บนั ทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ กศน.ตําบลศรโี คตร คร้งั ที่ 5 วัน/เดือน/ปีวนั ท่ี วนั ท่ี 16 เดอื น มถิ ุนายน พ.ศ. 2565 ครผู ู้สอน นายปรเรศ นามโคตร ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พ้นื ฐาน รายวิชา คณิตศาสตร์ รหสั วชิ า พค31001 จํานวนผเู้ รยี นทง้ั หมด ............... คนเข้าเรียน…………………คน ไมเ่ ข้าเรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลงั เรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกว่ากอ่ นเรยี นจํานวน ........ คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ้ ยกว่าก่อนเรียนจาํ นวน ......... คนคิดเป็นร้อยละ............ 2. เนื้อหา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................................... .................... .............................................................................................................. ..................................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ................................................................................................................................................................ ... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่ือ.........................................................(ผูบ้ ันทกึ ) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตําบล วันท.่ี ............../.................../............... ความเห็น/ข้อเสนอของผบู้ ริหาร ................................................................................................................................. .................................. ................................................................................................ ................................................................... ลงช่ือ.................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ าํ นวยการ กศน.อําเภอจตรุ พกั ตรพิมาน
ใบความรู้ท่ี1 เรือ่ ง สมบัติ สมบัติการไมเทากนั ใหผูเรียนทบทวนเร่อื งสมบัตกิ ารเทากนั ในเร่อื งทผ่ี านมาเพื่อเปนความรูเพิ่มเตมิ สวน ใน เร่อื งน้ีจะเนนเรอ่ื งสมบตั ิการไมเทากันเทานั้น ประโยคคณิตศาสตรจะใชสัญลกั ษณ > , < , ≥ , ≤ , ≠ แทนการ ไมเทากัน เรียกการไมเทากัน วา “อสมการ” (Inequalities) บทนยิ าม a < b หมายถงึ a นอยกวา b a > b หมายถึง a มากกวา b กาํ หนดให a, b, c เปนจํานวนจรงิ ใด ๆ 1. สมบตั ิการถายทอด ถา a > b และ b > c แลว a > c 2. สมบัตกิ ารบวกดวยจาํ นวนที่เทากนั ถา a > b แลว a + c > b+ c 3. จํานวนจรงิ บวกและจํานวนจรงิ ลบ a เปนจาํ นวนจริงบวก กต็ อเมือ่ a > 0 a เปนจาํ นวนจรงิ ลบ ก็ตอเมื่อ a < 0 4. สมบตั ิการคูณดวยจาํ นวนเทากนั ท่ีไมเทากับศนู ย กรณีที่ 1 ถา a > b และ c > 0แลว ac > bc กรณที ี่ 2 ถา a > b และ c < 0แลว ac < bc 5. สมบัติการตัดออกสําหรับการบวก ถา a + c > b + c แลว a > b 6. สมบัตกิ ารตัดออกสําหรับการคณู กรณที ่ี 1 ถา ac > bc และ c > 0แลว a > b กรณีท่ี 2 ถา ac > bc และ c < 0แลว a < b บทนิยาม a ≤ b หมายถงึ a นอยกวาหรือเทากับ b a ≥ b หมายถงึ a มากกวาหรือเทากับ b a < b < c หมายถงึ a < b และ b < c a ≤ b ≤ c หมายถงึ a ≤ b และ b ≤ c
แบบฝกหัดท่ี 1 1. ใหผเู รียนบอกสมบตั กิ ารไมเทากัน (เมือ่ ตวั แปรเปนจาํ นวนจรงิ ใดๆ) 1. ถา x 3 แลว 2x 6 ……………………………………………………………….. 2. ถา y7 แลว -2y < 14 ……………………………………………………………….. 3. ถา x+1 6 แลว x+2 7 ………………………………………………………….. 4. ถา y+3 5 แลว y 2 ……………………………………………………………… 5. ถา x 7 และ 7 y แลว xy ………………………………………………………. 6. ถา a 0 แลว a+1 0 +1 …………………………………………………………. 7. ถา b 0 แลว b + (-2) 0+(-2) …………………………………………………… 8. ถา c -2 แลว (-1)c (-1)(-2) …………………………………………………….
แผนการจัดการเรยี นรู้รายวิชาคณติ ศาสตร์ คร้งั ท่ี 6 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สัปดาหท์ ่ี 7 วันท่ี 23 เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา คณิตศาสตร์ รหัสวชิ า พค31001 จาํ นวน 5 หน่วยกิต 3. มาตรฐานท่ี 2.2 มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะพ้ืนฐานเก่ยี วกบั คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 4. หนว่ ยการเรียนร/ู้ เร่อื ง เซต 5. สาระสําคญั เซต โดยท่ัวไปหมายถึง กลุม่ คน สตั ว์ สิ่งของ ท่ีรวมกันเป็นกลุ่ม โดยมสี มบตั บิ างอยา่ งร่วมกนั และบรรดาสงิ่ ทงั้ หลายท่ีอยู่ในเซตเราเรยี กว่า “ สมาชิก” ในการศึกษาเรื่องเซตจะประกอบไปดว้ ย เซต เอกภพสัมพัทธ์ สบั เซต และเพาเวอรเ์ ซต 6. เนื้อหา เซต ความหมายของเซต และการเขยี นเซต 7. จุดประสงค์การเรยี นรู้/ผลการเรียนรูท้ ่คี าดหวงั (ดูจากผังการออกข้อสอบ) 1. อธบิ ายความหมายเกี่ยวกับเซต 2. การดาํ เนนิ การของเซต 8. การบรู ณาการกบั หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลักการ การเช่ือมโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ - มคี วามรู้เร่ืองเซต ความหมายของเซต และการเขียนเซต มคี วามสามารถในการเช่อื มโยงที่จะการนาํ ความรู้ เร่ืองเซตที่เรยี นไปประยุกต์ใชใ้ นชีวติ ประจาํ วัน คุณธรรม - มคี วามขยัน - มคี วามสามคั คีในการทาํ งานร่วมกนั - มคี วามตงั้ ใจและมุง่ มนั่ พอประมาณ - รูจ้ ักประเมินความรู้ ความสามารถของตนเองและเพอื่ น - จดั สรรเวลาในการ ทาํ กจิ กรรม มเี หตุผล - สามารถใช้ความรูเ้ รือ่ งเซตในการ ทํากิจกรรมและแบบฝึกหัดได้ - นาํ ความร้เู ร่ืองเซตไปประยกุ ต์ใช้ ในการดาํ เนนิ ชวี ติ ประจําวนั มภี มู ิคมุ้ กัน - มกี ารวางแผนในการปฏบิ ตั ิ กิจกรรม - สามารถนาํ ความรู้ไปปรบั ให้เขา้ กับ การใชช้ วี ิตประจําวันไดอ้ ยา่ งเหมาะสม วตั ถุ - ไดร้ ับความรู้เกี่ยวกับ เรื่องเซต - ทกั ษะการคิด สงั คม - ทกั ษะการรว่ มกนั ตอบ คาํ ถามและแสดงความ คิดเห็น
- ผเู้ รียนได้ช่วยเหลอื ซ่ึงกนั และกัน ส่งิ แวดลอ้ ม - รู้จกั การใชส้ ือ่ และ แหล่งเรยี นรู้อย่าง คมุ้ คา่ และคมุ้ เวลา วัฒนธรรม - ดาํ รงตนอยูใ่ น สังคมอยา่ งมีความสุข - มีทกั ษะในการ คํานวณและการนาํ ไป ใช้ได้อยา่ งเหมาะสม 9. กระบวนการจดั การเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ข้นั ท่ี 1 กําหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) ครแู ละผู้เรียนร่วมกนั กาํ หนดสภาพปัญหา ความต้องการในการเรยี นรูเ้ รอ่ื งเซต ความหมายของ เซต และการเขียนเซต ขั้นท่ี 2 แสวงหาขอ้ มูลและจดั การเรยี นรู้ (N : New ways of learning) ให้ผู้เรยี นศกึ ษา เร่ืองเซต จากหนังสอื เรยี นสาระความรพู้ ื้นฐาน รายวิชาคณิตศาสตร์ ระดับ มธั ยมศึกษาตอนปลาย รหสั พค31001 ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ตั ิและการนําไปใช้ (I : Implementation) 1. ครูให้ผู้เรยี นระดมความคดิ ถอดบทเรียนใหส้ อดคลอ้ งกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง 2. ครูและผู้เรยี นรว่ มกนั แลกเปลี่ยนเรียนรูแ้ ละสรุปความรู้เบ้ืองตน้ ท่ีได้จากแบบสอบถาม เพือ่ นาํ มาวิเคราะหส์ รุปผล และจัดทาํ รายนาํ เสนอ ขั้นท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ใหผ้ ้เู รียนออกมาหน้าชัน้ เรยี น เพอื่ นําเสนอการถอดบทเรียนใหส้ อดคล้องกบั หลัก เศรษฐกจิ พอเพยี ง จากน้ันครใู ห้คะแนน 2. แบบทดสอบหลงั เรยี น 10. ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ - หนงั สอื แบบเรยี น - แบบทดสอบก่อนเรียน - ส่อื อนิ เตอร์เน็ต 11. การวัดและประเมินผล 11.1 วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทํางานร่วมกับผ้อู ื่นของนกั ศึกษารายบุคคล - ใบงาน 11.2 เคร่อื งมอื วัดและประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทํางานร่วมกบั ผอู้ ืน่ ของนักศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานรว่ มกบั ผูอ้ ืน่ ของนักศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช้ และควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน
กจิ กรรมเสนอแนะ ..................................................................................................................... ............................................................... ............................................................................................................................. ........................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครผู สู้ อน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาํ บล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …...................................................................................... ............................................................................ ลงช่ือ………………………………………………………ผอู้ นุมตั แิ ผน (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ้ ํานวยการ กศน.อาํ เภอจตรุ พกั ตรพมิ าน
บันทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ กศน.ตาบลศรีโคตร ครง้ั ที่ 6 วนั /เดือน/ปีวนั ที่ วันที่ 23 เดือน มิถนุ ายน พ.ศ. 2565 ครผู สู้ อนนายปรเรศ นามโคตร ระดับ มธั ยมศึกษาตอนปลาย เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พนื้ ฐาน รายวชิ า คณติ ศาสตร์ รหัสวิชา พค31001 จาํ นวนนกั ศกึ ษาท้ังหมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรกู้ ารประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกว่ากอ่ นเรยี นจํานวน ........ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน นอ้ ยกว่าก่อนเรียนจาํ นวน ......... คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ 2. เน้อื หา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... ......................................................................................................................................................... .......... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................... .................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... .................................................................................... ............................................................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชือ่ .........................................................(ผบู้ ันทกึ ) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตําบล วนั ท.่ี ........./................/............. ความเหน็ /ข้อเสนอของผ้บู รหิ าร ......................................................................................................... .......................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่อื .................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อาํ นวยการ กศน.อําเภอจตรุ พักตรพมิ าน
ใบความรู้ที่ 1 เรื่อง เซต เซต (Sets) 1.1 ความหมายของเซต เซต หมายถึง กลุมสงิ่ ของตาง ๆ ไมวาจะเปน คน สัตว สิ่งของหรอื นิพจนทางคณติ ศาสตร ซึง่ ระบสุ มาชกิ ในกลุมได ยกตัวอยาง เซต เชน 1) เซตของวิทยาลยั เทคนิคในประเทศไทย 2) เซตของพยญั ชนะในคําวา “คณุ ธรรม” 3) เซตของจํานวนเต็ม 4) เซตของโรงเรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษาในจังหวัดสกลนคร เรียกสง่ิ ตาง ๆ ท่ีอยูในเซตวา “สมาชกิ ” ( Element ) ของเซตนัน้ เชน 1) วิทยาลัยเทคนิคดอนเมืองเปนสมาชกิ เซตวทิ ยาลัยเทคนิคในประเทศไทย 2) “ร” เปนสมาชิกเซตพยัญชนะในคําวา “คณุ ธรรม” 3) 5 เปนสมาชิกของจํานวนเต็ม 4) โรงเรยี นดงมะไฟวิทยาเปนสมาชิกเซตโรงเรียนระดบั มัธยมศึกษาในจังหวัด สกลนคร วธิ กี ารเขยี นเซต การเขียนเซตเขยี นได 2แบบ 1. แบบแจกแจงสมาชกิ ของเซต โดยเขียนสมาชกิ ทุกตัวของเซตลงในเครื่องหมายวงเล็บ ปกกาและใชเคร่ืองหมาย จลุ ภาค(,) คัน่ ระหวางสมาชกิ แตละตวั นั้น ตัวอยางเชน A = {1, 2, 3, 4, 5} B = { a, e, i, o, u} C = {...,-2,-1,0,1,2,...} 2. แบบบอกเงื่อนไขของสมาชกิ ในเซต โดยใชตวั แปรแทนสมาชิกของเซต และบอก สมบตั ขิ องสมาชกิ ในรปู ของตัว แปร ตัวอยางเชน A = { x | x เปนจาํ นวนเตม็ บวกทมี่ คี านอยกวาหรือเทากับ 5} B = { x | x เปนสระในภาษาอังกฤษ} C = {x |x เปนจาํ นวนเต็ม} สัญลกั ษณเซต โดยทว่ั ๆ ไป การเขยี นเซตหรือการเรียกชอ่ื ของเซตจะใชอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ ใหญไดแก A , B , C , . . . , Y , Z เปนตน ทงั้ น้ีเพอ่ื ความสะดวกในการอางอิงเมื่อเขียนหรือกลาวถึงเซต นัน้ ๆ ตอไป สาํ หรับ สมาชิกในเซตจะเขยี นโดยใชอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพเลก็ มสี ัญลักษณอีกอยางหน่ึงทใ่ี ชอยูเสมอ ๆในเร่อื งเซต คือสญั ลักษณ ( Epsilon) แทนความหมายวา อยใู น หรือ เปนสมาชกิ เชน กาํ หนดให เซต A มีสมาชกิ คือ 2 , 3 , 4 , 8 , 10 ดงั นัน้ 2 เปนสมาชกิ ของ A หรอื อยูใน A เขยี นแทนดวย 2 A 10 เปนสมาชิกของ A หรืออยูใน A เขียนแทนดวย 10 A ใชสัญลักษณ แทนความหมาย “ไมอยู หรือไมเปนสมาชิกของเซต เชน 5 ไมเปนสมาชิกของเซต A เขียนแทนดวย 5 A 7 ไมเปนสมาชกิ ของเซต A เขียนแทนดวย 7 A ชนดิ ของเซต
เซตวาง ( Empty Set or Null Set ) บทนิยาม เซตวาง คอื เซตท่ีไมมสี มาชิก ใชสัญลักษณ หรอื { } แทนเซตวาง ( เปนอักษรกรกี อานวา phi) ตัวอยาง เชน A = { x |x เปนช่อื ทะเลทรายในประเทศไทย } ดังนนั้ A เปนเซตวาง เนอ่ื งจากประเทศไทยไมมที ะเลทราย B = { x | x I + และ x + 2 = x } ดงั นน้ั B เปนเซตวาง เน่อื งจากไมมีจํานวนเต็มบวกท่ีนาํ มาบวกกบั 2 แลวได ตวั มันเอง เซต B จึงไมมีสมาชิก เซตจาํ กดั ( Finite Set ) บทนิยาม เซตจํากัด คือ เซตที่สามารถระบจุ ํานวนสมาชิกในเซตได ตวั อยางเชน A = { 1 , 2 , {3} } มีจาํ นวนสมาชกิ 3 ตัว หรือ n(A) = 3 B = { x | x เปนจาํ นวนเต็มและ 1 ≤ x ≤ 100 } มีจํานวนสมาชิก 100 ตวั เซตอนนั ต Infinite Set ) บทนยิ าม เซตอนนั ต คือ เซตทีไ่ มใชเซตจํากัด ( หรือเซตท่ีมีจํานวนสมาชกิ ไมจํากัด น่ันคือ ไมสามารถนบั จํานวน สมาชกิ ไดแนนอน ) ตวั อยางเชน A = { -1 , -2 , -3 , … } B = { x |x = 2n เมอื่ n เปนจาํ นวนนบั } C = { x | x เปนจาํ นวนจรงิ } T = { x | x เปนจํานวนนับ } เซตที่เทากนั ( Equal Set ) เซตสองเซตจะเทากนั ก็ตอเม่ือทง้ั สองเซตมีสมาชิกอยางเดยี วกัน และจาํ นวนเทากนั บทนยิ าม เซต A เทากับเซต B เขยี นแทนดวย A = B หมายความวา สมาชิกทุกตวั ของเซต A เปนสมาชกิ ทุกตวั ของเซต B และสมาชิกของเซต B เปนสมาชิกทุกตัวของเซต A เซตท่ีเทียบเทากนั ( Equivalentl Sets ) เซตท่เี ทยี บเทากนั คือเซตท่ีมีจาํ นวนสมาชิกเทากนั และสมาชกิ ของเชตจับคูกนั ไดพอดี แบบหน่ึงตอแบบหน่ึง สญั ลักษณ เชต A เทียบเทากับเชต B แทนดวย A ↔ B บทนยิ าม เซต A เทียบเทากบั เซต B เขียนแทนดวย A ~ B หรอื A ↔ B หมายความวา สมาชิกของ A และ สมาชกิ ของ B สามารถจบั คหู นึง่ ตอหนง่ึ ไดพอด
แบบฝกหัดท่ี 1 1. จงเขียนเซตตอไปนแี้ บบแจกแจงสมาชกิ 1) เซตของจังหวดั ในประเทศไทยท่ีมชี อื่ ขึ้นตนดวยพยัญชนะ “ส” 2) เซตของสระในภาษาอังกฤษ 3) เซตของจํานวนเต็มบวกที่มีสามหลกั 4) เซตของจาํ นวนคบู วกที่มคี านอยกวา 20 5) เซตของจํานวนเต็มลบทม่ี ีคานอยกวา –120 6) { x|x เปนจํานวนเตม็ ทม่ี ากกวา 5 และนอยกวา 15 } 7) { x|x เปนจํานวนเต็มทอ่ี ยูระหวาง 0 กบั 0 } 2. จงบอกจํานวนสมาชกิ ของเซตตอไปนี้ 1) A = {3456} 2) B = {a,b,c,de,fg,hij,} 3) C = { x|x เปนจาํ นวนเต็มบวกท่อี ยูระหวาง 10 ถงึ 35 } 4) D = { x|x เปนจาํ นวนเตม็ บวกท่นี อยกวา9 } 3. จงเขยี นเซตตอไปนแ้ี บบบอกเง่ือนไข 1) K = { 2,4,6,8} 2) P = { 1,2,3,...} 3) H = { 1,4,9,16,25,...} 4. จงพิจารณาเซตตอไปน้ี เปนเซตวางหรือเซตจาํ กดั หรอื เซตอนนั ต 1) เซตของสระในภาษาไทย 2) เซตของจํานวนเต็มที่อยูระหวาง 21 และ 300 3) A = { x | x เปนจาํ นวนเต็มและ x 0 } 4) B = { x | x เปนจํานวนเตม็ คูทน่ี อยกวา 2 } 5) C = { x | x = 9 และ x –3 = 5} 6) A = { x | x เปนจาํ นวนนับทน่ี อยกวา 1 } 7) E = { x | x เปนจํานวนเฉพาะ 1 x 3 } 8) F = { x | x เปนจํานวนเต็ม 4 x 5 } 9) B = { x | x เปนจํานวนนับ x 2 + 3x + 2 = 0 } 10) D = { x | x เปนจํานวนเต็มท่หี ารดวย 5 ลงตัว }
แผนการจดั การเรียนรู้รายวิชาคณติ ศาสตร์ ครั้งท่ี 7 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สัปดาห์ที่ 8 วันท่ี 30 เดอื น มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า คณติ ศาสตร์ รหัสวชิ า พค31001 จํานวน 5 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี 2.2 มคี วามรู้ ความเข้าใจ และทักษะพน้ื ฐานเกี่ยวกับคณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 4. หนว่ ยการเรียนรู้/เร่ือง ความนา่ จะเป็น 5. สาระสําคัญ ความนาจะเปน คือ จาํ นวนท่ีแสดงใหทราบวาเหตุการณใดเหตุการณหนง่ึ มีโอกาสเกิดข้ึนมาก หรือ นอยเพยี งใด ส่งิ ท่ีจาํ เปนตองทราบทําความเขาใจ คือ - การทดลองสุม (Random Experiment) - แซมเปลสเปซ (Sample Space) - เหตุการณ Event) 6. เน้ือหา ความนาจะเปนของเหตุการณ การนําความนาจะเปนไปใช้ 7. จุดประสงค์การเรยี นร/ู้ ผลการเรียนร้ทู ่คี าดหวงั (ดูจากผังการออกขอ้ สอบ) 1. อธบิ ายความนาจะเปนของเหตุการณ 2. การการนําความนาจะเปนไปใช้ 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลกั การ การเช่ือมโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ - มีความรเู้ รือ่ งความนาจะเปนของเหตุการณ การนําความนาจะเปนไปใช้ มีความสามารถในการเชอ่ื มโยงทีจ่ ะการนําความรู้ เรอื่ งความนาจะเปนท่ีเรยี นไปประยกุ ต์ใช้ในชีวิตประจําวัน คุณธรรม - มคี วามขยนั - มคี วามสามัคคีในการทาํ งานร่วมกนั - มีความต้ังใจและมุ่งม่นั พอประมาณ - รจู้ กั ประเมนิ ความรู้ ความสามารถของตนเองและเพ่ือน - จัดสรรเวลาในการ ทาํ กิจกรรม มเี หตุผล - สามารถใช้ความรูเ้ ร่ืองความนาจะเปนในการ ทํากจิ กรรมและแบบฝึกหัดได้ - นาํ ความรเู้ ร่อื งความนาจะเปนไปประยุกต์ใช้ ในการดาํ เนนิ ชวี ติ ประจาํ วัน มภี มู คิ ้มุ กนั - มกี ารวางแผนในการปฏบิ ตั ิ กิจกรรม - สามารถนาํ ความรู้ไปปรับให้เขา้ กบั การใชช้ ีวิตประจําวันได้อย่างเหมาะสม วัตถุ - ไดร้ บั ความรูเ้ ก่ียวกับ เร่อื งความนาจะเปน - ทกั ษะการคิด
สังคม - ทกั ษะการรว่ มกันตอบ คาํ ถามและแสดงความ คิดเห็น - ผเู้ รียนไดช้ ่วยเหลอื ซ่ึงกันและกัน ส่งิ แวดล้อม - ร้จู กั การใช้สื่อและ แหลง่ เรียนรู้อยา่ ง คุ้มค่าและคุ้มเวลา วัฒนธรรม - ดาํ รงตนอย่ใู น สงั คมอย่างมีความสุข - มีทกั ษะในการ คาํ นวณและการนําไป ใชไ้ ด้อยา่ งเหมาะสม 9. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ท่ี 1 กําหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) - ครูและผูเ้ รยี นรว่ มกนั กําหนดสภาพปญั หา ความต้องการในการเรียนรู้เร่ืองความนาจะเปนของ เหตุการณ การนาํ ความนาจะเปนไปใช้ ขนั้ ท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) - ใหผ้ ้เู รียนศึกษา เรอ่ื งความนาจะเปนของเหตุการณ การนําความนาจะเปนไปใช้ จาก ใบความรูแ้ ละหนังสอื เรียนสาระความรู้พนื้ ฐาน รายวชิ าคณิตศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รหัส พค31001 ข้ันที่ 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนําไปใช้ (I : Implementation) 1. ครใู หผ้ ูเ้ รยี นระดมความคิด ถอดบทเรียนใหส้ อดคล้องกบั หลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. ครแู ละผู้เรยี นรว่ มกนั แลกเปล่ียนเรียนรู้และสรปุ ความร้เู บ้ืองตน้ ที่ได้จากแบบสอบถาม เพ่อื นํามาวิเคราะห์สรุปผล และจดั ทํารายนําเสนอ ขน้ั ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ใหผ้ เู้ รียนออกมาหน้าชัน้ เรยี น เพ่ือนาํ เสนอการถอดบทเรยี นใหส้ อดคล้องกบั หลัก เศรษฐกิจพอเพยี ง จากนน้ั ครูให้คะแนน 2. แบบทดสอบหลังเรยี น 10. ส่อื /แหลง่ เรยี นรู้ - หนงั สอื แบบเรียน - แบบทดสอบก่อนเรยี น - สือ่ อินเตอรเ์ น็ต 11. การวัดและประเมนิ ผล 11.1 วิธกี ารวดั และประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทํางานร่วมกบั ผ้อู ืน่ ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน 11.2 เครอ่ื งมอื วดั และประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ืน่ ของนกั ศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานร่วมกับผู้อน่ื ของนักศึกษารายบุคคล ระดับดี พอใช้ และควรปรับปรงุ
- ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ................................................................................................................................. ................................................... ........................................................................................................................................................................ ลงชื่อ…………………………………………….ครูผู้สอน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตําบล วนั ที่............/................../............... ขอ้ เสนอแนะของผ้บู ริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ….................................................................................................................................... .............................. ลงช่ือ………………………………………………………ผู้อนุมัตแิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ ํานวยการ กศน.อาํ เภอจตรุ พักตรพิมาน
บันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร ครั้งที่ 7 วัน/เดือน/ปีวันท่ี วันท่ี 30 เดอื น มิถุนายน พ.ศ. 2565 ครผู ูส้ อนนายปรเรศ นามโคตร ระดับ มธั ยมศึกษาตอนปลาย เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พืน้ ฐาน รายวิชา คณิตศาสตร์ รหัสวิชา พค31001 จาํ นวนนักศกึ ษาท้งั หมด ............... คนเข้าเรียน…………………คน ไม่เข้าเรียน……………………….คน 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลงั เรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่ากอ่ นเรยี นจาํ นวน ........ คนคิดเปน็ ร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ้ ยกว่าก่อนเรียนจาํ นวน ......... คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ 2. เนื้อหา/สาระ/รายวิชา ........................................................................................................................ ........................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน .................................................................................................................................................... ............... ................................................................................................................... ................................................ 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอ่ื .........................................................(ผบู้ ันทึก) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาํ บล วันที่ .........../................/................ ความเห็น/ข้อเสนอของผูบ้ รหิ าร ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ ํานวยการ กศน.อาํ เภอจตุรพกั ตรพิมาน
ใบความรู้ท่ี 1 เร่ือง ความนาจะเปนของเหตุการณ ในชวี ติ ประจาวนั ความนาจะเปนของเหตกุ ารณ ในชวี ติ ประจาํ วนั มักพบกับการคาดคะเน หรอื การประมาณเหตกุ ารณ หรือโอกาส เพอ่ื ใชในการ ตัดสินใจ โอกาสท่ีเหตกุ ารณนัน้ จะเกิดไดมีมากนอยเพยี งใด ขึน้ อยูกบั อัตราสวนระหวางจํานวน สมาชิก ของเหตุการณนน้ั กับจํานวนครง้ั ของการทํางานผูเรียนจงึ ตองทราบ และทําความเขาใจ กับคาํ เหลาน้ี 1. การทดลองสุม (Random Experiment) คือ การทดลองทไี่ มสามารถระบุผลลพั ธไดอยางแนนอน แต บอกไดวาผลลัพธของการทดลองนั้นมีโอกาสเกิดอะไรขน้ึ ไดบาง ตัวอยางท่ี 1 การทดลองโยนลูกเตา 1 ลกู 1 ครงั้ แตมที่จะเกิดขน้ึ ได คือ แตม 1, 2, 3, 4, 5 หรือ 6 ซ่ึงไม สามารถบอกไดวาจะเปนแตมอะไรใน 6 แตมนี้ ดังนั้นผลลพั ธทงั้ หมดทจี่ ะเกิดข้ึนคอื แตม 1, 2, 3, 4, 5, 6 2. แซมเปลสเปซ (Sample Space ) เปนเซตทม่ี สี มาชิกประกอบดวยสิง่ ท่ตี องการ ท้งั หมด จากการ ทดลองอยา งใดอยางหน่งึ ( บางคร้ังเรียกวา Universal Set ) เขียนแทนดวย S เชน ตวั อยางท่ี4 ในการโยนลกู เตาถาตองการดูวาหนาอะไรจะขึ้นมาจะได ผลลพั ธทอี่ าจจะเกิดขึน้ ไดคือ ลูกเตาข้นึ แตม 1 หรอื 2 หรือ 3 หรือ 4 หรอื 5 หรอื 6 ดังน้นั แซมเปลสเปซท่ไี ด คือ S = 1, 2, 3, 4, 5, 6 ตวั อยางท่ี 5 จากการทดลองสุมโดยการทดลองทอดลูกเตา 2ลกู 1. จงหาแซมเปลสเปซของแตมของลกู เตาทห่ี งายข้นึ วิธีทํา 1. เนือ่ งจากโจทยสนใจแตมของลกู เตาท่หี งายขึ้น ดงั นนั้ เราตองเขยี นแตมของลูกเตาทีม่ โี อกาส ทีจ่ ะหงาย ขน้ึ มาทง้ั หมด และเพื่อความสะดวกให a ,b) แทนผลลัพธท่ีอาจจะเกิดขึน้ โดยที่ a แทนแตมท่ีหงายขน้ึ ของลูกเตาลกู แรก b แทนแตมทห่ี งายขึ้นของลกู เตาลกู ทสี่ อง ดังน้นั แซมเปลสเปซของการทดลองสุมคือ S = {(1,1),(1,2),(1,3),(1,4),(1,5),(1,6), (2,1),(2,2),(2,3),(2,4),(2,5),(2,6), (3,1),(3,2),(3,3),(3,4),(3,5),(3,6), (4,1),(4,2),(4,3),(4,4),(4,5),(4,6), (5,1),(5,2),(5,3),(5,4),(5,5),(5,6), (6,1),(6,2),(6,3),(6,4),(6,5),(6,6)} 3. เหตุการณ event) คือ เซตทีเ่ ปนสบั เซตของ Sample Space หรอื เหตกุ ารณทเี่ ราสนใจ จากการทดลองสุม ตัวอยางที่ 7 ในการโยนลูกเตา1ลกู 1 คร้งั ถาผลลพั ธทส่ี นใจคอื จํานวนแตมท่ไี ด จะได S = {1, 2, 3, 4, 5, 6} ถาให E1 เปนเหตุการณที่ไดแตมซ่ึงหารดวย3 ลงตวั จะไดE1 = {3, 6} E2 เปนเหตกุ ารณที่ไดแตมมากกวา2 จะไดE2 = {3, 4, 5, 6} ตวั อยางที่ 8 ถุงใบหนง่ึ มลี กู บอลสขี าว3ลูก สแี ดง2ลกู หยิบลกู บอลออกจากถุง2ลกู จงหา
1.แซมเปลสเปซของสขี องลูกบอลและเหตุการณท่ีจะไดลกู บอลสขี าว 2.แซมเปลสเปซของลูกบอลท่ีหยบิ มาไดและเหตุการณท่จี ะไดลูกบอลเปนสขี าว 1 ลูก สีแดง 1 ลูก การนําความนาจะเปนไปใช การนําความนาจะเปนไปใช ตองการใหผูทศี่ ึกษาทราบวาเหตุการณตางๆนัน้ มโี อกาส จะเกิดขนึ้ มาก หรือนอยเพยี งใด เพื่อชวยในการประกอบการตดั สนิ ใจ เชน ตัวอยางท่ี 1 ไพสาํ รับหนงึ่ มี52ใบ แบงเปน 2 สี 4 ชนิด คอื สีแดงไดแกโพแดงกับขาวหลามตัด สีดาํ ไดแก โพดํา กบั ดอกจิก แตละชนิดมี13 ใบ จงหาความนาจะเปนท่หี ยบิ มา 1 ใบแลวไดโพดาํ หรือสี แดง วิธที าํ S = ไพทั้งหมดมี52 ใบ หยิบมาทลี ะ 1 ใบจะได52 วธิ ี
แบบฝกหัดที่ 1 เรื่อง ความนาจะเปนของเหตกุ ารณ ในชวี ติ ประจาวนั 1. จากการทดลองสุมตอไปนี้ จงเขยี นแซมเปลสเปซและเหตุการณทส่ี นใจในการทดลองน้ันๆ (1) ไดหัวสองเหรียญจากการโยนเหรยี ญสองอนั หน่ึงคร้งั (2) ไดผลรวมของแตมบนหนาลกู เตาท้ังสองเปน 2 หรอื 6 จากการโยนลกู เตาสองลกู หนงึ่ ครั้ง (3) หยบิ ไดสลากหมายเลข 5 หรือ 6 หรือ 7 หรือ 8 จากสลาก 10 ใบซ่งึ เขยี นหมายเลข 1 ถงึ 10 กํากบั ไว (4) ไดนักเรยี นท่ถี นัดมือซายในหองเรียนท่ีทานเรยี นอยู (5) ไดสลากทมี่ รี างวัลจากการจับสลากที่ประกอบดวยสลากที่มรี างวลั 3 ใบ และไมมี รางวลั 7 ใบ (6) ไดคําตอบจากครอบครัว 3 ครอบครวั วามจี กั รเย็บผาใชทั้งสามครอบครัว (7) ไดลกู บอลสขี าว 2 ลูก สดี ํา 1 ลกู ในการหยบิ ลกู บอล 3 ลูก จากกลองซง่ึ บรรจลุ ูกบอลสี ขาว 3 ลกู และสีดํา 2 ลกู (8) ไดแตมทเี่ หมือนกนั หรือไดแตม 2 จากลูกเตาลกู ใดลูกหนึง่ ในการทอดลูกเตาพรอมกัน สองลูก (9) ไดหวั และแตมท่ีมากกวา 4 จากการโยนเหรยี ญหน่งึ เหรียญและทอดลกู เตาหน่งึ ลกู หนึง่ คร้งั (10) ไดสที ่ชี อบคือ สีฟาหรือสชี มพจู ากการสอบถามนางสาวสุชาดาถงึ สีของกระดาษ เชด็ หนาทช่ี อบสองสจี ากสี ท้งั หมด 5 สี คอื ขาว ฟา ชมพู เขียว และเหลอื ง 2. ทอดลูกเตา 2 ลกู สองคร้ัง ความนาจะเปนทีจ่ ะไดแตมรวมเปน 7 ในครง้ั แรกและไดแตมรวมเปน 10 ในครั้งท่ี 2 เทากับเทาใด ......................................................................................................................................... .................... .............................................................................................................. ............................................... 3. ชางกอสรางกลุมหนงึ่ มี 10 คน ประกอบดวย ชางปูน 6 คน และชางไม 4 คน ถาตองการเลือกชาง 7 คน จา กกลุมน้ี ความนาจะเปนทจี่ ะไดชางปูน 4 คน และชางไม 3 คน เทากับเทาใด .................................................................................... ......................................................................... ............................................................................................................................. ................................
แผนการจัดการเรยี นรายวชิ าวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 8 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สปั ดาหท์ ี่ 9 วนั ที่ 7 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. 2. วชิ า วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว31001 จาํ นวน 5 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี ๒.๒ มคี วามรู้ความเขา้ ใจ ทักษะพื้นฐานเก่ียวกบั คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. หน่วยการเรยี นร/ู้ เร่ือง ธรรมชาติทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ 5. สาระสาคัญ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะ และเหน็ คณุ คําเกย่ี วกับกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี ส่งิ มชี วี ติ ระบบนิเวศ ทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม ในท๎องถิน่ และประเทศ สาร แรง พลงั งาน กระบวนการ เปลย่ี นแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มจี ติ วทิ ยาศาสตร์และนาํ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการ ดําเนนิ ชวี ติ 6. เนอ้ื หา 1. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1.1 ความหมายและความสําคญั ของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1.2 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.2.1วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ 5 ข้นั 1.2.2 ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 13 ทักษะ 1.2.3 เจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ 6 ลกั ษณะ 1.2.4 จติ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 7. จดุ ประสงค์การเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวัง (ดจู ากผังการออกข้อสอบ) 1. นกั ศกึ ษาสามารถอธิบายธรรมชาติและความสําคัญของวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยไี ด้ 2. นกั ศึกษาสามารถอธบิ ายกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์และเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ 3. นักศกึ ษาสามารถนําความรู้ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้แกป้ ญั หาต่างๆได้ 4. นกั ศึกษาเกดิ เจตคติทางวิทยาศาสตร์และมจี ติ วทิ ยาศาสตร์ 5. นกั ศึกษาสามารถอธิบายความหมาย ความสําคัญ และความสมั พันธ์ของเทคโนโลยตี อ่ ชีวติ และสังคม นําความรู้ และเลือกใช้เทคโนโลยใี นชีวติ ประจําวนั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 6. นกั ศึกษามีทกั ษะในการเลือกใช้วสั ดอุ ุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ และสารเคมีได้ ๘. การบรู ณาการกบั หลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลักการ การเชอ่ื มโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ - นกั ศกึ ษามีความร้เู รื่อง ธรรมชาติและความสาํ คัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี - นักศกึ ษามคี วามรูเ้ รื่อง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ - นกั ศกึ ษาสามารถอธิบายความหมาย ความสําคัญ และความสมั พนั ธข์ องเทคโนโลยตี อ่ ชวี ิต และสังคม นําความรู้ และเลอื กใชเ้ ทคโนโลยใี นชวี ติ ประจาํ วันได้อย่างเหมาะสม - นักศึกษามที ักษะในการเลือกใชว้ ัสดอุ ุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ และสารเคมีได้ คุณธรรม - มีความชอ่ื สัตยส์ จุ ริตในการทํางาน - มีความสามคั คใี นหมู่คณะ
- มคี วามขยนั อดทน พอประมาณ - รู้จักการเลือกใช้สอื่ เทคโนโลยใี ห้เขา้ กบั อาชีพ - ใช้ทรพั ยากรกรอยา่ งคุ้มค่าและเกิดประโยชนส์ งู สดุ มเี หตผุ ล - ได้ความรเู้ กีย่ วกับหลักธรรมชาติ - ปฏบิ ัติตนตามหลกั ธรรมชาตติ ามหลกั ของเศรษฐกิจพอเพยี ง มีภมู ิคุม้ กนั - สามารถสรา้ งรายไดแ้ ละสามารถเตรียมพร้อมรับสถานการณ์การเปล่ียนแปลงทาง เศรษฐกจิ ได้ วตั ถุ - รจู้ ักเลอื กใชเ้ ทคโนโลยที ่ีเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการ - มที ักษะในการใช้อปุ กรณ์เทคโนโลยี และการดแู ลรกั ษา สังคม - มีทักษะการอยรู่ ว่ มกนั ในกลุ่ม และทาํ งานร่วมกับผู้อน่ื ได้อยา่ งมคี วามสขุ - ชว่ ยเหลือเก้อื กูลกนั - รรู้ ักสามัคคี - รูจ้ ักแบง่ ปัน ส่งิ แวดล้อม - รู้จกั การนําเอาเทคโนโลยที ีเ่ หมาะสมมาใช้ประโยชน์สงู สดุ - รู้และรกั ษาธรรมชาติ วัฒนธรรม - ตอ่ ยอดภูมปิ ญั ญาท้องถ่ิน ในการนาหลักธรรมชาตมิ าใช้ - สรา้ งและสืบทอดจิตสานึกและเจตคติสู่ชนรนุ่ หลงั 9. กระบวนการจัดการเรียนรูแ้ ละกจิ กรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 กําหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) ครูผูส้ อนและนักศึกษาสนทนาแลกเปลย่ี นถงึ ปัญหาของชุมชน ผลกระทบดา้ นต่างๆท่ีมีใน ปจั จุบันว่าเป็นอย่างไร ข้นั ที่ 2 แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ให้นักศกึ ษาทาํ แบบทดสอบก่อนเรียนดว้ ย Google form เพื่อทดสอบความรู้เบ้ืองต้น 2. ใหน้ ักศกึ ษาศกึ ษาเร่ืองฝึก ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ จากหนงั สือเรยี น สาระความรู้พืน้ ฐาน รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย รหัส พว31001 3. ครูใช้ส่อื You Tube เรื่อง ธรรมชาติทางวิทยาศาสตร์และทกั ษะทางวิทยาศาสตร์เพ่ืออธบิ าย ความรู้เพิ่มเตมิ ให้นักศึกษา
ขัน้ ที่ 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนําไปใช้ (I : Implementation) 1. ผูเ้ รียนสามารถนําความรู้ และประสบการณ์หลงั จากการเรยี นรู้ด้วยตนเอง 2. ผูเ้ รยี นสามารถแกไ้ ขปัญหา อปุ สรรคในการทาํ งานได้แต่ละครั้งพรอ้ มสรปุ จดั ทาํ รายงานรวบรวมเปน็ แฟมู สะสมงาน ขน้ั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. ครูและผเู้ รียนนาํ แฟมู สะสมผลงาน และผลงานที่ไดจ้ ากการปฏบิ ัติ สรปุ เปน็ องค์ ความรู้เพ่ือใชเ้ ปน็ แนวทาง กระบวนการปฏิบตั งิ าน 2. ครูวัดผลประเมินผลผู้เรยี นจากเกณฑ์วดั ผลประเมินผล 3. ครสู ามารถประเมนิ ผลการเรียนรขู้ องผเู้ รียน และผูเ้ รียนสามารถประเมนิ ความรู้ ภายในกลุ่มหรอื ของตนเองได้ 10. สือ่ /แหล่งเรยี นรู้ 1. ใบความรู้ 2. หนังสือเรยี น 3. ใบงาน 4. อนิ เตอร์เน็ต 11. การวดั และประเมนิ ผล 11.1 วิธีการวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานร่วมกบั ผ้อู น่ื ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรียน 11.2 เครอ่ื งมอื วดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานรว่ มกับผู้อน่ื ของนักศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรยี น 11.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทํางานรว่ มกับผอู้ ่นื ของนักศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช้ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน เกณฑ์ผ่านและไมผ่ า่ น กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................................. ....................................... ............................................................................................ ...................................................................... ลงชอื่ …………………………………………….ครผู ู้สอน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาํ บล
ขอ้ เสนอแนะของผ้บู ริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………...... ลงชื่อ………………………………………………………ผูอ้ นุมตั แิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ้อู ํานวยการ กศน.อาํ เภอจตรุ พักตรพมิ าน
บันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ ครัง้ ที่ 8 วนั ที่ 7 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครูผู้สอน นายปรเรศ นามโคตร ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พ้นื ฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา พว31001 จํานวนผเู้ รียนทั้งหมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไม่เข้าเรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่าก่อนเรียนจํานวน ........ คนคิดเป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน นอ้ ยกวา่ ก่อนเรียนจํานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ............ 2. เน้ือหา/สาระ ......................................................................................................................................... ..................................... ............................................................................................. ................................................................... ...... ............................................................................................................................. ................................................ 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................................ .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ................................... 4. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................................ ................................................... ............................................................................................................. .............. ............................................................................................................................. ......................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา .......................................................................................................................................... ................................... ................................................................ ................................................................................................ ............. ............................................................................................................................. ........................................ . ลงช่ือ.............................................ครผู ูส้ อน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตําบล วันท่ี ........../................./................ ความคดิ เหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผ้บู ริหาร ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ....................................................................................................................................................... .......... ลงช่ือ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ าํ นวยการ กศน.อําเภอจตุรพกั ตรพิมาน
แบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น ให้นกั ศึกษาเลือกข้อท่ีถกู ที่สุด 1.ขอ้ ใดไม่ใช่อาการท่เี กิดจากการใชย้ าที่พบอย่บู ่อยๆ ก.การติดยา ข.การด้ือยา ค.การแพ้ยา ง.การเจริญอาหาร 2.สารท่ีใส่ในลกู ชิ้น ทาํ ให้ลูกชิ้นกรอบ คือสารชนดิ ใด ก.บอแร็กซ์ ข.ผงชูรส ค.สารกันบูด ง.ผลกรอบ 3.เราควรอ่านฉลากผลติ ภัณฑ์ทุกคร้ังกอ่ นการใช้งานเพราะเหตุใด ก. เพ่ือใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกวิธี และถูกขั้นตอน ข. เพื่อปูองกันอันตรายที่ได้รับจากการใช้สารเคมี ค. เพื่อใช้ผลิตภัณฑ์ได้ถูกต้องกับงานแต่ละประเภท ง. ถูกทุกข้อท่ีกล่าวมา 4.ขอ้ ใดไมจ่ ําเป็นต้องระบุฉลากผลิตภัณฑท์ าํ ความสะอาด ก.สถานที่ผลิต ข.ส่วนประกอบที่สาํ คัญ ค.วันหมดอายุ ง.สถานที่วางจาํ หน่าย 5.ข้อใดคือสารท่ีใช้ทําผงชรู ส ก.สารบอแรกซ์ ข.ขัณฑสกร ค.โซเดียมคลอไรด์ ง.โซเดียมเมตาฟอสเฟต เฉลย 1ง 2ก 3ง 4ง 5ง
ใบความร้ทู ี่ 1 เร่ือง ธรรมชาตทิ างวทิ ยาศาสตร์และทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เปน็ เรื่องของการเรยี นรู้เกีย่ วกบั ธรรมชาติ โดยมนษุ ยใ์ ช้กระบวนการสงั เกต สํารวจ ตรวจสอบ ทดลองเก่ียวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และนาํ ผลมาจัดเป็นระบบหลกั การ แนวคดิ และทฤษฎี ดงั น้ัน ทกั ษะวทิ ยาศาสตร์ จงึ เป็นการปฏบิ ตั ิ เพ่ือให้ไดม้ าซ่ึงคาํ ตอบในข้อสงสัยหรือขอ้ สมมติฐานต่าง ๆ ของมนุษย์ ตัง้ ไว้ ทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบด้วย 1. การสังเกต เปน็ วิธกี ารไดม้ าของขอ้ สงสยั รับรู้ข้อมลู พจิ ารณาขอ้ มลู จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ท่ีเกดิ ข้ึน 2. ตัง้ สมมติฐาน เป็นการการระดมความคิด สรุปสิง่ ท่ีคาดวา่ จะเป็นคาํ ตอบของปัญหาหรือ ข้อสงสยั น้นั ๆ 3. ออกแบบการทดลอง เพื่อศึกษาผลของตวั แปรทีต่ อ้ งศกึ ษา โดยควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ท่อี าจมีผลต่อตัว แปรท่ตี ้องการศึกษา 4. ดาํ เนนิ การทดลอง เป็นการจัดกระทํากับตวั แปรทีก่ าํ หนด ซง่ึ ไดแ้ ก่ ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรท่ีต้องควบคมุ 5. รวบรวมขอ้ มูล เป็นการบนั ทึกรวบรวมผลการทดลองหรือผลจากการกระทําของตวั แปท่กี าํ หนด 6. แปลและสรปุ ผลการทดลอง ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ประกอบดว้ ย 13 ทกั ษะ ดังนี้ ทกั ษะการสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการสงั เกต ได้แก่ ใชต้ าดรู ูปรา่ ง ใชห้ ฟู งั เสียง ใช้ล้ินชิมรส ใชจ้ มูกดมกล่ิน และใชผ้ วิ กายสัมผัสความร้อนเย็น หรือใชม้ อื จบั ต้องความ ออ่ นแข็ง เปน็ ต้น การใช้ประสาทสัมผสั เหลา่ น้จี ะใชท้ ลี ะอย่างหรอื หลายอย่างพร้อมกัน เพื่อรวบรวมขอ้ มูลก็ไดโ้ ดย ไม่เพิ่มความคิดเหน็ ของผูส้ งั เกตลงไป ทักษะการวัด (Measuring) หมายถงึ การเลือกและการใชเ้ คร่ืองมือวดั ปรมิ าณของสง่ิ ของออกมาเป็นตัว เลขทแ่ี นน่ อนได้อย่างเหมาะสม และถูกต้องโดยมีหน่วยกํากับเสมอในการวัด เพ่ือหาปรมิ าณของส่ิงทีว่ ัดต้องฝึกให้ ผูเ้ รียนหาคาํ ตอบ 4 คา่ คอื จะวดั อะไร วัดทาํ ไม ใช้เครื่องมืออะไรวัดและจะวดั ไดอ้ ย่างไร ทักษะการจาแนกหรือทกั ษะการจัดประเภทส่ิงของ (Classifying) หมายถึง การแบง่ พวกหรือการ เรียงลาํ ดบั วัตถุ หรอื ส่งิ ท่ีอยใู่ ปรากฏการณ์ โดยการหาเกณฑห์ รอื สร้างเกณฑ์ในการจาํ แนกประเภท ซง่ึ อาจใช้ เกณฑ์ความเหมือนกัน ความแตกต่างกนั หรอื ความสมั พันธก์ ันอยา่ งใดอย่างหนึ่งก็ได้ ซึง่ แลว้ แตผ่ เู้ รยี นจะเลอื กใช้ เกณฑ์ใด นอกจากนี้ควรสร้างความคิดรวบยอดให้เกิดขนึ้ ด้วยว่าของกลุ่มเดียวกันนน้ั อาจแบง่ ออกไดห้ ลายประเภท ทงั้ นข้ี ึน้ อยู่กับเกณฑท์ ีเ่ ลอื กใช้ และวัตถุชิน้ หน่ึงในเวลเดยี วกันจะต้องอยเู่ พยี งประเภทเดยี วเท่านน้ั ทกั ษะการใชค้ วามสัมพนั ธร์ ะหว่างสเปซกับเวลา (Using Space/Relationship)หมายถงึ การหา ความสัมพนั ธ์ระหว่างมิตติ า่ งๆ ทเ่ี กีย่ วกบั สถานท่ี รูปทรง ทิศทาง ระยะทาง พื้นที่ เวลา ฯลฯ เช่น การหา ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง สเปซกับสเปซ คือ การหารปู ร่างของวัตถุ โดยสงั เกตจากเงาของวตั ถเุ มอื่ ให้แสงตกกระทบ วตั ถใุ นมุมต่างๆกัน ฯลฯ การหาความสมั พันธ์ระหวา่ ง เวลากบั เวลา เช่น การหาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งจังหวะการแกวง่ ของ ลกู ตมุ้ นาฬิกากับจังหวะการเต้นของชีพจร ฯลฯ การหาความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง สเปซกับเวลา เชน่ การหาตาํ แหนง่ ของวตั ถุทเี่ คล่ือนท่ไี ปเม่ือเวลา เปล่ียนไป ฯ
ทักษะการคานวณและการใช้จานวน (Using Numbers) หมายถึง การนําเอาจาํ นวนท่ีได้จากการวัด การสงั เกต และการทดลองมาจดั กระทําให้เกิดค่าใหม่ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร การหาค่าเฉล่ยี การหาค่าตา่ งๆ ทางคณิตศาสตร์ เพอื่ นําค่าที่ได้จากการคํานวณ ไปใชป้ ระโยชน์ในการแปลความหมาย และการลงข้อสรปุ ซ่ึง ในทางวิทยาศาสตร์เราตอ้ งใช้ตวั เลขอยู่ตลอดเวลา เช่น การอ่านเทอรโ์ มมิเตอร์ การตวงสารต่าง ๆ เป็นตน้ ทักษะการจดั กระทาและส่ือความหมายข้อมูล (Communication) หมายถงึ การนําเอาข้อมูล ซึง่ ได้มา จากการสังเกต การทดลอง ฯลฯ มาจัดกระทาํ เสียใหม่ เช่น นํามาจัดเรียงลําดบั หาคา่ ความถี่ แยกประเภท คาํ นวณหาค่าใหม่ นาํ มาจดั เสนอในรปู แบบใหม่ ตัวอย่างเช่น กราฟ ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร ฯลฯ การนาํ ข้อมลู อยา่ งใดอย่างหนึ่ง หรอื หลาย ๆ อยา่ งเชน่ นี้เรยี กวา่ การสือ่ ความหมายข้อมลู ทักษะการลงความเห็นจากขอ้ มลู (Inferring) หมายถงึ การเพมิ่ เตมิ ความคดิ เห็นให้กบั ข้อมูลท่ีมอี ยู่ อย่างมีเหตุผลโดยอาศัยความร้หู รอื ประสบการณ์เดมิ มาช่วย ขอ้ มูลอาจจะไดจ้ ากการสงั เกต การวดั การทดลอง การลงความเหน็ จากข้อมลู เดียวกันอาจลงความเหน็ ได้หลายอย่าง ทกั ษะการพยากรณ์ (Predicting) หมายถงึ การคาดคะเนหาคําตอบลว่ งหน้าก่อนการทดลองโดยอาศยั ข้อมูลที่ไดจ้ ากการสงั เกต การวดั รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรท่ไี ดศ้ ึกษามาแลว้ หรอื อาศยั ประสบการณ์ ท่ีเกิดซาํ้ ๆ ทกั ษะการตง้ั สมมตุ ิฐาน (Formulating Hypothesis) หมายถงึ การคดิ หาค่าคําตอบลว่ งหน้าก่อนจะ ทาํ การทดลอง โดยอาศัยการสงั เกต ความรู้ ประสบการณ์เดมิ เป็นพน้ื ฐาน คาํ ตอบทีค่ ิดล่วงหนา้ ยังไมเ่ ปน็ หลักการ กฎ หรอื ทฤษฎีมาก่อน คาํ ตอบทค่ี ดิ ไวล้ ว่ งหนา้ นี้ มักกลา่ วไว้เป็นข้อความที่บอกความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งตัวแปรต้น กบั ตวั แปรตามเชน่ ถา้ แมลงวันไปไขบ่ นก้อนเนือ้ หรือขยะเปยี กแล้วจะทาํ ใหเ้ กิดตวั หนอน ทกั ษะการควบคุมตวั แปร (Controlling Variables) หมายถงึ การควบคุมสิง่ อื่นๆ นอกเหนือจากตวั แปรอิสระ ที่จะทําใหผ้ ลการทดลองคลาดเคล่อื น ถ้าหากว่าไมค่ วบคมุ ให้เหมอื น ๆ กัน และเปน็ การปูองกนั เพื่อมิให้ มีขอ้ โต้แย้ง ขอ้ ผดิ พลาดหรือตัดความไม่น่าเช่อื ถือออกไป ตัวแปรแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คอื 1. ตัวแปรอสิ ระหรอื ตวั แปรต้น 2. ตวั แปรตาม 3. ตวั แปรที่ต้องควบคุม ทักษะการตคี วามและลงข้อสรปุ (Interpreting data) ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ สว่ นใหญจ่ ะอยู่ในรูปของลักษณะตาราง รูปภาพ กราฟ ฯลฯ การนาํ ข้อมูลไปใช้ จงึ จาํ เป็นตอ้ งตีความใหส้ ะดวกท่จี ะส่ือความหมายได้ถูกต้องและเขา้ ใจตรงกัน การตคี วามหมายขอ้ มูล คอื การบรรยายลกั ษณะและคณุ สมบตั ิ การลงข้อสรปุ คือ การบอกความสัมพันธข์ องขอ้ มูลท่ีมีอยู่ เช่น ถา้ ความดันนอ้ ย น้าํ จะเดือด ทอี่ ณุ หภูมิต่ําหรอื น้ําจะเดือดเรว็ ถา้ ความดนั มากนา้ํ จะเดือดทอี่ ุณหภูมิสูงหรือนํ้าจะเดือดชา้ ลง ทักษะการกาหนดนยิ ามเชิงปฏบิ ตั ิการ (Defining Operationally) หมายถึง การกําหนด ความหมาย และขอบเขตของคําตา่ ง ๆ ทมี่ ีอยูใ่ นสมมตฐิ านท่ีจะทดลองให้มีความรดั กุม เปน็ ทีเ่ ข้าใจตรงกันและ สามารถสังเกตและวดั ได้ เชน่ “ การเจรญิ เตบิ โต ” หมายความว่าอยา่ งไร ตอ้ งกาํ หนดนยิ ามใหช้ ัดเจน เช่น การ เจริญเติบโตหมายถงึ มีความสงู เพ่มิ ขนึ้ เปน็ ต้น ทกั ษะการทดลอง ( Experimenting ) หมายถึง กระบวนการปฏบิ ัติการโดยใชท้ ักษะต่าง ๆ เชน่ การ สังเกต การวดั การพยากรณ์ การต้ังสมมุติฐาน ฯลฯ มาใชร้ ่วมกนั เพ่ือหาคําตอบ หรอื ทดลอง สมมุติฐานท่ตี ง้ั ไว้ ซง่ึ ประกอบดว้ ยกิจกรรม 3 ขนั้ ตอน 1. การออกแบบการทดลอง 2. การปฏบิ ัติการทดลอง 3. การบนั ทึกผลการทดลอง
การใชก้ ระบวนการวิทยาศาสตร์ แสวงหาความรู้ หรอื แกป้ ัญหาอย่างสม่าํ เสมอ ชว่ ยพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ เกิดผลผลิตหรอื ผลติ ภัณฑท์ างวทิ ยาศาสตร์ เกิดผลผลิตหรอื ผลิตภัณฑท์ าง วิทยาศาสตร์ ที่แปลกใหม่ และมคี ุณค่าต่อการดาํ รงชวี ติ ของมนุษยม์ ากขนึ้
ใบงานที่ 1 ธรรมชาตทิ างวิทยาศาสตรแ์ ละทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ คาช้แี จง ใหน้ ักศึกษาตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1. จากการสงั เกตของนักศึกษา ทงั้ 2 ภาพมีความแตกต่างกันอยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..…………2. นักศกึ ษาคิดวา่ เพราะเหตใุ ด จึงทําใหท้ ้ัง 2 ภาพ มีความแตกตา่ งกนั ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..……3. ให้นกั ศึกษา อธบิ ายทักษะทางวทิ ยาศาสตรท์ งั้ 13 ทกั ษะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………..………… 4. ใหน้ ักศึกษาอธบิ ายกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทั้ง 5 ขน้ั ตอน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………..………… 5. จงนําตวั อักษรหน้าทักษะต่าง ๆ ไปเติมหนา้ ข้อท่ีสัมพนั ธ์กัน ก. ทักษะการสงั เกต ข. ทกั ษะการวดั ค. ทักษะการคาํ นวณ ง. ทกั ษะการจาํ แนกประเภท จ. ทักษะการทดลอง ............1. ด.ญ.อริษากําลังทดสอบวทิ ยาศาสตร์ ............2.ด.ญ.วิไล วัดอุณหภมู ิของอากาศได้ 40 ํC ............3. ม้ามี 4 ขา สุนขั มี4 ขา ไก่มี 2 ขา นกมี 2 ขา ชา้ งมี 4 ขา ............4. ด.ญ. พนิดา กาํ ลงั เทสารเคมี ............5. ด.ช. สบุ ินใชต้ ลับเมตรวัดความยาวของสนามตะกรอ้ ............6. ด.ญ. อพิจติ รแบง่ ผลไมไ้ ด้ 2 กลมุ่ คือ กลุม่ รสเปรย้ี วและรสหวาน ............7. วรรณนภิ า ดภู าพยนตร์วทิ ยาศาสตร์ 3 มิติ ............8. ด.ญ. นนั ทพร หยดสารละลายไอโอดีน ลงบนข้าวเหนยี วท่ีเตรียมไว้ ............9. รูปทรงกระบอกมีความสงู ประมาณ 4 น้วิ ผิวเรยี บ ............10. นักวทิ ยาศาสตรแ์ บ่งพชื ออกเปน็ 2 พวก คือ พืชใบเลยี้ งเดย่ี วและพืชใบเลีย้ งคู่
6. นกั ศึกษาสามารถนําความรแู้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตรไ์ ปใช้ในการแก้ปัญหาตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………..………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………..…………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………..………… ชือ่ ................................................................. กศน. ตําบล ............................ ระดับ ............................
แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ คร้ังที่ 9 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สปั ดาหท์ ี่ 01 วันที่ 21 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. 2. วิชา วทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา พว31001 จาํ นวน 5 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานท่ี 2.2 มคี วามร้คู วามเข้าใจและทักษะพ้นื ฐานเกี่ยวกบั คณิตศาสตร์วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 4. หน่วยการเรยี นร/ู้ เร่ือง พันธกุ รรมและความหลากหลายทางชวี ภาพ 5. สาระสําคญั มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และเหน็ คณุ ค่าเกย่ี วกับกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งมีชวี ติ ระบบนิเวศทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม ในท้องถ่ินประเทศและโลก สาร แรง พลงั งาน กระบวนการ เปล่ียนแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจิตวทิ ยาศาสตร์และนาํ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ในการดาํ เนนิ ชวี ติ 6. เน้อื หา 1. พนั ธกุ รรม การถา่ ยทอดทางพันธุกรรม การแปรผันทางพนั ธุกรรม และการผ่าเหลา่ 2. ความหลากหลายทางชีวภาพ 3. โรคทีเ่ กดิ จากการถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม และการนาํ ไปใช้ในชีวิตประจาํ วนั 4. ชนดิ พันธุต์ า่ งถ่นิ ทีส่ ่งผลกระทบต่อระบบนเิ วศและส่ิงแวดลอ้ ม 7. จดุ ประสงคก์ ารเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรทู้ ่คี าดหวงั (ดจู ากผงั การออกข้อสอบ) 1. อธิบายกระบวนการถ่ายทอดทางพนั ธกุ รรม การแปรผันทางพนั ธุกรรม การผา่ เหล่า และการเกิดความ หลากหลายทางชวี ภาพ 2. อธิบายลักษณะทางพนั ธุกรรมของบุคคล 3. อธบิ ายปัจจยั ท่ีทําใหส้ งิ่ แวดล้อมเกิดการเปลย่ี นแปลง ๘. การบูรณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เง่ือนไข 3 หลักการ การเช่อื มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - นักศกึ ษามคี วามรูเ้ รื่อง พนั ธกุ รรมและความหลากหลายทางชวี ภาพ - นักศกึ ษานําความรู้เร่ือง พันธุกรรมและความหลากหลายทางชวี ภาพ ตามหลักของปรัชญา ของเศรษฐกิจพอพียง คุณธรรม - มคี วามชอื่ สัตย์สุจริตในการทาํ งาน - มคี วามสามัคคีในหมู่คณะ - มีความขยนั อดทน พอประมาณ - รจู้ ักการเลอื กใชธ้ รรมชาติทางชีวภาพมาปรับใชก้ บั ชีวติ ประจาํ วัน - ใช้ทรัพยากรกรอย่างคุม้ ค่าและเกดิ ประโยชนส์ ูงสุด มีเหตุผล - ได้ความรู้เก่ียวกบั ธรรมชาติทางชวี ภาพมาปรบั ใช้กับหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง - รู้จักการนําเอาความร้หู ลักพันธุ์กรรมและความหลากหลายทางชวี ภาพมาใชแ้ กป้ ัญหาใน ชีวติ ประจําวนั มีภมู ิคุ้มกัน
- สามารถสรา้ งรายได้และสามารถเตรยี มพรอ้ มรบั สถานการณก์ ารเปลย่ี นแปลงทาง เศรษฐกจิ ได้ วตั ถุ - รจู้ ักเลือกใชเ้ ทคโนโลยที ่ีเหมาะสม นาํ หลักธรรมชาติมาและความหลากหลายทางชีวภาพมา ใช้สอดคลอ้ งกับความต้องการ - มีทกั ษะในการใชอ้ ปุ กรณ์เทคโลโลยี และการดูแลรักษา สงั คม - มีทักษะการอย่รู ่วมกนั ในกลุ่ม และทํางานรว่ มกับผู้อ่นื ได้อย่างมีความสขุ - ชว่ ยเหลือเกือ้ กูลกัน - รรู้ ักสามัคคี สงิ่ แวดล้อม - รู้จักเลอื กใช้ธรรมชาตทิ างชีวภาพมาปรับใช้กับชีวติ ประจําวัน ประโยชนส์ งู สดุ - สร้างชมุ ชนใหเ้ ปน็ แหล่งธรรมชาติ รกั ษาสมดุลของส่งิ แวดล้อม กาจดั มลพิษของโลก วฒั นธรรม - ตอ่ ยอดภูมิปัญญาท้องถ่นิ ในการทาพัฒนาแหลง่ เรยี นรู้ แหล่งธรรมชาติในชมุ ชน 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกิจกรรมการเรยี นรู้ ขัน้ ท่ี 1 กําหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) ครูผู้สอนและนักศึกษาสนทนาแลกเปลยี่ นถงึ ปัญหาของชุมชน ผลกระทบดา้ นต่างๆทีม่ ใี นปจั จุบัน ว่าเป็นอย่างไร ขน้ั ที่ 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ให้นกั ศึกษาทําแบบทดสอบกอ่ นเรียนด้วย Google form เพอ่ื ทดสอบความรเู้ บอ้ื งต้น 2. ให้นกั ศกึ ษาศึกษาเรอื่ ง พนั ธกุ รรมและความหลากหลายทางชวี ภาพ 3. ครใู ชส้ ่ือ You Tube เร่ือง พันธกุ รรมและความหลากหลายทางชวี ภาพ เพื่ออธิบายความรู้ เพมิ่ เติมใหน้ กั ศกึ ษา ขน้ั ที่ 3 การปฏิบตั แิ ละการนําไปใช้ (I : Implementation) 1. ผเู้ รยี นสามารถนําความรู้ และประสบการณ์หลงั จากการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
2. ผูเ้ รยี นสามารถแก้ไขปญั หา อปุ สรรคในการทาํ งานได้แต่ละครง้ั พรอ้ มสรุปจัดทาํ รายงานรวบรวมเป็นแฟมู สะสมงาน ขั้นท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. ครแู ละผู้เรยี นนําแฟมู สะสมผลงาน และผลงานท่ีไดจ้ ากการปฏบิ ัติ สรุปเป็นองค์ ความรู้เพื่อใช้เป็นแนวทาง กระบวนการปฏิบัติงาน 2. ครวู ัดผลประเมนิ ผลผู้เรียนจากเกณฑ์วัดผลประเมนิ ผล 3. ครสู ามารถประเมินผลการเรยี นรขู้ องผู้เรียน และผูเ้ รยี นสามารถประเมนิ ความรู้ ภายในกลุ่มหรือของตนเองได้ 10. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ 1. ใบความรู้ 2. หนงั สือเรียน 3. ใบงาน 11. การวดั และประเมนิ ผล 11.1 วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทาํ งานรว่ มกบั ผู้อน่ื ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรยี น 11.2 เคร่ืองมอื วดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทาํ งานร่วมกับผู้อ่ืน ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทํางานรว่ มกับผอู้ น่ื ของนักศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช้ และควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน เกณฑ์ผา่ นและไม่ผา่ น
กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ..................................... ลงช่ือ……………………………………...ครูผสู้ อน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตําบล ข้อเสนอแนะของผูบ้ รหิ าร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………...... ลงช่ือ………………………………………………………ผอู้ นุมัติแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อาํ นวยการ กศน.อําเภอจตรุ พักตรพิมาน
บนั ทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ ครั้งที่ 9 วนั ท่ี 21 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ู้สอน นายปรเรศ นามโคตร ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พื้นฐาน รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา พว31001 จาํ นวนผู้เรียนทง้ั หมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไม่เข้าเรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่ากอ่ นเรียนจาํ นวน ........ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน น้อยกว่าก่อนเรียนจาํ นวน ......... คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ 2. เนือ้ หา/สาระ ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. ......................................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ......................................... ................................................................... ............................................................................................. ...... ............................................................................................................................. ......................................... 4. ปญั หา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ......................................... .......................................................... ...................................................................................................... ...... ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. ......................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ......................................... ...................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................... ลงชอื่ ..................................................ครูผูส้ อน. (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาํ บล วนั ท่ี............/.............../.................. ความคดิ เห็น/ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ....................................................... .............................................................................................................................................................. .......... ลงชอ่ื .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ้อู ํานวยการ กศน.อาํ เภอจตรุ พกั ตรพิมาน
ใบความรู้ที่ เรอื่ งพันธกุ รรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เรอ่ื ง พนั ธกุ รรมและความหลากหลายทางชวี ภาพ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม สิง่ มีชีวติ แต่ละชนดิ มีลักษณะเฉพาะตัว ทําให้ส่ิงมีชีวิตแตกต่างกัน เช่น ลักษณะสีผิว ลักษณะเส้นผม ลักษณะสีตา สีและกลิ่นของ ดอกไม้ รสชาตขิ องผลไม้ เสียงของนกชนิดตา่ ง ๆ ลกั ษณะเหลา่ น้จี ะถกู ส่งผา่ นจากพอ่ แม่ ไปยงั ลูกได้ หรอื ส่งผ่านจากคนรุ่นหนึ่งไป ยังรุน่ ต่อไป ลักษณะทถ่ี กู ถา่ ยทอดนเี้ รยี กว่า ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ( genetic character ) การท่ีจะพิจารณาว่าลักษณะใดลักษณะ หนึ่งเป็นลักษณะทางพันธุกรรมนั้นต้องพิจารณาหลาย ๆ รุ่น เพราะลักษณะบางอย่างไม่ปรากฏในรุ่นลูกแต่ปรากฏในรุ่นหลาน ลักษณะต่าง ๆ ในส่ิงมีชีวิตที่เป็นลักษณะทางพันธุกรรม สามารถถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังรุ่นต่อ ๆ ไปโดยผ่านทางเซลล์สืบพันธ์ุ เป็นหนว่ ยกลางในการถา่ ยทอดเมื่อเกดิ การปฏสิ นธิระหว่างเซลลไ์ ข่ของแม่และเซลลอ์ สจุ ขิ องพ่อ สิง่ มชี ีวิตชนดิ หน่ึง มีลักษณะเฉพาะตวั ที่แตกตา่ งจากลักษณะของส่งิ มชี วี ติ ชนิดอน่ื ๆ เราจึงอาศัยคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ไม่ เหมือนกนั ในการระบชุ นดิ ของสิ่งมีชวี ิต ลกู แมวได้รับการถ่ายทอดลกั ษณะพันธุกรรมจากพอ่ แม่ ผลไม้ชนดิ ตา่ ง ๆ แม้วา่ สง่ิ มีชวี ิตชนิดเดยี วกนั ยงั มลี กั ษณะทีแ่ ตกต่างกนั เชน่ คนจะมีรูปรา่ ง หนา้ ตา กริ ิยาท่าทาง เสยี งพดู ไม่เหมอื นกัน เราจึงบอกได้ วา่ เปน็ ใคร แมว้ ่าจะเปน็ ฝาแฝดรว่ มไข่คลา้ ยกนั มาก เมอ่ื พจิ ารณาจรงิ แล้วจะไม่เหมือนกนั ลักษณะของส่ิงมีชีวิต เช่น รูปร่าง สีผิว สแี ละกล่ินของดอกไม้ รสชาตขิ องผลไม้ ลกั ษณะเหล่านี้สามารถมองเหน็ และสงั เกตไดง้ ่าย แตล่ กั ษณะของสิ่งมีชีวิตบางอย่างสังเกต ได้ยาก ตอ้ งใชว้ ธิ ีซับซ้อนในการสังเกต เชน่ หมเู่ ลอื ด สตปิ ัญญา เป็นตน้ ความแปรผันของลักษณะทางพันธกุ รรม ความแปรผันของลักษณะทางพันธุกรรม(genetic variation) หมายถึง ลักษณะท่ีแตกต่างกัน เนื่องจากพันธุกรรมท่ีไม่ เหมือนกัน และสามารถถ่ายทอดไปส่รู นุ่ ลกู ได้ โดยลกู จะไดร้ บั การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมมาจากพ่อครึ่งหนึ่งและได้รับจาก แมอ่ ีกคร่งึ หน่ึง เชน่ ลักษณะเส้นผม สีของตา หม่เู ลือด ซ่งึ แบง่ ออกเป็น 2 แบบ คอื 1. ลักษณะที่มีความแปรผันแบบต่อเน่ือง ( continuous variation) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมท่ีไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ ชัดเจน ลักษณะพันธุกรรมเช่นน้ี มักเก่ียวข้องกันทางด้านปริมาณ เช่น ความสูง นํ้าหนัก โครงร่าง สีผิว ลักษณะ ที่มีความแปรผันต่อเนื่องเป็นลักษณะท่ีได้รับ อิทธพิ ลจากพันธกุ รรม และส่ิงแวดลอ้ มร่วมกัน
ลักษณะทมี่ คี วามแปรผันต่อเน่ือง 1578269143000000000000 ไม่ต่อเน่ือง ลักษณะทางพนั ธกุ รรมทีส่ ามารถแยกความ 2. ลักษณะที่มีความแปรผันแบบ (discontinuous variation) เป็น แตกต่างได้อย่างชัดเจน ไม่แปร ผันตามอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ลักษณะ ทางพันธกุ รรมเชน่ นเ้ี ป็นลกั ษณะทเ่ี รียกว่า ลกั ษณะทางคุณภาพ ซึง่ เกิดจากอทิ ธิพลทางพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว เช่น ลักษณะหมู่ เลือด ลักษณะเสน้ ผม ความถนัดของมอื จํานวนชน้ั ตา เปน็ ต้น การศกึ ษาการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุศาสตร์ เกรเกอร์ เมนเดล (Gregor Mendel) เปน็ บาทหลวงชาวออสเตรีย ด้วยความเป็นคน รักธรรมชาติ รู้จักวิธีการ ปรับปรุงพันธ์ุพืช และสนใจด้านพันธุกรรม เมนเดลได้ผสมถ่ัวลันเตา เพ่ือศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมลักษณะ ภายนอกของถ่ัวเตาท่ีเมนเดลศึกษามีหลายลักษณะ แต่เมนเดลได้เลือกศึกษาเพียง 7 ลักษณะ โดยแต่ละลักษณะน้ันมีความ แตกตา่ งกนั อย่างชดั เจน เช่น ต้นสูงกับต้นเต้ีย ลักษณะเมล็ดกลมกับเมล็ดขรุขระถั่วท่ีเมนเดลนํามาใช้เป็นพ่อพันธ์ุและแม่พันธ์ุน้ัน เป็นพันธ์แุ ท้ท้งั คู่ โดยการนาํ ตน้ ถัว่ ลนั เตาแตล่ ะสายพันธม์ุ าปลูกและผสมภายในดอกเดียวกัน เม่ือต้นถ่ัวลันเตาออกฝัก นําเมล็ดแก่ ไปปลูก จากนั้นรอจนกระท่ังต้นถั่วลันเตาเจริญเติบโต จึงคัดเลือกต้นที่มีลักษณะเหมือนพ่อแม่ นํามาผสมพันธ์ุต่อไปด้วย วิธีการ เชน่ เดียวกบั คร้งั แรกทําเชน่ น้ีตอ่ ไปอกี หลาย ๆ รุ่น จนไดเ้ ป็นต้นถั่วลนั เตาพนั ธ์ุแท้มีลกั ษณะเหมอื นพ่อแม่ทกุ ประการ จากการผสมพนั ธร์ุ ะหวา่ งตน้ ถ่วั ลนั เตาทม่ี ลี ักษณะแตกตา่ งกนั 7 ลักษณะ เมนเดลได้ผลการทดลองดังตาราง ตารางแสดงผลการทดลองของเมนเดล ลกั ษณะของพ่อแมท่ ใ่ี ชผ้ สม ลูกรุ่นท่ี 1 ลกั ษณะท่ีปรากฏ ลูกรุ่นท่ี 2 เมลด็ กลม X เมล็ดขรุขระ เมล็ดกลมทุกต้น เมลด็ กลม 5,474 เมล็ด เมล็ดสเี หลอื ง X เมล็ดสเี ขยี ว เมลด็ สีเหลืองทุกต้น เมล็ดขรุขระ 1,850 เมลด็ เมลด็ สีเหลือง 6,022 ต้น ฝักอวบ X ฝักแฟบ ฝักอวบทกุ ต้น เมลด็ สีเขียว 2,001 ต้น ฝกั อวบ 882 ต้น ลกั ษณะของพ่อแมท่ ่ใี ช้ผสม ลูกรุ่นท่ี 1 ฝักแฟบ 229 ต้น ลกั ษณะท่ีปรากฏ ฝกั สเี ขียว X ฝักสเี หลอื ง ฝักสเี ขียวทุกต้น ลูกร่นุ ท่ี 2 ฝกั สเี ขียว 428 ต้น
ดอกเกิดท่ีลําต้น X ดอกเกิดท่ี ดอกเกิดท่ลี ําต้นทุกตน้ ฝักสีเหลอื ง 152 ตน้ ยอด ดอกเกิดทลี่ าํ ตน้ 651 ต้น ดอกเกิดทีเ่ กิดยอด 207 ตน้ ดอกสมี ว่ ง X ดอกสีขาว ดอกสมี ่วงทกุ ต้น ดอกสีม่วง 705 ตน้ ดอกสขี าว 224 ตน้ ต้นสูง X ตน้ เต้ีย ตน้ สงู ทกุ ตน้ ตน้ สงู 787 ตน้ ต้นเตี้ย 277 ต้น X หมายถึง ผสมพันธ์ุ เมนเดลเรียกลักษณะต่าง ๆ ที่ปรากฏในลูกรุ่นที่ 1 เช่น เมล็ดกลม ลําต้นสูง เรียกว่า ลักษณะเด่น ( dominance ) สว่ นลักษณะที่ไม่ปรากฏในรนุ่ ลูกท่ี 1 แตก่ ลบั ปรากฏในรุน่ ที่ 2 เชน่ เมล็ดขรขุ ระ ลกั ษณะต้นเต้ีย เรียกว่า ลักษณะด้อย ( recessive ) ซงึ่ ลักษณะแต่ละลักษณะในลกู ร่นุ ท่ี 2 ให้อัตราส่วน ลักษณะเดน่ : ลกั ษณะดอ้ ย ประมาณ 3 : 1 จากสัญลักษณ์ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ( TT แทนต้นสูง, tt แทนต้นเตี้ย )แทนยีนที่กําหนด เขียนแผนภาพแสดงยีนท่ี ควบคุมลักษณะ และผลของการถ่ายทอดลักษณะในการผสมพันธุ์ระหว่างถ่ัวลันเตาต้นสูงกับถั่วลันเตาต้นเต้ีย และการผสมพันธ์ุ ระหว่างลูกรนุ่ ที่ 1 ไดด้ ังแผนภาพ พ่อแม่ เซลลส์ ืบพนั ธุเ์ พศผู้ เซลลส์ ืบพนั ธุเ์ พศเมีย ลูกรุ่นที่ 1 ผลของการผสมพนั ธรุ์ ะหวา่ งถ่ัวลนั เตาตน้ สูงกบั ถัว่ ลันเตาตน้ เตย้ี ในลกู ร่นุ ท่ี 1 เมื่อยนี T ที่ควบคมุ ลักษณะตน้ สงู ซงึ่ เปน็ ลักษณะเด่น เขา้ ค่กู ับยนี t ที่ควบคุมลักษณะต้นเต้ียซึ่งเป็นลักษณะ ดอ้ ย ลกั ษณะที่
ลกู รุ่นที่ 1 ผลของการผสมพันธร์ุ ะหวา่ งลูกรุ่นท่ี 1 ต่อมานักชวี วิทยารุน่ หลังได้ทําการทดลองผสมพันธ์ุถั่วลนั เตาและพชื ชนิดอ่นื อกี หลายชนิด แล้วนํามาวิเคราะห์ข้อมูลทาง สถิตคิ ล้ายกับท่ีเมนเดลศึกษา ทําให้มีการรื้อฟื้นผลงานของเมนเดล จนในท่ีสุดนักชีววิทยาจึงได้ให้การยกย่องเมนเดลว่าเป็นบิดา แห่งวชิ าพนั ธุศาสตร์ หน่วยพันธุกรรม โครโมโซมของสิง่ มีชวี ิต หน่วยพื้นฐานที่สําคัญของส่งิ มชี ีวิต คือ เซลล์มีส่วนประกอบท่ีสําคัญ 3 ส่วน ได้แก่ นิวเคลียส ไซโทพลาสซึมและเย่ือหุ้ม เซลล์ภายในนิวเคลียสมีโครงสร้างท่ีสามารถติดสีได้ เรียกว่า โครโมโซม และพบว่าโครโมโซมมีความเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอด ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม โดยทว่ั ไปสงิ่ มชี วี ิตแตล่ ะชนดิ หรอื สปชี สี ์ (species)จะมจี ํานวนโครโมโซมคงทีด่ งั แสดงในตาราง ตารางจาํ นวนโครโมโซมของเซลลร์ า่ งกายและเซลลส์ บื พนั ธข์ุ องสง่ิ มชี วี ิตบางชนดิ ชนิดของสง่ิ มีชวี ติ จาํ นวนโครโมโซม ในเซลลร์ า่ งกาย ( แทง่ ) ในเซลลส์ บื พนั ธุ์ ( แทง่ ) แมลงหวี่ 8 4 ถัว่ ลันเตา 14 7 ข้าวโพด 20 10 ขา้ ว 24 12 อ้อย 80 40
ปลากัด 42 21 คน 46 23 48 24 ชมิ แปนซี 78 39 ไก่ 38 19 แมว โครโมโซมในเซลลร์ า่ งกายของคน 46 แท่ง นาํ มาจดั คู่ได้ 23 คู่ ซง่ึ แบ่งได้เปน็ 2 ชนิด คอื 1. ออโตโซม ( Autosome ) คอื โครโมโซม 22 คู่ ( คูท่ ี่ 1 – 22 ) ทเี่ หมอื นกนั ทั้งเพศหญงิ และเพศชาย 2. โครโมโซมเพศ ( Sex Chromosome ) คือ โครโมโซมอกี 1 คู่ ( คทู่ ่ี 23 ) ในเพศหญิงและเพศชายจะต่างกัน เพศหญิงมีโครโมโซม เพศแบบ XX สว่ นเพศชายมีโครโมโซมเพศแบบ XY โดยโครโมโซม Y จะมีขนาดเลก็ กวา่ โครโมโซม X ยีน และ DNA ยนี เปน็ สว่ นหน่งึ ของโครโมโซม โครโมโซมหน่ึง ๆ มยี นี ควบคุมลกั ษณะต่าง ๆ เปน็ พนั ๆ ลักษณะ ยนี ( gene ) คือ หน่วย พันธุกรรมทค่ี วบคุมลกั ษณะต่าง ๆ จากพอ่ แม่โดยผา่ นทางเซลลส์ บื พนั ธุไ์ ปยงั ลูกหลาน ยีนจะอยู่เปน็ คบู่ นโครโมโซม โดยยีนแต่ละคู่ จะควบคุมลักษณะท่ีถ่ายทอดทางพันธุกรรมเพียงลักษณะหน่ึงเท่านั้น เช่น ยีนควบคุมลักษณะสีผิว ยีนควบคุมลักษณะลักย้ิม ยีน ควบคมุ ลกั ษณะจาํ นวนช้ันตา เปน็ ต้น ภายในยีนพบว่ามีสารเคมีที่สําคัญชนิดหน่ึง คือ DNA ซึ่งย่อมาจาก Deoxyribonucleic acid ซ่ึงเป็นสารพันธุกรรม พบใน สงิ่ มชี วี ติ ทุกชนิด ไมว่ า่ จะเปน็ พืช สัตว์ หรอื แบคทีเรยี ซงึ่ เป็นส่ิงมชี ีวติ เซลล์เดียว เป็นต้น DNA เกิดจากการตอ่ กันเป็นเส้นโมเลกุลย่อยเปน็ สายคลา้ ยบันไดเวียน ปกตจิ ะอย่เู ป็นเกลียวคู่
ดีเอ็นเอเปน็ สารพนั ธกุ รรมทีอ่ ยู่ภายในโครโมโซมของส่งิ มชี ีวติ ในสิง่ มชี ีวติ แต่ละชนดิ จะมปี ริมาณ DNA ไม่เท่ากัน แต่ในสิ่งมีชีวิตเดียวกันแต่ละเซลล์มีปริมาณ DNA เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็น เซลลก์ ลา้ มเนือ้ หัวใจ ตับ เปน็ ต้น ความผดิ ปกตขิ องโครโมโซมและยนี สิง่ มชี ีวิตแต่ละชนดิ มลี กั ษณะแตกตา่ งกนั อันเป็นผลจากการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม แต่ในบางกรณีพบบุคคลที่มี ลักษณะบางประการผดิ ไปจากปกตเิ นอื่ งจากความผิดปกตขิ องโครโมโซมและยนี ความผดิ ปกตทิ างพนั ธุกรรมท่ีเกดิ ในระดับโครโมโซม เช่น ผู้ปุวยกลุ่มอาการดาวน์ มีจํานวนโครโมโซมคู่ท่ี 21 เกินกว่าปกติ คือมี 3 แทง่ ส่งผลใหม้ คี วามผิดปกตทิ างรา่ งกาย เช่น ตาชข้ี ้ึน ล้ินจกุ ปาก ด้งั จมกู แบน น้ิวมือสน้ั ปูอม และมกี ารพฒั นาทางสมองช้า ความผิดปกติทางพันธุกรรมท่ีเกิดในระดับยีน เช่น โรคธาลัสซีเมีย เกิดจากความผิดปกติของยีนท่ีควบคุมการสร้าง ฮีโมโกลบิน ผู้ปุวยมอี าการซดี ตาเหลือง ผิวหนงั คล้ําแดง รา่ งกายเจรญิ เติบโตชา้ และตดิ เช้อื งา่ ย ก. ผู้ปุวยอาการดาวน์ ข. ผูป้ ุวยทีเ่ ป็นโรคธาลสั ซเี มยี ตาบอดสี เปน็ ความผดิ ปกติทางพนั ธกุ รรมในระดบั ยีน ผ้ทู ีต่ าบอดสจี ะมองเหน็ สบี างชนดิ เชน่ สีเขียว สีแดง หรือสีน้ําเงินผิดไปจาก ความเปน็ จริง คนท่ตี าบอดสีส่วนใหญ่มักได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพ่อแม่หรือบรรพบุรุษ แต่คนปกติการเกิดตาบอดสีได้ถ้า เซลล์เกี่ยวกบั การรบั สภี ายในตาไดร้ ับความกระทบกระเทอื นอย่างรุนแรงดังนน้ั คนทต่ี าบอดสีจึงไม่เหมาะแก่การประกอบอาชีพบาง อาชพี เช่น ทหาร แพทย์ พนักงานขับรถ เปน็ ต้น
การกลายพันธ์ุ (mutation) การกลายพันธ์ุเป็นการเปล่ียนแปลงทางพันธุกรรมในระดับยีนหรือโครโมโซม ซ่ึงเป็นผลมาจากการเปล่ียนแปลงท่ีเกิด ขน้ึ กับดีเอ็นเอ ซ่ึงมีผลต่อการสังเคราะห์โปรตีนในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต โดยท่ีโปรตีนบางชนิดทําหน้าที่เป็นโครงสร้างของเซลล์และ เนื้อเยื่อ บางชนดิ เปน็ เอนไซม์ควบคุมเมแทบอลซิ ึม การเปลยี่ นแปลงของ
แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรยี น เรอ่ื งพนั ธุกรรมและความหลากหลายทางชวี ภาพ 1. การถ่ายทอดลกั ษณะตา่ งๆจากรนุ่ หนึง่ ไปสู่อกี ร่นุ หน่ึงเรียกว่า ก. ยนี ข. ดีเอ็นเอ ค. พันธกุ รรม ง. โครโมโซม 2. ขอ้ ใดไม่ใชล้ ักษณะการถ่ายทอดทางพนั ธกุ รรม ก. สผี วิ ข. สตปิ ัญญา ค. ความรู้ ง. ลักยิ้ม 3. ใครคือบิดาแห่งพันธศุ าสตร์ ก. อรสิ โตเติล ข. เกรเกอร์ เมนเดล ค. โทมสั แอดิสนั ง. รักเทอร์ ฟอร์ด 4. สง่ิ ทค่ี วบคุมลกั ษณะทางพันธุกรรม คอื ก. ยนี ข. ดี เอน็ เอ ค. โครโมโซม ง. อาร์ เอ็น เอ 5. ข้อใดไม่ใชโ่ รคที่เกิดจากการผิดปกติทางพนั ธุกรรม ก. โรคธาลสั ซีเมีย ข. โรคตาบอดสี ค. โรคดาวนซ์ ินโดม ง. โรคไขเ้ ลือดออก 6. โครโมโซมเพศอยู่ท่คี ู่เทา่ ใด ก. คทู่ ่ี 20 ข. คู่ท่ี 21 ค. คูท่ ่ี 22 ง. คู่ที่ 23 7. การเปล่ียนแปลงสภาพของยีนท่ผี ิดปกติไปจากเดิมเรยี กว่าอะไร ก. พนั ธกุ รรม ข. การตดั ต่อยนี ค. การผา่ เหลา่ ง. ถกู ทุกข้อ 8. ขอ้ ใดเป็นประโยชน์ของอนุกรมวธิ าน
ก. เพ่อื ความสะดวกท่จี ะนํามาศึกษา ข. เพอ่ื สะดวกในการนาํ มาใช้ประโยชน์ ค. เพ่ือเปน็ การฝึกทกั ษะในการจัดจาํ แนกสง่ิ ตา่ งๆ ง. ถูกทุกข้อ 9. การจัดหมวดหมู่ ของสิง่ มชี ีวิตช้นั ใดใหญท่ ี่สุด ก. จนี สั ข. ไฟลัม ค. อาณาจักร ง. ออรเ์ ดอร์ 10.การจัดหมวดหมู่ ของส่ิงมีชีวติ ชัน้ ใดเล็กทีส่ ุด ก. จนี สั ข. ไฟลัม ค. อาณาจักร ง. ออร์เดอร์
แผนการจัดการเรยี นรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์ คร้งั ท่ี 10 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สัปดาห์ที่ 11 วันท่ี 2 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. 2. วิชา วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา พว311001 จาํ นวน 5 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานที่ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะ และเหน็ คุณค่าเก่ียวกบั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งมีชีวติ ระบบนเิ วศทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม ในทอ้ งถิ่นประเทศและโลก สาร แรง พลังงาน กระบวนการเปล่ยี นแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจติ วทิ ยาศาสตรแ์ ละนาความรูไ้ ป 4. หนว่ ยการเรียนร/ู้ เรอ่ื ง ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 5. สาระสาํ คญั 1. โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทสาํ รวจ เปน็ โครงงานท่ผี ู้ศึกษา ศึกษาโดยการสาํ รวจขอ้ มูลแล้วนาํ ขอ้ มลู ทไ่ี ด้มาจดั กระทําใหมใ่ ห้เปน็ ระบบและ นําเสนอในรปู แบบ ตาราง กราฟ แผนภมู ิ หรอื คําอธบิ าย 2. โครงงานวทิ ยาศาสตรป์ ระเภททดลอง เป็นโครงงานท่ีผู้ศกึ ษาจะต้องออกแบบการทดลอง และดาํ เนินการทดลอง 3. โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทพฒั นาหรือสง่ิ ประดษิ ฐ์ เป็นการประดิษฐ์หรือพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ สรา้ งอปุ กรณ์เคร่ืองมือเคร่ืองใช้ โดยการประยุกต์นําหลักการ ทางวทิ ยาศาสตร์มาใช้ เพื่อให้ได้สิง่ ประดิษฐท์ ีม่ ปี ระสิทธิภาพเพ่ือประโยชนใ์ ชส้ อยตา่ ง ๆ 4. โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภททฤษฏีหรอื อธิบาย เป็นโครงงานทผี่ ศู้ ึกษาเสนอทฤษฏีหรือคาํ อธบิ ายสงิ่ ต่าง ๆ หรือปรากฏการณ์แนวคิดใหม่ ๆ ที่ผศู้ ึกษา นาํ หลกั การทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฏีหรอื ขอ้ มลู มาสนบั สนนุ 6. เนอื้ หา 1. ประเภทของโครงงาน 2. การเลือกหวั ข้อโครงงาน 3. การวางแผนการกระทาํ โครงงาน 4. การนําเสนอโครงงาน 5. ประโยชน์ของโครงงานเพ่ือการพฒั นาคุณภาพชีวติ 7. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้/ผลการเรียนรทู้ ่คี าดหวัง (ดจู ากผังการออกขอ้ สอบ) 1. อธิบายประเภท เลือกหวั ข้อ วางแผน วธิ ีทาํ นาํ เสนอและประโยชน์ของโครงงาน 2. นาํ ความรเู้ กีย่ วกบั วทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละโครงงานไปใช้ 3. วางแผนการทําโครงงาน 4. ทําโครงงานวิทยาศาสตร์ 5. อธิบายและบอกแนวไดใ้ นการนาํ ผลจากโครงงานไปใช้ 6. นําความร้เู กย่ี วกบั วิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และโครงงานไปใช้
๘. การบูรณาการกบั หลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เง่อื นไข 3 หลักการ การเชื่อมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - นักศกึ ษามีความรูเ้ รื่อง โปรตนี จากรงั ไหม ,สรรพคุณจากรงั ไหม - อุปกรณ์ และวิธีการทาสบู่รังไหม คณุ ธรรม - มีความมุง่ ม่นั ในการทางาน - มคี วามสามคั คีในหมู่คณะ - ใฝห่ าความรเู้ พือ่ พัฒนาอยูเ่ สมอ พอประมาณ - ร้จู กั อัตราส่วนของรงั ไหมตอ่ กลเี ซอรีนที่ทาให้ไดผ้ ลติ ภณั ฑ์สบทู่ ี่ได้มาตรฐาน และมี คุณภาพ - ใช้รังไหมในท้องถน่ิ ทาเป็นสบู่ได้อยา่ งคุม้ คา่ และเกดิ ประโยชนส์ ูงสุด มเี หตผุ ล - ได้ความรู้เกย่ี วกับโปรตีนในรงั ไหม - ได้สบู่รังไหมทเ่ี ป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติใชแ้ ทนสบใู่ นทอ้ งตลาดทีเ่ ส่ียงต่อ สารเคมี มีภูมคิ ุ้มกัน - ร้จู กั การทาสบูจ่ ากรังไหมเป็นผลติ ภัณฑท์ างธรรมชาตซิ ึง่ ปลอดภยั ไม่มีสารพิษ ตกค้าง - สามารถตอ่ ยอดความรู้ สร้างผลติ ภัณฑ์ สรา้ งรายได้ให้ชมุ ชน วัตถุ - รจู้ ักเลอื กใชผ้ ลิตภัณฑ์ในท้องถิน่ ได้อยา่ งคุ้มค่าและเหมาะสม - มีทกั ษะในการใชอ้ ปุ กรณ์วิทยาศาสตร์ และการดูแลรักษา สังคม - มที ักษะการอยรู่ ่วมกนั ในกลุ่ม และทางานร่วมกับผู้อืน่ ได้อยา่ งมคี วามสขุ - สามารถนาความรู้ดา้ นโครงงานวิทยาศาสตร์ และการทาสบู่ไปตอ่ ยอดให้กับชมุ ชน สิง่ แวดล้อม - รู้จกั การนาํ รงั ไหมท่ีมอี ย่ใู นทอ้ งถนิ่ มาพัฒนาเป็นสบรู่ งั ไหมไดอ้ ยา่ งคุ้มค่า และเกิด ประโยชน์สูงสดุ และพัฒนา - สบูจ่ ากรังไหมเปน็ ผลติ ภัณฑ์ธรรมชาติ ไมเ่ ป็นพิษต่อสง่ิ แวดล้อม วัฒนธรรม - ต่อยอดภมู ปิ ัญญาท้องถ่ินในการทาสบู่จากรังไหม เพอ่ื เพ่ิมมูลค่า ผลิตภณั ฑ์
9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ ขนั้ ที่ 1 กําหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ ครทู บทวนความรเู้ ดิมของนักศกึ ษา โดยใชค้ าถามชี้นาว่า ในการเรียนคร้ังกอ่ นเรื่องกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี “ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขอ้ ใดท่ีเปน็ จดุ เร่ิมต้นในการคิดแบบ วทิ ยาศาสตร์” ทกั ษะการสงั เกต จากนน้ั ครูใหน้ ักศึกษายกตัวอยา่ งเรอ่ื งการสงั เกตในชีวติ ประจาวัน และครโู ยง เนือ้ หาทจ่ี ะสอนคือ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ว่าเปน็ กจิ กรรมทีต่ อ้ งใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการศึกษา คน้ คว้า เก็บรวบรวมข้อมลู จนถงึ การแปลผลสรปุ ผล และการเสนอผลการศึกษา ขนั้ ที่ 2 แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ 1. ให้นกั ศกึ ษาทําแบบทดสอบก่อนเรยี นด้วย Google form เพือ่ ทดสอบความรูเ้ บือ้ งตน้ 2. ให้นกั ศึกษา ศึกษาเร่อื งประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ และขัน้ ตอนการทําโครงงาน วทิ ยาศาสตรจ์ ากหนงั สือเรียนสาระความรู้พนื้ ฐาน รายวิชาวทิ ยาศาสตรร์ ะดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย รหัส พว 31001 3. ครูใช้สื่อ Power point เรื่อง ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ และขน้ั ตอนการทาํ โครงงาน วทิ ยาศาสตร(์ เค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร)์ เพื่ออธบิ ายความร้เู พ่ิมเติมให้นักศึกษา ขนั้ ท่ี 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปใช้ ครูใหน้ ักศึกษาระดมความคิด ถอดบทเรยี นโครงงานเรอื่ งสบู่จากรงั ไหมให้สอดคลอ้ งกับ หลกั เศรษฐกจิ พอเพียงใส่กระดาษชาร์ท ขัน้ ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ 1. ให้นักศึกษาออกมาหนา้ ช้นั เรียน เพือ่ นําเสนอการถอดบทเรยี นโครงงานเรื่องสบูจ่ ากรัง ไหมใหส้ อดคลอ้ งกบั หลักเศรษฐกิจพอเพียง จากน้นั ครูใหค้ ะแนน 2. แบบทดสอบหลังเรียน 10. สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี นสาระความรู้พื้นฐาน รายวิชาวิทยาศาสตร์ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย รหัส พว31001 2. Power point เรอ่ื ง ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ และข้นั ตอนการทําโครงงานวิทยาศาสตร์ 3. กระดาษชาร์ทถอดบทเรียนโครงงานเรื่องสบู่จากรงั ไหมให้สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง 10. การวดั และประเมินผล การวดั ผลตามจดุ ประสงค์ เครื่องมอื การวดั ผล เกณฑก์ ารประเมนิ ผล ความรู้ (Knowledge) แบบทดสอบหลงั เรยี น ผา่ นการตอบคาถามได้ อธิบายเรื่องการฟัง การดู 80% ขน้ึ ไป การพูดได้ กระดาษชารท์ ทกั ษะ (Skill) ผเู้ รียนจบั ประเดน็ สาคัญ เข้าใจใน เลือกหัวข้อการฟัง การดู แบบสังเกตพฤติกรรม หลักการฟัง การดู 80% ข้ึนไปมีมารยาท ดาเนนิ การนาเสนอ ในการฟัง และการดู เจตคติ (Attitude) ผูเ้ รยี น 80% ขนึ้ ไปมสี ว่ นรว่ มในการ มีความร้สู กึ เจตคตทิ ี่ดีต่อ อธบิ ายแลกเปลีย่ นความคดิ เห็น การฟัง การดู แบบมเี หตผุ ล
กิจกรรมเสนอแนะ .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .......... ลงชอ่ื …………………………………………….ครูผสู้ อน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาํ บล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... .......... ลงชื่อ………………………………………………………ผอู้ นุมัติแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผูอ้ ํานวยการ กศน.อาํ เภอจตรุ พักตรพิมาน
บันทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ กศน.ตาบลศรีโคตร ครัง้ ที่ 10 วัน/เดอื น/ปวี ันที่ 2 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครผู ูส้ อนนายปรเรศ นามโคตร ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พ้นื ฐาน รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว31001 จํานวนผเู้ รยี นทงั้ หมด ............... คนเข้าเรียน…………………คน ไมเ่ ขา้ เรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกว่ากอ่ นเรียนจานวน ........ คนคิดเป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ้ ยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ 2. เนอ้ื หา/สาระ/รายวิชา ........................................................................................................................................................ ........... ....................................................................................................................... ............................................ 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ญั หา ................................................................................................................................................................ ... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่ือ.........................................................(ผบู้ นั ทกึ ) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล วันท.ี่ ......../................/............... ความเหน็ /ข้อเสนอของผู้บริหาร ................................................................................................................................................................. .. ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่อื .................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน
ใบความรทู้ ี่ 1 เรือ่ ง หวั ข้อโครงงาน 1. ช่อื โครงงาน \"สบจู่ ากรังไหม\" 2. ชื่อผูท้ าโครงงาน ................ 3. ช่ือทป่ี รึกษาโครงงาน ................. 4. ที่มาและความสาคญั เน่อื งจากรังไหมเป็นวัตถุดิบท้องถิ่นจากธรรมชาตทิ ่ีมปี ระโยชน์ เช่น ตวั ไหมทเ่ี ป็นดกั แด้ไว้ รับประทาน เสน้ ไหมที่ได้จากตวั ไหมใช้ทอผา้ อีกทั้งรังไหมยงั ประกอบดว้ ยโปรตนี 2 ชนดิ คอื ไฟโบรอิน และเซริซนิ ซงึ่ มีสรรพคุณในการยบั ยง้ั แบคทีเรยี , ต้านอนุมูลอิสระ ,ปูองกันแสง UV และให้ ความชุ่มชื่นแก่ผวิ ดงั นัน้ ผู้จดั ทําจึงเหน็ ความสาํ คัญในการนํารงั ไหมมาสกดั โปรตนี เพอ่ื เนําไปใชท้ าํ “สบู่จากรงั ไหม” จึงเป็นอกี หนึ่งวิธใี นการนาํ รังไหมมาใชใ้ ห้คุ้มคา่ 5. วัตถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือทําสบู่ที่มสี ่วนผสมของโปรตีนจากรงั ไหม 2. เพื่อใชว้ ัสดจุ ากธรรมชาติในทอ้ งถิน่ มาใช้ประโยชน์ 3. สง่ เสริมให้คนหนั มาใช้ผลิตภัณฑจ์ ากธรรมชาติไรส้ ารเคมี 6. สมมตฐิ านของโครงงาน(ถ้ามี) 7. วัสดอุ ุปกรณ์ 1. หม้อตนสแตนเลส 9. เทอร์โมมิเตอร์ 2. ทัพพี 10. เครอื่ งช่ัง 3. มีด 11. น้ํากลั่น 4. กรรไกร 12. กลเี ซอรีน 5. เขียง 13. พมิ พส์ บู่ 6. รงั ไหม 14. ดรอปเปอร์ 7. เตาแมเ่ หล็กไฟฟาู 8. น้ํามนั หอมระเหย 8.วธิ ดี าเนินการ - การเตรียมรงั ไหม นาํ รังไหมไปชัง่ เพื่อให้ไดน้ ํา้ หนกั ทีต่ อ้ งการ ใช้กรรไกรตดั ใหเ้ ปน็ ช้นิ เลก็ ๆ จากนนั้ นําไปล้างทํา ความสะอาดด้วยน้ําเปล่า พักใหส้ ะเดด็ น้าํ ประมาณ 15 นาที -การตม้ รังไหม นํ้ากล่ันต่อรงั ไหม อัตราส่วน 500 มลิ ลลิ ิตร : 21.39 กรัม ต้มนํา้ กลัน่ ในหม้อตม้ สแตนเลสที่ อุณหภูมิ 80-90 องศา ใส่รงั ไหมตม้ ไว้เปน็ เวลา 30 นาที -วิธที าสบู่ 1. ตวงปริมาตรนาํ้ รงั ไหมที่ต้มได้ 35 กรัม เทใส่ภาชนะ 2. ตนุ๋ กลเี ซอรนี 312 กรมั ใหล้ ะลายจนเปน็ ของเหลว 3. ใชเ้ ทอรโ์ มมิเตอรว์ ัดอุณหภมู ิของนาํ้ รังไหม และกลเี ซอรีนท่ีเตรยี มไว้ใหม้ ีอุณหภูมใิ กลเ้ คยี งกนั ประมาณ 40-50 องศา
4. เทกลเี ซอรนี และนํ้ารงั ไหมลงในภาชนะ จากนน้ั ใช้ทัพพีคนกลีเซอรนี และนา้ํ รงั ไหมให้เป็น เนือ้ เดยี วกนั ระหว่างคนให้ใช้ดรอปเปอร์หยดนํา้ มนั หอมระเหย 1 หยด คนให้เข้ากนั 5. จากน้นั เทใส่แม่พิมพ์สบู่ ต้ังทิ้งไวใ้ หส้ บู่แขง็ ตัว แล้วแกะสบู่ออกจากพมิ พ์ 9. แผนปฏิบัติการ ....................... 10. ผลทีค่ าดว่าจะไดร้ ับ 1. ไดส้ บู่ท่ีผลติ จากผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติ ซ่ึงปลอดภัยไม่มสี ารพษิ ตกคา้ ง 2. สามารถต่อยอดความรู้ สร้างผลิตภณั ฑ์ สรา้ งรายได้ 11. เอกสารอา้ งอิง ......................
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184