ลกั ษณะการเมอื งการปกครอง • ประเทศตำ่ งๆ ย่อมมรี ะบบกำรเมอื งกำรปกครองทีป่ ระชำชนส่วนใหญข่ องประเทศเชอ่ื ว่ำเหมำะสม กบั สภำพ ทำงเศรษฐกจิ สงั คม และวัฒนธรรม หำกระบอบกำรเมอื งกำรปกครองในขณะนัน้ เกดิ ควำมไม่เหมำะสมต้องมี กำรเปลยี่ นแปลงและพัฒนำรูปแบบกำรเมืองกำรปกครองให้เหมำะสม ระบอบกำรปกครองที่ประเทศตำ่ งๆ ใช้กันอยู่ มี ๒ ระบอบ คอื ระบอบประชำธิปไตย และ ระบอบเผดจ็ กำร
ระบอบประชาธิปไตย • อำนำจอธปิ ไตยเป็นอำนำจสูงสุดในกำรปกครองประเทศ เป็นอำนำจท่ีมำจำกปวงชน ผู้ปกครอง ตอ้ งไดร้ บั ควำมยนิ ยอมจำกประชำชนส่วนใหญใ่ นประเทศ • รฐั บำลตอ้ งเคำรพสทิ ธแิ ละเสรีภำพขัน้ พน้ื ฐำนของประชำชน ต้องไมล่ ะเมดิ สทิ ธิ เว้นแต่เพื่อรกั ษำควำม มน่ั คงของชำติ • ประชำชนมสี ิทธเิ สมอภำคกันท่ีจะไดร้ บั กำรบริกำรจำก ภำครัฐ • รัฐบำลยึดหลกั นิตริ ัฐเปน็ บรรทัดฐำนในกำรปกครองประเทศ และในกำรแกไ้ ขประเทศ ไม่ออกกฎหมำย ท่มี ีผลเป็นกำรลงโทษบุคคลยอ้ นหลงั
ระบอบเผดจ็ การ • มีผู้นำหรอื พรรคกำรเมอื งเพียงกลุม่ เดียว มอี ำนำจสูงสุดในกำรปกครอง ประเทศ • กำรรกั ษำควำมม่นั คงของผูน้ ำสำคญั กว่ำกำรคุ้มครองสิทธิของประชำชน • ผนู้ ำหรอื คณะผู้นำสำมำรถท่จี ะอยใู่ นอำนำจได้ตลอดชีวิต หรือนำนเทำ่ ทก่ี ลมุ่ ผ้รู ่วมงำนหรือ กองทพั ให้กำรสนับสนนุ ประชำชนทวั่ ไปไมม่ ีสิทธิท่ีจะเปลี่ยนผูน้ ำได้ • รฐั ธรรมนูญและกำรเลอื กต้งั ไม่สำคัญต่อกระบวนกำรปกครอง โดย รฐั ธรรมนูญเปน็ เพยี งแค่รำกฐำนรองรบั อำนำจของผนู้ ำหรอื คณะผู้นำ เทำ่ น้ัน
รปู แบบของรฐั รปู แบบของรัฐแบ่งไดเ้ ปน็ ๒ รปู แบบ เอกรฐั หรือรฐั เด่ียว สหพันธรฐั หรอื รัฐรวม
เอกรฐั หรือรฐั เดย่ี ว • รฐั ทมี่ ีรฐั บำลกลำงเพยี งรฐั เดยี วใช้อำนำจอธปิ ไตย ประเทศท่ีมรี ปู แบบของรัฐเดยี่ ว เชน่ ปกครองดินแดนท้ังหมด อำจมกี ำรกระจำย อำนำจให้ทอ้ งถน่ิ ได้บรหิ ำรกิจกำรของทอ้ งถ่นิ ได้ • ราชอาณาจักรสเปน ตำมทีร่ ฐั บำลเหน็ สมควร • ญีป่ ่นุ • สาธารณรฐั สงิ คโปร์ • ผลดีทเ่ี กิดจำกกำรปกครองรูปแบบน้ี คือ • ราชอาณาจักรไทย มคี วำมเปน็ เอกภำพสูง มีควำมเป็นปึกแผ่นม่ันคง และประหยัดงบประมำณในกำรบรหิ ำรประเทศ
สหพนั ธรฐั หรือรัฐรวม • รฐั ที่มีรัฐบำลสองระดบั คือ รัฐบำลกลำงและรัฐบำล ประเทศท่ีมีรูปแบบของรัฐรวม เชน่ ท้องถ่นิ ของแต่ละมลรัฐ รัฐบำลแตล่ ะระดบั จะใช้ อำนำจอธปิ ไตยปกครองตำมทร่ี ัฐธรรมนญู กำหนดไว้ • สหรฐั อเมรกิ า • สหพันธรัฐรสั เซีย • ผลดจี ำกกำรปกครองรูปแบบนี้ คือ ทำใหก้ ำรปกครอง • มาเลเซีย ส่วนท้องถ่ินเปน็ ไปอย่ำงทว่ั ถึงสำมำรถแกป้ ญั หำตำ่ งๆ ไดอ้ ยำ่ งรวดเรว็ ประเทศมคี วำมเจรญิ ก้ำวหน้ำ
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมุข • ประมขุ ของประเทศในระบอบประชำธปิ ไตย มรี ูปแบบสำคัญ ๒ รปู แบบ คอื พระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ และประธานาธิบดี เปน็ ประมุข โดยท้งั ๒ รูปแบบน้ี ประมขุ จะใช้อำนำจตำมท่รี ฐั ธรรมนูญกำหนดไว้ โดยประเทศท่มี พี ระมหำกษตั รยิ ์ทรงเป็นประมขุ พระองคจ์ ะทรงใชอ้ ำนำจอธิปไตยผ่ำนสถำบนั กำรปกครอง ไดแ้ ก่ รฐั สภำ คณะรฐั มนตรี และศำล โดยมนี ำยกรฐั มนตรีเปน็ หัวหนำ้ รฐั บำลหรือฝำ่ ยบรหิ ำร • สถำบันพระมหำกษัตริยม์ บี ทบำทสำคัญตอ่ กำรเมืองกำรปกครองระบอบประชำธิปไตยในฐำนะทีเ่ ป็นสถำบนั ใหค้ วำมชอบธรรมแก่ สถำบนั กำรปกครองอนื่ เป็นสถำบนั ท่อี ยใู่ นฐำนะสงู สุดที่จะใหค้ ำแนะนำตักเตอื นรัฐบำล อยู่ในฐำนะสูงสดุ ในกำรทจี่ ะแก้ไข วิกฤตกำรณ์ทำงกำรเมอื งให้ลดควำมรุนแรงลงหรอื ขจดั ใหห้ มดไปได้
อานาจนิติบัญญัติ การใชอ้ านาจอธิปไตย รัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา อานาจหน้าที่ อานาจหน้าท่ี • เสนอและพิจำรณำกฎหมำย • พิจำรณำรำ่ งพระรำชบัญญัติ • ควบคมุ กำรบริหำรรำชกำรแผน่ ดนิ • ควบคุมกำรบรหิ ำรรำชกำรแผน่ ดนิ • มสี ทิ ธเิ ข้ำช่ือเพ่อื ถอดถอนผดู้ ำรงตำแหน่งทำงกำรเมอื ง • ควบคุมกำรตรำกฎหมำยท่ขี ัดต่อรฐั ธรรมนูญ • ควบคุมกำรตรำกฎหมำยท่ีขัดหรือแยง้ ต่อรัฐธรรมนญู • มอี ำนำจในกำรถอดถอนผดู้ ำรงตำแหนง่ ทำงกำรเมอื ง
อานาจบริหาร คณะรัฐมนตรี อานาจหน้าท่ี • กำหนดนโยบำยกำรบริหำรรำชกำรแผน่ ดนิ ใหม้ ีควำมเปน็ ระเบียบเรยี บรอ้ ย • รกั ษำกฎหมำยและควำมสงบเรียบร้อยเพื่อใหป้ ระชำชนปลอดภัยในกำรดำเนนิ ชวี ิต • ควบคุมขำ้ รำชกำรประจำให้นำนโยบำยไปปฏบิ ัตแิ ละประสำนงำนกบั กระทรวงตำ่ งๆ ให้เป็นไปในทำงเดียวกัน • ออกมตติ ่ำงๆ เพ่ือใหก้ ระทรวง กรมต่ำงๆ ถอื ปฏบิ ัติและเป็นแนวทำงในกำรบริหำรจัดกำร • เสนอกฎหมำย พระรำชบญั ญตั ิ พระรำชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนูญ รวมทง้ั ออกพระรำชกำหนดให้ใช้บงั คบั ดงั เชน่ พระรำชบญั ญัติ ในกรณฉี ุกเฉนิ รีบด่วนมคี วำมจำ เปน็ อันมอิ ำจหลกี เล่ียงได้ในอันที่จะรกั ษำควำม ปลอดภัยของประเทศ ใหป้ ระเทศมีควำมมนั่ คง
อานาจตุลาการ ศาลรฐั ธรรมนูญ • พิจำรณำร่ำงพระรำชบัญญตั ิที่ผ่ำนกำรเห็นชอบจำกรัฐสภำ ศาล ศาลยตุ ธิ รรม • พจิ ำรณำวนิ ิจฉัยบทบญั ญัตแิ หง่ กฎหมำย • พจิ ำรณำปัญหำหนำ้ ทข่ี ององคก์ รต่ำงๆ • พจิ ำรณำพพิ ำกษำคดที ้ังปวง • พจิ ำรณำคดีแพง่ และคดอี ำญำทมี่ ีกำรอุทธรณ์ • พิจำรณำคดตี ำมทก่ี ฎหมำยบัญญัติ ศาลปกครอง • พิจำรณำคดที ี่เกีย่ วกับกำรใช้อำนำจทำงกำรปกครองตำม กฎหมำยตำมทกี่ ฎหมำยบัญญัติ ศาลทหาร • พิจำรณำคดีอำญำซึ่งผู้กระทำผดิ เปน็ บคุ คลที่อยใู่ น อำนำจศำลทหำร
ฐานะและพระราชอานาจของพระมหากษัตรยิ ์ รฐั ธรรมนูญบัญญัตวิ ่ำ “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย อันมีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ ” และ “อานาจอธิปไตยเปน็ ของปวงชนชาวไทย พระมหากษตั ริยผ์ ู้ทรงเปน็ ประมขุ ทรงใช้อานาจน้ันทางรฐั สภา คณะรฐั มนตรี และศาลตามบทบญั ญตั ิแห่งรฐั ธรรมนญู นี้” พระมหากษตั รยิ ข์ องประเทศไทยทรงอย่เู หนือการเมอื ง และทรงมีฐานะและพระราชอานาจตามรฐั ธรรมนูญ ดงั น้ี ๑ ทรงอยู่ในฐานะประมขุ ของประเทศ ๒ ทรงเปน็ กลางและทรงอยเู่ หนือการเมือง ๓ ทรงดารงอยใู่ นฐานะอนั เปน็ ทเ่ี คารพสกั การะ ๔ ทรงเปน็ ตัวแทนของปวงชนชาวไทย ๕ ทรงเปน็ เอกลักษณแ์ ละศนู ย์รวมแห่งความสามัคคี
อทิ ธพิ ลของระบอบการเมอื งการปกครองท่มี ผี ลตอ่ การดาเนินชีวิต • ประชำชนทกุ คนตกอยู่ภำยใต้อิทธิพลของระบอบกำรเมอื งกำรปกครองไมว่ ำ่ จะเปน็ ระบอบเผดจ็ กำร หรือระบอบ ประชำธปิ ไตย ยอ่ มสง่ ผลตอ่ กำรดำเนนิ ชวี ติ ของประชำชน อำจดีข้นึ หรอื เลวร้ำยลง ขนึ้ อยู่กับกำรนำมำใชใ้ ห้สอดคล้อง กบั วฒั นธรรมและสังคมของประเทศน้ันๆ อทิ ธิพลของระบอบการเมืองการปกครองมีผลตอ่ การดาเนนิ ชวี ติ ของคนไทย ดงั นี้ ๑ ทาให้ประชาชนในสงั คมเห็นความสาคญั ของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย ๒ ประชาชนเกิดความตระหนักในสิทธิและหน้าท่ีของตนเองต่อการปกครอง ๓ ทาให้ประชาชนตนื่ ตัวทางการเมือง มีสว่ นร่วมสนบั สนนุ กจิ กรรมทางการเมอื ง ๔ ทาให้เกดิ การแสดงความคิดเหน็ อย่างมีเหตุผล ท้งั ทีเ่ ห็นดว้ ยและไม่เห็นด้วย ๕ ทาใหค้ นในทอ้ งถ่นิ ร่วมมือกนั ปกป้องผลประโยชนข์ องท้องถิน่ ตน
สถานการณก์ ารเมอื งการปกครองของสังคมไทย ปัจจัยสาคญั ท่เี กือ้ หนนุ ให้สถานการณก์ ารเมอื งการปกครองของไทยมีความขัดแยง้ ระหว่างรฐั บาลกับประชาชนน้อยกว่าบางประเทศ • สำมำรถปรบั สถำนกำรณ์ด้ำนตำ่ งๆ ของประเทศใหส้ อดคลอ้ งกับกระแสโลกำภวิ ตั น์ ท้ังดำ้ นกำรเมอื ง เศรษฐกจิ และสังคม รวมทง้ั พยำยำมพง่ึ พำตวั เองในด้ำนเศรษฐกิจและสงั คมใหม้ ำกท่สี ุด เชน่ กำรน้อมนำเอำโครงกำรเศรษฐกจิ พอเพยี งมำใช้ • ไมม่ ีควำมขดั แย้งระหว่ำงกลุ่มตำ่ งเชื้อชำตหิ รือกล่มุ ตำ่ งศำสนำเหมอื นบำงประเทศ คนไทยสว่ นใหญไ่ มล่ บหลู่ศำสนำอ่นื มีจิตใจ เอ้ืออำรตี ่อ ทำให้คนทุกเชอื้ ชำตทิ ุกศำสนำสำมำรถอยูร่ ว่ มกนั ไดอ้ ยำ่ งสันติ • มสี ถำบนั พระมหำกษตั ริย์เป็นท้ังเอกลกั ษณ์ของชำติและศูนย์รวมแห่งควำมสำมัคคีของคนในชำติ พระมหำกษตั ริย์ของไทยทรง เปน็ อัครศำสนปู ถมั ภก ทรงหว่ งใยชำวไทยทกุ หมเู่ หล่ำทกุ ภูมภิ ำค ทำใหท้ รงเปน็ ที่เคำรพสักกำระและเปน็ ศนู ยร์ วมจิตใจของชำว ไทยท้งั ประเทศ • มกี ำรปฏริ ปู กำรเมืองไทยท้งั ระบบให้เป็นกำรเมอื งของพลเมือง เพื่อให้มคี วำมโปรง่ ใส ตรวจสอบได้ นักกำรเมอื งมคี ุณธรรม จรยิ ธรรม ลดปญั หำทุจริตคอร์รัปชัน กำรแสวงหำผลประโยชนส์ ่วนตน มีบทลงโทษทเี่ ดด็ ขำด มีองคก์ รทำงกำรเมืองและ ประชำชนเป็นผู้ตรวจสอบ
ปญั หาการเมอื งสาคัญทเี่ กิดข้นึ ภายในประเทศ • แมว้ ำ่ ประเทศไทยจะมกี ำรปกครองระบอบประชำธปิ ไตย อนั มีพระมหำกษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข แตส่ ถำนกำรณ์ ปัญหำทำงกำรเมอื งของประเทศก็ยังคงมมี ำอยำ่ งตอ่ เนอ่ื ง ซง่ึ อำจเกิดจำกปัจจัยหลำยประกำรดว้ ยกนั เชน่ ประชำชนส่วนใหญข่ องประเทศยงั ขำดกำรมีส่วนร่วมในกิจกรรมทำงกำรเมืองกำรปกครอง ผลประโยชนแ์ อบแฝง ของนักกำรเมอื งบำงส่วน เป็นต้น ปัญหาการเมอื งสาคัญทเี่ กิดขึ้นภายในประเทศ • ควำมคิดเห็นทำงกำรเมืองของคนไทยแตกต่ำงกนั • ควำมออ่ นแอของฝำ่ ยบรหิ ำร • พรรคกำรเมืองมจี ำนวนมำกเกินไป • เกดิ ปัญหำทุจรติ คอรร์ ปั ชั่นในวงกวำ้ ง • นกั กำรเมืองบำงคนอำศัยอำนำจทำงกำรเมอื งเพอ่ื หำผลประโยชนใ์ หก้ บั ตนเอง
การดาเนินนโยบายด้านความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศของไทย • ปจั จุบนั ประเทศตำ่ งๆ ทั่วโลกใหค้ วำมสำคญั กบั กำรสร้ำงสนั ตภิ ำพและควำมม่ันคงทำงเศรษฐกิจ มกี ำรตดิ ตอ่ แลกเปล่ยี นช่วยเหลอื กัน ท้งั ภำยในภมู ภิ ำคและภำยนอกภูมิภำค มีรูปแบบกำรสร้ำง ควำมสัมพันธ์ทั้งทำงด้ำนกำรทูต กำรค้ำ กำรแลกเปลี่ยนทำงด้ำนวัฒนธรรม กำรศึกษำ กีฬำ และเทคโนโลยี • ประเทศไทยได้มีกำรร่วมมือแลกเปลี่ยนและสร้ำงควำมสัมพนั ธ์กับประเทศต่ำงๆ ในภูมิภำคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้และประเทศต่ำงๆ ท่ัวโลก มีวัตถุประสงค์เพ่ือกำรประสำนประโยชน์ร่วมกัน และสร้ำงควำมสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในรูปแบบต่ำงๆ เช่น ร่วมจัดต้ังองค์กรระหว่ำงประเทศ เข้ำร่วม เปน็ สมำชกิ องคก์ ำรด้ำนควำมร่วมมือตำ่ งๆ เปน็ ต้น
การเป็นสมาชกิ องค์การความรว่ มมอื ระหวา่ งประเทศ องค์การสหประชาชาติ (UN) • ได้รบั กำรจดั ตงั้ ขึ้นเม่ือวันท่ี ๒๔ ตลุ ำคม พ.ศ. ๒๔๘๘ (ค.ศ. ๑๙๔๕) หลงั สงครำมโลกครัง้ ท่สี องยุตลิ ง มสี ำนกั งำนใหญต่ ้ังอยทู่ กี่ รุงนวิ ยอรก์ ประเทศสหรฐั อเมรกิ ำ ปัจจบุ นั มีประเทศเอกรำชทุกภมู ิภำคเป็นสมำชิก ไม่ตำ่ กวำ่ ๑๙๐ ประเทศ วตั ถปุ ระสงค์ • รักษำสนั ตภิ ำพ ควำมมน่ั คง และพัฒนำควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งประเทศ โดยอย่บู นพนื้ ฐำนของหลักสิทธมิ นุษยชนและควำมเทำ่ เทยี มกนั ของมนุษย์ • สง่ เสรมิ ประชำธิปไตย สทิ ธิ เสรภี ำพ ควำมเสมอภำค บนพืน้ ฐำนของหลกั ควำมยุติธรรมและกฎหมำยระหวำ่ งประเทศ • อนรุ กั ษแ์ ละบรู ณะสถำนท่สี ำคัญทำงประวตั ศิ ำสตร์ วัฒนธรรม และสถำปตั ยกรรม
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ (ASEAN) • ก่อต้ังเม่อื พ.ศ. ๒๕๑๐ (ค.ศ. ๑๙๖๗) โดยมสี มำชิกเรม่ิ แรก ๕ ประเทศ คอื ไทย อนิ โดนเี ซยี มำเลเซีย ฟลิ ปิ ปินสแ์ ละสิงคโปร์ ปจั จบุ นั มีสมำชกิ ๑๐ ประเทศ โดยสมำชกิ เพ่มิ เตมิ ได้แก่ บรูไน เวียดนำม ลำว เมยี นมำ และกัมพชู ำ มีสำนกั งำนใหญต่ ้งั อยทู่ ี่กรงุ จำกำร์ตำ ประเทศอนิ โดนีเซีย วัตถปุ ระสงค์ • ส่งเสริมเสถียรภำพ สนั ติภำพ และควำมมน่ั คงภำยในภมู ิภำค • เสรมิ สร้ำงควำมสัมพนั ธ์อันดกี ับประเทศนอกภมู ิภำค • เพื่อเรง่ รัดควำมเติบโตทำงเศรษฐกจิ ควำมก้ำวหน้ำทำงสังคมและวัฒนธรรมของภมู ภิ ำค • ส่งเสริมควำมรว่ มมอื ในทำงวชิ ำกำร ทั้งกำรฝึกอบรม กำรแลกเปล่ียนเรยี นร้แู ละกำรวิจยั
เขตการคา้ เสรอี าเซยี น (AFTA) • เป็นควำมรว่ มมือทำงเศรษฐกจิ ของประเทศในกลุ่มอำเซียน ซ่งึ เปน็ ควำมคดิ ริเริม่ ของนำยอำนันท์ ปนั ยำรชุน นำยกรัฐมนตรีของไทยในขณะน้นั ท่เี สนอต่อ ท่ปี ระชุมสดุ ยอดอำเซียน ณ ประเทศสิงคโปร์ เม่อื พ.ศ. ๒๕๓๕ วตั ถปุ ระสงค์ • สง่ เสริมกำรคำ้ ในอำเซียนให้ขยำยตวั เพ่มิ ข้นึ • ลดภำษแี ละอุปสรรคข้อกีดขวำงทำงกำรค้ำ เพอ่ื ดงึ ดูดกำรลงทนุ จำกต่ำงชำติ • เพม่ิ ขีดควำมสำมำรถในกำรต่อรองทำงกำรค้ำโลก • เปน็ เปน็ เวทแี สดงควำมคิดเหน็ หำกถูกเอำรัดเอำเปรยี บทำงกำรคำ้ จำกประเทศอ่นื
ความรว่ มมือทางเศรษฐกิจในภมู ภิ าคเอเชยี -แปซฟิ ิก (APEC) • กอ่ ตง้ั ขน้ึ ใน พ.ศ. ๒๕๓๒ (ค.ศ. ๑๙๘๙) ตำมข้อเสนอของนำยบ๊อบ ฮอร์ก (Bob Hawke) อดีตนำยกรฐั มนตรปี ระเทศออสเตรเลีย ปจั จบุ ันมีสมำชิก ๒๑ เขตเศรษฐกิจ วตั ถปุ ระสงค์ • สง่ เสริมและพัฒนำระบบกำรคำ้ เพ่ือกำรขยำยตวั ทำงเศรษฐกจิ ของภูมภิ ำคและของโลก • เป็นเวทีสำหรับใหส้ มำชกิ ปรกึ ษำหำรือ แลกเปลยี่ นขอ้ คิดเห็นกันทำงด้ำนเศรษฐกิจ • สง่ เสริมให้กำรคำ้ และกำรลงทนุ เป็นไปอย่ำเสรี • ลดอปุ สรรคและอำนวยควำมสะดวกทำงกำรค้ำและบรกิ ำรระหว่ำงประเทศสมำชกิ
องค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) • เป็นองค์กำรระหวำ่ งประเทศท่จี ดั ต้ังขึน้ ตำมขอ้ ตกลงทั่วไปว่ำด้วยภำษีศลุ กำกร และกำรค้ำหรือแกตต์ (GATT) โดยได้รบั กำรจัดตัง้ อยำ่ งเป็นทำงกำร เม่อื วนั ท่ี ๑ มกรำคม พ.ศ. ๒๕๓๘ สำหรับประเทศไทยกเ็ ป็นสมำชิกรว่ มก่อตัง้ ด้วย วัตถุประสงค์ • ส่งเสรมิ ให้กำรค้ำระหว่ำงประเทศเป็นไปโดยเสรมี ำกขึ้น • สง่ เสริมกำรแขง่ ขนั ทำงกำรค้ำทเี่ ป็นธรรมไม่เลือกปฏิบตั ิ • กำกบั ดแู ลกำรดำเนินงำนของประเทศสมำชิกให้เป็นไปตำมข้อตกลงขององคก์ ำรกำรค้ำโลก • ยุตขิ อ้ พพิ ำททีอ่ ำจมีข้นึ ระหว่ำงประเทศสมำชิก • เป็นเวทเี จรจำกำรคำ้ ของประเทศสมำชกิ • ตดิ ตำมและตรวจสอบนโยบำยทำงกำรคำ้ ของประเทศสมำชิกอย่ำงสม่ำเสมอ
การแลกเปล่ยี นเพอื่ ช่วยเหลอื และสง่ เสรมิ ดา้ นเศรษฐกิจการศกึ ษา สงั คมและวฒั นธรรม ด้านเศรษฐกิจ • ควำมรว่ มมอื ระหวำ่ งไทย - ลำว เชน่ เช่น สะพำนมติ รภำพไทย - ลำว แห่งที่ ๑,๒ เพอ่ื เดนิ ทำงสะดวกและชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู ด้ำนเศรษฐกจิ • ควำมรว่ มมือระหวำ่ งไทย - ลำว - เวยี ดนำม - จนี ในกำรสรำ้ งเส้นทำงคมนำคมเช่ือมต่อกนั เพ่อื ควำมสะดวกในกำรตดิ ตอ่ ค้ำขำย • ควำมรว่ มมอื ระหวำ่ งไทย - สหภำพพมำ่ - ลำว - กัมพชู ำ - เวยี ดนำม ตำมโครงกำรควำมรว่ มมอื ทำงเศรษฐกิจอริ วดี - เจ้ำพระยำ - แมโ่ ขง เพื่อสรำ้ งควำมเจริญก้ำวหน้ำทำงด้ำนเศรษฐกจิ สงั คม กำรเมอื ง วฒั นธรรม และกำรทอ่ งเทีย่ ว • ควำมร่วมมือระหวำ่ งไทย - ลำว - กัมพูชำ - เวยี ดนำม ในโครงกำรพัฒนำทรพั ยำกรนำ้ ในลุม่ แม่น้ำโขงตอนลำ่ ง เพอ่ื กำรใช้ประโยชนจ์ ำก แม่น้ำโขงร่วมกนั ดา้ นการศึกษา • มีกำรไปศึกษำดูงำน กำรไปศึกษำต่อทตี่ ่ำงประเทศ โครงกำรทุนกำรศึกษำจำกประเทศตำ่ งๆ กำรแลกเปล่ียนนักศึกษำ โครงกำรทำวิจัยรว่ มกัน เปน็ ต้น ดา้ นสังคมและวฒั นธรรม • ควำมร่วมมือในกำรเผยแพร่และแลกเปล่ยี นวัฒนธรรมกบั ประเทศในกลุ่มอำเซยี น ดว้ ยกำรจดั แสดงนิทรรศกำรด้ำนศิลปวัฒนธรรม ประกวดวรรณกรรมรำงวลั ซีไรต์ แขง่ ขนั กฬี ำ กำรจดั นิทรรศกำรทำงด้ำนศลิ ปะ เปน็ ตน้
หนา้ ทพ่ี ลเมือง วัฒนธรรม และการดาเนนิ ชวี ติ ในสงั คม หน่วยกำรเรียนรู้ที่ ๑ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ่ี ๒ หน่วยกำรเรียนรทู้ ี่ ๓ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ่ี ๔ ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ๔ - ๖ กลมุ่ สาระการเรยี นร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม หนว่ ยกำรเรียนร้ทู ่ี ๕ หนว่ ยกำรเรียนรูท้ ่ี ๖ หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ี่ ๗ ๑_หลกั สตู รวชิ าสงั คมศกึ ษา ๒_แผนการจัดการเรียนรู้ ๓_PowerPoint_ประกอบการสอน ๔_Clip ๕_ใบงาน_เฉลย ๖_ขอ้ สอบประจาหนว่ ย_เฉลย ๗_ การวดั และประเมินผล ๘_เสรมิ สาระ ๙_สอ่ื เสริมการเรยี นรู้ บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด : 142 ถนนตะนำว เขตพระนคร กรงุ เทพฯ 10200 Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand โทรศพั ท์ : 02 622 2999 โทรสำร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com
๖หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ รัฐธรรมนูญ แหง่ ราชอาณาจักรไทย จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ • เสนอแนวทำงและมีส่วนรว่ มในกำรตรวจสอบกำรใช้อำนำจรัฐได้
ความเป็นมาของรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย • ตงั้ แต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ เปน็ ต้นมำ ประเทศไทยได้พฒั นำเข้ำสู่กำรเมืองกำรปกครองระบอบประชำธิปไตย อนั มีพระมหำกษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข ใช้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมำยสงู สุด กำหนดหลกั กำรสำคญั เช่น สิทธิเสรีภำพและหนำ้ ท่ขี องประชำชน หนำ้ ทข่ี องรฐั สภำ หนำ้ ท่ีของรฐั บำล กำรเขำ้ ไปมสี ว่ นร่วม ในทำงกำรเมืองกำรปกครองของประชำชน เป็นตน้ • ตลอดเวลำกว่ำ ๘๐ ปที ผี่ ำ่ นมำประเทศไทยมีกำรประกำศใช้รัฐธรรมนูญ กำรแกไ้ ขเพิม่ เตมิ และกำรยกเลิก รัฐธรรมนญู หลำยครงั้ เพ่อื ใหเ้ หมำะสมและสอดคลอ้ งกับสถำนกำรณข์ องบ้ำนเมอื งและยุคสมยั ที่ เปลย่ี นแปลงไป กระท่ังคร้ังล่ำสดุ รัฐธรรมนญู แห่งรำชอำณำจักรไทย ฉบบั ที่ ๒๐ ไดผ้ ่ำนกำรเห็นชอบจำก ประชำชนโดยกำรลงประชำมติ
ท่มี าของรฐั ธรรมนูญ • ยดื เยอื้ มำต้ังแตพ่ .ศ. ๒๕๔๙ จนถงึ เดือนพฤษภำคม พ.ศ. ๒๕๕๗ มสี ำเหตสุ ำคญั มำจำกกำรมีควำมคิดเห็นทำง เกิดความขัดแย้งทางการเมอื ง กำรเมอื งที่แตกต่ำงกนั ของคนในชำติ ท่มี แี นวโน้มรุนแรงและบานปลาย • เกดิ ขึ้นเมอื่ วันท่ี ๒๒ พฤษภำคม พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยมี คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปำ้ หมำยสำคัญเพื่อยุตคิ วำมขดั แยง้ สรำ้ งควำมสำมัคคีและ เข้าควบคมุ อานาจการปกครอง คนื ควำมสขุ ใหแ้ กป่ ระชำชนชำวไทย กรธ. ทาการรา่ งรัฐธรรมนญู • คณะกรรมกำรร่ำงรัฐธรรมนูญ มีนำยมีชยั ฤชุพันธ์ เป็นประธำน แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. ๒๕๕๙ ไดท้ ำกำรรำ่ งรัฐธรรมนญู ใหแ้ ลว้ เสรจ็ ภำยใน ๑๘๐ วนั โดยมี เน้อื หำ ๑๖ หมวด ๒๗๘ มำตรำ คณะกรรมการการเลอื กต้ัง จัดการลงประชามติ • ผลกำรออกเสียงประชำมติ ปรำกฏว่ำรัฐธรรมนูญผ่ำนควำม เห็นชอบดว้ ยคะแนนเสยี ง ๑๖,๘๒๐,๔๐๒ และมีผไู้ มเ่ หน็ ชอบ วันที่ ๗ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ๑๐,๙๒๖,๖๔๘
โครงสรา้ งและความสาคญั ของรฐั ธรรมนูญ โครงสร้างของรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย ในทน่ี จี้ ะนารัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทยในบางหมวดมาเปน็ ตวั อย่าง เพอ่ื แสดงให้เหน็ โครงสรำ้ งของรัฐธรรมนญู ใหช้ ัดเจน มำกย่ิงข้นึ ดังนี้ • หมวด ๓ สทิ ธเิ สรภี ำพของชนชำวไทย ได้กำหนดใหป้ ระชำชนชำวไทยมีสทิ ธิและเสรีภำพที่สำคญั ใน หลำยด้ำน เช่น สทิ ธิในทรัพย์สิน เสรภี ำพในกำรเดินทำง เป็นตน้ นอกจำกนั้นยงั มกี ำรแกไ้ ขในเรือ่ ง สทิ ธิเสรภี ำพ โดยได้ย้ำยสิทธิบำงประกำร เช่น สิทธิด้ำนกำรศกึ ษำ ได้ยำ้ ยไปอยใู่ นหมวดใหม่ท่ีว่ำดว้ ย หนำ้ ท่ีของรัฐ • หมวด ๗ กำรมสี ่วนร่วมทำงกำรเมอื งโดยตรงของประชำชน กำหนดหลักเกณฑแ์ ละวธิ กี ำรใชส้ ทิ ธิ โดยตรงของประชำชนในเรอ่ื งกำรเขำ้ ช่ือเสนอกฎหมำย กำรเข้ำช่ือถอดถอนบุคคลออกจำกตำแหนง่ • หมวด ๕ หนำ้ ทข่ี องรัฐ ส่ิงทเ่ี พิ่มเข้ำมำในรัฐธรรมนญู ฉบบั ปัจจุบนั คือยำ้ ยสทิ ธบิ ำงประกำรใน รัฐธรรมนญู ฉบบั เดมิ มำอยู่ในหมวดหนำ้ ทข่ี องรัฐ เพอ่ื บงั คบั ใหร้ ฐั ทำตำมรัฐธรรมนูญ หำกรฐั ไมก่ ระทำ ประชำชนและชุมชนสำมำรถติดตำม เรง่ รดั รวมท้งั ฟ้องรอ้ งหนว่ ยงำนของรัฐท่ีเกี่ยวข้อง เพื่อจัดให้ ประชำชนหรอื ชุมชนได้รับประโยชนน์ ้ัน
ความสาคญั ของรฐั ธรรมนูญ ยืนยันควำมเป็นเอกรำชของประเทศไทย รับรองควำมเป็นเอกรัฐของประเทศไทย ยืนยันว่ำประเทศไทยมีกำรปกครองระบอบประชำธปิ ไตยอันมี พระมหำกษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ ซึ่งทรงใชอ้ ำนำจอธปิ ไตยของ ปวงชนชำวไทยผ่ำนทำงรฐั สภำ คณะรัฐมนตรี และศำล คุ้มครองศักดิศ์ รีควำมเปน็ มนุษย์ สิทธิและเสรภี ำพของชนชำวไทย ใหค้ วำมคุ้มครองประชำชนชำวไทย ไม่ว่ำจะมีเหล่ำกำเนิดใด เพศใด หรอื นับถือศำสนำใดอยำ่ งเสมอกัน
หลักการทีก่ าหนดไว้ในรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย รัฐธรรมนญู ไดบ้ ัญญตั ิหลกั การสาคญั ๆ ไว้ ๔ ประการ • การส่งเสรมิ และคมุ้ ครองสทิ ธเิ สรภี าพของประชาชนอย่างเต็มท่ี เพื่อเพมิ่ สิทธขิ องประชำชน ใหก้ วำ้ งขวำงมำกข้นึ ลดกำรผูกขำดอำนำจรัฐและกำรใช้อำนำจรฐั อย่ำงไม่เปน็ ธรรม • การลดการผกู ขาดอานาจรัฐและการใช้อานาจอยา่ งไม่เป็นธรรม เพอื่ ลดกำรแทรกแซงกำรทำงำนของ ข้ำรำชกำรและหนว่ ยงำนภำครฐั กำรทำงำนทอ่ี สิ ระ ปรำศจำกกำรครอบงำจำกกำรเมือง • การทาให้การเมอื งมคี วามโปร่งใส มคี ณุ ธรรม และจรยิ ธรรม เพ่อื ลดปญั หำกำรทจุ ริตคอรร์ ัปชนั่ • การทาใหร้ ะบบตรวจสอบมคี วามเขม้ แขง็ และทางานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เพือ่ ให้องค์กรอสิ ระ ทีจ่ ดั ตงั้ ตำมรฐั ธรรมนูญไดท้ ำงำนอยำ่ งเป็นอิสระ ไมถ่ ูกแทรกแซงจำกภำคกำรเมือง
แนวทางการปฏิบัตติ นตามบทบญั ญัตขิ องรฐั ธรรมนูญ แนวทางการปฏบิ ตั ิตนตามบทบัญญตั ิของรฐั ธรรมนญู • เขา้ ไปมีส่วนรว่ มในกระบวนการทางประชาธปิ ไตยทุกระดบั ท้งั ในระดบั ท้องถ่นิ และระดับชำติ โดยไปออกเสยี งเลือกตั้งผูแ้ ทนท่ีดใี หท้ ำหน้ำทีเ่ ปน็ สมำชิกสภำองค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ สมำชกิ สภำผู้แทนรำษฎรและสมำชกิ วฒุ สิ ภำ • ทาหน้าทีต่ ดิ ตามตรวจสอบการใช้อานาจของสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรและผู้บรหิ ารทกุ ระดบั อยา่ งใกลช้ ดิ เพ่อื ป้องกนั มิใหบ้ ุคคลดงั กล่ำวใช้อำนำจรัฐเพื่อประโยชนส์ ่วนตวั หรือในทำงทจุ ริต • ใหก้ าลังใจและสนบั สนุนนกั การเมอื งทีด่ แี ละพรรคการเมอื งท่ดี ี โดยไปออกเสยี ง เลอื กนักกำรเมืองหรือพรรคกำรเมืองท่ดี ใี หม้ โี อกำสไปปกครองบ้ำนเมือง
บทบญั ญตั ิเกีย่ วกบั รฐั สภา คณะรัฐมนตรี และศาล รัฐสภา • รฐั สภำประกอบด้วยสภำผ้แู ทนรำษฎรและวฒุ สิ ภำ รฐั สภำจะประชมุ รว่ มกนั หรือแยกกนั ย่อมเปน็ ไปตำม บทบญั ญัตแิ ห่งรัฐธรรมนูญ • ประธำนสภำผแู้ ทนรำษฎรเป็นประธำนรฐั สภำ ประธำนวฒุ สิ ภำเปน็ รองประธำนรัฐสภำ ประธำนรัฐสภำและ ผทู้ ำหน้ำที่แทนประธำนรัฐสภำตอ้ งวำงตนเปน็ กลำงในกำรปฏบิ ตั หิ นำ้ ท่ี • ทำหนำ้ ที่พจิ ำณำรำ่ งพระรำชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญ หรือร่ำงพระรำชบญั ญตั ทิ จ่ี ะตรำเป็นกฎหมำย • ในกำรประชมุ สภำตอ้ งมผี ู้เขำ้ รว่ มมำกกวำ่ กึ่งหนึ่งของจำนวนสมำชกิ ท้ังหมด โดยเปิดสมัยประชุมปีละ ๒ คร้ัง ครัง้ ละ ๑๒๐ วัน • กำรประชุมสภำผแู้ ทนรำษฎรและวุฒสิ ภำต้องมสี มำชกิ ไมน่ อ้ ยกว่ำกึ่งหนึ่งของสมำชกิ ท้ังหมด • พระมหำกษตั รยิ ท์ รงไว้ซึ่งพระรำชอำนำจในกำรยุบสภำผแู้ ทนรำษฎร เพอ่ื ให้มีกำรเลอื กต้งั ใหม่ โดยกำร ประกำศเปน็ พระรำชกฤษฎกี ำ ตำมคำแนะนำของนำยกรฐั มนตรี
คณะรัฐมนตรี • ประธำนสภำผู้แทนรำษฎรเปน็ ผลู้ งนำมรบั สนองพระบรมรำชโองกำรแตง่ ตั้งนำยกรฐั มนตรี • นำยกรฐั มนตรีเป็นผลู้ งนำมสนองพระบรมรำชโองกำรแตง่ ตัง้ รัฐมนตรที ที่ ูลเกล้ำเสนอ ก่อนเข้ำรบั หน้ำท่ีนำยกฯ และรัฐมนตรตี ้องถวำยสัตยป์ ฏญิ ำณตอ่ พระมหำกษตั รยิ ์ • รัฐมนตรีตอ้ งดำเนินตำมบทบัญญัติแหง่ รฐั ธรรมนญู และนโยบำยท่แี ถลงไวต้ ่อรฐั สภำ และตอ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ สภำ ผู้แทนรำษฎรในหน้ำทข่ี องตนรวมท้งั ตอ้ งรบั ผิดชอบร่วมกนั ต่อรัฐสภำในนโยบำยท่ัวไปของคณะรฐั มนตรี • คณะรฐั มนตรที ่ีพน้ จำกตำแหนง่ ต้องอยูใ่ นตำแหน่งเพอ่ื ปฏิบตั หิ นำ้ ที่ต่อไปจนกว่ำคณะรัฐมนตรีท่ตี ง้ั ข้ึนใหม่จะเขำ้ รบั หน้ำที่ • ควำมเป็นรฐั มนตรสี น้ิ สุดลงเฉพำะตัว เชน่ เมอ่ื ตำย ลำออก สภำผแู้ ทนรำษฎรมมี ติไม่ไวว้ ำงใจเป็นรำยบคุ คล
ศาล • กำรพจิ ำรณำพิพำกษำอรรถคดี เป็นอำนำจของศำลซ่ึงตอ้ งดำเนินกำรใหเ้ ปน็ ไป โดยยุตธิ รรมตำมรฐั ธรรมนญู ตำมกฎหมำย และในพระปรมำภิไธยของพระมหำกษตั รยิ ์ • กำรบัญญตั ิกฎหมำยใหม้ ีผลเป็นกำรเปลย่ี นแปลงหรอื แก้ไขเพม่ิ เติมกฎหมำยว่ำดว้ ยธรรมนูญศำลหรอื วธิ ี พจิ ำรณำเพ่อื ใชแ้ ก่คดใี ดคดหี นึ่งโดยเฉพำะจะกระทำมไิ ด้ • ในคดีอำญำ ผตู้ ้องหำหรอื จำเลยยอ่ มมีสิทธิได้รับกำรสอบสวนหรอื กำรพิจำรณำคดีท่ถี กู ต้องดว้ ยควำมรวดเรว็ และเปน็ ธรรม • ผพู้ พิ ำกษำและตุลำกำรมีอสิ ระในกำรพจิ ำรณำพิพำกษำอรรถคดีให้เป็นไปโดยถูกตอ้ ง รวดเรว็ และเปน็ ธรรม ตำมรัฐธรรมนูญและกฎหมำย • ก่อนทจี่ ะเข้ำรับหนำ้ ที่ ผู้พิพำกษำและตุลำกำรตอ้ งถวำยสตั ย์ปฏิญำณตอ่ พระมหำกษตั ริย์ • คำวินิจฉยั ของศำลรฐั ธรรมนญู ให้เปน็ เดด็ ขำด มีผลผกู พันรัฐสภำ คณะรัฐมนตรี ศำล และองค์กรอ่นื ของรฐั • ศำลยุติธรรมมีสำมชน้ั คอื ศำลชั้นต้น ศำลอทุ ธรณ์ และศำลฎีกำ มอี ำนำจพิจำรณำพิพำกษำคดีทงั้ ปวง เวน้ แต่ คดีทีร่ ฐั ธรรมนูญนห้ี รือกฎหมำยบญั ญัติใหอ้ ยูใ่ นอำนำจของศำลอน่ื • ศำลปกครองมี ๒ ชน้ั คือ ศำลปกครองชัน้ ต้นและศำลปกครองสูงสดุ ซ่ึงทำหน้ำท่เี หมอื นศำลฎีกำในระบบของ ศำลยุติธรรม • ศำลทหำรมอี ำนำจพิจำรณำพพิ ำกษำคดอี ำญำ และคดีอื่นตำมทก่ี ฎหมำยบญั ญตั ิ ซงึ่ ผ้กู ระทำผิดเป็นผู้ท่ีอย่ใู น อำนำจศำลทหำร
พรรคการเมือง การเลือกตงั้ รัฐบาล และการจัดตั้งรัฐบาล พรรคการเมือง ความหมายของพรรคการเมือง • พรรคการเมือง คือ องคก์ รทำงกำรเมอื งที่รวมบุคคลท่ีมีควำมคดิ อุดมกำรณเ์ ดยี วกัน ทำงด้ำนกำรเมือง สังคม และเศรษฐกิจ แบบเดียวกันหรอื คลำ้ ยคลึงกัน เพอ่ื นำแนวควำมคดิ เหลำ่ นนั้ มำกำหนดเป็นนโยบำยของรัฐบำล โดยวถิ ปี ระชำธปิ ไตย โดยกำรส่ง บคุ คลเขำ้ รบั เลือกต้ัง เพือ่ ให้ไดเ้ สียงข้ำงมำกในรัฐสภำและจัดต้ังรัฐบำลเขำ้ มำบรหิ ำรประเทศตำมแนวควำมคดิ หรือนโยบำยที่ สอดคลอ้ งกับอุดมกำรณข์ องพรรค บทบาทและหนา้ ที่ของพรรคการเมอื ง ๑ วางนโยบายในการแก้ไขปญั หาของประเทศ ๒ พิจารณาคดั เลอื กผ้ทู ีม่ ีคุณสมบตั เิ หมาะสม ๓ การดาเนนิ การหาเสยี งเลือกตง้ั ๔ นานโยบายของพรรคทไ่ี ด้แถลงแก่ประชาชนไปปฏบิ ัติอย่างจริงจัง ๕ ใหก้ ารศกึ ษาและอบรมความรูท้ างการเมือง ๖ หนา้ ท่ใี นการควบคุมการทางานของรัฐบาล
การเลอื กตง้ั ของไทย ความสาคญั ของการเลอื กตง้ั • ประชำชนไดเ้ ขำ้ ไปมีส่วนรว่ มในกำรปกครองตนเองตำมหลกั กำรประชำธปิ ไตย • เป็นวธิ ีกำรท่ใี ชเ้ ปล่ยี นอำนำจทำงกำรเมืองกำรปกครองอยำ่ งสนั ตวิ ิธี • ป้องกนั กำรเกดิ ปฏวิ ัติรฐั ประหำร รัฐบำลจะคืนอำนำจใหก้ บั ประชำชนด้วยกำรยบุ สภำผแู้ ทนรำษฎร • เกิดกำรหมุนเวยี นเปล่ียนอำนำจ เปดิ โอกำสให้บุคคลอนื่ หรือกลุ่มอ่ืนไดบ้ ริหำรประเทศ • สรำ้ งควำมถูกตอ้ งและควำมชอบธรรมในกำรใช้อำนำจทำงกำรเมืองกบั บคุ คลท่จี ะมำทำหน้ำท่เี ปน็ รฐั บำล
หลกั เกณฑท์ ่ีใชใ้ นการเลอื กตงั้ ๑ หลกั อสิ ระแหง่ การเลือกตง้ั ประชำชนมีสทิ ธิเสรีภำพที่จะเลอื กใครหรือเลือกพรรคกำรเมอื งใดกไ็ ดท้ ีต่ นชอบ ๒ หลกั การเลือกตง้ั ตามกาหนดเวลา ตอ้ งกำหนดเวลำทแ่ี น่ชัด เช่น กำหนดใหม้ กี ำรเลือกตั้งทุกๆ ๔ ปี ๓ หลักการเลือกตัง้ อย่างบรสิ ุทธยิ์ ุตธิ รรม ไม่มกี ำรคดโกง ใช้อทิ ธิพล อำนำจในกำรบงั คับ หรือซ้ือคะแนนเสยี ง ๔ หลกั การใชส้ ทิ ธิในการเลือกตัง้ อย่างเสมอภาค ใหส้ ทิ ธิแกป่ ระชำชน ไม่มีกำรกีดกนั ทุกคนมีสทิ ธิเท่ำเทยี มกนั ๕ หลักการออกเสียงโดยทวั่ ไป กำรเลือกตั้งทเ่ี ปดิ โอกำสใหม้ ีกำรออกเสียงอยำ่ งทัว่ ถึงแกป่ ระชำชนทกุ หม่เู หลำ่ ๖ หลักการลงคะแนนลบั กำรเลือกตง้ั ทผ่ี อู้ อกเสียงไมจ่ ำเปน็ ต้องบอกผอู้ ื่นว่ำตนเลือกใคร
การรกั ษาความศกั ดิส์ ิทธิ์ของการเลอื กตง้ั กำรเลือกต้ังมคี วำมสำคญั ต่อกำรปกครองระบอบประชำธปิ ไตย จำเปน็ อยำ่ งยิง่ ทจ่ี ะต้องทำใหก้ ำรเลือกตง้ั เป็นไปอย่ำงยตุ ิธรรมท่ีสุด ปรำศจำกกำรทจุ ริตคดโกงต่ำงๆ ท่เี ป็นสงิ่ เลวรำ้ ยและเปน็ อันตรำยต่อระบอบกำรปกครอง ส่ิงเลวร้ำยทม่ี กั จะพบเห็นอยู่เสมอ มีดังนี้ การใช้อทิ ธพิ ลจากทางราชการ เพอ่ื ใหเ้ กิดประโยชนฝ์ ่ายตน เช่น ร่วมมือกับเจ้ำหน้ำท่ที เี่ กีย่ วขอ้ ง ปลอมแปลงหลกั ฐำนกำรเลือกตงั้ เพ่ิมชอ่ื ผอู้ ่นื ในทะเบียนบ้ำน การทาลายคู่แข่งขัน เช่น หำเสยี งให้รำ้ ยค่แู ข่ง โดยกำรให้ขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ เท็จ ทำลำยป้ำยหำเสียง ปองร้ำยหัวคะแนน การใช้เงนิ เพอ่ื ซื้อคะแนนเสียง โดยกำรใชว้ ธิ ีกำรตำ่ งๆ เช่น แจกเงิน ให้สง่ิ ของ โดยมีกำรสญั ญำ ว่ำจะให้ผลตอบแทนตำ่ งๆ
การสรา้ งสานกึ การมสี ่วนรว่ มทางการเมืองของประชาชน เด็กและเยาวชน • ปลูกฝงั ให้เยำวชนตระหนกั ในสทิ ธิ หน้ำทขี่ องตนเองและมีสว่ นรว่ ม ทำงกำรเมอื งอย่ำงถูกตอ้ ง ประชาชนท่ัวไป • ตอ้ งศกึ ษำควำมรู้เก่ยี วกับกำรปกครองในระบอบประชำธิปไตย เพื่อจะได้ เข้ำใจในสทิ ธิ หนำ้ ท่ีของตนเอง หน่วยงานภาครฐั และเอกชน • ให้ควำมรเู้ กยี่ วกำรมีสว่ นร่วมของประชำชนในระบอบประชำธิปไตย ให้เห็นถึงควำมสำคัญของกำรเลือกตัง้ กระตุ้นใหเ้ ห็นถงึ ขอ้ เสยี ของ กำรไม่เขำ้ ไปมีส่วนรว่ มในกำรปกครองตนเอง
การจัดการเลือกต้งั • ระบบกำรเลอื กตัง้ ของไทยทเี่ คยใช้กนั มำนำนเปน็ ระบบที่ไมใ่ ห้ควำมเสมอภำคแก่ ประชำชนที่อยใู่ นจังหวดั ท่มี ีขนำดไม่เทำ่ กัน เช่น ผ้มู ีสทิ ธิเลือกต้ังในจงั หวัดเลก็ จะ มีสทิ ธิออกเสียงเลอื กตั้งสมำชกิ สภำผ้แู ทนรำษฎรไดเ้ พียง ๑ คนในขณะทีผ่ ู้มีสทิ ธิ เลือกตงั้ ในจงั หวัดใหญ่ กลบั มสี ทิ ธอิ อกเสยี งเลือกสมำชกิ สภำผู้แทนรำษฎรได้ ต้งั แต่ ๒ - ๓ คน • รัฐธรรมนูญได้ปรบั ปรุงระบบกำรเลอื กตั้งในบำงสว่ น เช่น กำหนดกำรเลอื กตงั้ สมำชกิ สภำผู้แทนรำษฎรเปน็ ระบบแบง่ สันปันสว่ นผสม ให้ลงคะแนนเพยี งคร้ังเดยี ว แล้วนำมำคำนวณสดั ส่วนทนี่ ง่ั ของผแู้ ทนแบบบญั ชีรำยชอื่ และแบบแบง่ เขต และ ยงั ใหอ้ ิสระกบั คณะกรรมกำรกำรเลือกตงั้ (กกต.) ในกำรบรหิ ำรบคุ คล งบประมำณ และกำรดำเนินกำรอื่นๆ ตำมทีก่ ฎหมำยบญั ญัติมำกยง่ิ ข้ึน
รัฐบาล และการจัดต้งั รฐั บาล รฐั บาล • รฐั บาล หมำยถงึ คณะบุคคลและองคก์ ร มหี น้ำท่ีในกำรบริหำร กำรพฒั นำประเทศ และบังคับในกำรใชก้ ฎหมำยต่ำงๆ คณะบคุ คล • คณะบคุ คล ไดแ้ ก่ คณะรฐั มนตรี และองค์กรของรัฐ ไดแ้ ก่ กระทรวง กรม ขำ้ รำชกำร ทหำร ตำรวจ ซ่งึ มีหนำ้ ที่ดูแลควำมสงบเรียบรอ้ ยของสังคม และพัฒนำสงั คมให้ เจริญก้ำวหนำ้ ให้ทัดเทยี มกบั นำนำประเทศ
๑ หนา้ ท่ขี องรฐั บาล • คณะรฐั มนตรีจะทำหน้ำท่บี ริหำรรำชกำรแผน่ ดิน หมำยควำมว่ำเป็นผู้กำหนดนโยบำยวำ่ จะกระทำอะไรให้เปน็ ประโยชน์แกป่ ระชำชน รฐั บำลจะเป็นผกู้ ำหนดนโยบำยและนำนโยบำยน้ันๆ ไปปฏบิ ัติ ทำให้เกิดผลอยำ่ งแทจ้ รงิ ๒ ประสทิ ธิภาพในการบรหิ ารงานของรัฐบาล • ควำมสำมำรถในกำรตอบสนองตรงควำมต้องกำรของประชำชนสว่ นใหญอ่ ยำ่ งทัว่ ถึงและเท่ำเทียม • ควำมสำมำรถรับผิดชอบรว่ มกนั เม่ือเกดิ ควำมผดิ พลำดในกำรบริหำรงำน • ควำมสำมำรถในกำรติดตำมและควบคมุ กำรทำงำนของกระทรวง กรมตำ่ งๆ จำกกำรนำนโยบำยทไี่ ด้ มอบหมำยไปปฏบิ ัติ • ควำมสำมำรถในกำรประสำนงำนใหก้ ระทรวงตำ่ งๆ ทำงำนร่วมกัน เพ่อื ให้บรรลจุ ุดหมำยอย่ำงเดียวกนั ด้วย
๓ ความรับผดิ ชอบของรฐั บาลตอ่ ประชาชน • รฐั บาลต้องแถลงผลงานตอ่ สภาผแู้ ทนราษฎร ผ่ำนสอ่ื ตำ่ งๆ ใหป้ ระชำชนรบั รู้ และบรหิ ำรประเทศตำมนโยบำยท่แี ถลงไว้เป็นระยะๆ • ประชาชนตรวจสอบการปฏิบตั ิหนา้ ทขี่ องรัฐบาลได้ โดยผำ่ นทำงสภำผู้แทนรำษฎร หำกพบกำรกระทำที่บกพรอ่ ง ข้อขดั ข้อง ขอ้ ขอ้ งใจในกำรทำงำนของรฐั บำลหรือ รัฐมนตรี หรือหน่วยงำนของรัฐ • ประชาชนอาจจะตรวจสอบหรือแสดงปฏิกิรยิ าตอ่ การปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ขี องรัฐบาล เชน่ เดินขบวนประทว้ ง อย่ำงสงบและปรำศจำกอำวธุ กำรแสดงควำมคดิ เห็น กำรเขยี นบทควำม แสดงควำมคิดเห็นผำ่ นสอื่ มวลชนต่ำง ๆ เปน็ ต้น
๔ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งรฐั บาลกับประชาชน • ประชาชนเลอื กผแู้ ทนราษฎร โดยพจิ ำรณำจำกนโยบำยของพรรคกำรเมอื งและควำมประพฤติของ สมำชิกพรรคกำรเมือง แลว้ เลือกพรรคกำรเมอื งที่มนี โยบำยทตี่ นชอบมำกท่สี ุดเขำ้ ไปทำหนำ้ ท่ีในรฐั สภำ • การจัดตัง้ รฐั บาล พรรคกำรเมืองทไ่ี ดร้ บั เสยี งข้ำงมำกอย่ำงเดด็ ขำด ถ้ำไมม่ ีพรรคกำรเมืองใดได้รับเสยี งขำ้ งมำกเด็ดขำด จะมี กำรตกลงกนั ระหว่ำงพรรคกำรเมอื งท่ไี ดร้ บั กำรเลอื กตงั้ วำ่ จะมอบใหพ้ รรคกำรเมืองใดเป็นแกนกลำงในกำรจัดตั้งรัฐบำลผสม พรรคที่ไม่ได้รว่ มรฐั บำลจะทำหนำ้ ทเ่ี ป็นฝ่ำยค้ำน ทำหน้ำที่ตรวจสอบกำรทำงำนของรัฐบำลต่อไป • กาหนดนโยบาย เม่อื กำหนดนโยบำยแลว้ กม็ อบหมำยใหก้ ระทรวง กรม รบั ไปปฏิบัติทงั้ ในส่วนกลำง และส่วนภูมิภำค โดยมีขำ้ รำชกำรและหน่วยรำชกำรเป็นผู้ดำเนนิ กำรภำคปฏิบตั ิ • การนานโยบายไปปฏบิ ตั ิ ประชำชนมีควำมอยู่ดกี นิ ดีหรือไม่ขึน้ อยกู่ ับนโยบำยและกำรนำนโยบำยไปปฏิบัติของหนว่ ยรำชกำร และเจำ้ หน้ำทีข่ องรัฐ • ประชาชนสามารถตรวจสอบการทางาน และผลงำนของรฐั บำลผำ่ นสื่อตำ่ ง ๆ ประชำชนสำมำรถ ร้องเรยี นผ่ำนทำงสื่อต่ำงๆ ได้ หรอื รวบรวมรำยชอ่ื เพือ่ ถอดถอนรัฐมนตรีหรอื นกั กำรเมอื งทก่ี ระทำผิดได้
๕ การจัดต้งั รัฐบาล • รัฐธรรมนญู บัญญัตใิ หใ้ ช้วธิ กี ำรตัง้ รัฐบำลอย่ำงเปดิ เผยและเป็นทรี่ ับรขู้ องสมำชกิ สภำผู้แทน รำษฎรทีส่ ังกดั พรรคกำรเมอื งตำ่ ง ๆ ทกุ คน โดยไมป่ ลอ่ ยใหแ้ กนนำของพรรคกำรเมอื งรบี ไป ตั้งรัฐบำลกนั ทนั ทีหลงั จำกทรำบผลกำรเลอื กต้ังทวั่ ไปเหมอื นในอดีต • รฐั ธรรมนญู จงึ บญั ญตั ิให้สภำผู้แทนรำษฎรพิจำรณำให้ควำมเห็นชอบบคุ คล ซึง่ สมควรได้รับ แต่งตัง้ เปน็ นำยกรัฐมนตรใี ห้แลว้ เสร็จภำยในระยะเวลำทกี่ ำหนด • กำรเสนอช่อื บุคคลซึ่งสมควรไดร้ บั แต่งต้งั เป็นนำยกรัฐมนตรีดังกลำ่ ว ต้องมีสมำชกิ สภำผแู้ ทน รำษฎรจำนวนท่ีรฐั ธรรมนูญกำหนดรบั รองกำรลงมติ ในกรณีเชน่ นีใ้ หก้ ระทำโดยกำรลงคะแนน แบบเปิดเผย
การตรวจสอบการใช้อานาจรฐั ตามรัฐธรรมนญู กระบวนการตรวจสอบการใช้อานาจรฐั • รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจกั รไทย ได้กำหนดกระบวนกำรตรวจสอบกำรใชอ้ ำนำจรฐั ไว้ ดังนี้ ๑ การตรวจสอบทรพั ยส์ นิ รัฐธรรมนูญระบุใหผ้ ู้ดำรงตำแหนง่ ทำงกำรเมอื ง เชน่ นำยกรฐั มนตรี รัฐมนตรี สมำชกิ สภำผแู้ ทนรำษฎร มหี น้ำท่ตี อ้ งย่นื บญั ชีแสดงรำยกำรทรัพยส์ นิ และหนส้ี นิ ของตน คู่สมรส และบตุ รที่ ยังไม่บรรลนุ ิติภำวะต่อคณะกรรมกำรปอ้ งกันและปรำบปรำมกำรทุจริตแห่งชำติ (คณะกรรมกำร ป.ป.ช.) ทกุ คร้งั ท่เี ขำ้ รับตำแหน่งหรอื พ้นจำกตำแหน่ง ๒ การตรวจสอบการกระทาท่เี ป็นการขดั กันแหง่ ผลประโยชน์ รัฐธรรมนญู ระบุให้สมำชิกสภำผ้แู ทนรำษฎร และสมำชิกวุฒสิ ภำ ตอ้ งไมด่ ำรงตำแหนง่ หรือหน้ำที่ใดๆ ในหนว่ ยรำชกำร หนว่ ยงำนของรฐั รัฐวิสำหกิจ หรอื รำชกำรท้องถิ่น ตลอดจนจะตอ้ งไมใ่ ช้สถำนะหรือตำแหนง่ ทำงกำรเมอื งเขำ้ ไปกำ้ วกำ่ ย หรือแทรกแซงเพ่ือ ประโยชนข์ องตนเอง หรอื พรรคกำรเมอื ง ไม่ว่ำจะโดยทำงตรงหรือทำงอ้อม
แนวทางการตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ • รฐั ธรรมนญู ไดก้ ำหนดแนวทำงกำรตรวจสอบกำรใช้อำนำจรัฐไว้ ๒ แนวทำง ไดแ้ ก่ กำรตรวจสอบกำรใช้ อำนำจรัฐโดยสภำ และกำรตรวจสอบกำรใช้อำนำจรัฐโดยองคก์ รอสิ ระตำมรัฐธรรมนูญ ๑ การตรวจสอบการใชอ้ านาจรฐั โดยรัฐสภา รัฐธรรมนญู บญั ญัติให้ ส.ส. หรอื ส.ว. ไม่น้อยกว่ำหนึ่งในสบิ ของ จำนวนสมำชกิ ท้ังหมดเทำ่ ท่ีมอี ยู่ของแตล่ ะสภำ รอ้ งตอ่ ประธำนสภำที่ตนเปน็ สมำชิกเพ่อื สง่ เรือ่ งใหศ้ ำลรัฐธรรมนูญ เพ่ือวินจิ ฉยั ในกรณีท่ีสมำชกิ คนใดคนหนึ่งแหง่ สภำนน้ั กระทำผดิ ไปจำกทรี่ ฐั ธรรมนูญกำหนด ๒ การตรวจสอบการใชอ้ านาจรัฐโดยองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ องคก์ รอิสระตำมรัฐธรรมนญู ทสี่ ำคญั ไดแ้ ก่ คณะกรรมกำรกำรเลือกต้งั ผูต้ รวจกำรแผน่ ดนิ คณะกรรมกำรปอ้ งกนั และปรำบปรำมกำรทจุ รติ แหง่ ชำติ และ คณะกรรมกำรตรวจเงนิ แผ่นดิน แต่ละองค์กรจะมขี อบเขตกำรทำงำนและประเด็นกำรตรวจสอบท่ีแตกต่ำงกัน แตม่ เี ป้ำหมำยเดยี วกัน คือ ตอ้ งกำรให้ผใู้ ช้อำนำจรัฐปฏิบตั ิหน้ำทดี่ ว้ ยควำมสุจริตและเท่ียงธรรมมำกทสี่ ุด
ตัวอยา่ งขอบเขตการทางาน และประเดน็ การตรวจสอบของแตล่ ะองค์กร คณะกรรมการการเลอื กต้ัง ๑. ควบคมุ และดำเนินกำรจดั ใหม้ กี ำรเลือกตง้ั และกำรออกเสียงประชำมติ ใหเ้ ปน็ ไปโดยสุจรติ และเทย่ี งธรรม ๒. ดำเนินกำรแบง่ เขตเลือกตั้งสำหรับกำรเลือกตั้งทใ่ี ช้วิธีกำรแบง่ เขตเลือกตัง้ และจัดให้มีบัญชีรำยชื่อผู้มสี ทิ ธิ เลือกตั้ง ๓. สบื สวนสอบสวนเพอ่ื หำข้อเท็จจริงและวนิ จิ ฉยั ชีข้ ำดปญั หำหรือขอ้ โตแ้ ย้งเก่ียวกบั กำรเลือกตั้ง ๔. สั่งใหม้ กี ำรเลอื กต้งั ใหมห่ รอื ออกเสียงประชำมติใหมใ่ นหนว่ ยเลอื กตงั้ ทีม่ กี ำรทจุ ริต ๕. เพิกถอนสทิ ธเิ ลือกตง้ั และดำเนนิ คดีอำญำกบั ผ้สู มคั ร หัวคะแนน และผเู้ กี่ยวขอ้ ง (ให้ใบเหลือง หรอื ใบแดง) ๖. ประกำศผลกำรเลอื กตั้งหรือกำรออกเสยี งประชำมติ
ผู้ตรวจการแผ่นดิน ๑. พจิ ำรณำและสอบสวนหำขอ้ เทจ็ จริงในกรณี เช่น กำรไม่ปฏิบตั ิตำมกฎหมำย หรอื ปฏิบตั นิ อกเหนืออำนำจ หน้ำทข่ี องข้ำรำชกำร ๒. ตรวจสอบกำรละเลยกำรปฏบิ ตั ิหนำ้ ที่หรือกำรปฏิบตั ิหน้ำที่โดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมำยขององค์กร ตำมรัฐธรรมนญู และองค์กรในกระบวนกำรยุตธิ รรม ๓. ดำเนนิ กำรเกี่ยวกับจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทำงกำรเมอื งและเจ้ำหนำ้ ท่ีของรัฐ ๔. เสนอเรือ่ งต่อศำลรฐั ธรรมนญู หรอื ศำลปกครองในกรณี เช่น บทบญั ญัติแห่งกฎหมำยมีปัญหำเกี่ยวกบั ควำมชอบด้วยรัฐธรรมนญู
คณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ ๑. ตรวจสอบควำมถกู ต้องและควำมมีอยูจ่ ริงของทรพั ยส์ นิ และหนี้สนิ ของผู้ดำรงตำแหนง่ ทำงกำรเมอื งและ เจ้ำหนำ้ ท่ีระดบั สงู ของรฐั ๒. ไตส่ วนและวนิ จิ ฉยั ควำมรำ่ รวยผิดปกติของเจำ้ หน้ำท่ขี องรฐั ในกำรกระทำควำมผดิ ฐำนทุจรติ ตอ่ หนำ้ ที่ หรือ ควำมผดิ ตอ่ ตำแหน่งหนำ้ ที่ในกำรยุตธิ รรม ๓. กำหนดหลักเกณฑเ์ กยี่ วกับกำรกำหนดตำแหนง่ และชน้ั หรอื ระดับของเจำ้ หนำ้ ท่ีของรฐั ท่จี ะตอ้ งย่ืนบญั ชีแสดง รำยกำรทรัพย์สินและหนี้สิน ๔. ดำเนนิ กำรเพื่อปอ้ งกันกำรทุจริตและเสรมิ สรำ้ งทัศนคตแิ ละคำ่ นิยมเก่ียวกบั ควำมซ่ือสตั ย์สจุ ริต
คณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดิน ๑. กำหนดหลกั เกณฑ์มำตรฐำนเกย่ี วกับกำรตรวจเงินแผน่ ดนิ ทเ่ี ปน็ กลำง ๒. ใหค้ ำแนะนำแก่ผำ่ ยบรหิ ำรในกำรแกไ้ ขกฎหมำย ระเบยี บข้อบงั คบั เก่ยี วกบั กำรควบคมุ เงินของรัฐ ๓. กำหนดมำตรฐำนหรอื มำตรกำรเก่ียวกับกำรตรวจสอบกำรบรหิ ำรงบประมำณสำหรบั หนว่ ยรบั ตรวจ ๔. ชขี้ ำดสงู สุดในกระบวนกำรทำงวนิ ยั ทำงงบประมำณ และกำรคลัง ๕. ออกระเบยี บ ขอ้ บงั คับ และประกำศตำมอำนำจหน้ำทเ่ี ก่ียวกับกำรตรวจเงินแผ่นดิน ๖. พิจำรณำคำร้องขอของสภำผแู้ ทนรำษฎร วุฒสิ ภำ หรอื คณะรฐั มนตรีทขี่ อให้ตรวจสอบ ๗. เสนอข้อสงั เกตและควำมเหน็ ตอ่ คณะกรรมำธกิ ำรพจิ ำรณำงบประมำณรำยจำ่ ยประจำปี
หนา้ ทพ่ี ลเมือง วัฒนธรรม และการดาเนินชวี ิตในสังคม หน่วยกำรเรียนรู้ที่ ๑ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ่ี ๒ หน่วยกำรเรียนรทู้ ี่ ๓ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ่ี ๔ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔ - ๖ กลมุ่ สาระการเรยี นร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม หนว่ ยกำรเรียนร้ทู ่ี ๕ หนว่ ยกำรเรียนรทู้ ่ี ๖ หน่วยกำรเรียนรทู้ ี่ ๗ ๑_หลกั สตู รวชิ าสงั คมศกึ ษา ๒_แผนการจัดการเรียนรู้ ๓_PowerPoint_ประกอบการสอน ๔_Clip ๕_ใบงาน_เฉลย ๖_ขอ้ สอบประจาหนว่ ย_เฉลย ๗_ การวดั และประเมินผล ๘_เสรมิ สาระ ๙_สอ่ื เสริมการเรยี นรู้ บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด : 142 ถนนตะนำว เขตพระนคร กรงุ เทพฯ 10200 Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand โทรศพั ท์ : 02 622 2999 โทรสำร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191