Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 8. วิทยาศาตร์ พว21001

8. วิทยาศาตร์ พว21001

Published by clube.indy, 2020-04-20 02:08:03

Description: 8. วิทยาศาตร์ พว21001

Search

Read the Text Version

93 เรอื งที การถ่ายทอดพลงั งาน การถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนิเวศ มีความสาํ คญั มาก การถ่ายทอดพลงั งานในห่วงโซ่อาหาร มคี วามยาวจาํ กดั โดยปกติจะสินสุดทีผบู้ ริโภค ซงึ มีรายละเอียดดงั นี พรี ะมิดการถ่ายทอดพลงั งาน ( food pyramid ) 1. พรี ะมดิ จํานวน ( pyramid of number ) ท แตล่ ะขนั แสดงใหเ้ ห็นจาํ นวนสิงมชี ีวติ ในแตล่ ะลาํ ดบั ขนั ของห่วงโซอ่ าหารต่อหน่วยพนื ทีหรือ ปริมาตร สิงมชี ีวติ ทีอยู่บนยอดสุดของพีระมิดถูกรองรับ โดยสิงมชี วี ติ จาํ นวนมาก 2. พรี ะมดิ มวลชีวภาพ ( pyramid of biomass ) ท คลา้ ยกบั พีระมิดจาํ นวน แต่ขนาดของพรี ะมิดแตล่ ะขนั จะบอก ถึงปริมาณหรือมวลชีวภาพ ของ สิงมชี ีวติ ในแต่ละลาํ ดบั ขนั ของห่วงโซ่อาหาร

94 3. พีระมิดพลังงาน ( pyramid of energy ) ท แสดงค่าพลงั งานในสิงมีชวี ิตแต่ละหน่วยมหี น่วยเป็นกิโลแคลอรีตอ่ ตารางเมตรต่อปี เรอื งที สายใยอาหาร (Food web) ห่วงโซ่อาหาร (food chain) พชื และสัตวจ์ าํ เป็นตอ้ งไดร้ ับพลงั งานเพอื ใชใ้ นการดาํ รงชวี ิต โดยพชื จะไดร้ ับพลงั งานจากแสง ของดวงอาทิตย์ โดยใชร้ งควตั ถุสีเขียวทีเรียกวา่ คลอโรฟิ ลล์ (chlorophyll) เป็นตวั ดดู กลนื พลงั งาน แสงเพอื นาํ มาใช้ ในการสรา้ งอาหาร เชน่ กลโู คส แป้ ง ไขมนั โปรตนี เป็นตน้

95 พืชจึงเป็นผ้ผู ลติ (producer) และเป็นสิงมีชีวติ อนั ดบั แรกในการถา่ ยทอดพลงั งานแบบห่วงโซ่ อาหารสาํ หรับสัตวเ์ ป็นสิงมีชวี ติ ทีไมส่ ามารถสรา้ ง อาหารเองได้ จาํ เป็นตอ้ งไดร้ ับพลงั งาน จากการบริโภค สิงมีชีวติ อนื เป็นอาหาร สตั วจ์ ึงถอื วา่ เป็น ผ้บู ริโภค (consumer) ซงึ แบ่งออกไดเ้ ป็น ท ผ้บู ริโภคลาํ ดับทีหนึง (primary consumer) หมายถงึ สัตวท์ กี ินผผู้ ลติ ท ผ้บู รโิ ภคลาํ ดบั ทสี อง (secondary consumer ) หมายถงึ สัตวท์ ีกินผบู้ ริโภคลาํ ดบั ทหี นึง ในกลุ่มสิงมีชีวิตหนึง ๆ ห่วงโซ่อาหารไม่ได้ดาํ เนินไปอย่างอิสระ แต่ละห่วงโซ่อาหารอาจ มคี วามสัมพนั ธ์ กบั ห่วงโซ่อืนอกี โดยเป็ นความสัมพนั ธ์ทีสลบั ซับซอ้ น เช่น สิงมีชีวิตหนึงในห่วงโซ่- อาหาร อาจเป็นอาหาร ของสิงมีชีวติ อีกชนิดหนึงในห่วงโซ่อาหารอนื ก็ได้ เราเรียกลกั ษณะห่วงโซ่- อาหารหลาย ๆ ห่วงโซ่ทีมคี วามสัมพนั ธ์เกียวขอ้ งกนั อยา่ งสลบั ซบั ซอ้ นวา่ สายใยอาหาร (food web) สายใยอาหารของกลุ่มสิงมีชีวิตใดทีมีความซบั ซอ้ นมาก แสดงว่าผูบ้ ริโภคลาํ ดบั ที 2 และ ลาํ ดบั ที 3 มีทางเลือกในการกินอาหารได้หลายทางมผี ลทาํ ให้กล่มุ สิงมีชีวิตนนั มคี วามมนั คงในการ ดาํ รงชีวติ มากตามไปดว้ ย ท ผ้บู ริโภคลาํ ดบั สูงสุด (top consumer) หมายถึง สัตวท์ อี ยู่ปลายสุดของห่วงโซ่อาหารซึงไม่มสี ิง มชี ีวติ ใด มากนิ ต่อ อาจเรียกวา่ ผ้บู รโิ ภคลาํ ดับสุดท้าย เรอื งที วฏั จักรของนํา วัฎจักรของนาํ (Water cycle) หรือ ชือในทางวิทยาศาสตร์ว่า “วัฏจักรของอุทกวิทยา” (Hydrologic cycle) หมายถึง การเปลยี นแปลงสถานะของนาํ ระหวา่ งของเหลว ของแข็ง และก๊าซ วฏั จกั รของนาํ จะมกี ารเปลยี นแปลงสถานะไปมา จากสถานะหนึงไปยงั อีกสถานะหนึงอยา่ งต่อเนือง ไม่มที ีสินสุดภายในอาณาจกั รของนาํ (Hydrosphere) เช่น การเปลยี นแปลงระหวา่ ง ชนั บรรยากาศ นาํ ผิวดิน ผวิ นาํ นาํ ใตด้ นิ และพืช การเปลียนสถานะของนาํ เป็นปรากฏการณ์ทเี กิดขนึ เองตามธรรมชาติ เริมจากนาํ ในแหล่งนาํ ต่าง ๆ เช่น ทะเล มหาสมุทร แม่นาํ ลาํ คลอง หนอง บึง ทะเลสาป การคายนาํ ของพืช การขบั ถา่ ยของเสีย และจากกจิ กรรมต่าง ๆ ในการดาํ รงชีวติ ของสิงมีชีวติ ทงั หมดนีเมอื ระเหยกลายเป็ นไอขึนสู่บรรยากาศ และกระทบกบั ความเยน็ บนชนั บรรยากาศจะควบแน่นกลายเป็นละอองนาํ เล็กๆ รวมตวั กนั เป็นกอ้ นเมฆ เมอื มีนาํ หนักพอเหมาะก็จะกลายเป็ นฝน หรือลูกเห็บ ตกลงสู่พืนดินแลว้ ไหลลงสู่แหล่งนาํ หมุนเวียนอยู่ เช่นนีเรือยไป กระบวนการเปลียนแปลงนี สามารถแยกไดเ้ ป็น ประเภท คอื การระเหยเป็นไอ (Evaporation), หยาดนาํ ฟ้ า (Precipitation), การซึม (Infiltration) และ การเกิดนาํ ท่า (Runoff)

96 การระเหยเป็ นไอ (Evaporation) เป็ นการเปลยี นแปลงสถานะของนาํ บนพืนผิวไปสู่บรรยากาศ ทงั การระเหยเป็ นไอ (Evaporation) โดยตรง และจากการคายนาํ ของพืช (Transpiration) ซึงเรียกว่า “Evapotranspiration” หยาดนําฟ้ า (Precipitation) เป็ นการตกลงมาของนาํ ในบรรยากาศสู่พืนผวิ โลก โดยละอองนาํ ในบรรยากาศจะรวมตวั กนั เป็ นกอ้ นเมฆ และในทีสุดกลนั ตวั เป็นฝนตกลงสู่ผวิ โลก รวมถึง หิมะ และ ลกู เห็บ การซึม (Infiltration) จากนาํ บนพืนผวิ ลงสู่ดินเป็นนาํ ใตด้ นิ อตั ราการซึมจะขึนอยกู่ ับประเภท ของดิน หิน และ ปัจจยั ประกอบอืน ๆ นาํ ใตด้ ินนันจะเคลอื นตวั ชา้ และอาจไหลกลบั ขึนบนผิวดิน หรือ อาจถูกกกั อยภู่ ายใตช้ นั หินเป็ นเวลาหลายพนั ปี โดยปกติแลว้ นาํ ใตด้ นิ จะกลบั เป็ นนาํ ทีผวิ ดินบนพนื ทีที อยู่ระดบั ตาํ กว่า ยกเวน้ ในกรณีของบ่อนาํ บาดาล นําท่า (Runoff) หรือ นําไหลผ่านเป็ นการไหลของนําบนผวิ ดินไปสู่มหาสมุทร นาํ ไหลลงสู่ แม่นําและไหลไปสู่มหาสมุทร ซึงอาจจะถูกกกั ชัวคราวตาม บึง หรื อ ทะเลสาบ ก่อนไหลลงสู่ มหาสมทุ ร นาํ บางส่วนกลบั กลายเป็นไอก่อนจะไหลกลบั ลงสู่มหาสมทุ ร ปัจจยั ทที าํ ให้เกดิ การหมนุ เวียนของนํา 1. ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทาํ ใหโ้ มเลกุลของนาํ แตกตวั และเกิดการระเหยของนาํ กลายเป็น ไอขึนสู่บรรยากาศ 2. กระแสลม ทาํ ให้นาํ ระเหยกลายเป็นไอเร็วขึน 3. มนุษย์ และ สัตว์ ขบั ถ่ายของเสียออกมาในรูปของเหงือ ปัสสาวะ และลมหายใจ กลายเป็น ไอนาํ สู่ชนั บรรยากาศ

97 4. พชื รากตน้ ไม้ ซึงเปรียบเหมือน ฟองนาํ ทีมคี วามสามารถในการดูด นาํ จากใตด้ ินจาํ นวนมากขึนไปเก็บ ไวใ้ นส่วนต่าง ๆ ทังยอด กิง ใบ ดอก ผล และลาํ ตน้ แลว้ คายนาํ สู่ บรรยากาศ ไอนาํ เหลา่ นีจะ ควบแน่นและรวมกนั กลายเป็ นเมฆ และตกลงมาเป็นฝนตอ่ ไป ปริมาณนาํ ทีระเหย จากมหาสมทุ ร 84% จากพนื ดิน 16% ปริมาณนาํ ทีตก ลงในมหาสมทุ ร 77% บนพืนดิน 23% เรืองที วฏั จักรของคาร์บอน (Carbon Cycle) ผยู้ อ่ ยสลาย เช่น ราและแบคทเี รีย จะยอ่ ยสลายคาร์บอนเหลา่ นี ใหก้ ลายเป็นแกส๊ คาร์บอนไดออ ภาพจาก http://student.nkw.ac.th/ คาร์บอนเป็ นธาตุพบในสารประกอบของสารอินทรียเ์ คมีทุกชนิด ดงั นนั วฏั จักรของคาร์บอน จึงเป็ นหัวใจของสิงมีชีวติ ทุกชนิด คาร์บอนจะสัมพนั ธก์ บั วฏั จักรของธาตุอืน ๆ ในระบบนิเวศในรูป ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ และ ในรูปของไบคาร์บอเนตในนาํ ผผู้ ลิตส่วนใหญ่ ไดแ้ ก่ พชื จะใชแ้ ก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการสังเคราะห์แสง แลว้ ปลอ่ ยแก๊สคาร์บอนไดออกไซดก์ ลบั สู่บรรยากาศหรือนําโดยกระบวนการหายใจ พืชจะเก็บธาตุคาร์บอนไวใ้ นรูปของสารอินทรีย์ แลว้

98 ถา่ ยทอดสู่ผบู้ ริโภคผ่านระบบห่วงโซ่อาหาร ส่วนสัตว์นันจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซดอ์ อกสู่อากาศ โดยกระบวนการหายใจ เมือพชื และสัตวต์ ายจะพบว่ามีธาตุคาร์บอนสะสมอยู่ดว้ ย คาร์บอนทีอย่ใู นรูป ของซากพืชและซากสตั ว์บางชนิดจะไม่ยอ่ ยสลาย เมือเก็บไวน้ าน ๆ หลายร้อยลา้ นปี ซากเหลา่ นีจะ กลายเปลยี นเป็ นสารทีให้พลงั งาน ในปัจจบุ นั ทีใชก้ นั กค็ ือ ถา่ นหิน นาํ มนั และแกส๊ สารจาํ พวกนีมนุษย์ จะนาํ มาใชเ้ ป็ นเชือเพลิง เมือนาํ มาผา่ นกระบวนการเผาไหมก้ ็จะเกิดแก๊สคาร์บอน ซึงแก๊สคาร์บอน เหล่านีกถ็ กู ปลอ่ ยเขา้ สู่บรรยากาศ ใบงาน เรอื ง ระบบนิเวศ . ระบบนิเวศ คอื อะไร ตอบ… . ยกตวั อยา่ งสภาพต่าง ๆ ของสิงทีอยู่รอบตวั เรา มา 5 ตวั อยา่ ง ตอบ 3. “ชีวนิเวศ” คืออะไร ตอบ . ปริมาณนาํ จืดในแหล่งต่าง ๆ ทงั โลก มีอยเู่ ท่าไหร่ ตอบ . จงอธิบายลกั ษณะของ “ถาํ ” มาพอสังเขป ตอบ . ทาํ ไมชายฝังทะเลจึงเป็นระบบนิเวศทีมีความพิเศษ ตอบ . บริเวณใดในโลกทพี บ “ป่ าชายเลน” และทาํ ไมจึงเป็ นเช่นนนั ตอบ . การศกึ ษาสิงมีชวี ิตทาํ ไดก้ วี ธิ ี อะไรบา้ งจงอธบิ าย ตอบ…การศึกษาสิงมีชีวิตทาํ ได้ วธิ ศกึ ษาโดยองค์รวม …. . ในการจดั ลาํ ดบั ชนั ของชีวภาพ สิงมชี ีวติ ใดทีอย่รู ะดบั ตาํ สุด ตอบ . จงอธิบายลกั ษณะของป่ าดิบชนื ในทวีปเอเชีย ตอบ . ทาํ ไมมหาสมทุ รจึงมคี วามสาํ คญั ตอ่ ดาวเคราะหโ์ ลก ตอบ . องค์ประกอบของระบบนิเวศมอี ะไรบา้ งใหอ้ ธิบายพอสังเขป ตอบ…มีองคป์ ระกอบ แบบ คือริโภค และผยู้ ่อยสลาย…12

99 . องค์ประกอบทีมีชีวิต (Biotic components) ทีมาจาก พืช สัตวต์ ่าง ๆ แบ่งออกได้ เป็ นกีแบบ อะไรบา้ ง ตอบ…3 แบบ คือองผผู้ ลติ …. . พลงั งานชนิดใดทีส่งมาถงึ ระบบนิเวศทงั มวลบนโลก ตอบ . จงอธิบายลกั ษณะของการหายใจในระดบั เซลล์ (Respiration) ตอบแตกตวั ออกเป็น CO2 และ . “วฏั จกั รของนาํ ” (Water cycle) คอื อะไร และมลี กั ษณะอย่างไร ตอบ…การเปลียนแปลงสถานะภาพของนาํ มี แบบ คอื . วฏั จกั รของคาร์บอน (Carbon Cycle) คืออะไร และมีลกั ษณะอยา่ งไร ตอบ ใบงาน เรือง ระบบนิเวศ 1. ระบบนิเวศ คืออะไร ตอบ…กลมุ่ มีชีวติ ทอี าศยั อยู่ในสิงแวดลอ้ มบริเวณใดบริเวณหนึง โดยมีความสัมพนั ธก์ นั ผ่านระบบห่วงโซ่อาหารและความสมั พนั ธข์ องสิงมีชีวิตกบั สภาพทางกายภาพ … 2. ยกตวั อยา่ งสภาพต่าง ๆ ของสิงทีอยู่รอบตวั เรา มา 5 ตวั อย่าง ตอบ…อุณหภูมิ ความชืน ดนิ ความสูงตาํ ของพนื ทอี าศยั …. 3. “ชีวนิเวศ” คอื อะไร ตอบ…ระบบนิเวศทีมคี วามคลา้ ยคลึงกนั …. 4. ปริมาณนาํ จืดในแหลง่ ต่าง ๆ ทงั โลก มอี ย่เู ท่าไหร่ ตอบ… 0.04 %…. 5. จงอธบิ ายลกั ษณะของ “ถาํ ” มาพอสังเขป ตอบ…ภายในถาํ ไม่มแี สงสว่าง ความชืนสูง อุณหภมู ิคงทีเกอื บตลอดทงั ปี …. 6. ทาํ ไมชายฝงั ทะเลจึงเป็นระบบนิเวศทีมคี วามพิเศษ ตอบ…เพราะเป็ นระบบนิเวศทมี ีความหลากหลายทางชีวภาพสูง…. 7. บริเวณใดในโลกทีพบ “ป่ าชายเลน” และทาํ ไมจึงเป็นเชน่ นัน ตอบ…บริเวณชายฝังทะเลเขตร้อน….

100 8. การศึกษาสิงมชี วี ิตทาํ ไดก้ ีวธิ ี อะไรบา้ งจงอธบิ าย ตอบ…การศกึ ษาสิงมชี วี ติ ทาํ ได้ วธิ ี คอื .ศกึ ษาตามสปี ชสี ์ . ศกึ ษาโดยองค์รวม …. 9. ในการจดั ลาํ ดบั ชนั ของชีวภาพ สิงมีชีวิตใดทีทอี ยรู่ ะดบั ตาํ สุด ตอบ…เซลล์…. 10. จงอธิบายลกั ษณะของป่ าดิบชนื ในทวปี เอเชีย ตอบ…ป่ าดบิ ชืนในทวปี เอเชีย เป็นป่ ามรสุม ซึงมีฝนตกเป็นฤดูกาล…. 11. ทาํ ไมมหาสมุทรจงึ มคี วามสาํ คญั ต่อดาวเคราะหโ์ ลก ตอบ…มหาสมุทรมีอิทธิพลต่อสภาพภมู ิอากาศบนโลก ถา้ ไม่มีมหาสมุทรอากาศบนโลกจะ แตกต่างกนั อยา่ งสุดขวั กลางวนั และกลางคืนจะมีอณุ หภมู ทิ ตี ่างกนั อยา่ งมาก…. 12. องคป์ ระกอบของระบบนิเวศมีอะไรบา้ งให้อธิบายพอสงั เขป ตอบ…มอี งคป์ ระกอบ แบบ คือ . องคป์ ระกอบทีไมม่ ีชีวิต(Abiotic) เช่น โปรตีน ไขมนั คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เป็นตน้ ซึงสารเหล่านี เป็นสารอนิ ทรีย์ ส่วนทีเป็นอนินทรีย์ เช่น นาํ คาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนัน ยงั รวมถึงสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ เช่น แสงสว่าง อุณหภมู ิ ความกดดนั พลงั งานต่าง ๆ เป็นตน้ 2. องค์ประกอบทีมชี ีวติ (Biatic) มี อย่าง คอื ผผู้ ลติ ผูบ้ ริโภค และผยู้ ่อยสลาย…. 13. องค์ประกอบทีมีชีวิต (Biotic components) ทีมาจาก พืช สัตว์ต่างๆ แบ่งออกได้ เป็ นกีแบบ อะไรบา้ ง ตอบ…3 แบบ คือ . ผผู้ ลติ ไดแ้ ก่ พืชและสาหร่าย . ผบู้ ริโภค คือ ผทู้ ีกนิ พชื และกินสัตว์ . ผยู้ อ่ ยสลาย คือ ผทู้ ีย่อยซากพชื ซากสัตว์ ให้เป็ นสารอาหารของผผู้ ลิต…. 14. พลงั งานชนิดใดทีส่งมาถึงระบบนิเวศทงั มวลบนโลก ตอบ…แสงจากดวงอาทิตย…์ . 15. จงอธบิ ายลกั ษณะของการหายใจในระดบั เซลล์ (Respiration) ตอบ…การหายใจในระดับเซลล์ เป็ นการทาํ ใหโ้ มเลกลุ ของอินทรียสารแตกตัวออกเป็ น CO2 และ H2O โดยอาศยั จลุ ินทรียท์ ีช่วยอินทรียส์ ารจากซากพชื ซากสัตว์ รวมถึงของเสียตา่ ง ๆ 16. “วฏั จกั รของนาํ ” (Water cycle) คอื อะไร และมีลกั ษณะอย่างไร ตอบ…การเปลยี นแปลงสถานะภาพของนาํ มี แบบ คือ . ของเหลว

101 .ของแข็ง . ก๊าช ซึงสถานะภาพทงั นี จะเป็นวงจรทไี ม่มีทีสินสุด…. 17. วฏั จกั รของคาร์บอน (Carbon Cycle) คืออะไร และมีลกั ษณะอยา่ งไร ตอบ…การสังเคราะห์แสงโดยพชื สาหร่าย แพลงก์ตอนและแบคทีเรีย โดยการใช้ CO2และ ใหผ้ ลผลิตเป็นคาร์โบไฮเดรต ในรูปของนาํ ตาล และในรูปของกา๊ ช CO2 จากการหายใจออกสู่อากาศ ของสิงมีชวี ติ ทงั คนและสัตว…์ แบบฝึ กหัดท้ายบทที คําชแี จง ให้เลอื กคําตอบทีถูกต้องทีสุดเพียงข้อเดยี ว แล้วทาํ เครอื งหมายทับ ตัวอกั ษร ก, ข, ค หรือ ง ให้ตรงกบั ข้อทีท่านเลอื กตอบ 1. ระบบนิเวศหมายถึงอะไร ก. ความสมั พนั ธข์ องสิงมีชีวิตต่างๆ กบั สิงแวดลอ้ มของสิงมชี ีวติ และมกี ารถ่ายทอดไปตามลาํ ดบั ข. การกนิ กนั เป็นทอดๆ เริมตงั แต่ผผู้ ลติ ผบู้ ริโภคพชื ผบู้ ริโภคสตั วต์ ามลาํ ดบั ค. ลกั ษณะการกินกนั ซบั ซอ้ นประกอบดว้ ยห่วงโซ่อาหารมากมาย ง. พลงั งานจากแสงอาทิตย์ 2. โครงสร้างของระบบนิเวศ มีกีหน่วย ก. 2 หน่วย คอื สิงไม่มชี ีวิต ผยู้ ่อยสลาย ข. 2 หน่วย คือ สิงไมม่ ีชีวติ สิงมชี วี ติ ค. 3 หน่วย คือ สิงไมม่ ีชีวติ สิงมีชวี ิต และผูบ้ ริโภค ง. 3 หน่วย คอื สิงไม่มชี ีวิต ผผู้ ลิต และผบู้ ริโภค 3. สิงมชี วี ติ กลุ่มใดทีสามารถเปลยี นอนินทรียส์ ารเป็นอินทรียสารได้ ก. พืชสีเขียว ข. สตั วก์ ินพชื ค. สัตวก์ ินเนือ ง. ผยู้ อ่ ยสลาย 4. ขอ้ ใดจดั เป็ นห่วงโซ่อาหาร ก. เหยียว---พืช---ผเี สือ---นก ข. เหยยี ว---นก---ผีเสือ---พชื ค. นก---เหยียว---นก---ผเี สือ ง. ผเี สือ---พชื ---นก---เหยียว

102 5. กลว้ ยไมท้ ีอาศยั เกาะบนตน้ ไมใ้ หญ่ จดั เป็ นความสมั พนั ธแ์ บบใด ก. ภาวะการอยู่ร่วมกนั ข. ภาวะล่าเหยือ ค. ภาวะปรสิต ง. ภาวะพึงพา 6. หมดั กดั สุนขั และ ยุงกดั คน จดั เป็นความสัมพนั ธ์แบบใด ก. ภาวะอยู่ร่วมกนั ข. ภาวะลา่ เหยือ ค. ภาวะปรสิต ง. ภาวะพึงพา 7. การตดั ตน้ ไม้ ทาํ ลายป่ าจะทาํ ให้เกดิ ผลกระทบใดตามมา ก. นาํ ป่ าไหลหลาก สิงมีชีวิตตาย ข. แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ค. เกิดสึนามิ สิงมชี ีวติ ตาย ง. ภาวะเรือนกระจก 8. การจดั ลาํ ดบั ชนั ของชวี ภาพขอ้ ใดเรียงจากสูงสุดไปหาตาํ สดุ ไดถ้ ูกตอ้ ง ก. ชีวนิเวศ - ระบบนิเวศ - ชุมชน - ประชากร ข. ชีวนิเวศ - ประชากร - ชุมชน - ระบบนิเวศ ค. ระบบนิเวศ - ชวี นิเวศ - ชุมชน - ประชากร ง. ระบบนิเวศ - ชวี นิเวศ - ประชากร - ชมุ ชน 9. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ ง ก. คาร์โบไฮเดรต เป็นอนิ ทรียสารทเี ป็นองค์ประกอบทีมชี ีวติ ข. คาร์โบไฮเดรต เป็นอนินทรียส์ ารทีเป็นองคป์ ระกอบทีมีชีวติ ค. คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นอนิ ทรียสารทีเป็นองค์ประกอบทไี ม่มชี ีวติ ง. คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นอนินทรียส์ ารทีเป็ นองค์ประกอบทีไม่มีชีวิต

103 10. ขอ้ ใดกลา่ วถูกตอ้ งทีสุด ก. การหายใจระดบั เซลล์ คือการทาํ ให้โมเลกลุ ของอนิ ทรียสารแตกตวั ข. การหายใจระดบั เซลล์ คอื การทาํ ใหโ้ มเลกลุ ของอนินทรียส์ ารแตกตวั ค. การหายใจระดบั เซลล์ คอื การทาํ ให้โมเลกุลของอินทรียสารแตกตวั และได้ CO2 ง. การหายใจระดบั เซลล์ คือการทาํ ใหโ้ มเลกุลของอนิ ทรียสารแตกตวั H2O เฉลยแบบทดสอบบทที 5 เรืองระบบนเิ วศน์ .ก 1. ก . ข . ก . ข . ค . ค . ก . ก 9. ง

104 บทที โลก บรรยากาศ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สิงแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ สาระสําคัญ โลก บรรยากาศ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และทรัพยากรธรรมชาติ และสิงแวดลอ้ ม ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั 1. บอกส่วนประกอบและวิธีการแบ่งชนั ของโลกได้ 2. อธิบายการเปลียนแปลงของเปลอื กโลก กระบวนการต่าง ๆได้ 3. บอกองคป์ ระกอบและการแบ่งชนั บรรยากาศได้ 4. บอกความหมายและความสาํ คญั ของอุณหภูมิ ความชืนและความกดอากาศได้ 5. อธิบายความสัมพนั ธ์ของอุณหภมู ิ ความชืนและความกดอากาศต่อชีวติ ความเป็นอยไู่ ด้ 6. บอกชนิดของลมได้ 7. อธิบายอทิ ธพิ ลของลมต่อมนุษยแ์ ละสิงแวดลอ้ มได้ 8. บอกวิธกี ารป้ องกนั ภยั ทีเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้ 9. บอกประโยชน์ของการพยากรณ์อากาศได้ 10. อธิบายเกียวกบั สภาพ ปัญหา การใชแ้ ละการแกไ้ ขสิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ ในทอ้ งถนิ และประเทศ 11. อธิบาย สรุปแนวคดิ ในการรักษาสมดลุ ของระบบนิเวศ การอนุรักษส์ ิงแวดลอ้ ม และการใช้ ทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งยงั ยืนได้ ขอบข่ายเนอื หา เรืองที โลก เรืองที บรรยากาศ เรืองที ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เรืองที ทรัพยากรธรรมชาติและสิงแวดลอ้ ม

105 เรืองที โลก (Earth) กาํ เนดิ โลก นักวิทยาศาสตร์หลายคนพยายามทจี ะอธบิ ายการกาํ เนิดของโลกมาตงั แต่ ค.ศ. 1609 หนึงในนัน คือ กาลิเลโอ ทีส่องกลอ้ งขยายดูพืนผวิ ทีเป็ นหลุมเป็ นบ่อบนดาวเคราะห์ดวงอืนพบว่า มีหลุมบ่อ มากมาย หลุมบ่อเหลา่ นันเป็นผลจากเทหวตั ถุ (อุกาบาต) วงิ ชนและเกิดการหลอมรวมตวั กนั ทาํ ให้ขนาด ของดาวเคราะห์เพิมใหญ่ขึนเรือย นักวทิ ยาศาสตร์ เชือกนั ว่าเอกภพเกดิ มาเมือ 10,000 ลา้ นปี แลว้ ขณะทีโลกเพิงเกิดมาเมือ 4,600 ลา้ นปี การกาํ เนิดของโลกเริมจากปรากฏการณ์ทีฝ่ นุ และกา๊ ซกระจายอย่ใู นจกั รวาลมารวมตวั กันเป็ นวง ก๊าซทีอุณหภมู ิร้อนจัด และมคี วามหนาแน่นมหาศาล อุณหภูมิสูงมากประมาณการจนทาํ ให้กลุม่ ฝ่ นุ และก๊าซนีเกิดการระเบิดขึนมาเรียกว่า บิกแบงค์ ถือว่าเป็ นการระเบิดครังยิงใหญ่ ส่งให้มวลสาร แพร่กระจายออกไปจุดศูนยก์ ลางทีร้อนทีสุด คือ ดวงอาทิตย์ (มีเส้นผ่าศนู ยก์ ลาง 1,400,000 กิโลเมตร อุณหภูมิ 15 ลา้ นองศาเซลเซียส) ส่วนมวลสารอืน ๆ ทียงั กระจายอยทู่ ัวไปเริมเย็นลง (พร้อมกันนัน ไอนาํ ก็เริมกลนั ตวั เป็ นหยดนาํ ) ไดเ้ ป็ นดาวเคราะหน์ ้อยมากมายประมาณว่ามีร้อย ๆ ลา้ นดวงลอยเควง้ ควา้ งอยใู่ นจกั รวาล ชนกนั เอง ชา้ บา้ ง เร็วบา้ ง ชนกนั ไปเรือย ๆ ในทีสุดการชนกเ็ ริมมกี ารเปลียนแปลง ชนกันไปชนกันมาดาวเคราะห์บางดวงค่อย ๆ ปรากฏมวลใหญ่ขึน เมอื ใหญ่ขึนแรงดึงดูดก็มากขึน ตามมา ยิงถูกชนมากยิงขนาดใหญ่ขึนเกบ็ สะสมพลงั งานไดม้ ากขึน ดว้ ยเหตุนีการกอ่ กาํ เนิดโลกก็เกิดขึน ดาวพุธ ดาวศกุ ร์ กเ็ กิดขึนในทาํ นองเดยี วกนั ชว่ งแรกพนื ผิวโลกจึงปรากฏรูพรุนเต็มไปหมด เนืองจาก การชนกลายเป็นหลุมอุกาบาต ซึงเทยี บไดจ้ ากพืนผวิ ของดวงจนั ทร์ซึงศึกษาไดใ้ นขณะนี การโคจรของโลก โลกหมุนรอบดวงอาทิตยเ์ ป็นวงโคจรซงึ ใชเ้ วลา 365.25 วนั เพอื ให้ครบ 1 รอบ ปฏิทินแต่ละปี มี 365 วนั ซึงหมายความวา่ จะมี 1/4 ของวนั ทีเหลอื ในแต่ละปี ซึงทุก ปี จะมีวนั พิเศษ คือจะมี 366 วนั กล่าวคือเดือนกุมภาพนั ธ์จะมี 29 วนั แทนทีจะมี 28 วนั เหมือนปกติ วงโคจรของโลกไมเ่ ป็ นวงกลม ในเดือนธันวาคม จะอยใู่ กลด้ วงอาทิตยม์ ากกว่าเดือนมิถุนายน ซึงจะอยู่ห่างไกลจากดวงอาทิตยม์ าก ทีสุด โลกจะเอียงไปตามเสน้ แกน ในเดือนมิถุนายน ซีกโลกเหนือจะเอียงไปทางดวงอาทิตย์ ดงั นนั ซีกโลกเหนือจะเป็นฤดรู ้อนและซีกโลกใต้จะเป็ นฤดหู นาว ในเดือนธันวาคมจะเอียงจากดวงอาทิตย์ ทาํ ใหซ้ ีกโลกเหนือเป็ นฤดูหนาวและซีกโลกใต้เป็ นฤดูร้อน ในเดือนมนี าคมและกนั ยายน ซีกโลก ทงั สองไมเ่ อียงไปยงั ดวงอาทิตย์ กลางวนั และกลางคืนจึงมีความยาวเท่ากัน ในเดือนมนี าคม ซีกโลก เหนือจะเป็ นฤดใู บไมผ้ ลิ และซีกโลกใตเ้ ป็นฤดใู บไมร้ ่วง ในเดือนกนั ยายน สถานการณ์จะกลบั กนั

106 ภาพ : การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ โลกมอี ายุประมาณ 4,700 ปี โลกไมไ่ ดม้ ีรูปร่างกลมโดยสินเชิง เส้นรอบวงทีเส้นศูนยส์ ูตรยาว 40,077 กิโลเมตร (24,903 ไมล)์ และทีขวั โลกยาว 40,009 กิโลเมตร (24,861 ไมล์) และมีดวงจนั ทร์เป็ น บริวาร 1 ดวง โคจรรอบโลกทกุ ๆ 27 วนั 8 ชงั โมง โลก มีลกั ษณะเป็นทรงวงรี โดยในแนวดิงเส้นผา่ ศนู ยก์ ลางยาว , กม. ในแนวนอน ยาว , กม. ต่างกนั กม. มพี นื นาํ ส่วน หรือ % และ มีพืนดิน ส่วน หรือ % แกนโลกจะเอยี ง . องศา ส่ วนประกอบของโลก . ส่วนทเี ป็นพนื นาํ ประกอบดว้ ย ห้วยหนอง คลองบึง ทะเล มหาสมทุ ร นาํ ใตด้ นิ นาํ แข็ง ขวั โลก 2. ส่วนทเี ป็นพนื ดนิ คอื ส่วนทมี ลี กั ษณะแขง็ ห่อหุ้มโลก โดยทีเปลอื กทอี ยใู่ ตท้ ะเลมีความหนา 5 กิโลเมตร และส่วนเปลอื กทีมคี วามหนาคือ ส่วนทีเป็ นภเู ขา หนาประมาณ 70 กิโลเมตร 3. ชนั บรรยากาศ เป็นชนั ทีสาํ คญั เพราะทาํ ให้เกดิ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางธรรมชาติ เช่น วฏั จกั รนาํ ออิ อน ทีจาํ เป็นต่อการติดต่อสือสารเป็นตน้ 4. ชนั สิงมชี ีวิต

107 โครงสร้างภายในโลก ภาพ : โครงสร้างภายในโลก เปลอื กโลก เปลือกโลก (crust) เป็นชนั นอกสุดของโลกทีมีความหนาประมาณ - กโิ ลเมตร ซึงถอื วา่ เป็ นชนั ทีบางทีสุดเมือเปรียบกบั ชนั อนื ๆ เสมอื นเปลอื กไข่ไก่หรือเปลอื กหัวหอม เปลือกโลกประกอบ ไปดว้ ยแผน่ ดินและแผน่ นาํ ซงึ เปลอื กโลกส่วนทีบางทีสุดคือส่วนทีอย่ใู ตม้ หาสมทุ ร ส่วนเปลอื กโลก ทีหนาทีสุด คือ เปลอื กโลกส่วนทรี องรับทวปี ทีมเี ทอื กเขาทีสูงทีสุดอยู่ดว้ ย นอกจากนีเปลอื กโลกยงั สามารถแบ่งออกเป็น ชนั คือ ภาพ : ส่วนประกอบของโลก - ชนั ทหี นึง : ชนั หินไซอลั (sial) เป็นเปลือกโลกชนั บนสุด ประกอบดว้ ยแร่ซิลกิ าและอะลมู ินา ซึงเป็ นหินแกรนิตชนิดหนึง สาํ หรับบริเวณผิวของชันนีจะเป็ นหินตะกอน ชันหินไซอัลนีมีเฉพาะ เปลอื กโลกส่วนทเี ป็นทวีปเท่านัน ส่วนเปลอื กโลกทีอย่ใู ตท้ ะเลและมหาสมทุ รจะไม่มหี ินชนั นี

108 - ชนั ทีสอง : ชนั หินไซมา (sima) เป็ นชนั ทีอยู่ใต้หินชนั ไซอลั ลงไป ส่วนใหญ่เป็ นหินบะซอลต์ ประกอบดว้ ยแร่ซิลกิ า เหลก็ ออกไซดแ์ ละแมกนีเซียม ชนั หินไซมานีห่อหุ้มทวั ทังพืนโลกอยู่ในทะเล และมหาสมุทร ซึงต่างจากหินชนั ไซอัลทีปกคลุมเฉพาะส่วนทีเป็ นทวีป และยงั มีความหนาแน่น มากกว่าชนั หินไซอลั แมนเทิล แมนเทิล (mantle หรือ Earth's mantle) เป็นชนั ทีอยู่ระหวา่ งเปลือกโลกและแก่นโลก มคี วามหนา ประมาณ , กิโลเมตร บางส่วนของหินอยูใ่ นสถานะหลอมเหลวเรียกว่า หินหนืด (Magma) ทาํ ให้ ชนั แมนเทลิ มีความร้อนสูงมาก เนืองจากหินหนืดมีอุณหภูมปิ ระมาณ - °C ซึงประกอบดว้ ย หินอคั นีเป็นส่วนใหญ่ เชน่ หินอลั ตราเบสิก หินเพริโดไลต์ แก่นโลก แก่นโลก (Core) ความหนาแน่นของโลกโดยเฉลยี คอื , กก./ลบ.ม. ทาํ ใหโ้ ลกเป็น ดาวเคราะห์ทีหนาแน่นทีสุดในระบบสุริยะ แต่ถา้ วดั เฉพาะความหนาแน่นเฉลียของพืนผิวโลกแล้ว วดั ไดเ้ พยี งแค่ , กก./ลบ.ม. เท่านนั ซึงแก่นโลกมอี งคป์ ระกอบเป็นธาตุเหล็กถงึ % รวมถึงนิกเกิล และธาตุทมี นี าํ หนกั ทีเบากว่าอนื ๆ เช่น ตะกัวและยูเรเนียม เป็ นต้น แก่นโลกสามารถแบ่งออกเป็น ชนั ไดแ้ ก่ - แก่นโลกชนั นอก (Outer core) มีความหนาจากผวิ โลกประมาณ , - , กิโลเมตร ประกอบดว้ ยธาตุเหลก็ และนิกเกิลในสภาพหลอมละลาย และมคี วามร้อนสูง มีอุณหภมู ิประมาณ - มีความหนาแน่นสมั พทั ธ์ . และส่วนนีมีสถานะเป็นของเหลว - แกน่ โลกชนั ใน (Inner core) เป็นส่วนทีอยู่ใจกลางโลกพอดี มรี ศั มีประมาณ , กิโลเมตร มีอุณหภูมิประมาณ , - , และมีความกดดันมหาศาล ทําให้ส่วนนีจึงมีสถานะเป็ นของแข็ง ประกอบดว้ ยธาตเุ หล็กและนิกเกลิ ทีอยู่ในสภาพเป็ นของแขง็ มีความหนาแน่นสัมพทั ธ์ . แผ่นเปลอื กโลก (องั กฤษ: Plate tectonics; มาจากภาษากรีก \" แปลว่า \"ผสู้ ร้าง\") เป็ นทฤษฎีเชิงธรณีวิทยาทีถกู พฒั นาขึนเพอื อธิบายถงึ หลกั ฐานจากการสงั เกตการเคลือนตวั ของแผน่ เปลือกโลกขนาดใหญ่ โครงสร้าง นอกสุดของโลกประกอบดว้ ยชนั ชนั ชนั ทอี ยู่นอกสุดคือชนั ดินแขง็ (lithosphere) ทมี ีเปลือกโลกและ ชนั นอกสุดของแมนเทิลทีเย็นตัวและแข็งแลว้ ภายใต้ชันดินแข็งคือชันดินอ่อน (aethenosphere) ถงึ แมว้ ่ายงั มีสถานะเป็นของแขง็ อยู่ แตช่ นั ดินออ่ นนนั มีความยดื หย่นุ ค่อนขา้ งตาํ และขาดความแขง็ แรง ทงั ยงั สามารถไหลได้คลา้ ยของเหลวซึงขึนอยกู่ บั ลาํ ดบั เวลาเชิงธรณีวิทยา ชันแมนเทิลทีอยลู่ ึกลงไป ภายใตช้ นั ดินอ่อนนนั จะมีความแข็งมากขึนอีกครัง กระนันความแข็งดังกล่าวไมไ่ ดม้ าจากการเย็นลง ของอุณหภมู ิ แตเ่ นืองมาจากความดนั ทีมีอย่สู งู ชนั ดินแขง็ นนั จะแตกตวั ลงเป็นสิงทีเรียกวา่ แผน่ เปลอื กโลก ซงึ ในกรณีของโลกนนั สามารถ แบ่งเป็นแผ่นขนาดใหญ่ได้ แผน่ และแผน่ ขนาดเลก็ อีกจาํ นวนมาก แผน่ ดินแขง็ จะเลอื นตวั อยู่บน

109 ชนั ดินออ่ น และจะเคลอื นตวั สัมพนั ธก์ บั แผน่ เปลอื กโลกอนื ๆ ซึงการเคลือนทนี ีสามารถแบง่ ไดเ้ ป็ น ขอบเขตดว้ ยกนั คือ . ขอบเขตทีมีการชนกนั หรือบรรจบกนั . ขอบเขตทีมกี ารแยกตวั ออกจากกนั หรือกระจายจากกนั . ขอบเขตทีมีการแปลงสภาพ โดยปรากฏการณ์ทางธรณีวทิ ยาต่าง ๆ ไดแ้ ก่ แผน่ ดินไหว ภูเขาไฟปะทุ การก่อตวั ขึนของภเู ขา และการเกดิ ขึนของเหวสมทุ รนนั จะเกิดขนึ พร้อมกบั การเปลียนแปลงของขอบเขตแผ่นดนิ การเคลือน ตวั ดา้ นขา้ งของแผน่ ดินนนั มีอตั ราเร็วอยรู่ ะหวา่ ง . ถึง . เซนติเมตรตอ่ ปี ภาพ : แผ่นเปลอื กโลกขนาดใหญ่ แผน่ เปลอื กโลกทีมขี นาดใหญ่ ไดแ้ ก่ - ท แผ่นแอฟริกนั : ครอบคลมุ ทวปี แอฟริกา เป็ นแผน่ ทวีป ท แผน่ แอนตาร์คตกิ : ครอบคลุมทวปี แอนตาร์คติก เป็ นแผ่นทวปี ท แผ่นออสเตรเลยี น : ครอบคลุมออสเตรเลีย (เคยเชือมกบั แผน่ อนิ เดียนเมือประมาณ ลา้ นปีก่อน) เป็ นแผน่ ทวีป

110 ท แผ่นยเู รเซียน : ครอบคลมุ ทวีปเอเชียและยโุ รป เป็ นแผ่นทวปี ท แผน่ อเมริกาเหนือ : ครอบคลมุ ทวปี อเมริกาเหนือและทางตะวนั ออกเฉียงเหนือของไซบเี รีย เป็ นแผน่ ทวปี ท แผน่ อเมริกาใต้ : ครอบคลมุ ทวปี อเมริกาใต้ เป็นแผน่ ทวีป ท แผน่ แปซิฟิก : ครอบคลมุ มหาสมทุ รแปซิฟิก เป็นแผ่นมหาสมทุ ร นอกจากนี ยงั มีแผน่ เปลือกโลกทีมีขนาดเล็กกว่าไดแ้ ก่ แผน่ อินเดยี น แผ่นอาระเบียน แผน่ แคริเบียน แผ่นฮวนเดฟกู า แผ่นนาซคา แผน่ ฟิลิปปิ นส์และแผ่นสโกเทีย การเคลอื นทีของแผ่นเปลอื กโลก มสี าเหตุมาจากการรวมตวั และแตกออกของทวีป เมือผ่าน ช่วงเวลาหนึง ๆ รวมถึงการรวมตวั ของมหาทวีปในบางครัง ซึงไดร้ วมทุกทวีปเขา้ ดว้ ยกนั มหาทวปี โรดิเนีย (Rodinia) นันคาดวา่ ก่อตวั ขึนเมอื หนึงพนั ลา้ นปีทีผ่านมา และไดค้ รอบคลมุ ผืนดินส่วนใหญ่บนโลก จากนนั จงึ เกดิ การแตกตวั ไปเป็นแปดทวปี เมือ ลา้ นปี ทีแลว้ ทวีปทงั นี ต่อมาเขา้ มารวมตวั กนั เป็นมหาทวปี อกี ครัง โดยมชี ือวา่ แพนเจีย (Pangaea) และในทสี ุด แพนเจียกแ็ ตกออกไปเป็ นทวปี ลอเรเซยี (Laurasia) ซึงกลายมาเป็นทวปี อเมริกา เหนือและยเู รเซยี และทวปี กอนด์วานา (Gondwana) ซงึ กลายมาเป็นทวีปอนื ๆ นอกเหนือจาก ทีไดก้ ล่าวขา้ งตน้ การเคลอื นทขี องแผ่นเปลือกโลก ภาพ : การเคลอื นทีของแผ่นเปลอื กโลก เรืองที บรรยากาศ บรรยากาศ คือ อากาศทหี ่อหุม้ โลกเราอยโู่ ดยรอบ โดยมีขอบเขตนับจากระดบั นาํ ทะเลขึนไป ประมาณ , กโิ ลเมตร บริเวณใกลพ้ นื ดินอากาศจะมคี วามหนาแน่นมากและจะลดลงเมอื อย่สู ูงขึนไป จากระดบั พนื ดนิ บริเวณใกลพ้ นื ดนิ โลกมอี ณุ หภูมิ องศาเซลเซียส โดยเฉลีย

111 ภาพ : สภาพบรรยากาศของโลก ชันบรรยากาศ สภาพอากาศของโลก คอื การถกู ห่อหุม้ ดว้ ยชนั บรรยากาศ ซึงมีทงั หมด ชนั ไดแ้ ก่ 1. โทรโพสเฟี ยร์ เริมตงั แต่ - กิโลเมตร จากผวิ โลก บรรยากาศมีไอนาํ เมฆ หมอก ซงึ มคี วามหนาแน่นมาก และมกี ารแปรปรวนของอากาศอยตู่ ลอดเวลา 2. สตราโตสเฟี ยร์ เริมตงั แต่ - กิโลเมตร จากผิวโลก บรรยากาศชนั นีแถบจะไม่ เปลียนแปลงจากโทรโพสเฟี ยร์ แตม่ ผี งฝ่ นุ เพิมมาเลก็ น้อย 3. เมโสสเฟี ยร์ เริมตงั แต่ - กโิ ลเมตร จากผิวโลก บรรยากาศมกี า๊ ซโอโซนอย่มู าก ซึงจะ ช่วยสกดั แสงอลั ตรา ไวโอเรต (UV) จากดวงอาทิตยไ์ มใ่ หม้ าถึงพนื โลกมากเกินไป 4. ไอโอโนสเฟียร์ เริมตงั แต่ - กโิ ลเมตร จากผิวโลก บรรยากาศมอี อกซิเจนจางมาก ไม่เหมาะกบั มนุษย์ 5. เอกโซสเฟี ยร์ เริมตงั แต่ กิโลเมตรขึนไป จากผิวโลก บรรยากาศมอี อกซเิ จนจางมาก ๆ และมกี า๊ ซฮีเลียม และไฮโดรเจนอยู่เป็นส่วนมาก โดยเป็นทีชนั ติดต่อกบั อวกาศ ความสําคัญของบรรยากาศ บรรยากาศมคี วามสาํ คญั ต่อสิงมชี วี ติ ดงั นี . ช่วยปรับอณุ หภมู บิ นผวิ โลกไม่ให้สูงหรือตาํ เกินไป . ช่วยป้ องกนั อนั ตรายจากรังสีและอนุภาคต่าง ๆ ทีมาจากภายนอกโลก เช่น ช่วยดูดกลืนรังสี อลั ตราไวโอเลตไมใ่ หส้ ่องผ่านมายงั ผวิ โลกมากเกินไป ช่วยทาํ ให้วตั ถุจากภายนอกโลกทีถกู แรงดึงดูด ของโลกดึงเขา้ มาเกดิ การลุกไหมห้ รือมีขนาดเลก็ ลงกอ่ นตกถึงพืนโลก

112 ภาพ : ชนั ของบรรยากาศ องค์ประกอบของบรรยากาศ บรรยากาศหรืออากาศ จดั เป็นของผสมประกอบดว้ ยแก๊สต่าง ๆ เช่น แกส๊ ไนโตนเจน (N ) แกส๊ ออกซิเจน (O ) แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO ) แก๊สอาร์กอน (Ar) ฝ่ ุนละออง และแกส๊ อืน ๆ เป็นตน้ ภาพ : องค์ประกอบของบรรยากาศ ก๊าซทเี กยี วกบั ชันบรรยากาศทสี ําคญั มอี ยู่ 2 ก๊าซ คือ โอโซน (Ozone) เป็นกา๊ ซทีสาํ คญั มากต่อมนุษย์ เพราะชว่ ยดดู กลนื รังสีอุลตราไวโอเลตทมี าจาก ดวงอาทติ ย์ ไม่ใหต้ กสู่พืนโลกมากเกินไป ถา้ ไม่มีโอโซนก็จะทาํ ให้รังสีอุลตราไวโอเลตเขา้ มาสู่พนื โลก มากเกินไป ทาํ ใหผ้ ิวหนงั ไหมเ้ กรียม แต่ถา้ โอโซนมีมากเกินไปก็จะทาํ ให้รังสีอุลตราไวโอเลตมาสู่พืน โลกนอ้ ยเกินไปทาํ ใหม้ นุษยข์ าดวติ ามนิ D ได้

113 ซีเอฟซี (CFC = Chlorofluorocarbon) เป็นก๊าซทีประกอบดว้ ย คาร์บอน ฟลูออรีน คลอรีน ซงึ ไดน้ าํ มาใชใ้ นอตุ สาหกรรมบางชนิด เช่น พลาสติก โฟม ฯลฯ โดยก๊าซ CFC นาํ หนกั เบามาก ดงั นัน เมือปล่อยสู่บรรยากาศมากขึนจนถงึ ชันสตราโตสเฟี ยร์ CFC จะกระทบกบั รังสีอุลตราไวโอเลตแลว้ แตกตวั ออกทนั ทเี กดิ อะตอมของคลอรีนอสิ ระทีจะเขา้ ทาํ ปฏิกิริยากบั โอโซน ได้สารประกอบมอนอกไซด์ ของคลอรีน และกา๊ ซออกซเิ จน จากนัน สารประกอบมอนอกไซด์จะรวมตวั กบั อะตอมออกซิเจนอิสระ เพอื ทจี ะสร้างออกซิเจนและอะตอมของคลอรีน ปฏิกิริยานีจะเป็นลกู โซ่ต่อเนืองไมส่ ินสุด โดยคลอรีน อิสระ 1 อะตอม จะทาํ ลายโอโซนไปจากชันบรรยากาศไดถ้ งึ 100,000โมเลกุล อุณหภูมิ อณุ หภูมิ คือ คุณสมบตั ิทางกายภาพของระบบ โดยจะใชเ้ พอื แสดงถึงระดบั พลงั งานความร้อน เป็ นการแทนความรู้สึกทวั ไปของคาํ วา่ \"ร้อน\" และ \"เยน็ \" โดยสิงทีมีอณุ หภมู สิ ูงกวา่ จะถกู กลา่ วว่า รอ้ น กว่า หน่วย SI ของอุณหภมู ิ คือ เคลวิน มาตราวัด มาตรฐานวดั หลกั ไดแ้ ก่ ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ จุดเยอื กแขง็ ของนาํ จุดเดือดของนาํ องศาเซลเซียส Celsius (C) 0 100 องศาฟาเรนไฮต์ Fahrenheit (R) 32 212 เคลวนิ Kelvin (K) 273 373 องศาโรเมอร์ Réaumur (°R) 0 80 โดยมสี ูตรการแปลงหน่วย ดงั นี

114 กระแสนํากบั อุณหภูมขิ องโลก กระแสนาํ ในมหาสมุทร คือ การเคลอื นทีของนาํ ในมหาสมทุ รในลกั ษณะทีเป็นกระแสธาร ทีเคลอื นทีอย่างสมาํ เสมอ และไหลต่อเนืองไปในทิศทางเดียวกนั มี 2 ชนิด คือ กระแสนาํ อุน่ และ กระแสนาํ เยน็ กระแสนาํ อ่นุ เป็นกระแสนาํ ทีมาจากเขตละติจูดตาํ (บริเวณทีอยูใ่ กลเ้ สน้ ศนู ยส์ ตู ร ตังแต่ เสน้ ทรอปิ กออฟแคนเซอร์ถงึ ทรอปิ กออฟแคบริคอร์น) เคลือนทีไปทางขวั โลก มีอุณหภูมิสูงกว่านาํ ทีอย่โู ดยรอบไหลผา่ นบริเวณใดก็จะทาํ ใหอ้ ากาศบริเวณนนั มีความอบอนุ่ ชุ่มชนื ขึน ภาพ : ทิศทางการไหลของกระแสนาํ อนุ่ - นาํ เยน็ หรือเทอร์โมฮาไลนท์ ไี หลรอบโลก กระแสนาํ เยน็ ไหลผา่ นบริเวณใดก็จะทาํ ใหอ้ ากาศแถบนันมีความหนาวเยน็ แหง้ แลง้ เป็ นกระแสนาํ ทีไหลมาจากเขตละติจูดสูง (บริเวณตงั แต่ เสน้ อาร์กติกเซอร์เคิลถึงขวั โลกเหนือ และ บริเวณเส้นแอนตาร์กติกเซอร์เคลิ ถงึ ขวั โลกใต)้ เขา้ มายงั เขตอบอุ่น และเขตร้อนจึงทาํ ให้กระแสนาํ เย็น ลงหรืออุณหภมู ิตาํ กว่านาํ ทีอยโู่ ดยรอบ กระแสนาํ อนุ่ และกระแสนาํ เยน็ จะนาํ พาอากาศร้อนและอากาศหนาวมา ทาํ ให้เกดิ ฤดูกาล ทีเปลียนไปตามธรรมชาติ ถา้ ไม่มีกระแสนาํ อากาศก็จะวิปริตผดิ เพียน ร้อนและหนาวมากผิดฤดูกาล ส่งผลใหพ้ ืชไม่ออกผล เกิดพายฝุ นทีรุนแรง และแปรปรวน นอกจากนี ยงั มีผลตอ่ ความชืนในอากาศ คือ ลมทีพดั ผา่ นกระแสนาํ อุ่นมาสู่ทวปี ทีเย็น จะทาํ ใหค้ วามชนื บริเวณนนั มีมากขึน และมีฝนตก ในขณะทีลมทีพดั ผา่ นกระแสนาํ เย็นไปยงั ทวีปทีอุ่นจะทาํ ใหอ้ ากาศแหง้ แล้ง ชายฝังบางทีจึงมีอากาศแห้งแลง้ บางทีก็เป็ นทะเลทราย แต่ถา้ กระแสนาํ อุ่นกบั กระแสนาํ เยน็ ไหลมาบรรจบกนั จะทาํ ใหเ้ กิดหมอก

115 หากขาดกระแสนําทังสองชนิดนี ก็จะไม่มีการเปลียนแปลงของอากาศ แต่ในบางพืนที กระแสนาํ กไ็ ม่มผี ลต่ออุณหภูมิ เพราะไมม่ ที งั กระแสนาํ อุ่น และกระแสนําเยน็ ไหลผ่าน เช่น ประเทศไทย เมือนาํ แขง็ ทขี วั โลกละลาย นาํ ทะเลก็จะเจือจางลง ทาํ ใหก้ ระแสนําอ่นุ และกระแสนาํ เยน็ หยุด ไหล เมอื หยุดไหลแลว้ ก็จะไมม่ รี ะบบหล่ออุณหภมู ขิ องโลก โลกของเราก็จะเขา้ สู่ยคุ นาํ แข็งอีกครังหนึง หรือไม่ก็เกิดภาวะนาํ ท่วมโลก สมบัติของอากาศ 1. ความหนาแน่นของอากาศ ความหนาแน่นของอากาศ คอื อตั ราส่วนระหว่างมวลกบั ปริมาตรของอากาศ . ทีระดบั ความสูงจากระดบั นาํ ทะเลตา่ งกนั อากาศจะมีความหนาแน่นตา่ งกนั . เมือระดบั ความสูงจากระดบั นาํ ทะเลเพิมขึน ความหนาแน่นของอากาศจะลดลง . ความหนาแน่นของอากาศจะเปลียนแปลงตามมวลของอากาศ อากาศทีมวลน้อยจะมคี วามหนาแน่นนอ้ ย . อากาศทผี ิวโลกมีความหนาแน่นมากกวา่ อากาศทอี ยรู่ ะดบั ความสงู จากผิวโลกขนึ ไป เนืองจากมีชนั อากาศกดทบั ผวิ โลกหนากวา่ ชนั อืน ๆ และแรงดึงดดู ของโลกทีมีต่อมวลสารใกลผ้ วิ โลก 2. ความดันของอากาศ ความดันของอากาศหรือความดันบรรยากาศ คือ ค่าแรงดนั อากาศทีกระทาํ ต่อหนึงหน่วยพืนที ทีรองรับแรงดนั นนั - เครืองมอื วดั ความดนั อากาศ เรียกว่า บารอมเิ ตอร์ - เครืองมือวดั ความสูง เรียกว่า แอลติมิเตอร์ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความดนั อากาศกบั ระดบั ความสูงจากระดบั นาํ ทะเล สรุปได้ ดงั นี . ทีระดบั นาํ ทะเลความดนั อากาศปกติมีคา่ เท่ากบั ความดนั อากาศทีสามารถดนั ปรอทให้สูง cm หรือ mm หรือ นิว . เมอื ระดบั ความสูงเพมิ ขนึ ความกดของอากาศจะลดลงทกุ ๆ ระยะความสูง เมตร ระดบั ปรอทจะลดลง มลิ ลิเมตร . อุณหภูมิของอากาศ การเปลียนแปลงของอณุ หภมู ิตามความสูงในบรรยากาศชนั นีพบว่า โดยเฉลยี อุณหภูมจิ ะลดลงประมาณ . ๐C 4. ความชืนของอากาศ ความชืนของอากาศ คือ ปริมาณไอนาํ ทีปะปนอยใู่ นอากาศ อากาศทีมีไอนาํ อยใู่ นปริมาณเต็มที และจะรับไอนาํ อกี ไมไ่ ดอ้ ีกแลว้ เรียกว่า อากาศอมิ ตัว การบอกค่าความชืนของอากาศ สามารถบอกได้ วิธี คือ 1. ความชนื สัมบรู ณ์ คือ อตั ราส่วนระหว่างมวลของไอนาํ ในอากาศกบั ปริมาตรของอากาศ ขณะนนั

116 2. ความชนื สมั พทั ธ์ คือ ปริมาณเปรียบเทียบระหวา่ งมวลของไอนาํ ทีมอี ยู่จริงในอากาศขณะนัน กบั มวลของไอนาํ อิมตวั ทีอุณหภูมิและปริมาตรเดียวกนั มหี น่วยเป็น เปอร์เซ็นต์ เครืองมอื วดั ความชืนสัมพทั ธ์ เรียกวา่ ไฮกรอมเิ ตอร์ ทีนิยมใชม้ ี ชนิด คือ 1. ไฮกรอมเิ ตอร์แบบกระเปียกกระเปาะแหง้ 2. ไฮกรอมิเตอร์แบบเส้นผม เมฆ 1.1 เมฆและการเกิดเมฆ เมฆ คือ นาํ ในอากาศเบืองสงู ทีอย่ใู นสถานะเป็นหยดนาํ และผลกึ นาํ แข็ง และอาจมีอนุภาคของ ของแข็งทีอย่ใู นรูปของควนั และฝ่นุ ทแี ขวนลอยอยู่ในอากาศรวมอยูด่ ว้ ย . ชนิดของเมฆ การสังเกตชนิดของเมฆ กลมุ่ คาํ ทีใชบ้ รรยายลกั ษณะของเมฆชนิดต่าง ๆ มีอยู่ กลุม่ คาํ คือ เซอร์โร(CIRRO) เมฆระดบั สูง อลั โต (ALTO) เมฆระดบั กลาง คิวมูลสั (CUMULUS) เมฆเป็ นกอ้ นกระจกุ สเตรตสั (STRATUS) เมฆเป็ นชนั ๆ นิมบสั (NUMBUS) เมฆทีกอ่ ให้เกิดฝน นักอุตุนิยมวิทยาแบ่งเมฆออกเป็ น ประเภท คอื 1. เมฆระดบั สูง เป็นเมฆทีพบในระดบั ความสูง เมตรขนึ ไป ประกอบดว้ ยผลึกนาํ แขง็ เป็นส่วนใหญ่ มี ชนิด คือ - เซอร์โรคิวมูลสั - เซอร์รัส - เซอร์โรสเตรตสั

117 ภาพ : เมฆชนิดต่าง ๆ 2. เมฆระดบั กลาง - อลั โตสเตรตสั - อลั โตคิวมูลสั 3. เมฆระดบั ตาํ - สเตรตสั - สเตรโตควิ มูลสั - นิมโบสเตรตสั 4. เมฆซึงก่อตวั ในทางแนวตงั - คิวมลู สั - คิวมโู ลนิมบสั หยาดนําฟ้ า หยาดนําฟ้ า หมายถงึ นาํ ทีอยใู่ นสถานะของแขง็ หรือของเหลวทตี กลงมาจากบรรยากาศ สู่พนื โลก หมอก(Fog) คือ เมฆทเี กดิ ในระดบั ใกลพ้ นื โลก จะเกิดตอนกลางคืนหรือเชา้ มดื นําค้าง(Dew) คือ ไอนาํ ทีกลนั ตวั เป็ นหยดนาํ เกาะติดอยู่ตามผิว ซึงเยน็ ลงจนอณุ หภูมติ าํ กวา่ จุดนาํ คา้ งของขณะนัน จุดนําค้าง คือ ขดี อณุ หภูมทิ ีไอนาํ ในอากาศเริมควบแน่นออกมาเป็ นละอองนาํ

118 นําค้างแขง็ (Frost) คือ ไอนาํ ในอากาศทีมจี ุดนาํ คา้ งตาํ กวา่ จุดเยือกแข็ง แลว้ เกดิ การกลนั ตวั เป็ นเกล็ดนาํ แข็ง โดยเกิดเฉพาะในเวลากลางคนื หรือตอนเชา้ มดื หิมะ(Snow) คือ ไอนําทีกลนั ตัวเป็ นเกล็ดนําแข็ง เมืออากาศอิมตวั และอุณหภูมิตํากว่า จุดเยือกแขง็ ลูกเห็บ(Hail) คือ เกลด็ นาํ แข็งทีถูกลมพดั หวนขึนหลายครงั แต่ละครังผ่านอากาศเยน็ จดั ไอนาํ กลายเป็ นนาํ แขง็ เกาะเพิมมากขึน จนมีขนาดใหญ่มากเมือตกถงึ พนื ดิน ฝน(Rain) เกิดจากละอองนาํ ในกอ้ มเมฆซงึ เยน็ จดั ลง ไอนาํ กลนั ตวั เป็นละอองนาํ เกาะกันมาก และหนักขนึ จนลอยอยไู่ มไ่ ด้ และตกลงมาดว้ ยแรงดึงดูดของโลก ภาพ : กระบวนการเกิดฝน ปริมาณนาํ ฝน หมายถงึ ระดบั ความลกึ ของนาํ ฝนในภาชนะทีรองรับนาํ ฝน เครืองมือปริมาณ นาํ ฝนเรียกวา่ เครืองวดั นําฝน(Rain gauge) เรืองที ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ลม (Wind) คือ มวลของอากาศทีเคลือนทีไปตามแนวราบ กระแสอากาศทีเคลือนที ในแนวนอน ส่วนกระแสอากาศคือ อากาศทเี คลือนทีในแนวตงั การเรียกชอื ลมนนั เรียกตามทศิ ทางทีลม นนั ๆ พดั มา เช่น ลมทีพดั มาจากทิศเหนือเรียกวา่ ลมเหนือ และลมทีพดั มาจากทิศใตเ้ รียกวา่ ลมใต้ เป็ นตน้ ในละติจดู ตาํ ไมส่ ามารถจะคาํ นวณหาความเร็วลม แตใ่ นละตจิ ูดสงู สามารถคาํ นวณหาความเร็ว ลมได้

119 การเกดิ ลม สาเหตุเกิดลม คือ . ความแตกตา่ งของอณุ หภมู ิ . ความแตกต่างของหยอ่ มความกดอากาศ หย่อมความกดอากาศ(Pressure areas) - หย่อมความกดอากาศสูง หมายถงึ บริเวณทีมคี วามกดอากาศสูงกว่าบริเวณขา้ งเคียง ใช้ตวั อกั ษร H - หย่อมความกดอากาศตาํ หมายถงึ บริเวณทมี ีความกดอากาศตาํ กว่าบริเวณขา้ งเคียง ใช้ตวั อักษร L ชนิดของลม ลมแบ่งออกเป็ นชนดิ ต่าง ๆ คอื - ลมประจาํ ปี หรือลมประจาํ ภูมภิ าค เช่น ลมสินคา้ - ลมประจาํ ฤดู เช่น ลมมรสุมฤดูรอ้ น และลมมรสุมฤดูหนาว - ลมประจาํ เวลา เชน่ ลมบก ลมทะเล - ลมทีเกิดจากการแปรปรวนหรือลมพายุ เชน่ พายุฝนฟ้ าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน ลมผิวพืน ลมผวิ พนื (Surface Winds) คอื ลมทีพดั จากบริเวณผิวพนื ไปยงั ความสูงประมาณ 1 กิโลเมตรเหนือ พืนดิน เป็ นบริเวณทีมีการคลุกเคล้าของอากาศ และมีแรงฝื ดอนั เกิดจากการปะทะกบั สิงกีดขวาง ร่วมกระทาํ ดว้ ย ในระดบั ตาํ แรงความชนั ความกดอากาศในแนวนอนจะไม่สมดุลกบั แรงคอริออลิส แรงฝืดทาํ ให้ความเร็วลมลดลง มีผลให้แรงคอริออลิสลดลงไปด้วย ลมผวิ พืนจะไม่พดั ขนานกับไอโซบาร์ แต่จะพดั ขา้ มไอโซบาร์จากความกดอากาศสูงไปยงั ความกดอากาศตาํ และทาํ มมุ กบั ไอโซบาร์ การทาํ มุมนนั ขึนอยู่กบั ความหยาบของผวิ พนื ถา้ เป็นทะเลทีราบเรียบจะทาํ มมุ 10 ถึง 20 แต่พืนดินทาํ มมุ 20 ถงึ 40 ส่วนบริเวณทีเป็นป่ าไมห้ นาทึบ อาจทาํ มมุ ถึง 90 มุมทที าํ กบั ไอโซบาร์อยใู่ นระดบั ความสูง 10 เมตร เหนือผวิ พืน ทรี ะดบั ความสงู มากกวา่ 10 เมตร ขึนไป แรงฝื ดลดลง แต่ความเร็วลมจะเพิมขึน มุมทีทาํ กบั ไอโซบาร์จะเลก็ ลง ส่วนทีระดบั ความสูงใกล้ 1 กิโลเมตร เกือบไมม่ แี รงฝื ด ดงั นนั ลมจึงพดั ขนานกบั ไอโซบาร์ ลมกรด (Jet Stream) เป็นกระแสลมแรงอย่ใู นเขตโทรโพพอส (แนวแบ่งเขตระหว่างชนั โทรโพสเฟี ยร์กบั ชนั สตราโตสเฟี ยร์) เป็นลมฝ่ ายตะวนั ตกทีมคี วามยาวหลายพนั กิโลเมตร มคี วามกวา้ ง หลายร้อยกิโลเมตร แต่มคี วามหนาเพียง 2 - 3 กิโลเมตร เท่านัน โดยทัวไปลมกรด พบอยู่ในระดบั ความสูงประมาณ 10 และ 15 กิโลเมตร แตอ่ าจจะเกิดขึนไดท้ งั ในระดบั ทีสูงกว่า และในระดับทีตาํ กวา่ นีได้ ตรงแกนกลางของลมเป็นบริเวณแคบ แต่ลมจะพดั แรงทีสุด ถดั จากแกนกลางออกมาความเร็วลม จะลดนอ้ ยลง ลมกรดมคี วามเร็วลมประมาณ 150 - 300 กิโลเมตรต่อชวั โมง และทีระดบั ความสูงใกล้ 12

120 กิโลเมตร จะมีความเร็วลมสูงถงึ 400 กโิ ลเมตรต่อชวั โมง ในขณะทีลมฝ่ ายตะวนั ตกอืน ๆ มีความเร็วลม เพียง 50 - 100 กิโลเมตรต่อ ชวั โมง ลมมรสุม (Monsoon) มาจากคาํ ในภาษาอาหรับว่า Mausim แปลว่า ฤดู ลมมรสุม จึงหมายถงึ ลมทีพดั เปลยี นทิศทางกลบั การเปลียนฤดู คือ ฤดูร้อนจะพดั ในทิศทางหนึง และจะพดั เปลียนทิศทาง ในทางตรงกันข้ามในฤดูหนาว ครังแรกใชเ้ รียกลมนีในบริเวณทะเลอาหรับซึงพัดอยใู่ นทิศทาง ตะวนั ออกเฉียงเหนือเป็นระยะเวลา 6 เดือน และพดั อยใู่ นทศิ ทางตะวนั ตกเฉียงใตเ้ ป็นระยะเวลา 6 เดือน แต่อย่ใู นส่วนอนื ๆ ของโลก ลมมรสุมทเี ห็นชดั เจนทสี ุดคือ ลมมรสุมทีเกิดขึนในเอเชียตะวนั ออก และ เอเชียใต้ ลมท้องถิน เป็ นลมทีเกิดขึนภายในท้องถิน เนืองจากอิทธิพลของภูมิประเทศและความ เปลียนแปลงของความกดอากาศ ลมทอ้ งถินแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ดงั นี 1. ลมบกและลมทะเล เป็ นลมทีเกิดจากความแตกตา่ งอุณหภูมิของอากาศหรือพนื ดินและ พนื นาํ เป็ นลมทีพดั ประจาํ วนั ภาพ : การเกดิ ลมทะเลและการเกดิ ลมบก ท ลมทะเล (Sea Breeze) เกิดในฤดรู ้อนตามชายฝังทะเล ในเวลากลางวนั เมอื พนื ดินไดร้ ับความร้อน จากดวงอาทิตยจ์ ะมีอณุ หภูมสิ ูงกว่าพนื นาํ และอากาศเหนือพืนดินเมอื ได้รับความร้อนจะขยายตวั ลอย ขึนสู่เบืองบน อากาศเหนือพืนนําซึงเยน็ กว่าจะไหลเข้าไปแทนที เกิดลมจากทะเลพดั เขา้ หาฝังมีระยะ ทางไกลถึง 16 - 48 กิโลเมตร และความแรงของลมจะลดลงเมือเขา้ ถงึ ฝัง ท ลมบก (Land Breeze) เกิดในเวลากลางคืน เมอื พืนดินคายความร้อนโดยการแผ่รังสีออก จะคาย ความร้อนออกได้เร็วกว่าพืนนํา ทาํ ใหม้ ีอุณหภูมิตาํ กว่าพืนนํา อากาศเหนือพืนนําซึงร้อนกว่าพนื ดิน จะลอยตวั ขนึ สู่เบืองบน อากาศเหนือพืนดินซึงเยน็ กว่าจะไหลเข้าไปแทนที เกิดเป็นลมพดั จากฝังไปสู่ ทะเล ลมบก ซึงลมบกจะมคี วามแรงของลมอ่อนกวา่ ลมทะเล จึงไม่สามารถพดั เข้าสู่ทะเลได้ระยะ ทางไกลเหมือนลมทะเล โดยลมบกสามารถพดั เขา้ สู่ทะเลมรี ะยะทางเพยี ง 8 - 10 กิโลเมตร เทา่ นนั

121 2. ลมภูเขาและลมหุบเขา (Valley Breeze) เป็นลมประจาํ วนั เช่นเดียวกบั ลมบกและลมทะเล ลมหุบเขา เกิดขึนในเวลากลางวนั อากาศตามภูเขาและลาดเขาร้อน เพราะไดร้ ับความร้อนจากดวง อาทิตยเ์ ตม็ ที ส่วนอากาศทีหุบเขาเบืองลา่ งมีความเย็นกว่าจึงไหลเข้าแทนที ทาํ ให้มีลมเยน็ จากหุบเขา เบืองลา่ งพดั ไปตามลาดเขาขึนสู่เบืองบน เรียกวา่ ลมหุบเขา ภาพ : การเกิดลมหุบเขาและการเกิดลมภเู ขา 3. ลมพดั ลงลาดเขา (Katabatic Wind) เป็ นลมทีพดั อย่ตู ามลาดเขาลงสู่หุบเขาเบืองลา่ ง ลมนีมี ลกั ษณะคลา้ ยกบั ลมภเู ขา แต่มีกาํ ลงั แรงกว่า สาเหตุการเกิดเนืองจากลมเยน็ และมีนาํ หนักมากเคลือนที จากทีสูงลงสู่ทีตําภายใตแ้ รงดึงดูดของโลก ส่วนใหญ่เกิดขึนในช่วงเวลากลางคืน เมือพืนดินคาย ความร้อนออก ในฤดูหนาวบริเวณทีราบสูงภายในทวีปมีหิมะทบั ถมกนั อยู่ อากาศเหนือพืนดินเยน็ ลงมาก ทาํ ใหเ้ ป็ นเขตความกดอากาศสูง ตามขอบทีราบสูงแรงความชนั ความกดอากาศมีความแรง พอทีจะทาํ ใหอ้ ากาศหนาว จากทีสงู ไหลลงสู่ทีตาํ ได้ บางครังจึงเรียกวา่ ลมไหล (Drainage Wind) ลมนี มชี ือแตกต่างกนั ไปตามทอ้ งถินต่าง ๆ เช่น ลมโบรา (Bora) เป็ นลมหนาวและแหง้ มีตน้ กาํ เนิดมาจาก ลมหนาวในสหภาพโซเวยี ต (ปี พ.ศ. 2534 เปลียนชือเป็ นเครือจกั รภพอิสระ) พดั ขา้ มภูเขาเข้าสู่ชายฝัง ทะเลเอเดรียติกของประเทศยโู กสลาเวีย จากทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือในฤดหู นาว เกิดขึนไดท้ งั เวลา กลางวนั และกลางคืน แตจ่ ะเกิดขึนบอ่ ยและลมมีกาํ ลงั แรงจดั ในเวลากลางคืนและสมมสิ ทราล (Mistras) เป็ นลมหนาวและแหง้ เช่นเดียวกบั ลมโบรา แต่มคี วามเร็วลมนอ้ ยกวา่ พดั จากภูเขาตะวนั ตกลงสู่หุบเขา โรนทางตอนใตข้ องประเทศฝรังเศส

122 ภาพ : ลมพดั ลงลาดเขา 4. ลมชีนุก (Chinook) เป็ นลมทีเกิดขึนทางดา้ นหลังเขา มีลักษณะเป็ นลมร้อนและแห้ง ความแรงลมอยู่ในขนั ปานกลางถึงแรงจดั การเคลอื นทีของลมเป็ นผลจากความกดอากาศแตกต่างกนั ทางดา้ นตรงขา้ มของภูเขา ภูเขาดา้ นทีไดร้ ับลมจะมีความกดอากาศมากและอากาศจะถูกบงั คับให้ลอย สงู ขึนสู่ยอดเขา ซึงจะขยายตวั และพดั ลงสู่เบอื งล่างทางด้านหลงั เขา ขณะทีอากาศลอยตาํ ลง อณุ หภูมิ จะค่อย ๆ เพมิ สงู ขึนตามอตั ราการเปลียนอณุ หภูมอิ ะเดียแบติก จงึ เป็นลมร้อนและแห้ง ลมร้อนและแหง้ ทีพดั ลงไปทางดา้ นหลังเขาทางตะวนั ออกของเทือกเขาร็อกกี เรียกว่า ลมชีนุก บริเวณทีเกิดลมเป็ น บริเวณแคบๆ มคี วามกวา้ งเพียง 2 - 3 ร้อยกิโลเมตร เท่านัน และแผ่ขยายจากทางตะวนั ออกเฉียงเหนือ ของมลรัฐนิวเม็กซิโก สหรฐั อเมริกา ไปทางเหนือเขา้ สู่แคนาดา ลมชีนุกเกิดขึนเมือลมตะวนั ตกชันบน ทีมีกาํ ลงั แรงพดั ขา้ มแนวเทือกเขาเหนือใต้คือ เทือกเขาร็อกกีและเทือกเขาแคสเกต อากาศทางด้านเขา ทีไดร้ ับลมถูกบงั คบั ใหล้ อยขนึ อณุ หภูมิลดตาํ ลง แต่เมือลอยตาํ ลงไปยงั อีกดา้ นของเขา อากาศจะถูกบีบ ทาํ ใหม้ ีอุณหภูมสิ ูงขึน ถา้ ลมทีมลี กั ษณะอยา่ งเดียวกบั ลมชีนุก แต่พดั ไปตามลาดเขาของภูเขาแอลป์ ในยโุ รป เรียกว่า ลมเฟิ ห์น (Foehn) และถา้ เกิดในประเทศอาร์เจนตินา เรียกว่า ลมซอนดา (Zonda) ภาพ : ลกั ษณะการเกดิ ลมชีนุก

123 5. ลมซานตาแอนนา (Santa Anna) เป็นลมรอ้ นและแหง้ พดั จากทางตะวนั ออก หรือตะวนั ออก เฉียงเหนือ เขา้ สู่ภาคใตม้ ลรัฐแคลิฟอร์เนีย จะพดั ผา่ นบริเวณทะเลทรายและภูเขา จึงกลายเป็ นลมร้อน และแหง้ ลมนีเกิดขึนในเขตความกดอากาศสูงบริเวณแกรตเบซินและเมอื พดั ผา่ นบริเวณใดจะกอ่ ใหเ้ กิด ความเสียหายแก่พืชผลบริเวณนัน โดยเฉพาะในฤดูใบไมผ้ ลิ เมอื ตน้ ไมต้ ดิ ผลอ่อนและบริเวณทีมลี มพดั ผ่านจะมีอุณหภูมสิ ูงขนึ เช่น เมือลมนีพดั เข้าสู่ภาคใตม้ ลรัฐแคลิฟอร์เนีย ทาํ ใหอ้ ณุ หภูมสิ ูงกว่าบริเวณ ทีไม่มี ลมนีพดั ผา่ น 6. ลมทะเลทราย (Desert Winds) เป็นลมทอ้ งถินเกิดในบริเวณทะเลทราย เวลาเกิดจะมาพร้อมกับ พายฝุ ่ นุ หรือพายุทราย คือ ลมฮาบบู (Haboob) มาจากคาํ Hebbec ในภาษาอาหรับแปลว่า ลม ลมฮาบูบ เวลาเกิดจะหอบเอาฝ่ นุ ทรายมาด้วย บริเวณทีเกิดได้แก่ ประเทศซูดานในทวีปแอฟริกา เฉลยี จะเกิด ประมาณปี ละ 24 ครัง และบริเวณทะเลทราย ทางตะวนั ตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะทาง ภาคใตข้ องมลรัฐแอริโซนา 7. ลมตะเภาและลมว่าว เป็นลมทอ้ งถนิ ในประเทศไทย โดยลมตะเภาเป็ นลมทีพดั จากทิศใต้ไปยงั ทิศเหนือ คอื พดั จากอา่ วไทยเขา้ สู่ภาคกลางตอนล่าง พดั ในชว่ งเดือนกุมภาพนั ธ์ถงึ เดือนเมษายน ซงึ เป็น ช่วงทลี มมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ จะเปลียนเป็นลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ เป็นลมทีนําความชืนมาสู่ ภาคกลางตอนล่าง ในสมัยโบราณลมนี จะช่วยพัดเรื อสําเภาซึงเขา้ มาคา้ ขายใหแ้ ล่นไปตามลาํ นาํ เจา้ พระยา และพดั ในชว่ งทีลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ จะเปลยี นเป็ นลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ หรือ อาจจะเรียกวา่ ลมขา้ วเบา เพราะพดั ในชว่ งทีขา้ วเบากาํ ลงั ออกรวง เครืองมอื วดั อัตราเรว็ ลม เครืองมอื วดั อตั ราเร็วลม เรียกวา่ แอนนิโมมเิ ตอร์(Anemometer) มหี ลายรูปแบบ บางรูปแบบ ทาํ เป็ นถุงปล่อยลู่ บางรูปแบบทาํ เป็ นรูปถว้ ย ครึงทรงกลม 3 - 4 ใบ วดั อตั ราเร็วลมโดยสงั เกตการณ์ ยกตวั ของถุง หรือนบั จาํ นวนรอบของถว้ ยทหี มนุ ในหนึงหน่วยเวลา เครืองมือตรวจสอบทิศทางลม เราเรียกว่า ศรลม ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็ นลกู ศร มีหางเป็ น แผน่ ใหญ่ ศรลม จะหมนุ รอบตวั ตามแนวราบ จะลู่ลมในแนวขนานกับทิศทางทีลมพดั เมือลมพดั มา หางลูกศรซึงมีขนาดใหญ่จะถูกลมผลกั แรงกวา่ หัวลกู ศร หัวลูกศรจึงชไี ปทิศทางทีลมพดั มา เครืองมอื ทใี ช้ในการวดั กระแสลม ได้แก่ 1. ศรลม 2. อะนิโมมเิ ตอร์ 3. แอโรแวน ภาพ : อะนิโมมิเตอร์

124 ผลของปรากฏการณ์ทางลมฟ้ าอากาศทีมตี ่อมนุษย์และสิงแวดล้อม ประโยชน์ของปรากฏการณ์ทางลมฟ้ าอากาศ 1. การเกิดลมจะช่วยให้เกิดการไหลเวยี นของบรรยากาศ 2. การเกิดลมสินคา้ 3. การเกดิ เมฆและฝน 4. การเกิดลมประจาํ เวลา ผลกระทบและภัยอันตราย 1. ผลกระทบจากอทิ ธิพลของลมมรสุม เชน่ นาํ ท่วม นาํ ท่วมฉบั พลนั 2. ผลกระทบจากอทิ ธิพลของลมพายุ เช่น ตน้ ไมล้ ม้ ทบั คลนื สูงในทะเล . ปรากฏการณ์ธรรมชาติ คือ การเปลียนแปลงของธรรมชาติ ทังในระยะยาวและระยะสัน สภาพแวดลอ้ มของโลกเปลียนแปลงไปตามเวลา ทงั เป็นระบบและไม่เป็ นระบบ เป็นสิงทีอยรู่ อบตัวเรา มนั ส่งผลกระทบต่อสิงมชี ีวิตในธรรมชาติ การเปลียนแปลงบางอย่าง มผี ลกระทบต่อสิงมชี ีวิตอยา่ ง รุนแรง ตวั อยา่ งเหตุการณ์ทพี บเห็นทวั ไป ฝนตก ฟ้ าร้อง ฟ้ าผา่ พายุ และเหตุการณ์ทีไม่พบบ่อยนกั เช่น โลกร้อน สุริยปุ ราคา ฝนดาวตก ปฏิกิริยาเรือนกระจก เกิดจากมลภาวะของแก๊สทีไดส้ ร้างขึนในชันบรรยากาศของโลกและ ป้ องกนั ไมใ่ ห้ความร้อนนนั ระเหยออกไปในอวกาศในตอนกลางคืนผลทีไดค้ ือโลกจะมีอณุ หภูมิสูงขึน ทีเรียกว่า การเพมิ อณุ หภมู ิของผวิ โลก แกส็ ทกี ่อเกิดภาวะเรือนกระจกคือ

125 . มวลอากาศ (Air mass) มวลอากาศ หมายถงึ ลกั ษณะของมวลอากาศทีมีลกั ษณะอากาศภายในกลุ่มกอ้ นขนาดใหญ่มาก มีความชืนคลา้ ยคลงึ กนั ตลอดจนส่วนต่าง ๆ ของอากาศเท่ากนั มวลอากาศจะเกิดขึนได้ ต่อเมืออากาศ ส่วนนนั อยู่กบั ที และมีการสัมผสั กบั พนื ผวิ โลก ซึงจะเป็นพนื ดินหรือพนื นาํ กไ็ ด้โดยสมั ผสั อยูเ่ ป็นระยะ เวลานาน ๆ จนมคี ุณสมบตั ิคลา้ ยคลึงกบั พืนผิวโลกในส่วนนันๆ เราเรียกบริเวณพืนผวิ โลกนันว่า \"แหลง่ กาํ เนิด\" เมือเกดิ มวลอากาศขึนแลว้ มวลอากาศนนั จะเคลือนทีออกไปยงั บริเวณอืน ๆ มีผลทาํ ให้ ลกั ษณะของลมฟ้ าอากาศบริเวณนนั ๆ เปลียนแปลงไป เนืองจากมสี ภาพแวดลอ้ มใหม่ มวลอากาศจะ สามารถเคลือนทีได้ในระยะทางไกล ๆ และยงั คงรักษาคุณสมบตั ิส่วนใหญ่เอาไวไ้ ด้ การจาํ แนกมวล อากาศแยกพิจารณาได้เป็ น 2 แบบ โดยใช้คุณสมบตั ิของอุณหภูมิเป็นเกณฑ์ และการใชล้ กั ษณะของ แหล่งกาํ เนิดเป็ นเกณฑใ์ นการพิจารณา ดงั นี 1. การจําแนกมวลอากาศโดยใช้อุณหภูมเิ ป็ นเกณฑ์ 1.1. มวลอากาศอ่นุ (Warm Air mass) เป็ นมวลอากาศทีมีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิของอากาศ ผิวพนื ทมี วลอากาศเคลือนทผี ่าน มกั มแี นวทางการเคลอื นทีจากละติจูดตาํ ไปยงั บริเวณละติจูดสูงขึนไป ใชส้ ญั ลกั ษณ์แทนดว้ ยตวั อกั ษร \" W \" 1.2 มวลอากาศเยน็ (Cold Air mass) เป็ นมวลอากาศทีมีอุณหภูมิตาํ กว่าอณุ หภูมิผิวพืนทีมวล อากาศเคลือนทผี ่าน เป็นมวลอากาศทเี คลือนทีจากบริเวณละติจูดสูงมายงั บริเวณละตจิ ูดตาํ ใชส้ ัญลกั ษณ์ แทนดว้ ยอกั ษรตวั \" K \" มาจากภาษาเยอรมนั คือ \" Kalt \" แปลว่า เยน็ 2. การจาํ แนกมวลอากาศโดยใช้แหล่งกําเนดิ เป็ นเกณฑ์ 2.1 มวลอากาศขัวโลก (Polar Air-mass) 2.1.1 มวลอากาศขวั โลกภาคพืนสมุทร (Marine Polar Air mass) มแี หล่งกาํ เนิดจากมหาสมุทร เมือมวลอากาศชนิดนีเคลือนตวั ลงมายงั ละติจดู ตาํ จะเป็น ลกั ษณะของมวลอากาศทีให้ความเย็นและชุ่มชืน แหลง่ กาํ เนิดของมวลอากาศชนิดนีอยบู่ ริเวณ มหาสมทุ รแปซิฟิ กตอนเหนือ ใกลช้ ่องแคบแบริง และเคลือนทีเขา้ ปะทะชายฝังทะเลของประเทศ สหรัฐอเมริกา ทาํ ใหอ้ ากาศหนาวเยน็ และมีฝนตก ในทางกลบั กันถา้ มวลอากาศนีเคลือนทีไปยงั บริเวณ ละติจูดสูง จะกลายเป็นมวลอากาศอนุ่ เรียกวา่ \"มวลอากาศอุ่นขวั โลกภาคพืนสมุทร\" มีลกั ษณะอากาศ อบอุ่นและชุ่มชืน 2.1.2 มวลอากาศขัวโลกภาคพนื ทวปี (Continental Polar Air mass) มแี หล่งกาํ เนิดอยู่บนภาคพืนทวีปในเขตละติจูดตาํ มีลกั ษณะเป็นมวลอากาศเย็นและแห้ง เมอื มวลอากาศเคลอื นทีผ่านบริเวณใดจะทาํ ใหม้ ีอากาศเยน็ และแหง้ ยกตวั อยา่ ง เช่น สําหรับประเทศ ไทยจะได้รับอิทธิพลจากมวลอากาศชนิดนีซึงมีแหล่งกําเนิดอยแู่ ถบไซบีเรี ย เมือเคลือนทีลงมายงั ละติจูดตาํ กว่าลงมายงั ประเทศไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนมกราคม ทําให้ประเทศไทย มอี ุณหภูมิตาํ ลง ลกั ษณะอากาศเยน็ และแห้งในฤดหู นาว

126 2.2 มวลอากาศเขตร้อน (Topical Air mass) 2.2.1. มวลอากาศเขตร้อนภาคพนื ทวปี (Continental Topical Air mass) มีแหล่งกาํ เนิดบนภาคพืนทวีป จะมีลกั ษณะการเคลือนทีจากละติจูดตาํ ไปสู่ละติจูดสูง ลกั ษณะอากาศจะร้อนและแหง้ แลง้ ทาํ ใหบ้ ริเวณทีมวลอากาศเคลือนทีผา่ นมลี กั ษณะอากาศร้อนและ แหง้ แลง้ จึงเรียกมวลอากาศนีว่า \"มวลอากาศอนุ่ เขตรอ้ นภาคพนื ทวีป\" แหลง่ กาํ เนิดของมวลอากาศชนิด นีอยู่บริเวณตอนเหนือของประเทศแมก็ ซิโก และทางทิศตะวนั ตกเฉียงใตข้ องประเทศสหรัฐอเมริกา ถา้ หากมวลอากาศนีเคลือนทีมายงั เขตละติจูดตาํ จะทาํ ใหอ้ ุณหภูมขิ องมวลอากาศลดตาํ ลงกว่าอณุ หภูมิ ของอากาศผวิ พืนทีมวลอากาศเคลอื นทีผ่านจึงกลายเป็ น \"มวลอากาศเย็นเขตร้อนภาคพืนทวีป\" มลี กั ษณะอากาศเยน็ และแห้งแลง้ 2.2.2. มวลอากาศเขตร้อนภาคพนื สมทุ ร (Marine Topical Air mass) มแี หล่งกาํ เนิดอยบู่ นภาคพืนสมทุ รจงึ นาํ พาความชุ่มชืน เมอื เคลือนทีผา่ นบริเวณใดจะทาํ ใหเ้ กดิ ฝนตก และถา้ เคลือนทีไปยงั ละติจูดสูงจะทาํ ใหอ้ ากาศอบอุน่ ขนึ ยกตวั อย่างเช่น ถา้ มวลอากาศ เขตร้อนภาคพืนสมทุ รเคลือนทีจากมหาสมุทรอินเดียเข้ามายงั คาบสมุทรอนิ โดจีนจะทาํ ให้เกิดฝนตก หนักและกลายเป็ นฤดูฝน เราเรียกมวลอากาศดงั กล่าววา่ \"มวลอากาศอ่นุ เขตร้อนภาคพืนสมุทร\" ในทาง กลบั กนั ถา้ มวลอากาศนีเคลอื นทีไปยงั เขตละติจดู ตาํ จะมีผลทาํ ใหอ้ ณุ หภูมลิ ดตาํ ลง อากาศจะเยน็ และ ชุ่มชืน เรียกวา่ \"มวลอากาศเยน็ เขตร้อนภาคพนื สมทุ ร\" นอกจากมวลอากาศทีกลา่ วมาแลว้ ยงั มี มวลอากาศทเี กิดจากแหล่งกาํ เนิดอืน ๆ อกี ไดแ้ ก่ เขตขวั โลก มมี วลอากาศอาร์กติก เป็ นมวลอากาศจาก มหาสมุทรอาร์กติกเคลือนทีเขา้ มาทางตอนหนือของทวีปอเมริกา และมวลอากาศแอนตาร์กติกเป็ น มวลอากาศบริเวณขวั โลกใต้ ซึงมอี ากาศเยน็ และเคลือนทีอยา่ งรุนแรงมาก 3. แนวอากาศ (Air Front) หรือแนวปะทะของมวลอากาศ แนวอากาศ หรือ แนวปะทะมวลอากาศ เกิดจากสภาวะอากาศทีแตกต่างกนั มาก โดยมีอุณหภูมิ และความชืนต่างกนั มากมาพบกนั จะไม่ผสมกลมกลืนกันแต่จะแยกจากกนั โดยทีส่วนหนา้ ของมวล อากาศจะมกี ารเปลียนแปลงรูปร่าง ลกั ษณะของมวลอากาศทอี ุ่นกว่าจะถูกดันตัวให้ลอยไปอย่เู หนือลิม มวลอากาศเยน็ เนืองจากมวลอากาศอนุ่ มีความหนาแน่นนอ้ ยกวา่ มวลอากาศเยน็ แนวทีแยกมวลอากาศ ทงั สองออกจากกนั เราเรียกว่า แนวอากาศ โดยทวั ไปแลว้ ตามแนวอากาศหรือแนวปะทะอากาศจะมี ลกั ษณะของความแปรปรวนลมฟ้ าอากาศเกิดขนึ เราสามารถจาํ แนกแนวอากาศหรือแนวปะทะอากาศ ของมวลอากาศได้ 4 ชนิด ดงั นี 3.1 แนวปะทะของมวลอากาศอ่นุ (Warm Front) เกิดจากการทีมวลอากาศอ่นุ เคลอื นทีเขา้ มายงั บริเวณทีมีมวลอากาศเยน็ กว่า โดยมวลอากาศเย็น จะยงั คงตวั บริเวณพนื ดิน มวลอากาศอุ่นจะลอยตวั สูงขึน ซึงแนวของอากาศอุ่นจะมีความลาดชนั น้อย กว่าแนวอากาศเย็น ซึงจากปรากฏการณ์แนวปะทะมวลอากาศอุน่ ดงั กลา่ วนีลกั ษณะอากาศจะอยู่ใน

127 สภาวะทรงตวั แต่ถา้ ลักษณะของมวลอากาศอุ่นมีการลอยตัวขึนในแนวดิง (มีความลาดชันมาก) จะก่อใหเ้ กิดฝนตกหนักและพายุฝนฟ้ าคะนอง สังเกตไดจ้ ากการเกิดเมฆฝนเมฆนิมโบสเตรตสั หรือการ เกิดฝนซู่ หรือเรียกอีกอย่างหนึงวา่ ฝนไล่ชา้ ง 3.2 แนวปะทะของมวลอากาศเยน็ (Cold Front) เมือมวลอากาศเย็นเคลือนตัวลงมายงั บริเวณทีมีละติจูดตาํ มวลอากาศเย็นจะหนกั จึงมีการ เคลือนตวั ติดกบั ผวิ ดิน และจะดนั ให้มวลอากาศอุน่ ทีมคี วามหนาแน่นน้อยกว่า ลอยตวั ขึนตามความ ลาดเอยี ง ซึงมีความลาดชนั มากถงึ 1 : 80 ซึงปรากฏการณ์ดงั กลา่ ว ตามแนวปะทะอากาศเย็นจะมีสภาพ อากาศแปรปรวนมาก มวลอากาศรอ้ นถูกดนั ให้ลอยตวั ยกสูงขึน เป็นลกั ษณะการก่อตวั ของเมฆ คิวมโู ลนิมบัส (Cumulonimbus) ทอ้ งฟ้ าจะมืดครึม เกิดพายุฝนฟ้ าคะนองอยา่ งรุนแรง เราเรียกบริเวณ ดงั กลา่ ววา่ “แนวพายฝุ น” (Squall Line) 3.3 แนวปะทะของมวลอากาศซ้อน (Occluded Front) เมอื มวลอากาศเยน็ เคลอื นทีในแนวทางติดกบั แผน่ ดิน จะดันใหม้ วลอากาศอนุ่ ใกลก้ ับผิวโลก เคลอื นทีไปในแนวเดียวกนั กบั มวลอากาศเยน็ มวลอากาศอุ่นจะถกู มวลอากาศเยน็ ซอ้ นตวั ใหล้ อยสูงขึน และเนืองจากมวลอากาศเยน็ เคลือนตวั ไดเ้ ร็วกว่าจึงทาํ ใหม้ วลอากาศอ่นุ ซอ้ นอยู่บนมวลอากาศเยน็ เราเรียกลกั ษณะดงั กลา่ วไดอ้ ีกแบบวา่ แนวปะทะของมวลอากาศปิ ด ลกั ษณะของปรากฏการณ์ดงั กล่าว จะทาํ ใหเ้ กิดเมฆคิวมโู ลนิมบสั (Cumulonimbus) และทาํ ใหเ้ กิดฝนตก หรือพายฝุ นไดเ้ ช่นกนั 3.4 แนวปะทะมวลอากาศคงที (Stationary Front) นอกจากแนวปะทะอากาศดงั กล่าวมาแลว้ นันจะมีลกั ษณะแนวปะทะอากาศของมวลอากาศ คงทอี ีกชนิดหนึง (Stationary Front) ซงึ เป็ นแนวปะทะของมวลอากาศทีเกิดจากการเคลอื นทีของมวล อากาศอนุ่ และมวลอากาศเยน็ เขา้ หากนั และจากสภาพทีทงั สองมวลอากาศมีแรงผลกั ดันเท่ากัน จึงเกิด ภาวะสมดุลของแนวปะทะอากาศขึน แต่จะเกิดในชัวระยะเวลาใดเวลาหนึงเท่านัน เมอื มวลอากาศใด มีแรงผลกั ดนั มากขึนจะทาํ ให้ลกั ษณะของแนวปะทะอากาศเปลยี นไปเป็ นแนวปะทะอากาศแบบอืน ๆ ทนั ที 4. พายหุ มุน พายหุ มุนเกิดจากศูนยก์ ลางความกดอากาศตาํ ทาํ ใหบ้ ริเวณโดยรอบศนู ยก์ ลางความกดอากาศตาํ ซึงก็คือ ความกดอากาศสูงโดยรอบจะพดั เขา้ หาศูนยก์ ลางความกดอากาศตาํ ขณะเดียวกนั ศูนยก์ ลางความ กดอากาศตาํ จะลอยตวั สูงขึน และเยน็ ลงด้วยอตั ราอะเดียเบติก (อุณหภมู ิลดลงเมอื ความสูงเพิมขึน) ทาํ ให้ เกิดเมฆและหยาดนาํ ฟ้ า พายหุ มุนจะมีความรุนแรงหรือไม่ขึนอยกู่ ับอตั ราการลดลงของความกดอากาศ ถา้ อตั ราการลดลงของความกดอากาศมีมากจะเกิดพายุรุนแรง เราสามารถแบ่งพายหุ มุนออกเป็ น 3 กลุ่ม ดงั นี

128 4.1 พายหุ มุนนอกเขตร้อน พายุหมุนนอกเขตร้อน หมายถงึ พายุหมนุ ทเี กิดขึนในเขตละติจูดกลางและเขตละติจดู สูง ซึงใน เขตละติจดู ดงั กล่าวจะมแี นวมวลอากาศเยน็ จากขวั โลกหรือมหาสมทุ รอาร์กติก เคลือนตวั มาพบกบั มวล อากาศอุ่นจากเขตกึงโซนร้อน มวลอากาศดังกล่าวมีคุณสมบัติต่างกนั แนวอากาศจะเกิดการเปลียน โดยเริมมีลกั ษณะโคง้ เป็ นรูปคลืน อากาศอนุ่ จะลอยตวั สูงขึนเหนืออากาศเยน็ ซึงเช่นเดียวกบั แนวอากาศ เยน็ ซึงจะเคลอื นทีเขา้ แทนทีแนวอากาศอุ่น ทาํ ให้มวลอากาศอนุ่ ลอยตัวสูงขึน และจากคุณสมบตั ิการ เคลือนทีของมวลอากาศเยน็ ทเี คลือนตวั ไดเ้ ร็วกวา่ แนวอากาศเยน็ จึงเคลือนไปทันแนวอากาศอุ่น ทาํ ให้ เกิดลกั ษณะแนวอากาศรวมขึนและเกิดหยาดนาํ ฟ้ า เมืออากาศอุ่นทีถกู บงั คบั ใหล้ อยตวั ขึนหมดไปพายุ หมนุ ก็สลายตวั ไป อย่างไรก็ตามเวลาทีเกิดพายหุ มนุ นนั จะเกิดลกั ษณะของศนู ยก์ ลางความกดอากาศขึน ซึงก็คือ ศนู ยก์ ลางความกดอากาศตาํ ลมจะพดั เขา้ หาศูนยก์ ลาง (ความกดอากาศสูงเคลอื นทีเขา้ หา ศนู ยก์ ลางความกดอากาศตาํ ) ซึงลมพดั เข้าหาศูนยก์ ลางดังกล่าวในซีกโลกเหนือ มีทิศทางการพดั วน ทวนเขม็ นาฬิกา ส่วนในซกี โลกใตม้ ีทศิ ทางตามเขม็ นาฬิกา ซึงเป็นผลมาจากการหมนุ ของโลกนนั เอง 4.2 พายทุ อร์นาโด (Tornado) พายทุ อร์นาโด เป็นพายุขนาดเล็กแต่มีความรุนแรงมากทีสุด มกั เกิดในประเทศสหรัฐอเมริกา และนอกนนั เกิดทีแถบประเทศออสเตรเลีย พายดุ ังกล่าวเกิดจากอากาศเคลือนทีเข้าหาศูนยก์ ลางความ กดอากาศตําอย่างรวดเร็ว ลกั ษณะพายุคลา้ ยปล่องไฟสีดําห้อยลงมาจากเมฆคิวมูโลนิ มบัส (Cumulonimbus) ในมวลพายมุ ีไอนาํ และฝ่ นุ ละออง ตลอดจนวตั ถุต่าง ๆ ทีถกู ลมพดั ลอยขึนไปดว้ ย ความเร็วลมกวา่ 400 กิโลเมตร / ชวั โมง เมอื พายเุ คลอื นทีไปในทิศทางใดฐานของมนั จะกวาดทุกอยา่ ง บนพืนดินขนึ ไปดว้ ย ก่อให้เกิดความเสียหายมาก พายุทอร์นาโดจะเกดิ ในช่วงฤดูใบไมผ้ ลิ และฤดูร้อน เนืองจากมวลอากาศขวั โลกภาคพนื สมทุ รมาเคลือนทีพบกับมวลอากาศเขตร้อนภาคพืนสมุทร และถา้ เกิดขึนเหนือพนื นาํ เราเรียกวา่ \"นาคเล่นนาํ \" (Waterspout) 4.3 พายุหมนุ เขตร้อน พายหุ มนุ เขตร้อน เป็นพายุหมุนทเี กิดขึนในเขตร้อนบริเวณเสน้ ศูนยส์ ูตรระหว่าง 8 - 12 องศา เหนือและใต้ โดยมากมักเกิดบริ เวณพืนทะเลและมหาสมุทรทีมีอุณหภูมขิ องนาํ สูงกว่า 27 องศา เซลเซียส พายุหมนุ เขตร้อนเป็นลกั ษณะของบริเวณความกดอากาศตาํ ศูนยก์ ลางพายุเป็ นบริเวณทีมี ความกดอากาศตาํ มากทีสุด เรียกว่า \"ตาพายุ\" (Eye of Storm) มีลกั ษณะกลม และกลมรี มีขนาด เส้นผ่าศูนยก์ ลางตังแต่ 50 - 200 กิโลเมตร บริเวณตาพายุจะเงียบสงบ ไม่มลี ม ท้องฟ้ าโปร่ง ไม่มฝี นตก ส่วนรอบ ๆ ตาพายจุ ะเป็นบริเวณทีมีลมพดั แรงจัด มเี มฆครึม มีฝนตกพายรุ ุนแรง พายุหมุนเขตร้อน จดั เป็นพายุทีมคี วามรุนแรงมาก เกิดจากศูนยก์ ลางความกดอากาศตาํ ทีมีลมพดั เข้าหาศนู ยก์ ลาง ในซีก โลกเหนือทิศทางการหมุนของลมมีทิศทางทวนเข็มนาฬิกา ส่วนซีกโลกใต้มีทิศทางตามเข็มนาฬกิ า ความเร็วลมเข้าสู่ศูนยก์ ลางอยู่ระหว่าง 120 - 200 กิโลเมตร/ชวั โมง พายใุ นเขตนีจะมีฝนตกหนัก

129 องคก์ ารอตุ ุนิยมวิทยาโลกแบ่งประเภทพายุหมุนตามความเร็วใกลศ้ นู ยก์ ลางพายุ โดยแบ่งตามระดับ ความรุนแรง ไดด้ งั นี พายุดเี ปรสชัน (Depression) ความเร็วลมน้อยกวา่ 63 กิโลเมตร / ชวั โมง เป็นพายุอ่อน ๆ มีฝนตกบาง ถงึ หนกั พายุโซนร้อน (Tropical Storm) ความเร็วลม 64 - 115 กิโลเมตร / ชวั โมง มีกาํ ลงั ปานกลางมฝี น ตกหนัก พายหุ มนุ เขตร้อน หรือพายไุ ซโคลนเขตร้อน (Tropical Cyclone) ความเร็วลม มากกว่า115 กิโลเมตร ต่อชวั โมง เป็นพายทุ ีมีกาํ ลงั แรงสูงสุด มฝี นตกหนักมาก บางครังจะมีพายฝุ นฟ้ าคะนองดว้ ย พายหุ มุน เขตร้อนมชี ือเรียกต่าง ๆ กนั ตามแหลง่ กาํ เนิด ดงั นี ถา้ เกดิ ในมหาสมทุ รแปซิฟิ ก และทะเลจนี ใต้ เรียกว่า ใตฝ้ ่ นุ (Typhoon) ถา้ เกิดในอ่าวเบงกอล และทะเลอาหรบั เรียกวา่ พายไุ ซโคลน (Cyclone) ถา้ เกิดในแอตแลนติก และทะเลแคริบเบียน เรียกว่า พายเุ ฮอร์ริเคน (Hurricane) ถา้ เกิดในทะเลประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์ เรียกวา่ พายบุ าเกียว (Baguio) ถา้ เกดิ ทีทะเลออสเตรเลยี เรียกว่า พายุวิลลี วลิ ลี (Willi-Willi) 4.3.1 การเกิดพายหุ มุนเขตร้อน การเกิดพายหุ มนุ เขตร้อน มกั เกิดบริเวณแถบเส้นศูนยส์ ูตรบริเวณละติจดู 8 - 15 องศาเหนือ ใต้ ดงั กลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ ส่วนบริเวณเสน้ ศูนยส์ ตู รจะไม่เกดิ การก่อตวั ของพายหุ มุนแตอ่ ยา่ งใด เนืองมาจากไม่ มแี รงลม \"คอริออริส\" (ซึงเป็นแรงเหวียงทีเกิดจากการหมุนรอบตวั เองของโลก บริเวณเสน้ ศูนยส์ ูตรจะมคี ่า เป็ น ศนู ย)์ ลาํ ดบั การเกดิ ของพายุหมนุ เขตรอ้ นเป็นดงั นี 1. สภาวะการกอ่ ตวั (Formation) มกั เกดิ การก่อตวั บริเวณทะเล หรือมหาสมทุ ร ทีมีอณุ หภูมิสูง กวา่ 27 องศาเซลเซียส 2. สภาวะทวกี าํ ลงั แรง จะเกิดบริเวณศนู ยก์ ลางความกดอากาศตาํ เกิดลมพดั เข้าสู่ศนู ยก์ ลาง มีเมฆและฝนตกหนกั เป็นบริเวณกวา้ ง 3. สภาวะรุนแรงเต็มที (Mature Stage) มกี าํ ลงั ลมสูงสุด ฝนตกเป็ นบริเวณกวา้ งประมาณ 500 - 1,000 กโิ ลเมตร 4. สภาวะสลายตัว (Decaying Stage) มีการเคลือนตัวเข้าสู่ภาคพืนทวีป และลดกาํ ลงั แรงลง อนั เนืองมาจากพนื แผน่ ดินมคี วามชืนน้อยลง และพดั ผา่ นสภาพภมู ิประเทศทีมีความต่างระดบั ทาํ ให้ พายอุ อ่ นกาํ ลงั ลงกลายเป็ นดีเปรสชนั และสลายตวั ลงไปในทีสุด

130 4.3.2 พายหุ มุนเขตร้อนในประเทศไทย ส่วนใหญ่เกือบทงั หมดเป็ นพายหุ มนุ เขตร้อนทีเกิดในมหาสมทุ รแปซิฟิ ก หรือในทะเลจีนใต้ และการเคลือนตวั เขา้ สู่ประเทศไทย นอกนนั ก่อตวั ในเขตมหาสมทุ รอนิ เดีย เมือพิจารณาประกอบกับ สภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยในด้านทาํ เลทีตัง พบว่ามกั ไม่ค่อยได้รับอทิ ธิพลจากพายุใตฝ้ ่ นุ (Typhoon) มากนัก เนืองจากทิศทางการเคลือนตวั โดยส่วนมากมกี ารเคลือนตวั จากทางดา้ นทะเลจีนใต้ เคลือนเขา้ สู่ประเทศไทยทางบริเวณภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ หรือภาคเหนือ ในช่วงเดือนกรกฎาคมถงึ เดือนกนั ยายน โดยมากมกั อ่อนกาํ ลงั ลงกลายเป็ นพายุดีเปรสชนั หรือสลายตวั กลายเป็ นหย่อมความกด- อากาศตาํ เสียก่อน เนืองจากพายุเคลือนตวั เขา้ สู่แผ่นดนิ จะอ่อนกาํ ลงั ลงเมือปะทะกบั ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ เทือกเขาสูงแถบประเทศเวียดนาม กัมพชู า และเทือกเขาชายแดนของประเทศไทยเสียก่อน ระบบ การหมนุ เวียนของลมจึงถูกกีดขวาง เป็ นเหตุทาํ ให้พายุอ่อนกาํ ลงั ลงนันเอง ส่วนทางดา้ นภาคใตข้ อง ประเทศไทยมลี กั ษณะภูมปิ ระเทศทีเป็นคาบสมุทรยืนยาวออกไปในทะเล ชายฝังทะเลภาคใตท้ างด้าน ทิศตะวนั ตกมีแนวเทือกเขาสูงชนั ทอดตวั ยาวตลอดแนวจึงเป็นแนวกนั พายุไดด้ ี ส่วนทางดา้ นภาคใตท้ าง ฝังทิศตะวนั ออกไม่มีแนวกาํ บงั ดงั กลา่ วทาํ ให้เกดิ ความเสียหายจากพายไุ ดง้ ่ายกว่า โดยมากมกั เกิดพายุ เขา้ มาในช่วงเดือนตุลาคม ถงึ เดอื น ธนั วาคม เป็นต้น ตวั อย่างเช่น ความเสียหายร้ายแรงจากพายใุ ต้ฝ่ นุ เกย์ ทีพดั เขา้ ทางดา้ นภาคใตท้ างดา้ นฝังทะเลตะวนั ออกของประเทศเมือ วนั ที 4 พฤศจิกายน 2532 ทาํ ให้ เกิดความเสียหายเป็นอยา่ งมาก โดยทวั ไปประเทศไทยมกั จะได้รับอิทธิพลจากพายุดีเปรสชนั มากทีสุด โดยเฉลยี ปี ละ 3 - 4 ลูก สําหรับการเกิดพายหุ มนุ เขตร้อนในประเทศไทยมกั เกิดในฤดูฝน ตังแต่เดือน พฤษภาคม เป็ นต้นไปจนถงึ เดือนตุลาคม จะเป็นพายหุ มุนเขตร้อนทีก่อตัวขึนในบริเวณมหาสมทุ ร อินเดีย บริเวณมหาสมทุ รแปซิฟิ กและทะเลจีนใตส้ ามารถแยกพิจารณาไดด้ งั นี ช่วงเดือนพฤษภาคม ก่อนเขา้ ฤดูฝนอาจจะมีพายุไซโคลนจากอา่ วเบงกอล เคลอื นตวั เขา้ สู่ ประเทศไทยทางดา้ นทิศตะวนั ตก ทาํ ให้มีผลกระทบต่อภาคตะวนั ตกของประเทศ ช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงเดือนกันยายน อาจจะมีพายใุ ต้ฝ่ นุ ในมหาสมุทรแปซิฟิ กพดั ผา่ นเข้ามา ทางภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนบน ทาํ ให้มผี ลกระทบต่อภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ตอนบน ช่วงเดือนกนั ยายน ถึงปลายเดือนตุลาคม อาจจะมพี ายุหมนุ เขตร้อนในทะเลจนี ใตพ้ ดั ผา่ นเขา้ มา ทางภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือตอนล่าง ทาํ ใหม้ ีผลกระทบต่อภาคตะวนั ออก ภาคกลาง ตอนล่างของ ภาคเหนือ และตอนล่างของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ รวมทงั เขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล สาํ หรบั ช่วงตน้ ฤดหู นาวประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงตน้ เดอื นมกราคม มกั จะมคี วามกดอากาศ ตาํ ในตอนล่างของทะเลจีนใตพ้ ดั ผ่านเขา้ มาในอา่ วไทย ทาํ ให้มีผลกระทบต่อภาคใตฝ้ ังตะวนั ออกตงั แต่ จงั หวดั ชุมพรลงไป

131 ปัจจุบนั เราสามารถทราบไดล้ ่วงหน้าถึงการเกิดพายุหมุนเขตร้อนและทิศทางการเคลือนที โดยการใชเ้ ครืองมือตรวจอากาศทีทันสมยั ได้แก่ ดาวเทียมอตุ ุนิยมวิทยา เรดาร์ตรวจอากาศ เป็ นต้น อยา่ งไรก็ตามผลกระทบจากความเสียหายอันเนืองมาจากพายหุ มุนเขตร้อน อาทิเช่น ฝนตกหนัก ติดต่อกนั อาจทาํ ให้เกดิ นาํ ป่ าไหลหลากได้ ทาํ ใหเ้ สน้ ทางคมนาคมถูกตดั ขาดรวมทงั แนวสายไฟฟ้ า และ เสาไฟฟ้ า พนื ทเี กษตรกรรมไดร้ บั ความเสียหาย ตลอดจนทาํ ให้เรือเล็กและเรือใหญ่อบั ปางได้ 4.3.3 การเรยี กชือพายุหมุน สาํ หรบั ในเขตภาคพนื มหาสมทุ รแปซิฟิ กเหนือดา้ นตะวนั ตก และทะเลจีนใต้ นกั อุตุนิยมวิทยา ไดต้ งั ชอื พายุไว้ 5 ชุด แตล่ ะชุดประกอบด้วยชือพายหุ มุน 28 ชือ โดยความร่วมมอื ในการเสนอชือของ 14 ประเทศในแถบภมู ิภาคดงั กลา่ ว นาํ มาใชเ้ ป็นชอื พายหุ มุนเขตรอ้ น การใชจ้ ะใช้หมนุ เวยี นกันไปตาม แถว โดยเริมตงั แต่แถวแรกของสดมภท์ ี 1 ไปจนถงึ ชือสุดทา้ ยของสดมภ์ แลว้ จึงขึนไปใช้ชือของแถว แรกของสดมภท์ ี 2 เช่น \"ดอมเรย\"์ (Damrey) ไปจนถงึ \"ทรามี\" (Trami) แลว้ จึงขึนไปที \"กองเรย\"์ (Kong-Rey) เป็นตน้ สาํ หรับประเทศไทยไดเ้ สนอชือพายหุ มนุ เขตร้อน คอื พระพริ ุณ, วภิ า, เมขลา, นิดา, กหุ ลาบ, ทุเรียน, รามสรู , หนุมาน , ชบา และขนุน ( ตารางที 1) ตารางที 1 แสดงรายชือพายหุ มุนทีเกดิ ขึนในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือดา้ นตะวนั ตก ประเทศทตี งั ชือ สดมภ์ที 1 สดมภ์ที 2 สดมภ์ที 3 สดมภ์ที 4 สดมภ์ที 5 Cambodia ดอมเรย์ กองเรย์ นากรี กรอวาญ สาริกา China หลงหวาง ยทู ู ฟงเฉิน ตูเ้ จียน ไหหมา่ Dpr Korea โคโรจิ โทราจิ คาเมจิ เมมิ มิอะริ Hk.China ไคตกั มานยี ฟ่ องวอง ฉอยหวนั มาง่อน Japan เทมบิน อซุ างิ คมั มรุ ิ ขอบปุ โทะคาเงะ Loa Pdr. โบลาเวน ปลาบึก พนั ฝน เกศนา นกเตน้ Macau จนั จู วูทิบ หวงั ฟง พาร์มา มยุ้ ฝ่ า Malaysia เจอลาวตั เซอพตั รูซา มเี ลอ เมอร์บุค Micronesia เอวินลา ฟิ โท ซนิ ลากู เนพาทคั นนั มาดอล Philippines บลิ ิส ดานัส ฮากปุ ิ ด ลูปิ ค ทาลสั Ro Korea เกมี นารี ซงั มี ซดู าล โนรู Thailand พระพริ ุณ วิภา เมขลา นิดา กหุ ลาบ U.S.A. มาเรีย ฟรานซิสโก ฮีโกส โอเมส โรเค Viet Nam เซลไม เลคคมี า บาวี คอนซอน ซอนคา Cambodia โบพา กรอซา ไมส้ ัก จนั ทู เนสาด China หว่คู ง ไห่เยยี น ไห่เฉิน เตียมู่ ไห่ถงั

132 ประเทศทีตงั ชือ สดมภ์ที 1 สดมภ์ที 2 สดมภ์ที 3 สดมภ์ที 4 สดมภ์ที 5 มินดอนเล นอเก Dpr Korea โซนามุ โพดอล พงโซนา เทงเท๋ง บนั หยนั Hk.China ซานซาน แหล่งแหลง ยนั ยนั คอมปาซิ วาชิ นาํ ตน้ มทั สา Japan ยางิ คะจิคิ คุจิระ หม่าเหลา ซนั หวู่ เมอรันติ มาวา Loa Pdr. ชา้ งสาร ฟ้ าใส จนั ทร์หอม รานานิม กโู ซว มาลากสั ทาลมิ Macau เบบินกา้ ฮวั เหมย่ หลนิ ฝ่ า เมกิ นาบี Malaysia รัมเบยี ทาปา นังกา้ ชบา ขนุน โคโด วนิ เซนเต้ Micronesia ซูลิค มเิ ทค ซูเดโล ซองดา เซลลา Philippines ซิมารอน ฮาจิบสิ อิมบุโด Ro Korea เซบี โนกรู ี โกนี Thailand ทเุ รียน รามสูร หนุมาน U.S.A. อูโท ซาทาน อีโท Viet Nam ทรามี ฮาลอง แวมโค ทีมา : ศูนยอ์ ตุ ุนิยมวทิ ยาภาคเหนือ จงั หวดั เชียงใหม่, 2544. 5. พายฝุ นฟ้ าคะนอง (Thunderstorm) พายุฝนฟ้ าคะนอง หมายถึง อากาศทีมีฝนตกหนัก มีฟ้ าแลบฟ้ าร้อง เป็ นฝนทีเกิดจากการพา ความร้อน มีลมพดั แรง เกิดอย่างกระทนั หันและยุติลงทนั ทีทนั ใด พายุฝนฟ้ าคะนองเกิดจากการทีอากาศ ไดร้ ับความร้อนและลอยตวั สงู ขึนและมไี อนาํ ในปริมาณมากพอ ประกอบกบั การลดลงของอุณหภมู ิ จงึ เกิดการกลนั ตวั ควบแน่นของไอนาํ และเกิดพายฝุ นฟ้ าคะนอง พายุฝนฟ้ าคะนองประกอบด้วยเซลล์ อากาศจาํ นวนมาก ในแต่ละเซลลจ์ ะมีอากาศไหลขนึ และลงหมุนเวียนกัน พายุฝนฟ้ าคะนองเกิดมาก ในเขตร้อน เนืองจากอากาศชนื มากและมีอุณหภมู ิสูง ทาํ ให้มีสภาวะอากาศไม่ทรงตวั พายฝุ นฟ้ าคะนอง มกั เกิดจากเมฆคิวมูโลนิมบสั (Cumulonimbus) 5.1 ขันตอนการเกดิ พายฝุ นฟ้ าคะนอง 5.1.1 ระยะการเกดิ เมฆควิ มูลสั (Cumulus Stage) หรือขนั ก่อตัว เมอื อุณหภูมิผวิ พืนเพิม สูงขึนจะทําให้มวลอากาศอุ่นลอยตัวขึนบน เกิดการกลันตวั ของไอนําเป็ นเมฆคิวมลู ัส (Cumulus) มวลอากาศร้อนจะลอยตวั สงู ขึนเรือย ๆ ทาํ ใหม้ วลอากาศยกตวั สูงขึนสู่เบืองบนตลอด และเร็วขึน 5.1.2 ระยะการเกิดพายุ (Mature Stage) ระยะนีพายจุ ะเริมพดั เกิดกระแสอากาศจมตัวลม เนืองจากฝนตกลงมาจะดึงเอามวลอากาศให้จมตัวลงมาดว้ ย และมวลอากาศอนุ่ ก็ยงั คงลอยตวั ขึน เบืองบนต่อไป จากผลดงั กลา่ วทาํ ให้เกดิ สภาพอากาศแปรปรวน และลมกระโชกแรง เนืองมาจากมวล

133 อากาศในกอ้ นเมฆมีความแปรผนั มาก มีการหมุนเวยี นของกระแสอากาศขึนลง เกิดฟ้ าแลบ ฟ้ าร้อง รวมทงั อาจมีลกู เห็บตกดว้ ยเช่นกนั 5.1.3 ระยะสลายตวั (Dissipating Stage) เป็ นระยะสุดทา้ ยเมือศนู ยก์ ลางพายจุ มตวั ลงใกล้ พืนดิน รูปทรงของเมฆจะเปลียนจากเมฆคิวมโู ลนิมบสั (Cumulonimbus) เป็ นเมฆอลั โตสเตรตัส (Altostratus) หรือ เมฆซีโรคิวมูลสั (Cirrocumulus) ฝนจะเบาบางและหายไปในทีสุด อย่างไรกต็ ามการเกิดพายฝุ นฟ้ าคะนองดงั กลา่ ว หากมีศูนยก์ ลางพายุหลายศนู ยก์ ลางจะทาํ ให้เกิดพายุฝนฟ้ าคะนองยาวนานมาก และเกิดกระแสอากาศทีรุนแรงมากจนสามารถทาํ ใหเ้ กิดลกู เห็บ ได้ ช่วงเวลาของการเกดิ พายุฝนฟ้ าคะนองประมาณ 1 - 2 ชวั โมง 5.2 ชนิดของพายุฝนฟ้ าคะนอง 5.2.1 พายฝุ นฟ้ าคะนองพาความร้อน (Convectional Thunderstorm) เป็ นพายุฝนทีเกิด จากการพาความร้อน ซงึ มวลอากาศอุ่นลอยตัวสูงขึนทาํ ให้อณุ หภูมขิ องอากาศเยน็ ลง ไอนาํ จะกลนั ตวั กลายเป็ นเมฆคิวมูโลนิมบสั (Cumulonimbus) และเกดิ เป็นพายุฝนฟ้ าคะนอง มกั เกิดเนืองจากโลกได้รับ ความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทาํ ใหพ้ ืนดินร้อนขึนมาก อากาศบริเวณพืนดินจะลอยสูงขึนเกิดเป็นเมฆคิวมู โลนิมบสั (Cumulonimbus) มกั เกิดในช่วงบ่ายและเยน็ ในวนั ทอี ากาศร้อนจดั 5.2.2 พายฝุ นฟ้ าคะนองภูเขา (Orographic Thunderstorm) เกิดจากการทีมวลอากาศอุ่น เคลอื นทีไปปะทะกบั ภเู ขา ขณะทีมวลอากาศเคลือนทีไปตามลาดเขาอากาศจะเย็นตวั ลง ไอนาํ กลนั ตัว กลายเป็ นเมฆคิวมโู ลนิมบสั (Cumulonimbus) ทาํ ให้เกิดลกั ษณะของฝนปะทะหน้าเขา พายลุ กั ษณะนีจะ เกิดบริเวณตน้ ลมของภเู ขา เมฆจะก่อตวั ในแนวตงั สงู มาก ทาํ ใหล้ กั ษณะอากาศแปรปรวนมาก 5.2.3. พายฝุ นฟ้ าคะนองแนวปะทะ (Frontal Thunderstorm) เกิดจากการปะทะกนั ของ มวลอากาศ มกั เกิดจากการปะทะของมวลอากาศเยน็ มากกว่า มวลอากาศอ่นุ มวลอากาศอนุ่ จะถกู ดนั ให้ ยกตัวลอยสูงขึน ไอนาํ กลนั ตัวกลายเป็นเมฆคิวมโู ลนิมบสั (Cumulonimbus) และเกิดเป็นพายุฝนฟ้ า คะนองแนวปะทะอากาศเยน็ อากาศเยน็ มวลอากาศอุ่นเคลอื นทีไป การเคลือนทีมาปะทะกนั ของปะทะ ภูเขา มวลอากาศอุ่นและเยน็ ทาํ ใหเ้ กิดพายฝุ นฟ้ าคะนอง 5.3 ปรากฏการณ์ทเี กดิ จากพายุฝนฟ้ าคะนอง ขณะเกิดพายฝุ นฟ้ าคะนองจะเกิดฟ้ าแลบ ฟ้ าร้อง ฟ้ าผ่า ลกู เห็บตก มีลมกระโชกแรงเป็ น ครังคราว โดยในรอบ 1 ปี ทวั โลกมีพายฝุ นฟ้ าคะนองเกิดขนึ ถงึ 16 ลา้ นครงั โดยเฉพาะในเขตละติจูดสูง และในเมืองทีอากาศร้อนชืนจะมีจาํ นวนวนั ทีมีพายฝุ นฟ้ าคะนองเกิดได้ถึง 80 - 160 วนั ต่อปี สําหรับ ประเทศไทยมกั เกิดมากในเดือน เมษายน - เดือนพฤษภาคม เป็นช่วงทเี กิดพายุฝนฟ้ าคะนองมากทสี ุด 5.3.1 การเกดิ ฟ้ าแลบ เกิดขึนพรอ้ มกบั ฟ้ าร้อง แตม่ นุษยเ์ รามองเห็นฟ้ าแลบก่อนไดย้ ินเสียง ฟ้ าร้อง เนืองจากแสงเดินทางเร็วกว่าเสียง (แสงมีอตั ราเร็ว 300,000 กิโลเมตร/วินาที ส่วนเสียง มอี ตั ราเร็ว 1/3 ของแสง) ประกายไฟฟ้ าของฟ้ าแลบ 1 ครัง มีปริมาณไฟฟ้ าจาํ นวนสูงถงึ 200,000 แอมแปร์ และมีความต่างศกั ยถ์ งึ 30 ลา้ นโวลต์ ฟ้ าแลบเกิดจากประจุไฟฟ้ าเคลอื นทีจากก้อนเมฆสู่

134 ก้อนเมฆ จากกอ้ นเมฆสู่พืนดิน โดยมีขนั ตอนคือ ประจุไฟฟ้ าทีเคลือนทีถ่ายเทในกอ้ นเมฆมกี าร เคลอื นทีหลุดออกมาและถ่ายเทสู่อาคารสิงก่อสร้าง หรือตน้ ไมส้ ูงบนพืนดิน เหตุการณ์เหล่านีใชเ้ วลา นอ้ ยกวา่ 1 วินาที และเกิดเป็นแสงของฟ้ าแลบ ซงึ บางครังลาํ แสงมคี วามยาวถึง 60 - 90 เมตร 5.3.2 การเกดิ ฟ้ าร้อง เนืองจากประกายไฟฟ้ าของฟ้ าแลบทาํ ใหอ้ ากาศในบริเวณนัน มีอุณหภมู ิสูงขึนถงึ ประมาณ 25,000 องศาเซลเซียส อยา่ งเฉียบพลนั มีผลทาํ ใหอ้ ากาศมีการขยายตัว อย่างรวดเร็วและรุนแรง ทาํ ใหเ้ กิดเสียง \"ฟ้ าร้อง\" เนืองจากฟ้ าร้องและฟ้ าแลบเกิดขึนพร้อมกัน ดังนัน เมือเรามองเห็นฟ้ าแลบ และนบั จาํ นวนวินาทีต่อไปจนกว่าจะไดย้ นิ เสียงฟ้ าร้อง เช่น ถา้ นับได้ 3 วินาที แสดงว่าฟ้ าแลบอยู่ห่างจากเราไปประมาณ 1 เมตร และสาเหตุทีเราไดย้ ินเสียงฟ้ าร้องครวญคราง อย่างต่อเนืองไปอกี ระยะหนึง เนืองจากมีสาเหตุมาจากการเดินทางของเสียงมีความต่างกันในเรืองของ ระยะเวลาและระยะทางทีคาบเกียวกนั นันเอง 5.3.3 การเกดิ ฟ้ าผ่า เป็ นปรากฏการณ์ควบคู่กนั กบั ฟ้ าแลบ และฟ้ าร้อง เนืองจากประจุ ไฟฟ้ าไดม้ ีการหลุดออกมาจากกลุ่มเมฆฝน และถ่ายเทลงสู่พืนดิน ต้นไม้ อาคารหรือสิงก่อสร้าง ตลอดจนสิงมีชีวิตอืน ๆ ฟ้ าผ่าอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ เนืองจากมีพลังงานไฟฟ้ าสูง ความรุนแรงของกระแสไฟฟ้ าจากฟ้ าผ่าเพยี งพอทีจะจุดหลอดไฟฟ้ าขนาด 60 แรงเทียนให้สว่างได้ถงึ จาํ นวน 600,000 ดวง เลยทเี ดียว 6. ร่องมรสุม (Monsoon Trough) เกิดจากแนวความกดอากาศตาํ ทําให้เกิดฝนตก ซึงเป็ นลักษณะอากาศของประเทศไทย แนวร่องความกดอากาศตาํ จะอยู่ในแนวทิศตะวนั ตก และทิศตะวนั ออก ร่องมรสุมจะมีการเปลียนแปลง ตาํ แหน่งตามการเคลอื นทีของดวงอาทิตย์ เช่น เมอื ดวงอาทิตยโ์ คจรออ้ มไปทางทิศเหนือ ร่องมรสุมก็จะ เคลอื นทีตามไปด้วย การเคลือนทีของร่องมรสุมมีผลต่อการเปลียนทิศทางการรับลม เช่น ร่องมรสุม ทีเคลอื นทีไปทางดา้ นทศิ เหนือ บริเวณทีรบั ลมทางด้านทิศเหนือจะเปลียนไปเป็ นการรับลมจากทางดา้ น ทิศใตท้ นั ที ร่องมรสุมมผี ลต่อการเกิดฝนตกอนั เนืองมาจากสาเหตุขา้ งต้นคือ ทาํ ให้อากาศบริเวณดังกล่าว ยกตัวลอยสูงขึน ขยายตวั กลายเป็ นเมฆฝน บริเวณร่องมรสุมจึงมกั มีเมฆมากและมีฝนตก ส่วนประเทศ ไทยร่องมรสุมเกิดจากการปะทะกันของลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ มีผลทาํ ใหเ้ กิดฝนตกเป็นบริเวณกวา้ ง ถา้ แนวชนของร่องมรสุมทงั สองชนกนั ยิงแคบจะเกิดเป็นพายฝุ นฟ้ า คะนองไดง้ ่าย และถา้ เกดิ ร่องมรสุมนาน จะส่งผลใหเ้ กดิ ฝนตกนานทาํ ให้เกดิ นําท่วมไดเ้ ชน่ กนั ทีมา : ศูนยอ์ ุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ จงั หวดั เชียงใหม,่ 2544. พายุไซโคลนนาร์กีส นาร์กีส เป็นชือของเด็กหญิงชาวมุสลิม แปลว่า ดอกไม้ และใช้เป็ นชือพายไุ ซโคลนทีเสนอ โดยประเทศปากีสถาน ไซโคลนนาร์กีส เป็นพายหุ มุนทเี กิดขึนในอ่าวเบงกอล จดั เป็นพายหุ มนุ เขตรอ้ น (Tropical Cyclone) ชนิดหนึง

135 ภาพ พายุไซโคลนนาร์กีส http://en.wikipedia.org/wiki/Cyclone_Nargis ข้อมูลพายุไซโคลนนาร์กีส ประกอบด้วย ประเดน็ รายละเอยี ด วนั ที 27เมษายน 2551 แหลง่ กาํ เนิด อ่าวเบงกอลตอนกลาง มศี ูนยก์ ลางอยู่ทลี ะตจิ ูด 15.9 องศาเหนือ ลองติจดู 93.7 องศาตะวนั ออก ความเร็วลม 215 กิโลเมตรต่อชวั โมง ความกดอากาศตาํ 962 มิลลบิ าร์ อตั ราเร็วในการเคลอื นที ประมาณ 16-18 กิโลเมตรต่อชวั โมง วนั ทสี ร้างความเสียหาย วนั ที 3 พฤษภาคม 2551 พนื ทที ไี ดร้ ับความเสียหาย บริเวณสามเหลียมปากแม่นาํ อริ ะวดี และนครยา่ งกุง้ ประเทศพมา่ พายไุ ซโคลน พายุไซโคลน เป็ นพายุหมุนเขตร้อน (Tropical Cyclone) ทีเกิดขึนในบริเวณอ่าวเบงกอล หรื อ มหาสมทุ รอนิ เดยี พายหุ มนุ เขตร้อนเกิดในบริเวณเสน้ ศูนยส์ ูตรระหว่าง 23.5 องศาเหนือ กับ 23.5 องศาใต้

136 โดยจะเริมกอ่ ตวั จากหย่อมความกดอากาศตาํ ในทะเล แลว้ ไต่ระดับขึนไปเรือยๆ จนกลายไปเป็นพายุ ดีเปรสชนั พายุโซนรอ้ น และพายหุ มุนเขตร้อน ตามระดบั ความเร็วลมสูงสุดใกลศ้ ูนยก์ ลางของพายุ ชือพายุ พายดุ เี ปรสชนั พายโุ ซนร้อน พายหมนุ เขตรอ้ น (Depression) (Tropical Storm) (Tropical Cyclone) กาํ ลงั แรง อ่อน ปานกลาง รุนแรง ความเร็วลมสูงสุดใกลศ้ นู ยก์ ลาง ไมเ่ กิน 61 กม./ชม. ระหวา่ ง 62-117 กม./ชม. ตงั แต่ 118 กม./ชม. ขึนไป การตงั ชอื ไมม่ ีการตงั ชอื พายุ มีการตงั ชอื พายุ มกี ารตงั ชอื พายุ หมายเหตุ : การเรียกชนิดของพายจุ ะแตกต่างกนั ตามแหลง่ ทีเกิด เช่น ท เกิดในมหาสมุทรแปซิฟิ กเหนื อด้านตะวันตก มหาสมุทรแปซิฟิ กใต้ และทะเลจีนใต้ เรียกวา่ พายไุ ตฝ้ ่ นุ ท เกิดในอ่าวเบงกอลหรือมหาสมุทรอินเดีย เรียกว่า พายุไซโคลน ท เกิดในมหาสมทุ รแอตแลนตกิ เหนือ ทะเลแคริบเบียน อ่าวเม็กซิโก และทางด้านตะวนั ตกของ เม็กซิโก เรียกวา่ พายุเฮอร์ริเคน ท เกิดในทะเลประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์ เรียกว่า พายบุ าเกียว ท เกิดแถบทวปี ออสเตรเลีย เรียกวา่ พายวุ ิลลี-วลิ ลี การก่อตัวของพายุไซโคลน พายุไซโคลน เป็ นพายทุ ีเกดิ ขนึ ในบริเวณแถบเขตร้อน ก่อตวั ขนึ ในทะเลทีมีความกดอากาศตาํ ซงึ มนี าํ อ่นุ อยา่ งน้อย 27 องศาเซลเซียส และมปี ริมาณไอนาํ สงู อากาศทีรอ้ นเหนือนาํ อุ่นจะลอยตวั สูงขึน และอากาศบริ เวณโดยรอบทีเย็นกว่าจะพดั เขา้ มาแทนที แต่เนืองจากโลกหมุน ทาํ ให้ลมทีพดั เข้ามา เกิดการหมุนไปดว้ ย โดยพายุหมุนเขตร้อนเหนือเส้นศูนยส์ ูตรจะหมุนในทิศทางทวนเข็มนาฬกิ า ส่วนพายุหมุนเขตร้อนใตเ้ ส้นศูนยส์ ตู รจะหมุนในทิศทางกลบั กนั คือตามเขม็ นาฬิกา พายหุ มุนเขตร้อนเมืออย่ใู นสภาวะทีเจริญเติบโตเตม็ ที จะเป็ นพายุทีมีความรุนแรงทีสุดชนิด หนึง ในบรรดาพายทุ เี กิดขึนในโลก มีเสน้ ผ่าศนู ยก์ ลางตงั แต่ 100 กโิ ลเมตรขึนไป และเกิดขึนพร้อมกับ ลมทีพดั แรงมาก พายุไซโคลน การก่อตวั ของพายุไซโคลนแต่ละครงั ประกอบดว้ ยส่วนประกอบสาํ คญั 3 ส่วน ไดแ้ ก่ ท ตาพายุ (Eye) เป็นบริเวณจุดศูนยก์ ลางของการหมนุ ของพายุ และเป็ นบริเวณทีมคี วามกดอากาศ ตาํ ลมพดั เบา ไมม่ ีฝน มเี ส้นผา่ ศูนยก์ ลางประมาณ 10 - 50 กิโลเมตร

137 ท ขอบตาพายุ หรือ กาํ แพงตา (Eye Wall) เป็นพืนทรี อบ ๆ ตาพายุ เป็ นบริเวณทีประกอบดว้ ยลม ทีพดั รุนแรงทีสุด ท บริเวณแถบฝน (Rainbands) เป็นบริเวณทีประกอบดว้ ยเมฆพายุ และวงจรการเกิดไอนาํ โดยมี การกลนั ตวั เป็ นหยดนาํ เพือป้ อนใหแ้ ก่พายุ ลักษณะการเกดิ \"พายงุ วงช้าง\" หรือ \"นาคเล่นนํา\" มี 2 แบบ ได้แก่ 1. เป็ นพายุทอร์นาโด ทีเกิดขึนเหนือผืนนํา (ซึงอาจจะเป็ นทะเล ทะเลสาบ หรือแอ่งนาํ ใดๆ) โดยพายทุ อร์นาโดจะเกิดขึนระหว่างทีฝนฟ้ าคะนองอย่างหนกั เรียกว่า พายฝุ นฟ้ าคะนองแบบซูเปอร์ เซลล์ (Supercell thunderstorm) และมีระบบอากาศหมุนวนทีเรียกวา่ เมโซไซโคลน (Mesocyclone) จึงเรียกพายุนาคเล่นนาํ แบบนีว่า นาคเล่นนาํ ทีเกิดจากทอร์นาโด (Tornado waterspout) 2. เกิดจากการทมี วลอากาศเยน็ เคลือนผ่านเหนือผิวนาํ ทีอุ่นกวา่ โดยบริเวณใกลๆ้ ผิวนาํ มคี วามชืนสูง และไมค่ ่อยมลี มพดั (หรือถา้ มีกพ็ ดั เบา ๆ) ผลก็คืออากาศทีอยูต่ ิดกับผนื นาํ ซึงอุ่นในบาง บริเวณจะยกตวั ขึนอยา่ งรวดเร็วและรุนแรง ทาํ ให้อากาศโดยรอบไหลเขา้ มาแทนที จากนนั จึงพุ่งเป็ น เกลยี วขึนไป แบบนีเรียกวา่ \"นาคเล่นนํา\" (True waterspout) ซึงมกั เกดิ ในช่วงอากาศดีพอสมควร (fair- weather waterspout) อาจเกิดไดบ้ ่อย และประเภทเดียวกับกรณีทีเกิดขึนในประเทศไทย เนืองจาก ในชว่ งทีเกิดมกั จะมพี ายฝุ นฟ้ าคะนองร่วมอยดู่ ว้ ย ความแตกต่างของ 2 แบบนีก็คือ นาคเลน่ นาํ ทีเกิดจากทอร์นาโดจะเริมจากอากาศหมุนวน (ในบริเวณเมฆฝนฟ้ าคะนอง) แลว้ หยอ่ นลาํ งวงลงมาแตะพืน คืออากาศหมุนจากบนลงล่าง ส่วนนาค เลน่ นาํ ของแทจ้ ะเริมจากอากาศหมุนวนบริเวณผวิ พืนนํา แลว้ พุ่งขึนไป คืออากาศหมุนจากล่างขึนบน ในชว่ งทีอากาศพ่งุ ขึนเป็นเกลยี ววนนี หากนาํ ในอากาศยงั อย่ใู นรูปของไอนํา เราจะยงั มองไม่เห็นอะไร แต่หากอากาศขยายตวั และเยน็ ตวั ลงถึงจุดหนึง ไอนาํ กจ็ ะกลนั ตัวเป็ นหยดนาํ จาํ นวนมาก ทาํ ให้เราเห็น ท่อหรือ \"งวงชา้ ง\" เชือมผืนนาํ และเมฆ ซงึ เป็นทีมาของชือ \"พายงุ วงช้าง\" โดยส่วนใหญม่ คี วามยาวประมาณ 10 - 100 เมตร ขนาดเส้นผา่ นศูนยก์ ลางมตี งั แต่ 1 เมตร ไปจนถึงหลาย 10 เมตร โดยในพายอุ าจมที ่อหมุนวนเพยี งท่อเดียวหรือหลายท่อก็ได้ แต่ละท่อจะหมนุ ดว้ ยอตั ราเร็วในช่วง 20 - 80 เมตรต่อวนิ าที กระแสลมในตัวพายเุ ร็วถึง 100 - 190 กิโลเมตรต่อชวั โมง และอาจสูงถงึ 225 กโิ ลเมตรต่อชวั โมง ซึงสามารถควาํ เรือเลก็ ๆ ไดส้ บาย ดงั นนั ชาวเรือควรสงั เกต ทิศทางการเคลือนทใี หด้ ี แลว้ หนีไปในทิศตรงกนั ขา้ ม นอกจากนี พายชุ นิดนียงั สามารถเคลอื นทีได้เร็ว ตงั แต่ 3 - 130 กิโลเมตรต่อชัวโมง แต่ส่วนใหญ่จะเคลอื นทีค่อนข้างช้าประมาณ 18 - 28 กิโลเมตรต่อ ชวั โมง ทงั นี พายุนีมอี ายไุ ม่ยืนยาวนกั คืออยู่ในช่วง 2 - 20 นาที จากนันก็จะสลายตัวไปในอากาศอยา่ ง รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยธุ ยา ผอ.ศูนยเ์ ครือข่ายงานวิเคราะหว์ ิจยั และฝึ กอบรม การเปลยี นแปลงของโลก แห่งภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ กล่าวถงึ ปรากฏการณ์พายุงวงช้างว่า

138 ปรากฏการณ์ดังกล่าวส่วนใหญ่มกั จะเกิดในนาํ โดยเฉพาะในทะเลจะเห็นบ่อยกวา่ ในนาํ จืด สําหรับ ประเทศไทยเคยเกิดปรากฏการณ์นีขึน แต่ไม่บ่อยนกั และไม่เป็ นอนั ตราย เพราะมีขนาด 1% ของพายุ ทอร์นาโด ฝนกรด การเผาผลาญนาํ มนั เชือเพลิงจะส่งผลให้ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนโตรเจน ออกไซดเ์ กิดขึน กา๊ ซเหล่านีจะลอยสูงขึนในชนั บรรยากาศจากโรงงานอตุ สาหกรรม โรงผลิตไฟฟ้ า ยานพาหนะและแพร่กระจายลงในนํา ซึงจะระเหยเป็นเมฆและรวมตวั กันเป็ นกรดตกลงมา เรียกว่า ฝนกรด ฝนกรดอาจสร้างความเสียหายโดยตรงใหแ้ กต่ น้ ไม้ ถา้ นาํ ในแมน่ าํ และทะเลสาบกลายมาเป็ น กรด พืชและสัตว์จะไมส่ ามารถดาํ รงชีวิตอยู่ได้ ฝนกรดยงั สร้างความเสียหายใหก้ บั อาคาร และสิง ปลูกสร้างดว้ ย ภาพ : การเกดิ ฝนกรด ภยั พิบตั ิ หมายถงึ เหตุการณ์ทีอาจเกิดจากธรรมชาติ หรือเกิดจากการกระทาํ ของมนุษยท์ ีอาจเกิดขึน ปัจจุบันทันด่วนหรื อค่อย ๆ เกิด มีผลต่อชุมชนหรือประเทศชาติ ภัยพิบตั ิอาจเป็ นไดท้ งั เหตุการณ์ ทีเกิดขนึ ตามธรรมชาติ เช่น อุทกภยั หรือเป็ นเหตุการณ์ทีมนุษยก์ ระทาํ ขึน เช่น การแพร่กระจายของ สารเคมี เป็นตน้

139 เรืองที ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิงแวดล้อม สิงแวดลอ้ มมีทงั สิงทีมีชีวติ และไม่มชี วี ติ เกดิ จากการกระทาํ ของมนุษยห์ รือมีอยตู่ ามธรรมชาติ เช่น อากาศ ดิน หิน แร่ธาตุ นาํ ห้วย หนอง คลอง บึง ทะเลสาบ ทะเล มหาสมุทร พืชพรรณสัตวต์ ่าง ๆ ภาชนะเครืองใช้ต่าง ๆ ฯลฯ สิงแวดลอ้ มดงั กล่าวจะมกี ารเปลียนแปลงอย่เู สมอ โดยเฉพาะมนุษยเ์ ป็น ตวั การสาํ คญั ยงิ ทีทาํ ให้สิงแวดลอ้ มเปลียนแปลงทงั ในทางเสริมสร้างและทาํ ลาย จะเห็นวา่ ความหมายของทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิงแวดลอ้ ม มคี วามสัมพนั ธ์กันอยา่ งใกลช้ ิด ต่างกนั ทีสิงแวดลอ้ มนนั รวมทุกสิงทุกอยา่ งทีปรากฏอยู่รอบตวั เรา ส่วนทรัพยากรธรรมชาติเน้นสิงที อาํ นวยประโยชนแ์ ก่มนุษยม์ ากกวา่ สิงอนื ประเภทของทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิงแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ แบ่งตามลกั ษณะทีนาํ มาใชไ้ ดเ้ ป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. ทรัพยากรธรรมชาติประเภทใชแ้ ลว้ ไม่หมดสิน ไดแ้ ก่ 1) ประเภททีคงอย่ตู ามสภาพเดิมไม่มีการเปลียนแปลงใด ๆ เลย เช่น พลงั งาน จากดวง อาทิตย์ ลม อากาศ ฝ่นุ ใชเ้ ท่าไรก็ไมม่ ีการเปลียนแปลงไม่รู้จกั หมด 2) ประเภททีมกี ารเปลยี นแปลงได้ เนืองจากถูกใช้ในทางทีผิด เช่น ทีดิน นาํ ลกั ษณะ ภูมิประเทศ ฯลฯ ถา้ ใชไ้ มเ่ ป็ นจะก่อใหเ้ กิดปัญหาตามมา ไดแ้ ก่ การปลกู พชื ชนิดเดียวกันซาํ ๆ ซาก ๆ ในทีเดมิ ย่อมทาํ ใหด้ ินเสือมคุณภาพ ไดผ้ ลผลิตน้อยลงถา้ ตอ้ งการให้ดินมีคุณภาพดีต้องใส่ป๋ ุยหรือปลกู พืชสลบั และหมุนเวียน 2. ทรัพยากรธรรมชาตปิ ระเภทใชแ้ ลว้ หมดสินไป ไดแ้ ก่ 1) ประเภททใี ชแ้ ลว้ หมดไป แต่สามารถรักษาให้คงสภาพเดิมไวไ้ ด้ เช่น ป่ าไม้ สตั วป์ ่ า ประชากรโลก ความอุดมสมบูรณ์ของดิน นาํ เสียจากโรงงาน นาํ ในดิน ปลาบางชนิด ทศั นียภาพ อนั งดงาม ฯลฯ ซึงอาจทาํ ให้เกิดขนึ ใหม่ได้ 2) ประเภททีไมอ่ าจทาํ ใหม้ ีใหม่ได้ เช่น คุณสมบัติธรรมชาติของดิน พรสวรรค์ของ มนุษย์ สติปัญญา เผา่ พนั ธุข์ องมนุษยช์ าติ ไมพ้ ุ่ม ตน้ ไมใ้ หญ่ ดอกไมป้ ่ า สัตวบ์ ก สัตวน์ าํ ฯลฯ 3) ประเภททีไม่อาจรกั ษาไวไ้ ด้ เมอื ใชแ้ ลว้ หมดไป แตย่ งั สามารถนาํ มายบุ ให้ กลบั เป็ น วตั ถเุ ช่นเดิม แลว้ นาํ กลบั มาประดิษฐข์ นึ ใหม่ เช่น โลหะต่าง ๆ สังกะสี ทองแดง เงิน ฯลฯ 4) ประเภททีใชแ้ ลว้ หมดสินไปนาํ กลบั มาใชอ้ ีกไม่ได้ เช่น ถา่ นหิน นาํ มนั ก๊าซ อโลหะ ส่วนใหญ่ ฯลฯ ถกู นาํ มาใชเ้ พยี งครังเดยี วกเ็ ผาไหมห้ มดไป ไม่สามารถนาํ มาใชใ้ หมไ่ ด้ ทรัพยากรธรรมชาตหิ ลกั ทีสาํ คญั ของโลก และของประเทศไทยไดแ้ ก่ ดิน ป่ าไม้ สตั วป์ ่ า นาํ แร่ ธาตุ และประชากร (มนุษย)์

140 สิงแวดล้อม สิงแวดลอ้ มของมนุษยท์ ีอยู่รอบ ๆ ตวั ทังสิงทีมีชีวิตและไมม่ ชี ีวิต ซึงเกิดจาก การกระทาํ ของ มนุษยแ์ บง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. สิงแวดลอ้ มทางธรรมชาติ 2. สิงแวดลอ้ มทางวฒั นธรรม หรือสิงแวดลอ้ มประดษิ ฐ์ หรือมนุษยเ์ สริมสร้างกาํ หนดขึน สิงแวดล้อมธรรมชาติ จาํ แนกได้ 2 ชนิด คือ 1. สิงแวดลอ้ มทางกายภาพ ไดแ้ ก่ อากาศ ดิน ลกั ษณะภูมิประเทศ ลกั ษณะ ภมู อิ ากาศ ทศั นียภาพต่าง ๆ ภูเขา หว้ ย หนอง คลอง บึง ทะเลสาบ ทะเล มหาสมทุ รและ ทรัพยากรธรรมชาตทิ ุกชนิด 2. สิงแวดลอ้ มทางชีวภาพหรือชีวภูมศิ าสตร์ ไดแ้ ก่ พชื พนั ธุ์ธรรมชาติตา่ ง ๆ สัตวป์ ่ า ป่ าไม้ สิงมชี ีวติ อนื ๆ ทอี ยู่รอบตวั เราและมวลมนุษย์ สิงแวดล้อมทางวัฒนธรรม หรอื สิงแวดล้อมประดิษฐ์ หรือมนุษย์เสริมสร้างขึน ไดแ้ ก่ สิงแวดลอ้ มทาง สงั คมทีมนุษยเ์ สริมสรา้ งขึน โดยใชก้ ลวิธีสมยั ใหม่ ตามความเหมาะสมของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา และวฒั นธรรม เช่น เครืองจกั ร เครืองยนต์ รถยนต์ พัดลม โทรทศั น์ วิทยุ ฝนเทียม เขือน บา้ นเรือน โบราณสถาน โบราณวตั ถุ อนื ๆ ไดแ้ ก่ อาหาร เครืองนุ่งห่ม ทีอยูอ่ าศยั ค่านิยม และสุขภาพ อนามยั ประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ มปี ระโยชน์มหาศาลต่อมนุษยชาติทงั ทางตรงและทางออ้ ม แต่ละชนิด มปี ระโยชนแ์ ตกต่างกนั ดงั นี นํา มนุษยใ์ ชบ้ ริโภค อุปโภค ทีสาํ คญั ก็คือ นาํ เป็นปัจจัยสาํ คญั สาํ หรับทรัพยากร ธรรมชาติ ชนิดอนื ดว้ ย เช่น สัตวป์ ่ า ป่ าไม้ ท่งุ หญา้ และดิน ดิน ทรัพยากรธรรมชาติส่วนใหญ่ มีดินเป็ นแหล่งอาศยั หรือบ่อเกิด มนุษยส์ ามารถสร้าง ทรัพยากรธรรมชาติบางชนิดทดแทนได้ โดยอาศยั ดินเป็นปัจจยั สําคัญ นอกจากมนุษยจ์ ะอาศยั อยู่บน พืนดินแล้ว ยงั นําดินมาเป็ นส่วนประกอบสําคัญในการสร้างทีอยู่อาศยั เป็ นแหล่งทาํ มาหากิน ทาํ การเกษตร ทาํ การอตุ สาหกรรม เครืองปันดินเผาต่าง ๆ ถา้ ขาดดินหรือดินขาดความอดุ มสมบูรณ์ ทรัพยากร ทเี ป็นปัจจยั 4 ในการดาํ รงชีวติ จะนอ้ ยลงหรือหมดไป ป่ าไม้ ประโยชน์ทสี าํ คญั ของป่ าไมค้ ือ ใช้ไมใ้ นการสร้างทีอยอู่ าศยั เป็นทีอาศยั ของสตั วป์ ่ า เป็ นแหลง่ ตน้ นาํ ลาํ ธาร เป็ นแหลง่ หาของป่ า เป็ นปัจจยั สาํ คญั ทีทาํ ให้เกิดวฏั จกั รของนาํ ทาํ ให้อากาศ บริสุทธิ ช่วยอนุรักษ์ดิน เป็นแหลง่ นันทนาการ นอกจากนี ป่ าไมย้ งั ก่อใหเ้ กิดการอุตสาหกรรมอีกหลาย ชนิด ทาํ ให้ประชาชนมงี านทาํ เกิดแหล่งอาชพี อสิ ระ และเป็นแหลง่ ยาสมนุ ไพร

141 สัตว์ป่ า มนุษยไ์ ดอ้ าหารจากสตั วป์ ่ า สตั วป์ ่ าหลายชนิดไดห้ นัง นอ เขา งา กระดูก ฯลฯ มาทาํ ของใช้ เครืองนุ่งห่ม และประกอบยารักษาโรค สัตวป์ ่ าช่วยใหเ้ กิดความงดงามและคุณค่าทางธรรมชาติ ช่วยรักษาดุลธรรมชาติ แร่ธาตุ มนุษยน์ ําแร่ธาตุต่าง ๆ มาถลุงเป็ นโลหะ ทาํ ให้เกิดการอตุ สาหกรรมหลายประเภท ทาํ ใหร้ าษฎรมงี านทาํ ส่งเป็ นสินคา้ ออกนาํ รายไดม้ าสู่ประเทศปี ละมาก ๆ นอกจากนี ยงั มผี ลพลอยได้ จากการถลุงหรือกลนั อีกหลายชนิด เช่น ยารักษาโรค นาํ มันชักเงา เครืองสาํ อาง แร่บางชนิดเกิด ประโยชนใ์ นการเกษตร เช่น แร่โพแทสเซียม ใชท้ าํ ป๋ ุย เป็นตน้ ทรัพยากรธรรมชาตติ ่างเป็นปัจจยั เออื อาํ นวยต่อกนั เช่น ดินเป็นทีเกิด ทีอยูอ่ าศยั ของสัตวป์ ่ า ป่ าไม้ ช่วยรกั ษาดินและเกิดป๋ ุยธรรมชาติ นาํ เป็นปัจจยั สาํ คญั ชว่ ยในการดาํ รงชีวิตของสัตว์ พชื ป่ าไม้ ทาํ ให้เกิดวฏั จกั รของนาํ ซึงทาํ ใหเ้ กิดความสมดุลทางธรรมชาติ ก่อใหเ้ กิดสิงแวดลอ้ มทีดีและเหมาะสม กบั การดาํ รงชวี ติ ของมนุษย์ ปัญหาของทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิงแวดล้อม การพฒั นาทีผา่ นมาไดร้ ะดมใชท้ รัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะทีดิน ป่ าไม้ แหล่งนาํ ทรัพยากร ชายฝังทะเล ทรัพยากรธรณี ในอตั ราทีสูงมากและเป็ นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ จนมีผลทาํ ให้ ทรัพยากรธรรมชาติเหล่านีเกิดการร่อยหรอ และเสือมโทรมลงอยา่ งรวดเร็ว รวมทงั เริมส่งผลกระทบต่อ การดาํ รงชีวติ ของประชาชนในชนบท ทีตอ้ งพึงพาทรัพยากรเป็นหลกั ในการยงั ชีพ ไดแ้ ก่ ทรัพยากรป่ าไม้ พืนทีป่ าไมม้ สี ภาพเสือมโทรมและมีแนวโน้มลดลงอย่างมาก เนืองมาจาก สาเหตุสาํ คัญหลายประการ ได้แก่ การลกั ลอบตัดไมท้ าํ ลายป่ า การเผาป่ า การบุกรุก ทาํ ลายป่ า เพอื ตอ้ งการทีดินเป็นทีอยอู่ าศยั และทาํ การเกษตร การทาํ ไร่เลอื นลอยของชาวเขาในพืนทีต้นนําลาํ ธาร และการใชท้ ีดิน เพือดําเนินโครงการของรัฐบาล เช่น การจดั นิคมสร้างตนเอง การชลประทาน การไฟฟ้ าพลังนาํ การก่อสร้างทาง กิจการรักษาความมนั คงของชาติ เป็ นตน้ การทีพืนทีป่ าไม้ ทวั ประเทศลดลงอย่างมาก ได้ส่งผลกระทบต่อการควบคุมระบบนิเวศโดยส่วนรวมอยา่ งแจง้ ชดั เช่น กรณีเกิดวาตภยั และอทุ กภยั ครังรา้ ยแรงในพืนทีภาคใต้ ปัญหาความแห้งแลง้ ในภาคตา่ ง ๆ ของประเทศ

142 ภาพ : การตดั ไมท้ าํ ลายป่ า ทรัพยากรดนิ ปัญหาการพงั ทลายของดินและการสูญเสียหน้าดิน โดยธรรมชาติ เช่น การชะลา้ ง การกดั เซาะของนาํ และลม เป็นตน้ และทีสาํ คญั คือ ปัญหาจากการกระทาํ ของมนุษย์ เช่น การทาํ ลายป่ า เผาป่ า การเพาะปลูกผดิ วธิ ี เป็นตน้ ก่อให้เกิดการสูญเสียความอดุ มสมบูรณ์ของดินทาํ ใหใ้ ช้ประโยชน์ จากทดี ินไดล้ ดนอ้ ยลง ความสามารถในการผลติ ทางด้านเกษตรลดนอ้ ยลง และยงั ทาํ ให้เกิดการทับถม ของตะกอนดินตามแม่นาํ ลาํ คลอง เขือน อ่างเก็บนาํ เป็ นเหตุใหแ้ หลง่ นาํ ตืนเขิน ทรัพยากรทดี ิน ปัญหาการใชท้ ีดินไม่เหมาะสมกับสมรรถนะของทีดิน และไม่คาํ นึงถึง ผลกระทบต่อสิงแวดลอ้ ม ไดแ้ ก่ การใชท้ ีดินเพือการเกษตรกรรมอย่างไมถ่ กู หลกั วิชาการ ขาดการ บาํ รุงรักษาดนิ การปล่อยใหผ้ วิ ดินปราศจากพืชปกคลุม ทาํ ให้สญู เสียความชุ่มชืนในดิน การเพาะปลูก ทีทาํ ให้ดินเสีย การใช้ป๋ ุยเคมแี ละยากาํ จัดศตั รูพืชเพือเร่งผลติ ผล ทาํ ให้ดินเสือมคุณภาพและสารพิษ ตกคา้ งอยู่ในดิน การบุกรุกเขา้ ไปใชป้ ระโยชน์ทีดินในเขตป่ าไมบ้ นพืนทีทีมีความลาดชันสูง รวมทัง ปัญหาการขยายตัวของเมืองทีรุกลาํ เขา้ ไปในพืนทีเกษตรกรรม และการนาํ มาใช้เป็ นทีอย่อู าศยั ทีตงั โรงงานอุตสาหกรรม หรือการเก็บทีดินไวเ้ พอื การเกง็ กาํ ไร โดยมไิ ดม้ กี ารนาํ มาใชป้ ระโยชนแ์ ตอ่ ยา่ งใด ทรัพยากรแหล่งนํา การใช้ประโยชน์จากแหล่งนํา เพือกิจกรรมต่าง ๆ ยงั มีความขัดแยง้ กนั ขึนอยกู่ บั วัตถุประสงคข์ องแต่ละกิจกรรม ก่อให้เกิดความยุ่งยากต่อการจัดการทรัพยากรนาํ และ การพฒั นาแหลง่ นาํ ความขดั แยง้ ดงั กล่าวมีแนวโน้มวา่ จะสูงขึน จากปริมาณนาํ ทีเก็บกกั ได้มีจาํ นวน จาํ กดั แต่ความตอ้ งการใชน้ าํ มปี ริมาณเพิมขึนตลอดเวลา ทงั ในดา้ นเกษตรกรรม อตุ สาหกรรม และการ อุปโภคบริโภค เป็นผลให้มีนาํ ไมเ่ พียงพอกบั ความตอ้ งการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook