401 รุนแรงมากพวกน้ี มีแต่จะเอาท่าเดียวๆ พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือว่า มันผดิ พลาดมาตงั้ แตช่ าติเข้าใจไหม ไม่ได้ เปลาะนนั้ จะเอาเปลาะนี้ จะเอาเปลาะนจี้ ะดงึ ขน้ึ ไปหาชาตบิ า้ นเมอื ง จะเอาให้จมทงั้ ชาติทง้ั ศาสนาเลย ก็ชาตศิ าสนาของเรามเี จ้าของดว้ ยแล้ว จะยอมใหจ้ มได้ง่ายๆ หรอื เวลาน้ีจะเร่มิ แยกแลว้ นะ เร่มิ แยกเป็นสังฆเภท ครั้งที่สอง... คร้ังที่หน่ึงเทวทัตแยกตัวออกจากพระพุทธเจ้าไปเป็นศาสดา องค์ใหม่ข้ึนมา .. คร้ังที่สองก็ศาสนธรรม คือพระธรรมและพระวินัย น้ันแล.. คร้ังแรกเป็นองค์ศาสดาเสียเอง ครั้งที่สองเป็นธรรมวินัยซึ่งเป็น องค์แทนของศาสดาเสียเอง เวลาน้ีกำลังเข้าอยู่วาระองค์ศาสดาครั้งที่ สอง คือเข้ามาทำลายธรรมวินัย หลักธรรมวินัยท่านสอนไว้โดยถูกต้อง แลว้ นี้คอื องคแ์ ทนศาสดา แล้วพวกนี้ บกุ เข้ามา ไม่มีธรรมมวี ินัย...” หลวงตาตายแลว้ ใหก้ ้าวเดินแบบน ้ี “....หลวงตาบัวตายไปแล้วก็ให้เดินอย่างน้ีเดินอย่างหลวงตาพาเดิน อ่อนแอไม่ไดจ้ ม ชาตจิ มศาสนาจม เพราะพวกนเี้ ปน็ เพชฌฆาตจะสังหาร ทั้งชาติท้ังศาสนาให้ ไปด้วยกัน แล้วก็เอาไอ้จมูกโด่งๆ เข้ามาเป็นนาย เหนือหัวมัน มันก็เอาตีนมันเหยียบหัวชาติศาสนาไทยของเราให้แหลก เป็นช้ันๆ ลงไป คำพูดเทศนาว่าการจะแผดจะเผาจะเผ็ดเด็ดขาดขนาด ไหนก็ตามเราเอาธรรมออกล้วนๆ ไม่มีกิเลสแม้เม็ดหินเม็ดทรายเข้ามา แฝงในหัวใจ แล้วกิริยาของเราที่แสดงออกไปโดยอรรถโดยธรรมล้วนๆ เลยแหละ จึงไดส้ ั่งเอาไว้ หากวา่ เราตายไปใหด้ ำเนนิ ตามนน้ี ะ คืออบุ ายนี้ ถกู ต้องแลว้ …”
402 “จำให้ดีคำนี้ จำให้ดีนะ หลวงตาบัวตายแล้วให้จำวิธีดำเนินที่ หลวงตาพาดำเนนิ มานี้ไมผ่ ิด ถูกตอ้ งทุกอย่างเลย” แม้คดิ ร้าย หลวงตาให้อภยั “...ท่ีว่าเราควรให้อภัย เราให้อภัยมาตลอด เร่ืองราวเกิดข้ึนโดย ลำดบั ๆ กพ็ ระปา่ ออกมาระงบั สงบลงไปเปน็ ขน้ั เปน็ ตอน.. ทางนนั้ สงบลง เพราะเหตุผลของทางนี้เหนือกว่าได้แก่ธรรมแก่วินัยมาเป็นเคร่ืองยืนยัน ทางนั้นก็สงบลงไป ทางนี้ก็ให้อภัยแล้วไม่ถือสีถือสา ไม่ถือโทษถือกรรม ถา้ ธรรมดากต็ อ้ งยอ้ นไปหาผทู้ ที่ ำผดิ ทำผิดอะไร เพราะเหตุใดจงึ มาทำผดิ ต่อคณะสงฆ์ ต่อพุทธศาสนาอย่างน้ี ..เราต้องการความสามัคคีอยู่แล้ว ธรรมะเป็นธรรมสามัคคี ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมแตกร้าว ส่ิงที่มา ทำให้แตกรา้ วไม่ใช่ธรรม ท่าน ก็ระงับลงด้วยธรรมด้วยความสามัคคี ให้ถือหลักธรรมหลักวินัยเป็น จุดศูนย์กลาง รวมตัวเข้ามาที่นั่นแล้วจะสงบลง เป็นความสามัคคีไปใน ตวั เสรจ็ กม็ ีเทา่ นั้นเอง…” สมเดจ็ พระสงั ฆราชเปน็ เพ่อื นหลวงตา (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจรญิ สวุ ัพฒโน) “...สงั ฆราชเปน็ เพ่ือนเรา ก็เป็นจริงๆ สมเด็จสงั ฆราช เปน็ เพอื่ นสนทิ กนั มาก เกดิ ปเี ดยี วกนั เราเกดิ กอ่ นทา่ น ทา่ นเกดิ ตลุ าวนั ท่ี ๓ เราเกิดสิงหาวันที่ ๑๒ เวลาบวชก็เหมือนกันท่านบวชก่อนเราดูเหมือน
403 สองเดอื น ไล่เลย่ี กนั ทกุ อย่าง ท่านน่งิ ๆ ทา่ นไมค่ อ่ ยชอบพูด ธรรมดาๆ ทว่ั ๆ ไปทา่ นไมค่ อ่ ยชอบพูด สมเด็จสังฆราชเฉพาะสองต่อสองกบั เราน่ี โถ เป็นคนใหม่ข้ึนมา ซกั เรื่อง อรรถเร่ืองธรรม เรื่องจิตตภาวนาเปิดเต็มที่ให้ท่านฟัง ท่านสนใจมาก เพราะแต่ก่อนเราไปพักอยู่วัดบวรฯ เป็นประจำ จากน้ันท่านออกไปพักที่ วัดปา่ บ้านตาดทีละอาทติ ยๆ์ ทา่ นไป.. เวลาอยู่ธรรมดาท่านไม่ค่อยคุย ทั่วๆ ไปน่ีท่านเฉย น่ิม บทเวลา ข้ึนเวทีสองต่อสองกับเรานี่ โถ ซัก สงสัยข้อไหนท่านถามมาเลยๆ เราก็ เปิดเลยเชียวนะ ให้ท่านได้เห็นเรื่องภาคปฏิบัติว่าอย่างนั้น ฟัดกันจนถึง ท่ีสุดเลยกับสมเด็จสังฆราช สองต่อสอง ท่านหาความจริง เราก็เอา ความจริงออกเตม็ เหนีย่ วๆ เลย ถา้ อยูธ่ รรมดา ทา่ นไมค่ ่อยคุยละ เฉยๆ ธรรมดา เวลาเข้ากันสองต่อสอง โห เป็นคนใหม่ข้ึนมานะ ซักละเอียด ลออเร่อื งจิตตภาวนา เราก็ได้เปดิ หวั อกออกให้ทา่ นฟังอยา่ งเตม็ เหน่ยี วเหมอื นกัน ทา่ นรูส้ กึ ว่าสนใจมากจริงๆ ต่อธรรมที่เราถอดออกจากหัวใจพูดให้ท่านฟังเพราะ ไม่มีใครต่อใคร สองต่อสองเท่าน้ัน เปิดเต็มเหน่ียวใส่กันเลย เอาจนถึง เหตถุ ึงผลวา่ อย่างน้ันเถอะ ท่านพอใจมาก ปรกตทิ า่ นไมค่ อ่ ยคยุ เฉยนะ อยกู่ บั เรากต็ ามถา้ มแี ขกมคี นทา่ นก็ไมค่ ยุ แต่เวลาเอาจริงเอาจังท่านจะหาเหตุหาผลกับภาคปฏิบัติจริงๆท่านก็ซัก จริงๆ น่ันละภาคปฏิบัติ เราก็เปิดเลยเชียว ให้ท่านได้ฟังสักทีเถอะภาค ปฏิบัตินี่น่ะภาคเป็นสมบัติของตนโดยแท้ คือการศึกษาเล่าเรียนน้ันมัน เป็นความจำ จำมาได้เท่าไรมันก็หลงลืมไปๆ.. สำหรับความจริงไม่เป็น ตรงแน่วตลอดเวลา..
404 องคห์ ลวงตากบั พระมหากษัตริย ์ “...ในตอนเชา้ ของวันที่ ๑๐ พฤศจิกายนพ.ศ.๒๕๒๒ องคห์ ลวงตาได้ ส่ังกำชับพระเณรในวดั วา่ ‘วันนี้จะมีบุคคลสำคัญเข้ามา พวกท่านท้ังหลายจงพากันทำความ สะอาดวัดวาอาวาสให้เรียบรอ้ ย อยา่ ให้บกพร่อง’ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มากับพระบรมวงศานุวงศ์จาก พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์เป็นการส่วนพระองค์ ไม่ได้บอกแม้กระทั่ง ทหารใกล้ชิดทหารทั้งหลายต่างสืบข่าวเป็นการโกลาหลว่า เมื่อเวลา บา่ ยโมงพระองคท์ ่านทรงขบั รถออกจากพระตำหนกั ไม่รู้ว่าเสด็จฯ ไป ณ ที่ใดถ้าบอกข่าวการเสด็จฯ มาล่วงหน้า กลัวเป็นการเอิกเกริกรบกวน ต้องการเสดจ็ ฯ มาเป็นการส่วนพระองค์ หลวงตาจงึ ให้โอวาทวา่ ‘มหาบพิตร! พระองค์เป็นถึงพระเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้าชีวิตของชน ทั้งชาติ หากพระองค์เสด็จมาโดยลำพัง มีอันตรายอย่างใดอย่างหน่ึง เกิดข้นึ จะเป็นความเสียหายแก่ชาตบิ ้านเมอื งอย่างใหญห่ ลวง ถ้าพระองค์ เป็นอะไรข้ึนมา คนทง้ั ชาตจิ ะไมเ่ หยยี บหลวงตาบัวมิดแผ่นดินละหรอื ?’ ‘กลัวจะเปน็ การรบกวนองคห์ ลวงตา’ พระองคก์ ล่าวพรอ้ มพนมพระหัตถ์ดว้ ยความศรัทธาเล่ือมใส ‘รบกวน ไมร่ บกวนจะเปน็ อะไร แผ่นดินน้เี ป็นของพระองค์ พระองค์ พึงมาได้ทุกเมื่อ’ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๑ เม่ือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จไป นิมนต์หลวงตาไปในงานในวัง ปกติหลวงตาท่านไม่ค่อยไปไหน แต่ตอนที่ พระเจ้าอย่หู วั ไปนิมนต์ ท่านไปนมิ นต์ด้วยพระองคเ์ อง
405 วนั นน้ั เป็นวนั ท่ี ๗ มกราคม ๒๕๓๑ เป็นปเี ฉลมิ ราชรชั มงั คลาภเิ ษก ที่ทรงครองราชย์มากกว่ากษัตริย์ใดในประวัติศาสตร์ไทย ท่านนิมนต์ หลวงตาเขา้ วัง เมอื่ พระองคก์ ราบองคห์ ลวงตาเสรจ็ ทรงถวายคำถามดงั ตอ่ ไปนี้ (พระเจ้าอยูห่ ัวเรยี กหลวงตาว่า “หลวงป”ู่ ) พระเจ้าอยหู่ ัว หลวงปู.่ . สาวกภูมิกบั พุทธภูมิตา่ งกนั อยา่ งไร หลวงตา พทุ ธภมู ิ กเ็ หมอื นดั่งเราน่งั รถไฟ น่งั รถไฟไปเชียงใหม่ หรอื นงั่ รถไฟไปอดุ รนน่ั แหละพทุ ธภมู ิ แตถ่ า้ เรานงั่ จกั รยานมาหรอื นง่ั มอเตอร์ไซค์ ข่ีมอเตอร์ไซค์ไปน่ันแหละ..สาวกภูมิ เพราะฉะนั้นการเป็นพุทธภูมิก็คือ การนำคนไปไดเ้ ยอะๆ สว่ นสาวกภมู นิ นั้ นำไปไดน้ อ้ ยๆ ไม่ไดม้ ากนกั อยา่ งเกง่ ก็ ๑ คน หรือ๓-๔ คน กว็ ่ากันไป นน่ั คือสาวกภมู ิเขา้ ใจไหมล่ะพอ่ หลวง พระเจา้ อยหู่ วั เขา้ ใจแลว้ หลวงปู่ แลว้ นพิ พานเปน็ อยา่ งไรนะหลวงปู่ หลวงตา อ้อ พ่อหลวงเหมือนพ่อหลวงมาวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ รู้ ไหมว่าวัดป่าบ้านตาดอยู่ตรงไหน อยู่บนกุฏินี่เหรอ วัดป่าบ้านตาดอยู่ ไหนล่ะ แต่พอพระมหากษัตริย์มาถึงน่ีแล้วบริเวณน้ีทั้งหมดคือวัดป่า บ้านตาดน้ีแหละ แต่จะช้ีลงไปว่าท่ีกุฏิอาตมาก็ไม่ใช่ ที่กุฏิพระก็ไม่ใช่ ท่ีศาลาก็ไม่ใช่ไม่ใช่ท้ังหมด แต่เม่ือรวมกันทั้งหมดในกำแพงวัดนี้น่ีแหละ คือวดั ปา่ บ้านตาดนี่แหละพระนพิ พานก็มคี วามหมายแบบเดยี วกนั พระเจ้าอยู่หัว ขอบารมีหลวงตาชว่ ยตอ่ อายใุ ห้แมห่ ลวง (คอื ในตอน นัน้ สมเดจ็ ยา่ ทรงประชวรอย)ู่ หลวงตา (ตอบปฏิเสธ) พ่อหลวงนั่นแหละก็จัดการเองได้ขอเองได้ พ่อหลวงก็สามารถจัดการได้เอง ให้พระเจ้าอยู่หัวขอเอง จัดการเอง อาตมาตอ่ ให้ไม่ไดห้ รอก
406 พระเจ้าอยหู่ ัว (ทรงกราบลา) ได้เวลาแล้วจะกลบั แล้ว ท่านหลวงปู่ มีอะไรจะบอกไหม พระอาจารย์ภูสิต (จันทร์) ขันติธโร ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดป่า หลวงตาบัวญาณสัมปันโน กาญจนบุรี เป็นพระอุปัฏฐากองค์หลวงตา ในขณะนัน้ พระอาจารยจ์ นั ทร์ทา่ นเล่าเหตุการณ์ในครง้ั นนั้ วา่ “...จากนั้นหลวงตาท่านได้เทศนาสั้นๆ ว่า ‘การเป็นพุทธภูมิสร้าง บารมีเพ่ือความเป็นพุทธะ พอจบพุทธภูมิได้ก็เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าก็มีพุทธกิจ ๕ คือ ตอนเช้าบิณฑบาต ตอนบ่ายสอนคหบดี มนุษย์ทั่วไปตกเย็นสอนนักบวช สมณะชีพราหมณ์ ตอนกลางคืนแก้ ปัญหาเทวดา พอมาตอนเช้ามืดเล็งญาณดูสัตว์โลก สัตว์โลกตัวไหนมี กิเลสเบาบางพอท่ีจะบรรลุธรรมได้ท่านก็จะเล็งญาณดูรีบไปโปรดก่อน พระพทุ ธเจา้ สรา้ งบารมพี ทุ ธภมู จิ นไดเ้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ เมอ่ื เปน็ พระพทุ ธเจา้ แล้ว ท่านก็มีพระพุทธกิจ ๕ อย่างน้ี แต่...ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของ ประเทศไทยปรารถนาอะไรทำงานกันจนไม่มีเวลาจะพักผ่อน..เอาล่ะๆ... อาตมาจะให้พร’ องค์หลวงตากบั สมเดจ็ พระนางเจ้าสิรกิ ติ ์ิ พระบรมราชินีนาถ “...สมเด็จพระนางเจ้าฯ ท่านก็เสด็จมาเย่ียม ได้เห็นหรือเปล่าวันนั้น ดเู หมอื นคนื วนั ที่ ๓๑ (ธนั วาคม ๒๕๓๙) ทา่ นเสดจ็ มาเฉพาะพระองคเ์ ดยี ว เสด็จมาอยู่ไม่นาน ท่านมา ๓๐ นาที พระอาการทุกสัดทุกส่วน กิริยา มารยาทการกราบการไหว้การเคารพนี้ แหม น่ิมมากเชียวนะ คราวน้ี รู้สึกว่าสุดยอดเลยนะ ทั้งๆ ที่แต่ก่อนท่านก็สวยงามมากนะ พระอาการ
407 ทุกส่วนเวลากราบเวลาไหว้อะไรเราน่ีเราก็ว่าสวยงามมากเลย ได้ชมเต็ม ท่ีแลว้ คราวน้ีเลยล้นฝ่ังไปเลย พระอาการของท่านนิ่มมากเชียวจะรบั สัง่ แต่ละคำแต่ละประโยคน้ีต้องประนมมือตลอดๆ ท่านก็มาเล่าเรื่องลูกสาว (เจา้ ฟา้ หญิงจฬุ าภรณฯ์ ) ให้ฟงั วา่ ‘ลกู สาวรู้สกึ ว่าไดก้ ำลังขนึ้ มากมาย ได้กำลังใจสำคญั สว่ นรา่ งกายก็ เขม้ แข็งไปตามๆ กัน’ แล้วก็มาขอขอบบุญขอบคุณเรา เป็นวาสนาของเขา ท่านรับส่ังว่า ‘เปน็ วาสนาของเขาที่ไดม้ าพบครบู าอาจารย’์ ว่าอยา่ งนน้ั …” และอกี คราวหนงึ่ ทอ่ี งคห์ ลวงตาเมตตากลา่ วถงึ สมเดจ็ พระราชนิ ฯี “...เรากับสมเด็จพระเทพฯ กับฟ้าชายไม่ค่อยได้คุยกันสนทนากัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ เสียอีกท่ีได้คุยกันมากท่ีสุด ท่านนิมนต์ให้เราไป ศิริราช หมอ่ มแมท่ า่ น หมอ่ มบวั มารักษาตวั อยทู่ ่ีโรงพยาบาลศิรริ าช แล้ว ท่านนิมนต์เราไปสมเด็จพระนางเจ้าฯ นิมนต์ให้เราไปเย่ียมท่านนิมนต์ไป ฉนั ทศ่ี ิริราช นัน่ ละท่ีไดค้ ุยกนั นานเราเรม่ิ ช่วยชาติใหมๆ่ ปี ๒๕๔๑ ตอนที่ เราไปศิริราชนนั้ เราเรม่ิ ชว่ ยชาตแิ ล้ว กม็ เี กี่ยวโยงกันอยู่ ทา่ นรับส่ังมามนั เกี่ยวโยงกับที่เราชว่ ยชาติ พอระลกึ ได้บ้าง มันเกย่ี วกนั นน่ั ละคุยกันนาน จริงๆ สมเด็จพระนางเจ้าฯ กับฟ้าหญิงเล็กฯ คุยกันนาน พอออกจากน้ี เรากจ็ ะขนึ้ เครอื่ งบนิ กลบั หลงั จากฉนั เสรจ็ แลว้ เรอื บนิ จะออก กอ่ นเครอื่ งบนิ จะมานั่นซีมีเวลานาน ได้สนทนาธรรมะกับท่านสมเด็จพระนางเจ้าฯ นะ ได้คยุ นานจริงๆ...”
408 องค์หลวงตากับสมเด็จพระเจ้าลกู เธอ เจ้าฟ้าจฬุ าภรณวลัยลกั ษณ์ อคั รราชกมุ ารี “...ทูลกระหม่อมเล็กป่วยอยู่ เราได้ ไปเยี่ยม ดูวิชัยยุทธน่ีน้า ทั้งๆ ที่ป่วยหนักอยู่โรงพยาบาล แต่บ่นจะมาอุดรฯ อ้าว ยังไงกันทางสำนัก พระราชวงั เลยโทรฯ มาทางผวู้ า่ ฯ ใหบ้ อกเราวา่ ฟา้ หญงิ ฯ จะมาวนั พรงุ่ นี้ เวลาน้ีอยู่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ป่วย ว่างั้นนะ อ้าว มายังไงป่วย ไม่ทราบยังไง แต่จะมาวันพรุ่งน้ีเราก็เลยให้ทางน้ีตอบโดยด่วนเลย ไม่ต้องมาทางน้ีจะไปกรุงเทพฯ วันพรุ่งนี้ เราว่างั้นเลยไม่ง้ันไม่ทันการณ์ คนหนึง่ ป่วยอยูย่ ังจะมา เข้าโรงพยาบาลแทนทีจ่ ะพูดถงึ หยกู ถงึ ยาถึงหมอ ไม่พูดเลยว่างั้น มีแต่บ่น ว่าจะไปวัดป่าบ้านตาดๆ ตกลงเราเลยจะไป วันพรุ่งนี้ พอเขาได้ความเขาก็โทรฯมาทางน้ีเลย ทางน้ีก็ตอบรับกันว่า ทางโน้นไม่ต้องมาทางน้ีจะไป ตกลงก็ต้องไปข้ึนเครื่องบินเท่ียวเช้า ไปเลยเทียว วิชัยยุทธน่แี หละ เราไปก็ไดเ้ ทศนาวา่ การใหฟ้ งั หายวนั หายคนื ไปเลยแลว้ กลบั อา้ ว ไปโรง พยาบาลกรงุ เทพกอ็ กี แหละ ทรงประชวรแลว้ ไปโรงพยาบาลกรงุ เทพ ครนั้ ไป แลว้ แทนทจี่ ะถามถงึ หมอถงึ ยาอะไร กลบั ไมถ่ าม บน่ ถงึ แตห่ ลวงตามหาบวั อนั นถ้ี า้ เปน็ ภาษาของเรากเ็ รยี กวา่ จะนอ้ ยใจกม็ าหาหมอหาพยาบาลหาหยกู หายา แทนท่จี ะถามเกีย่ วกับเรอ่ื งหมอ เร่อื งหยูกเรอ่ื งยากลับไมถ่ าม พูด คำไหนมแี ตพ่ ดู ถงึ เรอื่ งหลวงตามหาบวั อยากไปกราบทา่ นอยงู่ น้ั เอาอกี แลว้ ทีน้ีทางสำนักพระราชวังอีกเหมือนกัน โทรฯ มาหาเราอีก เราก็เลยเข้า ไปเยย่ี ม ตอนนนั้ เราอยสู่ วนแสงธรรม คอ่ ยยงั ชว่ั หนอ่ ยเราเลยไปเยย่ี มโอย๊ ดีใจมากนะละ่ เปน็ กำลงั ใจอยมู่ ากเหมอื นกนั พอไปกห็ ายวนั หายคนื เลย
409 “...ฟ้าหญงิ จุฬาภรณ์ฯ ท่านถวายตวั เปน็ ลูกบญุ ธรรม เวลาเราพูดกบั ท่านเราก็พูดแบบพ่อกับลูกเลย ท่านพูดกับเราก็แบบเดียวกันแบบพ่อกับ ลูก ท่านลงใจเต็มที.่ . จงึ พูดในฐานะพอ่ กบั ลูก ว่าฟา้ หญิงฯ ไปเลย วา่ ไป อยา่ งนัน้ เลย คนอน่ื จะฟงั ยงั ไงก็ตาม เราฟงั เขา้ ใจระหวา่ งพอ่ กบั ลูกเปน็ ท่ี พอใจ เป็นคติของท่านท้ังหลายได้อย่างดีละวันน้ี.. ท่านได้เสด็จมาเยี่ยม บ่อยๆ นะ ท่านเสด็จมาตามพระอัธยาศัยของท่านแหละ ท่านอยากมา เม่ือไรท่านก็มาเพราะท่านถือว่าหลวงตานี้เป็นพ่อบุญธรรมของท่าน หลวงตากถ็ อื ท่านก่อนที่ท่านจะถวายตัวเปน็ ลูกแล้วว่าลูกบุญธรรมมาแล้ว เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้น จึงเข้ากันได้อย่างน้ันเหมาะสม พ่อกับลูกมา หากนั เมอื่ ไรกม็ าไดเ้ ปน็ ไรไป เหมือนอย่างพ่อแม่กบั ลูกของพี่น้องท้ังหลาย ก็เปน็ แบบเดียวกันนน้ั แหละ...”
410 “...โดยมากผู้ท่ีบำเพ็ญทางด้านจิตใจที่ ได้รับความสงบเยือกเย็นมาแล้ว ขาดความสำรวมระวังภายในตัว ความเพียรก็ด้อย ทีนี้จิตก็มีทางเสื่อมลงไปได้ เมอื่ จติ เสอื่ มลงไปแลว้ จะพยายามปรบั ปรงุ จติ ใจของตนใหม้ รี ะดบั เชน่ ทเี่ คยเปน็ มา ไม่สามารถทำได้ นี่เพราะเหตุว่าจิตไปยึดเอาเรื่องอดีตเสียท้ังๆ ที่ตนกำลัง นัง่ ภาวนา ความมุง่ จะใหเ้ ปน็ เชน่ นนั้ ๆ ไม่มผี ลอันใดเกิดขน้ึ นอกจากจะเปน็ สญั ญา เครอื่ งรบกวนใจ ให้ไมส่ ามารถทำความสงบใหแ้ ก่ตัวเองไดเ้ ท่านัน้ ...” ๑๗ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๐๗
411
“...เหนือ่ ย...อยู่ท่าไหนก็ไม่สะดวกสบาย...เหนอ่ื ย...วันหนงึ่ คืนหน่งึ มีแต่เหนอ่ื ย ความเฒา่ ความแก่มแี ตบ่ ีบเขา้ ๆ เราหายสงสยั หมด ในอรรถในธรรม โล่งหมดเลย เรียกว่า ส้ินสดุ ละ่ การเกิดการตายในชาตินี้ เรียกว่า ส้ินสดุ หมดเลย ในชาตนิ เี้ ปน็ ชาติสุดท้าย ทะลุหมด โลกธาตุน้ีทะลุหมดเลย ทุกส่ิงทุกอย่างปล่อยวางหมดไม่มี อะไรเหลือ ความดคี วามชว่ั โทษคุณปลอ่ ยหมด วางหมด ไม่มเี หลอื ...” วนั ที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
413 บทที่ ๑๓ อาพาธ...ลาวฏั สงสาร “...อายุของเรานเี้ ราพอกำหนดไดอ้ ายุ ๔๖ น่ันละกำลังลด อายุ ๔๖ กำลังลด ต้ังแต่ต้นขึ้นไปหา ๔๕ คงเส้นคงวา เราเดินคือแต่ก่อนมันไม่มี รถมรี าเช่นจะไปอุดรฯ นี้ก็เดินเลย จากนีถ้ ึงนน้ั ป๊ับเวลาเทา่ นั้น ไปทีไรป๊ับ ถึงป๊ับๆ ไม่เคล่ือนแม้นาทีเดียวนะ กำลังของเราคงเส้นคงวาอยู่ถึงอายุ ๔๕ มันคงเส้นคงวาอยู่ ๔๕ นานนะ พอไปถึงต้นเสาสะพานปั๊บมันจะได้ หนึ่งช่ัวโมงๆ ต่อจากนั้นมาอายุ ๔๖ ยังไม่ถึงสะพาน ถึงแค่นี้ ได้หน่ึง ชวั่ โมงแลว้ ยงั ไมถ่ งึ ตอ่ จากนน้ั กค็ อ่ ยลด ชา้ ลงไป.. แตก่ อ่ นไมม่ รี ถ ตอ้ งเดนิ ทีน้ีมีรถยนต์มามันเลยเหยียบไปเลย เลยไม่รู้เวลาเท่าไรต่อเท่าไร จนกระท่งั ทุกวันน้ี ฟาดตง้ั แตว่ ัดป่าบา้ นตาดมาถงึ นี้เพียงแค่ ๖ ช่วั โมง พูดถึงเร่ืองว่าเดิน เราเดินเก่งมากนะ เรียกว่าตามร่องรอยของตา ตานเี่ ดินเกง่ มาก ถ้าลงไดก้ ้าวออกไป ๒ ชว่ั โมงแลว้ ใครตามไมท่ นั คอื เดนิ ไปน้ันย่งิ แขง็ แรงเรือ่ ยๆ เดินระยะสองช่วั โมงนย้ี งั ไม่เท่าไร กา้ วออกคราว แรกไปถึงสองช่ัวโมง พอสามชั่วโมง สี่ช่ัวโมงไปแล้ว ทีน้ีมันเหมือนว่า เครอ่ื งร้อนนะ พุง่ ๆ รอใครไม่ได้ มีใครไปด้วยก็ตาม ต้องทิง้ ไปเลยหากว่า จะไปรอก็ต้องไปหยุดพักข้างหน้า ท่ีจะให้รอไม่ได้ เคร่ืองมันร้อนแล้วมัน หมุนของมนั เองพุ่งๆ อันนเ้ี ราเปน็ เอง กำลังวังชามันดพี อเครอื่ งรอ้ นแลว้ มันก็พุ่งๆ ใครไปด้วยกันท้ิงเลยๆ ออกหน้าเรื่อยๆ เลย คือจะให้เรารอ ไม่ได้ ต้องไปหยดุ รอ เวลามนั เดิน การเดนิ ทางน้เี กง่ ละเรา พ่อ ตาก็เกง่ เดินทาง น่ันก็บอกรอใครไม่ได.้ ..”
414 สุขภาพเรมิ่ ทรดุ ลง นับแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๒๖ เปน็ ตน้ มาสุขภาพของทา่ น เร่ิมทรดุ เห็นประจกั ษ์ การออกตรวจจงึ เหลอื เพยี งวาระเดียวโดยส่วนมาก มักเป็นช่วงบ่ายที่ว่างจากแขก แม้ปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ไปแล้ว ธาตุขันธ์ ร่างกายของท่านจะดีข้ึนก็ตาม แต่เม่ือมีพระเณรประชาชนหล่ังไหลมา กราบนมัสการขอฟังธรรมมากข้ึนผิดหูผิดตา ความบอบช้ำย่อมเกิดขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่านจึงตอ้ งการเวลาเยียวยาให้กับธาตขุ ันธ์รา่ งกาย มากขึน้ แม้กระนน้ั ก็ตาม ด้วยกิจวตั รทท่ี า่ นเคยกระทำมาเมื่อมเี วลาท่พี อ จะสะดวกบ้างท่านจะต้องออกเดินตรวจอยา่ งน้อยวนั ละครั้งอย่เู สมอ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ แม้ท่านจะชราภาพมากมีอายุย่างเข้า ๙๔ ปีแล้ว แต่ด้วยความรักความห่วงใยในการปฏิบัติของพระเณรทำให้ท่านยัง เมตตาเดินตรวจตราอยู่เสมอมไิ ดข้ าด “...ถ้าพอว่าไม่สบายนี่มันก็เหมือนกับลิงช่วยลิงนะ ท้ังพระท้ังเณรมา ได้ขู่ไล่ลงกฏุ ิ ไม่ให้ขน้ึ มาย่งุ อะไร มนั เปน็ อยู่กบั เราต่างหาก ไม่ได้เปน็ อยู่ กบั พระกับเณรกับใครต่อใคร อย่ามายงุ่ นะ พอวา่ ไมส่ บาย คนนนั้ ก็มายุ่ง คนน้ีกม็ ายุ่ง คนน้ันมาถามคนนี้มาถาม ตอบกบั คนก็เลยจะตาย มันไม่ได้ เรือ่ งอะไรน่ี เคยเป็นเคยอะไรอยู่... ‘เร่ืองเจ็บไข้ ได้ป่วยมันมีอยู่ในธาตุในขันธ์น้ีด้วยกันทุกคน ถ้ามันจะ หายก็หาย ถ้าไม่หายมันก็เป็นอยู่ในธาตุในขันธ์ มาเยี่ยมมายามมาดูกัน เกิดประโยชน์อะไร ว่ากำลังใจ กำลังใจอะไร เราไม่ได้เอาจากใครแหละ กำลังใจ พอมีคนมาเย่ียมก็ดีใจอย่างงั้นเหรอ น่ีไม่ดีใจมีแต่ไล่ขนาบเลย เยี่ยมหาอะไรว่าง้ันเลย หมอจะมาตรวจไม่ให้ตรวจ เวลานี้ปกต ิ ไมจ่ ำเปน็ .. ไม่ตรวจ’
415 น่ีเคยพูดแล้วเป็นสองเมื่อไร ไม่ได้เป็นสองเหมือนใครนะ พูดยังไง เปน็ อยา่ งงน้ั เลย บอกแล้วเปน็ ระยะๆ... ‘ถา้ พอทจี่ ะเกยี่ วขอ้ งกบั หยกู กบั ยาอะไรเรากเ็ กย่ี ว พอทจี่ ะลดสว่ นไหน ลงเราลดของเราเองๆ เวลามนั เปน็ มากจรงิ ๆ อะไรก็ไมเ่ กดิ ประโยชนแ์ ลว้ .. ยาไม่ต้อง นั่นตัดเข้าๆ สุดท้ายใครมายุ่งไม่ได้นะ ห้ามไม่ให้มาแตะต้อง จนกระท่ังร่างกาย ห้าม.. จะตายคนเดยี ว’ ‘เร่ืองตายน่ะอย่ามาวิตกวิจารณ์กับเรานะ บอกชัดๆ เลย อย่ามา วิตกวจิ ารณก์ ับหลวงตาบวั กลัวหลวงตาบวั จะเปน็ อย่างโนน้ อยา่ งน’ี้ ลงนรกหลุมไหนเราจะลงของเราเอง ถ้ามันควรจะไปลงนรกเราจะ ลงของเราเอง มันควรจะไปไหนเรารู้อยู่ในตัวของเราแล้ว เพราะฉะน้ัน เราถึงไม่สะทกสะท้านเราบอกตรงๆ เลย ไม่ง้ันสอนทำไมสอนคน สอน หลอกๆ หลอนๆ ได้ยังไง ถอดออกมาจากหัวใจ ถ้ามันจะรู้ก็รู้ที่หัวใจน้ี ถอดออกจากนส้ี อน เพราะฉะน้ัน ถงึ สอนใหม้ ีธรรมภายในใจหนา มันถึงมี หลักยึดนะ ส่ิงภายนอกเอาเรื่องไม่ได้นะ เงินทองกองเท่าภูเขาน่ีก็จะเกิด ประโยชนอ์ ะไร เวลาจำเป็นมาแลว้ เกาะไม่ได้ ยดึ ไม่ได้ พังๆๆ ดไี ม่ดีเป็น เปรตเฝ้ากองทรัพย์สมบัติอยู่นั่นอีก จะไปไหนมาไหนก็ไปไม่ได้แหละนั่น มันเป็นภัยแกต่ วั เอง ถ้าไม่รอบคอบตวั เอง เพราะฉะน้ันจึงให้สร้างความดี อบรมจิตใจของเราให้มีความแน่น หนามัน่ คง ใหม้ หี ลกั ใจกับธรรมะ ธรรมะเป็นเกาะที่สำคัญมากที่จะยดึ เพือ่ ความแคล้วคลาดปลอดภัย ถ้าไม่มธี รรมะแล้ว กำหนดดูเจา้ ของเวลาไหน ก็เรๆ่ ร่อนๆ โลเลโลกเลก เวลาจะตายก็แบบเดียวกันน้ี หาความแน่นอน ไม่ได้ มันกก็ ลง้ิ ไปเลยซี...”
416 พญามัจจุราชเฉ่ียวเขา้ มาหาแล้ว “...จะไปท่ีไหนก็ไปเสียตอนนี้ ไม่นานนะบอกตรงๆ บอกว่าไม่นาน จะไปท่ีไหนก็ไปเสยี ตายแลว้ มันไม่ได้ไป นก่ี ็ไมน่ าน อายุ ๙๗ แลว้ มันก็ ไมน่ านเหมอื นกัน... อนั น้มี นั ไม่มีร้อยนะ มันมอี ยูท่ ่ลี มหายใจ พอลมหายใจ ขาดปุ๊บไปเลย ถา้ ยังจะมาวติ ก เราเองยงั ไมเ่ หน็ วิตกเลย เฉย...เวลานีร้ ้งั ไว้แล้วแตเ่ วลาจะไปไมร่ ัง้ ปล่อยเลย...” (๒๑ มีนาคม ๒๕๕๓) “...น่ีกเ็ ดินเข้ามาแลว้ พญามจั จรุ าชมาเฉย่ี วกันแลว้ มาเฉ่ียวกนั แล้ว กลางคืนฝันแปลกๆอยู่ หากไม่อยากพูดเพราะไม่เป็นผลดี จึงไม่พูด ถ้าเปน็ ผลดีแล้วจะพดู นีเ่ ป็นผลไมด่ ี เราไม่พดู เฉีย่ วเข้ามา เฉยี่ วเข้ามา หาเราน่ีละ มันเข้าถึงตัวแล้ว เขาเฉี่ยวแล้ว มันเฉ่ียวแล้วก็ปัดแล้วล่ะ ถา้ ฝันแล้วมกั จะฝนั แมน่ ยำนะ...” (๑๙ เมษายน ๒๕๕๓) “...อายเุ ทา่ ไร (๙๗) ใกลแ้ ลว้ นะ บวชตง้ั แตพ่ .ศ. ๒๔๗๗ กป่ี มี าแลว้ นะ (๗๖ พรรษาครับผม) นู่นละ ขนาดนั้นละ ครองผ้าเหลืองก็ครองมาเลย ต้ังแต่วันบวชจนกระทั่งป่านนี้ ไม่เคยสึก ไม่เคยอยากสึก แต่เร่ิมบวชมา เร่ือยจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ไม่เคยอยากสึกนะ ไม่มี ไม่ปรากฏ กิเลสมีอยู่ ก็ตามแต่มันไม่มีก็บอกไม่มี อยากสึกอยากหาอยากอะไรไม่เคยมี น่ีก็อายุ ๙๗ แล้ว จะทนไปนานเทา่ ไร ไมน่ านละ...” (๕ กรกฎาคม ๒๕๕๓) “...เราน้ีมันเท่าไร ๙๗ นู่นน่ะ มันยังขวางโลกอยู่เหรอ เดี๋ยวนี้มัน ๙๗ ปี มนั จะไปแล้วแหละ ไมม่ ีใครห้าม ไม่ฟังเสยี งใครละ พอถงึ เวลามนั แล้วมนั ก็ไปของมนั เทา่ นนั้ จะไปหรืออยมู่ นั ก็ไม่มอี ารมณ์นะ เราจะเป็นจะ ตายก็ไมม่ อี ารมณ์ จะไปเม่อื ไรก็ได้ จะตายเมื่อไรก็ได้ไม่มอี ารมณ์ อารมณ์ตายไม่มีมากดถ่วง ไม่มีเลย เวลาจะไปแล้ว จะไปแล้วเหรอ
417 ปุ๊บเลย อายุเรามัน ๙๗ ตั้ง ๙๖ ๙๗ ปีแล้ว จะหาอยู่ท่ีไหนอีก...” (๕ กรกฎาคม ๒๕๕๓) “...๙๖ ปี ๑๑ เดือน อย่างว่า มันหลงลืม เอาหยังกับเฮาบ่ได้เด๊ ความจดความจำบ่เป็นท่าล่ะ แต่สติบ่มีคลาดเคลื่อน สติดีตลอด ๙๖ ปี ๑๑ เดือน ใกล้เวลามันจะไปล่ะ...” (๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓) “...อ่อนลงทุกๆวัน อ่อนลงๆ ทกุ วนั จะอ่อนจะแข็งแรงเราก็ไมส่ นใจ กับมัน ไม่สนใจ จะเป็นจะตายก็เท่ากัน เป็นก็ดี ตายก็ดี ไม่เห็นมีอะไรมี น้ำหนักมากกว่ากนั เทา่ ๆเก่านนั่ แหละ...” “...อายมุ ัน ๙๗ แล้วนีน่ ะ่ อายุ ๙๗ แลว้ มง้ั ใกล้แลว้ ใกล้จะไปแลว้ จวนเข้ามาทุกวันๆ ไม่อยากอยู่ล่ะ คือถ้าเทียบการอยู่กับการไป ผิดกัน คนละโลก การอยู่พะรุงพะรัง แบกธาตุแบกขันธ์ จะเคลื่อนไหวไปมา ที่ไหนลำบากน่ะ ไปนี่ดีดผึง ไปหายเงียบเลย ไม่มีอะไรแบก ไม่แบก มันต่างกัน มนั ร้อู ยู่ในจติ นี่ รู้อยชู่ ดั ๆ ในจิต ไปน่เี บาหวิวเลย อยหู่ นักเวลา อยแู่ บกธาตุแบกขนั ธ์แบกทุกอยา่ ง แตเ่ วลาไป ทง้ิ ปว๊ั ะ ดีดผงึ ไปสบาย...” (๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๓) “...ร่างกายมันโอนมันเอียงไหวตลอดเหมือนจะไปทุกเมื่อ แต่จิตเรา ไม่ได้หว่ันไหวกับมัน ดูต้ังแต่ต้นจนรู้ว่ามันจะวูบไปเม่ือไหร่...” (๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓) “..สญุ ญโต โลกัง อเวกขสั สุ โมฆราช สทา สโต อัตตานทุ ิฏฐงิ อูหจั จ เอวัง มัจจุตตโร สิยา เอวัง โลกัง อเวกขันตัง มัจจุราชา น ปัสสติ.... ดูก่อนโมฆราช เธอจงเปน็ ผมู้ สี ตทิ ุกเมื่อ พจิ ารณาโลกใหเ้ ป็นของสญู เปลา่ วา่ งเปลา่ ถอนอัตตานุทิฏฐทิ ่เี หน็ ว่าตวั วา่ เรา วา่ เขาเสยี แลว้ จะพึงข้าม พน้ พญามจั จรุ าชเสยี ได.้ ..”
418 “...รา่ งกายเปน็ กองฟนื กองไฟ แต่ในจติ ใจสวา่ งจา้ มนั กแ็ ปลกอยนู่ ะ่ ...” “...เราเหน่ือย...เหน่ือยก็ช่างเถอะ มีท่ีแวะแล้ว เป็นคนว่างงาน จิตวา่ งงาน...”(๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓) “...ผมอ่อนลงเรื่อยๆน่ะ จะหนักไปข้างหน้า แต่ผมมีสติอยู่ตลอด ไม่เผลอ...” “...ผมปล่อยวางทั้งหมด ใครจะสรรเสริญหรือนินทา ผมไม่สนใจ ถงึ เวลากด็ ดี ผงึ เลย...” “...แต่ก่อนหมู่เพ่ือนไม่ได้เข้ามายุ่งกับผมท่ีกุฏิ แต่คราวนี้ผมช่วยตัว เองไม่ได้ จะจับจะยกอะไร ให้ค่อยๆ คนแก่ก็เหมือนเด็ก...” (๒๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓) “...เหน่ือย...อยู่ท่าไหนก็ไม่สะดวกสบาย เหนื่อย... วันหนึ่งคืนหน่ึงมี แต่เหน่ือย ความเฒ่าความแก่มีแต่บีบเข้าๆ เราหายสงสัยหมดในอรรถ ในธรรม โล่งหมดเลย เรียกว่าสิ้นสุดล่ะ การเกิดการตายในชาติน ี้ เรียกวา่ สน้ิ สดุ หมดเลย ในชาตนิ ี้เปน็ ชาติสดุ ท้าย ทะลหุ มด โลกธาตุน้ีทะลุ หมดเลย ทุกสิ่งทุกอย่างปล่อยวางหมด ไม่มีอะไรเหลือ ความดีความช่ัว โทษคุณปลอ่ ยวางหมด ไมม่ ีเหลอื ...” (๒๕ พฤศจิกายน 2๕๕๓) “...ไมเ่ อา ไมร่ กั ษา ใครมามแี ตย่ าดๆี มา ผรู้ บั ยามนั จะตาย กรรมฐาน เวลาเจ็บไข้ไดป้ ว่ ยไม่ชอบให้ใครมาย่งุ มันภาวนาอยู่ภายใน ไมว่ า่ นง่ั หรอื นอน...” (๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓)
419 โอวาทธรรมยามอาพาธช่วงสุดท้าย “...ใหภ้ าวนา ตั้งสตอิ ยตู่ ลอดเวลา ผมเห็นคณุ คา่ ของสตมิ าก...” “...ผมลงใจในปฏิปทาพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมากท่ีสุด พูดอะไร ตรงเปง๊ เลย...” “...เราไอมาก จะเป็นปอดนะ เราจะอ่อนลงไปเร่ือยๆ นะ ผมบอก ตรงๆ เลย ผมมาเกดิ เป็นชาติสดุ ทา้ ย ไมม่ าเกิดอกี ...” “...ผมู้ าศึกษากบั ผม มีหลกั มเี กณฑ์อยหู่ ลายองคน์ ะ...” “...ผมเคยพูดให้ฟังไหม เรื่องตอนท่ีอยู่ห้วยทราย ระยะท้าย ผมจะ กว้างขวางมาก...” “...ผมมาเกดิ เปน็ ชาติสดุ ท้าย ไม่มาเกดิ อกี สมมุติในใจไม่เหลอื ...” วนั แห่งความวปิ โยค ธาตุขันธ์องค์หลวงตาเร่ิมแสดงอาการอาพาธปรากฏแก่สายตา ศิษยานุศิษย์ เมื่อวันจันทร์ท่ี ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ และ ไม่สามารถออกมาฉันจังหันที่ศาลาได้ตามปกติต้ังแต่วันจันทร์ท่ี ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศกั ราช ๒๕๕๓ เปน็ ต้นมา องค์ทา่ นละสังขารเขา้ สู่แดนนิพพาน เวลา ๓ นาฬกิ า ๕๓ นาที ของ วันอาทิตยท์ ่ี ๓๐ มกราคม พทุ ธศักราช ๒๕๕๔ สิรอิ ายุ ๙๗ ปี ๕ เดือน ๑๘ วนั รวม ๗๗ พรรษา “...วาระสุดท้ายแห่งสมมุติที่รับผิดชอบก็คือขันธ์ พอลมหายใจขาด ป๊ับ สมมุตนิ ้ขี าดพรอ้ มกนั เลย ความรับผดิ ชอบขาดพร้อมกนั ไปเลย ท่าน
420 เรียกว่านิพพานสมบรู ณแ์ บบ แต่ก่อนเรื่องความสมบูรณ์ในจติ นน้ั สมบรู ณ์ แต่มันมีสมมุติท่ีป้วนเป้ียนๆอยู่น้ันให้รับผิดชอบ จึงเรียกว่ายังไม่สมบูรณ์ ท่ียังมีขันธ์ให้รับผิดชอบอยู่ ท่านจึงเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน จิตถึง วิมุตติหลุดพ้นโดยสมบูรณ์แล้วแต่ยังมีความรับผิดชอบอยู่ในธาตุในขันธ์ ทีนี้อนุปาทิเสสนิพพาน ธาตุขันธ์นี้ปล่อยโดยสิ้นเชิงแล้วจิตปล่อยไปหมด น้ัน เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน สมมุติหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ ขันธ์น้ีเป็นวาระสุดท้ายของสมมุติ หมดในขณะน้ัน ท่านเรียกว่าจิตหมด สมมุติ จติ ถึงนิพพาน...” ถา้ เราได้ตายกับหมู่กับเพ่ือนใครอยา่ มาแตะต้องกายเราเป็นอันขาด ‘...เราจะทำหน้าท่ีของเราอย่างองอาจกล้าหาญอาชาไนย สมกับเรา สอนโลกมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ๔๗ ปี และสมกับเราท่ีต้ังใจข้ึนเวทีฟัด กับกิเลสมาเปน็ เวลา ๙ ปีเต็ม’…” วันแหง่ ประวตั ศิ าสตร์ วนั เสารท์ ี่ ๕ มีนาคม ปีพุทธศกั ราช ๒๕๕๔ เปน็ วันท่ีประวัตศิ าสตร์ ชาติไทยต้องจารึกไว้ว่า คลื่นศรัทธามหาชนจำนวนนับล้านคนได้หล่ังไหล มารวมกัน ณ เมรุช่วั คราว วัดเกษรศีลคุณ (วดั ป่าบา้ นตาด) อำเภอเมือง จงั หวดั อดุ รธานี เพอื่ รว่ มงานพระราชทานเพลงิ พระสรรี ะสงั ขารพระธรรม วิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน) พระมหาเถระผู้ทรง คุณธรรมอันสูงสุด และเป็นหลักจิตหลักใจแก่พุทธศาสนิกชนอย่าง กว้างขวางท้ังในประเทศและต่างประเทศ ผู้มาเกิดเป็นชาติสุดท้าย จะไม่กลบั มาเกิดมาตายอีกตลอดอนันตกาล
421 “เกดิ มาในชาตนิ เี้ ราสมใจ เราลา้ งปา่ ชา้ ความเกดิ ตายมาตง้ั กปั ตง้ั กลั ป์ มาขาดสะบน้ั ลงในภพนช้ี าตนิ แ้ี หละ หมด ลา้ งปา่ ชา้ แลว้ ไมม่ ที จี่ ะมาเกดิ อกี จา้ อยู่ในหวั ใจ ถามไปหาอะไร พระพุทธเจ้าไม่ถามใคร สันทิฏฐิโก ย่อมรู้เห็นผลงานของตนทำได้ มากน้อย เป็นสันทิฏฐิโก ไปโดยลำดับทำเท่าไรได้เท่าๆๆ เต็มท่ีแล้วรู้ว่า เต็มที่ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วเรียกว่าเต็มท่ี ถ้ายังไม่เป็น อันเดียวกันยังไม่เต็มนะ ต้องให้ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันเสียก่อน เมอื่ ธรรมกับใจเป็นอนั เดยี วกันแล้วไม่หาอะไร หาธรรมก็อย่กู บั ใจ หาใจก็ อยู่กับธรรมไม่ต้องหา หมด น่นั ละเปน็ อย่างนั้นละ” พนิ ยั กรรมองคห์ ลวงตา ...เอาศพอุ้มโลก พินยั กรรมขององค์หลวงตาซ่ึงมีสาระสำคัญระบุไว้ ๑. สว่ นท่ีเปน็ ทองคำ ให้หลอมเปน็ ทองคำแทง่ ๒. สว่ นทเ่ี ป็นเงนิ ไมว่ ่าสกุลใด ใหน้ ำไปซือ้ ทองคำแท่ง ๓. ให้ตั้งคณะกรรมการจัดงานศพและจัดการดูแลทรัพย์สินท่ีมีอยู่ใน ขณะมรณภาพและท่ีไดร้ บั บริจาคในงานศพ “...เวลาเรามชี ีวติ อยู่ เราก็ช่วยอยา่ งน้ีเตม็ กำลงั ความสามารถ เวลา ตายไปแล้ว สมบัติเงินทองข้าวของท่ีพี่น้องชาวไทยมาบริจาคเพ่ือเผาศพ เรานั้น เราจะเอาเงินจำนวนนี้ ไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงท้ังหมด สำหรบั ตวั หลวงตาเองนัน้ จะเผาด้วยไฟ ไม่ได้เผาด้วยเงนิ ...” “เราไม่เอาอะไรสักอย่างเดียว คิดดูซิเวลาเราจะตาย น่ีเราก็ทำ พินัยกรรมไว้แล้ว เวลาเราจะตายจะตั้งคณะกรรมการขึ้นเก็บสมบัติคือ
422 ปจั จยั เงนิ ละสำคญั มากนะ ตงั้ คณะกรรมการขน้ึ เกบ็ ปจั จยั ทงั้ หมด ฟงั แตว่ า่ ทง้ั หมดนะ ไม่ใหเ้ อาไปอลี ยุ่ ฉยุ แฉกตงั้ นนั้ ตง้ั นป้ี ระดบั ศพเนา่ เฟะหลวงตาบวั ไม่ให้มาทำไม่เกิดประโยชน์ เงินทั้งหมดรวมเข้ามาน้ีหมดเลยแล้วให้ คณะกรรมการเก็บรักษาเรียบร้อยเสร็จแล้วเอาปุ๊บเข้าไปซื้อทองคำ เข้าคลังหลวงป๋ึงเลย หลวงตาบัวเผาด้วยไฟไปเลย ไปไม่กลับ พูดให้ชัด เสยี ” “นี่สงั่ ไวแ้ ลว้ ไม่ใหท้ ำอะไรหรูหราเวลาเราตายสร้างนน้ั สรา้ งนหี้ รหู รา คนตายเน่าเฟะอยู่ในหีบจะทำอะไรหรูหราฟู่ฟ่าไม่ให้ทำ เราส่ังไว้แล้ว นอกจากมันจะดื้อ แต่เราเองเป็นอย่างน้ัน ไม่ต้องการต้องการแต่ ประโยชนส์ ว่ นรวม อะไรทจี่ ะเปน็ ประโยชนส์ ว่ นรวม รวมเขา้ มาๆ เอาอนั น้ี ยกเข้าเช่นซ้ือทองคำเข้า หลวงหมดเลยเท่าน้ันเราพอใจ เราต้องการ อยา่ งน้นั น่ีอายจุ ะได้ ๙๖ แลว้ วนั ท่ี ๑๒ สงิ หา อายุเรา ๙๖ เตม็ นีจ่ วนแล้ว เราจึงเตรยี มพร้อมอะไรๆ แตต่ วั เราเองจะใหว้ ิตกวิจารณเ์ ร่ืองความเป็น ความตายเราเราบอกตรงๆ เลยว่าเราไม่มี เหมือนว่าจัดให้ผู้อ่ืนผู้ใด เราจัดอย่างนี้จัดเพื่อส่วนรวม อะไรจำเป็นแก่ส่วนรวมเราจะขนเข้าๆ สำหรับเราอะไรก็พอหมดแลว้ พดู จริงๆ พอ ไม่มีอะไรบกพร่องในหวั ใจเรา เราพอหมดแล้ว เพราะฉะน้ันอะไรทียั่งไม่พอสำหรับกุลบุตร ลูกหลานให้ ไดส้ บื ทอด จตุปัจจยั ไทยทานไดม้ าให้รวมเข้าสคู่ ลังหลวงอันเปน็ หัวใจของ ชาตไิ ทยเราเท่าน้นั เราพอใจ เราไม่ตอ้ งการหรูหราฟูฟ่ ่า”
423 การรบั บรจิ าคในงานพระราชทานเพลิงฯ มีประชาชนจำนวนมากท้ังในและต่างประเทศได้ร่วมกันบริจาคเข้า โครงการจนมียอดเงินบริจาคถึง ๔๖๙.๕ ล้านบาทขาดอีกเพียง ๓๐.๕ ล้านบาทเท่าน้นั และหลังจากงานพระราชทานเพลิงเพียง ๒ วนั คอื เมอ่ื วันท่ี ๗ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๕๔ มีเงนิ บรจิ าคเพิม่ เติมเขา้ มาจำนวน ๓๙.๕ ล้านบาท รวมกับยอดเดิมแล้วเป็นเงินบริจาคทั้งส้ิน ๕๐๙ ล้านบาท เกินกวา่ ทีอ่ งค์ทา่ นไดต้ ั้งไว้ รวมยอดทองคำสะสมเฉพาะจากตู้รับบริจาคภายในวัดป่าบ้านตาดมี น้ำหนักทั้งสิ้น ๑๗๒ กิโลกรัม๑ บาท ๓๑ สตางค์ โดยสมเด็จพระเจ้า ลูกเธอ เจา้ ฟ้าจุฬาภรณวลยั ลักษณ์ อัครราชกมุ ารีทรงรว่ มถวายบูชาคุณ องคห์ ลวงตาในครัง้ นด้ี ว้ ยทองคำแทง่ นำ้ หนกั ๑๐ บาท
424 “...เราจะทำประโยชน์ให้โลกเตม็ กำลังความสามารถของเรา จนกระทงั่ ถึงวาระสุดทา้ ย แหง่ การตายของเรา เพราะการตายของเรานน้ั จะเปน็ การตายในครัง้ สุดทา้ ยคร้ังนค้ี รัง้ เดียวเท่านนั้ เราจะไม่กลบั มาเกิดอกี แลว้ ในธมั มจักกปั ปวตั นสตู รท่านแสดงไวว้ ่า ญาณญั จ ปน เม ทัสสนงั อทุ ปาท ิ อกุปปา เม วิมุตต ิ อยมนั ติมา ชาติ นัตถิทานิ ปุนพั ภโว ความรู้ความเห็นอนั ลำ้ เลิศประเสริฐสุดไดเ้ กิดขึ้นกับเราแล้ว ความหลดุ พน้ จากกเิ ลสวัฏวนความเกดิ ตายน้ีไม่มีการกำเรบิ แล้ว ชาตนิ ี้เปน็ ชาตสิ ดุ ท้ายของเรา ต้ังแตบ่ ัดนี้ตอ่ ไปอกี เราจะไมก่ ลบั มาเกิดอีกแล้ว...”
425 วันสูติกาล ตรงกับวันอังคารที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๕๖ ข้ึน ๑๑ คำ่ เดือน ๙ ปีฉลู ณ หมบู่ ้านตาด จงั หวดั อุดรธานี วันอุปสมบท ตรงกับวันอังคารท่ี ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ ข้นึ ๙ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ เวลา ๑๔ นาฬิกา ๔๕ นาที ณ วัดโยธา นมิ ิตร จังหวัดอุดรธาน ี วันครองธรรม ตรงกับวันจันทร์ท่ี ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ แรม ๑๔ ค่ำ เดอื น ๖ ปขี าล เวลา ๒๓ นาฬกิ า ณ วดั ดอยธรรม เจดยี ์ จงั หวัดสกลนคร วันนิพพาน ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๓๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ แรม ๑๑ คำ่ เดือนยี่ ปีขาล เวลา ๓ นาฬกิ า ๕๓ นาที ณ วดั ป่าบา้ นตาด จงั หวดั อุดรธาน ี สิรริ วมอายุ ๙๗ ปี ๕ เดอื น ๑๘ วัน พรรษา ๗๗
“....ไมว่ า่ ธรรมขน้ั ใดกต็ ามสตนิ ป้ี ราศจากไม่ได้ ตง้ั แตส่ ตลิ ม้ ลกุ คลกุ คลาน ตอ่ ไป จนเปน็ สตปิ ญั ญาอตั โนมตั ิ กา้ วขนึ้ มหาสต-ิ มหาปญั ญา สตจิ ะปราศจากไปไม่ไดเ้ ลย กิเลสขาดสะบน้ั ลงไปเพราะสตนิ ้เี ปน็ สำคัญ....” ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐
การนงั่ สมาธ ิ ๑. นัง่ ขดั สมาธิ ตามแบบพระพุทธรูปเอาขาขวาทบั ขาซา้ ย มือขวาทบั มือซ้าย วางมอื ท้ังสองไวบ้ นตัก ๒. ตั้งกายให้ตรง อยา่ ใหก้ ้มนกั เงยนกั อยา่ ให้เอียงซา้ ยเอียงขวาจนผิดธรรมดา ไม่กดหรือเกร็งอวัยวะส่วนใดสว่ นหน่ึง อนั เป็นการบงั คับกายใหล้ ำบาก ปล่อยวางอวัยวะทุกส่วนไว้ตามปกติธรรม ๓. ระลกึ พทุ โธ ธมั โม สังโฆ ๓ คร้งั อันเปน็ องค์พระรัตนตรัยก่อน ๔. นกึ คำบริกรรมภาวนาโดยกำหนดเอาเพยี งบทเดียวติดตอ่ กนั ไปด้วยความมี สติ เชน่ พุทโธ พุทโธ พทุ โธ... เปน็ ต้น ใหน้ กึ พุทโธ พุทโธ พทุ โธ... สบื เน่อื งกนั ไปด้วยความมสี ตแิ ละพยายามทำความรู้สกึ ตัวอยู่กับ พุทโธ พุทโธ พทุ โธ... อย่าใหจ้ ิตเผลอตัวไปสู่อารมณ์อนื่ ระหว่างจติ สติ กบั คำบรกิ รรมมีความกลมกลืนกนั ไดเ้ พียงไร ยงิ่ เป็นความมุ่งหมายของการภาวนาเพียงนนั้ ผลคือความสงบเยน็ ใจจะพึงเกดิ ขึ้น
การเดนิ จงกรม ๑. พึงกำหนดทางจงกรมท่ีตนจะพงึ เดิน สั้นหรือยาวเพยี งไร ความยาว ๒๕-๓๐ ก้าวเปน็ ความเหมาะสมทั่วไป พึงดวู ่าเราจะเดินจากท่ีน่ไี ปถงึ ทน่ี ั้นหรือถึงทโ่ี น้น สำหรบั ทศิ ทางท่ที า่ นนยิ มปฏบิ ัตมิ ามี ๓ ทิศ คอื ตรงตามแนวตะวนั ออก-ตะวนั ตก ๑ ตามแนวตะวนั ออกเฉยี งใต้ ๑ ตามแนวตะวนั ออกเฉียงเหนอื ๑ จากนัน้ ตกแต่งทางจงกรมให้เรียบร้อยกอ่ นเดนิ ๒. ผู้จะเดนิ กรุณาไปยืนทีต่ น้ ทางจงกรม และพึงยกมือท้งั สอง ข้ึนประนมไวเ้ หนอื ระหว่างคิว้ ระลกึ คุณพระรัตนตรยั และระลึกถงึ คุณของบดิ ามารดาอุปัชฌาย์อาจารย ์ ตลอดทา่ นผเู้ คยมพี ระคุณแกต่ น จบลงแล้วรำพึง ถึงความมุง่ หมายแหง่ ความเพยี รที่กำลงั จะทำด้วย ความต้งั ใจเพื่อผลนน้ั ๆ เสรจ็ แล้วปล่อยมือลง เอามอื ขวาทบั มือซา้ ยทาบกนั ไวใ้ ต้สะดือ ตามแบบพทุ ธรำพึง เจรญิ พรหมวิหาร ๔ จบแลว้ ทอดตาลงเบอ้ื งต่ำ ท่าสำรวม ๓. ตง้ั สตกิ ำหนดจิตและธรรมทเ่ี คยนำมาบริกรรมกำกับใจม ี พุทโธ พุทโธ พทุ โธ... เปน็ ตน้ แลว้ ออกเดินจงกรมจาก ตน้ ทางถึงปลายทางจงกรมทกี่ ำหนดไว ้ เดนิ กลับไปกลบั มาในท่าสำรวม มสี ติอยกู่ บั บทธรรมหรอื สงิ่ ทีพ่ จิ ารณาโดยสมำ่ เสมอ ไม่สง่ จติ ไปอน่ื จากงานท่กี ำลงั ทำอยู่ในเวลานั้น ๔. ขณะเดินจงกรม พงึ กำหนดสตกิ บั คำบริกรรม พทุ โธ พุทโธ พุทโธ... ให้กลมกลนื เปน็ อันเดยี วกัน ประคองความเพียรด้วยสติสัมปชญั ญะ มีใจแนว่ แนต่ ่อธรรมท่บี รกิ รรมให้จิตร้อู ยูก่ บั พุทโธ พุทโธ พทุ โธ... ทกุ ระยะทก่ี า้ วเดนิ ไปและถอยกลับมา ข้อพงึ สำรวม • การเดินไม่พึงเดนิ ไกวแขน • ไมเ่ อามอื ขดั หลังหรือกอดอก • ไม่เดินมองโนน้ มองน่ี อันเป็นทา่ ไมส่ ำรวม
429 ปัญญาอบรมสมาธิ ศลี ศลี เป็นร้ัวก้นั ความคะนองทางกายวาจา มีใจเปน็ ผรู้ บั ผิดชอบในงาน และผลของงานท่ีกายวาจาทำข้ึน คนที่ไม่มีศีลเป็นเครื่องป้องกันความ คะนอง เป็นผทู้ ส่ี งั คมผู้ดรี งั เกียจ ไม่เปน็ ท่ีไวว้ างใจของสังคมทัว่ ไป แม้จะ เป็นสังคมในวงราชการหรือสังคมใดๆ ก็ตาม ถ้ามีคนทุศีลไม่มียางอาย ทางความประพฤติแฝงอยู่ในสังคมและวงงานนั้นๆ แม้แต่คนเดียวหรือ สองคน แน่ทีเดียวที่สังคมและวงงานนัน้ ๆ จะตั้งอยู่เป็นปึกแผน่ แน่นหนา ไม่ได้นาน จะต้องถูกทำลายหรือบ่ันทอนจากคนประเภทนั้น โดยทางใด ก็ได้ ตามแต่เขาจะมีโอกาสทำได้ในเวลาท่ีสังคมน้ันเผลอตวั เช่นเดียวกับ อยู่ใกลอ้ สรพิษตวั รา้ ยกาจ คอยแตจ่ ะขบกดั ในเวลาพล้ังเผลอฉะนัน้ ศีล จึงเป็นธรรมคุ้มครองโลกให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากความ ระแวงสงสัยอันเกิดแต่ความไม่ไว้ใจกันในทางที่จะให้เกิดความเดือดร้อน เสียหาย นับแต่ส่วนเล็กน้อยไปถึงส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งท่ีใครๆ ไม่พึง ปรารถนา ศีลมีหลายประเภท นับแต่ ศีล ๕ ศีล ๘ ศลี ๑๐ ถงึ ศีล ๒๒๗ ตามประเภทของบุคคลท่ีจะควรรักษาให้เหมาะแก่เพศและวัยของตน เฉพาะศีล ๕ เป็นศีลท่ีจำเป็นที่สุดสำหรับฆราวาสผู้เกี่ยวข้องกับสังคม หลายชั้น จึงควรมีศีลเป็นเคร่ืองรับรองความบริสุทธิ์ของตน และรับรอง ความบรสิ ทุ ธ์ขิ องกนั และกนั ตอ่ สว่ นรวมท่เี กี่ยวแก่ผลไดเ้ สยี อนั อาจเกิดมี ได้ในวงงานและสังคมทว่ั ไป
430 คนมีศีล ๕ ประจำตนคนเดียวหรือสองคน เข้าทำงานในวงงานหน่ึง วงงานใด จะเปน็ งานบริษัท หา้ งร้าน หรืองานรฐั บาลซึง่ เป็นงานแผน่ ดนิ ก็ตาม จะเห็นได้ว่า คนมีศีล ๕ เพียงคนเดียวหรือสองคนน้ัน จะได้รับ ความนิยมชมชอบ ความไว้วางใจในกิจการน้ันๆ เช่น การเงิน เป็นต้น จากชุมนมุ ชนในวงงานน้ันๆ เปน็ อยา่ งยิ่ง ตลอดเวลาทเี่ ขายังอยู่ หรอื แม้ เขาจะไปอยู่หนใด กต็ อ้ งได้รับความนิยมนบั ถอื ในทท่ี ่วั ไป เพราะคนมศี ีลก็ แสดงว่าต้องมีธรรมประจำใจด้วย เช่นเดียวกับรสของอาหารกับตัวของ อาหารจะแยกจากกันไม่ได้ ในขณะเดียวกัน คนมีธรรมก็แสดงว่าเป็นผู้มี ศีลด้วย ขณะใดที่เขาล่วงเกินศีลข้อใดข้อหน่ึง ขณะนั้นแสดงว่าเขาไม่มี ธรรม เพราะธรรมอยู่กับใจ ศีลอยู่กับกายวาจา แล้วแต่กายวาจาจะ เคล่ือนไหวไปทางถูกหรือผิด ต้องส่อถึงเรื่องของใจผู้เป็นหัวหน้ารับผิด ชอบดว้ ย ถ้าใจมีธรรมประจำ กายวาจาต้องสะอาด ปราศจากโทษในขณะทำ และพูด ฉะนั้นผู้มีกายวาจาสะอาดจึงเป็นเคร่ืองประกาศให้คนอ่ืนเขา ทราบว่า เปน็ คนมธี รรมในใจ คนมศี ีลธรรมประจำกาย วาจา ใจ จงึ เป็น คนมีเสน่ห์ มีเครื่องดึงดูดใจประชาชนท่ัวโลกให้หันมาสนใจและนิยมรัก ชอบทุกยุคทุกสมัยไม่มีวันจืดจาง แม้ผู้ไม่สามารถกระทำกายวาจาให้เป็น อย่างเขาได้ ก็ยังรู้จักนิยมเล่ือมใสในคนผู้มีกาย วาจา ใจ อันมีศีลธรรม เช่นเดียวกับท่ีพวกเขาเคารพและเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าและสาวกทั้ง หลาย ฉะนั้นจึงชี้ให้เห็นว่า ศีลธรรมคือความดีความงาม เป็นส่ิงท่ีโลก ต้องการอยทู่ ุกเวลา ไมเ่ ปน็ ของลา้ สมัย ทง้ั มคี ุณค่าเท่ากับโลกเสมอไป จะมีอยู่บ้างก็เน่ืองจากศีลธรรมได้ถูกแปรสภาพจากธรรมชาติเดิม ออกมาสู่ระเบียบลัทธิประเพณี ซ่ึงแยกออกไปตามความนิยมของชาติ
431 ชั้น วรรณะ จึงเป็นเหตุให้ศีลธรรมกลายเป็นของชาติ ชั้น วรรณะ ไป ตามความนิยมของลัทธิน้ันๆ อันเป็นเหตุให้โลกติชมตลอดมา นอกจากที่ ว่าน้ี ศีลธรรมย่อมเป็นคุณธรรมที่นำยุคนำสมัยไปสู่ความเจริญได ้ ทุกโอกาส ถ้าโลกยังสนใจท่ีจะนำเอาศีลธรรมไปเป็นเส้นบรรทัดดัดกาย วาจา ใจ ของตนใหเ้ ป็นไปตามอย ู่ จะเห็นได้ง่ายๆ ก็คือ กาลใดท่ีโลกเกิดความยุ่งเหยิงไม่สงบ กาลนั้น พึงทราบว่าโลกเร่ิมขาดความสมบูรณ์ทางศีลธรรม ถ้าไม่รีบปรับปรุงให้ ตรงกบั ทางศีลธรรมแล้ว ไม่นานฤทธขิ์ องโลกลว้ นๆ จะระเบิดอยา่ งเต็มท่ี แม้ตวั โลกผูท้ รงฤทธิ์เอง ก็ต้องแตกทลายลงทันทีทนอยู่ไม่ได ้ เฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวหน่ึงๆ ถ้าขาดศีลธรรมอันเป็นหลักของ ความประพฤติแล้ว แม้คู่สามีภรรยาก็ไว้ใจกันไม่ได้ คอยแต่จะเกิดความ ระแวงแคลงใจว่า คู่ครองของตนจะไปคบชู้กับชายอื่นหญิงอ่ืน อันเป็น เหตุบอ่ นทำลายความม่ันคงของครอบครัวและทรัพยส์ นิ เพยี งเทา่ นคี้ วาม ปวดร้าวภายในใจเริ่มฟักตัวข้ึนมาแล้ว ไม่เป็นอันกินอันนอน แม้การงาน อันเป็นหลักอาชีพประจำครอบครัว ตลอดลูกเล็กเด็กแดงก็จะเร่ิมแตก แหลกลาญไปตามๆ กัน ในขณะที่ครอบครัวนั้นๆ เร่ิมทำลายศีลธรรม ของตน ยง่ิ ได้แตกจากศลี ธรรมโดยประพฤติอย่างทก่ี ล่าวแลว้ แน่ทีเดยี ว สง่ิ ทมี่ น่ั คงทง้ั หลายจะกลายเปน็ กองเพลงิ ไปตามๆ กนั เชน่ เดยี วกบั หมอ้ นำ้ ที่เต็มไปด้วยน้ำ ได้ถูกส่ิงอื่นกระทบให้ตกลง น้ำทั้งหมดท่ีบรรจุอยู่ ในหม้อจะต้องแตกกระจายไปทนั ทีฉะนัน้ ดังน้ันเม่ือโลกยังต้องการความเจริญอยู่ตราบใด ศีลธรรมจึงเป็นส่ิง จำเป็นสำหรับโลกอยู่ตราบน้ัน ใครจะคัดค้านหลักความจริง คือศีลธรรม อันเป็นสิ่งท่ีมีอยู่ประจำโลกมาแต่กาลไหนๆ ไม่ได้ คำว่าศีลธรรมในหลัก
432 ธรรมชาติน้ัน ไม่ต้องไปขอรับมาจากพระหรือจากใคร ตามวัดหรือตาม สถานท่ีตา่ งๆ แล้ว จึงจะเกดิ เป็นศีลธรรมข้ึนมา แมเ้ พยี งแต่ผู้รักษาความ ถูกความดีงามประจำนิสัย แล้วประพฤติแต่สิ่งถูกและดีงามแก่ตนและแก่ ผู้อ่ืน เว้นการประพฤติสิ่งท่ีเป็นข้าศึกต่อความถูกความดีงามของตน เพยี งเทา่ นนั้ ก็พอจะทราบได้แลว้ ว่า ผู้นน้ั มีศลี ธรรมขน้ึ ในตวั แลว้ อนึ่งเหตุที่จะเกิดศีลธรรมข้ึนในใจและความประพฤติ เกิดข้ึนจาก หลักธรรมชาติท่ีกล่าวแล้วอย่างหนึ่ง เกิดจากการคบค้าสมาคมกับนัก ปราชญ์ มีสมณะชีพราหมณ์ เป็นต้น ได้ศึกษาไต่ถามจากท่านแล้ว สมาทานนำมาปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง เพียงเท่าน้ีก็พอจะยังศีลธรรมให้เกิด ขึ้นในตน และกลายเป็นคนมีศีลธรรมได้พอแก่การทรงตัวและครอบครัว ตลอดสังคมที่ตนเกี่ยวข้อง ให้เป็นไปได้โดยปราศจากความระแวงสงสัย ในส่ิงที่ไม่น่าไว้ใจในครอบครัวและส่วนรวม ฆราวาสปฏิบัติได้เพียงศีล ๕ ก็สามารถทำความอุ่นใจให้แก่ตนและครอบครัวโดยประจักษ์ใจ ตลอด เวลาทีต่ นมคี วามประพฤติอยู่ในกรอบของศีลธรรม ส่วนศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ นั้น แยกจากศีล ๕ ขึ้นไปสู่ความ ละเอียดตามอัธยาศัย ของผู้ใคร่ประพฤติตนในศีลธรรมชั้นสูงขึ้นไป ท้ัง ด้านปฏิบัติรักษาและความเอาใจใส่ ย่อมมีกฎเกณฑ์หรือวิธีการต่างจาก ศีล ๕ ขึ้นไปเป็นช้ันๆ เม่ือสรุปความแล้ว ศีลทุกประเภทเป็นคุณสมบัติ เพ่ือที่จะรักษาความคะนองทางความประพฤติของกายและวาจา เพ่ือ ความอยเู่ ย็นเปน็ สุขสบายใจสำหรบั ทา่ นผู้ปฏบิ ัติถกู และเป็นสง่ิ จำเป็นแก่ ผู้เก่ียวข้องที่ต้องการจะทำตนให้เป็นคนดีทุกรายไป แต่สำหรับผู้เลว ทรามไม่เห็นว่าเป็นของจำเป็น เพราะไม่ต้องการอยากเป็นคนดีเหมือน โลกเขา แต่คอยจะทำลายความสุขของผู้อื่น ก่อความเดือดร้อนแก่โลก
433 ทุกเวลาท่ีได้ช่องและโอกาส ศีลธรรมบางส่วนแม้แต่สัตว์ดิรัจฉานเขายัง มีได้ อยา่ วา่ แตม่ นษุ ย์จะเปน็ เจ้าของศีลธรรมโดยถ่ายเดยี วเลย เราพอจะ สังเกตได้ว่า สัตว์ดิรัจฉานเขายังมีรัศมีแห่งธรรมแทรกอยู่ในใจและความ ประพฤตขิ องเขาบา้ ง เชน่ สตั วเ์ ลยี้ งในบ้านเรา ผู้ท่ีมีศีลธรรมเป็นภาคพ้ืนประจำนิสัยและความประพฤติตลอดเวลา นอกจากจะเป็นผู้ให้ความอบอุ่นเป็นที่ไว้วางใจ และให้ความนิยมแก่ ประชาชนตลอดกาลแล้ว ยังเป็นผู้มีความอบอุ่นในตนเอง ท้ังวันน้ี วัน หน้า ชาติน้แี ละชาตหิ น้าอีกดว้ ย ศีลธรรมจงึ เป็นคุณสมบตั อิ ันจำเป็นของ โลกตลอดกาล สมาธิ ธรรมกรรมฐานทกุ บทเปน็ รว้ั กน้ั ความคะนองของใจ ใจท่ีไมม่ กี รรมฐาน ประจำและควบคุม จึงเกิดความคะนองได้ทุกวัย ทั้งเด็กเล็ก หนุ่มสาว เฒ่าแก่ชรา คนจน คนมี คนฉลาด คนโง่ คนมีฐานะสูง ต่ำ ปานกลาง คนตาบอด หหู นวก ตาดี หดู ี งอ่ ยเปลี้ยเสยี ขา พิกลพิการ และอ่ืนๆ ไม่มี ประมาณ ทางศาสนธรรมเรียกว่า ผู้ยังตกอยู่ในวัยความคะนองทางใจ หมดความสง่าราศีทางใจ หาความสุขไม่ได้ อาภัพความสุขทางใจ ตาย แล้วขาดทุนทั้งขึ้นท้ังล่อง เช่นเดียวกับต้นไม้ จะมีก่ิงก้านดอกผลดกหนา หรอื ไม่ ไม่เป็นประมาณ รากแกว้ เสยี หรือโคน่ ลงแลว้ ยอ่ มเสียความเป็น สงา่ ราศีและผลประโยชนฉ์ ะนน้ั แตล่ ำต้นหรือกิ่งกา้ นของต้นไม้ ก็ยงั อาจ จะมาทำประโยชน์อย่างอ่นื ไดบ้ ้าง ไมเ่ หมอื นมนุษยต์ าย
434 โทษแห่งความคะนองของใจ ท่ีไม่มีธรรมะเป็นเคร่ืองรักษา จะหาจุด ความสุขไม่พบตลอดกาล แม้ความสุขจะเกิดเพราะความคะนองของใจ เป็นผู้แสวงหามาได้ ก็เป็นความสุขชนิดเป็นบทบาทที่จะเพ่ิมความคะนอง ของใจ ให้มีความกล้าแข็งไปในทางท่ีไม่ถูก มากกว่าจะเป็นความสุขที่พึง พอใจ ฉะน้ันสมาธิ คือ ความสงบหรือความต้ังมั่นของใจ จึงเป็นข้าศึกต่อ ความคะนองของใจที่ไม่อยากรับ “ยา” คือ กรรมฐาน ผู้ต้องการปราบ ปรามความคะนองของใจ ซึ่งเคยเป็นข้าศึกต่อสัตว์มาหลายกัปนับไม่ถ้วน จึงจำเป็นต้องฝืนใจรับ “ยา” คือ กรรมฐาน การรับยาหมายถึง การ อบรมใจของตนด้วยธรรมะ ไม่ปล่อยตามลำพังของใจ ซ่ึงชอบความ คะนองเป็นมิตรตลอดเวลา คือ น้อมธรรมเข้ามากำกับใจ ธรรมกำกับใจ เรยี กวา่ กรรมฐาน มี ๔๐ หอ้ ง ตามจรติ นสิ ยั ของบรรดาสตั ว์ ไมเ่ หมอื นกนั มี กสณิ ๑๐ อสภุ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ พรหมวหิ าร ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตวุ ตั ถาน ๑ และ อรูป ๔ จะขอยกมาพอประมาณ ท่ีใช้กนั โดย มาก และใหผ้ ลแก่ผ้ปู ฏิบตั เิ ป็นทีพ่ ึงพอใจ คอื อาการของกาย ๓๒ มี เกสา (ผม) โลมา (ขน) นขา (เลบ็ ) ทนฺตา (ฟัน) ตโจ (หนงั ) ทที่ ่านเรยี กว่า กรรมฐาน ๕ หรอื พุทฺโธ ธมโฺ ม สงฺโฆ ฯลฯ หรืออานาปานสติ (ระลึกลมหายใจเขา้ ออก) บทใดก็ได้ ตามแต่จริต ชอบ เพราะนสิ ยั ไม่เหมอื นกัน จะใช้กรรมฐานอยา่ งเดยี วกัน ย่อมเป็นการ ขัดต่อจริต ไม่ได้ผลเท่าที่ควร เม่ือชอบบทใดก็ตกลงใจนำบทนั้นมาบริ กรรม เชน่ จะบริกรรมเกสา กน็ กึ ว่าเกสาซ้ำอยู่ในใจ ไม่ออกเสยี งเปน็ คำ พูดให้ ได้ยินออกมาภายนอก (แต่ลำพังนึกเอาชนะใจไม่ได้ จะบริกรรม ทำนองสวดมนต์ เพ่ือให้เสียงผกู ใจไว้ จะไดส้ งบก็ได้ ทำจนกวา่ ใจจะสงบ
435 ได้ดว้ ยคำบริกรรม จงึ หยดุ ) พร้อมทัง้ ใจใหท้ ำความรสู้ กึ ไว้กบั ผมบนศีรษะ จะบริกรรมบทใดก็ให้ทำความรู้อยู่กับกรรมฐานบทนั้น เช่นเดียวกับ บรกิ รรมบทเกสา ซง่ึ ทำความร้อู ยู่ในผมบนศรี ษะฉะนน้ั ส่วนการบริกรรมบท พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ บทใดๆ ให้ทำความรู้ ไว้ จำเพาะใจไมเ่ หมอื นบทอ่ืนๆ คือ ใหค้ ำบริกรรมว่า พทุ โฺ ธ เปน็ ต้น สมั พันธ์ กนั อย่กู บั ใจไปตลอดจนกวา่ จะปรากฏ พุทฺโธ ในคำบริกรรมกับผูร้ ู้ คือ ใจ เป็นอันเดียวกัน แม้ผ้จู ะบรกิ รรมบท ธมโฺ ม สงฺโฆ ตามจริต กพ็ ึงบริกรรม ให้สัมพันธ์กนั กับใจ จนกวา่ จะปรากฏ ธมโฺ ม หรือ สงโฺ ฆ เป็นอันเดยี วกัน กบั ใจ ทำนองเดยี วกบั บท พทุ ฺโธ เถิดฯ อานาปานสตภิ าวนา ถือลมหายใจเข้าหายใจออก เป็นอารมณข์ องใจ มีความรู้และสติอยู่กับลมหายใจเข้าออก เบื้องต้นการต้ังลม ควรตั้งที่ ปลายจมูกหรือเพดานเพราะเป็นท่ีกระทบลมหายใจ พอถือเอาเป็น เครอื่ งหมายได้ เมอื่ ทำจนชำนาญ และลมละเอยี ดเข้าไปเทา่ ไร จะค่อยรู้ หรือเข้าใจความสัมผัสของลมเข้าไปโดยลำดับ จนปรากฏลมท่ีอยู่ ท่ามกลางอก หรอื ล้ินปแี่ ห่งเดียว ทนี ้ีจงกำหนดลม ณ ท่นี ัน้ ไมต่ อ้ งกังวล ออกมากำหนดหรอื ตามร้ลู มท่ปี ลายจมกู หรอื เพดานอกี ตอ่ ไป การกำหนดลมจะตามด้วย พุทฺโธ เป็นคำบริกรรมกำกับลมหายใจ เข้าออกด้วยก็ได้ เพื่อเปน็ การพยงุ ผู้รู้ใหเ้ ดน่ จะได้ปรากฏลมชัดข้นึ กับใจ เม่ือชำนาญในลมแล้ว ต่อไปทุกคร้ังที่กำหนด จงกำหนดลงที่ลมหายใจ ท่ามกลางอกหรือล้ินปี่โดยเฉพาะ ท้ังนี้สำคัญอยู่ที่ต้ังสติ จงตั้งสติกับใจ ให้มีความรสู้ ึกในลมทกุ ขณะทล่ี มเขา้ และลมออก สัน้ หรอื ยาว จนกว่าจะรู้ ชดั ในลมหายใจ มีความละเอยี ดเข้าไปทกุ ที และจนปรากฏความละเอยี ด ของลมกบั ใจเปน็ อันเดียวกัน
436 ทีนี้ให้กำหนดลมอยู่จำเพาะใจ ไม่ตอ้ งกังวลในคำบริกรรมใดๆ ทัง้ สิ้น เพราะการกำหนดลมเข้าออกและสั้นยาวตลอดคำบริกรรมน้ันๆ ก็เพ่ือจะ ให้จิตถึงความละเอียด เมื่อถึงลมละเอียดที่สุด จิตจะปรากฏมีความ สว่างไสว เยือกเย็นเป็นความสงบสุขและรู้อยู่จำเพาะใจ ไม่เกี่ยวข้องกับ อารมณ์ใดๆ แม้ที่สุดกองลมก็ลดละความเกี่ยวข้อง ในขณะนั้นไม่มีความ กงั วล เพราะจติ วางภาระ มคี วามรอู้ ยจู่ ำเพาะใจดวงเดยี ว คอื ความเปน็ หนงึ่ (เอกัคคตารมณ์) น่ีคือผลท่ีได้รับจากการเจริญอานาปานสติกรรมฐาน ในกรรมฐานบทอื่นพึงทราบว่า ผู้ภาวนาจะต้องได้รับผลเช่นเดียวกันกับ บทน ้ี การบริกรรมภาวนา มีบทกรรมฐานน้ันๆ เป็นเคร่ืองกำกับใจด้วยสติ จะระงับความคะนองของใจได้เป็นลำดับ จะปรากฏความสงบสุขขึ้นที่ใจ มอี ารมณ์อนั เดียว คือรู้อยู่จำเพาะใจ ปราศจากความฟุ้งซา่ นใด ๆ ไมม่ ีสงิ่ มากวนใจให้เอนเอียง เป็นความสุขจำเพาะใจ ปราศจากความเสกสรร หรือปรงุ แต่งใดๆ ทัง้ สิน้ เพยี งเทา่ น้ี ผ้ปู ฏิบตั จิ ะเหน็ ความอศั จรรย์ในใจ ที่ ไม่เคยประสบมาแต่กาลไหนๆ และเป็นความสุขที่ดูดด่ืมยิ่งกว่าอ่ืนใดที่ เคยผ่านมา อน่ึงพึงทราบ ผู้บริกรรมบทกรรมฐานน้ันๆ บางท่านอาจปรากฏ อาการแห่งกรรมฐาน ที่ตนกำลังบริกรรมนั้นข้ึนที่ใจ ในขณะที่กำลังบริ กรรมอยู่ก็ได้ เช่น ปรากฏผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น อาการใดอาการหนึ่ง ประจักษ์กับใจเหมือนมองเห็นด้วยตาเนื้อ เมื่อปรากฏอย่างน้ี พึงกำหนดดูอาการท่ีตนเห็นนั้นให้ชัดเจนติดใจ และ กำหนดให้ต้ังอย่างนั้นได้นาน และติดใจเท่าไรยิ่งดี เม่ือติดใจแนบสนิท แล้วจงทำความแยบคายในใจ กำหนดส่วนท่ีเห็นนั้น โดยเป็นของปฏิกูล
437 โสโครก ท้ังอาการส่วนใน และอาการส่วนนอกของกายโดยรอบ และ แยกส่วนของกายออกเป็นส่วนๆ หรือเป็นแผนกๆ ตามอาการนั้นๆ โดย เปน็ กองผม กองขน กองเนื้อ กองกระดูก ฯลฯ เสร็จแล้วกำหนดให้เน่าเป่ือยลงบ้าง กำหนดไฟเผาบ้าง กำหนดให้ แร้ง กา หมา กินบ้าง กำหนดให้แตกลงสู่ธาตุเดิมของเขา คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ บ้างเป็นต้น การทำอย่างนี้เพ่ือความชำนาญ คล่องแคล่วของใจ ในการเห็นกาย เพื่อความเห็นจริงในกายว่า มีอะไรอยู่ในน้ัน เพื่อความ บรรเทาและตัดขาดเสียได้ซ่ึงความหลงกาย อันเป็นเหตุให้เกิดราคะ ตัณหา คือ ความคะนองของใจ ทำอย่างนี้ ได้ชำนาญเท่าไรยิ่งดี ใจจะ สงบละเอียดเขา้ ทกุ ที ข้อสำคญั เม่ือปรากฏอาการของกายข้นึ อย่าปล่อย ให้ผ่านไปโดยไม่สนใจ และอย่ากลวั อาการของกายทีป่ รากฏ จงกำหนดไว้ เฉพาะหน้าทันที กายน้ีเม่ือภาวนาได้เห็นจนติดใจจริงๆ จะเกิดความเบ่ือ หน่ายสลดสังเวชตน จะเกิดขนพองสยองเกล้า นำ้ ตาไหลลงทันที อน่ึงผู้ ที่ปรากฏกายข้ึนเฉพาะหน้าในขณะภาวนา ใจจะเป็นสมาธิได้อย่าง รวดเร็ว และจะทำปัญญาให้แจ้งไปพร้อมๆ กันกับความสงบของใจท่ี ภาวนาเหน็ กาย ผู้ท่ีไม่เห็นอาการของกาย จงทราบว่า การบริกรรมภาวนาท้ังนี้ ก็ เป็นการภาวนาเพ่ือจะยังจิตให้เข้าสู่ความสงบสุขเช่นเดียวกัน จึงไม่มีข้อ ระแวงสงสัยท่ีตรงไหนว่า จิตจะไม่หย่ังลงสู่ความสงบ และเห็นภัยด้วย ปัญญาในวาระต่อไป จงทำความมั่นใจในบทภาวนา และคำบริกรรมของ ตนอยา่ ทอ้ ถอย ผ้ดู ำเนินไปโดยวิธีใด พึงทราบวา่ ดำเนนิ ไปสู่จุดประสงค์ เช่นเดียวกัน และจงทราบว่า บทธรรมท้ังหมดนี้ เป็นบทธรรมที่จะนำใจ ไปส่สู นั ตสิ ุข คือ พระนพิ พาน อนั เปน็ จดุ สุดท้ายของการภาวนาทุกบทไป
438 ฉะนั้น จงทำตามหน้าที่แห่งบทภาวนาของตน อย่าพะวักพะวนในกรรม ฐานบทอื่นๆ จะเป็นความลังเลสงสัย ตัดสินใจลงไปสู่ความจริงไม่ได้ จะ เป็นอุปสรรคแก่ความจริงใจตลอดกาล จงตั้งใจทำด้วยความมีสติจริงๆ และอยา่ เรยี งศลี สมาธิ ปญั ญา ใหน้ อกไปจากใจ เพราะกเิ ลสคอื ราคะ โทสะ โมหะ เปน็ ตน้ อยทู่ ี่ใจ ใครไม่ไดเ้ รยี งรายเขา เมอื่ คดิ ไปทางผดิ มนั ก็ เกิดกิเลสขึ้นมาท่ีใจดวงนั้น ไม่ได้กำหนดหรือนัดกันว่า ใครจะมาก่อนมา หลัง มันเป็นกิเลสมาทีเดียว กิเลสชนิดไหนมา มันก็ทำให้เราร้อนได้เช่น เดยี วกนั เรอ่ื งของกเิ ลสมนั จะตอ้ งเปน็ กเิ ลสเรอื่ ยไปอยา่ งนี้ กเิ ลสตวั ไหนจะ มากอ่ นมาหลงั เปน็ ไมเ่ สยี ผล ทำใหเ้ กดิ ความรอ้ นไดท้ ง้ั นน้ั วธิ กี ารแกก้ เิ ลส อยา่ คอยใหศ้ ลี ไปกอ่ น สมาธมิ าทสี่ อง ปญั ญามาทสี่ าม นเี่ รยี กวา่ ทำสมาธิ เรยี งแบบ เป็นอดตี อนาคตเสมอไป หาความสงบสขุ ไม่ไดต้ ลอดกาล ปัญญาอบรมสมาธ ิ ความจรงิ การภาวนาเพอื่ ให้ใจสงบ ถา้ สงบดว้ ยวิธปี ลอบโยนโดยทาง บริกรรมไม่ได้ ต้องภาวนาด้วยวิธีปราบปรามขู่เข็ญ คือค้นคิดหาเหตุผล ในสิ่งท่ีจิตติดข้องด้วยปัญญา แล้วแต่ความแยบคายของปัญญา จะหา อุบายทรมานจิตดวงพยศ จนปรากฏใจยอมจำนนตามปัญญาว่า เป็น ความจรงิ อยา่ งน้ันแลว้ ใจจะฟุง้ ซา่ นไปไหนไม่ได้ ตอ้ งหยั่งเข้าสคู่ วามสงบ เช่นเดียวกับสัตว์พาหนะตัวคะนอง ต้องฝึกฝนทรมานอย่างหนักจึงจะ ยอมจำนนต่อเจ้าของ ฉะนั้นในเร่ืองน้ีจะขอยกอุปมาเป็นหลักเทียบเคียง เช่น ต้นไม้บาง ประเภท ตั้งอยู่โดดเด่ียวไม่มีสิ่งเกี่ยวข้อง ผู้ต้องการต้นไม้นั้นก็ต้องตัด
439 ด้วยมีดหรือขวาน เม่ือขาดแล้ว ไม้ต้นน้ันก็ล้มลงสู่จุดที่หมาย แล้วนำไป ได้ตามต้องการ ไม่มีความยากเย็นอะไรนัก แต่ไม้อีกบางประเภท ไม่ตั้ง อยู่โดดเด่ียว ยังเกี่ยวข้องอยู่กับกิ่งแขนงของต้นอื่นๆ อีกมาก ยากท่ีจะ ตัดให้ลงสู่ท่ีหมายได้ ต้องใช้ปัญญาหรือสายตาตรวจดูสิ่งเกี่ยวข้องของ ต้นไม้น้ันโดยถี่ถ้วน แล้วจึงตัดต้นไม้นั้นให้ขาด พร้อมท้ังตัดสิ่งเกี่ยวข้อง จนหมดสิ้นไป ไม้ย่อมตกหรือล้มลงสู่ท่ีหมายและนำไปได้ตามความ ตอ้ งการฉันใด จริตนิสยั ของคนเรากฉ็ นั น้นั คนบางประเภทไมค่ อ่ ยมสี ิง่ แวดลอ้ มเป็นภาระกดถว่ งใจมาก เพียงใช้ คำบรกิ รรมภาวนา พทุ โฺ ธ ธมโฺ ม สง.โฆ เป็นต้น บทใดบทหนง่ึ เขา้ เท่านนั้ ใจก็ได้รับความสงบเยอื กเย็นเปน็ สมาธิลงได้ กลายเปน็ ต้นทุนหนนุ ปญั ญา ให้ก้าวหน้าต่อไปได้อย่างสบายที่เรียกว่า สมาธิอบรมปัญญา แต่คนบาง ประเภทมีส่ิงแวดล้อมเป็นภาระกดถ่วงใจมาก และเป็นนิสัยชอบคิดอะไร มากอย่างน้ี จะอบรมดว้ ยคำบรกิ รรมอย่างท่ีกล่าวมาแล้วนนั้ ไม่สามารถ ท่ีจะยังจิตให้หย่ังลงสู่ความสงบเป็นสมาธิได้ ต้องใช้ปัญญาไตร่ตรอง เหตุผล ตัดต้นเหตุของความฟุ้งซ่านด้วยปัญญา เม่ือปัญญาได้หว่านล้อม ในส่ิงที่จิตติดข้องนั้นไว้อย่างหนาแน่นแล้ว จิตจะมีความรู้เหนือปัญญาไป ไม่ได้ และจะหยั่งลงสคู่ วามสงบเปน็ สมาธไิ ด้ ฉะน้นั คนประเภทนี้ จะตอ้ ง ฝึกฝนจิตให้เป็นสมาธิได้ด้วยปัญญา ท่ีเรียกว่า ปัญญาอบรมสมาธิ ตาม ช่ือหัวเรื่องที่ให้ ไว้แล้วในเบ้ืองต้นน้ัน เมื่อสมาธิเกิดมีข้ึนด้วยอำนาจ ปัญญา อันดับต่อไปสมาธิก็กลายเป็นต้นทุนหนุนปัญญาให้มีกำลัง ก้าวหนา้ สดุ ท้ายกล็ งรอยเดียวกนั กับหลกั เดมิ ที่วา่ สมาธอิ บรมปัญญา ผู้ต้องการอบรมใจให้เป็นไปเพ่ือความฉลาด รู้เท่าทันกลมายาของ กเิ ลส อย่ายึดปริยัตจิ นเกดิ กิเลส แต่กอ็ ยา่ ปลอ่ ยวางปรยิ ัตจิ นเลยศาสดา
440 ผิดพระประสงค์ของพระพทุ ธเจา้ ท้งั สองนยั คอื ในขณะท่ที ำสมาธิภาวนา อย่าส่งใจไปยึดปริยัติจนกลายเป็นอดีตอนาคตไป ให้ต้ังจิตลงสู่ปัจจุบัน คอื เฉพาะหนา้ มธี รรมทต่ี นเกีย่ วขอ้ งเปน็ อารมณเ์ ท่านั้น เมือ่ มขี อ้ ขอ้ งใจ ตัดสินใจลงไม่ได้ว่าถูกหรือผิด เวลาออกจากที่ภาวนาแล้ว จึงตรวจสอบ กับปริยัติ แต่จะตรวจสอบทุกขณะไปก็ผิด เพราะจะกลายเป็นความร ู้ ในแบบ ไม่ใช่ความรูเ้ กดิ จากภาวนา ใช้ไม่ได้ สรุปความ ถ้าจิตสงบได้ด้วยอารมณ์สมถะ คือ คำบริกรรมด้วย ธรรมบทใด ก็บริกรรมบทน้ัน ถ้าจะสงบได้ด้วยปัญญาสกัดก้ันโดยอุบาย ต่างๆ ก็ต้องใช้ปัญญาเป็นพี่เล้ียงเพื่อความสงบเสมอไป ผลรายได้จาก การอบรมท้ังสองวิธีน้ี คือ ความสงบและปัญญา อนั จะมีรัศมแี ฝงขึ้นจาก ความสงบน้นั ๆ สมาธิ สมาธิ ว่าโดยชือ่ และอาการแห่งความสงบ มี ๓ คือ ขณกิ สมาธิ ตัง้ มนั่ หรอื สงบชั่วคราวแลว้ ถอนข้ึนมา อปุ จารสมาธิ ทา่ นวา่ รวมเฉยี ดๆ นานกวา่ ขณกิ สมาธิ แลว้ ถอนขนึ้ มา จากน้ขี อแทรกทัศนะของ “ธรรมป่า” เขา้ บา้ งเลก็ น้อย อุปจารสมาธิ เม่ือ จิตสงบลงไปแล้ว ไม่อยู่กับท่ีถอยออกมาเล็กน้อย แล้วตามรู้เรื่องต่างๆ ตามแตจ่ ะมาสมั ผสั ใจ บางครัง้ กเ็ ป็นเร่ืองเกดิ จากตนเอง ปรากฏเปน็ นิมติ ขึ้นมา ดีบ้าง ชั่วบ้าง แต่เบื้องต้นเป็นนิมิตเกิดกับตนมากกว่า ถ้าไม่ รอบคอบกท็ ำใหเ้ สียได้ เพราะนิมติ ทีจ่ ะเกิดข้นึ จากสมาธปิ ระเภทน้ี มีมาก เอาประมาณไม่ได้ บางครั้งก็ปรากฏเป็นรูปร่างของตัวเองนอนตายและ
441 เน่าพองอยู่ต่อหน้า เป็นผีตาย และเน่าพองอยู่ต่อหน้าบ้าง มีแต่โครง กระดูกบ้าง เป็นซากศพเขากำลังหามผ่านมาต่อหน้าบ้าง เป็นต้น ทป่ี รากฏลกั ษณะนี้ ผฉู้ ลาดกถ็ ือเอาเปน็ อคุ คนมิ ติ เพอ่ื เปน็ ปฏภิ าคนมิ ติ ได้ เพราะจะยังสมาธิให้แน่นหนา และจะยังปัญญาให้คมกล้าได้เป็นลำดับ สำหรับผู้กล้าต่อเหตุผล เพื่อจะยังประโยชน์ตนให้สำเร็จ ย่อมได้สติ ปญั ญาจากนิมิตน้นั ๆ เสมอไป แต่ผู้ขี้ขลาดหวาดกลัวอาจจะทำใจให้เสีย เพราะสมาธิประเภทน้ีมี จำนวนมาก เพราะเร่ืองท่ีน่ากลัวมีมาก เช่น ปรากฏมีคน รูปร่าง สีสัน วรรณะ น่ากลวั ทำทา่ จะฆา่ ฟนั หรอื จะกนิ เปน็ อาหาร อยา่ งนี้เป็นตน้ แต่ ถ้าเป็นผู้กล้าหาญต่อเหตุการณ์แล้ว ก็ไม่มีความเสียหายอะไรเกิดขึ้น ย่ิง จะได้อุบายเพิ่มข้ึนจากนิมิตหรือสมาธิประเภทน้ีเสียอีก สำหรับผู้มักกลัว ปกติก็แส่หาเร่ืองกลัวอยู่แล้ว ย่ิงปรากฏนิมิตท่ีน่ากลัวก็ย่ิงไปใหญ่ ดีไม่ดี อาจจะเปน็ บ้าข้นึ ในขณะนนั้ ก็ได้ สว่ นนิมติ นอกทผี่ ่านมา จะรหู้ รือไมว่ า่ เปน็ นมิ ติ นอก หรอื นิมติ เกิดกบั ตวั นน้ั ตอ้ งผา่ นนิมิตใน ซ่ึงเกดิ กบั ตัวไปจนชำนาญแลว้ จงึ จะสามารถรู้ได้ นิมิตนอกน้นั เปน็ เรอื่ งท่ีเก่ียวกับเหตกุ ารณต์ ่างๆ ของคนหรอื สัตว์ เปรต ภูตผี เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ที่มาเก่ียวข้องกับสมาธิในเวลานั้น เช่นเดียวกับเราสนทนากันกับแขกที่มาเย่ียม เร่ืองปรากฏขึ้นจะนานหรือ ไม่นั้น แลว้ แตเ่ หตกุ ารณ์จะยุติลงเมื่อใด บางครง้ั เร่อื งหนงึ่ จบลง เรื่องอ่นื แฝงเข้ามาต่อกนั ไปอกี ไม่จบส้นิ ลงงา่ ยๆ เรียกว่า สั้นบ้างยาวบา้ ง เมอื่ จบ ลงแลว้ จิตก็ถอนขึ้นมา บางครง้ั ก็กินเวลาหลายช่ัวโมง สมาธิประเภทน้ีแม้รวมนานเท่าใดก็ตาม เม่ือถอนข้ึนมาแล้วก็ไม่มี กำลังเพิ่มสมาธิให้แน่นหนา และไม่มีกำลังหนุนปัญญาได้ด้วย เหมือนคน
442 นอนหลบั แลว้ ฝนั ไป ธาตขุ นั ธย์ อ่ มไมม่ กี ำลงั เตม็ ท่ี สว่ นสมาธทิ ร่ี วมลงแลว้ อยกู่ บั ที่ พอถอนขนึ้ มาปรากฏเปน็ กำลงั หนนุ สมาธใิ หแ้ นน่ หนา เชน่ เดยี วกบั คนนอนหลับสนิทดีไม่ฝัน พอต่ืนข้ึนธาตุขันธ์รู้สึกมีกำลังดี ฉะน้ันสมาธิ ประเภทนี้ ถา้ ยงั ไมช่ ำนาญ และรอบคอบดว้ ยปญั ญา กท็ ำใหเ้ สยี คน เชน่ เปน็ บา้ ไปได้ โดยมากนกั ภาวนาทเ่ี ขาเลา่ ลอื กนั วา่ “ธรรมแตก” นน้ั เปน็ เพราะสมาธิประเภทน้ี แต่เม่ือรอบคอบดีแล้วก็เป็นประโยชน์เก่ียวกับ เหตกุ ารณ์ไดด้ ี สว่ นอคุ คหนมิ ติ ทปี่ รากฏขึ้นจากจติ ตามท่ีไดอ้ ธบิ ายไว้ข้างตน้ นน้ั เป็น นมิ ติ ทคี่ วรแกก่ ารปฏภิ าคในหลกั ภาวนา ของผตู้ อ้ งการอบุ ายแยบคายดว้ ย ปัญญาโดยแท้ เพราะเป็นนิมิตท่ีเกี่ยวกับอริยสัจ นิมิตอันหลังต้องน้อม เขา้ หา จงึ จะเปน็ อรยิ สจั ไดบ้ า้ ง แตท่ ง้ั นมิ ติ เกดิ กบั ตน และนมิ ติ ผา่ นมาจาก ภายนอก ถ้าเป็นคนขลาดก็อาจเสียได้เหมือนกัน สำคัญอยู่ที่ปัญญาและ ความกลา้ หาญตอ่ เหตกุ ารณ์ ผมู้ ปี ญั ญาจงึ ไมป่ ระมาทสมาธปิ ระเภทน้ีโดย ถา่ ยเดยี ว เชน่ งเู ปน็ ตวั อสรพษิ เขานำมาเลยี้ งไวเ้ พอ่ื ถอื เอาประโยชนจ์ ากงู กย็ งั ได้ วธิ ปี ฏบิ ตั ใิ นนมิ ติ ทงั้ สองซง่ึ เกดิ จากสมาธปิ ระเภทนี้ นมิ ติ ทเ่ี กดิ จาก จติ ทเ่ี รยี กวา่ “นมิ ติ ใน” จงทำปฏภิ าค มแี บง่ แยก เปน็ ตน้ ตามที่ไดอ้ ธบิ าย ไวข้ า้ งตน้ แลว้ นมิ ติ ทผี่ า่ นมาอนั เกยี่ วแกค่ นหรอื สตั ว์ เปน็ ตน้ ถา้ สมาธยิ งั ไม่ ชำนาญ จงงดไว้ก่อนอย่าด่วนสนใจ เม่ือสมาธิชำนาญแล้ว จึงปล่อยจิต ออกรู้ตามเหตุการณ์ปรากฏ จะเป็นประโยชน์ที่เกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต อนาคตไม่น้อยเลย สมาธิประเภทน้ีเป็นสมาธิท่ีแปลกมาก อย่าด่วน เพลดิ เพลนิ และเสยี ใจในสมาธปิ ระเภทน้ีโดยถา่ ยเดยี ว จงทำใจใหก้ ลา้ หาญ ขณะทนี่ มิ ติ นานาประการเกดิ ขน้ึ จากสมาธปิ ระเภทนี้ เบอื้ งตน้ ใหน้ อ้ มลงสู่ ไตรลกั ษณ์ ขณะนมิ ติ ปรากฏขน้ึ จะไมท่ ำใหเ้ สยี
443 แต่พึงทราบว่า สมาธิประเภทมีนิมิตนี้ ไม่มีทุกรายไป รายท่ีไม่มีก็คือ เมือ่ จติ สงบแลว้ รวมอยกู่ ับท่ี จะรวมนานเทา่ ไร ก็ไม่ค่อยมีนิมิตมาปรากฏ หรือจะเรียกง่ายๆ ก็คือ รายท่ีปัญญาอบรมสมาธิ แม้สงบรวมลงแล้วจะ อยู่นานหรอื ไมน่ านก็ตามก็ไมม่ ีนมิ ิต เพราะเกี่ยวกับปญั ญาแฝงอยกู่ บั องค์ สมาธนิ ้นั สว่ นรายทีส่ มาธิอบรมปัญญา มักจะปรากฏนมิ ติ แทบทกุ รายไป เพราะจิตประเภทน้ีรวมลงอย่างเร็วที่สุด เหมือนคนตกบ่อตกเหวไม่คอย ระวังตัว ลงรวดเดียวก็ถึงท่ีพักของจิต แล้วก็ถอนออกมารู้เหตุการณ์ ตา่ งๆ จงึ ปรากฏเปน็ นมิ ติ ขึ้นมาในขณะนั้น และก็เปน็ นสิ ยั ของจติ ประเภท นี้แทบทุกรายไป แต่จะเป็นสมาธิประเภทใดก็ตาม ปัญญาเป็นส่ิงสำคัญ ประจำสมาธิประเภทน้นั ๆ เม่ือถอนออกมาแลว้ จงไตรต่ รองธาตุขนั ธด์ ้วย ปัญญา เพราะปัญญากับสมาธิเป็นธรรมคู่เคียงกัน จะแยกจากกันไม่ได้ ถ้าสมาธิไม่ก้าวหน้าต้องใช้ปัญญาหนุนหลัง ขอยุติเร่ืองอุปจารสมาธิแต่ เพยี งเท่าน ี้ อัปปนาสมาธิ เป็นสมาธิท่ีละเอียดและแน่นหนาม่ันคง ทั้งรวมอยู ่ ได้นาน จะให้รวมอยู่หรือถอนข้ึนมาได้ตามต้องการ สมาธิทุกประเภท พึงทราบว่า เป็นเครื่องหนุนปัญญาได้ตามกำลังของตน คือ สมาธิอย่าง หยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด ก็หนุนปัญญาอย่างหยาบ อย่าง กลาง และอย่างละเอียดเป็นชั้นๆ ไป แล้วแต่ผู้มีปัญญาจะนำออกใช ้ แต่โดยมากจะเป็นสมาธิประเภทใดก็ตามปรากฏขึ้น ผู้ภาวนามักจะติด เพราะเป็นความสขุ ในขณะท่ีจิตรวมลงและพักอยู่ การทีจ่ ะเรียกวา่ จิตตดิ สมาธิ หรือติดความสงบได้นั้นไม่เป็นปัญหา ในขณะท่ีจิตพักรวมอย ู่ จะพกั อย่นู านเทา่ ไรก็ได้ตามข้ันของสมาธิ ท่ีสำคัญก็คือ เมื่อจิตถอนขึ้นมา แล้วยังอาลัยในความพักของจิต ท้ังๆ ท่ีตนมีความสงบพอท่ีจะใช้ปัญญา
444 ไตร่ตรอง และมีความสงบจนพอตัว ซ่ึงควรจะใช้ปัญญาได้อย่างเต็มท่ี แล้ว แต่ยังพยายามที่จะอยู่ในความสงบไม่สนใจในปัญญาเลย อย่างนี้ เรียกว่า ติดสมาธถิ อนตัวไม่ข้นึ ปญั ญา ทางท่ีถูกและราบร่ืนของผู้ปฏิบัติก็คือ เม่ือจิตได้รับความสงบพอเห็น ทางแล้ว ต้องฝึกหัดจิตให้คิดค้นในอาการของกาย จะเป็นอาการเดียว หรือมากอาการก็ตาม ด้วยปัญญาคล่ีคลายดูกายของตน เร่ิมต้ังแต่ ผม ขน เลบ็ ฟนั หนัง เนอื้ เอ็น กระดูก เย่อื ในกระดูก มา้ ม หวั ใจ ตับ พังผดื ไต ปอด ไสน้ อ้ ย ไส้ใหญ่ อาหารใหม่ อาหารเกา่ ๆ ฯลฯ ทเ่ี รยี กวา่ อาการ ๓๒ ของกาย ส่ิงเหล่าน้ีตามปกติเต็มไปด้วยของปฏิกูลน่าเกลียดตลอดเวลา ไม่มีอวัยวะส่วนใดจะสวยงามตามโมหนิยม ยังเป็นอยู่ก็ปฏิกูล ตายแล้ว ยิ่งเป็นมากขึ้นไม่ว่าสัตว์ บุคคล หญิงชาย มีความเป็นอย่างน้ีทั้งนั้น ในโลกนี้เต็มไปด้วยของอย่างน้ี หาส่ิงท่ีแปลกกว่านี้ ไม่มี ใครอยู่ในโลกน้ี ตอ้ งมอี ย่างนี้ ตอ้ งเปน็ อยา่ งน้ี ตอ้ งเห็นอย่างน้ี ความเป็นอนิจฺจํ ไม่เท่ียง ก็กายอันน้ี ทุกฺขํ ความลำบากก็กายอันน้ี อนตตฺ า ปฏเิ สธความประสงค์ของสตั วท์ ง้ั หลายกก็ ายอันน้ี สง่ิ ท่ีไมส่ มหวัง ทั้งหมดก็อยู่ท่ีกายอันน้ี ความหลงสัตว์หลงสังขารก็หลงกายอันน้ี ความ ถือสัตว์ถือสังขารก็ถือกายอันน้ี ความพลัดพรากจากสัตว์และสังขารก็ พลัดพรากจากกายอันน้ี ความหลงรักหลงชังก็หลงกายอันน้ี ความไม่ อยากตายก็ห่วงกายอันน้ี ตายแล้วร้องไห้หากันก็เพราะกายอันน้ี ความ ทุกข์ทรมานแต่วันเกิดจนถึงวันตายก็เพราะกายอันน้ี ท้ังสัตว์และบุคคล
445 วิ่งว่อนไปมาหาอยู่หากิน ไม่มีวันไม่มีคืน ก็เพราะเรื่องของกายอันเดียวน้ี มหาเหตุมหาเรื่องใหญ่โตในโลก ที่เป็นกงจักรผันมนุษย์และสัตว์ไม่มีวัน ลืมตาเต็มดวง ประหน่ึงไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ก็คือเรื่องของกายเป็นเหตุ กเิ ลสท่วมหวั จนเอาตัวไมร่ อดก็เพราะกายอันน้ี สรปุ ความเร่ืองในโลก คอื เรอื่ งเพ่ือกายอนั เดยี วนที้ งั้ น้นั เมื่อพิจารณากายพร้อมท้ังเรื่องของกายให้แจ้งประจักษ์กับใจ ด้วย ปัญญาอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันหยุดยั้ง กิเลสจะยกกองพลมาจากไหนใจจึงจะ สงบลงไม่ได้ ปัญญาอ่านประกาศความจริงให้ใจฟังอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ใจจะฝืนความจริงจากปัญญาไปไหน เพราะกิเลสก็เกิดจากใจ ปัญญาก็ เกิดจากใจ เราก็คือใจ จะแก้กิเลสด้วยปัญญาของเราจะไม่ได้อย่างไร เมื่อปัญญาเป็นไปในกายอยู่อย่างน้ี จะไม่เห็นแจ้งในกายอย่างไรเล่า? เม่ือเห็นกายแจ้งประจักษ์ใจด้วยปัญญาอย่างนี้ ใจต้องเบื่อหน่ายในกาย ตนและกายคนอ่ืนสัตว์อื่น ต้องคลายความกำหนัดยินดีในกาย แล้วถอน อุปาทานความถือมั่นในกาย โดยสมุจเฉทปหาน พร้อมทั้งความรู้เท่ากาย ทุกส่วน ไมห่ ลงรกั หลงชงั ในกายใดๆอกี ต่อไป การท่ีจิตใช้กล้อง คือ ปัญญา ท่องเที่ยวในเมือง “กายนคร” ย่อม เห็น “กายนคร” ของตน และ “กายนคร” ของคนและสัตว์ทั่วไปได้ชัด ตลอดจนทางสามแพร่ง คือไตรลักษณ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และทางสี่ แพร่ง คือ ธาตุส่ี ดิน น้ำ ลม ไฟ ท่ัวท้ังตรอกของทางสายต่างๆ คือ อาการของกายทุกส่วน พร้อมทั้งห้องน้ำ ครัวไฟ (ส่วนข้างในของ ร่างกาย) แหง่ เมอื งกายนคร จดั เปน็ โลกวิทู ความเห็นแจ้งในกายนครทั่ว ทั้งไตรโลกธาตุก็ได้ด้วย ยถาภูตญาณทัสสนะ ความเห็นตามเป็นจริงใน กายทกุ สว่ น หมดความสงสยั ในเรอื่ งของกายทเ่ี รียกวา่ รปู ธรรม
446 ต่อไปน้ีจะอธิบายวิปัสสนาเกี่ยวกับ นามธรรม คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ นามธรรมทั้งส่ีนี้ เป็นส่วนหน่ึงของขันธ์ห้า แต่ละ เอียดไปกว่ารูปขันธ์ คือ กาย ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา แต่รู้ได้ทางใจ เวทนา คอื สง่ิ ทีจ่ ะต้องเสวยทางใจ สขุ บา้ ง ทุกข์บา้ ง เฉยๆ บ้าง สญั ญา คือ ความจำ เช่น จำช่ือจำเสียง จำวัตถุสิ่งของ จำบาลีคาถา เป็นต้น สงั ขาร คือ ความคดิ ความปรุง เช่น คิดดี คิดชัว่ คดิ กลางๆ ไม่ดี ไม่ช่วั หรือ ปรุงอดตี อนาคต เป็นต้น และ วญิ ญาณ ความรับรู้ คือ รบั รู้ รปู เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส และธรรมารมณ์ ในขณะที่ส่ิงเหล่านี้มา กระทบ ตา หู จมูก ลนิ้ กาย และใจ นามธรรมท้งั สีน่ ี้ เปน็ อาการของใจ ออกมาจากใจ รู้ ได้ท่ีใจ และเป็นมายาของใจด้วย ถ้าใจยังไม่รอบคอบ จงึ จัดว่า เปน็ เครื่องปกปดิ ความจรงิ ไดด้ ้วย การพิจารณานามธรรมท้ังสี่ ต้องพิจารณาด้วยปัญญา โดยทางไตร ลักษณ์ล้วนๆ เพราะขันธ์เหล่าน้ีมีไตรลักษณ์ประจำตนทุกอาการท่ี เคล่ือนไหว แต่วิธีพิจารณาในขันธ์ทั้งส่ีน้ี ตามแต่จริตจะชอบในขันธ์ใด ไตรลักษณ์ใด หรอื ท่วั ไปในขนั ธ์ และไตรลักษณ์นั้นๆ จงพิจารณาตามจริต ชอบในขันธ์และไตรลักษณ์น้ันๆ เพราะขันธ์และไตรลักษณ์หน่ึงๆ เป็น ธรรมเกย่ี วโยงถึงกัน จะพจิ ารณาเพียงขันธ์หรอื ไตรลกั ษณเ์ ดียวก็เปน็ เหตุ ให้ความเข้าใจหย่ังทราบไปในขันธ์และไตรลักษณ์อื่นๆ ได้โดยสมบูรณ์ เช่นเดียวกับพิจารณาไปพร้อมๆ กัน เพราะขันธ์และไตรลักษณ์เหล่าน้ีมี อริยสัจเป็นรั้วก้ันเขตแดนรับรองไว้แล้ว เช่นเดียวกับการรับประทาน อาหารลงในท่ีแห่งเดียว ย่อมซึมซาบไปท่ัวอวัยวะน้อยใหญ่ของร่างกาย ซง่ึ เป็นสว่ นใหญ่รับรองไวแ้ ลว้ ฉะนัน้
447 เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติจงต้ังสติและปัญญาให้เข้าใกล้ชิดต่อนามธรรม คือ ขนั ธ์ส่ีน้ี ทกุ ขณะทข่ี นั ธน์ ั้นๆ เคลื่อนไหว คอื ปรากฏขึ้น ต้ังอยู่ และ ดบั ไป และไมเ่ ทีย่ ง เปน็ ทุกข์ เป็นอนัตตาประจำตน ไม่มีเวลาหยุดยัง้ ตาม ความจริงของเขา ซึ่งแสดงหรือประกาศตนอยู่อย่างนี้ ไม่มีเวลาสงบ แม้แต่ขณะเดียว ท้ังภายใน ท้ังภายนอก ท่ัวโลกธาตุประกาศเป็นเสียง เดียวกัน คือ ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ปฏิเสธความหวังของสัตว์ พูดง่ายๆ ก็คือ ธรรมทั้งน้ี ไม่มีเจ้าของ ประกาศตนอยู่อย่างอิสรเสร ี ตลอดกาล ใครหลงไปยึดเข้าก็พบแต่ความทุกข์ด้วยความเหี่ยวแห้งใจ ตรอมใจ หนักเข้ากินอยู่หลับนอนไม่ได้ น้ำตาไหลจนจะกลายเป็นแม่น้ำ ลำคลองไหลนองตลอดเวลา และตลอดอนันตกาลที่สัตว์ยังหลงข้องอยู่ ช้ีให้เห็นง่ายๆ ขันธ์ท้ังห้าเป็นบ่อหล่ังน้ำตาของสัตว์ผู้ลุ่มหลงนั่นเอง การพิจารณาให้รู้ด้วยปัญญาชอบในขันธ์และสภาวธรรมทั้งหลาย ก็เพ่ือ จะประหยัดน้ำตาและตัดภพชาติให้น้อยลง หรือให้ขาดกระเด็นออกจาก ใจผเู้ ปน็ เจา้ ทกุ ข์ ให้ไดร้ ับสุขอยา่ งสมบรู ณ์น่ันเอง สภาวธรรมมขี นั ธ์เปน็ ต้นนี้ จะเปน็ พิษสำหรบั ผู้ยงั ลุ่มหลง สว่ นผ้รู ู้เท่า ทันขันธ์และสภาวธรรมท้ังปวงแล้ว ส่ิงท้ังน้ีจะสามารถทำพิษอะไรได้ และท่านยังถือเอาประโยชน์จากส่ิงเหล่านี้ ได้เท่าที่ควร เช่นเดียวกับ ขวากหนามท่ีมีอยู่ท่ัวไป ใครไม่รู้ ไปโดนเข้าก็เป็นอันตราย แต่ถ้ารู้ว่าเป็น หนามแล้วนำไปทำรั้วบ้านหรือกั้นสิ่งปลูกสร้าง ก็ได้รับประโยชน์เท่าท่ี ควรฉะนั้น เพราะฉะน้ันผู้ปฏิบัติ จงทำความแยบคายในขันธ์และ สภาวธรรมด้วยดี ส่ิงทั้งน้ีเกิดดับอยู่กับจิตทุกขณะ จงตามรู้ความเป็นไป ของเขาด้วยปัญญาว่าอย่างไรจะรอบคอบและรู้เท่าน้ัน จงถือเป็นภาระ สำคญั ประจำอิรยิ าบถ อย่าไดป้ ระมาทนอนใจ
448 ธรรมเทศนาท่ีแสดงข้ึนจากขันธ์และสภาวธรรมท่ัวไปในระยะน้ี จะปรากฏทางสติปัญญาไม่มีเวลาจบส้ิน และเทศน์ไม่มีจำนนทางสำนวน โวหาร ประกาศเรื่องไตรลักษณ์ประจำตลอดเวลา ท้ังกลางวัน กลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ทั้งเป็นระยะท่ีปัญญาของเราควรแก่การฟังแล้ว เหมือนเราได้ ไตร่ตรองตามธรรมเทศนาของพระธรรมกถึกอย่างสุดซึ้ง น่ันเอง ขนั้ น้นี ักปฏบิ ตั ิจะรูส้ กึ วา่ เพลดิ เพลนิ เตม็ ท่ี ในการคน้ คิดตามความ จริงของขันธ์ และสภาวธรรมที่ประกาศความจริงประจำตน แทบไม่มี เวลาหลับนอน เพราะอำนาจความเพียรในหลักธรรมชาติ ไม่ขาดวรรค ขาดตอนโดยทางปัญญา สืบต่อในขันธ์หรือสภาวธรรมซึ่งเป็นหลัก ธรรมชาติเช่นเดียวกัน ก็จะพบความจริงจากขันธ์และสภาวธรรม ประจักษ์ใจข้ึนมาด้วยปัญญาว่า แม้ขันธ์ทั้งมวลและสภาวธรรมท่ัวไป ตลอดไตรโลกธาตุ ก็เป็นธรรมชาตธิ รรมดาของเขาอยา่ งนั้น ไมป่ รากฏวา่ สง่ิ เหล่านเ้ี ป็นกเิ ลสตณั หาตามโมหนยิ มแตอ่ ยา่ งใด อุปมาเป็นหลักเทียบเคียง เช่น ของกลางที่โจรลักไปก็พลอยเป็น เร่ืองราวไปตามโจร แต่เม่ือเจ้าหน้าท่ีได้สืบสวนสอบสวนดูถ้วนถ่ี จนได้ พยานหลักฐานเป็นท่ีพอใจแล้ว ของกลางจับได้ก็ส่งคืนเจ้าของเดิม หรือ เก็บไว้ในสถานท่ีควรไม่มีโทษแต่อย่างใด เจ้าหน้าท่ีก็มิได้ติดใจในของ กลาง ปัญหาเร่ืองโทษก็ข้ึนอยู่กับโจร เจ้าหน้าที่จะต้องเก่ียวข้องกับโจร และจับตัวไปสอบสวนตามกฎหมาย เม่ือได้ความตามพยานหลักฐาน ถกู ตอ้ งตามกฎหมายวา่ เปน็ ความจริงแลว้ ก็ลงโทษผู้ตอ้ งหาตามกฎหมาย และปล่อยตัวผู้ ไม่มีความผิดและไม่มีส่วนเก่ียวข้องออกไปเป็นอิสรเสรี ตามเดิมฉันใด เร่อื งอวิชชาจติ กับสภาวธรรมทงั้ หลายกฉ็ นั นั้น
449 ขันธ์และสภาวธรรมทั่วท้ังไตรโลกธาตุ ไม่มีความผิดและเป็นกิเลส บาปธรรมแต่อย่างใด แต่พลอยเป็นเรื่องไปด้วย เพราะจิตผู้ฝังอยู่ใต้ อำนาจของอวชิ ชา ไม่รตู้ ัววา่ อวิชชาคือใคร อวชิ ชากบั จิตจึงกลมกลนื เปน็ อันเดียวกัน เป็นจิตหลงไปทั้งดวง เท่ียวก่อเร่ืองรัก เร่ืองชัง ฝังไว้ตาม ธาตขุ ันธ์ คือ ตามรปู เสียง กลิน่ รส เครื่องสัมผัส ตามตา หู จมกู ลน้ิ กาย และใจ และฝงั รักฝังชงั ไว้ตามรปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ ตลอดไตรโลกธาตุ เป็นสภาวะท่ีถูกจับจองและรักชังยึดถือจากใจดวงลุ่ม หลงน้ีท้ังสน้ิ เพราะอำนาจความจับจองยดึ ถอื เปน็ เหตุ ใจอวชิ ชาดวงน้ีจงึ เที่ยวเกิด แก่ เจบ็ ตาย หมนุ เวียนไปได้ทุกกำเนดิ ไม่ว่าสงู ต่ำ ดี ชว่ั ใน ภพท้งั สามน้ ี แม้จะแยกกำเนิดของสัตว์ท่ีต่างกันในภพนั้นๆ ไว้มากเท่าไร ใจดวง อวิชชานี้สามารถจะไปถือเอากำเนิดในภพนั้นๆ ได้ตามแต่ปัจจัยเครื่อง หนุนของจิตดวงน้ี มีกำลังมากน้อยและดีชั่วเท่าไร ใจดวงนี้ต้องไปเกิดได้ ตามโอกาสท่ีจะอำนวย ตามสภาวะทั้งหลายท่ีใจดวงนี้มีความเกี่ยวข้อง จึงกลายเป็นเรื่องผิดจากความจริงของตนไปโดยลำดับ เพราะอำนาจ อวิชชาอันเดียวเท่าน้ี จึงก่อเหตุร้ายป้ายสีไปทั่วไตรโลกธาตุให้แปรสภาพ คือ ธาตุล้วนๆ ของเดิมไปเป็นสัตว์ เป็นบุคคล และเป็นความเกิด แก่ เจบ็ ตาย ตามโมหะ (อวิชชา) นิยม เมอื่ ทราบชดั ดว้ ยปัญญาว่า ขนั ธห์ ้า และสภาวธรรมท้ังหลาย ไม่ใช่ตัวเรื่องและตัวก่อเร่ือง เป็นแต่พลอยมี เรอ่ื ง เพราะอวชิ ชาเป็นผูเ้ รืองอำนาจ บันดาลให้สภาวะทง้ั หลายเป็นไปได้ ตามอยา่ งนีแ้ ล้ว ปัญญาจงึ ตามค้นลงทตี่ น้ ตอ คอื จติ ดวงรู้ อนั เปน็ บ่อเกดิ ของเร่อื งทั้งหลายอยา่ งไม่หยุดยั้งตลอดอิรยิ าบถ คือ ยนื เดนิ นงั่ นอน โดยความไม่วางใจในความรู้อนั นี้
450 เม่ือสติปัญญาท่ี ได้ฝึกซ้อมเป็นเวลานานจนมีความสามารถเต็มท ่ี ได้แผ่วงล้อมและฟาดฟันเข้าไปตรงจุดใหญ่ คือ ผู้รู้ที่เต็มไปด้วยอวิชชา อย่างไม่รีรอ ต่อยุทธ์กันทางปัญญา เม่ืออวิชชาทนต่อดาบเพชร คือสติ ปัญญาไม่ไหวก็ทลายลงจากจิตท่ีเป็นแท่นบัลลังก์อันประเสริฐของอวิชชา มาแต่กาลไหนๆ เม่ืออวิชชาได้ถูกทำลายตายลงไปแล้วด้วยอำนาจ “มรรคญาณ” ซึ่งเป็นอาวุธทนั สมยั เพยี งขณะเดียวเทา่ นั้น ความจรงิ ทงั้ หลายท่ีได้ถูกอวิชชากดขี่บังคับเอาไว้นานเป็นแสนกัปนับไม่ถ้วน ก็ได้ถูก เปิดเผยขึ้นมาเป็นของกลาง คือ เป็นความจริงล้วนๆ ท้ังสิ้น ธรรมท่ีไม่ เคยรู้ไดป้ รากฏข้นึ มาในวาระสดุ ทา้ ย “ยถาภูตญาณทัสสนะ” เปน็ ความรู้ เห็นตามเป็นจริงในสภาวธรรมทั้งหลายอย่างเปิดเผย ไม่มีอะไรปิดบัง แมแ้ ตน่ ้อย เม่ืออวิชชาเจ้าผู้ปกครองนครวัฏฏะตายไปแล้วด้วยอาวุธ คือ ปญั ญาญาณ พระนิพพานจะทนต่อความเปดิ เผยของผู้ทำจริง รู้จรงิ เหน็ จริงไปไม่ได้ แม้สภาวธรรมท้ังหลาย นับแต่ขันธ์ห้า อายตนะภายใน ภายนอก ทั่วท้ังไตรโลกธาตุ ก็ได้เป็นธรรมเปิดเผยตามความจริงของตน จึงไม่ปรากฏว่าจะมีอะไรที่เป็นข้าศึกแก่ใจต่อไปอีก นอกจากจะปฏิบัติ ขันธ์ห้า พอให้ถึงกาลอันควรอยู่ควรไปของเขาเท่าน้ัน ก็ไม่เห็นมีอะไร เรื่องท้ังหมดก็มีอวิชชา คือความรู้โกหกอันเดียวเท่าน้ัน เที่ยวรังแกและ กีดขวางต่อสภาวะให้เปล่ียนไปจากความจริงของตน อวิชชาดับอันเดียว เท่านั้น โลก คือสภาวะท่ัวๆ ไปก็กลายเป็นปกติธรรมดา ไม่มีใครจะไป ตำหนิติชมใหเ้ ขาเป็นอยา่ งไรต่อไปไดอ้ ีกแลว้ เช่นเดียวกับมหาโจรผู้ลือนามได้ถูกเจ้าหน้าที่ฆ่าตายแล้ว ชาวเมือง พากนั อยสู่ บายหายความระวงั ภยั จากโจรฉะนนั้ ใจทรงยถาภตู ญาณทสั สนะ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 464
Pages: