วชิ าหลักการจัดการ รหสั บช.1302 3 (3-0-6) อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
1. แนวความคดิ เกย่ี วกับการจัดองค์การ เชสเตอร์ ไอ บาร์นาร์ด (Chester I. Barnard, 1968) กล่าวว่า องค์การเปน็ ระบบของการร่วมมือร่วมใจของมนษุ ย์ การจดั องคก์ าร (Organizing) จงึ ถือว่าเปน็ การตดั สนิ ใจเลือกวธิ กี ารในการจดั แบ่งกลมุ่ กิจกรรมและทรัพยากรต่าง ๆ ขององคก์ ารออกเป็นหมวดหมู่ อย่างเป็นระเบียบ เพ่ือใหก้ ารประสานงานระหว่างกล่มุ กิจกรรม และ กลมุ่ บุคคลตา่ ง ๆ เป็นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพและ ประสิทธผิ ล อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
2. ความหมายของการจัดองค์การ การจัดองค์การ หมายถงึ การจดั ระบบความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งสว่ นงานตา่ ง ๆ และบุคคลในองค์การ โดยกาหนดภารกิจ อานาจหนา้ ท่แี ละความรับผดิ ชอบ ให้ชดั เจน เพอ่ื ใหก้ ารดาเนินงานตามภารกจิ ของ องค์การให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์ และเป้าหมายอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
3. ความสาคญั ของการจดั องคก์ าร 1 2 3 ความสาคญั ต่อองคก์ าร ความสาคญั ต่อผบู้ ริหาร ความสาคญั ต่อผปู้ ฏิบตั ิงาน 1) การจัดโครงสร้างองค์การที่ดี 1) การบริหารงานง่าย สะดวก 1) ทาให้รู้อานาจหน้าที่และ และเหมาะสมจะทาใหอ้ งคก์ ารบรรลุ รู้ว่าใครรับผิดชอบอะไร มีหน้าที่ ขอบขา่ ยการทางานของตน วตั ถปุ ระสงค์ อะไร 2) เกิดความยุติธรรมในการ 2) ทาใหง้ านไมซ่ าซอ้ น 2) แก้ปัญหาการทางานซาซ้อน แ บ่ ง ง า น ใ ห้ พ นั ก ง า น อ ย่ า ง 3) องค์การสามารถปรับตัวเข้า ได้งา่ ย เหมาะสม กับสภาพแวดล้อมท่ีเปลี่ยนไปได้ งา่ ย ๆ 3) ทาให้งานไม่ค่ังค้าง ณ จุดใด 3) ทาให้เกิดความคิดริเร่ิมใน จุดหนึ่ง การทางาน 4) การมอบอานาจทาได้ง่าย ขจัด 4) เกิดความสัมพันธ์กับฝ่าย ปัญหาการเก่ียงกันทางานหรือปัด อื่น ๆ ความรับผดิ ชอบ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
4. กระบวนการจดั องค์การ 01 ข้นั ตอนท่ี 1 การพจิ ารณาแยกประเภทงานและจดั กลุม่ งาน 02 (Identification of Work & Grouping Work) 03 ข้ันตอนท่ี 2 การทาคาบรรยายลกั ษณะงาน (Job Description) ข้ันตอนที่ 3 การจัดวางความสัมพันธ์ของงาน (Establishment of Relationship) อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
5. หลกั การจดั องคก์ าร หลักการจัดองค์การตามแนวคิดของเฮนร่ี ฟาโยล (HenryFayol,1949) คอื OSCAR (ออสการ์) ดงั นี้ หลกั การประสานงาน (Coordination) หลักความรคู้ วามสามารถ เฉพาะอย่าง หลักของอานาจหนา้ ที่ (Authority) (Specialization) หลักวตั ถุประสงค์ หลักความรับผิดชอบ (Objective) (Responsibility) อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
6. องคป์ ระกอบของการจดั การองคก์ าร 4. หน่วยงานสาคัญขององคก์ าร (Key Unit of the Organization) 1. อานาจทางการบรหิ าร จดั การ (Power) 5. สายการบังคับบญั ชา (Chain of Command) 2. การกาหนดหน้าที่การงาน (Function) 6. ช่วงการควบคุม (Span of Control) 3. การแบ่งงาน (Division of Work) 7. เอกภาพในการบงั คบั บัญชา (Unit of Command) อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
ลกั ษณะการควบคมุ แบบตา่ ง ๆ 1) ช่วงการควบคุมทีก่ วา้ งมาก 2) ชว่ งการควบคมุ ทกี่ วา้ ง 2) ชว่ งการควบคมุ ที่แคบ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
7. การจัดโครงสร้างขององคก์ าร 1. โครงสร้างองคก์ ารตามหน้าท่ีงาน (Functional Organization Structure) เป็นโครงสรา้ งท่จี ัดตง้ั ข้นึ โดยแบง่ ไปตามประเภทหรอื หน้าทก่ี ารงาน เพ่ือแสดงให้เห็นวา่ ในแต่ละแผนก น้ัน มีหนา้ ที่ต้องทาอะไรบ้าง อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
2. โครงสร้างองคก์ ารตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) เป็นการจัดรปู แบบโครงสร้างใหม้ สี ายงานหลักและมีการบังคับบัญชาจากบน ลงล่างลดหลั่นเป็นขน้ั ๆ จะไม่มกี ารสั่งการแบบข้ามขน้ั ตอนในสายงาน อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
3. โครงสร้างองค์การแบบคณะทีป่ รกึ ษา (Staff Organization Structure) เปน็ การจดั โครงสร้างโดยการใหม้ ีท่ปี รกึ ษาเขา้ มาช่วยการบริหารงาน เพราะว่าทปี่ รกึ ษามีความรู้และมคี วามชานาญเฉพาะ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
4. โครงสรา้ งองค์การงานอนกุ รม (Auxiliary) เปน็ หนว่ ยงานชว่ ยบางทเี รยี กว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-Keeping Agency) ซึง่ เป็นงานเกย่ี วกบั ธรุ การและอานวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และ งานตรวจสอบภายใน เปน็ ต้น อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
5. โครงสรา้ งองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) เป็นการจัดโครงสรา้ ง อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย องคก์ าร โดยให้มีการ บริหารงานในลักษณะ คณะกรรมการ เชน่ คณะกรรมการบรหิ าร งานรถไฟแห่งประเทศไทย คณะกรรมการ อส.มท. คณะกรรมการบริหาร บรษิ ัทเจรญิ โภคภัณฑ์ เปน็ ต้น
หน่วยท่ี 2 แนวคิดและเทคนิคการจัดการสมยั ใหม่ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
ววิ ัฒนาการของการจัดการองค์การ กลุ่มแต่ละกลุ่มจะต้องมีผู้นา มีหัวหน้า ซึ่งจะต้องดาเนินบทบาทเป็นแกนนาของกลุ่ม เพ่ือให้กลุ่มของตนดารงอยู่ได้ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยและคงอยู่เอาไว้อย่างเหนียว แน่น การศึกษาทฤษฎแี ละหลักเกณฑ์ทางการจัดการจึงเป็นรูปแบบท่ีเกดิ ขึ้นในราวศตวรรษที่ 18 ภายหลงั จากการปฏบิ ตั ิอตุ สาหกรรม การปฏวิ ัตอิ ตุ สาหกรรม (Industrial Revolution) เปน็ การเปล่ยี นแปลงท่เี กิดขึ้นใน การผลติ สนิ คา้ อุตสาหกรรม โดยเปลยี่ นจากการผลิตในระบบช่างฝมี อื มาเป็นการผลิตด้วย เครื่องจกั ร ทาให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเพ่ิมผลผลิตไดอ้ ย่างมหาศาล อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
1. ววิ ัฒนาการของการจัดการองค์การ บคุ คลสาคัญทีผ่ ลักดันใหเ้ กิดการปฏวิ ตั ิอุตสาหกรรม เจมส์ วัตต์ (James Watt) ชาวสก๊อตแลนด์ ไดด้ ัดแปลง เครอ่ื งจกั รไอนา้ มาใชใ้ นอุตสาหกรรมหลายด้าน ไดแ้ ก่ อุตสาหกรรม เจมถส์า่วตั นต์ ห(Jaนิ meอs ตุWสatาt)หชากวสรก๊รอตมแลเนหด์ ซลง่ึ เค็กร่ือแงจลกั ระไอเนาห้ ขอลงเจก็ มกส์ วลตั ต้า์ ก็ไอด้ถุตกู นสามาาดหดั แกปลรงใรช้ใมนอยตุ สาาหนกรยรมนอีกตหล์ ายด้าน เปน็ ตน้ได้แก่ อตุ สาหกรรมถ่านหิน อตุ สาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า อตุ สาหกรรมยานยนต์ เป็นต้น ส่วนอดมั สมิธ (Adam Smith) ได้นา แนวคดิ ไปสกู่ ารปฏิวตั ิทางเศรษฐกิจ ใช้หลกั การแบง่ งานกนั ทา (Division of labor) เพอ่ื ก่อให้เกิดความชานาญเฉพาะทาง (Specialization) การแบ่งงานกนั ทาได้เปลี่ยนสภาพการผลิต จากการผลิตโดยช่างฝีมือท่ีมีความเชี่ยวชาญหลายด้านไปเป็นการ ผลติ โดยคนงอานดที่เชัมี่ยวชสาญมในิธด้าน(ใAดดd้านaหนmงึ่ โดSยอmาศยั iกtาhรขทย)าางยไาตนดวั ซกน้า้วๆ้าางซขง่ึ แนึเ้ ป็นนเหวตผุคลทดิ ่ีทกาใหา้ตร้นทจนุ ัดการกผลาติ รต่าไรปาคสาส่กูินคา้าตร่าและตลาด ปฏวิ ตั ิทางเศรษฐกิจโดยใช้หลกั การแบง่ งานกันทา (Division of labor) เพอื่ ก่อใหเ้ กดิ ความชานาญเฉพาะทาง (Specialization) อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
2. การพัฒนาการของการจัดการองค์การ การพัฒนาการของการบริหารจัดการไดเ้ รมิ่ ตน้ ตง้ั แตค่ ริสตศ์ ตวรรษที่19 เป็นตน้ มา โดยแบ่งยคุ สมัยออกเป็น 4 ยคุ ตามชว่ งระยะเวลาโดยประมาณ (นิพนธ์ กนิ าวงศ์, 2554) 1. ยคุ การจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ระหวา่ ง ค.ศ.1910-1935 มลี กั ษณะเปน็ การบริหารแบบด้ังเดิม (TraditionalModel) เปน็ ยุคของเฟรดเดอร์รกิ เทเลอร์ (FredericW.Talor,1998) ผ้ทู ถี่ ือวา่ เปน็ “บิดาแห่งการ บริหารเชิงวทิ ยาศาสตร์” เทย์เลอร์ได้เสนอหลกั การสาคัญที่จะทาให้การปฏบิ ตั ิงานเกดิ ประสิทธภิ าพ ดังนี้ 1) หาวิธที ี่ดีท่ีสดุ (One Best Way) อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย 2) จดั คนใหเ้ หมาะกบั งาน (Put the Right Man to the Right Job) 3) งานเทา่ กัน เงินเท่ากนั (Equal Work, Equal Pay) 4) เนน้ ความชานาญและการแบ่งงานกนั ทา (Specification and Division of Work)
2. การพัฒนาการของการจัดการองคก์ าร ยคุ การจดั การเชิงมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) ระหว่าง ค.ศ.1930-1950 เปน็ ยุคแห่งการวิจยั ที่เรยี กวา่ Hawthorne Experiment โดยเอลตัน เมโย (Elton Mayo) และคณะได้ทาการทดลองวิจัยความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งสภาวะจิตใจและร่างกายของคนทางาน สภาพแวดลอ้ ม ตลอดจนสถานทท่ี างานทมี่ ผี ลตอ่ ผลผลิต และคณุ ภาพการผลติ เพราะคนเป็นผู้มีชีวติ จิตใจ มีความคิด ตอ้ งการการยอมรบั และตอ้ งการกาลังใจ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
2. การพัฒนาการของการจดั การองค์การ 3. ยคุ การจัดการเชงิ พฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science) ระหวา่ ง ค.ศ.1950-1970 เป็นการขยายแนวคดิ การ บรหิ ารเชงิ มนษุ ยสมั พนั ธ์ โดยเนน้ พฤตกิ รรมการทางานใน องคก์ ารมีโครงสรา้ งแบบทางการและมีลกั ษณะเปน็ พลวตั เนน้ ธรรมชาตขิ องแต่ละคนและกลมุ่ คน เปน็ แนวคิดท่ีผสมผสานการ บริหารเชงิ วิทยาศาสตร์กบั การบรหิ ารเชงิ มนุษยสมั พันธไ์ ว้ ด้วยกัน ยุคน้ีมผี ู้คดิ คน้ ทฤษฎีหลายทา่ น ไดแ้ ก่ เชสเตอร์ ไอ บาร์ นารด์ (Chester I. Barnard ) ทฤษฎี X ทฤษฎี Y ของแมคเกร เกอร์ (Douglas MC Gregor) เปน็ ต้น อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
2. การพฒั นาการของการจดั การองค์การ 4. ยุคการจดั การเชิงระบบ (Systems Approach) ระหว่าง ค.ศ.1970-ปัจจุบัน การนาเอาแนวคิดเชิงระบบมาใช้ในการบริหารงาน นักทฤษฎี องค์การสมัยใหมจ่ ึงสนใจท่ีจะศึกษาพฤติกรรมองคก์ ารในแง่องค์การเป็นส่วนหนึ่งของระบบสงั คม จงึ จาเป็นตอ้ งศกึ ษาความสมั พันธ์ระบบย่อยกบั ระบบใหญ่ ยคุ การบริหารเชิงระบบ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
3. องคก์ ารสมยั ใหม่ องค์การสมยั ใหม่ องค์การสมยั เกา่ 1. มีโครงสรา้ งองค์การท่ียดื หยนุ่ 2. ข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยี 1. ผบู้ ริหารองคก์ ารส่วนใหญ่ทั้งในองคก์ ารราชการ และเอกชนต่างมภี ารกจิ มาก ทนั สมยั 3. พัฒนาศักยภาพของบุคลากรอย่าง 2. การเล่ือนตาแหน่งจะเลอื่ นตามวาระตลอดจนการ เกษียณอายเุ ป็นประจาทุกปี ต่อเนือ่ ง 4. มบี ุคลากรมภี าวะผนู้ าจานวนมาก 3. ยุคสมยั กอ่ นองคก์ ารเผชญิ กับสถานการณท์ ค่ี งเดมิ 5. เปิดโอกาสให้มีความคิดเห็นอย่าง ความเปลย่ี นแปลงอาจเกดิ ขน้ึ อย่างชา้ ๆ ในเวลา อนั สัน้ อิสระ 6. ผบู้ รหิ ารองค์การมีภาวะผู้นาสูง 4. บคุ ลากรสามารถตัง้ เชิงรับไดเ้ พราะไม่ตอ้ งรับมอื กบั ความเปล่ยี นแปลงท่รี วดเรว็ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย 5. เป็นการบรหิ ารงานแบบรวมศูนย์อานาจ 6. มโี ครงสรา้ งองค์การที่ซับซอ้ น บริหารจดั การแบบ เครง่ ครดั ไม่ยดื หยนุ่ 7. การใหค้ า่ ตอบแทนขน้ึ อยกู่ ับงานท่ีรบั ผดิ ชอบ ปฏิบัตงิ านโดยยดึ ติดกับเวลาและสถานท่ี
4. แนวคดิ เก่ยี วกบั การจดั การสมยั ใหม่ สรปุ ได้ 3 แนวความคดิ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
5. เทคนคิ การจัดการสมยั ใหม่ 6. การวดั เปรยี บเทยี บ สมรรถนะ 1. การควบคมุ คณุ ภาพ 7. การวัดผลงาน โดยรวม เชงิ ดุลยภาพ 2. การร้ือปรบั ระบบ 8. การจดั การเชิงกลยุทธ์ 3. การวิเคราะห์ 9. การปฏบิ ัติเพอ่ื มงุ่ สู่ สถานการณ์ ความเป็นเลิศ 4. การจัดการความรู้ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย 5. องคก์ ารแหง่ การเรียนรู้
หนว่ ยที่ 3 การนาเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ในการจดั การ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
1. ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง สารสนเทศ ( Information) เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถงึ การใช้ความรู้ เครื่องมือ ความคิด หมายถึง ผลลัพธท์ ีเ่ กิดจากการ การนาความรทู้ างดา้ นวิทยาศาสตร์ หลักการ เทคนิค ความรู้ ระเบยี บวิธี ประมวลผลข้อมลู ดบิ (Raw data) มาประยุกตใ์ ช้เพือ่ สร้างหรอื จดั การ กระบวนการ ตลอดจน ผลงานทาง ดว้ ยการรวบรวมข้อมูลจากแหลง่ สารสนเทศอยา่ งเป็นระบบและ วิทยาศาสตรท์ ้ังส่งิ ประดษิ ฐแ์ ละ ต่าง ๆ และนามาผา่ นกระบวนการ รวดเร็ว โดยอาศัยเทคโนโลยี วธิ กี าร มาประยุกตใ์ ชใ้ นระบบงาน ประเมนิ ผล ไมว่ ่าจะเป็นการจดั กลมุ่ ทางดา้ นคอมพวิ เตอร์ รวมไปถงึ ข้อมลู การเรียงลาดบั ขอ้ มูล การ การใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ทใ่ี ช้ คานวณและสรุปผล รวบรวม จดั เก็บ ประมวลผล สบื ค้น และนาเสนอสารสนเทศในรปู แบบ ต่าง ๆ ไดท้ ุกเวลาและทกุ สถานที่ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
2. วตั ถุประสงคใ์ นการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ 1. เพอ่ื เช่ือมโยงแลกเปลยี่ นข้อมูล สารสนเทศและความรู้ระหว่างกัน 2. เพอ่ื เชอ่ื มโยงแลกเปล่ียนขอ้ มลู 2 1 สารสนเทศและความรกู้ บั หนว่ ยงานอน่ื ๆ 3. เพ่อื ปรับปรงุ ระบบการปฏบิ ตั ิ งานโดยลดขน้ั ตอนงานที่ซา้ ซ้อน 3 4 5 4. เพ่ือรายงานผลได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง 5. เพือ่ นาสารสนเทศและความรมู้ าใช้ในการ และทันตอ่ เหตุการณ์ บรหิ ารจัดการและการตดั สินใจ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
3. ความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ . 6. การสร้างสังคมแบบองค์การแห่งการเรียนรู้ 7. การพฒั นาผลการปฏิบตั ิงาน อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
4.บทบาทของเทคโนโลยสี ารสนเทศ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
5. ประเภทของเทคโนโลยสี ารสนเทศ สามารถแบ่งออกได้เปน็ 3 ประเภท ดงั น้ี 1. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เปน็ เคร่ืองมืออิเล็กทรอนกิ สท์ ี่ สามารถจดจาข้อมลู ต่าง ๆ และปฏิบัติตาม คาส่งั ที่บอก เพอื่ ให้คอมพวิ เตอร์ทางาน อย่างใดอย่างหนง่ึ ใหค้ อมพวิ เตอร์นั้น ซ่ึง ประกอบดว้ ย อปุ กรณต์ า่ ง ๆ ต่อเชื่อมกนั เรียกว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และ โปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือท่เี รียกกันวา่ ซอฟตแ์ วร์ (Software) อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
5. ประเภทของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 2. เทคโนโลยีทางด้านการ ส่อื สารคมนาคม 2. เทคโนโลยที างดา้ นการส่อื สารคมนาคม ใชใ้ นการติดต่อสอ่ื สารรับ/ส่งข้อมูลจาก ที่ไกล ๆ เปน็ การส่งของข้อมลู ระหวา่ ง คอมพิวเตอรห์ รอื เครอ่ื งมือที่อยู่หา่ งไกล กนั ซึ่งจะชว่ ยให้การเผยแพรข่ อ้ มลู หรือ สารสนเทศไปยงั ผูใ้ ช้ในแหลง่ ตา่ ง ๆ เป็นไปอยา่ งสะดวกรวดเร็ว อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
5. ประเภทของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 3.เทคโนโลยรี ะบบสือ่ สาร ระบบการสือ่ สารและเครอื ข่ายทเ่ี ป็น ส่วนเช่ือมในการแลกเปลี่ยนข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบของข้อมลู ดิจติ อล เช่น เครอื ขา่ ยโทรศัพทด์ จิ ิตอล ระบบสอ่ื สารเคเบิลใยแกว้ (Fiber Optic System) รวมถงึ เครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ ระบบ WAN (Wide Area Network) เช่น เครือขา่ ย Internet เปน็ ตน้ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
6. การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยี 2. การใชเ้ ทคโนโลยีในการสื่อสาร 1. การใชเ้ ทคโนโลยีในธุรกิจ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
6. การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยี 4. การใช้เทคโนโลยใี นการซ้อื สินค้าออนไลน์ 3. การใชเ้ ทคโนโลยเี พือ่ การศึกษา อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
6. การประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยี 6. การใชเ้ ทคโนโลยใี นธุรกจิ ธนาคาร 5. การใชเ้ ทคโนโลยีในการเกษตร อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
6. การประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยี 8. การใชเ้ ทคโนโลยใี นการควบคุมธรรมชาติ 7. การใชเ้ ทคโนโลยใี นการคมนาคมขนส่ง อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
6. การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยี 10 . เทคโนโลยกี ับการดารงชีวิตของมนุษย์ 9. การใชเ้ ทคโนโลยใี นสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
7. เทคโนโลยีในอนาคต 8. ระบบเครอื ข่าย (Networking System) 1. คอมพิวเตอร์ (Computer) 9 .การประชมุ ทางไกล (Teleconference) 2.ปญั ญาประดษิ ฐ์ (Artificial Intelligence: AI) 10. โทรทัศนต์ ามสายและผา่ นดาวเทยี ม 3. ระบบสารสนเทศสาหรบั ผบู้ ริหาร (Cable and Satellite Television) (Executive Information System: EIS) 11. เทคโนโลยมี ัลติมเี ดยี 4.การจดจาเสยี ง (Voice Recognition) (Multimedia Technology) 5. การแลกเปล่ยี นขอ้ มลู อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (Electronics Data Interchange : EDI) 12. การใชค้ อมพิวเตอร์ในการฝกึ อบรม 6. เส้นใยแก้วนาแสง (Fiber Optics) (Computer Based Training) 7. อนิ เตอร์เน็ต (Internet) 13. การใชค้ อมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ (Computer Aided Design: CAD) 14. การใชค้ อมพิวเตอร์ชว่ ยในการผลติ (Computer Aided Manufacturing: CAM) 15. ระบบสารสนเทศทางภมู ศิ าสตร์ (Geographic Information System: GIS) อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
หนว่ ยที่ 4 การเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพในองค์การ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
1. แนวคดิ เกี่ยวกบั การเพมิ่ ประสิทธภิ าพในองค์การ การเพิ่มประสิทธิภาพขององค์การเป็นเสมือนจุดมุ่งหมายหลักในการพัฒนา ทรัพยากรขององค์การทุกด้าน โดยเฉพาะทรัพยากรบุคคล ประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องของ การใช้ปัจจัยท่ีมีอยู่และกระบวนการในการปฏิบัติงาน โดยมีผลผลิตท่ีได้รับเป็นตัวกากับ การแสดง ประสิทธิภาพของการดาเนินงานใด ๆ อาจแสดงค่าในลักษณะการเปรียบเทียบ ระหว่างค่าใช้จ่ายในการลงทุนกับผลกาไรที่ได้รับ หรืออาจแสดงด้วยการบันทึกถึงลักษณะ การใช้เงิน วสั ดุ คน และเวลาในการปฏบิ ัติงานอย่างคมุ้ คา่ และประหยดั อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
2. ความสมั พันธ์ของประสิทธภิ าพและประสทิ ธิผล 1. ประสทิ ธิภาพ 01 1) ประหยัด (Economy) ได้แก่ ประหยัดต้นทุน (Cost) ประหยดั ทรัพยากร (Resources) และ ประหยัดเวลา (Time) 02 2) เสร็จทนั ตามกาหนดเวลา (Speed) ประสทิ ธภิ าพ (Efficiency) หมายถึง 03 3) คุณภาพ (Quality) โดยพิจารณาท้ังกระบวนการ กระบวนการวางแผนทมี่ ่งุ จะพฒั นา ตง้ั แต่ปจั จยั นาเข้า (Input) หรือวัตถุดิบ มีการคดั สรร ความสามารถขององคก์ าร เพอื่ ให้บรรลุ อย่างดี มกี ระบวนการดาเนินงาน กระบวนการผลติ วตั ถปุ ระสงค์ขององค์การและธารงไว้ (Process) ท่ดี ีและมผี ลผลิต (Output) ที่ดี ซ่ึงระดบั การปฏบิ ัตงิ านที่พอใจท่ีสุด อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
2. ความสมั พนั ธ์ของประสทิ ธภิ าพและประสิทธผิ ล 2. ประสทิ ธผิ ล 01 1) เปา้ หมายเชงิ ปรมิ าณ จะกาหนดชนิด ประเภท และจานวนของผลผลิต 02 2) เปา้ หมายเชงิ คุณภาพ จะแสดงถึงคณุ ค่า ของผลผลติ ทไ่ี ด้รับจากการดาเนินงานน้ัน ๆ ประสทิ ธผิ ล (Effectiveness)หมายถึง มงุ่ เน้นทจี่ ุดส้นิ สุดของกจิ กรรม การท่อี งค์การไดด้ าเนินงานใด ๆ โดยการ ใชท้ รพั ยากรตา่ ง ๆ จนเกิดผลสาเรจ็ บรรลุ 3) มตี ัวชวี้ ัด (Indicator) ท่ีชัดเจน 03ตามเปา้ หมายที่องคก์ ารตง้ั ไว้ Dr. Sirimon Naruemolsiri
2. ความสมั พนั ธ์ของประสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ล อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
3. วธิ ีการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพในองคก์ าร วิธีการเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพในองค์การมี 3 วิธี ดงั น้ี 01 02 03 การลดต้นทนุ การเพิ่มผลผลติ การปรับปรุงคุณภาพ (Cost Reduction) . อยา่ งต่อเน่ือง(Continuous อย่างตอ่ เนอ่ื ง Productivity (Continuous Quality Improvement) Improvement) วิธีการเพ่มิ ประสิทธิภาพในองคก์ ารเปน็ กระบวนการลดตน้ ทุนการผลิตและเพ่ิมคุณค่าให้กับ ผลิตภณั ฑ์ ซึ่งจะตอ้ งคานึงถึงปจั จัยต่าง ๆ ที่มีอทิ ธพิ ลต่อการเพ่มิ ผลผลิต บุคลากร ทรัพยากร ท่ใี ช้ รวมทง้ั คา่ นิยมและวฒั นธรรมองคก์ าร . อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
4. องคป์ ระกอบของการเพ่ิมประสิทธิภาพในองคก์ าร องค์ประกอบตา่ ง ๆ ที่มีผลตอ่ การเพ่มิ ประสิทธภิ าพในองคก์ าร อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
5. หลักการเพิ่มประสทิ ธภิ าพในองคก์ าร อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
6. ปัจจัยทีส่ ่งผลต่อประสทิ ธภิ าพขององค์การ ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ัตงิ านเปน็ ความสามารถในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ และ ความรบั ผิดชอบของบคุ คลากรให้สาเร็จลุล่วงอย่างถูกตอ้ ง รวดเร็ว และทันตามกาหนดเวลา โดยการใช้ความรู้ ความสามารถ และทักษะ ตลอดจนทรัพยากรทีม่ อี ยู่ให้เกิดประโยชนส์ งู สุด เกดิ ความพึงพอใจมากท่ีสุดและเพือ่ ใหบ้ รรลุวัตถปุ ระสงคข์ ององค์การ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
7. การเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพในการทางาน การเพิ่มประสทิ ธิภาพในการทางานน้ัน สามารถกระทาได้หลากหลายรูปแบบ ซึง่ ทุกคนสามารถนาไปปฏบิ ัตเิ พอ่ื พฒั นาตนเองได้ (สิรวิ ดี ชเู ชิด, 2563) ดังน้ี อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
8. องค์ประกอบของการเพิ่มประสิทธภิ าพการทางาน องค์ประกอบของ การเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพ การทางานของ องค์การเป็นการ ทางานของบคุ คล ใหส้ าเรจ็ โดยสูญเวลา และเสียพลังงานนอ้ ย ทส่ี ุด ไดแ้ ก่ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
หนว่ ยท่ี 5 แนวทางการเพิ่มผลิตภาพในองค์การ อ.กฤษฐนชนม์ หาระไชย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132