Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธวจน 5_แก้กรรม โดยตถาคต

พุทธวจน 5_แก้กรรม โดยตถาคต

Published by sadudees, 2017-01-10 00:53:27

Description: พุทธวจน 5_แก้กรรม โดยตถาคต

Search

Read the Text Version

แกกรรม ? ๓๕คลองพวงมาลัย) ไมเปนผูประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหลา นั้น. ส.ี ที. ๙/๘๓/๑๐๓. ; อ.ํ ๒๔/๒๘๗ - ๒๘๘/๑๖๕.

๓๖ พุทธวจน ลักษณะและวบิ ากแหง สัมมากมั มนั ตะ  ภิกษุ ท. ! อรยิ สาวกในกรณีนี้ ละปาณาตบิ าตเวนขาดจากปาณาติบาต. ภกิ ษุ ท. ! อริยสาวกเวนขาดจากปาณาติบาตแลว ยอมช่อื วา ใหอภัยทาน อเวรทาน อพั ยาปช ฌทานแกส ัตวท้ังหลายมากไมมปี ระมาณ ; ครั้นใหอภัยทานอเวรทาน อพั ยาปช ฌทาน แกส ัตวท ัง้ หลายมากไมม ีประมาณแลว ยอมเปนผมู สี วนแหง ความไมมภี ยั ไมมเี วรไมม ีความเบยี ดเบยี น อนั ไมม ปี ระมาณ. ภิกษุ ท. ! นี้เปน (อภัย) ทานชั้นปฐม เปนมหาทาน รูจักกันวาเปนของเลิศ เปนของมีมานาน เปนของประพฤติสืบกันมาแตโบราณไมถูกทอดทิ้งเลย ไมเคยถูกทอดทิ้งในอดีต ไมถูกทอดท้ิงอยูในปจจุบันและจักไมถูกทอดท้ิงในอนาคต อันสมณพราหมณผูรูไมคัดคาน. ภิกษุ ท. ! ขอน้ีเปนทอธารแหงบุญ เปนท่ีไหลออกแหงกุศล นาํ มาซงึ่ สขุ เปนไปเพอื่ ยอดสดุ อันดี

แกก รรม ? ๓๗มสี ขุ เปน วิบาก เปนไปเพอ่ื สวรรค เปน ไปเพอ่ื ประโยชนเกอ้ื กูล เพื่อความสขุ อนั พงึ ปรารถนา นา รักใคร นาพอใจ. ภิกษุ ท. ! ขออ่ืนยังมีอีก : อริยสาวกละอทนิ นาทาน เวนขาดจากอทนิ นาทาน. ภิกษุ ท. ! อรยิ สาวกเวนขาดจากอทินนาทานแลว ยอ มชอื่ วา ใหอภัยทาน อเวรทาน อพั ยาปชฌทานแกส ตั วท้งั หลายมากไมมปี ระมาณ ; ครั้นใหอภยั ทานอเวรทาน อพั ยาปชฌทาน แกสัตวท ้ังหลายมาก ไมม ีประมาณแลว ยอมเปน ผมู สี ว นแหง ความไมมภี ยั ไมมเี วรไมม คี วามเบยี ดเบียน อันไมม ีประมาณ. ภกิ ษุ ท. ! นเี้ ปน (อภัย) ทานอันดบั ท่ีสอง เปนมหาทานรจู ักกันวาเปน ของเลิศ เปน ของมีมานาน เปนของประพฤตสิ ืบกนั มาแตโบราณ ไมถกู ทอดทง้ิ เลย ไมเคยถกู ทอดท้ิงในอดตี ไมถูกทอดทง้ิ อยใู นปจจบุ นั และจกัไมถ กู ทอดทิง้ ในอนาคต อันสมณพราหมณผูรไู มค ัดคาน. ภกิ ษุ ท. ! ขอ นี้เปนทอธารแหงบญุ เปนที่ไหลออกแหงกุศล นาํ มาซึ่งสุข เปน ไปเพอ่ื ยอดสุดอนั ดีมสี ขุ

๓๘ พุทธวจนเปน วบิ าก เปนไปเพอ่ื สวรรค เปนไปเพอื่ ประโยชนเก้ือกูล เพอ่ื ความสุขอนั พึงปรารถนา นารกั ใคร นาพอใจ. ภิกษุ ท. ! ขออื่นยังมีอีก : อริยสาวก ละกาเมสมุ จิ ฉาจาร เวน ขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร. ภิกษุ ท. ! อริยสาวก เวน ขาดจากกาเมสุมิจฉาจารแลว ยอ มชอ่ื วา ใหอภยั ทาน อเวรทาน อัพยาปช ฌทานแกสัตวท ้งั หลายมากไมม ีประมาณ ; คร้นั ใหอภยั ทานอเวรทาน อพั ยาปช ฌทาน แกส ตั วท ้งั หลายมากไมม ีประมาณแลว ยอมเปน ผมู สี ว นแหง ความไมมีภยั ไมมีเวรไมม ีความเบยี ดเบียน อันไมม ปี ระมาณ. ภกิ ษุ ท. ! น้เี ปน (อภยั ) ทานอนั ดบั ทส่ี ามเปนมหาทาน รจู กั กนั วาเปนของเลิศ เปน ของมมี านานเปนของประพฤติสบื กนั มาแตโบราณ ไมถูกทอดทง้ิ เลยไมเคยถูกทอดทิ้งในอดีต ไมถูกทอดทิ้งอยใู นปจ จบุ นัและจักไมถ กู ทอดท้งิ ในอนาคต อนั สมณพราหมณผูร ูไมคดั คา น. ภิกษุ ท. ! ขอ นี้เปนทอธารแหง บุญ เปนท่ไี หลออกแหงกศุ ลนาํ มาซ่งึ สขุ เปน ไปเพอ่ื ยอดสดุ อนั ดี มสี ุข

แกก รรม ? ๓๙เปน วบิ าก เปน ไปเพอื่ สวรรค เปนไปเพื่อประโยชนเ กอ้ื กูลเพอ่ื ความสุขอนั พึงปรารถนา นารักใคร นาพอใจ. อฏก. อ.ํ ๒๓/๒๕๐/๑๒๙.

๔๐ พทุ ธวจน วิบากของผูทศุ ลี ภิกษุ ท. ! ปาณาตบิ าต (ฆา สัตว) ทีเ่ สพท่วั แลวเจรญิ แลว ทําใหม ากแลว ยอมเปน ไปเพื่อนรก เปน ไปเพอ่ื กาํ เนดิ ดิรัจฉาน เปน ไปเพอ่ื เปรตวสิ ยั . วบิ ากแหงปาณาตบิ าตของผูเปน มนษุ ยท ่ีเบากวา วบิ ากทงั้ ปวง คือวิบากท่เี ปน ไปเพ่ือมอี ายุสัน้ . ภิกษุ ท. ! อทนิ นาทาน (ลกั ทรัพย) ทเ่ี สพทัว่แลว เจริญแลว ทําใหมากแลว ยอ มเปน ไปเพือ่ นรกเปน ไปเพือ่ กําเนดิ ดริ ัจฉาน เปนไปเพือ่ เปรตวิสยั . วบิ ากแหงอทินนาทานของผูเปนมนุษยท่ีเบากวาวบิ ากท้งั ปวงคือ วบิ ากทเ่ี ปน ไปเพอื่ ความเสอื่ มแหงโภคะ. ภิกษุ ท. ! กาเมสมุ จิ ฉาจาร (ประพฤติผิดในกาม)ท่ีเสพทัว่ แลว เจรญิ แลว ทําใหมากแลว ยอ มเปนไปเพอ่ืนรก เปนไปเพือ่ กําเนดิ ดิรัจฉาน เปนไปเพ่อื เปรตวิสยั .วิบากแหงกาเมสมุ ิจฉาจาร ของผูเปน มนษุ ยท เ่ี บากวา วบิ ากทัง้ ปวง คอื วิบากทเ่ี ปน ไปเพ่อื กอเวรดว ยศตั ร.ู

แกกรรม ? ๔๑ ภิกษุ ท. ! มสุ าวาท (คําเท็จ) ที่เสพทวั่ แลวเจรญิ แลว ทาํ ใหมากแลว ยอ มเปน ไปเพอ่ื นรก เปน ไปเพ่อื กําเนดิ ดริ ัจฉาน เปนไปเพอื่ เปรตวสิ ยั . วบิ ากแหงมุสาวาทของผูเปนมนุษยท่ีเบากวาวิบากทั้งปวง คือวิบากทีเ่ ปน ไปเพื่อการถกู กลาวตูดว ยคําไมจ รงิ . ภิกษุ ท. ! ปส ุณวาท (คํายุยงใหแ ตกกัน) ท่ีเสพทั่วแลว เจริญแลว ทําใหมากแลว ยอมเปนไปเพ่ือนรก เปน ไปเพอ่ื กาํ เนดิ ดริ จั ฉาน เปนไปเพอ่ื เปรตวสิ ยั .วิบากแหง ปสณุ วาทของผูเปนมนษุ ยท เี่ บากวาวบิ ากทัง้ ปวงคือ วิบากที่เปนไปเพื่อการแตกจากมติ ร. ภกิ ษุ ท. ! ผรุสวาท (คําหยาบ) ทีเ่ สพทวั่ แลวเจริญแลว ทําใหม ากแลว ยอมเปนไปเพอื่ นรก เปน ไปเพ่อื กําเนดิ ดิรัจฉาน เปนไปเพอ่ื เปรตวสิ ยั . วิบากแหงผรุสวาทของผูเปนมนุษยที่เบากวาวิบากท้ังปวง คือวิบากทเ่ี ปน ไปเพอ่ื การไดฟ ง เสยี งท่ีไมน า พอใจ. ภกิ ษุ ท. ! สมั ผัปปลาปะ (คาํ เพอ เจอ) ทีเ่ สพทั่วแลว เจริญแลว ทําใหม ากแลว ยอมเปนไปเพอื่ นรก

๔๒ พทุ ธวจนเปน ไปเพ่อื กําเนดิ ดิรัจฉาน เปน ไปเพ่อื เปรตวิสยั . วบิ ากแหง ผรสุ วาทของผเู ปนมนุษยท ีเ่ บากวา วิบากท้งั ปวง คอืวบิ ากทีเ่ ปนไปเพือ่ วาจาทไ่ี มมใี ครเช่ือถอื . ภิกษุ ท. ! การดม่ื นา้ํ เมาคือสรุ าและเมรยั ท่ีเสพท่ัวแลว เจริญแลว ทาํ ใหม ากแลว ยอ มเปนไปเพอื่นรก เปนไปเพือ่ กําเนดิ ดิรัจฉาน เปนไปเพือ่ เปรตวิสัย.วิบากแหงการด่ืมนาํ้ เมาคือสุราและเมรยั ของผูเปน มนษุ ยท่ีเบากวาวบิ ากทัง้ ปวง คือ วบิ ากทีเ่ ปนไปเพื่อความเปนบา(อุมมฺ ตตฺ ก) อฏ ก.อ.ํ ๒๓/๒๕๑/๑๓๐.

แกกรรม ? ๔๓ ทุคตขิ องผทู ุศลี ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงธรรมปรยิ าย อันเปนเหตแุ หงความกระเสอื กกระสนไปตามกรรม (ของหมูสัตว)แกพ วกเธอ. เธอท้ังหลายจงตั้งใจฟง ใหด.ี ธรรมปริยายอันแสดงความกระเสอื กกระสนไปตามกรรม (ของหมสู ัตว) เปน อยางไรเลา ? ภกิ ษุ ท. ! สัตวทัง้ หลาย เปน ผูม ีกรรมเปน ของตน เปนทายาทแหง กรรม มีกรรมเปน กาํ เนิด มกี รรมเปนเผาพนั ธุ มีกรรมเปนท่ีพง่ึ อาศยั กระทํากรรมใดไวด ีกต็ ามชว่ั ก็ตาม จักเปน ผรู บั ผลกรรมนน้ั . ภิกษุ ท. ! คนบางคนในกรณนี ้ี เปน ผูมปี กติทําปาณาติบาตหยาบชา มีฝามอื เปอ นดว ยโลหติ มแี ตการฆาและการทบุ ตี ไมมีความเอ็นดใู นสตั วม ชี ีวิต. เขากระเสือกกระสนดว ย (กรรมทาง) กาย กระเสือกกระสนดว ย(กรรมทาง) วาจา กระเสือกกระสนดว ย (กรรมทาง) ใจ ;กายกรรมของเขาคด วจีกรรมของเขาคด มโนกรรมของ

๔๔ พุทธวจนเขาคด ; คตขิ องเขาคด อุปบตั ิ (การเขาถึงภพ) ของ เขาคด. ภิกษุ ท. ! สาํ หรบั ผูมคี ตคิ ด มอี ุปบตั ิคดนนั้เรากลา วคตอิ ยา งใดอยา งหนง่ึ ในบรรดาคตสิ องอยางแกเ ขา คือ เหลาสตั วน รก ผูมที กุ ขโ ดยสว นเดยี ว, หรือวาสัตวเ ดรจั ฉานผมู ีกําเนิดกระเสอื กกระสน ไดแ ก งู แมลงปอ ง ตะขาบ พังพอน แมว หนู นกเคา หรือสตั วเ ดรจั ฉานเหลา อนื่ ที่เหน็ มนุษยแ ลว กระเสอื กกระสน. ภิกษุ ท. ! ภตู สัตวย อ มมดี ว ยอาการอยางนี้ คืออปุ บตั ยิ อ มมแี กภ ตู สตั ว, เขาทาํ กรรมใดไว เขายอ มอุปบตั ิดวยกรรมน้ัน, ผสั สะทง้ั หลายยอ มถูกตองภตู สตั วนนั้ ผูอปุ บัตแิ ลว. ภิกษุ ท. ! เรากลาววาสตั วทั้งหลายเปนทายาทแหงกรรม ดว ยอาการอยางน้ีดังน.ี้ (ในกรณีแหง บคุ คลผูกระทาํ อทนิ นาทาน กาเมสมุ จิ ฉาจาร ก็ไดตรสัไวดวยขอ ความอยา งเดยี วกนั กบั ในกรณีของผกู ระทาํ ปาณาตบิ าตดงั กลาวมาแลวขางบนทุกประการ ; และยังไดตรัสเลยไปถึง วจีทุจริตส่ี มโนทุจริตสามดว ยขอความอยา งเดยี วกันอีกดว ย. ตอ ไปน้ี ไดต รัสขอ ความฝา ยกุศล :-) ทสก.อ.ํ ๒๔/๓๐๙/๑๙๓.

แกกรรม ? ๔๕ สุคติของผมู ีศีล ภิกษุ ท. ! สตั วทง้ั หลาย เปนผูมีกรรมเปนของตน เปนทายาทแหง กรรม มีกรรมเปนกําเนดิ มีกรรมเปนเผาพนั ธ มกี รรมเปน ทีพ่ ง่ึ อาศัย กระทํากรรมใดไวดกี ต็ ามชว่ั กต็ าม จกั เปนผูรบั ผลแหงกรรมนน้ั . ภกิ ษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีน้ี ละปาณาติบาต เวน ขาดจากปาณาตบิ าต วางทอ นไม วางศสั ตรา มคี วามละอาย ถึงความเอน็ ดกู รณุ าเกือ้ กลู แกส ัตวทง้ั หลาย. เขาไมก ระเสอื กกระสนดว ย (กรรมทาง) กายไมก ระเสือกกระสนดว ย (กรรมทาง) วาจา ไมกระเสือกกระสนดวย (กรรมทาง) ใจ ; กายกรรมของเขาตรงวจีกรรมของเขาตรง มโนกรรมของเขาตรง : คติของเขาตรง อุปบตั ิของเขาตรง. ภกิ ษุ ท. ! สาํ หรับผมู คี ตติ รง มอี ุปบตั ติ รงนนั้เรากลาวคติอยางใดอยางหนึ่ง ในบรรดาคติสองอยา งแกเขา คอื เหลาสตั วผมู ีสขุ โดยสวนเดียว หรอื วาตระกลู

๔๖ พทุ ธวจนอันสูง ตระกลู ขัตตยิ มหาศาล ตระกลู พราหมณมหาศาลหรือตระกลู คหบดมี หาศาล อนั มงั่ ค่ัง มที รัพยมาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีอปุ กรณแ หงทรพั ยมาก. ภกิ ษุ ท. ! ภตู สตั วย อมมดี วยอาการอยา งน้ี คอือุปบตั ิ (การเขาถงึ ภพ) ยอ มมแี กภ ตู สตั ว, เขาทาํ กรรมใดไวเขายอมอปุ บตั ิ ยอ มมีแกภตู สัตว, เขาทํากรรมใดไว เขายอมอปุ บตั ิดว ยกรรมน้นั , ผสั สะทั้งหลายยอมถกู ตองภตูสัตวน ้ันผูอ ุปบตั ิแลว. ภกิ ษุ ท. ! เรากลา ววา สัตวท ้ังหลาย เปนทายาทแหงกรรม ดวยอาการอยางนี้ ดงั น.ี้ (ในกรณีแหงบุคคลผูไมกระทาํ อทินนาทาน ไมกระทาํ กาเม-สุมิจฉาจาร ก็ไดตรัสไวดวยขอความอยางเดียวกันกับในกรณีของผูไมกระทําปาณาติบาต ดังกลาวมาแลวขางบนทุกประการ ; และยังไดตรัสเลยไปถงึ วจีสจุ ริตส่ี มโนสุจรติ สาม ดว ยขอความอยางเดียวกันอกี ดวย) ทสก. อํ. ๒๔/๓๑๑/๑๙๓.



๔๘ พุทธวจน ทาง ๒ สายท่ีไมควรเดิน ภกิ ษุ ท. ! มีสง่ิ ท่ีแลนดง่ิ ไปสดุ โตง (อนตฺ า) อยู๒ อยา ง ทีบ่ รรพชิตไมควรขอ งแวะดวย. ส่ิงทแี่ ลน ดงิ่ ไปสดุ โตงนั้นคอื อะไร ? คอื การประกอบตนพวั พนั อยดู ว ยความใครในกามทง้ั หลาย (กามสุขลั ลกิ านโุ ยค) อันเปน การกระทาํ ทยี่ งั ตาํ่เปนของชาวบา น เปน ของชน้ั บถุ ชุ น ไมใ ชข องพระอรยิ เจาไมป ระกอบดว ยประโยชน, และการประกอบความเพียรในการทรมานตนใหลาํ บาก (อัตตกิลมถานุโยค) อนั นาํ มาซงึ่ ความทกุ ข ไมใ ชของพระอรยิ เจา ไมป ระกอบดวยประโยชน, สองอยางนี้แล. ภกิ ษุ ท. ! ขอ ปฏบิ ตั เิ ปน ทางสายกลาง (มชั ฌมิ า-ปฏปิ ทา) ที่ไมด ่งิ ไปหาสงิ่ สดุ โตง สองอยา งนั้น เปน ขอปฏิบตั ิทีต่ ถาคตไดต รสั รเู ฉพาะแลว เปนขอปฏิบัติที่ตถาคตไดต รสั รเู ฉพาะแลว เปน ขอ ปฏิบตั ทิ ําใหเ กิดจักษุเปนขอ ปฏิบตั ทิ ําใหเ กดิ ญาณ เปน ไปเพอ่ื ความสงบ เพื่อความรูอ ันยง่ิ เพ่อื ความตรสั รพู รอม เพื่อนพิ พาน.











๕๔ พุทธวจนปตแิ ละสุข อันเกิดจากสมาธิ แลวแลอยู ; อน่งึ เพราะความจางคลายไปแหงปติ ยอมเปน ผูอ ยูอุเบกขา มสี ติและสมั ปชญั ญะ และยอมเสวยความสุขดวยนามกาย ชนดิ ท่ีพระอริยเจา ทง้ั หลาย ยอมสรรเสรญิ ผูนั้นวา “เปนผูอ ยูอเุ บกขา มสี ติ อยูเปนปกติสุข” ดงั นี้ เขา ถงึ ตตยิ ฌาน แลวแลอยู ; เพราะละสุข และทกุ ขเสียได เพราะความดับไปแหงโสมนสั และโทมนสั ท้งั สอง ในกาลกอน เขา ถึงจตุตถฌาน ไมม ีทุกข ไมม ีสขุ มแี ตค วามทีส่ ตเิ ปนธรรมชาตบิ รสิ ุทธ์เิ พราะอเุ บกขาแลว แลอย.ู ภกิ ษุ ท. !อนั นเี้ รากลา ววา สมั มาสมาธิ. มหาวาร.สํ. ๑๙/๑๐ - ๑๒/๓๓-๔๑.

แกกรรม ? ๕๕ “สน้ิ ตณั หา ก็ สน้ิ กรรม” ภิกษุ ท. ! มรรคาใด ปฏปิ ทาใด ยอ มเปนไปเพ่ือความส้ินตัณหา เธอทั้งหลายจงเจริญมรรคาน้ันปฏิปทานน้ั . มรรคาและปฏิปทา ทีเ่ ปน ไปเพอ่ื ความสิ้นตัณหาเปน อยา งไรเลา ? คือ โพชฌงค ๗ โพชฌงค ๗ เปนอยา งไรเลา ? คือ สติสัมโพชฌงค ธมั มวิจยสัมโพชฌงค วิรยิ -สัมโพชฌงค ปตสิ ัมโพชฌงค ปส สทั ธิสมั โพชฌงคสมาธสิ มั โพชฌงค อเุ บกขาสัมโพชฌงค. เมอ่ื พระผูมีพระภาคตรสั อยางนี้แลว พระอุทายีไดทลู ถามวา “ขาแตพระองคผ เู จริญ ! โพชฌงค ๗ อนั บุคคลเจริญแลว กระทําใหม ากแลวอยางไร ยอมเปน ไปเพือ่ ความส้ินตัณหา”. อทุ ายี ! ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยน้ี ยอ มเจริญสติสัมโพชฌงค อนั อาศัยวเิ วก อนั อาศยั วริ าคะ อนั อาศัย

๕๖ พุทธวจนนิโรธ อนั นอ มไปเพ่อื โวสสัคคะ (ความสละ, ความปลอ ย)อันไพบลู ย ใหญหลวง ไมม ีประมาณ ไมม คี วามพยาบาทเมื่อภิกษนุ นั้ เจรญิ สติสมั โพชฌงค อนั อาศัยวเิ วก อันอาศยัวิราคะ อาศัยนิโรธ อันนอมไปเพ่อื โวสสัคคะ อนั ไพบลู ยใหญห ลวง ไมม ีประมาณ ไมมีความพยาบาท ยอ มละตณั หาได ...ฯลฯ... ยอ มเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค อันอาศัยวิเวกอนั อาศัยวริ าคะ อนั อาศัยนิโรธ อันนอ มไปเพอ่ื โวสสคั คะอันไพบูลย ใหญห ลวง ไมมปี ระมาณ ไมม คี วามพยาบาทเมื่อภิกษุน้ันเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค อันอาศัยวิเวกอนั อาศัยวริ าคะ อนั อาศัยนโิ รธ อันนอ มไปเพอ่ื โวสสคั คะอันไพบลู ยใ หญห ลวง ไมมปี ระมาณ ไมม ีความพยาบาทยอ มละตณั หาได เพราะละตัณหาได จึงละกรรมไดเพราะละกรรมได จงึ ละทุกขได อทุ ายี ! เพราะสิ้นตัณหา จึงสิ้นกรรมเพราะสิ้นกรรม จงึ ส้ินทุกข ดวยประการดงั น้ี แล. มหาวาร. ส.ํ ๑๙/ ๑๒๓ / ๔๔๙.



๕๘ พทุ ธวจน ทกุ ขเกดิ เพราะมีเหตปุ จ จยั อานนท ! คราวหนง่ึ เราอยูท ่ีปาไผ เปน ท่ใี หเหยื่อแกกระแตใกลก รุงราชคฤหน ี่แหละ, ครง้ั นัน้ เวลาเชาเราครองจีวรถอื บาตร เพือ่ ไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤหคดิ ข้นึ มาวา ยงั เชา เกนิ ไปสาํ หรับการบณิ ฑบาตในกรุงราชคฤห ถาไฉน เราเขาไปสูอ ารามของปริพาชก ผูเปนเดยี รถยี เ หลา อนื่ เถิด. เราไดเ ขาไปสูอารามของปริพาชกผเู ปน เดียรถยี เ หลาอนื่ กระทําสมั โมทนียกถาแกก ันและกนันั่งลง ณ ท่คี วรขางหนึ่ง. อานนท ! ปริพาชกเหลา นัน้ ไดก ลา วกะเราผูน่ังแลว อยางน้ีวา “ทา นโคตมะ ! มีสมณพราหมณบ างพวก ท่กี ลาวสอนเรื่องกรรม ยอ มบญั ญตั คิ วามทกุ ขว า เปนสิ่งท่ีตนทาํ เอาดวยตนเอง, มสี มณพราหมณอ ีกบางพวกที่กลาวสอนเรือ่ งกรรมยอมบญั ญตั ิความทกุ ข วา เปนสิง่ ทีผ่ ูอื่นทําให, มสี มณพราหมณอีกบางพวก ทีก่ ลาวสอนเรื่องกรรม ยอมบัญญัตคิ วามทุกขว าไมใชทําเองหรือใครทาํ ให ก็เกิดขึ้นได. ในเร่ืองน้ี ทานโคตมะ

แกกรรม ? ๕๙ของพวกเรา กลาวสอนอยอู ยา งไร? และพวกเรากลาวอยูอยางไร?จงึ จะเปน อันกลาวตามคาํ ทท่ี านโคตมะกลาวแลว, ไมเ ปน การกลาวตดู วยคาํ ไมจริง แตเ ปนการกลาวโดยถกู ตอง และสหธรรมิกบางคนทก่ี ลาวตาม จะไมพ ลอยกลายเปนผคู วรถกูติเตียนไปดวย ? ” ดงั นี.้ อานนท ! เราไดกลาวกะปริพาชกท้ังหลายเหลา น้นั วา ปรพิ าชก ท. ! เรากลาววา ทุกข อาศัยเหตปุ จ จยั(ของมนั เองเปน ลาํ ดบั ๆ) เกิดขึ้น. มันอาศัยเหตปุ จจัยอะไรเลา ? อาศยั ปจจัยคอื ผสั สะ. ผูกลา วอยา งนแี้ ล ชือ่ วา กลา วตรงตามทเี่ รากลาว. นทิ าน. สํ. ๑๖/๔๑/๗๖.

๖๐ พุทธวจน บาปกรรมเกา ไมอ าจสน้ิ ไดด ว ย ทุกรกริ ยิ า(กิรยิ าท่ีทาํ ไดโดยยาก) มหานาม ! คราวหน่งึ เราอยูท่ีภูเขาคิชฌกฏูใกลน ครราชคฤห, คร้ังนั้นพวกนิครนถเปน อนั มากประพฤติวัตรยนื อยา งเดียว งดการน่งั อยู ณ ที่กาฬสลิ าขางภูเขาอิสิคิลิ, ตางประกอบความเพยี รแรงกลาเสวยเวทนาอันเปน ทกุ ขก ลา แขง็ แสบเผด็ . มหานาม ! คร้งั นนั้เปน เวลาเยน็ เราออกจากท่เี รน แลว ไปสูกาฬสิลา ขา งภูเขาอสิ ิคลิ ิ อันพวกนคิ รนถ ประพฤติวตั รอย,ู ไดก ลา วกะพวกนิครนถเหลา นนั้ วา “ทานผเู ปนนคิ รนถ ท. ! เพราะอะไรหนอ พวกทา นท้ังหลายจงึ ประพฤติยนื ไมน ัง่ ประกอบความเพยี รไดร บั เวทนาอนั เปน ทุกขกลา แข็งแสบเผด็ ?” ดังนี้. มหานาม ! นิครนถเหลาน้ันไดกลาวกะเราวา “ทา นผูม อี ายุ ! ทานนคิ รนถนาฏบตุ ร เปน ผรู ูสงิ่ ทัง้ ปวงเหน็ สิง่ ทงั้ ปวง ไดยืนยันญาณทสั สนะของตนเอง โดยไมมีการยกเวนวาเม่ือเราเดินอยู ยืนอยู หลับอยู ต่ืนอยู ก็ตาม

แกกรรม ? ๖๑ญาณทัสสนะของเรายอมปรากฏติดตอกันไมขาดสาย” ดังนี้.ทา นนิครนถนาฏบตุ ร น้ันกลาวไวอยางน้วี า “นิครนถผูเจรญิ !บาปกรรมในกาลกอนทไ่ี ดท ําไว มีอยแู ล, พวกทา นจงทําลายกรรมนนั้ ใหสนิ้ ไป ดวยทกุ รกิริยาอันแสบเผด็ น้ี ; อน่ึง เพราะการสาํ รวม กาย วาจา ใจ ในบัดนี้ ยอมชื่อวาไมไดกระทาํ กรรมอนั เปน บาปอกี ตอไป. เพราะการเผาผลาญกรรมเกา ไมม ีเหลือ และเพราะการไมก ระทาํ กรรมใหม กรรมตอ ไปกข็ าดสาย, เพราะกรรมขาดสาย กส็ นิ้ กรรม, เพราะส้ินกรรม กส็ ้ินทกุ ข, เพราะสนิ้ ทุกขกส็ นิ้ เวทนา, เพราะสิ้นเวทนา ทกุ ขท้งั หมด ก็เหือดแหงไป, ดังน้ี.คาํ สอนของทา นนาฏบตุ รน้นั เปนที่ชอบใจและควรแกเรา, และพวกเรากเ็ ปน ผพู อใจตอ คาํ สอน นัน้ ดวย” ดังน้ี. มหานาม ! เราไดก ลาวคาํ นี้กะนคิ รนถเหลานนั้สบื ไปวา “ทา นผูเปนนคิ รนถ ท. ! ทา นทัง้ หลายรอู ยหู รอืวา พวกเราทงั้ หลาย ไดมีแลว ในกาลกอนหรือวามิไดมี ?” “ไมท ราบเลยทาน !” “ทา นผเู ปนนิครนถ ท. ! ทานท้งั หลายรอู ยูห รือวาพวกเราทั้งหลาย ไดท ํากรรมที่เปนบาปแลวในกาลกอนหรือวาพวกเราไมไ ดทําแลว ?”

๖๒ พุทธวจน “ไมทราบไดเ ลย, ทาน !” “ทานผเู ปน นิครนถ ท. ! ทานทง้ั หลายรอู ยูหรอืวาเราท้ังหลายไดท ํากรรมทเ่ี ปน บาปอยา งน้ีๆ ในกาลกอน ?” “ไมท ราบเลยทา น !” “ทานผูเปน นคิ รนถ ท. ! ทานทั้งหลายรูอ ยูหรอืวา (ต้ังแตท าํ ตบะมา) ทุกขม จี ํานวนเทา น้ี ๆ ไดส้นิ ไปแลวและจาํ นวนเทา น้ี ๆ จะสิ้นไปอีก, หรอื วาถา ทกุ ขส้นิ ไปอีกจาํ นวนเทา นี้ ทกุ ขกจ็ ักไมมีเหลอื ?” “ไมทราบไดเลยทาน !” “ทานผูเปนนิครนถ ท. ! ทานทัง้ หลายรูอยหู รอืวา อะไรเปน การละเสยี ซึง่ สง่ิ อนั เปน อกุศล และทําสงิ่ ท่ีเปนกศุ ลใหเกิดขน้ึ ไดใ นภพปจ จบุ ันน้ี ?” “ไมเ ขาใจเลยทาน !” มหานาม ! เราไดก ลาวคําน้ี กะนิครนถเ หลาน้ันสืบไปวา “ทา นผเู ปน นคิ รนถ ท. ! ดงั ไดฟ งแลว วา ทาน

แกกรรม ? ๖๓ทงั้ หลาย ไมร อู ยู วา เราทัง้ หลายไดม ีแลว ในกาลกอน หรือไมไ ดมีแลว ในกาลกอน, .…ฯลฯ.... อะไรเปนการละเสยีซ่ึงส่งิ อันเปน อกุศลแลว และทําส่งิ ที่เปน กศุ ลใหเ กดิ ข้ึนไดในภพปจจุบนั นี.้ คร้นั เม่อื ไมร อู ยา งนแ้ี ลว (นา จะเหน็ วา)ชนท้ังหลายเหลาใดในโลก ท่ีเปนพวกพรานมีฝามอืครํา่ ไปดว ยโลหติ มีการงานอยา งกกั ขฬะ ภายหลังมาเกิดเปนมนุษยแ ลว ยอมบรรพชาในพวกนคิ รนถทั้งหลายละกระมงั ?”. ม.ู ม. ๑๒/๑๘๔/๒๑๙.

๖๔ พทุ ธวจน ความรสู กึ ตางๆทเี่ กิดขึ้น ไมใชผลของกรรมเกา ภิกษุ ท. ! เรากลาวกะพวกนิครนถนั้นตอไปอกี อยา งน้ีวา ทานผูเปน นคิ รนถ ท. ! พวกทา นจะสาํ คญั ความขอน้นั เปน ไฉน สมัยใด พวกทานมคี วามพยายามแรงกลา มีความเพียรแรงกลา สมัยนน้ั พวกทานยอมเสวยเวทนาอันเปนทกุ ขกลา เจบ็ แสบ อนั เกดิ แตความพยายามแรงกลา แตส มยั ใด พวกทา นไมม ีความความพยายามแรงกลา ไมม ีความเพยี รแรงกลา สมยั นนั้พวกทา นยอ มไมเ สวยเวทนาอันเปนทกุ ขก ลา เจ็บแสบอนั เกิดแตความพยายามแรงกลา . พวกนคิ รนถร บั วา “พระโคดมผมู ีอายุ ! สมยั ใด พวกขาพเจามคี วามพยายามแรงกลา มีความเพียรแรงกลา สมยั นัน้ พวกขาพเจายอมเสวยเวทนาอนั เปนทุกขกลา เจ็บแสบ อันเกดิ แตความพยายามแรงกลา สมยั ใด พวกขาพเจาไมม ี ความพยายาม

แกกรรม ? ๖๕แรงกลา สมยั นนั้ พวกขาพเจายอมไมเสวยเวทนา อันเปนทุกขกลา เจ็บแสบ อันเกิดแตค วามพยายามแรงกลา ”. ทา นผเู ปนนคิ รนถ ท. ! เทา ที่พดู กนั มาน้ีเปนอันวา สมยั ใด พวกทา นมีความพยายามแรงกลา มคี วามเพยี รแรงกลา สมยั นน้ั พวกทา นยอมเสวยเวทนาอันเปนทกุ ขก ลา เจ็บแสบ อันเกิดแตความพยายามแรงกลา แตสมยั ใด พวกทานไมม ีความพยายามแรงกลา ไมม ีความเพียรแรงกลา สมยั นัน้ พวกทา นยอ มไมเสวยเวทนาอันเปน ทกุ ขก ลา เจ็บแสบ อันเกิดแตความพยายามแรงกลา เมอื่ เปน เชน นก้ี ็ไมเ ปน การสมควรแกทา นผเู ปนนคิ รนถท ง้ั หลายทีจ่ ะกลาววา บุคคลเรานยี้ อมเสวยเวทนาอยา งใดอยา งหนงึ่ เปน สขุ กด็ ี เปน ทุกขกด็ ี มิใชท ุกขมิใชสขุ กด็ ี ทงั้ หมดนน้ั เปน เพราะเหตแุ หง กรรมทต่ี นทาํไวในกาลกอ น และวาเพราะหมดกรรมเกาดว ยตบะและเพราะการไมท าํ กรรมใหม กระแสแหง กรรมตอไปก็ไมมี เพราะกระแสแหง กรรมตอไปไมม ี ก็ส้นิ ทกุ ขเพราะส้นิ ทุกข กส็ นิ้ เวทนา เพราะสน้ิ เวทนา ทุกขทง้ัปวงก็สญู ส้ินไป ดงั น้ี.

๖๖ พทุ ธวจน ทา นผูเปนนิครนถ ท. ! ถาสมยั ใด พวกทานมีความพยายามแรงกลา มีความเพียรแรงกลาสมัยนนั้เวทนาอันเปน ทกุ ขกลา เจบ็ แสบ อนั เกดิ แตความเพยี รพยายามน้ันกย็ งั ต้ังอยู แมเ มื่อใด พวกทานไมมีความพยายามแรงกลา ไมมีความเพยี รแรงกลา สมัยนน้ัเวทนาอันเปนทุกขกลา เจบ็ แสบ อนั เกิดแตความพยายามพึงหยดุ ไดเ อง เม่อื เปน เชน นี้ พวกนิครนถผ ูม อี ายกุ ็ควรกลาวไดว า บุคคลเราน้ยี อ มเสวยเวทนาอยา งใดอยางหนง่ึเปนสขุ ก็ดี เปน ทกุ ขก ็ดี มใิ ชท กุ ขมใิ ชส ุขก็ดี ทงั้ หมดนัน้ เปน เพราะเหตุแหง กรรมทต่ี นทาํ ไวใ นกาลกอ น หมดกรรมเกาดวยตบะ และเพราะการไมทาํ กรรมใหมกระแสแหงกรรมตอไปก็ไมมี เพราะกระแสแหงกรรมตอ ไปไมมี ก็ส้นิ กรรม เพราะส้ินกรรม ก็สนิ้ ทุกขเพราะสนิ้ ทกุ ข ก็สนิ้ เวทนา เพราะสนิ้ เวทนา ทุกขท ้งั ปวงก็สูญส้ินไป ดงั น้.ี ทานผเู ปน นคิ รนถ ท. ! กเ็ พราะเหตุท่ี สมยั ใดพวกทานมีความพยายามแรงกลา มคี วามเพียรแรงกลาสมยั น้ัน พวกทานจึงเสวยเวทนา อันเปน ทุกขกลา เจ็บ

แกกรรม ? ๖๗แสบ อันเกิดแตความพยายามแรงกลา แตสมยั ใด พวกทานไมมคี วามพยายามแรงกลา ไมมีความเพียรแรงกลาสมัยนั้น พวกทา นจึงไมเ สวยเวทนาอนั เปน ทุกขกลา เจ็บแสบ อันเกิดแตความพยายามแรงกลา พวกทานน้ันเสวยเวทนาอันเปนทุกขกลา เจ็บแสบ อันเกิดแตความเพียรเองทีเดียว ยอมเชื่อผิดไป เพราะอวิชชา คือความไมรู เพราะความหลงวา บุคคลเราน้ียอมเสวยเวทนาอยางใดอยางหนึ่ง เปนสุขก็ดี เปนทุกขก็ดี มิใชทุกขมิใชสุขก็ดี ขอน้ันท้ังหมดเปนเพราะเหตุแหงกรรมท่ีตนทําไวในกาลกอน ทั้งน้ี และวาเพราะหมดกรรมเกาดวยตบะ และเพราะไมทํากรรมใหม กระแสแหงกรรมตอไปก็ไมมี เพราะกระแสแหงกรรมตอไปไมมี ก็ส้ินกรรม เพราะส้ินกรรม ก็สิ้นทุกข เพราะส้ินทุกข ก็ส้ินเวทนา เพราะส้ินเวทนา ทุกขทั้งปวงก็สูญส้ินไป ดังน้ี. ภิกษุ ท. ! เรามีถอ ยคําและความเหน็ แมอ ยางน้ีแล จงึ ไมเ ลง็ เหน็ การโตตอบ ถอยคําและความเหน็ อนัชอบดวยเหตอุ ะไรๆ ในพวกนคิ รนถ. ภกิ ษุ ท. ! เรากลาวกะพวกนิครนถน้ันตอไป

๖๘ พทุ ธวจนอีกอยางน้ีวา ทานผูเปนนิครนถ ท. ! พวกทานจะสําคัญความขอน้ันเปนไฉน พวกทานจะพึงปรารถนาไดดังนี้หรือวากรรมใดเปนของใหผลในปจจุบัน ขอกรรมนั้นจงเปนของใหผ ลในอนาคต ดวยความพยายาม หรือดวยความเพยี รเถิด. พวกนิครนถน ้นั กลาววา ทานผูมีอายุ ! ขอนห้ี ามไิ ดเลย. และพวกทานจะพึงปรารถนาไดดังนี้หรือวากรรมใดเปนของใหผลในอนาคต ขอกรรมนั้นจงเปนของใหผลในปจจุบัน ดวยความพยายามหรือดวยความเพียรเถิด. ทา นผมู ีอายุ ! ขอน้ีหามิไดเลย. ทานผูเ ปนนิครนถ ท. ! พวกทานจะสาํ คญั ความขอ นัน้ เปนไฉน พวกทา นจะพึงปรารถนาไดดงั นหี้ รอื วากรรมใดเปน ของใหผลเปนสขุ ขอกรรมนั้น จงเปน ของใหผ ลเปน ทกุ ข ดวยความพยายามหรอื ดวยความเพยี รเถดิ . ทา นผูมอี ายุ ! ขอนี้หามไิ ดเลย.

แกกรรม ? ๖๙ และพวกทานจะพึงปรารถนาไดดังน้ีหรือวากรรมใดเปนของใหผลเปนทุกข ขอกรรมน้ันจงเปนของใหผลเปนสขุ ดว ยความพยายามหรือดวยความเพยี รเถิด. ทานผมู อี ายุ ! ขอน้ีหามไิ ดเลย. ทานผูเปนนิครนถ ท. ! พวกทานจะสําคัญความ ขอนั้นเปนไฉน พวกทานจะพึงปรารถนาไดดังนี้หรือวา กรรมใดเปนของใหผลเสร็จส้ินแลว ขอกรรมนั้นอยาพึงใหผลเสร็จส้ิน ดวยความพยายามหรือดวยความเพียรเถิด. ทานผมู อี ายุ ! ขอนีห้ ามไิ ดเลย. และพวกทานจะพึงปรารถนาไดด ังนห้ี รือวา กรรมใดเปน ของใหผ ลยงั ไมเสรจ็ สนิ้ ขอกรรมน้ันจงเปน ของใหผ ลเสร็จสน้ิ ดวยความพยายามหรือดว ยความเพยี รเถิด. ทา นผูมอี ายุ ! ขอนี้หามไิ ดเ ลย. ทา นผเู ปน นิครนถ ท. ! พวกทา นจะสาํ คญั ความขอนั้นเปนไฉน พวกทา นจะพงึ ปรารถนาไดด ังนหี้ รือวากรรมใดเปน ของใหผลมาก ขอกรรมนนั้ จงเปน ของใหผ ลนอ ย ดวยความพยายามหรอื ดวยความเพยี รเถดิ .

















๗๘ พทุ ธวจน ลทั ธิที่เช่ือวาสุขและทุกข   เกดิ จากกรรมเกาอยา งเดยี ว  ภกิ ษุ ท. ! ลทั ธิ ๓ ลทั ธิเหลานี้มอี ย,ู เปนลัทธิซง่ึ แมบ ัณฑติ จะพากนั ไตรตรอง จะหยิบขน้ึ ตรวจสอบ จะหยบิ ขึ้นวิพากษว ิจารณก นั อยางไร แมจะบดิ ผันกันมาอยา งไร กช็ วนใหนอ มไปเพอื่ การไมป ระกอบกรรมท่ดี ีงามอยนู ั่นเอง. ภกิ ษุ ท. ! ลัทธิ ๓ ลัทธินน้ั เปน อยา งไรเลา ? ๓ ลทั ธิคอื :- (๑) สมณะและพราหมณบ างพวก มีถอ ยคําและความเหน็ วา “บรุ ุษบุคคลใด ๆ กต็ ามทไ่ี ดร บั สุข รับทุกขหรือไมใชสขุ ไมใชทุกข ทัง้ หมดนนั้ เปน เพราะกรรมทที่ าํไวแตป างกอน” ดงั น.ี้ (๒) สมณะและพราหมณบางพวก มีถอยคาํ และความเหน็ วา “บุรษุ บุคคลใด ๆ ก็ตาม ทไ่ี ดร ับสขุ รับทุกขหรอื ไมใชส ุข ไมใชท กุ ขท ง้ั หมดนน้ั เปนเพราะการบันดาลของเจา เปนนาย” ดังน้ี.

แกก รรม ? ๗๙ (๓) สมณะและพราหมณบ างพวก มถี อยคาํ และความเหน็ วา “บรุ ษุ บุคคลใด ๆ ก็ตามทไ่ี ดรับสุข หรือไดรบั ทกุ ข หรอื มใิ ชสขุ มใิ ชท กุ ข ทัง้ หมดน้ัน ไมม อี ะไรเปน เหตุ เปนปจจยั เลย” ดงั น.ี้ ภกิ ษุ ท. ! ในบรรดาลทั ธทิ ง้ั ๓ นัน้ สมณ-พราหมณพวกใดมีถอ ยคาํ และความเหน็ วา “บคุ คลไดร บัสุข หรอื ทกุ ข หรอื ไมใ ชส ุขไมใ ชท ุกข เพราะกรรมที่ทําไวแตป างกอ นอยางเดยี ว” มอี ยู, เราเขาไปหาสมณพราหมณเ หลาน้นั แลว สอบถามความท่เี ขายงั ยืนยนั อยูดงั นน้ั แลว เรากลา วกะเขาวา“ถากระนัน้ คนทฆี่ า สัตว ... ลกั ทรัพย ... ประพฤติผดิพรหมจรรย ... พดู เท็จ ... พูดคาํ หยาบ ... พดู ยุใหแ ตกกนั ...พดู เพอเจอ ... มีใจละโมบเพง เล็ง ... มใี จพยาบาท ... มีความเหน็ วิปรติ เหลา น้ี อยางใดอยา งหน่งึ (ในเวลาน้ี) นน่ั ก็ตองเปน เพราะกรรมทที่ ําไวแ ตปางกอ น. เม่ือมัวแตถือเอากรรมทีท่ ําไวแตปางกอนมาเปนสาระสําคญั ดังน้ีแลว คนเหลานนั้ กไ็ มม คี วามอยากทาํหรือความพยายามทําในขอทว่ี า สงิ่ นค้ี วรทาํ (กรณียกจิ )

๘๐ พุทธวจนสิ่งนไี้ มค วรทํา (อกรณียกิจ) อีกตอ ไป. เมือ่ กรณยี กจิ และอกรณียกจิ ไมถกู ทาํ หรือถูกละเวน ใหจ ริง ๆ จงั ๆ กนั แลวคนพวกทไ่ี มม สี ติคุมครองตนเหลาน้นั กไ็ มม ีอะไรท่จี ะมาเรยี กตนวา เปน สมณะอยางชอบธรรมได” ดังน.ี้ ติก. อํ. ๒๐/๒๒๒/๕๐๑.

แกก รรม ? ๘๑ ลัทธิที่เช่ือวาสุขและทุกข เกดิ จากเทพเจา บันดาลให ภกิ ษุ ท. ! ในบรรดาลทั ธทิ ้ัง ๓ น้นั สมณ-พราหมณพวกใดมถี อ ยคําและความเห็นวา “บุคคลไดรบัสขุ หรอื ทุกข หรือไมใชส ขุ ไมใ ชท กุ ข ทง้ั หมดน้ัน เปนเพราะอิศวรเนรมติ ให (อสิ สฺ รนิมฺมานเหตูติ)” ดังน้ี มีอยู,เราเขา ไปหาสมณพราหมณเหลา นัน้ แลว สอบถามความทเ่ี ขายงั ยนื ยันอยดู งั นน้ั แลว เรากลา วกะเขาวา “ถากระน้นั (ในบดั น)้ี คนทีฆ่ า สตั ว ... ลกั ทรพั ย ... ประพฤติผิดพรหมจรรย ... พูดเทจ็ ... พูดคาํ หยาบ ... พดู ยใุ หแ ตกกนั ... พูดเพอ เจอ ... มใี จละโมบเพง เล็ง ... มีใจพยาบาทมคี วามเหน็ วิปรติ เหลาน้อี ยา งใดอยางหนง่ึ อยู น่ันกต็ องเปน เพราะการเนรมิตของอิศวรดวย. ก็เมือ่ มัวแตถ อื เอาการเนรมติ ของอศิ วร มาเปนสาระสําคญั ดงั นแี้ ลว คนเหลาน้นั ก็ไมม คี วามอยากทาํหรือความพยายามทาํ ในขอทว่ี า ส่งิ นค้ี วรทาํ (กรณียกจิ )ส่งิ น้ไี มค วรทาํ (อกรณยี กจิ ) อกี ตอไป.

๘๒ พุทธวจน เม่อื กรณียกิจ และอกรณียกจิ ไมถูกทาํ หรอื ถูกละเวนใหจริง ๆ จงั ๆ กนั แลว คนพวกทไ่ี มมีสตคิ ุมครองตนเหลานัน้ ก็ไมม ีอะไรทจี่ ะมาเรียกตนวา เปน สมณะอยางชอบธรรมได” ดังน.้ี ตกิ . อํ. ๒๐/๒๒๓/๕๐๑.

แกก รรม ? ๘๓ ลทั ธิท่ีเช่ือวาสขุ และทุกขเกิดข้นึ เองลอยๆ ไมมีอะไรเปนเหตุ เปน ปจจัย ภิกษุ ท. ! ในบรรดาลัทธิท้ังสามนั้น สมณ-พราหมณพ วกใดมีถอยคาํ และความเหน็ วา “บคุ คลไดร บัสุข หรือทกุ ข หรือไมใชส ขุ ไมใ ชท กุ ข ทัง้ หมดน้ัน ไมมีอะไรเปนเหตเุ ปน ปจจยั เลย” ดงั น้ี มีอย,ู เราเขาไปหาสมณะและพราหมณเ หลา นน้ั แลว สอบถามความที่เขายงั ยนื ยนั อยูดังน้นั แลว เรากลาวกะเขาวา “ถากระนนั้(ในบดั น)ี้ คนทฆี่ า สตั ว … ลักทรัพย … ประพฤตผิ ิดพรหมจรรย … พูดเทจ็ … พูดคําหยาบ … พูดยใุ หแตกกัน… พดู เพอเจอ … มีใจละโมบเพง เล็ง … มใี จพยาบาท …มคี วามเหน็ วิปรติ เหลา นอ้ี ยา งใดอยา งหนง่ึ อยู น่นั ก็ตอ งไมมอี ะไรเปน เหตเุ ปน ปจ จยั เลยดวย. ก็เม่ือมัวแตถ อื เอาความไมม อี ะไร เปนเหตเุ ปนปจ จัยเลย มาเปน สาระสําคญั ดังนแ้ี ลว คนเหลา นัน้ กไ็ มม ีความอยากทํา หรอื ความพยายามทํา ในขอ ทวี่ าสิ่งน้ีควรทํา (กรณียกจิ ) สิ่งนไ้ี มค วรทาํ (อกรณียกจิ ) อีกตอ ไป.

๘๔ พุทธวจน เมอ่ื กรณยี กิจและอกรณียกิจไมถูกทํา หรอื ถกูละเวนใหจ รงิ ๆ จงั ๆ กันแลว คนพวกทไี่ มม สี ติคุมครองตนเหลา นน้ั ก็ไมมีอะไรท่ีจะมาเรยี กตน วาเปน สมณะอยา งชอบธรรมได. ” ดงั น.ี้ ตกิ . อํ. ๒๐/๒๒๔/๕๐๑.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook