การเขยี นวัตถปุ ระสงค์ การกาหนดขอบเขต 30 และการสร้างเครื่องมือวิจัยอยา่ งงา่ ย 35 เร่ืองที่ 3 การลงมือปฏิบตั ิงานวจิ ัยอยา่ งงา่ ยและการเกบ็ ขอ้ มลู 39 เรอ่ื งท่ี 4 การวิเคราะหแ์ ละแปลผลขอ้ มลู 43 เรอื่ งที่ 5 การเขยี นสรปุ ผล การอภปิ รายผลการวิจยั อยา่ งงา่ ยและข้อเสนอแนะ 45 กิจกรรมท่ี 3 46 กิจกรรมท่ี 4 คูม่ อื การทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. ค

ตอนที่ 4 การเขยี นรายงานและการเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยอยา่ งงา่ ย 49 เรื่องที่ 1 การเขยี นรายงานการวิจัยอยา่ งง่าย 50 เร่ืองที่ 2 การเผยแพร่ผลงานวิจัยอยา่ งง่าย 55 กจิ กรรมท่ี 5 56 กจิ กรรมที่ 6 57 58 แบบทดสอบหลังเรยี น 63 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรยี น 64 เฉลยกิจกรรมท้ายตอน 66 บรรณานกุ รม 69 ภาคผนวก 71 ตวั อยา่ งรายงานการวจิ ัยอย่างงา่ ย ตวั อย่างท่ี 1 การพัฒนาทักษะการเรียนร้ภู าษาไทยของผู้เรียนระดบั มัธยมศกึ ษา 81 ตอนปลาย กศน.ตาบลหยว่ น อาเภอเชยี งคา จังหวัดพะเยา โดยใช้ 89 ภาษาไทลื้อ ตัวอยา่ งที่ 2 ผลการใช้แบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคา รายวชิ าภาษาไทย เพือ่ พฒั นาทักษะการเขียนสะกดคาของผูเ้ รยี น ระดบั มัธยมศกึ ษา ตอนปลาย กศน.ตาบลหา้ งฉตั ร จังหวัดลาปาง คณะผู้จดั ทา คูม่ อื การทาวจิ ยั อย่างง่ายของครู กศน. ง

คาแนะนาการใช้ คู่มือการทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. เป็นเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีทั้งหมด 4 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 วิจัยอย่างงา่ ย ง่ายจริงหรอื ตอนท่ี 2 การวิจัยอย่างงา่ ยตามบรบิ ทของ กศน. ตอนท่ี 3 กระบวนการทาวจิ ยั อยา่ งง่าย ตอนท่ี 4 การเขยี นรายงานและการเผยแพร่ผลงานวจิ ัยอย่างงา่ ย โดยมีวัตถุประสงค์ให้ครู กศน. มีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับการวิจัยอย่างง่ายในการจัดการเรียนรู้ เพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน และสามารถเขียนกรอบความคิด ลงมือปฏิบัติงาน เขียนรายงานผลและ นาผลการวจิ ยั อยา่ งงา่ ยไปใช้ประโยชนต์ อ่ การจดั การเรยี นรู้ใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพย่งิ ขึ้น ซึ่งครู กศน. ควรทากจิ กรรม และศึกษาตามส่ิงที่กาหนด ประกอบด้วย 1. ทาแบบทดสอบก่อนเรียนครบทกุ ข้อ และตรวจผลการทดสอบกบั เฉลยทา้ ยเลม่ เพ่ือตรวจสอบ ความรู้พนื้ ฐานของตนเอง 2. ศกึ ษาวัตถปุ ระสงค์และเน้ือหาในแตล่ ะตอนอย่างละเอียดให้เขา้ ใจ 3. ปฏิบัติกิจกรรมที่กาหนดให้ในแต่ละตอน เพื่อสรุปเป็นความรู้ ความเข้าใจเน้ือหา แล้วตรวจสอบ ความถูกต้องจากเฉลยทา้ ยเลม่ หากยังไมช่ ัดเจนเรื่องใด ใหก้ ลบั ไปทบทวนใหม่อกี ครงั้ 4. เมื่อศึกษาเนื้อหาครบทั้ง 4 ตอนแล้ว จึงทาแบบทดสอบหลังเรียน และตรวจผลการทดสอบ กบั เฉลยท้ายเลม่ ดว้ ยความซือ่ สัตยต์ อ่ ตนเอง 5. หากผลการทดสอบได้คะแนนน้อยกว่าร้อยละ 80 ใหก้ ลับไปทบทวนบทเรยี นแต่ละตอนอีกคร้ัง แลว้ ลองทาแบบทดสอบหลังเรียนซา้ จะทาใหค้ รู กศน.มคี วามรู้ ความเข้าใจมากขนึ้ คมู่ อื การทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. จ

โครงสร้างค่มู ือ สาระสาคญั การจัดกระบวนการเรียนรู้ของครู กศน. อาจมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย ท้ังปัญหาที่ครู กศน. แก้ไข ได้เองบ้างไม่ได้บ้าง การวิจัยอย่างง่ายช่วยแก้ปัญหาได้ และมีประโยชน์ต่อผู้เรียน ครูผู้สอน รวมถึงประโยชน์ ในการประเมินคุณภาพของสถานศึกษาด้วย การวิจัยอย่างง่ายตามบริบทของ กศน.เป็นการวิจัยขนาดเล็ก ที่ทาเพอื่ แก้ปัญหาหรือพฒั นาผู้เรียน ให้มีผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นดีขึน้ โดยมขี ัน้ ตอนกระบวนการ และลักษณะ สาคญั คลา้ ยคลึงกบั การวจิ ัยในชั้นเรยี น ตรงท่เี ปน็ กระบวนการแสวงหาความจริง อยา่ งมีแบบแผน และเปน็ ระบบ ซ่ึงประกอบไปด้วย การกาหนดและวิเคราะห์ปัญหา การสร้างกรอบความคิด การต้ังช่ือเรื่อง การเขียน วัตถุประสงค์ การกาหนดขอบเขตของปัญหา การสร้างเคร่ืองมือ การลงมือปฏิบัติการวิจัย การวิเคราะห์ และแปลผลข้อมูล การเขียนสรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ในข้ันตอนสุดท้ายเป็นการเขียนรายงาน การวิจัยอยา่ งง่าย เพอ่ื ส่ือสารสิ่งท่ีได้ดาเนนิ การไปแลว้ ให้ผู้อ่ืนได้รับรู้ ประกอบดว้ ย 8 หวั ข้อ ได้แก่ 1) ชือ่ เรื่อง 2) ชื่อผู้วิจัย 3) ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา 4) วัตถุประสงค์ของการวิจัย 5) วิธีดาเนินการวิจัย 6) ผลการวจิ ัย 7) สรุปผล อภปิ รายผลและขอ้ เสนอแนะ 8) เอกสารอ้างอิง วัตถุประสงค์ เพือ่ ให้ครู กศน. 1. เขา้ ใจสภาพปญั หาและวิธกี ารแก้ปัญหาหรือพัฒนาผ้เู รยี นโดยการวจิ ัยอยา่ งง่าย 2. เหน็ ความสาคญั และประโยชน์ของการวจิ ยั อยา่ งง่าย 3. มีความรู้ ความเขา้ ใจและปฏบิ ตั ิการทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ยได้อย่างถูกต้อง 4. เขียนรายงานและเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยอยา่ งงา่ ยได้ ขอบข่ายเน้อื หา ตอนท่ี 1 วจิ ยั อย่างงา่ ย งา่ ยจริงหรือ เรือ่ งที่ 1 ปญั หาท่ีพบในการจัดการเรยี นรู้ของครู กศน. เร่อื งท่ี 2 ความสาคัญและประโยชนข์ องการวจิ ยั อย่างง่าย เรอ่ื งที่ 3 สภาพปัญหาจากการทาวิจยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน.ท่ผี า่ นมา คมู่ อื การทาวจิ ยั อย่างงา่ ยของครู กศน. ฉ

ตอนท่ี 2 การวจิ ัยอย่างงา่ ยตามบรบิ ทของ กศน. เรอ่ื งที่ 1 ความหมายของการวจิ ัยอยา่ งงา่ ยตามบริบทของ กศน. เรอ่ื งที่ 2 องคป์ ระกอบ สาระสาคญั และรปู แบบโดยรวมของการวจิ ยั อย่างง่าย ตอนที่ 3 กระบวนการทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ย เรื่องที่ 1 การกาหนดและวิเคราะหป์ ัญหา และการสรา้ งกรอบความคดิ การวิจยั อย่างงา่ ย เร่อื งที่ 2 การต้งั ช่ือเร่ือง การเขยี นวตั ถุประสงค์ การกาหนดขอบเขต และการสร้างเคร่อื งมือวิจัยอยา่ งงา่ ย เรอ่ื งที่ 3 การลงมอื ปฏิบตั ิงานวจิ ยั อยา่ งงา่ ยและการเก็บขอ้ มลู เรือ่ งที่ 4 การวเิ คราะห์และแปลผลข้อมูล เรือ่ งที่ 5 การเขยี นสรุปผล การอภปิ รายผลการวจิ ัยอยา่ งง่ายและข้อเสนอแนะ ตอนที่ 4 การเขยี นรายงานและการเผยแพร่ผลงานวิจัยอย่างง่าย เรื่องท่ี 1 การเขียนรายงานการวจิ ยั อย่างงา่ ย เรอ่ื งที่ 2 การเผยแพรผ่ ลงานวิจยั อย่างง่าย ค่มู อื การทาวิจยั อย่างง่ายของครู กศน. ช

คาช้แี จง อ่านคาถามแลว้ เลือกคาตอบที่ถูกต้องท่สี ดุ เพยี งคาตอบเดยี ว 1. ข้อใดเปน็ ปัญหาที่ครู กศน. สามารถนามาวิเคราะห์และกาหนดเปน็ หัวข้อการวจิ ัยได้ ก. ผเู้ รยี นลงทะเบียนแล้วไม่มาเรียน ข. ครู กศน. มีภารกิจเร่งดว่ นอยเู่ สมอ ค. ผเู้ รียนแก้โจทย์ปญั หาเกย่ี วกบั ร้อยละไม่ได้ ง. ในแต่ละรายวิชาท่ตี ้องลงทะเบียนเรียนมเี นื้อหามากเกนิ ไป 2. ขอ้ ใดกล่าวถึงการวิจยั อยา่ งง่ายตาม พรบ.การศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 ได้ถกู ต้องที่สดุ ก. ครมู อื อาชีพต้องเช่ียวชาญการวจิ ัยอย่างง่าย ข. การวิจยั อย่างง่ายเป็นสว่ นหนึ่งของการจดั การเรียนรู้ ค. ครทู ุกคนตอ้ งดาเนินการวิจยั อย่างง่ายเพ่ือพฒั นาตนเอง ง. การวิจัยอย่างง่ายเป็นตัวชีว้ ัดหนึง่ ในการประเมินวทิ ยฐานะครู 3. ประโยชน์สูงสดุ ของการวจิ ัยอยา่ งง่าย คอื ข้อใด ก. การประยุกต์ใช้เคร่ืองมือวจิ ัยเพ่อื ดาเนนิ งานโครงการตา่ ง ๆ ข. ส่งเสรมิ การใช้ทฤษฎีการศึกษาที่ตรงกบั สภาพปัญหาของผเู้ รยี น ค. เป็นการเพ่ิมพนู ขอ้ มูลพื้นฐานสาหรับการวางแผนการจดั การเรียนรู้ ง. ทาให้เกดิ การพฒั นาระบบการจดั การเรียนร้ทู ีผ่ ูเ้ รยี นจะได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ 4. จากผลการวิจัยของสถาบัน กศน. ภาคเหนือ ปีงบประมาณ 2558 เรื่อง แนวทางการพัฒนาผู้เรียน โดยการวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. กล่าวถึงสภาพการปฏิบัติการทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. ในด้านการวิเคราะห์ปญั หาและสาเหตุ ไวอ้ ยา่ งไร ก. การวเิ คราะหป์ ัญหายังไม่ชัดเจน ข. การวเิ คราะหป์ ัญหาและสาเหตุโดยไมม่ ีข้อมูลมาสนับสนุน ค. การบรรยายสภาพการจัดการเรียนรู้ไม่ชชี้ ัดให้เห็นว่าเป็นปญั หา ง. ความไม่ม่ันใจว่าปัญหาท่ีนามาทาวิจยั อย่างง่ายเป็นปัญหาและสาเหตุท่ีแท้จริง คมู่ อื การทาวจิ ยั อยา่ งง่ายของครู กศน. ซ

5. ข้อใดไมใ่ ช่ความหมายของการวิจยั อยา่ งงา่ ยตามบรบิ ทของ กศน. ก. การพสิ ูจน์ความจริงของปญั หาการจดั การเรียนรู้ ข. การพัฒนานวตั กรรมเพ่ือแก้ปัญหาการเรียนรู้ของผเู้ รียน กศน. ค. การคน้ หาปญั หาของผู้เรียน กศน.และลงมือแก้ปัญหาอยา่ งเป็นระบบ ง. การหาวธิ ีการพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยมงุ่ ผลสัมฤทธิ์ใหเ้ กิดกบั ผู้เรียน กศน. 6. การวิจยั อยา่ งง่ายจัดเป็นการวิจยั รูปแบบใด ก. การวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ ข. การวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัติการ ค. การวิจยั เพ่ือสร้างทฤษฎี ง. การวิจยั เพ่อื พฒั นาเคร่ืองมือ 7. ลกั ษณะสาคัญของการวจิ ัยอย่างง่ายตามบรบิ ทของ กศน.เป็นอย่างไร ก. ตอ้ งใชง้ บประมาณในการวจิ ยั ข. ตอ้ งอ้างองิ ผลการวิจัยของผู้อน่ื เสมอ ค. ต้องจดั ทาโครงร่างการวิจัยไวอ้ ย่างชดั เจน ง. ต้องใชป้ ระสบการณ์ของครผู ้สู อนมากาหนดวงจร PAOR 8. การเขียนความจรงิ เก่ียวกับปญั หาและคาอธิบายเกย่ี วกับสาเหตุของปัญหาเพื่ออะไร ก. ใช้ต้งั ชือ่ เรือ่ งการวจิ ัย ข. กาหนดวัตถุประสงค์ของการวจิ ยั ค. เป็นแนวทางวเิ คราะห์ข้อมลู การวิจยั ง. แสวงหาปญั หาและสาเหตุแท้และออกแบบวธิ ีการแก้ปัญหา 9. การเขยี นความจริงเก่ียวกบั ปัญหา ครูผู้สอนควรเขียนอย่างไร ก. เขียนความจริงท่ีคาดคะเนว่าเป็นเชน่ นนั้ ข. เขยี นเฉพาะความจรงิ ท่สี ามารถตรวจสอบได้ ค. เขียนความจรงิ ทเ่ี ก่ียวข้องทีน่ ึกได้ในขณะนั้นและเขียนเปน็ ขอ้ ๆ ง. เขยี นเฉพาะความจรงิ ท่ีได้พจิ ารณาแลว้ วา่ เกี่ยวข้องกบั ปัญหาจรงิ ๆ คมู่ อื การทาวจิ ัยอย่างงา่ ยของครู กศน. ฌ

10. การเลอื กปัญหาท่จี ะนามาเป็นหัวข้อการวิจัยอย่างงา่ ยเพอ่ื แกป้ ัญหาหรือพัฒนาผู้เรยี น ควรใหน้ ้าหนักความสาคญั ในข้อใดมากทส่ี ุด ก. ควรเลอื กเรื่องทีค่ รูสนใจ ข. ควรเลอื กเรื่องท่ีไม่มีใครทามากอ่ น ค. ควรเลือกเร่ืองทผ่ี ู้เรยี นให้ความสนใจ ง. ควรเลอื กเรื่องที่ครผู ู้สอน มีความรูพ้ น้ื ฐานดีพอทจ่ี ะทาวจิ ยั เรื่องน้ัน 11. การสรปุ ผลการวิจัยทถ่ี ูกต้อง ตรงกับข้อใด ก. สอดคล้องกับมาตรฐานการวิจัย ข. สอดคล้องกบั วัตถุประสงค์การวิจัย ค. สรปุ ผลการวจิ ยั ทีส่ ามารถอธิบายได้ ง. สรปุ ผลในประเดน็ ท่ีเกย่ี วข้องกับสถานศึกษา 12. กรณีที่ครูผู้สอนพบว่า “นักศึกษาค้นควา้ ขอ้ มูลไมเ่ ป็น” สาเหตแุ ท้ของปญั หาตรงกบั ข้อใด ก. นกั ศึกษาไมช่ อบค้นควา้ ข. นักศกึ ษาไม่รู้เทคนคิ การคน้ คว้าขอ้ มูลจากสื่อต่าง ๆ ค. หอ้ งสมุดมหี นงั สือไมต่ รงกบั ความตอ้ งการของนกั ศึกษา ง. ครผู ู้สอนไม่มอบหมายให้นักศึกษาไปศึกษา ค้นควา้ ข้อมูล 13. ปัญหาในข้อใด ควรนามาเปน็ หวั ขอ้ การวิจัยอย่างงา่ ยเพ่ือแกป้ ัญหาหรือพฒั นาผเู้ รียนมากท่สี ุด ก. ผู้เรยี นไมพ่ ึงพอใจต่อการจัดกระบวนการเรยี นรู้แบบชน้ั เรียน ข. นกั ศึกษา ปวช. ของ กศน. อาเภอ ก ลาออกกลางคัน จานวน 15 คน จาก 25 คน ค. การขาดแคลนงบประมาณจัดซ้ือสื่อการเรยี นรู้รายวชิ าภาษาองั กฤษ ของ กศน. อาเภอ ข ง. นักศึกษา กศน. ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบล ค จานวน 4 คน จาก 40 คน ไมม่ าพบกลุ่มเฉพาะรายวิชาภาษาองั กฤษในชวี ติ ประจาวนั 14. หากครูผสู้ อนต้องการข้อมลู เก่ียวกบั ครอบครัวและสงิ่ แวดล้อมของผเู้ รียน จะเลือกทาตามข้อใด เพือ่ จะได้ข้อมูลทด่ี ีที่สุด ก. การสังเกตแบบมีส่วนรว่ ม ข. การสังเกตแบบไม่มสี ว่ นร่วม ค. การสัมภาษณ์โดยใช้แบบสัมภาษณม์ โี ครงสร้าง ง. การสัมภาษณ์โดยใช้แบบสัมภาษณไ์ มม่ ีโครงสรา้ ง คู่มอื การทาวิจยั อย่างง่ายของครู กศน. ญ

15. ข้อใดเป็นหวั ใจของรายงานการวิจยั อยา่ งง่าย ก. ผลการวจิ ัย ข. ขอ้ เสนอแนะ ค. วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั ง. ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา 16. เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั จะปรากฏอยูส่ ว่ นใดของรายงานการวจิ ยั อย่างงา่ ย ก. ชื่อเรอ่ื ง ข. เอกสารอ้างองิ ค. วิธีดาเนินการวจิ ยั ง. วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย 17. “ในการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ครูผู้สอนให้นักศึกษาอ่านคา ท่ีควบกล้าด้วย คว พบว่า มีนักศึกษา 3 คน ออกเสียง คาว่า “ควาย” เป็น “ฟาย” และคาว่า “เคว้งคว้าง” เปน็ “เฟง้ ฟ้าง” ข้อความนจ้ี ะนาไปเขยี นไว้ในสว่ นใดของรายงานการวจิ ัยอยา่ งง่าย ก. ผลการวิจยั ข. ขอ้ เสนอแนะ ค. วธิ ีดาเนินการวิจัย ง. ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา 18. หวั ข้อใดเป็นสว่ นสาคัญที่ขาดไมไ่ ด้ในรายงานการวจิ ัยอยา่ งงา่ ย ก. สารบัญ ข. เอกสารที่เกย่ี วข้อง ค. สมมติฐานของการวิจัย ง. วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย คู่มอื การทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. ฎ

19. “การฝึกทักษะการใช้อินเทอร์เน็ตแบบเพ่ือนช่วยเพื่อนโดยการจับคู่ฝึกปฏิบัติ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มี ทักษะในการสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตได้ดีข้ึน โดยพิจารณาจากผลการประเมินทักษะการสืบค้น ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ทั้งน้ี อาจเนื่องมาจาก ผู้เรียนกล้าถามเพ่ือนและสื่อสารด้วยภาษาท่ีเข้าใจง่าย ทาให้ผู้เรียนมั่นใจและสนใจจะค้นคว้ามากข้ึน” ข้อความนี้ ควรปรากฏอยู่ส่วนใดของรายงาน การวิจยั อยา่ งง่าย ก. ผลการวิจัย ข. ข้อเสนอแนะ ค. การอภิปรายผล ง. กรอบความคดิ การวิจัย 20. ข้อใดเป็นการเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั อย่างง่ายในวงกว้าง ก. การเผยแพร่ทางเวบ็ ไซต์ ข. การรายงานวิจัยฉบบั เต็ม ค. การเผยแพรด่ ้วยโปสเตอร์ ง. การจัดเวทีนาเสนองานวิจัย ค่มู อื การทาวจิ ัยอยา่ งง่ายของครู กศน. ฏ

ตอนที่ 1 สาระสาคัญ การทาวิจัย ท้ังการวิจัยเต็มรูปแบบและวิจัยอย่างง่ายสามารถนามาใช้เป็นเคร่ืองมือในการพัฒนา และปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน และมีประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนมาก เพราะการทาวิจัยสามารถแก้ปัญหาของผู้เรียนได้อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากการจัด กระบวนการเรยี นรู้ แต่ที่ผ่านมา ครูผู้สอนส่วนใหญ่มักประสบปัญหาหลาย ๆ อย่างในการทาวิจัย ต้ังแต่คิดว่า จะต้องลงมือทาก็พบปัญหาว่า ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน ทาอย่างไร และหลาย ๆ คนคิดว่าการทาวิจัย เป็นเร่ืองวิชาการที่หนัก เครียด ยุ่งยาก และผู้ท่ีจะทาวิจัยได้ ต้องเก่ง ต้องมีความรู้ เพราะต้องใช้กลุ่มประชากร สถิติ ทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อออกแบบเคร่ืองมือ ไปจนถึงการรายงานผลการวิจัย ในที่สุดครูผู้สอนเหล่านั้นก็เก็บ ความคิดท่ีจะเริ่มลงมือทาวิจัยน้ีไว้ก่อน โดยไม่กล้าทดลองทาสักครั้ง ทั้งหมดท่ีกล่าวมานี้ ล้วนเป็นปัญหาที่เกิด จากความไม่เข้าใจกระบวนการวจิ ัยท่ถี กู ตอ้ ง ความจริงแล้วการทาวิจัย โดยเฉพาะวิจัยอย่างง่าย ไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องเข้าใจภาพรวม ขั้นตอนและกระบวนการต่าง ๆ ของการวิจัย และที่สาคัญ คือ ต้องเปลี่ยนความคิดของตัวเอง มองเห็น ประโยชน์ของการวิจัยว่า งานวิจัยช่วยพัฒนางานด้านต่าง ๆ ตามภารกิจของ กศน.ได้ การเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ นา่ จะเป็นจุดเริ่มตน้ สาคัญที่ทาให้ครผู ูส้ อนกลายเป็นนกั วจิ ัยมอื อาชพี ที่มีคณุ ภาพ วตั ถุประสงค์ เพื่อให้ครู กศน. 1. รูแ้ ละเข้าใจขอบข่ายสภาพและปัญหาต่าง ๆ ของผเู้ รียนท่ีนามาเป็นหวั ข้อในการวิจัยอยา่ งงา่ ย 2. รู้และเข้าใจถึงความสาคัญและประโยชน์ของการวิจัยอยา่ งง่าย 3. รสู้ าเหตุและสภาพปัญหาจากการลงมือทาวิจยั อย่างง่ายของครู กศน. ขอบขา่ ยเนอ้ื หา เรอื่ งที่ 1 ปัญหาทีพ่ บในการจัดการเรยี นรูข้ องครู กศน. เรอ่ื งที่ 2 ความสาคัญและประโยชนข์ องการวิจัยอยา่ งง่าย เร่ืองที่ 3 สภาพปัญหาจากการทาวจิ ัยอยา่ งง่ายของครู กศน. ท่ีผ่านมา คู่มอื การทาวิจัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 1

เรอื่ งที่ 1 ปญั หาทพี่ บในการจดั การเรียนร้ขู องครู กศน. ครู กศน. ถือเป็นครูพันธ์ุพิเศษ แตกต่างจากครูในสังกัดอ่ืน ๆ เพราะมีหน้าท่ีและภารกิจ มากมาย นอกเหนือจากการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ได้แก่ การจัดกิจกรรมการศึกษาต่อเนื่อง (การศึกษา เพื่อพัฒนาอาชีพ การศึกษาเพ่ือพัฒนาทักษะชีวิต การศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน ) การศึกษา ตามอัธยาศัย การศึกษาสาหรับผู้ไม่รู้หนังสือ ซ่ึงกลุ่มผู้เรียนหรือกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ รวมทั้งผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ภิกษุ สามเณร ผู้ถูกควบคุมความประพฤติ แต่เม่ือพิจารณา คานิยามของคาว่า “ครู” หน้าท่ีภารกิจหลักที่สาคัญน้ันก็คือ การจัดการเรียนการสอน หรือที่หน่วยงาน ของ กศน.เรียกว่า “การจัดการเรียนรู้” ซึ่งครู กศน.สามารถจัดการเรียนรู้ได้หลายรูปแบบ เช่น การเรียนรู้ แบบพบกลุ่ม ซ่ึงคล้ายการจัดการเรียนการสอนของครูในระบบโรงเรียน แต่เน้นกิจกรรมการแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ และสรุปความรู้ร่วมกัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง ที่เน้นให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันครูผู้สอน ก็มีหน้าที่เสมือนผู้อานวยความสะดวก และให้คาแนะนาในการศึกษาหาความรู้จากส่ือต่าง ๆ การเรียนรู้ แบบทางไกล ซึ่งเน้นการเรียนรู้แบบ e-learning โดยครูผู้สอนและผู้เรียนจะส่ือสารกันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นส่วนใหญ่ เป็นต้น (สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย, 2553 : 26-31) ไม่ว่าการจัดการเรยี นรู้จะเป็นรปู แบบใดก็ตาม เชอ่ื วา่ “ครู กศน.” แต่ละคนคงจะพบปญั หาที่หลากหลายกันไป ตามบริบทที่แตกต่างกัน แลว้ ทา่ นเคยพบปัญหาระหวา่ งจดั การเรยี นรเู้ หลา่ นีบ้ า้ งไหม - ผู้เรียนพดู จาไมส่ ุภาพ และบางคนมีพฤตกิ รรมกา้ วร้าว - ผู้เรียนไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าพูดคุยกับเพื่อนในกลุ่ม ไม่กล้าแสดงออกทางความรู้และ ความคดิ เชน่ การนาเสนองานหนา้ หอ้ ง การแสดงความคิดเห็นในกลมุ่ เปน็ ตน้ - ผเู้ รยี นบางคนอ่านออกเสยี งและเขยี นสะกดคาไมถ่ ูกต้องตามหลกั ภาษาไทย - ผู้เรยี นไมส่ ่งงานที่ไดร้ ับมอบหมาย - ผเู้ รียนมีพฒั นาการทางการเรยี นรู้ช้ากวา่ ปกติ - ผู้เรียนมีผลการเรียนต่า และบางคนไม่ชอบเรียนวิชาบังคับในสาระความรู้พ้ืนฐาน เช่น คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ หรอื ภาษาอังกฤษ และปัญหาที่พบมากที่สุดในทุกพ้ืนที่ คือ ผู้เรียนขาดสอบปลายภาคเรียน หรือไม่เข้าร่วมกิจกรรม พัฒนาผู้เรียน กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) นอกเหนือจากนี้ครู กศน. หลาย ๆ คน อาจจะเคยประสบ ปญั หาอนื่ ๆ อีก เช่น - ไม่มหี ้องเรียน โต๊ะ เกา้ อี้ หรือกระดาน - ขาดแคลนวัสดุ สือ่ การจัดการเรียนรู้ หรอื สื่อท่ีมีอยู่ไม่มีคุณภาพและไมท่ นั สมยั ฯลฯ - ไม่สามารถปฏิบัติงานตามแผนการเรยี นรู้ท่ีกาหนดไว้ เนอื่ งจากมีภารกิจเรง่ ด่วนมากมาย - หลักสูตรกว้างเกินไป เนื้อหาสาระแต่ละรายวิชามากเกินไป ไม่รู้จะสอนเน้ือหาอะไร ใชร้ ปู แบบใด และวัดและประเมนิ ผลอยา่ งไร จงึ จะดี คู่มือการทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 2

ปญั หาต่าง ๆ ทง้ั ที่กล่าวและไมไ่ ด้กล่าวไวข้ า้ งต้น อาจเป็นปัญหาทเี่ กดิ มาจากผเู้ รยี นหรอื ผูป้ กครอง บางปัญหาอาจเกิดจากครูผู้สอน หรือเกิดจากกระบวนการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงบางปัญหาครูผู้สอนสามารถแก้ไข เองได้ แต่บางปัญหาก็เกินอานาจหน้าที่ของครูผู้สอน เพราะเป็นเรื่องของนโยบาย หรือต้องใช้งบประมาณ ระยะเวลา ซึ่งครูผู้สอนไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เอง ดังน้ัน หากครูผู้สอนต้องการแก้ปัญหาการจัดการเรียนรู้สามารถใช้กระบวนการวิจัยอย่างง่าย มาช่วยแก้ปัญหาได้ เริ่มต้นจากครูผู้สอนต้องเข้าใจปัญหาอย่างแจ่มแจ้ง ก่อนที่จะหยิบปัญหาน้ันมาเป็นหัวข้อ วิจยั รวมถึงต้องกาหนดเป้าหมายการทาวจิ ัยได้อย่างชดั เจนก่อน ซ่ึงในคู่มือเล่มน้ี จะกาหนดกรอบหรือขอบข่าย ของปัญหา เฉพาะปัญหาที่เกิดข้ึนระหว่างการจัดการเรียนรู้เท่านั้น ดังแผนผังกระบวนการจัดการเรียนรู้ ตอ่ ไปน้ี หลกั สตู ร แผนการเรียนรู้ ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการจัดการเรียนรู้ให้แก่ ผู้เรียนที่หลากหลาย อาจมีสาเหตุมาจากหลาย ๆ กระบวนการจดั การเรียนรู้ ประการ ที่ครูผู้สอนเห็นว่า ต้องใช้กระบวนการวิจัย ปฏิบัติการเข้ามาแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ รวมถึง การวัดและประเมนิ ผล การทดลองใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ มาจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ท่ีดีข้ึนตามศักยภาพ ของผเู้ รยี น พัฒนาปรับปรุง แก้ไข การพิจารณาปัญหาเพื่อนามาเป็นหัวข้อวิจัยตามคู่มือเล่มนี้เน้นย้าว่า ครูผู้สอนต้องพิจารณา อย่างถ้วนถ่ีว่า เปน็ ปัญหาทีเ่ กี่ยวข้องกบั ผู้เรยี นโดยตรงหรือไม่ เป็นปญั หาท่คี รผู สู้ อนสามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้อง ใชเ้ วลาและงบประมาณมากเป็นพิเศษ หรือเปน็ ปัญหาท่ีสามารถแก้ได้ตามกระบวนการบริหารปกติ หากปญั หา น้ันใหญ่เกินไป ต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลจานวนมาก ต้องใช้เวลาและงบประมาณมาก ถือเป็นปัญหาที่ไม่เหมาะ จะนามาทาวิจัยอยา่ งง่าย ในทางตรงกันข้าม ปัญหาเล็ก ๆ ท่ีแก้ไขได้โดยวิธีการง่าย ๆ ด้วยการใช้คาส่งั การขอ ความร่วมมือ หรือการว่ากล่าวตักเตือน หรือกาหนดเป็นระเบียบสถานศึกษา ก็สามารถแก้ปัญหาได้ ปัญหาลกั ษณะนี้ กไ็ ม่เหมาะจะนามาทาวจิ ยั อยา่ งง่ายเชน่ กัน คู่มอื การทาวจิ ยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 3

เร่ืองที่ 2 ความสาคัญและประโยชน์ของการวจิ ัยอย่างงา่ ย ครู กศน. หลาย ๆ คน ทั้งที่มีประสบการณ์และไม่มีประสบการณ์การทาวิจัย คงจะรู้แล้วว่า การวิจัยอยา่ งง่ายเพือ่ พฒั นาผ้เู รยี น มีความสาคญั และมปี ระโยชน์ต่อครูผูส้ อน ผู้เรียน รวมไปถงึ สถานศกึ ษาด้วย เนื่องจากการวิจัย เป็นตัวช้ีวัดหนึ่งในการประเมินคุณภาพของสถานศึกษา ท้ังการประเมินภายนอกและ การประเมินภายใน ซง่ึ สามารถสรุปความสาคัญและประโยชน์ของการวจิ ัยอย่างงา่ ย ไดด้ งั น้ี ความสาคญั ของการวิจัยอย่างงา่ ย กฎหมายตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มีแนวคิดเร่ืองการปฏิรูปการทางาน ของครูให้เป็นครูมืออาชีพ รวมท้ังความจาเป็นท่ีครูผู้สอนต้องทาวิจัยเพ่ือพัฒนาผู้เรียนถูกกล่าวถึง อย่างแพร่หลาย เนื่องจากในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับน้ี กาหนดแนวทางการสนับสนุน ให้ครูผู้สอนใช้กระบวนการวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ไว้ในหมวดท่ี 4 ว่าด้วยแนวการจัดการศึกษา มาตรา 24 (5) มีใจความสาคัญ ดังน้ี “ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอานวย ความสะดวกเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนงึ่ ของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งน้ี ผู้สอนและผ้เู รียนอาจเรยี นรูไ้ ปพรอ้ มกัน จากส่อื การเรยี นการสอนและแหลง่ วิทยาการประเภทต่าง ๆ” และมาตรา 30 กล่าวว่า “ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้สอน สามารถใช้กระบวนการวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมแก่ผู้เรียนในแต่ละระดับ การศึกษา” จากข้อความในพระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ทาให้ครูผู้สอนต้องศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล และพัฒนาผู้เรียนตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ตามที่กาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฉบับน้ีเช่นกัน ในมาตรา 22 มีแนวปฏิบัติเพื่อพัฒนาผู้เรียนอย่างจริงจัง ด้วยการใช้กระบวนการวิจัย ในความหมายของการแก้ปัญหาแบบใหม่ การหาคาตอบแบบใหม่ โดยวิธีการที่เช่ือถือได้หรือวิธีการที่ยอมรับ ในศาสตร์นนั้ ๆ มากข้นึ คู่มือการทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 4

ครูผู้สอนยุคปฏิรูปการเรียนรู้ตื่นตัวที่จะพัฒนาตนเองเพ่ือพัฒนากระบวนการเรียนรู้ค่อนข้างมาก การทาวจิ ัยจงึ เป็นการพฒั นาวชิ าชพี ของครูผู้สอนคอ่ นข้างชดั เจน นอกจากนี้ มาตรา 49 หมวด 6 กาหนดว่า ให้มีการประเมินการจัดการศึกษา เพ่ือให้มีการ ตรวจสอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยคานึงถึงจุดมุ่งหมาย หลักการ และแนวทางการจัดการศึกษาในแต่ละ ระดบั จากข้อกาหนดของกฎหมาย ตามพระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ ดังกล่าวข้างต้น ผูท้ รงคุณวุฒิ ได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียนไว้ว่า การวิจัยของผู้สอนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ที่เรียกกันว่า การวิจัยในช้ันเรียน หรืออีกนัยหนึ่งที่คน กศน. เรียกว่า การวิจัยอย่างง่ายน้ันประสบปัญหาตา่ ง ๆ น้อยกว่าการวิจัยโดยทั่วไป กล่าวคือ มีการให้ความสาคัญโดยตรง เป็นกฎหมายตามพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ ทาแล้วใช้เฉพาะกิจได้ทันที ไม่มีปัญหาเร่ืองทรัพยากร เพราะใช้งบประมาณน้อย เน่ืองจากเป็นเรื่อง ใกล้ตัว ไม่มีปัญหาการขาดความรู้ในเรื่องที่จะทา และทาแล้วแต่ไม่นาผลการวิจัยมาใช้ก็มีน้อยลง เพราะ ครผู ู้สอนร้เู น้อื หาหรอื ปัญหาของผเู้ รียนเป็นอย่างดี ผลของการวิจัยจะได้องค์ความรู้มาพัฒนาผู้เรียน ซ่ึงสอดคล้องกับคากล่าวท่ีว่า การศึกษาจะต้อง เป็นไปหรือการสรา้ งส่ิงใหม่ ๆ ใหก้ ับผู้เรยี นและสังคมอยตู่ ลอดเวลา กระบวนการของการศึกษาจงึ ต้องเน้นไปท่ี การสรา้ งและพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ การวิจัยค้นคว้าอยู่ตลอดเวลา ไมว่ ่าศูนยก์ ลางของการศึกษาจะอยู่ท่ีใด ก็ตาม (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2547 : ง อ้างในสุรชัย โกศิยะกุล, 2550) สอดคล้องกับสถาบัน กศน.ภาคเหนือ (2552 : 12) กล่าวว่า การวิจัยอย่างง่ายมีความสาคัญต่อครู กศน. เช่นเดียวกับครูทั่ว ๆ ไป นอกจากจะต้อง เป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติแล้ว ยังเป็นส่วนหน่ึงของการจัดการเรียนรู้หลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ในสาระทักษะการเรียนรู้ รายวิชาการวิจัยอย่างง่าย ซึ่งครูผู้สอนจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับการวิจัยอย่างง่าย จึงจะสามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ แก่ผู้เรยี นได้ ดังน้นั ผูเ้ กีย่ วข้องกบั การวจิ ยั อย่างงา่ ยของ กศน. จึงควรประกอบไปดว้ ย 1. ผู้เรียนและผู้ร่วมกิจกรรมกระบวนการเรียนรู้ กศน. ตาม พรบ. การศึกษามาตรา 24 (5) เรยี นรู้และใช้การวิจยั เปน็ สว่ นหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ 2. ผู้สอนหรือผจู้ ัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ตาม พรบ. การศึกษา มาตรา 30 สามารถใช้กระบวนการวิจัย เพ่อื พฒั นาการเรยี นรู้แก่ผู้เรียนอย่างเหมาะสมตามระดับการศึกษา 3. ผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ตาม พรบ. การศึกษา มาตรา 49 หมวด 6 ว่าด้วยการประกันคุณภาพการศึกษา ต้องส่งเสริมผู้สอนให้สามารถทาวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ที่เหมาะสมกับผู้เรียนและผู้รับบริการในแต่ละระดับ แต่ละ กจิ กรรม ค่มู ือการทาวิจัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 5

ประโยชนข์ องการวจิ ัยอย่างง่าย การวิจัยอย่างง่ายที่กล่าวในคู่มือเล่มน้ี คือ การวิจัยปฏิบัติการหรือทดลองในห้องเรียน ซึ่งมี ประโยชน์ ด้วยกันหลายประการ ดังนี้ 1. ทาให้เกิดการพัฒนาระบบการจัดการเรยี นรู้อย่างถกู ต้อง และเปน็ ระบบทน่ี ่าเช่ือถือ ซ่ึงจะเกดิ ผลดแี ก่ผเู้ รียน คอื ผเู้ รยี นได้รับการชว่ ยเหลอื และพัฒนาการเรยี นรู้อย่างเต็มศกั ยภาพ 2. ทาให้เกิดการพัฒนาวิชาชีพครู เนื่องจากขอ้ ค้นพบท่ีไดน้ ั้นมาจากกระบวนการค้นควา้ ทั้งเป็น ระบบและเชื่อถือได้ ซึ่งเป็นพื้นฐานความรู้ด้านการวิจัย สามารถพัฒนาไปสู่การวิจัยในระดับสูง เป็นนักวิจัย มอื อาชีพ ส่งผลใหผ้ ูเ้ รียนพัฒนาการเรียนรู้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาการจัดการเรยี นรู้ของครูผูส้ อน 3. เป็นการพัฒนาหลักสูตร กระบวนการจดั การเรียนรู้ และยังปรบั ปรุงวิธีการปฏบิ ตั ิงานเพ่ือพัฒนา การจัดการเรยี นรู้โดยระเบียบวิธกี ารวิจยั อันเป็นการส่งเสรมิ การพฒั นาเครื่องมือการเรยี นร้ทู จี่ ะเป็นประโยชน์ ตอ่ การจดั การศึกษา 4. ส่งเสริมบรรยากาศการทางานแบบประชาธิปไตย ทั้งน้ีเพราะทุกฝ่ายเกิดการแลกเปล่ียน เรียนรู้ ประสบการณ์และเกิดการยอมรับในการค้นพบร่วมกัน ทั้งยังเป็นการสนับสนุนความก้าวหน้า ของการวิจัยทางการศึกษา 5. เป็นการแสดงความก้าวหน้าของวิชาชีพครู โดยวิธีการเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติและ ทาให้อาชพี ครูกลายเป็นวชิ าชพี 6. สง่ เสริมการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาทเี่ ชอื่ ม่ันได้ คมู่ ือการทาวิจัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 6

เรือ่ งที่ 3 สภาพปัญหาจากการทาวิจยั อย่างงา่ ยของครู กศน.ทีผ่ า่ นมา ตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า การทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. ที่ผ่านมามักจะประสบปัญหา อยู่หลาย ๆ ดา้ น และตดิ ภาพลกั ษณ์ของการทาวิจยั ว่าเป็นเรื่องท่ียาก วุน่ วาย ซบั ซอ้ น เปน็ งานวชิ าการท่ตี ้องใช้ ความรู้เฉพาะ ประกอบกับครู กศน.ยังขาดประสบการณ์ และความเข้าใจท่ีดีเกี่ยวกับการวิจัยอย่างง่าย จึงทาให้กลัว วิตกกังวลและไม่ม่ันใจว่าตนเองจะสามารถทาวิจัยได้ ดังนั้น ผลงานวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. จึงปรากฏให้เห็นอย่างกว้างขวางไม่มากนัก ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ที่ไม่ดีด้านการพัฒนาทางวิชาการ และคณุ ภาพผู้เรยี น กศน. โดยตรง จากผลการวิจัยของสถาบัน กศน. ภาคเหนือ ปีงบประมาณ 2558 เรื่อง แนวทางการพัฒนาผู้เรียน โดยการวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. ซ่ึงใช้วิธีการสอบถาม และการสนทนากลุ่ม เพื่อศึกษาผลเกี่ยวกับ การปฏบิ ัตกิ ารทาวิจยั อยา่ งง่ายของครู กศน.ใน 3 ดา้ น คอื ดา้ นการวเิ คราะห์ปัญหา สาเหตุ ดา้ นการออกแบบ พัฒนาและสร้างเครื่องมือวิจัย และด้านการสรุปผลและรายงานผลการวิจัย โดยสอบถามจากครู กศน. ผู้ให้ คาปรกึ ษา และผู้เรยี น กศน. ปรากฏผล ดังนี้ 1. ด้านการวิเคราะห์ปญั หา สาเหตุ พบวา่ ครู กศน. ได้ปฏิบัติการวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุ อยู่ในระดับ มาก ซ่ึงหมายถึง มีการปฏิบัติ ทุกคร้ัง โดยวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุที่เกิดข้ึนกับผู้เรียน หลายวิธีการแตกต่างกันไป ได้แก่ การวิเคราะห์ปัญหา จากการสังเกต การสอบถาม การใช้แบบฝึกก่อนเรียน บันทึกหลังการสอน ทั้งน้ี ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา ของผู้เรียนแต่ละคน แต่ละกลุ่ม ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่ม่ันใจว่าเป็นปัญหาและสาเหตุที่แทจ้ ริง และยังไม่เข้าใจวิธีการนาผลการวิเคราะห์ข้อมูลมากาหนดกรอบความคิดในการศึกษา ให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ท่จี ะศึกษา 2. ด้านการออกแบบและสรา้ งเครอื่ งมอื วจิ ยั พบวา่ ครู กศน. ได้ปฏิบัติการออกแบบและสร้างเครื่องมือวิจัย อยู่ในระดับ ปานกลาง ซ่ึงหมายถึง มีการปฏิบัติเป็นบางคร้ัง โดยเฉพาะประเด็นเร่ือง มีการออกแบบนวัตกรรมประเภทส่ือการสอนสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และมีการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้านความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา/ความสอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นนี้ครู กศน. ส่วนใหญ่ปฏิบัติค่อนข้างน้อย เนื่องจาก ครู กศน. ยังไม่เข้าใจ หลักและวิธีการออกแบบสื่อ จึงศึกษาจากสื่อที่มีอยู่แล้ว หรือสอบถามผู้รู้ แล้วทดลองสร้างสื่อและนาไปทดลองใช้ กับผู้เรียน มีครูเพียงบางคนเท่านั้น ที่นาสื่อไปให้ผู้ให้คาปรึกษาตรวจสอบและแก้ไข ก่อนนาไปใช้จริง กบั ผ้เู รียน คูม่ อื การทาวิจัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 7

แต่ผู้ให้คาปรึกษาส่วนใหญ่กลับมองเห็นในประเด็นอ่ืน ซึ่งครู กศน. ปฏิบัติค่อนข้างน้อย 2 ประเด็น คือ ครู กศน. มีการนาแผนและนวัตกรรมประเภทสื่อการสอนไปใช้ดาเนินการ และครู กศน. มีการรวบรวม ข้อมูลการดาเนินงานไว้เป็นระบบ ท้ังนี้ ครู กศน. อาจไม่ได้รายงานความก้าวหน้าหรือปรึกษาผู้ให้คาปรึกษา อย่างต่อเนื่อง จึงทาให้ผู้ให้คาปรึกษาไม่เห็นความก้าวหน้าของการปฏิบัติการทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. ในประเดน็ ดงั กล่าว 3. ดา้ นการสรุปและรายงานผลการวิจัย พบว่า ครู กศน. ไดป้ ฏิบัติการสรุปและรายงานผลการวจิ ยั อยูใ่ นระดบั ปานกลาง ซ่งึ หมายถงึ มีการ ปฏิบัติเป็นบางคร้ัง โดยผู้ให้คาปรึกษาส่วนใหญ่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติในเรื่อง การอภิปรายผล โดยอ้างอิงกรอบแนวคิดทฤษฎีและผลการค้นพบของผู้อืน่ และการเผยแพรร่ ายงานผลงานวจิ ัย อย่ใู นระดบั น้อย สูงกว่าระดับมาก ซ่ึงหมายถึงไม่ได้ปฏิบัติ เนื่องจากการจัดการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ ตามหลักสูตรการวจิ ัย อย่างง่ายของครู กศน. ไม่มีเนื้อหาความรู้เก่ียวกับการอภิปรายผลโดยอ้างอิงกรอบแนวคิดทฤษฎีและผล การค้นพบของผู้อ่ืน สาหรับการเผยแพร่รายงานผลงานวิจัยน้ัน อาจเนื่องมาจากครู กศน.ยังไม่แน่ใจว่า ผลงานวจิ ัยอย่างงา่ ยของตนเองทาถูกต้องเพียงพอท่ีจะนาไปเผยแพร่ได้ นอกจากผลการวิจัยเรื่อง แนวทางการพัฒนาผู้เรียนโดยการวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. ในปี งบประมาณ 2558 ท่ีได้กล่าวมาแล้ว สภาพปัญหาและข้อจากัดในการทางานวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. ท่ีสรุปได้จากการจัดอบรมหลักสูตรการวิจัยอย่างง่ายสาหรับครู กศน. ในปีงบประมาณ 2557 ซึ่งได้ดาเนินการ เป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การสร้างความตระหนักในการทาวิจัยอย่างง่าย ระยะที่ 2 การเรียนรู้กระบวนการ วิจัยอย่างง่ายด้วยบทเรียนออนไลน์ ระยะท่ี 3 การสัมมนาวิชาการ (แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันโดยการนาเสนอ ผลงานวิจยั อยา่ งง่าย) มขี อ้ เสนอแนะจากวิทยากรในวันสัมมนาวชิ าการ สรุปได้ ดังนี้ 1. ชอื่ เร่ืองวิจยั อยา่ งงา่ ย การกาหนดชื่อเรอื่ งยังไมช่ ดั เจน เช่น ชอ่ื เร่อื งไมส่ อดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์ หรือปัญหาการวจิ ัย 2. ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา การวิเคราะห์ปัญหายังไม่ชัดเจน ไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าปัญหาจริง ๆ น้ัน ดูจากอะไร (การสังเกต การสัมภาษณ์ของครูผู้สอน ผลการเรียน หรือจากการสารวจ การใช้แบบสอบถาม) การบรรยายถึงการจัด การเรียนรู้ของครูผู้สอนท่ีผ่านมา ไม่ได้ขยายความให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นปัญหา ตลอดจนไม่มีข้อมูล เชิงปริมาณสนับสนุน เพ่ือแสดงน้าหนักของปัญหาท่ีนามาทาวิจัยอย่างง่าย เช่น ร้อยละของการสอบไม่ผ่าน และข้อมูลย้อนหลังอีกกี่ภาคเรียน นอกจากน้ี ยังไม่ได้วิเคราะห์วิธีการจัดการเรียนรู้ของครู สื่อที่ใช้ เพื่อแสดง ให้เห็นว่าปัญหาที่ปรากฏจริง ๆ น้ัน เกิดจากการจัดการเรียนรู้ในขั้นตอนใด และเหตุใดจึงเลือกใช้วิธีการ แกป้ ัญหาดงั กล่าว คมู่ อื การทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 8

3. วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย กาหนดวัตถุประสงค์ไว้หลายข้อ แต่ศึกษาเพื่อหาคาตอบได้ไม่ครบทุกข้อ และงานวิจัยอย่างง่าย บางเร่ือง มีวัตถุประสงค์เพียงเพ่ือสารวจสภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้เท่านั้น ยังไม่ถึงข้ันการทาวิจัยอย่างง่าย เพื่อพัฒนาผู้เรียน 4. วิธีดาเนนิ การวิจยั กลุ่มเป้าหมาย (ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง) ผู้วิจยั ยังสับสนระหว่างกลุ่มเป้าหมาย ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่างวา่ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร เคร่อื งมือ ผู้วจิ ัยไมร่ ะบุรายละเอยี ดการพฒั นาแบบฝึกวา่ สรา้ งอยา่ งไร หรอื อ้างอิงแหล่งทมี่ าของแบบฝึก นนั้ วา่ นามาจากแหล่งข้อมลู ใด หรือสถานศึกษาของผ้วู จิ ัยใช้แบบฝกึ เหลา่ นนั้ อย่แู ล้ว การวเิ คราะหข์ ้อมลู การใชส้ ถติ ิวเิ คราะหข์ ้อมลู ยงั ไม่เหมาะสม 5. ผลการวจิ ัย การแปลผลการวิจยั ยงั ไมส่ อดคลอ้ งกับปัญหาการวิจยั ผลการวจิ ัยตอบจุดประสงค์ไม่ครบทุกข้อ 6. ข้อเสนอแนะ การเสนอแนะเพ่อื การศึกษายังเป็นนามธรรม ซ่ึงไมส่ ามารถนาไปปฏิบัตไิ ด้ นอกจากนี้ครู กศน. ยังมีข้อเสนอแนะให้ปรับปรุงเน้ือหาในบทเรียนออนไลน์ ประกอบ การเรียนรู้ เรื่อง กระบวนการวิจัยอย่างง่าย ไว้ว่า ควรเพ่ิมเติมเนื้อหาและมีตัวอย่างงานวิจัยให้มาก ๆ โดยเฉพาะงานวิจัยอย่างง่ายท่ีสมบูรณ์ และสามารถนาไปเป็นแนวทางการวิจัยอย่างง่ายได้ อีกทั้งต้องการ ให้แนะนาแหลง่ ค้นควา้ ศกึ ษาเพิม่ เตมิ ด้วย จากสภาพปัญหาในการทาวิจัยอย่างง่ายของครู กศน. ทั้งสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในการจัด การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน และสภาพปัญหาจากการปฏิบัติงานในการทาวิจัยอย่างง่าย ทาให้ครู กศน.ส่วนใหญ่ เห็นวา่ การทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ยเป็นเร่ืองยากและสร้างภาระให้กบั ตนเอง เนื่องจากครูผสู้ อนยังไม่เข้าใจกระบวนการทาวิจัยอย่างง่ายที่เกิดจาก การปฏิบัติอยา่ งถอ่ งแท้ และยงั ไม่เขา้ ใจอย่างชัดเจนถงึ รายละเอียด ในทางปฏิบัติการทาวิจัยอย่างง่ายในแต่ละขั้นตอน เพ่ือให้ปัญหา และข้อจากัดทั้งหลายเหล่านี้ลดน้อยหรือหมดไป ในตอนที่ 3 ของคู่มือเล่มนี้ จึงนาเสนอรายละเอียดของกระบวนการทาวิจัย อย่างง่ายให้ครู กศน. ได้เรียนรู้และทาความเข้าใจเพื่อนาไปสู่ การปฏิบัติการทาวจิ ัยอย่างงา่ ยได้ชดั เจนยิง่ ขึน้ คมู่ อื การทาวจิ ยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 9

กิจกรรมที่ 1 ทาเครื่องหมาย  หนา้ ข้อที่ถูก และทาเครอ่ื งหมาย  หน้าข้อท่ีผิด (ข้อละ 1 คะแนน) ………….…… 1. ปญั หาทแ่ี ก้ไขไดด้ ้วยการใชค้ าสงั่ เปน็ ปญั หาท่ีควรนามาทาวิจยั อย่างงา่ ย ………….…… 2. ปญั หาทีเ่ กดิ ข้นึ ระหว่างการจัดการเรยี นรู้เปน็ ปัญหาทนี่ ามาทาวจิ ัยอยา่ งง่ายได้ ………….…… 3. “ใหส้ ถานศึกษาพฒั นากระบวนการเรยี นการสอนทม่ี ีประสิทธิภาพ รวมทงั้ การส่งเสริม ให้ผสู้ อน สามารถใช้กระบวนการวจิ ยั เพื่อพฒั นาการเรียนรทู้ ่ีเหมาะสมแก่ผู้เรียนในแตล่ ะ ระดับการศึกษา” เปน็ สาระสาคญั ใน มาตรา 24 (5) ตาม พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ………….…… 4. มาตรา 49 หมวด 6 ตาม พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กาหนดให้สถานศกึ ษา ส่งเสริมให้ครูใชก้ ระบวนการวิจัยอย่างงา่ ย ในการจัดกระบวนการเรยี นรู้ ………….…… 5. การวจิ ัยอยา่ งงา่ ยชว่ ยใหผ้ เู้ รียนได้รบั การพฒั นาการเรียนร้อู ย่างเต็มศักยภาพ ………….…… 6. การเผยแพรผ่ ลงานวิจยั อย่างง่ายของครูแสดงใหเ้ หน็ ความก้าวหน้าของสถานศึกษา มากกวา่ ครู ………….…… 7. การสง่ เสริมการพฒั นาเครื่องมอื การเรียนรู้ เช่น การพฒั นาหลักสูตร การพฒั นา กระบวนการจดั การเรยี นรู้ ฯลฯ เป็นประโยชน์ท่ไี ดร้ ับจากการวิจัยอย่างงา่ ย ………….…… 8. การเขียนความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหาการวจิ ัยอยา่ งงา่ ย ทผ่ี ู้วจิ ัยตอ้ งการ แสดงให้เหน็ วา่ ปญั หานีม้ ีความสาคญั จรงิ ๆ ควรให้ข้อมูลเชิงปริมาณกากับไวด้ ว้ ย ………….…… ราย9. รายงานการสารวจสภาพปัญหาการจดั การเรียนรู้ของครผู ู้สอน ถือวา่ เปน็ ผลงาน การวจิ ัยอยา่ งงา่ ยเพื่อพัฒนาผู้เรียนดว้ ยเชน่ กนั ………….…… 10. การเขียนข้อเสนอแนะเพื่อการศึกษาวจิ ยั ในรายงานการวิจัยอย่างงา่ ย สามารถเขยี น เปน็ นามธรรมได้ คมู่ ือการทาวจิ ัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 10

ตอนที่ 2 สาระสาคัญ การวิจัยอย่างง่าย ตามบริบทของ กศน. ในคู่มือเล่มนี้ เป็นการวิจัยอย่างง่ายเพ่ือแก้ปัญหาหรือ พัฒนาผู้เรียน โดยเน้นปัญหาท่ีเกิดจากการจัดการเรียนรู้เป็นจุดเร่ิมต้น และครูผู้สอนพยายามจะหาวิธีการ หรือสื่อ หรือนวัตกรรม เพ่ือแก้ปัญหาให้กับผู้เรียน จากน้ันจึงลงมือปฏิบัติ สังเกตและตรวจสอบผล การแก้ปัญหาหรือการพัฒนาท่ีได้ดาเนินการไป แล้วบันทึกและสะท้อนการแก้ปัญหาหรือการพัฒนาน้ัน ๆ ออกมาเป็นรายงาน ดังน้ัน การวิจัยอย่างง่ายในบริบทของ กศน. ตามคู่มือเล่มน้ี จึงเป็นการวิจัยขนาดเล็ก ท่ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นในกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน รวมไปถึงการพัฒนาผู้เรียน ให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น ซ่ึงหมายถึง การหาวิธีการ หรือแนวทางการแก้ปัญหาให้ผู้เรียนท่ีเรียนรู้อ่อน สามารถเรียนทันเพื่อน หรือการปรับปรุง ส่งเสริมผู้เรียนให้สามารถร่วมเรียนรู้กับเพ่ือน ๆ ในกลุ่มได้ ตามศักยภาพของเขา โดยใช้กระบวนการวิจัย วัตถุประสงค์ เพอื่ ให้ครู กศน. 1. รู้และเขา้ ใจความหมายของการวิจยั อยา่ งง่ายตามบรบิ ทของ กศน. 2. รูแ้ ละเข้าใจองค์ประกอบ สาระสาคัญและรปู แบบโดยรวมของการวิจยั อย่างงา่ ย ขอบข่ายเนื้อหา เร่ืองท่ี 1 ความหมายของการวิจัยอยา่ งงา่ ยตามบริบทของ กศน. เรื่องท่ี 2 องคป์ ระกอบ สาระสาคญั และรปู แบบโดยรวมของการวิจยั อยา่ งงา่ ย คู่มอื การทาวจิ ยั อย่างง่ายของครู กศน. 11

เรื่องที่ 1 ความหมายของการวจิ ัยอยา่ งงา่ ยตามบริบทของ กศน. การวิจัยอย่างง่ายตามบริบทของ กศน. เป็นการกาหนดนิยาม องค์ประกอบ และรูปแบบการวิจัย ให้เหมาะสมกับบริบทโดยรวมของ กศน. ท้ังท่ีเป็นลักษณะ รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ บทบาทหน้าท่ี และภารกิจของครูผู้สอน กศน. รวมถึงกลุ่มเป้าหมายหรือผู้เรียน กศน. ที่มีความหลากหลายโดยบูรณาการ แนวความคิด และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้าไป เพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการ แกป้ ญั หาหรอื พัฒนาผเู้ รียนของครู กศน. กล่าวได้ว่า การวิจัยอย่างง่ายของ กศน. จะหมายถึง กระบวนการแสวงหาความรู้ ความจริง โดยวธิ ีการท่ีเชื่อถือได้ มรี ะเบยี บแบบแผน เปน็ ระบบ ซึ่งคาตอบของปัญหาหรอื ขอ้ เท็จจริงท่ีต้องการรู้อาจมาจาก การศึกษาค้นคว้า การรวบรวมข้อมูล การทดลอง หรือการประดิษฐ์ การคิดค้นวิธีการ นวัตกรรมหรือสิ่งอ่ืนใด ทีใ่ ชว้ ิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ผนวกกบั ความรแู้ ละประสบการณ์ของครูผสู้ อน เปน็ เครื่องมือทใี่ ช้คดิ และดาเนนิ การ ซ่ึงความจริงและข้อค้นพบต้องสัมพันธ์กับสภาพปัญหาท่ีปรากฏอยู่ในขณะนั้น และเน้นการค้นหาปัญหา ทเี่ กิดขึ้นกับผู้เรียน แล้วครูผู้สอนลงมือแก้ปัญหาหรือพัฒนาไปอย่างเป็นระบบ ต่อจากนั้น จึงนาเสนออย่างง่าย ไม่ซับซ้อน ซ่ึงเป็นรูปแบบหนึ่งของการวิจัยปฏิบัติการ (Action Research) ท่ีมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นครั้ง ๆ ไป เป็นการแสวงหาความรู้ ความจริงด้วยวิธีการหรือนวัตกรรม เพ่ือให้ได้ทางเลือกในการแก้ปัญหาหรือพัฒนา การเรียนรู้ และเกิดประโยชนส์ ูงสดุ ตอ่ ผเู้ รยี นในเรื่องใดเร่ืองหนง่ึ ในชว่ งเวลาหนึ่ง ดังน้ัน การวิจัยอย่างง่ายท่ีกล่าวถึงในคู่มือเล่มน้ี จึงเป็นลักษณะการแสวงหาความรู้ ความจริง ทีเ่ ป็นงานในหน้าท่ีของครูผู้สอนกับผู้เรียน หรือเป็นหน้าที่ซ่ึงครูผู้สอนต้องพิจารณาและตรวจสอบอยู่ตลอดเวลาว่า ผู้เรียนเกิดประสบการณ์การเรียนรู้ ตรงตามเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่ มีพฤติกรรม มีปัญหา หรืออุปสรรคใด เกิดข้ึนมาบ้าง และได้ปรับปรุงให้กิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น นับเป็นการพัฒนาการเรียนรู้ หรือการพฒั นากระบวนการจัดการเรียนรู้ทม่ี ุ่งผลสัมฤทธิ์ให้เกิดข้ึนกับผูเ้ รียนต่อไป คมู่ ือการทาวิจัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 12

เร่อื งท่ี 2 องคป์ ระกอบ สาระสาคัญและรปู แบบโดยรวมของการวิจยั อย่างงา่ ย การวิจัยอย่างง่าย มีองค์ประกอบ สาระสาคัญและรูปแบบคล้าย ๆ กับการวิจัยในชั้นเรียน อาจจะ แตกตา่ งกันตรงกลุ่มประชากรหรอื กล่มุ เป้าหมาย ด้านอายุ อาชีพ ความรูพ้ ้ืนฐานรวมไปถึงเง่ือนไข ตัวแปรอนื่ ๆ ทีไ่ ม่สามารถควบคุมได้เหมือนชน้ั เรียนในระบบโรงเรียน หากพิจารณาในด้านกระบวนการทาวจิ ัยแลว้ ก็แทบจะ ไม่แตกต่างกัน เพราะเริ่มต้นจากการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน เพ่ือกาหนดเป็นปัญหาการวิจัยและหาวิธี แก้ปัญหาใหก้ ับผูเ้ รยี น ซงึ่ สามารถสรปุ กระบวนการทาวจิ ยั อยา่ งงา่ ย ได้ดงั น้ี จากวงจรข้างต้น สามารถอธิบายกระบวนการหลัก ๆ ของการวิจัยอย่างง่ายให้เข้าใจย่ิงขึ้น ตามลาดับ ดงั นี้ ขั้นตอนท่ี 1 การสังเกตอาการผิดปกติของผู้เรียน และตั้งเป็นข้อสงสัย คาดว่าจะเป็นปัญหา ซึ่ง ต้องอาศัยความใส่ใจและประสบการณ์ของครูผู้สอนโดยตรง หรือครูผู้สอนอาจจะหาแนวทางมาจากการศึกษา การอา่ นงานวิจยั หรอื วารสารตา่ ง ๆ รวมถึงการพูดคยุ กบั เพื่อนครูผสู้ อนดว้ ยกันแลว้ ไปสงั เกตผู้เรยี น ขนั้ ตอนที่ 2 การกาหนดปัญหา วิเคราะห์ สังเคราะห์ว่าส่ิงผิดปกติท่ีพบเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับ ผู้เรียน ซ่ึงในขั้นตอนน้ี ครูผู้สอนจะต้องสามารถจาแนก แยกแยะความแตกต่างระหว่างปัญหาและสาเหตุ ของปัญหา ซ่ึงอาจใช้วิธีวิเคราะห์จากข้อมูลเบื้องต้นทั่วไป เพ่ือหาข้อเท็จจริงหรือความจริงเก่ียวกับปัญหา จากนน้ั ใหเ้ ขยี นอธิบายเก่ียวกับสาเหตุของปัญหา เพ่ือหาสาเหตแุ ท้ของปัญหาทีเ่ กดิ กบั ผู้เรยี น คู่มอื การทาวิจยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 13

ขัน้ ตอนทิ่ 3 การหาวิธีแก้ไขท่ีตรงกับสาเหตุแท้ของปัญหา คือ เม่ือครูผู้สอนรู้สาเหตุแท้ ของปัญหาแล้ว ครูผู้สอนจะต้องศึกษา หรือค้นหาวิธีการแก้ไขให้ตรงกับปัญหาแท้ โดยการสร้างกรอบความคิด หรือตั้งสมมติฐานว่า วิธีการจัดการเรียนรู้แบบน้ี ใช้แบบฝึกแบบนี้ หรือนวัตกรรมนี้ จะช่วยแก้ปัญหาน้ัน ๆ หรือ สามารถพัฒนาผู้เรียนได้ ซึ่งอาจเป็นวิธีการที่ผู้อื่นเคยทามาแล้ว หรืออาจคิดค้นวิธีการใหม่ที่เป็นนวัตกรรมก็ได้ จากนั้นจึงกาหนดเป็นแผนปฏิบัติการวิจัยหรือในการทาวิจัยเต็มรูปแบบ จะเรียกว่า การเขียนโครงร่าง ซึ่งมี รายละเอียดและองค์ประกอบที่สามารถตอบคาถามวา่ จะทาอะไร อยา่ งไร กบั ใคร ท่ไี หน เมื่อไหร่ เป็นตน้ ขน้ั ตอนท่ี 4 การลงมือแกไ้ ขและการจดบันทึกผล เปน็ ขั้นตอนการลงมอื ทาวิจยั อยา่ งง่าย หรือการ ปฏิบัติตามแผน หรือตามโครงร่างวิจัย ซ่ึงโดยปกติแล้วข้ันตอนน้ี สามารถบูรณาการเป็นส่วนหน่ึง ของการจัดการเรียนรู้ได้ เช่น การให้ผู้เรียนทาแบบฝึกท่ีคิดขึ้นมาใหม่ การทดลองใช้กระบวนการจดั การเรียนรู้ แบบใหม่หรือการลองพูดคุย สัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย และกลุ่มตัวอย่าง (กลุ่มท่ีมีปัญหา) แล้วครูผู้สอน จดบันทกึ ความเปลี่ยนแปลงท่ีค้นพบโดยละเอียด ข้ันตอนท่ี 5 การเขียนสรุปผลที่ไดจ้ ากการวิจัยอย่างง่าย เป็นขั้นตอนสดุ ทา้ ย ซ่ึงส่วนใหญ่จะเขียน เฉพาะประเด็นที่สาคัญ ๆ โดยไม่จาเป็นต้องอ้างทฤษฎี หรือข้อมูลวิจัยจากนักวิจัยแต่อย่างใด ซึ่งรายงานผล ดงั กล่าวน้ี จะมปี ระโยชน์สาหรบั การนาผลงานวจิ ยั อยา่ งงา่ ยไปเผยแพร่ หรือปรับปรงุ เพื่อพัฒนาหรือแก้ไขต่อไป ลกั ษณะสาคัญของการวิจยั อยา่ งง่ายตามบรบิ ทของ กศน. การวิจัยอยา่ งง่ายตามบรบิ ทของ กศน. มสี าระและลักษณะทีส่ าคัญ ๆ โดยสรุปตามตาราง ดังนี้ ประเดน็ การวจิ ัยอย่างง่ายตามบริบทของ กศน. 1. ใครทา 2. ทาอะไรและเพ่ือใคร ครผู ู้สอน 3. เร่มิ ที่ไหนและอย่างไร หาวิธีการหรือแนวทางแก้ปัญหาผู้เรียนบางคน หรือท้ังกลุ่ม ในเรื่องบางเร่ือง หรือเป็นการทดลองใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ แบบฝึก หรือสื่อการเรียนรู้ 4. ทาท่ีไหน นวัตกรรมใหม่ ๆ เพือ่ พฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของผูเ้ รียน ต้ังแต่สังเกตเห็นผู้เรียนบางคนมีพฤติกรรมผิดปกติ ท่ีคาดว่าจะเป็นปัญหา หรืออาจดูจากผลการเรียน ผลการสอบของผู้เรียน ทั้งนี้ ต้องวิเคราะห์ปัญหา ที่พบให้แคบทส่ี ุด หรือเป็นปญั หาแทใ้ ห้ได้ก่อนจะดาเนินการในขัน้ ต่อไป ในหรือนอกห้องเรียนซ่ึงเป็นพื้นที่หรือขอบเขตการวิจัย เช่น บ้านหรือชุมชน ของกลมุ่ ตัวอยา่ ง ค่มู ือการทาวจิ ัยอย่างง่ายของครู กศน. 14

ประเดน็ การวจิ ัยอยา่ งงา่ ยตามบริบทของ กศน. 5. การออกแบบการวิจัย ไม่จาเป็นต้องเขียนเป็นโครงร่างการวิจัย เช่นเดียวกับการวิจัยเต็มรูปแบบ หรือวิธวี ิจัย หรือโครงร่าง แต่ควรเขียนกรอบความคิดการวิจัยและกาหนดปฏิทินการวิจัยไว้เพ่ือควบคุม การวจิ ยั ระยะเวลาการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ แล้วใช้ประสบการณ์ของครูผู้สอน มากาหนดเป็นวงจรวิจัยแบบ PAOR (วางแผน ปฏิบัติการ สังเกต สะท้อนผล และกระทาซา้ ) 6. เคร่ืองมือวิจัย ใช้เครื่องมือวิจัยท่ีไม่ซับซ้อน อาจมีแบบคาถาม แบบทดสอบ หรือแบบสัมภาษณ์ รวมถึงการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน นอกจากน้ีหากครผู ู้สอนสามารถคิดค้น นวัตกรรมใหม่ เช่น แบบฝึก หรือวิธีการจัดการเรียนรู้ หรือสื่ออ่ืน ๆ ที่เน้น การแก้ปัญหาของผู้เรียน ก็สามารถดาเนินการได้ และครูผู้สอนต้องเป็นกลไก สาคัญในการคดิ และดาเนินการสร้างเคร่ืองมือวจิ ัย 7. การกาหนดวิธกี าร อ้างอิงทฤษฎี หรือมีผลการวิจัยรองรับตามความจาเป็น หรืออาจใช้วิธีการ แก้ปัญหา เชิงปรนยั อธบิ าย ตรวจสอบผลการวจิ ัยก็ได้ 8. กลุ่มเปา้ หมาย ระบุประชากร ซ่งึ หมายถงึ จานวนผ้เู รยี นทัง้ หมด และกลุ่มตัวอยา่ ง คอื ผู้เรยี น ทมี่ ีปัญหา หรือมพี ฤติกรรมที่ตอ้ งการทาวจิ ยั ไม่จาเปน็ ต้องสุม่ ตัวอย่าง 9. ระยะเวลาการวิจัย ใช้ระยะเวลาวิจัยไม่นานมากนัก และเสร็จส้นิ ในภาคเรยี นน้ัน ๆ ท้ังน้ี ขน้ึ อย่กู ับ การวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุ ว่าแต่ละปัญหาจะใช้ระยะเวลามากหรือน้อย เพียงใดจึงจะสามารถแก้ปญั หาได้ 10. การเกบ็ และวเิ คราะห์ ครูผู้วิจัยเป็นผู้เก็บข้อมูลจากการสังเกต พูดคุยกับผู้เรียน หรืออาจใช้เคร่ืองมือ ข้อมลู เช่น แบบสอบถาม แบบทดสอบ หรือแบบสัมภาษณ์ หรือนวัตกรรมใหม่ ๆ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การคานวณที่ไม่ซับซ้อนนัก ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน กเ็ พียงพอแลว้ คมู่ อื การทาวจิ ยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 15

ประเดน็ การวจิ ัยอย่างง่ายตามบริบทของ กศน. 11. การอภิปราย ครูผู้วิจัยสามารถเขียนตามกระบวนการและหัวข้อท่ีกาหนด หรืออาจมีการถก แปลความหมาย อภิปรายถึงวิธีการแก้ปัญหา และผลที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนครูผู้สอนด้วยกัน ขอ้ คน้ พบ โดยไม่ต้องอภิปรายภายใต้กรอบทฤษฎี หรือใช้ความคิดเห็นของนักวิจัย ประกอบการอภิปราย 12. ทาเมือ่ ไหร่ 13. การเขียนรายงาน ทาควบคู่ไปกบั การจัดการเรียนรู้ตามปกติ 14. จานวนเรือ่ ง/ปี เขียนรายงานแบบไม่เป็นทางการ ท่ีมีความยาวอยู่ระหว่าง 5-7 หน้า อย่างมาก ไม่เกิน 10 หน้า โดยมีองค์ประกอบของการเขียนรายงานที่สาคัญ ๆ ประมาณ 8 หัวข้อ ได้แก่ ชื่อเรื่อง ชื่อผู้วิจัย ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย วิธดี าเนินการวจิ ัย ผลการวิจัย สรุปผล อภิปรายผลและ ขอ้ เสนอแนะ บรรณานกุ รมและภาคผนวก (ถา้ มี) สามารถทาไดห้ ลาย ๆ เร่อื ง ต่อภาคเรยี น ค่มู ือการทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 16

กิจกรรมท่ี 2 อ่านคาถาม แล้วเลือกคาตอบทถี่ ูกต้องที่สดุ เพียงคาตอบเดียว (ข้อละ 1 คะแนน) 1. การวิจัยอยา่ งง่ายตามบรบิ ทของ กศน. 5. ข้อใดไม่เกี่ยวขอ้ งกบั การออกแบบการวจิ ัย เปน็ วจิ ยั ปฏิบตั ิการตามข้อใด หรือวธิ ดี าเนนิ การวจิ ยั ก. เพื่อพัฒนาสาระทักษะการเรียนรู้ ก. เครือ่ งมือวิจยั ข. เพอ่ื พฒั นาผ้สู อนให้เปน็ ครูมืออาชพี ข. กล่มุ เปา้ หมาย ค. เพ่ือประเมนิ คณุ ภาพของสถานศกึ ษา ค. ระยะเวลาการวิจยั ง. เพือ่ หาวิธีพฒั นาผ้เู รยี นอย่างเป็นระบบ ง. ประโยชนข์ องการวจิ ัย 2. ขอ้ ใดเปน็ ขน้ั ตอนแรกของกระบวนการวิจัย 6. การนาแบบฝึกท่พี ฒั นาขน้ึ ใหมไ่ ปใช้แก้ปัญหา อย่างง่าย การจดั การเรยี นรู้ เปน็ ขัน้ ตอนใดของการวิจัย ก. กาหนดปัญหา อยา่ งง่าย ข. วิเคราะห์หาสาเหตขุ องปญั หา ก. การกาหนด วิเคราะหป์ ัญหา ค. สังเกตอาการผดิ ปกติของผ้เู รียน ข. การลงมอื แก้ไขและจดบันทึกผล ง. หาวิธีแกไ้ ขที่ตรงกับสาเหตุแท้ของปัญหา ค. การสังเกตอาการผดิ ปกติของผู้เรยี น ง. การหาวิธีแกไ้ ขท่ตี รงกับสาเหตุแท้ 3. เพราะเหตุใดจงึ ต้องหาสาเหตุแท้ของปญั หา ของปญั หา ก. สงสัยว่ามีปัญหา ข. ปญั หาท่เี กิดขน้ึ มหี ลายสาเหตุ 7. ข้อใดเป็นกลมุ่ เป้าหมายในการวจิ ยั อยา่ งง่าย ค. จะนาไปกาหนดปัญหาการวจิ ยั ก. ผู้เรยี นที่ยากจน ง. เป็นกระบวนการวิจัยอย่างง่าย ข. ผูเ้ รยี นที่เปน็ หญิง ค. ผู้เรยี นทมี่ ปี ญั หาเรอ่ื งท่จี ะทาวิจยั 4. การออกแบบกจิ กรรม/กระบวนการเรยี นรู้ ง. ผเู้ รียนทไ่ี ด้มาจากการสุ่มตวั อย่าง เพ่อื ใช้ในการแกป้ ญั หาผ้เู รยี น เปน็ ข้ันตอนใด ของกระบวนการวจิ ัยอยา่ งง่าย 8. การวเิ คราะห์ข้อมลู การวจิ ัยอย่างง่าย ก. การกาหนด วเิ คราะห์ปัญหา สว่ นใหญใ่ ช้การคานวณหาค่าสถติ ิ ในขอ้ ใด ข. การลงมอื แก้ไขและจดบันทึกผล ก. รอ้ ยละ ค. การสังเกตอาการผิดปกติของผู้เรยี น ข. ค่าความเช่อื มนั่ ง. การหาวิธแี ก้ไขท่ีตรงกับสาเหตุแท้ ค. คา่ ความยากง่าย ของปญั หา ง. ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน คู่มือการทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 17

9. รายงานการวิจยั อยา่ งงา่ ยควรมจี านวนก่หี นา้ ก. 1 - 2 หนา้ ข. 3 - 4 หนา้ ค. 5 - 10 หน้า ง. ไมจ่ ากัดจานวนหนา้ 10. รายงานการวิจยั อยา่ งงา่ ยมปี ระโยชน์อยา่ งไร ก. นาไปปรับปรุง พฒั นาการจัดการเรียนรู้ ข. นาไปใชท้ ดสอบผเู้ รียน ค. นาไปบันทึกหลังสอน ง. นาไปใช้ทดลองซา้ คมู่ ือการทาวจิ ยั อยา่ งง่ายของครู กศน. 18

ตอนที่ 3 สาระสาคญั การวิจัยอย่างง่ายตามบริบทของ กศน. เป็นวิจัยขนาดเล็ก ที่มุ่งเน้นหาคาตอบจากข้อมูลท่ีเป็น ประสบการณ์จริงในการจัดการเรียนรู้ อาจมีการอ้างอิงทฤษฎีที่จาเป็น ใช้ข้อมูลทางสถิติเบื้องต้น ดาเนินการ วิจัยกับกลุ่มเป้าหมายโดยตรงคือ ผู้เรียนท่ีครูผู้สอนพบว่ามีปัญหา ซ่ึงครูผู้สอนสามารถทาวิจัยอย่างง่ายได้ หลายเร่ืองในแต่ละภาคเรียน ตามแต่ปัญหาที่พบขณะจัดการเรียนรู้ และใช้ระยะเวลาไม่นานนัก แต่ต้อง ดาเนินงานเป็นขั้นตอน โดยร่างกรอบการวิจัยหรือแผนการวิจัย หรือปฏิทินการวิจัยคร่าว ๆ ท่ียึดหลักการและ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงประกอบด้วย การสารวจและวิเคราะห์ปัญหา กาหนดวิธีการแก้ปัญหา เคร่อื งมือวจิ ัย วธิ ีดาเนินการ สรุปผลรวมไปถงึ การอภปิ รายผลและข้อเสนอแนะตา่ ง ๆ วตั ถปุ ระสงค์ เพ่อื ให้ครู กศน. 1. รแู้ ละเข้าใจกระบวนการทาวจิ ัยอย่างงา่ ย 2. ปฏิบตั ิการวิจัยอย่างง่ายตามกระบวนการและขั้นตอนได้อย่างถูกต้อง ขอบข่ายเนอื้ หา เรื่องที่ 1 การกาหนดและวิเคราะห์ปัญหา และการสร้างกรอบความคิดการวจิ ัยอย่างง่าย เรอื่ งท่ี 2 การตั้งชอ่ื เร่ือง การเขยี นวัตถุประสงค์ การกาหนดขอบเขตและการสรา้ งเครื่องมอื วิจัยอย่างงา่ ย เรือ่ งที่ 3 การลงมือปฏิบตั ิงานวจิ ยั อยา่ งง่ายและการเก็บขอ้ มลู เรอื่ งท่ี 4 การวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล เรื่องท่ี 5 การเขยี นสรุปผล การอภปิ รายผลการวจิ ยั อย่างง่ายและข้อเสนอแนะ ค่มู อื การทาวจิ ัยอย่างง่ายของครู กศน. 19

เรื่องที่ 1 การกาหนดและวิเคราะห์ปญั หา และการสรา้ งกรอบความคดิ การวจิ ยั อยา่ งง่าย การกาหนดและวเิ คราะหป์ ัญหาการวจิ ัยอย่างงา่ ย การค้นหาปัญหาเพื่อทาวิจัยอย่างง่าย อาจมีรูปแบบการวิจัยและกรอบการวิจัยที่หลากหลาย ตามสภาพปัญหาท่ีพบ เนื่องจากในกระบวนการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน มีปัจจัยและตัวแปรหลายอย่างท่ีมี ความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง เร่ิมจากการศึกษาวิเคราะห์หลักสูตร เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงการเขียน แผนการจัดการเรียนรู้จะต้องกาหนดสาระการเรียนรู้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ กาหนดกิจกรรมหรือวธิ ีการจัดการ เรียนรู้ สื่อหรือแหล่งการเรียนรู้ รวมไปถึงวิธีการวัดและประเมินผลไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่การพบปัญหาระหว่าง การจัดการเรียนรู้อาจมีสาเหตุมาจากผู้เรยี น ผู้สอน หลักสูตร แผนการจัดการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ หรอื แมแ้ ตก่ ารประเมนิ ผลอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ หรือหลายอย่างรวมกนั ก็ได้ ครูผู้สอนสามารถค้นหาปัญหาท่ีเกิดข้ึนระหว่างการจัดการเรียนรู้ได้จากหลาย ๆ วิธีการ เช่น การพิจารณาจากผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียน ข้อมูลพื้นฐานท่ัวไปของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรม ผดิ ปกติของผู้เรียนในกลุ่ม หรือจากการบันทึกหลังการสอน สิ่งเหล่านี้อาจได้แนวความคิดมาจากประสบการณ์ ของครูผู้สอนโดยตรง หรือแนวความคิดมาจากการอ่านทฤษฎี หนังสือ หรือวารสารต่าง ๆ ท่ีเก่ียวกับการวิจัย งานวจิ ยั ทางการศึกษา หรอื การวจิ ยั เชิงวิชาการ หรอื แม้แต่การแลกเปลี่ยนเรยี นรจู้ ากผอู้ น่ื หรอื เพื่อนครูดว้ ยกนั หลังจากน้ัน ครูผู้สอนก็นาแนวความคิดนั้น ๆ มาสังเกตผู้เรียนในกลุ่มของตนเอง ซ่ึงผู้เรียนอาจมี เพียงคนเดียว สองคน สามคน หรือมากกว่าน้ัน แต่ไม่ควรมากเกินคร่ึงห้อง ที่ยังไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้ เชน่ ยังขาดทกั ษะการฟัง การอ่าน การเขียน การสื่อสาร การคิดคานวณ ฯลฯ หรือไม่เข้าใจเนอ้ื หา หรอื ไม่ผ่าน จุดประสงค์การเรียนรู้ในแต่ละบทเรียนของรายวิชาต่าง ๆ ซ่ึงเป็นปัญหาด้านการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนพบบ่อย ๆ ระหว่างจัดกิจกรรมพบกลุ่ม นอกจากนี้ อาจพบปัญหาพฤติกรรมของผู้เรียนขาดความรับผิดชอบ ขาดความ ตระหนกั ฯลฯ ก็พจิ ารณาปัญหาเหล่านม้ี าทาวิจยั อยา่ งง่ายไดเ้ ชน่ กัน ลกั ษณะของปญั หาท่เี กิดขึ้นในกลุ่มผ้เู รียน กศน. นั้นมีหลากหลายดงั ไดก้ ล่าวมาแลว้ มักจะเกิดข้ึน ในลักษณะกว้าง ๆ หรือเกิดในลักษณะคลุมเครือที่มองดูเผิน ๆ อาจเกี่ยวโยงไปแทบทุกส่วน ดังน้ัน ครูผู้วิจัย ตอ้ งรู้จักวิธีที่จะลดความกวา้ งและความคลุมเครือ เพื่อให้ได้ภาพของปัญหาท่ีชัดเจนขึน้ วิธีการหนึ่งทีค่ วรจะทา คือ การเขียนรายละเอียดของความจริงเกี่ยวกับปัญหา (Facts) และการเขียนคาอธิบายเก่ียวกับสาเหตุของปัญหา (Explanations) นั้นออกมา แล้วหาความสัมพันธ์ที่เก่ียวข้อง ระหว่างความจริงและคาอธิบาย บางครั้งอาจพบว่า เป็นปัญหาท่ีมีสาเหตุจากตัวแปรอื่น ๆ ท่ีเข้าใจง่าย ไม่จาเป็นต้องทาวิจัย หรืออาจมีสาเหตุอื่น นอกเหนือ หรือไกลเกินกว่าท่ีครูผู้สอนจะควบคุมหรือเปล่ียนแปลงได้ เป็นต้น ลักษณะของปัญหาแท้ที่พบ อาจมี หลากหลายและมสี าเหตุทีห่ ลากหลายเช่นกัน ตัวอย่างตอ่ ไปน้ี แสดงวิธีการเขยี นความจริงเกย่ี วกับปัญหา และ การอธบิ ายเก่ยี วกบั สาเหตขุ องปญั หาให้เขา้ ใจไดม้ ากข้นึ คูม่ อื การทาวจิ ยั อย่างง่ายของครู กศน. 20

ตัวอย่าง ผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ของ กศน.ตาบล ข มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ต่า จากการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายในการพบกลุ่ม ซึ่งมีจานวนผู้เรียนท่ีสอบไม่ผ่าน และมีจานวนผู้เรียนท่ีสอบผ่าน แต่ได้ระดับ คะแนนนอ้ ยมาก จากตวั อยา่ งของปัญหาน้ี ครูผ้สู อนอาจตั้งข้อสงสัยว่า การจัดการเรียนรู้แบบบรรยายที่ใช้พบกลุ่ม เป็นวิธีการที่น่าจะทาให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้ดีที่สุด เพราะผู้เรียนสามารถซักถามข้อสงสัย ในจุดที่ยังไม่เข้าใจจากครูผู้สอนได้ดีกว่าวิธีการอื่น ๆ เช่น การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนทางไกล เป็นต้น เน่ืองจากมีครูผู้สอนอยู่ด้วย ดังนั้น เมื่อผู้เรียนยังมีปัญหาเช่นนี้ ครูผู้สอนจึงควรจะทาวิจัยเพ่ือหาสาเหตุและ ข้อแก้ไข เพ่ือนามาปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ให้ได้ผลดีข้ึน แต่ปัญหาคือ จะทาวิจัยเร่ืองอะไรดี และปัญหาน้ี เก่ียวขอ้ งกับกระบวนการจัดการเรียนรู้หรือไม่ ครูผู้สอนจะสามารถแก้ไขปัญหาน้ีได้เองหรอื ไม่ น่ีคือคาถามและ ปัญหาของครูผู้สอนส่วนใหญ่ ดังน้ัน วิธีการท่ีจะลดความกว้างของปัญหาและสามารถวิเคราะห์จนกระทั่ง พบสาเหตแุ ทไ้ ด้ ครูผู้สอนควรดาเนินการ ดังนี้ 1. เขียนความจริงเก่ียวกับปัญหา (Facts) จากตัวอย่างที่ให้ไว้ การเขียนความจริงเกี่ยวกับปัญหา ครูผู้สอนสามารถเขียนได้ตามความเป็นจริงต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องที่ครูผู้สอนจะนึกได้ และควรเขียนเป็นข้อ ๆ เพื่อพิจารณาไดส้ ะดวก เช่น 1) รูปแบบและวิธีการจัดการเรียนรู้ ครูผู้สอนใช้วิธีแบบไหน ก็เขียนลงไป อาจเป็นไปได้ว่า ครูผู้สอนถนัดสอนแบบบรรยาย และเคยเรียนมาด้วยวิธีการแบบนี้ แต่อาจลืมนึกถึงพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ของผู้เรียนแต่ละคน หรือรูปแบบการบรรยายอาจไม่น่าสนใจ หากเป็นเช่นน้ีปัญหาก็อยู่ท่ีตัวผู้สอนและ วธิ กี ารสอน 2) จานวนผู้เรียนท่ีคิดว่ามีปัญหาการเรียนรายวิชาน้ี ซ่ึงคาดว่า คงไม่ใช่ผู้เรียนท้ังหมดที่มี ปัญหาน้ี 3) อายุของผู้เรียนท่ีมีปัญหา อาจพบความจริงว่า ผู้เรียนที่อยู่ในวัยเด็กมีผลการเรียนดีกว่า กส็ ามารถทาวิจยั ในหัวขอ้ ความสมั พันธร์ ะหว่างอายุผู้เรียนกบั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน 4) การมีงานทาของผู้เรียน เนื่องจากผู้เรียน กศน. ส่วนใหญ่มีงานทา รวมถึงอาจมีช่วงเวลา ทางานที่ต่างกัน ดังน้ัน ผู้เรียนท่ีทางานอาจมีเวลาทบทวนบทเรียนน้อย และทาให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่า ได้เชน่ กนั 5) ตาราเล่มใดท่ีใช้สอน อาจนามาวิเคราะห์ดูว่า มีเน้ือหาที่ยากง่าย หรือมากน้อย เหมาะสม กับลกั ษณะผเู้ รียน และระยะเวลาเรยี นหรอื ไม่ คมู่ อื การทาวจิ ัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 21

6) จานวนผู้เรียนในห้องเรยี นทง้ั หมด หรอื จานวน และสถิติการมาเรียนของผเู้ รียน 7) สภาพแวดลอ้ มทางบา้ นของผู้เรยี น 8) เพศของผูเ้ รียนทม่ี ีปัญหา 9) พ้นื ฐานความร้เู ดิมทางคณติ ศาสตรข์ องผเู้ รยี น 10) ความสนใจเรียนคณติ ศาสตร์ของผเู้ รียนทม่ี ีปัญหา รวมถึงการซกั ถาม การสง่ งาน เปน็ ตน้ 11) ผลการเรียนวิชาอื่น ๆ ของผเู้ รยี นที่มปี ญั หาการเรยี นวิชาคณติ ศาสตร์ ท้ังหมดนี้ คือตัวอย่างการเขียนความจริงที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของปัญหา จะเห็นได้ว่าความจริง เหล่านี้ช่วยเปิดช่องความคิดของครูผู้สอน ให้คิดต่อไปถึงหัวข้อท่ีควรทาวิจัย นอกจากนี้ ยังทาให้ ครูผู้สอน รู้ได้คร่าว ๆ ว่า เร่ืองเหล่านั้นตนเองสามารถแก้ไขได้เองหรือไม่ หรือเง่ือนไขบางอย่างอาจมีส่วนเก่ียวข้อง หรือไม่มี ส่วนเกี่ยวขอ้ งกับปัญหานนั้ ๆ ซงึ่ จะทาให้ครูผูส้ อนมองปัญหาและสาเหตไุ ด้แคบลง 2. คาอธบิ ายเก่ียวกับสาเหตุของปัญหา (Explanations) เป็นการเขียนคาอธบิ ายเก่ียวกับส่ิงที่เห็น วา่ น่าจะเป็นสาเหตุของปัญหาลงไป จะเป็นอีกวิธีหนึ่งท่ีช่วยให้ครูผู้สอนสามารถคิดหัวข้อที่จะทาวิจัยได้แคบลง และแหลมคมยง่ิ ข้นึ จากกรณตี ัวอยา่ งทกี่ ลา่ วมาแล้ว สามารถเขียนคาอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหา ได้ดังน้ี 1) ครูผู้สอนอาจสอนเร็วเกินไป ทาให้ผู้เรียนบางคนตามไม่ทัน หรือครูผู้สอนอธิบายและ ยกตัวอยา่ งน้อยไป ทาใหผ้ เู้ รยี นที่มีพ้ืนฐานวิชาคณติ ศาสตรต์ า่ หรอื ไม่ดี ไมเ่ ขา้ ใจเนอื้ หาที่ครูสอน 2) ตารา หนังสือหรือคู่มือมีเนื้อหารวบรัดเกินไป มีคาอธิบายท่ีไม่ละเอียดเพียงพอ รวมทั้ง ยงั มีตัวอย่าง และแบบฝกึ หัดนอ้ ยเกนิ ไป 3) งานหรือแบบฝึกที่ครูผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนทาด้วยตัวเองนั้นยากเกินไป จึงทาให้ผู้เรียน มีเจตคติทไ่ี ม่ดีต่อการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ 4) ผู้เรียน กศน.ที่มีงานทา มีเวลามาเรียนไม่มากนัก การทบทวนบทเรียนและการส่งงานตามที่ ได้รับมอบหมาย จึงทาได้ไม่เต็มท่ี 5) ครูผู้สอนใช้เสียงบรรยายให้ความรู้เบาเกินไป และไม่มีสื่ออ่ืน ๆ ประกอบการบรรยาย ทาใหผ้ ้เู รยี นขาดความสนใจ 6) ครูผู้สอนขาดความสนใจผู้เรียนเป็นรายบุคคล เนื่องจากมีผู้เรียนจานวนมาก และมี ความรู้พนื้ ฐานตา่ งกัน คาอธบิ ายถึงสาเหตุต่าง ๆ ของปัญหาเหล่านี้ ไม่จาเป็นต้องอธิบายความจริงในแต่ละข้อท่ีเขยี นไว้ แต่ควรเป็นคาอธิบายโดยท่ัว ๆ ไป ซึ่งเป็นอะไรก็ได้ที่ครูผู้สอนคดิ ว่าเป็นสาเหตุของปัญหา และเม่ือเขียนไดแ้ ล้ว จึงนามาพิจารณาเป็นข้อ ๆ ตามลักษณะปัญหาแท้ท่ีเหมาะจะนามาทาวิจัยอย่างง่ายในภายหลัง หากข้อไหน ไม่ตรงประเด็น หรือไม่น่าจะเป็นสาเหตุของปัญหาก็ตัดออกไปได้ ซึ่งวิธีการเช่นนี้ จะทาให้ครูผู้สอนสามารถ กาหนดหวั ขอ้ ปัญหาทีจ่ ะนาไปสูก่ ารทาวจิ ัยได้งา่ ยข้นึ เชน่ กัน คูม่ อื การทาวิจยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 22

ลกั ษณะของปญั หาแทท้ เ่ี หมาะสาหรับการทาวิจยั อย่างงา่ ยควรพจิ ารณา ดังนี้ 1) เป็นปัญหาทีส่ ะสมและต่อเน่ืองมาอยา่ งยาวนาน 2) เป็นปัญหาของผเู้ รยี นบางคน 3) เป็นปัญหาทางการเรียน หรอื พฤติกรรมท่มี ผี ลกระทบตอ่ การเรียน 4) ปัญหานัน้ สามารถอธิบายเชิงพฤติกรรมได้ 5) ปัญหานั้นสามารถหาสาเหตุได้ 6) เป็นปัญหาที่ครผู สู้ อนสามารถแกไ้ ขเองได้ หลังจากเขียนความจริงเก่ียวกับปัญหาและคาอธิบายเก่ียวกับสาเหตุของปัญหารวมทั้งพิจารณา แล้ววา่ เป็นปัญหาและสาเหตุแท้ จึงเลอื กสัก 1 ปัญหามากาหนดหรือระบปุ ัญหาการวิจัยอย่างงา่ ยโดยมีวธิ ีการ ดงั น้ี 1) บรรยายสภาพการเรียนการสอนก่อนพบปัญหา 2) ระบวุ า่ พบปญั หาได้อยา่ งไร โดยใคร 3) เป็นปญั หาของผเู้ รยี นกีค่ น จากทงั้ หมด 4) เปน็ ปัญหาเฉพาะวชิ าน้ี หรือทุกวชิ า 5) เปน็ ปญั หาเฉพาะการใชก้ ระบวนการหรือวธิ ีการเรียนรู้แบบนี้ หรือในทกุ กระบวนการ 6) บรรยายลกั ษณะของปญั หา คู่มือการทาวิจยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 23

ตวั อยา่ ง การพิจารณาเพือ่ ระบหุ รือกาหนด ตวั อย่าง การค้นหาต้นตอของสาเหตุแท้ ปญั หาการวิจยั อยา่ งง่าย ตัวอย่างท่ี 1 ตัวอยา่ งที่ 1 1) สงั เกตการออกเสยี งไม่ถกู ตอ้ งของผูเ้ รียนทัง้ 3 คน ผู้เรียนระดับประถมศึกษา ของ กศน. ตาบล ค 2) ซกั ถามผู้เรียนแต่ละคน (ใน 3 คน) ว่าทีบ่ า้ นออกเสยี ง ออกเสยี ง คว ไม่ได้ อย่างไร 3) ลองใหอ้ า่ นคาอื่นท่มี ี คว 1) ในวชิ าภาษาไทย ระดับประถมศกึ ษา ครผู ูส้ อน 4) สงั เกตปากและกลอ่ งเสยี งตลอดจนอวยั วะอนื่ ของผ้เู รยี น ใหผ้ เู้ รียนอา่ นคาที่ควบกล้าด้วย คว พบว่า มผี เู้ รยี น ในขณะออกเสยี ง 3 คน ออกเสียง “ควาย” เป็น “ฟาย” “ความ” สรปุ สาเหตุของผูเ้ รียนแตล่ ะคน เป็น “ฟาม” และ “เควง้ คว้าง” เป็น “เฟง้ ฟา้ ง” คนท่ี 1 .......................................................................... คนท่ี 2 ........................................................................ 2) ครูผสู้ อนสังเกตการออกเสยี งของผเู้ รยี น คนที่ 3 ........................................................................ 3 คน เมอื่ ใหอ้ า่ นเดยี่ ว ตัวอย่างดังกล่าวพบว่า ผู้เรียน 2 คน มีสาเหตุมาจาก 3) เปน็ ปญั หาผเู้ รยี น 3 คน จาก 40 คน ที่บ้าน ส่วนคนท่ี 3 สาเหตุมาจากล้ินไก่ส้ัน ครูผู้วิจัยควร 4) เป็นปัญหาในทุกวชิ าที่มีคา “คว” แก้ไขท่ีผู้เรียน 2 คนแรก (เพราะแก้เองได้) ส่วนคนท่ี 3 5) การออกเสียง “คว” ของผเู้ รียน 3 คนนี้ ควรปรกึ ษาผ้ปู กครองเพ่ือใหแ้ พทยแ์ ก้ไขต่อไป ออกเสียง เปน็ “ฟ” ทกุ ครงั้ ตวั อย่างท่ี 2 ตัวอย่างที่ 2 ครูผู้สอนบันทึกเวลาท่ีผู้เรียนท้ัง 3 คนมาเรียน ผเู้ รียนระดับชนั้ มธั ยมศึกษาตอนปลาย ของ กศน. ตลอดระยะเวลารวม 2 สัปดาห์ เม่ือสิ้นชั่วโมงครูผู้สอน ตาบล ง จานวน 3 คน มาพบกล่มุ สาย ได้ซกั ถามผเู้ รียนทั้ง 3 คน ถงึ สาเหตทุ ี่มาสาย สรปุ ได้ว่า 1) ในการสอนทุกสปั ดาห์ กาหนดใหผ้ เู้ รยี นมา คนท่ี 1 บ้านไกล (ระบุสถานที่) ตรงเวลา คอื 09.00 น. คนที่ 2 ตื่นสาย (บา้ นไมไ่ กล) คนที่ 3 ตอ้ งชว่ ยพ่อแม่ทางานบ้าน 2) ผเู้ รยี น 3 คน เขา้ หอ้ งสาย คือ 10.00 น. ท้งั 3 คน 3) เปน็ ปัญหาของผ้เู รียน 3 คน จาก 40 คน 4) เปน็ ปัญหาทกุ วิชา 5) การเข้าห้องสายทุกครั้ง รบกวนการเรียน การสอน อีกทง้ั ผเู้ รียนไม่ไดแ้ สดงอาการรับรู้ ค่มู ือการทาวิจัยอย่างงา่ ยของครู กศน. 24

ตัวอย่างของปัญหาที่เกิดขึ้นข้างต้น ครูผู้สอนอาจตั้งคาถามการวิจัยอย่างง่าย ไว้ในใจก่อนท่ีจะ ลงมือวิเคราะห์ หรือเลือกปัญหาเพ่ือทาวิจัยอย่างง่าย รวมถึงการสร้างเคร่ืองมือเก็บข้อมูล เช่น จะทาอย่างไร ให้ผู้เรียนสามารถออกเสียง คว ได้ชัดเจนขึ้น หรือจะทาอย่างไรให้ผู้เรียนมาเรียนเร็วข้ึน มีวิธีใดสามารถ แก้ปัญหาผู้เรียนท่ีออกเสียง คว ได้ดีขึ้น หรือมีวิธีใดท่ีสามารถแก้ปัญหาผู้เรียนมาสาย และจะทาอย่างไร ให้ผู้เรียนหรือสมาชิกในบ้านช่วยเหลือผู้เรียนออกเสียง คว ได้ชัดข้ึน หรือจะทาอย่างไรให้ผู้เรียน หรือสมาชิก ในบ้านช่วยเหลอื ผเู้ รียนไม่ให้มาสายอยา่ งนี้ เปน็ ตน้ หลังจากที่ครูผู้สอนสามารถวิเคราะห์ปัญหา และหาสาเหตุแท้ได้แล้ว ครูผู้สอนสามารถพิจารณา เลือกเพียง 1 สาเหตุแท้ ท่ีคิดว่าจะสามารถแก้ไขได้เอง จากน้ันให้นาสาเหตุแท้นั้น ๆ ไปสังเคราะห์โดยการศึกษา หรือพิจารณาข้อมูลพื้นฐานทั่วไปของผู้เรียน หรือถามผู้เรียนเพื่อให้ได้ ต้นตอของสาเหตุแท้นั้น ๆ ท้ังน้ี ปัญหา และสาเหตทุ ่ีจะนาไปทาวจิ ยั อย่างง่ายได้ ครผู ู้สอนต้องคานึงถงึ ความสนใจของตัวเองจรงิ ๆ รวมถงึ องคป์ ระกอบ ด้านอ่ืน ๆ เช่น ความรู้ความสามารถของตนเอง ระยะเวลาและงบประมาณด้วย หากเห็นว่ามีอุปสรรค หลายประการ กไ็ ม่ควรจะเลอื กมาเป็นหวั ขอ้ การวิจัยอยา่ งง่ายเช่นกนั การสรา้ งกรอบความคิดการวจิ ัยอยา่ งง่าย กรอบความคิดการวิจยั หมายถึง กรอบของการวิจัยในด้านเน้ือหาสาระ ซ่ึงประกอบด้วยตัวแปร และการระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ในการสร้างกรอบความคิดการวิจัย ผู้วิจัยจะต้องมีกรอบพื้นฐาน ทางทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องกับปัญหาที่ศึกษาและมโนภาพ (concept) ในเร่ืองนั้น แล้วนามาประมวลเป็นกรอบ ในการกาหนดตัวแปรและรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ในลักษณะของกรอบความคิดการวิจัย และพฒั นาเปน็ แบบจาลองในการวิจยั ต่อไป (พัชรา สนิ ลอยมา, 2551 : 2) การทาวิจัยอย่างง่าย นอกจากจะสามารถกาหนดปัญหาได้แล้ว ครูผู้วิจัยจะต้องสามารถวิเคราะห์ และสังเคราะห์ความคิดหรือปัญหาน้ัน ๆ มากาหนดเป็นกรอบความคิด และตั้งเป็นสมมติฐานการวิจัย อย่างงา่ ยได้ดว้ ย ซง่ึ การวิจัยอย่างงา่ ยสว่ นใหญจ่ ะใช้แนวคดิ หรือทฤษฎีท่ไี มย่ ุง่ ยากซบั ซ้อนมากนัก บันทึกหลังการสอน นับเป็นแหล่งท่ีมาของปัญหาในการวิจัยอย่างง่าย ที่สาคัญมากแหล่งหนึ่ง เนื่องจากครูผสู้ อนจะพบเห็นปัญหาขณะจัดการเรียนรู้และบันทึกไว้ทุกคร้ัง หลังเสร็จสิน้ การสอน เช่น ครูผ้สู อน เห็นว่าผู้เรียนบางคนเรียนรู้ได้ช้า เป็นผลมาจากพื้นฐานการเรียนรู้แตกต่างกัน ครูผู้สอนเห็นได้จากการสังเกต พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนขณะเรียน สังเกตช้ินงานหรือการบ้าน (กรต.ของผู้เรียน) ว่ามีข้อบกพร่อง ในส่วนใด เช่น การเขียนสะกดคาผิดบ่อย ๆ ของผู้เรียนหลายคนในกลุ่ม การสรุปความคิดรวบยอดของเนื้อหา ในบทเรยี นไม่ตรงตามเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้รายวิชา การเรียนร้ชู ้าไมท่ ันเพ่ือน ผู้เรยี นขาดปฏิสัมพันธ์ กับครูผู้สอนและเพื่อนในกลุ่ม ฯลฯ ถ้าครูผู้สอนเลือกปัญหาได้เหมาะสมก็จะเอื้อต่อความสาเร็จของการวิจัย อย่างง่าย ดังนั้น การกาหนดปัญหาและการสร้างกรอบความคิดการวิจัย ควรบันทึกไว้ท่ีเดียวกันในบันทึก หลังสอนของครูผู้สอนเพ่ือกันลืม ในท่ีน้ีจะขอยกตัวอย่างการสรา้ งกรอบความคิดการวิจัยจากปัญหาท่ีครูผู้สอน บนั ทกึ ไวใ้ นบันทึกหลังการสอน ดังนี้ คูม่ ือการทาวจิ ัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 25

ตวั อยา่ งที่ 1 ครูผู้สอนได้บันทึกหลังการสอนพบว่า ผู้เรียนจานวนหน่ึงมักเขียนสะกดคาผิดบ่อย ๆ โดยพบปัญหานี้ จากชิ้นงานทีม่ อบหมายให้ผู้เรยี นทา หากจะทาวิจยั ในเรื่องน้ี ครูผ้วู ิจัยควรบันทึกคาถามการวิจยั ต่อจากทบี่ นั ทึก หลังการสอนว่า “ทาอย่างไรผ้เู รียนจงึ จะเขียนสะกดคาไดถ้ กู ต้อง” “มวี ธิ ีการสอนอย่างไรที่ทาใหผ้ เู้ รยี นเขยี น สะกดคาได้ถูกต้อง” จากน้ัน ครูผู้วิจัยนาคาถามการวิจัยมาสร้างกรอบความคิด โดยบันทึกข้อมูลต่อจากคาถาม การวิจัยว่า การแก้ปัญหาการเขียนสะกดคาผิดของผู้เรียนต้องแก้ด้วยการสอนเสริม และการสอนเสริมน้ัน ควรมีวิธีการอย่างไร มีหลักการสอน (ทฤษฎีการสอน) อะไรบ้างเข้ามาเก่ียวข้อง จากปัญหาน้ี มีวิธีการสอน แบบใดบ้างท่ีเหมาะสมกับผู้เรียน เช่น การสอนแบบอภิปราย การสอนแบบบรรยาย การสอนแบบติวเตอร์ การสอนแบบปฏิบัติการ เป็นต้น ครูผู้วิจัยต้องศึกษารูปแบบการสอนแบบต่าง ๆ และเลือกรูปแบบการสอน ท่ีเหมาะสมกบั ปัญหาของผู้เรียน จากน้ันจึงกาหนดนวัตกรรม (สื่อการสอน) ที่จะนามาบรรจุคาต่าง ๆ ท่ีผู้เรียน มักเขยี นสะกดคาผิด แล้วย้อนกลับไปศึกษาหลกั การสอนภาษาไทย วา่ การสอนภาษาไทยมีวธิ กี ารสอนอย่างไร จากตัวอย่างท่ี 1 ครผู ู้วจิ ัยไดเ้ รยี นรกู้ ารกาหนดปัญหา และต้ังคาถามเพื่อหาทางแก้ปญั หาแล้ว จงึ ศกึ ษาแนวคดิ /ทฤษฎี เพิ่มเตมิ สรปุ ได้ ดงั น้ี 1. การกาหนดปญั หาการวจิ ัย ปัญหา คือ ผูเ้ รยี นเขียนสะกดคาผิด 2. แนวคิด/ทฤษฎี ทจี่ ะใชส้ ร้างกรอบความคดิ การวิจยั อย่างงา่ ย ได้แก่ 2.1 แนวคิดเกีย่ วกับการสอนเสรมิ แบบปฏิบตั ิการ 2.2 ใชท้ ฤษฎีการเรยี นรู้แบบตอ่ เนื่องของธอร์นไดค์ 2.3 แนวคดิ เกี่ยวกบั การสร้างแบบเรียนหรือแบบฝกึ หัดเสรมิ ทักษะ คมู่ ือการทาวิจยั อยา่ งงา่ ยของครู กศน. 26

การสร้างกรอบความคิดการวิจัยอย่างง่าย เป็นการรวบรวมแนวคิดและทฤษฎีท่ีจะใช้ในการวิจัย อย่างง่ายของครูผู้วิจัยโดยไม่รู้ตัว การเขียนกรอบความคิดการวิจัย โดยนาข้อ 2.1, 2.2 และ 2.3 มาเรียงร้อย ถ้อยคาใหเ้ ปน็ เรื่องราว ดังนี้ ตัวอย่าง ปัญหาผเู้ รียนเขียนสะกดคาผิด กรอบความคิดการวจิ ัย จากปัญหาของผู้เรียนท่ีมักจะเขียนสะกดคาผิด (ยกตัวอย่างคาที่เขียนสะกด คาผิดพอสังเขป) ครูผู้วิจัยได้ใช้แนวคิดและทฤษฎี เพื่อนามาเป็นแนวทางการแก้ปัญหา การเขียนสะกดคาของผู้เรียน โดยใช้การสอนเสริม และใช้แบบฝึกหัดเสริมทักษะ การเขียนภาษาไทย ท่ีผู้เรียนทากิจกรรมการเรียนรู้ภายใต้การแนะนาช่วยเหลือ จากครูผู้วิจัยอย่างใกล้ชิด โดยการทดลองปฏิบัติ ฝึกการใช้ทฤษฎี ผ่านการสังเกต การฝึกปฏิบัติภายใต้สภาพการควบคุมท่ีวางไว้ ใช้กฎแห่งการฝึกหัดของธอร์นไดค์ ทก่ี ระทาบอ่ ย ๆ ด้วยความเข้าใจ จะทาให้การเรยี นร้นู ั้นคงทนถาวร ถา้ ไม่กระทาซ้า บ่อย ๆ การเรียนรู้น้ันจะไม่คงทนถาวรและในที่สุดอาจลืมได้ กฎแห่งการฝึกหัด ถูกใช้เป็นพันธะ หรือตัวเชื่อมส่ิงเร้า คือ แบบฝึกหัดเสริมทักษะและครูผู้วิจัย จะตอบสนองที่เข้มแข็งขึ้นเมื่อได้ทาบ่อย ๆ การสร้างแบบฝึกหัดเสริมทักษะ การเขียนสะกดคาภาษาไทย ประกอบกับการควบคุมกระบวนการจัดการเรียนรู้ ของครูผู้วิจัยจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน คือ สามารถเขียน สะกดคาได้ถูกต้อง คมู่ ือการทาวิจัยอยา่ งง่ายของครู กศน. 27

ตัวอย่างท่ี 2 ครูผู้สอนบันทึกหลังสอนไว้ว่า ผู้เรียนไม่สามารถสรุปความคิดรวบยอดของบทเรียน ให้ตรงกับเน้ือหา และจุดประสงค์ของการเรียนรู้รายวิชา ครูผู้สอนพบปัญหาน้ีจากการตั้งประเด็นคาถาม เพื่อทบทวนความรู้ ให้ผู้เรียนตอบทุกครั้ง ก่อนส้ินสุดการสอน แต่ผู้เรียนไม่สามารถสรุปความคิด เร่ืองราวที่เรียนผ่านมาได้ อันดับแรก ครูผู้วิจัยต้องตั้งคาถามการวิจัยว่า “เหตุใดผู้เรียนจึงไม่สามารถสรุปประเด็นการเรียนรู้ได้” “การสอนท่ีทาให้ ผู้เรียนสามารถสรุปประเด็นเน้ือหาการเรียนรู้ควรเป็นอย่างไร” โดยบันทึกปัญหาที่ผู้เรียนไม่สามารถ สรุปประเด็นการเรียนรใู้ นบทเรยี นลงในบันทึกหลงั สอน จากนั้นจึงสร้างกรอบความคิด เพื่อทาวิจัยอย่างง่าย โดยบันทึกลงในแบบบันทึกหลังสอนที่เดียวกันเพื่อกันลืมว่า การแก้ปัญหาการสรุปประเด็นการเรียนรู้ ของผู้เรียนต้องแก้ไขด้วยการใช้กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนั้น ควรมีวิธีการอย่างไร มีหลักการสอน (ทฤษฎีการสอน) อะไรบ้างเข้ามาเก่ียวข้อง จากปัญหานี้ ผู้เรียนมีความเหมาะสมกับวิธีการสอนแบบใด เช่น การสอนแบบอภิปราย การสอนแบบบรรยาย การสอนแบบติวเตอร์ การสอนแบบปฏิบัติการ การสอนท่ีเน้น ผู้เรียนเป็นสาคัญ เป็นต้น ครูผู้วิจัยต้องศึกษารูปแบบการสอนแบบต่าง ๆ และเลือกรูปแบบการสอน ที่เหมาะสมกับปัญหาของผู้เรียน จากนั้นจึงกาหนดนวัตกรรม กระบวนการเรียนรู้ (แบบมีส่วนร่วม/ แบบอภิปราย) ควรมีกี่ข้ันตอน กาหนดส่ือการสอน (ถ้ามี) ท่ีจะนามาใช้จัดกระบวนการเรียนรู้ หากครูผู้วิจัย เลือกวธิ ีการสอนแบบอภิปราย ครูผู้วิจัยตอ้ งย้อนกลับไปศึกษาวิธีการสอนแบบอภิปราย ว่ามีข้ันตอนการสอน อย่างไร มีกี่ข้ันตอน มีการกาหนดประเด็นคาถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างไรท่ีสามารถ ทาให้ผู้เรียนสรุปประเดน็ เน้อื หาการเรียนไดค้ รบถ้วน จากตัวอย่างท่ี 2 ครูผู้วิจัยได้เรียนรู้การกาหนดปัญหา และตั้งคาถามเพ่ือหาทางแก้ปัญหาแล้ว จงึ ศึกษาแนวคิด/ทฤษฎี เพ่มิ เตมิ สรปุ ได้ ดังน้ี 1. กาหนดปญั หาการวจิ ัย ปัญหา คือ ผเู้ รยี นไมส่ ามารถสรุปความคิดรวบยอดของบทเรียน ให้ตรงกับเนื้อหาและจุดประสงคข์ องการเรยี นรูร้ ายวชิ า xyP 2. แนวคิด/ทฤษฎี ทจ่ี ะใชส้ ร้างกรอบความคดิ การวิจัยอยา่ งง่าย ได้แก่ 2.1 แนวคิดเก่ียวกับการเรยี นรูแ้ บบมสี ว่ นรว่ ม 2.2 แนวคดิ เกย่ี วกับการสอนที่เนน้ ผ้เู รยี นเป็นสาคญั 2.3 การสอนแบบอภปิ ราย คู่มอื การทาวิจัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 28

การสร้างกรอบความคิดการวิจัยอย่างง่าย เป็นการรวบรวมแนวคิดและทฤษฎีที่จะใช้ในการวิจัย อย่างง่ายของครูผู้วิจัยโดยไม่รู้ตัว การเขียนกรอบความคิดการวิจัย โดยนาข้อ 2.1, 2.2 และ 2.3 มาเรียงร้อย ถ้อยคาให้เป็นเรอื่ งราว ดงั นี้ ตัวอย่าง ผู้เรียนไม่สามารถสรปุ ความคิดรวบยอดของบทเรยี นใหต้ รงกับ เนือ้ หาและจดุ ประสงค์ของการเรียนร้รู ายวชิ า กรอบความคิดการวจิ ัย จากปัญหาท่ีผู้เรียนไม่สามารถ สรุปความคิดรวบยอดของบทเรียนให้ตรงกับ เน้ือหาและจุดประสงค์ของการเรียนรู้รายวิชาได้ ครูผู้วิจัยใช้แนวคิดให้ผู้เรียน มีส่วนร่วมจัดกระบวนการเรียนรู้ รูปแบบการสอนแบบอภิปราย ซ่ึงผู้เรียน มีโอกาสแสดงความคิดเห็นในประเด็นท่ีครูผู้วิจัยต้ังข้ึนตามเน้ือหาท่ีเรียน เป็นการปฏิสัมพันธ์ 2 ทาง ระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียนและผู้เรียนกับผู้เรียน การอภิปรายแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระ ตามความเข้าใจของผู้เรียน การจัดกระบวนการแบบน้ี เน้นให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ สร้างความสัมพันธ์กันในห้องเรียน ก่อให้เกิดการช่วยเหลือการเรียนระหว่าง ผู้เรียนด้วยกัน สามารถสร้างข้อสรุป ความคิดรวบยอดของเน้ือหาการเรียน ใหผ้ ูเ้ รยี นได้ และเข้าใจโครงสรา้ งของเน้อื หาการเรียนรูใ้ นแตล่ ะวชิ าได้ คู่มือการทาวจิ ยั อยา่ งง่ายของครู กศน. 29

เร่อื งที่ 2 การต้ังช่ือเรอ่ื ง การเขียนวตั ถุประสงค์ การกาหนดขอบเขตและการสรา้ งเคร่อื งมอื วิจยั อย่างงา่ ย การตัง้ ชอื่ เรื่องวจิ ัยอย่างงา่ ย การต้ังช่ือเร่ืองวิจัย หรือการกาหนดหัวข้อการวิจัย ต้องตรงกับปัญหาท่ีศึกษา ชื่อเร่ือง ต้องส่ือความหมายได้ดี มีความเฉพาะเจาะจง ใช้ภาษาที่กะทัดรัด มีความชัดเจน จึงควรมีส่ิงสาคัญระบุไว้ ในชือ่ เร่ือง 3 ประการด้วยกัน คือ ศึกษาอะไร ศึกษากบั ใคร ศกึ ษาอยา่ งไร เชน่ ศกึ ษาอะไร : ทกั ษะการเขียนสะกดคา ศกึ ษากับใคร : นักศกึ ษาระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น ศนู ย์การเรียนชมุ ชนตาบล... ศกึ ษาอย่างไร (ด้วยวธิ ีการหรือนวัตกรรมอะไร) : แบบฝกึ หดั เสรมิ ทกั ษะ รปู แบบการเรียนรู้ ต่อเนื่องของธอรน์ ไดค์ ช่ือเร่ือง การพฒั นาทกั ษะการเขียนสะกดคาของนักศึกษา ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น ศูนยก์ ารเรยี นชุมชนตาบล...โดยใชแ้ บบฝึกหดั เสริมทักษะ หรือ การใชแ้ บบฝกึ หัดเสริมทกั ษะการเขียนสะกดคาของนกั ศกึ ษา ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น ศูนย์การเรียนชุมชนตาบล... โดยใช้รูปแบบการเรยี นร้ตู ่อเน่ืองของธอร์นไดค์ ศกึ ษาอะไร : ความสามารถในการสรุปความคิดรวบยอด ศึกษากบั ใคร : นกั ศึกษาระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น ศูนย์การเรยี นชุมชนตาบล... ศกึ ษาอย่างไร (ด้วยวิธีการหรือนวัตกรรมอะไร) : กระบวนการเรียนรู้แบบอภปิ ราย ชอ่ื เร่อื ง การใชก้ ระบวนการเรยี นรู้แบบอภิปรายในการสรปุ ความคิดรวบยอด ของนักศึกษาระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ ศนู ย์การเรียนชมุ ชนตาบล... หรือ ผลการใชก้ ระบวนการเรียนรู้แบบอภิปรายที่มตี อ่ ความสามารถในการสรุปความคิดรวบยอด ของนักศึกษาระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น ศูนย์การเรยี นชุมชนตาบล... คู่มือการทาวจิ ยั อย่างง่ายของครู กศน. 30

การเขยี นวัตถปุ ระสงค์การวิจัยอยา่ งงา่ ย วัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายของการวิจัย เป็นส่วนท่ีบอกให้รู้ว่าผู้วิจัยต้องการศึกษาอะไร อาจเขียนโดยไม่แยกเป็นรายข้อหรือแยกเป็นรายข้อก็ได้ แต่การกาหนดวัตถุประสงค์ควรกาหนดให้สอดคล้อง กับปญั หา คาถามการวิจยั และช่อื เรอ่ื งหรอื หวั ข้อวจิ ยั เช่น ช่ือเรอ่ื งวิจยั วตั ถุประสงค์ การพฒั นาทักษะการเขยี นสะกดคาของนักศึกษา เพื่อพฒั นาทักษะการเขียนสะกดคาของนักศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ศนู ยก์ ารเรียนชุมชน ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ ศูนยก์ ารเรียนชมุ ชน ตาบล...โดยใชแ้ บบฝกึ หัดเสรมิ ทักษะ ตาบล... ผลการใช้กระบวนการเรียนรู้แบบอภิปราย เพ่ือศึกษาการใช้รูปแบบการสอนแบบอภิปราย ท่มี ีต่อความสามารถในการสรุปความคิดรวบยอด ท่ี ส่ งผ ล ต่ อ ก ารส รุป ค ว าม คิ ด รว บ ย อ ด ของนั กศึ กษาระดั บมั ธยมศึ กษาตอนต้ น ข อ ง นั ก ศึ ก ษ า ร ะ ดั บ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ต อ น ต้ น ศูนยก์ ารเรียนชมุ ชนตาบล... ศนู ยก์ ารเรียนชมุ ชนตาบล... การศึกษาวิจัยต้องศึกษาให้ครบตามวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายของการวิจัยท่ีผู้วิจัยกาหนด เช่น ครูผู้วิจัยกาหนดวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายท่ีศึกษาไว้ 2 หรือ 3 ข้อ ก็ต้องศึกษาเพื่อตอบวัตถุประสงค์ ใหค้ รบถ้วนทุกขอ้ (การวจิ ยั อย่างงา่ ยควรศึกษาเพยี งข้อเดยี ว) การกาหนดขอบเขตการวจิ ยั อย่างง่าย การวิจัยทุกเรื่องมีขอบเขตการศึกษา การระบุขอบเขตการวิจัยจะช่วยให้เข้าใจงานวิจัยน้ันชัดเจนขึ้น การระบุขอบเขตการวิจัยมักพิจารณาในด้านพื้นที่ ประชากร กลุ่มตัวอย่าง และตัวแปรหรือประเด็นท่ีศึกษา แตใ่ นกรณกี ารวิจยั อย่างง่าย กลมุ่ เปา้ หมาย คือ กลมุ่ ผเู้ รียนท่มี ีปญั หา 1. ขอบเขตการวิจัย โดยปกติแล้ว หมายถึง พื้นท่ีท่ีจะดาเนินการวิจัย ซึ่งก็คือพื้นที่ในหรือนอก ห้องเรียน ตามแหล่งข้อมูล ในกรณีที่ต้องมีการสังเกตหรือสัมภาษณ์ผู้ปกครอง พื้นท่ีการวิจัย อาจต้องขยายไป ทบ่ี ้านหรอื ชมุ ชน ส่งิ แวดลอ้ มของผู้เรียนด้วย โดยมวี ตั ถุประสงค์หลัก คือ เพ่อื แก้ปัญหาหรือพัฒนาผเู้ รยี น 2. กล่มุ เปา้ หมาย (ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง) 1) ในการวิจัยแบบเป็นทางการ ประชากร หมายถึง กลุ่มเป้าหมายกลุ่มหน่ึง หรือหลายกลุ่ม ท่ีจะเป็นแหล่งข้อมูลท่คี รูผู้วิจัยต้องนามาศึกษา เพื่อให้ได้คาตอบที่ตอบปัญหาการวิจัยได้ ดังนั้น การวิจัยอยา่ งง่าย ประชากร ก็จะหมายถึง กลุ่มผู้เรยี นที่มีปัญหาหรือมีความผิดปกติท้ังหมด ท่ีครูผู้วิจัยต้องการศึกษานั่นเอง เช่น จานวนนักศกึ ษาที่ตอ้ งลงเรยี นวิชาภาษาอังกฤษ ทงั้ หมด 40 คน หรอื นกั ศึกษาท่ีลงทะเบียนเรยี นในภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2558 ของ กศน. ตาบลแหง่ หนึ่ง จานวน 60 คน ค่มู อื การทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 31

2) กลุ่มตัวอย่าง หมายถึง ตัวแทนซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของประชากร ที่ครูผู้วิจัยเลือกมา การกาหนดประชากร หรือกลุ่มตัวอย่าง เพื่อเป็นหน่วยวิเคราะห์ท่ีดีน้ัน จะต้องดาเนินการให้ถูกต้องตาม หลักสถติ ิ เพื่อให้ไดก้ ลุ่มตัวอย่างที่เปน็ ตวั แทนของประชากรอยา่ งแทจ้ ริง และมีจานวนเพยี งพอทจ่ี ะเป็นตัวแทน ของประชากรในการทาวิจัยได้ แต่การทาวิจัยอย่างง่าย ไม่จาเป็นต้องระบุกลุ่มตัวอย่าง เน่ืองจากใช้จานวน ประชากรท่ีมีปัญหาเตม็ จานวน เชน่ ผเู้ รียนท่ีเขยี นคาสะกดผิด จานวน 20 คน หรือประชากรท้ังหมดที่มีปัญหา เหมอื นกัน จะใช้เป็นกลุม่ ตวั อย่างท้งั หมดก็ได้ เนื่องจากเป็นกลมุ่ ไมใ่ หญ่มากนกั 3. ตัวแปรที่ศึกษา การทาวิจัยอย่างง่ายไม่จาเป็นต้องมีตัวแปร ทั้งตัวแปรต้นหรือตัวแปรหลัก และตัวแปรอิสระหรือตัวแปรตาม ซึ่งตัวแปรทั้งสองประเภทน้ีจาเป็นต่อการวิจัยแบบเป็นทางการ ตัวแปร จะได้มาจากการวิเคราะห์ปัญหาการวิจัย ซ่ึงตัวแปรต้นจะนาไปสู่แหล่งข้อมูล และตัวแปรตามจะนาไปสู่ การสร้างเคร่ืองมือเก็บรวบรวมข้อมูล หากเป็นการวิจัยอย่างง่ายท่ีต้องการเปรียบเทียบประสิทธิภาพ ของส่ิงใดสิ่งหนึ่ง ให้มีค่าความเช่ือม่ันสูง เช่น ประสิทธิภาพของส่ือการสอน แบบฝึก วิธีจัดการเรียนรู้ อาจมี ความจาเป็นตอ้ งกาหนดกลมุ่ ประชากรทีเ่ ปน็ กลมุ่ ทดลอง รวมถึงตัวแปรควบคมุ ด้วย ในขั้นตอนการลงมือทาวิจัยโดยท่ัวไป เป็นข้ันตอนการปฏิบัติให้ได้วิธีวิจัย ได้แก่ ตัวแปร และ ขอบเขตการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง รวมไปถึงเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ที่อาจหมายถึง เคร่ืองมือเก็บ ข้อมูล เช่น แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ รวมไปถึงนวัตกรรมต่าง ๆ ท่ีอยู่ในรูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้ วิธีจัด การเรียนรู้ แบบฝกึ หรอื ส่อื ต่าง ๆ เปน็ ต้น ซึ่งบางอยา่ งก็ไมจ่ าเป็นต้องกาหนดข้นึ มาเพื่อการวิจยั อยา่ งง่าย การสรา้ งเครื่องมือวิจัยอยา่ งงา่ ย การดาเนินงานวิจัย เครื่องมือวิจัย เป็นส่ิงสาคัญที่ใช้เก็บรวบรวม ข้อมูล ส่ิงท่ีต้องการศึกษา เพ่ือนามาวิเคราะห์ หาคาตอบตามวัตถุประสงค์ การวิจัย เคร่ืองมือวิจัยมีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นเคร่ืองมือการวิจัยแบบใด ล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ต้องการข้อมูลที่ตรงตามข้อเท็จจริง เพื่อทาให้ ผลงานวิจัยเชื่อถือได้ และเกิดประโยชน์มากที่สุด เครื่องมือที่ใช้ทาวิจัย อย่างง่าย จาแนกออกเป็น 2 ชนิด คือ เคร่ืองมือสาหรับการวิจัยอย่างง่าย และเครือ่ งมอื เกบ็ รวบรวมข้อมูล 1. เครื่องมือวิจัยอย่างง่าย เป็นอุปกรณ์หรือส่ิงท่ีนาไปใช้ดาเนินการ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน ซ่ึงต้องมีวิธีการสร้างหรือจัดทาอย่างถูกต้อง และต้องหาประสิทธิภาพ ของเครอ่ื งมือ โดยท่ัวไปแล้วตวั ผวู้ ิจยั หรอื ครูผวู้ ิจยั จะตอ้ งเปน็ ผู้ออกแบบและพฒั นาเคร่อื งมอื นี้ขน้ึ มาเอง ค่มู ือการทาวิจยั อย่างง่ายของครู กศน. 32

นวัตกรรม ถือเป็นส่วนหน่ึงของเคร่ืองมอื วจิ ัย ซึ่งโดยทวั่ ไป หมายถงึ กระบวนการ หรือวิธีการ ใหม่ ๆ เพลง เกม รวมไปถึงเทคนิคการจัดการเรียนรู้ การทาเวทีชาวบ้าน สื่อ แบบฝึก ใบงาน อุปกรณ์ การเรียนรู้ต่าง ๆ หรืองานปฏิบัติชุดใด ๆ ที่สร้างข้ึนมาเพ่ือเป็นส่ิงเร้า หรือชักนาให้กลุ่มตัวอย่างตอบสนอง ออกมา ท้ังนี้ เพือ่ การแก้ปญั หาหรือพฒั นาผู้เรียน 2. เคร่ืองมือเก็บข้อมูล เป็นเครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูล ท่ีผู้วิจัยต้องใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ทั้งการดู การฟัง หรือประสาทสัมผัสอื่น ๆ ขณะเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งเป็นผลจากการใช้เครื่องมือวิจัย หรือ การไดข้ ้อมูลจากตวั แปรต้น เครือ่ งมือเกบ็ ข้อมูลทน่ี ยิ มใชก้ นั มากแบ่งเปน็ ประเภทต่าง ๆ ดงั นี้ 1) แบบทดสอบ (Testing Items Form) มักเรียกกันว่า “ข้อสอบ” เป็นเคร่ืองมือที่ใช้วัด ความรู้ทางสติปัญญา หรือการวัดที่ระบุผลการวัดว่าถูกหรือผิด ใช่หรือไม่ใช่ สามารถให้เป็นคะแนนได้ เช่น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ แบบทดสอบวัดความถนัด ข้อสอบแบบอัตนัย ข้อสอบแบบปรนัย ซ่ึงการเลือกใช้ แบบทดสอบแบบใด ต้องเลือกใหเ้ หมาะสมกับลกั ษณะการวดั ข้อมูลน้ัน 2) แบบสอบถาม (Questionnaires) เป็นเครื่องมือวิจัยที่นิยมนามาใช้รวบรวมข้อมลู งานวจิ ัย เชิงปริมาณ มีลักษณะคล้ายแบบทดสอบ แต่จะใช้ตรวจสอบความคิด ความเห็น ข้อเท็จจริง ไม่มีคาตอบใดถูก หรือผิด มักจะวัดโดยการประมาณค่า หรือให้คะแนนเป็นระดับ ตั้งแต่ 2 ระดับขึ้นไป แบบสอบถามมี 2 แบบ ใหญ่ ๆ คอื แบบสอบถามปลายปดิ และแบบสอบถามปลายเปดิ การสรา้ งแบบสอบถามที่ดี ควรมขี นั้ ตอน ดังน้ี (1) ศึกษาค้นคว้าข้อมูลทเี่ ก่ียวข้องกับเร่ืองท่ีจะวิจัย และประชากร กลุ่มตัวอย่างท่ีศกึ ษา แลว้ ยกร่าง (สรา้ ง) แบบสอบถาม (2) นาไปใหผ้ ู้มีความรู้ชว่ ยตรวจสอบ และใหข้ ้อเสนอแนะ (3) ปรบั ปรุงแกไ้ ขตามขอ้ เสนอแนะ (4) นาไปทดลองใช้ก่อน เพ่ือความเชื่อมั่นว่ากลุ่มตัวอย่าง (กลุ่มเล็ก ๆ ไม่ต้องทุกคน) เขา้ ใจคาถามและวธิ กี ารตอบคาถาม แล้วนาผลการทดลองมาปรับปรงุ แกไ้ ขอีกคร้งั หนงึ่ กอ่ นนาไปใช้จรงิ (5) นาไปเก็บรวบรวมข้อมลู กบั กลุ่มตวั อย่างทั้งหมด 3) แบบสัมภาษณ์ (Interview Form) เป็นเคร่ืองมือวิจัยท่ีใช้เก็บรวบรวมข้อมูลการสนทนา ในลกั ษณะเผชิญหน้ากันระหวา่ งผู้สัมภาษณ์ (ผูถ้ าม) และผ้ถู ูกสัมภาษณ์ (ผู้ตอบ, ผู้ให้ขอ้ มูล) นิยมใช้กบั การวิจัย เชิงคุณภาพ แบบสัมภาษณ์ มี 2 ชนิด คือ แบบสัมภาษณ์ชนิดไม่มีโครงสร้าง คือ ผู้สัมภาษณ์จัดทา แนวคาถามปลายเปิด เป็นคาถามกว้าง ๆ เป็นแนวทางการสนทนา สามารถปรับเปลี่ยนได้ เพื่อให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ และแบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง ที่ผู้สัมภาษณ์กาหนดประเด็นคาถาม หรือ รายการคาถามที่เรียงลาดับไว้ และจัดทาเป็นแบบฟอร์ม พิมพ์ไว้ล่วงหน้าเพ่ือใช้ประกอบการซักถาม ผ้ถู ูกสมั ภาษณท์ กุ ๆ คนด้วยคาถามชุดเดยี วกัน คู่มอื การทาวจิ ยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 33

ตัวอย่างการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง เช่น ครูผู้วิจัยสัมภาษณ์ผู้เรียนเกี่ยวกับปัญหา การจดั การเรยี นรู้ ครผู ูว้ จิ ยั จะตงั้ คาถามอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ผเู้ รยี นแสดงความคิดเหน็ ต่อเร่อื งทีค่ รูผวู้ ิจัยอยากรู้ 4) แบบสังเกต (Observation Form) เป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลที่ใช้ได้กับงานวิจัย ทุกประเภท โดยเฉพาะงานวิจัยเชิงคุณภาพ งานวิจัยเชิงทดลอง เป็นการเก็บข้อมูลโดยผู้เก็บข้อมูลเฝ้าดูพฤติกรรม หรือเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น ซ่ึงผู้สังเกตอาจมีส่วนร่วมหรือไม่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ก็ได้ แบบสังเกตแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ แบบสังเกตที่มีโครงสร้างการสังเกต เป็นแบบที่กาหนดไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะสังเกตอะไร สังเกต อยา่ งไร เมือ่ ใดและจะบันทกึ ผลการสังเกตอย่างไร กับแบบสงั เกตท่ีไมม่ ีโครงสรา้ งการสงั เกต ซงึ่ เป็นแบบทไี่ มไ่ ด้ กาหนดเหตุการณ์ พฤติกรรม หรือสถานการณ์ที่จะสังเกตไวช้ ัดเจน เป็นการสังเกตไปเรื่อย ๆ พบอะไรก็บันทึกไว้ ซึ่งแบบสังเกตแบบน้ีจะได้ข้อมูลท่ีละเอียดมากกว่า แต่ผู้สังเกตต้องมีประสบการณ์สูง อาจส้ินเปลืองค่าใช้จ่าย และใชเ้ วลานาน นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือเก็บข้อมูลท่ีผู้วิจัยใช้บันทึกช่วยจาระหว่างการทางานอีกหลายแบบ เช่น บันทึกภาคสนาม บันทึกข้อมูลการทาเวทีชาวบ้าน บันทึกการสัมภาษณ์ เป็นต้น การเลือกใช้เครื่องมือ แบบใดกต็ าม ควรพิจารณาจากลกั ษณะของขอ้ มลู ท่ตี อ้ งการนามาวเิ คราะห์ เพ่ือใชต้ อบคาถามการวิจัยไดด้ ที สี่ ดุ คู่มอื การทาวจิ ยั อยา่ งง่ายของครู กศน. 34

เรอื่ งที่ 3 การลงมือปฏบิ ตั งิ านวจิ ยั อยา่ งง่ายและการเก็บข้อมลู การลงมือปฏบิ ัตงิ านวิจัยอยา่ งง่าย ขั้นตอนการปฏิบัติงานวิจัย หรือเรียกให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า ข้ันตอนการลงมือวิจัย หรือการลงมือ ทาจริง เป็นข้ันตอนท่ไี ม่ยุ่งยากและซบั ซอ้ นมากนัก เนื่องจากทุกอย่างได้เตรียมไวเ้ รียบรอ้ ยแลว้ ในกระบวนการ ทาวิจัยอย่างง่ายเรื่องท่ี 2 ก่อนหน้านี้ และเนื่องจากการวิจัยอย่างง่าย มีเป้าหมายสาคัญ อยู่ที่การพัฒนา การจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน ดังนั้น ลักษณะการวิจัยจึงเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ หรือการวิจัยเชิงทดลอง คอื การวิจยั ควบคไู่ ปกับการปฏิบัติงานจริง หรอื การทดลองในระหวา่ งการจดั การเรียนรู้จริง โดยมีครูผู้สอนเป็น ทั้งผู้ผลิตงานวิจัยและบริโภคงานวิจัย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ในวงจรของการวิจัย คือ ครูผู้สอนเป็นนักวิจัย ในช้ันเรียน จะต้ังคาถามที่มีความหมายในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ แล้วจะวางแผนการปฏิบัติงานวิจัย ก่อนท่ีจะดาเนินการจัดการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับการเก็บข้อมูลตามระบบท่ีวางแผนการวิจัยไว้ จากน้ันจึงนา ข้อมูลทไี่ ด้ มาวิเคราะห์ สรปุ ผล และนาผลการวิจัยไปใช้พัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มคี ณุ ภาพยิง่ ๆ ขึ้นตอ่ ไป โดยปกติ การทาวิจัยแบบเป็นทางการเต็มรูปแบบ (Formal Research) ไม่ว่าจะเป็นการวิจัย ทางการศึกษา การวิจัยเชิงวิชาการ หรือการวิจัยประเภทใดก็ตาม จะต้องวางแผนการวิจัยพร้อมท้ังทาปฏิทิน ปฏิบัติงาน ซ่ึงจะระบุวิธีการเก็บข้อมูล กิจกรรม เครื่องมือวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง รวมถึง การกาหนดหรือควบคุมตวั แปรต่าง ๆ ไว้อยา่ งครอบคลมุ แล้ว สถาบนั พัฒนาการศึกษานอกระบบและการศกึ ษา ตามอธั ยาศัยภาคเหนอื (2552 : 26) สรปุ ขน้ั ตอนการทาวิจัยอย่างง่ายไว้ 2 ระยะใหญ่ ๆ คือ 1. ข้ันตอนการคดิ ประกอบด้วย 1) คดิ วัตถุประสงคท์ ต่ี ้องการ 2) เลือกวิธีวเิ คราะห์ทีเ่ หมาะสมมาใช้หาคาตอบตามวัตถุประสงคท์ ่ตี ้องการ 3) กาหนดข้อมลู ทีจ่ าเป็นตอ้ งนามาใช้วิเคราะห์ตามวิธที ่เี ลือกไว้ 2. ข้ันตอนการลงมือทาจริง ประกอบดว้ ย 1) เก็บรวบรวมข้อมลู ทีจ่ าเป็นตอ้ งนามาใช้วเิ คราะห์ 2) นาขอ้ มูลท่ีเก็บรวบรวมได้มาวิเคราะห์ดว้ ยวธิ ีวิเคราะห์ท่ีเลือกไว้ 3) ไดค้ าตอบตามวตั ถุประสงค์ท่ตี ้องการ คู่มือการทาวิจยั อย่างงา่ ยของครู กศน. 35

บางตารานักวิจัยหลายท่าน ได้เรียกข้ันตอนการทาวิจัยแบบนี้ ว่าขั้นเตรียมและข้ันดาเนินการ ซ่ึงการปฏิบัติงานวิจัยอย่างง่ายในคู่มือเล่มนี้ ได้กาหนดกรอบของการวิจัยไว้ชัดเจนแล้ว ว่าเป็นเร่ือง ของครูผู้สอน คือ กระบวนการจัดการเรียนรู้ และผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนเท่านั้น ซ่ึงสามารถแสดงได้ตามแผนผัง ความสัมพันธ์ ดังน้ี ครผู ูส้ อน รูปแบบ/วิธีการ ผเู้ รียน ผลสัมฤทธิ์ จัดการเรียนรู้ จากกรอบความสัมพันธข์ องการทาวิจัยอย่างงา่ ย เพื่อแกป้ ัญหาหรือพัฒนาผ้เู รียนนี้ สามารถอธิบาย ขนั้ ตอนการทาวิจยั ได้กว้าง ๆ ดงั นี้ 1. ขั้นเตรยี ม ครูผู้สอนกาหนดจดุ ม่งุ หมายของการฝึกปฏิบตั ิ รายละเอยี ดของขน้ั ตอนการทางาน การเตรยี มสอ่ื ต่าง ๆ เชน่ วัสดุ อุปกรณ์ เครอื่ งมอื ใบงานหรือคู่มือการปฏบิ ัติงาน 2. ขน้ั ดาเนินการ ครูผู้สอนให้ความรู้และทักษะท่ีเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติ มอบหมายงาน ทป่ี ฏิบัติเป็นกลุ่มหรอื รายบุคคล กาหนดหัวข้อการรายงาน หรือการบันทกึ ผลการปฏบิ ัตงิ านของผู้เรียน การเก็บขอ้ มูล การเก็บข้อมูล เร่ิมจากครูผู้วิจัยย้อนไปศึกษาปฏิทินการปฏิบัติงาน ท่ีเขียนระบุไว้ในแผนงานหรือ ปฏิทินการวิจัยอย่างง่าย แล้ววิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างขั้นตอนการดาเนินการวิจัย ระยะเวลา เครื่องมือ และแหล่งข้อมูล หมายความว่า หลังจากที่ครูผู้วิจัยมีกลุ่มเป้าหมายท่ีต้องการวิจัยแล้ว มีการเตรียมเครื่องมือ ท่ีน่าเชื่อถือ และคาดว่าจะสามารถเก็บข้อมูลเพ่ือนามาใช้แก้ปัญหาได้แล้ว ครูผู้วิจัยก็ลงมือเก็บข้อมูลได้ทันที วธิ กี ารเก็บข้อมูลจะเปน็ อยา่ งไรน้ัน ข้นึ อยู่กับเคร่ืองมือทค่ี รูผู้วิจยั สรา้ งขนึ้ มา แตท่ ั้งน้ี อาจต้องกาหนดระยะเวลา การทาวิจยั ในรูปแบบแผนหรือปฏิทนิ การวจิ ยั อย่างงา่ ยไว้ตามตวั อยา่ ง ต่อไปน้ี ตัวอยา่ ง แผน/ปฏิทินการวิจัยอยา่ งงา่ ย รายการ/กิจกรรม ระยะเวลา เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ แหล่งข้อมลู เกบ็ ข้อมลู พ้ืนฐานผ้เู รยี น 1-2/5/59 แบบสอบถาม - ผู้เรียน การสมั ภาษณ์ - ผปู้ กครอง ทดสอบความรู้ภาษาไทย 4/5/59 - ผูเ้ รยี น แบบทดสอบ - ผเู้ รยี น ทดสอบทักษะการอา่ นออกเสียง 4/5/59 แบบทดสอบการอ่าน การสังเกต คู่มือการทาวจิ ัยอยา่ งงา่ ยของครู กศน. 36


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook