มีความยุติธรรม และมีความเป็นธรรมมากท่ีสุด มนุษย์ในยุคน้ีจึงมีการพัฒนาทางสติปัญญาใน 43 ระดับสูง แต่มักจะใชส้ ตปิ ญั ญาในการเอาเปรียบเหนอื บุคคลอน่ื โดยไมค่ �ำนึงถงึ ความเดอื ดรอ้ น ของสว่ นรวม ดงั นัน้ สงั คมมนษุ ย์ในยุคนี้ จึงมคี วามเสอ่ื มทางศลี ธรรมในระดบั สงู ยคุ ท่ีสี่ ยุคแหง่ การสรา้ งความรนุ แรง ในยคุ น้ี มนษุ ยม์ จี ติ ใจโหดรา้ ยมากขน้ึ มกี ารรงั แก เบยี ดเบยี นกนั อยา่ งรนุ แรง ผทู้ อี่ อ่ นแอ กวา่ จะถกู เอาเปรยี บและถกู กำ� จดั ออกไปอยา่ งไรค้ วามเมตตา มนษุ ยใ์ นยคุ นี้ มกี ารแขง่ ขนั เพอื่ ผล ประโยชนอ์ ยา่ งเขม้ ขน้ จนกลายสภาพเปน็ ความขดั แยง้ ทำ� สงครามแยง่ ชงิ ผลประโยชนอ์ ยา่ งกวา้ ง ขวาง สงั คมมนษุ ย์ในยคุ น้เี ป็นสงั คมกลยี คุ มนษุ ยป์ ราศจากการเคารพ และขาดการปฏบิ ตั ติ าม ระเบียบกฎเกณฑ์ มนุษยม์ ีสภาพจติ ใจทไ่ี ร้ศีลธรรม ไมม่ คี วามกตัญญูกตเวทตี ่อบพุ การีชน และ ต่ออุปการชนการปล้นสะดมแย่งชิงอาหารและล่วงเกินทางเพศกับผู้ที่อ่อนแอกว่าจะเกิดทวีข้ึน ทกุ ที่อายุขัยของมนษุ ยใ์ นยุคนจ้ี ะสนั้ ลง สังคมมนุษย์ในยุคน้ีจะมีความเส่ือมทางศีลธรรมอย่างหนัก และธรรมชาติจะวิปริตไป จากเดิม กล่าวคือโลกมนุษย์จะค่อยๆ พินาศลงด้วยพลังอ�ำนาจแห่งไฟ น�้ำ และลม จิตใจของ มนุษย์ในยคุ ทโ่ี ลกก�ำลงั วนิ าศนีจ้ ะถกู ครอบงำ� ดว้ ยอกุศลมูลคือ โลภะ โทสะและโมหะอยา่ งหนกั และด้วยเหตุนี้ จึงอาจจะกล่าวโดยสรุปได้ว่าอกุศลมูลมีส่วนเร่งให้โลกมนุษย์เส่ือมและพินาศ เร็วขึ้น๙ ปรัชญาปจั จัยการดำ� รงอย่แู หง่ ชวี ิต : วเิ คราะหต์ ามแนวพทุ ธธรรม ชีวิตมนุษย์ตามหลักอภิธรรมประกอบด้วย นาม (จิต) และรูป กล่าวโดยละเอียดชีวิต ประกอบดว้ ยกลุม่ หรอื กองหรือชุด ๕ อย่างอันไดแ้ ก่ ๑) รูปขันธ์ หมายถึงกองแห่งรูปหรือรปู จักรวาล รูปลกั ษณะเปน็ ของแขง็ ผสมของเหลว ความร้อนและการเคลอ่ื นไหว รูปรวมอยูใ่ นส่ิงท่ีเปน็ มหาภูตรปู (คอื ดนิ น�ำ้ ลม ไฟ) รูปปรากฏ อย่ใู นอายตนะทงั้ ๕ คอื ตา หู จมูก ลน้ิ และกาย รวมเอาวตั ถุท่ีเป็นอารมณ์มากระทบ อันได้แก่ รูป เสยี ง กล่นิ รส และสง่ิ ทส่ี มั ผสั ได้ ๒) นามขันธ์ หมายถงึ กองแห่งความรู้สกึ นึกคดิ ต่าง อันประกอบด้วย ๒.๑ เวทนาขันธ์ ได้แก่ความรู้สึกทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกเพลิดเพลิน เปน็ สขุ หรือความรู้สกึ ไมเ่ พลดิ เพลินเป็นทกุ ข์ หรอื ความร้สู กึ เฉยๆ ไมท่ ุกข์ไม่สขุ เวทนาขนั ธน์ รี้ วมเอาประสบการณท์ ่ีสอบทางตา หู จมูก ล้ิน และกาย และประสบการณ์ทางจิต หรอื ทางความคิด ๙ ทฆี .ปาฏิก.(บาลี) ๑๑/๑๒๘-๑๒๙/๙๔-๙๖.
๒.๒ สญั ญาขันธ์ คล้ายกบั เวทนาขนั ธ์ สญั ญาขันธเ์ กิดขน้ึ โดยอาศยั การสมั ผัส ระหวา่ งอายตนะ ๖ กบั โลกภายนอก ตวั สญั ญาขนั ธน์ แี้ หละเปน็ ตวั รบั รู้ อนิ ทรยี วตั ถไุ มว่ า่ จะเปน็ รูปธรรมหรือนามธรรมกต็ าม ๒.๓ สงั ขารขนั ธ์ ไดแ้ กก่ จิ กรรมทกุ อยา่ งทเ่ี กดิ ขน้ึ โดยเวทนาทงั้ ทเี่ ปน็ ความดแี ละ ความเลว สิ่งที่เรียกว่ากรรมรวมอยู่ในสังขารขันธ์นี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เจตนานเ้ี องท่ีเราเรยี กว่ากรรม เมอื่ บคุ คลมคี วามตัง้ ใจ เราจงึ มกี ารกระทำ� ทางกาย วาจา และใจ (อังคตุ ตรนิกาย) ในกลมุ่ สงั ขารขนั ธน์ ร้ี วมเอาคณุ ลกั ษณะทางจติ อยา่ งอน่ื ดว้ ย เชน่ ความตงั้ ใจ ความจงใจ ความเดด็ เดี่ยวมั่นหมาย ความเชอื่ ใจ การมีสมาธิ การมปี ัญญา การมีพลงั ความปรารถนา ความ เกลยี ด การหลอกลวง ความไมร่ ู้ ความคิดเรอ่ื งตวั ตน เปน็ ต้น สงั ขารขันธน์ ีม้ ถี งึ ๕๐ ดวงจิตมเี ป็น ตัวกอ่ ใหเ้ กดิ สงั ขาร ๒.๔ วิญญาณขันธ์ ได้แก่ความตระหนักรู้ การรับรู้หรือการสนองตอบผ่าน อนิ ทรียใ์ ดอินทรยี ห์ น่ึงในอนิ ทรยี ์ทงั้ หก และมีอารมณ์อยา่ งใดอย่างหน่งึ มากระทบกับอินทรยี ์ท้งั หก คอื รูป เสียง กลน่ิ รส สัมผสั และอารมณ์ทางจิต เปน็ อารมณข์ องวิญญาณ ควรเขา้ ใจด้วยว่า จติ ไมร่ ับรู้อารมณ์ มนั เป็นเพียงการตระหนกั รอู้ ยา่ งหน่งึ คือตระหนัก 44 รถู้ งึ การมอี ยแู่ หง่ อารมณห์ รอื วตั ถุ ตวั อยา่ ง เชน่ เมอื่ ตาสมั ผสั กบั สี เชน่ สนี ำ�้ เงนิ วญิ ญาณขนั ธท์ าง ตาก็จะเกิดข้ึน ซ่ึงเป็นเพียงการตระหนักรู้ความมีอยู่แห่งสีน�้ำเงิน แต่ไม่รับรู้ว่ามันเป็นสีน�้ำเงิน ไม่มีการรับรู้ดังกล่าวเกิดขึ้นในวันน้ี มันไม่ใช่ วิญญาณินทรีย์ แต่เป็นสัญญาขันธ์ที่รับรู้ว่าเป็น สนี ำ้� เงนิ คำ� วา่ จกั ขวุ ญิ ญาณ (visual Consciousness) เปน็ เพยี งการแสดงออกทางปรชั ญา และ อธบิ ายความคดิ อยา่ งเดยี วกนั ดว้ ยคำ� ธรรมวา่ “การเหน็ ” ในสถานการณเ์ ชน่ นี้ การเหน็ มไิ ดห้ มาย ถงึ การรบั ร ู้ ทำ� นองเดยี วกนั วญิ ญาณขนั ธแ์ บบอนื่ ๆ กอ็ ธบิ ายในลกั ษณะเดียวกนั นี้ วญิ ญาณเกิด ขึน้ โดยอาศยั รปู เวทนา สญั ญา และสงั ขาร ถ้าไม่มีองคป์ ระกอบแห่งขันธ์อ่ืน ๆ วญิ ญาณเกิดขึน้ ไม่ได้ ในสงั ยตุ ตนกิ าย พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ วญิ ญาณอาจมอี ยู่ รปู เปน็ สอื่ แหง่ วญิ ญาณเปน็ วตั ถุ แหง่ วญิ ญาณ เป็นผสู้ นบั สนุนวิญญาณ เม่ือจติ วิญญาณแสวงหาความเพลิดเพลิน วญิ ญาณกจ็ ะ เจริญขึน้ เพิ่มข้นึ และพฒั นาขึน้ มาในลักษณะเดยี วกันกับเวทนา สัญญา และสงั ขาร เป็นสื่อของ วญิ ญาณวตั ถหุ รอื อารมณแ์ หง่ วญิ ญาณ สนบั สนนุ วญิ ญาณ และเมอื่ แสวงหาความเพลดิ เพลนิ ยนิ ดี วญิ ญาณกจ็ ะเจรญิ ขนึ้ เพม่ิ มากขนึ้ และพฒั นาขน้ึ มาในทนี่ ขี้ นั ธห์ า้ อาจเรยี กวา่ โลก หรอื ชวี ติ หรอื ภาวะ หรือตัวบคุ คล หรอื ตัวฉัน
ปัจจัยหล่อเลยี้ งชวี ติ คัมภีรอ์ ภธิ รรม กล่าวว่า มเี หตุปัจจัย ๔ อยา่ ง ส�ำหรบั การด�ำรงอยู่แห่งชีวิต กล่าวคอื ๑) 45 กรรม ๒) จติ ตะ ๓) อุตุ และ ๔) อาหาร กรรม คอื การกระทำ� ตง้ั แตอ่ ดตี สง่ ผลใหช้ วี ติ ดำ� เนนิ ไป ทง้ั ในทศิ ทางกา้ วหนา้ มคี วามสขุ และในทิศทางถอยหลัง ไม่เจริญงอกงามมแี ตค่ วามทุกข์ ความสุขและความทกุ ขข์ องชีวติ เป็นไป ตามพลังของอดีตกรรม จิตตะ คือความคดิ เปน็ ปจั จยั ก�ำหนดพฤตกิ รรมในปัจจุบนั และผลักดันให้ชีวติ ด�ำเนิน ไปตลอดเวลาความคดิ ในตวั มนั เอง เปน็ สภาวะทบ่ี รสิ ทุ ธิ์ (ประภสั สร) แตเ่ พราะมกี เิ ลสมาปรงุ แตง่ จงึ ทำ� ใหจ้ ติ มสี ภาวะไมส่ ะอาดบา้ ง เศรา้ หมองบา้ ง โกรธบา้ ง ดใี จบา้ ง และแสดงออกมาตามอำ� นาจ ตัวกิเลสที่มาปรุงแต่ง (อโสภณเจตสิก) กลายเป็นอกุศลจิต ในทางตรงข้ามสภาวะที่เข้มแข็ง อดทน มเี มตตา กรณุ า และมทุ ติ า (โสภณเจตสกิ ) มาปรงุ แตง่ กผ็ ลกั ดนั ใหจ้ ติ คดิ ในทางดมี คี ณุ ธรรม กลายเป็นกุศลจติ อุตุ คือพลังงาน อันประกอบด้วยอุณหภูมิ หรือความร้อนที่เหมาะสมอากาศท่ีสะอาด บริสุทธ์ิ ละอองไอน้�ำสะอาดพลังงานเหล่าน้ี คือเชื้อเพลิงแห่งชีวิตทางกายภาพส่งผลให้อวัยวะ ตา่ ง ๆ ของชีวติ ท�ำงาน เคล่ือนไหวหรือเตน้ เป็นจังหวะ ตามแรงอัดฉีดของพลังงาน อาหาร คือสารที่ย่อยจากโภชนาทมี่ นษุ ย์รบั ประทานหรือฉีดเขา้ สู่รา่ งกายทางกระแส เลอื ดสารยอ่ ยสลายท้ังหลายเปน็ ดจุ ปุ๋ยสำ� หรับตน้ ไมช้ วี ิตจะอยูร่ อด อวัยวะต่าง ๆจะทำ� งานและ เจริญงอกงามได้ก็โดยอาหารสารอาหารทสี่ ะอาดถูกสุขลักษณะ อุดมด้วยสารทช่ี ว่ ยบ�ำรงุ อวยั วะ ส่วนตา่ งๆ ในรา่ งกายให้แขง็ แรง มภี มู ติ า้ นทานและทำ� งานได้อยา่ งสมบรู ณ์ หากสารอาหารไมถ่ กู สุขลักษณะ มีพิษก็จะส่งผลให้อวัยวะต่างๆ ท�ำงานผิดปกติ หรือไม่ท�ำงานได้ตามปกติ มีความ เสอ่ื มความสามารถหรอื สมรรถนะการทำ� งานและไมเ่ จรญิ เตบิ โต ตามธรรมชาตดิ งั นน้ั ชวี ติ อยรู่ อด ได้กเ็ พราะอาหาร การด�ำรงอยแู่ ห่งชวี ิตคือการดำ� รงอยแู่ ห่งสงั คม ชีวิตเป็นองค์ประกอบส�ำคัญท่ีสุดแห่งสังคมปราศจากชีวิตสังคมก็ไม่มี ขณะเดียวกัน ปราศจากสังคมชีวิตก็อาจจะด�ำรงอยู่ได้ไม่นาน ชีวิตกับสังคมจึงเป็นปัจจัยเก้ือกูลซึ่งกันและกัน จริงอยูใ่ นสงั คมนน้ั มีองคป์ ระกอบทสี่ �ำคัญหลายอยา่ ง เช่น กฎระเบียบสังคม ประเพณคี วามเชือ่ ทรพั ยากรธรรมชาตทิ จ่ี ำ� เปน็ ตอ่ การดำ� รงอยแู่ หง่ ประชากร แตอ่ งคป์ ระกอบเหลา่ นเ้ี ปน็ ปจั จยั เสรมิ ให้ชวี ติ ทุกชวี ติ ในสังคมอยูร่ อด เมือ่ ชวี ติ อย่รู อด สงั คมก็อยรู่ อด
จากขอ้ ความในพระอภธิ รรมดังกล่าวในเรื่องเหตุปจั จัยการด�ำรงอยู่แหง่ ชวี ติ เราอาจจะ วเิ คราะหเ์ ชงิ พทุ ธปรชั ญาประยกุ ตไ์ ดต้ อ่ ไปวา่ สงั คมมนษุ ยอ์ ยรู่ อดไดเ้ พราะอาศยั เหตปุ จั จยั ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) การประกอบอาชีพการงาน (เกษตรกรรม พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม) ๒) กฎ ระเบยี บท่มี นษุ ยบ์ ญั ญัติขน้ึ มา รวมทง้ั ประเพณวี ฒั นธรรม ความเชอื่ และวถิ ี ชีวิตท่ีเคยชินแบบต่าง ๆ ๓) ทรพั ยากรธรรมชาติและสภาพดนิ ฟ้าอากาศ ๔) แหลง่ อาหาร การประกอบอาชีพการงาน วิเคราะห์ในเชิงพุทธปรัชญาทางสังคมอาชีพการงาน เป็นกรรมอย่างหน่ึง เป็นกรรมที่ ทำ� ให้มนษุ ย์มชี ีวติ อยูร่ อด ข้อความตอนหน่ึงในกูฏทนั ตสตู า ไดร้ ะบุวา่ โครกั ขกรรม (อาชีพเลี้ยง โค) กสกิ รรม (อาชีพท�ำการเกษตร) ดงั นั้นค�ำว่า กรรม ในความหมายทางพุทธสงั คมวิทยา และ พทุ ธเศรษฐศาสตรจ์ งึ นา่ จะหมายถงึ อาชพี การงานหรอื ธรุ กจิ ทม่ี นษุ ยท์ ำ� ในสว่ นทสี่ มั พนั ธก์ บั มนษุ ย์ และสตั ว์เล้ียงดว้ ย การประกอบอาชพี ท�ำใหบ้ ุคคลได้รับอาหาร หรอื อย่างน้อยไดร้ ับค่าจ้างหรือ 46 คา่ ตอบแทนเพอื่ เปน็ ปจั จยั ซอื้ หาอาหารและเครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภคตา่ งๆ ทำ� ใหช้ วี ติ อยรู่ อด เพราะ ฉะนั้น คนที่อยู่รอดคือคนท่ีท�ำงานและต้องท�ำงานเป็น ท�ำงานด้วยความฉลาดเป็นระบบ และ สามารถแกป้ ัญหาท่ีขัดขวางตอ่ ระบบการทำ� งานตามปกตไิ ด้ ในการประกอบอาชีพการงาน บุคคลจะต้องมีองค์ประกอบที่สำ� คัญดังนี้ (๑)ร่างกายท่ี สมบูรณ์แข็งแรง (๒) ความรู้ความเชยี่ วชาญในงานท่ที ำ� (๓) จิตใจท่รี ักงานรักเพือ่ นร่วมงานและ รักสถานที่ท�ำงาน (๔) ความมีคุณธรรมอริยธรรมในการท�ำงาน (๕) มีส่ิงอ�ำนวยความสะดวก ปลอดภัย และความร่วมมือจากผ้ทู ่ีเกยี่ วขอ้ งทั้งโดยตรงและออ้ ม และ (๖) มีทรพั ยากรธรรมชาติ ท่ีอุดมสมบูรณ์หรืออย่างน้อยไม่ขาดแคลนในการผลิต การจ�ำหน่าย และการบริโภค โดยผ่าน ระบบการตลาด หรือกลไกทางธุรกิจตา่ ง ๆ อาชพี การงานทพ่ี ระพทุ ธศาสนายกยอ่ งคอื อาชพี การงานสจุ รติ หรอื ทเี่ รยี กเปน็ ภาษาพระ ศาสนาวา่ สมั มาอาชวี ะ สมั มาอาชพี คอื การงานทถี่ กู ตอ้ งตามหลกั ศลี ธรรม และระเบยี บ กฎหมาย และกฎประเพณนี ยิ มในสงั คม สมั มาอาชพี เปน็ อาชพี ทไี่ มเ่ บยี ดเบยี นสตั วอ์ นื่ และชวี ติ บคุ คลอน่ื ให้ เดอื นรอ้ น แนวคดิ เกยี่ วกบั สมั มาอาชวี ะ รวมถงึ การไมล่ กั ขโมย ไมป่ ลน้ จี้ ไมห่ ลอกลวงคนอน่ื ไมท่ จุ รติ ประพฤตมิ ชิ อบ ไมฉ่ อ้ ราษฎรบ์ งั หลวง (Corruption) ไมโ่ ฆษณาอวดอา้ งคณุ วเิ ศษของตนเพอ่ื หวงั ลาภ สกั การะ การประกอบอาชพี การงานทถี่ กู กฎหมายแตส่ รา้ งความเดอื นรอ้ นแกผ่ บู้ รโิ ภค เปน็ พษิ ตอ่ สงั คมและสง่ิ แวดลอ้ มเปน็ การผลติ และจำ� หนา่ ยเครอื่ งดมื่ ทมี่ แี อลกอฮอล ์ ยาเสพตดิ อาวธุ ยทุ โธปกรณ์
ทผ่ี ซู้ อ้ื มงุ่ นำ� ไปใชใ้ นการประหตั ประหาร ทำ� ลายลา้ งกนั และยาฆา่ แมลง และยาพษิ ตา่ งๆ ทง้ั หมด 47 เหล่าน้ไี มถ่ ือว่าเป็นสัมมาอาชวี ะในทางพระพุทธศาสนา๑๐ สมั มาอาชวี ะทางธรรมสมั พนั ธก์ บั ๑) อาชพี การงานทบี่ รสิ ทุ ธ์ิ ๒) การแสวงหาทรพั ยแ์ ละ ได้รับทรัพย์มาด้วยความบริสุทธ์ิ ๓) กระบวนการประกอบอาชีพการงานด�ำเนินไปด้วยความ สะอาดบริสุทธิแ์ บบโปรง่ ใส (ธรรมาภิบาล) ๔) การใช้จา่ ยทรพั ย์ท่ไี ด้มาด้วยความบริสุทธก์ิ ต็ ้อง ใช้จ่าย (๑) ไปในการเลีย้ งชวี ิตตนเองและบุตรภรรยาใหไ้ ดร้ ับความสะดวกสบายพอสมควร (๒) ใชจ้ า่ ยบำ� รงุ พระพทุ ธศาสนาใหค้ งอยู่ (๓) ใชเ้ สยี ภาษสี งั คม (๔) ใชใ้ นการชว่ ยเหลอื คนอนื่ ทมี่ คี วาม ทกุ ข์ยากลำ� บาก (๕) ใช้ในการท�ำบญุ อทุ ิศใหแ้ ก่ญาตพิ ี่น้องมิตรสหายท่ลี ่วงลบั ไปแล้ว ในระดบั สังคมปุถชุ นท่วั ไป สมั มาอาชีวะ คืออาชีพการงานทถ่ี กู ต้องตามกฎหมาย และ เมอ่ื มรี ายไดก้ เ็ สยี ภาษใี นแกร่ ฐั ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการเสยี ภาษภี ายได้ สงั คมดไู มค่ อ่ ยสนใจมาก นักวา่ สมั มาอาชีวะ ระดบั สงั คมนน้ั ผดิ ศีลธรรมทางศาสนาหรอื ไม่ และสงั คมกไ็ ม่คอ่ ยสนใจเชน่ กันว่ากระบวนการหารายได้ เช่น ในสังคมทุนนิยม มีการฝ่าฝืนจริยธรรมทางธุรกิจหรือไม่ตาม การทส่ี งั คมไมค่ อ่ ยคำ� นงึ ถงึ อาชพี ทม่ี ลี กั ษณะเปน็ สดี ำ� หรอื สเี ทาทางจรยิ ธรรมทำ� ใหส้ งั คมมคี วาม ขัดแย้ง การดำ� รงอยู่ของสังคมกไ็ ม่มคี วามเป็นปกติ ไมม่ เี สถียรสภาพม่นั คง ข้อนี้ส่งผลให้สงั คม ประสบปญั หาวกิ ฤตทางจรยิ ธรรมหลายอยา่ ง และเปน็ ความยากลำ� บากสำ� หรบั คนในสงั คมทตี่ อ้ ง ทนรู้กับปญั หาการด�ำรงชีวิตอนั เนอื่ งมาจากสังคมขาดจรยิ ธรรมในการประกอบอาชีพ กฎระเบียบของสงั คม กฎระเบียบของสังคมถือว่าเป็นโครงสร้างส�ำคัญของสังคมซ่ึงช่วยคุ้มครองสมาชิกของ สงั คมใหด้ ำ� รงชวี ติ ตามปกตมิ คี วามปลอดภยั ไมถ่ กู ประทษุ รา้ ยเอาเปรยี บและไมถ่ กู รงั แกจากผอู้ นื่ ทเ่ี ข้มแขง็ กวา่ กฎระเบียบสังคม เปน็ ขอ้ ตกลงปลงใจของสมาชิกในสงั คมที่สรา้ งกฎกติกาเพ่ือให้ สมาชิกทุกคนต้องปฏิบัติตาม จะมบี ทบัญญตั ิการลงโทษผทู้ ฝี่ า่ ฝนื ระเบยี บกฎเกณฑข์ องสงั คม ในทางพระพทุ ธปรชั ญา กฎระเบยี บสงั คมอาจเรยี กวา่ ศลี หรอื วนิ ยั อนั เปน็ คำ� สอนระดบั ขอ้ หา้ มมใิ หพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนปฏบิ ตั ติ นในวถิ ที างทส่ี รา้ งความทกุ ขค์ วามเดอื ดรอ้ นแกค่ นอน่ื และในระดบั ความเปน็ นกั บวชศลี หรอื วนิ ยั คอื ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นการควบคมุ ตนเองอยา่ งเครง่ ครดั ตามหลกั การในพระ ไตรปฎิ กขอ้ หา้ มหรอื วนิ ยั ไดร้ บั การบญั ญตั โิ ดยปรารภพฤตกิ รรมของพระภกิ ษบุ างรปู ทแี่ สดงออกมา แลว้ ไดร้ บั การตเิ ตยี นวา่ ไมเ่ หมาะสมกบั สมณะ พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั วิ นิ ยั สำ� หรบั พระสงฆต์ าม ๑๐ มิจฉาวณชิ ชา คอื การประกอบอาชพี พาณชิ ยกรรมทผี่ ดิ หลักศลี ธรรม ไม่เป็นสมั มาอาชีวะ ทางพระพุทธศาสนา คอื ๑) ผลิตและขายศาสตราวุธ ๒) ผลิตและขายอาหารเครอื่ งดื่มทเ่ี ปน็ ยาเสพติด ๓) ผลิตและจ�ำหนา่ ยสัตว์เปน็ เพอื่ ให้คนเอาไป ฆา่ เพือ่ บชู ายัญหรอื เป็นอาหาร ๔) ค้าขายมนษุ ยใ์ ห้เป็นทาสคนอ่นื ๕) ผลติ และขายยาพิษทำ� ลายแมลงและสตั ว์โลกตา่ ง ๆ บน พนื้ โลก
เหตกุ ารณแ์ หง่ พฤตกิ รรมของพระสงฆร์ ปู แรกๆ ทมี่ กี ารประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ มเ่ หมาะสม สงั คมสงฆด์ ว้ ย กนั และสงั คมชาวบา้ นตำ� หนติ เิ ตยี นพฤตกิ รรมดงั กลา่ ว พระพทุ ธเจา้ ไมไ่ ดท้ รงบญั ญตั ศิ ลี หรอื ขอ้ หา้ ม ไวล้ ว่ งหนา้ ๑๑ กฎระเบยี บสงั คมมนุษยก์ ลา่ วโดยทางปรัชญาสงั คม เกิดข้ึนมาได้ ๓ ทาง ทางแรก เกดิ ขน้ึ จากวถิ ชี วี ติ ของมนษุ ยซ์ งึ่ การปฏบิ ตั ริ ว่ มกนั มาเปน็ ระยะเวลายาวนานจนกลายเปน็ กฎเกณฑก์ าร ปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจำ� วนั ทางทสี่ อง เกดิ ขนึ้ มาจากการประชมุ หารอื รว่ มกนั ของมนษุ ยใ์ นสงั คมซงึ่ อาจ จะปรารภพฤตกิ รรมบางอยา่ งของบคุ คลหรอื กลมุ่ บคุ คลทที่ ำ� ลายความเปน็ ปกตแิ หง่ วถิ ชี วี ติ และเปน็ ความตอ้ งการของคนในสงั คมทง้ั หมดทจี่ ะปกปอ้ งสจุ รติ ชนใหป้ ลอดภยั จากพฤตกิ รรมทจุ รติ หรอื พฤตกิ รรมเบย่ี งเบนของทจุ รติ ชน จงึ บญั ญตั กิ ฎระเบยี บการลงโทษผมู้ พี ฤตกิ รรมเบย่ี งเบนจากวถิ ชี วี ติ อนั ดงี าม กฎเกณฑแ์ บบทส่ี องนจี้ ะเกดิ มไี ดใ้ นสงั คมเปดิ หรอื สงั คมทมี่ อี สิ รเสรภี าพในการแสดงออก ทางทส่ี าม กฎระเบยี บเกดิ จากผมู้ อี ำ� นาจในการปกครองบญั ญตั ิ กฎระเบยี บขน้ึ มาเพอื่ ปกปอ้ งคมุ้ ครอง อำ� นาจและสทิ ธปิ ระโยชนข์ องกลมุ่ ชนชนั้ ปกครอง ผทู้ ฝี่ า่ ฝนื กฎระเบยี บของผปู้ กครองจะไดร้ บั การ ลงโทษอยา่ งรนุ แรงจากผปู้ กครอง และบรวิ ารแวดลอ้ มผปู้ กครองจะสอดสอ่ งดแู ลพฤตกิ รรมของบคุ คล ทว่ั ไป กฎระเบยี บแบบทสี่ ามนอี้ าจจะไมใ่ ชก่ ฎกตกิ าทค่ี นสวนใหญเ่ หน็ ดว้ ย แตด่ ว้ ยอำ� นาจความกลวั จงึ ไมม่ กี ารคดั คา้ นอยา่ งเปดิ เผย หากคดั คา้ นอยา่ งเปดิ เผยชวี ติ ตนเองอาจไมป่ ลอดภยั ดงั เชน่ ในสงั คม 48 เผดจ็ การ กฎระเบียบสงั คมเปน็ กฎหมายมรี ากฐานท่ีส�ำคัญ ๔ ประการ ๑) ศีลธรรมทางศาสนา ๒) วิถีชีวิตการประกอบอาชีพและประเพณีวัฒนธรรมที่ปฏิบัติเป็นธรรมเนียมมาเป็นระยะเวลา ยาวนาน ๓) ผปู้ กครองที่มีอ�ำนาจสูงสดุ ในการปกครอง และ ๔) ความตอ้ งการของมวลชนที่จะ หาวธิ ีการจดั การกับปญั หาตา่ งๆ ทเี่ กดิ ข้นึ และสรา้ งความเดือนรอ้ นแก่สว่ นรวม ดว้ ยวิธีการท่ี ทกุ คนทุกระดบั ชั้นมีส่วนร่วมในการกำ� หนดวธิ ีการรว่ มกัน จะเหน็ ไดว้ า่ สงั คมทงั้ หลายดำ� รงอยไู่ ดก้ โ็ ดยอาศยั กฎระเบยี บแตป่ ญั หาสำ� คญั ทมี่ กั จะเกดิ ขน้ึ แก่กฎระเบียบสงั คมก็คอื ปัญหาในการบังคบั ใช้กฎระเบียบ ซึ่งอาจจะไมเ่ ขม้ งวดเท่าเทียมกัน ดงั เชน่ ปญั หาการเลอื กปฏบิ ตั ใิ นการบงั คบั ใชก้ ฎหมายกบั คนบางกลมุ่ แตล่ ะเลยไมบ่ งั คบั ใชก้ บั คน อกี ลมุ่ หนง่ึ ดงั นน้ั ผปู้ ฏบิ ตั หิ นา้ ทใ่ี นการบงั คบั ใชก้ ฎหมายจงึ มบี ทบาทสำ� คญั ทสี่ ดุ ในการทจี่ ะทำ� ให้ สงั คมดำ� รงอยอู่ ย่างม่ันคงตามกฎหมาย ระเบยี บสงั คม อยา่ งไรกต็ ามกฎระเบยี บสงั คมจะชว่ ยทำ� ใหส้ งั คมดำ� รงอยไู่ ดอ้ ยา่ งมน่ั คงหรอื ไมข่ นึ้ อยกู่ บั ผู้ปฏบิ ตั หิ น้าที่บงั คบั ใช้ระเบยี บ (Order Reinforcement Person) ถา้ ผู้บงั คับใช้ระเบียบขาด ความเที่ยงธรรมหรือความยุติธรรม เลือกปฏิบัติกับกลุ่มบุคคลหรือตัวบุคคลในสังคมในระดับ มาตรฐานไม่เท่าเทยี มกนั ความวุ่นวายในสังคมกจ็ ะเกิดข้นึ การแก้แค้นจะแพร่ระบาดไปท่ัว ใน ๑๑ โปรดศึกษาต้นบัญญัติสกิ ขาบทในพระวนิ ยั ปฎิ ก
ทส่ี ดุ เจา้ หนา้ ทผ่ี บู้ งั คบั ใชก้ ฎหมายอาจจะไมส่ ามารถตา้ นทานแรงอาฆาตพยาบาทได้ ผปู้ กครองก็ 49 จะได้รบั ผลกระทบกระเทือนไปดว้ ยและอาจจะสญู เสียอำ� นาจในทสี่ ุด ปัญหาผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นมาตรฐานสากลเป็นปัญหาส�ำคัญยิ่ง เสถียรภาพ ในสังคมจะด�ำรงอยไู่ มไ่ ด้ทราบเท่าทผี่ ้มู ีอำ� นาจหน้าทบี่ งั คับใช้กฎหมายหรือกฎระเบยี บต่างๆ ใน สงั คมมีอคติ เลือกปฏิบตั ิ ปราศจากหลักปฏิบัตทิ ปี่ ระเสรฐิ ๔ ประการ คอื เมตตา กรณุ า มุทิตา และอเุ บกขา เพราะฉะนนั้ ผบู้ งั คบั ใชก้ ฎหมายหรอื กฎระเบยี บอนั ไดแ้ กก่ ระบวนการยตุ ธิ รรมทกุ ขั้นตอนจะตอ้ งไม่เลือกปฏบิ ตั ิ (ไมม่ อี คต)ิ และต้องยดึ หลักพรหมวหิ าร ๔ดงั กล่าวขา้ งต้นในการ ครองตนและครองงานกฎระเบียบของสงั คมจะดีเลิศแค่ไหนก็ตาม หากคนปฏิบตั หิ น้าทีด่ แู ลกฎ ระเบยี บไมม่ คี ณุ ธรรมและจรยิ ธรรมมองเหน็ แตป่ ระโยชนส์ ว่ นตวั สงั คมนนั้ กจ็ ะเปน็ เหมอื นอาคาร ท่ีมีโครงสร้างแข็งแรงแนน่ หนา แตค่ นอยู่ในอาคารทะเลาะเบาะแวง้ กนั และพยาบาททำ� ลายล้าง กันในท่ีสุดอาคารหลังนนั้ ก็จะไดร้ ับผลกระทบไปด้วย ปราศจากคนดแู ล และจะทรดุ โทรมลงไป ในทสี่ ุด ดงั น้ัน บคุ คลท่ีอยู่ในอาคารจะต้องรกั กนั ปฏิบัตติ ่อกนั อย่างยตุ ธิ รรม กฎระเบยี บสงั คมจะมพี ลงั เขม้ แขง็ รกั ษาสงั คมใหด้ ำ� รงอยไู่ ดจ้ งึ ขน้ึ อยกู่ บั ๑) คนทกุ คนใน สงั คมมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจวตั ถปุ ระสงคข์ องกฎระเบยี บ และมคี วามรใู้ นการปฏบิ ตั ติ นใหส้ อดคลอ้ ง ตามระเบยี บ กฎเกณฑ์นนั้ ๆ ๒) ผู้ดแู ลตรวจสอบพฤติกรรมผลู้ ว่ งละเมดิ กฎระเบยี บมีจิตใจเปน็ ก ลาง ปฏบิ ตั หิ นา้ ทอี่ ยา่ งตรงไปตรงมาถกู ตอ้ งตามกฎระเบยี บ และกฎศลี ธรรม ปราศจากอคตเิ ลอื ก ปฏิบัติ ดงั น้นั ความขลังของกฎระเบยี บจงึ ขนึ้ อยูก่ ับบคุ คลในสงั คมทั้งผ้ปู ฏิบตั ิตามระเบยี บกฎ เกณฑ์ คอื คนในสังคมทุกคน และผ้บู ังคับใช้กฎระเบียบ ตดั สนิ ลงโทษ ผู้ลว่ งละเมิดกฎกติกาของสังคมอยา่ งยุติธรรมและเปน็ ธรรมเทา่ เทยี มกนั ในทุกกรณี กฎหมาย ขอ้ บงั คับหรือกฎเกณฑ์ตา่ ง ๆ ทีส่ ังคมบัญญตั ิขนึ้ มามุง่ เพ่ือควบคุมพฤตกิ รรม การแสดงออกทางกายและทางวาจาของบุคคลมิให้กระทบต่อบุคคลอื่นท้ังโดยทางตรงและโดย ทางอ้อม แต่ถ้าวิเคราะห์เชิงพุทธกระบวนทัศน์เก่ียวกับควบคุมพฤติกรรมของบุคคล จ�ำเป็นจะ ต้องวางมาตรฐานควบคุมจิตใจของบุคคลก่อน จิตใจของบุคคลจะต้องได้รับการฝึกอบรมให้มี คุณภาพ มีสุขภาพและมีสมรรถภาพในการควบคุมตนเอง การควบคุมจิตใจตนเองได้เท่ากับ ปอ้ งกนั มใิ หบ้ คุ คลแสดงพฤตกิ รรมในการทำ� ลายความสขุ ของสงั คม หลกั ศลี ธรรมทางศาสนาจงึ เปน็ หลกั ควบคมุ จติ ใจของบคุ คลทมี่ คี วามขลงั หรอื พลงั เขม้ แขง็ สงู แตท่ ง้ั นภ้ี ายใตเ้ งอื่ นไขทวี่ า่ สภาพ ส่งิ แวดลอ้ มในสังคมตอ้ งมีลักษณะเป็นกัลยาณมิตรด้วย จิตใจของมนุษย์สามารถขัดเกลาให้มีความสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสเคร่ืองปรุงแต่งเช่น ความโลภ ความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท และความเชือ่ งมงายลงเชอ่ื ในสง่ิ ทีไ่ มเ่ ป็นสจั ธรรม
ว่าเป็นสัจธรรม มนุษย์ที่หลุดพ้นจากความไม่สะอาดบริสุทธ์ิหรือจากอ�ำนาจกิเลสย่อมมีภูมิ ตา้ นทานทีแ่ ขง็ แกรง่ สามารถควบคมุ ตนเองไมใหล้ ว่ งละเมิดกฎเกณฑ์ทด่ี ีงามของสังคมไดง้ า่ ย และไม่จำ� เป็นตอ้ งใชอ้ งค์การใดๆ ในกระบวนการยตุ ธิ รรมมาควบคุม อยา่ งไรกต็ ามกลา่ วโดยทางสงั คมวทิ ยา มสี ถาบนั ทรี่ บั ผดิ ชอบในการขดั เกลาจติ ใจบคุ คล ทส่ี �ำคญั อย่างน้อย ๕ สถาบนั คอื ๑) สถาบันครอบครวั ๒) สถาบนั ศาสนา ๓) สถาบันเศรษฐกจิ ๔) สถาบันศกึ ษา และ ๕)สถาบันการเมืองการปกครอง สถาบันครอบครัว ฝกึ อบรมเดก็ ใหม้ รี ะเบียบวนิ ยั ปฏบิ ตั ิตนตามกรอบหรอื กฎระเบยี บ ของสังคมในเบื้องต้น สถาบันศาสนามีหน้าที่โดยตรงในการส่ังสอนบุคคลให้เป็น “คนดี” ของ สังคมและ “คนด”ี ของศาสนา ซงึ่ กห็ มายถงึ การขัดเกลาใหบ้ ุคคลมกี ิเลสนอ้ ยลง และมคี ณุ ธรรม มากข้ึน สถาบันเศรษฐกิจ เป็นองค์กรอาชีพท่ีฝึกอบรมให้มนุษย์มีทักษะทางสังคมและทักษะ ทางการงาน สามารถปรับตัวเขา้ กับวัฒนธรรมองคก์ รอาชพี นัน้ ๆ ได้ สถาบนั การศกึ ษาอบรมสงั่ สอนมนษุ ยใ์ หม้ ที ักษะทางสตปิ ญั ญา มีความรู้วชิ าชพี และมคี วามสามารถในการแก้ปัญหาต่างๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ได้ และสถาบนั การเมอื งการปกครองมหี นา้ ทข่ี ดั เกลาบคุ คลใหเ้ ปน็ พลเมอื งดี ปฏบิ ตั ติ าม กฎหมายและค�ำส่ังสอนผูป้ กครอง 50 ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพดนิ ฟ้าอากาศ ทรพั ยากรธรรมชาติคือวัตถุดิบที่เปน็ แหลง่ แห่งปจั จัยทจ่ี �ำเป็น (Prerequisite) ส�ำหรบั การดำ� รงชวี ติ ของสงิ่ มชี วี ติ ทงั้ หลายในโลกรวมทงั้ มนษุ ย์ ทรพั ยากรธรรมชาติ หากมองจากทศั นะ ปรัชญา ธรรมนิยม (Naturalism) คือส่ิงอันเป็นที่พ่ึงแห่งชีวิตมนุษย์และแห่งสังคมมนุษย์ อัน ไดแ้ กว่ ตั ถสุ ่ิงจ�ำเป็นทุกชนดิ ทมี่ ีอยู่ในธรรมชาต๑ิ ๒ แหลง่ ทรพั ยากรธรรมชาติสำ� คญั ประกอบด้วย ป่าไม้ ภเู ขา แผ่นดนิ แม่นำ�้ อากาศและแรธ่ าตตุ า่ ง ๆ ทมี่ อี ยูบ่ นดิน ใต้ดินและใตน้ �ำ้ สว่ นสภาพดนิ ฟา้ อากาศในภาษาบาลเี รยี กวา่ อตุ ุ หมายถงึ อณุ หภมู ิ หรอื ความรอ้ นระดบั ตา่ ง ๆ ตงั้ แต่รอ้ นทีส่ ุดจนถึงร้อนนอ้ ยท่สี ุด (หนาว) ตามนยั น้ี สภาพดินฟ้าอากาศท่จี ะช่วยให้ มนุษย์และสัตว์บนโลกมีชีวิตอยู่รอดต้องเป็นสภาพดินฟ้าอากาศท่ีเหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป ไม่ เป็นมากเกิดไป ไม่แห้งแล้งมากเกินไปและไม่อับชน้ื มากเกนิ ไป ที่ใดทีม่ ีระดับอณุ หภูมิเหมาะสม ที่นั่นจะมีมนุษย์และสัตว์โลกต่าง ๆ อาศัยอยู่เป็นจ�ำนวนมาก แต่ข้อน้ีสัมพันธ์กับธรรมชาติส่ิง แวดล้อมทมี่ คี วามอดุ มสมบรู ณ์ด้วย ทรัพยากรธรรมชาติ วิเคราะห์ในเชิงส่ิงแวดล้อมศึกษา (Environmental Studies) ประกอบดว้ ย ๑๒ Roy Bhaskar, “Naturalism” in William Outh waite (ed). Modern Social Thought . (Oxford: Black will publishing : ๒๐๐๖) p.๔๒๕
๑) ทรพั ยากรธรรมชาติทีม่ ชี วี ิต (Biotic Natural Resources) ๒) ทรัพยากรธรรมชาติท่ีไมม่ ีชีวติ (Non-biotic Natural Resources) ๓) ทรพั ยากรธรรมชาตทิ อ่ี ยู่เหนือธรรมชาติ (Supernatural Resources ) ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ม่ี ชี วี ติ ไดแ้ กส่ ง่ิ ทมี่ ชี วี ติ ทกุ ชนดิ ในโลก สง่ิ ทม่ี ชี วี ติ มอี ยใู่ นนำ�้ บนบก บนพ้นื ดนิ ในป่า ใตด้ นิ และใตน้ ำ�้ และแมใ้ นอากาศก็มีสง่ิ ท่ีมชี วี ิตขนาดเล็กดจุ ฝุ่นละอองท่ีตาม มนษุ ยม์ องไมเ่ หน็ อาศยั อยเู่ ปน็ จำ� นวนมาก โดยเฉพาะในอากาศทม่ี อี ณุ หภมู เิ หมาะสม มคี วามเยน็ ชน้ื ไมแ่ หง้ แลง้ ไมร่ อ้ นมากเกนิ ไปและไมเ่ ยน็ จดั เกนิ ไป จะมสี งิ่ ชวี ติ ดจุ ละอองฝนุ่ กระจายอยทู่ ว่ั ไป ทรพั ยากรธรรมชาตไิ มม่ ชี วี ติ ไดแ้ กว่ ตั ถสุ ง่ิ ของตา่ งๆ ทง้ั ทเ่ี กดิ ขน้ึ มาโดยธรรมชาติ และมนษุ ย์ 51 สรา้ งขน้ึ มา ซง่ึ ไมม่ ชี วี ติ แตอ่ าจจะเคลอ่ื นทไ่ี ดเ้ ชน่ เครอ่ื งจกั รกล เปน็ ตน้ ทรัพยากรธรรมชาติไม่มีชีวิตท่ีเกิดข้ึนมาโดยธรรมชาติประกอบด้วย ดิน ทราย ภูเขา แมน่ �้ำ แรธ่ าตุตา่ งๆ ที่อยบู่ นดิน ใต้ดนิ และใตน้ �้ำ ทรพั ยากรเหล่าน้ี เป็นท่ีอย่อู าศัยของสิ่งทมี่ ีชวี ติ ทเ่ี กดิ ข้ึนมาโดยธรรมชาติ เชน่ ในดนิ มมี ดแมลง ไส้เดอื น จุลินทรีย์ แบคทเี รีย ไวรสั เปน็ ต้น อาศยั อยเู่ ปน็ จำ� นวนมากทำ� หนา้ ทช่ี ว่ ยยอ่ ยสลายซากสตั วแ์ ละซากตน้ ไมใ้ หก้ ลายเปน็ ดนิ เปน็ ปยุ๋ สำ� หรบั พืชและต้นไม้ต่างๆ ท่ีงอกมาบนดนิ ได้ดดู ซมึ เปน็ อาหาร พชื และต้นไมไ่ ด้กลายเปน็ อาหารของส่งิ ทีม่ ีชีวิตประเภทกินพชื เช่น สตั ว์บก สัตวป์ กี และสตั วบ์ กและสตั วป์ ีกก็ไดเ้ ปน็ หว่ งโซอ่ าหารของ ส่ิงมีชวี ติ ประเภทกินเนอ้ื เปน็ อาหาร ทรัพยากรธรรมชาติทอี่ ยเู่ หนอื ธรรมชาติ หมายถึง อ�ำนาจเหนือธรรมชาติหรือสภาวะท่ีอยู่เหมือวิสัยท่ีมนุษย์ท่ัวไปจะสัมผัสหรือ เข้าถงึ แต่เป็นสภาวะทม่ี นุษย์เชื่อวา่ มีอยทู่ วั่ ไป เปน็ สภาวะละเอยี ดออ่ น มีความศักด์สิ ทิ ธิ์ เปน็ ที่ เกรงกลวั และเปน็ ทเี่ คารพบชู าของมนษุ ยต์ ง้ั แตส่ มยั โบราณเปน็ ตน้ มา สภาวะทอี่ ยเู่ หนอื ธรรมชาติ น้ี พระพุทธศาสนาเรียกว่า โอปปาติกะ ได้แก่เทวดา สัมภเวสี (วิญญาณเร่ร่อนพเนจร) เปรต อสรุ กาย ภตู ผี วิญญาณบรรพบุรุษ เปน็ ตน้ สภาวะดงั กล่าวอุบตั ขิ ้ึนมาเองดว้ ยอ�ำนาจแหง่ บาป บญุ ทไี่ ดก้ อ่ ไว้ต้ังแตเ่ ปน็ มนษุ ยม์ ชี ีวติ อยูใ่ นโลกกอ่ นตาย วิบากแหง่ บญุ ส่งผลใหเ้ กดิ เปน็ เทวดา ซึ่ง อาจจะอาศยั อยใู่ นโลกนี้ เชน่ ตามแผนดนิ ภเู ขา ตน้ ไม้ อาคารสถานทศ่ี กั ดส์ิ ทิ ธทิ์ างศาสนา เปน็ ตน้ วิบากแห่งบาปสง่ ผลใหเ้ กิดเป็นสมั ภเวสี เปรต อสุรกาย สถติ อยูใ่ นทีส่ กปรก อนั ชนื้ ไมม่ อี ากาศ บรสิ ทุ ธ์ิเม่อื สิน้ บญุ และบาป โอปปาตกิ ะ เหลา่ นก้ี ็จะดับหายไปจากสภาวะน้ันๆ โดยไมม่ ซี ากให้ เหน็ สภาวะเหนือธรรมชาติท่ีดีงาม มีความเมตตาปราณี เชื่อกันว่าจะช่วยดูแลคุ้มครองผู้มี่ ทำ� ความดี มนษุ ยจ์ ึงเคารพกราบไหวบ้ ูชาและอ้อนวอนต่อสภาวะเหนอื ธรรมชาตเิ หลา่ นนั้ อ�ำนาจเหนือธรรมชาติถือได้ว่าเป็นทรัพยากรแห่งสังคมมนุษย์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของ
มนษุ ย์ให้มีความรกั ความสามัคคกี ันทำ� ใหส้ งั คมเป็นปึกแผน่ (Solidarity) อำ� นาจเหนือธรรมชาติ ท่ีมนุษย์กราบไหว้บูชาจึงจัดเป็น ทุนทางสังคม (Social Capital) ซึ่งสามารถปรับใช้ทางด้าน เศรษฐกิจ การทอ่ งเท่ียว และเป็นพลงั รวมทางการเมอื งอย่างหนงึ่ การศกึ ษาทรพั ยากรธรรมชาตใิ นโลกทางวชิ าการปจั จบุ นั ไมใ่ หค้ วามสำ� คญั แกท่ รพั ยากร ธรรมชาตทิ เ่ี ปน็ สภาวะเหนอื ธรรมชาตเิ พราะพสิ จู นไ์ มไ่ ดใ้ นทางวทิ ยาศาสตร์ จงึ ถกู มองขา้ มสภาวะ เหนือธรรมชาติหรอื โอปปาตกิ ะ หากมกี ารเอ่ยถึงในทสี่ าธารณะด้วยอำ� นาจความเชือ่ ส่วนบุคคล หรือมีการแสดงความเคารพในท่ีสาธารณะอันไม่เหมาะสมตามความรู้สึกของคนทั่วไป กอ็ าจจะ มองไดว้ ่าผูพ้ ดู หรอื ผ้แู สดงความเคารพนบั ถอื เปน็ คนแปลกประหลาดคล้ายกับคนวิกลจรติ กไ็ ด้ อยา่ งไรกต็ ามสงั คมดำ� รงอยไู่ ดก้ เ็ พราะพลงั ความเชอื่ ในอำ� นาจเหนอื ธรรมชาติ ซงึ่ อาจจะ เรียกว่าพลังศาสนาอย่างหน่ึงก็ได้ ดังน้ัน ศาสนาจึงเป็นปัจจัยส�ำคัญที่ช่วยท�ำให้สังคมด�ำรงอยู่ อยา่ งยง่ั ยนื และความเชอื่ ในสภาวะทเี่ รยี กวา่ โอปปาตกิ ะจดั เปน็ ความเชอ่ื ทย่ี งั มอี าสวะหรอื มกี เิ ลส เปน็ สัมมาทิฏฐิ ระดับโลกียะ โอปปาติกะในระดับเหนอื กเิ ลสหยาบๆ คือความเป็นอปุ ตั ตเิ ทพ ใน สวรรค์ ความมีศรัทธาในโอปปาตกิ ะจัดเป็นสมั มาทิฏฐิเป็นฝ่ายบุญท่ชี ่วยใหเ้ กดิ การด�ำรงชีวติ ใน สงั คมมคี วามสขุ ขึน้ มาได้ในระดบั หนงึ่ ดงั พระพทุ ธพจน์ ว่า “สมั มาทิฏฐทิ ่ยี ังมอี าสวะ จดั อยู่ในฝา่ ยบญุ .. 52 เปน็ ความเห็นทีว่ ่า ทานท่ีใหแ้ ล้วมผี ล การบ�ำเพ็ญทานมีผล การบชู ามีผล กรรมทีท่ ำ� ไว้ดีและชั่วมีผล มวี ิบาก โลกนี้มี ปรโลกมี มารดามี บิดามี สัตว์ทีเ่ ป็นโอปปาติกะม.ี .....๑๓ ” การปฏเิ สธความไม่มสี ง่ิ เหนอื ธรรมชาติหรอื โอปปาติกะ อาจจะเข้าขา่ ยความเป็นมจิ ฉา ทฏิ ฐ ิ และความเห็นผิดหรอื มจิ ฉาทิฏฐิ เนอื่ งด้วยปัจจัย คอื สิง่ แวดลอ้ มท่ไี ม่ดี สภาพทางสงั คม ชั่วร้ายความเชื่อในบาปมิตร และการคดิ ไมเ่ ป็น (อโยนโิ สมนสิการ)๑๔ ทรพั ยากรธรรมชาตทิ กุ ชนดิ ที่มีอยู่ในโลกมีอยูจ่ �ำกัดและมแี นวโน้มเส่อื มโทรมลงไปตาม ล�ำดับ ทรัพยากรหลายชนิดได้สูญหายไปจากโลก เพราะมกี ารทำ� ลายดว้ ยการนำ� ไปใชป้ ระโยชน์ อยา่ งมากมายเกนิ กวา่ จะผลติ ขนึ้ มาทดแทนดว้ ยวธิ ตี ามธรรมชาตไิ มท่ นั กบั ความตอ้ งการของมนษุ ย์ มนุษย์เกิดมากก็ย่อมบริโภคมาก และมนุษย์ก็ไม่ค่อยค�ำนึงถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ๑๕ ซง่ึ มุ่งแตจ่ ะบรโิ ภคมากกวา่ จะช่วยกนั อนุรกั ษค์ มุ้ ครองและป้องกันมใิ หธ้ รรมชาตถิ กู ทำ� ลาย ๑๓ ม.อ.ุ (บาลี) ๑๔/๒๕๘/๑๘๑. ๑๔ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย ์ (ปอ.ปยตุ โฺ ต) ,พทุ ธธรรม., พมิ พค์ รง้ั ที่ ๑๑ , (กทม: โรงพมิ พ์ บรษิ ทั สหธรรมกิ , ๒๕๔๙ )หน้า ๘๓๘. ๑๕ คณุ คา่ ของธรรมชาตมิ อี ยา่ งนอ้ ย ๓ อยา่ ง คอื (๑) ชว่ ยใหม้ นษุ ยแ์ ละสตั วโ์ ลกมชี วี ติ อยรู่ อด (๒) เปน็ ทพ่ี กั ผอ่ นหยอ่ น ใจหรือความสงบทางจิตใจและ (๓) เปน็ ครูสอนทางวชิ าการและการปฏบิ ตั ิตนทีเ่ หมาะสมแกม่ นษุ ย์ (ดใู น จ�ำนงค์ อดวิ ฒั นสิทธ์ิ : สง่ิ แวดลอ้ ม เทคโนโลยีและชวี ติ , พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๑๒ ส�ำนักพมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๖
อาหาร (Food) อาหารเป็นสิ่งจ�ำเป็นอย่างยิ่งส�ำหรับการหล่อเล้ียงชีวิตให้คงอยู่ อาหารน้ัน ถือว่าเป็น เครอ่ื งค้ำ� จุนชวี ิต๑๖ อาหารสำ� หรับค้�ำจุนชวี ิตมีทั้งที่เปน็ วตั ถแุ ละเปน็ นามธรรม เมอ่ื ชวี ิตมนุษยค์ ง อย่สู ังคมกค็ งอยู่ เป็นความจ�ำเปน็ อยา่ งย่งิ ทจ่ี ะต้องทำ� ใหช้ วี ิตคงอยูเ่ พ่อื ที่สงั คมจะคงอยดู่ ้วย เม่อื ไม่มีชีวิตก็ไม่มีสังคม เพราะฉะน้ัน ปัจจัยท่ีท�ำให้ชีวิตด�ำรงอยู่ก็ถือปัจจัยที่จ�ำเป็นข้ันพื้นฐาน ๔ อยา่ ง ได้แก่ อาหาร ทอี่ ยูอ่ าศัย ยารกั ษาโรค เครื่องนงุ่ ห่ม กล่มุ ปจั จยั เคร่ืองค้ำ� จนุ ชีวิต ประกอบด้วย อาหาร คือ คำ� ข้าว (กวฬงิ การาหาร) รวม เอาอาหารท่ีเป็นวัตถอุ ย่างอน่ื ซงึ่ อยใู่ นอาหาร ๕ หมู่ อันไดแ้ ก่ (๑) โปรตนี (๒) คารโ์ บไฮเดรต (๓) วติ ามนิ (๔) แรธ่ าตุ (๕) ไขมนั ๑๗และ ผสั สะ คอื สมั ผสั ระหวา่ งอายตนะภายในกบั อายตนะภายนอก มวี ญิ ญาณรับรู้ (เวทนา) มคี วามรูส้ กึ เปน็ สุข (สุขเวทนา) บ้าง รูส้ กึ เปน็ ทุกข์ (ทุกขเวทนา) บ้าง แตท่ ่ีทำ� ให้ชวี ติ อย่รู อดคอื สขุ เวทนา นอกจากนี้ กม็ กี ลมุ่ อาหารทไ่ี มเ่ ปน็ วตั ถหุ รอื เปน็ นามธรรมไดแ้ กเ่ จตนาและวญิ ญาณ เจตนา 53 คอื ความตง้ั ใจในการคดิ การพดู และการกระทำ� เจตนาเปน็ ปจั จยั ผลกั ดนั ใหเ้ กดิ การเคลอ่ื นไหว อยา่ ง มเี ปา้ หมาย เจตนาทเี่ ปน็ ปจั จยั คำ้� จนุ ชวี ติ คอื กศุ ลเจตนาเทา่ นนั้ สว่ นอกศุ ลเจตนาเปน็ ปจั จยั ทำ� ลายชวี ติ ชวี ติ อยรู่ อดเพราะมนษุ ยม์ กี ศุ ลเจตนาเปน็ ทตี่ ง้ั ชวี ติ ทอ่ี ยไู่ มเ่ ปน็ สขุ และอยรู่ อดยากเพราะถกู อกศุ ลเจตนา ครอบงำ� กศุ ลเจตนาสำ� คญั ทสี่ ดุ คอื ความตง้ั ใจคดิ ในสงิ่ ทด่ี ี คดิ ในการกระทำ� ทดี่ ี การคดิ ดี จะตอ้ งนำ� ไปใชใ้ นการวางแผน กำ� หนดนโยบายและการคดิ ในระดบั ชาติ คอื ความตงั้ ใจดใี นการแกไ้ ขปญั หาสงั คม สรา้ งสรรคส์ ง่ิ ทดี่ งี ามในสงั คม และสรา้ งกรอบกตกิ าหรอื กฎหมายทด่ี สี ำ� หรบั อำ� นวยความสขุ ความ ยตุ ธิ รรม และความเปน็ ธรรมแกส่ จุ รติ ชน สว่ นวญิ ญาณคอื การรบั รปู โดยอาศยั การกระทบหรอื สมั ผสั ทางตา หู จมกู ลนิ้ วเิ คราะหต์ ามหลักพทุ ธปรชั ญา อาหารสรุปได้ ๒ ประเภทคือ ๑ อาหารทีเ่ ป็นวตั ถุ (Material Food) ๒ อาหารท่ีไม่ใช้วตั ถุ (Non-material Food อาหารที่เป็นวตั ถุ คอื ปจั จยั เครือ่ งค�้ำจนุ ชวี ติ ทีเ่ ป็นวตั ถุ ประกอบดว้ ย ๑๖ อา้ งแลว้ . พทุ ธธรรม., หนา้ ๕๕๒. ได้แบง่ อาหารเป็น ๔ ประเภท คือ ๑ อาหารคือคำ� ขา้ ว ๒ อาหารคอื ผสั สะ ๓ อาหารคือมโนสัญเจตนา ๔ อาหารคือวิญญาณ ๑๗ อาหารหลกั ๕ หมู่ <www.thaifoodworld.com/อาหารหลกั ๕หม>ู (๑) โปรตีน เช่น เน้อื สัตว์ ไข่ นม ถ่วั ฯลฯ (๒) คารโ์ บไฮเดรต เชน่ ข้าว แป้ง น�้ำตาล เผือก มนั ฯลฯ (๓) เกลอื แรห่ รือแรธ่ าตุ เป็นสารอาหารที่ชว่ ยควบคมุ การ ทำ� งานของอวยั วะตา่ งๆ ของร่างกาย เชน่ ฮอร์โมน เฮโมโกลบิน เอนไซม์ เปน็ ตน้ (๔) วติ ามินเป็น สารอาหารทร่ี ่างกายของเรา ต้องการในปริมาณน้อย แต่ก็ไม่สามารถขาดได้ วิตามิน ได้ผลไม้ชนิดต่าง ๆ (๕) ไขมัน เป็นพลังงานและให้ความอบอุ่นแก่ รา่ งกายฯ
(๑) อาหารท่มี นษุ ย์รบั ประทานทางปาก ทงั้ ชนดิ อ่อนและชนดิ น�้ำ (ส�ำหรับคน ปกต)ิ หรืออาหารทสี่ ง่ ผ่านจมูก (ส�ำหรบั คนป่วย) หรือสง่ ผา่ นการเจาะลำ� คอ หรือผ่านการเจาะ เสน้ เลือด (เช่นน�้ำเกลอื ) (๒) อาหารประเภทเคร่ืองนงุ่ หม่ อนั เปน็ ส่ิงท่มี นุษย์ใช้เพือ่ ปกป้องความหนาว และความร้อน รวมท้งั เคร่ืองอปุ โภคที่จ�ำเปน็ สำ� หรบั การใช้สอยในชีวิตประจำ� วัน (๓) อาหารประเภทยารักษาโรคทุกชนดิ ยารกั ษาโรค บางชนดิ จัดอยูใ่ นกลุ่ม อาหารท่ีมนุษย์รับประทานทางปากเป็นประจ�ำ เช่น พืช ผัก ผลไม้ ซ่ึงมีสารเป็นทั้งยา รักษา ปอ้ งกนั โรคและเปน็ แรธ่ าตสุ รา้ งความเจรญิ เตบิ โตและความแขง็ แรงของอวยั วะตา่ ง ๆ ในรา่ งกาย เพราะฉะนน้ั อาหารประเภทตา่ ง ๆ ในกลุ ม่ อาหาร ๕ หมู่ ซงึ่ มลี กั ษณะเปน็ ทง้ั อาหารทร่ี บั ประทาน เพือ่ พัฒนาอวัยวะตา่ ง ๆ ใหเ้ จริญแขง็ แรง สร้างภูมคิ มุ้ กัน และรักษาโรคต่าง ๆ ไปในตวั ๑๘ (๔) อาหารประเภททอ่ี ยู่อาศัย คือ อาคารบา้ นเรือนทีพ่ กั อาศยั ซึง่ สร้างโดยมี ทม่ี งุ บงั ปอ้ งกนั ลบฝนและแดดและสตั วร์ า้ ยทกุ ชนดิ กลดทพ่ี ระธดุ งคใ์ ชป้ กั เปน็ ทนี่ งั่ เจรญิ วปิ สั สนา กรรมัฏฐาน วัดอยูใ่ นประเภทท่ีอาศัยเบ้ืองต้นกไ็ ด้ แม้จะไม่เปน็ ที่อยู่อาศัยอย่างสมบูรณก์ ต็ าม ในโลกปัจจุบัน อาหารประเภทวัตถุ ได้รับการพัฒนาให้มีความก้าวหน้า และสลับซับ ซ้อนมากย่ิงข้ึน โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี การแปรรูปวัตถุดินตาม 54 ธรรมชาตเิ ป็นอาหารในรูปแบบตา่ ง ๆ ส่งผลใหว้ ถิ ชี ีวติ ของมนษุ ย์ แปรเปล่ียนไปด้วย อาหารจงึ มอี ิทธพิ ลตอ่ วถิ ชี ีวติ ของมนษุ ย์เป็นอย่างมาก อาหารท่ไี ม่ใช่วตั ถุ คอื อาหารท่เี รียกวา่ อาหารตา อาหารใจ๑๙ อาหารหู อาหารจมูก อาหารสมั ผสั ซ่งึ หมายถึงความร้สู กึ เพลิดเพลิน ยินดเี ป็นสขุ เมือ่ ตาไดเ้ ห็นรปู ทพี่ งึ พอใจ หไู ด้ยนิ ไดฟ้ งั เสียทไ่ี พเราะ จมูกได้ดมกล่ิน หอมสดช่นื และรา่ งกายได้สัมผัสกบั วัตถสุ ิง่ ของท่ีมชี วี ิตหรือ ไม่มชี วี ิตท่ีใหค้ วามอบอุน่ นมิ่ เพลดิ เพลินเกิดความสุขเวทนา จากการสมั ผัสของรา่ งกาย อาหารประเภทนี้ อาจจะสรุปอยู่ในกลุ่มอาหารใจก็ได้ เมื่อตาได้เห็นรูปท่ีสวยงาม วญิ ญาณจักษุรับรคู้ วามสวยงามของรปู เม่อื รบั รู้กจ็ ะเกดิ ภาวะยินดี ซาบซง้ึ อ่ิมเอิบ ท�ำให้ชวี ิตมี ความสขุ คำ้� จนุ ให้จติ ใจมีสขุ ภาพจิตดี มคี ณุ ภาพจิตด ี และมีสมรรถภาพจติ ดี ตามล�ำดบั เม่อื หู ไดย้ นิ ไดฟ้ งั เสยี งทไี่ พเราะ....เมอื่ จมกู ไดส้ ดู ดมกลนิ่ ทห่ี อมสดชน่ื ... เมอ่ื ลน้ิ ไดล้ มิ้ รส อาหารทอี่ รอ่ ย... เมื่อกายได้สัมผัสกับสิ่งท่ีนุ่ม อุ่น น่าสัมผัส ก็อธิบายได้ในลักษณะเดียวกันกับที่ตาได้เห็นรูปที่ สวยงาม ตามหลกั พุทธปรัชญา อาหารที่ไมเ่ ปน็ วตั ถซุ ่งึ มีบทบาทสำ� คญั มากในการหล่อเลยี้ งชวี ติ คอื ปิติ ปิติแปลวา่ ความอ่มิ ใจ หรอื ความดมื่ ด�ำ่ ความซาบซ้ึง ความปลาบปล้ืม ปิติ เป็นอาหาร ๑๘ ในพระไตรปฎิ ก พระพุทธเจ้าสอนใหพ้ ระภกิ ษุพจิ ารณาปัจจัย ๔ (อภิณหปจั จเวกขณะ) เพอื่ ความคงอยูแ่ ห่งชวี ติ อยา่ งสมดุล ที.ปา ๑๑/๒๓๖/๓๒๖. ๑๙ อา้ งแลว้ . พจนานกุ รมศพั ทภ์ าษาไทยราชบัณฑติ ยสถาน.
หล่อเลี้ยงส�ำคัญของจิตใจ๒๐คนที่มีสติปัญญามองเห็นธรรมอิ่มใจอยู่เสมอ ช่วยท�ำให้ร่างกาย 55 มผี วิ พรรณดี สขุ ภาพกายและใจแข็งแรง มีความสขุ ในชีวติ การมีความสขุ ย่อมสัมพันธก์ บั จิตใจท่ี ไม่เครียด จติ ใจท่ีสงบเยน็ ไม่กระสบั กระสา่ ย ความผอ่ นคลาย (ปัสสทิ ธิ) เปน็ ลักษณะของจิตใจ ที่มีคุณธรรมมีสมาธิ มีอุเบกขา คือรู้เท่ากันสภาวการณ์ต่าง ๆ โดยไม่ต่ืนตระหนกตกใจกับ สภาวการณ์นน้ั ๆ๒๑ อาหารทไ่ี ม่เป็นวตั ถุมีบทบาทค้ำ� จนุ ชีวิต ส�ำคัญมากไมน่ ้อยไปกวา่ อาหารทเี่ ป็นวตั ถโุ ลก ปจั จบุ นั ถกู ครอบงำ� ดว้ ยอาหารทเ่ี ปน็ วตั ถใุ นระดบั สงู มากกวา่ อาหารทเี่ ปน็ นามธรรม ขอ้ นจี้ ะสงั เกต เหน็ ไดจ้ ากการพดู ถงึ วตั ถมุ ากทสี่ ดุ โดยเฉพาะการพดู ถงึ วฒั นธรรมแบบวตั ถนุ ยิ ม หรอื บรโิ ภคนยิ ม วฒั นธรรมวตั ถนุ ยิ ม กค็ อื การนยิ มในอาหารทเี่ ปน็ วตั ถซุ งึ่ จดั อยใู่ นวตั ถกุ ามคอื ความรกั ความพงึ พอใจ วตั ถุ (ดรู ายละเอยี ดในเรอ่ื งกามโอฆะ) ความปรารถนาในอาหารทเ่ี ปน็ วตั ถเุ กดิ จากแรงกระตนุ้ ภายใน ดว้ ย กลา่ วคอื เมอื่ ตาไดเ้ หน็ รปู หรอื หไู ดย้ นิ เสยี ง กจ็ ะสง่ั การสมั ผสั ไปยงั จติ หรอื วญิ ญาณซง่ึ เกดิ การ รบั รวู้ า่ รปู สวยงามหรอื เสยี งไพเราะ เมอ่ื รบั รเู้ ชน่ นจี้ ะเกดิ ความกำ� หนดั หรอื ความใครอ่ ยากครอบครอง ความรสู้ กึ ปรารถนาทจ่ี ะครอบครองในสง่ิ อนั นา่ ใครน่ า่ ยนิ ดนี ้ี พลาโต เรยี กวา่ การตอ้ งมนตเ์ สนห่ ๒์ ๒ หรอื ถกู สะกดจติ ดว้ ยมนตค์ อื กเิ ลสกามนนั่ เอง อาหารทไ่ี มเ่ ปน็ วัตถุ รวมถงึ กฎระเบยี บ ประเพณปี ฏบิ ตั ิ และศลี ธรรมอนั ดงี ามของสงั คม สังคมมนุษย์จะด�ำรงอยู่ไม่ได้หากปราศจากการยึดในระเบียบกฎเกณฑ์ของสังคม โลกปัจจุบัน กำ� ลงั ประสบกบั ปญั หาความขดั แยง้ อนั เนอ่ื งมาจากการเสพอาหารทไี่ มเ่ ปน็ วตั ถุ โดยเฉพาะความ ขัดแย้งในเรื่องค่านิยม และความขัดแย้งในเรื่องรูปแบบประเพณีปฏิบัติ มีการถกเถียงกันอย่าง กว้างขวางว่ารูปแบบการปฏิบัติที่เหมาะสมในสังคมควรเป็นรูปแบบใด ข้อเท็จจริงก็คือว่า รูป แบบการปฏิบัติท่ีเหมาะสมในสังคมหน่ึงอาจไม่เหมาะสมในอีกสังคมหนึ่ง ประเด็นความขัดแย้ง น้ีจะแก้ไขได้อย่างไร ด้วยเหตุผลเพ่ือหาข้อยุติปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับรูปแบบการปฏิบัติที่ เหมาะสม มนุษย์ในสังคมจึงพยายามหาข้อยุติร่วมกันและยึดเอารูปแบบท่ีตกลงยอมรับร่วมกัน นั้นวา่ เป็นส่งิ ทีเ่ หมาะสม จะมกี ารลงโทษผู้ฝา่ ฝนื ระเบียบกฎเกณฑ์ตามรปู แบบทีก่ �ำหนดร่วมกัน น้ัน ถึงจะพยายามร่างระเบียบกฎเกณฑ์ท่ีคิดว่าเหมาะสมที่สุดส�ำหรับการปฏิบัติของสมาชิกใน สงั คม แตเ่ มอื่ เวลาผา่ นไปมนษุ ยก์ อ็ าจจะสรา้ งปญั หาฝา่ ฝนื กฎระเบยี บทเี่ หมาะสม ดว้ ยความรสู้ กึ ไม่พอใจกับกระบวนการตัดสินพิจารณาความถูกหรือความผิดในการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ๒๐ สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ (ปอ. ปยตุ ฺโต),การแพทย์ยคุ ใหมใ่ นพุทธทศั น,์ พิมพค์ ร้งั ท่ี ๑๕, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พบ์ ริษทั สหธรรมิก จ�ำกดั , ๒๕๕๙) หนา้ ๒๙. ๒๑ อ้างแลว้ . พทุ ธธรรม, หนา้ ๒๕-๒๘, ดูรายละเอียดในโพชฌงค์ ๘ อนั ประกอบด้วย สติ ธัมมจริยะ วริ ะยะ ปติ ิ ปัสสทั ธิ สมาธิ อเุ บกขา. ๒๒ พลาโต ; รพี ลกิ พิมพ์ครั้งที่ ๓ แปลโดยเวธสั โพธาริก : กรุงเทพมหานคร, สำ� นักพิมพ์ ทับหนังสอื , ๒๕๕๙
มนษุ ยจ์ งึ ตอ้ งการเปลยี่ นแปลงกฎระเบยี บ ขอ้ ปฏบิ ตั ติ ลอดเวลา โดยสว่ นหนง่ึ ตอ้ งการกฎระเบยี บ ท่ีสนองตอบความพึงพอใจส่วนตัวให้มากที่สุด และอีกส่วนหนึ่งเพื่อกีดกันกลุ่มปรปักษ์ไม่ให้มี โอกาสไดร้ ับผลประโยชน์เทา่ เทยี มกบั ตนเอง ความขัดแย้งเกี่ยวกับระเบียบกฎเกณฑ์ของสังคมโดยเฉพาะในระดับโครงสร้างอ�ำนาจ ในการบริหารการปกครองได้เกิดขน้ึ มาตัง้ แต่ยุคสมัยท่มี นุษย์รวมตวั กันอยูเ่ ปน็ สงั คม ในคมั ภรี พ์ ระไตรปฎิ กไดก้ ลา่ วถงึ การเกดิ ขน้ึ มาของกฎระเบยี บแหง่ สงั คมในอคั คญั ญสตู ร ปรัชญาการดำ� รงอยู่แห่งสังคม : วเิ คราะหต์ ามแนวพทุ ธธรรม หากนิยามสังคมว่าเป็นเครือข่ายความสัมพันธ์แห่งบุคคลตั้งแต่สองคนข้ึนไป การด�ำรง อยู่แห่งสังคมจ�ำเป็นต้องอาศัยปัจจัยที่จ�ำเป็นบางอย่าง การที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปติดต่อ สมั พนั ธไ์ มว่ ่าจะโดยรูปแบบใด นา่ จะข้นึ อย่กู ับปจั จัยดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. การสือ่ สารหรอื การเขา้ ใจความหมายโดยผ่านสัญลักษณ์ (Symbol) สัญลกั ษณ์เป็น สอ่ื ในการตดิ ตอ่ บคุ คลอน่ื จะตอ้ งเขา้ ใจความหมายของสญั ลกั ษณน์ นั้ ๆ ดว้ ย จงึ จะสามารถสนอง ตอบตอ่ บคุ คลทีเ่ ข้ามาติดตอ่ น้ันได้ ตรงตามความประสงค์ สญั ลักษณ์ทใ่ี ชเ้ ปน็ สื่อในการติดตอ่ สมั พันธก์ นั มีหลายรปู แบบ เช่น ภาษา (Language) ตามปกติภาษาจะประกอบดว้ ยวจนะภาษาหรอื ภาษาพูดและ อ 56 วจนะภาษา คือภาษาที่แสดงออกทางกาย ทางการท�ำเครื่องหมาย ทางลักษณะของส่ีทางการ แตง่ กาย เป็นตน้ มนุษย์ในโลกน้ีต้ังแต่ครั้งดึกด�ำบรรพ์มีการรวมตัวกันและด�ำรงอยู่ร่วมกันได้โดยอาศัย การใชภ้ าษา และเข้าใจความหมายผา่ นภาษา มนษุ ยส์ ามารถสนองตอบตอ่ กนั และกนั ท้ังในเร่ือง ความร่วมมือและการท�ำลายกันก็โดยเข้าใจความหมายผ่านสัญลักษณ์คือภาษา จริงอยู่ในบาง กรณีมนุษย์ทำ� ลายกนั เพราะไม่เข้าใจความหมายผา่ นภาษาก็มี แต่การท�ำลายกันอาจจะเกดิ ข้นึ โดยการตคี วามผา่ นสัญลกั ษณ์อยา่ งอ่นื และการตคี วามความตอ้ งการของมนษุ ย์นัน้ หากตีความ ตรงกับความต้องการที่แท้จริงและเป็นความต้องการให้เชิงบวก สังคมสามารถด�ำรงอยู่ได้อย่าง ยัง่ ยนื ในทางตรงกนั ขา้ มหากมกี ารตีความหมายต้องการต้องการในเชิงลบ สงั คมกอ็ าจจะเผชญิ กับความขดั แยง้ และดำ� รงอยู่ไดไ้ มย่ งั่ ยืน ๒. การแลกเปล่ยี นสง่ิ ท่จี ำ� เป็นต่อการด�ำรงชวี ิต การแลกเปลยี่ น (Exchange) เป็นกิจกรรมที่มนุษย์ดำ� เนินการมอยา่ งตอ่ เน่ืองต้งั แตย่ คุ กอ่ นประวตั ิศาสตร์ และยงั คงดำ� เนินการจนถงึ ยุคปัจจุบันและต่อไปถึงอนาคต การแลกเปลย่ี นเปน็ การนำ� เอาสงิ่ ทต่ี นมอี ยไู่ ปแลกเอาสง่ิ ทต่ี นไมม่ ี และไมส่ ามารถทำ� ขนึ้ มาไดก้ บั บคุ คลอ่นื ทม่ี ีและ/หรือสามารถท�ำขึ้นมาสนองตอบต่อตนเองได้
มนุษย์ในโลกน้ีไม่สามารถพ่ึงตนเองได้ท้ังหมด แม้ในท้องถ่ินที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วย 57 อาหารและสิง่ จ�ำเปน็ ขน้ั พื้นฐานต่างๆ ไดท้ ้งั หมดแต่มนษุ ยก์ ็ยงั ตอ้ งการแลกเปลยี่ นกันในเรอื่ งอืน่ เชน่ การแลกเปลยี่ นความรู้ การแลกเปลยี่ นประสบการณก์ ารแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ และความ รูส้ กึ การแลกเปล่ียนวิธีการแก้ปัญหาตา่ ง ๆ ทงั้ ในระดับสว่ นตัวและระดับสว่ นรวม การแลกเปลยี่ นจงึ มผี ลตอ่ การดำ� รงอยขู่ องสงั คม และการแลกเปลย่ี นนี้ คอื กระบวนการ พ่งึ พาอาศยั ซ่ึงกันและกนั อยา่ งหนึง่ (Dependency) ๓. การจดั ระเบยี บโครงสร้างสังคม ในสังคมท่มี คี วามสลับซับซอ้ นมากขน้ึ การด�ำรงอยู่ของสงั คมจ�ำเปน็ ต้องมรี ะเบียบ กฎ เกณฑซ์ ึ่งจะต้องกำ� หนดสรา้ งข้ึนมาเพอื่ ใหบ้ ุคคลในสงั คมสามารถตดิ ตอ่ กันได้อยา่ งเหมาะสม ซ่งึ ส่งผลให้สังคมมีความเปน็ ระเบียบและด�ำรงอยไู่ ด้อย่างสงบสุข ในอคั คญั ญสตู ร มขี อ้ ความแสดงถงึ เหตผุ ลในการจดั ระเบยี บสงั คมวา่ เมอื่ คนมากขน้ึ การ แก่งแย่งอาหารการกินก็เกิดตามมามีการกักตุนอาหาร และการลักขโมยอาหารการกินและส่ิง จ�ำเป็นต่อชีวิตต่าง ๆ แพร่ระบาดไปท่ัวชุมชน ความเดือนร้อนของผู้คนเป็นแรงผลักดันให้ผู้คน กระหนักคดิ และปรกึ ษาหารือกันในการแก้ปญั หาดังกล่าว ในท่สี ดุ คนก็บรรลถุ ึงข้อตกลงรว่ มกนั โดยการลงมตเิ ลอื กบคุ คลทเี่ หมาะสมทส่ี ดุ มคี วามฉลาดเฉยี บแหลมเปน็ ผปู้ กครองดแู ลชมุ ชน และ มอบอำ� นาจใหอ้ อกกฎระเบยี บตา่ ง ในการลงโทษผฝู้ า่ ฝนื ขอ้ ตกลงของชมุ ชนผทู้ ไ่ี ดร้ บั การคดั เลอื ก ในปฏบิ ตั หิ นา้ ทดี่ งั กลา่ วนไ้ี มต่ อ้ งออกไปหาอาหารขา้ งนอกเขาจะไดร้ บั อาหารการกนิ และสง่ิ จำ� เปน็ ต่อการด�ำรงชีวิตจากการแบ่งปันของคนอื่น ๆ อย่างพอเพียงเสมือนเป็นค่าจ้างในท�ำงานเพื่อ ชุมชน การจัดระเบียบโครงสร้างอ�ำนาจและหน้าท่ีในการผดุงความเป็นระเบียบเรียบร้อยของ สงั คม จงึ เกดิ ขนึ้ จากความจำ� เปน็ เพอื่ ความอยรู่ อดของสงั คมและการคงอยอู่ ยา่ งถาวรของสมาชกิ สังคมทุกระดับ สังคมที่สลับซับซ้อนจึงต้องออกระเบียบกฎเกณฑ์ควบคุมสมาชิกท่ีมีพฤติกรรม เอาเปรียบคนอน่ื ให้เคารพสทิ ธขิ องบคุ คลอื่น และให้คำ� นงึ ถึงความอยู่รอดของสงั คมซ่ึงจะต้อง อาศัยการปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บขอ้ ตกลงต่าง ๆ ในสังคมอย่างเครง่ ครัด ๔. ศาสนาและความเช่ือ ศาสนา (Religion) และความเชื่อ (Belief) จะสมั พนั ธก์ บั อุดมการณอ์ ันสูงสง่ แหง่ ชวี ติ และรปู แบบการปฏิบัตซิ ึ่งช่วยให้บรรลุถงึ เป้าหมายคืออุดมการณอ์ นั สงู สง่ แห่งชีวิต ตามแนวคิดของนักคิดทางสังคมศาสตร์ยุคแรก (Emile Durkheim) ศาสนาคือความ เช่ือและการปฏิบัติซ่ึงมีบทบาทส�ำคัญในการรวมกลุ่มผู้คนให้เป็นอย่างหน่ึงอย่างเดียวกันท�ำให้ สงั คมเปน็ ปึกแผน่ (Solid) ด�ำรงอยไู่ ด้อยา่ งยง่ั ยนื
นักคิดทางสังคมยุคแรกเชื่อว่าศาสนาเกิดจากการตกลงร่วมกันของผู้คนในชุมชนที่จะ ก�ำหนดสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของชุมชน (Tokenism) และส่ิงท่ีเป็นสัญลักษณ์มันเป็นท่ีรวบรัดใจ ของผู้คน กลายเป็นส่ิงส�ำคญั มคี วามศกั ดิส์ ิทธิบ์ ุคคลอ่ืนจะล่วงละเมดิ ในลักษณะทีจ่ ะกอ่ ให้เกิด ความเสื่อมเสียไม่ได้ การล่วงละเมิดสัญลักษณะเท่ากันเป็นการดูถูกเหยียดหยามความเชื่อและ อดุ มการณอ์ นั สงู สดุ ในชมุ ชนซงึ่ จะสง่ ผลใหเ้ กดิ ความสนั่ คลอนระบบสงั คมและไดช้ อ่ื วา่ เปน็ คนไม่ รักชุมชน (ซึ่งหมายถึงความไมร่ กั ชาตติ ามแนวคดิ ของกลุม่ ชาตินิยมสุดโตง่ ยคุ ปัจจุบนั ) เพราะฉะนน้ั ตามปรชั ญาสงั คม ศาสนาและความเชอื่ ถอื ไดว้ า่ เปน็ เสาหลกั สำ� คญั (Pillar) ในการยึดโยงให้บคุ คลมคี วามรู้สึกเปน็ กลุม่ เดียวกัน หรือเปน็ พวกเดยี วกนั ขอ้ น้ีได้กลายเปน็ พลงั ความสามัคคใี นการป้องกันภยั ตา่ ง ๆ ร่วมกนั และสร้างสรรค์หรือพฒั นาความเจริญกา้ วหนา้ แห่ง สงั คมดา้ นต่าง ๆ พระพทุ ธศาสนากับการด�ำรงอยูอ่ ยา่ งยง่ั ยืนแห่งสังคม ๑. พระพุทธศาสนาในฐานะเปน็ สถาบันสงั คม สถาบนั สงั คม (Social Institution) หมายถึงองคก์ รที่มกี ารจัดระเบยี บก�ำหนดรปู แบบ โครงสรา้ งและหนา้ ทคี่ วามรบั ผดิ ชอบตามทส่ี งั คมตกลงเหน็ ชอบใหป้ ฏบิ ตั ิ การจดั ระเบยี บองคก์ ร เกดิ ตามประเพณแี ละการปฏบิ ตั ทิ สี่ บื ตอ่ เนอื่ งกนั มายาวนาน ซงึ่ ไดก้ ลายเปน็ แบบแผนการปฏบิ ตั ิ 58 ท่ีถ่ายทอดสืบต่อมา หลักความเช่ือหรือค่านิยมนั้น จะสัมพันธ์กับเป้าหมายสูงสุดท้ังในระดับ ปัจเจกบุคคล และระดับสังคม พระพทุ ธศาสนาในฐานะเปน็ สถาบันสงั คมประกอบดว้ ย (๑) พระศาสดา (๒) พระธรรม คำ� สง่ั สอน (๓) พระสงฆส์ าวก ผสู้ บื ตอ่ พระธรรมคำ� สอนและพธิ กี รรม (๔) ฆราวาสทเ่ี ปน็ ผอู้ ปุ ถมั ภ์ ค้�ำจุนพระศาสนา (๕) ศาสนสถาน ได้แก่โบสถ์ วหิ าร ศาลา กฎุ ีทีพ่ กั สงฆ์ เจดยี ์ สถปู และสง่ิ ก่อสรา้ งตา่ ง ๆ (๖) ศาสนวัตถุได้แก่องค์พระปฏมิ าหรือพระพทุ ธรูปและวัตถทุ เ่ี ปน็ รูปเคารพของ พระสงฆส์ าวกและเทวรปู เป็นตน้ พระพทุ ธศาสนาไดร้ บั การยอมรบั วา่ เปน็ เสาหลกั ของสงั คมเสาหลกั หนง่ึ เพราะมบี ทบาท หนา้ ทสี่ นองความตอ้ งการของสงั คมหลายประการ ในสงั คมทน่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนา หลักของผคู้ นในสงั คม เช่น สงั คมไทย พระพทุ ธศาสนาไดป้ ฏิบตั ิหนา้ ทที่ จ่ี ำ� เป็น (Inscrutable Functions) และส�ำคญั ในหลายมติ ิ วเิ คราะห์ความสำ� คัญแห่งพระพทุ ธศาสนาเชิงการหนา้ ท่ี (A Functional Analysis of Buddhism) นกั วชิ าการทางสงั คมศาสตรม์ องมติ คิ วามสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนาตามบทบาทหนา้ ที่ ท่หี ลกั ค�ำสอนถกู ประยุกตใ์ ช้ในการตอบสนองตอบความตอ้ งการ ตามมติ ิที่ตนมอง
นักจิตวิทยา มองพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาแห่งการบ�ำบัดความทุกข์ทางจิตของ 59 มนษุ ย์ (Psychological Therapy) และสนองความต้องการทางอารมณ์และทางสติปัญญาของ มนษุ ย์รวมท้ังชว่ ยพฒั นาระดบั คุณภาพจิต สุขภาพจิต และสมรรถนะทางจิต ให้สูงขนึ้ และอาจ เปน็ ปัจจัยกอ่ ใหเ้ กิดความเครียดทางอารมณ์กไ็ ด้ นักรัฐศาสตร์มองพระพุทธศาสนาว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมความม่ันคงให้แก่รัฐ และ ขณะเดยี วกนั อาจเปน็ ปจั จยั หนงึ่ ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความแตกแยกในสงั คมและมผี ลออกมาเปน็ ความขดั แย้งทางการเมอื ง นกั เศรษฐศาสตร์ แบบทนุ นยิ ม และสงั คมนยิ มบางกลมุ่ มองพระพทุ ธศาสนาวา่ เปน็ ปจั จยั ขัดขวางความเจริญทางเศรษฐกิจและไม่ส่งเสริมการผลิต บุคลากรทางพระพุทธศาสนาก็ถูก วิจารณ์ในเชิงลบว่าเอาเปรยี บสังคม เป็นตน้ นกั สงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวทิ ยาสว่ นใหญจ่ ะมองพระพทุ ธศาสนาวา่ มบี ทบาทในการรวม กลุม่ ท�ำให้สังคมเปน็ ปึกแผ่น ชว่ ยยกระดบั สถานภาพทางสังคม ชว่ ยดา้ นสงั คมสงเคราะห์ การ พฒั นาสงั คมการพฒั นาสาธารณปู โภคตา่ ง ๆแกช่ มุ ชน การพฒั นาการศกึ ษาและการพฒั นาอาชพี แกผ่ ยู้ ากไร้ เปน็ ต้น จากมมุ มองของนกั สงั คมศาสตร์ บางกลุ่มดังที่กลา่ วมาขา้ งบนนี้ จะเปน็ ได้ว่า บทบาท หนา้ ทขี่ องพระพทุ ธศาสนา มที ง้ั มองในเชงิ บวกและในเชงิ ลบ ดว้ ยเหตนุ ี้ การวเิ คราะหค์ วามสำ� คญั แห่งพระพุทธศาสนาในเชิงการหน้าท่ี ซ่ึงอาจจะวิเคราะห์ได้ ในสองรูปแบบ คือ แบบที่หนึ่ง วเิ คราะหบ์ ทบาทหนา้ ทใี่ นเชงิ บวก และแบบท่สี องวเิ คราะห์บทบาทหน้าทใ่ี นเชงิ ลบ บทบาทหนา้ ทใ่ี นเชิงบวก (Positive Functions) บทบาทหนา้ ทใ่ี นเชงิ บวกแหง่ พระพทุ ธศาสนามปี รากฏใหเ้ หน็ เปน็ เชงิ ประจกั ษใ์ นระดบั ปจั เจกและในระดบั สงั คมหรือกลุม่ งานวจิ ยั หลายชน้ั ไดย้ ืนยันถงึ ความจริงขอ้ น๒ี้ ๓ สำ� หรบั กรอบการวเิ คราะหบ์ ทบาทหนา้ เชงิ บวกจะประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั ปธาน ๔ ซง่ึ ประกอบ ด้วยความพยายามในการอนุรักษ์ส่ิงที่มีอยู่แล้วให้มีอยู่ต่อไป ความพยายามสร้างส่ิงไม่มีให้มีขึ้น ความพยายามในการก�ำจัดส่ิงไม่ดีออกไป ความพยายามในการท�ำสิง่ ทีด่ ใี ห้ดียงิ่ ขนึ้ ดงั ต่อไป ๑. บทบาทในการอนุรักษ์สิ่งที่ดงี าม ๒. บทบาทในการยกระดับคณุ ภาพชวี ิต ๓. บทบาทในการแกไ้ ขปัญหาต่าง ๆ ๔. บทบาทในการปฏิรูปฟื้นฟู ๒๓ ดูรายละเอียดใน.จำ� นงค ์ อดวิ ฒั นสทิ ธ์ิ ๒๕๕๑. ศาสนาชีวติ และสงั คม.กรุงเทพมหานคร:สำ� นกั พมิ พส์ ขุ ภาพใจ.
บทบาทในการอนุรักษส์ ง่ิ ทด่ี งี าม ส่ิงท่ีดงี ามจำ� เปน็ ต้องได้รบั การอนรุ ักษ์ไมใ่ หเ้ สอ่ื มสญู สง่ิ ที่ดีงามคอื ส่ิงทีม่ ีคณุ ค่าทางประวตั ิศาสตร์ คณุ ค่าทางศลี ธรรมคุณค่าตอ่ ประเทศชาติ ต่อพระ ศาสนา และต่อระบบนเิ วศของโลกสง่ิ ที่ดีงาม ย่อมจะอ�ำนวยผลทด่ี ีงามเสมอ พระสงฆใ์ นฐานะตวั แทนแหง่ พระพทุ ธศาสนา ตงั้ แตอ่ ดตี สมยั พทุ ธกาล จนถงึ สมยั ปจั จบุ นั ได้ปฏิบัติหน้าท่ีสืบทอดการอนุรักษ์ส่ิงที่ดีงามในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอนุรักษ์ประเพณี วฒั นธรรมท่มี รี ากฐานมาจากพุทธ พระสงฆ์มีบทบาทหน้าท่ใี นการรักษาพระธรรมวินัยขององค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้คงอยู่อย่างบริสุทธิ์ เพื่อการน�ำไปปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง การ ตคี วามพระธรรมคำ� สอนหากผดิ เพยี้ นไปจากความหมายเดมิ ทมี่ กี ารตคี วามและมกี ารยอมรบั กนั อยา่ งแพรห่ ลายจะตอ้ งไดร้ บั การตรวจสอบ ทว้ งตงิ และชำ� ระการตคี วามใหถ้ กู ตอ้ งใหม่ ดงั ตวั อยา่ ง การสัมมนาและการสังคายนาพระพุทธธรรมที่ได้ปฏิบัติแล้วหลายคร้ัง การส่ังคายนาต้องอาศัย พระธรรมวนิ ยั ทไ่ี ดร้ บั การชำ� ระตคี วามวา่ ถกู ตอ้ งมากอ่ นเปน็ ฐานของการวเิ คราะห์ และชำ� ระพระ ธรรมวินยั ให้ถูกต้องบรสิ ทุ ธ์ิเหมือนเดมิ การอนุรักษ์สิ่งที่ดีงาม อาจจะมีความหมายใกล้เคียงกับค�ำว่า รักษาสิ่งท่ีดีงามได้ การ รักษาสิ่งดีงามใหค้ งอย่ไู ว้ จะต้องอาศยั การสง่ เสรมิ ให้เกดิ ความรักในสง่ิ ท่ีดีงาม ส่งิ ที่ดีงามสมควร แกก่ ารรกั ษาไวห้ รอื ไม ่ อยู่ที่คุณค่าคอื ความมปี ระโยชน์ของสิ่งน้นั วา่ ยังคงมคี นนยิ ม ยกยอ่ งและ 60 ยอมรับกันอยู่หรือไม่ หากสิ่งท่ีคิดว่าดีงามหรือเคยยอมรับว่าดีงามในอดีต กลับไม่สนองความ จ�ำเป็นหรือไม่มีค่าพอจะสนองความต้องการของสาธารณชนได้อย่างเต็มท่ีก็อาจจะเสื่อมความ นิยม สงิ่ น้นั กไ็ ม่อาจจะรกั ษาไวใ้ หค้ งอยูต่ ่อไปได้ เพราะฉะนน้ั สงิ่ ทส่ี มควรแกก่ ารอนรุ กั ษจ์ ะตอ้ งเปน็ สง่ิ ทคี่ ลา้ ยกบั สง่ิ มชี วี ติ เชน่ วฒั นธรรม ท่ีสมควรได้รับการรักษาต้องเป็นวัฒนธรรมที่มีชีวิต (Living Culture) สนองความเป็นอยู่ด้าน ต่าง ๆ ของมนุษย์ในสังคมได้ มนุษย์มีความสุขเมื่อปฏิบัติตามแบบอย่างประเพณีวัฒนธรรมที่ สังคมยอมรับว่าดีงามนัน้ คำ� สอนแหง่ พระพทุ ธศาสนาเปน็ วฒั นธรรมทางนามธรรม ซึ่งมกี ารถา่ ยทอดให้ด�ำรงอยู่ วา่ ค�ำสอนนน้ั หากประยกุ ตใ์ ชจ้ ะสามารถท�ำความดี ความสวยงาม ความมีคุณคา่ และความมี ประโยชนต์ อ่ ผปู้ ฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งชดั เจน ประจกั ษพ์ ยานหลกั ฐานชว้ี ดั ความมคี ณุ คา่ แหง่ คำ� สอนกค็ อื บุคคลตัวอย่างท่ีได้รับการยกย่องเป็นบุคคลต้นแบบ (Role Model)ด้านจริยธรรม ด้านความ ปราชญ์ เป็นครูอาจารย์ท่ีดีของสังคม ซึ่งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนได้คัดเลือกมอบรางวัล ยกยอ่ งคุณความดใี หป้ รากฏชดั ทัง้ ในระดบั ภายในประเทศและตา่ งประเทศ การอนุรกั ษ์สง่ิ ทด่ี ีงามใหค้ งอยู่ อาจประสบปัญหาขดั ขวางหลายอย่าง เช่น การต่อตา้ น จากบคุ คลทีไ่ มย่ อมรับ การปฏเิ สธจากบคุ คลตา่ งศาสนาต่างวัฒนธรรม ความไม่ชอบของคนรุ่น
ใหม่ ทม่ี คี า่ นยิ มใหมๆ่ การเขา้ กนั ไมไ่ ดก้ บั คนตา่ งอาชพี และตา่ งระดบั การศกึ ษาเปน็ ตน้ จงึ เปน็ การ ล�ำบากท่ีจะบังคับให้บุคคลทุกคนยอมรับส่ิงท่ีคนส่วนใหญ่เห็นว่าดีงามสมควรอนุรักษ์การใช้ อ�ำนาจกฎหมายบังคับอาจจะได้ผลในระยะเวลาหน่ึง การยอมรับจากการถูกบังคับให้ยอมรับ เปน็ การฝืนความรู้สกึ ของมนษุ ยโ์ ดยทั่วไป มนุษยโ์ ดยทวั่ ไปทีม่ สี ามัญสำ� นึก (Common Sense) ต้องการอิสรภาพในการแสดงความคิดเห็นรวมท้ังการยอมรับสิ่งที่ดีงาม มนุษย์ที่มีสามัญส�ำนึก ตอ้ งการเหตผุ ล มากกวา่ การใชอ้ ำ� นาจ การแสดงเหตผุ ลพงึ่ ขอ้ ดขี องสงิ่ ทส่ี มควรไดร้ บั การยอมรบั และอนุรักษ์ให้คงอยู่ ย่อมเป็นการใช้ช่องทางให้เกิดความคิด และการพิจารณาใคร่ครวญเชิง ปัญญาที่บริสุทธิ์มากกว่าเป็นการใช้อ�ำนาจบังคับให้มนุษย์ต้องปฏิบัติตาม ความยั่งยืนในการ อนุรกั ษ์ย่อมจะตามมา บคุ คลทม่ี ีสามญั ส�ำนึกและมีเหตุผล (Rational) ยอ่ มตระหนักถึงคุณค่า ของส่ิงท่ีสมควรแก่การอนุรักษ์ และการพัฒนาให้ย่ังยืนม่ันคงในระดับสูงกว่าบุคคลที่ไม่มี สามัญสำ� นกึ (Non-commonsense) หากจะถามว่า บคุ คลท่มี สี ามญั สำ� นกึ คือคนประเภทใด คุณลักษณะที่บง่ บอกถึงความมี สามัญส�ำนึกน้นั มีคุณลักษณะเปน็ อย่างไร บุคคลและคณุ ลักษณะบุคคลทีม่ สี ามัญสำ� นึกตามพุทธทรรศนะ บคุ คลทม่ี สี ามัญสำ� นกึ คอื บคุ คลทม่ี จี ติ สำ� นกึ แบบสามญั ชนทดี่ กี ลา่ วคอื สามญั ชนทเี่ ปน็ 61 กลั ยาณชนและเป็นบณั ฑติ ลกั ษณะของคนทม่ี จี ติ ส�ำนึกดเี ปน็ บณั ฑิต มีดังน๒้ี ๔ ๑. ชอบคดิ แตเ่ ร่อื งทด่ี ี บัณฑิตย่อมไม่คอบคิดจับผิดโทษหรือความบกพร่องของคนอื่น กล่าวคือไม่เพิ่งโทษ คนอืน่ บัณฑิตย่อมไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้ของคนอื่น ไม่คิดพยาบาทปองร้ายคนอ่ืน ไม่คิดผิด ทำ� นองคลองธรรม มุ่งรกั ษาความคิดของตนในทางท่ดี ี คดิ ในทางส่งเสริมความกา้ วหน้าของตน และคนอนื่ มคี วามคิดและความปรารถนาดี (เมตตา) โดยไม่หวังส่งิ ตอบแทน บณั ฑติ ชนซ่ึงคดิ โดยละเวน้ จากมโนทจุ รติ มมี โนสจุ รติ เปน็ ประจ�ำ๒๕ ๒. เป็นคนมีความกตญั ญแู ละกตเวที บัณฑิตถือได้ว่าเป็นคนดีได้เพราะมีความส�ำนึกในอุปการคุณของบุคคลอ่ืน พร้อมกับ พยายามตอบแทนผู้มีอุปการคุณด้วยการปฏิบัติดีและการมอบสิ่งที่ดีและบริสุทธ์ิแก่ผู้มีอุปการ ๒๔ พาลปัณฑติ สตู ร : ม.อ.ุ (ไทย๗ ๑๔/๒๔๖/๒๙๐ ๒๕ ปฐมมาสูตร. อง. อัฏฐก. (ไทย), ๒๓/๒๘/๒๘๒
คณุ น้ัน พระพุทธศาสนาอธบิ ายวา่ ความกตัญญูกตเวที เปน็ เคร่อื งหมายของคนดี บัณฑิตชนทีม่ ี จิตสำ� นึกดจี ะตอ้ งระลกึ ถึงความดงี ามของบคุ คลอื่นอยเู่ สมอ ๓. บัณฑิตชอบพดู แตเ่ ร่ืองทด่ี ี กล่าวคือ สามญั ชนท่ีดี หรอื คนทเ่ี ป็นบัณฑติ ละเวน้ จากวจีทุจรติ ละเวน้ จากการพูดเทจ็ พดู สอ่ เสยี ด พดู คำ� หยาบ พดู เพอ้ เจอ้ ไรส้ าระ สามญั ชนทด่ี พี ดู คำ� พดู ทเ่ี ปน็ จรงิ คำ� พดู ทส่ี รา้ งสรรค์ ให้คนรกั สามคั ครี ว่ มมือกนั คำ� พูดปยิ วาจา ค�ำพูดที่ไพเราะ ค�ำพูดทบ่ี ริสทุ ธวิ์ าจาใจจรงิ ๔. บัณฑติ ชอบท�ำแต่ความดี คือ เว้นจากการทจุ รติ เวน้ จากการเบียดเบียนท�ำรา้ ยชวี ติ สัตว์ เอาชีวิตมนษุ ย์ไม่ลักขโมยหรอื ล่วงละเมดิ สทิ ธใิ นทรพั ย์สินของบคุ คลอื่น ไม่ประพฤตผิ ดิ ใน กามคุณ สิง่ ทบ่ี ณั ฑิตชอบทำ� กค็ อื การประกอบสัมมาอาชีวะ มีความเคารพ ในชวี ติ และทรพั ยส์ นิ ของบคุ คลอนื่ มคี วามสำ� รวมระมดั ระวงั ในสงิ่ อนั นำ� มาซงึ่ ความใครเ่ พลนิ เพลนิ โดยผา่ นทาง ตา หู จมูก ลนิ้ กาย บคุ คลที่มีคณุ ลกั ษณะดงั กล่าวตามพทุ ธทรรศนะ คอื บคุ คลท่ีเปน็ สามัญชนดี มีจิตสำ� นกึ และความรับผิดชอบสูง เป็นคนมีเหตผุ ลทเี่ ปน็ สมั มาทฏิ ฐิ ยอ่ มสามารถแยกแยะได้วา่ อะไรคือสงิ่ ทด่ี ีควรแก่การอนุรกั ษใ์ ห้คงไว้ อะไรคือสิ่งทีไ่ มด่ ไี มส่ มควรแก่การอนุรกั ษ์ 62 ศาสนบุคคลท่ีเป็นสามัญชนท่ีดีมีลักษณะเป็นบัณฑิตย่อมมีความรู้ความสามารถในการ แยกประเภทสง่ิ ต่าง ๆ ได้อยา่ งเหมาะสม และเลือกกระท�ำในส่ิงท่ีเปน็ ประเภทสรา้ งสรรค์ ดีงาม สูงส่งและมคี ่า การอนุรักษ์สง่ิ ทีด่ ีงามจะเกิดผลตามมา ค�ำถามในท่ีน้ีอาจจะมีว่ากระบวนการในการพัฒนาบุคคลให้เป็นบัณฑิต เพื่อให้แสดง บทบาทในการอนรุ ักษ์สิ่งท่ดี มี คี ุณค่าทำ� ได้อยา่ งไร แตค่ ำ� ตอบต่อคำ� ถามนจี้ ะปรากฏอยูใ่ นตอนท่ี เปน็ ปรชั ญาวา่ ด้วยการพฒั นามนุษย์ตามพุทธทรรศนะ บทบาทในการยกระดับคุณภาพชีวติ คุณภาพชีวิต หมายถึงลักษณะชีวิตท่ีมีสุขอนามัยสมบูรณ์ได้รับการตอบสนองต่อส่ิง จ�ำเป็นขั้นพื้นฐานในระดับมาตรฐานและชีวิตมนุษย์เข้าถึงแหล่งที่ช่วยในการพัฒนาความเจริญ กา้ วหน้าทางสตปิ ัญญา อารมณ์ สงั คม และจิตใจ ได้อย่างอิสระ รวมทัง้ สังคมและสิง่ แวดลอ้ ม มี ความปลอดภัย และใหเ้ กิดการดำ� รงชวี ิตได้อย่างพอเพยี งและมคี วามสงบสขุ คณู ภาพชวี ิตทดี่ จี ะ เกิดข้นึ มาได้ด้วยการพฒั นา การพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นปรัชญาทางสังคมอย่างหนึ่งท่ีสัมพันธ์กับการพัฒนาสังคม (Development of Society) ปกตเิ มอื่ พดู ถงึ การพฒั นาสงั คมจะมคี ำ� ศพั ทภ์ าษาองั กฤษทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ๒ ศพั ทท์ างวชิ าการคอื (๑) Social Development (๒) Development of Society
ค�ำศัพท์แรกมีลักษณะแคบและมีความสัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์หรือตัวมนุษย์โดยเฉพาะ 63 ดังนั้น นักวิชาการบางคนจึงถือว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิต คือการพัฒนาสังคมในความหมายท่ี ตรงกันค�ำว่า Social Development ส่วนค�ำศัพท์ค�ำท่ีสองมีความหมายกว้างโดยครอบคลุมการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง และสิง่ แวดล้อม การพัฒนาสังคมในความหมายของคำ� วา่ Development of Society เป็นการ พฒั นาแบบพหุมติ ิ (Multi-Dimensional) การพฒั นาแบบพหมุ ติ ิเป็นการพัฒนาแบบองคร์ วม (Holistic Development) ตามพุทธทรรศนะ การพัฒนาแบบนี้ กค็ อื การพฒั นาท่มี คี วามสมดลุ ระหวา่ งรปู กบั นามหรอื การพฒั นาแบบบรู ณาการ (Integrated Development) รปู กบั นามรวม กนั เป็นองคป์ ระกอบแห่งชวี ติ องคป์ ระกอบแห่งชวี ติ ท่สี มบรู ณ์คอื สง่ิ ที่เรียกวา่ ขันธ์ หรอื กองหรอื กลุ่ม มี ๕ อยา่ งไดแ้ ก่ รปู เวทนา (ความรู้สกึ สขุ หรือทกุ ข์) สัญญา (การจดจ�ำหมายรสู้ ิ่งทป่ี ระสบ มา) สังขาร (ปจั จยั ปรุงแตง่ ให้เกดิ ความดี (กุศล) หรือความไม่ดี (อกศุ ล) และวญิ ญาณ คือความ รู้อนั เป็นธรรมชาติของจติ ทไี่ ดส้ มั ผัสกับรปู ารมณ์ และ อรปู ารมณ์ และตีความออกมา ในทีน่ ค้ี ือ จติ ท่ไี ดส้ มั ผัสกบั อารมณ์ผา่ นทางตา หู จมูก ลน้ิ และกาย การพัฒนามนษุ ย์ตามพุทธทรรศนะ คอื การพฒั นาใหม้ นุษยใ์ ชอ้ นิ ทรีย์ คอื ตา หู จมูก ลน้ิ และกาย ในทางสรา้ งสรรค์ ส่ิงท่ีดีงาม รู้จักใช้อินทรีย์ดังกลา่ วรบั เอาแต่ส่งิ ทดี่ ีงาม ไม่เปดิ ช่อง ทางใหส้ ง่ิ ทไี่ มด่ งี ามเขา้ มามอี ทิ ธพิ ลตอ่ ชวี ติ โดยผา่ นอนิ ทรยี ท์ งั้ หา้ ดงั กลา่ ว องคป์ ระกอบชวี ติ มนษุ ย์ ที่เป็นนามธรรมมีความส�ำคัญเหนือองค์ประกอบชีวิตท่ีเป็นรูปธรรม และอาจครอบง�ำบังคับให้ องคป์ ระกอบรปู ธรรมกระทำ� การแสดงออกทางวาจาและทางกายตามอำ� นาจของตน รปู ธรรมการ แสดงออกทางวาจาและทางกาย คอื สง่ิ ทเี่ รยี กวา่ พฤตกิ รรม ซง่ึ มกั จะอยภู่ ายใตอ้ ทิ ธพิ ลของความ คดิ ทศั นคติ ความเชอ่ื และค่านิยมตา่ ง ๆ ทีร่ บั ผ่านเข้ามาทาง ตา หู จมกู ลิน้ และกายสัมผัส องคป์ ระกอบชวี ติ ทเ่ี ปน็ นามธรรมซงึ่ เรยี กโดยรวมวา่ จติ ต์ น้ี จะตอ้ งไดร้ บั การฝกึ อบรม และ พฒั นาใหม้ คี ณุ ภาพดี มสี มรรถภาพดแี ละมสี ขุ ภาพดี คณุ ลกั ษณะจติ ทไี่ ดร้ บั การฝกึ อบรมหรอื พฒั นา ดแี ลว้ จะเปน็ พลงั สง่ เสรมิ ใหค้ ดิ ดตี ลอดเวลา และสามารถตา้ นทานอารมณไ์ มด่ ที ม่ี ากระทบไมใ่ หเ้ ขา้ มา ปรงุ แตง่ จติ ใหก้ ลบั กลายเปน็ จติ ดอ้ ยคณุ ภาพ ดอ้ ยสมรรถภาพ และดอ้ ยสขุ ภาพในทส่ี ดุ อารมณไ์ มด่ ี คอื อารมณอ์ นั ไมพ่ งึ ปรารถนา (อนษิ ฐารมณ)์ อนั เปน็ อารมณท์ กี่ อ่ ใหเ้ กดิ กเิ ลสตณั หาคอื ราคะ โทสะ โมหะ หรอื โลภ โกรธ หลง การพัฒนามนุษย์ จึงเริ่มต้นด้วยการพัฒนาความสมดุลแห่งองค์ประกอบชีวิตดังกล่าว ไมใ่ หส้ ดุ โตง่ ไปทางดา้ นใดดา้ นหนง่ึ มนษุ ยท์ มี่ จี ติ พฒั นาดแี ลว้ ยอ่ มสามารถพฒั นารปู หรอื รา่ งกาย ให้ดีตามไปด้วย แต่การพัฒนาองค์ประกอบทางกายหรือรูปธรรมอย่างเดียวโดยไม่ใส่ใจพัฒนา องคป์ ระกอบทเี่ ปน็ นามธรรม ยอ่ มจะสง่ ผลใหเ้ กดิ ผลขา้ งเคยี งไมด่ คี อื มปี ญั หาเกดิ ตามมา และจะ
กลายเปน็ ภาระหนักท่ีจะตอ้ งแก้ไขปัญหาเหล่าน้ัน ดังตวั อยา่ ง เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจ ซง่ึ มุ่ง เป็นการผลติ ให้มาก สง่ เสริมบุคคลให้บรโิ ภคมากตามไป ยอ่ มจะก่อให้เกิดอนษิ ฐารมณ์ คอื ความ โลภ ไม่รู้จักพอ และไม่รู้จกั เสยี สละเปน็ ผลตามมา ปกติเมื่อพูดถึงคุณภาพชีวิตนักเศรษฐศาสตร์มักจะมองไปท่ีรายได้ (Income) ซึ่งเป็น ปัจจัยสนับสนุนการยกมาตรฐานการครองชีพให้สูงข้ึนจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารายได้ที่จะช่วย มาตรฐานชวี ติ ใหม้ คี ณุ ภาพสงู ขนึ้ ยอ่ มเปน็ รายไดท้ บี่ รสิ ทุ ธ์ิ และตอ้ งไดม้ าจากการประกอบสมั มา อาชีวะ สัมมาอาชีวะคืออาชีพท่ีสะอาดบริสุทธิ์ถูกต้องตามหลักศีลธรรมและหลักกฎหมาย แต่ สัมมาอาชีวะทางโลกอาจจะขัดแย้งกับหลักศีลธรรมทางศาสนาก็ได้ พระพุทธศาสนากล่าวถึง อาชพี ทไี่ มค่ วรกระทำ� ซงึ่ อาจเปน็ มจิ ฉาอาชวี ะในทางศลี ธรรม ๕ ประการ ไดแ้ กก่ ารคา้ ขายมนษุ ย์ การค้าขายสัตว์เปน็ เพอ่ื ให้มนุษย์นำ� ไปฆ่าเปน็ อาหาร การค้าอาวุธ ยทุ โธปกรณ์ การค้าเครือ่ งดมื่ และสารเสพตดิ และการคา้ สารเคมที น่ี ำ� ไปสกู่ ารทำ� ลายชวี ติ ทกุ ชนดิ แตใ่ นสงั คมโลกอาชพี คา้ ขาย ดังกล่าวหากได้รับอนุญาตให้ประกอบถูกต้องตามกฎหมายไม่ถือว่าเป็นมิจฉาอาชีวะ และเป็น พาณชิ ยกรรมสมั มาอาชวี ะ สัมมาอาชีวะ รวมถึงอาชีพสจุ ริต และท�ำให้เกิดรายไดท้ สี่ ะอาดบริสทุ ธิ์ อาชีพสจุ รติ คอื อาชพี ท่ไี ม่ผิดครรลองครองธรรมอ่ืน ๆ เช่น การไม่ฉ้อโกง การไม่ลักขโมย การไม่ปลน้ ทรัพยส์ นิ 64 ของบุคคลอื่น เอามาเป็นของตนเอง สัมมนาอาชีวะ จึงเป็นอาชีพที่ไม่เบียดเบียนคนอ่ืนไม่ ประทษุ ร้ายส่ิงมชี ีวติ ทงั้ หลาย รายได้ท่ีได้รับมาจากการประกอบสัมมาอาชีวะ จงึ เปน็ รายได้ทบี่ ริสุทธิร์ ายได้ท่บี รสิ ุทธ์ิ ย่อมสมควรน�ำไปใช้ในการพัฒนาชีวิตให้มีคุณภาพดีงามการใช้จ่ายทรัพย์หรือรายได้ที่ได้รับมา จากสมั มาอาชวี ะยอ่ มชว่ ยสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ความภาคภมู ใิ จในชวี ติ ตนเอง และมคี วามสขุ ในการดำ� รง ชีวิต คุณภาพชีวิต จึงสัมพันธ์กับคุณภาพจิตใจ คุณภาพสติปัญญา คุณภาพทางกายภาพและ คุณภาพทางสงั คม ในสังคมโลกคุณภาพชีวิตท่ีดี ย่อมสัมพันธ์กับปัจจัยที่ส�ำคัญหลายประการซ่ึงมีส่วนส่ง เสริมให้เกิดคุณภาพชีวิตที่พึงประสงค์คุณภาพชีวิตท่ีพึงประสงค์ตามแนวคิดของนักพัฒนาเชิง พทุ ธ จะประกอบด้วยปัจจัยทีเ่ ปน็ ตวั บง่ ช้ี (Indicators)เช่น ตวั บง่ ช้ีแสดงบอกถงึ ส่ิงจำ� เป็นขั้นพน้ื ฐาน (จปฐ) (ปัจจัย ๔ ประกอบดว้ ยอาหารพอเพียง ท่ีอยู่อาศยั เคร่ืองนงุ่ ห่มยารักษาโรคภัยไข้ เจ็บ) และขยายออกไปถึงตัวชี้วัดความปลอดภัยในสังคม ในระดบั ปจั เจกบคุ คลตัวบ่งชี้คุณภาพ ชวี ติ นอกจากอาชีพการงานสจุ รติ และรายได้ที่มั่นคงแล้ว รวมถงึ สภาพจติ ใจท่ีดงี าม มคี วามสขุ มภี มู ติ า้ นทานตอ่ สงิ่ ยวั่ เยา้ และอารมณอ์ นั ไมพ่ งึ ปรารถนา มพี ฤตกิ รรมการแสดงออกทด่ี ี มคี วาม สัมพันธเ์ ชงิ เกื้อกูลตอ่ สังคมและสงิ่ แวดล้อม และมีสติปัญญาท่ีเป็นสมั มาทิฏฐิมเี หตผุ ล มคี า่ นิยม ทด่ี ีใชส้ ตปิ ัญญาในการแกไ้ ขปญั หาต่าง ๆ อย่างสรา้ งสรรค์
พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีบทบาทในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตท่ีดีให้เป็น 65 ไปตามหลักศีลธรรมทางพระศาสนา และรจู้ กั ใชช้ ีวิตให้เกดิ ประโยชน์ท้ังต่อตนเองและต่อบุคคล อื่น การเทศนาสั่งสอนศีลธรรมเป็นบทบาทหลักของพระสงฆ์ในการยกระดับคุณภาพทางจิต วญิ ญาณของบุคคลให้สูงขนึ้ บทบาทด้านนไ้ี ด้เรม่ิ มาตง้ั แตส่ มัยพทุ ธกาล ปรชั ญาเมธที โ่ี ดง่ ดงั ชาวกรกี ทเ่ี ปน็ ทร่ี จู้ กั ในยคุ ทป่ี รชั ญากรกี รงุ่ เรอื งไมว่ า่ จะเปน็ โสเครตสี เพลโต อรสิ โตเตลิ เปน็ ผพู้ ยายามอธบิ ายแนวคดิ และปรชั ญาในการปกครอง ความเปน็ รฐั อำ� นาจ รฐั ก�ำเนิดของรัฐ ความสมั พันธ์ระหวา่ งมนุษยก์ ับการเมืองอนั ทจ่ี รงิ แลว้ นา่ สงั เกตวา่ นกั ปราชญ์ นักคิดเหล่าน้ีกำ� เนิดในยุคสมัยหลังพุทธกาลนับร้อยปีท้ังสิ้นในพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงความ หมายของการเมอื ง วา่ เปน็ เรอื่ งทค่ี วรเนอื่ งดว้ ยธรรมะนกั ภาษาศาสตร์ นกั นริ กุ ตศิ าสตรห์ รอื แมแ้ ต่ พวกนักรฐั ศาสตร์เองก็อธิบายความหมายของการเมืองไวพ้ อจะจบั ใจความสำ� คัญได้วา่ หมายถึง การจดั การโดยท�ำให้คนท่อี ยู่รว่ มกันเปน็ จำ� นวนมาก ๆ นนั้ ไดอ้ ยู่ร่วมกันด้วยสนั ตสิ ขุ ด้วยความ สงบสุขอย่างแท้จริงนี่คือความหมายของค�ำว่าการเมืองที่ถูกต้องและบริสุทธิ์แต่ถ้าความหมาย ของการเมอื งมนั เปลีย่ นเป็นไมถ่ ูกต้อง ไม่บรสิ ุทธ์ิ มันก็กลายเป็นเรอื่ งของผลประโยชน์ เร่อื งการ แย่งชิงเอารัดเอาเปรียบกันระหว่างคนหมู่มากน่ันเองส�ำหรับชาวพุทธแล้วถือว่า การเมืองเป็น เรื่องเก่ยี วกับมนษุ ย์ หรอื เรอื่ งเกย่ี วกับประเทศชาตแิ ละสังคม แมแ้ ต่ชมุ ชน หมูบ่ ้าน ครอบครัว ของบุคคลแต่ละคนนั้น การเมืองเป็นส่ิงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่รับรู้ไม่รับผิดชอบเพราะฉะน้ัน พุทธบริษทั ถือวา่ โลกนี้มันมปี ระโยชน์แก่เราและเพราะเราไดเ้ กิดมาบนโลกน้เี ราจึงมหี นา้ ที่ทีจ่ ะ ตอ้ งกตญั ญตู อ่ โลกหรอื สงั คม มนษุ ยม์ หี นา้ ทต่ี อ้ งชว่ ยใหโ้ ลกหรอื สงั คมดขี นึ้ พทุ ธบรษิ ทั จงึ มเี หตผุ ล ทีท่ �ำใหต้ ้องสนใจในส่งิ ทเี่ รยี กวา่ “การเมือง”๒๖ ส�ำหรบั ประเดน็ เรอ่ื งการทำ� หนา้ ท่ีตอ่ สงั คมนนั้ มพี ระพทุ ธวจนะทพี่ ระพุทธองค์ ตรัสเกี่ยวกับพระองค์เองอยู่มากมายหลายแห่งว่า “ตถาคตเกิดข้ึนในโลก เพ่ือประโยชน์ เพื่อ ความสขุ ของมหาชน ของสตั วท์ ง้ั หลายท้ังเทวดาและมนุษย”์ นอกจากนนั้ ยังมีพระพุทธวจนะอีก ประเภทหนึ่ง ซึ่งลดระดับลงมาว่า “บุรุษอาชาไนยเกิดข้ึนมาในโลกน้ีก็เพ่ือประโยชน์แก่ มหาชน”หมายความวา่ มนุษยท์ ่ปี ระเสริฐและมีความสามารถไม่ใชเ่ กิดมาเพ่ือตวั เอง แตเ่ กดิ มา เพ่ือมหาชนซ่ึงรวมทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายค�ำว่าบุรุษอาชาไนยนี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะ พระพทุ ธเจา้ อยา่ งเดยี วใครกต็ ามทเ่ี ปน็ ผมู้ สี ตปิ ญั ญาระดบั สงู บคุ คลนนั้ กถ็ กู เรยี กวา่ อาชาไนยเปน็ ผทู้ เ่ี กดิ มาเพอ่ื ประโยชนแ์ กม่ หาชน ไมใ่ ชเ่ กดิ มาเพอ่ื ตนเองซงึ่ กไ็ มพ่ น้ ไปจากเรอื่ งของการเมอื งแต่ ตอ้ งเปน็ การเมอื งทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ หรอื ประกอบอยดู่ ว้ ยธรรมะคอื เปน็ การเมอื งทแ่ี ทจ้ รงิ อยา่ งทกี่ ลา่ วมา ๒๖ ดร. บรรพต แคไธสง., การเมือง เสรีภาพ ประชาธิปไตย ภราดรภาพ, ๒๕๕๗.
แลว้ ไมใ่ ชก่ ารเมอื งทใี่ ชใ้ นความหมายเปน็ อบุ ายคดโกงเอาเปรยี บผอู้ น่ื และมพี ระพทุ ธวจนะทต่ี รสั ถึงประโยชนไ์ วว้ า่ “อตตฺ ตถฺ ํ วา หิ ภิกขฺ เว สมฺปสสฺ มาเนนอลเมวอปฺปมาเทนสมปฺ าเทตุ ฯลฯ เม่อื เห็นประโยชน์ตนกท็ ำ� ประโยชนต์ นให้ถงึ พร้อม ด้วยความไม่ประมาท, เมอื่ เห็นประโยชนผ์ ูอ้ น่ื ก็ ท�ำประโยชน์ผู้อ่ืนให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเม่ือเห็นประโยชน์ทั้งสองฝ่ายคือทั้งตนและผู้ อื่นก็พึงท�ำประโยชน์ท้ังสองฝ่ายให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท”พระพุทธวจนะน้ีหมายถึงให้ นกึ ถงึ ประโยชนข์ องผอู้ น่ื ดว้ ย นนั่ กค็ อื เปน็ เรอื่ งปญั หาทางการเมอื ง หรอื ปญั หารว่ มกนั ของสงั คม น่ันเองทท่ี กุ คนจะตอ้ งชว่ ยกันปลดเปลื้อง การนกึ ถงึ ประโยชนข์ องสงั คมนน้ั เปน็ หนา้ ทข่ี องพทุ ธบรษิ ทั เมอ่ื มคี วามคดิ และความเขา้ ใจ อยา่ งนแี้ ลว้ มันก็จะหลกี เลี่ยงเรื่องของการเมอื งไปไม่ไดใ้ นปัจจุบนั โลกก�ำลังเดือดรอ้ นด้วยปัญหา ต่าง ๆเพราะฉะน้ันถ้ามีหนทางท่ีจะช่วยกันได้ก็ต้องช่วยกันแม้ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะช่วยได้ กจ็ ะต้องคิดหาทางออกของปญั หาให้พบดว้ ยเหตนุ ้จี ึงเป็นเหตุใหต้ ้องสนใจส่ิงทีเ่ รยี กวา่ การเมือง ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วบุคคลน้ันก็จะเป็นคนไร้ประโยชน์หรือเป็นคนท่ีมีประโยชน์น้อยท่ีสุดกล่าวได้ วา่ ไมไ่ ดป้ ฏบิ ตั ติ ามคำ� สงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ และจะกลายเปน็ บคุ คลทเี่ อาเปรยี บ เปน็ บคุ คลหนงึ่ ในโลกทเ่ี ป็นคนคดโกงไมไ่ ดท้ �ำหน้าทข่ี องตนถอื ไดว้ า่ เป็นบุคคลทีอ่ กตญั ญูน่นั เอง 66 ตามหลกั การของพระพทุ ธศาสนาทกุ คนตอ้ งหวงั ดตี อ่ โลก ตอ้ งชว่ ยกนั ในการแกไ้ ขปญั หา ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในโลกและกระบวนการนน้ั คอื สงิ่ ทเ่ี รยี กวา่ การเมอื งเปน็ การจดั การสงั คมทงั้ ในระดบั โลก ใหม้ นั ถกู ตอ้ ง ใหเ้ กดิ ความสงบสขุ หรอื ในระดบั ทตี่ ำ่� ลงมากเ็ ปน็ การจดั การความเปน็ ไปในประเทศ ใหเ้ กดิ ความถกู ตอ้ งและมคี วามสงบสขุ สรปุ ความวา่ การเมอื งคอื ระเบยี บปฏบิ ตั ทิ ที่ กุ คนตอ้ งชว่ ย กันจัดการบ้านเมืองหรือสังคมให้หมดปัญหาปัญหาน้ันก็คือส่ิงที่สร้างวิกฤตการณ์หรือความอยู่ รว่ มกนั อยา่ งไมผ่ าสกุ กระบวนการชว่ ยกนั จดั การบา้ นเมอื งหรอื โลกใหห้ มดปญั หา นเี้ ปน็ เรอื่ งของ การเมืองที่บริสุทธ์ิตามแนวพระพุทธศาสนาดังน้ันการเมืองไม่ใช่เครื่องมือส�ำหรับแย่งชิงเอาผล ประโยชนข์ องผูอ้ นื่ มาเปน็ ของตนหรือของพวกของตน การใชร้ ะบบการเมอื งของมนษุ ยใ์ นโลกโดยทม่ี อี ยจู่ รงิ ในปจั จบุ นั มอี ยู่ ๒อยา่ ง คอื ระบบ การเมอื งท่ีบริสทุ ธ์ิ กบั ระบบการเมอื งทไ่ี ม่บรสิ ุทธ์ิ หรอื การเมืองของสตั บรุ ษุ กบั การเมอื งของคน พาลถ้าเป็นระบบการเมืองที่บริสุทธิ์ก็คือการเมืองที่แท้จริงตามเจตนารมณ์ของพระพุทธศาสนา เป็นการเมอื งของสัตบรุ ษุ คำ� ว่า สตั บุรุษ คอื ผรู้ ักความสงบผูร้ ้คู วามสงบ ผแู้ สวงหาความสงบ เปน็ บุคคลท่ีอยู่ด้วยความสงบ เป็นความสงบตามความหมายทางธรรม ซ่ึงพระพุทธศาสนาเรียกว่า สตั บรุ ุษมพี ระพทุ ธวจนะทตี่ รสั เอาไวว้ ่า“เนสาสภายตฺถนสนตฺ สิ นฺโตในทใ่ี ดไม่มีสัตบุรษุ ในทนี่ ้นั ไม่ เรยี กวา่ เปน็ สภา”คำ� วา่ สภานเ้ี ปน็ คำ� ทม่ี คี วามหมายศกั ดสิ์ ทิ ธม์ิ ากตามพระบาลี คอื สถานทเ่ี ปน็ ท่ี ประชมุ แหง่ สตั บรุ ษุ จงึ จะเรยี กวา่ สภาเพราะวา่ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นตรสั ไวอ้ ยา่ งนถ้ี า้ มสี ภาอยา่ งทวี่ า่
นก้ี ม็ สี ตั บรุ ษุ และกม็ นี กั การเมอื งคอื สตั บรุ ษุ เปน็ การเมอื งทท่ี ำ� ใหโ้ ลกนส้ี งบไดจ้ รงิ เหมอื นกนั ฉะนน้ั 67 การเมืองระบบอยา่ งทหี่ นง่ึ คือ การเมืองของสัตบุรุษประกอบกบั รัฐสภาทแี่ ทจ้ ริงในความหมาย ของพระพทุ ธศาสนา และเปน็ ไปเพอ่ื สนั ตอิ นั แทจ้ รงิ ของสงั คมหากเราจะวเิ คราะหป์ ระเทศแตล่ ะ ประเทศ ท้ังหมดตกอยู่ในอันตรายหรือความโชคร้ายท่ีจะไม่เป็นไปเพ่ือศีลธรรมคือว่าตกอยู่ใน หว้ งแหง่ ความกลวั ข้อแรกก็คอื ความกลัวความพา่ ยแพ้ไมก่ ล้าทจี่ ะม่งุ พฒั นาไปส่กู ารเมืองทมี่ ศี ีล ธรรมสนใจแต่เร่ืองการเมืองท่ีเป็นผลประโยชน์ท�ำให้ละเลยระบบการเมืองท่ีประกอบด้วยธรรม เพราะฉะน้นั จงึ ตกอยใู่ นภาวะจำ� เปน็ ท่จี ะตอ้ งละทิ้งคณุ ธรรม ประเทศทงั้ หลายในโลกโดยเฉพาะ ประเทศที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา จ�ำเป็นจะต้องทิ้งสัจธรรมความจริงความยุติธรรมหรือธรรมะ เพื่อเอาตัวรอดกันกอ่ นและนกั การเมอื งหรอื นักปกครองก็ตอ้ งปรบั ตัวไปเป็นแบบน้ันท้งั หมด หากทกุ คนรจู้ กั การเมอื งอยา่ งถกู ตอ้ งตามกฎของธรรมชาตแิ ลว้ จะเหน็ วา่ การเมอื งกค็ อื ธรรมระบบธรรมท่ีจะช่วยให้มนุษย์อยู่เป็นปกติสุขเป็นแขนงหน่ึงของธรรมทั้งหลายการท่ีหลัก ธรรมเก่ียวกับการเมืองไม่แพร่หลายในสังคม เพราะว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ตกเป็นทาสของวัตถุคือ ความสุขในทางกามคุณจึงถอื ว่าเปน็ ความเข้าใจผิดพลาดอยา่ งยิง่ วา่ การเมอื งไม่เก่ยี วกับศาสนา โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ไมเ่ กยี่ วกบั พระพทุ ธศาสนาการเมอื งทบี่ รสิ ทุ ธแ์ิ ละถกู ตอ้ งเปน็ เรอ่ื งทเี่ กยี่ วขอ้ ง กบั ทกุ ศาสนา ในทางพระพทุ ธศาสนาจะตอ้ งมรี ะบบการเมอื งของธรรมะระบบการปกครองทจ่ี ะ ชว่ ยใหโ้ ลกน้มี ธี รรมะ หลักการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ สันติภาพ เสรีภาพ สมภาพ ภราดรภาพในพระพทุ ธศาสนา ได้ใหค้ วามหมายของหลกั การเหล่านี้เอาไว้ดังนี้ สนั ตภิ าพ คอื ความเปา้ หมายของการปฏบิ ตั ธิ รรมในพระพทุ ธศาสนาเรม่ิ ตง้ั แตส่ นั ตภิ าพ ข้ันต้นที่สุดจนกระทั่งถึงสันติภาพขั้นสุดท้าย คือ พระนิพพานซ่ึงเป็นสันติภาพสูงสุด ในความ หมายของพระพทุ ธศาสนาค�ำว่า เสรีภาพ กเ็ ช่นเดยี วกนั ความหมายตรงกบั คำ� วา่ วิมุตติ ความ หลุดพ้นไปจากการครอบง�ำของกิเลส น่ีคือเสรีภาพในทางพระพุทธศาสนาเสรีภาพถือเป็นหลัก ธรรมอย่างหนึ่งโดยมีความหมายว่ามนุษย์ทุกคนมีสมภาพอยู่ตรงท่ีว่า ทุกคนล้วนมีปัญหาตาม ธรรมชาติเหมือนกันหมดคือ ต้องเกิดต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ต้องเป็นทุกข์และก็มีหน้าที่ที่จะ ต้องต่อสู้ เพือ่ ใหห้ ลดุ รอดจากความทุกข์ นอกจากนน้ั ต้องมีหน้าที่ท่ีจะต้องช่วยเหลือผอู้ นื่ ด้วยคำ� ว่า สมภาพ เป็นความหมายในระบบการปกครองคณะสงฆ์ของพระพุทธเจ้า สิทธิของภิกษุใน ทางการปกครองของพระพทุ ธศาสนานม้ี คี วามเสมอภาคกนั หมดไมไ่ ดอ้ ยทู่ ก่ี ารมพี รรษามากหรอื การมีพรรษาน้อย เป็นผู้บวชใหม่หรือบวชนาน สว่ นภราดรภาพนกี้ ค็ อื ความเปน็ พนี่ อ้ งกนั โดยธรรมในทางพระพทุ ธศาสนาไมม่ คี วามเปน็ พ่ีน้องชนิดไหนจะย่ิงไปกว่าการเป็นพ่ีน้องโดยธรรมพุทธบริษัทถือว่าเป็นพ่ีน้องกันโดยธรรมใน
ฐานะทเ่ี ปน็ พทุ ธบรษิ ทั ชาวพทุ ธจะถอื วา่ พระพทุ ธเจา้ เปน็ เหมอื นบดิ ามารดาพทุ ธบรษิ ทั เปน็ บตุ ร ธดิ าของพระองคเ์ พราะฉะนนั้ พทุ ธศาสนกิ ชนจงึ เปน็ พนี่ อ้ งกนั โดยธรรมนค้ี อื ภราดรภาพโดยธรรม เป็นหลกั การท่จี ะทำ� ให้เกิดความรักใคร่ ช่วยเหลอื สมคั รสมาน สามัคคีกัน ในฐานะท่เี ปน็ เพื่อน ทุกข์ เกิด แก่ เจบ็ ตาย ด้วยกันเปน็ พน้ื ฐาน สงั คมไทยเปน็ สงั คมพทุ ธศาสนา ศาสนาทไ่ี ดช้ อ่ื วา่ มคี วามเปน็ วทิ ยาศาสตรม์ ากทส่ี ดุ แต่ การจดั การศกึ ษาวทิ ยาศาสตรใ์ นประเทศไทยสว่ นใหญจ่ ะเนน้ การนำ� องคค์ วามรขู้ องตา่ งประเทศ มาปรับใช้ การมีหนังสือเล่มนี้จะท�ำให้ได้แนวคิดในการน�ำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน วทิ ยาศาสตรโ์ ดยใชพ้ ทุ ธศาสนาเปน็ รากฐาน ซง่ึ จะเปน็ การเปลยี่ นแปลงการปฏริ ปู การศกึ ษาของ ประเทศไทยใหห้ นั มาปฏริ ปู การศกึ ษาโดยอาศัยรากเหงา้ จากสง่ิ ทม่ี อี ยใู่ นสงั คม๒๗ สงั คมในอดุ มคตติ ามแนวพระพุทธศาสนา สังคมในอุดมคติ หมายถงึ ชุมชนในอดุ มคติ (Ideal Community) ทป่ี ลอดจากความขดั แย้ง เป็นสังคมท่ีมีค่านิยมชดั เจน และมนุษย์ได้รับความพึงพอใจอย่างสมบรู ณ์ สังคมในอดุ มคติ จะพรรณนาถงึ ลกั ษณะชวี ติ อยา่ งเปน็ ระบบในสงั คมตามจนิ ตนาการ ในบางกรณมี กี ารพดู ถงึ สงั คม ในอดุ มคติในนวนยิ ายดว้ ย 68 ในศตวรรษปัจจุบันการเปลยี่ นแปลงทางสงั คม การเปล่ยี นแปลงทางการเมอื ง และการ เปลย่ี นแปลงทางเทคโนโลยี ดำ� เนนิ ในอยา่ งรวดเรว็ และมกี ารแบง่ แยกระหวา่ งสงั คมทนุ นยิ มและ สังคมสังคมนิยม ปรากฏการณ์ดังกล่าวน�ำไปสู่ความคิดใหม่ในเรื่องสังคมในอุดมคติแต่ก็มีความ คิดต่อต้านสังคมในอุดมคติหรือในลักษณะไม่เห็นด้วยและไม่มีทางท่ีสังคมในอุดมคติจะเกิดขึ้น ได้จรงิ ค�ำว่า สงั คม UTOPIA เปน็ คำ� กรีก หมายถึง ไม่ใช่สถานท่ี (Not Place) เปน็ ค�ำที่สรา้ ง ข้นึ มาโดย Sir Thomas More๒๘ (๑๕๑๖) อยา่ งไรกต็ ามค�ำศัพทท์ ม่ี ีความหมาย ซ่งึ แสดงถงึ องค์ ประกอบแห่งปรัชญาความคดิ แบบ UTOPIA มหี ลายรปู แบบ คำ� ว่า “ยคุ ทอง” (Golden Age) เปน็ คำ� หนง่ึ ทแี่ สดงถงึ ความพงึ พอใจในลกั ษณะวถิ ชี วี ติ บางอยา่ งในอดตี ความคดิ ทมี่ อี งคป์ ระกอบ สังคมในอุดมคติมีลักษณะเป็นสามญั ส�ำนกึ อยา่ งหน่งึ ๒๗ สมัคร บุราวาศ., พทุ ธปรชั ญา : มองพุทธศาสนาดว้ ยทรรศนะวทิ ยาศาสตร,์ กรุงเทพฯ: ศยาม, ๒๕๒๕ ๒๘ Thomas More ๑๕๑๖ (๑๙๖๕) UTOPIA : Harmonds worth : Penguin.
ในสงั คมตะวนั ตก การวเิ คราะหส์ งั คมในอดุ มคตอิ ยา่ งเปน็ ระบบ ในฐานะเปน็ ระบบความ 69 คิดอย่างหนึ่งเร่ิมต้นโดยการตีพิมพ์การแปลผลงานเรื่อง Ideology and Utopia โดย Karl Mannheim (๑๙๒๙)๒๙Karl Mannheim ได้แยกความแตกต่างระหวา่ งความคดิ ในอุดมคติ ซ่งึ พรรณนาถงึ ภาพความจรงิ ปจั จบุ นั เชงิ อดุ มคติ กบั ความคดิ แบบ UTOPIA ซง่ึ พยายามเสาะแสวงหา สังคมแบบใหม่ แตป่ ัจจุบนั มีค�ำว่า UTOPIA ครอบคลมุ ความหมายดังกลา่ วนีท้ ัง้ หมด ความคดิ สงั คมแบบ Utopia น้ี ปรากฏวา่ มคี วามกา้ วหนา้ เปน็ อยา่ งสงู ในระหวา่ งทส่ี งั คม เกดิ ความไมม่ น่ั คงและมคี วามลม้ เหลวแหง่ อำ� นาจในการปกครอง แนวคดิ Utopia มกั จะสะทอ้ น ถึงเส้นแบ่งความเป็นไปได้ที่มีการแบ่งระหว่างสังคมท่ีเป็นอยู่ รวมทั้งความสามารถเชิงการผลิต และแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ท่ีสามารถเปล่ียนแปลงได้ในระดับหน่ึงกับการเน้นเชิง สัมพันธ์ (Relative Explanation) บรรยากาศสาธารณะ ซงึ่ ตรงกันข้ามกบั บรรยากาศสว่ นตวั แนวคดิ Utopia นยี้ งั สะทอ้ นถงึ การกำ� หนดขอบเขตทต่ี ง้ั ระดบั ชน้ั ทางสงั คม โดยในระดบั ชนั้ แหง่ สงั คมแบบนี้อุดมคติแห่งสงั คมดงั ท่ีกลา่ วมาถูกน�ำเสนอ แนวคดิ UTOPIA ของผมู้ อี ำ� นาจ โดยทวั่ ไปมกั จะเปน็ แนวคดิ เกย่ี วกบั ระเบยี บสงั คม สว่ น แนวคดิ UTOPIA ของประชาชนมกั จะสมั พนั ธก์ บั ดนิ แดนแหง่ ความอดุ มสมบรู ณ์ และเพลดิ เพลนิ จำ� เริญใจ (Land of Plenty and Pleasure) แนวคดิ UTOPIA ในศตวรรษที่ ๒๐ ถกู สรา้ งขน้ึ มาจากความคดิ เรอ่ื งความจำ� เรญิ กา้ วหนา้ โดยศตวรรษที่ ๑๙ รวมแนวคดิ ความจำ� เรญิ กา้ วหนา้ เปน็ แนวคดิ UTOPIA พรอ้ มกบั วทิ ยาศาสตร์ รปู ลกั ษณะสำ� คญั ทสี่ ดุ แหง่ UTOPIA ในศตวรรษาท่ี ๒๐ กถ็ อื ความคดิ แบบสงั คมนยิ ม (Socialism) แตค่ วามคิดแบบเสรีนิยม (Liberalism) กม็ มี ิติแหง่ UTOPIA ด้วย แม้แนวคดิ ของ Karl Marx กับ Hegel จะตอ่ ตา้ นเสรีนยิ ม แตโ่ ดยแท้จรงิ แลว้ ความคดิ ของ Karl Marx กบั Hegel มคี วาม เปน็ UTOPIA อยา่ งลกึ ซง้ึ 1เปน็ ทยี่ อมรบั วา่ ความคดิ UTOPIA มรี ากฐานจากอดุ มคตเิ กย่ี วกบั เมอื ง บนสวรรคข์ องศาสนาคริสต์ด้วย๓๐ ความคิด UTOPIA ได้ถกู แปรความหมายวา่ สามารถเปน็ ไป ไดใ้ นสงั คมมนษุ ย์ และมนษุ ย์สามารถเข้าถงึ อุดมคตินีไ้ ด้ กลา่ วคือความเปน็ UTOPIA กค็ อื การท่ี สังคมสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตตามปกติได้ของมนุษย์ภายในสังคมได้ ความเปน็ UTOPIA จะปรากกอยใู่ นสงั คมทม่ี นษุ ยม์ อี สิ ระทจ่ี ะสถาปนาชมุ ชนทตี่ นชอบหรอื เลอื ก อยู่ในชมุ ชนท่ตี นชอบโดยไม่ถกู ขัดขวางจากอำ� นาจพเิ ศษใดๆ ความเปน็ ประชาธิปไตยท่เี หมาะ สมแบบ UTOPIA จงึ น่าจะหมายถงึ การที่ประชาชนทกุ คนมสี ิทธเิ ทา่ เทียมกนั และใชส้ ิทธิในการ ๒๙ Karl Mannheim ๑๙๒๙ (๑๙๖๐) Utopia and Ideology : An Introduction to the Sociology of knowledge London : Rout ledge ๓๐ B. Ollman, ๑๙๙๗ Marx’s vision of Communism a Reconstruction, Critique ๘. Pp ๔-๔๑
สรา้ งสรรคว์ ถิ ีแหง่ สวรรค์ (Way of Heaven) ส่งผลใหป้ ระชาชนมวี ชิ ีวิตปลอดภัย มัน่ คง และ สังคมสงบสขุ UTOPIA กลา่ วเชงิ สงั คมและการเมอื ง ชมุ ชนสงฆ์ คอื รปู แบบสงั คมในอดุ มคติ ความเปน็ UTOPIA สามารถจะพบไดใ้ นสังคมอริยสงฆ์ อรยิ สงฆ์น้นั คอื หมู่ของอารยชน หรือชนผ้ปู ระเสริฐ ได้แก่ ผู้ ดำ� รงอยใู่ นหลกั แหง่ ความดงี าม มกี ารประพฤตสิ ะอาด หมดจด เรยี บรอ้ ย๓๑ ผทู้ ดี่ ำ� เนนิ ตามมรรคา ปฏปิ ทาทเ่ี รยี กวา่ มชั ฌมิ าปฏปิ ทา หรอื ทางสายกลางอนั ประเสรฐิ ยอ่ มไดช้ อ่ื วา่ เปน็ อารยชนหรอื คนทีม่ ีอารยธรรม ดงั นน้ั สังคมอารยชนจึงเปน็ สงั คมของผมู้ ศี ีลธรรมอันบรสิ ุทธิ์ ไมม่ ีพฤตกิ รรม ในการเบยี ดเบยี นตนและเบยี ดเบยี นผอู้ นื่ ใชช้ วี ติ รว่ มกนั บคุ คลอนื่ อยา่ งเปน็ ปกติ มคี วามเออื้ เฟอ้ื เผื่อแผ่ด้านประโยชน์ต่างๆ สังคมอริยะ เป็นสังคมที่บุคคลประพฤติปฏิบัติตามค�ำสอนและค�ำ แนะน�ำของอารยบุคคล ศีลธรรมไม่ใช่ค�ำบงการของผู้ผูกขาดศาสนาซึ่งอาจจะล่อลวงให้ปฏิบัติ ตามค�ำสอนด้วยหวังผลประโยชน์ตอบแทนหรืออาจจะขู่บังคับให้ปฏิบัติตามหลักค�ำสอนของผู้ ผูกขาดศาสนา ดังเชน่ ศลี ธรรม แบบบูชายญั ของบางศาสนา สังคมอริยะ ในความหมายทางพุทธปรัชญา หมายถงึ สังคมท่ีผู้คนมคี วามเปน็ อสิ ระเปน็ ของตนเอง ไมเ่ ขา้ ไปยุ่งเก่ยี วกับผลประโยชน์ของกันและกนั และไม่ว่นุ กบั สถาบันต่างๆ ทสี่ ังคม ก�ำหนดไว้ สังคมอริยะ ในที่น้ีคือ สังคมนักบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์รวมตัวกันอยู่เป็นชุมชนอิสระ 70 จากสังคมส่วนใหญ่ มีระบบความเป็นอยู่ของตนเอง อาศัยจิตใจอิสระเป็นพ้ืนฐาน สงเคราะห์ เกอ้ื กลู แกส่ งั คมคฤหสั ถด์ ว้ ยการดำ� รงสบื ทอดหลกั ศลี ธรรมอนั ดงี าม เผยแพรห่ ลกั อารยะธรรมแก่ ผู้คนท่ีปรารถนาจะได้รับการพัฒนาทางจิตวิญญาณให้สูงข้ึน ระบบชีวิตของสมาชิกชุมชนสงฆ์ เป็นระบบชีวิตอิสระ ไม่รับเอาผลประโยชน์ตอบแทนการท�ำงานของตน ด�ำรงชีวิตอยู่ด้วยการ บิณฑบาตรบั ทกั ขิเณยยทานจากคนสว่ นใหญใ่ นสังคม ๓๑ ดรู ายละเอยี ดความเปน็ อริยะ ใน ชา. อ. ๓/๕๕: ๔/๑๒.เปน็ ต้น ซึ่งแบ่งอรยิ ะเป็น ๔ ประเภทคือ ๑) อาจารอรยิ ะ ผ้ดู ำ� รงตนอยใู่ นการปฏบิ ตั ติ ามหลกั ศลี ธรรมอนั ดีงาม ๒) ทัสสนอริยะ ผทู้ ่ีมรี ูปร่างลกั ษณะอาการเหน็ แลว้ น่าเลอ่ื มใส ๓) ลงิ คอริยะ ผ้ทู ่ีนุง่ หม่ ครองเพศเปน็ สมณะอันประเสรฐิ ๔) ปฏิเวชาอรยิ ะ ผ้เู ป็นอารยะโดยการตรัสรู้ ได้แก่ พระพุทธเจา้ พระปัจเจกพทุ ธเจ้า พระพทุ ธสาวก
บทที่ ๔ ปรชั ญาวา่ ดว้ ยปัญหาสงั คมตามแนวแหง่ พทุ ธธรรม ปญั หาสังคมคอื อะไร ปญั หาสงั คมคอื ปรากฏการณอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ทเี่ กดิ ขน้ึ และดำ� รงอยใู่ นสงั คมเปน็ ระยะ 71 เวลาหนงึ่ สง่ ผลใหค้ นหมมู่ ากเกดิ ความเดอื ดรอ้ น ทนอยอู่ ยา่ งลำ� บากทง้ั ทางกายและทางจติ ใจ และ คนหมมู่ ากเหลา่ นนั้ พยายามดนิ้ รน หลบหนแี ละหาทางแกไ้ ขปรากฏการณด์ งั กลา่ วนนั้ ใหห้ มดหรอื ลดนอ้ ยลงจนทำ� ใหก้ ารดำ� รงชวี ติ กลบั เขา้ สภู่ าวะปกตขิ องสงั คมมนษุ ย์ จากนยิ ามดงั กลา่ ว ปญั หา สงั คมมีลักษณะดังน้ี ๑. ปรากฏการณท์ างสังคมท่ีท�ำให้คนส่วนใหญ่มีความทุกข์ความเดอื ดร้อน ๒. ปรากฏการณ์ทสี่ ร้างความไมพ่ ึงพอใจแก่คนสว่ นใหญ่ ๓. ด�ำรงอย่ใู นสงั คมเป็นระยะเวลาพอสมควรจนทำ� ให้คนหมมู่ ากรู้สึกว่ายากท่คี นคน เดยี ว หรอื กลุ่มเดยี วจะแก้ไขได้ ๔. คนหมมู่ ากท่ไี ด้รับผลกระทบพยายามรวมกลมุ่ ท�ำการแก้ไขตามล�ำดับขน้ั ๕. ปรากฏการณท์ างสังคมดงั กล่าวมลี กั ษณะเป็นสงั คมสัมพันธ์ ปญั หาสงั คม คอื สถานการณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ เปน็ อนั ตรายตอ่ ประชาชนสว่ นใหญใ่ นสงั คม คนสว่ น ใหญม่ คี วามรสู้ ึกรว่ มกนั (Shared feeling) ถึงอนั ตรายดังกล่าว สถานการณ์ทเ่ี ปน็ อันตรายน้นั (Harmful situation) อาจมสี าเหตจุ ากการทค่ี นไมเ่ คารพและปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑแ์ ละประเพณี พิธีกรรมอันดีงามที่เป็นกรอบควบคุมพฤติกรรมของคน และอาจจะเกิดจากสภาวะขาดแคลน เครอื่ งอปุ โภคบรโิ ภคทจี่ ำ� เปน็ ตอ่ การดำ� รงชวี ติ ทำ� ใหเ้ กดิ ความตน่ื ตระหนกตกใจในสงั คม ซงึ่ ผลกั ดนั ใหผ้ คู้ นตา่ งแยง่ ชงิ กกั ตนุ เครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภค สภาวการณเ์ ชน่ นสี้ รา้ งความขาดแคลนและกลไก รฐั อ่อนแอไม่สามารถควบคมุ สภาวะไรบ้ รรทัดฐาน (Anomie) ตา่ งๆ ได้ ภาวะความรสู้ กึ รว่ มกนั ถงึ อนั ตราย แสดงถงึ ความกลวั ของมนษุ ย์ มนษุ ยแ์ สดงพฤตกิ รรม
กกั ตนุ เพราะความกลวั ในความขดั สน อตั คดั ขาดแคลนสงิ่ ทม่ี นษุ ยค์ ดิ วา่ เปน็ สง่ิ จำ� เปน็ อยา่ งยงิ่ ตอ่ ความอยรู่ อดแหง่ ชวี ิตตน และชีวิตคนท่ีตนตอ้ งปกปอ้ งคุม้ ครองดูแลและรับผิดชอบ ภาวะความ รู้สึกรว่ มกนั นี้ เกดิ ขึ้นจากประสบการณแ์ ละจากการถ่ายทอดหรือบอกเล่าสบื ตอ่ ๆ กันมาจนเกิด ความรสู้ กึ รว่ มกนั วา่ อนั ตรายทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั บรรพบรุ ษุ กค็ อื อนั ตรายทย่ี งั คงคกุ คามคนในปจั จบุ นั อยู่ สภาพที่เป็นอันตรายต่อสวัสดิการทางสังคมจะปรากฏออกมาในรูปแบบ ผลประโยชน์ ทางเศรษฐกิจ ผลประโยชนท์ างการเมืองค่านยิ มทางศีลธรรม ปรากฏการณเ์ กีย่ วกับสิ่งแวดลอ้ ม และปรากฏการณอ์ น่ื ๆ ถูกท�ำลายและถูกทำ� ให้เสียหาย โดยปกตสิ ภาพทเ่ี ปน็ อนั ตรายจะตอ้ งเปน็ สภาพการณท์ เี่ ปน็ จรงิ (Factual Situation)ซง่ึ สามารถสังเกตเห็นมิติระหว่างประเทศและมิติทางประวัติศาสตร์ได้อย่างเป็นระบบ ข้อเท็จจริง เปน็ สง่ิ สำ� คญั ขอ้ เทจ็ จรงิ ยอ่ มใหพ้ นื้ ฐานทเ่ี ปน็ จรงิ สำ� หรบั การกระทำ� ยงิ่ กวา่ นน้ั ความไมร่ สู้ ามารถ ก่อให้เกดิ ความสูญเสีย เพราะสิง่ ทีป่ ระชาชนไม่รู้สามารถเปน็ อันตรายต่อประชากรได้ (Merton ๑๙๖๑) อย่างไรก็ตามเพียงการแสดงถึงภาวะท่ีเป็นอันตรายแห่งปรากฏการณ์ในตัวมันเอง ยัง ไม่เพียงพอท่ีจะก�ำหนดชี้ได้ว่าเป็นปัญหาสังคมสภาพการณ์ท่ีเก่ียวโยงกับอันตรายเพียงเล็กน้อย เช่นความตายจากการใช้ยา (อาจจะมจี ำ� นวนไม่มากนักในแตล่ ะปี เมอ่ื เปรียบเทยี บกับความตาย จากสาเหตอุ น่ื ๆ) มกั จะนิยามวา่ เปน็ ปัญหาสงั คม แตส่ ภาพการณ์ที่เกยี่ วโยงกับอนั ตรายทีร่ นุ แรง 72 กว่า เช่น ความตายจากอบุ ัติเหตุรถยนต์ (ซึ่งมีเป็นจำ� นวนสงู มากในแตล่ ะปี) อาจจะไม่ถูกนิยาม วา่ เปน็ ปัญหาสังคม กระบวนทัศนเ์ ชิงพุทธเกย่ี วกับปัญหาสังคม กระบวนทศั น์ (paradigm) หมายถงึ แบบแผน (pat torn) หรอื แบบตวั อยา่ ง (Template) ท่ีอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปรากฏเป็นกรณีเฉพาะให้มีการศึกษา เชิงลึกมกี ารตีความหรอื วิเคราะห์ออกมาใหเ้ ห็นอยา่ งเป็นรูปธรรมชดั เจนตามล�ำดับ ปญั หาสงั คมเปน็ ตวั อย่าง ปรากฏการณท์ เี่ กิดขน้ึ ในสังคม แตป่ รากฏการณท์ ีเ่ ป็นปัญหา สังคมตามพุทธกระบวนทัศน์จะต้องเกิดเป็นประจ�ำ เป็นลูกโซ่ที่สัมพันธ์กันมาอย่างต่อเน่ืองกับ ปจั จยั ทเี่ กดิ ขน้ึ มากอ่ น (antecedent) และยากทจี่ ะตดั ขาดออกจากวงจรทเ่ี ปน็ สายโซค่ ลอ้ งเปน็ พวงตดิ กนั มา มตี วั อยา่ งปญั หาสงั คมมากมายหากจะนำ� หลกั การอธบิ ายตามพทุ ธกระบวนทศั นม์ า ใชศ้ ึกษา ความรนุ แรง (violence) เป็นตวั อย่างของปญั หาหนึง่ ในสังคมมนษุ ย์ มนุษย์ที่เขม้ แขง็ มกั จะใช้ก�ำลงั รุนแรงเบยี ดเบียนมนษุ ยท์ ี่ออ่ นแอ วิเคราะห์จากศลี ขอ้ ทห่ี นึ่งแห่งเบญจศีล มนุษย์ ท�ำร้ายเบียดเบียนกันและกันอย่างรุนแรงเป็นประจ�ำ ปรากฏการณ์ความรุนแรงได้บังเกิดขึ้นมา ตง้ั แตก่ ่อนสมยั พทุ ธกาล และในสมยั พทุ ธกาลกม็ ีความรนุ แรงปรากฏอยู่
คงไมป่ ฏเิ สธวา่ ความรนุ แรงยงั คงมอี ยจู่ นถงึ ปจั จบุ นั และมลี กั ษณะความเกย่ี วโยงกนั เปน็ เครอื ขา่ ยสลบั ซับซ้อนมากข้นึ ตามล�ำดับ พระพทุ ธศาสนามหี ลกั คำ� สอนไมใ่ หม้ นษุ ยก์ อ่ ความรนุ แรงตอ่ กนั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ความ รนุ แรงขนึ้ อกุ ฤษฏ์ คอื การฆา่ ชวี ติ มนษุ ยค์ นอนื่ เปน็ สงิ่ ทพ่ี ระพทุ ธศาสนายอมรบั ไมไ่ ด้ การลดความ รนุ แรงตอ้ งเรมิ่ ตน้ ปลกู ฝงั ความรกั ความเมตตาใหเ้ กดิ มขี น้ึ ในจติ ใจของมนษุ ยก์ อ่ น ดงั นนั้ กระบวนการ ลดความรนุ แรงจงึ ตอ้ งดำ� เนนิ การควบคกู่ นั ไประหวา่ งการขม่ ใจไมค่ ดิ โกรธไมอ่ าฆาตพยาบาทไมใ่ ห้ ทำ� รา้ ยชวี ติ คนอนื่ กนั การแสดงความรกั ความปรารถนาด ี ความเมตตา ความเปน็ มติ รไมตรี กบั บคุ คลอน่ื ดว้ ยสตปิ ญั ญา ความรุนแรงต่อชีวิตมนุษย์คนอื่นเป็นการล่วงละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์หรือการขาด มนษุ ยธรรมน่ันเอง การศึกษาปญั หาสังคมตามแนวอรยิ สัจ ๔ 73 อรยิ สจั ๔ เปน็ คำ� สอนทพี่ ระพทุ ธเจา้ แสดงถงึ วธิ กี ารเขา้ ใจปญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ ในชวี ติ อนั ไดแ้ ก่ ความทุกข์ เรียนรู้และเข้าใจสาเหตุของปัญหาการดับทุกข์คือความฝันและความต้องการอันยิ่ง ใหญ่ของมนุษย์ และการแสดงวิธีการทีจ่ ะเข้าถงึ ความสขุ ซึ่งตรงกันขา้ มกบั ความทกุ ขโ์ ดยจะตอ้ ง ปฏบิ ตั วิ ธิ กี ารแกไ้ ขรากเหงา้ หรอื สาเหตปุ จั จยั ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ ปญั หาทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงสงั่ สอนแนะนำ� ใหป้ ฏบิ ัตติ าม การศึกษาปัญหาสงั คมตามแนวอริยสัจ ๔ มีขนั้ ตอนเป็น ดังนี้ ๑. ข้นั ปริญญา (กำ� หนดรูท้ ุกขห์ รือปัญหา) = ทุกข์ ๒. ขนั้ ปหาน (คน้ หาสาเหตุแห่งปัญหาใหพ้ บแลว้ ทำ� ลายหรือก�ำจัดตัวสาเหต)ุ =สมุทัย ๓. ขั้นสัจฉิกริ ิยา (การทำ� ความจรงิ ท่พี ึ่งปรากฏมาใหป้ รากฏโดยการเพง่ =นิโรธหรือ ความดบั ทกุ ข์ ซ่งึ เปน็ ขัน้ การตง้ั ขอ้ สมมติฐานอนั แสดงผลของการปฏบิ ัตติ ามวิธีการท่ดี งี าม) ๔. ขนั้ ภาวนา (การปฏบิ ัติเพือ่ เข้าถึงสังคมความดบั ทุกข,์ = มัคคะ) กลุม่ ปัญหาสงั คมตามทัศนะพทุ ธปรชั ญา ตามทัศนะพุทธปรชั ญาปัญหาสังคมเปน็ ปรากฏการณ์ (Collective Phenomena) คอื อาศัยเหตุปัจจัยหลายอย่างหมุนกันและกันจึงเกิดปรากฏการณ์ทั้งที่พึงปรารถนา (อิฏฐา-รมย์) และไมพ่ ึงปรารถนา (อนฏิ ฐารมย)์ ทั้งในระดบั ปัจเจกบคุ คล และในระดับหมคู่ ณะ ปรากฏการณ์รวมที่ไมพ่ ึงปรารถนาสามารถวิเคราะห์เป็นกลุม่ ปญั หาดังต่อไปนี้ ๑. ปญั หาความรุนแรงต่อชวี ิต ๒. ปญั หาการลว่ งละเมิดในสิทธิเกี่ยวกับทรัพยส์ นิ ของผู้อ่นื
๓. ปัญหาการลมุ่ หลงในโอฆะ คอื กระแสความนิยมทางโลก (โอฆะ ๔) ๔. ปญั หาความรุนแรงทางวาจา ๕. ปญั หาการแพร่ระบาดของส่งิ เสพตดิ กล่มุ ปญั หาดงั กล่าวปรากฏอยูใ่ นหลกั พุทธจรยิ ธรรมว่าด้วยเบญจศลี เบญจธรรม เบญจศลี คือศลี ๕ เปน็ หลกั ค�ำสอนทแ่ี สดงถึงการเกดิ ขนึ้ แหง่ พฤติกรรมเบ่ยี งเบนของ สังคมมนุษย์อยา่ งรนุ แรง การเกิดขน้ึ แหง่ พฤตกิ รรมเบย่ี งเบน (Deviant Behavior) สร้างความ เดือดร้อนและความทุกข์แก่สังคมมนุษย์เป็นอย่างมาก ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติหลัก เบญจศีลเป็นหลักการแห่งมนุษยธรรมทางสังคม ซ่ึงท�ำให้สังคมอยู่เป็นปกติสุข ดังจะวิเคราะห์ ต่อไป ๑. ปัญหาความรุนแรงต่อชีวติ ความรุนแรงต่อชีวิต คือการกระท�ำใดๆ ก็ตามส่งผลให้เกิดการประทุษร้ายต่อชีวิต ให้ ชวี ิตมนษุ ยแ์ ละชวี ติ สตั ว์โลกอื่น ๆ ทุพลภาพ พิการ จนถงึ สูญเสียชีวิต ขอ้ น้ี กค็ อื การลว่ งละเมดิ ในสทิ ธขิ องสตั วโ์ ลกอยา่ งรนุ แรง การกระทำ� ทมี่ ลี กั ษณะรนุ แรง ตอ่ ชวี ติ เปน็ ปญั หาสงั คมอยา่ งหนง่ึ ผทู้ ตี่ กเปน็ เหยอ่ื ของความรนุ แรงทางกายภาพ คอื ผทู้ อี่ อ่ นแอ 74 กว่า และรวมถึงผู้ทมี่ ีสติปญั ญาน้อยกวา่ ดว้ ย พระพุทธศาสนามีหลักค�ำสอนห้ามมิให้ท�ำลายชีวิตของสัตว์โลกก็เพราะต้องการมิให้ เกิดการล่วงละเมิดและประทุษร้ายต่อชีวิตของผู้ที่อ่อนแอ และผู้ท่ีตนเองไม่ชอบอย่างรุนแรง พระพุทธเจ้าทรงมองเห็นปัญหาสังคมข้อนีต้ ง้ั แตส่ มัยพระองค์ทรงดำ� รงพระชนมช์ พี อยู่ ตวั อยา่ ง ความรนุ แรงตอ่ ชวี ิตขน้ั อุกฤตกค็ ือ การท�ำสงครามสรู้ บกนั ระหวา่ งเผา่ พันธ์รุ ะหวา่ งชาตทิ ีข่ ดั แย้ง กนั รวมกระทงั่ คนในชาตเิ ดียวกันท่ที �ำลายล้างกันด้วยอำ� นาจตัณหาคือ โลภะ โทสะ และโมหะ ซ่ึงมีใหเ้ ห็นเป็นประจ�ำในสังคมโลกปจั จุบนั กลุ่มปัญหาการกระท�ำรุนแรงต่อชีวิต ในสังคมปัจจุบันจะพบได้ท้ังในระดับครอบครัว และระดับสังคม โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กมักจะตกเป็นเหยื่อความรุนแรงต่อชีวิตและร่างกาย เชน่ สามีตบตภี รรยา ผู้ใหญ่ใช้แรงงานเด็กเกนิ ก�ำลงั ของเด็ก สตรีถกู ล่วงละเมดิ ทางเพศ เป็นต้น ในสมยั พุทธกาลปญั หาก็เฉกเช่นเดียวกนั ข้อห้ามมิให้ท�ำการพรากชีวิตของสัตว์โลกได้รับการบัญญัติข้ึนมาในสมัยพุทธกาลก็เพื่อ ห้ามปรามและป้องกันปัญหาสังคมคือการกระท�ำการรุนแรงต่อชีวิตและร่างกาย ซึ่งเป็นปัญหา เรอ้ื รงั ของสงั คมโลกทง้ั อดตี จนถงึ ปจั จบุ นั และตอ่ ไปในอนาคต ปญั หาขอ้ นย้ี งั คงมอี ย ู่ และกลาย เปน็ ปรากฏการณท์ โี่ ลกหาทางแกไ้ ขใหห้ มดสนิ้ ไปไมไ่ ด้ ภาวะความรนุ แรงตอ่ ชวี ติ และรา่ งกายของ
มนษุ ยแ์ ละสตั วโ์ ลกอนื่ ๆ ไดเ้ ปลย่ี นรปู แบบไปจากเดมิ โดยมลี กั ษณะสลบั ซบั ซอ้ นตามสภาพสงั คม 75 ท่ีมคี วามซบั ซอ้ นเชงิ สมั พนั ธภาพมากยง่ิ ขึ้น ปัญหาการเบียดเบียนชีวิตสัตว์โลกอื่นๆ ก็มีความรุนแรงเพิ่มข้ึนเช่นเดียวกัน สัตว์โลก หลากหลายพันธุ์และหลากหลายชีวิตได้ถูกประทุษร้าย ท�ำลายชีวิตจนสูญสิ้นพันธุ์ไปจากโลกน้ี ระบบนเิ วศของโลกถกู ทำ� ลายจนเสยี ความสมดลุ กเ็ พราะมนษุ ยไ์ ดก้ อ่ ความรนุ แรงตอ่ ชวี ติ สตั วโ์ ลก และทำ� ลายแหลง่ อาหารของสตั วโ์ ลกดว้ ย ซง่ึ ทำ� ใหส้ ตั วโ์ ลกปราศจากแหลง่ อาหาร ทอ่ี ยอู่ าศยั และ สูญสิน้ พนั ธไ์ุ ปในทีส่ ดุ กลา่ วโดยทางพทุ ธจรยิ ธรรมมนษุ ยก์ อ่ ความรนุ แรงตอ่ ชวี ติ สตั วโ์ ลก เพราะกเิ ลสตณั หาที่ ปรงุ แตง่ ใหจ้ ติ ใจของมนษุ ยผ์ ลกั ดนั ใหม้ นษุ ยม์ กี ารแสดงออกในเชงิ รนุ แรง กค็ อื ความตอ้ งการอนั ไม่มีทส่ี ิ้นสุด (โลภะ) ความอาฆาตมาตรรา้ ยเพราะไมไ่ ดร้ บั การสนองตอบตามที่ตอ้ งการ (โทสะ) และเพราะความรูเ้ ทา่ ไม่ถึงการณ์ เนื่องจากขาดการฝึกอบรมหรือขาดการศึกษาขดั เกลา (โมหะ) กเิ ลสตัณหาทัง้ ๓ ประการน้ี มีความรุนแรงไม่เทา่ กัน ขนึ้ อยูก่ บั องคป์ ระกอบตา่ ง ๆ อกี หลาย อยา่ ง อย่างไรก็ตามมนษุ ย์ทุกคนทม่ี คี วามเป็นมนุษย์ตามปกติ ย่อมมีความรนุ แรงตามอำ� นาจ ของกเิ ลสตัณหาแต่ละอยา่ ง มนษุ ยท์ มี่ ีความโลภ มีความอยากได้ อยากมแี ละอยากเป็นไมม่ ีท่สี ุดรนุ แรง ก็จะดนิ้ รน แสวงหาทรพั ย์ อำ� นาจ ตำ� แหนง่ ชอื่ เสยี งอยตู่ ลอดเวลา มนษุ ยท์ ม่ี กี เิ ลสตณั หาคอื ความโลภครอบงำ� จะทำ� ความรนุ แรง เบยี ดเบียนตวั เอง และเบยี ดเบียนคนอ่นื เป็นประจ�ำ ความรู้สึกเป็นทุกขจ์ ะ บังเกิดขึ้นในใจของตนเองอยเู่ สมอ มนั เปน็ ความรู้สึกบีบคน้ั จากอำ� นาจความโลภ ความรนุ แรงที่ อยูบ่ นพนื้ ฐานความโลภ สามารถท�ำร้ายตนเองได้ และส่งผลกระทบถึงบคุ คลอ่ืนอยา่ งหลีกเล่ียง ไม่ได้ ความโลภทีร่ ุนแรงที่สดุ ก็คอื ความต้องการครอบครองทรพั ย์สิน และครอบครองสง่ิ ของ ท่ีสงั คมยกย่องวา่ เปน็ สงิ่ มีคา่ ท�ำใหผ้ ู้ครอบครองเปน็ คนรวยมเี กียรติ มศี ักดิศ์ รี และมีสถานภาพ ทางสงั คมเปน็ ชนชนั้ สงู ความโลภผลกั ดนั ใหม้ นษุ ยก์ อ่ อาชญากรรมประทษุ รา้ ยตอ่ บคุ คลอน่ื ทข่ี ดั ขวางการครอบครอง ส่ิงท่ีมีค่าในสังคม ความไม่พอใจและความเกลียดชัง เป็นต้นเหตุของการ แสดงออกในเชิงรุนแรงต่อชีวิต ผู้ที่เกลียดชังบุคคลอื่น หรือไม่ชอบคนอ่ืน หากควบคุมอารมณ์ ตนเองไม่ไดย้ ่อมจะประทษุ รา้ ยตอ่ บุคคลท่ตี นเกลยี ดชงั หรอื ไม่ชอบดว้ ยกาย ด้วยวาจา หรอื ดว้ ย การใช้วานหรือว่าจ้างให้ผู้อ่ืนท�ำร้ายคนท่ีตนเกลียดชัง โดยไม่รู้สึกว่าเป็นความผิดทางศีลธรรม ตัวอย่างก่อความรุนแรงทางสังคมเช่นการก่อม็อบ (MOB) สร้างความเดือดร้อนแก่สาธารณชน โดยกลมุ่ การเมอื งฝา่ ยตรงกนั ขา้ ม กบั ฝา่ ยครองอำ� นาจเปน็ รฐั บาลในสงั คมไทยทผี่ า่ นมากล็ ว้ นอยู่ บนพนื้ ฐานของความเกลยี ดชงั และความไมพ่ อใจทก่ี ลมุ่ ตนไมไ่ ดม้ โี อกาสเปน็ รฐั บาลในการเลอื ก
ต้งั ตามระบบประชาธปิ ไตย ความรุนแรงทางการเมืองยิ่งมากเท่าไรกย็ งิ่ เป็นการประทษุ รา้ ยต่อ ชีวิตของผู้คนในสังคมมากเท่าน้ัน กรณีความรุนแรงท่ีสุดต่อชีวิตของบุคคลอ่ืนก็คือการใช้อาวุธ เป็นเครื่องมอื ท�ำร้ายชวี ิตของบุคคลท่ตี นเกลียดชัง กลายเปน็ กอ่ การจลาจล (RIOT) สร้างความ เสียหายตอ่ ชวี ติ และทรัพยส์ นิ ของผู้อ่นื พระพทุ ธศาสนาเหน็ ว่า ความรุนแรงต่าง ๆ เกดิ มาจากจติ ใจทีม่ อี กศุ ลเจตนาเปน็ เคร่ือง ปรงุ แตง่ ผลกั ดนั ใหม้ นษุ ยแ์ สดงวจที จุ รติ และกายทจุ รติ ซงึ่ กห็ มายถงึ พฤตกิ รรมการแสดงออกใน เชิงกา้ วร้าวรุนแรงท�ำให้บคุ คลอ่นื และสตั ว์โลกอ่นื ๆ มคี วามทุกขค์ วามเดือดรอ้ น และไม่มคี วาม ปลอดภยั สงั คมปจั จบุ นั ไมส่ งบสขุ กเ็ พราะพฤตกิ รรมความรนุ แรง สงั คมโลกจงึ เรยี กรอ้ งหาสนั ตภิ าพ ซึ่งหมายถึงการแสดงออกแบบรว่ มมอื สร้างสรรค์ และเสยี สละต่อเพ่ือนมนษุ ย์ด้วยกัน สนั ติภาพ จะเกิดข้ึนไม่ได้ในสังคมโลก ตราบใดที่มนุษย์ในโลกไม่ปรับเปล่ียนพฤติกรรมทางความคิดคือไม่ ปรับเปลี่ยนความโกรธ ความไม่พอใจ และไม่ปรับเปล่ียนความอาฆาตพยาบาท เป็นแบบสันติ คือความรกั การให้อภยั และการไมอ่ าฆาตพยาบาท เพราะฉะนนั้ สนั ตภิ าพจงึ เปน็ เปา้ หมายของสงั คมโลก พระพทุ ธศาสนาสง่ เสรมิ ใหม้ นษุ ย์ สร้างสันติภาพในจิตใจเป็นเบ้ืองต้น จิตใจที่สงบย่อมท�ำให้ชีวิตมีความสุข เมื่อปัจเจกชนมีจิตใจ 76 สงบสังคมก็จะสงบสขุ ไปด้วย พระพทุ ธศาสนาจงึ มีพทุ ธภาษิตรองรบั สจั ธรรมขอ้ นว้ี า่ “ความสุข อืน่ ใดยงิ่ กวา่ ความสงบยอ่ มไม่ม”ี (นตฺถิ สนฺติปรํ สุข)ํ น้ีคอื หลักการอหิงสา จึงไดร้ ับการเน้นเป็น พเิ ศษในพระพุทธศาสนา ๒. การละเมิดสิทธใิ นทรัพย์สนิ ของบคุ คลอ่นื ทรัพย์สิน คือสิ่งของท้ังท่ีเป็นสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มี ชีวิต ทงั้ ที่เป็นรูปธรรมและเปน็ นามธรรม ซงึ่ บุคคลใดบคุ คลหนึง่ ครอบครัวเปน็ เจ้าของ ซงึ่ ท�ำให้ ผคู้ รอบครองมสี ทิ ธบิ รโิ ภค จำ� หนา่ ยแลกเปลยี่ นและแสวงหาผลประโยชนต์ อบแทนไดถ้ กู ตอ้ งตาม กฎหมายและถูกตอ้ งตามประเพณี วัฒนธรรม และศลี ธรรมของสงั คมและผูค้ รอบครองสามารถ เรียกร้องผลประโยชน์หรือค่าเสียหายอื่นใดก็ได้ จากบุคคลอ่ืนที่ล่วงละเมิดในทรัพย์สินของตน โดยปราศจากการยนิ ยอมของผู้ครอบครอง การลว่ งละเมดิ เกย่ี วกบั สทิ ธใิ นทรพั ยส์ นิ ของบคุ คลอน่ื กค็ อื การพยายามเขา้ ไปครอบครอง หรอื ไปใชส้ อย หรือไปแสวงหาผลประโยชนใ์ นทรัพย์สินของบุคคลอืน่ ซง่ึ บคุ คลทีเ่ ป็นเจ้าของไม่ ได้ยินยอมให้ไปครองครองหรือใช้ประโยชน์ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นลายลักษณ์ อักษรหรือเป็นลักษณะท่าที่อย่างใดก็ตามการละเมิดในสิทธิเก่ียวกับทรัพย์สินของบุคคลอื่นนี้ ปรากฏออกมาในคำ� พดู ตา่ ง ๆ เปน็ การลกั ขโมย การปลน้ การจี้ การหลอกลวง การโกหก หรอื การ
พดู จาหวา่ นลอ้ มใหเ้ ชอื่ ในลกั ษณะตอ้ งการยดึ ครองทรพั ยส์ นิ หรอื สง่ิ ของทมี่ คี า่ โดยผเู้ ปน็ เจา้ ของรู้ เทา่ ไม่ถึงการณค์ ือตกเป็นเหยอื่ น่นั เอง พฤติกรรมอันไม่พึงปรารถนาดังกล่าวของมนุษย์ก่อความทุกข์ความเดือดร้อนต่อสุจริต ชนต้ังแต่อดีตสมัยพุทธกาลจนถึงยุคสมัยปัจจุบันและยังคงมีต่อไปในอนาคต พระพุทธเจ้าทรง พจิ ารณาเหน็ วา่ ละเมดิ ในทรพั ยส์ นิ ของบคุ คลอน่ื กค็ อื อทนิ นาทาน อนั ไดแ้ กก่ ารยดึ คอื เอาสงิ่ ของ ที่บุคคลอ่ืนไมไ่ ดใ้ หต้ ามหลกั การวทิ ยาการเศรษฐศาสตรแ์ ละสงั คมวทิ ยา ทรพั ยส์ ินมี ๓ ประเภท คอื ๑) ทรัพย์สินสว่ นบุคคล (INDIVIDUAL PROPERTY) ๒) ทรพั ยส์ นิ ของนติ บิ ุคคล คอื องคก์ รทางธุรกิจ (CORPORATE PROPERTY) ๓) ทรพั ยส์ นิ ของสาธารณชน คอื ทรพั ยส์ นิ ทคี่ นในสงั คมเปน็ เจา้ ของรว่ มกนั โดยมหี นว่ ย งานภาครฐั หรอื หนว่ ยงานภาคชมุ ชนดแู ลทรพั ยส์ นิ แบบนเ้ี รยี กวา่ PUBLIC PROPERTY เชน่ ถนน แม่น้�ำ ป่าไม้ ทรพั ย์สนิ ของรฐั หรือทรัพย์สนิ ของหลวง เปน็ ตน้ ในปัจจุบันสังคมโลกเผชิญกับปัญหาสังคมอันยิ่งใหญ่ท่ีสุด ปัญหาหนึ่งคือปัญหาการ ใช้กำ� ลงั บกุ รุก และถอื ครองทรัพย์สนิ ของบุคคลอ่นื ในหลากหลายรูปแบบ ตัวอยา่ ง เชน่ การท�ำ สงครามแย่งชิงแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ซ่ึงมีอยู่อย่างจ�ำกัดในโลกปัจจุบัน ผู้ที่มีก�ำลังเข้มแข็ง 77 กว่ามักจะได้สิทธิครอบครองทรัพย์สินตามธรรมชาติมากกว่าผู้ที่มีก�ำลังอ่อนแอกว่า ผู้ที่มีอาวุธ ร้ายแรงกว่าก็สามารถแยง่ ชงิ สิทธิในการครอบครองทรพั ยส์ นิ สาธารณะจากผูไ้ ม่มีอาวุธ เชน่ การ ใชก้ ำ� ลงั อาวธุ คนและอาวธุ ยทุ โธปกรณท์ างทหารแยง่ ชงิ อำ� นาจ/สทิ ธใิ นการใชอ้ ำ� นาจอยา่ งถกู ตอ้ ง ตามกฎหมายจากรฐั บาลทหารพลเรอื น ในรปู ของรฐั ประหาร ดงั ทเี่ กดิ ขน้ึ ในประเทศกำ� ลงั พฒั นา หลายประเทศ การแยง่ ชงิ สทิ ธใิ นการใชอ้ ำ� นาจดงั กลา่ วถอื วา่ เปน็ การกระทำ� ความรนุ แรงตอ่ สทิ ธิ เองกลมุ่ บคุ คลทไี่ ดร้ บั ฉนั ทานมุ ตั จิ ากประชาชนใหม้ าบรหิ ารประเทศชาตใิ นฐานะเปน็ ตวั แทนของ พวกตน การกระทำ� ความรนุ แรงโดยการแยง่ ชงิ อำ� นาจและสทิ ธใิ นการใชอ้ ำ� นาจดงั กลา่ วกเ็ หมอื น กนั การตอ่ ความรุนแรงตอ่ ชีวิตของผู้คนอยา่ งหนึ่ง ขณะเดยี วกนั โลกปจั จบุ นั กำ� ลงั เผชญิ กบั การเสยี ดลุ ยภาพแหง่ ระบบนเิ วศ (ECOSYSTEM IMBALANCE) กล่าวคือพ้ืนท่ีป่าไม้ถูกท�ำลายแหล่งอาหารของสัตว์โลกก็ถูกท�ำลายไปด้วย โดย เฉพาะสัตว์บกที่อาศัยป่าเป็นแหล่งอาหารและเป็นท่ีอยู่อาศัย จ�ำนวนมากสูญพันธุ์ไปจากโลกก็ เพราะขาดแหลง่ อาหารและขาดทอ่ี ยอู่ าศยั ทป่ี ลอดภยั มนษุ ยเ์ ปน็ ผบู้ กุ รกุ และกอ่ ความรนุ แรงตอ่ ชีวิตสัตว์โลก มนุษย์ขาดความเคารพในสิทธิของสัตว์ร่วมโลก อ้างความชอบธรรมในการครอบ ครองแหลง่ ทอี่ ยอู่ าศยั และแหลง่ อาหารของสตั วโ์ ลก จงึ ใชก้ ำ� ลงั รนุ แรงปลน้ เอาสทิ ธขิ องสตั วโ์ ลก
อย่าขาดความเมตตาตอ่ สัตวโ์ ลก ผลก็คือธรรมชาตถิ กู ท�ำลายต้นไม้ถูกตดั พื้นทีป่ ่าถกู บกุ รุกเป็น ไร่นา ปลูกพืชผักผลไม้สำ� หรบั มนุษย์สง่ ผลให้ปา่ ไมร้ ่อยหรอโดยเฉพาะในประเทศไทยพน้ื ที่ปา่ ไม้ เหลอื ไมถ่ งึ รอ้ ยละ ๒๐ ของพน้ื ทที่ งั้ ประเทศการประทษุ รา้ ยตอ่ แหลง่ ทอ่ี ยอู่ าศยั ของสตั วโ์ ลกกถ็ อื ไดว้ ่าเปน็ การละเมดิ สิทธ์ิในทรพั ยส์ นิ ของสตั ว์โลกด้วยเชน่ กัน สงั คมปจั จุบนั ประสบปัญหาการฉ้อราษฎรบ์ งั หลวง (CORRUPTION) ในระบบราชการ มีการฟอ้ งรอ้ ง เรยี กค่าเสยี หายจากการประพฤติมชิ อบในระบบราชการ จากขา้ ราชการผูป้ ฏบิ ัติ หน้าท่ีและมีตัวอย่างผู้ที่ถูกตัดสินมีความผิดท้ังทางแพ่งและทางอาญาฐานร�่ำรวยผิดปกติและ แสดงแหลง่ ทมี่ าของทรพั ยส์ นิ แหง่ ตนไดไ้ มช่ ดั เจน พฤตกิ รรมความรำ่� รวยผดิ ปกตกิ ค็ อื พฤตกิ รรม อันเนอื่ งมาจากมจิ ฉาอาชวี ะนัน่ เอง ศลี ขอ้ ทส่ี องตามหลกั เบญจศลี หรอื ศลี หา้ ทพี่ ระพทุ ธศาสนาบญั ญตั ขิ นึ้ กค็ อื การหา้ มมใิ ห้ ลกั ขโมย ปล้นสะดม ฉกชงิ ว่ิงราวทรพั ยส์ นิ ทบ่ี คุ คลอ่นื ครอบครองหรือเปน็ เจ้าของโดยชอบธรรม รวมทงั้ ทรพั ย์สนิ ทกุ อย่างดังท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ มนุษย์เปน็ สัตว์โลกที่มีเหตผุ ล มนษุ ยแ์ ละกลุ่มมนษุ ยจ์ ำ� นวนมากทม่ี คี วามแขง็ แรงกว่า ท้ังโดยกายภาพ และโดยอาวุธยุทโธปกรณ์ ได้ใช้ความแข็งแรงของตนและกลุ่มของตนปล้นเอา 78 ทรพั ยส์ ินทไ่ี มใ่ ช่ของตน โดยไม่ร้สู ึกวา่ เป็นบาปและอา้ งเหตผุ ลต่าง ๆ ในการกระทำ� ของตนหรอื กลมุ่ ตน หากเจา้ ของทรพั ยส์ ินท่ถี กู ปล้นขัดขวางจะถูกประทษุ รา้ ยอาจจะถึงกบั เสยี ชวี ิต สงั คมมนษุ ยห์ ลายแหลง่ ทม่ี รี ะบอบการปกครองแบบประชาธปิ ไตยไดเ้ ผชญิ กบั การแยง่ ชงิ อำ� นาจทางการเมอื งแบบรนุ แรง อำ� นาจการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยทป่ี ระชาชนสว่ น ใหญ่มอบให้แก่กลุ่มพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเป็นรัฐบาล บริหารประเทศชาตินั้น ถอื วา่ เปน็ ฉนั ทานมุ ตั อิ นั ชอบธรรม พรรคการเมอื งทไ่ี ดร้ บั ฉนั ทานมุ ตั จิ ากประชาชน ยอ่ มมสี ทิ ธอิ นั ชอบธรรมในการครอบครองอำ� นาจ และจดั ตัง้ รฐั บาลบรหิ ารประเทศชาติ อ�ำนาจในการบริหาร ประเทศถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินของประชาชน แต่การปฏิวัติรัฐประหารปล้นอ�ำนาจการบริหาร จากผแู้ ทนของปวงชนอาจพจิ ารณาไดว้ า่ เปน็ การกระทำ� ความรนุ แรงตอ่ ทรพั ยส์ นิ ของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้จะอ้างเหตุผลใดๆ กต็ าม ย่อมฟังไม่ข้ึนในระบอบประชาธิปไตย แต่อาจจะฟังข้ึนในระบอบการเมืองการปกครองแบบเผด็จการ การเมืองแบบเผด็จการย่อมมี การแยง่ ชิงอ�ำนาจโดยการใช้พละก�ำลงั และอาวุธยทุ โธปกรณ์ ผูบ้ ริหารประเทศชาตไิ ม่ไดม้ าจาก การเลอื กตงั้ ของประชาชน จงึ มกี ารสรู้ บแยง่ ชงิ อำ� นาจเปน็ การภายในเฉพาะผมู้ อี ำ� นาจหรอื ชนชน้ั ผ้ปู กครองดว้ ยกันเอง การให้เหตผุ ลเชงิ เผด็จการกับการใหเ้ หตุผลเชงิ ประชาธปิ ไตย ย่อมขัดกนั ในเชิงปรัชญา การอ้างความชอบธรรมว่าเป็นการกระท�ำเพ่ือประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ของฝ่าย เผด็จการนิยม ในการก่อรัฐประหารยึดอำ� นาจการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย จงึ ไมต่ ่าง
อะไรกบั กลมุ่ มจิ ฉาชพี อา้ งเหตผุ ล ความชอบธรรมในการปลน้ สะดมทรพั ยส์ นิ อนั บรสิ ทุ ธแ์ิ ละชอบ 79 ธรรมของประชาชนผู้ประกอบสัมมาอาชีพ ดังนั้น การก่อรัฐประหารจึงเป็นมิจฉาอาชีวะอย่าง หนึง่ ในทางปรชั ญา จริยธรรม และในทางศลี ธรรมทางศาสนาทส่ี มั พันธ์กับข้อห้ามมิให้ลักขโมย ทรัพย์สินหรอื ปลน้ เอาทรพั ยส์ นิ ท่บี คุ คลอนื่ เขาไม่ให้ (อทนิ นาทาน) โลกขณะนปี้ ระสบกบั ปญั หาภยั ธรรมชาติ ปญั หาการสญู เสยี ความสมดลุ แหง่ ระบบนเิ วศ และปัญหาสง่ิ แวดล้อมตา่ ง ๆ อยา่ งวกิ ฤต ปญั หาดงั กล่าวเกดิ ขนึ้ จากการกระท�ำของมนุษย์เป็น ส่วนใหญ่ กลา่ วถอื มนษุ ยจ์ �ำนวนมากไดบ้ ุกรกุ เขา้ ไปแยง่ พื้นทีข่ องสตั วโ์ ลกอื่น ๆ เชน่ ปา่ ไม้ และ แมน่ �ำ้ สาธารณะ เป็นตน้ อันเป็นแหล่งอาหารและท่อี ย่อู าศยั ของสัตวป์ ่าและสัตว์น�้ำ การบกุ รุก แย่งทรัพยากรธรรมชาติจากป่าไม้และแม่น�้ำ ถือได้ว่าเป็นการปล้นทรัพย์สินของสัตว์โลกอื่น ๆ มนษุ ยน์ นั้ กลา่ วโดยทางสภาวะแหง่ ความเปน็ สตั วโ์ ลกยอ่ มไมม่ สี ทิ ธอิ า้ งความชอบธรรมครอบครอง ทรพั ยากรธรรมชาตติ า่ ง ๆ ในโลกนไ้ี วแ้ ต่เพยี งผเู้ ดียวหรือแตเ่ พียงกลุม่ ของตนกลมุ่ เดยี วสัตวโ์ ลก อืน่ ๆ ย่อมมสี ทิ ธิทจ่ี ะอย่อู าศยั และมชี ีวติ อยรู่ อดในท่ามกลางทรัพยากรตา่ ง ๆ บนโลกนด้ี ้วย ความคดิ เชงิ ปรชั ญามนษุ ยนยิ ม (HUMANISM) ไดก้ ลายเปน็ ทถ่ี กเถยี งกนั ในแงจ่ รยิ ธรรม เพอ่ื สงิ่ แวดลอ้ มวา่ จรงิ หรอื ไมท่ ส่ี รปุ วา่ มนษุ ยเ์ ทา่ นน้ั สำ� คญั เหนอื กวา่ สตั วโ์ ลก อนื่ ๆ มนษุ ยเ์ ทา่ นนั้ หรอื ทมี่ คี า่ เหนอื สตั วโ์ ลกอน่ื ๆ และสามารถแยง่ ชงิ แหลง่ อาหารจากสตั วโ์ ลกอน่ื ๆ ไดโ้ ดยไมผ่ ดิ กฎ ธรรมชาติ การวเิ คราะหใ์ นเชงิ ศลี ธรรมสตั วโ์ ลกอน่ื ๆยอ่ มมีสิทธิเท่าเทียมกับมนุษยใ์ นการทจี่ ะมี ชีวิตอยู่รอด และมนุษย์ควรเคารพในสทิ ธขิ องสัตว์โลกอนื่ ๆ ด้วย ทา่ ทตี อ่ สัตว์โลกอ่ืน ๆ ควรจะ แสดงออกมาในลกั ษณะไม่แตกตา่ งจากท่าทีท่ีแสดงต่อมนษุ ย์ดวั ยกันเอง ปญั หาความรนุ แรงตอ่ สทิ ธิของสตั วโ์ ลกจงึ ไดร้ บั การตำ� หนจิ ากพระพทุ ธศาสนา ดังเห็น ได้จากข้อห้ามมิให้มนุษย์ยึดถือเอาสิ่งของท้ังที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมท่ีคนอื่นเป็นเจ้าของ ครอบครองโดยชอบธรรม การฝืนข้อห้ามทางศีลธรรมดังกล่าวถือว่าเป็นการประพฤติทุจริตคือ การกระทำ� ความช่วั ซ่งึ ปัญหาดงั กล่าวนีไ้ ด้กลายเป็นปัญหาวิกฤตของโลกปัจจุบนั นี้ ๓. ปัญหาความล่มุ หลงในโอฆะ คอื กระแสความนิยมทางโลก (โอฆะ ๔) ค�ำวา่ โอฆะ หมายถงึ หว้ งนำ�้ ในท่ีนพ้ี ระพุทธศาสนาเนน้ ถงึ กิเลส อันเป็นดุจกระแสน�ำ้ หลาก ท่วมใจสตั ว๑์ สังคมโลก ถูกกระแสกิเลสรุนแรง ท่วมกันส่งผลให้สัตว์โลกดิ้น ไหล แหวกว่ายไปตาม กระแสทรี่ ุนแรง กลายเป็นความนยิ มอยา่ งบ้าคลง่ั กระแสที่ไหลทว่ มสงั คม จนกลายเปน็ คา่ นยิ ม ๑ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยุตฺโต), พจนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศัพท์ (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, พมิ พ์คร้งั ท่ี ๖, ๒๕๓๓), หน้า ๔๓๘.
ที่คนลุม่ หลงตามหลกั พุทธธรรมมี ๔ ประการ คอื ๑) ความลุ่มหลงในสิง่ อันเป็นที่รักใคร่ (กาม) ๒) การยดึ ตดิ ในการมตี ำ� แหน่งสถานภาพทางสงั คม (ภพ) ๓) ความลมุ่ หลงยดึ ติดในความคิด หรือทฤษฎแี บบใดแบบหนึ่ง หรอื ในความเชอื่ แบบ ใดอย่างไรเ้ หตุผล จนกลายเปน็ ความเกลียดชังตอ่ ผู้ทเี่ ห็นต่าง (ทิฏฐิ) ๔) ความงมงายในประเพณี การปฏบิ ตั ทิ ห่ี าเหตผุ ลไมไ่ ด้ โดยเชอ่ื วา่ สง่ิ ทป่ี ฏบิ ตั สิ บื ตอ่ กนั มาทุกอย่างเป็นส่งิ ท่ีดี และยดึ ตดิ กบั การปฏบิ ัตแิ บบนัน้ โดยไมม่ ีความรอู้ ยา่ งแทจ้ รงิ (อวชิ ชา)๒ ปญั หาความลุม่ หลงในกระแสกิเลสทง้ั ๔ อย่างมีมาตัง้ แต่โบราณ ยงั คงมอี ยู่ในปจั จบุ ัน และจะยงั คงมีอยู่ตอ่ ไปในอนาคต ตราบเท่าท่ีมนุษยโ์ ลกยังคงมีกิเลส เวยี นว่ายตายเกดิ ในวัฏฏะ สงสาร วิเคราะห์ในเชิงลึก เราจะพบได้ว่ารากเหง้าของปัญหาสังคมก็คือความนิยมในสิ่งท่ีไม่มี สาระว่ามีสาระ ในสง่ิ ท่เี ป็นอนิจจัง วา่ เปน็ นิจจัง ในสิ่งสมมติว่า เป็น ปรมัตถสจั จะ เปน็ ต้น ดงั จะขอวเิ คราะห์ โอฆะ แต่ละข้อโดยละเอียดตอ่ ไป ๑. ความลมุ่ หลงใน กามะ (กามโอฆะ) 80 กามะ คอื ความใคร่ ความปรารถนา ในทน่ี หี้ มายถงึ สงิ่ ทน่ี า่ ใคร่ นา่ ปรารถนา๓ ตามหลกั พระพุทธศาสนา กามะ มี ๒ อยา่ ง คือ ๑) กเิ ลสกามะ ๒) วัตถุกามะ กิเลสกาม คอื กิเลสท่ีท�ำให้อยาก ใหร้ ัก ใหอ้ ยากได้ ไดแ้ ก่ ราคะ โลภะ อจิ ฉา (อยากได้) เป็นต้น วัตถุกาม ไดแ้ ก่วัตถอุ นั นา่ ใคร่ ในทีน่ ี้หมายถึง กามคุณทัง้ ๕ ซึง่ ประกอบด้วย รปู เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่ น่าชอบใจ กามะทงั้ ๒ ประการนอ้ี าศยั กนั และกนั เกดิ ขน้ึ ซง่ึ หมายถงึ เปน็ เหตเุ ปน็ ผลของกนั และกนั กไ็ ดจ้ งึ เกดิ ขน้ึ ไมม่ กี ามหรอื กเิ ลสชาตใิ ดเกดิ ขน้ึ มาเองโดยปราศจากการกระตนุ้ จากปจั จยั อยา่ งอน่ื ในเบอื้ งตน้ ใคร่ขอวิเคราะห์ กเิ ลสกาม คอื ราคะ ราคะคอื ความก�ำหนดั ยินดใี นสิ่งทน่ี า่ ใครเ่ ป็นสภาวะของจติ ท่ถี กู ปรงุ แตง่ ให้ตดิ อย่ใู นอารมณ์อย่างใดอยา่ งหนงึ่ ทีม่ ากระทบ ราคะจะเกดิ ขนึ้ เมอ่ื อายตนะ คอื ตา ไดม้ องเหน็ รปู ทน่ี า่ พึงพอใจ และติดอยใู่ นรปู นนั้ รปู จงึ เปน็ วัตถกุ าม สง่ ผลให้เกิดความก�ำหนัด อยากได้ อยากครอบครอง รูปท่ีเห็นหรือมากระทบ ๑ ท.ี ปา ๑๑/๒๕๘/๒๔๒, อภ.ิ วิ ๓๕/๙๖๓/๕๐๖ ๒ อ้างแล้ว, พระพุทธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยุตโต), พจนนานกุ รมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศพั ท์, หนา้ ๑๒.
ความก�ำหนดั จะเกดิ ขึ้นเมื่ออายตนะคอื ตา ห ู จมูก ลิน้ กาย และใจ ไดเ้ ห็นไดย้ ิน ได้ ฟงั เสียงท่ีไพเราะชวนให้หลงใหล ไดด้ มกลิน่ หอมสดช่ืน ไดล้ ้มิ รสทีอ่ รอ่ ยตามทต่ี นชอบ ไดส้ ัมผสั หรอื ไดแ้ นบสนทิ กบั เนอื้ หนงั หรอื พนื้ ผวิ ทอี่ อ่ นนมุ่ สบาย ความกำ� หนดั ยนิ ดใี นรปู ในเสยี ง ในกลน่ิ ในรส ในสมั ผสั ล้วนถูกกระตุ้นโดยวตั ถกุ าม ดังกลา่ ว ดงั น้นั กเิ ลส คือความกำ� หนัด ความใคร่ ความอยากไดค้ รอบครอง จึงมพี ลงั ผลักดนั ใหบ้ คุ คล ท่ีตกอยูภ่ ายใต้กระแสของกามคุณคลั่งไคล้ หลงใหลแสวงหาและเพลิดเพลินอย่างขาดสติ ในสมัยพุทธกาล กระแสความคลั่งไคล้หลงใหลในกามคุณได้กลายเป็นลัทธิความนิยม ของบคุ คลในยุคนั้น ลัทธนิ ี้ไดก้ ลายเปน็ หลักการปฏบิ ัติสุดโต่งของบุคคลกลุม่ หนึง่ ท่ีเชือ่ ว่า ความ สขุ และสจั ธรรมทแี่ ทจ้ รงิ กค็ อื การไดร้ บั การบำ� รงุ บำ� เรอ ปรนเปรอดว้ ยกามคณุ อยา่ งไมม่ ขี ดี จำ� กดั ตามความประสงคข์ องบคุ คล พระพทุ ธศาสนาเรยี ก ลทั ธคิ วามเชอ่ื และการปฏบิ ตั แิ บบนว้ี า่ “กาม สุขัลลิกานุโยค” ซึ่งหมายถึง การประกอบตนให้พัวพันหมกมุ่นอยู่ในกามสุขหรือการหมกมุ่น แสวงหาความสุขความเพลนิ จากกามคณุ อย่างเตม็ ท่ี ลัทธิกามสุขัลลิกานุโยค เป็นปรัชญาชีวิตของกลุ่มวัตถุนิยมและกลุ่มบริโภคนิยม ใน สังคมอยี ิปตส์ มัยกลาง มีนกั ปรชั ญาวัตถุนิยมอียปิ ต์ คนหน่ึงชื่อ OMARCAIYAM เขาไดส้ นบั สนนุ วิถีชีวติ แบบบริโภคสดุ โตง่ ภายใตป้ รชั ญาของเขาท่ีวา่ 81 “We eat, we drink we make love. We will be merry.๔” นกั วัตถุนยิ มจะยึดตดิ อยู่กบั กระแสวตั ถกุ ามและกเิ ลสกาม ปรากฏการณใ์ นโลกปจั จุบัน ชใี้ หเ้ หน็ พฒั นาการด้านวตั ถแุ ละเทคโนโลยี ซ่งึ ม่งุ สนองตอบความต้องการของนกั วตั ถุนิยม นัก วัตถุนิยมจะอ้างความจ�ำเป็นระดับสูงและละเอียดย่ิงข้ึน สิ่งที่เป็นความจ�ำเป็นข้ันพื้นฐาน (Pre Requisites) อันไดแ้ กป่ ัจจยั ๔ คอื อาหาร ท่ีอยอู่ าศัย ยารักษาโรค และเครื่องนุง่ ห่ม ไม่เพยี ง พอเสยี แล้ว ความตอ้ งการสิง่ อืน่ ๆ อีก ท้ังท่ีเปน็ สว่ นเกนิ แหง่ การด�ำรงชีวติ ก็ได้กลายเป็นความ จ�ำเปน็ (Want has become need) พระพุทธศาสนายอมรับว่าวัตถุมีความจ�ำเป็นเฉพาะในการด�ำรงชีวิตให้อยู่รอด ปัจจัย ทัง้ ส่ดี งั กลา่ ว คือวัตถทุ จ่ี ำ� เป็นนอกเหนอื จากนั้นกลายเปน็ ส่วนเกนิ พระพทุ ธศาสนาไมไ่ ดป้ ฏิเสธ วัตถุ แต่พระพุทธศาสนาปฏิเสธการบริโภคหรือเสพวัตถุเกินความจ�ำเป็น วัตถุเกินความจ�ำเป็น ท�ำให้จิตใจของมนุษย์ติดอยู่กับส่วนเกิน มนุษย์ปัจจุบันได้กลายเป็นทาสของวัตถุส่วนเกิน และ เสาะแสวงหาวัตถุสว่ นเกินมาบ�ำรุงบ�ำเรอชวี ติ ให้มคี วามสะดวก สบายมากย่งิ ขึ้น และมนษุ ยก์ ไ็ ด้ ติดอยู่กับความสะดวกสบายจนไม่สามารถทนต่อการขาดสิ่งที่มาช่วยอ�ำนวยความสะดวกสบาย ๔ โอมาร์ คัยยัม
ได้ ความทุกข์จากการเสาะแสวงหาสิ่งอ�ำนวยความสะดวกสบายได้แพร่กระจายไปทั่วทุกแห่ง มนุษย์ท�ำสงคราม สู้รบกันก็เพื่อแย่งชิงสิ่งอ�ำนวยสะดวกสบายในชีวิต ปรากฏการณ์ดังกล่าว จึงแสดงออกมาในรูปของการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ และท�ำลายแหล่งอาหารของสัตว์โลก พฤติกรรมของมนุษย์ดังกล่าวน้ีสามารถสรุปได้ว่าเป็นการถือเอาสิ่งของที่คนอื่นครอบครองอยู่ กอ่ น และเปน็ การปล้นทรัพย์สนิ ของผอู้ ่ืนน่นั เอง โลกมนษุ ย์ ถือได้ว่า เปน็ กามาวจรภมู ิ หรือเปน็ กามภพ แตเ่ ป็น กามสคุ ตภิ มู ิ คือกามาว จรภมู ิ เปน็ สุคติ หรอื สุคตภิ มู ิทย่ี งั เกี่ยวข้องกันกาม๕ เพราะฉะน้ัน โลกมนุษย์จงึ จ�ำเป็นต้องมวี ัตถุ เพอ่ื การด�ำรงชวี ิตอยู่รอด วัตถุทเี่ ป็นรูปธรรมตามปรัชญาทางพระพุทธศาสนาประกอบดว้ ยธาตุ ๔ คือ ปฐวี อาโป เตโช วาโย ธาตุ ๔ อย่างน่ีเรียกว่า มหาภูตรปู ปฐวีธาต ุ คอื สภาวะทแ่ี ผ่กระจายไปหรอื กินเนอื้ ที่ เปน็ ธาตุเขม้ แข็ง หรอื ธาตดุ นิ อาโปธาตุ คือสภาวะดดู ซึม เปน็ ธาตเุ หลว หรอื ธาตนุ ้ำ� เตโชธาต ุ คือสภาวะท่ที �ำใหร้ ้อนเรียกว่า ธาตุไฟ วาโยธาตุ คอื สภาวะท่ที �ำใหเ้ คลอ่ื นไหวจดั เปน็ ธาตุลม 82 ธาตุท้ัง ๔ อย่างน้ีเป็นส่วนประกอบฝ่ายวัตถุหรือฝ่ายรูปธรรมแห่งชีวิตมนุษย์ชีวิต จงึ ต้องอาศยั วัตถุธาตทุ จี่ �ำเปน็ ทัง้ ๔ อยา่ ง และวัตถุธาตทุ ั้ง ๔ จะดำ� รงอยู่ได้กต็ ้องอาศัยปัจจยั คือ สง่ิ จ�ำเป็นขนั้ พืน้ ฐาน ๔ อยา่ ง อนั ได้แกอ่ าหาร ทอ่ี ยู่อาศยั ยารกั ษาโรคและเคร่ืองนงุ่ หม่ ดังได้กล่าวมาแล้ว องค์ประกอบของชีวิตมนุษย์ที่ส�ำคัญอีกอย่างหน่ึงคือองค์ประกอบ ที่เป็นนามธรรมไดแ้ ก่จติ ใจ หรือวญิ ญาณ คือความร้สู ึกนึกคิด จติ ใจ ความรสู้ ึกนกึ คดิ นม้ี กั จะถกู ปรงุ แตง่ ใหเ้ กดิ ความรูส้ ึกตา่ ง ๆ ตามวตั ถทุ ่มี ากระทบผ่านตา หู จมกู ล้นิ และกาย ความรู้สึก ยินดหี รอื กำ� หนัดจะเกิดขึ้นเมือ่ สงิ่ ที่มากระทบปรุงแตง่ ใจใหร้ ู้สกึ เพลดิ เพลนิ ยินดี องค์ประกอบ ส่วนน้ีแห่งชีวิตมีพลังสูงมาก มีอ�ำนาจเหนือองค์ประกอบท่ีเป็นวัตถุหรือเป็นรูปแห่งชีวิต ดังน้ัน ชีวติ มนษุ ยจ์ ึงถกู ผลักดนั ใหด้ ้นิ รน แสวงหาวัตถเุ กนิ ความจำ� เป็นต่อชีวิตอยตู่ ลอดเวลา ประกอบ กบั โลกปจั จุบนั ถกู กระแสค่านิยม หรือ กามโอฆะ ครอบง�ำ ปญั หาสังคมจงึ เกดิ ขนึ้ ตามมาในรูป แบบตา่ ง ๆ และยง่ิ สลบั ซบั ซอ้ นมากยง่ิ ขน้ึ ตามลำ� ดบั แหง่ พฒั นาการโลกทางวตั ถหุ รอื ทางรปู ธรรม กามโอฆะ หรือกระแสแหง่ กามไดแ้ สดงรูปแบบออกมาใหเ้ หน็ ในหลายรปู แบบ รูปแบบ เดน่ ของกระแสแหง่ กามไดแ้ ก่ ๑. การพัฒนาเศรษฐกจิ ๕ อา้ งแลว้ , สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ปอ.ปยตุ โต),พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศพั ท,์ ๒๕๔๔, หนา้ ๑๓.
๒. การพัฒนาสังคม 83 ๓. การพัฒนาสาธารณสขุ ๔. การพัฒนาการศึกษา ๕. การพฒั นาภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ิน ๖. การพัฒนาวฒั นธรรม ๗. การพฒั นาสง่ิ แวดลอ้ ม ๘. การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ๙. การพฒั นาโครงสร้างพนื้ ฐาน ๑๐. การพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ฯลฯ รปู แบบดงั กลา่ วนอ้ี าจพจิ ารณาไดว้ า่ เปน็ รปู แบบการพฒั นาตามกระแสกามโอฆะ ทมี่ ที ง้ั ความจำ� เปน็ และเกนิ ความจำ� เปน็ ขน้ั พน้ื ฐานอยา่ งแทจ้ รงิ หรอื าจกลา่ วไดว้ า่ เปน็ กระแสแหง่ กาม ทเ่ี ปน็ ทง้ั มคี ณุ คา่ และไมม่ คี ณุ คา่ ตอ่ ชวี ติ และตอ่ สงั คมโลก อยา่ งแทจ้ รงิ โดยเปน็ กระแสแหง่ คา่ นยิ ม ของสังคมท่ปี ระกอบด้วยจรยิ ธรรม และอจรยิ ธรรม (Ethical and no ethical) แต่ดูเหมือนว่า สังคมโลกตกเป็นทาสแห่งกระแสค่านิยมแบบกามโอฆะท่ีเป็นไปใน ลกั ษณะเป็นอจริยธรรม ภาวะอจรยิ ธรรม คอื ภาวะทเี่ ปน็ ปญั หาสงั คมในขณะน้ี และสงั คมโลกดู จะไมส่ นใจภาวะ อจริยธรรมแหง่ ค่านยิ ม ขอ้ น้ี สงั เกตเห็นได้ในการพัฒนาซ่งึ มุ่งตอบสนองความ ตอ้ งการดา้ นวตั ถุ (วตั ถกุ าม) มงุ่ พฒั นาสง่ เสรมิ การบรโิ ภค การพฒั นาเศรษฐกจิ เปน็ ตวั อยา่ งของ การมงุ่ สงิ่ เสรมิ กระแสความนยิ มแบบวตั ถุ มงุ่ สนองความกำ� หนดั ความยนิ ดหี รอื ความใครใ่ นวตั ถุ การพฒั นาดา้ นอน่ื ๆ ตามตวั อยา่ งทกี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ เปน็ การพฒั นาสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การบรโิ ภคมาก ยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการพัฒนาสาธารณูปโภค หรือโครงสร้างพ้ืนฐานของสังคม เช่น ถนน ส่ือการ คมนาคม ทางบกทางน�้ำและทางอากาศ ระบบประปา และเทคโนโลยกี ารสอ่ื สาร กล็ ว้ นแตเ่ ป็น องค์ประกอบส�ำหรับการพัฒนา ค่านิยมแห่งกามท้ังสิ้น วัตถุนิยม ซึ่งเป็นกระแสความนิยมใน วัตถุอัน น่าใคร่น่ายินดีได้แผ่ขยายไปคือการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี และ การรเิ รมิ่ สรา้ งสรรคส์ งิ่ ประดษิ ฐใ์ หม่ ๆ ทง้ั ทเ่ี ปน็ รปู ธรรมและนามธรรมโดยมงุ่ ตอบสนองโจทยค์ อื การพัฒนาประเทศ ได้กลายเป็นวัตถุประสงค์ส�ำคัญของการวิจัยระดับชาติ ดังปรากฏในกรอบ เงื่อนไขประเด็นการวิจัยแห่งองค์กรรับผิดชอบในการพัฒนาเศรษฐกิจ คือการพัฒนาวัตถุอันน่า ใคร่ น่ายนิ ดี เพ่มิ กิเลสคือวัตถุกามมากยงิ่ ขนึ้ ๖ ๖ ดกู รอบการวจิ ยั ของสำ� นกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การวจิ ยั แหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘.
กระแสความนยิ มในกาม ตามทศั นะพทุ ธปรชั ญา กค็ อื กระแสความนยิ มในกามสขุ นน่ั เอง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ปอ. ปยุตฺโต) ได้จำ� แนกกระแสแห่งกามสขุ ออกเปน็ ๓ ระดับ คอื ๗ ๑. กามสุขขั้นดเี ลศิ คอื การเสวยกามสขุ พรอ้ มทงั้ ร้จู กั ความสุขอย่างประณีตด้วย ความ สขุ อยา่ งประณตี นน้ั จะเปน็ เครอื่ งคมุ้ ครองรกั ษา และคำ้� ประกนั ใหก้ ารเสวยกามสขุ อยใู่ นขอบเขต แหง่ ความดงี าม ใหเ้ สวยกามอยา่ งมศี ลี ธรรมไมก่ อ่ ปญั หาทงั้ แกต่ นเองและคนอนื่ แตส่ ามารถเปน็ อยอู่ ยา่ งเก้อื กลู ท�ำให้เกิดประโยชน์สุขทงั้ แก่ตนเองและสงั คม โดยมีลกั ษณะท่ัวไปคือ รู้เทา่ ทนั เหน็ โทษอนั ไดแ้ กค่ วามพรอ่ งเสยี หรอื แงท่ เ่ี ปน็ ความบกพรอ่ งของกามสขุ นน้ั รจู้ กั ประมาณในการ เสพ ไม่หลงมวั เมา เช่นในทางเพศผู้มคี รอบครัวกม็ ีการสนั โดษ คือพอใจอมิ่ อยู่แคค่ ่คู รองของตน อยูร่ ่วมกันดว้ ยธรรม เชน่ ซอ่ื ตรง จงรักภักดี ตอ่ กนั และชักจูงกันใหเ้ จรญิ ก้าวหน้าในความดีงาม และในความสขุ ท่ปี ระณีตสูงขน้ึ เชน่ คอู่ รยิ าสาวมคิ ามารดาของนายพกุละ เป็นต้น (อง.ฺ จตกุ ก. ๒๑/๕๕/๘๐) ๒. กามสขุ ขนั้ ดี คอื การเสวยกามสขุ ทม่ี ศี ลี ธรรมแตย่ งั หา่ งเหนิ จากความสขุ อยา่ งประณตี มีลักษณะคล้ายกับการเสวยกามสุขข้ันดีเลิศนั่นเอง คือเสวยกามสุขในตามปกติธรรมดาโดย ยอมรบั และรเู้ ทา่ ทนั ความจรงิ วา่ เมอ่ื มกี ามกต็ อ้ งมที กุ ขบ์ า้ งเปน็ คกู่ นั มองเหน็ แงเ่ สยี หรอื โทษของ กามนน้ั แลว้ ดำ� เนนิ ชวี ติ โดยใหม้ ที กุ ขน์ อ้ ยทสี่ ดุ ใหก้ ามกอ่ โทษนอ้ ยทส่ี ดุ ไมห่ มกมนุ่ รจู้ กั ประมาณ 84 และพยายามปฏบิ ตั ติ นใหเ้ ปน็ ทเ่ี กดิ ประโยชนส์ ขุ ใหม้ ากทงั้ ตอ่ ตนเองและตอ่ ผอู้ น่ื แตเ่ พราะยงั ขาด กามสขุ อยา่ งประณตี เปน็ หลกั สำ� หรบั ทางออกจงึ ยงั เสยี่ งตอ่ การทจี่ ะถกู ปลกุ เรา้ ใหถ้ ลำ� ลกึ ลงไปใน กามสขุ อาจกลับหมกมุ่นไดอ้ ีก ไม่มั่นคงปลอดภัยอย่างแท้จริง ๓. กามสุขขนั้ ทราม คือการสวยกามสุขอย่างหมกมนุ่ มวั เมา จติ ใจฝกั ใฝล่ มุ่ หลงคร่นุ คิด แต่เรอ่ื งการแสวงหา และปรนเปรอตนดว้ ยสงิ่ เสพตดิ ตา่ ง ๆ ทม่ี ลี กั ษณะเดน่ เช่นในเร่อื งอาหาร และเรอ่ื งเพศกม็ กี ารกระตนุ้ ปลกุ เรา้ ใหม้ คี วามตน่ื เตน้ ความเครยี ด ความกระสนั กระสา่ ย รา่ ยรน กระวนกระวาย เกนิ เลยไปจากระดับท่เี ป็นความตอ้ งการตามธรรมชาติ ของการกนิ อาหารและ การสบื พนั ธุ์ อาจปรงุ แตง่ วธิ กี ารและอุปกรณต์ า่ ง ๆ ขน้ึ มา เพื่อปลุกเร้าความกระหายในอาหาร และความก�ำหนัดขั้นต้นคือเชื้อส�ำหรับจุดไฟราคะให้โหมความอยากเร้าให้รุนแรงมากกว่าปกติ เปน็ ประจำ� จนอาจเรยี กว่าวปิ รติ ก็ได้ ในสภาพเชน่ น้ี กามสขุ ไมว่ า่ จะเปน็ เรอื่ งของอาหารหรอื ทางเพศ จะเปน็ ไปอยา่ งโดดเดน่ จนเลยเกดิ จากจติ สำ� นกึ ตอ่ จดุ หมายเดมิ กลายเปน็ การหลงตดิ ในกระแสกามโอฆะ จนกระทง่ั อาจ เปน็ ปรชั ญาชีวติ ว่า อยูเ่ พอ่ื กาม มชี วี ติ อยูเ่ พื่อกิน เพอ่ื เสพเทา่ นนั้ สภาพเชน่ นขี้ องสังคมจะกอ่ ให้ ๗ สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ (ปอ. ปยตุ โต), พทุ ธธรรม, พมิ พค์ รงั้ ที่ ๓๙, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณ์ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๗), หนา้ ๑๐๖๓
เกดิ กามสงคราม คือการสู้รบในสงั คมเพ่ือแยง่ ชงิ กามและแยง่ ชงิ เหตุปัจจัยท่ีปรงุ แต่งใหเ้ กิดกาม 85 สขุ ดังทเ่ี กดิ ขึ้นในสังคมทง้ั ในอดีตและปจั จุบนั และตอ่ ไปในอนาคตด้วย ๒. การยดึ ติดในการมตี �ำแหน่งหรอื สถานภาพทางสังคม (ภพ)๘ ต�ำแหนง่ (Position) หรือสถานภาพ (Status) คือ ลักษณะตวั ตนทางสงั คม (Social Self) ซ่ึงสังคมท่ัวไปให้การยอมรับและตีค่าให้บุคคลท่ีด�ำรงต�ำแหน่งหรือมีสถานภาพทางสังคม มสี ทิ ธแิ ละหนา้ ทไ่ี มเ่ ทา่ เทยี มกนั กลา่ วคอื ผทู้ ดี่ ำ� รงตำ� แหนง่ หรอื สถานภาพทางสงั คมระดบั สงู จะ มสี ทิ ธเิ ปน็ อภสิ ทิ ธชิ์ น มอี ำ� นาจและสทิ ธพิ เิ ศษเหนอื กวา่ บคุ คลทด่ี ำ� รงตำ� แหนง่ หรอื สถานภาพทาง สงั คมในระดับต่�ำ สงั คมท่วั ไปจะให้เกียรตยิ กย่องบคุ คลท่ีดำ� รงสถานภาพทางสงั คมสงู ต�ำแหน่งหรือสถานภาพ เมือ่ วิเคราะห์ในเชงิ สังคมวิทยา มี ๒ อย่าง คือ๙ ๑. สถานภาพหรอื ต�ำแหน่งตดิ ตวั (Ascribed Status) ๒. สถานภาพหรอื ตำ� แหน่งจากความสำ� เร็จ (Achieved Status) ๑. สถานภาพหรอื ต�ำแหน่งติดตวั (Ascribed Status) สถานภาพหรอื ตำ� แหนง่ ตดิ ตวั คอื สถานภาพทเี่ ปน็ ไปโดยธรรมชาติ เปน็ สถานภาพตดิ ตวั มาตั้งแต่ก�ำเกิดและในบางกรณีเป็นสถานภาพท่ีเป็นไปโดยสังคมก�ำหนดให้เป็น ตัวอย่าง เช่น ความเป็นหญงิ ความเปน็ ชาย ความเปน็ พอ่ แม่ ความเปน็ ลกู เปน็ ต้น สถานภาพหรอื ต�ำแหน่ง เหลา่ น้ี เปน็ ในโดยอตั โนมตั ิ สง่ ผลใหบ้ คุ คลแสดงบทบาทและหนา้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป แตม่ พี นั ธะ รบั ผิดชอบต่อกนั และกนั เชน่ ตำ� แหน่งความเปน็ พอ่ แม่ ย่อมมพี ันธะ คอื บทบาทหน้าที่เลี้ยงดูลูก ให้อยู่รอดปลอดภัยให้การศึกษาอบรมลูกให้ลูกเป็นคนดีของสังคม สถานภาพความเป็นพ่อแม่ จงึ เป็นสถานะแหง่ ผู้ให้ สงั คมก�ำหนดใหพ้ อ่ แม่เป็นผใู้ ห้ ส่วนลูกคือผู้รับสถานภาพของลกู จงึ เป็น อีกแบบหนึ่ง ส่งผลให้ลูกมีบทบาทหน้าที่ต้องท�ำตนให้สมกับเป็นผู้รับ ต�ำแหน่งหรือสถานภาพ ความเปน็ พอ่ แม่ และความเปน็ ลกู นั้นจะติดตวั ไปตลอดชีวิตเปล่ยี นแปลงเปน็ อย่างอ่นื ไม่ได้ แต่ เมือ่ มีสมาชกิ เกิดใหมจ่ ากผู้เป็นลูกความเป็นพอ่ แมก่ ็จะขยบั ไปเปน็ ปู่ ยา่ หรอื ตา ยาย แตก่ ย็ งั เปน็ ตำ� แหนง่ หรือสถานภาพท่มี บี ทบาทหนา้ ที่เหมือนเดิม ๘ ค�ำว่า ภพ แปลจากภาษาบาลีว่า ภวะ หมายถึงเจนจ�ำนงท่ีจะกระท�ำการ เพื่อให้ได้มาและให้เป็นไปตามความ ยดึ มนั่ ถอื มนั่ นน้ั และทำ� ใหเ้ กดิ กระบวนพฤตกิ รรมขน้ึ อกี เปน็ กรรมดี เปน็ กรรมชว่ั เปน็ อาเนญชกรรม (ไมด่ ไี มช่ วั่ ) ด. อา้ งแลว้ , พระพรหมคณุ าภรณ์ (ปอ. ปยตุ โต), พทุ ธธรรม, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒๕๕๗), หนา้ ๑๗๒-๑๗๓. ๙ จำ� นงค ์ อดวิ ฒั นสทิ ธ์ิ และคณะ,สงั คมวทิ ยา,(พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑๐, กรงุ เทพมหานคร: สำ� นกั พมิ พแ์ หง่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๕๐)
ต�ำแหน่งหรือสถานภาพความเป็นหญิง ความเป็นชาย เป็นสถานภาพติดตัวมาโดย ก�ำเนิด สังคมท่ัวไปก�ำหนดบทบาทหน้าท่ีของหญิงและชาย เช่น เพศหญิง มีบทบาทเฉพาะใน ครอบครัว เพศชายมีบทบาทในการท�ำงานหาอาหารมาเลี้ยงดูและคนในครอบครัวเป็นต้น แต่ ปัจจุบันบทบาทของเพศหญิง และเพศชายไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก ความนิยมให้ความเสมอ ภาคทางเพศ ท�ำใหบ้ ทบาทในการประกอบอาชพี การงานระหวา่ งหญงิ กบั ชาย แทบไมแ่ ตกตา่ ง กนั อย่างไรกต็ าม เพศหญงิ มีข้อก�ำกดั ทางกายภาพ สังคมจึงกำ� หนดบทบาทหน้าทข่ี องเพศหญงิ เฉพาะในเรอ่ื งการประกอบอาชพี บางอยา่ ง และไมส่ ง่ เสรมิ ใหเ้ พศหญงิ ประกอบอาชพี เหมอื นกบั เพศชายในบางอาชีพ ซ่งึ มีความเส่ียงต่อสภาพรา่ งกายและจิตใจของเพศหญิง กล่าวโดยทางประเพณีปฏิบัติ สังคมปิด (Closed Society) บางสังคมก�ำหนดต�ำแหนง่ หรอื สถานภาพทางสงั คมของบคุ คลใหค้ งทต่ี งั้ แตเ่ กดิ โดยไมม่ โี อกาสเปลย่ี นแปลงหรอื เคลอ่ื นยา้ ย ไต่ระดับไปสู่ต�ำแหน่งท่ีสูงต่อไปได้ เช่น สังคมวรรณะ๑๐ (Caste Society) ที่ก�ำหนดให้คนอยู่ ในวรรณะใดก็ประกอบอาชีพตามแบบอย่างของบรรพบุรุษในวรรณะน้ัน และมีกฎวรรณะห้าม แต่งงานขา้ มวรรณะ ๒. ต�ำแหน่งหรือสถานภาพทีไ่ ดร้ บั จากความสำ� เร็จ (Achieved Status) 86 ต�ำแหน่งหรือสถานภาพที่ได้รับจากความส�ำเร็จน้ี หมายถึง การบรรลุความส�ำเร็จใน การด�ำรงตำ� แหนง่ ท่ีสงู ขึน้ ไปจากความเปน็ สามญั ชน โดยอาศัยความรู้ ความสามารถ และปัจจยั หรอื องคป์ ระกอบอยา่ งอืน่ เป็นเคร่ืองสนบั สนุนไปส่ตู ำ� แหน่งหรือสถานภาพทสี่ ูงข้ึนน้นั ในสังคม เปิด (Open Society) จะเปิดโอกาสและเสรีภาพให้สมาชิกของสังคมสามารถแข่งขันก้าวไปสู่ ตำ� แหนง่ หรอื สถานภาพทางสงั คมทสี่ งั คมยกยอ่ งวา่ มเี กยี รติ มศี กั ดศ์ิ รี และมสี ทิ ธพิ เิ ศษเหนอื กวา่ บคุ คลอนื่ ในสังคมเปิดจะก�ำหนดมาตรฐานหรือกฎเกณฑ์การแข่งขนั และมกี ารพิจารณาตดั สิน คัดเลอื กบุคคลเข้าสู่ตำ� แหน่งหรอื สถานภาพท่ีก�ำหนดไว้อย่างเปน็ ธรรมและยตุ ธิ รรม ตามปกตสิ ถานภาพหรอื ตำ� แหน่งที่ได้จากความสำ� เรจ็ นี้เปน็ สถานภาพหรือต�ำแหน่งทม่ี ี อยู่จ�ำกัด และมีอยู่เฉพาะในองค์การภาครัฐและภาคธุรกิจท่ีมีการจัดรูปแบบองค์การอย่างเป็น ระบบ เชน่ ต�ำแหน่ง หรอื สถานภาพการเป็นข้าราชการ เปน็ พนกั งาน เป็นนักบริหาร เป็นต้น สถานภาพดงั กลา่ วจะตอ้ งอาศยั ความรคู้ วามสามารถและคณุ วฒุ ทิ างการศกึ ษา เปน็ องคป์ ระกอบ ในเบ้ืองตน้ และไดม้ าจากกระบวนการแขง่ ขนั หรือสรรหา ตามระเบยี บกฎข้อบังคบั ขององค์การ ในสงั คมเปดิ บคุ คลทมี่ ตี ำ� แหนง่ หรอื สถานภาพในองคก์ ารอาชพี ไมว่ า่ จะเปน็ องคก์ ารภาครฐั หรอื ๑๐ วรรณะ ๔ ของสงั คมอนิ เดยี คอื วรรณะ พราหมณ์ วรรณะกษตั รยิ ์ วรรณะแพศย์ และวรรณะสทู ร์ มกี ารวางกฎ สำ� หรบั สมาชกิ ในวรรณะอยา่ งเขม้ งวด ผทู้ ลี่ ะเมดิ กฎวรรณะ เชน่ แตง่ งานกบั คนตา่ งวรรณะของตน จะถกู ขบั ไลจ่ ากวรณะนน่ั ๆ กลาย เปน็ คนนอกวรรณะหรอื คนจนั ฑาล คอื ชนชน้ั ตำ�่ สดุ ของสงั คมวรรณะ
องค์การภาคเอกชนสามารถเลื่อนต�ำแหน่งหรือสถานภาพทางสังคมสูงข้ึนไปตามล�ำดับความรู้ 87 ความสามารถและประสบการณข์ องตน ตำ� แหนง่ หรอื สถานภาพทไ่ี ด้มาจากความส�ำเรจ็ นี้ อาจพิจารณาได้ว่า เปน็ ภพ หรือ เป็น ภาวะ อยา่ งหนง่ึ ซงึ่ ผทู้ ยี่ ดึ ตดิ กบั ภาวะคอื ตำ� แหนง่ จะพยายามหวงแหนภาวะของตนหรอื ภพของ ตนไวไ้ มย่ อมใหใ้ ครมาแยง่ หรอื ยดึ ครองในจากตน สภาพการแขง่ ขนั เพอ่ื แยง่ ชงิ ภพหรอื ตำ� แหนง่ จงึ เกดิ ขึน้ อย่างรุนแรงในสังคมเปดิ ภพหรอื ต�ำแหนง่ ใดทีม่ ีความสำ� คัญตอ่ สงั คมเปน็ อยา่ งมากมกี าร ใหอ้ ำ� นาจพเิ ศษ ใหศ้ กั ดศ์ิ รพี เิ ศษ ใหล้ าภใหค้ วามสะดวกสบายแกผ่ ถู้ อื ครองพเิ ศษเหนอื กวา่ บคุ คล อ่นื ภพหรอื ต�ำแหนง่ นั้นจะมกี ารตอ่ ส้แู ข่งขันกนั อยา่ งรนุ แรง และอาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง กันในสังคมตามมาในท่ีสุด ความขัดแย้งอันเพียงมาจากการแข่งขันมักจะปรากฏออกมาในการ ทำ� รา้ ยเบียดเบียนคแู่ ข่งหรอื ใช้วธิ ีการทไ่ี ม่ประกอบดว้ ยจริยธรรม (เล่หเ์ หลี่ยม) ในการเอาชนะคู่ แข่ง วธิ ีการท่ไี ร้จรยิ ธรรมคือวิธีการที่ไม่ประกอบดว้ ยศลี ธรรม เปน็ วธิ กี ารทไี่ ม่เคารพกฎระเบียบ การแขง่ ขัน เปน็ วธิ กี ารลว่ งละเมดิ พลังทัดฐานทางสังคม (Social norms) ปัญหาการยึดติดกับภาพหรือต�ำแหน่งทางสังคมจะเกิดขึ้นท้ังก่อนการเข้าสู่ต�ำแหน่ง และหลังการเข้าสู่ต�ำแหน่ง ตามปรัชญา Determinism (นิยัตินิยม)๑๑ ต�ำแหน่งทางสังคมอาจ ถือว่าเป็นต�ำแหน่งท่ีถูกก�ำหนดและมีตัวก�ำหนดให้เกิดต�ำแหน่ง ตัวก�ำหนดให้เกิดต�ำแหน่งหรือ สถานภาพทางสงั คมไดแ้ ก่ ๑) ความตอ้ งการของผบู้ ริหาร ๒) ขอ้ กำ� หนดในกฎหมาย ๓) ความ ตอ้ งการของประชาชนผา่ นนโยบายพรรคการเมอื ง ๔) แรงผลักดนั จากกล่มุ อำ� นาจในสงั คม และ ๕) การขยายงานในหนว่ ยงาน ปัจจัยตวั กำ� หนดตำ� แหนง่ ดงั กล่าวมปี รากฏทั่วไปทง้ั ในสงั คมเปิดแบบเสรีประชาธปิ ไตย และในสงั คมปดิ แบบเผดจ็ การ ปจั จยั ตวั กำ� หนดเปน็ ปจั จยั ควบคมุ และเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ปรากฏการณ์ ตา่ ง ๆ ในสงั คมแตแ่ นวคดิ เรอื่ งตวั กำ� หนดนอ้ี าจจะขดั แยง้ กบั แนวคดิ เรอื่ งเจตจำ� นงเสรี (Free will) ซ่ึงจะมีการวิเคราะหใ์ นประเด็นทเ่ี กีย่ วข้องในภายหลัง ตามหลกั พระอภธิ รรม๑๒ ภพ อาศยั ปจั จยั หลายอยา่ งซงึ่ เปน็ เหตเุ ปน็ ผลตอ่ เมอื งเปน็ ลกู โซ่ ดังทปี่ รากฏในหลักปฏิจจสมุปบาทว่า เพราะมอี ปุ าทาน คือการยึดมั่นถือมนั่ ภพ จึงมี อปุ าทาน จึงเป็นปัจจัยก�ำหนดให้เกิดภาวะ หรือต�ำแหน่ง และเพราะมีภพหรือมีการยึดอยู่กับภาวะหรือ ต�ำแหน่ง จึงมีภาวการณ์เกิดเป็นพนักงาน เป็นข้าราชการ เป็นหัวหน้า เป็นทหาร เป็นต�ำรวจ เป็นผ้บู ังคับบญั ชา เป็นตน้ ๑๑ Determinism อา้ งถงึ ในRoy Bhaskar in The Blackwell Dictionary of modern Social Thought, หนา้ ๑๕๔ ๑๒ อภ.ิ ว.ิ ๓๕/๙๙/๘๕
เมอ่ื บคุ คลถกู คดั เลอื กใหด้ ำ� รงตำ� แหนง่ หรอื สถานภาพทางสงั คมบคุ คลนน้ั จะมตี วั ตนทาง สงั คม (Social Self) ตามแบบทส่ี งั คมกำ� หนดใหเ้ ปน็ และต้องแสดงบทบาทตามท่ีกำ� หนดไว้ให้ ปฏบิ ตั ติ ามบทบญั ญตั สิ ำ� หรบั ผดู้ ำ� รงตำ� แหนง่ นน้ั ๆ สงั คมจะรบั รคู้ วามมอี ยขู่ องบคุ คลตามตำ� แหนง่ หรอื สถานภาพทไี่ ดร้ บั จากความสำ� เรจ็ เพราะฉะนนั้ ความเปน็ ตวั ตนทางสงั คม คอื ภาวะคลา้ ยตวั ตนตามทีต่ นสอ่ งกระจกเหน็ ว่าสังคมกำ� หนดใหต้ นเปน็ อะไร มบี ทบาทอยา่ งไร โดยนัยนสี้ ังคมคอื ตวั กระจกสอ่ งเงาให้บคุ คลรับรูว้ า่ ตวั ตนของตนน้นั เป็นอย่างไร ปกตกิ ารด�ำรงตำ� แหน่งหรือสถานภาพทางสังคมสงู ขึ้นมากเทา่ ไร ลาภ ยศ สรรเสรญิ ก็ จะยิ่งสูงตามไปด้วย ความสะดวกสบายต่างๆ ทางวัตถุและทางสังคมก็จะเกิดขึ้นตามมา ภาวะ ความสะดวกสบายในชีวิตอันเน่ืองมาจากกระแสคือภาวะหรือสถานภาพน้ันท�ำให้บุคคลยึดติด ในภพหรือภาวะ และหลงติดไปว่าภาวะน้ันเป็นของตนเอง คนอื่นจะเอาไปหรือแย่งไปไม่ได้ พรอ้ มกับพยายามผูกขาดยดึ เอาต�ำแหน่งนัน้ ๆ สำ� หรบั ตนและญาติพี่น้องหรอื มติ รสหายของตน เทา่ นนั้ พยายามกดี กนั คนอนื่ ไมใ่ หเ้ ขา้ มายดึ ครองตำ� แหนง่ หรอื ภาวะทตี่ นครองอยู่ การมตี ำ� แหนง่ ทางสงั คมสงู ยอ่ มท�ำใหไ้ ดเ้ ปรยี บเหนือคนที่มีสถานภาพทางสังคมต่ำ� ผู้ท่ีมตี �ำแหน่งทางสังคมสูง ยอ่ มมอี ำ� นาจทจี่ ะดำ� เนนิ การตอ่ อยา่ งไรกไ็ ดเ้ พอ่ื กดี กนั บคุ คลอน่ื หรอื กลมุ่ อนื่ มามอี ำ� นาจเทา่ เทยี ม กบั ตน 88 โลกปจั จบุ นั ถกู กระแสคอื ความตอ้ งการดำ� รงตำ� แหนง่ ทางสงั คมในระดบั สงู ขนึ้ ดงึ ดดู ให้ มคี วามทะเยอทะยานดนิ้ รน ตอ่ สเู้ พอ่ื บรรลถุ งึ ตำ� แหนง่ ทางสงั คมสงู ขน้ึ เรอื่ ย ๆ ตามลำ� ดบั ชน้ั แหง่ ความต้องการ เน่ืองจากต�ำแหน่งหรือสถานภาพทางสังคมในระดับสูงมีจ�ำกัด จึงท�ำให้เกิดการ แขง่ ขนั อย่างหนกั หน่วงเพ่อื ใหไ้ ดต้ �ำแหน่ง ๆ สำ� คัญทางสังคม ผลจากการแข่งขันดุเดอื ดจึงอาจ จะเกดิ ความขดั แย้งตามมาในทสี่ ุด ความเดือดร้อนของสังคมหรอื ปัญหาสงั คมก็คือกระแสความ นิยมในภาวะหรอื ตำ� แหนง่ ตำ� แหนง่ ทมี่ กี ารแยง่ ชงิ และเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความขดั แยง้ อยา่ งรนุ แรงในสงั คมคอื ตำ� แหนง่ ทางการเมอื ง โดยเฉพาะการเมอื งในระบบการเลอื กตงั้ ๑๓ สงั คมทผ่ี คู้ นปฏบิ ตั ติ ามกฎระเบยี บอยา่ ง เครง่ คดั และผรู้ กั ษากฎระเบยี บใชอ้ ำ� นาจบงั คบั ใหป้ ฏบิ ตั ติ ามระเบยี บอยา่ งยตุ ธิ รรมและเปน็ ธรรม ความขัดแย้งจากการเลือกตั้งจะไม่เกิด แต่จะมีการแข่งขันเข้าสู่ระบบการเลือกต้ังอย่างสะอาด บรสิ ทุ ธโิ์ ดยปฏบิ ตั ติ ามกฎกตกิ าวา่ ดว้ ยการเลอื กตงั้ ในทางตรงกนั ขา้ มสงั คมทผ่ี รู้ กั ษากฎระเบยี บ เลือกปฏิบัตติ อ่ กล่มุ บุคคลไม่เทา่ เทยี มกัน ดังทเ่ี รยี กวา่ ผู้รักษากฎเลือกปฏิบัตแิ บบสองมาตรฐาน ปัญหาความขดั แย้งในสังคมจะเกดิ ขึ้นตามมาโดยไม่มีทีส่ นิ้ สดุ ๑๓ ในสงั คมโลกเสรี ระบบการเลอื กตง้ั ผมู้ อี ำ� นาจสตู่ ำ� แหนง่ ทางการเมอื งดำ� เนนิ การโดยเปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนทกุ คน มสี ทิ ธเิ ทา่ เทยี บกนั ในการเลอื กบคุ คลและพรรคการเมอื งทตี่ นชอบ แตใ่ นระบบสงั คมเผดจ็ การโดยพรรคหรอื โดยกลมุ่ เชน่ ระบบคอม มนิ สิ น์ เฉพาะผเู้ ปน็ สมาชกิ พรรคเทา่ นน้ั มสี ทิ ธเิ ลอื กผนู้ ำ� สงู สดุ ของพรรคและบรหิ ารประเทศชาติ
อาจจะมคี ำ� ถามวา่ ทำ� ไมภพหรอื ทางการเมอื ง หรอื ตำ� แหนง่ ทางการเมอื งจงึ ไดร้ บั ความ 89 สนใจและมกี ารแยง่ ชงิ กนั รนุ แรงทส่ี ดุ คำ� ตอบอาจจะอธบิ ายในเชงิ เหตผุ ลไดห้ ลายอยา่ ง เชน่ อาจ อธิบายได้ว่า มนุษย์แย่งเกิดในภาพทางการเมือง เพราะเป็นภพหรือเป็นต�ำแหน่งท่ีสามารถใช้ อ�ำนาจให้คุณและให้โทษใครก็ได้ โดยชอบธรรม จากการมีอ�ำนาจจะดึงดูดความเคารพ ความ เกรงกลวั จากผู้ใตอ้ �ำนาจ ทรพั ย์สนิ ลาภ ยศ ก็จะบังเกดิ ตามมา การอธบิ ายในลักษณะท่ีสมั พนั ธ์ กบั กระแสวัตถนุ ิยมมกั จะใช้เป็นบรรทัดฐานในการวิเคราะห์ เมอื่ พูดถึงอ�ำนาจทางการเมอื งและ ภพทางการเมอื งท่สี รา้ งปญั หาแก่สังคม มักจะเปน็ ภพของนักการเมอื งทีป่ ราศจากคณุ ธรรมและ จริยธรรมของความเป็นนกั การเมอื งท่ีดี กลา่ วในเชงิ ปรชั ญาการเมอื ง นกั การเมืองควรจะวางตนเปน็ ตน้ แบบทดี่ ี (Archetype) ของสังคม นักการเมืองคือบุคคลที่สาธารณชนจับตามองและให้ความสนใจตลอดเวลา สื่อสาร มวลชนประเภทส่อื รายวนั (Daily Newspaper) จะรายงานขา่ วหรอื เรอ่ื งราวด้านตา่ ง ๆ ของ นกั การเมอื งอยเู่ สมอ และสอื่ เหลา่ นอี้ ยรู่ อดมคี นซอื้ ไปอา่ นกเ็ พราะการเสนอขา่ วของนกั การเมอื ง เป็นหลัก นักการเมืองจงึ ตอ้ งอาศัยส่ือเป็นพาหนะน�ำตนไปสูส่ าธารณะ แตก่ ารนำ� เสนอเรอ่ื งราว นกั การเมอื งทดี่ จี ะพบไดเ้ ฉพาะในสงั คมเผดจ็ การ๑๔ สว่ นในสงั คมเสรปี ระชาธปิ ไตย สอื่ สารมวลชน มกั จะนำ� เสนอภาพขา่ วเกยี่ วกบั นกั การเมอื งในเชงิ ลบมากกวา่ ในเชงิ บวก แตถ่ งึ จะมภี าพขา่ วออก มาอยา่ งไรกต็ ามนกั การเมอื งถอื วา่ เปน็ บคุ คลสาธารณะ ยอ่ มเปน็ เปา้ หมายของการตรวจสอบของ สังคมตลอดเวลา ในทางพระพทุ ธศาสนา ภพของการเป็นนักการเมืองถือว่าเป็นกามภาพ ด�ำรงต�ำแหนง่ เปน็ นกั การเมอื งยอ่ มเกดิ จากการสมคั รใจและจากการแตง่ ตง้ั ของประชาชน กลา่ วคอื นกั การเมอื ง ตอ้ งเปน็ คนทปี่ ระชาชนชนื่ ชอบ มคี ณุ ลกั ษณะมงุ่ ทำ� งานเพอ่ื ประโยชนส์ ขุ ของสว่ นรวม๑๕ และดำ� รง ชีพด้วยคา่ จา้ งจากประชาชน ปัญหาของนกั การเมืองคอื การยึดติดในตำ� แหน่ง การหลงยึดตดิ ใน ต�ำแหน่งคือการไม่ยอมสลัดทิ้งภพ แม้ว่าระยะเวลาการด�ำรงอยู่ในภาพจะหมดส้ินไปแล้วก็ตาม ดังท่เี ราไดเ้ หน็ นักการเมืองท้ังหลาย พากันด้ินรนตอ่ สแู้ ข่งขนั กันเพื่อกา้ วส้ตู �ำแหนง่ ทางการเมอื ง ทกุ ครงั้ ทม่ี กี ารเลอื กตง้ั ผทู้ ไี่ มส่ มหวงั ในการเลอื กตงั้ จะไมย่ อมรบั ความพา่ ยแพข้ องตน มกั จะกลา่ ว หาคู่แข่งขันของตนว่าใช้วิธีการสกปรกในการเข้าสู่ต�ำแหน่งทางการเมือการซ้ือเสียง จึงเป็นการ กลา่ วหาจากฝา่ ยที่ไมส่ ามารถกา้ วสู้ภพหรือต�ำแหนง่ ทางการเมอื งออกมาเปน็ ประจ�ำ กระแสคือการยึดติดกับภพหรือต�ำแหน่งทางสังคม สามารถลดลงได้ด้วยการท�ำใจรู้จัก ให้ รู้จักปลอ่ ยวาง และบำ� เพ็ญสมาธิ ดงั ท่ีพระพทุ ธเจ้าตรสั ว่า๑๖ ๑๔ สงั คมเผดจ็ การจะไมเ่ ปดิ โอกาสใหม้ กี ารวพิ ากษว์ จิ ารณผ์ นู้ ำ� ในเชงิ ลบหรอื เชงิ เสยี หายไมว่ า่ โดยผา่ นหรอื สารมวลชน ประเภทใดกต็ าม ๑๕ ดขู อ้ ความบางตอนในอคั คญั สตู ร ๑๖ ข.ุ ม. ๒๙/๘๒๕/๕๑๗
อปุ าทาน (การยึดตดิ ) เป็นแรงผลักดนั ให้เกิดภพ คอื การเกาะตดิ อย่กู ับตำ� แหน่งโดยไม่ ปลอ่ ย อาจจะวเิ คราะหต์ อ่ ไปไดว้ า่ เพราะความกลวั ตอ่ ความมนั่ คงจงึ มกี ารยดึ ตดิ เพราะความกลวั ตอ่ การสญู เสยี หลกั ประกนั ความมนั่ คงในชวี ติ มนษุ ยจ์ งึ มกั จะยดึ ตดิ อยกู่ บั ตำ� แหนง่ ทไ่ี ดร้ บั มาโดย ไมป่ ลอ่ ยเม่ือถงึ เวลาควรปลอ่ ย การยดึ ตดิ ในสถานภาพอาจจะเน่อื งมาจากมาความเคยชนิ เช่น ความเคยชินกับความสะดวกสบายในชีวิตเพราะมีผู้คอยให้การปรนนิบัติรับใช้ จึงท�ำให้มนุษย์ ไม่ปล่อยวางจากต�ำแหน่ง หรือสถานภาพทางสังคม ท่ีสังคมให้ความเคารพเกรงกลัว แต่ความ เคยชินก็เป็นอุปาทานอย่างหน่ึงและเป็นนิสัยท่ีเกิดข้ึนจากสภาพสิ่งแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการด�ำรง ชีวิตตามปกตขิ องมนษุ ย์ นสิ ยั ของมนษุ ย์จึงพฒั นาตามอิทธิพลของสงิ่ แวดลอ้ ม การยึดติดกับต�ำแหน่งโดยมีเป้าหมายเพ่ือใช้ต�ำแหน่งเป็นฐานหรือเป็นเคร่ืองมือในการ ท�ำประโยชน์ต่อส่วนรวม ก็ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่การยึดติดกับต�ำแหน่งโดยไม่ได้ใช้ต�ำแหน่ง ในการสรา้ งคุณประโยชน์ตอ่ ส่วนรวม ถือเปน็ สงิ่ ไมด่ ี แตใ่ นบางสถานการณผ์ ้ทู มี่ ีต�ำแหนง่ อาจจะ ลอุ �ำนาจแก่โทสะ กอ่ ความทกุ ขค์ วามเดือดร้อนแก่สุจรติ ชนอย่างไรเ้ หตุผล ถอื ว่าใชต้ �ำแหน่งในที่ ผดิ ดงั นัน้ ตำ� แหน่งหรือสถานภาพทางสังคมจึงมีท้งั คุณและโทษพรอ้ มกัน การใชต้ ำ� แหนง่ ในทาง สรา้ งคณุ ประโยชนเ์ ปน็ คณุ สมบตั ขิ องนกั บรหิ ารทมี่ คี ณุ ธรรมและจรยิ ธรรมทด่ี ี ในทางตรงกนั ขา้ ม นักบริหารที่ไม่มีคุณธรรมและจริยธรรมท่ีดี มักจะใช้ต�ำแหน่งในการกอบโกยผลประโยชน์เพื่อ 90 ตนเองและคนท่ีใกล้ชิด ประเด็นท่ียกขึ้นมากล่าวนี้สัมพันธ์กับการอยู่ภายใต้กระแสค่านิยมคือ การมีต�ำแหน่งหรือสถานภาพทางสังคมของบุคคล ขณะเดียวกันเราก็ไม่ปฏิเสธว่าสภาพสังคมก็ มสี ว่ นท�ำให้ผ้อู ยูใ่ นต�ำแหน่งยึดตดิ อย่กู ับต�ำแหนง่ วิเคราะหต์ ามหลักพุทธปรชั ญาทางสงั คมการมีตำ� แหน่งหรอื สถานภาพเปน็ ไปตามหลกั โลกธรรม๑๗ คอื ลกั ษณะทเ่ี ปน็ จรงิ แหง่ สถานะของชาวโลก การมี ยศ กค็ อื การมตี ำ� แหนง่ ทางสงั คม ในระดบั ทสี่ งู ขน้ึ การมียศ ย่อมสัมพันธก์ บั การกระท�ำซึ่งสง่ ผลใหม้ ีการเล่ือนระดับ ขณะเดียวกนั การเสื่อมจากยศก็อาจจะเป็นผลจากการกระท�ำเช่นเดียวกัน ค�ำว่าการกระท�ำ (Action) อาจ หมายถึงกรรม (Karma) ซ่ึงหมายถึงการกระทำ� ดี (Wholesome Karma) และการกระทำ� ไม่ ดี (Unwholesome Karma) การกระท�ำเช่นใดเปน็ การกระท�ำดแี ละการกระทำ� เชน่ ใดเปน็ การ กระท�ำไมด่ มี ขี อ้ อธิบายโดยละเอียดในหลักพุทธธรรมว่าดว้ ยกรรมประเภทต่าง ๆ ๑๘ กระแสภพแหง่ สงั คม ในสมยั ปจั จบุ นั สามารถวเิ คราะหต์ ามหลกั พทุ ธปรชั ญาสงั คมอยา่ ง หน่งึ คอื การยึดติดในกระแส ความเด่น และความดัง ความเด่นและความดัง เป็นภาวะหรอื ภพ อยา่ งหนงึ่ ซงึ่ เกดิ ขนึ้ และดบั ไปตามสถานการณ์ กระแสความเดน่ และความดงั จะแพรก่ ระจายโดย อาศยั สอื่ ประเภทตา่ ง ๆ เปน็ ผนู้ ำ� ไปเผยแพร่ ความเดน่ ของบคุ คลเปน็ ความนยิ มทส่ี งั คมมอบใหแ้ ก่ ๑๗ โลกธรรมมี ๘ ๑๘ ตวั อยา่ งเชน่ กศุ ลกรรม ๓, อกศุ ลกรรม ๓, กศุ ลกรรม ๑๒, อกศุ ลกรรม ๑๒.
บคุ คลบางคนที่มีพฤตกิ รรมเด่น หรอื มกี ารกระทำ� เดน่ ด้านต่าง ๆ ใดดา้ นหนงึ่ เชน่ ดา้ นการเมอื ง 91 ดา้ นการกฬี า ดา้ นการแสดง ดา้ นดนตรหี รอื การแสดงความกลา้ หาญทางจรยิ ธรรมแบบในอดุ มคติ สอื่ ทง้ั หลายเปน็ องคก์ รธรุ กจิ ทม่ี งุ่ นำ� เสนอขา่ วสารเดน่ ดงั ของบคุ คลหรอื องคก์ ารทางสงั คมในเชงิ แข่งขันตลอดเวลา เพื่อความอยู่รอดขององค์การส่ือ แต่การน�ำเสนอข่าวเด่นข่าวดังของบุคคล อาจเปน็ การน�ำเสนออย่างปราศจากความรบั ผดิ ชอบกไ็ ด้ คนท่ีเสนอขา่ วเดน่ หรือดังหากเปน็ คน ดกี เ็ ปน็ แบบอยา่ งทดี่ ใี หบ้ คุ คลในสงั คมไดศ้ กึ ษานำ� ไปเปน็ แบบอยา่ งในการดำ� เนนิ ชวี ติ แตห่ ากคน เด่นหรือดังในทางเสียหายได้รับการเสนอต่อสาธารณะในลักษณะประโคมว่าเป็นคนดังก็อาจจะ สร้างความสับสนในหมู่คนท่ีด้อยสติปัญญา และอาจเป็นแบบอย่างให้คนด้อยการศึกษาบางคน เลียนแบบเพ่ือสร้างความสนใจแก่สังคมก็ได้ พฤติกรรมลักษณะเช่นน้ีได้ยินดังฟังบ่อย การยึด ตามค่านิยมของกลุ่มตนเองอย่างบ้าคลั่ง (Ethnocentrism) ก็อาจจะท�ำให้ในกลุ่มปฏิบัติการ บางอยา่ งในการทำ� ลายกล่มุ อ่นื ท่ไี มใ่ ช้กล่มุ เดียวกนั ๑๙ เชน่ ในทางการเมืองมกี ารนำ� เสนอคนท่ีไม่ สังกัดพรรคเดียวกัน หรือคนท่ีอยู่ในแวดวงคนอื่นที่เป็นปรปักษ์ทางความคิดทางการเมือง ว่า เปน็ คนเลว คนชวั่ คนโกงบา้ นโกงเมือง ในลกั ษณะเป็นโทสวาท (Hate Speech) ผลท่ีตามมาก็ คอื สมาชกิ ฝา่ ยกลา่ วหาบางคนอาจทำ� การรนุ แรงตอ่ กลมุ่ ตรงกนั ขา้ ม และอาจไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ วีระบุรุษแมว้ ่าจะทำ� การประทษุ รา้ ยตอ่ ชวี ติ ของคนอ่ืนก็ตาม๒๐ ปญั หาทางศีลธรรมในสังคม ได้กลายเป็นปัญหาถกเถียงกันว่าเหมาะสมหรือไม่ในการยกย่องอาชญากรว่าเป็นคนดังและคน เด่น ซึ่งจะกลายเปน็ แบบอย่างการกระท�ำผดิ ให้แกค่ นอื่นในสงั คม ขอ้ ถกเถยี งทางสังคมในเร่ือง ลักษณะเช่นน้ี อาจจะขยายเป็นประเดน็ ข้อถกเถยี งทางปรชั ญาการเมือง ควบคูก่ นั ไป การกระ ท�ำบางอย่างทางการเมืองแม้จะมีผลร้ายต่อบุคคลอื่น อาจถือว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่ใช่ไม่ผิด ศีลธรรมกฎหมายการเมืองอาจจะนิรโทษกรรมแก่คนท�ำผิดรุนแรงว่าเป็นคนไม่มีความผิดตาม กฎหมายกไ็ ด้ และกลายเป็นคนทีก่ ฎหมายฟอกใหเ้ ปน็ คนสะอาดรวมถงึ เปน็ คนดี คนดงั และคน เดน่ ไดใ้ นทส่ี ดุ ขอ้ ถกเถียงเรอื่ งความถกู หรือความผดิ ทางสงั คมเป็นปรชั ญาทางสังคม ขอ้ หนงึ่ อาจกลายเปน็ พระเอกของอกี สงั คมหนงึ่ ขอ้ นจ้ี งึ ขน้ึ อยกู่ บั การตคี วามวา่ จะใชห้ ลกั จรยิ ธรรมทางสงั คมของสงั คมใดมาเปน็ บรรทดั ฐานการวนิ จิ ฉยั กระแสการยดึ ตดิ กบั ผมู้ อี ำ� นาจทาง สงั คมจงึ เปน็ กระแสความนยิ มขอ้ หนงึ่ ในการวนิ จิ ฉยั ความถกู หรอื ความผดิ ซง่ึ ไดก้ ลายเปน็ การขดั ๑๙ การสรา้ งกระแสพวกเราพวกเขา (we group/they group) เปน็ ตวั อยา่ งการทำ� ลายคนอนื่ และยกยอ่ งพวกเดยี วกนั แมจ้ ะทำ� ไมด่ กี ต็ าม ๒๐ ปรากฏการณค์ วามขดั แยง้ ทางการเมอื ง เมอ่ื เดอื นพฤษภาคม ๒๕๕๗ นำ� ไปสกู่ ารยงิ กนั ระหวา่ งกลมุ่ ขดั แยง้ เกดิ มอื ปนื ปอ๊ บคอรน์ ยงิ คนตายตอ่ มาศาลตดั สนิ จำ� คกุ ตลอดชวี ติ แตป่ รากฏวา่ บรรดากลมุ่ บคุ คลกลมุ่ เดยี วกนั พากนั ยกยอ่ งอาชญากรดงั กลา่ วา่ เปน็ วรี ะบรุ ษุ แมจ้ ะฆา่ คนตายผดิ กฎหมาย และผดิ ศลี ธรรมกต็ าม นคี้ อื ตวั อยา่ งการยดึ ตดิ กบั ภพ หรอื ความรสู้ กึ วา่ เปน็ พวก เดยี วกนั อยา่ งบา้ คลงั่
กับกระแสแหง่ ศีลธรรมทางศาสนา ภาวะทางสงั คมหรอื ภพทางสงั คม อาจจะเรยี กในทางปรชั ญาทางพระพทุ ธศาสนาวา่ สา รปุ ปะ๒๑ คอื ภาวะหรอื ฐานะหรอื แนวทางชวี ติ ซงึ่ รวมถงึ จดุ มงุ่ หมายแหง่ การกระทำ� กจิ กรรมหรอื การปฏบิ ตั หิ นา้ ทขี่ องตน ในพระวนิ ยั ปฎิ ก เรยี กวา่ สารปุ ปะ๒๒ หมายถงึ ความเหมาะ ความสมควร เปน็ ธรรมปฏบิ ตั อิ นั เหมาะสมสำ� หรบั ผมู้ ภี าวะหรอื ตำ� แหนง่ ทางสงั คมเปน็ พระภกิ ษุ ประเดน็ นอ้ี าจ ขยายไปถงึ ขอ้ แนะนำ� สำ� หรบั ผดู้ ำ� รงต�ำแหนง่ ทางสงั คมต่าง ๆ วา่ ควรรจู้ ักบทบาท หนา้ ที่ และ การปฏบิ ตั ติ นให้เหมาะสมกบั ต�ำแหนง่ ทางสังคมนัน้ ๆ การยดึ ถอื ในฐานะเปน็ สมาชกิ พวกเดยี วกนั ปกปอ้ งสมาชกิ กลมุ่ เดยี วกนั (หรอื ทใี่ ชใ้ นภาษา คำ� พดู ว่า พวกเดยี วกัน) เป็นการอธิบายถงึ กระแสความบ้าคล่งั หลงใหลอย่างหน่งึ ผ้ทู ย่ี ึดกระแส ดังกล่าว อาจจะท�ำการที่เรียกว่า การท�ำลายตนเองเพ่ือผลประโยชน์คือความเสียหายของกลุ่ม ศตั รูในจำ� นวนมากกว่าหลายเท่า (Altruistic Suicide) เช่นกรณรี ะเบิดพลีชพี (Life Bombing) ของผกู้ ่อการรา้ ยคนเดยี วที่กระท�ำต่อรฐั ต่อเจ้าหน้าท่ขี องรัฐ สร้างความสญู เสยี ต่อชวี ติ ของเจ้า หน้าที่รัฐจ�ำนวนมากและรวมถึงความเสียหายแก่สาธารณะสถานและสาธารณสมบัติ ดังที่เกิด ขนึ้ ในพน้ื ทตี่ า่ ง ๆ ทวั่ โลก ทใี่ ดกต็ ามมคี วามขดั แยง้ เรอื่ งภพ หรอื สถานภาพทางสงั คมและทางการ เมืองสูง ณ ทแ่ี ห่งน้ันสภาพการพลีชพี เพ่อื สรา้ งความเสียหายแกฝ่ า่ ยตรงกันข้ามย่อมเกิดข้นึ เปน็ 92 ประจ�ำ นักวิชาการรุ่นบุกเบิกทางสังคมศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส ช่ือ Emile Durkheimได้ศึกษา ปรากฏการณ์ทางสังคมที่เรียกว่า อัตนิวิบาตกรรม (Suicide) หรือการฆ่าตัวตายในสังคมยุโรป เขาได้พบความสัมพันธ์ระหว่างการฆ่าตัวตายกับสภาพหรือภพทางสังคมสภาพทางสังคมที่แตก ตา่ งกนั ส่งผลใหเ้ กดิ การฆา่ ตัวตายแบบต่าง ๆ กลา่ วคือ (๑) ในสังคมท่ีมีความเป็นปกึ แผ่นสูง มี การยึดมั่นกับประเพณีวัฒนธรรมอย่างเข้มงวด สมาชิกในกลุ่มหรือสังคมแบบนี้จะมีความจงรัก ภกั ดี (Royalty) ตอ่ กลมุ่ สงู จะปกปอ้ งกลมุ่ และสมาชกิ ในกลมุ่ ทกุ วถิ ที าง รวมถงึ การพลชี พี ตนเอง เช่นในสังคมชาวคาธอลกิ อัตราคนฆา่ ตัวตายเพอื่ ประโยชน์ของกลมุ่ (Altruistic Suicide) จะสูง กวา่ อตั ราการฆา่ ตวั ตายเพราะสาเหตอุ ยา่ งอนื่ (๒) ในสงั คมทก่ี ำ� ลงั เปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ทาง เศรษฐกจิ และทางการเมอื ง บรรทดั ฐานทางสงั คมจะออ่ นแอ เชน่ กฎหมาย กฎประเพณตี า่ งๆ ไม่ สามารถเปน็ ทพี่ ึง่ ของสมาชิกในสังคมได้ ภาวะไรบ้ รรทัดฐานทางสงั คม (Anormy) จะเปน็ ปัจจยั ผลกั ดนั ใหค้ นฆา่ ตวั ตาย (Anormic Suicide) และ (๓) ในสงั คมปกตโิ ดยทวั่ ไป เชน่ สงั คมเมอื งทมี่ ี ๒๑ มาจากคำ� วา่ ยถาสารปุ ปะสนั โดษ คอื ยนิ ดตี ามทส่ี มควรแกภ่ าวะหรอื ฐานะทต่ี นเปน็ อยู่ : อา้ งแลว้ , สมเดจ็ พระ โฆษาจารย์ (ปอ. ปยตุ โต), พทุ ธธรรมฉบบั ประมวลศพั ท,์ พมิ พค์ รงั้ ที่ ๑๒, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๑) หนา้ ๔๓๐. ๒๒ อา้ งแลว้ หนา้ ๔๔๔
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196