บทสวด “พระคาถาจักรพรรดิ” หลวงตาม้าได้พาศิษย์ร่วมสวดบทจักรพรรดิเพ่ือแผ่บุญปรับภพภูมิทั่วท้ังสามแดนโลกธาตุในเวลา ๒๐.๓๐ น. ทกุ วนั ถา้ สวดตอน ๒๐.๓๐ น. ของทุกวนั ไดจ้ ะดมี ากจะได้รับพลังงานความบรสิ ทุ ธ์จิ ากพระพทุ ธเจา้ ต้ังแตอ่ งค์ปฐม ปัจจบุ ัน และในอนาคต พระอริยเจ้า เทพ พรหม เพราะคนทว่ั โลกจะสวดพรอ้ มกนั ในเวลานเี้ ปน็ ส่วนมาก หรือในเวลาท่ีวา่ งๆ กส็ ามารถสวดได้ทกุ เวลา เช่น อาบน�้ำ กินขา้ ว ข้นึ รถ ฯลฯ ก่อนนอนสวดให้หลับไปกบั บทสวด จะนอนหลับฝันดี เชน่ ฝันวา่ ไปทำ�บญุฝนั ว่าครบู าอาจารยม์ าสอนการปฏิบตั ิธรรม ฯลฯตั้งสัจจะอธิษฐาน ลูกขอตั้งสจั จะอธิษฐานกราบขออาราธนาเมตตาบารมรี วมหลวงปทู่ วด หลวงป่ดู ทู่ ่านอันเป็นทสี่ ดุ ขอหลวงปไู่ ดโ้ ปรดมเี มตตา อาราธนาบารมรี วมขององค์สมเดจ็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยต้ังแต่องค์ปฐมจนถึงองค์ปัจจุบันบรมมหาจักรพรรดิทุกๆพระองค์ บารมีรวมพระปจั เจกพทุ ธเจ้า พระโพธสิ ัตว์ พระธรรม และพระอรยิ สงฆ์ ท้งั หลาย โดยตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จุบันและอนาคต บารมีรวมหลวงปูท่ วด หลวงป่ดู ่ทู า่ นอนั เป็นท่ีสุด บารมีรวมหลวงตามา้ เปน็ ต้น ขอบารมีหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำ�ภพภูมิต่างๆท้ังหลายในทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุ เทพพรหมทกุ ชั้นฟ้ามหาสมทุ รโดยทั่วทง้ั แสนโกฏจิ ักรวาล เทพ พรหม เทวาทเี่ กี่ยวพันกบั หลวงปู่ทวด หลวงปดู่ ู่ หลวงตามา้ เทพ พรหม เทวา ทีเ่ กีย่ วพันเกีย่ วขอ้ งกบั ข้าพเจา้ โดยตั้งแตอ่ ดีตจนถึงปัจจบุ ันและอนาคต ท่านทา้ วจตมุ หาราชท้ังส่ี พระยายมราชพร้อมบริวารโดยท้งั หมด พระศรสี ยามเทวาธิราช โดยทุกๆ พระองค์วีรบุรุษและวีรสตรีทั้งหลายที่คอยปกป้องรักษาแผ่นดินสยามโอปปาติกะท้ังหลายฤๅษแี ละดาบสทัง้ หลาย ศาลเจ้าพ่อหลกั เมอื งโดยทกุ ๆ จงั หวดั พระเสื้อเมอื ง พระ ทรงเมือง พระราหูวิรฬุ หก เจา้ กรงุ พาลี แมพ่ ระธรณี แม่พระคงคา พระแม่โพสพ พระเพลงิ พระพาย พญาครุฑพร้อมบรวิ าร พญานาคพร้อมบรวิ าร คนธรรพ์ ชาวเมอื งลบั แล และสถานทอ่ี นั ศกั ดสิ์ ทิ ธท์ิ ง้ั หลายท่ีขา้ พเจา้ ได้เคยไปอธษิ ฐานไว้ ขอหลวงปู่ได้โปรดเมตตาน้อมนำ�ท่านทั้งหลายมาร่วมสวดบทพระมหาจักรพรรดิพร้อมกันเพื่อเพิ่มก�ำ ลัง (ส�ำ หรับท่านท่มี ีสง่ิ ศกั ด์ิสทิ ธิค์ รูบาอาจารย์นอกเหนือจากท่กี ลา่ วมา ก็สามารถใส่เพ่ิมหรอื ลดลงได้ตามจรติ ของแต่ละคน)บทสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ ๐๕๑
คำ�บูชาพระรัตนตรัย พทุ ธงั ชวี ติ ตัง เม ปูเชมิ ธมั มงั ชวี ติ ตัง เม ปูเชมิ สังฆงั ชวี ติ ตงั เม ปเู ชมิกราบพระ ๖ ครั้ง (น้อมกราบด้วยจิต) พุทธัง วันทามิ (กราบ) ธัมมัง วันทามิ (กราบ) สงั ฆงั วันทามิ (กราบ) ครอู ุปชั ฌายอ์ าจารยิ คุณัง วันทามิ (กราบ) มาตาปติ ุคุณัง วนั ทามิ (กราบ) พระไตรสิกขาคุณัง วันทามิ (กราบ)บทสมาทานศีล ๕ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สมั พุทธสั สะ (๓ ครง้ั ) พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธมั มัง สรณัง คจั ฉามิ สังฆัง สรณงั คจั ฉามิ ทุติยมั ปิ พทุ ธัง สรณัง คจั ฉามิ ทตุ ิยมั ปิ ธัมมงั สรณงั คจั ฉามิ ทตุ ยิ มั ปิ สังฆงั สรณงั คจั ฉามิ ตะตยิ ัมปิ พทุ ธงั สรณงั คจั ฉามิ ตะตยิ ัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ตะตยิ มั ปิ สงั ฆงั สรณัง คัจฉามิ ปาณาตปิ าตา เวรมณี สกิ ขาปะทังสมาธิยามิ อทนิ นาทา เวรมณี สิกขาปะทงั สมาธยิ ามิ อพรัมจริยา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ มสุ าวาทา เวรมณี สิกขาปะทงั สมาธยิ ามิ สุราเมรยะ มัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี สิกขาปะทังสมาธิยามิ อมิ านิ ปญั จสิกขา ปทานิ สมาธยิ ามิ (๓ คร้งั ) สเี ลนะ สคุ ะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปทา สีเลนะ นพิ พุติง ยนั ติ ตสั มา สีลัง วิโส ธะเย๐๕๒ บทสวดพระคาถามหาจกั พรรดิ
บทอาราธนาพระ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สัมพุทธัสสะ (๓ คร้งั ) พทุ ธัง อาราธนานงั กะโรมิ ธมั มัง อาราธนานัง กะโรมิ สงั ฆงั อาราธนานงั กะโรมิคาถาหลวงปู่ทวด น้อมระลึกถึงหลวงปู่ทวด แล้วว่าคาถาดังนี้ นะโม โพธสิ ตั โต อาคันตมิ ายะ อติ ภิ ะคะวา (๓ ครงั้ )คาถาหลวงปู่ดู่ น้อมระลึกถึงหลวงปู่ดู่ แล้วว่าคาถาดังนี้ นะโม โพธิสตั โต พรหมะ ปัญโญ (๓ ครั้ง)บทขอขมาพระรัตนตรัย โยโทโส โมหะจติ เต นะพทุ ธสั มงิ ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสงั สพั พะปาปัง วินัสสนั ตุ โยโทโส โมหะจิตเต นะธมั มัสมงิ ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตัง โทสงั สพั พะปาปงั วินสั สนั ตุ โยโทโส โมหะจติ เต นะสงั ฆสั มงิ ปาปะกะโต มะยา ขะมะถะเม กะตงั โทสงั สัพพะปาปงั วินสั สนั ตุบทสวดมหาจักรพรรดิ สวดบทจกั รพรรดิตามกำ�ลังวนั ท่ีสวด, สวดในวนั อาทติ ย์ให้สวด ๖ จบ, จนั ทร์๑๕ จบ, อังคาร ๘ จบ, พธุ ๑๗ จบ, พฤหัส ๑๙ จบ, ศุกร์ ๒๑ จบ, เสาร์ ๑๐ จบ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สัมพุทธัสสะ (๓ ครง้ั ) นะโมพทุ ธายะ พระพทุ ธะ ไตรรตั นะญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สธุ รรมา (อ่านว่า ส-ุ ทำ�-มา) พทุ โธ ธัมโม สงั โฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธะบชู า ธมั มะบชู า สงั ฆะบูชา อคั คีธานัง วะรงั คนั ธงั สีวลี จะมหาเถรงั อะหงั วนั ทามิ ทูระโต อะหงั วันทามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส พทุ ธะ ธมั มะ สงั ฆะ ปเู ชมิ หลวงตาน�ำ ลกู ศิษย์สัพเพนอ้ มบารมรี วมหลวงปู่ดู่ สง่ พลังงานบญุ ไปชว่ ยเหลือภพภมู ติ ่างๆ สามครง้ั ตามน้ ี ๐๕๓บทสวดพระคาถามหาจกั รพรรดิ
ครั้งที่ ๑ การอธษิ ฐานสัพเพให้แกส่ ามแดนโลกธาตุ ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีรวมพระพทุ ธเจ้าทกุ พระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระเจ้าจักรพรรด ิ พระธรรม พระอริยะสงฆ์ ทุกพระองค ์ ตั้งแต่อดตี ปจั จุบนั และอนาคต บารมีรวม หลวงตามา้ บารมรี วมหลวงปู่ดู่เปน็ ทสี่ ุด ขอใหห้ ลวงปู่ดรู่ วมบารมที ้ังหมดทงั้ มวลนอ้ มส่งไปยงั สามแดนโลกธาตุ มอี บายภูมิเบ้อื งล่าง มนษุ ย์ภมู เิ บื้องกลาง เทวโลก และพรหมโลกเบ้ืองสงู ส่งใหท้ ุกรปู ทกุ นามทีม่ ีกระแสสามารถรบั พลังงานบุญของหลวงปู่ได้ ขอเชญิ อนโุ มทนารบั บญุ ทีส่ ง่ ใหน้ ีด้ ว้ ยเทอญ (สัพเพ ๕ ครั้ง) บทเชญิ พระเข้าตัว บทสัพเพ ขณะท่ที ่องบทสพั เพใหก้ �ำ หนดเปน็ ภาพพลงั งานบญุ แผอ่ อกจากกายหลวงปสู่ ่งผ่านเขา้ มาที่ตัวเรา สัพเพพุทธา สพั เพธมั มา สพั เพสงั ฆา พะลัปปัตตา ปจั เจกานญั จะยังพลงั อรหนั ตานญั จะ เตเชนะรกั ขงั พันธามิ สพั พะโส (สัพเพ ๕ คร้งั ) แล้วให้เราน้อมจิตแผ่บุญนั้นออกไปยงั เปา้ หมายทีก่ �ำ หนด เชน่ พอ่ แม่ ญาติพี่นอ้ ง เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ ให้อธษิ ฐานจติ น้อมน�ำ พลงั งานแผอ่ อกไป พุทธงั อธษิ ฐามิ ธัมมัง อธษิ ฐามิ สงั ฆัง อธษิ ฐามิครั้งที่ ๒ การอธิษฐานสัพเพให้บูรพกษัตริย์ไทยให้ผู้สร้างประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา ใหพ้ ระเจ้าแผ่นดิน ให้ประเทศชาติ (กำ�หนดเปน็ แผนทป่ี ระเทศไทย) ให้ท่วั โลก(กำ�หนดเปน็ แผนที่โลกหรอื ลกู โลก) ขา้ พเจ้าขออาราธนาบารมีรวมพระพทุ ธเจา้ ทกุ พระองค์ พระปจั เจกพทุ ธเจ้าพระพทุ ธเจ้า พระโพธสิ ัตว์ พระเจา้ จักรพรรดิ พระธรรม พระอริยะสงฆ์ ทกุ พระองค์ตงั้ แตอ่ ดีต ปัจจบุ ัน และอนาคต บารมรี วมหลวงตามา้ บารมีรวมหลวงปู่ดู่เปน็ ที่สดุขอให้หลวงปู่ดรู่ วมบารมที ้งั หมดทง้ั มวลน้อมสง่ ไปยังบรู พกษตั ริยไ์ ทย ผู้ทท่ี ำ�นบุ ำ�รงุพระพุทธศาสนาทกุ ท่านตั้งแตอ่ ดตี ปัจจุบันอนาคต ให้พระเจา้ แผน่ ดิน ใหป้ ระเทศชาติ(ก�ำ หนดภาพเปน็ แผนทปี่ ระเทศไทย) ให้โลก (กำ�หนดภาพแผนทโ่ี ลกหรอื ลกู โลก) บทเชญิ พระเขา้ ตัว บทสพั เพ ขณะท่ีทอ่ งบทสัพเพใหก้ ำ�หนดเป็นภาพพลังงานบุญแผ่ออกจากกายหลวงปสู่ ่งผา่ นเขา้ มาท่ีตัวเรา สัพเพพทุ ธา สัพเพธมั มา สพั เพสงั ฆา พะลัปปตั ตา ปจั เจกานัญ จะยังพลัง อรหันตานญั จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส (สพั เพ ๓ คร้งั )๐๕๔ บทสวดพระคาถามหาจกั พรรดิ
แลว้ ให้เรานอ้ มจิตแผบ่ ุญนนั้ ออกไปยังเป้าหมายทก่ี �ำ หนด และกล่าวคำ�อธษิ ฐานวา่ พทุ ธัง อธิษฐามิ ธมั มัง อธิษฐามิ สงั ฆงั อธิษฐามิครั้งที่ ๓ การอธิษฐานสัพเพให้หลวงปู่รวมบารมีสิบของเราให้เพ่ือนำ�มาใช้ให้เกิดประโยชนส์ ว่ นรวม ขา้ พเจา้ ขอตั้งสจั จะอธิษฐานส่งิ ทขี่ ้าพเจ้าอธษิ ฐาน ขา้ พเจ้าอธษิ ฐานเพอ่ื ชาติ ศาสนา ราชบัลลงั ภ์ หมู่คณะสตั ว์ และมนุษย์ทัง้ หมดทย่ี ังเวยี นว่ายตายเกิดสง่ิ ที่ข้าพเจ้าอธิษฐานน้ีข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีกำ�ลังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมบรมมหาจกั รพรรดิถึงองค์ปจั จบุ ันบรมมหาจักรพรรดิ ขอบารมรี วมหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่ พรหมปญั โญ บุญบารมีใดท่ีขา้ พเจ้าเคยไดส้ ่ังสมอบรมมาเคยปฏิบัติมาจากอดีตชาติจนถงึ ปัจจุบันชาติไมว่ า่ จะเปน็ ทาน ศลี เนกขมั มะ ปัญญา วริ ิยะ ขันติ สัจจะอธิษฐาน เมตตา อุเบกขา ขา้ พเจ้าขอรวมบารมีสบิ น้ี นอ้ มถวายแดอ่ งค์สมเด็จพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดจิ นถงึ องคป์ ัจจบุ ันบรมมหาจักรพรรดิ ถวายหลวงปทู่ วดหลวงปู่ดู่ ขอถวายเปน็ พุทธะบูชา มะหาเตชะวนั โต ธมั มะบชู า มะหาปญั โญสงั ฆะบูชา มะหาโภควะโห ถวายแด่พระพทุ ธพระธรรมพระสงฆ์ ขออาราธนาบารมีหลวงปูด่ ู่ โปรดน้อมน�ำ บารมที ัง้ หมดทง้ั มวลน้ี มายงั ข้าพเจ้าเป็นเทา่ ทวคี ูณ เพอ่ื ข้าพเจ้าจะไดน้ �ำ มาเปน็ กำ�ลัง ในการช่วยชาติศาสนาราชบลั ลังภ์ หมู่คณะสตั ว์และมนษุ ย์ทงั้ มวล บทเชิญพระเข้าตวั บทสพั เพ ขณะท่ที ่องบทสัพเพใหก้ �ำ หนดเป็นภาพพลังงานบญุ แผ่ออกจากกายหลวงปสู่ ่งผา่ นเข้ามาที่ตวั เรา สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสงั ฆา พะลัปปตั ตา ปจั เจกานัญ จะยงั พลงั อรหนั ตานญั จะ เตเชนะรกั ขัง พนั ธามิ สัพพะโส (สพั เพ ๕ จบ)แล้วให้เรานอ้ มจติ แผบ่ ญุ นนั้ ออกไปยงั เป้าหมายทกี่ ำ�หนด และกล่าวค�ำ อธษิ ฐานวา่ พทุ ธงั อธิษฐามิ ธมั มงั อธษิ ฐามิ สงั ฆัง อธษิ ฐามิครั้งที่ ๔ ปกติหลวงตามา้ จะพาลูกศษิ ย์อธษิ ฐานสพั เพ ๓ ครั้ง แต่เราสามารถสพั เพเพ่ิมได้อีกไม่จ�ำ กดั คือ เป็นแบบเฉพาะกจิ เชน่ มีเรือ่ งทตี่ อ้ งการความชว่ ยเหลืออย่างเรง่ ด่วนเรอื่ งทวี่ า่ นัน้ จะเป็นเรอื่ งอะไรกไ็ ด้ เรอื่ งท่อี ธิษฐานขอให้หลวงปู่ดชู่ ่วยเหลือ เรอื่ งงานครอบครัว โรคภัยไขเ้ จบ็ คุณไสย ฯลฯ บทสวดพระคาถามหาจกั รพรรดิ ๐๕๕
คำ�แปลบทสวดมหาจักรพรรดินะโมพุทธายะ : ข้าพเจา้ ขอนอบนอ้ มบชู าต่อพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือ นะ = พระกกสุ ันธ, โม = พระโกนาคม, พทุ = พระกัสสป, ธา =พระสมณโคดม, ยะ = พระศรอี รยิ เมตไตรย พระพุทธไตรรัตนญาณ : ขา้ พเจ้าขอนอบน้อมบชู าต่อพระพุทธเจ้า ซงึ่ พระพทุ ธองคท์ รงมีพระญาณแก้วทั้งสาม อนั หมายถงึ ๑.ปพุ เพนวิ าสานสุ ตญิ าณ หมายถงึ ความรทู้ ีร่ ะลกึ ไปไดถ้ ึงขันธ ์ คือ กายท่ีมีอย่ใู นปางก่อน ต้ังแต่ ๑ ชาติ ๒ ชาต ิ ๓ ชาติ ๔ ชาติ ๕ ชาติ จนนบั ไม่ถว้ น มาจนถึงปจั จุบนั นี้ ๒.จตุ ปู ปาตญาณ หมายถงึ รูจ้ ตุ แิ ละอุปบัต ิ คอื จุติไดแ้ ก่ความเคลอ่ื น อปุ บัติแปลตามศพั ท์ว่าเขา้ ถึง ได้แกค่ วามเกดิ คอื เคล่ือนจากภพอนั หน่งึ แล้วมาเกดิ ในภพอกี อันหน่ึง ความเคลื่อนจากภพอันหนง่ึ เรียกวา่ จตุ ,ิ ความเกดิ หรือเข้าถึงภพอกี อนัหนึ่งเรียกว่าอปุ บัติหรืออปุ ปาต. จตุ ูปปาตญาณ ความรูจ้ ุตคิ วามเคลือ่ น และอปุ ปาตะความเกดิ ข้นึ ของสตั ว์ท้งั หลาย วา่ เปน็ ตา่ งกนั ด้วยอำ�นาจกรรม คอื สัตวป์ ระพฤตทิ จุ ริตทางกายทางวาจาทางใจ มีความเหน็ ผิด ประกอบกิจการงานตามความเหน็ ผดิ เมอ่ื จตุ ิเคล่ือนจากภพหน่งึ ไปเกิดอีกภพหนึ่งก็เข้าถึงอบายทคุ ติวนิ ิบาต, ส่วนสัตวท์ ่ีประกอบดว้ ยสจุ รติ ทางกายทางวาจาทางใจ มคี วามเห็นถูก ประกอบกจิ การตามความเหน็ ถูก เม่ือเคล่ือนจากภพหนึ่งเข้าถึงหรือเกิดในอีกภพหน่ึงก็เข้าถึงสุคติคือที่ไปอันดีโลกสวรรค์. คนในปจั จุบนั นที้ ี่เป็นคนเกดิ ในชาตมิ นษุ ย์เหมอื นๆ กัน มากมายก่ายกองท�ำ ไมจึงแปลกกนั บางคนมรี ปู พรรณสัณฐานดี บางคนมีรปู พรรณสณั ฐานปานกลาง บางคนมรี ูปพรรณสณั ฐานเลวทราม บางคนฉลาด บางคนปานกลาง บางคนโง ่ บางคนเกิดในสกุลสูง บางคนเกดิ ในสกุลปานกลาง บางคนเกดิ ในสกุลต�ำ่ บางคนมั่งม ี บางคนปานกลาง บางคนยากจนขัดสน. ทางพระพทุ ธศาสนาแสดงวา่ เพราะกรรม: กรรมจำ�แนกสตั ว์ใหป้ ระณตี คือดีและเลวต่างกนั คนสามญั เช่นเราๆ น้ี ยอ่ มไม่รคู้ วามเปน็ ไปตา่ งๆกนั ของคนเรา แตพ่ ระพุทธเจ้าทรงทราบเพราะเห็นสัตว์ทั้งหลายทเี่ คลือ่ นจากภพหน่งึแล้วเกิดในอีกภพหนึง่ เปน็ ตา่ งๆ กันเพราะกรรมจำ�แนกให้เปน็ ไป นเ่ี ป็นญาณทส่ี อง.ค�ำ แปลบทสวดพระคาถามหาจกั รพรรดิ ๐๕๗
๓.อาสวกั ขยญาณ หมายถึง อาสวักขยญาณ ญาณทร่ี ้สู ิ้นอาสวะ อาสวะกไ็ ด้แก่กามาสวะ อาสวะคือความใคร,่ ภวาสวะ อาสวะคอื ความเปน็ , อวชิ ชาสวะ อาสวะคืออวิชชา ความไมร่ ตู้ ามเปน็ จริง, ท่เี รียกว่าอาสวะ เพราะนอนจมอยู,่ จมอยทู่ ไี่ หน, ก็จมอยู่ท่จี ติ นน่ั แหละ. กามาสวะ อาสวะคือกามภวาสวะ อาสวะคือภพ มีกเ็ พราะ อวชิ ชาสวะ อาสวะคอื อวชิ ชา ไม่ร้ตู ามเป็นจรงิ . ใครอ่ ะไร ก็ใคร่สิง่ ท่ีชอบ, เป็นอะไร ก็เป็นภพทีต่ ัวชอบ, แตล่ ำ�พงั อาสวะยังจมอยู่ คนสามญั เห็นไม่ได้ เหน็ ได้แตอ่ าสวะท่ีฟุ้งขึ้นมา คือกามาสวะ อาสวะคอื กามฟงุ้ ขึ้นมากอ็ อกมาใคร่: คือรนไปเพราะใครส่ ่งินนั้ ส่ิงนี ้ สง่ิ โน้น เปน็ กามตณั หา, อาสวะคอื ภพฟุ้งข้ึนมา กม็ ารนไปเพ่ือเปน็ โนน่เปน็ นเี่ ป็นนั่น เป็นภวตัณหา, อวิชชาความไมร่ ตู้ ามเปน็ จริง เมื่อฟงุ้ ขน้ึ มาก็เปน็ โมหะคือความหลง ถ้าจะสงเคราะหเ์ ข้าในตณั หา ๓ ก็อาจจะสงเคราะห์เขา้ ในวิภวตัณหา คอืรนไปเพ่ือให้เสอ่ื มเสียสิ่งทต่ี ัวไม่ชอบ ภพท่ีไม่ชอบ แต่วา่ ไม่สตู้ รง, โดยตรงกค็ ือออกมาหลงฟ้งุ ข้นึ เพราะหลงไม่รู้เทา่ ตามเปน็ จรงิ ในอารมณท์ ีไ่ ด้มาประสบ. กามาสวะท่ฟี ุ้งออกมาเป็นกามตัณหา ถ้าแรงออกไปกเ็ ปน็ อภิชฌาวิสมโลภะ, ภวาสวะท่ฟี ุ้งข้ึนมาเปน็ภวตัณหา ถา้ แรงออกไปกอ็ ยาใหเ้ ปน็ นน่ั เปน็ นเี่ ปน็ โน่นตา่ งๆ จนประพฤตชิ ่วั ประพฤติผิดทางกายทางวาจา, อวชิ ชาสวะทีฟ่ ุ้งขึ้นมาเปน็ โมหะความหลง ถ้าแรงหนกั เข้า ออกมาเห็นผิดจากความจริง. ฟ้งุ ขึ้นมาเพราะอะไร? เพราะอารมณม์ าประสบ. อารมณ์คืออะไร คือ รปู เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ และธรรมคือเรื่องราว รปู มาประสบตา เสยี งมาประสบห ู กล่นิ มาประสบฆานะ รสมาประสบล้นิ โผฏฐพั พะมาประสบกาย ธรรมะคือเรอื่ งราวมาประสบมนะ, ถา้ ชอบใจก็อยากได้ แรงข้ึนไปกม็ งุ่ ท่ีจะให้ได ้ ดิ้นรนจนถงึ ไม่เลอื กผดิ ถูกดชี ั่ว, ภวะก็เหมอื นกนั คอื เมอื่ มารวู้ า่ ความเปน็ อยา่ งไรด ี กอ็ ยากเป็นอยา่ งนั้น แลว้ กพ็ ยายามขวนขวายทจี่ ะให้เป็นเชน่ นัน้ ไมเ่ ลือกดชี ัว่ ผิดถูก, โมหะความหลง เม่อื ออกมา กห็ ลงจนเหน็ ผิดเป็นชอบ เหน็ ชอบเปน็ ผดิ , แม้กิเลสท่ีเป็นสว่ นหยาบจะสงบแตว่ า่ สว่ นละเอยี ดท่ีเป็นอาสวะยงั จมอย่ยู ังไมห่ มด. คนนอนหลับย่อมมกี ามาสวะ ภวาสวะ อวชิ ชาสวะ แตไ่ มแ่ สดงอาการออกมา ต่อเมอ่ื อารมณ์มาประสบ, อาสวะ เหล่าน้นั จงึ ฟุง้ ขนึ้ เหมอื นดงั ตะกอบทีน่ อนอยูภ่ ายใต้น้�ำ , เมอ่ืภาชนะนำ�้ กระเทือน ตะกอนก็ฟงุ้ ขึน้ ทำ�ใหน้ ำ้�ขุ่น, ถา้ ภาชนะกระเทอื นแรงขึ้นน�ำ้ ก็หก ตะกอนก็หกออกมาตามน้ำ�. พระพทุ ธเจา้ ทรงรูจ้ กั อาสวะ อาสวสมุทัย เหตุให้เกิดอาสวะ อาสวนโิ รธ ความดบั อาสวะ อาสวนโิ รธคามนิ ีปฏปิ ทา หรอื มรรค ขอ้ ปฏบิ ัติเป็นเครอ่ื งดำ�เนินถึงความดังอาสวะ จงึ สิ้นอาสวะ นเี่ ป็นญาณที่สาม๐๕๘ ค�ำ แปลบทสวดพระคาถามหาจักพรรดิ
มณีนพรัตน์ : มสี มบัตคิ ือแกว้ เกา้ ประการ คอื เพชร, ทบั ทมิ , มรกต, บุษราคมั , โกมนิ ทร,์ นิล, มุกดาหาร, เพทาย, ไพฑูลย์ เป็นต้น ซงึ่ หมายถงึ พระนวโลกตุ รธรรม คอื มรรคสี่ ผลส่ี นิพพานหนงึ่สสี ะหัสสะ สธุ รรมา : มีมอื ถึงพันมือ หมายถงึ การทพ่ี ระพทุ ธองค์ทรงแจกแจงหลักธรรม คือ พระไตรปฎิ กถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ กล่าวโดยย่อกค็ ือ ศีล สมาธิ ปญั ญา พุทโธ : ทรงเปน็ ผรู้ ู้ ผตู้ ืน่ ผเู้ บิกบานธมั โม : พระธรรมค�ำ สอนของพระพทุ ธเจ้า สงั โฆ : พระสาวกผ้ปู ฏิบตั ติ าม ยะธาพุทโมนะ : ขอพระพทุ ธเจา้ ปางมหาจักรพรรดซิ ่ึงมีชยั แกพ่ ญาชมพผู มู้ ฤี ทธิม์ าก พรอ้ มท้งั พระธรรมและพระสงฆจ์ งบงั เกิดข้นึ ณ บัดนดี้ ว้ ยเทอญฯ พทุ ธบูชา : ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจา้ ธัมมะบชู า : ข้าพเจ้าขอบูชาพระธรรม สงั ฆะบชู า : ขา้ พเจ้าขอบูชาพระสงฆ ์ อคั คีทานัง วะรงั คนั ธัง : ดว้ ยสิง่ เหล่านี้ ไดแ้ ก่ ธูป เทยี น ไฟหรอื แสงสว่างและ ของหอมทงั้ มวล มีดอกไม้ และน้�ำ อบ เปน็ ตน้ สวี ลี จะมหาเถรงั : ขอนมสั การพระสวี ลเี ถระเจา้ ผู้เป็นเลิศทางลาภสกั การะ อะหงั วนั ทามิ ทูระโต : ขอนมัสการสถานศักด์ิสิทธทิ์ ่วั ไปมีสังเวชนยี สถาน เปน็ ต้น อะหังวันทามิ ธาตุโย : ขอนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุทั้งหลาย ทัว่ ทงั้ แสนโกฏิจกั รวาล อะหังวนั ทามิ สัพพะโส : ขอนมัสการสิ่งศกั ดิ์สทิ ธ์ิทั้งหลาย พุทธะ ธมั มะ สงั ฆะ ปเู ชมิ : ซง่ึ เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ์ ด้วยเทอญฯค�ำ แปลบทสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ ๐๕๙
บทอัญเชิญพระเข้าตัว (แผ่เมตตา)สัพเพพุทธา : ดว้ ยอำ�นาจแห่งพระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย สพั เพธมั มา : ด้วยอำ�นาจแห่งพระธรรมท้งั หลาย สพั เพสงั ฆา : ดว้ ยอ�ำ นาจแห่งพระสงฆ์ทัง้ หลาย พะลัพปตั ตา ปจั เจกานัญ จะ ยังพะลัง : ดว้ ยอำ�นาจแห่งพระปจั เจกพุทธเจ้าทงั้ หลาย อะระหนั ตานัญ จะเตเชนะรักขัง พนั ธามิ สพั พะโส: ด้วยอ�ำ นาจแหง่ พระอรหนั ตเ์ จา้รักษา (พระพทุ ธเจ้า พระปจั เจกพทุ ธเจ้า พระสงฆ)์ ทงั้ หมดทั้งมวล (สวดสพั เพ ๓ หรือ ๕ จบ)พุทธังอธษิ ฐามิ : ข้าพเจ้าขออธิษฐานดว้ ยอ�ำ นาจแหง่ พระพทุ ธเจา้ ธัมมงั อธิษฐามิ : ขา้ พเจา้ ขออธิษฐานด้วยอำ�นาจแห่งพระธรรม สังฆังอธษิ ฐามิ : ขา้ พเจา้ ขออธิษฐานด้วยอ�ำ นาจแหง่ พระสงฆ์ (ใหอ้ ธิษฐานเอาเอง) ๐๖๐ คำ�แปลบทสวดพระคาถามหาจกั พรรดิ
ความเมตตาของหลวงปู่ ลกู ศษิ ย์ : \"หลวงปคู่ รบั หน่อพุทธภมู ทิ บ่ี ารมเี ตม็ แลว้ ท่านกไ็ ม่ต้องมาเกิดแล้วใชไ่ หม รอการตรสั รู้เลยท่ชี ้ันดุสติ หรืออย่างหลวงป่กู ไ็ มต่ ้องมาเกดิ แลว้ ใช่ไหมครับ\" หลวงปดู่ :ู่ \"กำ�ลังของพทุ ธภูมิมหี น้าท่ที จี่ ะท�ำ ใหม้ หาชนมคี วามสขุ ถา้ มีคนเรยี กร้องหรอื บา้ นเมืองเกิดยุคเขญ็ กต็ ้องลงมาชว่ ย จะคดิ เอาแตส่ บายไดย้ ังไง นน่ั ไม่ใช่ความคิดของหนอ่ พทุ ธภูมิ อยา่ งน้พี ระอรหันต์ส�ำ เร็จแลว้ ท่านก็ไม่ตอ้ งยุ่งกบั ใคร ไม่ตอ้ งทำ�อะไรแล้วซิ\" \"ถา้ ขา้ ตายแลว้ อย่าเก็บศพไว้นาน เจด็ วนั เผาเลย ไม่เผาก็โยนท้ิงเดีย๋ วจะกลายเปน็ หากนิ กับศพ\" ลกู ศษิ ย:์ \"กลวั วัดจะรา้ ง\" หลวงปดู่ ู่: \"เร่ืองเผาไมเ่ ผา ตอ้ งแลว้ แต่ค�ำ สง่ั ดอู ย่างหลวงพ่อสด วดั ปากนำ้� ท่านสั่งไมใ่ ห้เผา เพราะกลวั พระเณรจะอดอยาก แตส่ ำ�หรับขา้ ใหเ้ ผา เวลาจะเผาใหเ้ ผายนื ขา้ จะไดไ้ ปไหนได\"้ ลูกศิษย:์ \"หลวงปู่ไมไ่ ปนพิ พานหรอื \" หลวงปู:่ \"จะไปไดอ้ ย่างไร คนนี้ก็เรียก คนน้นั กร็ ้อง ขา้ ไปแค่หวั ตะพานก็พอ ดูอย่างหลวงปทู่ วดซิ มีคนเรียกรอ้ งทา่ นมากมาย บารมที า่ นเตม็ ทอ้ งฟ้า อย่างข้าเอง คนไหนคดิ ถึงขา้ ข้ากค็ ิดถึงเขา คนไหนไม่คดิ ถึงขา้ ข้าก็คิดถึงเขา เพราะในวนั หน่ึงๆ ขา้ต้องอธษิ ฐานไปใหห้ มคู่ ณะทกุ วนั ไมเ่ คยขาด วันละ ๓ ครั้ง เขาจะไดไ้ มเ่ ป็นอันตรายทงั้เชา้ มืด ตอนเย็น ตอนกลางคนื กอ่ นนอน เพอ่ื เปน็ การชว่ ยเหลือหมคู่ ณะ\" หลวงปจู่ งึ อยใู่ นทกุ อณูเตม็ ท้องฟา้ เพอ่ื คอยชว่ ยเหลอื ลกู หลานทกุ คน และหลวงปเู่ คยกลา่ วไว้วา่ “ถา้ ใช้พระเป็น ถึงนพิ พานไดเ้ ลย”ความเมตตาของหลวงปู่ ๐๖๑
อานิสงส์ของการสวดบทพระคาถามหาจักรพรรดิ บทสวดพระคาถามหาจกั รพรรดินี้ หลวงปดู่ ู่ พรหมปัญโญ เป็นผู้เรียบเรียงขึน้ เปน็ การสวดบชู าองค์สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจ้าทว่ั ทงั้ พระนพิ พาน ตลอดจนถึงพระธรรมเจา้ พระโพธิสตั ว์เจ้า พระอรยิ สงฆ์ และพระสงฆส์ าวกท้ังมวล เปน็ การบูชาพระพุทธเจา้ ท้งั หา้ พระองค์ รวมถึงน้อมก�ำ ลังของเทพ พรหม พระอรยิ เจา้ ทง้ั หลาย การสวดครัง้ หนึง่ ๆ เป็นการอนั เชิญก�ำ ลังแห่งพระเจ้าจักรพรรดทิ ุกๆ พระองค์ ตั้งแต่อดีตจนถงึ ปจั จบุ ัน และอนาคต อาราธนาเข้าท่กี าย ใจ จิต วิญญาณ ของผู้สวด การสวดครัง้ หนง่ึ มีอานสิ งสแ์ ผ่ไปทั่วจกั รวาล สามแดนโลกธาตุ สามารถแผบ่ ญุ ปรับภพภมู ิไปทว่ั สรรพสัตว์ ตลอดจนถึงเทวดาประจำ�ตวั ญาตมิ ติ ร ครอบครัว เจ้ากรรมนายเวร และหากนำ�บทสวดนีไ้ ปสวดหรือแผไ่ ปในนรก ไฟนรกจะดับชัว่ ขณะ อย่าลืมวา่ เราต้องตาย ภพภูมิต่างๆ ต้องเกดิ เปรยี บเสมอื นเราพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกัน ภพภมู ิได้บญุ หรือแสงสวา่ งจากเราเขากไ็ ปเกิดในที่ดี เมื่อเราตาย ภพภูมติ า่ งๆทไ่ี ปเกดิ ในทีด่ ีนน้ั กจ็ ะดูแลเราโดยที่เราไม่ไดห้ วัง ซง่ึ เป็นการฝากกระแสซึง่ กันและกนั ยกตัวอย่าง เชน่ สมมตุ ิวา่ เราเปน็ คนมีฐานะดี เราทำ�กับขา้ ว เรากแ็ จกไปยังเพื่อนบ้านที่อยใู่ กล้ๆ โดยทเ่ี ราไม่ไดน้ ึกหวังว่าจะไดร้ บั กับขา้ วจากเพื่อนบา้ นตอบแทน แต่เมอ่ื เพือ่ นบ้านที่ไดร้ บั กับขา้ วจากเราทกุ วันๆ เปน็ ไปไม่ไดห้ รอกทเ่ี ขาจะไม่ใหก้ ับขา้ วตอบแทนกลบั คืนมาแกเ่ ราบา้ ง นอกจากน้ี บทสวดจักรพรรดยิ ังเป็นการสรา้ งกำ�แพงแก้วค้มุ กันตัวได้อีกดว้ ย การอาราธนาบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ อนั เชญิเขา้ ตัวนี้ เปรียบเสมอื นเราท�ำ งานคนเดียว งานนน้ั ก็จะเสร็จช้า แต่ถา้ เรารว่ มกันทำ�หลายคนงานนนั้ ก็จะเสร็จเร็ว ในการกำ�พระผงกเ็ ชน่ กัน เราอนั เชิญพลงั งานความบรสิ ทุ ธ์ิท่ีอย่ใู นพระผงมาชว่ ยปรบั ธาตเุ รา อกี ทั้ง ยังป้องกันภยั และสรา้ งมหาโชคมหาลาภใหแ้ ก่ผสู้ วด เน่อื งจากไดม้ ีการกลา่ วถึงพระสีวลีร่วมอยดู่ ว้ ย บทสวดมหาจักรพรรดินี้มีพลังงานมากมายเหมาะอย่างย่ิงที่จะนำ�ไปสวดบริกรรมกอ่ นหรือระหว่างการนัง่ ภาวนากมั มัฏฐาน ซึง่ กอ่ ใหเ้ กิดกระแสพทุ ธานุภาพครอบคลุมและคมุ การปฏิบตั ิภาวนาของเรา หากเราไดส้ วดอยเู่ ป็นประจำ�จะสามารถอฐิษฐานเรอ่ื งราวใดท่มี ีข้อติดขัด เรือ่ งหนกั จะกลบั เปน็ เบา เร่อื งเบาจะหมดไป น�ำ มาซึง่ความเจริญแก่ผู้สวดทง่ั ในทางโลกและทางธรรม.อานิสงส์บทสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ ๐๖๓
พระเครื่องประเภทเนื้อปูนผสมผงมหาจักรพรรดิ สูตร หลวงปู่ พรหมปัญโญ และ หลวงตาม้า ในการสร้างพระเครื่องประเภทเน้ือปูนผสมผงมหาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่และหลวงตามา้ นั้น จกั สังเกตเห็นได้วา่ ท่านจะสรา้ งพระเครื่องไวเ้ พอื่ เป็นพุทธานสุ ติแก่บรรดาศิษย์เพ่ือใหร้ ะลกึ เสมอว่า พระพุทธองคท์ รงเป็นผู้ทรงประเสรฐิ สุด หาท่ีเปรียบมไิ ด้ หลวงป่ดู ูท่ ่านได้หยบิ ยกพระพุทธตำ�นานตอนหนึ่ง ซ่งึ เป็นพระต�ำ นานท่ีอยใู่ นบทสวดพระคาถาพาหงุ บทหน่ึงวา่ ทคุ คาหะทิฏฐิ ภชุ ะเคนะ สุทฏั ฐะหัตถงั พรหมมงั วิสุทธิชุตมิ ทิ ธพิ ะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะวธิ นิ า ชติ ะวา มนุ ินโท ตนั เตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมงั คะลานิ พระคาถาบทพาหงุ บทน้ี ตามพทุ ธตำ�นานได้กล่าวถงึ ตอนสมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ปราบทิฐิของท้าวผกาพรหมที่คิดว่าตนเองมีอิทธิฤทธิ์มากและมีความอมตะไม่ตายจึงคิดท้าพระพุทธเจ้าให้มาลองอิทธิฤทธิ์กันโดยการท้าลองครั้งน้ีคือให้อีกฝ่ายซอ่ นและอกี ฝ่ายหา หากผูใ้ ดซอ่ น และผู้หาหาไมพ่ บถอื ว่าชนะ และฝา่ ยแพจ้ ะต้องมาเป็นสาวกของฝา่ ยชนะ เร่มิ จากฝา่ ยท้าวผกาพรหมเป็นผ้ซู ่อนก่อน ทา้ วผกาพรหมแปลงกายเป็นธลุ เี มด็ ทรายหนง่ึ เม็ดโดยซอ่ นตนเองปะปนอยูใ่ นทะเลทราย ด้วยพระบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ใช้ฌาณตรวจหาไม่นานก็ค้นพบท้าวผกาพรหมและชี้ถูกว่าท้าวผกาพรหมเป็นเม็ดทรายเม็ดไหนอย่างถูกต้องครง้ั น้ี ทา้ วผกาพรหมจงึ เปน็ ฝา่ ยแพ้ พอถงึ คราวพระพุทธเจา้ เป็นผ้ซู ่อนบ้าง พระพุทธองค์ทรงย่อพระวรกายให้เล็กลงแล้วเสด็จข้ึนไปประทับซ่อนอยู่ในมวยผมบนเศียรของทา้ วผกาพรหม ฝา่ ยหาคอื ทา้ วผกาพรหมก็เริม่ ตามหาพระพุทธเจา้ หายังไงกห็ าไมเ่ จอ หาท่ัวท้งั ๓ ภพคอื ภพโลก ภพสวรรค์ ภพนรก ก็หาไม่เจอ หาไปสดุ ขอบแดนจักรวาลกห็ าไม่เจอ ท้าวผกาพรหมจึงยอมแพ้ เม่ือพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าท้าวผกาพรหมลดทิฏฐิลงมากแลว้ พระพุทธองคจ์ งึ คลายฤทธานภุ าพกลับสู่สภาพเดิมและทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดท้าวผกาพรหมจนบรรลเุ ป็นพระโสดาบัน ๐๖๕พระผงจกั รพรรดิ
การนำ�บทสวดมหาจักพรรดิมาใช้ในการสร้างพระ หลวงปู่ดู่ท่านเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังถึงการปลุกเสกหรืออธิษฐานจิตในวัตถุมงคลทที่ า่ นปลกุ เสกว่า \"นอกจากการใชพ้ ลงั จติ ในการปลุกเสกแลว้ ท่ีทา่ นใชอ้ ยู่เสมอคือบทสวดมนตต์ ามเจด็ ต�ำ นาน\" ซง่ึ ทา่ นบอกว่าดกี วา่ คาถาอาคมมากมาย เพราะเปน็เรอ่ื งราวของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทงั้ น้นั ไม่จดั เป็นเดรจั ฉานวิชชา โดยบทที่ท่านสวดท�ำ ทุกครง้ั คือ บทพระพุทธเจา้ ทรมานพญาชมพบู ดี หรอื ท่ีเรยี กกันวา่ \"บทชมพูปตสิ ตู ร\" ซึง่ แสดงถึงอ�ำ นาจหรือบารมีของพระพุทธเจ้าผเู้ ป็นครขู องมนุษยแ์ ละเทวดาทั้งปวง แสดงถึงธรรมทีช่ นะอธรรม ในทุกๆ วัน ชว่ งเวลา ๒๐.๓๐ น. หลวงตาและศิษยานุศษิ ยท์ ั้งหมดจะรว่ มสวดมนต์บทนี้ เพราะเปน็ ชว่ งเวลาทหี่ ลวงปู่ท่านได้ใช้พระบารมีของพระมหาโพธิสัตวข์ องท่าน เปิดท้งั สามแดนโลกธาตุให้ส่ือถึงกันได้หมด เทพ พรหมเทวาท่วั แสนโกฏิจกั รวาลจะรว่ มกันสวดบทคาถาพระมหาจกั รพรรดิบทนี้ ในช่วงเวลาน้ีแม้แต่ไฟนรกกย็ ังดับชั่วคราว ต้ังแตเ่ บื้องต�ำ่ จนถงึ ภควัคพรหมเบ้อื งบนตา่ งแซ่ซอ้ งสาธกุ ารและอนโุ มทนากศุ ลผลบญุ พลังในช่วงเวลาน้จี งึ เป็นพลงั ท่ีเหนอื พลังทง้ั มวล พวกเราหากรว่ มสวดมนต์ในชว่ งเวลานีก้ ็จะเปน็ การเกาะกระแสบุญใหญ่ เป็นการสรา้ งบารมีข้ันสูง หากอธษิ ฐานสงิ่ ใดๆ ในทางดี ไมว่ ่าจะเป็นทางโลก หรอื ทางธรรม ก็จะสำ�เร็จสมั ฤทธ์ิผลสมความตัง้ ใจได้อยา่ งรวดเรว็ เพราะทัง้ สามแดนโลกธาตตุ ่างร่วมอนโุ มทนาโดยท่ัวถงึ กัน.ส่วนผสมในมวลสารของเนื้อพระ ในสว่ นผสมมวลสารของเนือ้ พระพุทธเจ้าเหนือพรหมทหี่ ลวงปู่ดู่ และหลวงตามา้ ทท่ี า่ นนำ�มาจดั สร้าง ท่านจะนำ�ผงพทุ ธคุณ (ผงมหาจกั รพรรด)ิ ผสมกบั ปนู ขาวใส่เกศาผสมลงโดยใช้นำ้�เป็นตัวประสานผสมจนได้ที่แล้วจึงนำ�เนื้อมวลสารเทลงในแบบพมิ พ์ เวลาแห้งเน้ือพระด้านหลงั จะเปน็ คราบลอยเหมือนหัวกระทิ ลักษณะของเนือ้พระจะไมแ่ นน่ ตวั นกั เนือ้ จะฟๆู พระพมิ พน์ ้ีสามารถแบ่งประเภทของเนือ้ พระไดส้ องวรรณะคอื สีขาวนวลและออกสเี หลอื ง เน่อื งจากหลวงป่ดู ู่ท่านน�ำ ไปแชใ่ นนำ�้ ชาทที่ า่ นเสกหรือทีห่ ลวงปูด่ ู่ท่านมกั จะเรยี กวา่ น�้ำ มนตน์ น้ั เอง สว่ นการทำ�ผงจกั รพรรดนิ น้ั หลวงปจู่ ะทำ�ภายในกฎุ ิท่านโดยมีกรรมวิธกี ารสร้างซ่ึงเป็นวิชาข้นั สูง สว่ นพระผงจักรพรรดยิ ุคปจั จบุ นั ทที่ ำ�และสรา้ งโดยหลวงตามา้ น้ัน นยิ มน�ำเถ้าพระธาตุของหลวงปู่หรือเกศาหลวงปู่ดู่หรือหลวงตาม้ามาเป็นมวลสารด้วยในรุ่นพิเศษบางรุ่น แตโ่ ดยปกติมวลสารหลกั กค็ ือผงจกั รพรรดิน้ันเอง วิชาการสร้างพระผง ๐๖๖ พระผงจักพรรดิ
จกั รพรรดนิ ้นั หลวงปู่ดไู่ ด้สอนท่านหลวงตามา้ และในปจั จบุ นั นี้ทา่ นหลวงตามา้ เปน็ผ้ทู รงวิชา สร้างพระผงจักรพรรดไิ ว้.พระผงจักรพรรดิสูตรหลวงปู่ดู่ และ หลวงตาม้า มีพุทธคุณอย่างไร? พระผงจักรพรรดนิ มี้ ปี ระโยชนม์ ากโดยเป็นพระท่ใี ช้ในการท�ำ กรรมฐาน และบูชาตดิ ตัวเพ่ือค้มุ ครองเป็นศิริมงคลแกต่ นเอง เปน็ พลังงานบญุ หรือพลงั งานแสงสวา่ งให้แกภ่ พภมู โิ ดยรอบ หลวงปดู่ ูก่ ลา่ วไวว้ ่าพระรุน่ ทม่ี ผี งจกั รพรรดขิ องท่านสามารถป้องกันนิวเคลียรไ์ ด้ อกี ทัง้ ยังเหมาะสมเป็นอยา่ งมากในการเจรญิ กรรมฐาน หลวงปูด่ ู่สมยั ท่ที ่านยังทรงธาตุขนั ธอ์ ยู่ ท่านสรา้ งพระผงออกมาเพอื่ ให้ลกู ศิษย์ได้ใช้ในการเจริญพระกรรมฐานใหก้ ้าวหนา้ ได้โดยเรว็ ซ่งึ เป็นการใช้พลังงานความบรสิ ทุ ธิ์จากองคพ์ ระนัน่ เอง ในเนือ้ พระผงจักรพรรดขิ องหลวงตามา้ ทกุ รุ่นกไ็ ด้บรรจุมวลสารผงจักพรรดิของหลวงปดู่ ู่ทท่ี า่ นไดร้ ับมาจากหลวงปู่ดโู่ ดยตรง ทุกคร้งั ท่ีวดั ถ�้ำ เมืองนะสวดบทพระคาถามหาจักรพรรดิ ซ่ึงสวดวนั ละส่ีรอบคอื รอบทห่ี นง่ึ สวดในเวลาหกโมงเช้า รอบท่สี องสวดในเวลาบ่ายโมง รอบที่สามสวดในเวลาหกโมงเย็น ภายในสามรอบนส้ี วดรอบละหนึ่งชัว่ โมง ส่วนรอบทส่ี ่ีนัน้ สวดในเวลาสองท่มุ คร่ึง สวดตามกำ�ลังวัน หลังจากทีส่ วดบทพระคามหาจักรพรรดิเสร็จแลว้ก็มกี ารเจริญสมาธภิ าวนา เสรจ็ แล้วกแ็ ผ่เมตตาสวดบทสพั เพใหแ้ กส่ ามแดนโลกธาตุ ดงั น้นั พลังงานความบรสิ ทุ ธขิ์ องพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพ พรหม ฯลฯ จึงเข้าไปสอู่ งค์พระผงจกั รพรรดิท่หี ลวงตาทา่ นจัดสรา้ งไว้ทุกครงั้ การน่ังเจรญิ สมาธิแผบ่ ุญแผ่เมตตาสม�่ำ เสมอ บุญกจ็ ะเกิดทต่ี ัวเรามากย่งิ ขึ้นทงั้ พระธาตบุ นองคพ์ ระจะขึ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย พระผงจักรพรรดิของหลวงปู่ดแู่ ละหลวงตามา้ ข้ึนพระธาตทุ ุกองค์ หลวงตาเคยเมตตากล่าวให้ฟงั ว่า พระท่ีทา่ นทำ�ข้นึ มาทกุรุน่ เปน็ พระกำ�ลงั ของพระโพธิสตั ว์ จงึ มีพุทธคณุ และกำ�ลงั บารมสี ิบเข้มขน้ นำ�ไปใช้ประโยชน์ในด้านกุศลได้ร้อยแปดพันเก้าหากนำ�ไปบูชาก็จะเป็นการทำ�ให้ภพภูมิเทวดาเทพ พรหม ผสี างสัมภเวสีท่ผี ่านไปผ่านมารบั กระแสตรงนเี้ ข้าไปปรับให้มีความเป็นอยู่ทด่ี ีขึน้ ดว้ ย โดยการก�ำ พระผงจกั รพรรดิ และขอก�ำ ลงั พลงั งานความบริสทุ ธท์ิ ี่อยใู่ นองค์พระ แล้วน้อมสง่ บญุ ไปให้แก่ภพภมู นิ ั้นๆ.การใช้พระผง อธิษฐานฝึกจิตเร่งสมาธิ เร่งนิมิต “ข้าพเจา้ ขออาราธนาบารมแี หง่ พระพทุ ธเจ้า พระปัจเจกพทุ ธเจา้ พระอรยิบุคคลทุกชั้นภูมิและพระมหาจักรพรรดิต้ังแต่อดีตปัจจุบันและอนาคตโดยมีบารมีรวม ๐๖๗พระผงจักรพรรดิ
ของพระศรอี ารยิ ะเมตตรยั เปน็ ทสี่ ุด ขอไดโ้ ปรดยกจติ ของข้าพเจา้ ขนึ้ สูภ่ าวะพระกรรมฐานท้ัง ๔๐ ทศั พระปิตทิ ้ัง ๕ และวปิ ัสสนาญาณท้งั ๙ ขอพระกรรมฐานท้ัง ๔๐ ทัศพระปติ ทิ ั้ง ๕ และวปิ ัสสนาญาณท้งั ๙ จงมาบงั เกิดปรากฏในกายทวารในวจที วารในมโนทวารของขา้ พระพุทธเจา้ ณ กาลบดั เด๋ยี วนเ้ี ถดิ ขอไดโ้ ปรดยกจติ ของขา้ พเจา้ ขึน้ สู่ภาวะเมฆจิต สามารถก�ำ หนดจติ รู้ภาวการณ์ต่างๆ ทงั้ เหตุผลอดตี อนาคตและปจั จบุ นั ได้ทกุ ขณะจิตทีป่ รารถนาจะรู้ เมอ่ื รูแ้ ล้วขอใหเ้ หน็ ภาพนน้ั ได้ชดั เจนแจม่ ใสและพยากรณ์ได้ตามความเปน็ จริงทุกๆ ประการ เหตุทจ่ี ะพงึ บังเกดิ แกข่ า้ พเจา้ ขอให้ข้าพเจ้าได้รเู้ หตุน้นั โดยมิต้องกำ�หนดจิตแมแ้ ตป่ ระการใด ณ กาลบดั เดยี๋ วนเ้ี ถิด” ให้ก�ำ หนดอธิษฐานให้ไดท้ ุกวัน จากนน้ั จึงกล่าวคำ�อญั เชญิ พระเข้าตวั คอื สัพเพพุทธา สัพเพธมั มา สพั เพสังฆา พะลัปปตั ตา ปจั เจกานญั จะยงั พลงั อรหนั ตานญั จะ เตเชนะรักขงั พนั ธามิ สัพพะโส (สพั เพ ๓-๕ จบ) ในระหว่างนี้ให้วางจิตเบาๆน้อมนำ�พระบารมีเข้าตัวหรือผู้ที่ได้แล้วจะเห็นเองวา่ จะมพี ระบารมีเขา้ ตวั เปน็ แสงสว่างวาบไปหมด ผู้ทเี่ ริม่ ปฏิบตั ใิ หมใ่ หใ้ ชก้ ารก�ำ หนดว่ามพี ลังจากพระเขา้ มาหาตัวไปกอ่ น อนั ดับต่อไปกใ็ หอ้ ธิษฐาน พทุ ธงั อธิษฐามิ ธัมมงั อธษิ ฐามิ สงั ฆงั อธิษฐามิใช้อธิษฐานทำ�น้ำ�มนต์รักษาโรค ให้นำ�พระผงกรรมฐานเลี่ยมก็ได้หรือไม่เลี่ยมก็ได้มากำ�สวดบทพระคาถามหาจักรพรรดิ ๗ จบ แลว้ อธษิ ฐานวา่ “ขออาราธนาเชิญบารมีแห่งพระพทุ ธเจ้าทกุพระองค์ บารมีรวมพระปัจเจกพทุ ธเจา้ ทกุ พระองค์ บารมรี วมพระโพธิสัตว์ทกุ พระองค์พระธรรมบารมรี วมพระอริยะสงฆต์ ง้ั แต่อดีตปจั จุบันและอนาคต โดยมีบารมรี วมของหลวงปดู่ พู่ รหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอหลวงปไู่ ดโ้ ปรดรวมบารมที งั้ หมดท้ังมวลแผม่ ายังน้ำ�บรสิ ุทธนิ ใ้ี หม้ พี ุทธานุภาพ ธรรมานภุ าพ สงั ฆานุภาพและมหิทธานุภาพ เพื่อใชใ้ นการมงคลทัง้ ปวง เพ่อื ใชใ้ นการปรับธาตุทง้ั ส่ี และรกั ษาโรคภยั ทุกประเภท ขอบารมีอันหาท่ีสุดมิได้ของหลวงปู่จงโปรดให้เป็นไปตามคำ�อธิษฐานแห่งข้าพเจ้านี้ด้วยเถิด”เสร็จแลว้ จงึ คอ่ ยๆ จ่มุ พระลงในภาชนะใสน่ ้ำ� จากนั้นจึงกล่าวคำ�อัญเชญิ พระเข้าตัว คอื สัพเพพุทธา สพั เพธมั มา สัพเพสังฆา พะลปั ปตั ตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง อรหนั ตานัญ จะ เตเชนะรกั ขัง พนั ธามิ สพั พะโส (สพั เพ ๓-๕ จบ)อันดับต่อไปก็ให้อธิษฐาน พุทธงั อธษิ ฐามิ ธมั มังอธษิ ฐามิ สังฆังอธษิ ฐามิ ๐๖๙พระผงจกั รพรรดิ
คำ�อธิษฐานส่งวิญญาณ ปรับภพภูมิ แผ่บุญหรือครอบวิมานป้องกันวิญญาณ พลังงานของพระผงจักรพรรดินั้นเป็น พลงั งานทีส่ งู เป็นพลงั งานที่เหนือพลังมี อานสิ งส์ครอบจกั รวาล หากนำ�ไปใชย้ ่อม มีประโยชน์อย่างมหาศาล สามารถนำ�ไป แผใ่ หแ้ กภ่ พภมู ติ า่ งๆ ใหเ้ ขาไปเกิดโดยท่ีไมต่ อ้ งวนเวยี นเป็นสัมภเวสี หรอื วญิ ญาณเรร่ อ่ น คอื ใหเ้ ขาไปเกดิ หรอื รบั กรรมตามกรรมทเี่ ขาทำ�ไว้ในขณะท่ยี งั มชี ีวติ อย ู่ ซง่ึ ถา้ เขาไปเกิดเป็นเทวดา เขาจ�ำ เราได้ เขายอ่ มจะชว่ ยเราในภายภาคหน้า เรยี กวา่ มาเปน็ บริวารเราน้ันเอง บางคร้งั เขาตดิ อยใู่ นทีใ่ ดท่ีหนงึ่ โดยที่ไปไหนไม่ได้ แลว้ เราผา่ นไปแล้วกำ�หนดแผ่บญุ ส่งวิญญาณใหเ้ ขา แทนท่ีเขาจะต้องตดิ อย่ตู รงนน้ั ไปอกี หลายพนั หลายร้อยปีแตเ่ ราชว่ ยเขา ดสู วิ ่ามีประโยชนข์ นาดไหน ผีทพ่ี วกเล่นไสยด�ำ เลีย้ งไว้เหมือนกนั คิดดสู วิ ่าผโี ดนเจา้ พวกนใี้ ชท้ รมาน ไมต่ ่างอะไรจากทาส บุญกไ็ มอ่ ทุ ศิ ให้ เอาแต่อาหารคาวหยาบๆใหก้ นิ หลอกลอ่ ผไี ปวันๆ แลว้เราไปแผส่ ง่ วญิ ญาณเหล่านไี้ ปคดิ ดสู ิว่าเราชว่ ยพวกเขาไดม้ ากขนาดไหน หากเราไปแหง่ หนตำ�บลใด หากต้องการแผ่บุญปรบั ภพปรับภูมสิ ่งวญิ ญาณแก้ภูมิแถวน้ันให้กำ�หนดขอพลังจากองค์พระผงจักรพรรดิพร้อมกับบริกรรมบทพระคาถามหาจักรพรรดแิ ลว้ นอ้ มแผอ่ อกไป จะเป็นการสง่ วิญญาณภพภูมิแถวนั้น โดยวชิ าน้ที ำ�ได้แม้เรายังไมเ่ หน็ ภพภูมิกต็ าม ขอแคจ่ ติ เราน้อมไปด้วยความเปน็ บุญเมตตาและหวังดี ในการแผ่บุญครอบบุญน้ันสามารถใช้กับคนที่เราหวังดีได้ด้วยเช่นกันหรือแม้กระทั่งกบั ศัตรูเราใหเ้ ขามาเปน็ มติ รกบั เราก็ได้ กำ�ลังของพระพทุ ธคณุ พระธรรมคุณพระสงั ฆคุณ เทพ พรหม ฯลฯ ของพระผงจกั รพรรดิ เราสามารถนำ�ไปใช้ในการปรับภพปรบั ภมู ิของพวกเขาใหด้ ียิง่ ๆ ขึน้ ได้ โดยมไิ ด้เป็นการใช้พุทธคุณในการเบียดเบียนเขาแต่เปน็ การใชก้ �ำ ลงั เพือ่ ให้เขาโมทนาบญุ ซึง่ เรยี กว่าการปรับภพปรับภมู ิ และเราจะสามารถชว่ ยดวงวิญญาณที่ตกค้างเรร่ ่อนไดเ้ ปน็ จ�ำ นวนมาก วธิ ใี ชก้ ค็ อื สร้างอารมณ์สบายๆ ท�ำ จิตให้สงบ สบายๆ อาราธนาอนั เชิญองค์พระผงจกั รพรรดิกำ�ไว้ในมือและสวดบทพระคาถามหาจกั รพรรดิหน่งึ จบ เสร็จแลว้ ให้สัพเพ คือ๐๗๐ พระผงจกั พรรดิ
สัพเพพุทธา สัพเพธมั มา สพั เพสงั ฆา พะลปั ปตั ตา ปัจเจ กานัญ จะยงั พลัง อรหนั ตานัญ จะ เตเชนะรกั ขงั พันธามิ สพั พะโส (สัพเพ ๓-๕ จบ) อนั ดับต่อไปกใ็ ห้อธิษฐาน คือ พทุ ธังอธษิ ฐามิ ธัมมังอธิษฐามิ สังฆงั อธิษฐามิ (น้อมจิตส่งภพภูมิที่ตกค้างเร่รอนอยู่นั้นให้ไปเกิดตาม กรรมทเ่ี ขาท�ำ ไว)้ จงึ นบั ได้ว่าพระผงจกั รพรรดิใชเ้ พ่ือการ การแผ่บุญอย่างแทจ้ รงิ สงเคราะห์สัตวโ์ ลกอย่างแทจ้ รงิ นึกถงึองคพ์ ระไวเ้ ปน็ พุทธานุสสติ นึกถงึ ความดีของพระพุทธเจา้ ไว้ เป็นการทำ�ใจใหท้ รงความดี ทำ�ใจใหเ้ ปน็ บุญ กายทพิ ยจ์ ะสว่างเจิดจรัสไปด้วยบุญ ซง่ึ ตา่ งจากพวกคนพาลทก่ี ายทพิ ยม์ ีแต่ความมวั หมองแลดูคลา้ ยรา่ งเปรตซ้อนกายคน พวกนหี้ ากยังประมาทอยู่ก็พร้อมจะลงนรกทุกเมอื่ การทรงความดี เช่น พรมหวหิ าร การไมถ่ อื โกรธผใู้ ด มแี ต่ความหวังดี เป็นการทำ�ใจให้สว่าง เม่ือใจเราสวา่ งฉนั ใด ย่อมกลบความมดื ฉันน้นั หม่ันแผ่เมตตาแผ่บุญให้บริวารเราตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันและเทวดาประจำ�ตัวเราด้วย จะเปน็ การเจรญิ เมตตาจิต เพม่ิ ศิริมงคลแก่ตน และเขาเหลา่ น้ันจะมาเปน็ กำ�ลงัช่วยคนดี ท่ี คิด พูด ท�ำ ส่ิงดๆี ให้พ้นบว่ งมารอย่างแนน่ อน ถา้ ตวั เราทรงความดีอยู่ เบื้องตน้ ศีลหา้ กใ็ ชไ้ ด้ เพราะเป็นศีลท่ีปดิ อบายภมู ิได้ ก�ำ พระผงจักรพรรดิไวใ้ นมอื แล้วอธษิ ฐานว่า “ขา้ พเจ้าขออาราธนาเชญิ บารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นับต้ังแต่อดีตปัจจุบันและอนาคตโดยมีพระบารมีรวมของหลวงป่ดู ู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอไดโ้ ปรดสง่ วญิ ญาณ ปรับภพปรับภูมดิ วงวิญญาณของ...ชื่อนามหรือกลมุ่ กไ็ ด้ หรอื กำ�หนดเปน็ ภาพสถานทน่ี น้ั ๆ ใหส้ ูส่ ุขคติดว้ ยเถดิ ” แล้วอญั เชญิ พระเขา้ ตวั สพั เพพุทธา สัพเพธมั มา สพั เพสังฆา พะลปั ปตั ตา ปจั เจกานญั จะยงั พลัง อรหนั ตานญั จะ เตเชนะรักขงั พนั ธามิ สพั พะโส (สพั เพ ๓-๕ จบ)อันดับตอ่ ไปกใ็ ห้อธิษฐาน คอื พุทธงั อธษิ ฐามิ ธมั มงั อธิษฐามิ สงั ฆงั อธษิ ฐามิ (น้อมจติ สง่ ภพภูมิทต่ี กค้างเร่รอนอยู่น้นั ให้ไปเกดิ ตามกรรมทีเ่ ขาท�ำ ไว)้ ให้หมั่นส่งวิญญาณ แผ่ไปให้ท่วั ทง้ั สามแดนโลกธาตุ คือ พรหมโลก เทวโลกมนษุ ยโลก ภพภูมนิ อ้ ยใหญน่ รกโลก และทุกๆอบายภมู ิ ผู้มีพระคณุ ครอบครวั เพอ่ื น ๐๗๑พระผงจกั รพรรดิ
คนทเี่ กย่ี วข้องเกีย่ วพันกับขา้ พเจา้ ทั้งเจ้ากรรมนายเวร ญาติ ขา้ พเจา้ ทงั้ หมด ในโลกทพิ ย์ บริวาร เทวดาประจำ�ตัว เวลา ท�ำ บญุ กใ็ ห้เรียกกายทพิ ยเ์ ขามารบั บญุ ก่อนรับประทานอาหารทุกๆ ครั้ง ให้สง่ วญิ ญาณท่ีตดิ อยู่ ในอาหารนั้นๆ โดยใช้วิธีน้อมจติ แลว้ กวาดมือเหนอื อา หารนัน้ ๆ เชน่ บะหมี่ หมสู ับ เนือ้ ช้ินเล็ก หรอื น�ำ้ เปล่า ก็ มีกระแสเชอื่ มโยงถึงวญิ ญาณเจ้าของธาตนุ ้ันๆ วธิ ปี ฏบิ ัติ คือกำ�หนดแผข่ ณะกำ�พระผงจกั รพรรดิใหน้ ึกถึงหนา้ หลวงปู่ดู่ อาราธนาท่านเข้าในจติในกายเรา อธิษฐานจติ เป็นแสงจากภายในกายเราใหแ้ ผก่ ระจายไปรอบตัวจนสดุ ขอบจกั รวาล จากนน้ั จึงกล่าวค�ำ อัญเชิญพระเขา้ ตัว คอื สัพเพพทุ ธา สัพเพธมั มา สพั เพสงั ฆา พะลปั ปัตตา ปัจเจกานัญ จะยงั พลัง อรหนั ตานัญ จะ เตเชนะรักขงั พนั ธามิ สพั พะโส (สพั เพ ๓-๕ จบ)อนั ดับต่อไปก็ให้อธิษฐาน คอื พุทธังอธษิ ฐามิ ธมั มงั อธษิ ฐามิ สังฆงั อธิษฐามิ (นอ้ มจติ ส่งวญิ ญาณท่ตี ดิ อยกู่ ับอาหาร เช่น ช้ินเนือ้ ต่างๆ ทต่ี กคา้ งอยู่) อธิษฐานรวมบุญเพื่อความคล่องตัวในเรื่องการเงินและทุกๆ เรื่อง วิธีนเี้ ปน็ การเบกิ บญุ เกา่ และบญุ ใหมท่ ีย่ ังไมใ่ ห้ผลใหส้ ่งผลเร็วข้ึนให้อธิษฐานว่า “ด้วยอำ�นาจบารมีแหง่ พระมหาจักรพรรดิทุกๆ พระองค์ นบั ต้ังแตอ่ ดตี ปจั จบุ นั และอนาคตโดยบารมแี หง่ องค์พระสมเดจ็ องคป์ ฐมบรมมหาจักรพรรดเิ ป็นประธาน มบี ารมีรวมพระมหาจักรพรรดิของหลวงปดู่ ู่ พรหมปัญโญ เปน็ ทสี่ ุด ขอไดโ้ ปรดรวมกองบุญของขา้ พเจ้าเพ่อื เบกิ มาใช้ ให้มีความคล่องตัวในทุกเร่อื ง และหากมีเรอ่ื งอนั ใดติดขัดขอใหค้ ลอ่ งดง่ั นำ้�ท่ีไหลออกจากคนโทท่ไี หลจากท่ีสูงลงสูท่ ี่ต่�ำ อันใดคล่องตัวอยู่แล้วขอใหค้ ล่องตวั ยิ่งขึ้นไป โดยขน้ึ ช่อื ว่าความอด ความอยาก ความยาก ความไม่มี จงอยา่ได้บังเกิดมีในข้าพเจา้ นับต้ังแต่นี้ ตราบจนขา้ พเจ้าเขา้ สูพ่ ระนพิ พานด้วยเถดิ และโดยเฉพาะกาลนีข้ อใหม้ คี วามคลอ่ งตัวในเรอื่ ง......(อธิษฐานขอเอา) เชน่ ตอนน้ีขายของไม่ดเี ลย ลกู ขอใหข้ ายไดว้ นั ละ.. ด้วยเถดิ จากนน้ั จงึ กล่าวคำ�อัญเชญิ พระเขา้ ตัว คือ สพั เพพุทธา สัพเพธมั มา สัพเพสังฆา พะลปั ปัตตา ปจั เจกานัญ จะยังพลงั อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พนั ธามิ สพั พะโส (สัพเพ ๓-๕ จบ)อันดบั ตอ่ ไปก็ให้อธิษฐาน คือ๐๗๒ พระผงจักพรรดิ
พุทธงั อธษิ ฐามิ ธมั มังอธษิ ฐามิ สังฆังอธิษฐามิ (น้อมจิตขอในสง่ิ ท่ีตอ้ งการนัน้ ๆ ) ใช้พระผงกรรมฐานอธิษฐานให้คนรัก เมตตา ใช้พระผงกรรมฐานจกั รพรรดิอธิษฐานใหบ้ ตุ ร คนรัก หรอื คนในปกครองบริวารอยู่ในโอวาท แม้กระทง่ั เจ้านาย ใหล้ ะ มจิ ฉาทฐิ ิ เป็นคนดีข้ึน จิตใจเยอื กเยน็ ข้นึ ผใู้ ชต้ ้องฝกึ สมาธิ รักษาศลี ห้า ใหต้ ืน่ เช้าตง้ั สตไิ ดด้ แี ลว้ อธษิ ฐาน “ขา้ พเจา้ ขออาราธนาบารมแี ห่งพระพทุ ธเจ้า พระปจั เจกพทุ ธเจ้า พระอริยบคุ คลทกุ ชน้ั ภมู ิ และพระมหาจักรพรรดิต้ังแต่อดีตปัจจุบันและอนาคตโดยมีบารมีรวมของพระศรีอาริยะเมตตรัยเป็นท่ีสุด ขอไดโ้ ปรดยกจติ ของขา้ พเจ้าขึ้นสู่ภาวะพระกรรม ฐานท้ัง ๔๐ ทศั พระปิตทิ ั้ง๕ และวิปสั สนาญาณทั้ง ๙ ขอพระกรรมฐานท้งั ๔๐ ทัศ พระปติ ทิ ัง้ ๕ และวปิ ัสสนาญาณทงั้ ๙ จงมาบงั เกิดปรากฏในกายทวารในวจีทวารในมโนทวารของขา้ พระพทุ ธเจา้ณ กาลบัดเดีย๋ วนเ้ี ถิด” เสร็จแล้วให้นั่งสมาธิ โดยก�ำ พระผงจักรพรรดไิ วใ้ นมือ ภาวนาดว้ ยคาถาพระมหาจกั รพรรดิ กำ�หนดลมหายใจสบายๆ โดยมีอานาปานสตเิ ปน็ บาทฐานเบาๆ ภาวนาไปเรอื่ ยๆ สักสองสามนาที สำ�คัญทจี่ ติ ต้องสงบ จากน้นั จงึ อธษิ ฐานว่า “ด้วยอำ�นาจบารมีแห่งพระมหาจักรพรรดิทุกพระองค์นับต้ังแต่อดีตปัจจุบันและอนาคต โดยบารมแี ห่งองค์พระสมเด็จองคป์ ฐมบรมมหาจกั รพรรดิเปน็ ประธาน มีบารมีรวมพระมหาจกั รพรรดขิ องหลวงปู่ดู ่ พรหมปญั โญ เปน็ ทีส่ ุด ขอได้โปรดกล่อมเกลาปรับสภาพร่างกายจิตใจของ...(ช่ือหรอื กลมุ่ ) ให้ดขี ึ้น ขอให้รา่ งกายแข็งแรง จิตใจเยือกเยน็ เบกิ บาน ให้มีหิริโอตตปั ปะ มจี ิตใจฝกั ใฝ่แตค่ วามดีเกลยี ดกลัวความชวั่ ท้งั ปวงใหว้ ่านอนสอนง่ายอย่ใู นโอวาท (ตามแต่จะขอ..) หากแม้นเขาดื้อดงึ เพียงใด ดว้ ยอำ�นาจของกงจกั รพระจักรพรรดจิ งโปรดส่ังสอนใหห้ ลาบจำ�” จากนั้นจงึ กล่าวคำ�อัญเชิญพระเขา้ ตวั คอื สัพเพพุทธา สพั เพธมั มา สัพเพสังฆา พะลัปปตั ตา ปจั เจกานัญ จะยงั พลงั อรหันตานัญ จะ เตเชนะรกั ขัง พันธามิ สัพพะโส (สพั เพ ๓-๕ จบ)อันดับต่อไปกใ็ ห้อธษิ ฐาน คือ พุทธงั อธิษฐามิ ธมั มงั อธษิ ฐามิ สงั ฆงั อธษิ ฐามิ (นอ้ มจติ ขอในส่งิ ทตี่ ้องการนั้นๆ ) ๐๗๓พระผงจักรพรรดิ
ใช้พระผงกรรมฐานทำ�น้ำ�มนต์ป้องกันและถอนแก้คุณไสย อวิชชาต่างๆ ท�ำ จติ ให้สงบแล้วกลา่ ววา่ “ขออาราธนาเชิญบารมแี ห่ง พระพุทธเจ้าทกุ พระองค์ บารมีรวมของพระปัจเจกพทุ ธเจา้ ทกุ พระองค์ บารมรี วมพระโพธสิ ตั ว์ทุกพระองค์ พระธรรม บารมี รวมพระอริยะสงฆ์ตั้งแต่อดีตปัจจุบันและอนาคตโดยมีบารมี รวมของหลวงปูด่ ู่ พรหมปัญโญ เป็นท่ีสุด ขอหลวงปไู่ ดโ้ ปรด รวมบารมีทั้งหมดท้งั มวลแผม่ ายงั น�ำ้ บริสุทธนิ ี้ ให้มีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สงั ฆานุภาพและมหทิ ธานุภาพ ในการรักษาโรคอันเกิดจากคณุ ไสยน้ีดว้ ยเถดิ ” จากนัน้ จึงกลา่ วคำ�อญั เชญิ พระเข้าตัว คือ สพั เพพทุ ธา สพั เพธัมมา สพั เพสงั ฆา พะลปั ปตั ตา ปัจเจกานัญ จะยงั พลัง อรหันตานัญ จะ เตเชนะรกั ขงั พนั ธามิ สพั พะโส (สพั เพ ๓-๕ จบ)อนั ดบั ตอ่ ไปก็ให้อธิษฐาน คอื พุทธังอธษิ ฐามิ ธัมมงั อธษิ ฐามิ สงั ฆังอธษิ ฐามิ (น้อมจิตลงสนู่ ำ�้ มนต์นัน้ ๆ ) หากต้องการจะป้องกันท้งั บา้ น ให้นำ�้ มนต์รดรอบบา้ น แล้วอธษิ ฐานขอบารมีหลวงปู่ สวดจักรพรรดิหนงึ่ จบ แล้วสัพเพแผค่ รอบบ้านอธิษฐานด้วยใจกำ�หนดจิตถามพระในเรื่องการปฏิบัติและในทุกเรื่องปัญหาชีวิตที่แก้ไม่ตก ทำ�ใจสบายๆ กำ�พระผงจักรพรรดิ ก�ำ หนดใหเ้ ห็นรปู หลวงปูด่ ู่ แลว้ ก็ถามคำ�ถามเลย เช่น “หลวงป่ทู �ำ อย่างไรดี ผมจะท�ำ สญั ญาฉบบั นี้ ทำ�แลว้ ลกู จะเสียเปรียบไหม” จากน้นั ท�ำ ใจสบาย ไม่ตอ้ งไปเงยี่ หูฟังว่าหลวงป่จู ะตอบ บางทหี ลวงปู่ไมต่ อบเปน็ ค�ำ พูดทา่ นจะตอบเปน็ จิตใหร้ ู้เลย หรอื จะใหเ้ ห็นภาพเลย บางทีกจ็ ะมีเหตุการณบ์ างอย่างให ้ รูเ้ อง คือทา่ นจะดลทัง้ ใจ ท้งั รูปการณใ์ หพ้ รอ้ มเสร็จ การอธิษฐานครอบดวงแก้วให้แก่บ้านเพื่อป้องกันรังสีทั้งบ้าน ต้ังจติ นอ้ มถึงหลวงปดู่ ู่ “ขออาราธนาเชิญบารมีแห่งพระพทุ ธเจา้ ทกุ พระองค์บารมรี วมพระปัจเจกพทุ ธเจ้าทกุ พระองค์ บารมรี วมพระโพธิสตั ว์ทกุ พระองค์ บารมีของพระธรรม บารมีรวมพระอรยิ ะสงฆ์ ต้งั แต่อดตี ปจั จบุ ันและอนาคต โดยมบี ารมรี วมของหลวงปูด่ ูพ่ รหมปัญโญเป็นท่ีสดุ ขอหลวงปไู่ ด้โปรดรวมบารมีท้ังหมดทงั้ มวลแผ่มายงั น้ำ�บริสุทธ์ินี้ ใหม้ ีพทุ ธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานภุ าพ และมหิทธานภุ าพ ใน๐๗๔ พระผงจักพรรดิ
การป้องขจัดทำ�ลายรังสีและพลังงานอันไม่ดีท้ังปวงท่ีเข้ามาใน อาณาบรเิ วณเขตนำ�้ มนต์แหง่ น้ี ให้เกดิ เป็นปราการแกว้ คุ้มครอง เจด็ ช้ันท้งั หกทิศ คอื เบือ้ งหนา้ เบอ้ื งหลงั เบอ้ื งซ้าย เบอ้ื งขวา เบอื้ งบนและเบอ้ื งลา่ ง ใหก้ ระแสเย็นแห่งนำ้�มนต์น้ี จงเปลง่ ออกไปเป็นรัสมีเรืองรองคุ้มครองป้องกันและครอบปกคลุม บ้านท้ังหลังของข้าพเจ้านี้ให้ผู้ท่ีอาศัยอยู่ภายในบ้านน้ีจงร่มเย็น ปลอดภยั จากอนั ตรายทัง้ หลายทงั้ ปวงดว้ ยเถิด จากนั้นจงึ กลา่ ว ค�ำ อัญเชญิ พระเขา้ ตวั คอืสพั เพพุทธา สพั เพธมั มา สพั เพสงั ฆา พะลัปปตั ตา ปัจเจกานญั จะยงั พลัง อรหนั ตานัญ จะ เตเชนะรักขงั พนั ธามิ สัพพะโส (สพั เพ ๓-๕ จบ) อนั ดบั ตอ่ ไปก็ใหอ้ ธิษฐาน คือ พุทธังอธิษฐามิ ธมั มังอธษิ ฐามิ สังฆังอธษิ ฐามิ (นอ้ มจิตลงสนู่ �้ำ มนตน์ น้ั ๆ ) วิธีการปฏิบัติตามแนวทางหลวงปู่ดู่ วิชาภูติพระพุทธเจ้า (วิชาเปิดโลก) สวดบทพระคาถามหาจกั รพรรดิในชว่ งเวลา ๒๐.๓๐ น. เสรจ็ แลว้ ให้ก�ำ หนดภาพหลวงป่ดู ู่ ให้จับภาพแบบสบายๆ เหมือนเราคดิ ถึงหนา้ แม่เรา คดิ ถึงเม่อื ไหร่เห็นหนา้ แมเ่ มือ่ นัน้ โดยทใี่ หค้ ิดถงึ หนา้ หลวงปู่ดู่แทน พลังงานของหลวงปดู่ กู่ ็จะมาทันทีอธษิ ฐานกับหลวงปดู่ ู่ว่า “ลูกขอเรยี นรเู้ รอ่ื งพลังงาน เร่ืองภพภมู ิ ขอหลวงป่ดู แู่ สดงให้ลกู ดดู ว้ ยเถดิ จากน้ันใหเ้ ราก�ำ หนดจติ ไปทีห่ น้าบา้ นเรา ทรงภาพหลวงปูไ่ ปดว้ ย และวางอารมณจ์ ิตแบสบายๆ รอดูความเปลยี่ นแปลงทีห่ ลวงปู่ท�ำ ใหเ้ ราดู ท่านจะทำ�ให้ภาพหนา้ บ้านเราซอ้ นภาพภพภูมทิ ่อี ยู่แถวนนั้ เปน็ รปู รา่ งให้เหน็ เลย ความชัดเจนกข็ ึ้นอยูก่ บัแตล่ ะคน เคลด็ ลับก็คือ ให้เราหมั่นมองดูภาพหลวงปูบ่ ่อยๆ มองแบบสบายๆ ไม่ตอ้ งเพง่ แล้วจะดเี องแก้วจักรพรรดิ (แก้วมณีนพรัตน์) แก้วจักรพรรดิ หรอื เรยี กอีกอยา่ งหนง่ึ ว่า แก้วมณีนพรตั น์ น้นั สร้างมาตั้งแต่สมยั ทห่ี ลวงปยู่ งั ทรงธาตขุ ัน์อยู่ โดยทา่ นใช้ปูนซีเมนตข์ าวผสมกบั ผงจักรพรรดิป้ันเป็นลกู กลมๆ เจาะรูทะลตุ รงกลาง แลว้ ร้อยเชือกแจกเดก็ ๆ แถววัดสะแก เคยมีเหตกุ ารณ์เกิดขน้ึ คือเดก็ ทแี่ ขวนลกู แกว้ จกั รพรรดิตกน้�ำ แลว้ ไมจ่ ม ทำ�ให้เป็นท่ตี อ้ งการของชาวบา้ นมาก อีกท้งั ว่ากันว่ายังอธษิ ฐานขอไดต้ ามใจนกึ จึงมีชื่อเรยี กอีกอยา่ งหนึ่งวา่ ลกู แก้วสารพัดนกึ หลวงตามา้ ไดส้ บื ทอดวชิ าการสรา้ งพระผงจกั รพรรดิ พระผงกมั มฏั ฐาน และ ๐๗๕พระผงจกั รพรรดิ
ลูกแก้วจักรพรรดนิ ้มี าจากหลวงปูด่ ู่ แต่เนื่องจากยคุ สมยั เปลี่ยนไป มีเทคโนโลยที ันสมัยการท�ำ ลกู แกว้ จกั รพรรดดิ ว้ ยซีเมนต์ขาวทำ�ไดอ้ อกมานอ้ ย เพราะตอ้ งใช้เวลาในการท�ำ มาก การหาซ้อื ลกู แกว้ ส�ำ เร็จซึ่งมีราคาถูกกว่า ลูกศิษย์จึงซ้ือลูกแกว้ มาใหห้ ลวงตาอธิษฐานจิตใหเ้ ป็นลูกแกว้ จกั รพรรดิ ซ่ึงหลวงตากลา่ วว่ามคี ุณสมบัตเิ หมอื นกับลกู แก้วจักรพรรดิที่ท�ำ จากซเี มนต์ขาวทุกประการ สามารถใชแ้ ทนกนั ได้ ลกู แก้วจกั รพรรดนิ ี้สามารถน�ำ มาบูชาพกพาติดตวั หรือใช้กำ�ไว้ในมือเพอ่ื ชว่ ยภาวนาท�ำ สมาธิ ใช้อธิษฐานท�ำ น้�ำ มนตห์ รือใชใ้ นการอธิษฐานเพ่ือปรบั ภพภูมิกไ็ ด้ ถา้ ตอ้ งการใช้เพ่ือปรบั ภพภูมิซ่งึ ทำ�ใหผ้ ู้ทท่ี �ำ การแผ่บุญไมต่ ้องเดนิ ทางไปยงั สถานที่นั้นๆ แตจ่ ะใชก้ ารวางลูกแกว้จักรพรรดิไวใ้ นสถานที่นัน้ แทน แล้วอธษิ ฐานขอใหล้ ูกแกว้ จกั รพรรดแิ ผบ่ ญุ ออกไปเองโดยอตั โนมัติ เหล่าภพภูมิวญิ ญาณทอี่ ย่สู ถานท่ีนนั้ หรอื เรร่ อ่ นผา่ นไปยงั สถานที่แห่งนนั้ เมื่อเห็นแสงบญุ ท่ีเปลง่ ออกจากลกู แก้ว ก็สามารถอนุโฒทนาในบุญนีไ้ ด้ตลอด การวางลูกแก้วจกั รพรรดิไว้ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อปรับภพภูมิ จึงเปน็ การสงเคราะห์สตั วโ์ ลกทัง้ หลายอยา่ งไมม่ ีประมาณ และเมื่อมีการขยายพ้นื ทีใ่ นการวางลูกแก้วจกั รพรรดกิ วา้ งขวางออกไปเพยี งไร พื้นท่ีในการแผก่ ระแสบญุ บารมกี จ็ ะยง่ิ กว้างไกลออกไป วิธีการครอบวิมาน การครอบวิมาน เปน็ การส่งก�ำ ลงั บุญไปยงั มนุษยแ์ ละสัตว์ทีย่ ังมชี วี ติ อยู่ การครอบวมิ านสามารถท�ำ ให้แกต่ นเองและผอู้ ่นื ได้ ในกรณที ค่ี รอบวมิ านให้แกต่ นเองนนั้สามารถทำ�ไดโ้ ดยการสวดบทพระคาถามหาจกั รพรรดิน่นั เอง ผู้ท่สี วดบทพระคาถามหาจกั รพรรดิอย่เู ป็นประจ�ำ จะมีวิมานมาครอบให้โดยอัตโนมตั ิ เมื่อจิตจะออกจากรา่ งก็จะเหน็ วิมานนน้ั แล้วบารมพี ระทา่ นกจ็ ะเกดิ นมิ ติ เป็นแสงสว่างนำ�ทางผู้นั้นไปสสู่ คุ ติภมู ติ ามก�ำ ลังบญุ ทีเ่ ขาทำ�ไว้ขณะท่ียงั มชี วี ติ อย ู่ การครอบวิมานใหแ้ ก่ผูอ้ ่ืน ท�ำ ไดโ้ ดยการอธิษฐานขอบารมขี องหลวงปดู่ ู่ แล้วนิมติ ภาพของหลวงปู่ซ้อนไปยังบุคลน้ัน หรอืหลายๆ คน พรอ้ มกันทีเดยี วก็ได้ ข้อสำ�คัญของการครอบวมิ านคอื การตง้ั จติ อธษิ ฐานขอบารมหี ลวงปแู่ ละจติ เมตตากรณุ าของผ้ทู ีจ่ ะครอบวมิ านให้แก่ผอู้ น่ื ในการนีผ้ ู้ท่ีจะครอบวมิ านใหแ้ กผ่ ูอ้ ื่นอาจจะเหน็ หรอื ไมเ่ หน็ วิมานนนั้ กไ็ ด้ แตข่ อให้มคี วามเชื่อมนั่ ว่าเมอื่ ไดต้ ้งั จติ อธษิ ฐานขอบารมหี ลวงปู่ครอบวิมานใหแ้ กผ่ ้ใู ดแลว้ ผ้นู ั้นกจ็ ะได้รับการครอบวิมานจากหลวงป่อู ยา่ งแน่นอน ไมต่ อ้ งสงสัย ตอ้ งมคี วามเชอื่ มั่น๐๗๖ พระผงจักพรรดิ
การอธิษฐานฝากดวงไว้กับหลวงปู่ ใหน้ กึ ถึงหลวงป่ดู ู่ แลว้ อธิษฐานบอกท่านว่า “ขอยกใหห้ ลวงปูเ่ ป็นพอ่ แม่ครูอาจารยข์ องข้าพเจ้า ขอให้หลวงปชู่ ่วยดแู ลท้งั ทางโลกและทางธรรม และขอฝากดวงฝากชวี ิตนี้ไวก้ บั หลวงปู่ นับตัง้ แต่บดั นี้ ไปจนกว่าข้าพเจา้ จะเขา้ สพู่ ระนพิ พาน”องค์ประกอบหลักของวิชาในสายหลวงปู่ดู่ ๑. พระผงจักรพรรดิ หรอื พระผงกมั มัฏฐาน เปรยี บเสมอื นจานรบั สัญญาณดาวเทียม ๒. หลวงปู่ดู่ พระบารมรี วมของหลวงปู่ เปน็ ตน้ พลังงานบญุ ทจี่ ะรวมพลงั งาน รวมกองบุญกองอืน่ ๆ เปน็ พระบารมขี องพระโพธสิ ัตว์ เปรยี บเสมอื นสถานีแมข่ า่ ยสง่คลน่ื สัญญาณ ๓. ตัวเรา ธาตสุ ่ี ขันธห์ ้า ของเราเปรียบเสมือนเครอื่ งรบั สัญญาณ ๔. จติ อธษิ ฐานท่มี ีก�ำ ลงั ดว้ ยการสวดบทพระคาถามหาจกั รพรรดิ เปน็ การปรับคลน่ื ของเครื่องรบั สัญญาณให้ตรงกันกบั คล่ืนจากสถานแี ม่ข่าย ๕. ความเข้าใจในหลักการน้อมพลังงานมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผอู้ ่นืปัจจัยสำ�คัญ ๑. บทสวดพระคาถามหาจกั รพรรดิ เปน็ การสร้างพลงั งาน ติดต่อกับแหล่งพลงั งาน ๒. คำ�อธษิ ฐาน การกำ�หนดเสน้ ทางพลงั งาน ๓. บทสัพเพ การส่งพลังงาน ๔. จติ สบายๆ ความเป็นทพิ ย์ทม่ี กี ำ�ลังสงูพระผงจกั รพรรดิ ๐๗๗
พรหมวิหารธรรมพรหมวหิ ารธรรม คณุ ธรรม ๔ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. เมตตา หมายถึงวา่ แสดงความรักหรือประกอบดว้ ยความรักอันเปน็ ข้าศึกแก่ความเกลียด ไมใ่ ช่รักเก่ยี วขอ้ งกบั กาม ถ้ารกั เก่ียวกบั กามหรือเก่ียวดว้ ยกามราคะความยนิ ดีในกาม นนั่ เป็นกามราคะหรอื กามฉันทไ์ ม่ใชเ่ มตตา อกี อย่างหน่งึ ความรกัที่มีเป็นธรรมดาแกค่ นท่ีเก่ียวขอ้ งกัน เชน่ มารดาบดิ ารกั ลูก ลูกรกั มารดาบิดา ญาตริ กัญาต ิ เหลา่ นี ้ ไมใ่ ช่เมตตา ไม่ใช่กามฉนั ท์หรือกามราคะ ท่านเรยี กว่า เคหสิตเปมะ ความรักทีอ่ าศัยเรือน ถ้าหมายความตามภาษาไทย กค็ อื ความรกั ทเี่ กี่ยวกันกบั คนในครอบครัว เมตตา เป็นความรกั ท่ปี รารถนาสุขใหแ้ ก่คนท่ัวไปหรอื สตั วอ์ นื่ การแผเ่ มตตาก็มจี ำ�เพาะบ้าง ทั่วไปบา้ ง แผ่เมตตาจำ�เพาะ เชน่ มารดาบิดาแผ่เมตตาไปในบุตร หรือบุตรธิดาแผ่เมตตาไปใหม้ ารดาชิดา นี่เรยี กว่าจ�ำ เพาะ แผไ่ ปไมจ่ �ำ เพาะ คอื แผ่ตลอดไปในสตั วท์ ้ังหลายทง้ั ปวง ต้องการใหส้ ัตวท์ ้งั หมดมีสขุ หรอื ได้ถึงสขุ เมอ่ื ทำ�เมตตาให้เกดิ ขึน้ ในใจ ใจประกอบด้วยเมตตาแล้ว กจ็ ักไมพ่ ยาบาท จนถึงไมโ่ กรธเคอื งขัดแคน้ใครต่อใคร พยาบาทคือม่งุ รา้ ย เมตตาตรงกนั ขา้ ม คือ ปรารถนาสขุ ให้แกส่ ตั วท์ ว่ั ไป เมือ่ ใจประกอบด้วยเมตตาแลว้ กเ็ ปน็ อนั ตัดความม่งุ ร้ายในคนและสัตวอ์ ่นื เป็นบารมีอยา่ งหนึง่ ในบารมี ๑๐ คือ เมตตาบารมี (โอ. ๑/๘๑-๘๒) พึงเห็นตัวอย่างในสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระหฤทัยหวังจะให้สัตว์บรรลถุ ึงสขุ ทกุ ถว้ นหนา้ อนั คุณคอื เมตตาน ้ี บุคคลมาเจรญิ ให้มากเพียงใด ก็ยิ่งมีผลไพศาลออกไปเพยี งนั้น เหมอื นดวงไฟ เมอ่ื บุคคลน�ำ มาตง้ั ไว้มากดวงก็ไดร้ ับแสงสว่างมากข้ึน การแผ่โดยเจาะจงซงึ่ เรียกว่า โอทิสสฺ ผรณา แมม้ ีก�ำ ลงั กล้า แต่ก็มผี ลเทา่จ�ำ กัดไมไ่ พศาล ไมช่ ื่อวา่ ปกปิดหนทางแหง่ พยาบาทโดยรอบคอบ เพราะว่าบคุ คลแม้เว้นจากความมงุ่ ร้ายแกช่ นจ�ำ พวกน ี้ แต่กอ็ าจมคี วามม่งุ ร้ายแก่ชนอกี จำ�พวกหนึ่ง ซ่งึตนไมร่ กั ใคร่พอใจ การแผ่โดยจ�ำ กดั นี้ จงึ ชอื่ วา่ มีผลเทาขดี ข้ันไมไ่ พศาลไมช่ ือ่ วา่ ปกปดิทวาร คือ ช่องท่พี ยาบาทจะหล่ังไหลเข้ามา โดยรอบคอบ. การแผ่ไมตรจี ติ ทวั่ ไปในหมู่สตั ว์ไมม่ ีประมาณ ผลท่ีเกดิ กพ็ เิ ศษไพศาลไปตามกัน และได้ชอื่ ว่าสกดั กนั้ หนทางแหง่ ข้าศึกคอื พยาบาทเสยี ได้ด้วยประการท้งั ปวงบุคคลผมู้ ีเมตตาจติ แม้จะสถิตอยูด่ ว้ ยอิริยาบถใดๆ ก็เป็นสุขสำ�ราญ ไมต่ อ้ งหวาดต่อการม่งุ รา้ ยแห่งชนอ่ืนเพราะจติ ชัว่ เช่นน้นั ไม่มใี นตนแทจ้ รงิ ใจแห่งบุคคล แมเ้ ปน็ ๐๗๙พรหรมวิหารธรรม
ธรรมชาตทิ ่พี ้นอ�ำ นาจมังสจักษวุ ิสัย คอื บคุ คลไมอ่ าจรู้วาระจติ แห่งชนอ่นื ได้ว่า คิดดรี า้ ยอย่างไรก็จริง ถึงดงั นั้น ใจนนั่ แหละอาจแลเห็นใจได ้ อาจมีวถิ ีเน่ืองถึงกนั ข้อนี้ย่อมเป็นอย่างนัน้ ชนผ้ปู ลูกเมตตาจิตในบุคคลอ่นื เพยี งใดกย็ ่อมไดร้ บั เมตตาจิตจากบุคคลอ่ืนเพียงนัน้ ครน้ั ตนหวงั ทกุ ขใ์ นบุคคลอ่นื อยา่ งใด ชนอน่ื ก็อาจหวงั ทุกข์ภยั ในตนอยา่ งน้นั เพราะความจรงิ เป็นเช่นนน้ั แล สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจา้ จึงตรสั สอนใหพ้ ุทธบรษิ ัทเจริญเมตตา คดิ จะให้ชนอ่ืนรักใคร่ตน เทย่ี วขวนขวายหาเมตตาโดยทางปลุกเสกเก่ยี วไปขา้ งไสยเวทวิธี แม้จะมีผลบ้างก็อยา่ งโลกๆ เจือไปด้วยกเิ ลส ไมเ่ ปน็ ทท่ี จ่ี ะให้ละพยาบาทเสยี ได้ อันการเจรญิ เมตตายอ่ มมีอานิสงสคณุ ท่ัวไป ไม่เฉพาะแต่มนุษยชาติ ถงึ ในเหล่าสัตว์ท่รี ้ายกาจก็สามารถมผี ลคุม้ ไปถงึ ข้อน ้ี พงึ สาธกด้วยวตั ถแุ หง่ สวุ รรณสามดาบสผบู้ �ำ เพญ็ พรตภาวนาเลีย้ งมารดาบิดาผ้ชู ราภาพเสยี จักษอุ ยใู่ นหมิ วันตประเทศ เพราะเหตทุ ท่ี า่ นตงั้ อยู่ในคุณ คือเมตตา จึงได้หมู่เนอื้ เป็นอันมากห้อมล้อมเปน็ บรวิ าร แม้พาลมฤคเป็นต้นว่าพยคั ฆท์ ี่รา้ ยกาจก็ทนอำ�นาจแหง่ เมตตาจิตไม่ได้ ใหม้ ีความรักใครไ่ มตรีจิตในสวุ รรณสามบัณฑติ ประหนึง่ ศิษย์รักใคร่ในครูบาอาจารย์ หรือเหล่าราชบริพารภกั ดีในพระมหากษตั รยิ เ์ จา้ ฉะน้นั อกี ปริยายหนึง่ พึงสาธกด้วยอหิราชสูตร ความสังเขปในพระสูตรนน้ั ว่า เม่อืสมเด็จพระผมู้ ีพระภาคเจา้ เสด็จอยใู่ นพระเชตวนั วหิ าร ครง้ั นน้ั ภกิ ษรุ ปู หนึ่งถูกงกู ัดเสียชีวติ ภิกษทุ ้ังหลายนำ�ความกราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจา้ พระองคจ์ ึงตรัสวา่ เพราะเธอไมเ่ จริญเมตตาในสกลุ พญางูท้งั ส ี่ คือ วริ ปู กั ขะ เอราปถะ ฉพั ยาปุตตะ กัณหาโคตมกะ จงึ ถึงอนั ตรายแห่งชีวิต หากเธอแผ่เมตตาจิตไปในสกุลพญางูท้ัง ๔ ก็ไมน่ า่ จะถูกงกู ดั จนเสยี ชวี ิต สมเด็จพระผู้มพี ระภาคเจ้าทรงปรารภเรื่องนัน้ เป็นเหตุ จงึได้ทรง อนญุ าตให้ภิกษทุ งั้ หลายเจริญเมตตาในสกลุ พญางูทั้งสีเ่ พอ่ื เป็นวิธีรักษาตน โดยพุทธนิพนธ์ภาษิตว่า “วิรปู กฺเขหิ เม เมตฺตํ” เปน็ ต้น อนั เหล่าบรรพชติ ในสังฆมณฑล ไดส้ าธยายสืบมาถงึ ในกาลทกุ วันนี ้ ขอ้ น้ีเปน็ เครอ่ื งสาธกให้เหน็ ผลแห่งเมตตาวา่ ม ี อานิสงสค์ ณุ เพยี งใด อกี ประการหนึ่ง ชนที่รวมกันเปน็ หมวดหมู ่ ตัง้ ตน้ แห่งสกุลหนงึ่ เมื่อตา่ งมาปลกู เมตตาจิตในกันและกนั แตน่ ้ันก็จะไดป้ ระกอบการงานซงึ่ เป็นประโยชนต์ นและประโยชน์ทา่ น ไมเ่ ห็นแก่กาลนั้นเข้ากับตน ทั้งผลที่เกดิ กเ็ ป็นไปเพื่อความสามัคคี ไม่ววิ าทเก่ยี งแยง่ เปน็ ไปเพอื่ ความรกั ใครน่ ับถือกันและกัน รว่ มฉนั ทะในอันประกอบ ๐๘๐ พรหมวหิ ารธรรม
การงาน สมด้วยพระพทุ ธภาษิตบรรหารในสาราณียธรรมสูตรความว่า ภิกษุท้งั หลาย กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม ประกอบด้วยเมตตา อนั ภิกษุในพระศาสนานีม้ าต้ังไว้เฉพาะในกนั และกัน อยมฺปธิ มฺโม สาราณีโย อนั นเ้ี ปน็ ธรรมท่ีต้ังแห่งอันยังกันและกันให้ระลกึ ถงึ กันเปน็ ธรรมทำ�ความรกั ใคร่ เคารพนับถือกนั และกนั ตามฉนั ผนู้ อ้ ยผู้ใหญ่ เปน็ ไปเพ่ือสงเคราะหก์ นั และกนั เพื่อไม่ววิ าทบาดหมางกนั เพือ่ พร้อมเพรยี งเปน็ อนั หนึง่ อันเดยี วกัน ดังนี้ ขอ้ ความทีย่ กมาสาธกนี้ เปน็ ตัวอยา่ งในทางปฏบิ ัติท้งั ฝา่ ยบรรพชติ ทัง้ ฝ่ายฆราวาส เมตตาน้ีเปน็ ขา้ ศึกแหง่ พยาบาท และเป็นบญุ ประการหน่ึง (วชริ . ๑๗๘-๑๙๐) ๒. กรณุ า ความหวัน่ ใจในเม่ือเหน็ เขาตกทุกขไ์ ด้ยาก คดิ ทีจ่ ะชว่ ยพ้นจากทุกข์ ช่ือว่า กรณุ า เป็นเคร่ืองปอ้ งกนั และก�ำ จัดวเิ หสา การเบยี ดเบยี นผู้อ่ืนกรุณานแ้ี หละ เปน็คุณที่ทำ�บุคคลใหเ้ ปน็ ผ้ปู ระเสรฐิ ล่วงสามญั ชนขน้ึ ไป ท่านผ้เู ป็นใหญ่ในหมชู่ น ท่สี ดุจนเปน็ หัวหน้าเฉพาะในสกลุ หนงึ่ ควรมคี ณุ ขอ้ นเี้ ปน็ วิหารธรรม แผ่ให้ไพศาลออกไปตามชั้นของบคุ คล สมเดจ็ พระผู้มพี ระภาคเจ้า ผูเ้ ปน็ ท่นี ับถือลบลน้ แหง่ เหลา่ พุทธบรษิ ัท กเ็ พราะพระกรุณาจ�ำ เดมิ แตพ่ ระองค์ได้ตรสั รแู้ ลว้ มา ไดเ้ สดจ็ ไปเทศนาโปรดประชาชน ในคามนิคมชนบทราชธานีนนั้ ๆ ใหไ้ ด้บรรลุประโยชน์ตามควรแก่อุปนสิ ัย มไิ ด้ทรงเห็นแกค่ วามเหนอื่ ยยากลำ�บากพระกาย ตั้งพระมนสั จะใหส้ ัตวท์ ัง้ หลายพ้นจากทกุ ขเ์ ป็นเบ้อื งหนา้ จนอวสานสมยั ท่สี ดุ ในวันจะเสดจ็ ปรนิ ิพพานทรงอาพาธกล้า ยังได้อุตสาหะตรัสเทศนาโปรดสุภัททปริพาชกผู้ปัจฉิมสาวกในพระพุทธศาสนาซึ่งเปน็ ขอ้ ทน่ี ่าเลื่อมใสยงิ่ นกั ดว้ ยเหตุน ้ี จงึ ได้พระนามคณุ นมิ ิตว่า มหากรุณโิ กนาโถ พระผู้มีพระกรณุ าใหญเ่ ปน็ ท่พี ่งึ ของเหลา่ สตั วโ์ ลกดงั นี้ ทา่ นผปู้ ระกอบด้วยกรุณาย่อมได้บรรลุผล คือ พหปุ ิยตา ความเป็นทรี่ ักใครน่ ับถอื แหง่ ชนมาก คณุ ข้อนเ้ี ป็นกำ�ลงั ในการทีจ่ ะยังบคุ คลให้ประกอบกจิ ซงึ่ เป็นประโยชน์แกผ่ ู้อ่ืนตามสามารถ เมอ่ื มโี อกาสท่ีจะช่วยได้ ไมใ่ ห้น่งิ อยดู่ ดู าย เรอื่ งนี้ใหบ้ ณั ฑิตพึงเหน็ ตัวอย่างในพระนางมัลลกิ าเทว ี มีขอ้ ความโดยสังเขปว่าเมื่อพระนางได้ทอดพระเนตรเห็นสตรีบุรุษและสัตว์ท้ังหลายที่พระเจ้าโกศลมีพระราชบัญชาให้จับมามัดไว้ที่หลักเพ่ือจะฆ่าบูชายัญแก้ลางร้ายท่ีพระองค์ได้ทรงสดับในราตรวี า่ ทุ, ส, น, โส, ดังน้ี ตามคำ�แนะนำ�แหง่ พราหมณ์ปุโรหติ พระนางใหม้ ีพระมนสัคดิ หวาดหว่ันทรงด�ำ ริหาอุบายทจ่ี ะแก้ไขให้มนุษยแ์ ละสัตว์เหล่าน้นั พน้ จากมรณภัย จงึได้กราบทูลพระเจา้ โกศลวา่ พระองคส์ ทิ รงจ�ำ นงท่จี ะด�ำ รงพระชนมอ์ ยยู่ ืนนาน ไฉน ๐๘๑พรหมวหิ ารธรรม
จงึ มาหลงเชอื่ ถ้อยคำ�แหง่ พราหมณ์ผู้อนั ธพาล จะมาผลาญชีวติ มนษุ ย์และสัตวเ์ ป็นอนัมาก เพ่อื แลกเปล่ยี นพระชนม์ของพระองค์ดังน้ี เมื่อเหตเุ กิดมากค็ วรจะเสด็จไปทูลถามสมเด็จพระผู้มพี ระภาคเจา้ ผูส้ พั พญั ญรู ู้แจ้งเหตุอดีตอนาคตปัจจุบัน ทันใดนน้ั พระเจ้าโกศลราชทรงระลึกขน้ึ ไดจ้ ึงรบี เสด็จไปเฝ้าสมเด็จพระผ้มู ีพระภาคเจ้า ทูลเหตุตัง้ แต่ต้นจนอวสาน พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ประทานพระธรรมเทศนาให้พระมหากษัตริย์เจ้าทรงทราบความตามเปน็ จริงและรู้สึกพระองคใ์ นเรอ่ื งนั้น คร้นั เสด็จกลับจากทเี่ ฝา้ จึงมีพระราชดำ�รัสส่ังให้เจ้าพนักงานเปลื้องมนุษย์และสัตว์ท้ังหลายจากพันธนาการกลับไปสู่ถิน่ ฐานบ้านเรือนแห่งตนๆ ชนทงั้ หลายเมอ่ื พน้ จากอันตรายแหง่ ชีวติ ใหม้ ีจติ ระลกึพระคณุ แหง่ พระนาง จึงพากันกล่าวสรรเสริญและถวายพระพรวา่ “จริ ํ ชีวตุ โน อยยฺ ามลลฺ กาิ เทว,ี ยํ นิสฺสาย ชวี ติ ํ ลภิมหฺ า” เราทงั้ หลายไดช้ วี ติ เพราะอาศยั พระนางมัลลกิ าเทวเี จา้ พระองคใ์ ด ขอใหพ้ ระนางมลั ลิกาเทวี พระแมเ่ จา้ ของเราพระองค์นนั้ จงเสด็จสถติ อยยู่ นื นานเถดิ ดังน้ี แม้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสสรรเสริญพระนางมัลลิกาในท่ามกลางธรรมสภาชุมนมุ สงฆ์วา่ “มหาปณฺฑิตา ภกิ ฺขเวมลฺลิกา” ภกิ ษทุ งั้ หลาย พระนางมัลลิกาเป็นมหาบัณฑติ มีปญั ญาใหญ่ได้ใหช้ วี ิตแก่มนุษยแ์ ละสตั วเ์ ปน็ อันมาก ดังนี้ ถงึ คำ�เปน็คาถา รกุ ขเทวดากไ็ ด้กล่าวสรรเสริญสตรีผ้เู ช่นนน้ั ไว้วา่ “ น โสสพฺเพส ุ มาเนสุ ปรุ ิโส โหต ิ ปณฑฺ โิ ต” มใิ ช่ แตบ่ ุรษุ เป็นบัณฑติ ในท่ที ง้ั ปวง “อิตฺถปี ปิ ณฑฺ ิตา โหต ิ ตตถฺ ตตฺถ วิจกฺขณา” แม้สตรีผ้มู วี จิ ารณญาณ พจิ ารณาเหตผุ ลในสิง่ นนั้ ๆ กเ็ ป็นบณั ฑิตได้ ดังน้ ีนี้เปน็ เครื่องสาธกใหเ้ หน็ ผลแห่งกรณุ า พระนางมัลลิกาทรงเป็นท่ีรักทน่ี ับถอื แหง่ ชนทงั้ หลาย เป็นผตู้ ้งั อยใู่ นมาตสุ ถานปานประหน่งึ วา่ มารดาแหง่ ประชาชนในโกศลรัฐ ก็เพราะทรงตงั้ อยใู่ นคุณสมบัตคิ ือพระกรุณาคณุ ดงั นี ้ กรณุ าคณุ น้เี ปน็ ข้าศึกแหง่ วเิ สหา และเปน็ บุญประหนง่ึ (วชริ ๑๙๑-๑๙๓) ๓. มทุ ิตา การท�ำ ความช่ืนบานยินดไี ปตามในเม่อื เหน็ ผูอ้ นื่ ได้ประสบอารมณ์ทน่ี ่าปรารถนา คือ ลาภ ยศ สุข สรรเสรญิ ชื่อวา่ มุทิตา เป็นเครือ่ งปอ้ งกันและก�ำ จัด อรต ิ ความไมย่ ินดีขึง้ เคียด และรษิ ยา ความไมอ่ ยากให้เขาไดด้ เี ชน่ นน้ั อนั อรต ิความไมย่ ินดีขึง้ เคียดตอ่ ความสุขความเจริญของเขาและริษยา ความไมอ่ ยากใหเ้ ขาได้ดี ยอ่ มทำ�ใจให้เศร้าหมองเปน็ บาป ตลอดถงึ ความเป็นคนใจจดื เปน็ ปฏิปทาแหง่ ความบาดหมาง แตกรา้ วกนั มทุ ิตา เปน็ คุณทท่ี ำ�บุคคลให้มีใจแชม่ ช่นื ผ่องใส และท�ำ ใหเ้ ป็น๐๘๒ พรหมวหิ ารธรรม
ท่ีรกั ใคร่นับถอื แหง่ กันและกนั ทกุ คนยอ่ มหวังความสุขความเจริญอยดู่ ้วยกนั จึงต่างตัง้หนา้ พยายามแสวงหาในทางใดทางหนงึ่ ท่เี หน็ สมควร เมื่อไดส้ มประสงคก์ ็ยนิ ดีพอใจ ถ้ามีใครแสดงความรษิ ยาหรอื ความไม่พอใจ ยอ่ มไม่ชอบ มทุ ิตา เป็นขา้ ศกึ แห่งริษยาและอรติและเป็นบญุ ประการหนงึ่ (วชิร. ๑๙๓-๑๙๔) ๔. อเุ บกขา ความวางใจเป็นกลาง ไม่ยินดไี ม่ยินร้าย ในเมอื่ เขาถึงพบิ ตั ิ และประสบภัยอนั ตรายและตนไมส่ ามารถจะชว่ ยได้ เช่น เห็นคนเจ็บจวนจะตายและตนก็ไม่อาจจะช่วยแก้ไขได้และเม่ือช่วยเข้ากลับจะให้ผลร้ายเกิดข้ึนเช่นเห็นผู้ร้ายที่เจ้าหนา้ ทีจ่ บั กุมลงโทษตามกฎหมาย หรือเมือ่ ยนิ ดดี ว้ ยความเจรญิ ของฝา่ ยหน่ึง กเ็ ปน็ อันต้องยนิ ดีด้วยความเสือ่ มของอกี ฝ่ายหน่งึ เชน่ ทัง้ สองฝา่ ยต่อสู้กัน จะพลอยยนิ ดีดว้ ยฝา่ ยชนะก็เปน็ อันตอ้ งยินดกี ารแพข้ องอกี ฝ่ายหนง่ึ ตลอดถึงไมพ่ ลอยยินดใี นเมอ่ื คนแมท้ ่ีตนเหน็ ว่าผิดถงึ พบิ ตั ิ ชอ่ื วา่ อุเบกขา เป็นเครื่องปอ้ งกันและก�ำ จดั ปฏฆิ ะ ความกระทบกระทัง่ จิตและโกธะ อันเปน็ ความท�ำ ใจให้ยนิ ดียนิ รา้ ยไปตามความพบิ ัติของผู้อนื่ แม้ท่ีตนเหน็ วา่ ผดิ ย่อมทำ�ใจให้ฟุ้งซา่ นเศร้าหมอง อเุ บกขาเปน็ คณะทท่ี �ำ บุคคลให้มีใจสงบสบายเปน็ ทีเ่ คารพของผมู้ ีปญั ญา เพราะฉะนัน้ อเุ บกขา จงึ เป็นข้าศึกแหง่ ปฏฆิ ะและโกรธ และเปน็ บุญประการหนึง่ (วชริ . ๑๙๔ ) พรหม ศพั ทน์ ใ้ี ช้พูดกันในศาสนาพราหมณ์ก่อน จนมาถงึ พระพทุ ธเจา้ เกดิขนึ้ กท็ รงนำ�ศพั ท ์ พรหม มาใช้ แตท่ า่ นหมายความไปอกี อยา่ งหน่งึ คอื หมายความวา่ ผูเ้ ป็นพรหมต้องประกอบดว้ ยธรรม ๔ อยา่ ง คือ เมตตา กรุณา มุทติ า อเุ บกขา ที่เรียกวา่ พรหมสหี่ นา้ คอื หนา้ หนึ่งเมตตา หนา้ หนงึ่ กรุณา หนา้ หน่งึ มุทติ า หน้าหนง่ึอเุ บกขาเปน็ พรหมสีหนา้ รูปพรหมเขาก็เขยี นเปน็ ส่หี น้าจริงๆ ธรรมทงั้ ๔ เปน็ ท่ีอย่ขู องพรหมจึงเรียกวา่ พรหมวหิ าร แปลว่า ธรรม เปน็เครือ่ งอยขู่ องพรหม อธิบายว่า พรหมโดยอุปบตั ยิ ่อมอยดู่ ้วยธรรมเหล่าน้ ี อนึ่ง ทา่ นผู้ใหญ่ท่เี ป็นหวั หนา้ ของหมู่ทด่ี ี ก็ตอ้ งมีธรรมเหล่านเี้ ปน็ เครือ่ งอยู่ จึงชอ่ื ว่าเปน็ พรหมของหม ู่ และเป็นพรหมโดยสมมติ พระบรมศาสดาจารย์ทรงขนานนามของมารดาบดิ าวา่ เปน็ พรหมของบุตรธดิ า ดว้ ยพระพุทธพจนว์ ่า พรฺ หมฺ าต ิ มาตาปิตโร มารดาบดิ าช่ือวา่ เป็นพรหม ดงั นี้ก็นา่ จะทางเห็นวา่ มารดาบิดาทีด่ ี ยอ่ มมพี รหมวิหารธรรมในบตุ รและธิดาครอบบรบิ ูรณ ์ โดยพระพุทธภาษติ น้ ี เปน็ อันแสดงวา่ ธรรม ๔ ประการเหลา่ น้ี มอี ยู่ในทา่ นผใู้ ด ทา่ นผนู้ ้ันชื่อวา่ เปน็ พรหม ๐๘๓พรหมวหิ ารธรรม
ท่านผู้มีพรหมวิหารธรรมอย่างสูงเพราะหมดกิเลสด้วยประการท้ังปวงย่อมอยู่เป็นสุขปลอดโปร่งใจ ไมต่ อ้ งกลวั เวรและภัย และไมม่ ีเวรไมม่ ภี ัยกบั ผู้อื่น แม้เขามุ่งประทุษร้าย พงึ เหน็ ตวั อยา่ งในเรอ่ื งพระปณุ ณมนั ตานบี ุตรเถระ มเี รื่องเลา่ วา่ พระปุณณะผู้เป็นบุตรแห่งนางมันตานีได้กราบทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อกลับไปอยู่ ณ ประเทศเดิมของท่านท่เี รยี กว่าปรนั ตปะ อันเป็นประเทศที่มคี นดุรา้ ยมาก พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสถามทา่ นวา่ ท่านจะไปอยูไ่ ด้หรอื ประเทศน้นั ล้วนมีแตค่ นดรุ า้ ย ท่านกราบทลู รับวา่ อย่ไู ด้ พระผู้มพี ระภาคเจา้ จงึ ตรสั ถามวา่ ถา้ มคี นดา่ วา่ ท่าน ประหารท่านดว้ ยก้อนดนิ หรือท่อนไม้ ประหารทา่ นด้วยศัสตรา ทำ�ทา่ นใหต้ าย ท่านจะคิดอย่างไร ท่านทลู ตอบวา่ ถา้ เขาด่าขา้ พระพทุ ธเจา้ ๆ จะท�ำ ในใจเสียวา่ เขาด่าเทา่ นน้ั ยังดกี วา่ เขาประหารด้วยก้อนดิน หรอื ทอ่ นไมเ้ สยี อีก ถ้าเขาประหารดว้ ยกอ้ นดินหรอื ท่อนไม้ ก็ยงัดีกว่าเขาประหารด้วยศสั ตรา ถา้ เขาประหารดว้ ยศสั ตรา กย็ ังดกี วา่ เขาทำ�ให้ตาย ถา้ เขาท�ำ ให้ตายกจ็ ะนกึ เสยี ว่าคนบางคนตอ้ งการฆ่าตัว ถึงกับตอ้ งจา้ งต้องวอนเขาก็มี ส่วนเราดีเทา่ ไร มคี นฆา่ ให้เอง ไมต่ อ้ งจ้างต้องวอนใคร พระผมู้ ีพระภาคเจ้าจึงตรัสอนุญาตวา่ ไปเถดิ ปณุ ณะ ทา่ นไปอยู่ที่โนน้ ได ้ ดังน้ี สมเด็จพระผ้มู ีพระภาคเจา้ ตรสั อานิสงส์แห่งเมตตา ในเมตตานสิ ังสสตู รวา่ มี ๑๑ประการ คอื :- ๑. สุขํ สปุ ติ ยอ่ มหลบั เป็นสุข ๒. สุขํ ปฏิพุชฌฺ ติ ย่อมตนื่ เป็นสุข ๓. น ปาปกํ สุปนิ ํ ปสฺสติ ย่อมไมฝ่ นั เหน็ ชัว่ ๔. มนุสสฺ านํ ปโิ ย โหต ิ ย่อมเปน็ ท่ีรักของมนษุ ย์ ๕. อมนสุ สฺ านํ ปิโย โหต ิ เปน็ ท่ีรกั ของอมนษุ ย์ ๖. เทวตา รกฺขนฺต ิ เทวดายอ่ มรักษา ๗. นาสฺส อคฺคิ วา วิสํ วา สตถฺ ํ วา กมติ ไฟก็ตาม พิษก็ตาม ศสั ตราก็ตามยอ่ มไมล่ ่วงถงึ ผ้นู นั้ ๘. ตุวฏํ จติ ตฺ ํ สมาธยิ ต จิตย่อมตง้ั ม่ันเปน็ สมาธิได้สะดวก ๙. มขุ วณโฺ ณ วปิ ฺปสีทต ผิวหน้าย่อมผ่องใส ๑๐.อสมมฺ ุฬฺโห กาลํ กโรติ ไม่หลงทำ�กาล ๑๑.อุตฺตรึ อปปฺ ฏวิ ชิ ฺฌนโฺ ต พฺรหฺมโลกูปโค โหติ เม่อื ยังไม่ตรัสรูธ้ รรม พิเศษอนั สูงข้ึนไป ก็ย่อมเป็นผเู้ ขา้ ถึงพรหมโลก ๐๘๔ พรหมวหิ ารธรรม
แม้ผูบ้ �ำ เพญ็ กรณุ า มทุ ิตา อเุ บกขา ก็ยอ่ มไดอ้ านสิ งส์ ๑๑ ประการนีเ้ หมือนกัน พรหมวิหารทงั้ ๔ คือ เมตตา กรุณา มทุ ติ า อเุ บกขา ดังพรรณนามานี้ ชือ่ ว่าเป็นพระธรรมปริยายหนงึ่ ยอ่ มยงั ผูป้ ฏบิ ตั ติ ามใหไ้ ด้ธรรมปีต ิ คอื ความอ่มิ ใจอาศัยธรรมว่า ไดป้ ระพฤติดงี าม มีใจผ่องใส ได้รบั ความสขุ ในระหวา่ งทีป่ ระพฤตปิ ฏบิ ัตเิ สมอไป สมด้วยนัยแห่งพระพทุ ธภาษติ คาถาว่าธมมฺ ปีติ สุขํ เสต ิ วิปฺปสนเฺ นน เจตสาผู้มีปิติความเอิบอมิ่ ใจในธรรม ยอ่ มมใี จผ่องใส อยู่สบายทกุ อริ ยิ าบถ (วชิร. ๑๙๕-๑๙๘)พรหมวหิ ารธรรม ๐๘๕
ปารมี หรอื บารมี บารมี น้นั ทา่ นกลา่ ววา่ พระพทุ ธเจ้าเมือ่ ยังไม่ตรัสร ู้ ยังเปน็ พระโพธิสตั วอ์ ยู่ไดท้ รงบ�ำ เพ็ญพระบารมมี าโดยลำ�ดับ จนในท่ีสุดไดบ้ ำ�เพญ็ พระบารมอี ยา่ งสงู สุด กไ็ ด้บรรลุปรมัตถประโยชน ์ คอื ประโยชน์อย่างย่งิ ศพั ท์วา่ ปารมี หรือ เรียกในภาษาไทยว่า บารมี ท่านว่ามาจากศพั ทว์ ่า ปรม ทแี่ ปลว่าอยา่ งย่งิ หรือย่งิ คงม่งุ ถึงทางไป หมายความว่า ดำ�เนินไปในทางดยี ่ิงขึ้นไปโดยล�ำ ดบั แต่ความไม่สู้ชัด, ถา้ ถือเอาความให้ชัดกห็ มายความว่า เกบ็ ดเี กบ็ ถูก ท่านไมไ่ ดแ้ สดงไว้ถงึ ธรรมสว่ นช่วั ทต่ี รงกันขา้ ม แต่เม่ือพิจารณาดู นา่ จะเหน็ ว่าตรงกันขา้ มกบั สว่ นชวั่ ซึง่ เรียกว่า อาสวะ เพราะ อาสวะ แปลว่า หมักหมม หรอื ดอง กค็ อื เก็บน่ันเอง แตว่ า่ อาสวะเก็บชัว่ เกบ็ ผิด สว่ นบารมีเกบ็ ดเี กบ็ ถกู พจิ ารณาดูไม่ใช่ตวั กรรมทีเดยี ว แตเ่ น่อื งไปจากกรรม เช่นคนท�ำ ดที เี่ รยี กว่า เปน็ บญุ เปน็ กศุ ล ผลที่ดีกป็ รากฏเกดิขึน้ ตามเหต ุ เมอ่ื เสร็จแล้วก็แล้วไป แต่ความคนุ้ เคยในทางดีหรือคนุ้ เคยในทางบุญทางกุศลยังมอี ยไู่ ม่สูญไปตาม นเี่ ปน็ ชนิดบารม ี คนท�ำ ชัว่ ที่เรยี กวา่ เป็นบาป ผลช่ัวก็เกดิ ขน้ึ เมอื่ ส�ำ เร็จไปแลว้ ก็เป็นหมดเร่ืองของกรรมและผล แต่ความคนุ้ เคยในทางช่วั ยงั มอี ย ู่ นี่เปน็ ชนิดอาสวะ นกึ ดถู งึ คนเราในคราวทม่ี เี หตุอะไรมาประสบ จ�ำ จะต้องท�ำ กิจการงานแกเ้ หตุท่ีมาประสบ หรอื ใหเ้ หตุท่มี าประสบลุลว่ งไป เราไม่เคยตง้ั ใจวา่ จะท�ำ ดที �ำ ช่วั รา้ ย แต่วา่ ในเวลาเชน่ น้ัน บางคราวกเ็ ห็นทางทจ่ี ะท�ำ ดีทำ�ชอบ แล้วกท็ ำ�ไป บางคราวก็ใหเ้ ห็นทางชวั่ ทางผิด แลว้ ก็ท�ำ ไป เพราะฉะนน้ั บารม ี กบั อาสวะ เกบ็ ดเี ก็บชัว่ จงึ เปน็ คู่กัน แตต่ รงกันขา้ ม เหมือนดังคนทห่ี ลงทางไปคนเดยี วในปา่ และตอ้ งการกินอาหาร นี่มเี หตเุ กิดขึน้ ก็จำ�ตอ้ งแสวงหาอาหาร ถ้าบารมีสง่ อดุ หนุน กใ็ ห้แสวงหาอาหารในทางดีเชน่ เกบ็ ลูกไมใ้ บไมท้ ีพ่ อจะกนิ ได้กินแก้หิว ถ้าอาวสะเกดิ ขึน้ กใ็ ห้มุ่งที่จะฆา่ สัตว ์ มงุ่เอาเน้อื มาเปน็ อาหาร ลองพิจารณาดูเราเอง ในเวลาท่มี เี หตุมาประสบแล้ว ท�ำ อะไรลงไปเพ่ือแกเ้ หตุนนั้ กเ็ ปน็ ได้ทงั้ สองทาง ทางดีก็ได้ทางช่วั กไ็ ด้.บารมี ท่านจัดไว้ ๑๐ ประการ คือ: ๑. ทานบารม ี หมายถงึ การใหร้ วมท้ังจาคะด้วย เม่อื ทานเป็นกรรมท่ีดี เป็นบุญกใ็ ห้ผลดี ความคุ้นเคยในทางทานกย็ ่อมมสี ืบตอ่ ไป กำ�จัดความตระหนี่เหนยี วแน่นที่นอนจมอย่ ู อนั จดั เป็นอาสวะชนดิ หน่ึง. ๒. ศลี บารมี ศลี หมายถงึ การตง้ั ใจรักษาศลี ชั้นใดก็ตาม กำ�จัดความคดิ ลว่ ง ๐๘๗บารมี ๑๐
ศลี หรือทุศลี เสียได้ ความคุน้ เคยในศลี จนจิตเป็นปกติ ไมค่ ิดล่วง ๓. เนกขัมมะบารมี หมายถงึ ความออกไป ความคดิ หลกี ออกจากทกุ ข์ หรือ ความยงุ่ เหยิงตา่ ง ๆ เปน็ เคร่อื งกำ�จดั ความหมกมุน่ พัวพันที่เคยมอี ยู่ ๔. ปัญญาบารมี หายถงึ ความรู้ พจิ ารณาจนเกดิ ความรจู้ ริงเหน็ จรงิ ขึน้ เปน็ เครอื่ งก�ำ จดั ความรชู้ ว่ั รผู้ ดิ หรอื ไมร่ ู้ ความฉลาดเพราะคนุ้ เคยในปญั ญา นเี้ ปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ัตชิ อบโดยตรง ๕. วิรยิ ะบารมี หมายถึง ความบากบนั่ หรอื ความเพียร ความเปน็ ผู้กล้าหาญ บากบั่นหรือความเพยี ร ว่าถึงผลก็คือก�ำ จัดความเกยี จครา้ น ๖. ขันติบารมี หมายถงึ ความอดทน อดทนไม่ท�ำ ช่วั คือ ไม่ลุอ�ำ นาจของ กเิ ลสทเี่ กิดขึ้นครอบงำ�แลว้ ชักใจใหอ้ ยากท�ำ ชวั่ อดทนไว้ไมท่ �ำ ช่ัว และอดทนท�ำ ดี แม้ไมช่ อบใจทจ่ี ะท�ำ ดี ก็อดทนทำ� ๗. สัจจบารมี หมายถึง ความจรงิ ใจ ใจจรงิ อยวู่ ่าจะทำ�อยา่ งไรไมเ่ ปล่ยี น ความจรงิ ใจ ๘. อธิษฐานบารมี หมายถงึ ความตง้ั ใจ ความตั้งใจมน่ั ต้งั ใจว่าจะทำ�อะไร ก็ทำ�ไป กำ�จดั ความคลอนแคลนแปรปรวน ๙. เมตตาบารมี หมายถงึ ความปรารถนาสุขแผไ่ ปถึงคนและสตั ว์อนื่ ๑๐.อเุ บกขาบารมี หมายถงึ ปญั ญาทพี่ ิจารณาเห็นดชี วั่ ผิดถูกตามเป็นจริงแล้ว วางใจเปน็ กลางหรือไม่ทำ�ใหเ้ ป็นไปดว้ ยอ�ำ นาจโลภะ โทสะ โมหะ เปน็ เครอ่ื งกำ�จดั กิเลส ทท่ี �ำ ให้ยินดียนิ ร้ายและงมงาย หรอื กิเลสอ่นื เสียได ้ เพราะวางใจเปน็ กลาง ทา่ นวางล�ำ ดับไว ้ วริ ิยะ ขนั ติ สัจจะ อธษิ ฐานะ เมตตา อเุ บกขา ต่อจากปญั ญาออกมา เพราะฉะนนั้ จงึ สันนิษฐานเห็นวา่ ทง้ั ๖ บารมีน้เี ปน็ อปุ การธรรม ธรรมเป็นเครื่องอดุ หนนุ คอื อดุ หนุนทจี่ ะให้ทาน ศีล เนกขมั มะ ปญั ญา เกดิ เจริญสืบตอ่ กันไปจนกว่าจะถึงทส่ี ดุ เพราะถึงต้ังใจให้ทาน ต้ังใจรักษาศีล ต้งั ใจออกจากความหลง หรือออกจากทกุ ข์ ตั้งใจพจิ ารณาเพอ่ื ให้รู้เหน็ ตามเปน็ จริง แตถ่ า้ ขาดวริ ยิ ะ สันต ิ สัจจะ อธษิ ฐานเสียแลว้ ก็ไมส่ ำ�เรจ็ ส่วนเมตตา กเ็ ปน็ เครือ่ งก�ำ จัดพยาบาททเ่ี กิดขึน้ แลว้ จะทำ�ใจให้ไปปองร้าย อุเบกขาเมื่อเกิดขน้ึ กก็ �ำ จัดกเิ ลส ยนิ ดียินรา้ ยหลงงมงาย รวมความวา่ สว่ นท่ีชัว่ ทตี่ รงกันขา้ มอันนอนหมักหมมอย่จู ัดเป็นอาสวะ สว่ น๐๘๘ บารมี ๑๐
ดที น่ี อนหมักหมมอยู่ทเ่ี ก็บไว้จดั เปน็ บารม ี ทา่ นจัดบารมไี วเ้ ป็น ๓ ชนั้ คือ ๑. สามญั บารมี บารมีช้ันนตน้ หมายถึง การให้ ให้พัสดุส่ิงของตา่ งๆ ๒. อปุ บารมบี ารมี บารมชี ั้นกลาง หมายถงึ ใหล้ กู ใหเ้ มียเปน็ อุปบารมี ๓. ปรมตั ถบารมบี ารมี บารมีช้นั สูงสดุ หมายถึง ให้ชีวิต เชน่ ควักลูกตาให้ผอู้ น่ื ท่ีตาบอดเพ่ือให้เขามตี าดี หรอื แลเ่ นอ้ื ใหค้ นทอี่ ดอยากจนตวั ตาย แตพ่ จิ ารณาดูแล้วไม่น่าจะเป็นเชน่ น้ัน คนหนึ่งตาบอดจะควกั ตาคนตาดไี ปใส่คนตาบอดจะเหน็ ไดอ้ ยา่ งไร ในชาดกทศชาติ คอื ๑๐ ชาติ เชน่ ชาติทเ่ี ปน็ พระเวสสันดรนนั้ ใหล้ ูกให้เมียทา่ นจัดวา่ เปน็ อุปบารมี แต่ถ้าพจิ ารณาจัดในชาตปิ ัจจุบนั ก็จะพอเหน็ได้คือ พระโพธิสตั ว์เมื่อทรงครองสมบตั ิอยไู่ ม่ตระหนีเ่ หนยี วแนน่ แผเ่ ผื่อเจือจาน เปน็ ทานบารมี ตงั้ ใจประพฤติดีประพฤตชิ อบ เวน้ ประพฤตชิ วั่ ประพฤตผิ ดิ เปน็ ศีลบารมี มงุ่ ทจี่ ะออกจากความยุ่งเหยงิ พัวพนั มีอยูใ่ นใจเรยี กว่า เนกขมั มบารมี ม่งุ ทีจ่ ะรจู้ ริงเหน็ จริงเป็น ปัญญาบารมีสว่ นบารมอี กี ๖ ก็อดุ หนุนบารมที ้ัง ๔ ข้างตน้ จงึ ให้ทรงปฏบิ ตั อิ ยูเ่ ช่นนน้ั ได้ ต้ังแต่เสด็จละสมบัตขิ องผคู้ รองเรอื นออกไปแสวงหาโพธ ิ คอื ปญั ญาเปน็เครอ่ื งตรัสร้ ู หรือความตรสั รไู้ ปจนเมื่อจวนจะตรสั ร ู้ แตย่ ังไม่ตรสั รู้จัดเปน็ อปุ บารมีบารมีทจ่ี วนท่ใี กล้ ในเวลาท่ตี รัสรู้ พระบารมที ัง้ ๑๐ เจริญเต็มทเี่ ปน็ ปรมัตถบารมี ก็ได้ปรมัตถประโยชน์ คือ วิชชาวิมตุ ติ เป็นพระพุทธเจ้า เป็น พทุ โธ ถ้าจดั เชน่ นี้เห็นความได้ดี ท่านแสดงว่า พระพทุ ธเจา้ บ�ำ เพญ็ พระบารมีเป็นพื้นเพอยู่ แต่เปน็ บารมสี ามัญ ยิง่ข้ึนไปเป็นอปุ บารมี สงู สดุ เปน็ ปรมัตถบารมี นกึ ดูในเวลาทจี่ วนตรสั รตู้ อ้ งผจญมารน้ัน ก็ตอ้ งใช้ปรมตั ถบารม ี คือ ทาน สละหมดจนถงึ ชีวิต ตายเป็นตาย ทที่ า่ นแสดงไว้ว่าตัง้ จาตรุ งคมหาปธาน ความเพียรใหญ่ ๔ ถา้ ไมต่ รสั รจู้ ะไมท่ รงคลายบลั ลังก ์ คอื นั่งขัดสมาธิอย ู่ จติ ของพระองคก์ ็เป็นปกตไิ ม่หวนั่ ไหวเปน็ ศลี ความคดิ สละสง่ิ ท่พี วั พันหรอืความพวั พันออกไป แนว่ แน่อย่ใู นใจเป็นเนกขัมมะ พจิ ารณาดูจนร้เู ห็นความเปน็ จรงิ เป็นปญั ญา บารมอี กี ๖ กเ็ ปน็ อปุ การะ. บารม ี กบั อาสวะ เปน็ คู่กันอยเู่ สมอ, ในชัน้ ต้นท่านแสดงว่า อวชิ ชา ความไมร่ ู้ ๐๘๙บารมี ๑๐
เป็นตน้ เดิม ออกมาก็เปน็ ความรู้ผิดจากความจริง เมอื่ รู้ผิดจากความจริงก็ท�ำ ผดิ เมอ่ื ทำ�ผดิ กใ็ ห้ผลท่ีไม่ชอบใจ คือ เป็นผลทผ่ี ิด ความรู้ถูกเกิดขน้ึ แก้ความไม่รู้เดิมหรือรผู้ ิดเสือ่ มไปทลี ะนอ้ ยทลี ะน้อยเชน่ เด็กแรก ๆ เกดิ มาไม่รูว้ า่ ไฟเปน็ อยา่ งไร นเี่ ป็นอวิชชาชนดิ หนึง่ , เมอื่ เห็นไฟก็ไม่รู้ว่าไฟร้อน นี่อวชิ ชา ออกมาร้ผู ิดจากความจรงิ เพราะไม่รู้วา่ ไฟรอ้ นกถ็ กู ไฟหรือจับไฟเขา้ ความร้อนกเ็ กิดขึน้ นใ้ี หเ้ กดิ ความรู้ รวู้ ่าไฟร้อน เม่ือรู้เช่นนแ้ี ลว้ จะไม่จับไฟ หรือป้องกนั ไมใ่ ห้ไฟมาถกู ตวั อกี นเ่ี ปน็ ความฉลาด, ความรูถ้ ูกทีเ่ กิดขนึ้ แกค้ วามรูผ้ ดิ เปน็ ตัวกรรม ความฉลาดที่มีเกบ็ อย่ไู ม่สูญไป น่ันเป็นบารมี ในข้ออน่ื ๆ หรอื ในทางอน่ื ๆ ก็เปน็ เชน่ น้ีแหละ คนเรียนอะไร ตา่ งๆ เมื่อเรียนก็แก้ความไม่รหู้ รือแก้ความร้ผู ดิ ในเวลาที่เรยี น แต่เมื่อเสรจ็ จากการเรยี นแล้ว ความฉลาดทเี่ กดิ ขน้ึ เพราะเรียนไมไ่ ด้สูญไม่ไดด้ ัง ยังคงมีอยู ่ เพราะฉะนั้น ปญั ญาความร้กู ับความฉลาด มอี าการเป็นอนั เดียวกนั แต่รู้เกดิ ข้ึนเพราะเหตุ ฉลาดสืบเนือ่ งไปจากความรู้ คนทศ่ี กึ ษามากไดป้ ัญญาความรูม้ ากกฉ็ ลาดมาก นีว่ า่ ในชาตปิ ัจจุบนั แต่วา่ บางคนพอเกิดมาพดู จาได้แสดงกริ ิยาได ้ ผูใ้ หญเ่ ห็นเขา้ กบ็ อกไดว้ า่ เดก็ คนนีโ้ ง่ เด็กคนน้ีฉลาด แสดงวา่ บารมที ม่ี อี ยูใ่ นเด็กนน้ั ตา่ งกัน: เดก็ ทีพ่ ดู ออกมา หรอื แสดงกิริยาออกมาให้ผูใ้ หญ่ สังเกตได้วา่ โง ่ เพราะมโี ง่อยู่ เด็กที่พดู และแสดงกริ ิยาออกมาให้ผใู้ หญ่สงั เกตได้ ว่าเด็กนฉี้ ลาด ก็เพราะเขามีฉลาดอยใู่ นภายใน แต่จะไปผ่าดวู ่าฉลาด โง ่ อยู่ท่ีไหน หาไม่เห็น บารมีคู่กับอาสวะแต่ตรงกันข้ามเชน่ น ี้ ท่านจึงแสดงวา่ บารมเี กิดข้นึ ดว้ ยความรู้ เม่อื คนเราพบเหน็ ว่าอะไรตา่ งๆ เกิดความรขู้ ึ้นก็แก้ความไม่รู้หมดไปทีละนอ้ ยเปน็ อนั ก�ำ จดั อาสวะออกไปทลี ะน้อย ในทส่ี ุดมบี ารมีเต็มทเี่ ป็นปรมัตถบารมี กก็ �ำ จดั อาสวะดว้ ยประการทง้ั ปวง ( โอ.๒/๑๓๑-๑๓๗ ) ๐๙๐ บารมี ๑๐
พระแก้วแดง พระแกว้ แดง คอื พระพทุ ธรปู ปาง “พระมหาจกั รพรรด”ิ ทต่ี ้งั เด่นเป็นสงา่อยภู่ ายในบษุ บก กลางถำ้�ใหญ่ วดั ถ้ำ�เมอื งนะ ความสำ�คญั ของพระแกว้ แดงนี้มีมาก หลวงตากลา่ วว่า พระแกว้ แดงเป็นท่ีรวมบารมีของพระศรอี ารยิ ะเมตตรยั ไวท้ ัง้ หมด มีกำ�ลงั มาก เพราะนอกจากจะเปน็ ที่รวมบารมรี วมของพระศรอี าริยะเมตตรยั แล้ว ยังเปน็ท่ีรวมบารมีรวมของเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหมดทั้งมวลท่ีมีกระแสเกี่ยวเน่ืองกับพระศรีอารยิ ะเมตตรยั ทเ่ี ปรยี บเสมือนพระโพธสิ ตั ว์ร่นุ พ่ ี พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์จะมีพระแก้วคู่บารมีซึ่งมีลักษณะเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องเหมือนพระแกว้ มรกต ซงึ่ พระพุทธเจ้าองคป์ ัจจบุ นั ของเรา พระองค์ทา่ นก็มีพระแก้วคบู่ ารมเี ป็นสเี ขยี ว บญุ บารมที ี่อยู่ในทุกอณขู องโลกธาตุน้ี คอื บารมขี องเหล่าพระโพธสิ ัตวท์ ุกพระองค์ ท้งั ท่านทีม่ ีบารมเี ต็มแล้ว รอมาตรสั รู้เป็นพระพทุ ธเจ้าในอนาคตกาลข้างหนา้และท่านท่ียงั ต้องเพียรสร้างบารมอี ีกมากมายหลายภพหลายชาติ บารมรี วมทั้งหมดท้งั มวลของเหล่าพระโพธสิ ัตวน์ ้ันจะฝากกระแสไว้ทพี่ ระแกว้ แดงนแ่ี หละ ซ่ึงเหล่าพระโพธสิ ตั วฝ์ ากกระแสไวก้ ับพระศรีอารยิ ะเมตตรยั โพธสิ ตั ว์ ซึง่ พระองค์จะเปน็ พระโพธิสัตวอ์ งค์ล่าสดุ ทจ่ี ะมาตรสั รกู้ าลขา้ งหนา้ พอถงึ กาลข้างหนา้ เมอื่ ส้นิ ยคุ พระศรอี าริยะเมตตรยั เหล่าพระโพธสิ ัตว์ทง้ัหลายก็จะฝากกระแสบารมีรวมทั้งหมดไว้ท่ีพระแก้วคู่บารมีของพระโพธสัตว์องค์ต่อไปทจี่ ะมาตรสั รู้ตอ่ จากพระศรีอารยิ ะเมตตรยั ซ่ึงสขี องพระแก้วก็จะเป็นสเี ฉพาะของพระโพธิสัตว์พระองค์น้ัน เป็นการฝากกระแสพทุ ธภมู ติ ่อกนั ไปเปน็ ทอดๆ จะเห็นไดว้ า่ เหลา่ บรรดาพระโพธิสัตวท์ ้ังหลายน้นั สรา้ งบารมีกนั เปน็ เครอืข่าย จะชว่ ยเหลอื กนั มกี ารฝากกระแสกนั และกัน เหลา่ โพธิสตั วจ์ ึงมีการตอ่ กระแสกนั ไปเรอื่ ยๆ เพราะตอ้ งลงมาเกิดเพื่อสรา้ งบารมีกนั ตลอด เหมอื นหลวงตาม้า ทมี่ าต่อกระแสหลวงปู่ดู่ เนื่องจากวิชาการสรา้ งบารมขี องพระโพธิสัตวน์ ตี้ อ้ งเรยี นกับพระโพธิสตั ว์ดว้ ยกันเท่านัน้ เปน็ ใบไม้นอกกำ�มือ เป็นวชิ าท่สี มเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจา้มิไดแ้ สดงไว้หากแต่มอี ยจู่ ริง.พระแกว้ แดง ๐๙๓
๐๙๔ คติธรรมค�ำ สอนหลวงป่ดู ู่
คติธรรมคำ�สอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ “การปฏบิ ัติธรรมก็เหมอื นกบั การปลกู ตน้ ไม ้ ศลี คอื ดิน สมาธิ คือ ล�ำ ตน้ปัญญา คือ ดอก ผล เราต้องการให้ต้นไมเ้ จริญงอกงามกต็ อ้ งหมั่นรดน้�ำ พรวนดนิ และต้องคอยระมัดระวังมิให้ตวั หนอนคอื โลภ โกรธ หลง มากดั กนิ ” “การปฏิบตั ิ ถ้าอยากเปน็ เรว็ ๆ มนั ก็ไมเ่ ปน็ หรอื ไม่อยากใหเ้ ป็นมันกป็ ระมาทเสีย เลยไม่เป็นอีกเหมอื นกัน อยากเปน็ ก็ไม่วา่ ไมอ่ ยากเปน็ ก็ไม่วา่ ทำ�ใจใหเ้ ป็นกลางๆต้ังใจใหแ้ นว่ แนใ่ นกรรมฐานท่ตี ้ังไว้ ภาวนาเร่อื ยไป เหมอื นกบั เรากนิ ข้าว ไมต่ อ้ งอยากให้มันอม่ิ คอ่ ยๆ กินไป มันก็อิม่ เอง ภาวนาก็เช่นกนั ไมต่ ้องคาดหวังใหม้ นั สงบ หนา้ ท่ีของเราคือภาวนาไป ก็จะถงึ ของดีของวเิ ศษในตวั แลว้ เราจะรู้ชัดวา่ อะไรเป็นอะไร ให้หม่นั ทำ�เร่อื ยไป” “ในทางโลก... ก็อาศัยทีค่ รเู ขาหลอกหดั ให้เขยี นโน่น... อ่านน.ี่ .. ในทางธรรมก็เหมอื นกัน ตอ้ งตัดความลังเลสงสยั ปฏบิ ตั ิอย่างครูอาจารย์ท่านสอน มันถงึ จะได้ดใี นบนั้ ปลาย” “ครอู าจารย์มีอยู่มากก็จรงิ แต่สำ�คญั ที่เราต้องปฏบิ ตั ิให้จรงิ สอนตวั เองใหม้ ากนั่นแหละจงึ จะดี” “ศีล สมาธิ ปญั ญา ก็เหมอื นรสแกงส้ม ศลี เปรียบได้กบั รสเปรยี้ ว ความเปร้ยี วท�ำ หนา้ ทีก่ ัดกร่อนความสกปรกออก ท�ำ นองเดยี วกัน ศลี จะชว่ ยขัดเกลาความอยาบออกจากทางกาย วาจา ใจ สมาธิ เปรียบได้กับรสเค็ม เพราะความเค็มช่วยรักษาอาหารต่างๆไมใ่ ห้เนา่ เสีย สมาธิกเ็ หมือนกัน สามารถรัษาจิตของเราให้ตัง้ มนั่ อยใู่ นคุณงามความดีได้ ปัญญา เปรยี บไดก้ ับรสเผ็ด เพราะปญั ญามลี ักษณะคิด อ่าน ตริตรอง โลดแลน่ ไปเพอื่ ขจดั อวิชชา ความหลง” “รวยกบั ซวยมันใกล้กนั นะ จะเอารวยน่ะ จะหามายงั ไงก็ทุกข์ กลัวคนมาจีม้ าปลน้ หมดไปกเ็ ป็นทุกขอ์ ีก ไปคดิ ดเู ถอะ... มนั ไมจ่ บหรอก มแี ตเ่ ร่ืองยุ่ง เอา ดี ดกี วา่ ” ๐๙๕คติธรรมค�ำ สอนหลวงปดู่ ู่
“ของดีอยทู่ ่ตี วั เรา หมัน่ ท�ำ (ปฏบิ ัต)ิ เขา้ ไว”้ “หมัน่ ทำ�เข้าไว้ ใหห้ มั่นดูจิต รกั ษาจิต” “นัง่ ไปเถอะ สวา่ งกไ็ ดบ้ ญุ มืดกไ็ ดบ้ ุญ” “ของดีอยูท่ ี่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยทู่ ตี่ วั เรา” “ของจริง... ตอ้ งหมน่ั ทำ�” “ขยันกใ็ ห้ท�ำ ขเ้ี กยี จ กใ็ ห้ทำ�” “ทีแ่ กปฏิบัติอยู่ใหร้ ู้ไว้ว่า ไมใ่ ชเ่ พือ่ ขา้ แต่เพอ่ื ตัวแกเอง” “โลกเท่าแผน่ ดิน ธรรมเท่าปลายเขม็ เรื่องโลกมีแตเ่ รื่องยุ่งของคนอ่นื ท้ังน้นัไมม่ ที ส่ี นิ้ สุด เราไปแกไ้ ขเขาไมไ่ ด ้ ส่วนเรือ่ งธรรมนน้ั มีท่สี ุด มาจบท่ตี วั เรา ให้มาไล่ดูตวั เองแก้ไขตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนดว้ ยตนเอง ถา้ เปน็ โลกแลว้ จะมีแต่สง่ ออกไปข้างนอกตลอดเวลา แต่ถ้าคดิ ส่งิ ที่เป็นธรรมแล้ว ต้องวกกลับเขา้ มาหาตวั เอง เพราะธรรมแท้ๆ ยอ่ มเกดิ ในตัวของเรานี่ทั้งน้นั ” “ อยากไปนพิ พาน... แต่ศีลห้า... ยังรักษาไมไ่ ด.้ .. จะไปไดอ้ ย่างไร” “รอให้แก่เฒ่าหรือจวนตวั แลว้ จึงสนใจภาวนา กเ็ หมือนคนหดั ว่ายนำ�้ เอาตอนเรอื หรือแพใกล้แตก มันจะไมท่ ันการณ์” “คนเราเกดิ มา ไม่เห็นมีอะไรดี มดี ีอยอู่ ย่างเดียว สวดมนต์ ไหว้พระ ปฏบิ ตั ิภาวนา” “ของดีนัน้ อยทู่ ี่เรา พทุ ธัง ธมั มัง สังฆงั นี่แหละของด”ี ๐๙๖ คตธิ รรมค�ำ สอนหลวงปดู่ ู่
“คนเราเกิดมาไม่เห็นมีอะไรดี มดี อี ยู่อย่างเดียว คอื สวดมนต์ไหวพ้ ระปฏบิ ัติภาวนาคือ มองทกุ สิง่ ทกุ อยา่ งในโลกเปน็ ของช่วั คราว มีแตป่ ญั หามีแตท่ ุกข์ แลว้ กเ็ สื่อมพังสลายไปในที่สดุ ” “ติดวตั ถมุ งคล ดกี ว่าตดิ วตั ถุอัปมงคล” “คนเราต้องทำ�ให้ดี เมื่อดแี ลว้ จงึ รวย แลว้ จะไดไ้ ม่ซวย” “แกร้เู หรอเรือ่ งแตก่ อ่ น ไม่ตอ้ งไปสนใจเพราะเราร้ไู ม่ได้ เอาชาตนิ ใี้ หม้ ันด ีไมต่ ้องคดิ ถงึ ชาติกอ่ น อยา่ ท้อถอยท�ำ ไปเดยี๋ วกด็ ีเอง” “ตราบใดกต็ ามท่แี กยงั ไมเ่ ห็นความดใี นตัวเองก็ยงั ไม่นบั ว่าแกร้จู ักข้า แต่ถ้าเม่อื ใด แกเร่ิมเห็นความดีในตัวเองแลว้ เม่อื น้ันข้าวา่ แกเริม่ รจู้ กั ขา้ ดขี ้ึนแล้วละ่ ” “สู้แค่ตาย” “เรื่องอะไรข้าจะไปนิพพาน ขา้ หวังเป็นนายร้อย ไมใ่ ชห่ วังเปน็ นายสิบ คนอย่างขา้ ตอ้ งหกั ยอดฉตั ร จงึ สมใจ” “จะไปไดอ้ ย่างไร คนนก้ี เ็ รียก คนนั้นก็รอ้ ง ข้าไปแค่หวั ตะพานกพ็ อ ดอู ย่างหลวงปู่ทวดซิ มีคนเรยี กรอ้ งทา่ นมากมาย บารมีทา่ นเตม็ ทอ้ งฟา้ อย่างข้าเอง คนไหน “แวบแรกทีแ่ กนกึ ถึงข้า แกอาจเหน็ ขา้ เป็นเครอ่ื งมือท่ที �ำ ใหแ้ กเก่งขึน้ แตแ่ วบแรกทีข่ า้ นึกถงึ แก ขา้ คิดว่าแกเป็นลูก” “ทีแ่ กทำ�ๆไปนัน้ มนั สญู เปลา่ ชีวติ จะมีคา่ ก็ตอนไหวพ้ ระ สวดมนต์ ทำ�ภาวนาเทา่ นนั้ ” “ให้หาพระเก่าให้พบ นีซ่ ิ ของแท้ ของดจี ริง” ๐๙๗คตธิ รรมค�ำ สอนหลวงปู่ดู่
“ของดตี ้องใชใ้ หเ้ ปน็ จึงจะรู้ว่าเปน็ ของด”ี “ถา้ แกแผ่ บญุ เองไม่ได้ แกนึกถึงข้านี่ ขา้ แผใ่ ห้แกได”้ “พระจะดีตอ้ งหมดอยาก ถ้ายงั อยากอยู่กไ็ ม่ใช่พระดี” “ถงึ วนั หนึ่งข้างหน้า...เอง็ ท�ำ ให้ไดอ้ ยา่ งขา้ ก็แลว้ กัน” “ให้หาพระเก่าให้พบ นี่ซิ ของแท้ ของดีจริง” “เอง็ ดูขา้ เป็นแบบอยา่ ง” “คดิ ถงึ ข้า ขา้ ก็คดิ ถึงเขา คนไหนไม่คิดถงึ ข้า ข้าก็คิดถึงเขา เพราะในวนั หนึง่ ๆข้าต้องอธษิ ฐานไปให้หมู่คณะทุกวนั ไมเ่ คยขาด วนั ละ ๓ ครั้ง เขาจะไดไ้ ม่เป็นอนั ตรายทง้ั เช้ามดื ตอนเยน็ ตอนกลางคนื กอ่ นนอน เพ่อื เปน็ การช่วยเหลอื หม่คู ณะ” “คดิ ถึงพระครงั้ หนงึ่ บารมพี ระมาถึงเราไปกลบั ๗ เทยี่ ว รวมแล้ว ๑๔ ครัง้ ได้กำ�ไรดีไหมล่ะ นม่ี ใี นพระไตรปฎิ ก พระพุทธเจา้ บอกกับพระอานนท์ ถ้าเราคิดถึงพระไดเ้ หมอื นกับคดิ ถงึ แฟนเมอื่ ไหร่ แสดงว่าจะดแี ลว้ ” “สมมุตแิ ละวิมตุ ิ ต้องสมมตุ ิข้นึ กอ่ นจงึ จะเปน็ วิมตุ ิได้ เช่น การทำ�อสุภะหรือกสณิ ตอ้ งอาศยั สญั ญาและสงั ขารน้อมนกึ เปน็ นิมิตข้ึน ในข้นั น้ีไม่ควรสงสยั ว่านมิ ิตนนั้เป็นของจรงิ หรอื ของปลอม มาจากภายนอกหรือออกมาจากจิต เพราะเราจะอาศยั สมมตุ ิตวั น้ีทำ�ประโยชน์ คอื ยงั จติ ใหเ้ ป็นสมาธแิ น่วแน่ขน้ึ แตก่ ็อย่าส�ำ คัญมั่นหมายว่าตนรู้เห็นแลว้ ดีวเิ ศษแลว้ การนอ้ มจิตตัง้ นิมิตเปน็ องคพ์ ระ เปน็ สง่ิ ทีด่ ีไม่ผดิ เป็นศุภนมิ ติ คอืนมิ ิตท่ีดี เมือ่ เห็นองค์พระ ให้ต้งั สตคิ มุ เข้าไปตรงๆ (ไม่ปรงุ แต่ง หรืออยากโนน้ นี้) ไม่ออกซา้ ย ไมอ่ อกขวา ทำ�ความเลอ่ื มใสเขา้ เดนิ จิตให้แนว่ แน่ สตลิ ะเอยี ดเขา้ ตอ่ ไปกจ็ ะสามารถแยกแยะหรือพิจารณานิมิตให้เป็นไตรลักษณ์จนเกิดปัญญาสามารถจะก้าวสู่ วมิ ตุ ิไดก้ เ็ หมือนแกเรยี นหนังสอื ทางโลกแหละ มาถงึ ทุกวนั นี้ได้ ครเู ขากต็ อ้ งหดั หลอก๐๙๘ คตธิ รรมคำ�สอนหลวงปดู่ ู่
ใหแ้ กเขยี นหนงั สอื หดั ให้แกอา่ นโน่นนี่ มันถึงจะไดด้ ีในบ้นั ปลาย นี่ข้าเปรยี บเทียบแบบโลกให้ฟงั ” “ดขู ้างนอกแลว้ ย้อนมาดูตวั เรา เหมอื นกันไหม” “การมาอยูด่ ว้ ยกนั ปฏิบัติดว้ ยกันมากเข้า ยอ่ มมเี รอ่ื งกระทบกระท่ังกนั เปน็ธรรมดา ตราบใดที่ยงั เป็นปุถชุ นคนธรรมดาอยู่ ทฐิ คิ วามเหน็ ย่อมตา่ งกัน ขอใหเ้ อาแต่สว่ นดมี าสนบั สนุนกนั อยา่ เอาเลวมาอวดกนั ” “การปรามาสพระก็ดี การพูดจาจว้ งจาบในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือท่านท่ีมศี ีลมธี รรมกด็ ี จะเปน็ กรรมติดตวั เรา และขัดขวางการปฏบิ ตั ิธรรมในภายหน้า ดังนัน้ หากเห็นใครทำ�ความดี กค็ วรอนโุ มทนายินดีด้วย แมต้ า่ งวัด ตา่ งสำ�นกั หรือแบบปฏิบตั ิต่างกนั กต็ ามไม่มใี ครผิดหรอก เพราะจดุ มงุ่ หมายต่างก็เป็นไปเพอ่ื ความพน้ทุกขเ์ ช่นกัน เพยี งแต่เราจะทำ�ให้ดี ดยี ิ่ง ดที สี่ ุดเท่านน้ั ” “โกรธ โลภ หลง เกิดขึ้น ให้ภาวนา แลว้ โกรธ โลภ หลงจะคลายลง ขา้ รบั รองถ้าท�ำ แล้วไม่จริง ใหม้ าดา่ ขา้ ได้” “จะเอาไปท�ำ ไม ของดีภายนอก ทำ�ไมไม่เอาของดีภายใน พทุ ธงั ธมั มัง สังฆงันี่แหละ ของวิเศษ” “แกยังเชือ่ ไม่จรงิ ถ้าเชอ่ื จริง พทุ ธงั ธมั มงั สังฆัง สรณงั คจั ฉามิ ตอ้ งเชื่อและยอมรับพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ เปน็ ท่ีพึ่ง แทนทีจ่ ะเอาความโลภมาเปน็ ที่พึ่ง เอาความโกรธมาเป็นที่พงึ่ เอาความหลงมาเปน็ ทพ่ี ึง่ ” “คนเรานนั้ ถา้ ไมม่ พี ุทธัง ธัมมัง สังฆัง เปน็ ของดีภายใน ถึงแม้จะได้ของดีภายนอกไปแล้วก็ไมเ่ กดิ ประโยชน์อะไร” “ของท่ีมีมนั ยังไมจ่ รงิ ของจริงเขามี เมอื่ ยงั ไมจ่ ริง มันก็ยงั ไม่ม”ี ๐๙๙คตธิ รรมค�ำ สอนหลวงปดู่ ู่
“ข้าน่งั อยู่ กเ็ หมือนคนคอยบอกทาง เขามาหาขา้ แล้วกไ็ ป” “เห็นดี รู้ดี อย่าเท่ียวแสดงออกหรอื โม้ไป เดย๋ี วดีจะแตก” “ผ้ปู ฏิบตั ิตอ้ งหมั่นตามดจู ติ รกั ษาจิต” “ถ้ากลวั ให้นึกถงึ พระ” “ธรรมน้ันอยู่ฟากตาย” “คนฉลาดนะ่ เขาไม่เคยมีเวลาว่าง”“ข้าไม่มีอะไรให้แก (ธรรม) ที่สอนไปนน้ั แหละใหร้ กั ษาเท่าชีวิต” “ท�ำ อยา่ งไรจึงจะไดเ้ ห็นพระจริงๆ เห็นมแี ตพ่ ระปูน พระไม้ พระโลหะพระรูปถา่ ย พระสงฆ์ ลองกลบั ไปคิดด”ู “แกมนั ดตู ัวเกดิ ไมด่ ตู ัวดับ ไมส่ วย ไมง่ าม ตาย เน่า เหมน็ ใหเ้ ห็นอยา่ งน้ีได้เมื่อไร ขา้ วา่ แกใช้ได\"้ “การปฏิบตั ิ ถา้ หยิบจากตำ�ราโน้นน้ี แบบแผน มาสงสยั ถาม มกั จะโตเ้ ถยี งกนัเปล่า โดยมากชอบเอาจากอาจารย์โนน่ นี่ วา่ อยา่ งนนั้ อย่างน้ีมา การจะปฏบิ ตั ิใหร้ ู้ธรรมเห็นธรรมตอ้ งท�ำ จริง จะได้อยู่ทที่ ำ�จริง ข้าเปน็ คนมีทฐิ ิแรง เรียนจากครูบาอาจารยน์ ้ียังไม่ได้ผล ก็จะต้องเอาให้จริงให้รู้ ยังไมไ่ ปเรยี นกับอาจารยอ์ ื่น ถา้ เกิดไปเรียนกับครูอาจารยอ์ ื่นโดยยังไมท่ ำ�ให้จริง ใหร้ ู้ กเ็ หมือนดูถูกดหู ม่นิ ครูบาอาจารย”์ “คนท่กี ล้าจรงิ ท�ำ จรงิ เพียรปฏบิ ัติอยเู่ สมอ จะพบความสำ�เรจ็ ในท่ีสดุ ถ้าทำ�จรงิ แล้วต้องได้แนๆ่ ” ๑๐๐ คติธรรมคำ�สอนหลวงปดู่ ู่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192