1
พระพุทธเจ้าในฐานะนักบริหาร (The Lord Buddha: A Great of the world) โดย พระครูปริยัติธรรมวงศ์, ผศ.ดร. ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายบริหาร อาจารยป์ ระจาวิทยาลยั สงฆข์ อนแกน่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ประกอบการให้บรกิ ารวชิ าการแกส่ ังคม เนื่องในวาร ๓๐ ปีแห่งการพัฒนาจิตใจและสังคม ตาม โครงการปฏิรูปประเทศไทยผ่านการปฏิรูปคนไทย ด้วยพระพุทธศาสนา ตามนโยบายปฏิรูปการเมืองไทยให้ใสสะอาด ปราศจากคอรัปช่ัน บริหารด้วยหลักธรรมาภิบาลรอบด้าน ของ รัฐบาล คสช. ด้วยการจัดกิจกรรมการพัฒนาศักยภาพผู้บริหารและ สมาชิกสภาท้องถ่ิน อานาจหน้าท่ีปฏิบัติงานสภา การจัดทำโครงการ งบประมาณ และแนวทางในการปฏิรูปท้องถ่ิน
พระพุทธเจ้าในฐานะนักบริหาร (The Lord Buddha: A Great of the world) ISBN : ผูเ้ รียบเรยี ง : พระครปู รยิ ตั ธิ รรมวงศ์ (สุพล แสนพงษ)์ , ผศ.ดร. ผ้ชู ว่ ยอธิการบดีฝ่ายบรหิ ารวทิ ยาเขตขอนแก่น พิสจู นอ์ กั ษร : พระธรี ะพงษ์ นรนิ ฺโท/แสนพงษ์ นักทรพั ยากรบุคคล ศูนยบ์ ริการวชิ าการ มจร.วทิ ยาเขตขอนแก่น ปที ่พี ิมพ์ : สงิ หาคม ๒๕๕๙ พิมพ์ครง้ั ท่ี : ๑ พมิ พ์จานวน : ๒,๐๐๐ เล่ม ภาพปก : พระครปู รยิ ตั ธิ รรมวงศ,์ ผศ.ดร. ออกแบบ : พระมหาสุรนิ ทร์ ปสทิ ฺธิเมธี นักทรัพยากรบุคคล ศนู ยบ์ ริการวชิ าการ สานกั วิชาการวิทยาเขตขอนแก่น จดั พมิ พโ์ ดย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่ ๓๐ หมู่ ๑ บา้ นโคกสี ตาบลโคกสี อาเภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแกน่ ๔๐๐๐๐ โทรศัพท์ ๐๔๓-๒๘๓-๕๔๖-๗, มอื ถอื ๐๘๑-๘๗๓-๘๔๔๐ พมิ พท์ ่ี : โรงพิมพ์ พมิ พด์ ีถูกดี เลขท่ี ๑๘๘๘/๓-๔ ถนนเพชรเกษม ๖๓ หลกั สอง บางแค กรงุ เทพมหานคร โทร ๐๙๑-๗๗๑-๕๙๔๖
วัตถุประสงค์ เมอ่ื ศึกษาเนอ้ื หาครบถว้ นแลว้ ตอ้ งสามารถ ๑. อธิบาย ความหมายท่ีสอดคล้องและเช่ือมโยงกันของ คาวา่ คุณธรรม จริยธรรม ศลี ธรรม กบั การบรหิ ารได้ ๒. อธิบาย ความหมาย ความสาคัญ ของการบรหิ ารงาน เชิงพุทธได้ ๓. ระบแุ นวคดิ การบรหิ ารของพระพุทธเจา้ ได้ ๔. อธบิ ายองค์ประกอบการบริหารเชงิ พุทธได้ ๕. ระบหุ ลกั การบรหิ ารเชงิ พุทธได้ ๖. อธบิ ายพุทธวิธกี ารบรหิ ารงานได้ ๗. อธิบายพทุ ธกจิ กบั การบรหิ ารได้ ๘. อธิบายพทุ ธจรยิ ากบั การบรหิ ารได้ ๙. อธบิ ายกลวธิ แี ละอบุ ายการบรหิ ารของพระพทุ ธเจา้ ได้ ๑๐. สามารถปรับพุทธวธิ บี รหิ ารไปใช้ในการบรหิ ารได้ ขอบขา่ ยเน้ือหา ความนา ความเปน็ มา ความหมาย
๒ พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบรหิ ารเชงิ พุทธ พระครปู รยิ ัตธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ความสาคญั พระพุทธเจ้าในฐานะนักบรหิ าร พทุ ธวิธกี ารบรหิ าร พทุ ธกจิ : ตน้ แบบการบริหาร พุทธจริยา : ผลท่พี งึ ประสงคข์ องการบรหิ าร คณุ ธรรมจริยธรรมสาหรบั นกั บรหิ ารวถิ พี ุทธ กลวิธแี ละอบุ ายและการปรบั ใชว้ ธิ กี ารบริหารเชิงพุทธ ๑. ความนา ก่อนท่ีจะกล่าวถึงรายละเอียดของการบริหารเชิงพุทธ โดยเฉพาะประเด็น “พระพุทธเจ้าในฐานะนักบริหาร” นั้น ใน เบ้ืองต้นน้ี ผู้เขียนขอเชิญชวนท่านทั้งหลายได้ต้ังคาถามกับ ตนเองก่อนเพื่อจะได้ค้นหาคาตอบว่า พระพุทธเจ้า “มีสิ่งใด” หรอื “มอี ะไร” เปน็ พ้ืนฐาน จึงทาใหพ้ ระองค์สามารถ “บริหารตน” “บริหารคน” “บริหารงาน” และ “บริหารองค์กร” หรือปฏิบัติ หน้าที่ “ความเป็นพระพุทธเจ้า” ได้จนประสบผลสาเร็จ ตามพุทธปณิธานท่ีทรงตัง้ เอาไว้ก่อนการตรสั รู้ได้ ?
พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบรหิ ารเชิงพทุ ธ ๓ พระครปู รยิ ตั ิธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ก่อนทจี่ ะให้คาตอบของคาถามนี้ ผู้เขียนต้องพาท่านผู้อ่าน หันมองย้อนกลับไปสู่อดีตกาลอันยาวไกลมากๆ ในกาลที่โลก ว่างจากศาสนา บรรดามหาพรหมในชั้นสุทธาวาสปรารภกันว่า มนุษย์และเทวดาทั้งหลายในสงสารที่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน และพระสกทาคามี มาต้ังแต่ครั้งศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ ก่อนๆ ต่างก็บาเพ็ญกรรมฐานจนได้บรรลุเป็นพระอนาคามี บุคคล ได้มาอุบัติในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส๑ ตามแต่บารมีท่ีแต่ ละคนสั่งสมบาเพญ็ เพยี รมา จากน้นั ย่อมมาเพยี รเจริญกรรมฐาน ในพรหมโลกต่อจนไดบ้ รรลุเปน็ พระอรหนั ต์ แล้วดบั ขนั ธปรินพิ พาน ในพรหมโลกนี้ ซึ่งเป็นธรรมดาของพระอนาคามีในพรหมชั้น สุทธาวาสทจ่ี ะไม่ลงไปอบุ ตั ใิ นโลกธาตุอื่นอีก ๑ ชั้นสุทธาวาส มีพรหม ๕ ชั้นคือ (๑) อวิหาพรหมโลก (๒) อตัปปา พรหมโลก (๓) สุทัสสาพรหมโลก (๔) สุทัสสีพรหมโลก และ (๕) อกนิฏฐา พรหมโลก.
๔ พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนกั บริหาร การบรหิ ารเชงิ พทุ ธ พระครูปรยิ ัติธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. เม่ือเป็นเช่นนี้ พระพรหมอนาคามีท่ีมีอยู่ในพรหมโลกจึง เหลือน้อย อนาคามีบุคคลผู้ที่จะข้ึนมาอุบัติในพรหมโลกรุ่นต่อๆ ไปกไ็ ม่มี เพราะในระหวา่ งนั้นโลกธาตุว่างจากพระพทุ ธศาสนา คร้ันเหล่ามหาพรหมปรารภกันอย่างนี้แล้ว จึงพากัน สอดส่องมองหามนุษย์และเทวดาผู้มีจิตปรารถนาพุทธภูมิ เพ่ือจะส่งเสริมให้ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบไปใน อนาคต ในเวลาน้ันจึงเห็นพระสัพพัญญูโพธิสัตว์เสวยพระชาติ ต่างๆ๒ เบ้ืองต้นตั้งแต่ เป็นมาณพหนุ่มผู้ไม่ประสงค์จะมีชีวิตคู่ มีจิตใจเต็มเป่ียมด้วยความกตัญญูปวารณาตนท่ีจะอุปถัมภ์เลี้ยงดู มารดาบิดาไปตลอดชีวิต ด้วยจิตคิดกตัญญูจึงได้รับการอุปถัมภ์ จากนายสาเภาเรือรับมาเลี้ยงดูท้ังครอบครัว ดาเนินวิถีชีวิตใน เรอื จนกระทัง่ ถึงวันหน่งึ เมื่อเรอื ล่มเพราะถูกลมพายุใหญ่พัดใน มหาสมุทร มาณพได้แบกมารดาไว้เหนือคอตน แล้วว่ายน้าข้าม มหาสมุทร ท่ามกลางคลื่นลม ๒ พระคันถรจนาจารย์, สัมภารวิบาก, หน้า ๒๑-๓๐ และ มุนีนาถทีปนี, หน้า ๘๑-๘๗ อ้างใน สุรีย์ มีผลกิจ, พระสัมมาสัมพุทธเจ้า, (บริษัท คอมฟอร์ม จากัด, ๒๕๕๖), หน้า ๑๑.
พระพุทธเจา้ ในฐานะนกั บรหิ าร การบรหิ ารเชิงพทุ ธ ๕ พระครูปรยิ ตั ธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. กาลน้ัน ท้าวมหาพรหมชั้นอกนิฏฐพรหม เห็นมาณพน้ัน จึงคดิ ว่า บรุ ษุ ผู้นเ้ี ป็นมหาบุรษุ มีจิตใจทีจ่ กั ทาพทุ ธการกธรรมได้ จึงดลใจให้พระโพธิสัตว์ต้ังความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าว่า “เมื่อเราได้ตรัสรู้แล้ว จักให้ผู้อ่ืนตรัสรู้ด้วย เม่ือเราได้พ้นจาก ทุกข์ในสังสารวัฏแล้ว เราก็จักช่วยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ ในสังสารวัฏด้วย” นี้เป็นกาลท่ีพระโพธิสัตว์ต้ังความปรารถนา พระโพธญิ าณเปน็ ครั้งแรก”๓ ๓ พระคนั ถรจนาจารย์, เรือ่ งเดียวกนั , หนา้ ๑๓
๖ พระพุทธเจา้ ในฐานะนกั บริหาร การบริหารเชงิ พุทธ พระครปู รยิ ตั ธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. การต้ังความปรารถนาอย่างนี้เรียกว่า มโนปณิธาน คือ การกระทาไว้ในใจตนเองเท่าน้ัน ไม่ประกาศให้คนอ่ืนรับรู้ด้วย จากน้นั จงึ เวยี นวา่ ยตายเกิดในวฏั สงสารใช้เวลานาน ๗ อสงไขย จากน้ัน พระองค์จึงค่อยตั้ง “วจีปณิธาน” คือการต้ังใจท่ี จะเป็นพระพุ ทธเจ้าพร้อมกั บการ ประกาศใ ห ้ผู้อื ่น ร ับ รู ้แ ล ะ เข้าใจด้วย โดยสมัยเป็นพระบรมโพธิสัตว์ได้บ่มโพธิญาณขณะ ท่องเที่ยวในสวรรค์และมนุษย์ภูมิ ในกาลแห่งสุญญกัปนับด้วย อเนกประมาณ แต่อัตภาพหนง่ึ ได้เกิดเป็นมนุษย์ บวชเป็นดาบส บาเพ็ญภาวนาได้ปฐมฌานดับสังขารแล้วได้ไปเกิดในชั้น พร ห ม โ ล ก จ น สิ้น อ า ยุห นึ่ง กัป แ ล้ว จุติจากพรหมโลกมาเกิดใน ตระกลู กษตั ริย์ ไดน้ ามว่า พระสาครราชกมุ าร เมื่อเจริญวัย พระชนกสวรรคตจึงได้ครองราชย์ ทรงปฏิบัติ จักรพรรดิพรตรักษาอุโบสถศีลตามคาแนะนาของปุโรหติ าจารย์ จนรตั นะท้ัง ๗ ประการบังเกิดขึ้นประดบั จักรพรรดิราช และถวาย มหาทานบารมีในสานักแห่งพระพุทธเจ้าท้ังหลาย นับรวมได้ถึง สามแสนแปดหม่ืนเจ็ดพันพระองค์ ได้เปล่งวาจาเพื่อปรารถนา พุท ธ ภูม ิใ น สา นัก แ ห ่ง พ ร ะ พุท ธ เ จ้า ทั้ง ห ล า ย เ ห ล่า นั้น ทุก ๆ พระองค์ นับเวลาการต้ังวจีปณิธานปรารถนาพุทธภูมิเป็น เวลานานรวมถงึ ๙ อสงไขย๔ ๔ พระคันถรจนาจารย,์ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๖-๒๗.
พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบรหิ ารเชิงพุทธ ๗ พระครูปริยตั ธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. จากนั้น พระองค์ก็จึงได้ตั้ง “กายวจีปณิธาน” คือการ ตั้งใจที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พร้อมกับประกาศออกไปด้วย เสียงให้ผู้อ่ืนรับรู้ เข้าใจในวาจาน้ัน พร้อมกับใช้แรงกายกระทา ตามปณิธานตนเองทุกวิถีทางเพื่อให้ได้บรรลุผล ด้วยการพัฒนา ตน บาเพ็ญตน ด้วยแรงใจแรงกาย ด้วยความพรากเพียรพยายาม มาอย่างยาวนาน ผ่านภพชาติภาวะ ในช่วงเวลาต่างๆ เร่ิมต้น ต้ังแต่สมัยเป็นสุเมธบัณฑิตผู้เรียนจบไตรเภท แล้วออกบวชเป็น สุเมธดาบส มจี ติ ยนิ ดีในเนกขัมมะแล้ว จึงตั้งจิตปรารถนาพุทธภูมิ จงึ เป็นสุเมธโพธิสัตว์ จึงได้มาจุติเป็นพระพุทธเจ้า นับเวลาต้ังกาย วจปี ณธิ านปรารถนาพทุ ธภูมนิ าน ๔ อสงไขยกบั แสนกัป
๘ พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนกั บริหาร การบริหารเชิงพทุ ธ พระครูปริยตั ิธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ภายหลังจากการตรสั รเู้ ปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ แล้ว กไ็ ด้ ทาหน้าที่ช่วยเหลือเวไนยบุคคลให้ข้ามพ้นห้วงทุกข์ด้วยการ จาริกไปเผยแผ่อริยสัจธรรม หรือการไปเปิดเผยคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ท่ีเรียกรวมว่า “พระพุทธศาสนา” อีก ๔๕ พรรษา ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ความเป็นพระพุทธเจ้าก็ย่อมต้อง เกิดปัญหานานัปการ พระองค์ทรงใช้พุทธวิธีการบริหารจน สามารถประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้นได้ในระยะเวลาไม่นาน ด้วย “การบริหารงานเชิงพุทธ” หรือ “พระพุทธเจ้าในฐานะนัก บริหาร” ซ่ึงทา่ นจะได้อ่านสาระสาคัญในรายละเอยี ดถัดไป
พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร การบริหารเชิงพทุ ธ ๙ พระครปู รยิ ตั ิธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. อย่างไรก็ตาม จากการมองย้อนกลับไปในอดีตสมัย พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์บาเพ็ญตนเพ่ือเป็นพระพุทธเจ้าน้ัน พบว่า การบริหารตนของพระองค์ นั้น หมายถึง การบริหารจิต หรือการพัฒนาจิตให้อยู่ในภาวะที่เรียกว่า ปกติ แน่วแน่ มั่นคง เพื่อแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้น ไม่ให้มาทาลายความตั้งใจนั้นไปเสียได้ โดยวางเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่า จะทาให้สาเร็จตามที่ตั้ง ปณธิ านเอาไว้ แม้จะมีปญั หาอุปสรรคเกิดข้ึนนานัปการเพียงใดก็ ตาม พระองค์ก็ไม่ทรงละความต้ังใจน้ัน กลับย่ิงเพ่ิมความเพียร พยายามท่ีจะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นมากย่ิงข้ึน แม้กายจะเปลี่ยน ภพชาติขณะเวียนเกิดตายในสังสารวัฎใช้เวลานานปานใดกต็ าม ความมุ่งมั่นตั้งใจน้ันก็ไม่ได้แปรเปลี่ยนไปตามด้วย ภาวะท่ีเป็น ปกติ มั่นคง ม่งุ ม่ัน แนว่ แน่ นเ้ี อง เรยี กวา่ ศีล สมาธิ ปญั ญา
๑๐ พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบรหิ ารเชงิ พทุ ธ พระครปู ริยัติธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. จากคาถามข้างต้นว่า พระพุทธเจ้าบริหารตน บริหารคน บริหารงาน และบริหารองคก์ ร อยา่ งไร โดยวางพระองค์(วางตน) อยู่บนพ้ืนฐานอะไร จึงส่งผลให้การทาหน้าท่ีความเป็น พระพุทธเจ้าบรรลุผลสาเร็จตามพุทธปณิธานได้ จึงได้คาตอบว่า พระองค์ทรงบริหารตนอยบู่ นพนื้ ฐานของการมีศีล สมาธิ และ ปญั ญา ต้งั แต่เป็นมาณพหนมุ่ ผกู้ ตัญญูแลว้ ถกู ท้าวมหาพรหมดล ใจใหอ้ ธษิ ฐานจติ ดว้ ยการตงั้ มโนปณิธานเพื่อจะเป็นพระพทุ ธเจา้ จนกระทง่ั บรรลุความสาเรจ็ ได้ในท่ีสุด และนอกจากนั้น พระองค์ ยังได้ทาหน้าที่ความเป็นพระพุทธเจ้าด้วยการทาประโยชน์ตน ประโยชน์ญาติ และประโยชน์โลกได้สาเร็จ ก็เพราะว่า พระองค์ ปฏิบัติตน วางตน อยู่บน ศีล สมาธิ ปัญญา ท่ีเรียกอีกอย่างหน่ึง วา่ คณุ ธรรม จริยธรรม หรอื ศีลธรรม นั่นเอง
พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนกั บรหิ าร การบรหิ ารเชงิ พทุ ธ ๑๑ พระครปู ริยตั ิธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. คาถามตอ่ เนอ่ื งกนั ไปอกี วา่ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ศลี ธรรม คืออะไร มีความหมายที่เชื่อมโยงกันอย่างไร ผู้เขียนจะได้ กล่าวถงึ ความหมาย และขยายความไปทีละคา ตามลาดับ ดังน้ี คาว่า คุณธรรม (Merit) เป็นคา สมาส มีลักษณะเป็น คานาม พจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑิตสถาน ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ หนา้ ๒๕๓ ให้ความหมายว่า สภาพคุณงามความดี เป็นสิ่งท่ีทาให้
๑๒ พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบริหารเชิงพทุ ธ พระครปู รยิ ตั ธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่ถือครองอยู่ เม่ือนา คาว่า “คุณธรรม” ไป ประกอบกับลักษณะนามที่เป็นบคุ คล เช่น ครู นักเรียน ข้าราชการ นักธรุ กิจ นกั บรหิ าร เปน็ ตน้ คณุ ธรรม จึงหมายถึง คุณงามความดี ที่บุคคลนัน้ ๆ มอี ยู่ เปน็ ความดีทท่ี าใหผ้ ทู้ ่ีถอื ครองอยู่น้ัน มคี วาม สงบ มีความสุข และมากด้วยกัลยาณมิตร เนื่องด้วยคุณงาม ความดีที่บุคคลน้ันมีอยู่เป็นส่ิงที่ไม่เกิดโทษ ไม่เป็นผลเสียแก่ผู้ท่ี ถือครอง ในทางตรงกันข้ามกลับเป็นสภาวะท่ีทาให้บุคคลไม่ เบยี ดเบยี นตนเอง เกิดประโยชน์ต่อผ้อู นื่ คุณธรรมจึงเปน็ ส่ิงที่มีค่า มปี ระโยชน์อยา่ งย่งิ สาหรบั ผูท้ ี่ถือครอง จากการให้ความหมายดังกล่าวแล้วข้างต้น ท่ีบอกว่า “สภาพคุณงามความดี เป็นสิ่งท่ีทาให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ท่ีถือ ครองอยู่” น้ัน ชี้ให้เห็นสภาวะของคุณธรรมได้ว่า เป็นส่ิงท่ีมีอยู่ ภายในบคุ คล นอนเน่ืองอย่ใู นจิตใจของบคุ คล ท้ังโดยกาเนดิ และ โดยเกดิ ขึ้นจากการขัดเกลาทางสังคม สภาวะที่มีอยู่โดยกาเนิด หมายถึง คุณสมบัติทางจิตท่ี บคุ คลมีอยตู่ ามพ้ืนฐานของจิต ๒ อยา่ ง พระพุทธศาสนาเรียกว่า จิตใฝ่ดี (กุศลจิต) และ จิตใฝ่ต่า (อกุศลจิต) คุณธรรมคือส่วนท่ี เปน็ จิตใฝด่ ี หรอื เรยี กให้ตรงคือ กศุ ลจติ คาว่า จริยธรรม (Ethics) หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติ เป็นศลี ธรรม เปน็ กฎศีลธรรม ทีเ่ ป็นความจรงิ ความดี ความงาม
พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร การบรหิ ารเชงิ พทุ ธ ๑๓ พระครปู ริยัตธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. เป็นส่ิงท่ีควรกระทาให้สอดคล้องกับความจริงที่อยู่ภายนอก บุคคล โดยปกติเรามักจะคิดอย่างคนท่ัวๆ ไป ว่า “จริยธรรม” และ “คณุ ธรรม” เปน็ ส่งิ เดียวกัน คือ เป็นความดีงาม เป็นส่ิงท่ี ควรปฏิบัติ คาทั้งสองจึงใช้ทดแทนกันในบางครั้ง แต่หาก เทียบเคียงกับภาษาอังกฤษแล้วพบว่า คาว่า คุณธรรม จะตรง กับคาภาษาอังกฤษว่า “Merit” ส่วนคาว่า จริยธรรม จะตรงกับ คาภาษาอังกฤษว่า “Ethics” ซ่ึงเป็นภาวะภายนอกท่ีเป็นความดี ความงามซ่ึงตรงกับความจริง เมื่อพิจารณาจากความหมายจะ ตรงกบั คาวา่ “Merit” เปน็ คณุ สมบัติภายในของแต่ละบุคคล
๑๔ พระพุทธเจา้ ในฐานะนกั บริหาร การบริหารเชิงพทุ ธ พระครูปริยัติธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. สาหรับจริยธรรมนั้น นักสังคมวิทยามองว่า เป็นบรรทัด ฐานท่ถี กู สรา้ งขึ้นโดยสังคม แล้วนาไปใช้เป็นแนวทางท่ีบุคคลใน สังคมเห็นพ้องต้องกันว่า เป็นความดีงาม เป็นสิ่งท่ีกระทาแล้ว คนอื่นเกิดประโยชน์ มีความสขุ ความสงบ เกิดขนึ้ แก่ทุกคนทอี่ ยู่ ร่วมกัน จริยธรรมจึงเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอก เป็นเครื่องมือที่ใช้ ขัดเกลา เปน็ แนวทางสร้างความมคี ณุ ธรรมให้กบั บคุ คล โดยเป็น แนวทางผู้ปฏิบัติที่เมื่อปฏิบัติแล้วจะทาให้ประโยชน์เกิดกับ ต่อตนและคนอ่ืน จริยธรรม และ คุณธรรม จึงเป็นส่ิงท่ีมีความ คล้ายคลึงกันในส่วนผล แต่ว่าจะมีความแตกต่างกันในส่วนที่ เป็นสาเหตุเทา่ นัน้ พระพุทธศาสนา ช้ีชัดลงไปอีกว่า คุณธรรมเป็นเรื่องของ จิตใจที่เป็นฝ่ายกุศล เรียกว่า “มโนธรรม” ซ่ึงบุคคลจะแสดงออก มาภายนอกได้เป็น “มโนกรรม ๓ อย่าง” ส่วนจริยธรรมน้ัน เป็นพฤติกรรมที่แสดงคุณธรรมที่อยู่ภายในตัวบุคคลน้ันๆ ออกมาให้คนอ่ืนเห็นได้ โดยแสดงออกทางอวัยวะ ๒ ทาง ได้แก่ ทางร่างกาย เรียกว่า กายกรรม ๓ และทางวาจา เรียกว่า วจกี รรม ๔ รวมท้งั หมดเรยี กว่า กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ๕ ๕ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๔๗/๓๖๒-๓๖๓.
พระพุทธเจา้ ในฐานะนกั บริหาร การบรหิ ารเชงิ พุทธ ๑๕ พระครูปรยิ ตั ธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. กุศลกรรมบถ ๑๐ จึงหมายถึง ทางแห่งกุศล ทางแห่ง ความดีงาม เปน็ ทางท่ีนาไปสู่ความสุข ความเจริญ แบ่งออกเป็น ๓ ทางคือ กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ และ มโนกรรม ๓ ๑) กายกรรม ๓ หมายถึง ความประพฤติดีที่แสดงออก ทางกาย ๓ ประการ ได้แก่ (๑) เว้นจากการฆ่า การเบียดเบียนกัน แต่ให้มเี มตตา กรณุ า (๒) เว้นจากการลักทรัพย์ ไม่หยิบฉวยเอา ของคนอน่ื มาเปน็ ของตน ให้เคารพในสทิ ธขิ องผอู้ ืน่ ไม่ลว่ งละเมิด แต่ให้หาเล้ียงชีพในทางสุจริต (๓) เว้นจากการประพฤติล่วง ละเมดิ ในกาม แตใ่ หม้ กี ามสังวรในอายตนะภายนอก ๖
๑๖ พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนกั บริหาร การบรหิ ารเชงิ พุทธ พระครูปริยัติธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ๒) วจีกรรม ๔ หมายถึง การเป็นผู้มีความประพฤติดี แสดงออกทางวาจา ๔ ประการ ได้แก่ (๑) เว้นจากการพูดเท็จ คือ พูดแต่ความจริง ไม่พูดโกหกหลอกลวง (๒) เว้นจากการพูด ส่อเสยี ด คือพดู แตใ่ นสิ่งทท่ี าใหเ้ กิดความสามัคคี กลมเกลียว ไม่ พูดจาในสิง่ ทกี่ ่อให้เกิดความแตกแยก แตกร้าว (๓) เว้นจากการ พูดคาหยาบ คือพูดแต่คาสุภาพ อ่อนหวาน อ่อนโยน กับบุคคล อ่นื ทัง้ ตอ่ หน้าและลบั หลงั (๔) เวน้ จากการพดู เพ้อเจอ้ คอื พูดแต่ ความจรงิ มีเหตมุ ีผลเน้นเนอื้ หาสาระท่ีเปน็ ประโยชน์ พดู แตส่ ่งิ ที่ จาเปน็ และพดู ถกู กาลเทศะ ท้งั หมดให้ถอื สจั จะคอื ความจรงิ ๓) มโนกรรม ๓ หมายถึง ความประพฤติท่ีเกิดขึ้นในใจ ๓ประการ ได้แก่ (๑) ไม่อยากได้ คือไม่คิดจะโลภอยากได้ของ ผู้อ่ืนมาเป็นของตน (๒) ไม่พยาบาทปองร้าย แต่ให้มีจิตใจดี มี ความปรารถนาดี อยากให้ผู้อื่นมีความสุข ความเจริญ (๓) มี ความเห็นท่ีถูกต้อง เช่ือในเร่ืองการทาความดีได้ดี ทาช่ัวได้ชั่ว และมี ความเช่อื วา่ ความพยายามเป็นหนทางแหง่ ความสาเร็จ กล่าวโดยสรุป พระพุทธศาสนา ถือว่า “คุณธรรม” เป็น เรื่องความดีงามท่ีอยู่ภายในจิตที่ถือเป็นส่วนของ “มโนธรรม” จัดอยู่ในส่วนของ “ธรรม” ที่เป็น “กุศลธรรม” คือความสัจ ความจริง ส่วน “จริยธรรม”เป็นเร่ืองความดี ความงามที่อยู่ ภายนอกจิตใจถือเป็นส่วนของ “กายกรรม” และ “วจีกรรม” จัด
พระพุทธเจา้ ในฐานะนกั บรหิ าร การบรหิ ารเชงิ พทุ ธ ๑๗ พระครปู ริยัตธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. อยใู่ นสว่ นของ “ศีล” พระพุทธศาสนาจึงมีคาว่า “ศีลธรรม” ซึ่ง เป็นอีกคาหนึ่งที่เป็นคาใหญ่มาก โดยคาว่า ศีลธรรม เป็นคาที่ รวมความหมายของ คุณธรรม จรยิ ธรรม เขา้ ไว้ดว้ ยกันนนั่ เอง คาว่า คุณธรรม จริยธรรม จึงเป็นคาท่ี “ถูกกลืน” หรือ “ถูกอมความ” ไว้ในคาวา่ ศีลธรรม ซง่ึ คาสองพยางค์นี้ เม่ือแยก ออกแล้วก็จะมีความหมายตรงกับคาสาคัญทางพระพุทธศาสนา ใหญๆ่ อีก ๓ คา ไดแ้ ก่ ศีล สมาธิ และ ปญั ญา คาว่า ศลี หมาย เอาคาพยางค์แรก คือ “ศลี ” (จริยธรรม) ส่วนคาว่า สมาธิ และ ปญั ญา นน้ั ก็หมายเอาคาพยางค์หลงั คอื “ธรรม” (คุณธรรม) ฉะนั้น คาว่า คุณธรรม จริยธรรม เมื่อมองในมุมของ พระพุทธศาสนาแล้ว จึงแทนที่ด้วยคาว่า ศีลธรรม ซึ่งเป็นคาส่ัง และคาสอนของพระพุทธเจ้าท้ังหลาย โดยพระพุทธเจ้าได้ตรัส ถึงความจริงทงั้ ท่ีเปน็ ความจริงส่วนภายในบคุ คลและความจรงิ ที่เป็นส่วนภายนอกบุคคล แท้จริงแล้วก็วางอยู่บนหลักของ สัจธรรมที่ปรากฏอยู่ใน “มโนธรรม” ของบุคคลอย่างครบถ้วน อยู่แล้ว มโนธรรม จึงหมายถึง ภาวะที่ทาให้บุคคลมีความสูงส่ง กว่าสัตว์ทง้ั ปวง ที่เรยี กวา่ ธรรมทท่ี าให้บุคคลเป็น “มนุษย์” ท่ี สมบูรณ์ หรือ ธรรมท่ีเป็นเครื่องมือพัฒนาตนเองของบุคคลจน ยกระดับช้ันเป็น “อริยชน” หรือ “อริยบุคคล” ซึ่งล้วนเป็น ภาวะท่มี ี “มนุษยธรรม” เปน็ ฐานรองรบั อยู่ตลอดเวลาน่ันเอง
๑๘ พระพุทธเจา้ ในฐานะนกั บรหิ าร การบริหารเชงิ พุทธ พระครปู ริยัตธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. คาว่า มนุษยธรรม แยกคาออกเป็น มน+อุษย+ธรรม แปลความไดว้ ่า ธรรมที่ทาใหบ้ ุคคลเป็นมนุษย์ กล่าวคือ การกิน การนอน การสบื พนั ธ์ และ การกลัวภยั ภาวะทม่ี ีโดยธรรมชาติ ๔ ประการน้ี คนกบั สตั วม์ ีเสมอกัน หมายถึงมีเหมือนกนั แต่สิ่งท่ี ทาให้คนแตกต่างจากสตั ว์ คอื “ธรรมะ” ท่ีเรียกว่า มนุษยธรรม น่ันเอง (ย่งิ บคุ คลมีธรรมมากเทา่ ใด กย็ ง่ิ ทาให้บุคคลผู้นั้นมีความ แตกต่างหรือพัฒนาตนเองไปพ้นจากภาวะของความเป็นสัตว์ หรือเหมอื นกบั สัตว์ดริ ัจฉานทั่วไป มากข้นึ เทา่ นั้น) เมื่อมีมนุษยธรรมมากเท่าใด ก็ย่ิงมีภาวะของความเป็น “เวไนยบคุ คล” ที่สามารถแนะนาได้ บอกได้ สอนได้ รู้สานึกใน ความผดิ ชอบ ชั่ว ดี ได้ ซึ่งจะสามารถพัฒนาตน บริหารจัดการ ตนเองให้พ้นไปจากปัญหาคือความทุกข์ทั้งหลาย ทั้งปวง ทั้งที่ เป็นของตนและของผอู้ ื่นได้ เหมือนกับพระพุทธเจ้าท้งั หลาย
พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบริหารเชงิ พุทธ ๑๙ พระครูปรยิ ตั ธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ฉะน้ัน เมอ่ื อา่ นถงึ ตรงนีแ้ ลว้ ท่านกส็ ามารถตอบคาถาม ทีต่ ้ังขน้ึ ในเบื้องต้นได้แล้วว่า พระพทุ ธเจา้ บรหิ ารตน บริหารคน บริหารงาน และบริหารองค์กร ผ่านการปฏิบัติหน้าที่ความเป็น พระพุทธเจา้ ไดส้ าเรจ็ เพราะทรงอาศัยคุณธรรม (ธรรมะ) ภายใน ผ่านการปฏิบัติตนทางกาย ทางวาจา ท่ีเป็นจริยธรรม (ศีล) ที่ ตรงกับมโนธรรม (สมาธิ+ปัญญา) ภายในพระทัยที่ทรงต้ัง ปณิธานไว้ว่า “จะมุ่งม่ันยกตนให้พ้นทุกข์และช่วยเหลือให้คน อื่นพ้นทุกข์ไปด้วย” อันเป็นการบาเพ็ญตนเพ่ือช่วยเหลือ เพ่ือนมนุษย์ผู้ร่วมเกิดตาย ให้พ้นไปจากปัญหาคือความทุกข์ กายทุกข์ใจทง้ั หลายท้งั ปวง ทกี่ าลงั เผชญิ อยู่ใหจ้ งได้
๒๐ พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร การบริหารเชงิ พุทธ พระครปู ริยตั ิธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. การบริหารเชิงพุทธ (Administration Buddhist) หาก จะกล่าวโดยรวบรัดก็คือการบริหารในองค์กรพระพุทธศาสนา นบั ตัง้ แต่อดีตในสมัยพุทธกาลเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน โดย การบริหารองค์กรพระพุทธศาสนา ก็เป็นไปตามหลักการสาคัญ ของพระพุทธศาสนาท่ีสืบทอดมาจากพระพุทธเจ้า น่ันคือการ เพียรพยายามขัดเกลาจิตตน ด้วยการเพิ่มปัญญาวิชชา อันเป็น ตัวความรู้ให้สามารถบริหารตนได้มากพอสมควร ท่ีจะสามารถ เข้าไปมีส่วนบริหารคนอ่ืนจากคนหนึ่งไปถึงหลายๆ คน จนถึง บรหิ ารองค์กรตา่ งๆ ถ้ามองในแง่ของความจริงแล้ว การบริหาร ทุกอย่างต้องเริ่มที่การบริหารตนก่อน การบริหารตนให้เกิด
พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนกั บริหาร การบรหิ ารเชิงพทุ ธ ๒๑ พระครูปรยิ ัติธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ความรู้ ความฉลาด สามารถในภารกิจของตนท่ีต้องกระทา จัดเป็น การบรหิ ารท่สี าคญั และจาเปน็ ทที่ ุกคนตอ้ งมีความสามารถน้ี การ พั ฒ น าต น เ พื ่อ น า เ อ า ค ุณ ส ม บ ัต ิเ ห ล ่า นั ้น ไ ป บ ร ิห า ร ค น อื ่น บริหารองค์กร หรือสถาบันในระดับต่อไป ผู้ไม่สามารถบริหาร ตนไดก้ ็ย่อมจักไม่สามารถบรหิ ารใครคนอ่ืนหรอื อะไรๆ ได้เลย พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งการศึกษาเรียนรู้ การมอง มนุษย์ของพระพุทธศาสนา เป็นการมองตามความจริง ซึ่งเป็น ปรากฏการณข์ องธรรมชาติท่มี อี ย่วู ่า สรรพชีวิตเกิดมาจากอวชิ ชา ตามกระบวนการของ ปฏิจจสมุปบาท อวิชชาเป็นความมืดบอด ในด้านเหตุแห่งการเกิดสติปัญญา ตรงข้ามกับคาว่าวิชชาท่ี หมายเอาความสว่างไสวที่ทาลายความมืดบอดลงไป ซึ่งเป็น
๒๒ พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบริหารเชิงพุทธ พระครปู ริยตั ธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ภาวะที่เรียกว่า พุทธะ แปลว่า รู้ ต่ืน เบิกบาน เป็นผลมาจาก พัฒนาปัญญาหรือวิชชาของมนุษย์ สร้างความเปล่ียนแปลงให้ คนที่ไม่รู้เป็นคนมีความรู้ ปลุกคนให้ต่ืนจากความหลับด้วย อานาจของกิเลสประเภทต่างๆ ที่มีรากเหง้าอยู่ท่ีอวิชชา จน สามารถเปลย่ี นแปลงโลกทศั น์ภายในจติ ของตน๖ การบริหารองค์กร เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทางาน การ ประสานงาน ของคนท่ีศึกษา ฝึกอบรมตนมาดีแล้วมาร่วม ความคิด ร่วมลงแรงทา ร่วมกาหนดผลประโยชน์กัน การบริหาร องค์กรตลอดถึงการบริหารประเทศชาติจะต้องอาศัยธรรม ซ่ึง หลักธรรมในพระพุทธศาสนา เป็นผลท่ีเกิดตรงมาจากการตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้พรากเพียร พยายาม สั่งสม อบรมตนมาข้ามพบข้ามชาตินับจากอดีตกาลอันยาวนาน การบริหารทกุ อยา่ งจงึ เป็นการยดึ โยงกันของเหตุและผลในกาล ทง้ั ๓ หมายความว่า ความสาเร็จในการบริหารของแต่ละคน มี ความเชื่อมโยงอยู่กับผลกรรมในอดีต ปัจจุบัน และใช้ปัจจุบัน ๖ พระเทพดลิ ก. การบริหารการจัดการทางองค์กรพระพุทธศาสนา, [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://www.phd.mbu. ac.th/home/data/ BuddhistManagement.pdf. [๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖].
พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบรหิ ารเชิงพทุ ธ ๒๓ พระครปู ริยัติธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. และอดีตสร้างสรรค์งานในปัจจุบันเพื่อเก็บเก่ียวผลที่ดีกว่าใน อนาคต ความสาเร็จในการบริหารกิจกรรมต่างๆ ของคนในโลก จึงเกิดความสาเร็จกันคนละทางและมีผลมากน้อยแตกต่างกัน ออกไป ตามแต่ความสามารถในการบริหารตนเองของมนุษย์ โดยเฉพาะพระพทุ ธเจ้า ทรงเป็นผู้มคี วามเพียรในการบริหารตน ได้อย่างยอดเย่ียม จึงสามารถดารงพระองค์อยู่ในสถานะความ เป็นครขู องเทวดาและมนษุ ย์ทงั้ หลายอย่างไมเ่ สื่อมคลาย แมค่ รูโรงเรยี นสาธิตศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ เป็นตวั แทนคณะครูขอขมาในโอกาสทีน่ านักเรียนเขา้ อบรมคณุ ธรรม
๒๔ พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร การบรหิ ารเชงิ พุทธ พระครปู รยิ ตั ธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ๒. ความเปน็ มา พระพุทธศาสนา ได้กาเนิดขึ้นมาในชมพูทวีปหรือประเทศ อินเดีย ภายหลังจากท่ีเจ้าชายสิทธัตถะได้เสด็จออกผนวชจาก ศากยวงศ์ จุดมุ่งหมายของพระองค์ ก็เพื่อแสวงหาทางหลุดพ้น จากความทุกข์ โดยใช้เวลาแสวงหาความรู้ถึง ๖ ปีจึงตรัสรู้ กล่าวคือทรงค้นพบทางหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ในวันขึ้น ๑๕ คา่ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี จึงได้พระนามว่า พุทธะ แลว้ ได้ทรงอาศัยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ในหมู่สัตว์ เสด็จ จาริกไปเพ่ือเผยแผ่พระธรรมคาส่ังสอนท่ีตรัสรู้แก่เวไนยสัตว์ ทั้งหลาย ในเบ้ืองต้นนั้น ได้เสด็จไปแสดงธรรมจักกัปปวัตตนสูตร แก่หมู่ปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน จนได้ดวงตาเห็น ธรรม จากนั้น ทรงแสดงธรรมแก่ยสกุลบุตรและสหาย จนทาให้ เกิดพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนาจานวน ๖๐ องค์แล้วจึงทรง ส่งพระสาวกท้ังหมดไปเผยแผ่ธรรมะในท่ีต่างๆ องค์ละเส้นทาง ด้วยพระพุทธโอวาทวา่
พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร การบรหิ ารเชงิ พทุ ธ ๒๕ พระครูปรยิ ัตธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. “จรถ ภิกฺขเว จาริก พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตถฺ าย หิตายสุขาย เทวมนุสสฺ าน”๗ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเท่ียวจาริกไป เพื่อ ประโยชนส์ ุขแกช่ นจานวนมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพ่ือประโยชน์เก้ือกูล และความสุขแก่ทวยเทพและ มนุษย์ทัง้ หลาย๘ จากพระพุทธโอวาทน้ี นับว่าเป็นกุญแจเปิดประตูสู่การ เดินทางเพ่ือการเผยแผ่ธรรมแก่พุทธบริษัท คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา แล้วได้ช่วยกันทาหน้าที่สืบทอดคาสอน ของพระพุทธเจา้ ใหแ้ ผข่ ยายไปทั่วทุกทิศ การเผยแผ่พุทธธรรมท่ีเป็นรูปแบบด้ังเดิมของพระสงฆ์ก็ คอื การแสดงพระธรรมเทศนาบนธรรมาสน์ พระสงฆ์ผู้ทาหน้าที่ ต้องได้รับการอาราธนาให้แสดง มีระเบียบวิธีปฏิบัติที่ตายตัวท่ี ได้สืบทอดมาจนถงึ ปจั จุบนั น้ี เมอื่ สังคมมีการเปลีย่ นแปลงไป ทา ให้การเผยแผ่ธรรมะของพระสงฆ์ไทยในยุคปัจจุบันเปล่ียนแปลง ๗ ว.ิ ม. (บาล)ี ๔/๓๒/๒๗. ๘ ว.ิ ม. (ไทย) ๔/๓๒/๔๐.
๒๖ พระพุทธเจา้ ในฐานะนกั บรหิ าร การบรหิ ารเชิงพุทธ พระครปู ริยตั ิธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ไปด้วย ท้ังรูปแบบและวิธีการ ตลอดทั้งการประยุกต์เน้ือหา สาระใหเ้ ขา้ กบั เหตุการณ์ปจั จบุ ัน พระสงฆ์ไทยทาหน้าที่การเผย แผ่มีรูปแบบและวิธีการและการนาเสนอท่ีแตกต่างกัน๙ นั่นคือ คณะสงฆไ์ ดม้ ีการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเผยแผ่มาโดยตลอด จงึ ทาใหส้ ามารถรกั ษาเนอื้ หาและสาระของหลักพุทธธรรมเอาไว้ ไดจ้ นถึงปจั จุบัน ๓. ความหมาย การบริหารเชิงพุทธ ประกอบด้วยคา ๒ คาคือ การ บริหาร กับ เชิงพุทธ ซ่ึงคาว่า การบริหาร หมายถึง การทางาน ให้สาเร็จโดยอาศัยคนอื่น (Getting things done through other people)๑๐ ๙ ธีรวัส บาเพ็ญบุญบารมี. หลักการเผยแผ่พุทธธรรม, โครงการ ธรรมศึกษาวิจัย หลักการเผยแผ่พุทธธรรมศึกษาจากคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถ กถา ฎีกาตลอดจนคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา หลักสูตรวิจัยคัมภีร์ พระพุทธศาสนา มูลนิธิเบญจนิกาย, ๒๕๕๐, หน้า ๔-๗. ๑๐ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). พุทธวิธีบริหาร, พิมพ์ พิเศษ (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙), หน้า ๓.
พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบริหารเชิงพุทธ ๒๗ พระครปู รยิ ัตธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ส่วนคาว่า เชิงพุทธ หมายถึง การบริหารตามแนวของ พระพุทธเจ้า ตรงกับคาว่า พุทธวิธีการบริหารหรือการบริหาร ตามวิธีการของพระพุทธเจ้า ซึ่งการบริหารงานตามพุทธวิธีน้ัน พระพุทธองคจ์ ะยดึ หลักธรรมาธปิ ไตยเป็นสาคัญดว้ ยเหตุผลที่ว่า “ผบู้ ริหารเองตอ้ งประพฤตธิ รรมและใชธ้ รรมเป็นหลกั ในการบริหาร พุทธวิธีบริหารจงึ ไม่เป็นทง้ั อัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตย”๑๑ พระอุบาลคี ณุ ปู มาจารย์ ไดก้ ลา่ วไวว้ า่ การบรหิ ารเชิงพุทธ คือการบริหารที่พระพุทธเจ้า วางหลักปฏิบัติไว้ปฏิบัติ ที่เรียกว่า ๑๑ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยรู ธมมฺ จิตโฺ ต). พทุ ธวธิ บี ริหาร, หน้า ๒๒.
๒๘ พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบริหารเชิงพุทธ พระครปู ริยตั ิธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ไตรสิกขา เป็นหลักการที่สาวกต่างรู้ดีว่าเป็นหลักการในแง่การ บริหารตนเอง และการบริหารในเชิงภายนอก มี ๓ ประการคือ ศลี สมาธิ ปัญญา๑๒ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต) ได้กล่าวว่า พุทธวิธีท่ี พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า ท ร ง ใ ช้ ใ น ก า ร บ ริ ห า ร จั ด ก า ร พ ร ะ ศ า ส น า นั ้น พระองค์ทรงใช้หลักการเบื้องต้นในการบริหารจัดการ๑๓ ดังที่ ปรากฏในพระไตรปิฏกฉบับประชาชน ว่า การฝึกหัดจัดการคน ควรใช้หลัก ๓ ประการ น้ันคือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เพื่อความ เรยี บรอ้ ยของหมู่คณะ๑๔ สรุปความได้ว่า การบริหารเชิงพุทธ คือการบริหารที่ ผู้บริหารนาหลักธรรมทางพุทธศาสนามาใช้ในการบริหาร เช่น การบริหารตน บริหารคน และบริหารงาน ให้เป็นไปตามแนว พุทธธรรม คือเน้นท่ีคุณภาพชีวิต และประสิทธิภาพ ตลอดจน ความสุขในการทางาน โดยอาศัยธรรมะเป็นแรงจูงใจในการ ๑๒ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (ฟู อัตตสิวมหาเถร). ประมวลคาสอน, (เชียงใหม่: สนุ ทรการพิมพ์, ๒๕๔๕), หนา้ ๑๒. ๑๓ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). ธรรมนูญชีวิต พุทธจริยธรรม เพื่อชีวิตท่ีดีงาม, พิมพ์ครั้งท่ี ๑๑, (กรุงเทพมหานคร: ระฆังทอง. ๒๕๔๗), หนา้ ๑๕. ๑๔ พระเทพเวที (ป.อ. ปยุตฺโต). พระไตรปิฏกฉบับประชาชน, (กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓), หน้า ๖๒๔.
พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบรหิ ารเชิงพุทธ ๒๙ พระครปู ริยตั ิธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ทางาน และนอกจากน้ีแล้ว ผู้บริหารจะต้องมีคุณธรรมตาม แนวทางพุทธศาสนาอกี ด้วย เพราะคุณธรรมถือเป็นหัวใจสาคัญ ของผู้บริหารที่จะต้องมีประจาใจอยู่ตลอดเวลา ผู้บริหารที่ บริหารตามแนวพุทธธรรม และมีคุณธรรมตามแนวทาง พระพุทธศาสนา ย่อมเป็นศูนย์รวมใจของคนร่วมงาน และ สามารถจดั การใหง้ านในหน้าท่ีลลุ ่วงไปได้ดว้ ยดี ๔. ความสาคัญ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาท่ีแตกต่างจากศาสดาของศาสนา อื่น กลา่ วคือ พระองคไ์ ม่ได้ตรัสรู้เปน็ พระพุทธเจ้าด้วยเทวโองการ ซึ่งเป็นส่ิงศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์ท่ีดลบันดาลประทานให้ แต่ทรง ตรัสรู้ด้วยวิธีการจัดการความรู้ (Knowledge Management) แล้วสรุปผลการปฏิบัติ เป็นวิธีปฏิบัติท่ีเป็นเลิศ (Best Practice) อันได้แก่ ทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนา ทรงใช้เวลานาน ๖ ปี ในการจัดการความรู้ ก่อนที่จะสรุปเป็น Best Practice โดยมีวธิ ีการตา่ งๆ๑๕ ดงั นี้ ๑๕ บูรชัย ศิริมหาสาคร. Best Practice กับการตรัสรู้ของ พระพุทธเจ้า, สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา จดหมายขา่ ว KM ปที ี่ ๑ ฉบบั ท่ี ๗ ประจาวันท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘.
๓๐ พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบรหิ ารเชงิ พุทธ พระครูปรยิ ัตธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ๔.๑ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อ่ืน (Share & Learn) โดย สมคั รเขา้ ศึกษาธรรมในสานักของอาฬารดาบส และอุทกดาบส จนสาเร็จสมาบัติ ๗-๘ ซ่งึ เป็นสมาธขิ น้ั สงู สุด ทรงมีวิจารณญาณ วา่ วิธีการดงั กล่าว ยงั มิใช่หนทางดับทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง (ไม่ใช่ Best Practice) ๔.๒ การปฏิบัติแบบลองผิดลองถูกด้วยตนเองตาม ความเชื่อของคนในยุคน้ัน คือการบาเพ็ญทุกรกิริยา ด้วยการ ทรมานตนเอง ให้ไดร้ ับความลาบากมากทส่ี ุด เพื่อเป็นการชดใช้
พระพุทธเจา้ ในฐานะนกั บริหาร การบริหารเชงิ พุทธ ๓๑ พระครปู รยิ ัตธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. กรรมให้หมดและขอใหเ้ ทวดาประทานพรให้ ทรงทรมานตนเอง ถึงข้นั อุกฤต ด้วยการอดอาหารจนเกือบสิ้นพระชนม์ แต่ก็ไม่พบ หนทางแหง่ การดับทุกข์ ๔.๓ การสรุปบทเรียน (Lesson Learned) ทบทวนสิ่งท่ี ได้ปฏิบัติไปแล้ว เป็นวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) โดย เปรียบเทียบกับพิณสามสาย คือสายหย่อน สายตึง และสาย กลาง โดย (๑) สายหย่อน (กามสุขัลลิกานุโยค) คือการแสวงหา ความสขุ ดว้ ยการบรโิ ภคกาม ลุ่มหลงในรูป รส กลนิ่ เสียง สมั ผัส ตามแบบคนทั่วไป ทรงพบว่า ไม่ใช่หนทางแห่งการดับทุกข์ เพราะทรงใชช้ วี ติ ตามแนวทางน้ีมาแลว้ เมื่อครง้ั เป็นเจ้าชาย (๒) สายตึง (อัตตกิลมถานุโยค) คือการทรมานตนให้ได้รับความ ลาบาก ก็ทรงทามาแล้วแต่ก็ไม่พ้นทุกข์ และ (๓) สายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) คือการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ไม่ตึงหรือ หย่อนจนเกนิ ไป ภายหลังจากการที่พระพุทธองค์ได้จัดการความรู้แล้ว ทรง ยนิ ดีในทางสายกลางและทรงเลือกปฏบิ ัตติ ามวธิ ีการนี้ ทาใหต้ รสั รู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงประกาศพระศาสนาให้ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เป็นวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศท่ี
๓๒ พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนกั บรหิ าร การบรหิ ารเชิงพทุ ธ พระครปู รยิ ตั ธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. พุทธศาสนิกชนควรนาไปปฏิบัติ ดังปรากฏในธัมมจักกัปปวัตตน สูตร ปฐมเทศนาท่ที รงแสดงแกป่ ัญจวคั คยี ์ดว้ ยพระปัญญาธิคุณอัน เป็นผลมาจากการจัดการความรู้ในครั้งนั้น ทาให้คนรุ่นหลังใน กาลต่อมาได้วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) โดยไม่ต้อง เสียเวลาลองผดิ ลองถูกเหมือนกับพระพทุ ธองค์อกี ตอ่ ไป การบริหารในพระพุทธศาสนา เร่ิมมีข้ึนเป็นรูปธรรมสอง เดอื น นบั จากวนั ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็น คร้ังแรกแก่พระปัญจวัคคีย์ ซึ่งทาให้เกิดพระสังฆรัตนะข้ึน เม่ือ มีพระสังฆรัตนะเป็นสมาชิกใหม่เกิดข้ึนในพระพุทธศาสนา พระพทุ ธเจ้าก็ต้องบรหิ ารคณะสงฆ์ วิธีการท่ีพระพุทธเจ้าทรงใช้ ในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ซึ่งดารงสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า ๒,๖๐๐ ปีเป็นข้อมูลให้ได้ศึกษาเรื่องพุทธวิธี บริหาร นอกจากนี้ ยังมีพุทธพจน์ท่ีเก่ียวเน่ืองกับการบริหาร กระจายอยใู่ นพระไตรปฎิ ก การศึกษาพุทธพจน์เหล่าน้ันก็จะทา ให้ทราบถึงพุทธวิธีบริหาร๑๖ และสามารถนามาประยุกต์ใช้ให้ เหมาะสมกับบรบิ ทของผสู้ นใจต่อไป ๑๖ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจติ โฺ ต). พุทธวธิ บี ริหาร, หนา้ ๓-๔.
พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร การบริหารเชงิ พุทธ ๓๓ พระครปู รยิ ตั ิธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ๕. พระพุทธเจ้าในฐานะนกั บริหาร การเป็นนักบรหิ ารของพระพทุ ธเจ้า เห็นได้จากการปฏบิ ตั ิ หน้าท่ี “ความเป็นพระพุทธเจ้า” ที่มีความสมบูรณ์แบบ เป็นไป ต า ม พุท ธ ป ร า ร ถ น า แ ล ะ พุทธปณิธานในการเผยแผ่ อริยสัจที่ พระองค์ทรงตรัสรู้ และไดต้ งั้ ปณิธานเอาไว้สมยั เป็นพระโพธสิ ัตว์ ซ่ึงการศึกษาแนวทางในการบริหารของพระพุทธเจ้า หากจะให้ เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกนั้นก็ต้องรู้ว่า พระพุทธองค์มีกรอบ แนวคิดการบริหารอย่างไร การบริหารเชิงพุทธมีองค์ประกอบ อะไรบา้ ง มีหลกั การบริหารอย่างไร ซึ่งแนวทางการศกึ ษาที่จะได้ คาตอบต่อคาถามเหล่าน้ี เบือ้ งตน้ จะตอ้ งศึกษาจากพทุ ธกิจ และ พุทธจริยาอันเป็นการศึกษาจากงานการทาหน้าที่ของความเป็น พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร ซึง่ จะได้อธิบายตามลาดับตอ่ ไป
๓๔ พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร การบรหิ ารเชิงพทุ ธ พระครูปรยิ ตั ิธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ๕.๑ แนวคดิ การบริหารเชิงพุทธ พุทธวิธีการบริหาร ในเอกสารฉบับน้ี ผู้เขียนได้ศึกษาต่อ ยอดตามกรอบแนวคิดพุทธวิธีบริหารของพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมมฺ จิตโฺ ต) ซึ่งสรปุ หน้าที่ (Function) ของนักบรหิ ารไว้ ๕ ประการ ตามคาย่อในภาษาองั กฤษวา่ POSDC๑๗ ดังน้ี P คือ planning หมายถึง การวางแผน เป็นการกาหนด แนวทางการดาเนินงานในปัจจุบัน เพ่ือความสาเร็จที่จะตามมา ในอนาคต ผู้บริหารที่ดีต้องมีวิสัยทัศน์เพ่ือกาหนดทิศทางของ องค์กร O คือ Organization หมายถึง การจัดองค์กร เป็นการ กาหนดโครงสร้างความสัมพนั ธข์ องสมาชกิ และสายบังคับบัญชา ภายในองค์กร มีการแบ่งงานกันทาตามความรู้ความสามารถ และการกระจายอานาจภายในองค์กร S คือ staffing หมายถึง งานบุคลากร เป็นการสรรหา บุคลากรใหม่ การพฒั นาบคุ คลากรและการใชค้ นให้เหมาะกับงาน ๑๗ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยรู ธมมฺ จติ ฺโต), เรือ่ งเดียวกนั , หนา้ ๔-๕.
พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร การบรหิ ารเชิงพทุ ธ ๓๕ พระครปู รยิ ตั ิธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. D คือ Directing หมายถึง การอานวยการ เป็นการ สอื่ สารเพอ่ื ใหเ้ กดิ การดาเนินการตามแผน ผู้บริหารต้องมีมนุษย์ สมั พนั ธ์ทดี่ แี ละมภี าวะผู้นา C คือ controlling หมายถึง การกากับดูแล เป็นการ ควบคุมคุณภาพของการปฏิบัติงานภายในองค์กรรวมท้ัง กระบวนการแกป้ ญั หาภายในองค์กร พุทธวิธีการบริหาร ตามแนวคิดของพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตโต) โดยวิธีการแล้วจะมีสาระคล้ายคลึงกับ แนวคดิ ของนกั คดิ ชาวฝร่ังเศสที่ชื่อว่า Henri Fayol ซ่ึงเขาเป็น บุคคลผู้ที่ได้ชื่อว่า บิดาแห่งการบริหารจัดการ ซึ่ง Fayol ได้ เสนอกิจกรรมที่เป็นหลักการบริหารจัดการเอาไว้ โดยกรอบ แนวคดิ การบรหิ ารของเขามอี งค์ประกอบ ๕ ประการ๑๘ จะเห็น ๑๘ องค์ประกอบ ๕ ประการ มีดังน้ี ๑) การวางแผนงาน (To plan) หมายถึง การศึกษาวิเคราะห์อนาคตและจัดวางแผนปฏิบัติงานล่วงหน้า ๒) การจัดหน่วยงาน (To Organize) หมายถึง การเสริมสร้างองค์การด้านคน และวัสดุสิ่งของเพื่อการปฏิบัติการตามแผน ๓) การบังคับบัญชา (To Command) หมายถึง การควบคุมบังคับบัญชาให้คนงานปฏิบัติงานตาม หน้าท่ี ๔) การประสานงาน (To Coordinate) หมายถึง การประสาน กิจกรรมต่างๆ ของหน่วยงานให้ดาเนินไปตามเป้าหมาย และ ๕) การควบคุม
๓๖ พระพุทธเจา้ ในฐานะนกั บรหิ าร การบรหิ ารเชงิ พทุ ธ พระครปู ริยัติธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ว่า วิธีการบริหารงานท่ีนาไปสู่ความสาเร็จ ต้ังแต่อดีตนับจาก สมัยพุทธกาลจนถึงสมัยปัจจุบัน ก็ยังต้องอาศัยหลักการบริหาร ๕ ประการนี้เป็นพื้นฐาน แต่การบริหารงานของพระพุทธเจ้าท่ี เรยี กว่า พุทธวิธีการบริหาร นั้น เป็นวิธีการท่ีมีองค์ประกอบ อื่นๆ มากไปกว่าน้ีอีก ซ่งึ จะได้อธบิ ายความไปตามลาดบั ดังนี้ ๕.๒ องค์ประกอบการบรหิ ารเชงิ พทุ ธ การบริหารงานของพระพุทธเจ้า มีองค์ประกอบในการ บริหารคือ พุทธวิธีการวางแผน พุทธวิธีการจัดองค์กร พุทธ วิธีการบริหารงานบุคคล พุทธวิธีการอานวยการ และพุทธ วิธีการกากับดแู ล ซ่งึ จะได้อธิบายความไปตามลาดบั ดงั นี้ (To Control) หมายถงึ การควบคุมดแู ลให้การปฏิบตั งิ านเปน็ ไปตามระเบียบ ขอ้ บังคบั และกฎเกณฑ์.
พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบรหิ ารเชงิ พุทธ ๓๗ พระครปู ริยัติธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ๕.๒.๑ พุทธวธิ กี ารวางแผน การวางแผนเพอ่ื บริหารองค์กรของพระพทุ ธเจ้านั้น มีการ ใช้วิสัยทัศน์กาหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และพันธกิจของ องค์กรสงฆ์ไว้อย่างชัดเจน องค์กรสงฆ์หรือพระพุทธศาสนา เจริญเติบโตข้ึนมาได้เพราะผลจากวิสัยทัศน์ของพระ พุทธองค์ โดยท่ีพระพุทธองค์ทรงกาหนดวัตถุประสงค์ให้สมาชิกในองค์กร ทุกคนถือปฏิบัติเป็นแบบเดียวกัน คือให้สมาชิกยึดถือความหลุด พ้นทุกข์ส่วนตัว หรือความหลุดพ้นไปจากทุกข์ของคนอ่ืน เป็น เปา้ หมายของการดาเนนิ ชีวติ การปฏบิ ตั ิเพ่อื ความหลุดพน้ ทุกขส์ ่วนตวั เรยี กว่า อตั ตหติ สมบตั ิ การปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นไปจากทุกข์ของคนอ่ืน เรียกว่า ปรหิตปฏิบัติ พระพุทธเจ้าทรงมีทั้งอัตตหิตสมบัติที่เกิดจากพระ ปัญญาคุณและปรหิตปฏิบัติที่เกิดจากพระกรุณาคุณ จึงทรง วางรากฐานในการ ป ร ะ ก า ศ พ ร ะ ศ า ส น า ด้ว ย ก า ร แ ส ด ง พระ โอวาทปาฏิโมกข์แก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ในวันมาฆบูชา ซ่ึง เป็นคาสอนท่ีเป็นหลักการสาคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แก่พระสาวกใหใ้ ช้เป็นแนวทางในการดาเนินงานตอ่ ไป
๓๘ พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบริหาร การบริหารเชงิ พทุ ธ พระครูปรยิ ัตธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ในพระโอวาทปาฏิโมกข์นี้ พระพุทธองค์กาหนดให้ นิพพาน หรือ ความพ้นทุกข์เป็นเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติ ธรรม โดยแนวทางการปฏิบัติธรรมให้ยึดหลักการสาคัญทาง พระพุทธศาสนาอันเป็นคาสอนของพระพุทธเจ้าท้ังหลาย ๓ ประการ คือ การไม่ทาบาปทั้งปวง การทากุศลให้ถึงพร้อม และ การทาจติ ของตนใหผ้ อ่ งแผว้ ๑๙ นอกจากนี้แลว้ ยงั กาหนดวธิ กี าร ๑๙ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๐.
พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร การบรหิ ารเชิงพุทธ ๓๙ พระครปู รยิ ัติธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ประกาศพระพุทธศาสนาอีก ๖ วิธีที่สามารถถอดบทเรียนเป็น หลักปฏิบัติได้ว่า การไม่พูดให้ใครเจ็บซ้า ไม่ทาให้ใครโกรธเคือง สารวมเรื่องพระปาฏิโมกข์ บริโภคแต่พอดี อยู่ในท่ีสงบสงัด และปฏิบตั ิขดั เกลาจติ ใจใหใ้ สสะอาด๒๐ ในพุทธวิธีเกี่ยวกับการวางแผนน้ี ส่ิงที่สาคัญอย่างยิ่งคือ ผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้บริหารต้องมี จักขุมา แปลว่า มีสายตาที่ยาวไกล คือมองการณ์ไกล๒๑ เพราะ วิ สั ย ทั ศ น์ จ ะ เ ป็ น ตั ว ช่ ว ย ใ ห้ ผู้ บ ริ ห า ร ส า ม า ร ถ ว า ด ภ า พ ห รื อ มองเห็นภาพท่ีเป็นเป้าหมาย หรือเป็นจุดหมายปลายทางได้ อย่างชดั เจน และใช้วสิ ยั ทศั นน์ น้ั สอื่ สารภายในองค์กรให้สมาชิก ภายในองค์กรยอมรับและดาเนินไปสู่จุดหมายปลายทางนั้น องค์กรทงั้ หมดกจ็ ะถกู ขบั เคลอ่ื นไปดว้ ยวิสัยทัศน์นี้ พระพุทธเจ้า ทรงกาหนดจุดหมายปลายทางในพระพุทธศาสนาไว้ว่า การ ประพฤติปฏิบัติธรรมทุกอย่างมีเป้าหมายสูงสุดที่จุด เดียวคือ วิมุตติ (ความหลุดพ้นไปจากทุกข์) ดังพุทธพจน์ที่ว่า “เปรียบ ๒๐ ดูรายละเอยี ดใน ที.ม. (ไทย) ๑๐/๙๐/๕๑, ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๒๔/๓๙. ๒๑ อง.ติก. (ไทย) ๒๐/๔๕๙/๑๔๖.
๔๐ พระพุทธเจา้ ในฐานะนกั บริหาร การบริหารเชิงพทุ ธ พระครูปรยิ ัตธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. เหมือนมหาสมุทรมีรสเดียวคือรสเค็ม ฉันใด ธรรมวินัยนี้ก็มีรส เดยี วคอื วิมุตติรส ฉันน้นั ”๒๒ ๕.๒.๒ พุทธวธิ ีการจดั องค์การ พระพุทธเจ้าทรงจัดองค์การในพระพุทธศาสนาออกเป็น พุทธบริษัท ๔ คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในส่วนของ ภิกษุและภิกษุณีบริษัท พระพุทธเจ้าทรงมอบความเป็นใหญ่ ให้แกค่ ณะสงฆ์ ดงั จะเห็นได้จากการที่ทรงกระจายอานาจให้คณะ สงฆ์ดาเนินการอุปสมบทให้แก่กุลบุตรกุลธิดา เมื่อมีกิจจาธิกรณ์ หรือกจิ การท่ีจะต้องทารว่ มกัน คณะสงฆส์ ามารถบริหารจัดการเอง หรือเม่ือมีกรณีความขัดแย้งเกิดข้ึนในคณะสงฆ์ พระพุทธเจ้าก็ ทรงมอบอานาจใหค้ ณะสงฆเ์ ป็นผู้จัดการแก้ไขปัญหา พระพุทธเจ้า ทรงดารงตาแหนง่ เปน็ ธรรมราชาคอื เป็นผู้บรหิ ารสงู สดุ ในองคก์ ร พระพุทธศาสนา ดังพุทธพจน์ที่ว่า “เราเป็นพระราชานั่นคือ เป็นธรรมราชาผู้ยอดเยย่ี ม”๒๓ ๒๒ ว.ิ จุล. (ไทย) ๗/๔๖๒/๒๙๑. ๒๓ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๖๐๙/๕๕๔.
พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร การบรหิ ารเชงิ พทุ ธ ๔๑ พระครูปริยตั ิธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. นอกจากนั้น พระพุทธเจ้า ทรงแต่งตั้งพระสารีบุตรให้ เปน็ พระธรรมเสนาบดี มฐี านะเป็นรองประธานบริหาร อยู่ในลาดับ ถัดมาจากพระพุทธเจ้า และเป็นอัครสาวกฝ่ายขวารับผิดชอบ งานด้านวิชาการ พระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกฝ่ายซ้าย รับผิดชอบงานด้านบริหาร พระอานนท์เป็นเลขานุการส่วน พระองค์ และทรงแต่งตั้งสาวกทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ เป็นเอตทัคคะ คือผู้ชานาญการที่รับภาระงานด้านต่างๆ เช่น พระมหากัสสปะเป็นผู้ชานาญด้านธุดงค์ พระปุณณมันตานีบุตร เปน็ ผชู้ านาญด้านการแสดงธรรม ภกิ ษณุ ปี ฏาจาราเปน็ ผู้ชานาญ
๔๒ พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร การบรหิ ารเชงิ พทุ ธ พระครูปรยิ ัติธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ด้านวินัย จิตตคหบดีเป็นผู้ชานาญด้านการแสดงธรรม๒๔ การ แต่งต้ังเอตทัคคะน้ี เป็นตัวอย่างของการกระจายอานาจ และ การใชค้ นให้เหมาะกับงานในพระพทุ ธศาสนา การรับสมาชิกใหมเ่ ข้ามาบวชเปน็ พระภิกษุในพระพุทธศาสนา จะมีการกาหนดให้สมาชิกทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์เท่าเทียมกัน กล่าวคือ จะไม่มีการอนุญาตให้นาชาติช้ันวรรณะ หรือตาแหน่ง หน้าท่ี ขณะอยู่ในเพศฆราวาสเข้ามาใช้ในองค์กรคณะสงฆ์ ทุก คนทเี่ ข้าเข้ามาบรรพชาอุปสมบทดงั พุทธพจนท์ ่ีวา่ “วรรณะ ๔ เหล่านี้ คือกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกจากเรือนบวชในธรรมวินัยที่ ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละช่ือและโคตรเดิม รวม เรียกว่าสมณะเช้ือสายศากยบุตรท้ังส้ิน เหมือนมหา นทีทุกสาย คอื คงคา ยมนุ า อจิรวดี สรภู มหี ไหลถึง มหาสมุทรแลว้ ย่อมละชื่อและโคตรเดมิ รวมเรียกว่า มหาสมทุ รท้งั สิน้ ...”๒๕ ๒๔ องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๑๔๖/๓๐. ๒๕ ว.ิ จุล. (ไทย) ๗/๓๘๕/๒๙๓.
พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนกั บริหาร การบริหารเชงิ พทุ ธ ๔๓ พระครูปริยัตธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. พุทธพจน์น้ีแสดงให้เห็นว่า ทุกคนท่ีเข้ามาบวชใน พระพุทธศาสนาเป็นพระภิกษุเสมอเหมือนกันหมด การอยู่ร่วมกัน ของคนที่เท่าเทียมกันนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาในการบังคับบัญชา ภายในองค์กร เพราะเหตุที่ว่าเม่ือสมาชิกถือตัวว่า เท่าเทียมกับ คนอื่น ก็จะไมม่ ีใครเช่ือฟังใครหรือยอมลงให้ใคร ดังท่ีพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า “การอยู่ร่วมกันของคนที่เสมอกันนาทุกข์มาให้”๒๖ ถ้าเป็นเชน่ น้นั การบงั คับบญั ชาภายในองค์กรกม็ ไี ม่ได้ พระพุทธเจ้า จงึ ทรงกาหนดให้พระภกิ ษตุ อ้ งเคารพกนั ตามลาดับพรรษา ผู้บวช ทหี ลงั ต้องแสดงความเคารพตอ่ ผู้บวชกอ่ น ซึ่งการจัดการองค์เช่น ถือว่าเปน็ พุทธวธิ ีการจัดองคก์ าร ทมี่ เี ฉพาะในพระพทุ ธศาสนา ๒๖ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๓๑/๕๔.
๔๔ พระพุทธเจา้ ในฐานะนกั บรหิ าร การบริหารเชิงพุทธ พระครูปริยตั ิธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ๕.๒.๓ พุทธวิธกี ารบรหิ ารงานบุคคล การบริหารงานบุคคลในพระพุทธศาสนา เริ่มจากการรับ คนเข้ามาบวชต้องมีการกล่ันกรองโดยคณะสงฆ์ พระพุทธเจ้า ทรงมอบความเป็นใหญ่ให้คณะสงฆ์ให้การอุปสมบทแก่กุลบุตร ตามแบบญตั ิตจิ ตุตถกรรม พระสงฆผ์ เู้ ปน็ ประธานในพิธี เรยี กวา่ พระอุปัชฌาย์ การรับคนเข้ามาอุปสมบทต้องได้รับความ เห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากคณะสงฆ์ที่ประชุมพร้อมกันในอุโบสถ ประกอบพธิ ีอปุ สมบท เมื่อบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาแล้ว พระ บวชใหม่จะต้องได้รับการฝึกหัดอบรมและการศึกษาเล่าเรียน จากพระอุปัชฌาย์โดยอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของท่าน จนกว่าจะมีพรรษาครบ ๕ จึงเรียกว่า นิสัยมุตตกะคือผู้พ้นจาก การพ่งึ พาพระอุปชั ฌาย์ ดังนั้น กระบวนการฝึกอบรมพระบวชใหม่ จึงมีความ จาเป็นอย่างยิ่ง กระบวนการนีก้ ่อใหเ้ กิดระบบโรงเรียนในวัด ซ่ึง ต่อมาได้พัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาที่สาคัญใน อินเดีย เช่น มหาวิทยาลัยนาลันทา ระบบการศึกษาใน พระพุทธศาสนาเป็นเคร่ืองมือที่สาคัญในการพัฒนาบุคลากร ตราบใดที่บุคลากรนั้นยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ผู้น้ันต้อง
พระพุทธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร การบริหารเชิงพทุ ธ ๔๕ พระครปู ริยัติธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. ได้รับการศึกษาอบรมตลอดไป เรียกว่าเป็นเสขะ คือผู้ยังต้อง ศึกษา ต่อเมื่อสาเร็จการศึกษาเป็นพระอรหันต์แล้วจึงเรียกว่า เปน็ อเสขะคอื ผไู้ มต่ ้องศกึ ษา กระบวนการจัดการศึกษาในพระพุทธศาสนายึดหลัก ไตรสกิ ขาคือศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นการฝึกอบรม (Training) ท่ีเน้นภาคปฏิบัติมากกว่าการเรียนการสอนในทางทฤษฎี (Teaching) เมื่อกลา่ วในเชิงบริหารตอ้ งยอมรับว่า พระพุทธศาสนา ให้ความสาคัญแก่การจัดการศึกษาอบรมเพ่ือพัฒนาบุคลากร
๔๖ พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนักบรหิ าร การบรหิ ารเชิงพุทธ พระครูปรยิ ตั ธิ รรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. เป็นอย่างย่งิ ดว้ ยเหตุน้ี พระพทุ ธศาสนาจงึ ช่ือว่าเปน็ ศาสนาแหง่ การศกึ ษา๒๗ ก า ร ศึ ก ษ า อ บ ร ม ใ น พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ยึ ด ผู้ เ รี ย น เ ป็ น ศูนย์กลาง ดังจะเห็นได้จากการจัดการเรียนการสอนให้ สอดคล้องกับพัฒนาการและวุฒิภาวะของผู้เรียน โดยที่ พระพุทธเจ้าทรงเทียบความพร้อมในการศึกษาเล่าเรียนของ บุคคลเข้ากับบัว ๔ เหล่า และทรงจาแนกประเภทของบุคคลท่ี จะเข้ารับการศึกษาอบรมไปตามจริต ๖ และท่ีสาคัญมากก็คือ พระพุทธเจ้าทรงมุ่งให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ดังพุทธ พจน์ท่ีว่า “ตุมฺเหหิ กิจฺจ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา-แปล ความไดว้ า่ เธอท้ังหลายต้องทาความเพียรเผากิเลสเอง พระ ตถาคตเจ้าเป็นแต่เพียงผู้บอกทางเทา่ นนั้ ”๒๘ ๒๗ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). พุทธวิธีบริหาร, หน้า ๑๒-๑๕. ๒๘ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๓๐/๕๑.
พระพทุ ธเจา้ ในฐานะนกั บรหิ าร การบริหารเชิงพุทธ ๔๗ พระครูปริยัติธรรมวงศ์, ผศ.ดร. The Lord Buddha: A Great of the world. บุคลากรที่ได้รับการพัฒนาแล้ว ก็จะได้รับการจัดสรร ภาร ะห น้าท่ี ให้ ปฏิบั ติง าน ภาย ใน องค์ กร ต าม คว าม รู้ ความสามารถ ดงั ทพี่ ระพุทธเจ้าทรงแตง่ ตงั้ เปน็ เอตทคั คะในด้าน ต่างๆ ดงั กลา่ วมาแล้ว การบริหารงานบุคคลในพระพุทธศาสนา มีระบบการให้รางวัลและการลงโทษ ซึ่งเทียบได้กับการใช้พระ เดชพระคุณ หรือการประเมินความดีความชอบในการ ปฏบิ ัติงานของบุคลากรเพ่ือเลอื่ นข้ันเงินเดือนในองค์การภาครัฐ และเอกชนในสมยั ปัจจุบนั น่ันคอื ใครทาดีกค็ วรไดร้ บั การยกยอ่ ง ใครทาผิดก็ควรได้รับการลงโทษ ดังพระบาลีท่ีว่า “นิคฺคณฺเห
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169