101 อุดรธานี แต่ก็ไม่ทัน หลวงปู่มั่นไปสกลนครได้ ๓ วันแล้ว จึงได้มาท่ ี บา้ นตาดเพื่อทำกลด “...เราก็เดินทางมาจังหวัดอุดรธานี เพ่ือตามหาท่านพระอาจารย์ มั่นใจที่มีความเจริญในทางด้านสมาธิ ก็ปรากฏว่าเสื่อมลงท่ีบ้านตาดซึ่ง เปน็ บา้ นเกดิ ของตน การเสือ่ มทั้งนี้เน่อื งจากทำกลดคันหน่ึงเท่านนั้ และการมาอยู่บ้านตาดยังไม่ถึงเดือนเต็ม จิตรู้สึกเข้าสมาธิไม่ค่อย สนิทดีเหมือนที่เคยเป็นมา บางครั้งเข้าสงบได้ แต่บางคร้ังเข้าไม่ได ้ พอเห็นท่าไม่ดี จะฝืนอยู่ไปก็ต้องขาดทุนจึงรีบออกจากท่ีน้ันทันทีไม่ยอม อยู่ก่อนนั้นสมาธิไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ แน่นปึ๋งเลยเทียว แน่ใจว่า มรรคผลนิพพานมีแล้วเพราะจิตมันแน่นปึ๋งไม่สะทกสะท้านกับอะไร แมข้ นาดนนั้ กย็ งั เสอื่ มได้ แคท่ ำกลดหลังเดียวเท่าน้ัน…” “...ถา้ วา่ ทางก็ไมเ่ คยเดิน จึงไมร่ จู้ กั วธิ ีรกั ษาเขม้ งวดกวดขนั แลว้ งาน ที่จะทำให้จิตเสื่อมก็คือมาทำกลดหลังหนึ่งเท่าน้ันเอง การภาวนาไม่ค่อย ติดค่อยต่อ ทีแรกมันก็แน่นป๋ึงๆ ของมัน ครั้นนานไปหลายวันไปรู้สึกมี ลักษณะเปลี่ยนแปลง เข้าได้บ้างไม่ได้บ้างอ้าวแปลกแล้ว นี่ละจิตเราจะ เสือ่ มนะนนี่ ะ แลว้ ขยบั เขา้ ใหญ่ รบี รอ้ ยกลดใหเ้ สรจ็ เรยี บร้อย ดไี ม่ดชี ่าง หัวมัน ออกปฏิบัติเลย ต้ังแต่น้ันเส่ือมลงไปเร่ือยๆ จนหมดเนื้อหมดตัว เลยนะ ไมม่ ีอะไรเหลือตดิ ตัว นั่นแหละทม่ี แี ต่ไฟล้วนๆ สุมหวั ใจ เสียดาย กเ็ สยี ดาย ทำความพากเพยี รเตม็ เม็ดเต็มหนว่ ย บางคนื ไม่นอนตลอดรงุ่ พอจิตค่อยก้าวข้ึนๆ ก็พยายามใหญ่เลย พอไปถึงขั้นท่ีมันเคยเส่ือม ไปอยู่น้ันได้เพียงสามวัน สามวันเท่าน้ันแล้วก็เสื่อมมาต่อหน้าต่อตาอย่าง รนุ แรง หกั หา้ มตา้ นทานไม่ได้ ลงถงึ ขดี แหง่ ความหมดราคำ่ ราคา เหลอื แต่ ตัวเปล่าๆ เอ้า ขยับขึน้ อกี ๑๔–๑๕ วนั ไดถ้ งึ ทน่ี นั้ แล้วลงอีก อยู่ได้เพยี ง
102 สามวัน เป็นอย่างน้ีมาเป็นเวลาปีกว่า มันเริ่มเส่ือมตั้งแต่เดือนพฤศจกิ า สว่ น พ.ศ.เทา่ ไรกจ็ ำไม่ได้ จำไดแ้ ตว่ า่ เดอื นพฤศจกิ าจติ เรม่ิ เสอ่ื ม แลว้ ไปฟน้ื ขนึ้ ไดเ้ ดอื นเมษาปหี นา้ นนู้ พฤศจกิ าแลว้ กธ็ นั วา มกรากมุ ภา มนี า เมษา เส่ือมถึงปีหน่ึงกับห้าเดือน นี่ละได้รับความทุกข์ความทรมานเอาอย่าง มาก...” “เป็นภาวะที่จิตรู้สึกเข้าสมาธิไม่ค่อยสนิทเหมือนท่ีเคยเป็นมา บาง คร้ังเข้าสงบได้ แต่บางครั้งเข้าไม่ได้ ภาวะเส่ือมน้ีมันถึงขนาดจะเป็นจะ ตายจริงๆ เพราะทุกข์มาก เหตุที่ทุกข์มากเพราะได้เคยเห็นคุณค่าของ สมาธิท่ีแน่นปึ๋งมาแล้ว และก็กลับเสื่อมเอาชนิดไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว เลยมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาหัวใจตลอดเวลา ทั้งวันท้ังคืน ท้ังยืนท้ังเดิน ทั้งนั่ง ท้ังนอน จึงเป็นทุกข์เพราะอยากได้สมาธินั้นกลับมา มันเป็นมหันตทุกข์ จรงิ ๆ กม็ ีคราวที่จติ เสื่อมน้ันแลทีท่ ุกข์มากทสี่ ุด” “...เรื่องจิตเส่ือมแหม เราเทียบได้อย่างที่ว่า คนที่เคยมีเงินหมื่นเงิน แสนเงินล้าน แล้วไปล่มจมดว้ ยวิธีใดวิธีหน่งึ เหตกุ ารณ์ใดก็ตามนะ แลว้ ก็ ยังมีเหลืออยู่เงินในกระเป๋าหรือเงินในคลังในธนาคารจะเป็นหม่ืนเป็นแสน ก็ตาม จะไม่สนใจกับเงินที่ยังตกค้างอยู่น้ันเลย มันจะไปสนใจกับเงินที่ จำนวนมากซึ่งล่มจมไปแล้วนั้น จิตมันอยู่นู้นนะ ผู้นี้ละผู้เดือดร้อนมาก ตาสีตาสาอยู่ตามท้องนาเขาหาเช้ากินเย็น วันหน่ึงเท่าไร เขาไม่ได้เป็น ทุกข์นะ ผู้ท่ลี ม่ จมด้วยเงินหมื่นเงินแสน จมลงด้วยเหตุการณ์ใดก็ตาม แม้จะมีเงินอยู่ในคลังเป็นหม่ืนเป็นแสนก็ตาม เงินที่เป็นล้านๆ จมลง ไปแล้วจิตจะไปอยู่ท่ีน่ัน เสียดายอยากได้กลับคืนมา แล้วจะหาวิธีการใด ถึงจะได้อย่างน้ันคืนมาอีก น้ีร้อนเป็นไฟนะ เงินล่มจมลงไปเป็นล้านๆ จนไม่มีอะไรติดตัว เงินท่ีเหลือในธนาคารเป็นหม่ืนเป็นแสนไม่มีความ
103 หมายนะ มนั ไปอยู่โนน้ หมด น่ีละเปน็ ทกุ ขเ์ พราะอันนี้ แลว้ จะไปสานหวด ขาย หวดใบหน่ึงราคากบี่ าท กบั เงนิ ท่ีจมไปนน้ั มนั เขา้ กันไดเ้ หรอ มันเห็น ชัดๆ อย่างนี้นะ เราจิตเวลามันเป็นทีแรกเหมือนหินนี่นะ อยู่ที่ไหนแน่น หนามั่นคงสบายแสนสบาย แต่เราไม่รู้จักวิธีรักษา เพราะทางไม่เคยเดิน สมบัติไม่เคยมี จึงไม่รู้จักวิธีรักษา มันก็เสื่อมลง เส่ือมไม่ได้เส่ือมมาก พอเข้าสนิทได้บ้างไม่สนิทได้บ้าง มีแปลกๆ อ้าว ผิดปรกติแล้วโดดเลย มันลงหมดเลย มันลงหมดนี่ตอนมันทุกข์มากนะ อยู่ท่ีไหนเหมือนไฟไหม้ กองแกลบอยู่ในหัวอก รอ้ นอยงู่ นั้ แหม ทกุ ขม์ าก เหน็ โทษจริงๆ เหน็ โทษ ของจติ เสือ่ ม...” ข่าวอันเปน็ มงคล “…ตอนน้ีละตอนมาจากโคราช พรรษา ๘ มาจากโคราช มาว่าจะ ตามพอ่ แมค่ รูจารย์ให้ทันมนั ไมท่ ัน ท่านไปได้ ๒-๓ วันแลว้ เราก็เลยออก ไปเที่ยวทางอำเภอกุมภวาปี (จังหวัดอุดรธานี) ทางโน้นเป็นดงเป็นป่าท้ัง น้ันนะ ไปที่ไหนสะดวกสบาย บ้านเป็นบ้านเฉพาะๆ ดงรอบหมดเลย.. ตอนทเี่ รามาพกั อยวู่ ดั มชั ฌมิ วงศ์ (บา้ นเหลา่ ใหญ่ อำเภอกมุ ภวาปี จงั หวดั อดุ รธานี) นนั้ เป็นดงทั้งหมด เราไปพักอยู่ทางด้านตะวันออก ไม่ได้อยู่ใน เขตวดั ไปอยู่ในปา่ อกี ทงั้ ๆ ทว่ี ดั นก้ี เ็ ปน็ ปา่ มพี ระอยู่ในวดั นอกเขตวดั ไปนี้ ไมม่ พี ระ เราไปอยู่ในป่าเหมอื นกัน... ต้นไมน้ ี่ โหย สูงจรดเมฆ ไม้ยางท้ังน้ัน แตก่ ่อนก็มี แต่ไม่ใหญ่อยา่ งน้ี มนั เปน็ ดงจรงิ ๆ ศาลามกี ็ไม่ไดห้ ลงั ใหญ่โตอะไรเลย มศี าลาหลงั เดยี วเล็กๆ กุฏิกระต๊อบๆ อยู่ในป่า ถึงอย่างนั้นเรายังไม่อยู่ ออกไปอยู่โน้นอีก นอก
104 เขตน้ัน อยู่ในป่าไปอีก เขาบอกว่าทางป่าช้า เราอยู่ทางป่าช้านั่นละ ไป พกั ภาวนาอยูท่ ี่น่ัน เป็นดงท้ังหมดรอบวัด เป็นดงทั้งหมดเลย ดงสัตว์ ดงเสือ ดงเน้ือ เต็มไปหมด จนกระทั่งถึงบ้านไชยวาน วังสามหมอ มันต่อกันไปน้ีเป็น ดงใหญ่.. พรรษา ๘ ออกจากนี้ ไปหนองคายท่ีอำเภอท่าบ่อ ไปพักวัด อรัญญิกาวาส อำเภอท่าบอ่ อยู่ในปา่ เป็นดงจริงๆ .. (ต่อมา) มาพักอยู่กับท่านอาจารย์กู่ ธัมมทินโน ต้นปี พ.ศ.๒๔๘๕ มันเป็นทุ่งกว้างขวาง แถวน้ันมีแต่ทุ่ง ทุ่งนาล้อมรอบหมด วัดทุ่งสว่าง ก็เป็นเกาะท่ามกลางทุ่งนา ท่านอาจารย์กู่ท่านอยากให้เราอยู่ด้วย ไม่อยากให้ ไปไหน… ไปพักรอที่วัดทุ่งสว่างเพื่อจะไปหาท่านอาจารย์มั่น ตอนน้ันยังไม่ได้มี กำหนดแต่จะต้องไปแน่ๆ ก็พอดีมีพระองค์หนึ่งช่ือ พระศรีนวล เพิ่งมา จากวัดบ้านโคกนามน แล้วเผอิญเข้าไปพักด้วยกันท่ีวัดทุ่งสว่าง…เราถาม ท่านว่า ‘มาจากไหน?’ ‘มาจากบา้ นนามน จากทา่ นอาจารย์ม่ัน’ ‘หือ? หือ?’ ข้ึนทันทีเลยนะ เพราะพอได้ยินช่ือว่า ท่านอาจารย์ม่ัน รสู้ ึกต่นื เตน้ ดีใจจงึ ถามยำ้ เขา้ ไปอกี ท่านจงึ ว่า ‘มาจากทา่ นอาจารย์ม่นั ’ ‘เวลานีท้ า่ นอาจารยม์ น่ั พักอยู่ไหน?’ ‘พักอยบู่ า้ นนามน’ ‘แล้วมีพระเณรพกั อยู่กบั ทา่ นมากน้อยเพยี งไร?’ ‘๘-๙ องค์ ท่านไม่รับพระมาก อยา่ งมากขนาดนั้นเท่านัน้ แหละ’ ‘ไดท้ ราบวา่ ทา่ นดุเกง่ ใช่ไหม?’
105 ‘โห ไมต่ ้องบอก พอไล่ ไลห่ นีเลย’ พระองค์น้นั วา่ ง้นั เลยนะ…” พอท่านได้ยินแทนที่จะคิดเป็นผลลบกับหลวงปู่มั่นกลับรู้สึกถึงจิต ถึงใจกบั ความเดด็ ของหลวงปมู่ น่ั และแอบคิดอยู่แต่ผูเ้ ดยี วในใจวา่ “อาจารย์องค์น้ีละ จะเป็นอาจารย์ของเรา ต้องให้เราไปเห็นเอง ท่านจะดุแบบไหนแบบไหนๆ ครูบาอาจารยช์ ่ือเสียงโด่งดังท่ัวประเทศไทย มานานขนาดน้ี จะดุจะดา่ ขับไล่ไสส่งโดยหาเหตผุ ลไม่ไดน้ ้ี เป็นไปไม่ได”้ ท่านพักอยทู่ ี่วัดทุ่งสว่าง ๓ เดือนกว่า จากนนั้ พอถงึ เดอื นพฤษภาคม ๒๔๘๕ ทา่ นกอ็ อกเดนิ ทางจากหนองคายไปจงั หวดั สกลนครเพอื่ มงุ่ สหู่ ลวง ปมู่ ่ันตอ่ ไป มอบกายถวายชวี ิตต่อหลวงปมู่ ่นั จากจังหวัดสกลนคร ท่านก็เดินทางต่อไปจนถึงวัดที่หลวงปู่ม่ันพักอยู่ ในระยะนนั้ คือทบ่ี า้ นโคก ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง จงั หวดั สกลนคร “…พอทราบแล้ว ๓ วันเท่านัน้ นะ เตรียมของเลยไปเลย ไปก็ไปโดน เอาจรงิ ๆ นลี่ ะมนั มแี ตผ่ ลบวกนะ พอไปก็ไปพกั อยสู่ ทุ ธาวาส ๒ คนื พอฉนั จังหันแล้วสายๆ ก็ออกเดินทาง ไปถึงบ้านโคกมืดแล้ว บุกไปอย่างนั้นละ กลางคนื มดื ถนนไม่ตอ้ งถามละ ไม่มี ไปตามทางล้อทางเกวียนธรรมดา พอไปถึง เราไปถามชาวบ้านเขา เขาก็บอกไปถึงบ้านโคกมันมืดแล้ว ‘วดั ปา่ บา้ นโคกอยูท่ ่ีไหน แล้วท่านอาจารยม์ น่ั ท่านอยู่ทีน่ ่ีใช่ไหม’ ‘อยู่ ทา่ นเพง่ิ ยา้ ยมาจากบา้ นนามน ทา่ นจะมาพกั จำพรรษาทน่ี ่ีในปนี ’ี้ ‘ไหน วดั ไปทางไหน’ เขาก็เลยพาไป
106 ‘ไป ผมจะพาไป เพราะทางเข้าไปวัดของท่านอาจารย์ม่ันเป็นทางด่านนะ มันไม่ได้ เป็นทางล้อทางเกวียนอะไร ทางเป็นด่านพอคนเดินไปพ้นตัวไปเท่านั้น แหละ’ ชาวบ้านเขาบอก...ออกไปนี้พอไปถึงกลางบ้าน เขาบอกให้มานี่ เขากช็ ที้ าง ‘นีล่ ะทางเสน้ นี้ไปวดั ใหจ้ บั ทางสายน้ีนะ นี่แหละต้นทาง ให้เดนิ ตาม ทางน้ี อย่าปลีกทางนี้ มนั เป็นทางแคบๆ เพราะท่านเพ่งิ มาอยู่ใหม่ ทางก็ แคบๆ บุกไปอย่างน้ันแหละ ให้ตามทางน้ีอย่าปล่อยทางนี้แล้วจะเข้าถึง วัดเลย’ พอเขาบอกอย่างนี้แล้วเราก็ไป ไปท้ังมืดๆ ไปพอซ่วมซ่ามๆ เข้าไป ในวดั จากนัน้ ก็ดูนน้ั ดนู ้มี ืดๆ จนไปเหน็ ศาลาหลังหนึ่ง ทำใหส้ งสยั นะ ‘เอ๊ น่ี ถ้าเป็นศาลามันก็ดูว่าเล็กไปสักหน่อย’ หมายถึงศาลา กรรมฐานนะ... ‘ถ้าว่าเป็นกุฏิ ก็จะใหญ่ไป’ กำลังดูอยู่อย่างนั้นแล้วก็เดินเซ่อซ่าๆ เข้าไป ท่านอาจารย์มนั่ กำลังเดินจงกรมอยนู่ ่ีน่ามนั ก็ไมเ่ ห็น เอ้อ ท่านเดนิ จงกรมอยู่ข้างศาลา ท่านก้ันห้องศาลาพักอยู่นั่น พักจำวัดอยู่ที่ห้องศาลา เล็กๆ น่ันนะ เราก็เดินซุ่มซ่ามๆ มองนั้นมองน้ี ไป ก็เราไม่เห็นน่ี มันกลางคืนแล้ว ท่านกย็ ืนอยู่ใกลๆ้ น…ี้ ” ท่านเดนิ ไปจนพบหลวงปมู่ น่ั บนทางจงกรม หลวงปมู่ นั่ จงึ ถามขน้ึ วา่ “ใครมาน?่ี ” ท่านกราบเรยี นว่า “ผมครับ” ด้วยคำตอบนัน้ ของท่าน ทำใหห้ ลวงปู่มน่ั กลา่ วขึ้นอยา่ งดุๆ พร้อมกับ
107 ใส่ปัญหาให้ ได้คิดในทันทีนั้นว่า “อันผมๆ นี้ ต้ังแต่คนหัวล้านมันก็มีผม ไอต้ รงทีม่ นั ไม่ลา้ น” ถึงตรงนี้ท่านว่ารู้สึกเสียวแปล๊บในหัวใจ เพราะเข้าใจทันทีว่าไม่เกิด ประโยชนอ์ นั ใดด้วยการตอบเชน่ นี้เลย ขณะเดียวกันทั้งๆ ท่ีกลัวเกรงหลวงปู่ม่ันมาก แต่ก็รู้สึกถึงใจอย่าง ที่สุดกับคำดุชนิดหาที่ค้านไม่ได้เลยและยอมรับทันทีในไหวพริบปฏิภาณ ของหลวงปู่มน่ั แม้จะกลวั เพียงใดก็ตามแตก่ ลบั ร้สู ึกดีใจอยลู่ ึกๆ ว่า “…นแ่ี หละอาจารยข์ องเรา…” จากน้นั ทา่ นกเ็ ลยรีบกราบเรียนใหม่ทนั ทีวา่ “ผมช่อื พระมหาบัว” “เอ้อ กว็ ่าอย่างน้ันซี น่ี ผมๆ” ทา่ นแหย่เอาดว้ ยนะ่ “ตัง้ แตเ่ ด็กมันก็มีผม” จากน้ันหลวงปู่ม่ันก็ออกจากทางจงกรมขึ้นไปบนศาลา ภายในศาลา จะกั้นเปน็ ห้องใชเ้ ปน็ ท่พี กั สำหรับหลวงปมู่ ั่น เมื่อขึ้นบนศาลาแล้ว หลวงปู่ม่ันเตรียมจะจุดตะเกียงหรือโป๊ะเล็กๆ ตะเกียงมีแก้วเล็กๆ ครอบเหมือนดอกบัว พอได้ยินเสียงหลวงปู่มั่น ขู่เท่านั้น พระเณรท่ีเดินจงกรมอยู่ในเวลาน้ันก็หล่ังไหลมากัน ก็พอดีมี พระขึ้นไปจุดให้ท่าน เมื่อหลวงปู่มั่นน่ังลงแล้ว ท่านจึงถือโอกาสเข้า กราบเรียนถวายตัวเป็นลูกศิษย์และเรียนให้ท่านทราบถึงที่มาท่ีไปพอให้ ทา่ นไดร้ ู้จักในตอนน้นั หลวงปู่ม่ันยังคงฟงั อยู่นิ่งๆ ด้วยความมุ่งมั่นอยากจะมาศึกษาอยู่กับท่านเต็มเปี่ยมมานาน หลายปีแล้ว ประกอบกับรู้สึกประทับใจในสติปัญญาฉับไวของหลวงปู่มั่น ความที่กลัวว่าจะไม่ได้อยู่ด้วย ทำให้ท่านเกิดความวิตกกังวลและครุ่นคิด อยู่ในใจวา่
108 “ไม่อยากได้ยินเลยคำที่ว่าที่น่ีเต็มแล้ว รับไม่ได้แล้ว กลัวว่าหัวอก จะแตก…” สกั ครูห่ นึ่ง หลวงปมู่ น่ั ก็พูดขึน้ ว่า “นพ่ี อดีนะนี่ เม่อื วานนีท้ ่านเนตรไป จากน้ี แล้ววนั นี้ทา่ นมหากม็ า ไม่เช่นนัน้ ก็ไม่ไดอ้ ยู่ กุฏิไมว่ า่ ง” คำพูดของหลวงปู่มั่นคร้ังนั้นทั้งๆ ท่ีก็เมตตารับท่านไว้ แต่อย่างไร ก็ตามท่านเองก็ยังอดไม่ได้ท่ีจะรู้สึกใจหายใจคว่ำเป็นอย่างย่ิง เพราะกลัว ว่าจะไม่มีโอกาสได้อยู่ศึกษาด้วย คำกล่าวของหลวงปู่มั่นครั้งนั้นจึงทำให้ ท่านไม่สามารถจะลืมได้แม้จนทกุ วนั น้ี ธรรมบทแรก “ปรยิ ัตใิ หย้ กบชู าไวก้ ่อน แล้วปฏิบตั ิจะประสานกลมกลนื ” ถึงแม้ท่านจะเคยปฏิบัติด้านจิตตภาวนามาบ้าง และก็มีโอกาสศึกษา คน้ คว้าดา้ นปริยัติถงึ ๗ ปกี ต็ าม แตส่ ิ่งนีก้ ย็ ังไมท่ ำใหค้ วามสงสยั ของท่าน ในเรื่องมรรคผลนิพพานหมดไป ยังคงเก็บความสงสัยอยู่ในใจตลอดมา และก็ดูเหมือนกับหลวงปู่มั่นจะล่วงรู้ถึงวาระจิตของท่าน จึงพูดบทธรรม ครง้ั แรกจ้เี อาตรงๆ ในคืนแรกนี้เลยวา่ “ท่านมาหามรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานอยู่ท่ีไหน? ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ฟ้าอากาศเป็นฟ้าอากาศ แร่ธาตุต่างๆ เป็นของเขาเอง เขาไม่ได้เป็นมรรคผล นิพพาน เขาไม่ได้เป็นกิเลส กิเลสจรงิ ๆ มรรคผลนิพพานจริงๆ อยู่ที่หัวใจ ขอให้ท่านกำหนดจิตจ่อด้วยสติที่ หัวใจท่านจะเห็นความเคล่ือนไหวของท้ังธรรมของท้ังกิเลสอยู่ภายในใจ
109 แล้วขณะเดยี วกนั ทา่ นจะเห็นมรรคผลนพิ พานไปโดยลำดับลำดา” เทศนาดังกล่าวน้ี ทำให้ท่านมีความมั่นใจในเรื่องมรรคผลนิพพาน และเชื่อมั่นในความรู้ความเห็นของหลวงปู่ม่ันท่ีพูดไขข้อข้องใจได้ตรงจุด แหง่ ความสงสยั จากนน้ั หลวงปมู่ นั่ มเี มตตาชแ้ี นะบทธรรมในภาคปฏบิ ตั ใิ ห้ ดว้ ยทราบวา่ ทา่ นมคี วามรู้ในภาคปรยิ ตั เิ ตม็ ภมู มิ หาเปรยี ญและนกั ธรรมเอก และมีความสนใจใคร่ต่อการประพฤติปฏิบัติ บทธรรมบทนี้แม้จนบัดน ้ี ยังคงฝงั ลกึ อยภู่ ายในใจของทา่ นตลอดมา “…ท่านมหาก็นับว่าเรียนมาพอสมควรจนปรากฏนามเป็นมหา ผมจะ พูดธรรมให้ฟังเพ่ือเป็นข้อคิด แต่อย่าเข้าใจว่าผมประมาทธรรมของ พระพุทธเจา้ นะ เวลาน้ีธรรมที่ท่านเรียนมาได้มากได้น้อยยังไม่อำนวยประโยชน์ให้ ท่านสมภูมิท่ีเป็นเปรียญ นอกจากจะเป็นอุปสรรคต่อการภาวนาของท่าน ในเวลานีเ้ ทา่ นั้น เพราะทา่ นจะอดเป็นกังวลและนำธรรมทเ่ี รียนมานั้นเขา้ มาเทียบเคียงไม่ได้ในขณะท่ที ำใจให้สงบ ดังนั้นเพ่ือความสะดวกในเวลาจะทำความสงบให้แก่ใจ ขอให้ท่านที่ จะทำใจให้สงบยกบูชาไว้ก่อนในบรรดาธรรมท่ีท่านได้เรียนมา ต่อเมื่อถึง กาลท่ีธรรมซึ่งท่านเรียนมาจะเข้ามาช่วยสนับสนุนให้ท่านได้รับประโยชน์ มากข้ึนแล้ว ธรรมท่ีเรียนมาทั้งหมดจะวิ่งเข้ามาประสานกันกับทางด้าน ปฏิบัติและกลมกลืนกันได้อย่างสนิท ทั้งเป็นธรรมแบบพิมพ์ซึ่งเราควรจะ พยายามปรบั ปรุงจิตใจให้เปน็ ไปตามน้นั แต่เวลาน้ีผมยังไม่อยากจะให้ท่านเป็นอารมณ์กับธรรมท่ีท่านเล่า เรียนมา อย่างไรจิตจะสงบลงได้หรือจะใช้ปัญญาคิดค้นในขันธ์ก็ขอให้ ท่านทำอยู่ในวงกายน้กี อ่ น เพราะธรรมในตำราท่านชี้เข้ามาในขันธ์ท้ังนั้น
110 แต่หลักฐานของจิตยังไม่มี จึงไม่สามารถนำธรรมท่ีเรียนมาจากตำรา น้อมเข้ามาเป็นประโยชน์แก่ตนได้ และยังจะกลายเป็นสัญญาอารมณ์ คาดคะเนไปท่ีอ่ืน จนกลายเปน็ คนไมม่ หี ลกั เพราะจติ ตดิ ปรยิ ตั ใิ นลกั ษณะ ไม่ใชท่ างของพระพทุ ธเจ้า ขอใหท้ า่ นนำธรรมทผี่ มพดู ใหฟ้ งั ไปคดิ ดู ถา้ ทา่ นตง้ั ใจปฏบิ ตั ไิ มท่ อ้ ถอย วันหนงึ่ ข้างหนา้ ธรรมที่กลา่ วนี้จะประทับใจท่านแน่นอน…” ตั้งสัจอธิษฐานจะไม่หนีจากหลวงปูม่ ่ัน “…เรากอ็ ยกู่ บั ทา่ นดว้ ยความพอใจจนบอกไมถ่ กู แตอ่ ยดู่ ว้ ยความโงเ่ งา่ อยา่ งบอกไมถ่ กู อกี เหมอื นกนั เฉพาะองคท์ า่ นรสู้ กึ มเี มตตาธรรมานเุ คราะห์ ทกุ ครั้งท่ีเขา้ ไปหา ทา่ นชแี้ จงแสดงเรอื่ งอะไร ไมว่ า่ ดทู า่ นทางตา ฟงั ทา่ นทางหู ไมเ่ หน็ มสี งิ่ ใด จะคลาดเคลอ่ื นจากหลกั ธรรมหลกั วนิ ยั ขอ้ ใดเลย ปฏปิ ทาการดำเนนิ ของทา่ นก็ มแี บบมฉี บบั มตี ำรบั ตำรา หาทคี่ า้ นทต่ี อ้ งตมิ ไิ ด้ การพดู อะไรตรงไปตรงมา แม้การแสดงเรื่องมรรคผลนิพพาน ก็แสดงชนิดถอดออกมาจากใจ ท่านแท้ๆ ที่ท่านรู้ท่านเห็นท่านปฏิบัติมา ทำให้ผู้ฟัง ฟังด้วยความถึงใจ เพราะท่านแสดงเหมือนว่าท้าทายความจริงจังของท่าน และท้าทาย ความจริงของธรรม… ทำให้ลงใจถึงกับออกอุทานว่า ‘โอ้โห! นหี่ ละอาจารยข์ องเรา’...” สิ่งนท้ี ำใหท้ ่านเกิดความม่ันใจและเชือ่ แน่วา่ มรรคผลนพิ พานมอี ยจู่ ริง ความสงสัยในเร่ืองน้ีท่ีเคยค้างคามาแต่เดิมก็หมดส้ินไป จากน้ันท่านจึง ย้อนกลับมาถามตวั เองว่า
111 “…แล้วเราจะจริงไหม ?…” ดว้ ยนิสัยทำอะไรทำจริง ทำให้ทา่ นต้งั ใจแนว่ แน่วา่ “ตอ้ งจริงซี ถ้าไม่จริงให้ตาย อยา่ อยู่ให้หนักศาสนาและหนักแผน่ ดิน ต่อไป” ต้ังแต่น้ันมาท่านก็เร่งความเพียรต่อสู้กับกิเลสอย่างเต็มเหนี่ยว และ ตั้งสัจอธิษฐานว่า “หากวา่ ทา่ นอาจารยม์ น่ั ยงั มชี วี ติ อยตู่ ราบใดแลว้ เราจะไมห่ นจี ากทา่ น จนกระทั่งวันท่านล่วงไปหรือเราล่วงไป แต่การไปเท่ียวเพ่ือประกอบ ความพากเพียรตามกาลเวลาน้ัน ขอไปตามธรรมดา แต่ถือท่านเป็นหลัก เหมือนกบั ว่าบา้ นเรือนอยกู่ บั ท่าน ไปที่ไหนตอ้ งกลับมาหาท่าน” หลวงปูม่ ่นั ทำนายฝันปฏิปทาทางดำเนิน หลงั จากทอี่ ยู่กับหลวงป่มู น่ั ไดป้ ระมาณสัก ๔-๕ คืนเทา่ นนั้ ท่านก็ฝัน เรอ่ื งประหลาดอัศจรรยเ์ รือ่ งหนึง่ “…ความฝนั นีก้ ็เป็นความฝันเรอ่ื งอัศจรรย์เหมือนกนั ฝนั ว่าได้สะพาย บาตร แบกกลด ครองผ้าด้วยดีไปตามทางอันรกชัฏ สองฟากทางแยกไป ไหนไม่ได้ มีแตข่ วากแต่หนามเตม็ ไปหมด นอกจากจะพยายามไปตามทาง ท่ีเป็นเพียงด่านๆ ไปอย่างน้ันแหละ รกรุงรัง หากพอรู้เง่ือนพอเป็นแถว ทางไป พอไปถึงท่ีแห่งหน่ึงก็มีกอไผ่หนาๆ ล้มทับขวางทางไว้ หาทางไป ไม่ได้ จะไปทางไหนก็ไปไม่ได้ มองดูสองฟากทางก็ไม่มีทางไป ‘เอ นี่เราจะไปยงั ไงนา’ เสาะที่นั่นเสาะท่ีนี่ไป ก็เลยเห็นช่อง ช่องท่ีทางเดินไปตรงนั้นแหละ
112 เป็นช่องนิดหน่อยพอท่ีจะบึกบึนไปให้หลวมตัวกับบาตรลูกหน่ึง พอไปได้ เมื่อไม่มีทางไปจริงๆ ก็เปล้ืองจีวรออก มันชัดขนาดนั้นนะความฝัน เหมอื นเราไม่ไดฝ้ นั เปลอื้ งจวี รออกพบั เกบ็ อยา่ งทเี่ ราพบั เกบ็ เอามาวางนแี้ ล เอาบาตรออกจากบ่า เจ้าของก็คืบคลานไป แล้วก็ดึงสายบาตรไปด้วย กลดกด็ งึ ไปไวท้ พ่ี อเออื้ มถงึ พอบนื ไปไดก้ ล็ ากบาตรไปดว้ ย ลากกลดไปดว้ ย แลว้ ก็ดึงจีวรไปดว้ ย บืนไปอยู่อย่างน้ันแหละ ยากแสนยาก พยายามบึกบึนกันอยู่น้ันเป็น เวลานาน พอดเี จา้ ของกพ็ น้ ไปได้ เดย๋ี วกค็ อ่ ยดงึ บาตรไป บาตรกพ็ น้ ไปได้ แลว้ กด็ งึ กลดไป กลดกพ็ น้ ไปได้ พยายามดงึ จวี รไป จวี รกพ็ น้ ไปได้ พอพน้ ไป ไดห้ มดแลว้ กค็ รองผา้ มนั ชดั ขนาดนนั้ นะความฝนั ครองจวี รแลว้ กส็ ะพาย บาตร นกึ ในใจวา่ ‘เราไปไดล้ ะทนี ’ี้ ก็ไปตามดา่ นนนั่ แหละ ทางรกมากพอไป ประมาณสกั ๑ เสน้ เทา่ นน้ั สะพายบาตร แบกกลด ครองจวี รไป ตามองไปขา้ งหนา้ เปน็ ทเี่ วงิ้ วา้ งหมด คอื ขา้ งหนา้ เปน็ มหาสมทุ รมองไป ฝง่ั โนน้ ไมม่ เี หน็ แตฝ่ ง่ั ทเ่ี จา้ ของยนื อยเู่ ทา่ นนั้ และมองเหน็ เกาะหนง่ึ อยู่โนน้ ไกลมาก มองสดุ สายตาพอมองเหน็ เปน็ เกาะดำๆ นแี่ หละ นเ่ี ราจะไปเกาะนน้ั พอเดนิ ลงไปฝัง่ นนั้ เรือไม่ทราบมาจากไหน เราก็ไม่ไดก้ ำหนดว่าเรอื ยนตเ์ รือแจวเรอื พายอะไร เรอื มาเทียบฝั่ง เราก็ข้นึ น่ังเรอื คนขับเรือเขา ก็ไม่ไดพ้ ดู อะไรกบั เรา พอลงไป นงั่ เรอื แลว้ กเ็ อาบาตรเอาอะไรลงวางบนเรอื เรือก็บ่ึงพาไปโน้นเลยนะ โดยไม่ต้องบอกมันอะไรก็ไม่ทราบ บ่ึงๆๆ ไป โน้นเลย ไม่รู้สึกว่ามีภัยมีอันตรายมีคล่ืนอะไรท้ังนั้นแหละ ไปแบบเงียบๆ ครเู่ ดียวเท่านั้นก็ถงึ เพราะเป็นความฝนั นี ่ พอไปถึงเกาะน้ันแล้ว เราก็ขนของออกจากเรือแล้วขึ้นบนฝ่ัง เรือก็ หายไปเลย เราไม่ไดพ้ ูดกันสักคำเดยี วกบั คนขับเรือ เรากส็ ะพายบาตรขึ้น
113 ไปบนเกาะนั้น พอปีนเขาขึ้นไปๆ ก็ไปเห็นหลวงปู่ม่ันกำลังน่ังอยู่บนเขา บนเตียงเล็กๆ กำลังน่ังตำหมากจ๊อกๆ อยู่ พร้อมกับมองมาดูเราที่กำลัง ปีนเขาข้นึ ไปหาทา่ น ‘อ้าว! ท่านมหามาได้ยังไงน่ี? ทางสายน้ีใครมาได้เมื่อไหร่ ท่านมหา มาได้ยังไงกัน?’ ‘กระผมนง่ั เรือมา ขึ้นเรอื มา’ ‘โอ้โฮ ทางน้ีมันมายากนา ใครๆ ไม่กล้าเส่ียงตายมากันหรอก เอ้า ถา้ อย่างนน้ั ตำหมากใหห้ นอ่ ย’ ท่านก็ยนื่ ตะบันหมากให้ เราก็ตำจอ๊ กๆๆ ได้ ๒-๓ จ๊อกเลยรู้สึกตัวต่นื แหม เสยี ใจมาก อยากจะฝนั ต่อไปอกี ให้จบเร่อื งคอ่ ยต่นื ก็ยงั ด…ี ” พอตื่นเช้ามาท่านเลยเอาเร่ืองน้ี ไปเล่าถวายให้หลวงปู่มั่นฟัง หลวงปู่ม่ันก็ได้เมตตาพูดเสริมกำลังใจให้ศิษย์เพ่ิมเติมอีก ให้พากเพียร ดำเนนิ ปฏปิ ทาตามความฝนั น้ัน อดทนประพฤติปฏิบัติจนให้กลายเปน็ จริง ข้ึนมา หลวงปูม่ ่ันเมตตาพดู อธบิ ายความฝันวา่ “เอ้อ! ที่ฝันน้ีเป็นมงคลอย่างยิ่งแล้วนะ น้ีเป็นแบบเป็นฉบับใน ปฏิปทาของท่านไม่เคล่ือนคลาดนะ ให้ท่านดำเนินตามปฏิปทาที่ท่านฝันนี้ เบอื้ งตน้ จะยากลำบากทส่ี ดุ นะ.. ทา่ นตอ้ งเอาใหด้ ี ทา่ นอยา่ ทอ้ ถอย เบอื้ งตน้ นี้ ลำบาก ดูท่านลอดกอไผ่มาท้ังกอ นั่นแหละลำบากมากตรงน้ัน เอาให้ดี อยา่ ถอยหลังเปน็ อนั ขาด พอพน้ จากน้นั ไปแลว้ ก็เวง้ิ ว้างไปได้สบายจนถงึ เกาะ.. อันนั้นไม่ยาก ตรงน้ีตรงยากนา.. พอพ้นจากน้ีแล้วท่านจะไปด้วย ความสะดวกสบายไมม่ อี ปุ สรรคอนั ใดเลย มเี ท่าน้ัน แหละ เบ้ืองต้นเอาให้ ดีอยา่ ถอยนะ .. ถา้ ถอยตรงน้ีไปไม่ได้นะ
114 เอา้ ! เปน็ กเ็ ปน็ ตายกต็ าย ฟาดมนั ให้ไดต้ รงนน้ี ะ่ .. มนั จะยากแค่ไหน มันก็ไปได้น่ี อยา่ ถอยนะ” ท่านฟังอย่างถึงใจพร้อมกับเก็บความมุ่งม่ันจริงจังอยู่ภายในว่า แม้การปฏิบัติจะยากเพียงใด เราก็จะต้องสู้อย่างไม่มีถอย เป็นก็เป็น ตายก็ตาย คติเตือนใจจากฝัน “โรงเลยี้ งหม”ู ระยะท่ีท่านเข้าอยู่ศึกษาใหม่ๆ ท่านรู้สึกเกรงกลัวหลวงปู่ม่ันมาก อาจเป็นเพราะเหตนุ ีเ้ อง ทำใหว้ นั หนงึ่ ในตอนกลางวนั หลังจากเอนกายลง พักผ่อนอิริยาบถได้ ไม่นานก็เลยเคล้ิมหลับไป ขณะที่เคลิ้มหลับไปน้ัน ปรากฏวา่ หลวงป่มู ่นั มาดุเอาเสียยกใหญ่ว่า “ทา่ นมานอนเหมอื นหมูอยทู่ ำไมท่ีนี่ เพราะทน่ี ม่ี ิใช่โรงเลีย้ งหมู ผมจงึ ไมเ่ สรมิ พระทม่ี าเรยี นวิชาหมู เดี๋ยววัดนจ้ี ะกลายเปน็ โรงเลย้ี งหมไู ป” เสียงของหลวงปู่มั่นในฝันน้ันเป็นเสียงตะโกนดุด่าขู่เข็ญให้ท่านกลัว เสยี ดว้ ย จงึ ทำใหท้ ่านสะดุ้งต่ืนข้ึนด้วยความตระหนกตกใจ ทา่ นพยายาม โผล่หน้าออกมาท่ีประตูเพื่อมองหาหลวงปู่ม่ัน แต่ก็ไม่พบ ท่านเล่าความ รสู้ ึกของท่านในตอนน้ันว่า “ทั้งตัวส่ันใจส่ันแทบเป็นบ้าไปในขณะนั้น เพราะปกติก็กลัวท่านแทบ ต้ังตัวไม่ติดอยู่แล้ว แต่บังคับตนอยู่กับท่าน ด้วยเหตุผลท่ีเห็นว่าชอบ ธรรมเท่านั้น แถมท่านยังนำยาปราบหมูมากรอกเข้าอีก นึกว่าสลบไป ในเวลานั้น พอโผล่หน้าออกมา มองโน้นมองนี้ ไม่เห็นท่านมายืนอยู่ตาม ท่ปี รากฏ จงึ ค่อยมลี มหายใจข้นึ มาบ้าง”
115 พอได้โอกาสท่านจึงกราบเรียนเล่าถวาย หลวงปู่ม่ันก็เมตตาแก้ให้ เป็นอบุ ายปลอบโยนโดยอธบิ ายความฝนั น้นั ใหฟ้ ังว่า “...เรามาหาครูอาจารย์ใหม่ๆ ประกอบกับมีความระวังตั้งใจมาก เวลาหลบั ไปทำใหค้ ดิ และฝนั ไปอยา่ งนนั้ เอง ทที่ า่ นไปดวุ า่ เราเหมอื นหมนู นั้ เป็นอุบายของพระธรรม ท่านไปเตือนไม่ให้เรานำลัทธินิสัยของหมูมาใช้ ในวงของพระและพระศาสนา โดยมากคนเราไมค่ อ่ ยคำนงึ ถงึ ความเปน็ มนษุ ยข์ องตวั วา่ มคี ณุ คา่ เพยี งไร เวลาอยากทำอะไรทำตามใจชอบ ไมค่ ำนงึ ถงึ ความผดิ ถกู ชว่ั ดี จงึ เปน็ มนษุ ย์ เตม็ ภมู ไิ ดย้ าก... พระธรรมทา่ นมาสง่ั สอนดงั ทที่ า่ นปรากฏนนั้ เปน็ อบุ ายทช่ี อบธรรมดแี ลว้ จงนำไปเปน็ คตเิ ตอื นใจตวั เอง เวลาเกดิ ความเกยี จครา้ นขนึ้ มาจะไดน้ ำอบุ าย นน้ั มาใชเ้ ตอื นสตกิ ำจดั มนั ออกไป นมิ ติ เชน่ นเ้ี ปน็ ของดหี ายาก ไมค่ อ่ ยปรากฏ แก่ใครง่ายๆ ผมชอบนิมิตทำนองน้ีมากเพราะจะพลอยได้สติเตือนตนมิให้ ประมาทอยเู่ นอื งๆ ความเพยี รจะไดเ้ รง่ รบี ... ถา้ ทา่ นมหานำอบุ ายทพี่ ระธรรม ท่านมาเทศน์ใหฟ้ งั ไปปฏบิ ัติอยเู่ สมอๆ ใจทา่ นจะสงบได้เร็ว… เรามาอยกู่ ับครูอาจารย์ อยา่ กลัวท่านเกนิ ไป ใจจะเดือดร้อนน่งั นอน ไม่เป็นสุข ผิดถูกประการใดท่านจะสั่งสอนเราไปตามจารีตแห่งธรรมการ กลัวท่านอย่างไม่มีเหตุผลนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย จงกลัวบาปกลัว กรรมท่ีจะนำทุกข์มาเผาลนตนให้มากกว่ากลัวอาจารย์ ผมเองมิได้เตรียม รับหมู่คณะไวเ้ พอ่ื ดดุ า่ เฆี่ยนตีโดยไมม่ ีเหตผุ ลท่ีควร…”
116 ฝึกฝนการฟังธรรมดว้ ยภาคปฏบิ ัต ิ “ทา่ นพระอาจารยม์ น่ั ไดเ้ มตตารบั เราไวแ้ บบทอ่ นซงุ ทง้ั ทอ่ น ไมเ่ ปน็ ทา่ เปน็ ทางอะไรเลย อยกู่ บั ทา่ นแบบทพั พไี มร่ รู้ สแกง คดิ แลว้ นา่ อบั อายขายหนา้ ที่ พระซุงทั้งท่อนไปอยู่กับท่านผู้ฉลาดปราดเปรื่องเลื่องลือระบือทั่วท้ัง จกั รวาลเบอื้ งบนเบ้อื งลา่ ง” หลวงปู่มั่นประชุมธรรมเป็นประจำท้ังในและนอกพรรษา ๖-๗ คืน ตอ่ ครงั้ การแสดงธรรมแตล่ ะครง้ั มตี ้ังแต่ ๒ ชว่ั โมงขนึ้ ไปถึง ๔ ชวั่ โมงใน ขณะฟังธรรมผู้ฟังนั่งทำจิตตภาวนาไปพร้อมอย่างเพลิดเพลินลืม เหน็ดเหน่ือยเม่ือยล้า แม้องค์ท่านเองก็รู้สึกเพลิดเพลินไปด้วยในการ แสดงธรรมแก่พระเณรแต่ละครั้ง ท่านแสดงอย่างถึงเหตุถึงผลและถึงใจ ผู้ฟงั ซ่ึงมุง่ มน่ั ตอ่ อรรถธรรมจริงๆ ทา่ นเลา่ วา่ “ขณะท่ีฟังท่านแสดง ทำให้จิตประหวัดถึงคร้ังพุทธกาลที่พระ สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงแก่ภิกษุบริษัทโดยเฉพาะ เป็นที่แน่ใจว่า พระองค์ทรงหยิบยกเอาแต่ธรรมมหาสมบัติ คือ มรรคผลนิพพานออก แสดงลว้ นๆ ไมม่ ธี รรมอ่นื แอบแฝงอยู่ในขณะน้ันเลย” แม้ท่านจะได้ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกมาไม่น้อย อีกทั้งมีความรู้ ระดับจบนักธรรมเอกและมหาเปรียญ แต่ในระยะแรกการฟังธรรมภาค ปฏิบตั ิขณะทอี่ ยกู่ บั หลวงปู่มัน่ กลบั ไม่เข้าใจเท่าใดนกั “...ฟังท่านเทศน์เร่ืองสมาธิเรื่องปัญญาไม่ว่าข้ันไหน ไม่รู้เร่ืองเลย เหมือนกับร้องเพลงให้ควายฟังน่ันแล แต่ดีอย่างหน่ึงที่ไม่เคยตำหนิติ เตียนทา่ นว่า ‘ท่านเทศน์ไมร่ เู้ ร่ืองรรู้ าว’
117 แต่ย้อนกลับมาตำหนิเจ้าของว่า ‘นี่เห็นไหม ท่านอาจารย์ม่ัน ช่ือเสียงท่านโด่งดังกิตติศัพท์กิตติคุณท่านลือกระฉ่อนไปทั่วโลกมาเป็น เวลานาน ต้ังแต่เรายังเป็นเด็ก เรามีความพอใจท่ีจะได้พบได้เห็นได้ฟัง โอวาทของท่าน บัดนี้เราได้มาฟังแล้ว ไม่เข้าใจ เราอย่าเข้าใจว่าเรา ฉลาดเลย นีเ่ ราโงแ่ ค่ไหนรู้หรือยงั ทนี ้ี เราเคยฟังเทศน์ทางด้านปริยัติ ฟังจนกระทั่งเทศน์ของสมเด็จฯ เรา เข้าใจไปหมดแต่เวลามาฟังเทศน์ท่านอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นองค์ประเสริฐ ทางภาคปฏิบัติและจิตใจ แต่ไม่เข้าใจ เราเชื่อแล้วว่าท่านเป็นพระ ประเสริฐท่ีปรากฏชื่อเสียงมานานถึงขนาดนั้น เรายังไม่เข้าใจ น่ี เห็น แลว้ หรือยงั ความโง่ของเรา’ ครั้นพอฟังเทศน์ท่านไปนานๆ เราก็ปฏิบัติไปทุกว่ีทุกวันทุกเวลา ฟัง เทศน์ท่านค่อยเข้าใจจิตค่อยได้รับความสงบเย็นเข้าไป เย็นเข้าไปเป็น ลำดับ ทีนี้รู้สึกวา่ เร่มิ คอ่ ยซ้งึ เพราะฟงั ธรรมเทศนาของทา่ นก็เขา้ ใจ พูดถึงเรื่องสมาธิแล้ว ใสแจ๋วภายในจิตใจ จากน้ันก็เริ่มเข้าใจโดย ลำดับๆ ซาบซ้ึงโดยลำดับๆ เลยกลายเป็นคนหูสูงไป คนหูสูง คือ นอกจากท่านแล้ว ไม่อยากฟังเทศน์ของใครเลย เพราะเทศน์ไม่ถูกจุด ท่ีต้องการ เทศน์ไม่ถูกจุดของกิเลสท่ีซุ่มซ่อนตัว เทศน์ไม่ถูกจุดของสติ ปัญญาซ่งึ เปน็ ธรรมแก้กิเลส เทศน์ไมถ่ กู จุดแหง่ มรรคผลนิพพาน…”
118 หลวงป่มู ัน่ รู้วาระจติ หูทิพย์ ตาทิพย์ “…เราแอบไปฟังท่านสวดมนต์ เรายังไม่ลืมนะ ท่านก็ก้ันห้องอย ู่ เราไปใหมๆ่ ไมร่ ปู้ ระสปี ระสาอะไร เราเดนิ จงกรมอยู่ ไดย้ นิ เสยี งทา่ นสวดมนต์ พมึ พมึ พมึ พมึ เงยี บๆ เรากด็ อ้ มไปนะ ทา่ นสวดบทอะไรนา ไมล่ มื นะ ‘โอย๊ ! เราขนลุกนะ กลัวย้อนหลังนะ เวลาทราบไปขา้ งหน้าไปเร่ือยๆ โอ้ย! กตู าย มันไมร่ ปู้ ระสปี ระสาอะไรเลย เหมอื นลิง…’ ว่าใหเ้ จ้าของนะ เราเดินจงกรมอยู่ ท่านอยู่ในห้อง สูงแค่นี้แหละนะ พักนี้เป็นพักต่ำ สำหรับพระเณรอยู่ พักที่ท่านอยู่นี้ก้ันห้อง ออกจากนี้แล้วก็เป็นพักอีก พกั หนง่ึ ไดย้ ินเสียงท่านสวดมนต์พึม พึม... ‘โอ้โห ท่านสวดมนตเ์ ก่งนะ’ สวดมนต์ พึม พึม... เราก็ค่อยแอบเข้าไป แอบเข้าไป พอไปถึงท่ี... ทา่ นกห็ ยดุ สวดแลว้ ... เงยี บไป... เรากค็ อยฟงั อยนู่ ะ ทา่ นกเ็ งยี บเลย ตอน นน้ั เรายงั ไมร่ ้ตู วั นะ เลยวา่ เดยี๋ วถอยออกมาซะก่อน เลยถอยออกไป พอ เราถอยออกไปข้างนอกไม่นาน สักเด๋ียวท่านก็ข้ึน พึม พึม สวดมนต์ข้ึน อกี แลว้ เราจงึ แอบเขา้ มาอกี คอื ไอว้ วั ไมร่ จู้ กั เสอื หนไู มร่ จู้ กั แมว วา่ อยา่ งนน้ั เถอะน่า โอข้ บขนั ดนี ะ ทีนี้พอเข้าไปอีก ท่านก็น่ิงเงียบอีกนะ เราก็เลยยืนอยู่นานคราวนี้แต่ ท่านก็ยังเงียบอยู่อย่างนั้น ก็เลยถอยออกมาอีก พอเราถอยออกไปทีไร สักเด๋ียวท่านก็ขึ้นอีกแล้ว อย่างนั้นนะ ครั้งท่ีสามถึงรู้ตัวนะ คร้ังท่ีสาม เขา้ ไปอกี กเ็ งยี บอกี เลยมา สะดุดใจ ‘เอ นห่ี รือท่านรู้เราแล้วนา้ ? ...’ พอครั้งท่ีสามน้ี มาสะดุดใจแล้วก็รีบออกมาเลย แล้วทีน้ีก็สังเกตดู ตอนเชา้ ออกมา โอ้โห ตาทา่ นถลงึ จอ้ ใสเ่ ราเลยนะ ‘โอย้ กตู ายแหลกแลว้ กตู ายเม่ือคืนนี้แหลกแลว้ หละ’
119 ก็ท่านจ้องดูจริงๆ เน่ีย น่ันแหละแสดงว่าบอกชัดเจนแล้ว นะน่ัน ต้งั แตน่ ั้นมา เรากลวั ย่งิ กว่าหนูกลวั แมว…” ทา่ นจะไดย้ นิ เสยี งหลวงปมู่ นั่ ทำวตั รสวดมนตเ์ บาๆ ทกุ คนื เปน็ เวลานานๆ ทา่ นสวดบทยาวๆ โดยจำไดอ้ ยา่ งแมน่ ยำ ธมั มจกั รกปั ปวตั นสตู ร มหาสมยั สตู ร เปน็ ตน้ จากนนั้ นงั่ สมาธติ อ่ ไปจนถงึ เวลาจำวดั ถา้ วนั ทม่ี ปี ระชมุ จะไดย้ นิ เสียงตอนหลังเลิกประชุมแล้วทุกคืนเช่นเดียวกับคืนท่ีท่านสวดมนต์ตั้งแต่ หวั คำ่ วนั เชน่ นน้ั ทา่ นตอ้ งเลอื่ นการจำวดั ไปพกั เอาตอนดกึ สงดั ความร้สู กึ ในระยะแรกท่อี ยศู่ กึ ษากับหลวงปู่มั่นนัน้ ท่านกลา่ ววา่ “รู้สึกเกรงกลัวท่านอาจารย์มั่นมาก เวลาไปพบไปเห็นท่านทีแรก โอ๋ย ตัวสั่นนั่นแหละ ตาท่านเหลือบมาพ้ับเท่านั้น มันก็อยากจะหงายไป แล้ว ตาท่านสำคัญมากนะ ตามีอำนาจดว้ ย เสยี งก็มอี ำนาจ พดู ออกมาน้ี แหลมคม ไม่ขนาดน้ันกิเลสก็ไมห่ มอบจะวา่ ยังไง” เคร่งครดั ขอ้ วตั รปฏิบัติพดู คยุ เปน็ อรรถธรรม ในปีแรกที่ได้อยู่ศึกษากับหลวงปู่ม่ัน ท่านก็ได้ยินหลวงปู่ม่ันพูดถึง เร่ืองธุดงควัตร ๑๓ เพราะหลวงปู่ม่ันเคร่งครัดมากตามนิสัย ด้วยเหตุน้ี ท่านจึงถือเป็นข้อปฏิบัติเสมอมา ในการสมาทานธุดงค์เมื่อถึงหน้าพรรษา อย่างไม่ลดละ เฉพาะอย่างย่ิงในธุดงค์ข้อท่ีว่า ฉันอาหารเฉพาะของท่ีได้ มาในบาตรจากการบณิ ฑบาตเท่านน้ั สำหรบั ธุดงค์ข้ออื่นๆ กถ็ อื สมาทาน อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว เช่น การฉันหนเดียวในวันหน่ึงๆ เท่าน้ัน การถือ ผา้ บงั สุกุล การใชผ้ ้าสามผืน (สบง จีวร สังฆาฏิ) การฉนั ในบาตร การอยู่ ปา่ เขา เปน็ ตน้
120 ธุดงค์ ๑๓ และขันธวัตร ๑๔ เป็นข้อปฏิบัติประจำโดยท่ัวไปของ พระกรรมฐาน ย่ิงนิสัยท่ีเคารพรักและจริงจังในข้อวัตรปฏิบัติของท่าน ด้วยแล้วก็ยิ่งให้ความสำคัญมากยิ่งข้ึน ท่านจึงไม่ยอมให้ข้อวัตรทำความ สะอาดเช็ดถู กุฏิ ศาลา บรเิ วณ ตลอดขอ้ วตั รใดๆ ขาดตกบกพรอ่ งเลย ท่านพยายามรักษาทั้งความตรงต่อเวลา ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความสะอาด ความพร้อมเพรียงกันในการทำข้อวัตรปฏิบัติ ความ ละเอียดถ่ีถ้วน ความคล่องแคล่วไม่เหน่ือยหน่ายท้อแท้อ่อนแอ ทำส่ิงใด ใหท้ ำอย่างมีสติ ใชป้ ญั ญาพินจิ พิจารณาใคร่ครวญให้รอบคอบ ไมท่ ำแบบ ใจร้อนใจเร็ว การหยิบจับวางส่ิงใดจะพยายามมิให้มีเสียงดัง ข้อวัตร ต่างๆ เหล่านี้พระเณรท่านจะช่วยกันดูแลรับผิดชอบบริเวณอย่างท่ัวถึง ต้ังแต่กุฏิหลวงปู่ม่ัน กุฏิตนเอง ศาลา ทางเดิน ตลอดแม้ในห้องน้ำห้อง ส้วม มกี ารเตมิ นำ้ ใสต่ ่มุ ใสถ่ ังใหเ้ ต็มไม่ใหพ้ รอ่ ง และขอ้ ปฏบิ ตั ติ ่างๆ เชน่ นี้ พระเณรท่านจะพยายามทำอย่างต้ังใจ สมกับท่ีท่านเป็นสมณะผู้รักความ สงบ สะอาด และรักธรรมรกั วนิ ยั การปฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนาถอื เปน็ งานหลกั อนั สำคญั ทส่ี ดุ ดงั นน้ั ในแตล่ ะวนั ท่านจึงพยายามพูดคุยแต่น้อย หากมีความจำเป็นต้องพูดสนทนากันบ้าง ก็ให้มีเหตุผลมีอรรถธรรม ไม่พูดคะนอง เพ้อเจ้อ หยาบโลน พูดตาม ความจำเป็น และเป็นไปเพ่ือความเจริญในธรรม การตักเตือนช้ีแนะ หมู่คณะภิกษุสามเณรให้เป็นไปด้วยความเมตตากรุณาต่อกันเพ่ือให้รู้ ให้ เขา้ ใจคุณและโทษจรงิ ๆ “…ควรพดู คยุ กันในเร่อื งความมักนอ้ ย สันโดษ ความวิเวกสงดั ความ ไม่คลุกคลีซึง่ กันและกนั พดู ในเร่อื งความเพียร ศีล สมาธิ ปัญญา ในการ ต่อสู้กิเลส… พระในคร้ังพุทธกาลท่านไม่ได้คุยถึงการบ้านการเมือง การ
121 ไดก้ ารเสีย ความร่นื เรงิ บันเทิง การซื้อการขายอะไร ทา่ นมคี วามระแวด ระวังว่า อันใดจะเป็นภัยต่อความเจริญทางจิตใจของท่าน ท่านจะพึง ละเวน้ หลบหลกี เสมอ สว่ นสงิ่ ใดเปน็ ไปเพอื่ สง่ เสรมิ ใหจ้ ติ ใจมคี วามแนน่ หนา ม่ันคงจนสามารถถอดถอนกิเลสออกได้เป็นลำดับลำดาน้ัน ควรส่งเสริม ให้มีมากข้นึ ใหส้ ูงขนึ้ …” หลวงปเู่ จ๊ียะอุทาน “เจอแล้วองค์น้”ี หลวงปู่เจีย๊ ะบอกวา่ หลวงปมู่ นั่ มกั เรียกทา่ นวา่ “เฒา่ ขาเป”๋ หรือบาง ครั้งก็เรียกว่า “ผ้าขี้ร้ิวห่อทอง” ได้มาพบและร่วมจำพรรษากับหลวงตา ได้เห็นถึงความจริงจังและลักษณะท่ีเหมือนดั่งคำนิมิตคำทำนายท่ีท่าน พระอาจารย์มั่น ทำนายไว้ที่ดอยคำ บ้านแม่ป๋ัง อำเภอพร้าว จังหวัด เชียงใหมว่ ่า ทา่ นองคน์ ลี้ กั ษณะเหมอื นทา่ นเจยี๊ ะ แตม่ ใิ ชท่ า่ นเจยี๊ ะ จะทำประโยชน์ ให้แก่หมู่คณะกว้างขวาง และท่านนิมิตเห็นพระหนุ่ม ๒ รูป น่ังช้าง ๒ เชอื ก ตดิ ตามทา่ นซง่ึ นงั่ สงา่ งามบนชา้ งตวั ขาวปลอดจา่ โขลงเปน็ ชา้ งใหญ่ พระหนุ่มสองรูปนี้จะสำเร็จก่อนและหลังท่านนิพพานไม่นานนัก และจะ ทำประโยชน์ใหญ่ให้พระศาสนา เม่ือเราเห็นท่านอาจารย์มหาบัวเข้ามา ก็ตรงตามลักษณะท่ีท่าน ทำนายไวก้ ็เบาใจเปน็ ท่ยี ิ่ง ถึงไดก้ บั อุทานภายในใจวา่ นแ่ี หละองค์นแี้ หละ ต้องเปน็ องค์ท่ที า่ นทำนายไว้อยา่ งแน่นอน เจอแล้วทีนี้ เม่ือท่านอาจารย์มหาบัวเข้ามารู้สึกว่าท่านเมตตาเป็นพิเศษ ข้อวัตร ปฏิบัติอะไร ทา่ นตัง้ ใจปฏิบตั ิรักษาสดุ สดุ ชวี ติ ความเพยี รท่านก็แรงกล้า
122 มีสตปิ ัญญาไวเปน็ เลศิ สมเปน็ ผู้มบี ญุ มาเกดิ ประเสรฐิ ดว้ ยความดีอยา่ งนี้ อีกไม่นานต้องพบพานธรรมอันเลิศ บุญเขตอันประเสริฐจะบังเกิดในวง พุทธศาสน์ เป็นปราชญ์ทางธรรมค้ำชูพระศาสนาเหมือนอย่างท่ีท่านพระ อาจารย์มั่นทำนายเอาไวอ้ ย่างแน่นอน เม่ือหลวงปู่เจี๊ยะท่านได้เล่าเหตุการณ์และความรู้สึกในคร้ังน้ันว่า “..ในท่ีสุดพระอาจารย์มหาบัว ก็มาหาท่านพระอาจารย์มั่นท่ีเสนาสนะป่า บ้านโคก จังหวัดสกลนคร เราเห็นลักษณะถามความเป็นมาเป็นไป จงึ แน่ใจเปน็ อยา่ งยิง่ กรรมฐานน้ำตาร่วง องคห์ ลวงตากล่าวว่าเม่ือครั้งไปอยกู่ ับหลวงปูม่ น่ั นัน้ จติ ของท่านเคย คิดไปว่า องค์หลวงปู่ม่ันจะสามารถทราบวาระจิตของท่านได้หรือไม่หนอ จากนั้นไม่นาน ท่านได้ข้ึนไปกราบพระประธานท่ีศาลา เห็นหลวงปู่มั่น กำลังเย็บผ้าอยู่ จึงได้คลานเข้าไปเพ่ือจะกราบขอโอกาสช่วยเย็บให ้ ขณะนั้นเองหลวงปู่ม่ันแสดงอาการแปลกกว่าทุกครั้งที่เคยเป็นมา โดย จ้องมองมาทท่ี า่ นอยา่ งดุๆ พรอ้ มกบั ปัดมอื หา้ ม แล้วพดู ขึน้ ว่า “หืย! อย่ามายุ่ง” ในตอนนั้นท่านคิดในใจว่า “โอ้ย ตายกู…ตาย…” และหลังจากเงยี บไปพกั หน่ึง ทา่ นอาจารยม์ ัน่ กก็ ล่าวตอ่ ว่า “ธรรมดาการภาวนากรรมฐานก็ต้องดูหัวใจตัวเอง ดูหัวใจตัวเองมัน คิดเรื่องอะไรๆ ก็ตอ้ งดหู วั ใจตวั เองสิผ้ภู าวนา อันน้ีจะใหค้ นอน่ื มาดใู ห้รู้ให้ กรรมฐานบา้ อะไร”
123 จึงเป็นอันรู้เหตุรู้ผลชัดเจนทันทีว่า ท่ีหลวงปู่มั่นแสดงปฏิกิริยา ดังกล่าวข้ึนเช่นน้ีก็เพราะความคิดสงสัยของท่านน่ันเอง คราวนี้ท่านถึง กับหมอบราบในใจอย่างสุดซึ้งวา่ “ยอมแล้วๆ คราวนี้ขอออ่ นขอยอมแลว้ ” หลังจากนั้นท่านจึงได้กราบขอโอกาสเข้าช่วยเย็บผ้าอีกครั้งหน่ึง คราวนี้องค์ท่านก็ไม่ได้ดุหรือห้ามอะไรอีก เพราะทราบดีว่า ลูกศิษย์ผู้นี้ ไดย้ อมแล้วอย่างสนิทใจ กลา่ วถงึ การบำเพญ็ ภาวนาของทา่ น โดยปกตธิ รรมดาท่านใช้เวลาใน การนงั่ สมาธคิ รัง้ ละประมาณ ๓-๔ ช่วั โมง ตอนกลางวนั พอฉนั จังหนั เสรจ็ ล้างบาตร เช็ดบาตรเรียบร้อยแล้ว เอาบาตรไปวางที่ร้านแล้วเข้าทาง จงกรมเลย ท่านจะเดินจงกรมไปตลอดจนถึงเวลาประมาณ ๑๑ โมงเป็น อย่างน้อยหรือถึงเท่ียงวันแล้วจึงพัก เมื่อออกจากพักแล้วก็น่ังภาวนาอีก ราว ๑ ชวั่ โมง แลว้ กล็ งเดนิ จงกรมอกี ทา่ นทำอยา่ งนน้ั อยเู่ ปน็ กจิ วตั รประจำ แม้ทำความเพียรเป็นประจำอยู่เช่นนี้ตลอดพรรษา แต่ภาวะจิตของ ท่านกลับมีแต่เจริญกับเส่ือมทางด้านสมาธิ ต่อมาเม่ือเห็นว่าอยู่กับ หลวงปู่มั่นพอสมควรท่านจึงอยากทดลองทำความเพียรโดยลำพังอย่าง เต็มท่ีดูบ้างว่าจะเกิดผลดีเพียงใด คร้ันพอออกพรรษาแล้วจึงได้ทดลอง ขึ้นไปภาวนาบนหลังเขา เพ่ือความสงบสงัดและทำความเพียรได้อย่าง เต็มที่ แต่เมื่อออกวิเวกจริงๆ แล้ว ความเพียรกลับไม่ค่อยเป็นผลเลย ต้องล้มลุกคลุกคลานอย่างหนัก จนหลายคร้ังทำให้ท่านรู้สึกท้ออกท้อใจ แต่ด้วยใจที่ “สู้ ไม่ถอย” ทำให้ท่านสามารถผ่านภาวะเช่นน้ี ไปได้ในเวลา ตอ่ มา
124 “…เขา้ ไปอยู่ในปา่ ในเขา ตงั้ ใจจะไปฟดั กบั กเิ ลสเอาใหเ้ ตม็ เหนยี่ วละนะ คราวนี้ หลีกจากครูบาอาจารย์ออกไปเข้าไปอยู่ในภูเขา ป่ามันสงบสงัด ป่าไม่มีเร่ืองอะไร แต่หัวใจมันสร้างเรื่องขึ้นมาละซิ วุ่นอยู่กับเจ้าของ คนเดยี ว เป็นบ้าอยคู่ นเดยี ว ‘โอ๊ย อย่างน้ีจะอยู่คนเดียวได้ยังไง น่ีหนีจากครูบาอาจารย์ไม่ได้ถ้า เป็นอย่างนี้แล้ว’ สมู้ นั ไม่ไดจ้ นนำ้ ตารว่ ง ไม่ไดล้ มื นะ .. นำ้ ตารว่ ง โอ้โห สมู้ นั ไม่ได้ ตงั้ สติ พบั ลม้ ผลอ็ ยๆ ตง้ั เพ่ือล้มไม่ใชต่ ้งั เพอ่ื อยู่ ตัง้ ตอ่ หนา้ ตอ่ ตานี่มันล้มตอ่ หน้า ตอ่ ตาใหเ้ หน็ ปดั ทเี ดยี วตก ๕ ทวปี โนน่ สมมตุ วิ า่ เราตอ่ ยเขา้ ไปนี้ มนั ปดั แขน เรานี้ตก ๕ ทวีป อำนาจแห่งความรุนแรงของกิเลส มนั แรงขนาดน้ันนะ อยู่ในหวั ใจน่ี .. กเ็ ราตง้ั หนา้ จะไปสู้ แตม่ แี ต่กเิ ลสซดั เราๆ มนั ยงั ไงกนั ได้ เคยี ดแค้น น้ำตารว่ ง ไมล่ ืมนะ อันน้ันละเปน็ สาเหตใุ หเ้ กดิ ความเคยี ดแคน้ มมุ านะทจี่ ะฟดั กบั กเิ ลสให้ได้ เราจงึ กลา้ พดู ซวิ า่ ความเคยี ดแคน้ น.ี่ . ลงออก ถึงกูถึงมึงทีเดียว ซัดกับกิเลสนี่ ฟังซิว่ากูมึง กูมึงในใจไม่ใช่กูมึงออกมา ข้างนอก ‘มึงยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง กูจะเอาให้มึงพังแน่ๆ มึงเอากูขนาดนี้ เชยี วนะ .. ยังไงกูได้ทแ่ี ล้วกูจะเอามึงเหมอื นกนั ยังไงมงึ ต้องพัง มึงไมพ่ งั วันหนึง่ มงึ ต้องพังวนั หน่ึง มงึ ไม่พงั กตู ้องพงั ตอ้ งตายกนั ’ มากเ็ อากนั แหละ ซดั กนั ไมถ่ อย... ตอ้ งตายกนั ตา่ งคนตา่ งสกู้ นั ไมม่ ถี อยกนั ‘เอ้า กิเลสกับเราเป็นคตู่ อ่ สู้กนั นีจ้ นกระทัง่ ถงึ วันตายไม่ให้เปน็ เอาให้ ตายด้วยกนั กเิ ลสไมต่ ายเรากต็ ายเท่านัน้ ’…” เหตุการณ์ในตอนนี้ท่านเคยยกเอามาสอนพระว่า ตอนท่ีกองทัพ กิเลสมีกำลังมากกว่าน้ัน ยังไม่สมควรท่ีจะอยู่คนเดียว ต้องเข้าหาครูบา
125 อาจารย์ เพราะการอยู่กับครูบาอาจารย์แม้จะยังไม่ก้าวหน้าอะไรแต่ก็ เป็นทอ่ี บอุน่ ใจได ้ บริกรรมพุทโธแก้ “จติ เส่อื ม” “...จิตมันยังไม่ได้เร่ืองได้ราวต้องฝึกฝนอย่างหนัก กิเลสมันถอยใคร เมอ่ื ไร พอจากพอ่ แมค่ รจู ารยม์ ั่นไปได้ ๒-๓ วนั จติ มนั ดดี มันด้ินหาเขียง สับยำเพื่อเปน็ อาหารกเิ ลสอย่างเห็นได้ชัด ถงึ ขนาดไดต้ ำหนิตนเองว่า ‘อ๋อ! เราน่ี มันกาจับภูเขาทอง เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์จิตสงบ ร่มเย็น พอออกจากท่านมาแล้วไม่ได้เร่ืองได้ราว ทำความเพียรก็เดินไป เฉยๆ ไม่มีอุบายอะไรที่จะแก้กิเลสได้สักตัวเดียว มีแต่ความฟุ้งซ่าน ภายในใจ นับวันรุนแรงข้ึนทุกวันๆ ถ้าเป็นอย่างนี้อยู่ห่างท่านไม่ได้ หนีจากครบู าอาจารย์ไม่ได’้ เมื่อเป็นแบบน้ี เรารีบกลับคืนไปหาท่านทันที แต่เดชะบุญเวลา กลับคืนไปองคท์ ่านไมเ่ คยตำหนิตเิ ตียน ไม่เคยขบั ไล่ไสส่งเลย บางคนื ไมย่ อมหลับนอนตลอดรุ่งเพราะกลัวจิตจะเส่อื ม ถึงอยา่ งนน้ั ก็ ยงั เสือ่ มไดเ้ ฉพาะอยา่ งยง่ิ เวลาจิตเร่ิมก้าวเขา้ สคู่ วามสงบ ความเพยี รก็ยงิ่ รีบเร่งเพราะกลัวจิตจะเส่ือมดังท่ีเคยเป็นมา แม้เช่นนน้ั กย็ ังฝืนเส่ือมไปได้ ต่อมาก็เจริญข้ึนอีก แล้วก็เสื่อมลงอีกความเจริญของจิตน้ันอยู่คงท่ีได้ เพียง ๓ วัน จากนั้นก็เส่ือมลงต่อหน้าต่อตา เจริญขึ้นไปถึงเต็มที่แล้ว เสือ่ มลงๆ…” ความทกุ ขท์ รมานในครงั้ นที้ ำใหท้ า่ นระลกึ เทยี บเคยี งเขา้ กบั ประวตั ขิ อง พระโคธกิ ะซงึ่ เปน็ พระสาวกในครงั้ พทุ ธกาลในสมยั ทเี่ คยเรยี นปรยิ ตั ิ
126 “...ดังท่ีเคยพูดถึงเร่ืองจิตเส่ือมมาเป็นปีกว่านั้น เส่ือมแล้วเจริญๆ หาบหามกองทุกข์แบกกองทุกข์น้ี แหม ไม่มีกองทุกข์ใดท่ีจะมากย่ิงกว่า กองทุกขข์ องจิตท่เี จริญแลว้ เสอื่ มๆ ซง่ึ ปรากฏกับหวั ใจของเรา จนกระทัง่ ถึงความเข็ดหลาบเลย ถึงขั้นที่ว่าจิตพอได้หลักข้ึนมาเป็นความสงบแล้ว ต้องเอาตายเข้าว่า ‘คราวน้ีจิตจะเสื่อมไปไม่ได้ ถ้าจิตเสื่อมคราวน้ีเราต้องตาย จะเป็น อยา่ งอน่ื ไปไม่ไดน้ นั่ ซมิ นั อาจเปน็ ไดน้ ะ’ สำหรบั นสิ ยั เรานมี้ นั เดด็ ขาดจรงิ ๆ เราก็เทียบเอาพระโคธิกะนั่นมาเป็นตัวอย่าง ท่านฆ่าตัวเองตาย เพราะจิตทา่ นเสอ่ื มในครง้ั นนั้ ทา่ นบอกวา่ ฌานเสื่อมๆ ก็คือสมาธิน่ันแหละ เสื่อม ฌาน ก็แปลว่าความเพ่ง ความเล็งอยู่จุดเดียว คือจุดแห่งความ สงบนั้นมันเส่ือมไป ทีน้ี ไม่มีจุดไหนท่ีจะจับจะข้องของฌานนั้นโดยถ่าย เดียว โดยไม่มสี ่งิ ตอบแทนคอื สมหวงั ๆ วา่ เปน็ ความสงบตามความมุง่ หวัง แล้วอยา่ งน้ีไม่มี น่ันละกองทกุ ข์เกิดขึ้นเวลาน้ัน ทา่ นแสดงไว้มถี ึง ๕ ครง้ั ๖ ครงั้ พอครง้ั สุดท้ายทา่ นกเ็ อามีดโกนมาเฉอื นคอเลย อันน้ีในตำราพูดไว้ ไม่ค่อยชัดเจนนักแต่เราก็เข้าใจ เวลามาปฏิบัติ แล้วเข้าใจ เวลาอ่านตำราไม่คอ่ ยเขา้ ใจ ลักษณะเปน็ มวั ๆ อยู่ ทา่ นพูดถงึ เรื่องพระโคธิกะ ในภาคปฏบิ ตั ขิ องเรามนั กจ็ ับกนั ได้ทนั ที…” เมอ่ื โอกาสอนั ควรมาถงึ ทา่ นจงึ เขา้ กราบเรยี นปรกึ ษาถงึ ภาวะจติ เสอื่ ม ว่าควรแก้ ไขอย่างไร และด้วยกุศโลบายแยบยลของครูบาอาจารย์ หลวงปู่มัน่ กลบั แสดงเปน็ เชิงเสียใจไปดว้ ย พร้อมกับใหก้ ำลงั ใจศิษยว์ า่ “…น่าเสียดายมันเสื่อมไปที่ไหนกันนา เอาเถอะ ท่านอย่าเสียใจ จงพยายามทำความเพียรเข้ามากๆ เดี๋ยวมันจะกลับมาอีกแน่ๆ มันไป เทย่ี วเฉยๆ พอเราเร่งความเพียรมันกก็ ลับมาเอง หนีจากเราไปไม่พน้
127 เพราะจิตเป็นเหมือนสุนัขนั่นแล เจ้าของไปไหนมันต้องติดตาม เจ้าของไปจนได้ นี่ถ้าเราเร่งความเพียรเข้าให้มาก จิตก็ต้องกลับมาเอง ไมต่ อ้ งติดตามมนั ใหเ้ สยี เวลา มนั หนไี ปไหนไม่พ้นเราแนๆ่ … จงปล่อยความคิดถึงมันเสียแล้วให้คิดถึงพุทโธ ติดๆ กันอย่าลดละ พอบรกิ รรมพทุ โธ ถย่ี บิ ตดิ ๆ กนั เขา้ มนั วง่ิ กลบั มาเอง คราวนแี้ มม้ นั กลบั มา กอ็ ยา่ ปลอ่ ยพทุ โธ มันไม่มีอาหารกนิ เด๋ยี วมนั กว็ ิ่งกลับมาหาเรา จงนึกพุทโธ เพ่ือเป็นอาหารของมันไว้มากๆ เมื่อมันกินอ่ิมแล้วต้อง พักผ่อน เราสบายขณะท่ีมันพักสงบตัวไม่ว่ิงวุ่นขุ่นเคืองเที่ยวหาไฟมา เผาเรา ทำจนไล่มันไม่ยอมหนีไปจากเรา นั่นแลพอดีกับใจตัว หิวโหย อาหารไม่มีวันอิ่มพอ ถ้าอาหาร พอกับมันแล้ว แม้ ไล่หนีไปไหนมันก็ ไม่ยอมไป ทำอย่างนัน้ แลจติ เราจะไมย่ อมเสอ่ื มต่อไป…” คำสอนดังกล่าวของหลวงปู่มัน่ ทำให้ท่านตั้งคำมั่นสัญญาขึ้นวา่ “...อยา่ งไรจะตอ้ งนำคำบรกิ รรมพุทโธ มากำกับจิตทกุ เวลา ไม่ว่าเข้า สมาธิออกสมาธิ ไม่วา่ จะท่ีไหน อยทู่ ่ีใด แม้ทสี่ ดุ ปดั กวาดลานวัด หรือทำ กจิ วัตรตา่ งๆ จะไม่ยอมให้สตพิ ลงั้ เผลอจากคำบรกิ รรมนัน้ เลย...” มารกระซิบ การภาวนาอยู่โดยลำพังคนเดียววันๆ หนึ่งท่านไม่พูดคุยกับใครเลย ถ้าไม่ออกฉันข้าววันใดก็ไม่พบเห็นใครทั้งส้ิน จึงไม่มีสิ่งใดมารบกวนยุ่ง เกย่ี วในการประกอบความเพียรของท่านตลอดเวน้ แตเ่ วลาหลับ แมอ้ ย่าง นนั้ บางวนั พยายามตอ่ สู้อย่างหนักจิตกย็ ังลงไม่ได้เลย บางทีกิเลสก็กลอ่ ม เอาบ้างเหมอื นกันว่า
128 “…โธ่!! มาอยู่อย่างนี้เหมือนคนสิ้นท่า ไม่มีคุณค่ามีราคาอะไรเลย โลกสงสารเขาก็อยู่ได้สะดวกสบาย สนุกสนาน ไม่ต้องมารับความทุกข์ ทรมานเหมือนเราซึ่งเปรียบเหมือนคนส้ินท่าน่ี ทำไมจึงต้องมาทรมานอยู่ ในปา่ ในรกกบั สัตวก์ บั เสืออยา่ งนี้ ไม่มีคุณค่าราคาอะไร…” “…วันหน่ึงเรายังไม่ลืม เราไม่ได้ดูนาฬิกา ก็นั่งภาวนาจะไปดูนาฬิกา อะไร มันคงประมาณหกทุม่ หรือตหี น่ึง มนั ดึกจริงๆ นะวันนัน้ จติ มันยงั ลง ไม่ได้... ก็พอดีเขามีลำกันทางภาคอีสานเขาเรียกลำ ลำยาวข้ามทุ่งนาไป จากบา้ นนามน เขามาเที่ยวสาวทางบ้านนามน เขาอยู่บ้านโพนทอง ด้านตะวันออก วัดบ้านนามนนู้นน่ะ เขาลำยาวไปตามทุ่งนา ฟังอาการเขาร้องเพลง เขาลำยาวเพลงภาคนี้ จติ มันยงั วติ กขึ้นมาได้ในขณะนัน้ ‘โอ้ เขายังมีความสนุกสนานรื่นเริงเดินขับลำทำเพลงตัดทุ่งนาไป อย่างเพลิดเพลินไม่มีความทุกข์กายทรมานใจเหมือนเรา ไอ้เรานี้กำลัง ตกนรกทงั้ เปน็ ... ไม่มีใครท่ีจะทกุ ข์ยิ่งกวา่ เราคนในโลกน้ี กำลงั ตกนรกทง้ั เปน็ อยู่เวลานี้’…” ความคิดปรุงดังกล่าวมีขึ้นขณะได้ยินเสียงลำเพลงอยู่นั้น แต่แล้ว ท่านก็หวนระลึกเปน็ ธรรมขึ้นมาแก้ในทนั ทีวา่ “…อันรื่นเริงบันเทิงแบบนี้เราเคยเป็นมาแล้ว ทุกข์แบบนเ้ี ราเคยเป็น มาแล้ว เราเคยตกนรกทั้งเป็นกับกิเลส ตกนรกทั้งตายกับกิเลสมาก่ีกัปก่ี กัลป์แล้ว นี่เราจะตะเกียกตะกายตนให้พ้นจากนรกของกิเลส เราจะถอน ตัวของเราด้วยความพากเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ ทำไมจึงเห็นว่าเป็น ความทุกข์ความลำบาก เราประกอบความเพียรหาอะไร? หานรกอเวจี ท่ีไหนเวลาน้ี ยังจะอยากตกนรกกับเขาอยูเ่ หรอ …”
129 ทา่ นวา่ มนั คดิ ข้ึนปุ๊บแก้กนั ทนั ทเี ลย จากนัน้ ไมน่ านจติ กส็ งบลงได้ จติ ต้งั หลกั ได ้ “...คราวน้ีเราจะตง้ั ใหม่ คราวน้เี อาคำบรกิ รรมเปน็ หลกั ไม่ไดก้ ำหนด เอาเฉพาะความรู้เหมือนแต่ก่อน ซึ่งเจริญขึ้นแล้วเส่ือมลงๆ เหมือนว่า ต้ังต้นใหม่ ตั้งแต่บัดน้ีต่อไปเราจะภาวนาด้วยบทคำบริกรรมคือพุทโธ เราชอบพุทโธ นิสัยผมกลมกลืนกับพุทโธมาดั้งเดิม ก็ต้ังกำหนดกฎเกณฑ์ ให้ใหม่ ทนี จี้ ะบรกิ รรมดว้ ยพทุ โธ แตส่ ำหรบั นสิ ยั เรานรี้ สู้ กึ วา่ เปน็ คนจรงิ จงั มากตลอดมา พอว่าตั้งกับคำว่าพุทโธก็เหมือนทำสัตยาบันสัญญากันเลย จะเคลื่อนเป็นอ่ืนไปไม่ได้ กับคำว่าพุทโธจะต้องตั้งกันตลอดเวลา ไม่ว่า อริ ยิ าบถใดจะไมย่ อมใหเ้ ผลอจากคำวา่ พทุ โธนเ้ี ลย ตงั้ ตลอด ตง้ั แตต่ นื่ นอนตง้ั ไม่ใหเ้ ผลอ ควบคมุ กนั ตลอดเวลา ทกุ ขก์ ็ใหอ้ ยกู่ บั พทุ โธ สขุ ก็ใหอ้ ยกู่ บั พทุ โธ ‘เอ้า! มันจะเสื่อมไปถึงไหนก็ให้มันเสื่อม มันจะเจริญก็ตาม เพราะ ความเสอ่ื มความเจรญิ นเ้ี รามนั เคยมาพอแลว้ จนอดิ หนาระอาใจตอ่ ความ เสอื่ มความเจรญิ คราวนมี้ นั จะเสอ่ื มใหเ้ สอ่ื มไป เจรญิ กเ็ จรญิ ไป จะไมถ่ อื มา เปน็ อารมณย์ ง่ิ ไปกวา่ การบรกิ รรมดว้ ยความมสี ติ ไมป่ ลอ่ ยวางนเี้ ทา่ นนั้ ’ จึงได้ปักลงตรงน้ัน แล้วปักจริงๆ นะ เอาอยู่กับน้ันเลย จะเจริญ ก็ตามเส่ือมก็ตามไม่เอามาเป็นอารมณ์ เพราะเราเคยเป็นอารมณ์แล้วก็ สร้างความทุกข์ร้อนให้เรามามากขนาดไหน ปล่อยเลย เมื่อภาวนา เขา้ ไปๆ พุทโธเข้าไป พุทโธเข้าไป บงั คบั จิตตลอดเวลา สดุ ท้ายจติ ที่เคย เสื่อมเคยเจรญิ มันก็ไมเ่ ส่ือม คอ่ ยเจริญข้ึนๆ คอ่ ยสงบเยน็ ใจเขา้ ไปๆ ปัก เขา้ ไปเรอื่ ยๆ ไมถ่ อย จนกระทงั่ จิตสงบ
130 ถงึ บางครงั้ นบ้ี รกิ รรมไม่ไดน้ ะ คอื จิตมันละเอยี ด สงบเขา้ ไปจนถงึ ขั้น ละเอยี ด นึกคำบรกิ รรมไมอ่ อกเลย คือหมดจรงิ ๆ ปรงุ ขนึ้ มาไม่มีเลย ไม่มี เลย เหลือตั้งแต่ความรู้ท่ีละเอียดสุดอยู่ในน้ันในจิตขั้นน้ี จนเกิดความงง ‘เอ๊ น่ีจิตของเราบริกรรมมาตลอด คราวนี้คำบริกรรมก็ไม่มี บริกรรมยัง ไงก็ไม่ปรากฏ ทำยงั ไงก็ไมป่ รากฏ เหลอื แตค่ วามรู้ท่ีละเอยี ดแล้วจะทำยงั ไง?’ งง กลัวมันจะเสือ่ มอกี จงึ ไดง้ ง ก็เลยได้สติ ‘เอ้า! ถ้าหากว่าคำบริกรรมมันหายไป เอ้า! ให้หายไป แต่กับความรู้อันน้ีจะไม่หาย สติจะจับเข้าอยู่กับความรู้อันน้ี จนกว่าบริ กรรมได้เมอ่ื ไรจะบรกิ รรมทันท’ี จติ ก็ปักอยกู่ ับความร้ ู พอไดจ้ งั หวะความรทู้ ป่ี รงุ ไม่ไดน้ ้ี มแี ตค่ วามละเอยี ด รอู้ ยา่ งละเอยี ดๆ มนั กค็ อ่ ยคลคี่ ลายตวั ออกมา เรยี กวา่ มนั ถอยออกมา คำบรกิ รรมบรกิ รรม ได้ เอาคำบรกิ รรมตดิ เขา้ ไปอกี เลยตลอด อยา่ งนเี้ ปน็ พกั ๆๆ พอถงึ ขนั้ มนั ละ เอยี ดจรงิ ๆ หมดคำบรกิ รรมหายเลยจบั อนั นนั้ ไวต้ ามเดมิ ๆ ตอ่ ไปมนั กค็ อ่ ย ละเอยี ดขนึ้ ๆ จนถงึ ขน้ั ทมี่ นั เคยเจรญิ แลว้ เสอื่ มๆ ไปถงึ นนั้ แลว้ ‘เอ้า! เสื่อมไป อยากเส่ือมก็เส่ือมไป เราไม่เป็นกังวลกับความเสื่อม ความเจริญเพราะเคยเป็นมาแล้วไม่ได้ผลอะไรเลย แต่เราจะไม่ปล่อยคำ บริกรรมน้ีตลอดไป’ เอากันตลอด มนั ก็ขึน้ ไปเรอื่ ยๆๆ พอถงึ ข้นั มนั จะเสื่อม มันก็ไมเ่ สื่อม ทีนี้ก็ก้าวขึ้นเร่ือยๆ อ๋อทีน้ีถูกแล้ว จับได้แล้วนะจากนั้นก็ย้ำคำบริ กรรมเขา้ ไป จนกระทั่งจิตมคี วามแน่นหนามั่นคงป๋งึ ๆ เอาละทนี ี้ เราจะจับ เอาจุดแห่งความแน่นหนาม่ันคงซ่ึงเป็นจุดผู้รู้อย่างเด่นชัดน้ีด้วย สติอีก เอาสติจับตรงนั้นไม่ปล่อยอีก เช่นเดียวกับคำบริกรรมพุทโธไม่ปล่อยวาง เช่นเดียวกัน จิตก็ละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป จนกระท่ังปล่อยเองนะ
131 คำบริกรรม เมื่อถึงขั้นที่จะปล่อยแล้วมันปล่อยเอง มีแต่ความรู้เด่น อยกู่ ับความรนู้ น้ั ด้วยสตๆิ ตลอดไปเลย ... นีท่ ำจริงจงั ไม่ไดท้ ำเล่น ไมว่ า่ อะไรกต็ าม บณิ ฑบาตในหมบู่ า้ นไม่ยอม ให้เผลอเลยเดินจงกรมไปตลอด เขาใส่บาตรไม่ทราบเขาใส่อะไรไม่ได้ สนใจ มีตั้งแต่คำบริกรรมพุทโธๆตลอด ทั้งไปท้ังกลับ ท้ังขบท้ังฉัน กระดิกพลิกแพลงไปไหนคำบริกรรมจะไม่ปล่อยเลย น่ีเรียกว่าบริกรรม โดยแท้จนกระทั่งจิตมันต้ังได้แล้วก็เข้าอยู่ในสมาธิ มันถึงแน่นหนาม่ันคง พอถงึ ข้ันแนน่ หนามัน่ คงจรงิ ๆ...” ต้ังแต่นั้นมาท่านก็ตั้งคำบริกรรมมาเป็นลำดับ ไปไหนมาไหนอยู่ที่ใด เป็นกับตายจะไม่ยอมให้เผลอจากพุทโธ แม้จิตจะเส่ือมไปไหนก็ให้รู้กันที่นี่ เท่าน้ันไม่ยอมรับรู้ ไปทางอ่ืน จิตก็เลยตั้งหลักลงได้เพราะคำบริกรรม คือพทุ โธ หักโหมความเพียรเตม็ เหน่ียว ท่านเร่ิมหักโหมความเพียรมาต้ังแต่เดือนเมษายนและพฤษภาคม กอ่ นเขา้ พรรษาปนี ้ี หลงั จากหลวงปมู่ นั่ เสรจ็ งานเผาศพหลวงป่เู สารแ์ ล้ว (๑๕-๑๖ เมษายน ๒๔๘๖) ท่านก็ไปรบั หลวงปู่มน่ั มาดว้ ยกัน และเดินทาง จากพระธาตุพนมเข้ามาจำพรรษาท่ีบ้านนามน จังหวัดสกลนครนับเป็น พรรษาท่ี ๒ ของการไปศึกษาอยู่กับหลวงปู่ม่ัน และเป็นพรรษาท่ี ๑๐ ของการบวช ในพรรษานี้ท่านเร่งความเพียรอย่างเต็มเหน่ียวย่ิงกว่าธรรมดา หักโหมทั้งร่างกายและจิตใจ กลางวันไม่นอน เว้นแต่วันที่นั่งสมาธิตลอด
132 รุ่งวันน้ันจึงจะยอมให้พักกลางวันได้ถ้าวันไหนทำความเพียรธรรมดาๆ กลางวันทา่ นจะไม่ยอมพักเลย “...กลางวันไม่นอน เดินจงกรม หมากพลูไม่แตะเลยในสามเดือน ทิ้งเลย... แต่ก่อนไปที่ไหนมันมีหมากพลูเต็มไปหมดน่ี เขาเอามาถวาย กฉ็ นั ไปอย่างน้ันเอง เลยฉันมาเรื่อยๆ… การนั่งสมาธิตลอดรุ่งน้ีมันของเล่นเม่ือไร ใครเก่งลองดูสิ จะได้รู้ว่า นั่งแต่หัวค่ำจนกระท่ังตลอดรุ่งเป็นเวลา ๑๓-๑๔ ชั่วโมงเป็นอย่างไรบ้าง บางวันนั่งจนกระท่ังถึงเวลาบิณฑบาตเพราะอยู่กับหมู่กับเพ่ือน ถ้าอยู่คน เดียวยงั ไม่ออกอกี นะ จะก่ชี ัว่ โมงไมร่ ู้นะ แตน่ ่ี (มีขอ้ วตั ร) เก่ยี วกบั ครกู บั อาจารย…์ ” “สมาธิเร่ิมแน่นไม่เส่ือมอีกมาแต่เดือนเมษายน แต่นี้ ไม่เก่ียวกับ สมาธิ แต่เป็นปัญญาในเวลาจนตรอก มันเป็นปัญญาสายฟ้าแลบ สติ ปัญญากับกิเลสราวกับมัดคอติดกัน ไม่ใช้ปัญญาได้ยังไง เวลามันจะตาย มนั จนตรอกจนมุมก็ตอ้ งใช้ปญั ญาสิ เวลารู้ขึน้ มามันกร็ ู้ด้วยปญั ญา” การพิจารณาทกุ ขเวทนา “…ตอนทีเ่ หน็ ความอศั จรรย์ กเ็ หน็ ตอนน่ังภาวนาตลอดร่งุ ตง้ั แตเ่ ริ่ม คืนแรกเลยพิจารณาทุกขเวทนา แหม มันทุกข์แสนสาหัสนะ ทีแรกก็ไม่ นึกว่าจะนั่งสมาธิภาวนาตลอดรุ่ง... ตอนจะน่ังภาวนาได้ตลอดรุ่งนั้น ก็จากนี่แหละ ทีนี้เริ่มน่ังกำหนด กำหนดลงไปๆ ทีแรกใจก็ลง เพราะมัน เคยลง มันลงได้ง่าย เรยี กวา่ มหี ลกั มฐี านอนั ดี กำหนดภาวนาลงไป เมื่อ เวทนาอนั ใหญห่ ลวงยงั ไมเ่ กิด ภาวนามนั กส็ งบดี พอถอยขนึ้ มากเ็ ป็นเวลา
133 หลายช่ัวโมง เวทนาใหญ่ก็เกิดข้ึน และเกิดข้ึนจนจะทนไม่ไหว ใจที่เคย สงบนั้นก็ล้มไปหมดฐานดีๆ น้ันล้มไปหมด เหลือแต่ความทุกข์เต็มในส่วน ร่างกาย แต่จิตใจไม่ร้อน ชอบกล รา่ งกายทุกข์มากสั่นไปหมดท้ังตัว นแ่ี หละตอนที่ไดเ้ ข้าตะลุมบอนกัน ในเบื้องต้นแห่งเหตุท่ีจะได้อุบายสำคัญข้ึนมา ตอนทุกขเวทนากล้าสาหัส เกิดขึ้นโดยไม่คาดไม่ฝัน คืนวันนั้นก็ยังไม่ได้ต้ังใจว่าจะนั่งจนตลอดรุ่งนะ เราไม่ไดต้ ้งั สัจอธิษฐานอะไรเลย น่งั ภาวนาธรรมดาๆ แต่เวลาทุกขเวทนา เกดิ ข้นึ มามาก... พิจารณายังไงก็ไม่ไดเ้ รอื่ ง ‘เอ๊ะ! มันยังไงกันน่ีว่ะ เอ้า! วันนี้ตายก็ตาย เราจะต้องสู้ให้เห็นเหตุ เห็นผลกับเวทนานี้เสียวันน้ี’ เลยตั้งสัจอธิษฐานในขณะน้ัน เร่ิมนั่งตั้งแต่ บัดนี้ ไปจนถึงสว่างถึงจะลุก ‘เอ้า! เป็นก็เปน็ ตายกต็ าย ถ้าไม่ถึงเวลาลกุ จะไม่ลุกจรงิ ๆ เอ้า! สู้กัน จนถึงสว่างเป็นวันใหม่ วันน้ีจะพิจารณาทุกขเวทนาให้เห็นแจ้งเห็นชัดกัน สกั ที ถา้ ไมเ่ หน็ แมจ้ ะตายก็ใหม้ นั ตายไป ใหร้ กู้ นั ขดุ กนั ลงไป คน้ กนั ลงไป’ น่ีแหละตอนปญั ญาเรมิ่ ทำงานอยา่ งเอาจริงเอาจงั …เวลานั่งก็ไม่ใหม้ ี ข้อแม้ใดๆ เชน่ ปวดหนกั ปวดเบา อยากถา่ ยถา่ ยไป ถา่ ยไปแลว้ เราจะลา้ ง ไม่ไดเ้ หรอ ลา้ งไม่ไดอ้ ยา่ อยู่ ให้หนกั ศาสนา ตายเสยี ดกี ว่า เพราะฉะน้ัน จึงไม่มีข้อแม้… แต่มันก็ไม่เคยปวดถ่ายนะ เร่ืองปวดเบานี่ไม่มีหละ เพราะจีวรมันเปยี กหมด เปียกเหมือนเราซักผ้าจริงๆ นะ ไม่ใชธ่ รรมดา... เปยี กหมดตวั เลยเพราะมนั จะตาย มันไม่ใช่เหง่ือละ ภาษาภาคอีสานเขาเรียก ยางตาย อันนี้มันจะไป ปวดเบาที่ตรงไหนเหง่ือมันออกหมด ส่วนการถ่ายหนักนั้นมันอาจเป็นได้ แต่ท่ีผ่านมานี้มันก็ไม่เห็นเป็นอะไรน่ี หากเป็นขึ้นมาจริงๆ ก็เอาจริงๆ นี่
134 ขนาดนั้น… เราไม่ทราบ ไมค่ าดไมฝ่ ันวา่ ปัญญาจะมคี วามแหลมคม เวลา มันจนตรอกจนมุม ไม่มีทางออกจริงๆ ปัญญาก็หมุนต้ิวเลย ปัญญาออก ขุดคน้ สู้กันแบบไมย่ อมถอยทพั กลับแพ้เลย เวลาจนตรอกปัญญาเกิด จึง ทำให้เข้าใจว่า คนเราไม่ใช่จะโง่อยู่เรื่อยไป เวลาจนตรอกย่อมหาวิธีช่วย ตัวเองจนได้ นี่ก็เหมือนกันพอจนตรอกเพราะทุกขเวทนากล้าครอบงำ สตปิ ัญญาค้นเขา้ ไปถงึ ทกุ ขเวทนา เม่ือเวทนาเกิดข้ึนมากๆ เช่นน้ี มนั เป็น ไปหมดทั้งร่างกาย ทแี รกมนั ก็ออกร้อนตามหลังมือหลังเทา้ ซงึ่ ไม่ใช่เวทนา ใหญ่โตอะไรเลย เวลามันใหญ่โตจริงๆ เกิดขึ้นมา ร่างกายเป็นไฟไปหมด กระดูกทุก ท่อนทุกชิ้นท่ีติดต่อกัน เป็นฟืนเสริมไฟในร่างกายทุกส่วนเหมือนมันจะ แตกไปเดี๋ยวนั้น กระดูกต้นคอมันก็จะขาด กระดูกทุกท่อนทุกช้ินท่ีติดต่อ กันมันก็จะขาด หัวจะขาดตกลงพ้ืนในขณะน้ัน เวลาเป็นทุกข์ อะไรๆ ก็พอๆ กัน และทั่วไปหมดทั้งร่างกายน้ีไม่ทราบจะไปยับย้ังพอหายใจได้ที่ ตรงไหน ที่ไหนก็มแี ต่กองไฟ คอื ความทุกข์มากๆ ทั้งสิ้น เม่อื หาท่ีปลงใจ ไม่ได้ สติปัญญากข็ ุดค้นลงไปทท่ี ุกขเวทนานนั้ โดยหมายเอาจดุ ท่มี นั ทกุ ข์ มากกว่าเพ่ือน อันไหนที่มันเป็นทุกข์มากกว่าเพื่อน สติปัญญาพิจารณา ขุดค้นลงทต่ี รงนัน้ โดยแยกทุกขเวทนาออกให้เหน็ ชดั เจนว่า เวทนานเ้ี กิด มาจากไหน ใครเป็นทุกข์ ถามสกลกายส่วนต่างๆอาการต่างๆ ต่างอัน ต่างเป็นอยู่ตามธรรมชาติ หนังก็เป็นหนัง เนื้อก็เป็นเน้ือ เอ็นก็เป็นเอ็น ฯลฯ มีมาแต่วนั เกดิ ไมป่ รากฏว่ามนั เปน็ ทกุ ข์มาตั้งแตว่ นั เกิดติดตอ่ กนั มา เหมือนเนื้อหนังที่มีอยู่ต้ังแต่วันเกิดน้ี ส่วนทุกข์เกิดขึ้นและดับไปเป็น ระยะๆ ไมค่ งอยูเ่ หมอื นอวยั วะเหลา่ นน้ั น่ี กำหนดลงไป อวัยวะส่วนไหนซ่ึงเป็นรูป อันนั้นก็จริงของมันอยู่
135 อย่างนั้น ทุกขเวทนาขณะน้ีมันเกิดอยู่ตรงไหน ถ้าว่าสิ่งเหล่านั้นเป็น เวทนาท้ังหมด ทำไมมันจึงมีจุดเดียวท่ีมันหนักมาก แน่ะ แยกมันออกไป สติปัญญาตอนนั้นหนีไปไหนไม่ได้แล้ว ต้องว่ิงอยู่ตามบริเวณท่ีเจ็บปวด และหมุนต้ิวรอบตัว แยกเวทนากับกาย ดูกายแล้วดูเวทนา ดูจิต มีสาม อยา่ งนเ้ี ป็นหลักใหญ ่ จิตก็เห็นสบายดีนี่ ถึงทุกขเวทนาจะเกิดข้ึนมากน้อยเพียงไร จิตก็ไม่ เห็นทุรนทุรายเกิดความเดือดร้อนระส่ำระสายอะไรน่ี แต่ความทุกข์ใน ร่างกายนั้นชัดว่าทุกข์มาก มันก็เป็นธรรมดาของทุกข์ และกิเลสท่ีมีอยู่ มันต้องเข้าประสานกัน ไม่เช่นนั้นจิตจะไม่เกิดความเดือดร้อน หรือ กระทบกระเทือนไปตามทุกขเวทนาทางกายที่สาหัสในขณะนั้นปัญญาขุด ค้นลงไป จนกระทั่งกายก็ชัด เวทนาก็ชัด จิตก็ชัด ตามความจริงของ แต่ละอย่างละอยา่ ง จิตเป็นผู้ ไปหมาย ไปสำคัญเวทนาว่าเป็นน้ันเป็นน้ีก็รู้ชัด พอมันชัด เขา้ จรงิ ๆ เชน่ นนั้ แลว้ เวทนากห็ ายวบู ไปเลย ในขณะนนั้ กายกส็ กั แตว่ า่ กาย จริงของมันอยู่อย่างน้ันเวทนาก็สักแต่เวทนา และหายวูบเข้าไปในจิต ไม่ได้ ไปท่ีอ่ืนนะ พอเวทนาหายวูบเข้าไปในจิต จิตก็รู้ว่าทุกขเวทนา ดับหมด ทกุ ขเวทนาดับหมดราวกบั ปลดิ ทงิ้ นอกจากนั้นกายกห็ ายหมดใน ความรู้สึก ขณะนั้นกายไม่มีในความรู้สึกเลย เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ เพราะยังเหลืออยู่อันเดียว คือความรู้และเพียงสักแต่ว่ารู้เท่านั้น จิต ละเอียดมาก แทบจะพูดอะไรไม่ได้เลย สักแต่ว่ารู้ เพราะละเอียดอ่อน ท่ีสุดอยู่ภายใน ร่างกายหายหมด เวทนาหายหมด เวทนาทางกายไม่มี เหลือเลย ร่างกายที่กำลังนั่งภาวนาอยู่น้ันก็หายไปหมดในความรู้สึก เหลือแต่ความสักแต่ว่ารู้ จะคิดจะปรุงเป็นอย่างนั้นอย่างน้ี ไม่มี ขณะนั้น
136 จติ ไมค่ ดิ ปรงุ เลย ถา้ ไมป่ รงุ กเ็ รยี กวา่ ไมข่ ยบั เขยอื้ นอะไรทง้ั นน้ั จติ มนั แนว่ คอื แนว่ อยู่โดยลำพงั ตนเอง เปน็ จติ ลว้ นๆ ตามขนั้ ของจติ ทร่ี วมสงบ น่ีไม่ได้ หมายถงึ อวิชชาไม่มีนะ อวิชชามันแทรกอยู่ในนั้นแหละ เพราะจิตยังไม่ถอนออกจากอวิชชา มันก็มีจิตกับอวิชชาที่สงบตัวอยู่ด้วยกัน เพราะอวิชชาไม่ออกทำงาน ขณะที่ถูกตีต้อนด้วยปัญญาอวิชชาก็หดตัว สงบลงไปแทรกอยู่กับใจ เหมือนตะกอนนอนก้นโอ่งฉะน้ัน ขณะนั้นเกิดความอัศจรรย์ขึ้นมา ทุกขเวทนาไม่เหลือ กายหายหมด ส่ิงที่ไม่หายมีอันเดียว คือความรู้อัน ละเอียดที่พูดไม่ถูก คือสักแต่ว่าปรากฏเท่านั้น พูดนอกออกไปจากน้ัน ไม่ได้ ส่ิงท่ีสักแต่ว่าปรากฏน้ันแล คือความอัศจรรย์ย่ิงในขณะนั้น ไม่ ขยบั เขยอื้ นภายในจติ ใจ ไมก่ ระเพอ่ื มไมอ่ ะไรทง้ั หมด สงบแนว่ อยอู่ ยา่ งนนั้ จนกระท่ังพอแกก่ าลแล้วกข็ ยับ คอื ใจเร่ิมถอยออกมา และกระเพ่อื มแย็บ แล้วหายเงียบไป การกระเพ่ือมมันเป็นเองของมันนะ เราไปหมายไม่ได้ ถ้าไปหมายก็จะถอน คือจิตพอดิบพอดีของมันเอง กระเพื่อมแย็บอย่างนี้ มันก็รู้ พอกระเพ่ือมแย็บมันก็ดับไปพร้อม สักประเดี๋ยวกระเพื่อมแย็บอีก หายไปพรอ้ ม แลว้ คอ่ ยถ่เี ข้า ถี่เขา้ น่ีละจิตเวลามันลงถึงฐานเต็มท่ีแล้ว ขณะที่จะถอนก็ไม่ถอนทีเดียว เรารู้ได้ชัดขณะนั้นมันค่อยกระเพ่ือม คือ สังขารมันปรุงแย็บขึ้นมา หาย เงียบไป ยงั ไม่ไดค้ วามอะไรกระเพื่อมแย็บแลว้ ดบั ไปพร้อม แล้วประเดีย๋ ว แยบ็ ข้นึ มาอีก คอ่ ยๆ ถเ่ี ขา้ พอถ่ีเขา้ ถงึ วาระสดุ ท้ายกร็ สู้ กึ ตวั ถอนขึ้นมา เป็นจิตธรรมดา แล้วก็รู้เรื่องร่างกาย เวทนาก็หายเงียบเวลาจิตถอนขึ้น มาแล้ว เวทนายงั ไมม่ ี ยงั หายเงียบอยูก่ ่อน จนกว่าจะถงึ เวลาท่ีเวทนาจะ เกดิ ข้ึนมาใหม่
137 นี่ได้หลักเกณฑ์ท่ีนี่และแน่ใจ เกิดความเข้าใจว่า ได้หลักในการต่อสู้ กับเวทนาวา่ ‘อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง ทุกข์มันเป็นอันหน่ึงต่างหากแท้ๆ กายเป็นอัน หนึ่ง จิตเป็นอันหนึ่งต่างหาก แต่เพราะความลุ่มหลงอย่างเดียว จึงได้ รวมท้ังสามอย่างมาเป็นอันเดียวกันจิตเลยกลายเป็นความหลงทั้งดวง จิตก็เป็นผู้หลงทั้งดวง แม้ทุกขเวทนาจะเกิดตามธรรมชาติของมันก็ตาม แตเ่ มอ่ื ยึดเอามาเผาเรามันก็รอ้ น เพราะความสำคญั น้ีเองพาให้รอ้ น’ เมื่อนานพอสมควรแล้ว ทุกขเวทนาก็เกิดข้ึนอีก เกิดขึ้นอีก ‘เอาอีก ตอ่ สู้กันอีก ไมถ่ อย’ ขุดค้นลงไปอีก อย่างท่ีเคยขุดค้นมาแล้วแต่หนก่อน แต่เราจะเอา อุบายท่ีเคยพิจารณาแก้ ไขในระยะก่อนมาใช้ในปัจจุบันนี้ ไม่ได้ มันต้อง เป็นอุบายสติปัญญาคิดขึ้นมาใหม่ ผลิตขึ้นมาใหม่ ให้ทันกับเหตุการณ์ซ่ึง เป็นเวทนาเหมือนกัน แต่อุบายวิธีก็ต้องให้เหมาะสมกันในขณะน้ันเท่าน้ัน เราจะไปยึดเอาอบุ ายวิธที ่ีเราเคยพจิ ารณารู้ครัง้ นนั้ ๆ มาแก้ไม่ได้ มันตอ้ ง เป็นอุบายสดๆ รอ้ นๆ เกดิ ขึ้นในปัจจุบัน แกก้ นั ในปจั จบุ ัน ใจกส็ งบลงได้ อีกอย่างแนบสนิทเช่นเคย ในคืนแรกน้ัน ลงได้ถึง ๓ หน แต่สู้กันแบบ ตะลุมบอนถงึ ๓ หนพอดีสว่าง ‘โอ๊ย เวลาต่อสู้กันแบบใครดีใครอยู่ ใครไม่ดีใครไปด้วยเหตุผลโดย ทางสติปัญญาจริงๆ’ ใจเกิดความอาจหาญร่ืนเริงไม่กลัวตาย ทุกข์จะมีมากมีน้อยเพียงไร ก็เป็นเร่ืองของมันธรรมดา เราไม่เข้าไปแบกหามมันเสียอย่างเดียว ทุกข์ มันก็ไม่เห็นมคี วามหมายอะไรในจติ เรา จติ มนั รู้ชดั กายก็ไม่มคี วามหมาย อะไรในตัวของมัน และมันก็ไม่มีความหมายในตัวเวทนา และมันก็ไม่มี
138 ความหมายในตวั ของเราอกี นอกจากจติ ไปใหค้ วามหมายมนั แลว้ กก็ อบโกย ทกุ ขเ์ ขา้ มาเผาตนเองเทา่ นน้ั ไมม่ อี ยา่ งอน่ื ใดเขา้ มาทำให้ใจเปน็ ทกุ ข.์ ..” การพิจารณาทุกขเวทนาใหญ่ในครั้งนั้นทำให้ท่านทราบชัดเจนว่า จิตคนเราแม้ ไม่เคยพิจารณาปัญญายังไม่เคยออกแบบนั้นแต่เวลามัน จนตรอกจนมุมจริงๆ แล้วปัญญามันไหวตัวทันเหตุการณ์ทุกแง่ทุกมุม จนกระทัง่ รู้เท่าทุกขเวทนา รู้เทา่ กาย รเู้ รอื่ งจติ ตา่ งอันต่างจริงมันพราก กันลงอย่างหายเงียบเลย ทั้งๆ ท่ีท่านไม่เคยเป็นอย่างนั้นมาก่อนเลย ปรากฏวา่ กายหายในความรสู้ กึ ทกุ ขเวทนาดับหมด เหลือแตค่ วามรู้ทสี่ ัก แตว่ ่ารู้ ไม่ใช่รเู้ ด่นๆ ชนดิ คาดๆ หมายๆ ได้ คือสักแตว่ า่ รู้เท่าน้นั แตเ่ ปน็ สงิ่ ทล่ี ะเอียดออ่ นทส่ี ดุ อัศจรรย์ที่สุดในขณะนน้ั “พอถอนขึ้นมาก็พิจารณาอีก แต่การพิจารณาเราจะเอาอุบายต่างๆ ท่เี คยพิจารณาแลว้ มาใช้ขณะนน้ั ไม่ได้ผล มนั เปน็ สัญญาอดตี ไปเสีย ตอ้ ง ผลิตขึ้นมาใหม่ให้ทันกับเหตุการณ์ในขณะนั้น จิตก็ลงได้อีก คืนนั้นลงได้ ถงึ ๓ คร้งั กส็ วา่ ง โอ๋ย อศั จรรย์เจา้ ของละซ”ิ ในคืนท่ีนั่งสมาธิตลอดรุ่งน้ัน ท่านจะไม่ยอมให้มีการพลิกเปล่ียนหรือ ขยับแข้งขาใดๆ ท้ังส้ินเลย ท่านเล่าถึงความเจ็บปวดที่ได้รับจากการนั่ง ตลอดคืนเช่นนั้นให้ฟังว่า “เหมือนกับก้นมันพองหมด กระดูกเหมือนจะแตกทุกข้อทุกท่อน กระดูกมันต่อกันตรงไหน หรือแม้แต่ข้อมอื กเ็ หมอื นมันจะขาดออกจากกัน ทุกขเวทนาความเจ็บปวดเวลาข้ึนมันขึ้นหมดทุกสิ่งทุกอย่างทุกแง่ทุกมุม ในรา่ งกายเลย”
139 การโหมความเพียรหลายต่อหลายครั้งเข้าเช่นน้ีทำให้ก้นของท่านถึง กบั พองและแตกเลอะเปือ้ นใส่สบงเลยทีเดยี ว “…หากวนั ไหนทห่ี กั โหมกนั เตม็ ทแ่ี ลว้ จติ ไมส่ ามารถลงไดง้ า่ ยๆ วนั นน้ั มนั แพ้ทางร่างกายมาก บอบชำ้ มาก คอื ในเวลาน่งั จะแสบก้นเหมอื นถกู ไฟเผา ถงึ ขนาดตอ้ งได้น่งั พับเพียบฉนั จงั หันเลยทีเดียว แต่ถ้าวันไหนท่ีพิจารณาทุกขเวทนาติดป๊ับๆ เกาะติดป๊ับๆ วันน้ันแม้ จะนั่งสมาธิภาวนาตลอดรุ่งเหมือนกันก็ตาม แต่กลับไม่มีอะไรชอกช้ำ ภายในร่างกายเลย พอลุกข้ึนก็ไปเลยธรรมดาๆ เหมือนกับว่าเราน่ังแค่ ๓-๔ ช่ัวโมงเปน็ ประจำตามความเคยชนิ น้ันเอง…” รู้ทนั เวทนาชดั ประจกั ษ์ “ตาย” พอถงึ รงุ่ เชา้ เมอ่ื ได้โอกาสอนั เหมาะสม ทา่ นกข็ นึ้ กราบเรยี นหลวงปมู่ น่ั ซ่ึงตามปกตทิ า่ นเองมีความเกรงกลัวหลวงปมู่ ัน่ มาก แต่วนั นัน้ กลับไมร่ ู้สกึ กลัวเลย เป็นเพราะอยากจะกราบเรียนเร่ืองความจริงของท่านให้หลวงปู่ ม่ันได้รับทราบและให้ท่านเห็นผลแห่งความจริงว่าปฏิบัติมาอย่างไรจึงได้ ปรากฏผลเช่นนี้ ท่านจึงพูดข้ึนมาอย่างอาจหาญแบบท่ีไม่เคยพูดกับ หลวงปมู่ ั่นอย่างน้ันมากอ่ น “…ทัง้ ๆ ที่เราพูดขงึ ขงั ตึงตงั ใสเ่ ปร้ียงๆ ท่านกค็ งจับได้เลยวา่ ‘โหย ทน่ี ้ีแหละกำลังบา้ มันข้นึ แลว้ ’ ท่านคงว่างนั้ ‘มนั รูจ้ ริงๆ’ ความหมายว่ามันรู้จริงๆ เพราะเราพูดแบบไม่สะทกสะท้าน เล่า อะไรๆ ให้ฟัง ท่านจะค้านเราตรงไหน ท่านก็ไม่ได้ค้าน มีแต่เออ... เอา
140 พอเราจบลงแล้ว ก็หมอบลงฟังท่านจะว่ายังไง... ท่านก็ข้ึนเต็มเหน่ียว เหมอื นกันนะ ท่านร้นู ิสยั บ้า วา่ งัน้ นะ ‘มันต้องอย่างน้ี เอ้า ทีน้ี ได้หลักแล้ว เอ้า เอามันให้เต็มเหน่ียว อตั ภาพเดียวนมี้ นั ไม่ไดต้ ายถงึ ๕ หนนะ มนั ตายหนเดยี วเท่านัน้ นะ ทนี ้ีได้ หลกั แลว้ เอาให้เต็มเหนีย่ วนะ’… วา่ อย่างนน้ั เลยเชียว ท่านเอาหนกั อธิบายให้ฟังจนเปน็ ท่ีพอใจ เราก็ เป็นเหมือนหมาตัวหน่ึง พอท่านยอบ้างยุบ้าง หมาเราตัวโง่นี้ ก็ท้ังจะกัด ทง้ั จะเหา่ ... มนั พอใจ มันมกี ำลังใจ ทนี จ้ี งึ ฟดั กันใหญ่…” “…เวลามันรู้จริงๆ แล้ว แยกธาตุแยกขันธ์ดูความเป็นความตาย ธาตสุ ี่ ดนิ นำ้ ลม ไฟ สลายตัวลงไปแลว้ ก็เปน็ ดิน เป็นน้ำ เป็นลม เปน็ ไฟตามเดิม อากาศ ธาตุก็เป็นอากาศธาตุตามเดิม ใจท่ีกลัวตายก็ย่ิงเด่น มันเอาอะไรมาตาย รู้เด่นขนาดน้ีมันตายได้ยังไง ใจก็ไม่ตายแล้วมันกลัว อะไร มนั โกหกกัน โลกกเิ ลสมนั โกหกกนั ตา่ งหาก หมายถงึ กเิ ลสโกหกสัตว์ โลกให้กลวั ตายท้งั ทคี่ วามจรงิ ไม่มอี ะไรตาย พิจารณาวันหนึ่งได้อุบายแบบหนึ่งข้ึนมา พิจารณาอีกวันหนึ่งได้ อุบายแบบหนึ่งข้ึนมา แต่มันมีอุบายแบบเผ็ดๆ ร้อนๆ แบบอัศจรรย ์ ทัง้ นั้น จิตก็ย่งิ อัศจรรยแ์ ละกลา้ หาญจนถงึ ขนาดทวี่ า่ ‘เวลาจะตายจริงๆ มันจะเอาเวทนาหน้าไหนมาหลอกเราวะ ทกุ ขเวทนาทกุ แงท่ กุ มมุ ทแี่ สดงในวนั นเี้ ปน็ เวทนาทสี่ มบรู ณแ์ ลว้ เลยจากนี้ ก็ตายเท่าน้ัน ทุกขเวทนาเหล่านี้เราเห็นหน้ามันหมด เข้าใจกันหมด แก้ไขมนั ได้หมด แลว้ เวลาจะตายมันจะเอาเวทนาหนา้ ไหนมาหลอกเราให้ หลงอกี วะ หลงไปไม่ได้ เวทนาตอ้ งเวทนาหน้าน้ีเอง พูดถึงเรอ่ื งความตายก็ไม่มอี ะไรตาย กลวั อะไรกัน นอกจากกเิ ลสมัน
141 โกหกเราให้หลงไปตามกลอุบายอันจอมปลอมของมันเท่าน้ัน แต่บัดนี้ ไป เราไมห่ ลงกลของมนั อกี แลว้ ’ นั้นละ จิตเวลามันรู้ และมันรู้ชัดตั้งแต่คืนแรกนะ ที่ว่าจิตเจริญแล้ว เสื่อมๆ ก่อนมาภาวนาจนน่ังตลอดรุ่งคืนแรกมันก็ไม่เสื่อม ต้ังแต่เดือน เมษายนมาก็ไมเ่ ส่อื มแต่มันกย็ งั ไม่ชดั พอมาถงึ คืนวันนน้ั แล้วมนั ชัดเจน ‘เอ้อ มันต้องอย่างน้ี ไม่เสื่อม’ เหมือนกับว่ามันปีนข้ึนไปแล้วก็ตกลง ขน้ึ ไปแล้วกต็ กลงๆ แตค่ ราวนพ้ี อปนี ข้นึ ไปเกาะตดิ ป๊บั ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ เส่ือม มนั รู้แล้ว จงึ ได้เรง่ เต็มทเ่ี ตม็ ฐาน…” หลวงปู่ม่นั ขอใส่บาตรอุบายสอนศิษย.์ . “…อยู่ท่ีไหนก็ตามเร่ืองธุดงควัตรนี้ เราจะต้องเอาหัวชนอย่าง ไม่ถอยเลย ยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมให้ขาดได้เลย บิณฑบาตมาแล้วก็ รีบจัดปุ๊บปั๊บ จะเอาอะไรก็เอาเสียนิดๆ หน่อยๆ เพราะการฉันไม่เคยฉัน ให้อิ่ม ในพรรษาไม่เคยให้อิ่มเลย โดยกำหนดให้ตัวเองว่าเอาเพียง เท่านั้นๆ สัก ๖๐% หรือ ๗๐%... ซึ่งคิดว่าพอดี เพราะอยู่กับหมู่เพื่อน หลายองค์ด้วยกัน ถ้าจะอดก็ไม่สะดวก เพราะการงานในวงหมู่คณะเก่ียวข้องกัน อยู่เสมอ เราเองก็เหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหน่ึงอย่างลับๆ ท้ังที่ไม่แสดงตัว ท้ังนี้เกี่ยวกับการคอยดูแลความสงบเรียบร้อยของหมู่คณะภายในวัด พรรษาก็ไม่มาก สิบกว่าพรรษาเท่าน้ันแหละ แต่รู้สึกว่าท่านอาจารย์ม่ัน ท่านเมตตาไว้ใจในการช่วยดแู ลพระเณรอยา่ งลับๆ เชน่ กัน…
142 พอบิณฑบาตกลับมาแลว้ มีอะไรก็รบี จดั ๆ ใสบ่ าตร เสรจ็ แลว้ กร็ ีบไป จัดอาหารเพอ่ื ใส่บาตรทา่ นอาจารยม์ น่ั หอ่ นนั้ หรอื ห่อนี้ทีเ่ ห็นว่าเคยถูกกับ ธาตขุ ันธ์ทา่ น เรารแู้ ละเข้าใจกร็ บี จดั ๆ อันไหนควรแยกออก อนั ไหนควร ใส่ก็จัดๆ เสรจ็ แล้วถงึ จะมาท่ีนัง่ ของตน ตาคอยดู หู คอยสงั เกต ฟังทา่ น จะวา่ อะไรบ้างขณะก่อนลงมอื ฉนั บาตรเราพอจดั เสรจ็ แลว้ กเ็ อาตงั้ ไวล้ บั ๆ ทางดา้ นขา้ งฝาตดิ กบั ตน้ เสา เอาฝาปดิ ไว้อยา่ งดีดว้ ย เอาผา้ อาบนำ้ ปิดอกี ช้ันหนง่ึ ดว้ ย เพื่อไม่ให้ใครไป ย่งุ ไปใส่บาตรเรา เวลานนั้ ใครจะมาใส่บาตรเราไม่ได้ กำชบั กำชาไว้อย่าง เด็ดขาด แต่เวลาท่านจะใส่บาตรเราท่านก็มีอุบายของท่าน เวลาเราจัด อะไรของทา่ นเสรจ็ เรียบรอ้ ยแล้วมาน่งั ประจำที่ ใหพ้ รเสร็จ ตอนทำความสงบพิจารณาปัจจเวกขณะนั่นแล ท่านจะเอาตอนเริ่ม จะฉัน ท่านเตรียมของใส่บาตรไว้แต่เม่ือไรก็ไม่รู้แหละ แต่ท่านไม่ใส ่ ซำ้ ๆ ซากๆ นี่ ทา่ นกร็ เู้ หมอื นกนั ทา่ นเหน็ ใจเรา บทเวลาทา่ นจะใส่ ทา่ นพดู วา่ ‘ท่านมหาขอใสบ่ าตรหนอ่ ยๆ ศรทั ธามาสายๆ’ ทา่ นวา่ อยา่ งน้ัน พอว่าอย่างนั้นมือท่านถึงบาตรเราเลยนะ ตอนเราเอาบาตรมาวาง ข้างหน้าแล้วกำลังพิจารณาอาหารน่ีแหละ เราเองก็ไม่ทราบจะทำ อย่างไรเพราะความเคารพ จำต้องปล่อยตามความเมตตาของท่าน เรา ให้ใส่เฉพาะท่านเท่านั้น นานๆ ท่านจะใส่ทีหน่ึง ในพรรษาหนึ่งๆ จะมี เพยี ง ๓ ครั้งหรอื ๔ คร้งั เป็นอยา่ งมาก ท่านไม่ใส่ซำ้ ๆ ซากๆ เพราะทา่ น ฉลาดมาก คำวา่ มัชฌิมาในทุกดา้ นจึงยกใหท้ า่ นโดยหาทีต่ อ้ งตไิ ม่ได้…” แมห้ ลวงปมู่ นั่ จะทราบดถี งึ ความเครง่ ครดั ของทา่ นเกยี่ วกบั การสมาทาน ธดุ งค์ แตด่ ว้ ยความเมตตาของครบู าอาจารยท์ ต่ี อ้ งการหาอบุ ายสอนศษิ ย์ ทำใหบ้ างครงั้ หลวงปมู่ นั่ ก็ไดน้ ำอาหารมาใสบ่ าตรทา่ นพรอ้ มกบั พดู วา่
143 “ขอใสบ่ าตรหนอ่ ยท่านมหา นเี่ ปน็ สมณบรโิ ภค” หรือบางครง้ั ก็ว่า “น่ีเป็นเครื่องบริโภคของสมณะ ขอนิมนต์รับเถอะ” เหตุการณ์ใน ตอนนนั้ ทา่ นเคยเลา่ ไว ้ “…บางคร้ังก็มีคณะศรัทธาทางจังหวัดหนองคายบ้างและท่ีสกลนคร บ้างที่อื่นๆ บ้าง ไปใส่บาตรท่านและพระในวัดบ้านนามน คนในเมือง สกลนคร นานๆ มีไปทีหน่ึง เพราะแต่ก่อนรถราไม่มีต้องเดินด้วยเท้า แตเ่ ขาไปดว้ ยเกวยี น จา้ งล้อจ้างเกวียนไป เขาไปพกั เพยี งคนื สองคนื และไม่ไดพ้ กั อยู่ในวัดกบั พระทา่ น แต่พากนั ไปพักอยู่ กระท่อมนาของชาวบ้านนามน ตอนเช้าทำอาหารบิณฑบาต เสรจ็ แลว้ กม็ าถวายพระในวัดนน้ั เขาไม่ได้ไปดกั ใส่บาตรนอกวดั เราก็ไม่ กล้ารับ กลัวธุดงค์ขาด เดินผ่านหนีมาเลยสำหรับท่านก็รับให้เพราะ สงสารเขา เท่าทสี่ ังเกตดู อาหารก็เหลือจากใส่บาตรมากมายก็ได้นำขึ้นมาบนศาลา เป็นหมก เป็นห่อและผลไม้ต่างๆ นะ เราก็ไม่รับ ส่งไปไหนก็หายเงียบ หายเงียบ ไม่มีใครรับ จะมีรับบ้างเพียงองค์สององค์ ผิดสังเกตศรัทธาเขาไม่น้อย ส่วนเราไม่กล้ารับเพราะกลัวธุดงค์ข้อน้ีขาด หลายวันต่อมาท่านก็ขอใส่ บาตรเรา โดยบอกว่า ‘นีเ้ ป็นสมณบริโภค ขอใสบ่ าตรหน่อย’ แลว้ ทา่ นก็ใส่บาตรเรา ท่านใสเ่ องนะ ถ้าธรรมดาแล้ว โถ…ใครจะมา ใส่เราได้วะสำหรับเราเองกลัวธุดงค์จะขาด หรืออย่างน้อยไม่สมบูรณ์... นอกจากทา่ นอาจารยม์ ัน่ ผ้ทู ี่เราเคารพเล่อื มใสเตม็ หัวใจเท่านัน้ จงึ ยอมลง และยอมให้ใสบ่ าตรตามกาลอันควรของทา่ นเอง...
144 ความจริงท่านคงเหน็ ว่าน่ีมนั เป็นทิฐิแฝงอยู่กับธุดงค์ท่ีตนสมาทานน้นั ท่านจึงช่วยดัดเสียบ้าง เพ่ือให้เป็นข้อคิดหลายแง่หลายกระทง ไม่เป็น ลักษณะเถรตรงไปถ่ายเดียวท่านจึงหาอุบายต่างๆ สอนเราท้ังทางอ้อม และทางตรง แต่เพราะความเคารพเลอื่ มใสท่าน ความรกั ท่าน ทง้ั ๆ ท่ีไมส่ บายใจก็ ยอมรับน่ีแลท่ีว่าหลักใจกับหลักปฏิบัติ ต้องยอมรับว่าถูกในความจริงจังที่ ปฏิบัตนิ ่ี แต่มันก็ไมถ่ ูกสำหรับธรรมทส่ี ูงและละเอียดกวา่ นัน้ เลง็ ดูเราเล็ง ดทู ่านมองเราและมองทา่ นน้ันผดิ กนั อยูม่ าก อย่างพ่อแม่ครูจารย์ม่ันท่านมองอะไรท่านมองตลอดทั่วถึงและพอ เหมาะพอสมทุกอยา่ งภายในใจ ไมเ่ หมอื นพวกเราทมี่ องหนา้ เดียวแง่เดยี ว แบบโงๆ่ ไม่มองด้วยปญั ญาเหมือนทา่ น เราจึงยอมรับตรงนั้น…” อุบายฝึกม้าพยศ เตือนศษิ ย์ จากการที่โหมนงั่ ภาวนาตลอดรงุ่ ถงึ ๙-๑๐ คนื แมจ้ ะไมท่ ำตดิ ตอ่ กนั คอื เวน้ ๒ คนื บา้ ง ๓ คนื บา้ ง หรอื บางทกี เ็ วน้ ๖-๗ คนื กม็ ี ทา่ นทำเชน่ นตี้ ลอด พรรษาจนถงึ กบั เปน็ ทแ่ี น่ใจในเรอื่ งทกุ ขเวทนาหนกั เบามากนอ้ ย เขา้ ใจวธิ ี ปฏบิ ตั ติ อ่ กนั สามารถหลบหลกี ปลกี ตวั แก้ไขกนั ไดอ้ ยา่ งทนั ทว่ งที จงึ ไมม่ ี คำวา่ สะทกสะทา้ นแมจ้ ะตายก็ไมก่ ลวั เพราะไดพ้ จิ ารณาดว้ ยอบุ ายอนั แยบ คายเตม็ ทแี่ ลว้ สตปิ ญั ญาจงึ เทา่ ทนั ตอ่ ความตายทกุ อยา่ ง การท่ีท่านหักโหมร่างกายด้วยการน่ังตลอดรุ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นน้ี ทำให้ผิวหนังในบริเวณก้นได้รับความกระทบกระเทือนอยู่บ่อยครั้ง จนถึง ขั้นช้ำระบม พุพอง แตก น้ำเหลืองไหลเยิ้มในท่ีสุด พอนานวันเข้า
145 หลวงปูม่ น่ั กเ็ มตตาเตอื นแย็บออกมาว่า “กิเลสมนั ไม่ไดอ้ ยกู่ ับร่างกายนะ มันอยูก่ ับจติ เหมือนสารถีฝึกม้า” จากนนั้ ก็พูดต่อวา่ “ม้าที่เวลามันกำลังคึกคะนอง มันไม่ยอมฟังเสียงเจ้าของเลย ตอ้ งทรมานมันอย่างเตม็ ที่ ไมค่ วรให้กนิ หญา้ ก็ไม่ใหม้ ันกินเลย ทรมานมัน อย่างหนกั เอาจนมันกระดิกไม่ได้ ทีนี้พอมันยอมลดพยศลงก็ผ่อนการทรมาน เม่ือมันผ่อนความพยศ ลงมาก การฝกึ ทรมานกผ็ อ่ นกันลงไป ให้กนิ หญา้ กนิ อะไรบา้ ง ถ้าม้ามันเป็นการเป็นงานแล้ว เราก็ไม่ทรมานมัน ให้การรักษาการ ระมดั ระวงั การบำรงุ มนั ไป เวลาตอ้ งการจะใชป้ ระโยชนอ์ ะไรก็ใชม้ นั ฉนั ใด จิตเวลามันกำลังคึกคะนองผาดโผนโลดเต้นก็เอามันอย่างหนัก ฉันน้ันเหมือนกัน” แอบสนทนากบั หลวงปู่พรหม พอออกพรรษาแล้ว หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ศิษย์องค์สำคัญของ หลวงปู่มั่นอีกรูปหนึ่งได้เข้ามาพักที่วัดป่าบ้านนามนกับหลวงปู่มั่น จึงเป็น โอกาสอันดีให้ท่านมีโอกาสแอบเข้าพบและสนทนากับหลวงปู่พรหมเป็น ประจำ “...หลวงปู่พรหมน้ีเป็นอยู่ข้างๆ ทางดอยแม่ป๋ัง (บรรลุธรรม) มันมี แต่ป่าแต่เขาท้ังนั้นนี่นะ.. คือได้เคยคุยธรรมะกันแล้วต้ังแต่ท่านยังไม่ตาย จะว่าไง ท่ีได้คุยกันเป็นเวลานานๆ ก็คือท่านอยู่ท่ีบ้านนามน คือเราอยู่ บ้านนามนกับหลวงปู่มั่น ท่านอาจารย์พรหมท่านเคยพูดให้ฟังตั้งแต่อยู่
146 บ้านนามน เวลาเงียบๆ วันไหนไม่ได้ขึ้นหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นก็แอบไปหา ท่านคุยกันสองต่อสองทุกคืน คุยสนุกสนาน ท่านพูดให้ฟังทุกแง่ทุกมุมใน การปฏิบัติธรรมของท่าน น่ีท่านก็ผ่านที่เชียงใหม่ ท่านผ่านมานานแล้วน่ี กร็ ู้ไดอ้ ยา่ งชดั เจนละซี ทา่ นเล่าให้ฟงั ถึงเรายังไมร่ ูอ้ ีโหน่อีเหน่อะไร ทาง ปริยัตทิ างอะไรมนั ก็เข้ากันได้ๆ ลงใจทนั ที .. หลวงปู่พรหมกับเราสนิทสนมกันมาเป็นเวลานาน นี่วัดของท่าน คือ แต่ก่อนท่านอยู่วัดน้ี (วัดผดุงธรรม) แล้วท่านย้ายจากนี้ออกไปตะวันตก แต่ก่อนตะวันตกน้ีเป็นดงใหญ่นะดงทั้งหมด ดงสัตว์ดงเน้ือดงเสือเต็ม วัดท่านก็อยู่ในดง (วัดประสิทธิธรรม) เราไปพักกับท่านอยู่นั้น รู้สึกท่าน เมตตามากนะกับเรา นิสัยท่านน่าเกรงขามมาก นิสัยจริงจังเด็ดเด่ียว ทุกอย่างฉลาดรอบคอบ ไม่ใช่เล่นนะ พอเห็นเราไปแล้ว ‘หา!’ ขึ้นเลย กส็ นทิ กนั มาเท่าไรแลว้ พอมองเห็นเรา เรากำลงั สะพายบาตรเข้าไป ‘หา ทา่ นมหามาเหรอ’ ‘โอย๊ มาแลว้ คดิ ถึงครบู าอาจารยม์ าก ตอ้ งมาหละ’ ‘เอ่อ เอา้ มาเวลานีก้ ำลงั หนาว’ เราไปเดือนธันวาคมมันก็หนาวละซี แล้วบ้านดงเย็นเป็นบ้านที่หนาว มากดว้ ย ไปคุยธรรมะธัมโมกบั ท่าน โอย๊ สนทิ กนั มากต้งั แตอ่ ย่บู ้านนามน พอออกพรรษาแล้วทา่ นก็ไปหา ทแี รกจวนจะเข้าพรรษาท่านไปหาหลวงปูม่ ัน่ กอ่ น พอดที างสกลฯ วดั สุทธาวาสไม่มีหัวหน้าวัด เขาก็ไปขอพ่อแม่ครูจารย์ม่ัน ก็พอดีท่าน อาจารย์พรหมไปถึงนั้น ท่านมาจากเชียงใหม่ ท่านบ่ึงเข้าไปหาพ่อแม่ครู จารย์ม่ัน พอเขาพูดจบคำเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ม่ันท่านพูดเป็นลักษณะ
147 เผดียงๆ จะส่ังจริงๆ ก็ไม่ใช่นะ ท่านก็รู้อัธยาศัยเหมือนกัน คือพระไม่มี เขาก็มาขอจากท่าน ‘นี่จะทำยังไงท่านพรหม เขาก็มาหาหัวหน้าจะทำไง ถา้ วา่ ทา่ นไปอยูท่ ีน่ น้ั ไดก้ จ็ ะด’ี บริษัทโยมนุ่มมาขอ เพราะวัดน้ีเป็นวัดบริษัทโยมนุ่มสร้างขึ้นมา มี หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ เป็นประธานการสร้างวัดสุทธาวาสน่ีนะ เขาก็ เลยถือเป็นวัดของเขาไปเลย ทีน้ีพระไม่มีเขาก็ไปติดต่อบ้านนามน ‘โอ๋ย จะให้ไปอยู่ยังไง’ ท่านก็ว่าอย่างนั้น คือมาขอพระไป ‘พระในเมืองสกลฯ อดอยากท่ีไหน’ ทา่ นพูดเล่นกับเขา หากเฉยนะพูดลักษณะเลน่ อยู่ภายใน ‘ทำไมมาหาไกลนักหนา เมืองสกลฯ มีมากขนาดไหน ไม่ได้แหละ พระน่ที ่านมาหาภาวนา กต็ ้องมาตามอัธยาศัยของท่านซี’ ท่านว่า เขาก็เลยกลับไป ท่านบอกไม่ได้ จากนั้นไม่นานสักสี่ห้าวัน หรอื ไง พอดีท่านอาจารยพ์ รหมมาวัดสทุ ธาวาส แลว้ พุง่ ใส่พ่อแมค่ รูจารย์ มั่นเราเลย นั่นละท่านถึงพูดเป็นเชิงเล่าเรื่องนี้ละ ‘เขามาขอพระอะไรๆ ถ้าท่านพรหมพอจะอยู่พกั อบรมสัง่ สอนใหเ้ ขาร่มเย็นบา้ งก็จะดนี ะ’ ท่านพูดกลางๆ ท่านก็รอู้ ัธยาศัยเหมือนกันนะ ทา่ นไมบ่ ังคบั นะ ‘ถ้าท่านอยู่ที่น่ันเป็นหัวหน้าให้เขาบ้างก็จะดีท่านว่าอย่างน้ัน ออกพรรษาเราอยากมาค่อยมา’ พอออกจากนน้ั ปบ๊ั ทา่ นกก็ ลบั คนื ไปจำพรรษาอยทู่ วี่ ดั สทุ ธาวาส พอทนี ี้ ออกพรรษาแล้วท่านก็มาอีก พอออกพรรษาแล้วท่านมาเลย มาอยู่น้ัน นานกับเรา พอตกกลางคืนเราจะแอบไปหาท่านทุกคืนเลย ถ้าวันไหน ไม่ได้ข้ึนไปหาท่านต้องเข้าไปน้ันละ คุยธรรมะกันถึงได้รู้เร่ืองราวภายใน ของทา่ น นนั้ แหละได้คุยกนั ตลอดสนทิ สนมกันมา ..
148 หลวงปูพ่ รหม นที่ ่านประกาศ ๗ วัน เพราะท่านเป็นพอ่ คา้ แล้วไม่มี ลูกมีเต้า ถ้าพูดถึงฐานะบ้านนอกก็เรียกว่า ท่านเป็นท่ีหน่ึงของบ้านน้ี เพราะการค้าการขายท่านเป็นพ่อค้า ทีน้ีเวลามาปรึกษาหารือกับแม่บ้าน เพราะไม่มีลูกด้วยกัน น้ีทำยังไง น่ีเห็นไหมคนมีอุปนิสัยมันเป็นนะ เราก็ อยู่ด้วยกันมา ไม่มลี ูกมีเตา้ ที่จะสืบหนอ่ ต่อแขนงมรดก ‘เหล่าน้จี ะทำไง แล้วตายแล้วใครจะสบื ตอ่ ก็ไม่ได้ไปทง้ั น้นั สบื ตอ่ กัน เป็นระยะๆ อันน้ีเรายังมีชีวิตอยู่ สิ่งเหล่าน้ีเราครองมานานแล้วก็ไม่เห็น เป็นประโยชน์อะไร ก็อยู่อย่างนี้แหละ เราออกบวชจะไม่ดีเหรอ ต่างคน ออกเสาะแสวงหาสมบัตภิ ายใน สมบัติภายนอกเราเหน็ อยนู่ ี้แหละ’ ท่านเล่าให้ฟังนะ แม่บ้านก็พอใจทันทีเลย ถ้าเราออกบวชแล้วอันน้ี เราก็ประกาศให้ทานไปหมดเสีย เสร็จแล้วออกเลย ทางนั้นก็พร้อมเลย ไมว่ า่ ทา่ นบอกว่าประกาศอยู่ ๗ วนั ของใหท้ านหมดเลย ให้ทาน ๗ วัน แล้วแมบ่ า้ นออกทางหนึ่ง ทา่ นกอ็ อกทางหน่งึ ไปเร่ือย ทา่ นเล่าให้ฟงั ทา่ นเปน็ คนศกั ดศิ์ รดี งี าม มอี ำนาจวาสนานา่ เกรงขามมาก เดด็ เดยี่ ว.. แนน่ อนมาตั้งแต่คุยกันอยูบ่ า้ นนามน อยา่ งน้ีแหละเห็นไหมละ่ ไมต่ ้องเอา อะไรมายันกัน เพราะท่านคุยให้เราฟังอย่างถึงใจเม่ืออยู่บ้านนามน ท่าน ผ่านมาตง้ั แต่อย่เู ชยี งใหม่โนน้ .. แต่ก่อนทา่ นเล่าให้ฟังเราก็ยังไม่ร้อู ีโหนอ่ ี เหน่อะไร ท่านเลา่ ให้ฟังจนกระท่ังถึงท่านผ่านไดเ้ ลย เรากฟ็ ังแบบหูหนวก ตาบอด ครนั้ เวลามาปฏบิ ตั ิ ปฏบิ ตั ไิ มถ่ อยมนั กร็ ตู้ ามกนั ไปๆ สดุ ทา้ ยยอมกราบ ทา่ นราบ ..ทา่ นเลา่ ใหฟ้ งั แลว้ ทางนตี้ ามอกี ดว้ ยขอ้ ปฏบิ ตั ิ ดว้ ยความรคู้ วาม เหน็ มนั ตามเขา้ ไปหาทแ่ี ยง้ กนั ไม่ได้ ยอมรบั เลย นอี่ งคห์ นงึ่ …”
149 หลงป่า เดือนพฤศจิกายนปีน้ัน ท่านกราบลาหลวงปู่มั่นออกจากวัดป่า บ้านนามนไปเที่ยวกรรมฐาน มีอยู่คราวหน่ึงระหว่างท่ีท่านพร้อมหมู่คณะ กำลงั เที่ยววิเวกหาสถานทภ่ี าวนาในปา่ ในภอู ยู่น้นั เม่ือย่ิงเดนิ หน้าไปเร่อื ย ก็ยิ่งพลัดหลงทางไปเร่ือย เข้าไปในหุบเขาเล็กๆ ย่ิงเข้าป่าลึกข้ึนๆ จนไม่ พบบ้านผู้คนเลย เหตุการณ์คราวน้ันท่านกล่าวว่ารอดมาได้ด้วยอำนาจ ของบญุ ของทาน “…ออกจากบ้านโคกนามนจากพ่อแม่ครูจารย์ม่ัน ไปก็เข้าเขาเลย เพราะภูเขามันติดกันกับบ้านห้วยหีบ เข้าไปนั่นไปภูเขา เข้าไปกลางเขา เลยหลง หลงอยูก่ ลางเขาเลย .. ไปเท่ียวในภูเขาจากระหวา่ งสกลนครกับ กาฬสนิ ธ์ุ เข้าไปในเขาไปหลงปา่ ละซี เข้าไปในหบุ เขาเลยนะ เขาไม่รู้กีล่ ูก ก่ชี น้ั เขา้ ไปจมอยู่ในเขาเลย พอดีไปเจอพวกเขาไปทำไรอ่ ยู่ในเขามี ๔-๕ หลังคา เขาไปทำไร่อยู่ในหบุ หลงเข้าไปตรงนนั้ เขาจนงงเลย ‘โห ท่านมาได้ยังไง?’ คือตอนกลางคืนนั้นมีนิมิตเสียก่อนนะ หลงป่าไปด้วยกัน ๓ องค์ยัง ไม่ได้แยกจากกันตามธรรมดาออกจากวัดแล้วก็ไปทีละ ๒ องค์ ๓ องค์ แลว้ ก็ไปแยกกนั ขา้ งหนา้ ไปวนั นนั้ ยงั ไม่ไดแ้ ยกเลย ไปก็ไปหลงปา่ กลางคนื งมเงาไป ‘เอ้า นอนในป่านี่แหละงมไปไหน แล้วต้ังสัจอธิษฐานนะจะออกทาง ภาวนาก็ได้ ออกทางความฝนั กเ็ อา แลว้ บา้ นอยทู่ างไหน มนั หลงถนดั แลว้ เข้าในหุบเขา บา้ นอยทู่ างไหนใหต้ ั้งสัจอธษิ ฐานนะ’
150 องค์น้ันก็ต้ังองค์น้ีก็ต้ัง เราก็ต้ัง ต้ังสัจอธิษฐาน จะออกทางภาวนา ก็ได้ ออกทางไหนก็ได้ พอดกี ลางคนื มานมิ ติ แลว้ ... ทนี พี้ อกลางคนื มากฝ็ นั ละทนี่ ่ี องคน์ น้ั กฝ็ นั องคน์ กี้ ฝ็ นั ฝนั ดว้ ยกนั ทง้ั ๓ องคด์ ว้ ยนะ แปลกอยู่ องคห์ นึ่งฝนั ‘บา้ นอยทู่ างไหน?’ ‘บา้ นอยู่ทางนี้’ ชี้ไปทางทศิ ใต้ ‘รู้ไดย้ ังไงว่าบา้ นอยทู่ างนี?้ ’ ‘มีแต่ผู้หญิงหาบอะไรต่ออะไร หล่ังไหลผ่านมานี่ไปทางน้ีแหละ ไปทางทิศใต้นี้’ ‘แล้วองค์น้ลี ่ะฝนั ว่ายังไง?’ ‘บา้ นอยูท่ างนอี้ ีก’ ‘รู้ไดย้ ังไง?’ ‘มีแตผ่ ูห้ ญงิ หาบสง่ิ หาบของพะรุงพะรงั ไปน’้ี แลว้ วา่ ‘วนั นีเ้ ราจะพบ ผ้หู ญงิ ก่อนนะ’ ‘เอ้า อยู่ในกลางเขาจะพบผ้หู ญงิ ได้ยงั ไง?’ ‘หากจะพบก็เพราะความฝนั บอก อย่างนนั้ ’ เราก็อีกเหมอื นกนั หม่เู พ่ือนมาถามเราว่า ‘เปน็ ยังไง?’ ‘บา้ นอยทู่ างนจ้ี รงิ แต่ไม่ใชบ่ า้ นนะ เปน็ ทบั เขามาตง้ั ทบั อยทู่ างดา้ นน้ี เมื่อคนื เห็นโยมแมม่ าหา มเี ดก็ สองสามคนติดตามโยมแมม่ า โยมแม่มาหา มาถางน้ันถางนี้ปุบปับๆ แล้วก็พาเด็กขนของไป ไปทางน้ีแหละ บ้านอยู่ ทางนี้หรอื ทบั อยู่ทางนีแ้ หละ เอ้า ไปทางนี’้ นัน่ ละพอตื่นแล้วกบ็ กุ ตามทศิ เลย ไปอยู่ในหบุ เขาลกึ ๆ นะ มีบา้ นอยู่ ๔ หลงั คาเรอื นเขามาทำไร่อยู่ในหบุ เขา ไป...เขางงเลย ‘โอ๊ย ทา่ นมาได้ยังไงนี่ โถตายๆ ๆ’ ไปได้พบผู้หญิงก่อนจริงๆ มีแต่ผู้หญิงตำข้าวกันตุบตับๆ ผู้ชายไม่มี สกั คนเดยี ว มเี ดก็ เลน่ อยอู่ กี สองสามคน เดก็ กล็ กั ษณะทว่ี า่ นนั่ แหละ เขาวา่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 464
Pages: