ความสลบั ซบั ซอ้ นทางสมั พนั ธภาพ สมาขกิ ในสงั คมตา่ งสนใจเฉพาะเรอื่ งของตวั เอง และหมกมนุ่ อยกู่ บั การแสวงหาปจั จยั เพอื่ การอยรู่ อดของตนจะขาดความสนใจในบคุ คลอนื่ ขอ้ นท้ี ำ� ใหส้ มาชกิ ในสงั คมรสู้ กึ โดดเดยี่ วไรเ้ พอ่ื น และเมอื่ สนใจใครกต็ ามพอเกดิ ความผดิ หวงั ในบคุ คลทตี่ นสนใจ ก็ จะมีความรู้สึกว่าตนเองด้อยคณุ ค่าความรสู้ กึ มปี มด้อย (Inferiority complex) เปน็ เหตปุ จั จัย อยา่ งหนึง่ ท�ำใหค้ นฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังในเรอ่ื งผลประโยชนส์ ว่ นตัว (Egoistic Suicide) การศึกษาสภาพทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองจะเห็นถึงความสัมพันธ์กับ ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ ในสงั คมไดเ้ ปน็ อยา่ งดี สภาพทพี่ งึ ปรารถนา (อฏิ ฐารมณ)์ และสภาพ ทไี่ มพ่ งึ ปรารถนา (อนฏิ ฐารมณ)์ สว่ นหนงึ่ ถกู ปรงุ แตง่ ดว้ ยอทิ ธพิ ลคา่ นยิ มของสงั คมหรอื ของกลมุ่ นกั วชิ าการทางสงั คมศาสตรจ์ งึ มกั จะสรปุ เปน็ ฐานทฤษฎวี า่ สภาพทางสงั คมหรอื เงอ่ื นไขทางสงั คม (Social Conditions)๒๓ เชน่ ปัจจัยให้เกิดความขัดแย้งและการยดึ ตดิ กับกลมุ่ หรือพวกพ้องของ ตน ซงึ่ อาจสรา้ งปญั หาเปน็ ผลกระทบตอ่ ปกตขิ องสงั คมโดยสว่ นรวมกไ็ ด้ การแยง่ ชงิ ผลประโยชน์ เกิดจากความไม่พึงพอใจในสภาวะที่คนบางกลุ่มเป็นหรือได้รับหรืออยู่ในภพคือต�ำแหน่งที่มีอยู่ ในระดบั ต่�ำซึง่ ไมเ่ อ้อื ประโยชนต์ อ่ การไดร้ บั ผลประโยชน์ท่ีตนได้รับ ความรสู้ ึกไม่ยตุ ธิ รรมในการ ไดร้ ับผลประโยชนเ์ ป็นเหตปุ ัจจัยผลกั ดันให้เกิดการขดั แยง้ ในกลมุ่ นกั สงั คมวิทยาชื่อ William Summer๒๔ ไดก้ ลา่ วถึงผลประโยชนท์ ่กี ่อใหเ้ กิดความขดั 93 แยง้ ในสังคม ๖ อย่างได้แก่ (๑) ความรูท้ างวิทยาศาสตร์ ศลิ ปะ ทรัพย์สิน อ�ำนาจ เกยี รติยศช่อื เสยี ง ความรกั ฯลฯ ผลประโยชนด์ งั กลา่ วถอื วา่ เปน็ สงิ่ ทสี่ งั คมใหค้ ณุ คา่ เปน็ สง่ิ ทส่ี งั คมสว่ นใหญ่ ใหค้ วามสนใจ และอยากไดเ้ ปน็ สมบตั ขิ องตนเอง ความปรารถนาทจี่ ะครอบครองผลประโยชนแ์ ละปกปกั รกั ษา สง่ิ เหลา่ นผ้ี ลกั ดนั ใหเ้ กดิ การสรา้ งระเบยี บ และกฎเกณฑใ์ นการถอื ครองผทู้ มี่ สี ถานภาพ หรอื ภพ ทางสงั คมสงู สง่ ยอ่ มไดเ้ ปรยี บกวา่ ผทู้ ม่ี ภี พทางสงั คมตำ�่ และผทู้ มี่ ภี พทางสงั คมสงู ยอ่ มมคี วามชอบ ธรรมในการสรา้ งระเบยี บ กฎเกณฑ์ว่าดว้ ยการครอบครองและการใชป้ ระโยชน์ในสิ่งทสี่ งั คมให้ คณุ คา่ ซ่งึ คนทม่ี สี ถานภาพทางสังคมตำ่� รู้สกึ ว่าถกู เอาเปรยี บและไมม่ ีความยตุ ิธรรมสำ� หรับพวก ตน ดังน้ัน จึงดนิ้ รน ขวนขวาย และต่อส้กู บั กล่มุ ทม่ี อี ำ� นาจซึ่งเสวยผลประโยชน์ดังกล่าว และไม่ เปิดโอกาสให้กลุ่มอื่นเข้ามาเสวยผลประโยชน์ร่วมกับตน การไม่แบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็น ธรรมและยุติธรรม ย่อมน�ำความไม่พอใจให้แก่กลมุ่ ทีไ่ มม่ ีโอกาสไดร้ บั ผลประโยชน์ สภาพความ ไมย่ ตุ ธิ รรมในการแบง่ ปนั ผลประโยชน์ จงึ เปน็ เงอ่ื นไขทางสงั คมทนี่ ำ� ไปสกู่ ารแยง่ ชงิ ผลประโยชน์ และกลายเปน็ ความขดั แยง้ ในเรอ่ื งผลประโยชนท์ างสงั คม กระแสการแยง่ ชงิ ภพหรอื ตำ� แหนง่ ทาง ๒๓ อา้ งแลว้ , จำ� นงค์ อดวิ ฒั นสทิ ธ,ิ์ สงั คมวทิ ยา ๒๔ อา้ งแลว้ , จำ� นงค์ อดวิ ฒั นสทิ ธ,์ิ ประวตั แิ นวความคดิ ทางสงั คม(กรงุ เทพมหานคร: สำ� นกั พมิ พโ์ อเดยี นสโตร,์ ๒๕๒๗)
สงั คมท่เี อื้อประโยชนต์ ่อการเสวยผลประโยชน์ทางสงั คมจงึ เกดิ ตลอดเวลา ปัญหาดังกล่าวน้ีจึงเช่ือมโยงกับปรัชญาว่าด้วยปัญหาสังคมวิเคราะห์จากพุทธปรัชญา ทางสงั คม ซ่ึงไดก้ ล่าวถึงในตอนทีว่ า่ ด้วยปญั หาสังคม ๓. กระแสความลมุ่ หลงยึดตดิ ในทฏิ ฐิ (ทฏิ ฐโิ อฆะ) ทฏิ ฐิหรือ ทฐิ ิ แปลว่าความคดิ เหน็ พจนานกุ รมไทย ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน๒๕ ให้ความ หมายทฏิ ฐิหรอื ทฐิ วิ า่ (๑) ความคิดเหน็ (๒) ความอวดด้อื ถอื ดี ในความหมายว่าเป็นความคิดเห็นนั้น ทิฐิตรงกับค�ำในภาษาไทยอีกค�ำหน่ึงว่าทฤษฎี (Theory) ซงึ่ ค�ำนม้ี รี ากฐานมาจากภาษาสันสกฤต แปลวา ความเห็น๒๖ เช่นเดียวกบั ค�ำว่า ทิฐิ ทฤษฎี เป็นลักษณะการคาดคิดตามหลักวิชาการเพื่อเสริมเหตุผลและความน่าเชื่อถือ แหง่ ปรากฏการณ์ทเี่ กดิ ข้ึน ทฤษฎมี ักจะใช้เปน็ หลักประกอบการอธิบายปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ใน สังคมและในโลกทางกายภาพ๒๗ วเิ คราะหใ์ นความหมายว่าความอวดด้อื ถอื ดนี ้ี ทิฏฐิ เป็นกเิ ลสตัวหน่ึงท่ีท�ำใหเ้ กดิ ความ ขดั แยง้ ๒๘ โดยรวมกับกิเลสอืน่ อกี คอื ตัณหา และมานะ และขณะเดยี วกนั ทิฏฐิ เป็นเนอื้ หาอย่าง หนงึ่ ทม่ี กั จะมกี ารยดึ ตดิ หรอื ยดึ มน่ั (ทฏิ ฐปุ าทาน) การยดึ ตดิ ในทฏิ ฐหิ รอื ความเหน็ มี ๒ อยา่ ง คอื 94 ยึดติดในสมั มนาทฏิ ฐิ (ความเห็นถูก) และยดึ ตดิ ในมิจฉาทิฏฐิ (ความเหน็ ผดิ ) สมั มาทฏิ ฐิ เปน็ ความเหน็ ถกู ตอ้ งตามทำ� นองคลองธรรมวา่ ทำ� ดมี ผี ลดี ทำ� ชว่ั มผี ลชว่ั บดิ า มารดามีพระคณุ ๒๙ เหน็ ว่ารูป เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ ไมเ่ ทยี่ ง เป็นทุกข์ เปน็ ต้น สัมมา ทิฏฐิ สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเป็นความคิดเห็นที่มีเหตุผล ส่วนมิจฉาทิฏฐิ เป็นความเห็นผิดจาก ครรลองคลองธรรม เชน่ เหน็ วา่ ทำ� ไดไ้ ดช้ วั่ ทำ� ชวั่ ไดด้ ี คณุ บดิ ามารดาไมม่ ี เปน็ ความเหน็ ทไี่ มน่ ำ� ไป สคู่ วามพน้ ทกุ ข์๓๐ มจิ ฉาทฏิ ฐเิ ปน็ กระแสทท่ี ว่ มโลกหรอื สงั คมมนษุ ยข์ ณะนเี้ ปน็ อยา่ งสงู พระพทุ ธ ศาสนาต้องการให้มนุษย์พัฒนาความเป็นสัมมาทิฏฐิ และก�ำจัดความเป็นมิจฉาทิฏฐิให้หมดส้ิน ๒๕ อา้ งแลว้ , พจนานกุ รมไทย ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒,(กรงุ เทพมหานคร: สำ� นกั พมิ พน์ านมบี กุ สพ์ บั ลเิ คชน่ั จำ� กดั ) หนา้ ๕๒๙. ๒๖ อา้ งแลว้ ๒๗ จำ� นงค ์ อดวิ ฒั นสทิ ธ,ิ์ แนวคดิ และทฤษฎเี กย่ี วกบั การพฒั นา, (กรงุ เทพมหานคร: โครงการปรญิ ญาโท สาขาวชิ า พฒั นาสงั คมศาสตร,์ ๒๕๕๘), หนา้ ๑๐ ๒๘ อง.ฉกก. ๒๒/๓๗๗/๔๙๔๐ ๒๙ อา้ งแลว้ , สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยตุ โต),พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ (พมิ พค์ รง้ั ที่ ๑๒, กรงุ เทพมหานคร:โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕), หนา้ . ๔๓๕ ๓๐ อา้ งแลว้ , พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ หนา้ ๓๑๙.
เพื่อนำ� ชวี ติ ไปส่คู วามหลุดพน้ จากความทกุ ขต์ งั้ แตค่ วามทกุ ขร์ ะดับหยาบจนถึงระดับละเอยี ด 95 ๔. กระแสโลกาภิวตั นท์ างสังคมและวัฒนธรรม สงั คมโลกปจั จบุ นั มคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ ในทกุ ดา้ นสงู มากโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ความเจรญิ ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีไม่มียุคไหนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่ความ ก้าวหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยจี ะก้าวไกลมากเหมือนยคุ ปจั จบุ นั กระแสโลกาภวิ ตั น์ ทางดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยไี หลทว่ มทบั ชวี ติ และจติ ใจของมนษุ ยอ์ ยา่ งขนานใหญ่ เพราะ ฉะน้ันมนุษย์ในยุคปัจจุบันจึงถูกครอบง�ำด้วยกระแสการยึดติดในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งจะท�ำหรือมีอิทธิพลก่อให้ค่านิยมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแทรกซึมเข้าไปในวิถีชีวิต ด้านการประกอบอาชีพ การศึกษา การนันทนาการ การแสวงหาอ�ำนาจทางการเมือง จะเห็น ได้ว่าการยึดติดกับกระแสทิฏฐิทางการเมือง ทิฏฐิทางเศรษฐกิจ ทิฏฐิทางการศึกษา และทิฏฐิ ทางการนันทนาการ ล้วนถกู กำ� หนดโดยกระแสอทิ ธิพลวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ความเห็นของมนุษย์โดยท่ัวไปย่อมมีความแตกต่างกัน ปัจจัยก�ำหนดความคิดเห็น ของมนษุ ย์ประกอบดว้ ย ๑) คา่ นิยมสงั คม ๒) การเลยี้ งดูในครอบครัว ๓) ระดับการศกึ ษา ๔) ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืน (ทั้งท่ีเป็นกัลยาณมิตร และอกัลยาณมิตร) ๕)อิทธิพล ส่ิงแวดล้อม ตามธรรมชาติ ๖) วัฒนธรรมในองค์การที่ท�ำงาน ๗) การเปิดรับสื่อติดต่อกับโลกภายนอก ๘) ประสบการณจ์ ากชวี ติ จรงิ ๙) อิทธิพลผนู้ �ำสังคมการเมือง เศรษฐกิจ สันทนาการ และกฬี า ๑๐) การได้รบั การอบรมขัดเกลาจากสถาบนั ศาสนา และ ๑๑ ) การมพี นื้ ฐานทางคุณธรรมจากอดตี (พระพุทธศาสนาจะให้น้�ำหนักแก่ปัจจยั ข้อนด้ี ว้ ย)๓๑ กระแสความคิดแบบวิทยาศาสตร์เป็นทิฏฐิโอฆะอย่างหน่ึงความคิดแบบวิทยาศาสตร์ เนน้ การพสิ ูจน์ ทอดลอง สมั ผัสได้ สงิ่ ที่เปน็ จริงตามหลกั วิทยาศาสตร์ คือสงิ่ ทเ่ี หน็ ประจกั ษแ์ ละ สมั ผสั ไดโ้ ดยผา่ นอนิ ทรยี ์ สิ่งทีไ่ มส่ ามารถสัมผัสได้ และพสิ ูจน์ไมไ่ ดโ้ ดยหลกั การศกึ ษาวจิ ยั ตาม แนววิทยาศาสตรธ์ รรมชาติ จะถูกปฏิเสธวา่ ไม่มีจรงิ กล่มุ ท่ียึดความคิดแบบวิทยาศาสตรส์ ุดโตง่ มักจะถือตัวว่ากลุ่มของตนเท่าน้ันท่ีรู้ความจริงแท้ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับตนเป็นคนไม่รู้จริง อาจจะ ถงึ ข้นั ถูกประณามว่า เป็นคนโง่ ไมใ่ ช่ปัญญาชนเชน่ พวกตน กลุ่มนักคิดแบบวทิ ยาศาสตรจ์ ดั อยู่ ในกลุ่มวัตถุนิยมหรือสสารนิยม (Materialism) ความคิดยึดติดกับหลักการแบบวิทยาศาสตร์ สดุ โตง่ ทำ� ให้เกิดความแคบไมเ่ ปิดกว้างรับฟงั ทศั นะจากกลุม่ อน่ื ทมี่ ีความคิดแตกตา่ งจากกล่มุ ตน ความขัดแย้งทางความคิดเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในยุคปัจจุบันเนื่องจากลุ่มความคิดสุดโต่งไป ทางใดทางหนึ่ง ผลจากการขดั แยง้ ทางความคิดอาจน�ำไปส่กู ารแสดงออกทางวาจาและทางกาย ในลกั ษณะกระทบกระทั่งกนั และแสดงความรนุ แรงต่อกัน กระแสความคิดทีแ่ ตกตา่ งนี้เองเปน็ ปัจจัยผลักดันให้สังคมโลกเกิดความสับสนวุ่นวาย จนถึงข้ันมีการกระท�ำตอบโต้กันอย่างรุนแรง ๓๑ ดใู นม.อ.ุ ๑๔/๕๗๙-๕๙๗/๓๗๖-๓๘๕
สร้างความเดือนร้อนแก่มนุษยชาติ กระแสความคดิ ทตี่ รงกนั ขา้ มกบั กระแสความคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ กค็ อื กระแสความคดิ แบบจิตนิยมสุดโต่ง ความคิดแบบจิตนิยม (Idealism) คอื ความคิดทีว่ า่ ความจริงแท้ว่าโดยสาระอนั สูงสุดมี ลักษณะเป็นนามธรรมไม่ใช่สิ่งท่ีเป็นรูปธรรม ความจริงแท้ไม่สามารถสัมผัสได้โดยอาศัย ตา หู จมูก ล้นิ หรือสัมผสั ทางกายภาพ ความจรงิ แท้สมั ผัสไดท้ างความรสู้ ึกพเิ ศษ สิง่ ทเี่ ปน็ จรงิ จงึ อยู่ เหนอื วสิ ยั ความสามารถในการเขา้ ถงึ ของปถุ ชุ นซงึ่ ไมไ่ ดร้ บั การพฒั นาใหม้ ศี กั ยภาพพเิ ศษในการ เขา้ ถึง กลุ่มนกั คิดจติ นยิ มจงึ มักจะโต้แย้งกบั นักคิดเชงิ วทิ ยาศาสตรน์ ยิ ม ซึ่งมกั จะเน้นสสารหรอื วัตถุ ความคิดจติ นิยมมคี วามสลับซับซ้อนสงู เพราะเป็นเร่ืองนามธรรม อย่างไรก็ตามกระแสความคิดแบบต่าง ๆ อาจจะปรากฏเป็นการผสมผสานสลับไปมา อยูเ่ สมอ นั่นคอื มนุษย์เปน็ ผ้คู ิดและสง่ ต่อความคดิ ของตนไปยังเพื่อนมนษุ ย์ ความคดิ ของมนุษย์ เป็นสิ่งที่เรียนรู้ร่วมกันและถึงต่อจากยุคหน่ึงไปยังอีกยุคหนึ่ง ความคิดจึงเป็นส่ิงที่ถ่ายทอดต่อ กันได้ ในตวั มนษุ ยค์ นเดยี ว อาจมคี วามคดิ ทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปมาไดต้ ลอด มนษุ ยโ์ ดยท่ัวไปมกั จะ มีความคดิ ไมค่ งท่ี ความคดิ จงึ ตกอยูใ่ นกฎไตรลกั ษณค์ อื ไม่คงท่ี เครยี ดหรือกดดนั และหาตัวแท้ 96 ไมไ่ ด้ วเิ คราะหต์ ามหลกั พทุ ธปรชั ญา ทฏิ ฐหิ รอื ความคดิ จดั อยใู่ นกลมุ่ ตณั หา และมานะ (ความ ตอ้ งการไมม่ ที สี่ ้นิ สดุ และการถอื ตวั ) ทฏิ ฐิ มรี ากฐานมาจากตัณหา และมานะ หากพิจารณาดู ตามนิยามของราชบณั ฑิตยสถานทว่ี ่า ทิฏฐิคือ การอวดดี ถือตน ทิฏฐิจะ ตรงกับความหมายวา่ มานะ ทางพระพุทธศาสนา มานะ คือ ความถือตวั และเป็นความส�ำคัญตัวว่าเป็นนนั่ เปน็ น่ี๓๒ ใน คมั ภรี ์พระสตุ ตนั ตปฎิ ก ขุททกนิกาย มหาวรรค ไดก้ ลา่ วถึงมานะ ๙ อยา่ ง คอื ๑) เป็นผเู้ ลศิ กวา่ คนอืน่ ส�ำคญั ตวั ว่าเลศิ กวา่ คนอ่ืน ๒) เปน็ ผู้เลิศกว่าคนอน่ื ส�ำคัญตัวว่าเสมอกับบุคคลอนื่ ๓) เป็น ผเู้ ลศิ กว่าคนอ่ืน ส�ำคัญตัวว่าเลวกวา่ บคุ คลอนื่ ๔) เปน็ ผู้เสมอคนอื่น สำ� คัญตวั วา่ เลศิ กวา่ บุคคล อ่ืน ๕) เปน็ ผเู้ สมอคนอืน่ สำ� คญั ตวั ว่า เสมอกับคนอ่ืน ๖) เปน็ ผู้เสมอคนอ่ืนส�ำคัญตัววา่ เลวกว่า คนอนื่ ๗) เป็นผูเ้ ลวกว่าคนอน่ื สำ� คญั ตัววา่ เลศิ กว่าคนอนื่ ๘) เปน็ ผูเ้ ลวกวา่ คนอ่นื ส�ำคญั ตวั วา่ เสมอกบั คนอนื่ และ ๙) เปน็ ผู้เลวกวา่ คนอ่นื ๆ สำ� คัญตวั วา่ เลวกวา่ บุคคลอน่ื ๓๓ ความถอื ตวั หรือ ความทะนงตวั นเี้ ปน็ กเิ ลสตวั หนง่ึ ในกลมุ่ อปุ กเิ ลส๓๔ อนั เปน็ กเิ ลสปรงุ แตง่ จติ ใจใหเ้ กดิ ความขนุ่ มวั ๓๒ อา้ งแลว้ , สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยตุ โต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ หนา้ ๒๓ ๓๓ ข.ุ ม. ๒๙/๑๐๒/๔๙ ๓๔ ม.ม.ู ๑๒/๒๖//๒๖ ๓๕ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยตุ โต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ์ ฉบบั ประมวลธรรม, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒๕๕๑) หนา้ ๓๑๒.
รบั คุณธรรมได้ยาก ท�ำจติ ใจใหเ้ ปรอะเปอื้ น เศรา้ หมอง๓๕ อปุ กเิ ลสโดยละเอียดมี ๑๖ อยา่ ง คอื ๑) อภชิ ฌาวสิ มโลภะ (คดิ เพ่งเล็งอยากได้) ๒) พยาบาท (คิดร้าย) ๓) โกธะ (ความโกรธ) ๔) อปุ หานะ (ความผกู โกรธ) ๕) มกั ขะ (ความหลบหลคู่ ณุ ความดขี องคนอน่ื ) ๖) ปสาสะ (การตเี สมอ, ไมใ่ หใ้ ครดีกว่าตน) ๗) อสิ สา (ความริษยา) ๘) มจั ฉริยะ (ความตระหน)่ี ๙) มายา (มารยา) ๑๐) สาเกยยะ (ความโออ้ วดหลอกลวง) ๑๑) กัมภะ (ความหวั ดอื้ ) ๑๒) สารัมภะ (ความแขง่ ดีมงุ่ แต่ จะเอาชนะกนั ) ๑๓) มานะ (ความถอื ตวั ) ๑๔) อตมิ านะ (ความถอื ตวั วา่ ยง่ิ กวา่ บคุ คลอนื่ เปน็ การ ดูถกู ดหู มิน่ คนอน่ื ) ๑๕) มหะ (ความมัวเมาลุ่มหลง) ๑๖) ปมาทะ (ความประมาทละเลย) อปุ กิเลสทัง้ ๑๖ อยา่ งน้ ี อาจกลา่ วได้วา่ ลว้ นปรงุ แต่งจิตให้มีความอวดดี ทรนงตัว ผลกั ดนั ใหบ้ คุ คลในสงั คมแสดงพฤตกิ รรมในทางไมเ่ หมาะสม จนขาดสามญั สำ� นกึ (Common sense) ขาดความเคารพในสิทธิ และหน้าท่ีของความเป็นพลเมืองดี ขาดมารยาททางสังคม (Social Etiquette) คือความเกรงใจกัน มนุษย์แสดงพฤติกรรมออกมาด้วยอ�ำนาจของความตัวความ อยากมที ง้ั เปน็ กศุ ลธรรม และอกศุ ลธรรม อปุ กเิ ลสทงั้ ๑๖ อยา่ งจดั อยใู่ นกลมุ่ อกศุ ลธรรม ซง่ึ ปรงุ แตง่ ให้มนุษย์มจี ิตใจอยากได้ในทางไมเ่ หมาะสม กระแสทิฏฐิในความหมายอวดตัวถือดี ดื้อร้ัน ก�ำลังมาแรง มนุษย์ในสังคมปัจจุบันจึง มกั จะถอื วา่ ความคดิ เหน็ ของตนเทา่ นน้ั ถกู ตอ้ งเหมาะสม ความขดั แยง้ กนั เกดิ ขนึ้ อยา่ งกวา้ งขวาง และความขดั กนั ในความคดิ ถกู แสดงออกมา ผา่ นชอ่ งทางตา และหู ซงึ่ เรยี กวา่ สอ่ื (man media) 97 ในสังคมโลกเสรี ส่ือสารมวลชน คือองค์การธุรกิจ (Business Organization) มีการแบ่งปัน กันเอาใจตลาดคือผู้เป็นลูกค้าส่ือนั้นๆ อย่างเข้มข้น ตลาดของสื่อต่างๆปัจจุบันอาจจะจ�ำแนก เปน็ ๓ กลมุ่ คอื ๓๖ ๑. กลมุ่ ผ้จู งรกั ภกั ดตี อ่ สอื่ ท่ีตนชืน่ ชม (Royalty) ๒. กลุ่มเป็นกลางไม่ฝักใฝส่ ื่อฝา่ ยใด (Neutral) ๓. กลมุ่ ปฏกิ ริ ยิ า (Reactionary) กลมุ่ ทไ่ี มช่ อบกลมุ่ ใดกลมุ่ หนงึ่ จงึ มกั แสดงพฤตกิ รรมตอ่ ตา้ นกลมุ่ ทแี่ สดงผา่ นสอ่ื ประเภท นนั้ ๆหากปราศจากช่องทางในการสือ่ สาร มนษุ ย์จะไมร่ ู้วา่ ใครคดิ เหน็ อยา่ งไร ใครแสดงความคดิ เหน็ เปน็ สมั มาทฎิ ฐิ ใครแสดงความคดิ เหน็ เปน็ มจิ ฉาทฎิ ฐิ ใครมคี วามคดิ เหน็ เชงิ สรา้ งสรรค์ ใครมี ความคดิ เหน็ เชงิ ทำ� ลาย ใครมคี วามคดิ เหน็ ถกู ปรงุ แตง่ ดว้ ยอปุ กเิ ลสสงู ใครสามารถมภี มู ติ า้ นทาน อุปกิเลสได้บ้าง สื่อสารมวลชนนับว่ามีบทบาทสูงมากในการถ่ายทอดความคิดเห็นของมนุษย์ เพราะฉะนั้นกระแสคือทิฏฐิสามารถรับรู้ว่ามีความรุนแรงโดยอาศัยส่ือ และช่องทางที่ส�ำคัญใน การถา่ ยทอดความคดิ เหน็ ของมนษุ ยค์ อื สอ่ื อเี ลกทรอนกิ ส์ ประเภทโทรทศั น์ โทรศพั ทม์ ือถอื และ ๓๖ จำ� นงค ์ อดวิ ฒั นสทิ ธ,ิ์ สอ่ื มวลชนกบั วกฤตศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา, (สถาบนั วจิ ยั พทุ ธศาสตร.์ มจร. ๒๕๔๘)
อนิ เตอร์เน็ต ส่ือ ๓ กลุ่มนี้นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในการประกอบอาชีพการงาน การศึกษา และการบันเทงิ ส่ือสารมวลชนจึงเป็นช่องทางให้เราทราบว่ามนุษย์ถูกกระแสคือทิฏฐิครอบง�ำ ส่ือสาร แต่ละช่องทางย่อมเสนอสารตรงตามความต้องการของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งมีผลประโยชน์ขัดกันก็ มี ส่ือที่เสนอสารเก่ียวกับผลประโยชน์ตรงใจกับกลุ่มใด กลุ่มนั้นย่อมเปิดรับสื่อสารประเภทนั้น เป็นประจ�ำและมีความจงรักภักดีต่อสื่อสารน้ัน ส่ือท้ังหลายจึงเสนอความคิดเห็นสะท้อนความ ตอ้ งการของกลมุ่ ผลประโยชน์ ความขดั แยง้ อนั เนอ่ื งมาจากการเสนอความคดิ เหน็ ทขี่ ดั กนั จงึ เปน็ ก ระบวนการทางสงั คมท่ีเกดิ ขน้ึ อยา่ งแพร่หลาย ในสังคมโลกปจั จบุ ันนี้ ปกติส่อื สารไม่มพี รมแดน ย่อมแพร่กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ โดยปราศจากการกีดกัน ซึ่งก็ย่ิงเป็นการสะท้อนกระแส ความคิดเห็นข้ามชาติ ดังน้ันกระแสความคิดเห็นจึงถูกแสดงผ่านส่ือไปยังผู้รับสารอย่างไม่มีขีด จ�ำกัดดา้ นเชอื้ ชาติ และวัฒนธรรม มนษุ ยย์ ังมีการรวมตวั ขา้ มชาติเพอ่ื วัตถุประสงคเ์ ดี่ยวกันก็ได้ แมจ้ ะอยคู่ นละชาตหิ รือคนละประเทศก็ตาม ดงั ตัวอย่างของกลมุ่ GREEN PEACE (กล่มุ รกั ษส์ ี เขียว) ซึง่ เปน็ การป้องกนั และการแก้ไขมิให้สง่ิ แวดลอ้ มถกู ท�ำลาย เปน็ การปอ้ งกันนีม้ ใิ หถ้ ูกสาร พษิ ปนเป้ือน โดยการรณรงคใ์ หเ้ คารพตอ่ ระบบนเิ วศน์ในน�้ำ กลมุ่ นี้มสี มาชิกกระจายอยทู่ วั่ โลก 98 กระแสความคิดเห็นของมนุษย์จึงมีท้ังกระแสเรียกร้องให้ป้องกันสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติมิให้ ถกู ทำ� ลาย และกระแสคดั คา้ นโครงการของรฐั ขนาดใหญท่ จี่ ะสง่ ผลกระทบอยา่ งรนุ แรงตอ่ ระบบ ส่งิ แวดลอ้ ม ดังเชน่ ในประเทศไทยมีตวั อย่างชาวชุมชนรวมกลมุ่ ตอ่ ตา้ นโครงการสร้างโรงไฟฟา้ พลงั นำ้� บริเวณรมิ อา่ วทะเล๓๗ การพฒั นาเทคโนโลยกี ารสอ่ื สารในยุคปจั จบุ นั สง่ ผลใหม้ ีการแพร่ กระจายความคดิ เหน็ ทเี่ ปน็ ความทกุ ขข์ องประชาชนไปยงั ผมู้ อี ำ� นาจและเปน็ การปอ้ งสงั คมใหร้ บั รู้ ถงึ อำ� นาจรฐั ทคี่ กุ คาม สวสั ดภิ าพ และสวสั ดกิ ารของชมุ ชน มองในแงบ่ วกการมสี อื่ เสรใี นสงั คมเสรี ประชาธปิ ไตยชว่ ยใหส้ งั คม ไดร้ บั รวู้ า่ มอี ะไรบา้ งเกดิ ขน้ึ แกป่ ระชาชนทอ่ี ยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจรฐั สอื่ สาร มวลชนในสังคมเสรีประชาธิปไตยมีบทบาทสูงมากในแพร่กระจายความคิดเห็นของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นในเชิงบวกหรือความคิดเห็นในเชิงลบต่อผู้มีอ�ำนาจทางการเมืองการ ปกครอง แต่ในสังคมเผด็จการสื่อสารมวลชนท่ีจะส่ือเฉพาะความคิดเห็นในเชิงบวกเท่าน้ันต่อผู้ มีอ�ำนาจบริหารบ้านเมอื ง จะมีการลงโทษอยา่ งรุนแรงตอ่ ผแู้ สดงความคิดเหน็ ในเชงิ ปฏิเสธต่อผู้ มอี ำ� นาจ สทิ ธมิ นุษยชน (Human Right) เป็นแนวคิดทางปรัชญาสงั คมอย่างหนงึ่ ทีส่ ะท้อนการมี ๓๗ ชาว อ.จะนะ จ.สงขลา รวมกนั คดั คา้ นการตอ่ สรา้ งโรงไฟฟา้ ในบรเิ วณรมิ ชายฝง่ั ทะเลกโ็ ดยตระหนกั ถงึ อนั ตรายท่ี อาจจะเกดิ ขนึ้ กบั บรเิ วณรมิ ชายฝง่ั ทะเลซงึ่ ทำ� ใหก้ ารประกอบอาชพี วนั ปลาของชาวประมงรมิ ฝง่ั ทะเลไดร้ บั คกุ คามสง่ ผลใหเ้ กดิ ความ ไมม่ นั่ คงในอาชพี ชาวประมงรมิ ชายฝง่ั ทะเลกไ็ ด้
เสรภี าพในสทิ ธกิ ารแสดงออกทางความคดิ เหน็ อยา่ งชอบธรรมของมนษุ ย์ ความคดิ เรอื่ งสทิ ธขิ อง 99 มนุษย์ เป็นกระแสโลกอย่างหนึ่งท่ีได้รบั การสนับสนนุ อย่างกว้างขวางจากโลกเสรปี ระชาธิปไตย โดยเฉพาะโลกทางทวปี ยโุ รปตะวนั ตก และโลกทางทวปี อเมรกิ าเหนอื ปรชั ญาเรอื่ งนเ้ี นน้ สทิ ธขิ อง มนษุ ยใ์ นการประกอบอาชพี สจุ รติ การปกปอ้ งตนเองจากภยั อนั ตราย การไดร้ บั บรกิ ารสาธารณะ อยา่ งเทา่ เทยี มกบั บคุ คลอน่ื สทิ ธใิ นการศกึ ษาเลา่ เรยี น สทิ ธใิ นการรบั รขู้ า่ วสาร สทิ ธใิ นการใชเ้ วลา พักผอ่ น สทิ ธิใหก้ ารเขยี นและการพดู เพ่อื การสร้างสรรค์และสทิ ธิที่จะพงึ ไดร้ ับสวสั ดิการจากรฐั ในรูปแบบตา่ ง ๆ ตามกฎหมาย และตามสทิ ธแิ หง่ ความเปน็ พลเมอื งดี แต่การใชส้ ิทธิตามความ พอใจของมนษุ ยซ์ งึ่ มผี ลกระทบกระเทอื นตอ่ ชวี ติ ตามปกตขิ องเพอื่ นมนษุ ยด์ ว้ ยกนั เปน็ การขดั กบั หลักมนุษยธรรม ดงั นน้ั หลักสิทธิมนษุ ยชน สอดคลอ้ งกัน หลักมนษุ ยธรรม “หลกั สทิ ธมิ นษุ ย ชน ไมค่ วรขดั กบั หลักมนุษยธรรม” ๕. กระแสโลกาภิวัตน์ทางการเมือง กระแสโลกาภิวัตน์ทางการเมือง หมายถึงกระแสความคิดเห็นในเชิงนิยมต่อระบอบ การเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย การเมืองการปกครองแบบประชาธปิ ไตย เป็นกระแส ความนยิ มอย่างแพรห่ ลายของโลกสมัยใหม่ ประเทศที่มีการพฒั นาการเมืองการปกครองสูง คอื ประเทศทสี่ ง่ เสรมิ สทิ ธขิ องประชาชนในการตดั สนิ ใจเลอื กผทู้ ำ� งานการเมอื งตามความพอใจหรอื ความนิยมของตน และมีการหมุนเวียนผู้น�ำผู้บริหารประเทศตามครรลองการเลือกตั้งท่ัวไปที่ บรสิ ทุ ธแิ์ ละยตุ ธิ รรม ในระบอบการเมอื งการปกครองแบบประชาธปิ ไตย ประชาชนทกุ คนมสี ทิ ธิ เท่าเทยี มกนั ในการเลือกผ้ทู �ำทางการเมือง มีการเคารพความคดิ เหน็ และความนยิ มของคนส่วน ใหญ่ สงั คมในโลกเสรปี ระชาธปิ ไตยทม่ี คี ณุ ภาพจะสรา้ งบรรยากาศแหง่ ความรกั ความสามคั คกี นั ดุจญาติพ่ีน้องระหว่างสมาชิกในสังคม ผู้บริหารที่ดีจะต้องรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความ อดทน จะตอ้ งท�ำงานดว้ ยความเสยี สละ มคี วามยุตธิ รรม มีจติ ใจสงู ส่งด้วยการให้และปฏบิ ัติตน เปน็ ตวั อยา่ งของผบู้ รหิ ารทด่ี ๓ี ๘ ในบรรดากระแสทิฏฐิทั้งหลาย กระแสทิฏฐิทางการเมืองการปกครองเป็นกระแสที่มี พลังรุนแรงในการดงึ ดดู ความสนใจของมนุษย์ โดยปกตมิ นษุ ยท์ ัว่ ไปนิยามการมีอำ� นาจ ถา้ มีคน ให้ความเคารพ เร่ืองฟังในค�ำสั่งและปฏิบัติตามค�ำส่ัง (ไม่ว่าจะเป็นค�ำสอนหรือข้อเขียนหรือค�ำ พูดก็ตาม) มนุษย์จะมีความรู้สึกว่าตัวเองมีความหมายและมีศักด์ิศรีพลังที่ท�ำให้มนุษย์รู้สึกว่า ตัวเองมีศักด์ิศรีสูงก็คือพลังอ�ำนาจโดยเฉพาะอ�ำนาจทางการเมือง พระพุทธศาสนายอมรับพลัง ๓๘ ดคู ณุ สมบตั ิ ผบู้ รหิ ารทดี่ ตี ามหลกั ทศพธิ ราชธรรม ประกอบดว้ ย ๑) การให้ ๒) การประพฤตดิ งี าม ๓) การเสยี สละ ๔) ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ ๕) ความมอี ธั ยาศยั ไมตรี ๖) การรจู้ กั ระงบั ยบั ยงั้ ใจตนเองได้ ๗) การไมล่ อุ ำ� นาจดว้ ยความโกรธ ๘) การมี ความเมตตา ไมเ่ บยี ดเบยี นประชาชน ๙) ความอดทนในการทำ� งาน และ ๑๐) ความยตุ ธิ รรม และเทย่ี งธรรม (ข.ุ ชา. ๒๘/๒๔๐/๘๖)
อำ� นาจการเมอื ง จงึ มหี ลักการพิสจู น์ความจรงิ ขอ้ นว้ี า่ อ�ำนาจเปน็ ใหญ่ในโลก (วสี อสสฺ รยิ ํ โลเก) พลงั อำ� นาจทมี่ าจากความเชอ่ื ในความคดิ เหน็ ของตนวา่ ถกู ตอ้ ง สมควรทคี่ นอน่ื จะตอ้ งรบั ฟงั และ ปฏบิ ัตติ ามนนั้ ถอื วา่ เปน็ พลงั ที่น�ำศักดศิ์ รีของมนษุ ย์ออกมาเดน่ มาก ความคิดเกยี่ วกับอ�ำนาจจงึ เป็นความคิดที่ส่งผลให้มีความพยายามเสนอรูปแบบในการได้มาซ่ึงอ�ำนาจและการใช้อ�ำนาจที่ เป็นยอมรับ ในระบบประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพในการเสนอรูปแบบ การได้มาซ่ึงอ�ำนาจเพ่ือจัดตั้งรัฐบาลและโดยสากลนิยมรูปแบบการให้ประชาชนมีส่วนร่วมใน การตัดสินใจจะนิยมใช้กันมากท่ีสุด การออกเสียงประชามติในรูปของการเลือกตั้งท่ัวไปจัดเป็น มาตรฐานการเข้าสู่อ�ำนาจที่ชอบธรรมพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงข้างมากจากการเลือก ตั้งทั่วไปจะได้รับสิทธิก่อนในการจัดต้ังรัฐบาล หากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ด้วยเหตุหรือด้วย เงอ่ื นไขอ่นื ใด สิทธใิ นการจัดตงั้ รัฐบาลก็จะตกเป็นของพรรคการเมืองทไ่ี ด้รบั คะแนนเสยี งรองลง มาตามล�ำดบั การได้มาซึ่งอ�ำนาจในระบบประชาธิปไตยปัจจุบันได้กลายเป็นปัญหาถกเถียงกันมาก ในบางประเทศทม่ี รี ะดบั การพฒั นาเศรษฐกจิ คอ่ นขา้ งลา้ หลงั และมรี ะดบั คณุ ภาพทางการศกึ ษา ของประชาชนโดยส่วนใหญค่ ่อนข้างต่�ำ ระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธปิ ไตยในสงั คม ท่ีผู้คนด้อยคุณภาพเป็นปัญหาสังคมอย่างหนึ่ง แต่เป็นปัญหาระดับโครงสร้างอ�ำนาจของสังคม 100 ในสงั คมดอ้ ยการพัฒนาโครงสรา้ งอ�ำนาจทีแ่ ทจ้ รงิ ไมไ่ ด้อยทู่ ีป่ ระชาชน แต่อยู่ทีช่ นชน้ั น�ำ (Elite) ส่วนใหญ่ชนช้ันน�ำคือข้าราชการระดับสูง แม้จะเกษียณอายุราชการไปแล้วก็ยังมีอิทธิพลอยู่ เพราะระบบราชการมักจะมีวัฒนธรรมการอุปถัมภ์กัน น่ันคือผู้บังคับบัญชาอุปถัมภ์ผู้ใต้บังคับ บัญชา ความผูกพัน ความรสู้ ึกเป็นหนี้บุญคุณจะยังคงมอี ยู่ในกลุ่มผไู้ ดร้ ับการอุปถัมภ์ เม่อื กลุม่ ผู้ ไดร้ บั อปุ ถมั ภไ์ ตเ่ ตา้ สตู่ ำ� แหนง่ สงู ทางการเมอื งการปกครองไมว่ า่ จะโดยวธิ ใี ดกต็ าม กม็ กั จะนกึ ถงึ กลุ่มบคุ คลท่ีเคยอุปถมั ภต์ น ดงั น้ัน การบริหารประเทศชาติ จึงมักจะหมนุ เวียนในกลุ่มชนชนั้ น�ำ เท่านั้นผู้บริหารท่ีมีอ�ำนาจในการจัดการบ้านเมือง จึงไม่ใช่ตัวแทนประชาชนอย่างแท้จริง โดย เฉพาะตัวแทนประชาชนช้นั ล่างของสังคม แตม่ กั จะเป็นตัวแทนของชนชัน้ นำ� หรือชนช้ันสงู ของ สังคมเป็นส่วนใหญ่ เป็นที่ยอมรับกันว่า กระแสความนิยมระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยได้แพร่ กระจายอยา่ งกวา้ งขวาง ระบบประชาธปิ ไตยจงึ เปน็ ระบบการเมอื งทงั้ ในอดุ มคตแิ ละในการปฏบิ ตั ิ และถอื วา่ เปน็ ระบบการปกครองอยา่ งหนง่ึ ทม่ี ลี กั ษณะโดดเดน่ มขี อ้ บกพรอ่ งนอ้ ยทสี่ ดุ และอาจจะ ดีทีส่ ดุ ในโลกกไ็ ด้ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยท่บี รสิ ทุ ธ์ทิ ่เี ปิดโอกาสใหป้ ระชาชนมสี ว่ น รว่ มมากทสี่ ดุ โดยเฉพาะการมสี ว่ นรว่ มในการตรวจสอบ การบรหิ ารของผบู้ รหิ ารระบบการบรหิ าร แบบธรรมาภบิ าล (Good Governance) จะมขี น้ึ ได้กโ็ ดยอาศยั การตรวจสอบอย่างโปร่งใส ซึง่ จะมขี ้นึ ไมไ่ ด้หากสงั คมไมเ่ ป็นประชาธิปไตย
ในระดบั ปจั เจกบคุ คล ระบอบการปกครองแบบประชาธปิ ไตยเปน็ ระบอบการปกครองท่ี เคารพศกั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนษุ ยอ์ ยา่ งเทา่ เทยี มกนั บคุ คลทกุ คนไดร้ บั ความเสมอภาค ความมศี กั ดศ์ิ รี ความมีเสรีภาพและความยุติธรรมอย่างเทา่ เทยี มกัน ไม่มีใครมีสิทธพิ ิเศษเหนือกว่าบุคคลอ่ืนใน เรอื่ งการไดร้ บั บรกิ ารจากรฐั และการไดร้ บั ความยตุ ธิ รรม รฐั ตอ้ งปกปอ้ งปจั เจกบคุ คลไมใ่ หไ้ ดร้ บั อนั ตรายและการคกุ คามเบยี ดเบยี นจากบคุ คลอน่ื ปจั เจกบคุ คลมสี ทิ ธแิ ละโอกาสเทา่ เทยี มกนั ใน การแสดงออกซงึ่ ความคดิ เหน็ ในทางสรา้ งสรรค์ ขณะเดยี วกนั บคุ คลทกุ คนจะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามกฎ กติกาท่ีกำ� หนดไว้ในกฎหมายและระเบยี บปฏบิ ัตอิ ื่น ๆ ของหนว่ ยงาน องคก์ ารธุรกิจ ท่อี อกมา โดยไมข่ ดั กบั กฎหมายรฐั ธรรมนญู การยอมรบั แนวทางปฏบิ ตั ทิ ก่ี ำ� หนดไวใ้ นกฎหมาย รฐั ธรรมนญู เปน็ หวั ใจสำ� คัญในการดำ� รงอยูแ่ ห่งระบอบประชาธิปไตย ในบางสังคม บุคคล และกลุ่มบุคคลบางกลุ่มจะใช้สิทธิในการแสดงออกซึ่งความคิด เห็นโดยเฉพาะความคิดเหน็ และการแสดงพฤตกิ รรมทางการเมือง อยา่ งไร้ขอบเขตและไรค้ วาม รับผิดชอบโดยไม่ค�ำนึงถึงความเดือดร้อนของคนส่วนใหญ๓่ ๙ โดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ เช่น กู้ชาติ บ้าง ปรับปรุงปฏิรูประบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็น ประมุขให้สมบูรณ์บ้าง ต่อต้านเผด็จการและรักษาระบอบประชาธิปไตยบ้าง ต่อต้านการโกง ชาตบิ า้ นเมืองบ้าง ฯลฯ เหตุผลดังกล่าวมกี ารอา้ งถงึ อย่างกว้างขวาง และมกี ารโฆษณาชวนเช่ือ (Propaganda) ผา่ นส่อื ตา่ ง ๆ ท�ำใหค้ นจ�ำนวนมากเหน็ คล้อยและเชอื่ ตามพร้อมกับออกมาร่วม 101 ชมุ นุม ตามแหล่งท่นี ดั ชุมนุมของแตล่ ะกลุ่มการเมอื ง ผลกค็ ือ รัฐไมส่ ามารถควบคมุ ได้ กลายเป็น รฐั ลม้ เหลว (Failed State) และในทสี่ ดุ ก็มอี �ำนาจนอกระบบการเมอื งการปกครอง ซงึ่ ก็คอื กลุ่ม ข้าราชการท่ีมีอาวุธยุทโธปกรณ์ท�ำการยึดอ�ำนาจในช่ือต่างๆ เช่น ช่ือคณะรักษาความสงบแห่ง ชาติ หรอื ชอื่ อน่ื ทำ� การรฐั ประหาร ควบคมุ อำ� นาจการบรหิ ารบา้ นเมอื งแทนนกั การเมอื งทม่ี าจาก การเลอื กตง้ั ในระบอบประชาธปิ ไตย ปญั หาวกิ ฤตทางการเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตย สว่ นหนงึ่ เกิดจากการใชส้ ทิ ธทิ างการเมอื งเกินขอบเขตของกฎหมาย สร้างพลงั กฎหมู่ (Group Rule) ขึน้ มาแทนกฎหมาย (Legal Rule) ความร้สู ึกรับผดิ ชอบตอ่ สังคมไมม่ ใี นความคิดเห็นของกลมุ่ ผู้เข้า รว่ มประท้วงกอ่ ความรุนแรงหรอื Mob กลา่ วตามปรัชญาสงั คมศาสตร์โดยเฉพาะแนวคิดทางสงั คมวิทยา ความรู้สึกผกู พันและ จงรักภักดีต่อกลุ่มของตน จะท�ำให้บุคคลมองคนอื่นเป็นปรปักษ์ เพราะฉะนั้นความรู้สึกว่าเป็น พวกเขา (They group) กับความรู้สกึ ว่า เป็นพวกเรา (We group) ทำ� ให้เกดิ การแบ่งแยกใน สังคม๔๐ ความรู้สึกว่าเป็นพวกเราเกิดจากความรู้สึกผูกพันต่อกลุ่มอย่างเหนี่ยวแน่น และกลุ่มท่ี ๓๙ ตวั อยา่ งกรณปี ระทว้ งรนุ แรง (Mob) โดยกลมุ่ การเมอื งในการปดิ กรงุ เทพมหานคร (Shutdown Bangkok) และกลมุ่ ปดิ ถนนตา่ ง ๆ ในกรงุ เทพมหานคร เมอ่ื ปี ๒๕๕๗ แสดงถงึ การใชส้ ทิ ธแ์ิ สดงพฤตกิ รรมทางการเมอื งสดุ โตง่ แบบไรข้ อบเขตจำ� กดั อยา่ งหนง่ึ ๔๐ Charles H.cooley (๑๘๖๔-๑๙๒๗) อ้างถึงใน จ�ำนงค์ อดิวัฒนสิทธ์ิ, ประวัติแนวความคิดทางสังคม, (กรงุ เทพมหานคร : สำ� นกั พมิ พ์ โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๒๔) หนา้ ๑๗๑-๑๗๘.
ท�ำให้เกิดความรสู้ กึ ผกู พันอย่างเหนี่ยวแนน่ คอื กล่มุ ปฐมภูมิ (Primary Group) กลุ่มปฐมภมู กิ ลุ่ม แรกคือครอบครวั กลุ่มวงศาคณาญาติ กลุม่ เพื่อนบ้านทใี่ กล้ชิด กลมุ่ เพอ่ื นเล่นในวันเดก็ (Peer group) กลุ่มเพื่อนักเรียน กลุ่มเพอื่ นนกั ศึกษา กลมุ่ เพอ่ื นร่วมงานและทข่ี ยายวงกวา้ งในทางการ เมอื งกค็ อื กลมุ่ สมาชกิ พรรคการเมอื งเดยี วกนั กลมุ่ เหลา่ นี้ มบี ทบาทสำ� คญั ในการสรา้ งความรสู้ กึ พวกเราหรือพวกเดยี วกนั ตวั ตนทางสังคม (Social Self)เกิดขึ้นจากกล่มุ ปฐมภูมิ กลุม่ ปฐมภมู ิ ให้การช่วยเหลือซึ่งกันและกันโดยไม่หวังอะไรตอบแทนเป็นที่พ่ึงของสมาชิกกลุ่มให้ความอบอุ่น และความเห็นอกเห็นใจแกส่ มาชิกกลุม่ ทป่ี ระสบความทุกข์ความเดือนร้อน มคี วามสมั พันธ์กนั ที่ สลับซบั ซอ้ น สังคมประเพณนี ิยม (Traditionalism) จะมลี ักษณะเปน็ สังคมปฐมภมู ิสงู กว่าสงั คม สมยั นยิ ม (Modernism) สงั คมสมยั นยิ มคอื สงั คมอตุ สาหกรรมสมยั ใหม่ มลี กั ษณะเปน็ สงั คมเมอื ง ปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมาชิกเป็นไปตามกฎเกณฑแ์ ละไมเ่ ป็นกันเอง สงั คมสมัยใหมม่ ีชือ่ เรียกอีก อย่างหน่งึ วา่ เปน็ สังคมกลมุ่ ทุติยภูมิ (Secondary group) กลุ่มทุติยภูมิ คือกลุ่มท่ีมีความสัมพันธ์แบบไม่เป็นส่วนตัวการติดต่อสัมพันธ์กันเป็นไป ตามกฎเกณฑ์ ผลประโยชน์ตอบแทน คือเป้าหมายของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของกลุ่มทุติยภูมิ สังคมมีการเปลี่ยนแปลงสลับซับซ้อนมากเท่าไร ความสัมพันธ์แบบไม่เป็นส่วนตัวก็ยิ่งมีมากข้ึน เทา่ นนั้ สงั คมอตุ สาหกรรมสมยั ไม่ สงั คมเมอื ง และสงั คมทมี่ ปี ระชากรเคลอ่ื นยา้ ยเขา้ และเคลอ่ื น 102 ยา้ ยออก เป็นประจ�ำจะมลี กั ษณะเปน็ สงั คมทตุ ยิ ภูมิ อยา่ งไรกต็ ามดงั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ ในสงั คมทม่ี คี วามสมั พนั ธแ์ บบทตุ ยิ ภมู ิ การตดิ ตอ่ สมั พนั ธ์ ระหว่างสมาชิก รวมท้งั การรวมตัวเป็นกล่มุ จะอยู่ภายใต้การมผี ลประโยชนร์ ว่ มกัน ตัวอย่างเชน่ การรวมตัวเป็นพรรคการเมืองในสังคมเสรีประชาธิปไตย ส่วนหนึ่งเกิดจากความเห็นร่วมกันใน การปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่ม ผลประโยชน์ของกลุ่มไม่ได้จ�ำกัดอยู่เฉพาะผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจ แต่ขยายไปถงึ ผลประโยชนท์ างด้านอุดมการณช์ วี ติ ซ่ึงเป็น วิญญาณาหาร ของมนษุ ย์ อยา่ งหนง่ึ หากวเิ คราะหเ์ ชงิ พทุ ธปรชั ญาทางสงั คม อดุ มการณช์ วี ติ คอื สง่ิ ทห่ี ลอ่ เลย้ี งชวี ติ ใหม้ คี วาม หวงั และดำ� เนินการเพอื่ บรรลถุ งึ เปา้ หมายชีวิตตามความหวัง เปน็ หมายตามอุดมการณ์ ชวี ิตคือ ความสงบสขุ การหลุดพน้ จากความทุกข์ ความปลอดภยั จากการถกู เบยี ดเบยี น การไม่ตกเป็น ทาสของอทิ ธพิ ลใด ๆ การรับรถู้ งึ อุดมการณช์ วี ิตจะเกดิ ขึ้นผา่ นการตดิ ต่อสมั พนั ธ์กนั การรวมตัวเป็นกลุ่มหรือพรรคการเมืองในสังคมที่มีลักษณะเป็นกลุ่มทุติยภูมินั้น จะ มีความเหนี่ยวแน่นมาก เม่ือมีกลุ่มหรือพรรคการเมืองคู่แข่งเกิดขึ้นมา การสร้างความรู้สึกว่า สมาชกิ พรรคเดียวกนั คือ พวกเรา สว่ นสมาชกิ พรรคการเมืองคือ พวกเขา ไม่ใช่พวกเรา ผลัก ดันให้เกิดความรู้สึกแตกแยกระหว่างสมาชิกต่างกลุ่มปรากฏการณ์นี้น�ำไปสู่การแตกแยกความ สามัคคีระหวา่ งสมาชิกต่างพรรค แม้จะเป็นพลเมืองของประเทศเดยี วกนั ก็ตาม
ในสังคมที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตย อุดมการณ์แบบประชาธิปไตย ได้รับการ ยกยอ่ งใหเ้ ปน็ อดุ มการณช์ วี ติ สาระสำ� คญั ของประชาธปิ ไตยขอ้ หนง่ึ ทน่ี ยิ มอา้ งและใชก้ นั มากของ อุดมการณ์ประชาธิปไตย คือเสรีภาพ หลักการข้อนี้ของอุดมการณ์ประชาธิปไตยถูกใช้ในการ แดงออกเพ่ือผลประโยชน์ของกลุ่ม และคือการท�ำลายบุคคลหรือกลุ่มบุคคลท่ีตนไม่ชอบและ เช่อื วา่ ขัดผลประโยชน์ของกลมุ่ ตนวธิ ีหนึ่งท่ีน�ำมาใชด้ ว้ ยการกล่าวใหร้ า้ ย ป้ายสี สรา้ งวลหี รือค�ำ พูดกล่าวหาว่าเป็นคนไม่ดี โกงชาติบ้านเมือง รวมจนกระทั่งวลีท่ีเป็นวาทกรรมทางการเมืองว่า “พวกเผาบ้านเผาเมือง” หรือวลีการโฆษณาของการเมืองว่า “หากพวกเราไม่ช่วยกัน พวกเขา มาแน”่ ปรากฏการณก์ ารสรา้ ง ความรสู้ กึ วา่ คแู่ ขง่ ทางการเมอื งคอื พวกเราไมใ่ ชพ่ วกเดยี วกนั กบั ตนไดก้ ่อใหเ้ กิดผลกระทบคือการแตกแยกความสามัคคีของคนในชาตเิ ดียวกัน และได้กลายเป็น ปัญหาสังคมของประเทศอยา่ งหนึง่ เป็นที่ยอมนับกันโดยหลักการประชาธิปไตยว่า อ�ำนาจทางการบริหารจะได้มาก็ ด้วยการลงประมติเป็นชอบจากคนส่วนใหญ่ผ่านการหยั่งเสียงในการเลือกต้ังทั่วไป ผู้ใดหรือ พรรคการเมืองใด ที่ประชาชนส่วนใหญ่ลงประชามติมอบอ�ำนายให้ไปบริหารประเทศชาติ ผู้ นั้นหรือพรรคการเมืองน้ันย่อมมีความชอบธรรมในการใช้อ�ำนาจทางการปกครองและมีสิทธิอัน ชอบธรรมทจี่ ะสรา้ งอำ� นาจขนึ้ มาใหมด่ ว้ ย การใหค้ วามสำ� คญั เฉพาะกลมุ่ ผมู้ อี ำ� นาจและผคู้ ดิ คา้ น อำ� นาจทางการเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตย ยอ่ มมสี ว่ นในการสรา้ งความไมส่ งบสขุ ใหเ้ กดิ ขน้ึ ใน 103 สงั คม ในทางสงั คมความเปน็ ปกึ แผน่ ของสงั คมลดถอยลง เพราะการขาดความสามคั คกี นั ระหวา่ ง สมาชกิ ตา่ งพรรคการเมอื งทข่ี ดั แยง้ กนั การกลา่ วใหร้ า้ ยปา้ ยสกี นั ระหวา่ งพรรคคแู่ ขง่ ทางการเมอื ง ยอ่ มสรา้ งความรสู้ กึ แบง่ แยกเปน็ พวกเราพวกเราระหวา่ งผคู้ นในชาตดิ ว้ ย วาทกรรมทางการเมอื ง ในทางปา้ ยสยี อ่ มยยุ งสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ความเกลยี ดชงั ระหวา่ งผคู้ นในสงั คม ความขดั แยง้ ในสงั คมจงึ เกิดข้นึ ดว้ ยอิทธิพลของการโฆษณาชว่ ยเช่อื ระหว่างพรรคการเมืองต่าง ๆ คำ� ถามจงึ เกดิ ขนึ้ วา่ ประชาธปิ ไตยสง่ เสรมิ ความสามคั คหี รอื ความสมานฉนั ทใ์ นสงั คมได้ จริงหรอื ไม?่ ปัจจัยส�ำคญั ท่ที ำ� ลายความสามัคคีและความเปน็ ปึกแผน่ ของสังคม คือระบบการ ปกครองแบบประชาธิปไตย จริงหรือไม?่ และเพราะเหตใุ ดในบางสงั คมประชาธปิ ไตยจงึ ลม้ ลกุ คลุกคลาน๔๑ ในสังคมท่ียึดถือหลักประชาธิปไตยอย่างเหน่ียวแน่นจะส่งเสริมหลักสิทธิมนุษยชน ควบคู่กันไปด้วย ดังน้ันความสัมพันธ์ระหว่างประชาธิปไตย กับมนุษยชนจึงด�ำเนินไปด้วยกัน อย่างแยกกันไม่ออก การเน้นหลักประชาธิปไตย และหลักสิทธิมนุษยชนท�ำให้มองข้าม หลัก ศีลธรรม ประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชน กลายเป็นส่ิงศักด์ิสิทธิ์ ใครก็ตามต่อต้านหลัก ๔๑ เชน่ ในสงั คมไทย ประชาธปิ ไตยเรม่ิ มาตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ แตม่ กี ารปฏวิ ตั ริ ฐั ประการ
การประชาธปิ ไตยและหลกั สทิ ธมิ นษุ ยชน จะถกู กลมุ่ ยกยอ่ งบชู าลทั ธดิ งั กลา่ วประณามวา่ เปน็ คน เลวหรอื คนไม่ดี บุคคลทีเ่ สพตดิ กบั อ�ำนาจทางการเมือง และเขา้ สู่อาชีพทางการเมอื ง โดยระบบ ประชาธิปไตย จะยึดตดิ กบั ระบบน้ี เพราะวา่ ระบบการเมอื งแบบประชาธปิ ไตยท�ำใหต้ นมีอาชีพ ที่สร้างความมั่งคั่งทางทรัพย์สินได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันระบบประชาธิปไตยให้โอกาสแก่ ตนและกลุ่มของตน สามารถแสดงความคิดเห็นออกมาในเชิงท�ำลายคู่แข่งอาชีพทางการเมือง ของตนดว้ ยอำ� นาจกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง ความมชี อื่ เสียง โดง่ ดงั จาก การแสดงออกในเชิงท�ำลายลา้ งจะแพรก่ ระจายออกไปรวดเร็วและมีผลกระทบต่อคแู่ ขง่ ทางการ เมอื งอย่างแนน่ อน โดยไมค่ �ำนึงถงึ ในวงกว้างวา่ สังคมจะไดร้ ับผลกระทบรนุ แรงแค่ไหน ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งท่ีกล่าวถึงอย่างกว้างขวางก็คือว่า ประชาธิปไตยเป็นระบบการ ปกครองท่ีมีการแบ่งแยกกลุ่มคนเป็นพวกเขาพวกเรามากที่สุด การแบ่งแยกเป็นกลุ่มพวกเขา พวกเราก็คือ การปรากฎขึ้นมาพรรคการเมือง พรรคการเมืองเป็นกระทบทางสังคมอย่างหนึ่ง (Social Process) ทด่ี �ำเนินกิจกรรมการแสวงหาสมาชกิ และการสนับสนุนจากสมาชิกเพ่ือการ เข้าสู่อ�ำนาจในการบริหารการปกครอง ในบางสังคมกิจกรรม ทางการเมืองดังกล่าวน�ำไปสู่การ แบง่ แยกอยา่ งรนุ แรงในสงั คม และในทสี่ ดุ กจ็ ะปฏเิ สธกลมุ่ บคุ คลทสี่ นบั สนนุ พรรคการเมอื งคแู่ ขง่ ว่าไม่ใช่ชนชาติเดียวกัน และต้องหาวิธีการก�ำจัดคนกลุ่มนี้ทั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม แม้ 104 กระท่ังการสังหารให้ตายก็ย่อมท�ำได้โดยไม่รู้สึกว่าเป็นการกระท�ำผิดทางศีลธรรม ซึ่งประเด็นนี้ จะมีการวิเคราะห์อยา่ งละเอยี ดในตอนที่วา่ ดว้ ยปรชั ญาทางการเมอื ง โดยทวั่ ไปขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษท์ พี่ บจากสอื่ สารมวลชนกค็ อื วา่ การแสดงความคดิ เหน็ ในมติ ิ ทางการเมือง มกั จะไม่ค�ำนงึ ถงึ กรอบศีลธรรมทางศาสนา ความละอายตอ่ บาป (หริ ิ) ความเกรง กลวั ต่อผลของการท�ำบาป (โอตตัปปะ) มักจะไมป่ ฏิบัตติ าม ความยึดติดในกระแสความคดิ เพอื่ เอาชนะคู่แข่งทางการเมืองเป็นเหตุให้เกิดอุปาทานอย่างงมงายอย่างหน่ึง จิตวิญญาณ (Spirit) แห่งการยอมรับและแสดงมุทิตาจิตด้วยความบริสุทธิ์ใจมักจะไม่ปรากฏในกลุ่มนักการเมือง บางกล่มุ การยตุ คิ วามขดั แยง้ ในสงั คมประชาธปิ ไตย จะเกดิ ขน้ึ ไดต้ อ่ เมอ่ื ยตุ กิ ารกลา่ วรา้ ยปา้ ยสกี นั อยา่ งไรศ้ ลี ธรรมสอ่ื สารมวลชนกค็ วรจะมบี ทบาทรว่ มมอื ในการสรา้ งสงั คมทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ ปราศจากการ เสนอขา่ วยวั่ ยใุ หเ้ กดิ การแสดงออกทร่ี นุ แรงตอ่ กนั ในสงั คม โดยเฉพาะการยวั่ ยเุ สนอขา่ ววา่ นกั การ เมืองบางกลุ่มเป็นปีศาจ เต็มไปด้วยความคดโกง ไร้ความซื่อสัตย์สุจริต จนถึงกับประทับตรา (Labeling) วา่ เปน็ คนชวั่ ชา้ ทง้ั ทพ่ี ยานหลกั ฐานทส่ี นบั สนนุ การกลา่ วหาไมป่ รากฏชดั กต็ าม การ เสนอขา่ วในเชิงความรู้สกึ มากกวา่ ความจริงเป็นเหตุข้อหนงึ่ ท่นี ำ� ไปสู่อคติระหวา่ งกล่มุ การเมือง ระบอบการปกครองแบบประชาธปิ ไตยมขี อ้ ดหี ลายประการและมจี ดุ ออ่ นหลายอยา่ ง แต่
มนษุ ย์ควรร้จู ักใชป้ ระชาธปิ ไตยในการสรา้ งสรรค์ ประชาธิปไตยควรเปน็ เคร่ืองมอื ในการพฒั นา มนษุ ย์ พฒั นาศีลธรรม และนำ� ความปลอดภัยมาสู่สงั คมอยา่ งยงั่ ยืน ๖. กระแสความลมุ่ หลงยึดติดกับอวชิ ชา (อวิชชาโอฆะ) สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์๔๒ (ปอ.ปยตุ โฺ ต) ไดใ้ หค้ วามหมายอวชิ ชาวา่ เปน็ ความไมร่ จู้ รงิ ความหลงอนั เปน็ เหตุไม่รู้จริง เชน่ ความไม่รตู้ ามหลักอรยิ สจั จ์ ๔ (ไมร่ ู้ทกุ ข์ ไม่รู้เหตุเกิดแห่งทกุ ข์ ไมร่ ู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางใหถ้ ึงความดบั ทกุ ข)์ และอาจขยายตอ่ ถงึ ไม่รู้อดีต ไมร่ ู้อนาคต ไมร่ ้ทู งั้ อดีตและอนาคต ไม่ร้ปู ฏิจจสมุปบาท ท่านได้ขยายต่อไปอกี วา่ อวชิ ชานนั้ เปน็ ความไม่ร้ไู มเ่ หน็ ตามความเปน็ จรงิ ไม่รูเ้ ท่าทันตามสภาวะ หลงไปตามสมมติบญั ญตั ิ เป็นความไมร่ ้ทู แี่ ฝงอยู่กับ ความเชอื่ ถอื ต่าง ๆ เปน็ ภาวะขาดปัญญา (Lack of knowledge) คือ การไม่ใช้ปัญญาในขณะ นัน้ ๆ และเปน็ ความไม่เขา้ ใจเหตผุ ล๔๓ อวิชชา เปน็ สายโซข่ ้อหนง่ึ ในรายโซท่ สี่ มั พนั ธ์กันเป็นวฏั ฏะสงสารแหง่ ชวี ิต ดังทอี่ ธบิ าย ไวใ้ นหลักปฏิจจสมุปบาท๔๔ ในหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท อวิชชา เปน็ ปจั จัยแห่งสงั ขาร น้นั ก็คือ อวชิ ชา น�ำไปสกู่ ารปรงุ แตง่ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย๔์ ๕ (ปอ.ปยตุ ฺโต) ขยายความข้อน้ีว่า “เพราะไม่รตู้ ามเป็นจรงิ ไมเ่ ห็นแจ้ง ไม่เขา้ ใจชัดจึงคดิ ปรงุ แตง่ เดาคิดวาดภาพไปต่าง 105 ๆ เหมือนคนอยูใ่ นความมดื เห็นแสงสะทอ้ นนัยนต์ าสตั วม์ ีความเช่ือผอี ย่แู ล้ว จงึ คดิ เห็นเปน็ รูป หนา้ ตาหรอื ตวั ผขี น้ึ มาจรงิ ๆ และเหน็ เปน็ อาการตา่ งๆเกดิ ความกลวั คดิ กระทำ� การอยา่ งใดอยา่ ง หนึ่ง เชน่ ว่งิ หนีเป็นตน้ หรือเหมือนไมเ่ หน็ ของหายอยู่ ในกำ� มอื จึงคิดหาเหตุผลมาทาย เดา และ ถกเถยี ง ต่าง ๆ คนทเ่ี ชอ่ื ว่า เทวดาชอบใจจะบันดาล อะไร ๆ ใหไ้ ด้ ก็คดิ ปรงุ แต่งคำ� อ้อนวอน หรอื บวงสรวงสังเวยตา่ ง ๆ ขึน้ กระท�ำการเช่นออ้ นวอนตา่ ง ๆ คนไม่รู้เทา่ กันสภาวะของสงั ขารท่ี ไม่เทยี่ งแท้ ไม่ยั่งยืน เกิดจากการปรุงแตง่ ขององค์ประกอบตา่ ง ๆ ล้วนเปน็ ไปตามเหตุปัจจัย จงึ คดิ เห็นเปน็ ของดงี าม นา่ เอา น่าครอบครอง คดิ วาดภาพไปต่างๆ ต้ังความมงุ่ หมาย คิดหาทาง และทำ� การต่างๆท่ีจะไดจ้ ะเอามาครอบครอง”๔๖ ๔๒ อา้ งแลว้ , พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรฉ์ บบั ประมวลศพั ท,์ (พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑๒, กรงุ เทพมหานคร:. โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑) หนา้ ๕๑๙ ๔๓ พทุ ธธรรม อา้ งแลว้ หนา้ ๑๐๙ ๔๔ ดู ปฏจิ จสมปุ บาท ส.๊ น.ิ ๑๖/๖๑/๓๐ ๔๕ อา้ งแลว้ , พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ (พมิ พค์ รง้ั ที่ ๑๒, กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑) หนา้ ๕๑๙ ๔๖ พทุ ธธรรม อา้ งแลว้ หนา้ ๑๑๒.
อวิชชาถือว่าเป็นมลทินเหมือนกว่ามลทินท้ังหลาย และอาจเรียกได้ว่าเป็นยอดของ มลทิน๔๗ สาเหตุการเกดิ ขึ้นมาของอวิชชา มองในแง่พทุ ธปรัชญา อวิชชา เป็นปัจจยั ปรงุ แตง่ ใหเ้ กิด การคดิ ปรงุ แตง่ หรือการเดาไป ต่าง ๆ (สงั ขาร) ขณะเดียวกันอวิชชา กเ็ ป็นผลของปจั จัยอยา่ งอน่ื ด้วย ๑. อาสวะเปน็ บอ่ เกดิ ของอวชิ ชา ในคมั ภรี ์ มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณั ณาสก์ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า “อวิชชาเกดิ เพราะอาสวะเกิด อวชิ ชาดบั เพราะอาสวะดบั ”๔๘ อาสวะ เปน็ กเิ ลสทหี่ มกั หมม หรอื ดองอยใู่ นสนั ดาน ไหลซมึ ซา่ นไปยอ้ มจติ ตเ์ มอื่ ประสบ อารมณ์ต่าง ๆ๔๙ ตามคัมภีร์อภธิ รรม อาสวะ อาจแบง่ ได้ ๔ อยา่ ง คอื กามาสวะ (อาสวะคือกาม) ภวาสวะ (อาสวะคอื ภพ) ทิฏฐาสวะ (อาสวะคอื ทฏิ ฐิ) และอวชิ ชาสวะ (อาสวะคอื อวิชชา)๕๐ อาสวะ ๓ อยา่ งแรกไดก้ ลา่ วไวแ้ ลว้ ในทน่ี จ้ี ะเหน็ วา่ ตวั อวชิ ชากค็ อื อาสวะตวั หนง่ึ เพราะ ฉะนัน้ อวิชชา จงึ เปน็ ตัวกิเลสทีห่ มกั หมมอยมู่ านาน จนเป็นบอ่ เกดิ ของอวชิ ชาย่อยต่าง ๆ อกี มากมาย แต่ในพระสตู รตัดอาสวะ ๔ ออก๕๑ 106 ๒. มองในแงป่ ฏจิ จสมปุ บาท อวชิ ชา กอ็ าจเปน็ ผลของปจั จยั ตวั อน่ื ๆ ดว้ ยผลของอวชิ ชา ๑. ผลักดันให้เกิดมจิ ฉาทิฏฐิ ๒. ผลักดนั ใหย้ ึดตดิ ในกาม ๓. ความตอ้ งการท่ีจะเปน็ โน่นเป็นนต่ี ลอดไป (ภพ)๕๒ ความไม่รู้ ครอบคลุมถึงไปทศั นคติแบบตา่ ง ๆ โดยเฉพาะทัศนคตใิ นเชงิ ลบ การก�ำหนด แบบแผน ความประพฤติปฏิบตั ิทไ่ี ม่ถูกต้องมาหลกั ศีลธรรม จากการวเิ คราะห์ข้างบนนี้จะเหน็ ว่า อวิชชากับมิจฉาทฏิ ฐิ เกีย่ วโยงกนั อยา่ งแยกกนั ไม่ ออก มิจฉาทิฏฐิ ตามนยั แหง่ พุทธปรชั ญาเป็นผลมาจากอวิชชา ดงั นน้ั อวิชชา จงึ เป็นรากเหง้า แหง่ มจิ ฉาทฏิ ฐทิ งั้ อวชิ ชาและมจิ ฉาทฏิ ฐิ ถอื ไดว้ า่ เปน็ กเิ ลสทหี่ มกั หมม ดองอยใู่ นสนั ดานและตา่ ง ก็มีอ�ำนาจครอบคลุมจิตใจท่ีอ่อนแอ ซ่ึงไม่ได้รับการฝึกอบรม ให้แสดงออกไปในลักษณะไม่ถูก ๔๗ อวชิ ชา ปรมํ มลํ (ความไมร่ เู้ ปน็ ยอดแหง่ มลทนิ ) ๔๘ ม. มู ๑๒/๑๓๐/๑๐๑ ๔๙ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย(์ ปอ. ปยตุ โฺ ต) ( พจานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท์ อา้ งแลว้ หนา้ ๕๕๑. ๕๐ อภ.ิ ว.ิ ๓๕/๙๖๑/๕๐๔ ๕๑ ท.ี ม. ๑๐/๗๖/๙๖ ๕๒ อา้ งแลว้ , สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย(์ ปอ. ปยตุ โฺ ต), พทุ ธธรรม, หนา้ ๑๒๒.
ต้องตามหลักศลี ธรรม คือหลกั การปฏิบัติทีท่ างกาย ทางวาจาและทางใจ อวิชชา กับมิจฉาทิกฐิ มบี ทบาทสำ� คญั ในการกำ� หนดวถิ ชี วี ติ และสงั คมมนษุ ยเ์ ปน็ อยา่ งมาก สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยุตฺโต)๕๓ ได้กล่าวยืนยันในประเด็นมิจฉาทิฏฐิว่าเป็นมโนกรรม (ทุจริต) ซ่ึงเป็นกรรมท่ี ส�ำคญั มีผลมากร้ายแรงทสี่ ุดย่ิงกว่ากายกรรมและวจีกรรม อวชิ ชา กลา่ วโดยสรปุ กค็ อื การไมร่ ไู้ มเ่ ขา้ ใจ และมองไมเ่ หน็ กฎไตรลกั ษณ์ อนั ไดแ้ ก่ ความ ไม่เทย่ี ง (อนิจจัง) ความทุกข์ความบบี ค้นั ต่าง ๆ (ทุกขัง) และความไม่มีตวั ตนทแี่ ทจ้ ริง (อนตั ตา) มนุษย์อาจจะมีความรู้ในกฎพระไตรลักษณ์ในเชิงทฤษฎี แต่ในเชิงลึกและเชิงปฏิบัติอาจจะขาด ความร้อู ยา่ งลึกซึ้ง มนุษย์ในโลกทม่ี กี เิ ลสจงึ มกั ยึดตดิ กบั สภาวะตัวตนของตัวเอง หลกั อวิชชาจะ เน้นไปท่ีความหลงผิด มองเห็นส่ิงใดส่ิงหน่ึงเป็นของตัวเอง มนุษย์ท่ีมีอวิชชาครอบง�ำ จะไม่ตก มกั รวู้ า่ สภาพทถ่ี อื กันว่าเป็นสัตวบ์ ุคคล ตัวตนเป็นตัวเรา เป็นตัวเขา นั้น “เป็นเพียงกระแสแหง่ รูปธรรมนามธรรมส่วนย่อย ต่าง ๆมากมาย ที่สัมพันธ์เพียงอาศัยกัน เป็นเหตุเป็นปัจจัยสืบต่อ กนั ”๕๔ สภาวะทต่ี รงกันขา้ มกบั อวชิ ชา กค็ อื วิชชา คอื การรู้ และการตระหนักดว้ ยความเข้าใจ อยา่ งลึกซง้ึ ว่า ภาวะที่เปน็ บุคคล เปน็ ตัวตน เป็นสัตว์ มนษุ ยน์ ัน้ คอื ผลรวมแห่งความรสู้ กึ นกึ คดิ ผลรวมแหง่ ความอยาก ความปรารถนา อปุ นิสัยเคยชิน ความโนม้ เอยี ง ทศั นคติ ความเช่ือทกุ ระดับชัน้ ความคิดเหน็ ความชอบ ความไม่ชอบตา่ ง ๆ หรือความนยิ มในคณุ ค่าของสงิ่ ท้งั หลาย ทงั้ ปวงทง้ั ทเี่ ปน็ รปู ธรรมและนามธรรม ลว้ นเปน็ ผลรวมจากการถา่ ยทอดทางวฒั นธรรม (Cultural 107 Transmission) จากยุคหน่ึงไปยงั อีกยคุ หน่ึง รวมท้ังการศึกษาอบรม การเลยี นแบบ และการมี ปฏสิ มั พนั ธก์ นั ทง้ั ในระดบั ภายในกลมุ่ และภายนอกกลมุ่ โดยเฉพาะผลทม่ี าจากกรตดิ ตอ่ สมั พนั ธ์ กบั สิ่งแวดลอ้ มรอบตวั มนษุ ย์ มนษุ ยอ์ าจจะรใู้ นเชงิ ทฤษฎหี รอื เชงิ วชิ าการเกย่ี วกบั กฎแหง่ ไตรลกั ษณด์ งั กลา่ ว แตค่ วาม ซาบซ้ึงในผลของการยึดติดอย่างลุ่มหลงต่อภาวะตัวตน ต�ำแหน่ง ยศฐา บรรดาศักดิ์หรือ ภพ อยา่ งที่วิเคราะหม์ าแล้ว ไมไ่ ดเ้ กิดมขี ้ึนตอ่ มนษุ ย์อย่างแท้จริง ภายใตอ้ ทิ ธพิ ลของอวิชชา มนุษย์ จงึ มพี ฤติกรรมก่อความรุนแรงต่อมนษุ ยด์ ว้ ยกนั เองและต่อสัตวโ์ ลก รวมทง้ั ตอ่ ส่งิ แวดล้อม อยา่ ง ตอ่ เนอ่ื ง ซ่ึงสง่ ผลใหโ้ ลกมนุษย์เตม็ ไปดว้ ยปญั หาความขัดแยง้ การตอ่ สกู้ นั อย่างไรค้ ุณธรรมและ จริยธรรมอย่างเหมาะสม นักวิชาการ ชอ่ื David R Loyไดก้ ล่าวในทำ� นองยืนยันความเช่ือของตนว่า คนในสงั คม ปัจจุบันท่ีถูกอวิชชา ครอบง�ำสูงสุดคือกลุ่มผู้ประกอบอาชีพสื่อสารมวลชนและบุคคลในแวดวง การศกึ ษาระดบั อดุ มศกึ ษา แตก่ ม็ ผี กู้ ลา่ วแยง้ วา่ บคุ คลระดบั ปญั ญาชนทม่ี คี ณุ ภาพทางสตปิ ญั ญา ๕๓ อา้ งแลว้ หนา้ ๗๓๖ ๕๔ อา้ งแลว้ , สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยตุ โฺ ต), หนา้ ๑๒๓.
สงู สดุ คือกลุม่ บคุ คลในแวดวงส่อื สารมวลชน แนวคดิ ของ David R Loy ไดร้ ับการขยายความ ต่อไปว่า บุคคลท่ีเช่ือข้อมูลจากส่ือสารมวลชนก็คือบุคคลที่ถูกอวิชชาครอบง�ำ ส่ือสารมวลชน ในสังคม ทุนนิยม คือองค์กรธรุ กิจอย่างหนึ่งทีม่ งุ่ เนน้ ผลก�ำไร และมกี ารแข่งขันกนั สงู มาก ข้อมูล ที่เผยแพร่ออกมาผ่านส่ือสารมวลชนมักจะไม่ได้รับการกล่ันกรอง เพราะไม่มีเวลา ดังนั้น บาง ขอ้ มูลทถ่ี กู เผยแพรผ่ า่ นสือ่ สารมวลชนอาจไม่เป็นจริงทง้ั หมดกไ็ ด้ธุรกิจส่อื สารมวลชนมคี วามรบี เรง่ ในการหาขา่ วสารและรบี นำ� เสนอขา่ วสารทค่ี ดิ วา่ นา่ จะไดร้ บั ความสนใจจากผอู้ า่ นหรอื ผดู้ แู ละ ทำ� ใหส้ อื่ ขายไดด้ ี การรบี เรง่ นำ� เสนอขา่ วสารในแตล่ ะวนั จงึ ไมไ่ ดข้ นึ้ อยกู่ บั การตรวจสอบความถกู ตอ้ งอย่างละเอียดถถี่ ้วน ขอ้ นจี้ งึ กลายเปน็ ปญั หาทางสตปิ ญั ญาของผเู้ สพขา่ วสารซงึ่ อาจจะไดร้ บั ขอ้ มลู ขา่ วสารที่ ไม่มีประโยชนแ์ ละกลายเป็นคนว่งิ ตามกระแสขา่ วสารอยา่ งไรส้ ติ ในที่สุดอวชิ ชาก็ครอบงำ� จติ ใจ การเปดิ รับสื่อสารตา่ ง ๆ ด้วยอวชิ ชา ย่อมทำ� ให้เป็นคนไม่ฉลาดทางสตปิ ญั ญา จติ ใจผรู้ บั ส่อื อาจ จะเตม็ ไปดว้ ยความเกลยี ด อาฆาต พยาบาท อนั เปน็ ผลมาจาการเสพตดิ ขา่ วสารเทจ็ กไ็ ด ้ สอื่ สาร มวลชนจงึ เปน็ ชอ่ งทางหนง่ึ ทป่ี ลอ่ ยความไมร่ จู้ รงิ มาสมู่ นษุ ย์ และมนษุ ยใ์ นปจั จบุ นั ยงิ่ ตกเปน็ ทาส ของส่ือสารมวลชนมากเท่าไร อวิชชา ก็ยิ่งครอบง�ำจิตใจมากข้ึนเท่าน้ันเป็นการยากท่ีมนุษย์ทุก 108 คนจะมวี จิ ารณญาณในการเสพขา่ วสารขอ้ มลู พ้นื ฐานทางจติ ใจ การศกึ ษาอบรม และสภาพสงิ่ แวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันส่งผลให้สติปัญญาและความมีวิจารณญาณของ มนุษย์แตกต่างกนั ออกไป เพราะฉะนน้ั ตวั ความรู้ (วิชน) ท่แี ท้จริงเท่าน้ันสามารถช่วยให้มนษุ ย์ มีวิจารณญาณไดอ้ ย่างถกู ต้องและถกู ชักจงู โดยตวั อวิชชา ตามหลักพุทธปรัชญา อวิชชา กับโมหะ มีนัยยะ ไม่แตกต่างกัน โมหะ คือความหลง ความงมงาย ความไมร่ คู้ วามเชือ่ อย่างไร้เหตุผล โมหะ หรือความหลง อาจแบง่ เป็น ๒ ระดับ คือ ระดบั ท่ี ๑ ความหลงโดยปราศจากสตปิ ัญญาและไม่รูค้ วามจรงิ แทข้ องโลก ระดับท่ี ๒ ความหลงโดยมีโลกียปัญญาและมจิ ฉาทฏิ ฐิ ปะปนอยู่ ความหลงโดยปราศจากสตปิ ัญญาและไม่รคู้ วามจริงแทข้ องโลก ความหลงแบบน ี้ เป็นความหลงท่ไี ม่มีพน้ื ฐานการศึกษาอบรม จนไม่สามารถแยกได้วา่ อะไรเปน็ กศุ ลอะไรไมเ่ ป็นกศุ ล อะไรเปน็ บาป อะไรเปน็ บุญ ปฏบิ ัตติ ามอ�ำนาจกิเลสตณั หาท่เี ปน็ ไปตามสัญชาตญาณสตั ว์โลก มคี วามพอใจส่งิ ใดก็ยดึ ตดิ กับสง่ิ นัน้ โดยไม่ยอมปล่อยวาง หากถูก ขดั ใจกจ็ ะแสดงอารมณโ์ กรธ ไมพ่ อใจตอ่ ผขู้ ดั ใจ ผทู้ มี่ คี วามหลงแบบนจ้ี ะใชอ้ ารมณห์ รอื ความรสู้ กึ
เปน็ ใหญใ่ นการตดั สนิ ทำ� หรอื ไมท่ ำ� สง่ิ ใดสงิ่ หนง่ึ ความรนุ แรงซงึ่ คงเปน็ ผลมาจากความหลงระดบั นี้ ค่อนขา้ งจะอยใู่ นระดบั สงู ความรูส้ ึกหลงยึดติดกับสงิ่ ทบี่ ุคคลพึงพอใจโดยไม่ยอมปลอ่ ยวาง เมื่อ ถึงเวลาที่ควรปล่อยวาง ถือว่าเป็นความโดยปราศจากความรู้เก่ียวกับสภาพอันแท้จริงของโลก สภาพอนั แทจ้ ริงของโลกจะเป็นไปตามกฎแห่งไตรลักษณ์ (อนจิ จัง ทุกขัง อนัตตา) และกฎแห่ง โลกธรรม (มลี าภ เสอื่ มลาภ มยี ศ เสือ่ มยศ มีสรรเสรญิ มีนนิ ทา มสี ขุ มที กุ ข์) ความหลงระดบั ทสี่ องเป็นความหลงทมี่ ีโลกียปัญญา และมิจฉาทิฏฐิ ปะปนกันอยู่ ความหลงในระดับน้ี ถือได้ว่าเป็นความหลงท่ีมีสติปัญญาอยู่บ้างแต่เป็นสติปัญญาระ ดบั โลกยี ะ คอื มคี วามรูค้ วามเข้าใจในส่ิงทสี่ มมติ หรอื บัญญัตขิ ้นึ มาโดยสงั คม และยึดติดกับสิ่ง สมมตหิ รอื บญั ญตั เิ หลา่ นวี้ า่ เปน็ ความจรงิ แท้ ตวั อยา่ ง เชน่ บคุ คลทมี่ คี วามเขา้ ใจวา่ ศกั ดศ์ิ รคี วาม เปน็ มนุษยก์ ็คือการได้รบั เกยี รติยกย่องให้ด�ำรงตำ� แหนง่ อย่างใดอย่างหนึ่ง ในสงั คม โดยอาจจะ เปน็ ตำ� แหน่งขา้ ราชการทหาร ต�ำรวจ หรอื พลเรอื น หรืออาจจะไดร้ บั การแตง่ ตัง้ ให้เหน็ ผูบ้ รหิ าร ระดบั สงู ในองคก์ ารธรุ กจิ เอกชน หรอื องคก์ ารรฐั วสิ าหกจิ หรอื องคก์ ารภาครฐั อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ บคุ คลทดี่ ำ� รงตำ� แหนง่ ดงั กลา่ ว หลงยดึ ตดิ กบั ตำ� แหนง่ และหลงยดึ ตดิ กบั เกยี รตยิ ศชอื่ เสยี งทตี่ าม มาจากการด�ำรงต�ำแหนง่ ดงั กลา่ ว โดยไม่ยอมรบั ฟังค�ำวพิ ากษว์ ิจารณข์ องบุคคลอนื่ เมือ่ มเี หตุ ปัจจัยผลกั ดนั ใหห้ ลุดพ้นจากตำ� แหนง่ ดังกล่าว จะรู้สึกว่าตนเอง สูญเสยี ศกั ดศ์ิ รคี วามเป็นมนุษย์ มีความรู้สกึ โกรธแคน้ อาฆาตพยาบาท บคุ คลทตี่ นเชื่อว่า เปน็ เหตทุ �ำใหต้ นหลดุ จากต�ำแหน่งที่ 109 ตนด�ำรงอยู่ก่อนนั้น ไม่ยอมรับกฎแห่งจริงแท้ของโลก โดยเฉพาะกฎแห่งสังคมที่กล่าวถึงในกฎ ไตรลกั ษณะและโลกธรรม ความหลงยึดติดแบบนมี้ คี อ่ นขา้ งสูงในโลกมนุษยป์ ัจจุบนั เราจงึ เห็นคนทมี่ สี ตปิ ญั ญา ได้ รบั การศกึ ษาระดับสงู กอ่ ความเดือนร้อนแตส่ ังคม และแก่แผน่ ดนิ ในรูปแบบตา่ ง ๆ ในทางธุรกจิ ผปู้ ระกอบกจิ การตา่ ง ๆ สว่ นใหญม่ กี ารศกึ ษาระดบั สงู และดำ� เนนิ ธรุ กจิ ดว้ ยกลยทุ ธแ์ ขง่ ขนั อยา่ ง บา้ คลัง่ เพอ่ื กอบโกยผลกำ� ไร และเอาเปรียบเหมือนบุคคลอื่นทง้ั ท่เี ปน็ คแู่ ข่งและไมใ่ ช่คแู่ ข่ง อยา่ ง ปราศจากศลี ธรรมอนั ดงี ามในทางการเมอื งกเ็ ชน่ กนั เราไดเ้ หน็ นกั การเมอื งทมี่ กี ารศกึ ษาระดบั สงู กลา่ วใหภ้ ยั โจมตคี แู่ ขง่ ทางการเมอื งอยา่ งไรศ้ ลี ธรรม นกั การเมอื งทไ่ี มไ่ ดร้ บั ชยั ชนะในการเลอื กตงั้ จะมคี วามอาฆาตแคน้ ตอ่ กล่มุ หรอื พรรคการเมืองที่ไดร้ ับชยั ชนะ และอาจนกึ คิดวา่ อ�ำนาจและ ตำ� แหนง่ การบรหิ ารการปกครองบา้ นเมอื ง ทคี่ แู่ ขง่ ยดึ ครองไปนน้ั เปน็ ของตนเทา่ นนั้ นกั การเมอื ง ท่ีมีมิจฉาทิฏฐิจะอาฆาตเคียดแค้นคู่แข่งเหมือนกับไม่ใช่มนุษย์ร่วมชาติเดียวกัน และไม่ยอมรับ กฎไตรลักษณ์และกฎแห่งโลกธรรม และพยายามทุกวิถีทางเพื่อยื้อแย่งอ�ำนาจการบริหารบ้าน เมอื งมาเปน็ ของตนเอง บางสังคมมีการใช้กลไกอ�ำนาจทางการบริหารหลายทางในการตอ่ สเู้ พื่อ แย่งชงิ อำ� นาจกลบั คืน เชน่ กลไกทหาร กลไกศาล กลไกองคก์ รอิสระและกลไกสื่อสารมวลชนถือ
ขา้ ง เปน็ เครอ่ื งมอื ในการแกแ้ คน้ ทำ� ลายลา้ งคแู่ ขง่ ทางการเมอื งของตนใหห้ มดอำ� นาจ ดงั ทเี่ กดิ ขน้ึ ในบางประเทศในโลกน้ี มนษุ ย์มีความหลงตดิ ในกามารมณม์ ากทสี่ ุด คอื หลงกิเลสที่ผา่ นมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรอื หลงรปู เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั และความคดิ ฟงุ้ เฟอ้ ๕๕ แตใ่ นยคุ สมยั ปจั จบุ นั มสี งิ่ ทผ่ี ลกั ดันให้มนุษย์ลุ่มหลงมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นความลุ่มหลงในวัตถุสิ่งของและลุ่มหลงในเงินตรา รวมทั้งส่งิ ที่สงั คมยกย่องวา่ มีคุณค่าสูงอน่ื ๆ เราจึงเห็นตวั อย่างของคนในสังคมโลก ม่งุ แสวงหา สิ่งบ�ำรุงบ�ำเรอชีวิตให้สุขส�ำราญ กล่าวคือลุ่มหลงในการกิน กาม และเกียรติ ทรัพย์ อ�ำนาจ อบายมุข และดังท่ีกล่าวมาแลว้ คอื หลงติดในสมมติวา่ เปน็ สจั จะ หลงติดกบั ตวั เอง และสิง่ ของ ของตัวเอง และเราจะเห็นว่าความหลงยึดติดน�ำความทุกข์มาสู่ชีวิตมนุษย์ หลงมากก็ทุกข์มาก หลงน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่หลงเลยก็ไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้น ความหลงจึงถือว่าเป็นความไม่รู้เท่าทัน สจั ธรรมตามความเปน็ จรงิ ๕๖ ลักษณะความรุนแรงทางวาจา ความรนุ แรงทางวาจา (Verbal Violence) เป็นแสดงออกโดยค�ำพดู โดยผ้พู ดู มเี จตนา ไมบ่ รสิ ทุ ธิ์ คำ� พดู ทแี่ สดงออกมานนั้ มลี กั ษณะหยาบคาย ไมม่ พี น้ื ฐานความจรงิ มงุ่ ทำ� รา้ ยผทู้ เี่ ปน็ 110 เป้าหมายในการพดู ถึงให้ได้รับความเสียหาย เสือ่ มเสียศักด์ศิ รี เปน็ ทเ่ี กลียดชัง และทำ� ใหผ้ ู้เห็น เปา้ หมายโกรธแค้นไมพ่ อใจพร้อมกบั พยายามตอบโต้ทุกวถิ ที าง ความรุนแรงทางวาจามีลักษณะส�ำคญั ดงั น้ี (๑) เปน็ วาจาหยาบคาย ฟงั แลว้ ไมไ่ พเราะหู (๒) เปน็ วาจาเทจ็ มงุ่ ใสค่ วามเพอ่ื ใหผ้ เู้ ปน็ เป้าหมายได้รับความเสียหายหรือมิฉะน้ัน เพื่อหวังผลประโยชน์ตอบแทนบางอย่างในลักษณะ หลอกลวง (๓) เป็นวาจาส่อเสียด พูดแดกดันในลักษณะดูถูก เหยียดหยาม (๔) เป็นวาจาที่ แสดงออกมาแบบพล่อยๆ ไร้ความรับผิดชอบ และไม่ค�ำนึงถึงผลกระทบทตี่ ามมา (๕) เปน็ วาจา ทสี่ ร้างความเกลียดชงั ให้แก่ผู้อื่น ความรุนแรงทางวาจา ถือว่าเป็นการพูดที่มุ่งก่อความเสียหาย ความทุกข์ ความเดือด รอ้ น ความเกลยี ดชงั ความอาฆาตพยาบาท แกผ่ อู้ น่ื โดยมเี จตนาเตม็ ไปดว้ ยความโกรธปราศจาก ความรัก ความเมตตาต่อผูอ้ ืน่ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ตอ่ คนที่เปา้ หมายของการพูดถึง เป็นการพดู จา ใสร่ า้ ยป้ายสสี ร้างความเกลยี ดชงั แก่ค่แู ขง่ ในทางการเมอื ง ๕๕ ว.วชริ เมธ,ี กเิ ลส management, (สำ� นกั พมิ พป์ ราการ, กรงุ เทพมหานคร : ๒๕๕๕), หนา้ ๑๔๙. ๕๖ อา้ งแลว้ , กเิ ลส management, หนา้ ๑๓๗.
มูลเหตุใหแ้ สดงความรุนแรงทางวาจา มูลเหตุผลกั ดันใหแ้ สดงความรนุ แรงทางวาจาแก่บุคคลอ่นื มี ดังน๕้ี ๗ (๑) ความไม่พอใจส่วนตัว (๒) ความกลัวว่าคู่แข่งจะได้รับผลประโยชน์เหมือนตน (๓) ความโกรธเนือ่ งจากถูกขัดใจ (๔) ความระแวงสงสยั (๕) ความล่มุ หลงขาดสติ (๖) ความเชือ่ ใน ค�ำพดู ยุยงของบคุ คลอนื่ วชิ าการสมยั ใหม่อธบิ ายมูลเหตผุ ลกั ดนั ให้แสดงความรนุ แรงทางวาจา แตกตา่ งกันออก ไป โดยนกั วชิ าการไดส้ รา้ งทฤษฎคี วามรนุ แรงทง้ั ทางกายและทางวาจาตามศาสตรท์ ต่ี นสนใจ และ ศกึ ษามา ดงั นี้ ๑. ทฤษฎี การรับรู้ทางจิตวิทยา (Psychological Perception theory) ๒. ทฤษฎีการขัดเกลาทางสังคมวิทยา (Sociological Socialization theory) ๓. ทฤษฎี ความขัดแย้งในผลประโยชน์ทางรัฐศาสตร์ (Political Interest Conflict theory) มลู เหตกุ ารณแ์ สดงความรนุ แรงทางวาจาตามทฤษฎดี งั กลา่ วขา้ งตน้ น้ี สามารถวเิ คราะห์ ความแนวปรชั ญาทางสงั คมกไ็ ด้ ซงึ่ ตง้ั อยบู่ นพนื้ ฐานการวจิ ยั ทางสงั คมศาสตร์ และจรยิ ศาสตรท์ าง สงั คม ทางทฤษฎีตั้งข้ึนมาตามผลของการศกึ ษาแบบสะสมในเวลาและสถานทตี่ ่าง ๆ บางทฤษฎี 111 ตง้ั ขน้ึ มาโดยอาศยั ประสบการณท์ างวชิ าการของนกั วชิ าการบางทฤษฎตี งั้ ขน้ึ มาโดยการประมวล เหตกุ ารณท์ างสงั คม และทางการเมอื งทม่ี ลี กั ษณะฝนั แปรซง่ึ นา่ จะเกย่ี วโยงกบั ปจั จยั หลายอยา่ ง ทฤษฎกี ารรบั รทู้ างจิตวทิ ยา ทฤษฎีการรับรู้เป็นทฤษฎีหลักทฤษฎีหน่ึงในทางจิตวิทยาซ่ึงอธิบายว่า มนุษย์มีการ แสดงออกทางพฤตกิ รรมโดยอาศยั การรบั รมู้ ากอ่ น มนษุ ยแ์ สดงพฤตกิ รรมเชงิ กา้ วรา้ ว เพราะรบั รู้ เนอื่ งจากตวั อยา่ งของบคุ คลท่แี สดงพฤตกิ รรมก้าวรา้ ว แลว้ ไดร้ บั การสนองตอบจากบคุ คลอน่ื ใน เชงิ ยอมสยบ กลวั เกรงใหส้ งิ่ ของทต่ี นตอ้ งการไดเ้ สนอชอ่ งทางการรบั รขู้ องมนษุ ยส์ ว่ นใหญจ่ ะเปน็ ชอ่ งทางตาและหู ซงึ่ กค็ อื การไดเ้ หน็ ภาพและไดอ้ า่ นขอ้ ความดว้ ยตา และการไดย้ นิ ไดฟ้ งั จากการ บอกเลา่ ดว้ ยเสยี ง มนษุ ยจ์ ะแสดงออกตามการรับรู้ เพราะไดเ้ ปดิ อินทรยี ์ดูและไดย้ นิ เป็นประจ�ำ จนเกิดความเคยชิน พฤติกรรมความก้าวร้าวเป็นประสบการณ์สะสมของมนุษย์ด้วย มนุษย์ที่มี ความชอบในการแสดงความรนุ แรงเรียกตามทฤษฎอี กี อยา่ งหนึ่งว่า ลทั ธิความนยิ มความรนุ แรง (Sadism) ๕๗ การอธบิ ายมลู เหตผุ ลกั ดนั การแสดงความรนุ ทางวาจาดงั กลา่ วนี้ ดำ� เนนิ การโดยประยกุ ตฐ์ านแหง่ หลกั พทุ ธธรรม วา่ ดว้ ยอคติ ๔ คอื ความลำ� เอยี ง หรอื การเลอื กปฏบิ ตั ิ ๔ ประการคอื ฉนั ทาคติ (ลำ� เอยี งเพราะรกั ) ภยาคติ (อำ� เอยี งเพราะกลวั ) โทศาคติ (ลำ� เอยี งเพราะโกรธ) และโมหาคติ (ลำ� เอยี งเพราะโมหะ)
ทฤษฎกี ารขดั เกลาทางสงั คมวทิ ยา ทฤษฎีน้ี อธิบายว่า พฤติกรรมของมนุษย์ได้รับการกล่อมเกลา จากค่านิยมของกลุ่ม กลุ่มมีค่านิยมการท�ำดีว่าอย่างไรก็จะอบรมสมาชิกในกลุ่มให้ปฏิบัติตามค่านิยมน้ัน และมีการ ถ่ายทอดสืบต่อกนั มาตามล�ำดบั ๕๘ เช่นในกล่มุ อาชญากรจะมคี า่ นยิ มการกอ่ ความรุนแรงตอ่ ชีวิต และทรัพย์สินโดยไม่ค�ำนึงถึงหลักกฎหมาย หรือหลักศีลธรรม และในสังคมเผด็จการท่ีผู้น�ำมี อ�ำนาจสูงสุด พฤติกรรมของมนุษย์ต้องแสดงออกท่ีไม่เป็นการต่อต้านผู้มีอ�ำนาจ ซึ่งผู้มีอ�ำนาจ อาจชอบแสดงความรนุ แรงทงั้ ทางกายและทางวาจาในการลงโทษผฝู้ า่ ฝนื คำ� สงั่ ของผมู้ อี ำ� นาจ ไม่ ว่าคำ� ส่ิงนน้ั จะเป็นอย่างไรกต็ าม ดังนน้ั การแสดงพฤติกรรมของมนษุ ย์ จงึ ถกู ก�ำหนดโดยคา่ นยิ ม ของกลมุ่ หรอื ของสงั คม บคุ คลในกลมุ่ จะมชี วี ติ อยรู่ อดตอ้ งปรบั ตวั ใหส้ อดคลอ้ งกบั บรรทดั ฐานการ ปฏิบัติอันเป็นค่านิยมของกลุ่มน้ัน กลุ่มที่ชอบความรุนแรงก็จะถ่ายทอดค่านิยมความรุนแรงไป ยังสมาชกิ ทฤษฎนี ี้ อธบิ ายพฤติกรรมของมนษุ ยว์ ่าเปน็ ไปตามอทิ ธิพลของสง่ิ แวดลอ้ มทางสงั คม และวฒั นธรรมความเชอ่ื และการปฏบิ ตั ิ หากสง่ิ แวดลอ้ มเปน็ คนพาล พฤตกิ รรมของมนษุ ยก์ จ็ ะมี ลกั ษณะเปน็ พาลไปดว้ ย ดงั พทุ ธภาษติ ในมงคลขอ้ ทห่ี นง่ึ วา่ อยา่ ไดค้ บคนพาล ขอใหค้ บแตบ่ ณั ฑติ จงึ เป็นมงคลหรอื เปน็ ความดที แ่ี ท้จริง๕๙ 112 ทฤษฎคี วามขัดแยง้ ในผลประโยชนท์ างรัฐศาสตร์ ทฤษฎีจะเน้นการขัดแย้งผลประโยชน์ทางการเมือง ซ่ึงได้แก่อ�ำนาจ ศักดิ์ศรี ความมี ทรพั ย์ และความมยี ศฐานบ์ รรดาศกั ดิ์ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ อำ� นาจถอื ไดว้ า่ เปน็ ความตอ้ งการสงู สดุ ของขบวนการทางการเมือง (Political movement) ในสังคมมนุษย์ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และต่อไปในอนาคต การแย่งชงิ อ�ำนาจทางการเมอื งได้เกิดข้นึ มาเปน็ ประจ�ำ ในสงั คมเผด็จการ การแย่งเชิงอ�ำนาจจะใช้ก�ำลังทุกอย่างโดยเฉพาะก�ำลังคน ก�ำลังอาวุธ และก�ำลังสติปัญญาใน การวางแผนยุทธศาสตร์การต่อสู้ ซึ่งมลี ักษณะรนุ แรง ในสงั คมเสรปี ระชาธปิ ไตย ท่ีก้าวหนา้ หรอื พฒั นาสงู การแยง่ ชงิ อำ� นาจจะใชว้ าจา หรอื คำ� พดู ในการดงึ ดดู ความสนใจและการสนบั สนนุ จาก สมาชกิ แหง่ สงั คม ซง่ึ จะตอ้ งวางกลยทุ ธใ์ นการตอ่ สอู้ ยา่ งระมดั ระวงั และอยา่ งเปน็ ระบบโดยเฉพาะ อยา่ งยงิ่ กลยทุ ธท์ เี่ ปน็ นโยบายของพรรคการเมอื ง อาจจะไมใ่ ชก้ ำ� ลงั คนและกำ� ลงั อาวธุ ในการตอ่ สู้ โดยตรงแต่จะต้องใช้กำ� ลงั ทรัพย์ กำ� ลงั สตปิ ญั ญา และกำ� ลังเทคโนโลยี กลยทุ ธก์ ารต่อสเู้ พือ่ แย่ง ชงิ อำ� นาจทางการเมอื งในสงั คมประชาธปิ ไตยแบบดอ้ ยพฒั นาหรอื กำ� ลงั พฒั นา มกั จะเปน็ การใช้ ความรุนแรงทางวาจาสร้างความเกลียดชังแก่คู่แข่งขันทางการเมืองในลักษณะเป็น“เอาความดี ๕๘ จำ� นงค ์ อดวิ ฒั นสทิ ธ,์ิ สงั คมวทิ ยา, (พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑๐, กรงุ เทพมหานคร : สำ� นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร;์ ๒๕๕๑) หนา้ ๖๘ ๕๙ ข.ุ ขุ ๒๕/๓๑๗/๓๗๖.
ใส่ตัว โยนความชวั่ แกฝ่ า่ ยตรงกันขา้ ม” หรือเป็นการใสร่ ้ายป้ายสีทำ� ลายคูต่ อ่ ส๖ู้ ๐ ความรนุ แรงทางวาจาในทางการเมือง ไดส้ ร้างความแตกแยกและความเกลยี ดชงั ทาง สงั คมเปน็ อยา่ งมากโดยใช้ Hate Speech หรอื วาจาแสดงความเกลยี ดชงั ไดถ้ กู แสดงออกมาโดย นกั การเมอื งบางคนทม่ี งุ่ สรา้ งความเกลยี ดชงั แกน่ กั การเมอื งคแู่ ขง่ ดว้ ยการพดู ใสร่ า้ ย ปา้ ยสี สาด โคลนความสกปรก ให้และอวดอ้างตนเองวา่ เป็นคนดี ไมเ่ คยจา่ ยสิ่งของหรือเงนิ ซอ้ื คะแนนเสียง แมแ้ ตบ่ าทเดยี วพฤตกิ รรมแสดงคำ� พดู ดงั กลา่ วมผี นู้ ยิ ามนกั การเมอื งประเภทนวี้ า่ “เอาความดใี ส่ ตวั เอาความช่วั ใส่คนอืน่ ” ความรนุ แรงทางวาจา : วเิ คราะหเ์ ชิงพทุ ธปรัชญา ความรนุ แรงทางวาจา พระพุทธศาสนาเรียกวา่ วจที ุจรติ ๖๑ (misconduct by speech) แปลวา่ ความประพฤตชิ ่ัวทางวาจา๖๒ และถอื ว่าเปน็ อกศุ ลกรรมทางวาจา ความประพฤติช่วั ทาง วาจานถ้ี กู ผลกั ดนั จากมโนทุจรติ (ความคดิ ชัว่ ) คือความโลภ ความโกรธ และความหลง วจีทุจรติ นี้มี ๔ อยา่ งคอื (๑) พดู เท็จ (๒) พดู ส่อเสียด (๓) พดู ค�ำหยาบ และ (๔) พดู เพอ้ เจ้อ วจที ุจริตท้งั ๔ อย่างนเ้ี ปน็ การแสดงความรุนแรงทางวาจาได้อยา่ งไร ๑. การพูดเท็จ (มสุ าวาทา) การพูดเทจ็ (False Speech) คือการพดู โกหก หรือพูดไม่จรงิ จดั เปน็ ความชว่ั ทสี่ งั คม 113 มกั จะมองขา้ ม แมก้ ระทงั่ ในองคก์ รภาครฐั ทเ่ี กย่ี วกบั การจดั การ ปอ้ งกนั และลงโทษการประพฤติ ทจุ ริต มักจะไม่ใหค้ วามสำ� คญั กับวจที จุ ริต แต่ดเู หมือนจะให้ความสำ� คญั กับการทจุ ริตเป็นพเิ ศษ เช่นการโกงทรัพย์สินของรัฐ และการแสวงหาทรัพย์ด้วยวิธีการผิดกฎหมายจะต้องได้รับการ จัดการลงโทษตามระดับโทษานโุ ทษ การพดู เทจ็ เป็นความรุนแรงทางวาจาได้อยา่ งไร การพูดเท็จ เช่นการกล่าวโจมตบี คุ คลอ่ืนให้เกิดความเสียหายด้วยสง่ิ ทไ่ี มเ่ ป็นจรงิ ท�ำให้ เกดิ การเสอ่ื มเสยี ชอ่ื เสยี งแกผ่ ถู้ กู กลา่ วโจมตเี ปน็ อยา่ งมาก ถา้ บคุ คลทถ่ี กู ใสร่ า้ ยเปน็ คนมชี อื่ เสยี ง และมีต�ำแหน่งการงานในระดบั สูงทางสงั คม ก็ยิ่งจะไดร้ บั การกระทบกระเทอื นเปน็ อยา่ งมาก ในทางการเมอื งจะมกี ารพดู เท็จใสร่ า้ ยปา้ ยสีค่แู ขง่ ทางการเมอื งที่มชี ่ือเสยี งใหเ้ กิดความ เส่อื มเสียเปน็ ประจำ� โดยเฉพาะในฤดกู าลรณรงคห์ าเสียงเลอื กตัง้ ดังได้กลา่ วมาแลว้ ๖๐ สรุ ศกั ด์ิ นานานกุ ลู , ฟองสบแู่ ตก ยดึ ทรพั ยส์ นิ ขายชาตขิ ายแผน่ ดนิ , (กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั ฟองทองเอน็ เตอร์ ไพรส์ จำ� กดั , ๒๕๔๒) หนา้ ๔๕-๔๖. ๖๑ ท.ี ปา ๑๑. ๒๒๘/๒๒๗ ๖๒ อา้ งแลว้ , สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยตุ โฺ ต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ์ ฉบบั ประมวลศพั ท์ ตพี มิ พค์ รง้ั ท่ี ๑๒ : ๒๕๕๑) หนา้ ๓๕๕
เหตผุ ลอยา่ งหนงึ่ ในการกลา่ วอา้ งเพอ่ื ความชอบธรรมในการยดึ อำ� นาจการปกครอง หรอื การท�ำรฐั ประหารก็คือรฐั บาลปลอ่ ยให้มกี ารโกง ประพฤติทุจริตอยา่ งหนกั ในวงการราชการโดย เฉพาะรัฐมนตรีบางกระทรวงมีพฤติกรรมใช้เงินงบประมาณแผ่นดินอย่างไม่โปร่งใส สร้างความ เสียหายแก่ประเทศชาติ เป็นตน้ ดว้ ยเหตผุ ลดงั กล่าว จึงทำ� การรฐั ประหาร๖๓ แตต่ อนหลังการ อ้างเหตุผลดังกล่าวพิสูจน์ได้ว่าไม่เป็นความจริง และไม่มีรัฐมนตรีคนใดถูกด�ำเนินคดี พิพากษา จ�ำคุกหรือถูกยึดทรัพย์สินแต่อย่างใด การพูดเท็จเป็นการกระท�ำที่สะเทือนความน่าเช่ือถือแก่ บคุ คลบางคนจดั เปน็ การกระทำ� ทีส่ ง่ ผลคอื ความเสยี หายตอ่ บคุ คลได้ การพดู ส่อเสยี ด (malicious speech) การพดู สอ่ เสยี ด (malicious speech) เปน็ การพดู ใหร้ า้ ยหรอื ประสงคร์ า้ ย หรอื เปน็ การ พูดยุยงใหแ้ ตกสามคั คีกัน๖๔ สงั คมโลกปจั จบุ นั มชี อ่ งทางการสอื่ สารคอื ผสู้ ง่ สารสามารถสง่ สารไปถงึ ผรู้ บั ไดไ้ กล กวา้ ง ขวาง และอยา่ งเปน็ อสิ ระ ปราศจากพรมแดน โดยอาศยั ระบบการสอ่ื สารสมยั ใหม่ ทร่ี วดเรว็ และ ส่งได้ไกล ซ่ึงมีการส่งสารโจมตีกันและกันอย่างไม่มีหิริโอตตัปปะ สังคมโลกปัจจุบันท่ีมีอิทธิพล มากคือ สังคมออนไลน์ (On-line Society) อันเป็นสังคมท่ีมนุษย์มีการติดต่อกันโดยอาศัยส่ือ 114 อนิ เตอรเ์ นต็ ตา่ ง ๆ เชน่ Face book, YouTube เปน็ ตน้ ชอ่ งทางการพดู ยยุ งสง่ เสรมิ การแตกแยก ความสามัคคี จึงมมี ากเกนิ กวา่ จะควบคมุ ได้ การพูดสง่ เสยี ดเกิดจากความเกลยี ดชงั เป็นพื้นฐาน ความเกลยี ดชงั เปน็ ผลมาจากความไมช่ อบเปน็ การสว่ นตวั นอกจากนคี้ วามเกลยี ดชงั อาจเปน็ ผล มาจากการถูกชักจูงโน้มน้าวให้เกิดความเกลียดจากกลุ่มขัดแย้งทางการเมือง วัฒนธรรม และ เศรษฐกิจ การพูดส่งเสียดโดยผ่านสื่อจึงเป็นการกระท�ำรุนแรงต่อสังคมอย่างหน่ึงเพราะท�ำให้ สงั คมเกดิ ความแตกแยก และคนทตี่ กเปน็ เปา้ หมายการพดู สอ่ เสยี ดยอ่ มจะไดร้ บั ผลสะเทอื นทาง อารมณ์ อนั เนื่องมาจากแรงเสยี ดสีแรงกระแทกทางวาจาส่อเสยี ด การพูดส่อเสียดมีลักษณะการ พดู แบบแดกดนั ผฟู้ งั ทเ่ี ปน็ เปา้ หมายยอ่ มมคี วามรสู้ กึ เจบ็ ปวดและโกธรเคอื ง หากควบคมุ อารมณ์ ไม่ได้ย่อมแสดงออกในเชงิ ตอบโต้ และก่อเหตุทะเลาะวิวาท สร้างความรุนแรงทางกายและทาง อารมณใ์ หแ้ กค่ กู่ รณี การพดู สอ่ เสยี ดอาจเปน็ การพดู แบบเปรยี บเปรยหรอื พดู ลอยๆ มงุ่ กระทบตอ่ ผู้ฟงั ใหผ้ ฟู้ ังได้รับความเจบ็ ปวดทางอารมณ์ดว้ ยความสะใจของผู้พดู การพูดสง่ เสียดถูกกระตนุ้ ด้วยอารมณ์โกรธ เกลียด และไม่พอใจ เป็นคำ� พดู ทีไ่ มบ่ ริสุทธิ์ เพราะเจือดว้ ยความอาฆาต มาด ร้าย ดังนั้น การพูดสอ่ เสียดจึงนบั ได้วา่ เป็นวาจาทรี่ ุนแรงอย่างหน่งึ ๖๓ ดูแถลงการณ์คณะรัฐประหารท่ีเรียกชื่อว่า คณะรักษาความสงบสุขแห่งชาติ (รสช.) ท่ีท�ำการยึดอ�ำนาจการ ปกครองเมอ่ื พ.ศ. ๒๕๓๕ ซง่ึ ระบเุ หตผุ ลการทำ� รฐั ประหารอยา่ งหนง่ึ วา่ เปน็ เพราะการประพฤตทิ จุ รติ ของรฐั บาล ๖๔ อา้ งแลว้ , สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยตุ โต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ หนา้ ๑๗๓.
การพดู คำ� หยาบ (ผรสุ วาจา) การพูดคำ� หยาบ (Harsh Speech) คอื การพูดคำ� ท่ีไม่สภุ าพ ไมไ่ พเราะ ไม่ถูกกาละ เท สะ และตวั บคุ คล คำ� หยาบเป็นค�ำท่ผี ู้ฟงั ไมช่ ืน่ ชม ผู้ฟังฟงั แลว้ เกดิ ความโกรธ ไม่พอใจ ผู้ทพ่ี ดู คำ� หยาบมักจะเป็นผู้ที่ขาดการอบรมสั่งสอน ขาดสติสัมปชัญญะ เป็นคนชอบโกรธ แสดงอารมณ์ โกรธโดยไมม่ สี ติยับยั้ง และมเี จตนาไม่บรสิ ทุ ธ์ใิ นการพดู มุง่ ใหเ้ กิดความเจ็บปวดแกผ่ ูฟ้ งั ลกั ษณะ ของคนพูดค�ำหยาบ จึงสรปุ ได้ ดงั น้ี ๑) เปน็ คนขาดการศึกษาอบรม ๒) เปน็ คนเจ้าอารมณ์ (โทสจริต) ๓) เปน็ คนมีเจตนาไม่ บรสิ ุทธิ์ ๔) เปน็ คนไม่รจู้ กั กาละเทศะ และตัวบุคคลที่พูดดว้ ย กลา่ วโดยลกั ษณะ คำ� หยาบ เปน็ คำ� ทส่ี งั คมพจิ ารณาวา่ เปน็ คำ� พดู ของคนชนั้ ตำ่� ในสงั คม เปน็ คำ� พดู ทผ่ี ฟู้ งั รบั ไมไ่ ด้ และมกั จะเปน็ คำ� พดู ทเี่ จอื ดว้ ยคำ� ดา่ วา่ อยา่ งไรค้ วามปราณี อาจจะดา่ วา่ บคุ คลอน่ื ดว้ ยคำ� วา่ “ไอ.้ .หรอื . อ.ี ..นำ� หนา้ และอาจตอ่ ทา้ ยดว้ ยสตั วโ์ ลกบางชนดิ ทม่ี ภี าพลกั ษณะ แสดงความโง่ เช่ืองไมด่ ุรา้ ย เช่น วัว ควาย หรืออาจจะดรุ า้ ยกไ็ ด้ เชน่ เสอื สนุ ขั คนพดู ค�ำหยาบ มกั จะพจิ ารณาวา่ เปน็ คนไรก้ ารศกึ ษา เปน็ คนไมม่ วี ฒั นธรรมผดู้ ี เปน็ คำ� พดู ของไพร่ กรรมกร คน ยากจน ไมม่ ชี าตสิ กุล เป็นตน้ แต่การพูดค�ำหยาบ อาจเป็นค�ำพูดท่ีแสดงความคนุ้ เคยกนั อย่าง ยิ่งก็ได้ เช่นเพื่อนสนิทอาจพูดกันประหน่ึงไม่เคารพกันโดยใช้วาจาหยาบคายพูดกันแบบไม่ต้อง 115 เกรงใจกนั ก็ได้ ซ่ึงกรณเี พ่ือนสนิทท่ีมกี ารพดู ต่อกนั ดว้ ย คำ� พูดทม่ี ีลกั ษณะหยาบคายปนอยูด่ ว้ ย ไม่ถือว่าเปน็ การพูดม่งุ ใหร้ ้ายและก่อความสะเทือนอารมณใ์ หแ้ ก่กนั เกณฑ์การตัดสนิ การพดู หยาบ (วจที ุจริต) ในการพจิ ารณาวา่ คำ� พดู ใดเปน็ วจที จุ รติ หรอื ไมน่ นั้ มเี กณฑต์ ดั สนิ ในเชงิ พทุ ธปรชั ญา ดงั น้ี ๑) เจตนาของผู้พดู ๒) ผลกระทบจากการพูด ๓) เวลาในการพดู ๔) สถานทีใ่ นการพดู ๕) บุคคลท่พี ดู ด้วย ๖) การตดั สนิ ใจของวญิ ญูชน สมเดจ็ พระพุทธโฆษาจารย์(ปอ.ปยตุ โต) ไดส้ รปุ หลักเกณฑ์ตัดสินความดี ความชวั่ หรอื กรรมดี กรรมชว่ั ท้งั ตามแนวกรรมนิยมล้วน ๆ และกรรมนิยามทส่ี ัมพันธ์กบั สังคมนิยมนี้ ทงั้ โดย สภาวะและโดยคณุ ค่า๖๕ ในการพูดคำ� หยาบ คำ� สอ่ เสยี ด หรือค�ำพดู เพ้อเจอ้ ไร้สาระเปน็ วาจาทจุ ริต คือการกระ ท�ำความชั่วทางวาจา มเี กณฑ์วินจิ ฉยั หรือเกณฑ์ตดั สิน ดงั นี้ ๖๕ อา้ งแลว้ , สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยตุ โฺ ต),พทุ ธธรรม, หนา้ ๑๘๐
๑) พิจารณาจากคุณและโทษตอ่ ชวี ิตหรอื ต่อจติ ใจและบคุ ลิกภาพของผูพ้ ูด ๒) พจิ ารณาจากคณุ และโทษต่อบุคคลว่าทำ� ใหต้ นเดอื นรอ้ ยหรือไม่ ๓) พิจารณาจากคณุ และโทษต่อสังคม ว่าเปน็ การเบียดเบียนทำ� ให้ผูอ้ ืน่ เดอื ดรอ้ นหรือ ไม่ เปน็ การท�ำลายหรือเอื้อประโยชนส์ ุขต่อผอู้ ่ืนหรือสว่ นรวมหรอื ไม่ ๔) พิจารณาจากมโนธรรมคอื จิตสำ� นึกของตวั เอง ๕) พจิ ารณาตามมาตรฐานทางสังคม รวมถงึ บทบัญญตั คิ ำ� สอนทางศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี กฎหมายและบรรทดั ฐาน การประพฤตปิ ฏิบตั ทิ างสงั คม ๖) พิจารณาจากการกลน่ั กรองและตรวจสอบของวิญญชู นทงั้ หลาย ๗) พจิ ารณาตามกระแสค่านิยมในช่วงแห่งกาลสมยั ซึ่งมีการเปลยี่ นแปลงเปน็ ประจำ� ในคมั ภีรส์ ังยุตตนกิ าย สคาทาวรรค พระไตรปฎิ กเล่ม ๑๕๖๖ พระพทุ ธเจ้าตรสั ว่า “ธรรมสามประการ เพอื่ เกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกดิ ขึน้ เพอื่ มใิ ชป่ ระโยชนเ์ กอ้ื กลู เพอื่ ความ ทกุ ข์ เพ่ือความ เป็นอยไู่ มผ่ าสกุ สามประการคืออะไร ได้แก่โลภะ....โทสะ...โมหะ ฯลฯ” “คนโลภ ปรุงแตง่ กรรมใด ด้วยกาย วาจา ใจกรรมนนั้ เปน็ อกุศล คนทีม่ ีความโลภ ถูก ความโลภครอบง�ำ.........ย่อมหาเรื่องก่อความทุกข์แก่ผู้อ่ืนโดยการฆ่าเขาบ้าง จองจ�ำบ้าง ท�ำให้ 116 สญู เสียบา้ งต�ำหนิโทษเอาบา้ ง ขบั ไล่บา้ ง..ดว้ ยถอื วา่ เปน็ คนมีก�ำลงั .............” “คนมโี ทสะ ปรงุ แต่งกรรมใดด้วย กาย วาจา ใจแม้กรรมนน้ั กเ็ ปน็ อกศุ ล คนทม่ี ีโทสะ ย่อมหาเร่ืองตอ่ ความทกุ ขแ์ กผ่ ูอ้ ่นื ............” “คนมโี มหะ ปรุงแต่งกรรมใดด้วย กาย วาจา ใจแมก้ รรมนัน้ เปน็ อกศุ ล คนมโี มหะ.... ยอ่ มหาเรื่องกอ่ ความทุกขแ์ ก่ผอู้ น่ื ......” วจีทุจริต จึงถือว่าเป็นความประพฤติช่ัวทางวาจา๖๗ หรือการแสดงออกที่มีผลกระทบ เป็นความทุกข์ ความโกรธ ความไม่พอใจแก่ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นผู้ที่กล่าววจีทุจริตจึงถือว่าเป็นผู้ กอ่ ความรนุ แรงทางวาจา และเปน็ ผสู้ รา้ งปญั หาสงั คมอยา่ งหนง่ึ หากผพู้ ดู เปน็ คนมตี ำ� แหนง่ ทาง สังคมสูง คำ� พูดวจีทุจรติ ย่อมส่งผลกระทบรุนแรงในวงกวา้ ง และกระทบถงึ ความน่าเช่ือถอื และ ศักด์ิศรีของผู้พูด ขณะเดียวกันหากผู้ที่ถูกพูดถึงหรือผู้ที่เป็นเป้าหมายของการพูดมีสถานภาพ ทางสงั คมและการเมอื งในระดบั สูง ผลกระทบจากการพดู วจีทุจริตไมว่ ่าจะเป็นคำ� หยาบ คำ� เทจ็ ค�ำเสียดสี เยาะเยย้ หรือค�ำพดู ในลักษณะดหู ม่นิ เหยยี ดหยาบ ยอ่ มสร้างความไม่พอใจแกก่ ลมุ่ ผู้ สนบั สนนุ ซ่ึงมเี ป็นจำ� นวนมากในสงั คม ปฏกิ ริ ิยาตอบโตก้ ลบั ในลกั ษณะรนุ แรงก็จะถกู แสดงออก ๖๖ ส.ํ ส. ๑๕/๔๐๓/๑๔๒ ๖๗ อา้ งแลว้ , ราชบณั ฑติ ยสถาน พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน, พ.ศ. ๒๕๔๒, หนา้ ๑๐๕๒.
มาดว้ ย ความขัดแยง้ ในสังคม สว่ นใหญม่ าจากวจที จุ ริตระหว่างผนู้ �ำกลุม่ ต่างๆ ในสงั คม กล่าวโดยทางศีลธรรม การประพฤติช่ัวทางวาจา ก็คือการท�ำบาปอย่างหน่ึงเป็นการ ท�ำบาปโดยผู้ท�ำไม่มีหิริโอตตัปปะ ผู้ท�ำบาปทางวาจาถือได้ว่าเป็นผู้ล่วงละเมิดศีลธรรมว่าด้วย การพูดท่ดี ี การพูดทด่ี ี (วจสี จุ ริต) คือการงดเวน้ จากการพูดชั่ว เวันจากพดู เท็จ เว้นจากการพูด ค�ำหยาบ เว้นจากการพูดส่อเสียด และเวน้ จากการพดู เพ้อเจ้อ อยา่ งไรกต็ ามการลว่ งละเมดิ ศลี ธรรมอาจไมเ่ ปน็ บาปเสมอไป ทง้ั นข้ี น้ึ อยกู่ บั องคป์ ระกอบ แหง่ การกระทำ� องคป์ ระกอบแห่งบาปประกอบดว้ ยเจตนาของผู้ท�ำความเพยี รพยายามในการก ระทำ� ทง้ั โดยตรงและโดยออ้ ม รวู้ า่ การกระทำ� นน้ั ไมด่ ี แตก่ ย็ งั ขนื ทำ� ผลคอื ความทกุ ขเ์ กดิ ขน้ึ แกผ่ ู้ ถกู กระทำ� องคป์ ระกอบเหลา่ นี้ เจตนาเป็นองค์ประกอบส�ำคญั ท่ีสดุ พระพทุ ธเจ้าตรสั วา่ “เจตา นานั่นแหละคอื การกระทำ� ”๖๘ วิเคราะห์จากทฤษฎีปรัชญาทางจริยธรรมหรือจริยศาสตร์ โดยเฉพาะทฤษฎี Utilitarianism๖๙ (สารประโยชน์นิยม) การท�ำใดๆ ก็ตาม หากด�ำเนินไปแล้วเกิดประโยชน์สุข สงู สดุ แกค่ นจำ� นวนมากทส่ี ดุ การกระทำ� นน้ั ถอื วา่ เปน็ การกระทำ� ความดี ปรชั ญาจรยิ ศาสตรส์ าขา นมี้ องไปทผี่ ลของการกระทำ� เปน็ หลกั การกระทำ� ผดิ ศลี ธรรมทางศาสนาหากเกดิ ประโยชนส์ ขุ แก่ คนหมู่มาก การกระทำ� นั้น ๆ ไม่จัดเปน็ ทจุ ริตหรอื ความประพฤติชว่ั ขอ้ น้ไี ม่ค�ำนงึ ถงึ วา่ จะเปน็ 117 กายทจุ รติ หรอื วจที จุ รติ กต็ าม ผลจากการกระทำ� เปน็ เกณฑใ์ ชต้ ดั สนิ การกระทำ� ดหี รอื กระทำ� ความ ช่วั เจตนาในการกระท�ำไมใ่ ชเ้ กณฑ์ตดั สนิ การทำ� ความดีอยา่ งเดยี ว กล่าวโดยสรุป ความรนุ แรงทางวาจา เป็นท่ียอมรับว่า ความรุนแรงทางวาจาก่อให้เกิดปัญหา คือความทุกข์ ความเจ็บปวด แก่ผู้ไดร้ บั ฟงั เป็นอยา่ งมาก โดยไม่ค�ำนึงถงึ ผู้รับฟงั โดยตั้งใจ (ผูท้ ี่เป้าหมายของการพดู ถงึ ) หรือผู้ ฟังโดยไม่เกี่ยวข้องด้วยก็ตาม ผลกระทบจากการใช้วาจารุนแรงเกิดขึ้นในทุกระดับกล่าวคือ ใน ระดบั ปจั เจกบคุ คล ระดบั กลมุ่ และระดบั ชาติ และหากผพู้ ดู มสี ถานภาพระดบั เปน็ ผนู้ ำ� ทโี่ ลกรจู้ กั ก็ย่อมกระทบถึงผทู้ ่ีอย่ใู นชาติอนื่ ๆ ด้วย ความรนุ แรงทางวาจาบางอยา่ งเชน่ การพดู เทจ็ ในบาง สถานการณ์และในบางเวลา อาจจะเป็นผลดีแก่บุคคลและแก่สังคมก็ได้ บุคคลที่ประกอบอาชีพ บางอย่างอาจจะเสยี งต่อการพูดเท็จมากทีส่ ดุ และดูจะเข้าขา่ ยการประพฤติชว่ั ทางวาจา อาชีพ ธรุ กิจการคา้ ขาย อาชพี นกั การเมืองอาชพี นกั การทูต อาชีพนกั ขายประกันภยั อาชพี ทนายความ และอาชีพในกระบวนการยุตธิ รรมบางอาชพี อาชีพดังกลา่ วน้ี ลว้ นแต่เสย่ี งต่อการละเมิดศีลขอ้ ๖๘ เปรยี บเทยี บกบั องคป์ ระกอบการละเมนิ ศลี ขอ้ ที่ ๑ คอื การงดเวน้ จากการฆา่ สตั ว์ ด.ู .... ๖๙ จำ� นงค ์ อดวิ ฒั นสทิ ธ,์ิ “จรยิ ธรรมสำ� หรบั ผนู้ ำ� ”, กรงุ เทพมหานคร : โครงการบณั ฑติ ศกึ ษา สาขาวชิ าพฒั นา สงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๕๖ หนา้ ๔๓-๔๕. (อดั สำ� เนา)
มุสาวาทมากที่สุด แต่การพูดเท็จของกลุ่มบุคคลท่ีประกอบอาชีพดังกล่าวสังคมอาจจะไม่ถือว่า เปน็ การพดู เทจ็ กไ็ ด้ และในกลมุ่ อาชพี ดงั กลา่ ว อาจพจิ ารณาการพดู เทจ็ วา่ เปน็ กลยทุ ธอ์ ยา่ งหนง่ึ เชน่ กลยทุ ธท์ างการเมอื ง กลยทุ ธท์ างการตลาดกลยทุ ธท์ างการขาย กลยทุ ธใ์ นการประสานความ สามคั คี (นักการทูต) กลยุทธใ์ นการช่วยลูกคา้ (ทนายความ) เป็นตน้ ปญั หาทางจรยิ ธรรม สามารถเอ่ยถงึ ไดว้ ่า กลยุทธท์ ้ังหลายเหล่าน้นั ลว้ นเป็นกลยุทธ์การโกหกอยา่ งหน่งึ ซ่งึ กอ่ ให้เกิด ผลดีทางการเมือง ทางธุรกิจ และทางการทูต เป็นต้น ถ้าหากบรรดากระจกส่องเงาของสังคม เชน่ สอ่ื สารมวลชน เปน็ กลมุ่ เดยี วกนั กบั บคุ คลทปี่ ระกอบอาชพี เหลา่ นนั้ กจ็ ะยกยอ่ งคนพดู โกหก วา่ เป็นคนดี มศี ลี ธรรม เพราะฉะนน้ั คา่ นยิ มการพูดเทจ็ ของกลุม่ ท่ปี ระกอบอาชีพดังกลา่ วจึงได้ รับการยกย่องว่า เป็นเร่ืองดีในแง่ธุรกิจหรืออาชีพการงาน เม่ือเป็นเช่นน้ีผลกระทบคือปัญหา ความเดือดร้อนจงึ ไม่ค่อยมกี ารเอย่ ถึง การพดู เท็จจึงกลายเป็นปรัชญาชวี ิตการทำ� งานของกลมุ่ บางประเภท ในที่สุดสังคมก็ดูเหมือนจะยอมรับการพูดเท็จว่าเป็นกลยุทธ์จ�ำเป็นท่ีน�ำไปสู่ความ สำ� เร็จในการประกอบอาชีพบางอย่างในเรอื่ งน้ี ปรชั ญาทางศลี ธรรมระดบั ศาสนาว่าการพูดเท็จ เปน็ บาป จะไมค่ อ่ ยมคี นสนใจมากนกั การพดู เทจ็ จงึ ถอื วา่ เปน็ แกน่ ปรชั ญาทางสงั คมสำ� หรบั กลมุ่ อาชพี บางอย่าง ดงั ท่ปี รากฏอยู่ในสงั คมโลกปัจจบุ ัน ในสมัยพุทธกาล มีบุคคลจ�ำนวนมากท่ีสามารถใช้ศิลปะการพูดเท็จบรรลุถึงเป้าหมาย 118 ทางสังคม และทางการเมือง เชน่ พราหมณ์ทช่ี ่อื วสั สการพราหมณส์ ามารถใชศ้ ลิ ปะการพูดเท็จ ยยุ งให้เจา้ ชายลจิ ฉวีแตกความสามคั คใี นท่ีสุด เจ้าชายท้ังหลายตา่ งระแวงสงสยั และไม่เอาใจใส่ ชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู กนั ไมร่ ว่ มมอื กนั บรหิ ารประเทศชาติ ประเทศชาตเิ กดิ ความออ่ นแอ พอพระเจา้ อชาตศตั รยู กทพั มาตกี ส็ ามารถตไี ดง้ า่ ย แควน้ วชั ชลี ม่ สลายเพราะการยยุ งดว้ ยกลยทุ ธข์ องจารชน หรือไส้สกึ ๗๐ การเสพยาเสพยต์ ิด (Addicted Drugs) ปญั หาสงั คมทสี่ ง่ ผลกระทบระดบั วกิ ฤตทง้ั ตอ่ บคุ คลและสงั คม ปญั หาหนง่ึ คอื ปญั หายา เสพยต์ ดิ ยาเสพยต์ ดิ มมี านานตงั้ แตก่ อ่ นสมยั พทุ ธกาล และไดพ้ ฒั นาเปลยี่ นแปลงรปู แบบการผลติ ส่วนผสม และฤทธิ์ของยาให้มีความเข้มข้นและรุนแรงมากยิ่งขึ้นแก่ผู้เสพยาเสพย์ติดมีท้ังที่เป็น ของเหลว หรือเปน็ น้�ำและเปน็ สารแหง้ หรอื สารสกัด โดยตวั ของมันเอง ส่ิงเสพตดิ มคี ุณลกั ษณะ เป็นยาใช้รักษาความเจ็บปวดและรักษาโรคบางอย่างได้ หากไม่ได้เสพจะเกิดภาวะคลุ้มคล่ัง กระวนกระวายใจ ควบคมุ ตนเองไมไ่ ด้ คล้ายกับคนเสียสติ คนทต่ี ิดสิ่งเสพติดอาจจะทำ� ร้ายคน อื่นได้ และอาจจะท�ำทุกวิถีทางเพื่อหาเงินไปซื้อส่ิงเสพติดน้ันๆ โดยเฉพาะการต่ออาชญากรรม ลกั ขโมยสง่ิ ของรวมทงั้ ปล้นจ้ี เปน็ ต้น ๗๐ ดรู ายเอยี ดใน ท.ี ม. ๑๐/๖๘/๘๖; อง.สตตก. ๒๓/๒๐/๑๘ และสมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย,์ ๒๕๕๑, พจนานกุ รม พระพทุ ธศาสนาฉบบั ประมวลศพั ท์ อา้ งแลว้ หนา้ ๒๖
การติดยาเสพย์ติด เริ่มต้ังแต่การสูบบุหรี่ การด่ืมเครื่องด่ืมท่ีมีแอลกอฮอล์ การสูบฝิ่น กญั ชา การเสพยาไอซ์ ยาน�้ำ และส่ิงเสพตดิ อืน่ ๆ ทอ่ี อกฤทธ์ิสรา้ งภาพหลอนใหแ้ ก่ผู้เสพ ทำ� ให้ ผู้เสพติดกลายเป็นคนป่วยทางกายและทางจิต มีสภาพคล้ายคนบ้าเสียสติ มีความลับ ความ หวาดระแวงคนอน่ื วา่ จะทำ� รา้ ยตนปจั จบุ นั ในประเทศไทยมผี ปู้ ว่ ยตดิ ยาเสพยต์ ดิ เปน็ จำ� นวนมาก๗๑ ยาเสพย์ติด หมายถึงสารใด ๆ ก็ตามที่เสพไปแล้ว ท�ำให้ผู้เสพมีความต้องการจะเสพ ตลอดเวลา ผาเสพย์ติดท่ีมีผู้เสพมากท่ีสุดคือ ยาบ้า๗๒ คนท่ีติดยาเสพย์ติดมากที่สุดคือคนว่าง งานอยใู่ นชอ่ งอายุ ๒๐-๓๐ ป๗ี ๓ สารเสพย์ตดิ ติดชนิดหนึง่ ที่มีผนู้ ิยมเสพมากท่สี ุดคือสุรา เคร่ือง ด่ืมท่ีมีสารแอลกอฮอล์ ผสมได้แก่สุราและเบียร์ เคร่ืองดื่มประเภทมึนเมาดังกล่าว มีผู้เสพเป็น จ�ำนวนมาก ผลิตไม่พอกันจ�ำนวนผู้บริโภคได้มีการส่ังเข้าจากต่างประเทศเป็นจ�ำนวนมาก จน กระท่ังประเทศไทยติดสถิติโลกมีผู้ดื่มเครื่องดื่มประเภทมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เป็นอันดับ ต้นๆ ของโลก๗๔ ผลจากการเสพสงิ่ เสพยต์ ิดดังกล่าว ท�ำใหเ้ กดิ ปัญหาสังคม ซึง่ จะตอ้ งมเี สยี ค่าใช่ จา่ ยสงู มาก เชน่ ปญั หาการทะเลาะววิ าท ปญั หาสขุ ภาพอนามยั ทงั้ ทางกายและจติ ใจ ปญั หาการ ถูกขับไล่ออกจากงาน ปญั หาคา่ ใชจ้ ่ายในการป้องกนั ปราบปรามและแกไ้ ข สงิ่ ทีส่ �ำคญั ที่สดุ ปัญหาหน่งึ คือ ปญั หาอบุ ัตเิ หตุบนท้องถนน๗๕ สังคมโลกมีค่านิยมร่วมกันอย่างหน่ึงคือค่านิยมในการใช้สุรา เบียร์ หรือเคร่ืองด่ืมท่ีมี 119 ส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในการเลี้ยงฉลองความส�ำเร็จในการปกระกอบอาชีพการงาน๗๖ หรือ เลย้ี งฉลองต�ำแหน่งใหมท่ ีส่ ูงขึน้ หรอื การได้รับรางวลั ยกย่องด้านใดดา้ นหน่งึ คา่ นิยมดงั กลา่ วได้ รับการยอมรับ และน�ำมาปฏิบัติแม้กระทั่งในการเลี้ยงต้อนรับแขกต่างประเทศระดับที่มีความ สำ� คญั อยา่ งยงิ่ กลา่ วไดว้ า่ เครอื่ งดมื่ ทม่ี แี อลกอฮอลผ์ สมเปน็ เครอื่ งดมื่ ทโ่ี ลกใหก้ ารยอมรบั และถอื เปน็ สญั ลกั ษณ์ในการฉลองความส�ำเร็จและการใหก้ ารต้อนรับท่ยี งิ่ ใหญ๗่ ๗ สรุ า เรียกชอ่ื อีกอย่าง หนึ่งว่า น�้ำอมฤต (น�้ำที่เป็นอมตะ) เป็นน้�ำศักดิ์สิทธิ์ผู้ท่ีมีโอกาสด่ืม ก็คือผู้ที่อยู่ในต�ำแหน่งทาง ๗๑ ตวั เลขสถติ ผิ ตู้ ดิ ยาเสพยต์ ดิ กระทรวงยตุ ธิ รรม โดยศนู ยอ์ ำ� นวยการปอ้ งกนั และปราบปรามยาเสพยต์ ดิ แหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ จำ� นวนทงั้ สน้ิ ๓๐๓,๕๐๙ คน. ๗๒ สถาบนั ธญั ญารกั ษ,์ “รายงานผปู้ ว่ ยทตี่ ดิ ยาเสพยต์ ดิ ประเภทยาบา้ มากกวา่ ยาเสพยต์ ดิ ประเภทอนื่ ๆ” พ.ศ.๒๕๕๘. ๗๓ อา้ งแลว้ , สถาบนั ธญั ญารกั ษ์ ๗๔ ตามสถติ ขิ องสำ� นกั งานปราบปรามยาเสพยต์ ดิ แหง่ ชาติ ประเทศไทยตดิ อนั ดบั ๔ ของโลกในการบรโิ ภค เครอ่ื งดมื่ ทมี่ สี ารแอลกอฮอลผ์ สม ๗๕ ตามสถติ ปิ ระเทศทม่ี อี บุ ตั เิ หตบุ นทอ้ งถนนในโลกปรากฏวา่ ประเทศไทยตดิ อนั ดบั ๒ ของโลกทม่ี อี บุ ตั เิ หตเุ กดิ ขนึ้ บนทอ้ งถนนมาทส่ี ดุ รายงานขอ้ มลู จาก Global Status Report on Road Safety, ๒๐๑๕, องคก์ ารอนามยั โลก. ๗๖ ดรู ายละเอยี ดในกลั ปล์ กิ า ฉนิ วริ รุ หศ์ ริ ทิ รพั ย ์ ปจั จยั ทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการดม่ื สรุ าของผถู้ กู คมุ ประพฤติ คดเี มาแลว้ ขบั วทิ ยานพิ นธศ์ ลิ ปะศาสตรม์ หาบณั ฑติ มหาวทิ ยามหดิ ล, ๒๕๕๗. ๗๗ การใชส้ รุ าเปน็ เครอ่ื งดมื่ สำ� คญั เชน่ การอวยพรวนั เกดิ อวยพรคบู่ า่ วสาวในงานเลยี้ งฉลองสมรส และการแสดง ความยนิ ดใี นความสำ� เรจ็ บางอยา่ งและการฉลองเทศกาลขนึ้ ปใี หม่ เรมิ่ มมี าตงั้ แตส่ มยั โบราณ การใชส้ รุ าในโอกาสสำ� คญั ๆ มนั เปน็ คา่ นยิ มทางโลก (Worldly Value)
สงั คมสงู ชนชนั้ ลา่ งไมม่ โี อกาสไดล้ มิ้ รสชาตขิ องสรุ า วรรณคดไี ทยหลายเรอ่ื งทเ่ี กยี่ วกบั เทพนยิ าย ได้กล่าวถึงเหลา่ เทวดาต่างฉลองชยั ดว้ ยการเสวยน้ำ� จณั ฑ์ (สุรา) หลงั จากได้ชัยชนะต่อเหลา่ อสูร ในการท�ำศึกสงครามแยง่ ชิงดินแดนสวรรค์จากเหลา่ อสูรได้ สุรา โดยรูปศัพทอ์ าจแปลวา่ ความ กล้าหาญ คือน�้ำทที่ ำ� ใหค้ นดม่ื มีความกล้าหาญอย่างไม่กลวั ตาย น�้ำสุราเป็นน้ำ� เมาทก่ี ล่ันจากนำ�้ หมกั วสั ดหุ ลายชนิด เชน่ พชื ผลไมแ้ ละผักชนดิ ตา่ งๆ ยาเสพยต์ ดิ บางชนดิ หากใชต้ ามคำ� แนะนำ� ของแพทยส์ ามารถใชร้ กั ษาโรคภยั ไขเ้ จบ็ และ ความเจ็บป่วยได้ แต่ถ้าหากใช้เองโดยไม่ปฏิบัติตามค�ำแนะน�ำของแพทย์ก็ย่อมจะเกิดโทษแก่ผู้ เสพ ต้ังแต่การสรา้ งนสิ ยั เสพติดขาดการเสพไม่ได้ จนถึงเปน็ พิษต่อรา่ งกายและท�ำให้เสียชีวติ ได้ ในทส่ี ดุ ยาเสพยต์ ดิ ยงั เปดิ ชอ่ งทางใหเ้ ชอ้ื โรคภยั ไขเ้ จบ็ บางอยา่ งแพรก่ ระจายเขา้ สรู้ า่ งกาย ทำ� ให้ รา่ งกายออ่ นแอไมม่ กี �ำลงั ช่วยตวั เองไมไ่ ดแ้ ละเปน็ ที่รงั เกียจของคนอ่ืน การตดิ สาเหตุยาเสพย์ติด จากการศึกษาวิจัยของผู้สนใจปัญหายาเสพย์ติด จ�ำนวนมากได้สรุปสาเหตุการติดยา เสพย์ติด คลา้ ย ๆ กัน ดงั นี้ ๑ อิทธิพลของเพ่ือน โดยในหมู่วัยรุ่นท่ีติดยาเสพย์ติดส่วนใหญ่ยอมรับอิทธิพลของ 120 เพอ่ื นวา่ เป็นผู้ชกั จูงให้เสพยาเสพย์ติด๗๘ ๒ ขาดการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่ โดยเฉพาะครอบครัวที่พ่อแม่ท�ำงานนอกบ้าน ทัง้ คู่ กลบั บา้ นดกึ ไม่คอ่ ยมีเวลาเอาใจใสด่ ูแลลกู เท่าที่ควร ลูกมปี ญั หาไม่รปู้ รกึ ษาใคร เพื่อนอาจ แนะน�ำให้ด่ืมเหล้า สูบบุหร่ีหรือยาเสพย์ติดบางอย่างเพื่อมิให้เกิดปัญหาฟุ้งซ่านทางความคิด มี ความเชอ่ื กันในหมู่วัยรนุ่ จ�ำนวนมาก ท่เี ช่ือวา่ ยาเสพยต์ ดิ คอื ยาชว่ ยกล่อมประสาทช่วยบรรเทา ความฟงุ้ ซา่ น เป็นต้น ๓ ความตอ้ งการอยากลอง โดยการรเู้ ทา่ ไมถ่ งึ การณ์ ขอ้ นเ้ี ปน็ เพราะขาดการอบรมเรอื่ ง ภัยยาเสพย์ตดิ การได้ยนิ ได้ฟงั หรือการไดเ้ ห็นกลมุ่ ผูเ้ สพยาเสพยต์ ิดตามสือ่ สารมวลชนประเภท ตา่ ง ๆ อาจะมอี ทิ ธพิ ลดงึ ดดู เดก็ เยาวชนใหแ้ สวงหาและลองเสพยาเสพยต์ ดิ ซงึ่ อาจจะหลงเชอื่ วา่ เปน็ ความดงี ามและจะไดร้ บั การยอมรบั จากเพอ่ื น ๆ ในสงั คมมากย่ิงขน้ึ การลองเสพยาเสพยต์ ดิ เปน็ การแสดงความกลา้ หาญอยา่ งหนงึ่ ของมนษุ ยใ์ นสงั คมทมี่ งุ่ แสวงหาไดร้ บั การยอมรบั จากกลมุ่ การทีจ่ ะไดร้ ับการยอมรบั จากสมาชกิ ในกลมุ่ ตอ้ งปฏิบัตติ นตามแบบอย่างของคนในกลุ่ม กลมุ่ มี ค่านิยม และปฏบิ ัติตนอย่างไร จึงจะได้รับการพิจารณาวา่ เปน็ คนดแี หง่ กลุ่มนั้น สมาชกิ ทีไ่ ด้รับ ๗๘ วรรณวมิ ล คงวชิ ยั , “ปจั จยั ดา้ นความผกู พนั ทางสงั คมทมี่ คี วามสมั พนั ธก์ บั การกระทำ� ผดิ เกย่ี วกบั ยาเสพยต์ ดิ : กรณี ศกึ ษาผตู้ อ้ งขงั ชายชาวมสุ ลมิ ในชายแดนใต”้ , วทิ ยานพิ นธศ์ ลิ ปะศาสตรม์ หาบณั ฑติ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, ๒๕๕๕.
การยอมรับจะต้องกล้าปฏิบัติตามประเพณีปฏิบัติของกลุ่ม ถ้ากลุ่มมีค่านิยมในเร่ืองการเสพยา เสพยต์ ดิ วา่ เปน็ เรอื่ งดี แสดงความกลา้ หาญของสมาชกิ กลมุ่ กลมุ่ กจ็ ะยกยอ่ งสมาชกิ ทปี่ ฏบิ ตั ติ าม คา่ นิยม ถอื การลองเสพยาเสพย์ติด หากเสพตดิ ต่อเป็นเวลานานกจ็ ะกลายเปน็ ติดยาเสพยต์ ิดใน ท่สี ุด ๔ การถูกบังคับใหเ้ สพยาเสพย์ตดิ การถกู บังคบั นม้ี ีทงั้ ถกู บังคับโดยนายจ้างโดยตรง หรอื โดยผใู้ หญท่ บี่ งั คบั เดก็ และถกู บงั คบั โดยมคี วามตอ้ งการทำ� งานใหม้ ากขน้ึ เพอ่ื ผลตอบแทนจะ ได้มากขึน้ ดังตวั อย่างของลูกจา้ ง กรรมกร ทำ� งานในโรงงานหรือคนขับรถบรรทุกท่ีเสพยาเสพย์ ติดเพ่ือให้ตาสว่างไม่ง่วงนอนในการขับรถระยะไกล นอกจากน้ีการวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า เยาวชน บางกลุม่ ติดยาเสพย์ตดิ เพราะเพ่ือนบงั คบั ใหเ้ สพ๗๙ สาเหตุการติดยาเสพย์ติด : วเิ คราะห์จากพุทธปรชั ญาทางสังคม สาเหตุเก่ียวกับปัญหายาเสพย์ติด มองจากพุทธปรัชญาทางสังคมสามารถวิเคราะห์ได้ ดงั น้ี ๑. การคบคนไมด่ เี ปน็ เพ่ือน ในมงคลสูตร ได้กลา่ วถงึ สิ่งที่เป็นมงคลอยา่ งแรก คอื การไมค่ บคนพาลหรือคนไม่ด๘ี ๐ 121 ในความหมายน้ี แสดงให้เห็นว่าคนพาลหรอื คนไมด่ ยี อ่ มไม่ชักชวนในทางท่ดี งี าม แต่จะ ชกั ชวนในทางเสอ่ื มเสยี การมมี ติ รเปน็ คนพาล คอื การมเี พอ่ื นทไ่ี มเ่ ปน็ กลั ยาณมติ รหรอื มติ รเทยี ม อันเปน็ มิตรไม่จรงิ ใจ ดงั พระพทุ ธเจ้าแสดงถึงลักษณะแหง่ มติ รเทยี ม ๔ ประเภท๘๑ (มิตตปฏริ ปู ) ๑) มติ รปอกลอก ๒) มติ รดีแตพ่ ดู ๓) มติ รชอบประจบ ๔) มิตรชวนฉบิ หาย ลกั ษณะมติ รเทียมขอ้ ท่ี ๔ คอื คนชวนฉบิ หายนน้ั มักจะชกั ชวนให้ทำ� ดงั น้ี ๑) ชักชวนให้ดมื่ น�้ำเมา (รวมทง้ั ยาเสพยต์ ดิ ตา่ งๆ) ๒) ชกั ชวนเท่ยี วกลางคนื (เทีย่ วสตรี เป็นต้น) ๓) ชกั ชวนเที่ยวดูการพนัน และ ๔) ชักชวนเลน่ การพนัน ๗๙ ดรู ายละเอยี ดงานวจิ ยั ของ สนุ ษิ า บญุ มงั่ ม ี ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ การกระทำ� ความผดิ คเู่ ดยี วเสพตดิ ของนกั เรยี นในคา่ ย ทหารววิ ฒั นพ์ ลเมอื ง วทิ ยานพิ นธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, ๒๕๕๓. ๘๐ ดู มงคลสตู ร.........ข.ุ ข.ุ ๒๕/๕/๓ ๘๑ ท.ี ปา ๑๑/๑๘๖/๑๙๙
การคบมิตรเทียมจึงเป็นสาเหตุติดยาเสพย์ติดและติดดื่มเคร่ืองด่ืมมึนเมา ซ่ึงท�ำให้เกิด ความหายนะตามมา แม้ในปราภวสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงความเส่ือมว่ามาจากการหลงติดใน อบายมขุ ๘๒ ได้แก่นักเทีย่ วผ้หู ญงิ เปน็ นกั ดืม่ นักพนนั และคบคนช่ัวเป็นมิตร ๒. การมภี ูมิคุ้มกันบกพรอ่ ง ภมู คิ มุ้ กนั (Immunity) หมายถงึ เกราะหรอื เครอื่ งคมุ้ กนั มใิ หบ้ คุ คลตกอยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจ แหง่ การประทษุ รา้ ยหรอื การโจมตจี ากพลงั ภายนอกภมู คิ มุ้ กนั ของมนษุ ย์ ประกอบดว้ ยภมู คิ มุ้ กนั ทางร่างกาย คอื พลังคมุ้ ครองและป้องกันมิใหบ้ คุ คลตกอยู่ภายใตอ้ �ำนาจของเชอ้ื โรค โดยมวี ัคซนี ฉีดป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายต่าง ๆ ตั้งแต่เด็กแรกเกิด จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ตามล�ำดับ และภูมิคมุ้ กันทางจิตใจ ซ่ึงไดแ้ กก่ ารมีจติ ใจท่เี ข้มแข็ง อดทนตอ่ ส่ิงยั่วยุ มปี ัญญาร้เู ทา่ ทนั สงิ่ ท่ีมา กระทบประสาทสมั ผสั ตา่ ง ๆ ภมู คิ มุ้ กนั ทางจติ ใจกค็ อื คณุ ธรรมทไ่ี ดร้ บั การปลกู ฝงั มาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง คณุ ธรรมทถ่ี อื ไดว้ า่ เปน็ ภมู คิ มุ้ กนั จติ ใจทส่ี ำ� คญั ไดแ้ ก่ สมั มาทฏิ ฐิ คอื สตปิ ญั ญาทร่ี แู้ ละเขา้ ใจวา่ อะไร ดี อะไรไมด่ ี อะไรควรทำ� อะไรไมค่ วรท�ำ ขันติ คอื ความอดทน สามารถต้านทานความทุกข์ยาก ล�ำบากกายและใจและภัยพิบัติที่เกิดขึ้น รวมทั้งการมีสมรรถภาพทางจิตใจท่ีสามารถต้านทาน สิ่งท่ีมาย่ัวยวน ท�ำให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลอย่างขาดสติ สัจจะ คือการยึดม่ันในสัจธรรมไม่โกหก ไม่ประพฤติทุจริต ประพฤติปฏิบัติตามศีลธรรมอันดีงามทางศาสนาและปฏิบัติตามกฎหมาย 122 ประเพณี วัฒนธรรมของสังคม ผู้ที่มีภูมิธรรม คือผู้ท่ีมีภูมิคุ้มกันการตกเป็นทาสส่ิงเสพติดและ อบายมุขต่าง ๆ ผูท้ ีต่ ดิ ยาเสพย์ติด และหลงตดิ ในอบายมุขคอื ผทู้ ภ่ี มู ิธรรมดงั กลา่ วข้างบนบกพรอ่ ง เป็น ผทู้ ่ขี าดการปฏิบตั ติ นในทางท่ีชอบหรือ อตั ตสมั มาปณิธิ (อัตตสมั มาปณธิ ิ หมายถึงการด�ำรงตน อยใู่ นศลี ธรรมและดำ� เนนิ แนว่ แนใ่ นวถิ ที างทจี่ ะนำ� ไปสจู่ ดุ หมายทด่ี งี าม)๘๓ ทไ่ี มไ่ ดร้ บั การอบรมขดั เกลา่ ใหป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นทางทถี่ กู ตอ้ งตามหลกั ศลี ธรรม ถอื เปน็ ผทู้ ไ่ี มไ่ ดท้ ำ� บญุ มากอ่ น ยอ่ มไมม่ ี คณุ ธรรมคอื ความดงี ามทม่ี พี่ ลงั ตา้ นทาน เมอ่ื ถกู ผมู้ าชกั ชวนใหเ้ สพยาเสพยต์ ดิ และเพลดิ เพลนิ ใน อบายมขุ ยอ่ มหลงตามไดง้ า่ ย การทำ� บญุ คอื การสงั่ สมคณุ ความดี การทำ� บญุ มากกค็ อื การทำ� บญุ เปน็ ประจ�ำ การท�ำบญุ ท่ีสำ� คัญกค็ อื การให้ทาน การรกั ษาศลี และการเจริญภาวนา เพ่อื ให้จิตใจ มน่ั คงมสี มาธแิ ละมปี ญั ญา สามารถแกป้ ญั หาตา่ งๆ ได๘้ ๔ ผทู้ มี่ บี ญุ คอื ผทู้ ที่ ำ� ความดี ผไู้ มม่ บี ญุ คอื ผู้ ท่ีบกพรอ่ งจากความดี พระพุทธเจา้ ตรสั ยืนยนั ลกั ษณะความบกพร่องทางศลี ธรรมว่า ยอ่ มชักนำ� ๘๒ อง. อฏั ฐก. ๒๓/๑๔๔/๒๙๒ ๘๓ ดรู ายละเอยี ดในสมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย(์ ปอ.ปยตุ โต) พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท ์ อา้ งแลว้ หนา้ ๕๓๑ และดรู ายละเอยี ดใน อง. จตกุ ก. ๒๑/๓๑/๔๑ ๘๔ การทำ� บญุ สำ� หรบั กลั ยาณปถุ ชุ นทส่ี ำ� คญั ปรากฏอยใู่ นหลกั ธรรมทช่ี อื่ วา่ บญุ กริ ยิ าวตั ถมุ ี ๓ หมวดใหญๆ่ คอื ทานมยั ทำ� บญุ ดว้ ยการให้ สลี มยั ทำ� บญุ ดว้ ยการรกั ษาศลี และประพฤตดิ ี ภาวนามยั ทำ� บญุ การเจรญิ ภาวนา ท.ี ปา ๑๑/๒๒๘/๒๓๐.
ใหค้ นท�ำช่วั ได้งา่ ย คนทมี่ ีศลี ธรรมยอ่ มทำ� ความชัว่ ได้ยากว่า ความดี คนดีท�ำได้ง่าย ความดี คนช่ัวท�ำได้ยากความชั่ว คนช่ัวท�ำได้ง่าย ความชั่ว อริยบคุ คลทั้งหลายท�ำไดย้ าก๘๕ การท�ำความดีถือว่าเป็นการท�ำบุญ ผู้ท�ำความดีไว้มาก คือ ผู้ส่ังสมบุญอย่างสม่�ำเสมอ ซงึ่ อาจจะสะสมมาตัง้ แตอ่ ดีตชาตกิ ็ได๘้ ๖ ๓. การมีชวี ติ อยู่ในถิน่ ท่ไี ม่ดี มสี ิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสม การมชี วี ติ อยใู่ นทา่ มกลางสงิ แวดลอ้ มไมเ่ หมาะสม ซงึ่ เตม็ ไปดว้ ยผคู้ นทม่ี ว่ั สมุ เสพยาเสพย์ ตดิ และเกย่ี วขอ้ งกบั ยาเสพยต์ ดิ ยอ่ มปลกู ฝงั ใหเ้ กดิ คา่ นยิ มชนื่ ชอบยาเสพยต์ ดิ โดยไมร่ ตู้ วั มนั เปน็ เร่ืองเหนือวิสัยที่บุคคลจะเลือกเกิดและมีชีวิตอยู่ในถิ่นท่ีดีมีสิ่งแวดล้อมห่างไกลจากยาเสพย์ติด แตถ่ ้าหากบคุ คลได้รบั การศกึ ษาให้ตระหนกั ร้ถู งึ มหันตภยั จากยาเสพย์ตดิ กย็ อ่ มจะทำ� ให้บคุ คล มคี วามรูเ้ ท่าทัน และสามารถตัดสินใจเลือกถิน่ ทีอ่ ยู่อาศัยทดี่ ี๘๗ และเลือกอาชพี การงานที่สจุ ริต ข้อนีอ้ าจมีขอ้ ยกเว้นส�ำหรบั เดก็ และเยาวชนที่ไม่สามารถพง่ึ ตนเองและตัดสนิ ใจเองไม่ได้ บทบาทผนู้ �ำ 123 ในสงั คมทม่ี ผี นู้ ำ� ตงั้ อยใู่ นศลี ธรรม ทำ� ตนเปน็ แบบอยา่ งในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ ดี่ ี สมาชกิ ของสังคมนั้น ย่อมจะประพฤติปฏิบัติดีตามแบบอย่างของผู้น�ำผู้น�ำที่ดีนอกจากประพฤติปฏิบัติ ดแี ลว้ จะตอ้ งปฏิบตั หิ นา้ ทต่ี ามกฎกติกาทีส่ งั คมบัญญัติไวอ้ ย่างเคร่งครัดมีการลงโทษผู้ฝา่ ฝนื กฎ ระเบียบสังคมตามความผิดโดยไม่เลือกปฏิบัติ มีการให้รางวัลความดีความชอบแก่ผู้ใต้บังคับ บญั ชาอย่างเป็นธรรม และอย่างยุติธรรม พรอ้ มกับดูแลสวัสดิการและสวัสดภิ าพของประชนชน อยา่ งใกลช้ ดิ โดยผา่ นกลไกลของรฐั ทมี่ หี นา้ ทปี่ ฏบิ ตั ติ ามระเบยี บราชการ ในการใหส้ วสั ดกิ ารและ ส่งเสรมิ สวสั ดิภาพประชาชนให้มีความปลอดภยั จากภัยอาชญากรรมทกุ ชนิด ผู้น�ำในสังคมไม่จ�ำกัดอยู่เฉพาะผู้น�ำทางการเมืองการปกครองแต่รวมถึงผู้น�ำสาธารณ- ประโยชน์ และผู้น�ำอาชีพการงานในองค์การวิชาชีพ เหนืออ่ืนใดในระดับครอบครัว พ่อแม่คือ ผู้น�ำที่ใกล้ชิดกับเด็กและเยาวชนหรือบุตรธิดา ซึ่งจะต้องอบรมสั่งสอนเล้ียงดูบุตรให้ปฏิบัติดี ปฏบิ ตั ชิ อบ หา่ งไกลจากสง่ิ เสพตดิ พรอ้ มกบั ปฏบิ ตั ติ นเปน็ ตวั อยา่ งทดี่ ขี องลกู ดว้ ย ลกู คอื ตากลอ้ ง ทถ่ี า่ ยภาพนายแบบ นางแบบ คอื พ่อแม่ และซมึ ซับพฤตกิ รรมของพ่อแมท่ ุกอย่าง รวมทง้ั เลยี น ๘๕ ว.ิ จ ู ๗/๓๔๓/๒๐๓ ๘๖ ผทู้ ที่ ำ� ความดมี าตง้ั แตอ่ ดตี เรยี กวา่ ปพุ เพกตปญุ ญตา ดใู น อง. จตกุ ก. ๒๑/๑๓/๔๑. ๘๗ ถน่ิ อาศยั ทดี่ ี เรยี กวา่ ปฏริ ปู เทศ ซงึ่ เปน็ ถนิ่ คนดมี นี กั ปราชญ์ ดใู น อง.ฺ จตกุ ก. ๒๑/๑๓/๔๑.
แบบอยา่ งของพอ่ แมด่ ว้ ย๘๘ พระพทุ ธศาสนาใหค้ วามสำ� คญั แกผ่ นู้ ำ� สงู มาก ผนู้ ำ� คอื ผทู้ มี่ อี ทิ ธพิ ล เหลอื พฤตกิ รรมของบคุ คลอนื่ บคุ คลมกั จะดำ� เนนิ ชวี ติ ตามแบบอยา่ งผนู้ ำ� ทต่ี นดำ� รงชวี ติ อยอู่ ยา่ ง ใกล้ชิด ดงั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรัสไว้ในอธมั มกิ สตู ร..วา่ เมอื่ ฝงู โคขา้ มนำ้� ไปถา้ โคจา่ ฝงู ไปคดเคย้ี วโคทงั้ ฝงู กไ็ ปคดเคยี้ วตามกนั ในเมอื่ โคจา่ ฝูงไปคดเคย้ี วในหมู่มนษุ ย์กเ็ หมอื นกัน ผ้ใู ดได้รับแตง่ ตัง้ ให้เปน็ ใหญ่ถ้าผ้นู ้ัน ประพฤติไม่เป็นธรรม ประชาชนชาวเมืองนั้นก็จะประพฤติไม่เป็นธรรมตามไป ด้วย หากพระราชาไม่ต้งั อย่ใู นธรรมชาวเมอื งน้ันก็อยเู่ ปน็ ทกุ ข์ เมอ่ื ฝูงโคขา้ มน้�ำ ไปถ้าโคจ่าฝูงไปตรงโคท้ังฝูงก็ไปตรงตามกัน ในเม่ือโคจ่าฝูงไปตรงในหมู่มนุษย์ ก็เหมือนกันผู้ใด ได้รบั แตง่ ต้ังใหเ้ ปน็ ใหญ่ถา้ ผนู้ น้ั ประพฤติชอบธรรม ประชาชน ชาวเมอื งนนั้ กจ็ ะประพฤตชิ อบธรรมตามไปดว้ ย หากพระราชาตงั้ อยใู่ นธรรม ชาว เมอื งน้นั กอ็ ยเู่ ปน็ สขุ ๘๙ การแก้ปญั หายาเสพยต์ ดิ : วิเคราะหต์ ามแนวพทุ ธปรัชญา พระพทุ ธศาสนา สอนหลกั ธรรมอรยิ สัจ๙๐ ในฐานะเป็นหลักธรรมทอี่ ธิบายถึงความจรงิ อันสงู ส่ง เกี่ยวกบั ปรากฏการณ์ การเกดิ ขึ้นมาของชวี ติ ความทกุ ขใ์ นชีวติ การดบั ทุกข์และการ 124 ปฏิบัติเพ่ือมุ่งแก้ความทุกข์และบรรลุถึงความสุขแห่งชีวิต แม้ว่าในโลกแห่งวิชาการจะมีการน�ำ เสนอวธิ กี ารหลากหลายในการแกป้ ญั หายาเสพยต์ ดิ อนั เปน็ ปญั หาทรี่ า้ ยแรงทส่ี ดุ ปญั หาหนง่ึ แหง่ สงั คมมนษุ ย์ แตก่ ป็ รากฏวา่ จำ� นวนผเู้ สพยาเสพยต์ ดิ ไมล่ ดลงมแี นวโนม้ จะสงู เพม่ิ ขน้ึ และจำ� นวน ผคู้ า้ ยาเสพยต์ ดิ รวมทง้ั แหง่ ผลติ ยาเสพยต์ ดิ กด็ จู ะไมล่ ดจำ� นวนลงเชน่ กนั กลบั แพรก่ ระจายไปใน ทตี่ ่าง ๆ ทัว่ ดลกอยา่ งสมำ�่ เสมอ ในทีน่ ใ้ี ครข่ อเสนอแนวทางการแกป้ ญั หายาเสพย์ตดิ ตามแนวพทุ ธปรชั ญา ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. การมผี ู้รับผิดชอบในการแกป้ ัญหาท่ชี ดั เจน ในระดับสังคมผู้รับผิดชอบในการแก้ปัญหา คือผู้น�ำทางสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้น�ำ ทางการบรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื ง ซง่ึ กค็ อื ผนู้ ำ� ภาครฐั นน่ั เอง ในระดบั ชมุ ชน ผนู้ ำ� กม็ บี ทบาทสำ� คญั อยา่ งยิง่ ทั้งในการปอ้ งกนั และกันแกไ้ ขปญั หายาเสพย์ติด๙๑ ๘๘ พระปญั ญานนั ทมนุ ี (พระพรหมมงั คลาจารย)์ วดั ชลประทานรงั สฤษฏ์ อ.ปากเกรด็ จ.นนทบรุ ี ไดก้ ลา่ วไวว้ า่ ลกู ยอ่ มเลยี นแบบพฤตกิ รรมของพอ่ แม่ ดจุ ดงั ตากลอ้ งถา่ ยภาพนายแบบ นางแบบไวต้ ลอดเวลา ดรู ายละเอยี ดใน จำ� นงค ์ อดวิ ฒั นสทิ ธ ์ิ สงั คมวทิ ยา อา้ งแลว้ หนา้ ๕๑. ๘๙ อง.ฺ จตกุ กฺ . (ไทย) ๒๑/๗๐/๑๑๕-๑๑๖ ๙๐ วนิ ย. ๔/๑๔/๑๘ ; ส.ํ ม. ๑๙/๑๖๖๕/๕๒๘ (ทกุ ข์ สมทุ ยั นโิ รธ มคั คะ) ๙๑ ดรู ายละเอยี ดงานวจิ ยั ของ ฐยิ าพน กนั ตาธนวฒั น ์ กระบวนการสคู่ วามสำ� เรจ็ ในการดำ� เนนิ การปอ้ งกนั ยาเสพย์ ตดิ ของชมุ ชนในเขตภาคกลาง ปรญิ ญานพิ นธ์ วทิ ยาศาสตรด์ ษุ ฎบี ณั ฑติ , มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๕๖.
๒. กระบวนการยตุ ิธรรมท่ีเทยี่ งธรรม การด�ำเนินการปฏิบัติการลงโทษผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพย์ติด ควรพิจารณาแยกกลุ่มผู้ ส่งเสริมการผลิต การจ�ำหน่าย ยากเสพย์ติด ออกจากกลุ่มผู้เสพ กลุ่มแรกคือกลุ่มท่ีก่อให้เกิด การแพรก่ ระจายยาเสพย์ตดิ สว่ นกล่มุ หลังคอื กลมุ่ ผู้ตกเปน็ เหย่ือ เพราะฉะน้นั ในการพจิ ารณา ลงโทษ กระบวนการยุติธรรมจะต้องด�ำเนินการกับกลุ่มแรกอย่างจริงจัง และตัดสินพิจารณา ตามกระบวนการของกฎหมาย และศลี ธรรมกำ� กบั ไวด้ ว้ ย สว่ นกลมุ่ หลงั ควรพจิ ารณาปฏิบัติการ ตอ่ ดว้ ยความเมตตา และหาแนวทางช่วยเหลือให้พ้นจากการตกเปน็ เหย่ือยาเสพย์ตดิ กลุม่ หลงั นถ้ี ือว่าเปน็ คนป่วยก็ได้ ไม่ควรพิจารณาวา่ เปน็ อาชญากรหรือผู้กระทำ� ผดิ กฎหมาย กลุม่ แรกคือ กลมุ่ ผผู้ ลติ ผจู้ ำ� หนา่ ย นอกจากผดิ กฎหมายแลว้ ยงั ถอื วา่ เปน็ ผปู้ ระกอบมจิ ฉาอาชวี ะในทางศาสนา ดว้ ย๙๒ ๓ บทบาทพระสงฆใ์ นการแกป้ ัญหายาเสพย์ตดิ พระสงฆใ์ นพระพทุ ธศาสนา มบี ทบาทสำ� คญั ในการเทศนาสง่ั สอน ศลี ธรรม และแนวทาง ปฏบิ ัตทิ ถี่ กู ตอ้ งดีงาม ส�ำหรับประชาชนท่วั ไป ผู้ทเ่ี ชื่อและปฏิบตั ติ ามค�ำแนะน�ำส่ังสอนของพระ สงฆ์ย่อมจะมีภูมิต้านทานอธรรม และสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาการติดยาเสพย์ติดได้ มี หลักธรรมหลายข้อที่สามารถประยุกต์ใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพย์ติดซ่ึงพระสงฆ์ 125 มสี ่วนสำ� คัญในการอบรมสงั่ สอนหลกั ธรรมเหลา่ นน้ั แลใหแ้ นวทางในการปฏิบตั ิ เชน่ หลักอานา ปานสต๙ิ ๓ หรอื สติกำ� หนดลมหายใจ เข้า และ ออก ในทุกอิรยิ าบถ หากมนุษย์มคี วามสามารถ ในการต้ังสติไว้ที่ลมหายใจเข้า-ออก เป็นประจ�ำสามารถครองตนเหนือกิเลส และส่ิงย่ัวยุต่าง ๆ รวมทั้งยาเสพยต์ ดิ กส็ ามารถยบั ย้งั แก้ไขได๙้ ๔ ๔ กระบวนการแก้ไขปัญหายาเสพย์ตดิ ต้องยึดถามหลกั การวเิ คราะห์ และการแก้ ปัญหาตามแนวอรยิ สัจ ๔ หลกั อรยิ สจั ๔ สามารถนำ� มาใชใ้ นการศกึ ษาปญั หาและเสนอแนวทางการแกป้ ญั หายาก เสพยต์ ิดได้อยา่ งยัง่ ยืน โดยเริ่มตน้ ตามล�ำดบั ดังนี้ ๙๒ พระพทุ ธศาสนาพจิ ารณา อาชพี ทผ่ี ดิ ศลี ธรรมคอื การผลติ และการคา้ ขายทไ่ี มเ่ หมาะสำ� หรบั ปรากฏอยใุ่ นหลกั ธรรม ทเ่ี รยี กวา่ มจิ ฉาวณชิ ชา การคา้ ขายทผี่ ดิ ศลี ธรรมซง่ึ อบุ าสกอบุ าสกิ าไมค่ วรทำ� ไดแ้ ก่ (๑) คา้ อาวธุ (๒) คา้ มนษุ ย์ (๓) คา้ สตั วส์ ำ� หรบั เปน็ อาหาร (๔) คา้ ของมนึ เมา (๕) คา้ ยาพษิ . ดใู น อง.ฺ ปญจก. ๒๒/๑๗๗/๒๓๓ ๙๓ อง.ฺ ทสก. ๒๔/๖๐/๑๑๙, ข.ุ ปฏ.ิ ๓๑/๓๖๑/๒๔๔. ๙๔ ดรู ายละเอยี ดงานวจิ ยั พระมหาวชิ าญ สวุ ชิ าโน การศกึ ษารปู แบบและแนวทางการประยกุ ตห์ ลกั อานาปานสติ เขา้ มามสี ว่ นชว่ ยในการปอ้ งกนั ปญั หายาเสพยต์ ดิ ในสถานศกึ ษา วทิ ยานพิ นธส์ งั คมสงเคราะหศ์ าสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ๒๕๔๔.
๑ ความชดั เจนของปัญหา (ทุกข์) ปัญหายาเสพย์ติด คือ ความทุกข์ความเดือดร้อนท่ีเกิดข้ึนแก่ผู้เสพ และผู้ที่เกี่ยวข้อง อยา่ งกวา้ งขวาง ปญั หาความเดอื ดรอ้ นทเี่ กดิ ขน้ึ แกผ่ เู้ สพทเ่ี สพตดิ คอื ปญั หาทางกายภาพและทาง จติ ใจ สุขภาพของผู้เสพยอ่ มทรุดโทรมไมแ่ ข็งแรง จิตใจผเู้ สพกอ็ ่อนแอ มีความหวาดระแวง ส่ง ผลกระทบตอ่ สตปิ ญั หาและอารมณ์ โดยตรงตอ่ ผเู้ สพ รวมถงึ สง่ ผลตอ่ พฤตกิ รรมของผเู้ สพ ทอ่ี าจ จะสรา้ งความเดือนร้อนแกส่ ังคมขน้ึ มา ดงั น้นั ยาเสพยต์ ิดจงึ เปน็ ปัญหาทมี่ คี วามชัดเจนสามารถ นยิ ามความหมายได้ และมีตวั ชี้วัด (Indicators) แสดงออกมา สามารถวดั ระดับความรนุ แรงได้ ท้ังในระดบั ปริมาณและคุณภาพ ๒ สาเหตขุ องปญั หา (สมทุ ยั ) ปญั หายาเสพยต์ ดิ เมอื่ วเิ คราะหอ์ ยา่ งละเอยี ดจะพบวา่ เกดิ จากตวั บคุ คลทม่ี ภี มู ติ า้ นทาน อ่อนแอ ส่ิงแวดล้อมที่ชักจูงพาไปการคบค้าสมาคมกับคนไม่ดี และโครงสร้างสังคมท่ีมีการแบ่ง เป็นชนชั้นวรรณะ และการไม่กระจายโอกาสและความม่ังค่ังไปสู่ชนชนล่าง ดังได้กล่าวมาแล้ว ในสาเหตุของการตดิ ยาเสพยต์ ดิ ๓ การแก้ปัญหา (นโิ รธ) 126 การแก้ปัญหายาเสพย์ติด คือการก�ำจัดไม่ให้มนุษย์ตกเป็นทาสยาเสพย์ติด การไม่เสพ ยาเสพยต์ ดิ การไมผ่ ลติ และไมข่ ายยาเสพยต์ ดิ ซ่ึงเป็นสภาวะบ่งบอกถึงสงั คมสะอาด ปลอดจาก อบายมขุ และปลอดจากอาชญากรรมความเดอื ดรอ้ น ในประเดน็ น้ี จงึ หมายถงึ กระบวนการสรา้ ง สงั คมทด่ี งี าม สงั คมทปี่ ลอดภยั มเี สถยี รภาพมนั่ คงทงั้ ทางศลี ธรรมทางการเมอื ง และทางเศรษฐกจิ สงั คมมีความน่าอยู่ มีความรม่ เยน็ ไมม่ ีการเบยี ดเบียนซ่ึงกันและกัน สงั คมท่มี ลี กั ษณะดังกลา่ ว ต้องเป็นสังคมท่ีผ่านการแก้ปัญหายาเสพย์ติด และปัญหาอ่ืน ๆ ได้อย่างเป็นผลส�ำเร็จ เพราะ ฉะนั้น ลักษณะสังคมท่พี ึงปรารถนาก็คอื สงั คมทมี่ ตี ัวชีว้ ัดการลดลงของอาชญากรรม รวมทง้ั ยา เสพยต์ ิด จนถึงระดบั ท่ไี มม่ ีอาชญากรรม และไมม่ ยี าเสพยต์ ดิ แพรร่ ะบาดอีกต่อไป ๔ แนวทางแก้ปัญหายาเสพย์ตดิ (มรรค) แนวทางแก้ปัญหายาเสพย์ติด มีการเสนอหลายแนวทางท้ังในระดับชุมชน ครอบครัว และระดับประเทศชาติ และทงั้ ในระยะสัน้ และระยะยาว การสรา้ งภูมคิ ุ้มกันใหแ้ ก้ปัจเจกบุคคล ให้มคี ณุ ธรรมและมคี วามสามารถในการยดึ กฎหมายและศีลธรรมทางศาสนาเปน็ แนวปฏบิ ัตนิ ั้น ได้ปรากฏออกมาท้ังในระดับนโยบายแห่งชาติ และระดับนโยบายแห่งท้องถ่ิน หรือแห่งชุมชน วิเคราะห์ตามแนวพทุ ธปรัชญา การแก้ปญั หายาเสพยต์ ิด ต้องเร่ิมตน้ (๑) ให้การศึกษาอบรมให้ บุคคลมีความรู้ (ปัญญา) ในพิษโทษ หรืออันตรายของยาเสพย์ติด (๒) เสนอแนะแนวทางการ
ประพฤติปฏบิ ัติท่ีเหมาะสม (ศลี ) และตอ้ งปฏิบตั ิตามอยา่ งแน่วแน่และตอ่ เนอ่ื ง (๓) บคุ คลตอ้ ง ได้รับการอบรมให้จิตใจมีความม่ันคง (สมาธิ) ไม่หวั่นไหว กับส่ิงท่ีมายั่วยุ โดยเฉพาะยาเสพย์ ติด (๔) บรรยากาศสิ่งแวดล้อมต้องส่งเสริมให้บุคคลมุ่ง ความดีไม่เป็นสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วย อบายมขุ และสง่ิ เสพตดิ และประการสดุ ทา้ ย (๕) ผนู้ ำ� ตอ้ งเปน็ แบบอยา่ งทด่ี ใี นการดำ� รงชวี ติ และ การแกไ้ ขปัญหายาเสพย์ตดิ อย่างเป็นระบบ ---------๐-------- 127
บทที่ ๕ ปรชั ญาวา่ ด้วยการพัฒนาสังคมตามแนวพุทธศาสนา การพฒั นาสงั คมคอื อะไร การพัฒนา เป็นวาทกรรม (Discourse) ท่ีก�ำหนดให้คุณค่าแก่กระบวนการทางสังคม อย่างหนึ่ง (Social Process) ทีม่ ีจดุ มงุ่ หมายเพือ่ บรรลุถงึ เป้าหมายบางอยา่ ง ซึ่งเปน็ ทปี่ รารถนา ร่วมกันของภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคองค์กรทางสังคม กล่าวอีกนัยหนึ่งการพัฒนาคือ กระบวนการท่ีภาคส่วนท่ัวไปในสังคม ต้องการให้เกิดส่ิงที่เรียกกันว่า เป็นคุณภาพ ประสิทธภิ าพ และสขุ ภาพ ในระดบั ชวี ิต ระดับชมุ ชน ระดับองค์กร และระดบั สิ่งแวดล้อม 128 ตามมาตรฐานทกี่ �ำหนดไว้ การวางแผน (Planning) เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของการพัฒนา และเปน็ จดุ ส�ำคัญท่ีไม่สามารถ หลกี เลีย่ งได้ การวางแผนเปน็ การด�ำเนนิ การโดยครอบคลมุ ปัญหาความต้องการ วิธีการด�ำเนิน การ งบประมาณ เปา้ หมายและการประเมินผล การวางแผนกับการพัฒนา จงึ ต้องดำ� เนินการไป พรอ้ ม ๆ กัน ในทางวิชาการ การพัฒนาสังคม หมายถึงกระบวนการสร้างความเจริญเติบโต (Growth) ความก้าวหน้า (Progress) และสร้างความเข้มแข็งหรอื ความย่ังยนื ใหแ้ กร่ ะบบ ตา่ งๆ ในสงั คม (Sustainability of the Social Systems) และสงั คมดำ� รงอยไู่ ดอ้ ยา่ งสมดลุ ระบบตา่ งๆ ในสังคม คือ สถาบันทั้งหลายท่รี วมตัวกนั เปน็ โครงสร้างยึดเหน่ยี วสังคมใหเ้ ปน็ ปึก แผน่ เปน็ อยา่ งหนง่ึ อยา่ งเดยี วกนั และสรา้ งเครอื ขา่ ยสมั พนั ธภาพทางสงั คม (Social Relationship Network) ในลักษณะพึ่งพาอาศัยกัน ระบบสังคมที่ส�ำคัญประกอบด้วยครอบครัว การศึกษา การเมอื ง การปกครอง เศรษฐกิจ ศาสนาและความเช่อื กลา่ วโดยทางพุทธปรัชญา การพัฒนาคอื กระบวนการสรา้ งความเจริญงอกงามทาง สตปิ ญั ญา (Intellectual Growth) หรอื ปญั ญาภาวนา คอื ความเจรญิ งอกงามทางอารมณ์ (Emotional Growth) หรอื สลี ภาวนา ซงึ่ เปน็ การพฒั นาใหบ้ คุ คลมวี ฒุ ภิ าวะเปน็ ผใู้ หญ่ รจู้ กั รบั ผิดชอบปฏบิ ตั ิงานเปน็ สมาชกิ ทีด่ ีมีศีลธรรมอยรู่ ่วมกบั บคุ คลอืน่ ในสงั คมได้อยา่ งเปน็ ปกติ
สุข) ความเจริญงอกงามทางร่างกาย (Physical Health) หรือกายภาวนา ซ่ึงหมายถึง กระบวนการพัฒนาร่างกายให้มีสุขภาพ พลานามัยที่สมบูรณ์ และความเจริญงอกงามทาง จิต (Mental or Spiritual Development หรือ จติ ตภาวนา ซึ่งหมายถึงกระบวนการฝกึ อบรมจติ ใจใหม้ คี ณุ ธรรมคอื ความรกั ความเมตตา รจู้ กั เสยี สละไมเ่ หน็ แกต่ วั การฝกึ อบรมจติ ใจ ใหม้ ีสตมิ ีสมาธิ มีความสงบรู้จักระงบั อารมณ์โกรธ โลภ หลง ) การพัฒนาสังคมตามหลักพุทธปรัชญา คือการพัฒนาให้บคุ คลเคารพในศกั ด์ิศรีของ ความเป็นมนษุ ย์ (ตามหลักเบญจศีล เบญจธรรม) มีการเอ้อื เฟอ้ื เผ่อื แผ่ซึง่ กนั และกนั (สังคห ธรรม) รวมตวั กนั (สามคั ค)ี ในการป้องกนั อนั ตราย และการสร้างสรรค์ส่ิงทีด่ งี ามและรวม ตัวกนั ปรึกษาหารือประเดน็ การปกระกอบอาชีพการบริหารกจิ การตา่ งๆ ในสังคม (สาราณิย ธรรม) ลักษณะการพัฒนาสงั คมตามหลกั พุทธปรชั ญา พุทธปรัชญา ว่าด้วยการพัฒนาสังคมครอบคลุม การพัฒนาชีวิต จิตใจ กฎกติกา โครงสรา้ งอำ� นาจทางสังคมและการรกั ษาความสมดุลแห่งระบบนเิ วศ (Ecosystem) การพัฒนาสงั คมตามหลกั พุทธปรชั ญามลี ักษณะ ดงั น้ี การพัฒนาต้องมีเป้าหมายทช่ี ดั เจน 129 เป้าหมายการพัฒนาบุคคลตามหลักพุทธปรัชญาก็คือการบรรลุถึงภาวะเจริญก้าวหน้า สร้างส่ิงที่ดงี าม ให้เกดิ มีขึน้ (ภาวติ ) ความดีหรอื คุณธรรมคือเป้าหมายของการพฒั นาบุคคล คน ดีคือคนทม่ี อี ดุ มด้วยกุศลธรรมได้แก่มวี ชิ ชาความรู้ (วิชชา) อย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ ปราศจากความ โลภอยากไดส้ ง่ิ ของตา่ ง ๆ อยา่ งไมร่ จู้ กั พอเพยี ง (อโลภะ)และมจี ติ ใจทปี่ ระกอบดว้ ยความรกั ความ เมตตาไม่คดิ โกระ อาฆาตพยาบาทบคุ คลอื่นอย่างไร้สติตลอดเวลา (อโทสะ) ๒. เปา้ หมายของการพฒั นาสงั คมตามหลักพุทธปรัชญา เป้าหมายของการพัฒนาสังคมก็คือสังคมปลอดภัย สงบสุข ปราศจาการเบียดเบียน ทารุณกรรม และปราศจากการกระท�ำความรุนแรงต่อกันและกัน สมาชิกทุกคนในสังคมมี สวสั ดกิ ารมคี วามมน่ั คงในชวี ิตได้รับส่ิงจ�ำเป็นต่อการดำ� รงชีวิตอยา่ งพอเพยี งและไดม้ าตรฐาน เปา้ หมายส�ำคัญของการพัฒนาสังคมตามหลักพุทธปรชั ญา มีดังนี้ ๑.) การปรับปรุงคุณภาพชีวิต ทุกระดับจนถึงมาตรฐานภาวจิต นั่นคือสังคมต้อง กา้ วหนา้ วถิ ีชวี ติ ของบคุ คลในสงั คมตอ้ งก้าวหนา้ (Progress) ไปสรู่ ะดบั ท่พี งึ พอใจ ๒.) ความยตุ ิธรรม (Justice) ความเท่าเทยี มกนั (Equality) มนุษยท์ กุ คนในสังคม ตอ้ งไดร้ บั การปฏบิ ตั อิ ยา่ งยตุ ธิ รรม ผมู้ อี ำ� นาจในสงั คมตอ้ งอำ� นวยความยตุ ธิ รรมและการใหบ้ รกิ าร ต่างๆ โดยไม่เลอื กปฏิบตั ิ (ละเวน้ อคติ ๗) และค�ำนึงถงึ หลักการปฏบิ ัตทิ เี่ หมาะสมด้วยปญั ญาท่ี
ชาญฉลาดลึกซ้ึงและชัดเจน (อุเบกขา) ความยตุ ิธรรมและความเปน็ ธรรมน้ี รวมถงึ การให้รางวลั และลงโทษดว้ ย ๓.) การไมก่ อ่ ความรนุ แรง (Non-violence) ปญั หาความรนุ แรง (Violence) เปน็ ปญั หา สังคมที่ส�ำคญั ท่ีสดุ ตามพทุ ธทัศนะ ความรนุ แรงปรากฏให้เห็นโดยท่วั ไปแมใ้ นปจั จบุ ันกม็ ีปญั หา ความรุนแรงปรากฏอยู่ ความรนุ แรง แสดงออกมาทางกาย (การใชก้ ำ� ลงั บงั คบั ขม่ เหงคนอน่ื ) ทางวาจา (การพดู แสดงความอาฆาตพยาบาท ความโกรธเคอื ง ซ่ึงปรากฏอยูใ่ น hate speech หรอื ค�ำพดู แสดง ความเกลียดชัง) และทางจิตใจ (ซ่ึงท�ำให้ผู้ที่มีจิตใจรุนแรงแสดงกิริยาอาการออกมาทางสีหน้า และทา่ ทางโดยไมต่ อ้ งใชค้ ำ� พดู ผมู้ จี ติ ใจรนุ แรงในเชงิ ทำ� ลาย อาจจะบบี คนั้ ตวั เองหรอื ทำ� การรนุ แรง ต่อตนเองโดยไมร่ ตู้ ัว) ปรชั ญาการพัฒนาทว่ั ไป ๑. ปรชั ญาว่าดว้ ยการพัฒนาท่ียัง่ ยืน การพัฒนาท่ียงั่ ยนื (Sustainable Development) Anandกับ Sen๑ ไดช้ ี้ให้เหน็ ว่า การพฒั นาทย่ี ั่งยืนจะต้องเกยี่ วกบั ปัจจุบันมากเทา่ กับ 130 เกีย่ วกับอนาคต เพราะวา่ คณุ ค่าทางจรยิ ธรรมเกย่ี วกบั ความย่ังยืนเชน่ ข้นึ อยกู่ บั คุณภาพแห่งผล สำ� เร็จแบบใดแบบหนึ่งทีเ่ ราต้องการจะใหค้ งอยู่ UNDP๒ ยำ�้ ว่า การพฒั นาท่ียังกอ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ทา่ เทียมกนั ดังท่เี ปน็ อยใู่ นปัจจบุ นั ไม่ เปน็ การพฒั นาที่ยงั่ ยืนและไม่สมควรจะยึดถอื ให้คงอยู่ตอ่ ไป Development that perpetuates today’s inequalities is neither sustainable nor worth sustaining การพัฒนาที่ย่ังยืน เป็นแนวคิดที่มีการยอมรับอย่างกว้างขวางแต่ก็เป็นแนวคิดท่ียัง คลุมเครือ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการพัฒนาสังคมท่ียั่งยืนดูเหมือนจะเป็นแนวคิดท่ีคลุม เครือมาก เป็นพิเศษ เพราะค�ำว่าสังคมมีหลายมิติ และมิติทางสังคมก็มีความคลุมเครือ ความเจริญทาง เศรษฐกิจก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เป็นวัตถุประสงค์ส�ำหรับการพัฒนาท่ียั่งยืน๓ แต่ถึงกระน้ัน มิติทาง เศรษฐกิจก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นมิติหน่ึงที่มีความส�ำคัญและเป็นเสาหลัก (Pillar) อย่างหนึ่ง ของการพฒั นาสังคมทย่ี ั่งยนื ๑ SudriAnand and Amarty a sen. (๑๙๙๔). Sustainable human development: concept and theories. New yoke: UNDP Human development Report occasional paper No.๘ ๒ UNDP. (๑๙๙๖). Human Development Report. New York: UNDP. P๔. ๓ Sarachchandra M. Lede. (๑๙๙๑). Sustainable Development: A Critical Review Would Development ๑๙,๑๖ June : ๖๐๗-๖๒๑. P ๖๑๓.
Conrey๔ ไดน้ ิยามการพฒั นาทย่ี ัง่ ยนื ว่า เป็นวถิ กี ารพัฒนาท่ที นต่อแรงบบี คั้นและแรง กระแทกทุกชนิด และฟื้นฟตู วั ได้เรว็ เมื่อเผชิญกับแรงบบี ค้ันและแรงกระแทกตา่ งๆ การพฒั นา ทยี่ ัง่ ยืนมสี ่วนประกอบที่สำ� คัญ ๔ประการคอื : ผลผลติ ความยงั่ ยืนแห่งระบบนิเวศ เสถียรภาพ (ทางสังคมและการเมือง) และความยตุ ิธรรม เปา้ หมายของการพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื คอื มนษุ ย์ คณุ ภาพชวี ติ ของมนษุ ยเ์ ปน็ เปา้ หมายของ การพฒั นามนษุ ย์ มนษุ ยจ์ ะตอ้ งมคี วามสมั พนั ธท์ ด่ี กี บั บคุ คลอน่ื ความยตุ ธิ รรมเปน็ เปา้ หมายเดน่ ที่สุดในการพัฒนาสังคม การพัฒนาเศรษฐกิจจะเกี่ยวโยงกับวิธีการที่จะบรรจุถึงวัตถุประสงค์ ดงั กลา่ ว การพัฒนาท่ีย่ังยืนจะต้องค�ำนึงถึงหลักการทางยุทธศาสตร์และหลักการทางจริยธรรม ต่าง ๆ Paul Selman๕ ไดช้ ใี้ หเ้ หน็ ถงึ หลกั การขน้ั พน้ื ฐานสำ� หรบั การพฒั นาทย่ี งั่ ยนื กลา่ วคอื (๑) ความยตุ ธิ รรมระหวา่ งยคุ สมยั (Inter-generation Equity)(การคำ� นงึ ถงึ อนาคต) (๒) ความ ยตุ ธิ รรมภายในยคุ สมยั (Intra-generation equity) (ความยตุ ธิ รรมทางสงั คม) (๓) ความรบั ผดิ ชอบขา้ มพรมแดน (Tran frontier responsibility) (ความยงั่ ยนื ในพน้ื ที่ หรอื ภมู ภิ าค) หรอื ประเทศหนึ่งไมส่ ามารถบรรลถุ งึ ได้โดยการกอบโกยสภาพส่ิงแวดลอ้ มตามธรรมชาตจิ ากสถานที่ แหง่ อน่ื 131 หลกั การสำ� คัญของการพัฒนาท่ยี ่งั ยนื จึงประกอบด้วย ๑. การยดึ หลักความสำ� คัญของระบบนเิ วศวทิ ยา (Ecological holism) วางแผนการพฒั นาภายในขอบขา่ ยระบบนเิ วศวทิ ยาเชอื่ มโยงการศกึ ษาวเิ คราะหร์ ะดบั พ้ืนท่ีในท้องถ่ินกับระดับโลกสนับสนุนความร่วมมือกันด้านต่างๆ และจัดการแลกเปลี่ยนอย่าง สมดุล ๒. ใหค้ วามสำ� คัญตอ่ อนาคต (Future Orientation) ในการพฒั นาจะตอ้ งดำ� เนนิ การโดยให้ความมั่นใจว่า ขอบเขตทส่ี ำ� คญั ทางจรยิ ธรรมจะ ตอ้ งรวมถงึ ผลประโยชนส์ ำ� หรบั คนในอนาคตดว้ ยและการตดั สนิ ดำ� เนนิ การพฒั นาจะตอ้ งมงุ่ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความคงอยู่ระยะยาวและการฟนื้ ฟสู ภาพต่างๆ เข้าสคู่ วามเปน็ ปกติอยา่ งรวดเร็ว ๓. ความรบั ผดิ ชอบทางสงั คม และการกระทำ� ของกลมุ่ รว่ มกนั (Social Responsibility and collective action) ๔ Gordon Conway. (๑๙๙๗). Doubly Green Revolution : Food for All in the ๒๑stCentuey. Hwrmondsworth: Penguin. ๕ Paul Selman. (๑๙๙๖). Local Sustainability: Managing and PlaniingEcologicalty Sound Places. London: Paul Chapman
ในการพัฒนาจะต้องยอมรับการมีอยู่ของกันและกัน และเสริมสร้างการบริหารจัดการ แบบสหกรณใ์ หเ้ ขม้ แขง็ แบง่ สรรพสนิ คา้ ทว่ั ไปทใ่ี ชร้ ว่ มกนั และความรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั ในทกุ ระดบั ตั้งแต่ระดับทอ้ งถิ่นถงึ ระดับโลก การสรา้ งแรงทะเยอทะยาน (Aspiration) คนท้ังในยุคปัจจุบันและยุคอนาคต จ�ำเป็นต้องมีไม่เพียงแต่คุณภาพชีวิตท่ีก�ำหนดไว้ เทา่ นน้ั แต่ยงั ตอ้ งการโอกาสท่จี ะเสริมสร้างความก้าวหน้านั้นคือสทิ ธใิ นการพฒั นาอกี ดว้ ย ความมสี มรรถนะในการปรบั ตวั (Adaptability) ในการพฒั นาจะตอ้ งคดิ ทบทวนการวางแผน การเรยี นรแู้ ละการพฒั นาองคก์ ารเพอื่ เสรมิ สรา้ งสมรรถนะในการปรบั ตวั เขา้ กับอนาคตท่ีไมแ่ นน่ อนและความเสยี่ งต่างๆ หลักการส�ำคญั สำ� หรับการวางแผนการพัฒนาและการตัดสนิ ใจ ในการพฒั นาจะตอ้ งคำ� นงึ ถงึ หลกั การวางแผนและการตดั สนิ ใจดำ� เนนิ การตามแผนการ พัฒนา ดงั ต่อไปนี้ ๑. ประสทิ ธภิ าพของระบบเศรษฐกิจ ๒. การมีประชาชนเป็นศูนยก์ ลาง 132 ๓. การยึดระบบการเมอื งท่เี ปน็ จริง ๔. ความน่าเช่ือถอื ไวว้ างใจได้ (โดยผา่ นการตรวจสอบและการสือ่ สาร) ตวั อยา่ งหลกั การแตล่ ะขอ้ ๑. จำ� กดั การผลิตและการบริโภคท่ไี มย่ ง่ั ยืน ๒. การค�ำนงึ ถงึ คุณภาพชีวิตของประชาชน ๓. การคำ� นงึ ถงึ อนาคตของยคุ ตอ่ ไปเปน็ หลกั การในการกำ� หนดระบบการเมอื งทเี่ ปน็ จรงิ และด�ำเนินการสอดคลอ้ งกบั ความยง่ั ยืนอย่างครบดา้ น ๔. การเคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรมและการส่งเสริมนวัตกรรมจะท�ำให้เกิดการ ปรับตวั ได้ การวางแผนพัฒนาสังคม H.J.Gans๖ นยิ ามการวางแผนทางสังคมว่า ในความหมายโดยทวั่ ไป การวางแผน คือ วธิ กี ารตดั สนิ ใจวิธีหน่ึง (๑) ทนี่ �ำเสนอให้ เหน็ จดุ มงุ่ หมายหรอื กำ� หนดชจ้ี ดุ มงุ หมาย (๒) กำ� หนดวธิ กี ารหรอื โปรแกรมทจ่ี ะบรรลหุ รอื คดิ ว่าท�ำให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายเหล่านั้น และ (๓) ด�ำเนินการตามน้ันโดยประยุกต์ใช้เทคนิค ๖ H.J.Gans. (๑๙๖๘). People and Plans. New York. : Basic Books; P ๑๒๙.
วิเคราะห์เพื่อค้นให้พบการปฏิบัติที่เหมาะสมระหว่างจุดมุ่งหมายกับวิธีการและผลที่ได้รับตาม มาจากการปฎิบตั ติ ามเปา้ หมายและวธิ กี ารแห่งทางเหลือทีก่ ำ� หนดไว้ การนยิ ามความหมายนม้ี ลี กั ษณะยดื หยนุ่ และรวมเอาระดบั และเทคนคิ ทางการวางแผน แบบตา่ งๆ การนิยามของ H.J. Gansสะทอ้ นให้เห็นความคดิ ข้ึนพ้นื ฐานของการวางแผนอันเปน็ ความคดิ ทม่ี เี หตผุ ล ซง่ึ ชว่ ยใหก้ ารดำ� เนนิ การกระบวนการทางสงั คมแบบตา่ งๆ สามารถเปน็ ไปได้ ความมเี หตผุ ลจะต้องมใี นการวางแผนเสมอ ความมเี หตผุ ล (Rationality) สามารถวเิ คราะหไ์ ดใ้ นการวางแผนแบบตา่ ง ๆ เชน่ ในการ วางแผนของนกั บรหิ ารระดบั ผเู้ ชย่ี วชาญ (Technocratic) ความมเี หตผุ ลและการคำ� นวณ มคี วาม สำ� คญั อยา่ งยงิ่ การจดั ทำ� นโยบายทด่ี แี ละการวางแผนทดี่ ี หมายถงึ การออกแบบระบบอยา่ งหนง่ึ ซ่ึงช่วยให้สังคมซึ่งน้�ำหนักอย่างมีเหตุผลระหว่างค่าใช้จ่ายกับผลก�ำไรของทางเลือกที่ตัดสินใจ เลือก๗ ในทศั นะทางสงั คมวทิ ยา ความมเี หตผุ ลในการวางแผน ขน้ึ อยกู่ บั ลกั ษณะของเปา้ หมาย และลักษณะของสังคมที่น�ำแผนไปปฏิบัติใช้การตัดสินในเรื่องต่างๆ เก่ียวกับสังคมน้ัน เป็นกระ บวนการทางการเมือง ซ่ึงมกั จะมีความขดั แยง้ เกีย่ วกับค่านิยมและผลประโยชน์ของผู้มีสว่ นรวม เขา้ มาเก่ยี วข้องเสมอ๘ ในเชงิ ทฤษฎี การวางแผนทางสงั คมจะเกย่ี วขอ้ งกับการประเมนิ เปา้ หมายทางสังคม 133 และการพัฒนาสังคมแบบต่างๆ เพ่ือบรรลุถึงเป้าหมายท่ีก�ำหนดไว้และมีความ สัมพันธ์ท้ังใน ระดบั ภมู ภิ าคและระดบั พื้นที่ การวางแผนทางสังคมครอบคลุมการวางแผนระดับภูมิภาค ระดับพื้นที่ การวางแผน พฒั นาเมอื งการวางแผนพฒั นาชมุ ชน การวางแผนโครงการสวสั ดกิ ารสงั คม การวางแผนดงั กลา่ ว นไ้ี ดม้ กี ารกลา่ วถงึ อยา่ งกวา้ งขวาง ตดิ ตอ่ เนอ่ื งกนั มาเปน็ ระยะเวลายาวนานในประวตั ศิ าสตรก์ าร วางแผนทางสังคม๙ แบบการวางแผนทางสังคมกล่าวว่ารูปแบบการวางแผนมีทั้งท่ีดีเป็นรูปแบบจ�ำเป็น (Imperative) และรปู แบบตามอ�ำเภอใจ (Liberal) อยา่ งไรก็ตามกล่าวในเชิงปฏบิ ัติ แบบการวางแผนทางสงั คม มดี งั นี้ ๑. การวางแผนโดยการสั่งการโดยตรง (Planning by direct commands) การ วางแผนแบบนี้ด�ำเนินการมาเป็นระยะเวลายาวนานผู้มีอ�ำนาจการปกครองและการบริหาร ๗ H.Owen and C.L.Schultze, eds. (๑๙๗๖). Setting National Priorities. Washington, DC. : Booking Institution. P.๑๐. ๘ M.J.Dear. (๒๐๐๐). The Postmodern Urban Condition. Oxford: Blackwell Publicantions. P.๑๑๙ ๙ E.V.Rostow. (๑๙๖๒). Planning for freedom. Newhaven , CT,: Yale University Press. (๒๒)
ประเทศเป็นผู้ก�ำหนดปัจจัยท่ีว่าเป็นส�ำหรับการด�ำเนินตามแผน กระบวนการด�ำเนินการและ ผลลัพธท์ ่เี ปน็ วตั ถุประสงคห์ รอื เป้าหมายของการวางแผน ลว้ นถกู กำ� หนดจากผู้มอี �ำนาจ ๒. การวางแผนโดยทางออ้ ม (Indirect Planning) การงานแผนแบบนผ้ี มู้ อี ำ� นาจเปน็ ผคู้ อยกบั ดแู ลและกำ� หนดเปา้ หมาย การวางแผนและ ด�ำเนินตามแผนเป็นความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติซ่ึงจะก�ำหนดระเบียบควบคุมและปฏิบัติตาม แผนเพอ่ื บรรลถุ งึ เปา้ หมายทกี่ ำ� หนดไวโ้ ดยผมู้ อี ำ� นาจสงู สดุ จากสว่ นกลาง ผมู้ อี ำ� นาจสงู สดุ อาจจะ เป็นทง้ั ภาครฐั และภาคธรุ กิจเอกชน ๓. การวางแผนทจ่ี ำ� เปน็ และมีตวั บง่ ช(ี้ Imperative and Indicative planning) การวางแผนแบบนนี้ ยิ มปฏบิ ตั ใิ นสงั คมทนุ นยิ มแบบประชาธปิ ไตย การวางแผนทจี่ ำ� เปน็ หมายถึงการสั่งการในทางการบรหิ าร และจะตอ้ งมกี ารบงั คับบางอยา่ ง การวางแผนสาธารณะ เปน็ การวางแผนทีจ่ �ำเป็นเช่นในเรอ่ื งการใช้ท่ีดนิ และเรอ่ื งอื่นๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ท่ีดนิ การวางแผน ท่จี ำ� เป็นดงั กล่าวจะตอ้ งดำ� เนนิ การออกกฎหมายหรือกฎระเบยี บขอ้ บงั คับตามมาดว้ ย ส�ำหรับการวางแผนแบบมีตัวบ่งช้ี หมายถึง การวางแผนท่ีมีวัตถุประสงค์ และอาจจะ มีนโยบายก�ำหนดไว้เพื่อผลักดันให้บรรลุวัตถุประสงค์ การวางแผนแบบน้ีนิยมปฏิบัติในการ วางแผนระดบั มหภาค และแนวคดิ สำ� คญั สำ� หรบั การวางแผนแบบนจี้ ะมาพรอ้ มกบั การวจิ ยั การ 134 วิเคราะห์ และการปฏิบตั ิตามสถานการณท์ างเศรษฐกจิ และทางสังคม ๔. การวางแผนธุรกิจเอกชน(Private Planning) การวางแผนภาคธุรกิจเอกชน เป็นการวางแผนเพื่อพัฒนาธุรกิจของภาคเอกชนตั้งแต่ ระดบั บรษิ ทั มหาชนลงมาถงึ ระดบั เศรษฐกจิ ในครอบครวั ชนบท (Cottage Industry) ตอ่ มาภาค รัฐมีการวางแผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นบริษัทมหาชน (Privatization of the State enterprise) ซง่ึ รวมอยใู่ นการวางแผนธรุ กิจเอกชนนีด้ ้วย ๕. การวางแผนสาธารณะ (Public Planning) การวางแผนสาธารณะ คือการวางแผนโดยผู้บริหารประเทศ การวางแผนทางสังคมมี ลักษณะเป็นอย่างหนึ่งอย่างเดียวกันกับการวางแผนสาธารณะ โดยทั่วไปการวางแผนแบบน้ี เปน็ การแทรกแซงโดยภาครฐั เพอ่ื พฒั นาสวสั ดกิ ารสงั คม และคมุ้ ครองผลประโยชนข์ องประชาชน การวางแผนทางสงั คมกับการพัฒนาสังคม การพฒั นาสงั คมจะดำ� เนนิ ตอ่ ไปไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและบรรลเุ ปา้ หมายทก่ี ำ� หนดไว้ ก็ต้องอาศัยการวางแผนทางสังคมการวางแผนทางสังคมช่วยสนับสนุนหลักการ (Principles) นโยบาย (Policies) และวสิ ัยทัศน์ (Visions) ในการสรา้ งความกา้ วหนา้ ทางสังคม การวางแผน (Planning) หมายถงึ การกำ� หนดความชดั เจน และการจดั ลำ� ดบั ความ สำ� คญั แหง่ กจิ กรรมตา่ งๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงค์ ตามแนวทฤษฎเี หตแุ ละผลทเ่ี หน็ ชดั รวม
ทง้ั การชใี้ หเ้ หน็ ชดั ถงึ ทรพั ยากรตา่ งๆ ทจ่ี ำ� เปน็ ในการสนบั สนนุ กจิ กรรมทง้ั หลายการวางแผนทาง สงั คมจึงประกอบดว้ ยหลกั การสำ� คญั อยา่ งน้อย ๓ ประการ คอื (๑) กิจกรรมท่ีมีการวางแผนให้ด�ำเนินการต้องมีความชัดเจนเช่นกิจกรรมการพัฒนา คณุ ภาพชีวิต ตอ้ งมคี วามหมายชดั เจนวา่ คอื อะไร มีกิจกรรมอะไรบ้าง (๒) กระบวนการหรอื ล�ำดบั ขนั้ ตอนในการด�ำเนินการตามกิจกรรมดังกล่าว เป็นอยา่ งไร กจิ กรรมประเภทใดมีความส�ำคญั มากทสี่ ุด กจิ กรรมประเภทใหม่ความส�ำคัญรองตามล�ำดบั (๓) แหลง่ ทรพั ยากรต่างๆ ที่จำ� เปน็ สำ� หรบั สนบั สนนุ กิจกรรมการพฒั นามีอะไรบา้ ง๑๐ โครงสรา้ งของการวางแผนทางสงั คมประกอบดว้ ย ยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาสงั คม (Social Development Strategies) ซงึ่ ครอบคลมุ การจดั สรรทรัพยากร (Resource Allocation) การ จัดท�ำยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคมริเร่ิมโดยหน่วยงานภาครัฐเป็นหลัก แต่โดยส่วนใหญ่ การจัด ท�ำยุทธศาสตร์มักมุ่งเป็นไปที่การลดความยากจน และการสนองตามความต้องการขั้นพ้ืนฐาน โดยผ่านการลงทนุ ภาคสังคม ยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาสงั คม อาจหมายถงึ แนวทางการพฒั นาสงั คมในขอบเขตสำ� คญั เช่น การลดความยากจนและการลดความเหลอ่ื มล้ำ� การสร้างเครือข่ายความปลอดภยั ทาง สังคมการให้บริการสังคมข้ันพ้ืนฐาน และการพัฒนาสถาบันส�ำคัญในชนบทและการสร้าง ความร่วมมือ ในบางประเทศ การวางยทุ ธศาสตร์ การพัฒนาสังคม ม่งุ เพื่อสนองความต้องการ 135 ข้ันพื้นฐานของมนุษย์ การพัฒนาสุขภาพและโภชนาการ การป้องกันและการแก้ไขปัญหาโรค ติดตอ่ รา้ ยแรง (เช่น HIV/AIDS) การปกป้องเดก็ และการพฒั นาการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน๑๑ โดยท่ัวไปยุทธศาสตร์การพัฒนาสังคม ไม่สามารถแยกออกจากยุทธศาสตร์การพัฒนา มนุษย์ และอาจจะเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า เป็นยุทธศาสตร์สนองความต้องการข้ันพ้ืนฐาน หรือ ยทุ ธศาสตรก์ ารบรรเทาความยากจนหรอื การลดความยากจน ยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาสงั คมนสี้ ว่ น มากจะกล่าวถงึ ความต้องการของบุคคลและสมรรถนะของบคุ คล ไม่ใชค่ วามต้องการของสังคม หรอื สมรรถนะของสงั คม การพฒั นาสังคม อาจหมายถงึ การพฒั นาหลายมิติ (Multi-dimensional) การพัฒนา หลายระดับ (Multi-Level) ซ่ึงอาจเป็นระดับโลกจนถึงระดบั ท้องถนิ่ การพฒั นาทย่ี ดึ ประชาชน เปน็ ศนู ยก์ ลาง (People-Centered) การพฒั นาแบบองคร์ วม (Holistic) การพฒั นาเชงิ บรู ณาการ (Integrated Development) ซงึ่ รวมเอาการพฒั นาดา้ นเศรษฐกิจ การเมือง สงั คม วฒั นธรรม และกฎหมาย ๑๐ Neil Thin. (๒๐๐๒). Social Progress and Sustainable Development. London: ITDG Publishing. P๖๑. ๑๑ CIDA. (๒๐๐๐). CIDA’S Social Development Priorities: A Framework for Action. P๓.
มบี างทฤษฎีที่เนน้ องค์ประกอบสำ� คญั ๔ ประการส�ำหรบั การพัฒนาสงั คมกลา่ วคือ (๑) การเสริมพลงั อ�ำนาจแกม่ วลชน (๒) การพฒั นาสถาบันสงั คม (๓) ระบบการเมอื งและมี ส่วนรว่ มมีความนา่ เชือ่ ถอื และมกี ารให้ความรแู้ ก่ประชาชน (๔) การพัฒนาระบบสาธาณูป โภค การใหบ้ ริการทางสงั คมและให้ให้โอกาสในการสร้างรายได้ การวางแผนทางสังคม มงุ่ เพ่ือใหเ้ กิดความเจรญิ กา้ วหน้าทางสงั คม (Social Progress) สงั คมมกี ารเปลย่ี นแปลงความกา้ วหนา้ ในเรอ่ื งสทิ ธมิ นษุ ยชน (Human Rights) เปน็ ความจำ� เปน็ ท่ีขาดไมไ่ ด้ ส�ำหรับธรรมาภิบาล ส�ำหรับการปกครองโดยกฎหมาย (Legal rule) และระบอบ ประชาธิปไตย ส�ำหรับยทุ ธศาสตร์ เพื่อสรา้ งความกา้ วหน้าทางสังคม มีดงั นี้ ก. การวางแผนทางสังคมระดบั กกวา้ งและระดบั เฉพาะเจาะจง ประกอบด้วย ๑. แผนการปฏิบตั เิ พ่อื สิทธิมนษุ ยชน ๒. แผนสร้างความปรองดองและบรู ณาการทางสังคม ๓. ยทุ ธศาสตรก์ ารปกปอ้ งทางสงั คม ๔. แผนเสรมิ สรา้ งความเขม้ แขง็ ประชาสังคม ข. การวางแผนทางสงั คมเฉพาะเรอื่ ง 136 ๑. การสง่ เสรมิ ความเทา่ เทียมกันทางเพศ ๒. การวางแผนพฒั นาคนพิการ ๓. การวางแผนพัฒนาผสู้ งู อายุ ๔. การวางแผนพัฒนาชนกลมุ่ นอ้ ย ๕. การวางแผนพัฒนาเดก็ ๖. การสง่ เสรมิ ความตระหนกั ในสทิ ธิ ค. การวางแผนพฒั นาสังคมพหุภาคีระดบั ชาติ ๑. การวางแผนพฒั นาชาติ (เชน่ แผน ๕ ป)ี ๒. การวางแผนยุทธศาสตร์ลดความยากจน ๓. การวางแผนยทุ ธศาสตร์การจา้ งงาน ๔. การวางแผนยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาชนบท ๕. การวางแผนยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาเมือง ง. การวางแผนพฒั นาสงั คมเฉพาะภาคส่วน ๑. ภาคการเกษตร ๒. ภาคท่ีอยู่อาศัย ๓. ภาคสาธารณสขุ
๔. ภาคการศกึ ษาและอาชีวศึกษา ๕. ภาคโครงสร้างและการใหบ้ ริการพืน้ ฐาน ๖. ภาคอนุรักษ์ การวางแผนเสริมสร้างความก้าวหน้าทางสังคมดังกล่าว ยึดหลักการส่งเสริม ความ ยตุ ธิ รรม (Justice) สันตภิ าพ (Peace) และความเปน็ ปึกแผ่น (Solidarity) หลักการดังกล่าวจะ ตอ้ งมีการสง่ เสรมิ เปน็ พเิ ศษสำ� หรบั กลุ่มดอ้ ยโอกาสและกลุ่มคนชายขอบ (Disadvantaged or marginalized) รวมท้งั ชนกลุ่มน้อย ซ่งึ จะต้องได้รับโอกาสเสริมสรา้ งความเขม้ แข็งตนเอง การมี อตั ลกั ษณข์ องกลมุ่ การอนรุ กั ษค์ า่ นยิ มทางวฒั นธรรม เพอ่ื ทช่ี นกลมุ่ นอ้ ยทงั้ หลายจะมชี วี ติ อยอู่ ยา่ ง เป็นอสิ ระ มีสนั ติสขุ และความมั่นคงปลอดภัยในการสง่ เสริมความกา้ วหนา้ ของกลมุ่ ชนดังกล่าว จะต้องมีมาตรการสง่ เสริมพลังอ�ำนาจ ให้กลุม่ ชนเหลา่ นัน้ เข้าถึงแหล่งให้บริการ และที่สำ� คญั คือ ใหโ้ อกาสกลมุ่ ชนเหลา่ นม้ี สี ว่ นรว่ มในการใหข้ อ้ คดิ เหน็ การวางแผนทางสงั คมตา่ งๆ ทจ่ี ะสง่ ผลตอ่ ทีด่ ินและทรพั ยากรตา่ งๆ ท่ตี นทำ� กินหรือที่มีความสำ� คัญทางวฒั นธรรมสำ� หรบั ชนเหล่าน้นั สาระส�ำคัญท่เี ป็นแก่นของการพัฒนาสังคม กระบวนการพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้าสูงข้ึนเป็นที่พึงพอใจและมีความหมายมากย่ิงขึ้น ประกอบด้วยเนอ้ื หาท่เี ป็นแก่นสำ� คัญ ๔ ประกอบ (Neil Thin, ๒๐๐๒,p. ๘๓) ๑. ความยุตธิ รรมทางสงั คม (Social Justice) มายถงึ การมีโอกาสเทา่ เทียมกันและ 137 การทคี่ นทกุ คนมสี ิทธแิ หง่ มนุษยชนเหมอื นกนั ๒. ความเปน็ ปึกแผ่นแหง่ สังคม (Social Solidarity) หมายถึง การท่สี ังคมมีการรวม ตัวกันม่ันคง การเข้าใจความรู้สึกของกันและกัน การร่วมมือกัน และมีชีวิตอยู่ในกลุ่มอย่างมี ศักดศ์ิ รี ๓. การมีสว่ นรว่ ม (Participation) คอื การทท่ี กุ คนในสังคมมโี อกาสทจี่ ะเขา้ ไปมสี ่วน อย่างสำ� คญั ยิง่ ในการพฒั นา ๔. ความมน่ั คงปลอดภัย (Social Security) คือความมัน่ คงและความปลอดภยั ในการ ด�ำรงชวี ติ โดยปราศจากภยั คกุ คามทางกายภาพต่างๆ สาระการพฒั นาทง้ั สดี่ า้ นนี้ เปน็ แกน่ เสรมิ พลงั ในแกก่ นั และกนั สำ� หรบั การพฒั นาทยี่ งั่ ยนื ทกุ ด้าน แต่อาจจะมีการแลกเปลีย่ น (Trade-off) ในกลุม่ สาระ ๔ ด้านน้ี รวมทง้ั การแลกเปลย่ี น ระหว่างสาระหลัก และอาจจะบรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่สัมผัสได้โดยเฉพาะยิ่งขึ้นในระยะสั้นโดย ขยายรายละเอยี ดเพม่ิ เติมตอ่ ไปนี้ ความยตุ ธิ รรมทางสังคม ความยตุ ธิ รรมทางสงั คมเปน็ ความคดิ ทดี่ อี ยา่ งหนงึ่ แตใ่ นความเปน็ จรงิ ความยตุ ธิ รรมทเี่ ปน็
ไปไดน้ นั้ มลี กั ษณะทแ่ี ตกตา่ งกนั โดยขน้ึ อยกู่ บั สภาพทางวฒั นธรรมและสถานการณ์ ขอ้ นสี้ ง่ ผลใหเ้ กดิ การปฏบิ ตั อิ ยา่ งไมย่ ตุ ธิ รรมและเปน็ ปญั หาใหม้ กี ารวพิ ากษ์ วจิ ารณอ์ ยา่ งกวา้ งขวาง ในบางประเทศที่ พฒั นาแลว้ มกี ารเนน้ ถงึ สทิ ธมิ นษุ ยชนในฐานะเปน็ คา่ นยิ มขนั้ พนื้ ฐานสำ� หรบั ทกุ วฒั นธรรม บคุ คลไม่ วา่ จะมวี ฒั นธรรมเปน็ อยา่ งไร กส็ มควรไดร้ บั ความยตุ ธิ รรมทางสงั คมเทา่ เทยี มกนั บคุ คลทมี่ วี ฒั นธรรม แตกตา่ งจากตน มีหลักปรัชญาที่สัมพันธ์กับความยุติธรรมทางสังคมที่ส�ำคัญอยู่สองสาขา คือ ปรัชญา Utilitarianism กับปรัชญา Rawlsianism๑๒ ปรัชญาท้ังสองสาขาน้ีล้วนดึงดูดความสนใจทาง มโนธรรม แตม่ ีหลักการขัดแย้งกนั ปรชั ญา Utilitarianism (อรรถสาระนยิ ม) พจิ ารณาการกระทำ� ใด ๆ วา่ ยตุ ธิ รรม ถา้ การก ระทำ� นน้ั นำ� ความดงี ามหรอื ความมปี ระโยชนสงู สดุ มาสปู่ ระชาชนจำ� นวนมาก (Greatest good to the greatest number of people) ปรชั ญานม้ี คี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ กบั การสง่ เสรมิ ความ เจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ โดยมกี ารคดิ วา่ ถงึ แมจ้ ะมผี สู้ ญู เสยี บา้ งหรอื ขาดทนุ บา้ ง แตโ่ ดยทวั่ ไป ทรพั ยส์ นิ ยอ่ มจะกระจายเปน็ ประโยชนแ์ กค่ นสว่ นใหญ่ เปน็ ทเี่ หน็ ชดั วา่ ความยากจนยงั คงอยู่ แมใ้ น ประเทศทมี่ ี GDP (Gross Domestic Product) หรอื ผลผลติ มวลรวมในประเทศสงู และวถิ กี าร พฒั นา (Trajectories of Development) ในปจั จบุ นั มที า่ ทที ค่ี นในยคุ อนาคตวา่ ตอ้ งเสยี คา่ ใชจ้ า่ ย 138 สงู มาก ปรชั ญาอรรถสาระนยิ ม จงึ มองดเู หมอื นกบั สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ความอยตุ ธิ รรมเพมิ่ มากขน้ึ ในขณะ นแ้ี ละในอนาคตดว้ ย ในทางตรงกันขา้ ม ปรชั ญาสาขา Rawlsianismมแี นวคิดดงึ ดูดความสนใจทางจริยธรร มสงู กว่า ปรชั ญาสาขานอี้ ธบิ ายวา่ โลกทย่ี ตุ ิธรรมคือโลกทีม่ กี ารจัดระเบียบตามแบบวิถีทีเ่ ราจะ จดั ระเบยี บเพอ่ื ใหเ้ ราจะไดไ้ ปเกดิ ใหมใ่ นโลกแบบนน้ั โดยทเี่ ราไมร่ วู้ า่ เราจะไปเกดิ ในโลกแบบนนั้ หรอื ไม่ ขอ้ นสี้ ามารถพจิ ารณาไดว้ า่ เปน็ การขยายโอกาสทจี่ ะครอบคลมุ ถงึ ความยตุ ธิ รรมระหวา่ ง ยุคดว้ ย กล่าวคอื ถ้าเราไม่รู้วา่ เมื่อไรเราจงึ จะไปเกดิ ใหม่ เราจะตอ้ งการจัดระเบียบโลก เพือ่ ให้ เกิดโอกาสทดี่ ีและยุตธิ รรมแกค่ นในยคุ อนาคตได้ดว้ ยวิธใี ด ปรชั ญาทง้ั สองสาขานจี้ งึ ตง้ั คำ� ถามเกยี่ วกบั การสนองตอบทกี่ วา้ งขวางมากยง่ิ ขน้ึ ทเ่ี ปน็ คำ� ถาม ตอ่ หลกั การทางปรชั ญาทำ� นองเดยี วกนั การปฏบิ ตั ติ ามประเพณวี ฒั นธรรมในสงั คมโลกปจั จบุ นั มคี วาม แตกตา่ งกนั สงู มาก การปฏบิ ตั ติ ามนโยบายทแี่ ทจ้ รงิ จงึ มคี วามแตกตา่ งสงู ตามไปดว้ ย ไมว่ า่ เราจะยดึ ตามแนวปรชั ญาสาขาใดกต็ าม ตวั อยา่ ง เชน่ บคุ คลทเ่ี ปน็ เหยอื่ ของการปฏบิ ตั ทิ างวฒั นธรรมบางอยา่ ง เชน่ การขลบิ หรอื ตดั อวยั วะเพศ (Genital mutilation) กอ็ าจจะกลา่ ววา่ พวกตนไมไ่ ดค้ ดิ วา่ ตนเปน็ ๑๒ อา้ งถงึ ใน Neil Thin. (๒๐๐๒). Social Progress and Sustainable Development. หนา้ ๘๕.
เหยอ่ื ความอยตุ ธิ รรม ดงั นนั้ ความยตุ ธิ รรมจงึ ไมม่ ที า่ ทที จ่ี ะเปน็ เพยี งเปา้ หมายทร่ี บั รกู้ นั เทา่ นนั้ แตจ่ ะ เปน็ สงิ่ ทจ่ี ะตอ้ งมกี ารกลา่ วโตแ้ ยง้ หรอื อภปิ รายกนั ตอ่ ไป การพฒั นาความยตุ ธิ รรมจำ� เปน็ ตอ้ งพดู ถงึ ความมสี ทิ ธิ (Rights) ความมสี ทิ ธใิ นทนี่ ้ี หมายถงึ การเนน้ ความสำ� คญั ของการใหเ้ กยี รตกิ ารอา้ งสทิ ธทิ างการเมอื ง เพอื่ ความยตุ ธิ รรมและอสิ รภาพทาง สงั คม การพฒั นาบนพน้ื ฐานความจำ� เปน็ (Needs-based) ดจู ะตรงกนั ขา้ มกบั การพฒั นาบนพนื้ ฐาน ของสทิ ธิ การพฒั นาบนพน้ื ฐานความจำ� เปน็ นน้ั เนน้ การทา้ ทายเชงิ เทคนคิ ในการสนองตอบความ จำ� เปน็ ขนั้ พนื้ ฐาน ซงึ่ สว่ นใหญเ่ ปน็ ความจำ� เปน็ ดา้ นวตั ถุ แตข่ อ้ นใ้ี นเชงิ ปฏบิ ตั ยิ งั มคี วามเหลอื่ มลำ้� กนั อยมู่ าก ไมใ่ ชจ้ ะแยกการพฒั นาบนพนื้ ฐานสทิ ธแิ ละบนพนื้ ฐานสทิ ธนิ น้ั รวมเอาการเนน้ เชงิ กลยทุ ธใ์ น เรอื่ งการเปลยี่ นแปลงทางสงั คม ซงึ่ เนน้ การแกป้ ญั หาสาเหตคุ วามอยตุ ธิ รรมและความยากจน และเนน้ ขน้ั ตอนการปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ใหม้ คี วามมน่ั ใจไดว้ า่ สง่ิ จำ� เปน็ เรง่ ดว่ นจรงิ ๆ จะไดร้ บั การสนองตอบ โดยหลกั การบางประการการพฒั นามนษุ ยร์ วมเอาการพฒั นาบนพนื้ ฐานสทิ ธแิ ละสง่ิ จำ� เปน็ ขนั้ พนื้ ฐาน ปรัชญาการพัฒนาบนพ้ืนฐานของสิทธิที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนรับไปปฏิบัติ ทงั้ ในระดบั ชาตแิ ละระดบั นานาชาติ มงุ่ เพอื่ ขยายแนวคดิ เรอ่ื งความยากจนโดยครอบคลมุ ถงึ มติ ิ ทางสงั คมแหง่ ความยากจน น้ันคือ สาเหตุและอาการ (Causes and symptoms) แหง่ ความ ยากจนด้วย ดังน้ัน การส่งเสริมให้กลุ่มชนด้อยโอกาสมีพลัง การเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่น มั่นคงทางสังคมให้มากยิ่งขึ้น และกระบวนการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่างๆ 139 จึงพิจารณาได้ว่าเป็นส่วนประกอบในเร่ืองสิทธิในการพัฒนา และเป็นปัจจัยการสนองตอบ ความต้องการอย่างยั่งยืน ความเป็นปกึ แผน่ ทางสังคม ความเป็นปึกแผ่นทางสังคมมีความใกล้เคียงแนวคิดเรื่องสังคมมากที่สุด ความเป็นปึก แผ่นทางสังคมหมายถงึ ภาวะทผี่ ้คู นประสานเชือ่ มโยงกนั อย่างแนบสนทิ มีความรสู้ กึ เป็นเจา้ ของ สาธารณปู โภค ความเชอื่ ศาสนา วฒั นธรรม และสิง่ แวดลอ้ มตามธรรมชาติรว่ มกนั ความเป็นปกึ แผ่นทางสังคม เป็นแนวคิดหลักทางสังคม เหมือนกับค�ำว่า การผลิตและการแลกเปล่ียนเป็น แนวคดิ หลกั ทางเศรษฐกจิ ความเปน็ ปกึ แผน่ มลี กั ษณะคลา้ ยกบั คำ� วา่ การรวมตวั กนั อยา่ งเหนยี ว แน่นทางสังคม (Social cohesim) หรือ ทุนทางสังคม (Social Capital) นอกจากน้ี ค�ำนห้ี มาย ถึงการเช่ือมโยงที่ดีระหว่างผู้คนในสังคม การมีอัตลักษณ์ร่วมกัน การมีความเข้าใจกันและกัน และการมีวตั ถุประสงค์รว่ มกนั นกั คดิ ทางสงั คมศาสตรท์ า่ นหนง่ึ ๑๓ กลา่ วถงึ ลกั ษณะรว่ มของความเปน็ ปกึ แผน่ ทางสงั คม ๑๓ Robert Goodland. (๒๐๐๐). Social and Environmental Assignment to Promote Sustainability. Washington, DC.: World Bank Environmental Management Series No.๗๔. P๒๒.
ลกั ษณะหนง่ึ คอื คำ� วา่ “ทนุ ทางสงั คม” วา่ เปน็ ปจั จยั สง่ เสรมิ การพฒั นาสงั คม ดงั นนั้ การพฒั นา ส่งเสริมให้สงั คมดำ� รงอยอู่ ยา่ งมนั่ คง ยง่ั ยืน ก็คือการสง่ เสรมิ ใหท้ ุนสงั คมดำ� รงอย่อู ยา่ งยง่ั ยืน แต่โดยส่วนใหญ่การศึกษาวิจัยภายใต้แนวคิดเรื่องทุนทางสังคมน้ี มักจะด�ำเนินการโดยนัก เศรษฐศาสตร์ จิตวิญญาณท่ีเป็นแกนกลางของความเป็นปึกแผ่นทางสังคม คือความรัก (Love) ความไวว้ างใจ (Trust) ความเหน็ อกเหน็ ใจ (Empathy)และความเขา้ ใจกนั (understanding) และความเปน็ ปกึ แผน่ ทางสงั คม สมั พนั ธก์ บั ระยะเวลายาวนานในการประสานตดิ ตอ่ กนั และความ ผูกพันระหว่างยุคสมัย กล่าวคือความรู้วัฒนธรรมและบรรทัดฐานทางสังคมจะยังคงได้รับการ ธำ� รงไวไ้ ดโ้ ดยอาศยั การตดิ ตอ่ สมาคม และถา่ ยทอดขา้ มไปยงั บคุ คลสมยั ตอ่ ไป ชวี ติ ทมี่ กี ารตดิ ตอ่ สมาคมกนั อยา่ งดจี ะชว่ ยเบกิ ขยายพรมแดนแหง่ ความรบั ผดิ ชอบทางสงั คม และสง่ิ แวดลอ้ มอยา่ ง ไม่มีขดี จ�ำกัดรวมทง้ั ความรับผดิ ชอบตอ่ บคุ คลในยุคสมยั อนาคตดว้ ย การวิเคราะห์การพัฒนาความเป็นปึกแผ่นทางสังคมนี้ ช่วยให้เข้าใจแนวโน้มการ เปลยี่ นแปลง สถาบนั สงั คมและสมั พนั ธภ์ าพทางสงั คม เขา้ ใจภาวะผนั แปรกจิ กรรมจากการตดิ ตอ่ สมาคมกนั และค่านิยมในกิจกรรมทางสงั คมตา่ ง ๆ เช่น ความร่วมมือกนั การติดตอ่ สื่อสารกนั การไวว้ างใจ และความผิดปกตบิ างอยา่ งเชน่ ความรู้สกึ แปลกแยก (Alienation) และการไมไ่ ว้ 140 วางใจกัน ความเป็นปกึ แผ่นทางสงั คมสะท้อนให้เห็นความเชอื่ มโยงในลกั ษณะตา่ ง ๆ ของกลมุ่ ชน ตัวอยา่ ง เชน่ การคบคา้ สมาคมกันเป็นประดจุ กลไกการประกันทางสงั คม การเป็นสมาชิก กลุ่มในสงั คม และการเช่ือมโยงกนั ระหวา่ งสมาชิก ช่วยให้บุคคล คอบครวั และเครือข่าย ทีก่ วา้ ง ขวางมีความสามารถที่จะยืนหยัดต่อสู้กับส่ิงที่มากระทบกระเทือนความเป็นอยู่ของบุคคล และ ของกลมุ่ บคุ คล เชน่ การเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย การเสยี ชวี ติ อยา่ งกะทนั หนั หรอื ภยั พบิ ตั ทิ างกายภาพตา่ งๆ การเนน้ ทคี่ วามเป็นปกึ แผน่ ชว่ ยในการวเิ คราะหค์ วามเปน็ เหตแุ ละผลดงั เชน่ ผลเสยี จาก การพฒั นา และความเสย่ี งทเี่ กดิ เพมิ่ ขน้ึ เมอื่ สายใยแหง่ ความสมั พนั ธเ์ สอื่ มลง หรอื เมอื่ ความเปน็ ปึกแผ่น กลับกลายเป็นการท�ำลาย เช่น การก่อจลาจลวุ่นวายของกลุ่มชาติพันธุ์ และกลุ่ม อาชญากรก่ออาชญากรรมต่างๆ ความเป็นปึกแผ่นอาจจะวิเคราะห์ในเชิงบวกก็ได้ เช่น ความ กา้ วหนา้ ของสงั คมอนั เกดิ จากความรว่ มมอื กนั และสอื่ สารกนั อยา่ งมคี วามหมายในเชงิ สรา้ งสรรค์ ความเป็นปึกแผน่ นีม้ สี ถานะแหง่ เปา้ หมายในฐานะเป็นมิตดิ ้านเปน็ คุณภาพชีวติ ดงั นั้น จะตอ้ งมี การพิจารณาโดยการกล่าวถึงเป้าหมายด้านการพัฒนา เม่ือความเป็นปึกแผ่นไม่สมบูรณ์ในหมู่ ผคู้ นท่ดี อ้ ยโอกาส จะต้องจดั หายทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาโดยครอบคลมุ วธิ กี ารทีจ่ ะทำ� ใหเ้ กดิ ความ เป็นปึกแผ่นในหมู่ผคู้ นดอ้ ยโอกาสเหล่านนั้
การมสี ่วนร่วมทางสงั คม การมีส่วนร่วม เป็นทั้งกระบวนการและเป้าหมายของการพัฒนาและการมีส่วนร่วมได้ รบั การเนน้ วา่ เปน็ ศนู ยก์ ลางการพฒั นาดว้ ย ขณะเดยี วกนั แนวคดิ การมสี ว่ นรว่ มไดข้ ยายขอบเขต ครอบคลุมถึงการมีส่วนร่วมทางการเมือง แนวคิดทางปรัชญาการเมืองท่ีสัมพันธ์กับแนวคิดการ มีส่วนร่วมในการพัฒนาก็คือแนวคิดเรื่องการมอบอ�ำนาจ (Empowerment) ให้กับประชาชน และแนวคิดเรื่องการกระจายอำ� นาจ (Distribution of power) แนวคิดทางการเมืองดังกล่าว เน้นไปท่ีการมสี ว่ นรว่ มของประชาชนเป็นหลกั อย่างไรกต็ ามการมสี ว่ นรว่ มน้ี หากมองในแง่เปา้ หมาย (Goal) ของการพัฒนาก็คอื การ กระตุน้ สง่ เสริมให้กลมุ่ ชนด้อยโอกาสที่อ่อนแอ และเขา้ ไม่ถึงกิจกรรมสาธารณะที่เปน็ ประโยชน์ อยา่ งกวา้ งขวางไดเ้ ขา้ มามบี ทบาท และมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมการพฒั นามากยง่ิ ขน้ึ การมสี ว่ นรว่ ม ของกลุ่มอ่อนแอทางสังคม จะช่วยท�ำให้ผู้ท่ีเกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งในภาครัฐและภาคประชาชนได้ รบั รปู้ ญั หาและความตอ้ งการทแ่ี ทจ้ รงิ ของประชาชนผไู้ มเ่ คยมบี ทบาทมากอ่ น การพฒั นาทย่ี งั่ ยนื นน้ั หมายถงึ การสรา้ ง การบั รสู้ ทิ ธหิ นา้ ที่ การสง่ เสรมิ ความรบั ผดิ ชอบและการเสรมิ สรา้ งสมรรถนะ ของผ้คู นทุกระดบั ชัน้ ให้บรรลุถงึ ส่ิงทเี่ ปน็ เป้าหมายร่วมกนั อย่างเปน็ รปู ธรรม แนวคดิ ทางปรชั ญาเกย่ี วกบั การมสี ว่ นรว่ มสมั พนั ธก์ บั เนอ้ื หาการพฒั นาสงั คมทสี่ ำ� คญั อยู่ 141 สองประการคอื กระบวนการรวมเบ็ดเสร็จ (Inclusion) และหรือแยกเบ็ดเสรจ็ (Exclusion) และความหลายหลายทางวัฒนธรรม๑๔กล่าวในลักษณะโตแ้ ยง้ กลายๆ วา่ แนวคดิ กระบวนการ รวมเบ็ดเสร็จ เปน็ แนวคิดทน่ี ยิ มใช้กนั มากในการจัดท�ำนโยบาย และการวิเคราะห์นโยบายทาง สงั คม ของยุโรป และเปน็ แนวคดิ ที่สำ� คญั อย่างหน่งึ ในฐานะเป็นวิธีการเนน้ มิติ ภาวะ สญู เสยี ทาง สงั คม (Social Deprivation) ดงั ท่ีกล่าวมาแลว้ การมีสว่ นร่วมเปน็ ทงั้ วธิ ีและเป้าหมายของการพฒั นา แต่แนวคดิ ทาง ปรชั ญาการพฒั นาสว่ นใหญเ่ ทา่ ทผี่ า่ นมามแี นวโนม้ ทจ่ี ะแสดงใหเ้ หน็ วา่ การมสี ว่ นรว่ มเปน็ แนวคดิ วา่ ด้วยเครอ่ื งมือนยิ ม (Instrumentalism) กล่าวคือ การมสี ่วนรว่ มนน้ั เปน็ เครือ่ งมือหรอื วธิ ี การทจ่ี ะชว่ ยใหบ้ รรลถุ งึ การปรบั ปรงุ คณุ ภาพทางกายชวี ภาพใหด้ ขี นึ้ ไมใ่ ชเ่ ปน็ เพยี งสว่ นหนงึ่ แห่งคุณภาพชีวิต และการมีส่วนร่วมน้ีสัมพันธ์กับแนวคิดทางปรัชญาว่าด้วยท้องถิ่นนิยม (Localism) อันเป็นแนวคดิ ทีเ่ น้นการมีสว่ นรว่ มในระดบั จุลภาพ (Micro-level participation) เพือ่ การปฏิบตั กิ ารอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพของกลมุ่ ๑๔ Arjan de haan, (๑๙๙๙). Social Exclusion :to wards an holistic understanding of deprivation. London: DFID, Prepared for the world development Report ๒๐๐๑ Forum on Inclusion, Justice, and poverty Reduction.
อยา่ งไรกต็ ามสง่ิ ทจ่ี ำ� เปน็ ขณะนกี้ ค็ อื จะตอ้ งสรา้ งความสมดลุ ระหวา่ งการพฒั นาตามแนว ปรัชญาเครอ่ื งมอื นิยม ซึง่ เน้นการพฒั นาการมีสว่ นรว่ มเพ่อื มุง่ เป้าไปยังจุดหมายหรือเปา้ หมายที่ ก�ำหนดไว้ในแผนการพัฒนา กับการสร้างวฒั นธรรมการมีส่วนรว่ มในฐานะเป็นเป้าหมายการ พัฒนา ส่ิงท่ีจะต้องคิดและพัฒนากันต่อไปก็คือว่า การมีส่วนร่วมนี้จะต้องพิจารณาโดยรวมให้ กวา้ งยง่ิ ขน้ึ จะตอ้ งพจิ ารณาใหพ้ น้ จากกรอบการคดิ แบบเดมิ ๆ ทจ่ี ำ� กดั การมสี ว่ นรว่ มเฉพาะระดบั จลุ ภาพหรอื ระดบั รากหญา้ โดยจะตอ้ งรวมถงึ การพจิ ารณาสมั พนั ธภ์ าพทเี่ ชอื่ มโยงประชาชนทถี่ กู แบ่งแยกใหแ้ ตกตา่ งกนั ในทางพืน้ ที่และทางล�ำดบั ชนชน้ั ในสังคมด้วย ความมั่นคงปลอดภัยทางสังคม การสรา้ งความมน่ั คงปลอดภยั รวมถงึ การปอ้ งกนั ไมใ่ หต้ กเปน็ เหยอ่ื ความยากจน และ ความไมป่ ลอดภัย อนั เนื่องมาจากสาเหตตุ า่ งๆ ประชาชนทมี่ ีความยากจนมกั จะร้สู ึกไม่ม่นั คง ปลอดภัยในชีวิต เพราะฉะนั้น ยุทธศาสตร์การพัฒนาท่ีย่ังยืนจะต้องรวมเอายุทธศาสตร์การ บริหารจัดการความเส่ียง (Risk management) โดยจะต้องครอบคลุมถึงการพัฒนาความ สามารถของบุคคลและครัวเรือนในการลดความทุกข์และปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ จาก ผลกระทบของเหตกุ ารณห์ รอื สภาพการณอ์ นั ไมพ่ งึ ปรารถนา และเพม่ิ ความสามารถในการขยาย 142 โอกาสแหง่ ชวี ติ ใหก้ า้ วไกลขนึ้ ประชาชนทวั่ ไปจะตอ้ งไดร้ บั การปกปอ้ งจากการตกอยใู่ นสภาวะ ความยากจน อตั คดั ยากไร้ และต้องได้รบั การสง่ เสรมิ ให้กา้ วพ้นจากความยากจนด้วย ยุทธศาสตร์การจัดการความเสี่ยงน้ี รวมถึงการพัฒนาสถาบันทางสังคมให้คืนสภาพสู่ ปกตไิ ดเ้ รว็ (Resilience ) จากการขดั แยง้ และชว่ ยพฒั นาการปรบั ตวั เขา้ สคู่ า่ นยิ มและเทคโนโลยี ทมี่ ีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เพราะฉะนั้น การจดั การความเสี่ยงซง่ึ เป็นมาตรการสร้างความม่นั คง ปลดภยั ความมนั่ คงปลอดภยั นี้ ไมไ่ ดจ้ ำ� กดั อยเู่ ฉพาะคนในปจั จบุ นั เทา่ นนั้ แตค่ วามมน่ั คงปลอดภยั รวมถึงการสร้างหลักประกันถึงสิทธิของคนในยุคต่อไปท่ีจะได้รับการสนองตอบทางด้านการ พัฒนาและดา้ นสิ่งแวดลอ้ มอย่างยตุ ธิ รรมและเป็นธรรม๑๕ ยทุ ธศาสตรก์ ารปกปอ้ งทางสงั คม (Social Protection) เปน็ ประเดน็ ทจ่ี ะ ตอ้ งไดร้ บั การ ก�ำหนดวางและจำ� เป็นตอ้ งปฏบิ ัตอิ ยา่ งจริงจัง ดว้ ยเหตผุ ลส�ำคญั ๒ ประการคอื ๑. ภาวะความเสย่ี ง และภาวะเปราะบางท่วั ไป (Risks and Vulnerability) ๒. ความตอ้ งการทจี่ ะชว่ ยอุ้มชูผทู้ ย่ี ากจนทส่ี ดุ (The need to provide support to the poorest) ๑๕ UN. (๑๙๙๙). Report of the United Nations Conference on Environment an development. New York: Un General Assembly.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196